วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

2550-05-19 สถานธรรมเจาหยู จังหวัดเชียงใหม่


西元二00七年歲次丁亥四月初三日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเจาหยู  จังหวัดเชียงใหม่
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    ชีพหนึ่งนี้มีค่ามหาศาล    คนรู้งานรู้จักตนรู้หน้าที่
กระทำตนใช่เป็นแค่คนดี    ต้องรู้ที่บำเพ็ญพ้นเกิดและตาย
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
            ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา  ฮวา  ฮวา

    เรื่องยากง่ายในโลกนี้มีล้นเหลือ    สุดจะเชื่อมนุษย์ตามใจตนเท่านั้น
ทว่าใจท่านเป็นเช่นไรกัน    เคยจะย้อนดูเท่าทันหรือไม่เอย
ในหัวนี้มีแต่เรื่องรกสมอง    ไม่รู้ตรองตามจริงด้วยเหตุและผล
ยากจะกล่าวอย่างไรให้บำเพ็ญตน    จะเป็นคนมีความสุขยังไม่เป็น
หากรู้ตัวกลัวจะสายให้สำนึก    เปิดผนึกนิสัยตนอย่าทำเล่น
จากความรู้ในหลักธรรมศึกษาเป็น    เมื่อชัดเจนปฏิบัติจึงราบรื่นไป
จงเข้าใจชีวิตกำหนดทาง    แม้ปัญหาไม่สะสางก็เดินได้
วันเวลามีคำตอบเสมอไป    คนรู้ใจตนเองเดินเสมอต้นปลาย
ต้นไม้ใหญ่รากก็ต้องหยั่งลึก    อย่าได้นึกใช้ชีวิตทำเป็นเล่น
แม้ว่าขาจะยังจมอยู่ในเลน    รู้กฎเกณฑ์คนไม่ได้ทุกข์ทุกวัน
ใจส่วนลึกนั้นต้องการสิ่งใด    รู้ใส่ใจปัจจุบันกำหนดอนาคต
อันกิเลสความเคยชินรู้จักลด    อย่าจำจดแต่เคืองแค้นไม่มีดี
ในวันนี้น้องมีบุญฟังธรรมะ    พึงชำระกายใจไปควบคู่
สุขุมจิตระวังใจพินิจดู    ให้ตัวอยู่ใจอยู่ฟังพร้อมกัน
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ    และเคารพพุทธระเบียบดั่งเคารพตนนั้น
ขอให้รู้ทุกคนต่างมีความสำคัญ    อย่าเกียจคร้านอย่าดูแคลนซึ่งตนเอง
ความสงสัยมีได้อย่าให้มาก    กล่าวให้ปากตรงกับใจดั่งสัตบุรุษ
เมื่อได้พร้อมจงตั้งใจใฝ่เร่งรุด    ขอให้ผุดจิตกุศลจากภายใน
จงอดทนต่อความเป็นตัวของตัว    ศิษย์พี่กลัวน้องรู้จริงทำไม่ได้
แม้อยู่ใกล้ก็ประหนึ่งดั่งอยู่ไกล    จงใส่ใจการหลุดพ้นเรื่องสำคัญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
การฟังธรรมแม้เป็นเรื่องสำคัญ    ส่งเสริมกันสำคัญกว่าจงใส่ใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
            ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
   
    คนจะอยู่ร่วมกันเป็นสุขได้    ก็เพราะยอมถอยได้ด้วยใจนี้
แม้ทิ่มแทงบาดหูเสียไม่มี    ยั้งอารมณ์ลองตรองทีฝึกใจเย็น
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่ พุทธสถานเจาหยู  แฝงกายกราบอัญชุลี
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่าน เกษมฤๅ

    ประเสริฐเกิดเป็นคนอย่ารู้เบื่อ    หัวใจเมื่อได้ทนอาจเป็นเหล็ก
ชีวิตรู้ชัดแต่ไม่อย่างเลข    ความคิดตนที่เด็กใช้อารมณ์
อ้ารับตามความอยากที่สุกงอม    แพ้ใจยอมนาวาจอดยังล่ม
การบำเพ็ญจิตจำต้องทันอารมณ์    ปราชญ์ตัวจริงทนข่มไม่สำแดง
วางผิดคนเป็นชีวิตตนเอง    ไม่ใช่สัจธรรมรู้เคร่งทว่าแย้ง
สร้างความดีไว้หวังประโยชน์แบ่ง    สังขารป่วยรักษาแพงใจให้ทาน
ในกรอบพูดทำสูงด้วยปรัชญา    ทำจริงใส่ชอบต่ำกว่ามาตรฐาน
คนมีหน้าที่ด้วยจงสุภาพนั้น    จงฝันใฝ่เป็นตะวันสว่างไกล
ง่ายง่ายดีดีปัญญาเรียบต่ำ    แม่นขึ้นอยู่ประจำนำความใหม่
ความรู้เหนือความดีหาไม่    ตั้งบนความจริงไซร้ไร้กังวล
อย่าเลื่อมใสคนยิ่งสิ่งตามกัน    ถึงหนึ่งมั่นศรัทธามีศึกษาค้น
จิตถึงที่อันเข้าใจรวมสากล    ยืนความประสงค์ให้พ้นที่งมงาย

วิธีคิดแตกต่างคนหลายแบบ    ยอมไม่สร้างต่างแบบควบคุมง่าย
คนเป็นเป็นคงห้ามกระไรได้    สุขุมเย็นสร้างหลากใต้หนึ่งเดียว
หากล้มลงหลายครั้งสำรวจตน    นิสัยคนรังแต่ติดหนามเกี่ยว
หน่อยเดียวเสี่ยงเลือดไหลชีวิตเดียว    หักหนามเกี่ยวมีชีวิตอยู่ในธรรม
            ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ฟังธรรมที่นี่กับอยู่ที่บ้านอะไรสบายกว่ากัน  นั่งฟังธรรมะที่นี่ลำบากไหม มีคำกล่าวว่า “อยากมีสันติสุขในชีวิตก็ต้องรู้จักลดความโลภ โกรธ หลง”  แล้วเราจะมองชีวิตให้ชัดเจนได้ก็ต่อเมื่อต้องมีความสงบร่มเย็นในชีวิต ท่านว่าจริงไหม (จริง)  เพราะมีแต่จิตใจที่สงบเยือกเย็นจึงสามารถมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างจริงแท้และเป็นเหตุเป็นผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าจิตใจเราวุ่นวายแล้ว เราจะมองสิ่งใดได้แจ่มชัดไหม (ไม่ชัด)  ก็ไม่น่าจะชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่จิตใจที่สงบเยือกเย็นจึงจะสามารถมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างถ่องแท้ และเป็นเหตุเป็นผล ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ามนุษย์ยังเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง  เราจะมีสันติสุขในชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะมีความร่มเย็นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  หรือถ้ามองกลับไปอีก ถ้าเรายังไม่พอใจในชีวิตที่เรียบง่าย  แล้วชีวิตนี้อะไรคือ
สิ่งที่ดีที่สุดล่ะ ก็ต้องหาไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเคยได้ยินไหมว่า  หากมนุษย์พอใจในสิ่งที่มี ชีวิตก็คงยุ่งยากน้อยลง  ความโปร่งโล่งเบาในหัวใจก็คงมีมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะวุ่นวาย ไม่ว่าจะลำบากยากแค้นหรือทุกข์ยากขนาดไหน ล้วนเกิดจากตัวเรา หรือใจที่ไม่รู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
แล้วเคยได้ยินหรือไม่ว่าโลกนี้เป็นโลกของวัตถุ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราว่าไม่ใช่ โลกนี้เป็นโลกของความคิด จริงไหม (จริง)  โลกนี้เป็นโลกของความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช่โลกของวัตถุไหม (ไม่ใช่)  วัตถุจะไม่มีผล ถ้าใจเราไม่คิดอยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วก็คิดบ่อยๆ
ก็กลายเป็นการกระทำ  เมื่อกระทำบ่อยๆ ก็กลายเป็นชีวิต
เมื่อชีวิตดำเนินเช่นนี้บ่อยๆ ก็กลายเป็นโชคชะตา  ฉะนั้นอย่าถามว่าชะตาเป็นอย่างไร  แต่ต้องถามว่าเราคิดอย่างไรต่างหาก จริงไหม (จริง)  
ฉะนั้นจึงอยากบอกท่านว่า เวลามองอะไร หรือหาสาเหตุอะไร อย่ามองที่ปลาย เหตุแต่ต้องสาวไปให้ถึงต้นเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สาวไปให้ถึงต้นราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  
หรือมัวแต่สงสัยว่าเราเป็นตัวจริงหรือเท็จ เลยไม่ได้สนใจสิ่งที่เราพูดเลย ใช่ไหม  ไม่ห้ามหรอกถ้าจะสงสัย ให้สงสัยได้  ถ้าท่านคือคนจริงแล้วเราคือคนเท็จ  ถ้าท่านคือตัวจริง แล้วเราคือตัวปลอม  อย่างนั้นคนจริงต้องสามารถหาคุณค่าในตัวปลอมนี้ได้ ถูกไหม (ถูก)  เคยได้ยินไหมว่า คนที่เก่งจริงในโลก คนที่สามารถจริงในโลก ย่อมสามารถที่จะใช้ทั้งของจริงและของเท็จให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้น
ถ้าท่านมั่นใจว่าตัวท่านคือคนจริง แล้วเราคือคนเท็จ  อย่างนั้นลองใช้ประโยชน์จากเราให้ได้มากที่สุด ได้หรือไม่ (ได้)  ดีหรือไม่ (ดี)  แล้วการจะใช้ประโยชน์จากคนๆ หนึ่งได้ก็ด้วยการทำอย่างไรล่ะ  อยู่ร่วมกันแต่ต้องซึมซับความรู้ของเขามาให้ได้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราจะกินผลไม้ หรือมีผลไม้อยู่ในมือ จะจริงหรือปลอมเราก็ต้องปอกเปลือกแล้วก็ต้องกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อกินแล้วออกเปรี้ยวออกหวาน เราก็ต้องกินให้ได้มากที่สุด  เพราะมันอยู่ในมือเราแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ฉลาดในการดำรงชีวิตเป็น  เหมือนวันนี้ท่านเสียเวลา แทนที่จะอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ แต่ยอมมาลำบากตรงนี้  ฉะนั้นความลำบากตรงนี้ต้องได้คุณค่าอะไรกลับไปด้วย ใช่ไหม (ใช่)  
อย่าลำบากเปล่าๆ อย่าเสียเวลาฟรีๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  
ทำไมคนจริงๆ ไม่กล้าจ้องตาคนเท็จล่ะ เอาแต่หลบสายตา แบบนี้แปลว่าอะไร เขาบอกว่าคนที่ไม่กล้าจ้องตา แปลว่าแอบมีความผิดหรือมีความลับในใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าคนจริงไม่มีอะไรลวงหลอกในหัวใจ  ก็ต้องกล้ามองหน้ากันตรงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะหลบตาเราทำไมกันนะ
“คนจะอยู่ร่วมกันเป็นสุขได้”
เคยได้ยินไหมว่า เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ (เคย)  เพราะฉะนั้นต้องปล่อยให้คนหนึ่งเป็นเสือ และอีกคนหนึ่งเป็นคนธรรมดา สังคมนั้นถึงจะมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่ามีเสือแข่งกันสองคนก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่ทะเลาะวิวาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้เราอยู่ในครอบครัว ถ้าตอนนี้สามีอยากพูด เราก็ต้องเงียบใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากลับกันตอนนี้ภรรยาอยากพูดสามีก็ต้องรู้จักเงียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เหมือนกันเราอยู่ในสังคม บางครั้งเราต้องเป็นผู้พูด แต่บางครั้งเราก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟัง จะเอาแต่พูดอย่างเดียวไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือจะเอาแต่ฟังโดยไม่รู้จักพูด ดีไหม (ไม่ดี)  เพราะอะไรจึงไม่ดี
(ไม่ได้แลกเปลี่ยน)  ไม่ได้แลกเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครจะตอบอีก เพราะอะไรจึงไม่ดี  
(ไม่ได้ความรู้)  ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ฟังนั้นควรจะตรวจสอบว่าจริงหรือเท็จแค่ไหน
“คนจะอยู่ร่วมกันเป็นสุขได้  ก็เพราะยอมถอยได้ด้วยใจนี้”
ดังที่เรากล่าวกันไว้ว่าอยากอยู่ในสังคมให้เป็นสุข เราต้องรู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งเราก็ต้องรุดหน้า แต่บางครั้งเราก็ต้องถอยหลังเป็น จริงหรือไม่ (จริง)  บางครั้งเราเก่ง แต่บางครั้งเราก็ต้องรู้จักยอมโง่ให้เป็น  ถ้าฉลาดทุกเรื่องเรานั้นคือคนที่โง่ จริงไหม (จริง)  
“แม้ทิ่มแทงบาดหูเสียไม่มี”
เคยไหมที่อยู่ร่วมกับเพื่อนหรืออยู่ร่วมกับคนในสังคม ให้เรายอมก็ยอมได้ แต่คำพูดไม่ค่อยน่าจะยอมให้เท่าไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายผิดตลอด แล้วทำไมผมต้องเป็นฝ่ายยอมเขาตลอด รู้สึกว่ายอมมากๆ แล้ว เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า พระพุทธองค์กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า ถ้ามีคนทำให้เราโกรธแล้วเราโกรธตอบ คนนั้นเลวยิ่งกว่าคนที่ทำให้โกรธอีก เคยได้ยินไหม (เคย, ไม่เคย)  ไม่เคย เพราะถ้าเคยจริงๆ ท่านคงไม่โกรธตอบคนในโลกหรอก ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเราบอกให้นะ ถ้ามีคนทำให้โกรธแล้วเราโกรธตอบ เรานั้นเลวยิ่งกว่าคนที่ทำให้โกรธเสียอีก  แต่ในเรื่องๆ เดียวรู้ไหมว่า เราสามารถแปรร้ายให้เป็นดีและดียิ่งขึ้นได้ในเรื่องความโกรธ  
ถ้าเขาทำให้เราโกรธแล้วเราไม่โกรธตอบ เราเป็นผู้ที่ชนะสงครามที่ชนะได้ยากที่สุด  หรือในอีกทางหนึ่งเมื่อเขาทำให้โกรธแล้วเราสามารถสงบเยือกเย็นและใจเย็นค่อยๆ พูดกับเขาได้  เราเป็นผู้ที่ยังประโยชน์ให้ทั้งตัวเองและผู้อื่นด้วย  เห็นไหมว่าอารมณ์ที่มากระทบใจเราหนึ่งครั้ง สามารถยังประโยชน์ให้ทั้งตัวเขาและตัวเราได้ หรือเรื่องที่มากระทบจิตกระทบใจเราในชีวิต สามารถตรวจวัดคุณค่า คุณธรรมในหัวใจเราได้เหมือนกัน
ฉะนั้นมีหนึ่งเรื่องที่เกิด อย่างเช่นมีคนเอาเงินมากองตรงหน้า เราโลภอยากได้ เราก็อาจจะแย่กว่าคนที่เอาเงินมาหลอกล่ออีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราบอกว่าไม่เอา เราพอแล้ว เราก็เสมอตัว
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่าไม่เอา การทำอย่างนี้ไม่ดี และเราก็รู้สึกบาปในใจ นอกจากจะเสมอตัวแล้ว เรายังสามารถสอนคนและเรายังก้าวข้ามความไม่ดีให้ตัวเองดียิ่งขึ้นด้วย ถูกไหม (ถูก)  
หรือในเรื่องความโกรธ  เคยเห็นไหม มีคนๆ หนึ่งเดินมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและด่าอีกคนหนึ่งอย่างเสียๆ หายๆ อีกคนหนึ่งด่ากลับทันที จากคนที่ด่าก่อนจะเสียคนเดียว ก็กลายเป็นเสียทั้งคู่ถูกไหม (ถูก)

แต่ในทางกลับกัน ถ้าคนๆ หนึ่งด่าปุ๊บ อีกคนหนึ่งเงียบก้มหน้า คนที่ด่าคนแรกยิ่งโมโหด่าขึ้นไปอีก  เชื่อไหมว่าคนที่ด่าคนแรกยิ่งแย่ แต่คนที่ถูกด่ากลับยิ่งดีขึ้นในสายตาคนที่มองเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วดีขึ้นอีก
ได้ไหม ย่อมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนที่ด่าคนแรกด่าอีก แต่อีกคนหนึ่งกลับยิ้มแล้วบอกขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ  คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกเป็นอย่างไร ก็รู้สึกว่าทำไมคนๆ นี้ จิตใจถึงได้อดทนสูงส่งยอดเยี่ยมเช่นนี้  เขาไม่ได้สอนตัวเขาแต่ทำให้คนรอบข้างได้เรียนรู้ความไม่โกรธ และการปฏิบัติต่อการโกรธต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้องด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในหนึ่งห้วงของความรู้สึกสามารถสะท้อนสะเทือนจิตใจคนได้ ด้วยการรู้จักคิดนำพาจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่จิตใจ ชะตาชีวิตจะเปลี่ยนแปลงได้ก็อยู่ที่ความคิดเราใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุดคืออะไร สิ่งที่มนุษย์เกลียดที่สุดคืออะไร และสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการมากที่สุดคืออะไร  แล้วสิ่งที่เกลียด สิ่งที่กลัว และสิ่งที่ไม่ต้องการนั้นคือปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตใช่ไหม (ใช่)  แล้วปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ถ้าเรามองเห็นเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกลียด ไม่น่ากลัว และไม่ใช่ปัญหา ชีวิตนี้จะมีเรื่องยากอะไร ถูกไหม (ถูก)  แต่เราจะทำ
อย่างไรล่ะ ในเมื่อโลกนี้มีขาวก็ต้องมีดำ มีสิ่งที่ชอบก็ต้องมีสิ่งที่ไม่ชอบ มีสิ่งที่พอใจก็ต้องมีสิ่งที่ไม่พอใจ  แล้วเราจะอยู่อย่างไรดี อยากรู้วิธีที่จะใช้ชีวิตอยู่ระหว่างสองสิ่งนี้ให้ดีเอาไหม (เอา)  อยากฟังไหม (อยาก)  หรือว่าฟังแค่นี้พอแล้ว
อารมณ์โกรธเป็นอารมณ์ที่ทุกคนมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นต่อไปจะโกรธตอบใครก็ขอให้พึงตั้งสติให้ดีก่อน ดีไหม (ดี)  ไม่อย่างนั้นเราจะเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่โกรธอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราอยากสอนลูกให้เป็นคนที่ไม่ขี้โมโห เราก็ต้องรู้จักไม่โมโหตอบคนที่ชวนโมโห ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใจเย็นนั้นน่าคบกว่าคนใจร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนบ่นน้อยน่าคบกว่าคนบ่นมาก จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นมนุษย์ก็รู้นี่ว่าทำอย่างไรให้เป็นที่รักของคนอื่น  แต่รู้แล้วกลับทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
“ลงสู่พุทธสถานเจาหยู”  (ผู้เขียนพระโอวาทบนกระดานกำลังเขียนคำว่า “เจาหยรู”  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาอธิบายการอ่านออกเสียงคำว่า “เจาหยรู” )
การใช้คำทับเสียงถ้าเพื่อเป็นการฝึกอ่านให้ถูกต้องจะเขียนให้ครบทุกตัวเสียงก็ได้ แต่ถ้าเกิดเพื่อให้เข้าใจความหมายเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเขียนทุกตัวเสียง พอเข้าใจไหม
ห้องนี้คับแคบไปหรือเปล่า ห้องคับแคบแต่ใจต้องไม่คับแคบใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากนั่งกันหรือยัง (อยาก)  ยืนไหวไหม นั่งมาครึ่งวันแล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามอะไรท่านหน่อยนะ  ระหว่างความลำบากกับความสบายชอบอะไรมากกว่ากัน (ความสบาย)  
ความทุกข์กับความสุข ชอบอะไรมากกว่ากัน (ความสุข)  อย่างนั้นอยู่ที่นี่ก็ต้องสบายกว่าใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องทำกินก็มีคนเอามาให้กิน
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องล้างเขาก็ล้างเก็บให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปวดเมื่อยบอกเขาสักคำหนึ่ง เดี๋ยวเขาก็นวดให้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ที่บ้านกับที่นี่ ที่ไหนสบายกว่ากัน (ที่นี่)  ที่นี่สบายกว่าแต่นั่งทนนานกว่า
ใช่ไหม (ใช่)  หากเปรียบเทียบแล้ว ที่นี่กับที่โน่นก็ต้องบอกว่าที่นี่ลำบากเหมือนกัน มีดีและก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างในโลกนี้ มีดีมีเสีย เหมือนตัวเรามีดีก็มี (เสีย)  คนอื่นก็เช่นกัน มีดีก็มีเสียใช่หรือไม่ (ใช่)  
น้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์ที่สุดกลับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่  แต่น้ำที่บางครั้งเป็นทั้งน้ำสะอาดและเป็นโคลนเลนสกปรกกลับมีสิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นเราควรจะเป็นคนที่เป็นอย่างไร  ความหมายของเราก็คืออย่าเอาเรื่องนี้ไปเข้มงวดกับคนอื่น  เพราะตัวเรายังมีดีมีเลว คนอื่นก็มีดีมีเลวเช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และใช่ไม่ใช่เพราะว่ามีความทุกข์และความสุขจึงบังเกิดชีวิต  
ใช่ไม่ใช่มีสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นระหว่างความสบายกับความลำบาก ถามท่านว่าเลือกอะไร (ความสบาย)  ความสบายใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกข์กับสุขเลือกอะไร (สุข)  เลือกสุข ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า สิ่งที่สบายทำให้จิตใจนั้นอ่อนแอและปกปิดความจริงที่อยู่เบื้องลึกในหัวใจ ใช่ไหม (ใช่)  ลองมองให้ดี คนที่รักสบายลึกๆ ในหัวใจเพราะอะไร  เพราะกลัวลำบาก
ใช่ไหม (ใช่)  ลำบากทำให้เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคนที่กล้าสู้กับความยากลำบาก  ความลำบากทำให้เรามองเห็นจิตใจ ทำให้เรารู้จักคุณค่าของตัวตน และทำให้เรากล้าที่จะสู้กับความจริง และเป็น
คนเข้มแข็งในชีวิต  แต่ตรงกันข้ามกับความสบาย ถ้ามีโอกาสขอเลือกสบายไปก่อน ถ้ามีโอกาสขอกินแรงคนอื่นไปก่อน  แต่เคยไหมว่า หากยิ่งสบายมากเท่าไร จิตใจที่ควรจะเข้มแข็งก็กลายเป็นอ่อนแอ จิตใจที่ควรจะมองเห็นตนเองมากขึ้นก็กลับปิดตาปิดหูไม่รับฟังหัวใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตรงข้ามกับความลำบาก คนที่กล้าสู้กับความลำบาก คนที่กล้าสู้กับความทุกข์ และสามารถค้นหาความสุขในความทุกข์ได้จนพบ คนนั้นจะเป็นคนที่เรียนรู้หัวใจตนเองและเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตอย่างถูกต้องและเป็นจริง ได้มากกว่าคนที่รักสบายและเลือกแต่ความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราเกิดมา เราควรที่จะกล้าสู้กับความลำบากไม่ใช่หรือ  และอย่ารังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะสิ่งที่เราไม่ชอบแท้จริงแล้วกลับทำให้เรามองเห็นตัวเองมากขึ้นและรู้คุณค่าของตัวเองได้มากขึ้น  ฉะนั้นต่อไปคงไม่มีคนรักแต่ความสบายโดยไม่ยอมสู้ความลำบากนะ คนที่เอาแต่หนีความทุกข์ไม่กล้าสู้ทุกข์คนนั้นแหละคือคนที่ลำบากและทุกข์  ขอถามว่ายืนสบายหรือนั่งสบาย (นั่งสบาย)  อย่างนั้นตอนนี้เราควรยืน หรือนั่งดี พูดไปจนถึงที่สุดแต่ถ้าให้เลือกก็ขอเลือกสบาย แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะรู้จักตัวเองเสียที แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้เสียที
ในโลกนี้เราเลือกแต่ท้องฟ้าสว่างสดใส ไม่เลือกราตรีอันมืดมิด
ได้ไหม (ไม่ได้)  ในโลกนี้เราเลือกแต่ความสุขที่เราทำได้เฉพาะตนโดยไม่สนใจความลำบากได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถึงแม้ว่าเราเคยบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า เมื่อไรที่เราสบายย่อมมีอีกหลาย ๆ คนที่ลำบาก  ฉะนั้นเมื่อไรที่เรายอมลำบากนั่นคือเราเสียสละเพื่อให้ผู้อื่นได้สบาย  
นั่งหรือยืนดี  หากท่านคิดว่าเรามาทั้งทีทำให้ท่านลำบากในการยืนพร้อมกับเราก็ดูเหมือนไม่ใช่คนมีเมตตาใช่หรือไม่  เชิญทุกท่านนั่งลงได้  
สิ่งที่เรารังเกียจคือความทุกข์หรือสิ่งที่เราไม่พอใจใช่หรือไม่ ทำให้เราเบื่อหน่ายในการมีชีวิต คนที่ชอบพูดขัดหู คนที่ชอบเอาเปรียบ คนที่ชอบกินแรงผู้อื่น คนที่ชอบดูถูกคนอื่น หรือทำให้ชีวิตที่เรียกว่าผู้ประเสริฐกลับกลายเป็นชีวิตที่น่ากลัว  
วันนี้เราจะให้มุมมองความคิดใหม่ ว่าสิ่งที่เขาเป็นแบบนี้หรือสิ่งที่น่ารังเกียจของคนในโลกนี้  แท้จริง ถ้าเรารู้จักมองให้เป็น ไตร่ตรองให้ดีเขาก็มีคุณค่าไม่ต่างกับคนอื่นๆ  ในน้ำเน่าถ้ากรองให้ดีก็ยังมีน้ำสะอาด  กองซากพืชซากสัตว์ก็ยังสามารถเสกสรรให้เกิดดอกไม้อันงดงามและผลไม้อันหอมหวานได้ นั่นขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา  แต่เพราะอะไรสิ่งที่เราเห็นเป็นสิ่งที่เกลียดมากที่สุด เรากลับไม่สามารถมองเห็นคุณค่าได้  เพราะเรามัวหวังความสุขอันไกลโพ้นเกินไปหรือไม่  คือมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ควรมีหรือคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมี
“ชีวิตรู้ชัดแต่ไม่อย่างเลข   ความคิดตนที่เด็กใช้อารมณ์”
ตัวเลข หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สองลบหนึ่งเป็นหนึ่ง แต่ชีวิตไม่ใช่แจ่มชัดเหมือนตัวเลข บางครั้งหนึ่งบวกหนึ่งก็ไม่ได้สองเสมอไป จริงไหม (จริง)  เหมือนเราอยู่กับเพื่อน นึกว่าอยู่กันแล้วจะสมานกลมเกลียวกันกลายเป็นหนึ่งบวกหนึ่ง แต่เป็นศูนย์ก็มี ไม่เป็นสองเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือบางทีคนที่เราเกลียดที่สุด เราคิดว่าสองไปลบหนึ่งบางทีอาจจะ
ได้หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีลบกันไปเป็นศูนย์ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ลบไปแล้วเป็นสามก็กลายเป็นรักกันไปเลยก็มี  ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่ตัวเลข
ที่ใจจะกำหนดให้หนึ่งบวกหนึ่งแล้วต้องเป็นสอง สองบวกสองแล้วต้องเป็นสี่ ไม่แน่เสมอไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจของเรา เอาอะไรเป็นพื้นฐานใช่ไหม
หากมนุษย์จะยืนอยู่ในสังคมที่มีทั้งขาวทั้งดำ มีทั้งดีทั้งร้าย  สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องรู้จักศึกษา การศึกษาทำให้มนุษย์รู้จักเชื่อมั่น แต่ความเชื่อมั่นถ้าขาดการรับฟังและศึกษา ความเชื่อมั่นนั้นก็อาจจะกลายเป็นยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือการรับฟังแต่ไม่มีความเชื่อมั่น ก็จะกลายเป็นคนที่ลื่นไหล ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ก็ไม่ดีทั้งคู่ ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยู่ในสังคม สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการศึกษา และมีจุดยืนเป็นของตัวเอง  การศึกษาก็คือ หนึ่งได้จากการรับฟัง  สองได้จากการเรียนรู้ ใช่ไหม (ใช่)  การศึกษาช่วยทำให้ตรวจสอบวัดว่า เราควรที่จะปล่อยความยึดมั่นหรือควรที่จะเพิ่มความยึดมั่น และการศึกษาทำให้เราตรวจสอบดูว่า เรานั้นมีดีมีเลวมากขนาดไหน และควรจะยืนจุดยืนตรงไหนถึงจะถูกต้อง  มนุษย์เกิดเป็นคนถ้าขาดความเชื่อมั่น ก็ยากที่จะเอาชนะสิ่งใดได้  แต่ถ้าเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ย่อมเป็นคนที่สิ่งใดมากระทบก็ยากที่จะทำให้หวั่นไหวได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เคยเห็นไหม คนที่เชื่อมั่นในตัวเองมากๆ แต่ไม่ศึกษา ไม่รู้จักรับฟังคนอื่น คนนั้นก็อาจจะเผลอแยกเขี้ยวพองขนใส่คนอื่นได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากเป็นคนที่อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างเป็นสุข สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องใจกว้างและเป็นมิตรกับทุกๆ สิ่ง แม้กระทั่งสิ่งที่แตกต่างและโต้แย้งขัดขวางในความคิดของเรา เราก็ต้องกล้าที่จะรับเป็นมิตร ทำได้ไหม (ได้)
เหมือนที่ท่านเห็นเรา จะจริงจะปลอมก็ไม่รู้ แต่ตั้งต้นเกลียดไว้ก่อนอย่างนี้จะฟังรู้เรื่องอะไรไหม (ไม่รู้)  เหมือนส้มที่เราหยิบมา ถ้าเราตั้งต้นเกลียดส้ม แล้วจะรู้ไหมว่าส้มอร่อยหรือไม่อร่อย (ไม่รู้)  ฉะนั้นอยากจะเรียนรู้โลกใบนี้อย่างแจ่มชัดและมีเหตุมีผลในตัวของตัวเอง ไม่ใช่เป็นคนดื้อด้าน ยึดมั่นถือมั่น ไม่ฟังใคร  แต่ต้องรู้จักรับฟังและศึกษาให้ดี ไม่อย่างนั้นความยึดมั่นถือมั่นก็จะกลายเป็นแยกเขี้ยวพองขน แล้วขู่คน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราให้กลอน พิธีกรก็พูดแข่งกับเราใช่ไหม  ถ้าเรานิ่งเงียบ กลอนก็ยังไม่ได้ใช่ไหม  ฉะนั้นท่านต้องแยกจิตใจให้ดีนะ ตอนนี้ควรฟังใคร ตอนนี้ไม่ควรฟังใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าแยกไม่เป็นก็เสียสมาธิ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ท่านก็โตกว่าเราตั้งเยอะ  ทำไมถึงเวลา กลับดำเนินชีวิตกันอย่างงงๆ นะ  แต่ถ้าพูดถึงประสบการณ์ชีวิตท่านยังน้อยกว่าเรามาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามองเห็นว่าเราเป็นแค่เด็กคนนี้  แต่เวลามองสิ่งใด ต้องมองให้ลึกมากกว่านี้  มิเช่นนั้นแล้วสิ่งที่เห็นก็จะติดอยู่แค่สิ่งที่เห็น ยากจะได้มากกว่าที่เห็น  อย่าลืมนะว่าโลกใบนี้มีมากกว่าที่ตาดู หูฟัง และมือสัมผัส ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่นอกเหนือจากตาดู หูฟัง และมือสัมผัสมีอิทธิพลกับชีวิตจิตใจของมนุษย์ไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความกลัวในอนาคตข้างหน้ามนุษย์จึงพยายามแสวงหาสิ่งที่มีความสุขที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วความสุขที่สุดคืออะไร
ความสุขที่สุดในชีวิตคืออะไร
(การรู้จักตนเอง, รู้จิตใจตนเอง)  รู้จิตใจตนเองตอบได้ดี
(ความพอดี)  ถ้ารู้จักพอดีใช่หรือไม่  ถ้ามีสุขในรู้พอจะสุขที่สุดเลยนะ ท่านไหนจะตอบอีกไหม ทุกคนมีสิทธิ์ตอบ ไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะ
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขที่แตกต่างกันออกไป
(ความสุขในใจ)  เป็นอย่างไรหนอความสุขในใจ ใจที่สงบ
ไม่วุ่นวายไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีเรื่องที่เป็นปัญหา ใช่ไหม (ใช่)  ความสุขที่สุด
ในชีวิตของท่านคือ
(ได้รับสิ่งที่ตนชอบ)  ในสิ่งที่ไม่ชอบที่สุด ถ้าเราหาความสุขได้ ความสุขนั้นจะหายากอะไร ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเลือกแต่สิ่งที่ชอบ แล้ว
วันหนึ่งพบสิ่งที่ไม่ชอบแล้วไม่ทุกข์หรือ ใช่ไหม (ใช่)  
(อิสรภาพ)  อิสรภาพ แล้วตอนนี้มีกรงขังตนเองไว้หรือเปล่า แล้วใครเป็นคนหากรงขัง (ตัวเองครับ)  แล้วเคยมีความสุขในกรง มีอิสรภาพในกรงขังได้หรือไม่ (ได้)  ความสุขที่สุดของชีวิตแต่ละท่านต้อง
ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม
(อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจหรือ ไม่ใช่ความสุขของท่านก็คือการที่มีเงินแล้วไปเที่ยวพักผ่อนหรือ ใช่ไหม
(ใจสุขก็มีความสุข)  ใจสุขก็มีความสุขนะ ทุกท่านมีสิทธิ์ตอบนะ หากไม่ตอบก็จะพูดต่อแล้วนะ
(พ้นจากอาสวะกิเลสตัณหา)  พ้นจากอาสวะกิเลสตัณหา ตอบอย่างนั้นต้องไม่อยากได้แอปเปิ้ลใช่หรือเปล่า ความอยากก็เป็น
อาสวะกิเลสนะ อย่างนั้นแอปเปิ้ลอยากได้ไหม (อยากได้)
ความสุขที่สุด คืออะไร
(การรู้เท่าทันสภาวะจิตใจของตนเอง รู้เท่าทันอารมณ์)  มีชีวิตจิตใจ รู้เท่าทันความคิด อารมณ์ของตัวเอง  คนที่รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ก็ยากที่จะปล่อยความโกรธให้กลายเป็นอุปสรรคและปัญหา
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ปล่อยให้ความอยากกลายเป็นความลำบากในชีวิต
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ย่อมไม่ปล่อยให้ความหลงทำให้ชีวิตมืดบอดไปทั้งชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)  
แต่จริงๆ แล้วท่านรู้ไหมว่าความสุขของมนุษย์ยิ่งกำหนดให้ต่ำมากเท่าไร เรายิ่งมีสุขมากเท่านั้น  แต่ถ้าเกิดยิ่งกำหนดให้สูงมากเท่าไร เรายิ่งทุกข์มากเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นสุขที่สุดคืออะไร ที่ต่ำที่สุดแล้วทำให้เรามีสุขมาก (พอใจในสิ่งเรามีอยู่)  คือการไม่ต้องการความสุข มีชีวิตอย่างเรียบง่าย อะไรๆ ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำตอบนี้ต่ำหรือยัง  เป็นชีวิตที่เรียบง่าย อะไรๆ ก็ได้  
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสุข เป็นทุกข์ก็ยอม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไร
ในความทุกข์นั้นจะหาสุขให้พบ  เชื่อไหมว่าสิ่งที่ต่ำที่สุดก็คือสิ่งที่เราเกลียดที่สุดนั่นเอง  เมื่อเราสามารถมีสุขได้ แล้วจะกลัวอะไรกับสิ่งที่เป็นความยากลำบากในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เหมือนนิทานเรื่องหนึ่ง มีพระสองรูปคุยกัน บอกว่าเหลือขนมหนึ่งชิ้น เรามาแข่งกันไหมว่าใครจะเป็นสิ่งที่ต่ำที่สุด  พระรูปแรกตอบว่าเป็นลา ไม่มีใครชอบลาใช่ไหม เพราะเขาบอกว่าลาเป็นสัตว์ที่โง่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่พระอีกรูปหนึ่งตอบว่าฉันเป็นตูดลา  เพื่อขนมหนึ่งชิ้นพระอีกรูปก็ไม่ยอม ท่านสนทนากันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่แข่งขันกันนะ  พระอีกรูปหนึ่งจึงบอกว่าอย่างนั้นฉันเป็นขี้ลา  อีกรูปหนึ่งก็ไม่ยอมจึงบอกว่าเป็นหนอนในอุจจาระลา และหนอนนั้นกำลังนั่งอาบแดดอยู่อย่างสบาย  
ฉะนั้นมนุษย์เราต้องมีจุดยืนของตัวเองที่เป็นจุดยืนที่เรียบง่ายและธรรมดา หรือเป็นจุดยืนที่ยากลำบากแต่เรามีสุขได้  ชีวิตในโลกใบนี้จะมีอะไรที่น่ากลัวและมีอะไรที่ต้องเป็นทุกข์อีกเล่า  เพราะเราสามารถอยู่แล้วมีสุขได้ในสิ่งที่ยากลำบากที่สุด  
ฉะนั้นเราศึกษาธรรม ไม่ใช่ให้ท่านกลัวทุกข์แล้วหนีสิ่งที่เป็นทุกข์  แต่การศึกษาธรรมคือการกล้าเผชิญกับความทุกข์ และกล้าต่อสู้กับคนที่เราไม่ชอบและรังเกียจ ให้ยืนอย่างเป็นสุขและมีธรรม นี่คือการศึกษาธรรม  
อย่างนั้นถามคำถามที่ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง  ชีวิตที่มีขอบเขตและมีความจำกัดนี้ เราควรมีอะไรจำกัด และควรมีอะไรไม่จำกัด  เหมือนมนุษย์มีความอยากไม่จำกัด แต่เวลากินต้องรู้จักจำกัด แล้วอะไรที่เราอยู่ในโลกนี้แล้วเราควรมีจำกัด และอะไรในโลกนี้ควรมีแล้วไม่จำกัด
เหมือนการนั่งฟังตรงนี้ เมื่อยก็เมื่อย เหนื่อยก็เหนื่อย เวลาก็เดินอย่างช้าๆ ใช่หรือไม่  ถ้าคิดอย่างนี้ก็แปลว่าไม่สามารถแปรทุกข์ให้เป็นสุขได้  ฉะนั้นคนที่รู้จักแปรทุกข์ให้เป็นสุขได้ เมื่อต้องพบกับความทุกข์ของโลกภายนอกก็ไม่กลัวอะไร

(สิ่งที่มีจำกัด เรื่องทำบุญ)  ถ้ามนุษย์เรารู้จักไม่โลภ ไม่อยาก รู้จักพอบ้างก็เป็นสุขในชีวิต และจะสุขยิ่งขึ้นก็คือรู้จักทำสิ่งที่มีให้บังเกิดคุณประโยชน์ที่สุด นั่นก็คือเสียสละ แบ่งปันและทำบุญ ตาเรามีจำกัด
หูเรามีจำกัด แต่เคยทำตาให้ไม่จำกัด หูให้ไม่จำกัดได้ไหม (ได้)  ด้วยการฟังใครพูดอะไรก็ว่าดี  ต่อไปเราจะเป็นคนที่มีตาไม่จำกัด และหูไม่จำกัด เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เราก็ว่าดีหมด  แต่ถ้าใครพูดอะไร ก็ผิด ก็ไม่ใช่ ใครพูดอะไรก็ไม่เอา เช่นนี้จำกัดไหม (จำกัด)  จำกัดแน่ ถ้าใครพูดอะไรผิดหูหน่อย ก็ไม่ฟัง ไปให้ไกล ๆ  รำคาญ อย่างนี้เราก็มีหูแค่สองหูเท่านั้น แต่ถ้าเสียงที่ไม่ชอบฟังแต่เรายังรู้จักฟัง แล้วบอกว่าดี  ต่อไปเราจะมี
หูไกลกว่าที่ควร  
พอเราพูดมากๆ ท่านก็บอกว่าเด็กคนนี้ท่องได้อย่างนกแก้ว นกขุนทองเลย  พอเราพูดแล้วไม่พูดต่อ เขาก็บอกว่าเด็กคนนี้สงสัยยังท่องได้ไม่ดี จริงไหม (จริง)  ยิ่งถ้าเราไม่พูดนานๆ แล้วเงียบไปเลย ท่านบอกว่าเด็กคนนี้นึกไม่ออกแน่ๆ เลย ใช่ไหม (ใช่)  สุดแต่ใจคิดนะ ใจของมนุษย์ก็เป็นทั้งสิ่งที่จำกัดและไม่จำกัดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคิดให้ดี คิดให้กว้าง ก็ไปได้ไกล  ถ้าคิดให้แคบ คิดให้มืด ก็อับจนหนทางได้เหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นใจนี้จึงเป็นสิ่งที่จำกัดได้และไม่จำกัดได้เหมือนกัน
ยิ่งปล่อย ยิ่งเฉย เวลาก็ปล่อยไปเรื่อยๆ เราก็มีโอกาสอยู่กับท่านน้อยลงเรื่อยๆ อย่าลืมว่าเรื่องราวในโลกใบนี้ มีเวลาจำกัด ใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดว่าปัญหาที่เกิดจะไม่มีวันจบ ทุกเรื่องย่อมมีวันจบ มีวันสิ้น ชีวิตของเราเหมือนกัน ที่คิดว่ายาวไกล บางครั้งก็สั้นเพียงลมหายใจ
ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ท่านทำไมปล่อยให้เราพูด แล้วท่านคิดอย่างเดียว  อย่างนั้นเราถามคำถามใหม่ดีกว่านะ
ในโลกนี้ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม  ฟังเราพูดมาถึงขนาดนี้แล้วน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  อย่างนั้นเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านทุกข์มากที่สุด  แม้ฟังแล้วกลับไปพบก็ยังต้องทุกข์อยู่
(ความเจ็บป่วย)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า มีคนบางคนเขาไม่มีแขน ไม่มีขา แต่เขาขอเพียงอย่างเดียวในชีวิตนี้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เขาขอให้เขาไม่อับจนปัญญาในการต่อสู้ชีวิต  ฉะนั้นบางครั้งความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา จริงไหม (จริง)  ถ้าหากเทียบว่าไม่มีแขนไม่มีขา ขออย่าให้ถึงกับไม่มีชีวิตเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในทางกลับกัน คนบางคนป่วยจะตายอยู่แล้ว บางทีขอให้ไม่มีชีวิตดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากมนุษย์รู้จักที่จะเปรียบเทียบ ทำไมไม่เปรียบเทียบแล้วทำให้ตัวเองสูงขึ้น  อย่าไปเปรียบเทียบอะไรแล้วทำให้ตัวเองต่ำ แล้วยิ่งแย่เข้าไปอีก  คิดแบบนั้น
ก็เหมือนกับเอากรงมาขัง เอาอะไรมาฟาดฟันตัวเองให้เจ็บปวด
ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ความอยาก)  ความอยากทำให้มนุษย์เราทุกข์ที่สุด มนุษย์เราหยุดอยากไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นขอเปลี่ยนความอยากเป็นรู้สึกอยากในสิ่งที่ดี และอยากจนเคยชินทำดีไปตลอด เพราะความอยากทำดี เป็นสิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิต
(เราคิดแต่จะสุข)  คิดที่อยากจะมีสุขแต่ไม่อยากจะสู้กับความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามท่านว่า มนุษย์เรามีสองตา วันหนึ่งเราเหลือตา
ข้างเดียวได้ไหม (ได้)  เรามีสองหู แล้ววันหนึ่งเหลือหูข้างเดียวได้ไหม (ได้)  เพราะอะไร เพราะถึงเวลาที่จะไม่มี แต่ขอให้เหลือหนึ่งก็ยังดี
ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันไม่สุขถึงจะเป็นทุกข์ แต่เราก็หาสุขจนพบก็ยังดี
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องเอาชนะความคิดของตัวเองให้ได้
(ความทุกข์คือความไม่รู้พอ)  อยากได้อย่างนี้ก็ยังไม่พอ ต้องมากกว่านี้ จริงไหม (จริง)  มนุษย์ทุกข์ที่สุดคืออะไรรู้ไหม ทั้งที่แอปเปิ้ลก็เป็นลูกเดิมนะ แต่ก็ยังอยากได้แอปเปิ้ลอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกข์เพราะว่า ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แต่มีสุขในสิ่งที่ตัวเองได้ จริงไหม (จริง)  ถามว่ามีเงินหนึ่งร้อยไหม (มี)  แต่ถ้าได้อีกหนึ่งร้อยเอาไหม (เอา)  
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอได้สองร้อยแล้วเอาอีกไหม (เอา)  มนุษย์ทุกข์เพราะว่ามีสุขในสิ่งใหม่ แต่ไม่ยอมมีสุขในสิ่งที่ตัวเองมี จริงหรือไม่ (จริง)  ทั้งที่สิ่งที่ตัวเองอยากได้ใหม่นั้นก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ตัวเองมีสักนิดหนึ่ง
จริงไหม (จริง)  อย่าทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองสร้างเองแล้วขังตัวเองนะ
เหมือนโลกใบนี้เป็นโลกที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีฟ้าที่เป็นฟ้า และมีดินที่เป็นดิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงเกิดสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างฟ้าและดิน  มนุษย์สามารถเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้ได้เพราะมีสิ่งที่ขาวและดำ สิ่งที่มืดและสว่าง และสิ่งที่เรียกว่าสุขและทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักดำรงชีวิตให้เป็น เราก็สามารถยืนระหว่างสุขทุกข์ให้มีสุขได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนที่เลือกที่รัก มักที่ชัง เลือกพบแต่สิ่งที่อยากพบ  สิ่งที่ไม่อยากพบก็หนีตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  นับจากนี้ไปสิ่งที่ไม่อยากพบก็ต้องพบแล้วมีสุขให้จงได้ แล้วโลกนี้ก็จะไม่น่ากลัวและยากลำบากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ แต่การประพฤติปฏิบัติที่ดีงามและอุทิศเสียสละช่วยเหลือปวงชน เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวตนที่ไม่เที่ยงแท้นี้มีคุณค่าที่เที่ยงแท้และงดงามที่สุด การบำเพ็ญตน
คืออะไร
การบำเพ็ญตนก็คือ การเอาคุณธรรมที่ดีงามในหัวใจออกมาช่วยปวงชน ให้เงินให้อะไรก็ไม่สู้เท่ากับให้คุณธรรม ให้มนุษย์รู้จักมีแง่คิดที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามาฟังธรรมเพื่อเอาธรรมะนี้ไปมอบสู่ปวงชน มอบที่การประพฤติปฏิบัติที่เริ่มจากตัวเราเอง ปฏิบัติให้ดีปฏิบัติให้ถูกต้อง  ไม่ต้องสอนคนด้วยคำพูด แต่สอนคนด้วยการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม  จำไว้นะ ชีวิตที่ดีที่สุด คือชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด  ความสันติสุขไม่ได้หายาก  แต่อยู่ที่มนุษย์จะยอมลดความโลภ ความโกรธ ความหลงลงได้เมื่อไร แล้วโลกใบนี้จะประจักษ์แจ้งแท้จริงให้กับเราได้เห็นชัด
ก็ต่อเมื่อเรายอมใจเย็นและสงบ เราถึงจะมองชีวิตต่างๆ ได้อย่างแจ่มชัด จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นโลกนี้ไม่ใช่โลกที่น่ากลัวเลย  แต่สิ่งที่น่ากลัวคือหัวใจของมนุษย์ต่างหาก ที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเองให้เป็น วางความคิดให้ถูกต้อง และควรตัดในสิ่งที่ควรตัด ไม่ยอมลดในสิ่งที่ควรลด และไม่ยอมเพิ่มในสิ่งที่ควรเพิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราควรเพิ่มอะไรในชีวิต ก็คือความดีงาม  เราควรตัดอะไรในตัวตน ก็คือความยึดมั่นถือมั่น ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ไม่ได้บอกให้ท่านหมดรัก หมดโกรธ หมดโลภ หมดหลง แต่รู้จักลดให้น้อยลงกว่าเดิม หรือมีแล้วไม่ทำร้ายใครได้ไหม (ได้)  หรือมีแล้วสามารถนำความสุขมาสู่ตัวเองและผู้อื่นได้ เคยไหมที่เวลาเราโกรธ แต่สามารถนำความประจักษ์แจ้งให้กับชีวิตผู้อื่น
โกรธอย่างไร เช่น โกรธที่ตัวเองวันนี้ดีไม่ได้ ถึงเวลาควรพูดความจริงแต่ก็โกหก โกรธตัวเองจริงๆ อย่างนี้น่าโกรธ  ที่ผ่านมาคนอื่นเขาทำบุญทำทาน แต่เรากลับรู้สึกเก็บมือไม่อยากทำ  ต่อไปนี้จะเป็นคนที่อยากทำดีเรื่อยๆ ทำไม่ยากใช่ไหม (ใช่)  เพียงสละความเห็นแก่ตัว โดยรู้จักมองผู้อื่นและช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง  บางทีมนุษย์พ่ายแพ้กับสิ่งที่ไม่น่าพ่ายแพ้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีมนุษย์คนดีๆ กลับกลายเป็นคนที่ไม่ดีเพราะว่าแพ้ใจตัวเอง  เคยเป็นคนใจเย็น แต่วันนี้ทนไม่ได้ ขอโกรธสักหน่อยหนึ่งเถอะ  เคยเป็นคนไม่โลภโมโทสัน แต่วันนี้ขอโลภหน่อย  แต่เคยไหม ความอยากเพียงนิดเดียว ความโกรธเพียงหน่อยเดียว ทำชีวิตเราพังไปทั้งชีวิตก็มี ทั้งที่เคยดีมาตลอด แต่พอพลาดครั้งเดียวทำให้พลาดไปตลอดชีวิตเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์ผู้มีใจกว้างดุจมหาสมุทร จงเป็นมิตรกับทุกคน
แม้ใครจะเคยผิด ใครจะเคยชั่วร้ายกับเราจงรู้จักให้อภัย  สิ่งนี้ถึงจะชนะใจคนในโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเราผิดเรายังให้อภัยตนเอง อย่างนั้นคนอื่นผิดเราทำไมไม่ให้อภัยเขาบ้าง ถูกไหม (ถูก)
หมดเวลาเราแล้วนะ  ถึงเวลาเราก็ต้องกลับไปแล้ว สิ่งที่อยากพูดก็พูดเกือบหมดแล้ว เหลือแต่มนุษย์ที่นั่งฟังอยู่ที่นี้ ฟังแล้วเอาไปใช้อะไรได้ไหม หรือได้แต่นั่งฟังแล้วเสียเวลาไปเปล่าๆ ถึงเวลาพบปัญหาก็ยังเป็นกำปั้นทุบดินอยู่ ใช่ไหม  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ โลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักทำให้เบาบาง  มีโอกาสเสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง  

แม้ลำบากก็ไม่หวาดหวั่น ยิ่งลำบากยิ่งกล้าไปเผชิญและไปฉุดช่วยคน หนทางแห่งฟ้า หนทางแห่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่หัวใจของเราจะเปิดรับคุณงามความดีให้ตนเองได้มี และมีไปตลอดชีวิตได้หรือไม่ วันนี้คงมาศึกษาธรรมกับท่านได้เพียงแค่นี้ พูดเหมือนเดิม และพูดเหมือนทุกที  อย่าคิดว่าเล่นละครเลยนะ  ฉะนั้นอย่าประมาทในการดำรงชีวิต เพราะถ้าพลาดผิดแล้ว คนที่เสียใจก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือตัวเราเอง ฉะนั้นคิดดีเข้าไว้นะ  วันนี้คงพูดเท่านี้
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    มีเมตตาไม่ทำให้เหนื่อยง่าย    เห็นแก่คนได้ต้องเลิกเห็นแก่ตนก่อน
รู้จักให้ยกระดับใจตนแน่นอน    อยากเห็นตนมองย้อนตนทุกคืนวัน
        เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส อาจารย์เจ้า    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่ สถานธรรมเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดา แล้ว        ถามศิษย์รักทุกคน ปรับตัวได้หรือยัง

    พื้นฐานต่างจิตใจคนย่อมต่าง  ทุกด้านห่างและไกล  แม้ยิ้มหัวที่จริงแล้วใจคิดแบบไหนไม่รู้
    ขอเสียหน้าจะแปรตนไว้หนัก  ล้มก็อย่างชั้นครู  ใช้ความรักเพื่อคนทุกหมู่  พร้อมจะสู้ทุกตา
    ในความดีมีความกล้า  รังสรรค์ค่ายิ่งยง  แม้ไร้ศรัทธา  โหยหาอยากลง  เหมือนดังคนสิ้นท่า
    น้อยเสียยากมากมากกลับเสียหนัก  หรือใครอยากรับมา  ถอยไปไหน
ไม่เทียมรู้ค่า  ใจฝึกมาของจริง

    ชื่อเพลง :    อะไรเป็นของจริง
ทำนองเพลง :    รู้ว่าเขาหลอก

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลาร้องเพลงธรรมะยังต้องร้องให้จบเพลงเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนฟังธรรมะแล้วบอกว่ามาแค่สองวัน ถือว่าร้องเพลงไม่จบ
ค้างๆ คาๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าให้ศิษย์ร้องเพลงแล้วจบที่ครึ่งเพลงได้ไหม (ไม่ได้)  เพลงชีวิตของเราเมื่อร้องก็ต้องร้องให้จบเช่นเดียวกัน  ร้องเพลงชีวิตเสียงหลงไหม (หลง)  เข้าใจคำว่าเพลงชีวิตหรือไม่ ชีวิตของเราสมบูรณ์อย่างที่เราคิดหรือเปล่า (ไม่สมบูรณ์)  
ชีวิตนั้นเป็นอย่างที่หวังหรือไม่ (ไม่)  ชีวิตมีความสุขตลอดหรือเปล่า (ไม่)  ชีวิตมีความทุกข์ตลอดหรือเปล่า (ไม่)  บางทีก็มีสุข บางทีก็มีทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราร้องเพลงเป็น ต่อให้เป็นเพลงเศร้าก็ยังร้องเพราะได้  แต่ถ้าเราร้องเพลงไม่เป็น เราทำใจของเราไขว้เขวตุปัดตุเป๋ เดินไม่เป็นทาง คิดไม่เป็น แล้วก็ทำร้ายตัวเอง อย่างนี้ถือว่าเป็นคนร้องเพลงชีวิตเสียงหลง จริงหรือไม่ (จริง)
ถามว่ามีชีวิตใครที่มีความสุขตลอดไหม (ไม่มี)  มีชีวิตใครที่ไม่มีปัญหาหรือเปล่า (ไม่มี)  ทุกคนเป็นชีวิตที่มีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนอยากหาทางออกให้กับปัญหาหรือเปล่า (อยาก)  ในขณะที่เราแก้ปัญหานั้น เราทำให้ปัญหามันคลายหรือปัญหามันยุ่งมากขึ้น (ยุ่งมากขึ้น)  ทำไมปัญหาถึงยุ่งมากขึ้น เพราะว่าเรามีอารมณ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้น อารมณ์ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดี  
เพราะว่าเรามีความคิดก็เลยวุ่นวาย  เป็นคนไม่มีความคิด
ได้ไหม (ไม่ได้)  คิดทั้งวี่ทั้งวัน คิดไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน แต่ไม่มีความคิด มีไหม (มี)  เหมือนเราที่คิดทั้งวี่ทั้งวันแต่ไม่มีความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นความคิดก็ต้องเปลี่ยนเป็นคิดอย่างไร (คิดดี)  คิดดี อารมณ์ดี เรามีจิตใจหรือเปล่า (มี)  จิตใจทำให้ปัญหายุ่งมากขึ้นหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  บางทีจิตใจก็ทำให้ปัญหายุ่งยากขึ้นเหมือนกัน ทุกคนมีจิตใจใช่ไหม มีใครเป็นคนไม่มีใจบ้าง เป็นคนไร้ใจ (ไม่มี)  ทุกคนมีใจหมด ยิ่งมีใจก็เลยยิ่งยุ่ง ห่วงลูกเกินไป ยุ่งไม่ยุ่ง (ยุ่ง)  ห่วงตัวเองมากเกินไป ยุ่งไม่ยุ่ง (ยุ่ง)  เพราะฉะนั้นจิตใจก็ต้องเปลี่ยนเป็นจิตใจอย่างไร เปลี่ยนอารมณ์เป็นอารมณ์ดี เปลี่ยนความคิดเป็นคิดดี  อารมณ์และความคิดอยู่ในใจ เพราะฉะนั้นต้องมีอะไรด้วย (ใจดี)  มีใจดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนใจดีแต่คิดดีไหม (ไม่ดี)  อารมณ์ดีไหม (ไม่ดี)  ที่เราคิดอยู่นั้นดีทั้งหมดเลย  แต่เวลาเราทำออกไปแสดงถึงความคิด  เพราะฉะนั้นจิตใจที่เราทำออกไปแสดงออกมาเป็นการกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นที่เราทำอยู่เป็นเรื่องเป็นราวหรือเปล่า  ชีวิตนี้ทำงาน ทำอะไรก็แล้วแต่  ตั้งแต่
ตื่นนอนมา เราทำดีไหม (ดี)  อย่างเช่นเราเดินออกไปจงใจไปนินทา
คนอื่น ไม่พูดแล้วจะอกแตกตาย อย่างนี้ทำดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ถามว่าถ้าไม่พูดเราอกแตกตายจริงๆ ไหม (ไม่แตก)  แตกอยู่ที่ไหน (ในใจ)  มองเห็นใจไหม (ไม่เห็น)  ไม่รู้ว่าอกแตกมันเป็นอย่างไร แต่มันอยู่ข้างใน มันแตกไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นนอกจากใจดีแล้วยังต้องทำดีด้วย  ถ้าหากว่าใจของเราดี แต่ทำออกมาไม่ดี คนเชื่อไหมว่าเราเป็นคนดี (ไม่เชื่อ)  เพราะฉะนั้นนอกจากวิธีเหล่านี้เหลืออีกอย่างหนึ่งที่ดี  
พูดดีกับปากดีเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ปากดีเป็นคำสบถ
ต่างจากพูดดี  เมื่อเรามีจิตใจที่ดี เมื่อเราทำดีแล้ว เราจำเป็นต้องพูดดีไหม (จำเป็น)  ถ้าเราพูดปากตรงกับใจ ใจตรงกับปาก แต่ออกมาฟังไม่ได้ แสดงว่าใจเราดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  หากเราบอกว่าเราเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ สิ่งที่พูดออกมานั้นเพราะน้อยใจ ก็เลยพูดออกมาอีกอย่างหนึ่ง  
แต่ถามว่าคนฟังมองเห็นใจของเราไหม (ไม่เห็น)  ต่อให้เป็นที่รักของเราเลย เขาเห็นใจเราไหม (ไม่เห็น)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนอื่นมองเห็นคือคำพูดและการกระทำ  ฉะนั้นคำพูดก็ต้องดีด้วย  คำพูดดีต้องสอนไหมว่าเป็นอย่างไร คำพูดดีจริงๆ แทบจะไม่ต้องสอน แต่อาจารย์ก็สอนบ่อยเลย  เพราะว่าศิษย์ทุกคนพูดดีอยู่หรือเปล่า (ไม่ค่อยดี)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราพูดดี ทำดี คิดดี ใจดี อารมณ์ดี เราก็เป็นคนดี  ทุกวันนี้เราเป็นคนดีหรือเปล่า  ส่วนมากไม่มีใครกล้าค้ำประกันตัวเองใช่หรือไม่ ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าเราเป็นคนดี  ทำอย่างไรดี หากตัวเองยังไม่กล้ารับประกัน เวลาจะไปกู้เงินก็ต้องหาคนที่มาค้ำประกันเราใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ศิษย์จะขึ้นไปอยู่เบื้องบน อยากจะบำเพ็ญกลับนิพพาน เอาใครมาประกันดี  
มีใครมาประกันให้ศิษย์หรือเปล่า คนไหนกล้าประกัน คนนั้นต้องเสร็จแน่ๆ  แต่วันนี้อาจารย์ประกันให้ศิษย์อยู่ คนที่เสร็จต้องเป็นอาจารย์แน่ๆ จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)
วันนี้มาที่นี่สองวันแล้ว ปรับตัวได้หรือยัง ปรับตัวได้มากขึ้น อึดอัดน้อยลงใช่หรือไม่  ชินกับสถานที่คับแคบ ชินกับการเดินไปไหนก็ต้องพบคน  ปกติเราชอบเป็นคนหนีหน้า เวลาอึดอัดมีปัญหาก็หนี  ถามว่าหนีอะไรก็หนีได้ หนีใจตัวเองหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  เพราะฉะนั้นเราต้องหันหน้าสู้ความจริง  ความจริงของชีวิตของเรา ตอนนี้เราเป็นคนเช่นไร  ความจริงในตอนนี้เราเป็นคน แล้วเราเป็นมนุษย์หรือเปล่า  เราเป็นมนุษย์แล้วเรามีมนุษยธรรมหรือเปล่า มีธรรมะแห่งความเป็นมนุษย์ไหม  เมื่อเราสามารถที่จะเป็นมนุษย์ได้ เราย่อมเป็นเซียนได้ในก้าวแรก  ความอิสระตอนนี้ที่ศิษย์ต้องการก็คือ เมื่อมีปัญหาหรือพบความไม่ชอบใจก็หนีออกไป  หนีออกไปเสร็จแล้วอิสระไหม อยู่ที่ไหนปัญหาก็อยู่ที่นั่น ไม่ว่าเราจะไปยืนคนเดียวกลางทุ่ง แต่ปัญหาอยู่ในหัวของศิษย์  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหันหน้าไปเผชิญปัญหา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือต้องเผชิญกับตัวเอง  ตรงไหนแย่ต้องแก้ตรงนั้น ตรงไหนไม่ดีต้องแก้ตรงนั้น แล้วเราคิดว่าเราไม่ดีหรือเปล่า เราเคยโทษว่าคนอื่นผิดไหม (เคย)  เคยถูกคนอื่นโทษว่าเราผิดไหม (เคย)  ถามว่าจริงๆ แล้วใครผิด (ตัวเราผิด)  
อาจารย์จะบอกว่าโลกนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก ปัญหาชีวิตที่ศิษย์เป็นอยู่ทุกวันนี้คือความยึดติดถือมั่นในความคิดของตน และต้องการให้เป็นอย่างตน เป็นอย่างที่ตนคิดเท่านั้น ถึงเรียกว่าถูก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรื่องนั้นผิดหรือถูก มีแต่ความคิดของเราที่ต้องแก้ไข
ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ อย่างในโลกนี้ ศิษย์คิดแต่ว่าผิดหรือถูก  ศิษย์ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดจากกรรม  ซึ่งต่อให้ศิษย์จะมีความฉลาดสักเท่าไร ต่อให้เก่งสักเท่าไร ต่อให้เป็นพุทธะลงมาเกิด  แต่หากว่ายังมีกรรมอยู่ แล้วกรรมตั้งใจจะเล่นงาน ก็ไม่มีใครที่สามารถจะหลุดพ้น แต่จะทำอย่างไรถึงจะพ้นกรรมได้ (ชดใช้)  อยากจะหมดกรรม จำเป็นต้องใช้กรรม ใช้กรรมด้วยอะไร  คนในโลกนี้หาเงินมากมายซื้อของทุกอย่างที่ใจอยากได้ แต่ซื้อชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  นี่เป็นสัจธรรม ซึ่งศิษย์ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนมีกรรมเป็นของตน  กรรมเหมือนความตาย ต้องตายเท่านั้นถึงจะหมดกรรม  แต่ไม่ได้หมายความว่า กรรมทุกๆ เรื่องที่ศิษย์อยากจะให้หมดไปต้องตาย  อาจารย์ไม่ได้พูดในนัยนี้  อาจารย์หมายความว่า เมื่ออยากที่จะหมดกรรมต้องไปใช้กรรมด้วยกายสังขารนี้ของศิษย์ ด้วยจิตใจที่ไปบำเพ็ญของศิษย์ ด้วยการปล่อยวาง ด้วยการเข้าใจชีวิต  ที่สุดแล้วด้วยการยอมรับชะตากรรม  เกิดมาเป็นคนจน รับตัวเองไม่ได้ แต่ชาติก่อนไปเอาเงินเขามาไม่รู้ตัวนะ  รับไม่ได้แล้วต้องรับไหม (ต้องรับ)  
อะไรที่กระวนกระวายอยู่นั้นคือใจ  แต่ถามว่าใจกระวนกระวายแล้วรวยไหม (ไม่รวย)  ยิ่งกระวนกระวายแล้วยิ่ง (จน)  อย่างนี้เรียกว่าเคราะห์ซ้ำแล้วกรรมซัด  กรรมนี้คือทำตัวเอง เราเป็นคนจน เราก็คิดให้เรียบง่าย คิดให้สบายๆ ขยันทำมาหากิน  แต่หากว่าทำมาแล้วหมดไป หามาเท่าไรก็ไม่พอสักที ก็ให้ทำอย่างไร ระหว่างทำใจกับทำใหม่  ทำใจด้วยแล้วทำใหม่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าทำใหม่แล้วยังหมดไปก็ทำใหม่เหมือนเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเลือกทำใจสมเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแสดงว่าบุญเก่ามาก  ส่วนคนที่เลือกทำใหม่คือยังจะลำบากอีกมาก ลำบากเพราะมันไม่พอ  เพราะฉะนั้นปัญหาบางเรื่องไม่ได้จบลงที่ทางแก้ปัญหา ไม่ใช่ไปหาประตูของปัญหา เปิดออกแล้วปัญหาจะจบ ประตูในใจของเราไม่เปิด  เพราะฉะนั้นจะเปิดประตูข้างนอกดีหรือเปิดประตูข้างในดี (เปิดประตูข้างใน)  จำเป็นที่จะต้องเปิดประตูข้างใน จำเป็นที่จะต้องมาแก้ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้มาที่นี่บอกว่ามีกฎระเบียบมาก อึดอัด รู้สึกว่าที่นี่คับแคบ  
แต่อาจารย์จะบอกให้ เรารู้สึกว่ากายเราถูกจำกัดไว้ด้วยความคับแคบ  แต่ที่แท้ใจของเราถูกจำกัดไว้ด้วยความคับแคบ เรารู้ไหม
เวลาเราอยากได้อะไร เราต้องหามาใช่หรือไม่ (ใช่)  เราหาข้างนอกมาแล้วเราหาจากข้างในไหม (ไม่)  เราซื้อทีวีเครื่องหนึ่งมา แล้วถามว่าทีวีอยู่ในใจด้วยหรือไม่ (อยู่)  เราอยากได้ทีวี ๒๙ นิ้วเครื่องใหม่อีกเครื่องหนึ่ง ถามว่าในใจเรามีทีวี ๒๙ นิ้วไหม (มี)  แต่ก่อนเราดูทีวี ๑๔ นิ้ว แล้วเราโยนทีวี ๑๔ นิ้วทิ้งไป  ข้างนอกโยนไปแล้วแต่ข้างในอยู่แล้วอยู่เลย  เมื่อก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนนี้อยากได้รถยนต์ มอเตอร์ไซค์คันเก่าโยนทิ้งไปหรือยัง (ยัง)  ข้างนอกอาจจะโยนทิ้งไปแล้ว แต่ข้างในโยนหรือยัง (ยัง)  ยังไม่โยนเพราะไม่รู้จักวิธีการโยนของข้างในออก จริงหรือไม่ (จริง)  เราอยากได้อะไรก็แล้วแต่ ข้างนอกมีอะไรข้างในก็มีอย่างนั้น  ถามว่าใจของเรากว้างขวางมหาศาลไหม (กว้าง)  แต่พอสำหรับบรรจุความอยากของเราหรือเปล่า (ไม่พอ)  ตอนนี้ถ้าใจของศิษย์บางคนเป็นใจที่อยู่ในที่แคบมากๆ ก็จะกระดิกตัวไม่ได้ กว่าจะรู้อีกทีก็มีแต่ความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจโดยไม่มีสาเหตุ เคยเป็นไหม (เคย)  ถ้าเคยก็เป็นมนุษย์อยู่  ตอนนี้ใจของเราอึดอัดคับข้องใจโดยไม่มีสาเหตุ หมอที่รักษาโรคทางจิตช่วยเราได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องเยียวยาจิตของเรา  ถามว่าจิตของเราตอนนี้ต้องการการเยียวยาไหม (ต้องการ)  เดิมทีเรามานั่งฟังธรรมะ ก็บอกว่าธรรมะอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่เห็นว่าธรรมะจะเกี่ยวกับตัวเราที่ตรงไหนเลย  แล้วเราก็ไม่รู้จะเอาธรรมะไปปฏิบัติอย่างไรด้วย  แล้วเรา
ก็มองว่าธรรมะกับเราเป็นคนละเรื่องกันจริงหรือไม่ (จริง)  เป็นของคนบางคนที่มีความศรัทธาในทางธรรมเท่านั้น แต่ไม่ใช่ของเราเลย  
เป็นเพราะว่าตัวเรานั้นไม่เอาตัวเราเข้าไปอยู่ในธรรม  ดังนั้นตัวเราจึงเป็นผู้ที่หาทางออกให้กับปัญหาในชีวิตไม่ได้เลย
ฉะนั้นแก้ปัญหาชีวิตต้องแก้ด้วยตัวเองเท่านั้นจริงหรือไม่ (จริง)  ต้องทำจิตใจของเราให้เบิกบานกว่านี้  ความเบิกบานกับความสุขเหมือนกันไหม  เวลาเราได้อะไรมา เรามีความสุข  แต่ถ้าต่อให้เราไม่ได้อะไรเลย ต่อให้สูญเสียทุกอย่างไป แต่ถ้าใจของเราสงบดีเรียกว่าเบิกบาน  ถามว่าใจของเราตอนนี้เบิกบานหรือไม่เบิกบาน (ไม่เบิกบาน)  ใจมันเครียด หน้าก็คล้ำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากให้หน้าขาวทำอย่างไร (ทำใจให้เบิกบาน)  ต้องไปขูดใจ ขูดเอากิเลสที่หนาๆ ออกมาให้มากหน่อย ขูดแล้วเจ็บใจ ไหม (เจ็บ)  คนอื่นทำให้เราเจ็บใจได้ เราทำตัวเองเจ็บเอง
ดีไหม (ดี)  เราต้องพยายามที่จะย้อนมองส่องตนและเห็นตนเองทุกๆ วัน  เวลาที่เราอยู่กับใครมากกว่าตัวเราเพียงหนึ่งคน เราสามารถเห็นปัญหาทันที  แม่อยู่กับลูกมีปัญหาไหม (มี)  ไม่มีลูกได้ไหม (ไม่ได้)  สามีอยู่กับภรรยามีปัญหาไหม (มี)  ไม่มีสามีดีไหม (ไม่ดี)  ลูกน้องอยู่กับเจ้านายมีปัญหาอย่างนี้ ไม่ต้องมีเจ้านายดีไหม (ไม่ดี)  เดินไปหน้าบ้านแล้วสะดุดก้อนหินหนึ่งก้อน เอาก้อนหินออกไปดีหรือไม่ดี  ทุกๆ อย่างใช้วิธีการคิดแบบเดียวกันหมด โลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่ดี  ต่อให้ศิษย์โยนหินหน้าบ้านไปที่อื่น หินก็ไม่หายไป  ถึงแม้ทุบหินจนแตกละเอียด หินหายไปหรือไม่
(ไม่หาย)  ทุกอย่างในโลกนี้คงอยู่ทั้งสิ้น ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสูญสลาย
แต่มีอะไรสูญสลายรู้ไหม (ไม่รู้)  มีอะไรที่สูญสลายได้ (ร่างกาย)  ร่างกายสูญสลายอยู่แล้ว  แต่ว่าไกลไปหน่อย ยังไม่เหมาะกับคำตอบนี้  คำตอบอันนี้ไม่ใช่เรื่องของสังขาร (สภาวะทางจิต)  ลองย้อนกลับไปมองอีกทีหนึ่ง เราบอกว่าแม่มีลูกแล้วมีทุกข์เพราะลูก อย่างนั้นไม่มีลูกดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนั้นสามีมีภรรยาแล้วกลุ้มใจ อย่างนั้นไม่มีภรรยาดีไหม
(ไม่ดี)  อย่างนั้นมีเจ้านายแล้วกลุ้มใจ ไม่มีเจ้านายเลยดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นการที่เราจะมองในสิ่งใด ตาของเรามองไป ใจของเรารู้สึก ความคิดของเราทำงาน  เรารู้สึกว่านั่นไม่ดี นี่ไม่ดี โน่นไม่ดี ไม่ดีทั้งหมดเลย มีแต่ตัวเราดี  ฉะนั้นจะต้องเปลี่ยนใจ ผ่าใจออกมาเปลี่ยนอันใหม่เข้าไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนความคิด
โลกนี้รวมอยู่ด้วยคนที่มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย  ตั้งแต่ครอบครัวของเรา ตั้งแต่ที่ทำงานของเรา ตั้งแต่สังคมที่เราเห็นและเป็นอยู่ ไม่มีความพร้อมเพรียงเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ผิดหวังไหม  เราอยู่ในสังคมที่แตกต่างกันอย่างมากมาย ไม่สามารถให้อะไรพร้อมกับอะไรได้  สิ่งนี้เป็นความปกติหรือเปล่า (ปกติ)  เป็นความปกติ ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เราต้องทำใจรับให้ได้ ว่าความหลากหลายนั้นคือหนึ่งเดียว ความหนึ่งเดียวที่มีอยู่ย่อมมีสิ่งที่หลากหลายปนเป  ถ้าทำใจได้อย่างนี้ เราย่อมสามารถทำใจได้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลับไปวันนี้ลูกทำไม่ถูกใจ สามีทำไม่ถูกใจ ภรรยาทำไม่ถูกใจ แล้วเราคิดว่าอย่างไร (ให้อภัย)  ให้อภัยแสดงว่าเขาผิดนะ  เราต้องมองว่าความหลากหลายนี้ ความไม่เหมือนกันเป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง สถานธรรมมี
กฎสถานธรรม เพียงแต่จำกัดไว้คร่าวๆ  หากไม่ได้ออกนอกกรอบจนมากเกินไป ต้องรู้จักทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า มีสิ่งหนึ่งที่สูญสลายไปได้ ไม่ใช่กายสังขาร คือความคิดของศิษย์  เพราะฉะนั้นปัญหาจะดีขึ้น ชีวิตจะดีขึ้น ตาที่มองออกไปจะเป็นตาที่ให้ความสุขมากยิ่งขึ้น มีความสุขแบบใหม่ในตาคู่เก่าได้ ก็เพราะเรารู้จักเปลี่ยนความคิดของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าความคิดเปลี่ยนยากไหม (ไม่ยาก)  ความคิดเปลี่ยนไม่ยาก แต่จำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจสูง  เพราะฉะนั้นศิษย์เปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  เห็นคนอื่นไม่ถูกใจ เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  พ่อเปลี่ยนลูกไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  
ลูกเปลี่ยนพ่อไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  อาจารย์เปลี่ยนศิษย์ไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  ธรรมดาเช่นเดียวกัน  
ทำไมเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้  เพราะว่าวันนี้ เวลาเราอยากจะเปลี่ยนลูก อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  เราทำอย่างไรจึงไปเปลี่ยนลูกได้ (ทำให้ดู, ทำสิ่งที่ดีๆ )  ถามศิษย์ว่าเวลาพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่อยากเปลี่ยนเราทำอย่างไร (ด่า)  พูดว่าด่าไม่เพราะนะ เขาต้องเรียกว่าบ่น  การที่พ่อแม่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างคือสิ่งที่อยู่ในอุดมการณ์อันสูงสุดที่พึงทำ  แต่ความจริงของชีวิตนั้นพ่อแม่มักจะบ่น  เวลาที่เราอยากจะเปลี่ยนใครก็แล้วแต่ หากเราบ่น พูดไม่เลิก แต่เราไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขา เราไม่ได้ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง ไม่ได้พูดในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล เหตุผลมาหลังจากที่เราบ่น  เพราะฉะนั้นถามว่า เวลาสอนนั้นใช้เหตุผลพูด
หรือเปล่า มีเหตุผลให้ลูกหรือเปล่า (มี)  แต่การพูดเหตุผลมาหลังการบ่น ถามว่าใครฟังรู้เรื่องบ้าง  ถ้าวันนี้อาจารย์มาถึง อาจารย์ก็บ่นศิษย์เลย เสร็จแล้วอาจารย์สอนธรรมะ ศิษย์ฟังรู้เรื่องไหม  มันถูกความผิดนี่ข่มทับถมไว้เรียบร้อย  เพราะฉะนั้นความผิดอาจจะอัดไปทางหู บางทีอาจจะอัดอยู่ในตา อาจจะอัดปาก ถ้าไปอัดจมูกก็ไม่ต้องหายใจเลย ตายทั้งเป็น  เพราะฉะนั้นเวลาที่จะสอนคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เป็นแถวหน้า อาจารย์ถ่ายทอดธรรม อาจารย์บรรยายธรรม ซึ่งเป็นคนถูกคนอื่นเขาเฝ้ามองด้วยสายตาหนึ่งคู่สองข้าง แล้วรวมกันหลายๆ คนก็เป็นสายตานับสิบคู่  มีความโดดเด่น จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังและสุขุมให้มาก  ถ้าเสียงเราดังเหมือนฟ้าผ่า พอพูดทีคนก็หลบก่อน  ทำไมเวลาเราพูดเขาไม่ฟัง  ถามว่าเราพูดแบบไหน เราพูดแบบลมเย็นๆ หรือเราพูดแบบฟ้าผ่า  เพราะฉะนั้นต้องไปเลือกเอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมชาติสอนชีวิต ศิษย์อยากเป็นลม ที่คนอื่นเขาร้อนแล้วอยากจะมาดับร้อน หรือศิษย์อยากจะเป็นฟ้าฟาดเปรี้ยง แล้วมาถามว่าทำไมเวลาเราพูดคนอื่นไม่ฟังเลย  บางทีเขาก็ฟังอยู่ด้วยความจำเป็น จำเป็นต้องยืนฟังอยู่ตรงนั้น แต่ถามว่าฟังรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  
ศิษย์เอ๋ย เพราะฉะนั้นการประพฤติตัวของเรานั้นเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นมองเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้  การประพฤติตัวของเรา จึงจำเป็นที่จะต้องประกอบไปด้วยคำพูดที่ดี  การกระทำที่ดี และความคิดที่ดี เราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้  
แต่มนุษย์มักมีข้อบกพร่องต่างๆ นานา  เมื่อเรารู้ว่าเราบกพร่องจึงต้องแก้ไข  ศิษย์เอ๋ยอย่าเกียจคร้านในการที่เราจะแก้ไขตัวเอง  แม้เราจะ
อายุห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบ ขอให้เพียงเรายังไม่ได้ลงไปในโลง ยังไม่ถูกฝังไปในดินทุกคนต้องแก้ไขได้หมด  ยิ่งเป็นเด็กก็ยิ่งแก้ง่าย  ถ้าหากว่าผิด เป็นเด็กก็วิ่งไปแก้  ถ้าเป็นวัยกลางคนก็เดินไปแก้ไข  แต่ถ้าเดินไม่ไหวอาจารย์บอกคลานไปแก้ไขก็แล้วกัน  ความผิดของเรา เราต้องแก้ไข เราต้องทำ  เมื่อเราแก้ไขความผิดได้ ยิ่งเราหัดที่จะแก้ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ได้บ่อยมากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเรายิ่งประสบความสำเร็จสูงมากเท่านั้น  คนมักมองว่าอยากประสบความสำเร็จต้องก้าวไปขั้นสูงๆ  แต่อาจารย์บอกว่าคนที่ก้าวไปขั้นสูงๆ แล้วไปล้มเหลวเอาที่ปลายมือ เพราะนิสัยของตัวเองนั้นมีถมไป  เพราะฉะนั้นศิษย์อย่าดูละครแบบตอนจบแล้วจบเลย ในละครที่ศิษย์ดูทุกเรื่องยังมีตอนต่อไปที่ศิษย์นั้นเป็นผู้กำกับเอง  ณ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ ชีวิตของศิษย์ดำเนินมาใกล้จบหรือยัง ละครเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในชีวิตของศิษย์จบไปหลายฉากแล้ว กับบุคคลหลายบุคคลจบไปหลายตอนแล้ว กับเรื่องบางเรื่องก็จบไปแล้ว แต่ว่าไม่ได้จบจริงๆ สักอย่าง  เมื่อศิษย์ยังมีชีวิตก็ยังมีโอกาส  เมื่อศิษย์ยังมีร่างกายก็ยังมีวันใหม่ ถ้ายังมีป่าก็ย่อมมีฟืน  ณ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์จึงเป็นผู้มีบุญวาสนาและเต็มไปด้วยโอกาสที่จะเป็นคนดี
การเป็นคนดีสำคัญมาก วันนี้เป็นคนดีหรือยัง สำหรับคนที่รู้จักชีวิต รู้จักทำใจ เข้าใจชีวิต เรียนรู้สัจธรรม จำเป็นที่จะต้องเป็นคนดี
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนนั้นเป็นสัตว์นรกมาเกิด บางคนเป็นเทวดามาเกิด บางคนเป็นผีเปรตมาเกิด  แต่ว่ามาเกิดแล้วทุกๆ คนย่อมสามารถที่จะมีโอกาสที่จะดีมากยิ่งขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าชีวิตทุกวันนี้ของเรายากจน ถ้าชีวิตของเราทุกวันไม่ค่อยสมหวัง ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดบ่อยๆ เราจะผิดหวังกับชีวิตไหม อาจารย์จะบอกให้คนยิ่งจนเท่าไรจะ
ยิ่งดี คนจนบำเพ็ญง่าย คนที่มีหน้าตาในสังคม คนที่ยึดติดในลาภยศเงินทองบำเพ็ญยาก  อาจารย์บอกแล้วข้างนอกหาทีวี ๒๙ นิ้วมาเครื่องหนึ่ง ก็หาทีวี ๒๙ นิ้วมาข้างในด้วย  เครื่องที่อยู่ข้างนอกทิ้ง แล้วเครื่องที่อยู่ข้างในจะต้องทิ้งหรือไม่ทิ้ง (ทิ้ง)  เอาไม้กวาดกับที่โกยขยะเข้าไปกวาดไหม อยากจะเก็บกวาดใจจะต้องเริ่มต้นจากการที่ต้องยอมรับว่าตัวเองผิดบ้าง ยากหรือไม่ยาก  การที่ยอมว่าตัวเองผิดนั้นทำง่าย แต่การยอมรับว่าตัวเองผิดต่อหน้าคนอื่นนั้นทำยาก  การที่ยอมรับผิด
ต่อหน้าทุกคนนั้นง่าย แต่การแก้ไขนั้นยาก  คนแก้ไขมีอยู่มากมาย แต่คนที่แก้ไขสำเร็จมีน้อย  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนจึงจำเป็นที่จะต้องมีความพยายามกับตัวเองสักนิดหนึ่ง  ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เรื่องหนึ่งที่เราไม่ค่อยดี ที่เราผิด เราพยายามแก้ไขสักสิบครั้งได้ไหม (ได้)  วันนี้เผอิญไปพูดจาไม่ถูกหูภรรยา แล้วจะต้องไปง้อเขา ง้อสักสิบเที่ยวได้หรือไม่ รอบแรกมาภรรยาถือมีด กะว่าจะฟันให้หัวแบะ แต่รอบสุดท้ายภรรยาอาจถือน้ำมาให้เรากินสักแก้วหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้หญิงต้องง้อบ่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้ถ้าเราเป็นผู้หญิงแล้วสามีหรือพ่อหรือญาติผู้ใหญ่ โมโหเรา เราจะทำอย่างไร เข้าไปขอโทษสักสิบรอบได้ไหม (ได้)  เรื่องบางเรื่องก็ทดสอบใจนะ จำเป็นที่จะต้องลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง แต่ว่าความมีศักดิ์ศรีไม่ใช่การง้อแล้วสำเร็จ ไม่ใช่การขอโทษแล้วยอมรับ แต่ศักดิ์ศรีจริงๆ คือเรื่องของคนคนนั้นยอมรับผิด คนคนนั้นมีศักดิ์ศรีที่สุด ใช่หรือไหม (ใช่)
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์กลับไปบ้าน  แล้วมีคนมาขัดตอนศิษย์บ่น หรือมีคนมาขัดตอนเราร้องเพลง เรายังพูดไม่จบแล้วถูกขัดตอนครึ่งเพลง เสียอารมณ์ไหม (เสียอารมณ์)  อย่างนั้นทำอย่างไรดี (ทำใจให้หนักแน่นและยอมรับ)  ทุกเรื่องทุกวิธีการที่ตอบออกมานั้นเป็นวิธีการที่นำไปสู่ความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถนนที่มุ่งไปสู่ประตูเมืองเชียงใหม่ ไม่ได้มีเส้นเดียว  เพราะฉะนั้นเมื่อเราคิดวิธีไหนได้ เราก็ทำไป  เพราะทุกๆ วิธีการนั้นตั้งอยู่บนความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ว่าทำแล้วสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราก็ต้องยอมรับ จริงหรือเปล่า (จริง)  ขอเพียงแต่ว่าเวลาที่เราอารมณ์เสีย เวลาที่เราหงุดหงิด เวลาที่เราเครียด อย่าอยู่คนเดียว  โดยเฉพาะคนที่สูงวัย ให้พยายามที่จะพูดและทำความเข้าใจจะได้ไม่เป็นคนที่เก็บกด กดดันหรือเครียด แต่ว่าการพูดความในใจนั้น ก็ไม่ใช่ว่าให้พูดไปหมด คำพูดสิบส่วน พูดสักกี่ส่วนดี พูดไปสิบห้าส่วนได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนทุกวันนี้ คำพูดสิบส่วนพูดไปสิบห้าส่วน ที่เป็นน้ำก็พูดไปด้วย
ไม่สำคัญก็พูดไปด้วย ไม่เกี่ยวก็พูดด้วย  ถามว่ามีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เวลาศิษย์ไปเล่าให้คนอื่นฟัง คำพูดนั้นก็กลับมาแทงเรา จริงหรือเปล่า (จริง)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บเพราะเจ็บปาก เพราะฉะนั้นคนที่ปากบวมเป็นเพราะอะไร  ฉะนั้นคำพูดที่เราจะพูดออกไป พูดสักกี่ส่วนได้ (สามส่วน)  คำพูดสิบคำ พูดไปสักสามส่วนก็พอ  ทำไมถึงเป็นสามส่วน เพราะทุกๆ ส่วนที่เราพูดออกไป เราจะได้ใช้ความคิด ใช้เหตุผลให้มากๆ ทำความเข้าใจกับคนอื่นให้มากๆ ส่วนที่มีปัญหาจึงมีนิดเดียว
จริงหรือเปล่า (จริง)  ส่วนใหญ่ปัญหาที่อยู่ในใจของศิษย์ทุกเรื่อง หาเอาเข้าจริงๆ มีปัญหาอยู่นิดเดียว แต่สะกิดไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อถูกหนามตำต้องเอาอะไรบ่ง (หนาม)  เมื่อหนามตำก็เอาหนามบ่ง ถ้าเข็มตำก็เอา (เข็มบ่ง)  เมื่อเข็มตำก็แค่ดึงออกนะ  อย่างนี้เขาเรียกว่าตอบอย่างไม่มีสติ  อยู่ดีๆ จะถูกเข็มตำได้อย่างไร  เข็มตำไม่ต้องเอาเข็มบ่ง ก็ดึงออกสิ
เวลาสู้ปัญหาอย่าปล่อยให้จิตตก เวลาสู้ปัญหาอย่าหดหู่  ถ้าหดหู่ต้องรู้จักดูตนเอง แล้วสะกิดปัญหาให้ตรงจุด เพราะปัญหามีนิดเดียว  อยู่ในใจของเราซึ่งไม่ใหญ่ไปกว่าตัวของเรา ใจของเราอยู่ในตัว  ตัวใหญ่
แค่ไหน ใจก็นิดเดียว  ยิ่งตัวใหญ่มากใจก็ยิ่งนิดเดียว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เวลาโมโหแล้วใจแทบทะลุออกมานอกตัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
หน้าอินทร์หน้าพรหมก็ไม่สน จริงหรือเปล่า (จริง)  ใครจะถือมีดถือไม้
เราก็ไม่สน จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเขาถือมีดทำครัวอยู่ แล้วเราโกรธเขาขึ้นมา จะเข้าไปด่าเขาไหม (ด่า)  ถ้าเขาถือมีดอยู่เราก็ไม่กลัว  เพราะเรามัวมองแต่อะไรจึงไม่กลัวมีด  เราไม่ได้มองหน้าเขา เราไม่ได้มองมีด แต่เรามัวแต่มองตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ข้างในตัวเองก็มีแต่ความคิดที่จะเอาชนะ ข้างในตัวเราก็มีแต่ปัญหา มีแต่คำพูดมาเต็มไปหมดเลย ไม่ได้พูดก็กลัวคำพูดจะหล่นหายไปเสียก่อน จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพบปัญหา เราเอาแต่มองตัวเอง ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ตอนแรกอาจารย์บอกว่า มีปัญหาให้ยอมรับความจริง ก็คือการย้อนมองส่องตน
ก็คือมองตัวเอง  แต่พอมีปัญหาแล้วเอาแต่มองตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  
แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อมีปัญหาก็เอาแต่มองตัวเองไม่ได้ จำเป็นจะต้องมองทั่วๆ  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ธรรมะนั้น ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่ทุกอย่างต้องลำดับ จัดความสำคัญก่อนหลัง  ซึ่งคนที่ทำได้นั้นหายาก ส่วนใหญ่ก็ทำไปตามอารมณ์ของตัวเอง  อารมณ์โกรธไหวก็โกรธ  อารมณ์โลภไหวก็โลภ  อารมณ์หลงไหวก็หลง  ไม่ยอมเข้าใจตัวเองเลยสักนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ชั้นนี้มีนักเรียนน้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่อาจารย์มองว่าน้อยๆ มีคุณภาพ  ความน้อยคือความอบอุ่น เมื่อกว้างใหญ่แล้วไม่อบอุ่น
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในบรรยากาศเช่นนี้ก็ยังเป็นเวลาที่ควรดีต่อกันและพยายามที่จะให้อภัยกัน  เมื่อคนน้อยอย่าเฝ้าแต่ทะเลาะกัน เมื่อความคิดต่างกันแต่ขอให้ใจเดียว จึงจะสามารถสามัคคีและประสบความสำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดดูว่าถ้าหากคนน้อยแล้วยังทะเลาะกัน เมื่อคนมากศิษย์จะรับมือกับปัญหาอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมองไปแล้วเท่ากับว่าเราเองที่ไม่พร้อมที่จะรับสภาพของความยิ่งใหญ่ เราเองที่ยังมีปัญหากับตัวเอง  ฉะนั้นจึงไม่สามารถยิ่งใหญ่เพราะว่าเรานั้นยังมองหน้าแล้วรู้ใจกันอยู่ รู้ใจกันดีไหม รู้มากเกินไปดีหรือเปล่า มองหน้าไม่ต้องรู้ใจก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  
ในอดีตเวลาออกรบ คนที่รู้ใจแม่ทัพมากที่สุดจะถูกตัดคอ
เชื่อหรือไม่ (เชื่อ)  เพราะอะไร คนประเภทอ่านตาแม่ทัพแล้วรู้ว่าแม่ทัพคิดอะไร ถ้าในสมัยก่อนตายมานักต่อนัก  ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์อยู่กับแม่ทัพต้องทำเป็นไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ แต่ในขณะเดียวกัน เรือจะล่มแล้วรูรั่วที่มันแตกอยู่ มันแตกจนจะทำให้เรือล่ม แม่ทัพก็ยังจะยืนอยู่บนหัวเรือ ไม่มาดูหางเรือเลย เรือจะรั่วแล้วต้องไปบอกแม่ทัพ จะมาอุดรูเองด้วยกำลังของเรา ต่อให้ลงทุนเอาตัวเราไปอุดก็ยังไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่เกิดมาอยู่ร่วมกันได้เป็นบุญที่ทำร่วมกันมาแน่นอน ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ทำในสิ่งที่ดีร่วมกัน ทำร่วมกันทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว  ฉะนั้น ณ วันนี้อยู่ร่วมกันนับเป็นบุญ ไม่ใช่อยู่ร่วมกันแล้วเป็นกรรมนะ  เราจำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญตัวเองทุกๆ คน ต่างคนต่างบำเพ็ญตัวเอง ไม่ต้องไปรู้ทันคนอื่นมาก ไม่ต้องไปรู้ใจคนอื่นมาก  แต่ว่าในขณะเดียวกัน เราเป็นคนซื่อๆ จะให้คิดซับซ้อนย่อมทำไม่ได้  เมื่อเราเป็นคนฉลาดจะให้คิดเรียบๆ ก็คงไม่ใช่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนย่อมมีวิถีทางของตัวเอง คนฉลาดชอบคิดซับซ้อน คนที่ซื่อๆ ก็คิดง่ายๆ  แต่ทุกคนอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างไปคิดและฝึกฝนที่จะเอาชนะตัวเอง แล้วมาอยู่ร่วมกัน  หากอยู่ร่วมกัน มองตาก็รู้ใจ ทำอะไรก็ราบรื่นไปหมด ไม่มีปัญหา เรื่องอย่างนี้ไม่มีในโลกเลย  เพราะฉะนั้นก็จงอยู่ร่วมกันอย่างเห็นใจกัน เอาใจใส่  
ดีหรือไม่ (ดี)  อะไรที่แม่ทัพผิด พูดได้ไหม  ในการรบสมัยโบราณ ราชาที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีกุนซือผู้รู้ใจ  เวลาก้าวหรือทำอะไรพลาดพลั้งไป คนผู้นี้จะบอก  อาจารย์สอนศิษย์บอกว่าอย่ารู้ใจคนมากเกินไป  ในขณะเดียวกันอาจารย์ก็สอนศิษย์ว่า เมื่อใครทำผิด เมื่อแม่ทัพทำผิด ยังจำเป็นต้องบอกกล่าว ไม่ทำเพิกเฉย  ถ้าศิษย์ทำเพิกเฉยก็เหมือนกับต่อให้เห็นไฟไหม้บ้าน ศิษย์ก็ยังทำเฉยอยู่  เป็นคนที่ไม่ควรที่จะอยู่ในกลุ่มด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ในขณะเดียวกันเมื่อศิษย์รู้ว่าการที่เราต้องพูด พูดทุกวัน พูดทั้งวัน  การพูดของเราจำเป็นที่จะต้องให้หน้าคนอื่น  พูดให้หน้าคนอื่นเป็นไหม เป็นอย่างไร  เวลาที่นักมวยเจ็บเขายังต้องยอมให้นักมวยลงเวทีเลย  เพราะฉะนั้นการพูดให้หน้าคนอื่นไม่ต้องรู้ทันคนอื่นมาก ไม่ต้องรู้ใจคนอื่นมาก  แล้วเหลือทางให้เขาถอย เวลาพูดต่อหน้าคนอื่นยิ่งเป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวังการพูดต่อหน้าคนอื่น แล้วทำให้คนอื่นขายหน้า  ฉะนั้นการให้หน้าคนอื่นก็คือการไม่เปิดเผยความลับของคนนั้นต่อหน้าผู้อื่น  แต่ในขณะที่ทุกวันนี้ ศิษย์ของอาจารย์ยังต้องพูดทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะต้องไม่เผยความลับของผู้อื่น  คนเรามีความลับเป็นเรื่องส่วนบุคคล เปรียบเสมือนกับคนมีบ้าน ถ้าหากว่าเปิดเผยความลับของผู้อื่นใน
ที่สาธารณะเหมือนกับให้เขาถอดเสื้อ เปลือยกาย ไม่เคารพซึ่งกันและกัน  ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้จักที่จะพูดให้หน้าคนอื่น  แต่การให้หน้าไม่ใช่การยกยอปอปั้น ไม่ใช่การชมหรือทำให้เหลิง  เพราะถ้าทำอย่างนี้เรื่องจะไปกันใหญ่  การพูดจึงเป็นเรื่องที่ทำยากพอสมควร  บางคนพูดดีแล้ว แต่คนก็บอกว่าเราพูดไม่ดี  เราทำดีแล้วคนก็บอกว่าเราทำไม่ดี  เพราะฉะนั้นเราต้องทน คนที่ทนได้ดีนั้นเป็นคนที่มีคุณธรรมชนิดหนึ่งเช่นเดียวกัน ทนได้ ทนดี แล้วมีคุณธรรม คนๆ นี้น่าสรรเสริญ
บางทีเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ในชีวิตศิษย์เป็นประจำๆ คนข้างหลังก็บอกว่าคนข้างหลังทำถูกแล้ว  ส่วนคนข้างหน้าก็บอกว่าคนข้างหน้าก็ทำถูกเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นการทำงานร่วมกันจึงจำเป็นที่จะต้องมองหน้า มองหลังด้วย  จะมองแต่สิ่งที่เราทำอยู่ แล้วไปกระทบผู้อื่นไม่ได้ จำเป็นต้องมองหน้า มองหลัง คิดแล้ว คิดอีกตามความจริง  เวลาเราทำงาน ยังจำเป็นจะต้องให้จิตของเราทำงานด้วย ให้จิตของเรานั้นได้งานด้วย  ไม่ใช่ทำงานไปก็ทำงาน อาจารย์พูดไปก็คุยไป

“จงดีง่ายใฝ่ดีขึ้นอยู่ประจำ   ปัญญานำความรู้เหนือความจริงยง”
คนปัจจุบันนี้ดียาก แล้วก็ไม่ค่อยดีขึ้น  ฉะนั้นอาจารย์ให้คำว่า
“ดีง่ายๆ” ขอให้ทำตนเป็นคนดีง่ายๆ
ทุกคนมีความเหนื่อยไหม (มี)  อาจารย์ให้กลอนนำไว้ว่า “มีเมตตาไม่ทำให้เหนื่อยง่าย”  ดังนั้นสิ่งหนึ่งทำให้เป็นคนที่ไม่เหนื่อยง่ายคือ
ความเมตตา  เพราะคาดหวังว่าให้ผู้อื่นนั้นดีกว่าตัวเอง ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น อยากให้เขาดีขึ้น จึงทำให้เราไม่เหนื่อย  ฉะนั้นความเมตตาจึงทำให้เราไม่เหนื่อยง่ายๆ  ถ้าวันนี้เราเป็นคนที่อิจฉาคนอื่น เห็นคนอื่นได้ดีแล้วคันในหัวใจ เห็นใครผิดแล้วอยากรีบพูด อย่างนี้เรายังไม่เมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราพูด เราต้องคิดว่าพูดแล้วทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเปล่า
คนที่แข่งอยู่ในสนามกับคนที่ยืนอยู่บนอัฒจันทร์ดูคนที่แข่ง  อาจารย์จะบอกให้ว่า คนที่นั่งอยู่บนอัฒจรรย์พูดอย่างไรก็ถูก  ส่วนคนที่แข่งอยู่ในสนามทำอย่างไรก็ผิด ใช่ไม่ใช่ (ใช่)  เป็นสัจธรรมชีวิตไหม (เป็น)  ฉะนั้นต้องทำอย่างไร (ทำใจ)  เอามือปิดฟ้าไม่ได้ เอามืออุดปากคนได้ไหม (ไม่ได้)  ยิ่งไม่ได้ ยิ่งยากกว่าอุดฟ้าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ถอยไปไหนไม่เทียมรู้ค่า”
การถอยเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตของคน เพราะตั้งแต่คนเกิดมาแล้วก็หัดเดิน คนก็เดินไปข้างหน้าทันทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาศิษย์ขับรถก็หัดขับรถไปข้างหน้า ส่วนเวลาถอย การถอยตัว หรือถอยรถนั้นศิษย์ไม่ค่อยหัด ฉะนั้นการถอยจึงเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ สอนได้ทั้งในชีวิตตนและขจัดปัญหาให้เบาบางได้  บางทีเราควรจะถอยเพื่อที่จะรุก บางทีเราควรจะถอยเพื่อที่จะมองเห็นได้ชัด  ทำไมคนที่อยู่บนอัฒจันทร์ถึงได้
ตาคม ปากคม เห็นอะไรชัดกว่าคนเล่นในสนาม  เพราะเขาเป็นคนมองปัญหาจากนอกวง  เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้มากกว่า ถ้าหากศิษย์มีปัญหาบางทีศิษย์ควรที่จะถอยเพื่อรับ ถอยเพื่อรุก เราถอยเมื่อไร เราก็จะเห็นปัญหามากขึ้นเท่านั้น แต่เพียงบางจังหวะโอกาสที่การถอยนั้นทำให้เสียหาย  การถอยแบบคนที่ขี้ขลาดไม่กล้าที่จะบุกลุยนั้นจึงเป็นเรื่องที่เสียหาย  แต่ว่าไม่ได้ให้ศิษย์ต้องถอยทุกเรื่อง หรือถอยแบบกลัวๆ แต่ให้รู้จักถอยเมื่อได้จังหวะ ได้จังหวะที่ว่าหากบุกลุยเข้าไปแล้วจะมีปัญหามากกว่าเดิมก็จำเป็นที่จะต้องถอยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราลองถอยดู ตอนเราเดินขึ้นหน้าเราเมื่อยขา แต่เวลาที่เราเดินถอยหลังเราได้ออกกำลังกายขา เราจึงควรที่จะถอยบ้าง
ในการที่ศิษย์นั้นอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือไหว้พระร่วมกันก็แล้วแต่  ทุกๆ อย่างที่ศิษย์ทำ ก็เพื่อบำเพ็ญฝึกฝนใจตัวเอง กิจกรรมจบไปแล้ว ไหว้พระเสร็จไปแล้ว  แต่สิ่งที่จีรังยั่งยืนคือการฝึกใจ  การทำกิจกรรมขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ศิษย์ก็ได้ฝึกเรื่องหนึ่ง  ฝึกการระงับอารมณ์ก็ดี ฝึกการพูด ฝึกการคิดก็ดี คนยิ่งใช้ความคิดมาก ไม่ใช่คิดมากนะ ใช้ความคิดมากสมองก็ยิ่งเติบโต  เหมือนกับเวลาที่เราปลูกต้นไม้ ต้นไม้นั้นหยั่งรากลึกลงไปเรื่อย โดยที่เราอาจไม่ต้องดูแลต้นไม้ก็ยังหยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ แต่เรายิ่งพรวนดิน ต้นไม้ก็จะยิ่งโต  ฉะนั้นแม้ว่า
เรานั้นมีจิตใจที่ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้จักใช้ปัญญา ต้นไม้ของเรา การบำเพ็ญของเราก็ยังหยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ  แต่หากว่าเราหัดพรวนดิน คือการใช้ปัญญา  หัดพรวนดินคือการหัดดูแลความคิดของตัวเราเองบ้าง ความคิดของเรานั้นก็จะเป็นความคิดของคนที่ไม่ขาดสติ  ต้นไม้แห่งความคิดก็ยิ่งจะเติบโตสวยงามขึ้นกว่าเดิม  เพราะฉะนั้นอย่าให้จิตใจของเราเติบโตไปอย่างไร้ทิศทาง  ขอให้เรานั้นรู้จักปลูกและรู้จักดูแลจิตใจของตัวเองด้วย พยายามที่จะขุดดิน พรวนดิน รดน้ำและดูแลมันด้วย ให้ตัวของเราให้ใจของเรานั้นเติบโตไปอย่างมีทิศทาง  อย่าให้การบำเพ็ญของเราเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง  ใจที่ฝึกมาจึงจะเป็นของจริง สถานธรรมไม่ใช่ของจริง ตะเกียง พระพุทธรูป ผลไม้ คนทุกคนที่เป็นผู้ฝึกซ้อมทั้งหลายไม่ใช่ของจริง อารมณ์เกิดแล้วดับไป สิ่งของได้มาแล้วหมดไป  แต่ใจที่ฝึกมาจากการที่เรานั้นอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นจึงเป็นของจริง
ใครอยากได้แอปเปิ้ลบ้าง  อาจารย์เต็มใจให้ไม่เรียกว่าโลภนะ เวลาที่คนให้อยากให้ศิษย์แล้วศิษย์ได้รับในปริมาณที่พอดีก็ไม่ถือว่าเป็นการโลภ  แต่หากว่าสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ได้ให้แต่ศิษย์อยากได้อย่างนั้นเรียกว่า (โลภ)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง “อะไรเป็นของจริง” )
อาจารย์พูดไว้ในเพลงนี้ว่า “ในความดีมีความกล้า”  ทำไมในความดีต้องมีความกล้าด้วย เราเคยไหมที่ เราคิดว่าทำอะไรแล้วดี แต่เราเขินที่จะทำ เราอายที่จะทำในสิ่งนั้น  เราอยากจะถามว่าพ่อเหนื่อยไหม แล้วเราก็ไม่ได้ถาม  เวลาที่แม่ค้าทอนเงินมาเกิน เราอยากจะคืนแต่เราก็ไม่ได้คืน  เราอยากที่จะทำสิ่งที่ดีๆ แต่เราก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่โง่เกินไปที่จะทำ  เพราะฉะนั้นเวลาเราทำดี เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งใดดี  ฉะนั้นต้องกล้าลงมือไปทำความดีจึงจะบังเกิด  ถ้าหากเรารู้ว่าดีแต่เราไม่กล้าทำจะเป็นความดีได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์จึงชอบพูดว่าตัวเองเป็นคนดี  แต่ในด้านของการลงมือทำความดีแล้วศิษย์ยังทำได้น้อยกว่าที่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันชื่อว่าคิดได้แต่ไม่ได้ทำอย่างนี้ไม่เรียกว่าความดี
ความศรัทธาต้องมีอะไร  ความศรัทธา คำนี้เป็นคำที่ศิษย์ทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่ทั้งเก่าและใหม่ต้องเรียนรู้  ศรัทธาเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากว่าเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลเรียกว่างมงาย จริงหรือเปล่า (จริง)  เมื่อศิษย์มาฟังธรรมะ ศิษย์อยากที่จะศรัทธา  อาจารย์บอกว่า ศรัทธานั้นต้องมาคู่กับปัญญา  ศิษย์ต้องรู้ว่าศิษย์ฟังธรรมะมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน และลงมือปฏิบัติได้มากเพียงใด จึงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความศรัทธาควบคู่  ถ้าเอาศรัทธานำปัญญาก็จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนงมงาย  ถ้าเอาปัญญามานำศรัทธาก็จะเป็นคนที่เชื่อยาก เป็นคนที่พูดกันเข้าใจยาก เป็นคนที่รักความอิสระแต่ตัวเองไม่เคยมีอิสระ  ฉะนั้นปัญญาจึงเหมือนกับคนที่เป็นปัญญาชน คือคนที่มีความรู้ก็จะยึดติดในปัญญา  เมื่อปัญญามานำศรัทธาแล้ว แม้แต่ปฏิบัติสิ่งใดก็เป็นเรื่องที่ยาก  ฉะนั้นมีศรัทธาและปัญญาต้องมีให้สมดุล  เมื่อตั้งใจที่จะมาบำเพ็ญธรรมต้องศึกษาให้เข้าใจจึงจะทำได้  หากว่าศิษย์ไม่รู้ก็บอกว่าศิษย์ไม่รู้ หากศิษย์รู้ก็ทำให้มากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนมีความรู้ไม่ใช่ต้องรู้ทุกอย่าง คนที่รู้หลายอย่าง ก็อาจเป็นคนที่ไม่มีความรู้จริง
เพราะฉะนั้น ณ วันนี้เราเป็นคนที่มีข้อจำกัดมาก เรารู้น้อย ใช่ไหม หลายๆ คนชอบบ่นว่ารู้น้อยกว่าคนนั้น รู้น้อยกว่าคนนี้ ชอบเอาตัวไปเปรียบเทียบกันกับคนนั้นคนนี้  สุดท้ายยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญแบบเรา พุทธะแบบเรา การบำเพ็ญแบบเรานั้นมีคนเดียว ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบใคร  แม้ใครจะใกล้เคียงกับเราก็ไม่เหมือนเรา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในขอบข่าย กรอบคร่าวๆ จะต้องไม่หลุดจากกรอบมากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เป็นคนดีมีศรัทธา” )
คำนี้ง่ายแต่ทำยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้อาจารย์อธิบายคำว่า “คนดี ความดีและศรัทธา”  อย่างลึกซึ้งขึ้นให้ศิษย์ฟัง  เพราะฉะนั้นคำๆ นี้ แม้จะดูแล้วง่าย แต่ว่านักเรียนในชั้นนี้ย่อมรับรู้ได้ว่าทำยาก จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ยากทั้งนี้ทั้งนั้นแค่เพียงพลิกความคิดหน่อยเดียว ทุกอย่างก็จะราบรื่นไปหมดเลย จริงหรือไม่ (จริง)  
การสร้างคนดีนั้น การสร้างความดีนั้นจำเป็นที่ต้องได้รับการอบรมก่อน  ฉะนั้นคนเราอยู่ดีๆ จะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีโดยไม่ได้รับการอบรมมานั้นก็ยังดีไม่เต็มที่  ฉะนั้นการสร้างความดี สร้างคนดี หรือการสร้างตนให้เป็นคนดี จำเป็นที่จะต้องอบรมก่อน  แต่ก่อนที่จะได้รับการอบรม อย่างเช่นวันนี้ ก่อนที่จะได้รับการอบรมนั้นศิษย์ต้องวางความเย่อหยิ่งของตนทิ้ง ต้องวางวิชาและความคิดอันบอกว่าตัวเองเป็นคนที่เก่งกล้าฉลาดสามารถนั้นทิ้งก่อน จึงจะสามารถที่จะสร้างตนเป็นคนดีได้ จึงจะสามารถอบรมและศึกษาได้  หลายๆ คนฟังเท่าไรๆ บอกว่ารู้แล้วๆ แต่ว่าทำได้ไหม (ไม่ได้)  ก็เพราะว่าไม่สามารถที่จะวางความเย่อหยิ่งทะนงและดูถูกดูแคลนของตนนั้นได้  

ในการอบรมศึกษาธรรมนั้น  ท่านขงจื่อเคยกล่าวไว้ว่า ต้องอบรมศึกษาเรื่องใดก่อนบ้าง
  1. ประวัติศาสตร์
  2. รัฐศาสตร์  
  3. นิติธรรมเนียม
  4. กวี  
  5. ดนตรี
  6. ธรรมชาติวิทยา
ถ้าศิษย์สามารถนำหกอย่างนี้มาประยุกต์กับตนเองได้ ศิษย์จะเข้าใจธรรมะอย่างลึก และกว้าง  ฉะนั้นการศึกษาธรรมะจึงไม่ใช่เพียงการศึกษาธรรมะ การจะได้ธรรมะมาจึงต้องปฏิบัติควบคู่ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์จะไม่ได้สิ่งใดเลย จะบอกว่าตนเองมีความรู้ด้านธรรมะดีแล้ว  แต่ถ้าศิษย์ลองเทียบกับหกอย่างนี้ ที่อาจารย์พูดไปเมื่อสักครู่ ศิษย์ก็จะรู้ว่าศิษย์นั้นยังรู้น้อยนิดเดียว  ขงจื่อไม่ได้พูดบอกว่าให้ศิษย์นั้นศึกษาธรรมะ แต่เขาให้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้นั้นมาเกื้อหนุน  เมื่อเข้าใจทั้งหกอย่างศิษย์ก็จะเข้าใจธรรมะด้วย  ความคิดของคนนั้นสามารถกลมกลืนและกลมเกลียวกับคนอื่นได้ หากสามารถศึกษาในสิ่งนี้ได้  ขงจื่อยังบอกว่า การจะตัดสินคน จำเป็นจะต้องขจัดให้สิ้นสี่อย่าง
  1. ดื้อดึง
  2. ไร้เหตุผล
  3. ยึดตนเป็นศูนย์กลาง

(อาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมไปค้นหา ข้อ ๔ มา ซึ่งผู้ปฏิบัติงานธรรมได้หามาแล้ว คือ ข้อ ๔ ยืนยันว่าสรรพสิ่งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง)
การบำเพ็ญธรรมนั้น จะบอกว่าไม่พลิกตำรา ไม่หาความรู้เลย
นั้นหาไม่  จำเป็นที่จะต้องหาด้วย พลิกตำราด้วย อ่านหนังสือด้วย  ถึงบอกว่าอ่านหนังสือสองหน้าแล้วหลับแล้ว ต้องอ่านไหม (อ่าน)  ค้นคว้า หาวิชาความรู้เป็นเรื่องที่สำคัญไหม (สำคัญ)  สำคัญ
วันนี้อาจารย์มาที่นี่เป็นเวลาหลายชั่วโมง  ศิษย์ของอาจารย์ในภาคเหนืออาจจะมีความเฉื่อยช้าอยู่บ้าง  แต่ทุกคนก็บำเพ็ญธรรมได้อย่างน่ารัก โดยเฉพาะความอดทนอดกลั้นนั้น ศิษย์บำเพ็ญได้ดี  ศิษย์
รู้ไหมในท่ามกลางการบำเพ็ญของศิษย์ ที่ศิษย์รู้สึกว่ามันไม่ก้าวหน้า แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย  จริงๆ แล้วมันก้าวหน้าขึ้นทีละน้อยๆ มันเห็นผลชัดที่ภายในไม่ใช่ภายนอก  เพราะวันนี้ศิษย์มองกันมากเกินไป ศิษย์พูดกันมากเกินไป ศิษย์คิดแล้วก็น้อยใจมากเกินไป เรื่องง่ายก็กลายเป็นเรื่องยาก  แต่หากศิษย์แค่พลิกฝ่ามือเรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย  
วันนี้ยังไม่ใช่วันสุดท้ายยังมีพรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง คนที่มีใจก็ขอให้มากันให้ครบ
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์ทุกคน ทั้งคนที่อาจารย์ได้สัมผัสมือและคนที่อาจารย์ยังไม่ได้สัมผัสมือ ปัญหาทุกเรื่องมีทางออกเสมอ เพียงแต่ใจของศิษย์ต่างหากที่จะเปิดประตูหรือเปล่า
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่มีรูปลักษณ์ รวมทั้งรูปลักษณ์ของอาจารย์ก็ไม่มี ใจของศิษย์อย่าได้ยึดในวัตถุมาก รวมทั้งอย่าได้ยึดในตัวอาจารย์  วันนี้อาจารย์ยืมร่างแบบนี้ก็ด้วยความจำเป็นและจำใจ  แต่ก็ย่อมหมายถึงว่าเป็นโอกาสที่จะได้พบศิษย์และจะได้บอกกล่าวบ้าง ได้กระตุ้นและเตือนศิษย์บ้าง หวังว่าศิษย์ของอาจารย์มีกำลังใจเป็นของตัวเอง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้เสมอๆ ความท้อแท้ ความหมดหวัง อย่าได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง  หากยังเอาตัวเองไม่รอดจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
ที่สุดแล้วการบำเพ็ญเมตตานั้นคือการไปช่วยผู้อื่น ไม่ใช่เอาแต่ช่วยตัวเอง วันนี้ยังต้องพูดกันต่อไป  แต่อาจารย์ก็ไม่มีเวลามาพูดกับศิษย์ จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสัมผัสได้ถึงจิตใจและเข้าใจว่าที่สุดแล้วการบำเพ็ญธรรมทำอย่างไร หาคำตอบต่อจากวันนี้ด้วย
สำหรับคนในชั้น รู้ว่าการมีเมตตาทำอย่างไร ต้องลงสนามปฏิบัติเท่านั้น จึงจะรู้จริงได้ ให้เล็กๆ น้อยๆ ให้มากๆ ให้สิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ หรือให้เป็นสิ่งของ  ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองรู้จักความเมตตามากขึ้น  
อาจารย์ลาก่อน ศิษย์ทุกคนรักษาตัวให้ดี ศึกษาธรรมให้มากๆ  การศึกษาธรรมเป็นเรื่องของผู้บำเพ็ญปฏิบัติทำกันแต่โบราณกาล  อย่าตัดโอกาสตัวเอง  ลาก่อนนะ
วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

    ทำสิ่งใดทำให้ดีมีความสุข    ถึงต้องล้มแต่รู้ลุกด้วยคิดได้
เมื่อบำเพ็ญคิดทำดีมิหวังผลใด    ด้วยเสียสละอุทิศให้ประเสริฐจริง
        เราคือ
    เสี่ยวเซี่ยวฝอถง        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา แล้ว        ถามทุกท่าน ฟังธรรมะมีความสุขบ้างหรือเปล่า

    อย่าต่างฝ่ายต่างร้อนยากสงบ    แต่อย่านิ่งเฉยจนไม่ใส่ใจ
การบำเพ็ญทวนกระแสการตามใจ    ยอมลดไหมทิฐิอัตตาที่ครองกัน
ยิ่งอยู่นานแต่ไร้คนกล้าเอื้อนเอ่ย    ปล่อยชินเคยจนเชื่อมั่นกลายดื้อรั้น
รู้มากมายแต่ไม่รู้ใจตนนั้น    รู้ทันคนแต่ไม่ทันอารมณ์ตน
อย่าจดจำแต่เรื่องร้ายของกันไว้    จนไม่เห็นอีกด้านดีที่เปี่ยมล้น
เปิดใจกว้างรับมุมต่างเข้าใจคน    การอดทนด้วยใจแย้งย่อมไม่ดี
สิ่งใหม่มีค่ากว่าสิ่งเก่าหรือ    ของในมือหมดสิ้นแล้วหรือสุขศรี
ถมไม่เต็มในความอยากอันมากมี    วุ่นเต็มทีล้าเต็มทนสุขเพียงใด
            ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ทำไมร้องเพลงไม่มีความสุขเลย มีความสุขไหม (มี)  เราได้ยินมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จอยู่ที่ใจ ใจมีความสุขทำอะไรก็มีความสุข  ถ้าใจไม่มีความสุขทำอะไรก็ไม่สุข ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าแม่ครัวทุกคนที่ทำครัวมีความสุขในการทำครัว อะไรที่ไม่เป็นกับข้าวเขาก็สามารถปรุงออกมาให้เป็นกับข้าวได้ เพราะตอนนั้นใจอยากทำเหลือเกิน  แต่ถ้าตอนนี้ใจไม่อยากทำ แต่ถูกบังคับให้ทำ ทำอะไรก็ไม่อร่อย ทั้งที่ผักก็ดี ของก็ดีทุกอย่าง  แต่ถ้าเรามีใจว่าวันนี้เราจะต้องทำให้อร่อยให้ได้ จะต้องให้คนติดใจให้ได้ แม้ของไม่ครบก็อร่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จที่ใจและทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจ  ถ้าไม่มีใจทำอะไรมันก็ไม่สำเร็จ  เหมือนวันนี้มาฟัง วันที่หนึ่งผ่านไปแล้ว วันที่สองผ่านไปแล้ว วันที่สามตอนแรกยังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะทำสำเร็จได้ จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมถึงทำสำเร็จได้ อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  คนพูดดีเท่าไรแต่ว่าใจไม่เอา มันก็ไม่ทำ มนุษย์เราบนโลกนี้ทุกสิ่งจะสำเร็จหรือทุกสิ่งจะเริ่มต้น ต้องเกิดที่ใจก่อน ถ้าไม่มีใจทำอะไรมันก็ไม่สำเร็จ  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ทำดีก็ตาม พูดดีก็ตาม ถ้าเราไม่มีใจก็ไม่สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  แต่บางคนพอมีใจแล้วก็ทำไม่สำเร็จได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  เพราะมีแต่ใจที่ไร้เรี่ยวแรง ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าฉันเป็นคนดีไหม ดี แต่ฉันดีแค่อยู่ในใจ ยังออกมาไม่ได้ ยังกล้าหาญไม่พอ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าดีแค่ใจ  เคยไหมที่อยู่ร่วมกันในบ้าน รู้วิธีว่าจะทำอย่างไรให้พ่อแม่ หรือภรรยา หรือสามียิ้มได้ แต่ทำอย่างไร (ไม่ทำ)  มีแต่ใจแต่ไม่มีแรงกล้าที่จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็อยู่ด้วยกันอย่างอึดอัดใจกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าทำไมแกไม่ทำก่อน ทำไมคุณไม่ทำก่อน แล้วเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาต่างคนต่างถือดีไว้ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา เอาแต่ถือไว้คนที่เจ็บคือคนที่ถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้วันที่สามแล้วนะ วันสุดท้ายหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไม่ใช่วันสุดท้ายของชีวิต แต่เป็นวันสุดท้ายของการมาห้องพระ (ครับ)  น่าเสียดายนะ มีแต่เขาบอกว่าได้แล้วต้องได้มากยิ่งขึ้น  รู้สึกว่าดีไหมที่มาฟังสามวันนี้ (ดี)  แล้วความดีจะดีแค่สามวันหรือไม่ (ไม่)  อยู่ที่ตัวท่านตัดสินใจแล้วนะ ไม่มีใครพาท่านขึ้นสวรรค์ได้ ไม่มีใครพาท่านตกนรกได้ นอกจากตัวท่านเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มา ล้วนเป็นผู้ชี้ทางบอกให้รู้ว่าในถนนของการเดินจากความเป็นคนนั้น ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่เดินแล้วรู้จักคิด รู้จักใช้ให้เป็นหนทางที่จะพาเราขึ้นสู่สวรรค์ได้  ยกตัวอย่างง่ายๆ หนึ่งถึงสามสิบวันที่ทำงานคือวันตกนรก วันที่ขึ้นสวรรค์คือวันที่ได้รับเงินเดือน ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนคนที่ขายของ ทุกๆ วันคือวันที่ตกนรก แต่วันที่ได้เก็บเงินคือวันที่ได้ขึ้นสวรรค์  เหมือนคนที่เรียนหนังสือ เรียนทุกวันรู้สึกเหมือนคนที่ตกนรก  แต่เมื่อไรจบปริญญา คือวันที่ได้ขึ้นสวรรค์

วันที่ขึ้นสวรรค์ไม่ได้มีวันเดียวเราสามารถทำทุกวันเป็นวันที่ขึ้นสวรรค์ได้ แล้ววันที่ได้รับเงินเดือน วันที่ได้รับความสำเร็จคือวันที่ได้เป็นเทพ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ไม่มีความสุขกว่ากันหรือ  
มนุษย์มักจะบอกว่าความสุขของชีวิตคือการได้รับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นเป้าหมายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์กลับไม่ทำ มักจะบอกว่าต้องเป็นเป้าหมายเท่านั้นคือความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ มีคนๆ หนึ่งอยากเป็นที่หนึ่งของห้อง ไม่เอาเพื่อน จะอ่านแต่หนังสือ  เพื่อนชวนให้ทำงานอะไรก็ไม่เอา ฉันทำคนเดียวก็สำเร็จได้  พอถึงเวลาวันที่เขาได้ประสบผลสำเร็จ เขากลายเป็นคนที่หัวเดียวกระเทียมลีบ จริงไหม (จริง)  เพราะระหว่างทางที่เขาเดินขึ้นไปสู่จุดสูงสุด เขาไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยแคร์ใคร เขามองแต่ว่าเป้าหมายของเขาคือความสุขเท่านั้น รอบข้างไม่ใช่สิ่งสำคัญ  แต่ชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ทุกคน เรามัวแต่สนใจเป้าหมาย แต่ไม่ได้สนใจระหว่างทางเดินรอบข้างได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปถึงเป้าหมาย เราสามารถมีสุขระหว่างทางเดินได้ด้วยการรู้จักเห็นอกเห็นใจเผื่อแผ่แบ่งปัน  ทุกก้าวที่เดินเข้าไปก็คือก้าวที่เราได้มีความสุขด้วย และถึงที่สุดก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรือแม้ถึงที่สุดไม่สำเร็จระหว่างทางก็ได้เรียนรู้อะไรตั้งมากมายที่มีความสุขแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นอย่าคิดว่าทุกวันคือวันตกนรก มีวันขึ้นสวรรค์วันเดียว  แต่จงทำให้ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่คือวันที่ได้ขึ้นสวรรค์  แล้วทำอย่างไรเราถึงจะขึ้นสวรรค์ได้  จำไว้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเราในปัจจุบันคือคนที่เราต้องทำดีที่สุด  เราจะได้ไม่ต้องเสียใจ จริงไหม (จริง)  เพราะชีวิตของมนุษย์มีแค่ปัจจุบันขณะเท่านั้น  ถ้าปัจจุบันทำไม่ดีอนาคตจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  ถ้าปัจจุบันทำได้ดีอดีตที่ผ่านมาก็ไม่ต้องเศร้าเสียใจเพราะทำปัจจุบันได้ดีแล้ว พอผ่านไปก็ไม่มีอะไรต้องทุกข์เศร้า
“ทำสิ่งใดทำให้ดีมีความสุข    ถึงต้องล้มแต่รู้ลุกด้วยคิดได้”
ในโลกต้องมีคนบางคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครในโลกบ้างที่จุดหมายของเขาคือความสำเร็จ แต่ไม่เคยล้มลง  ล้มแล้วจึงลุก ลุกแล้วจึงสู้  ฉะนั้นอย่ากลัวการล้ม บางครั้งการล้มก็ทำให้เรารู้บทเรียนที่ดีได้
ท่านจะจบแล้วเราก็มาแสดงความยินดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  แต่ไม่ใช่จบกันแล้วก็จบกันเลยไม่เจอหน้ากันอีก  
ท่านเคยเจอหรือไม่ บางสิ่งในโลกบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่เราเกลียดมากๆ ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่ชอบมากๆ ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังจะทำให้ผลไม้นี้ เป็นสิ่งที่ท่านเกลียดและชอบในเวลาเดียวกัน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมส์ส่งต่อผลไม้ และให้ร้องเพลงฉันอยู่ที่นี่มีความสุข  หากผลไม้อยู่ที่ใครให้ออกมาเต้น และก็ได้ผลไม้นั้นไป)
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมแล้วอยู่ไหนก็มีความสุขได้ ตอนอายุดีๆ ตาก็แจ่มชัด ทำอะไรก็ไว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมตอนที่อายุมากตาเริ่มฝ้าฟางหูเริ่มตึง ทำอะไรก็เชื่องช้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง คนเราในโลกนี้ บางทีตามองเห็นอะไรชัดเจนไป การเห็นอะไรชัด แต่ก่อนมันโง่เหลือเกิน แต่เดี๋ยวนี้ฉลาดทันคน แล้วมันเจ็บใจเหลือเกินเลยที่ทำอะไรไม่ได้  ฉะนั้นจำไว้นะว่า ฟ้าคอยเตือนมนุษย์ไว้เสมอว่า ถึงวันหนึ่งเราจะมองเห็นชัด แต่วันหนึ่งเราก็ต้องรู้จักมองไม่เห็นบ้าง  ถึงวันหนึ่งเราอยากจะได้ยินเสียง แต่วันหนึ่งก็ต้องรู้จักไม่ได้ยินเสียงที่ควรจะได้ยินบ้าง  ถึงวันหนึ่งเราอยากจะใจร้อน ใจเร็ว อยากทำให้สำเร็จทุกอย่างอย่างที่หวัง  แต่บางครั้งก็ต้องรู้จัก ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ใช่ไหม (ใช่)  อย่ามัวแต่มองออก หันกลับมามองเข้าบ้าง  เพราะชีวิตสอนชีวิตอยู่ทุกขณะ จริงไหม (จริง)  
เคยได้ยินไหมว่าคนเรายิ่งอายุมาก ใจยิ่งเป็นเด็กลงๆ ยิ่งน้อยใจมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็น้อยใจ ใช่ไหม (ใช่)  ในโลกนี้ในโชคดีมีโชคร้าย ในโชคร้ายมีโชคดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้โชคร้ายเป็นของเขา แต่ในร้ายถ้ารู้จักคิดหาให้ดีก็มีดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดคิดได้คิดดี หาให้ดีก็มีดีได้  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ถ้าคิดได้คิดเป็นเราก็มีสุข จิตรู้จักฝึกจะเป็นจิตที่นำคุณประโยชน์มาให้  ตอนต้นเราบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยใจเรา  แต่จะสำเร็จได้ด้วยจิตที่รู้จักการฝึกดีแล้วจะนำความสุขมาให้  แล้วจิตที่ฝึกดีแล้วเป็นอย่างไร  
ก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเราขอถามว่า คนทุกคนมีความสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน (ความทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนต่างต้องการความสุข  แต่ถึงเวลาใจเรากับเก็บความทุกข์ และเก็บเอาสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นมาอยู่ในตัวเรา แล้วเก็บมากๆ อืดไหม (อืด)  เช่น คนนั่นก็ขี้บ่น คนนี้น่ารำคาญ คนนี้เอาเปรียบเขา เก็บมากๆ หน้าก็ออก  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านปรารถนา  ถึงแม้เราไม่ได้ฝึกจิตมาว่าต้องเข้มแข็ง ต้องคิดเป็น  แต่จิตของท่านฝึกได้  ถ้าฝึกจิตดีแล้ว จิตจะนำความสุขมาให้  ในโลกนี้ถ้าเราฝึกจิต โดยการคิดให้เป็น คิดให้ได้  จะทำให้เรารู้จักไกล่เกลี่ยสิ่งที่ไม่ควรเก็บให้เอาออกไป ระบายออกไปอย่างถูกต้อง  แล้วอยากทำไหม (อยาก)  แล้วทำเป็นไหม (ไม่เป็น)  มนุษย์แปลกนะ คิดจะสร้างเรือรบเรือบินเรายังสามารถทำได้  แต่ตัวเองทำให้มีความสุขบอกว่าทำไม่เป็น  รู้จักหาความสุขข้างนอก แต่หาความสุขในใจบอกว่าทำไม่ได้  ฉะนั้นเรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้เก่ง แต่ถึงเวลาก็ (เอาตัวไม่รอด)  ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ความรู้ท่วมหัวแต่เอาใจไม่รอด  วิธีการฝึกอย่างแรกคือเมื่อมีความทุกข์เราเปิดรับความทุกข์แล้ว ความทุกข์ก็อยู่ในใจ เราเก็บทุกข์ไว้ เราก็ทุกข์อย่างนั้น  เคยคิดไหมว่า ถ้าเรามีใจ เรามีพลัง  ถ้าเราบอกว่าเราจะสู้ เราก็แรง มีพลัง รู้จักเรียก เมื่อมันมาแล้ว มันมีพลังแล้ว เราก็ต้องรู้จักตั้งรับด้วยสติปัญญา  การคิดได้คิดเป็น จะทำให้เรารับกับความทุกข์กับปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีแนวทางออก  เมื่อเรามีพลังที่จะต่อสู้ การที่ผลักดันมันไปออกก็ไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ถ้าเรามีพลัง เราไม่สู้ ถึงมีพลังอยู่ในตัวเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือความกล้าหาญ  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ในตัวทุกคนย่อมมีพลังดีและพลังร้าย  แต่ถ้าทุกวันเรารดน้ำพลังดีพลังร้ายจะมีอำนาจไหม (ไม่มี)  ทุกวันเรามีสติกับความดี แต่ไม่สนใจความชั่ว เดี๋ยวความชั่วก็หายไปเอง  เหมือนเวลาที่เราอยู่กับคนที่เรารัก กับคนที่เราเกลียด  ทุกวันเราก็คุยกับคนที่เรารัก สนใจแต่คนที่เรารัก เรารู้จักเขามากขึ้น แต่คนที่เกลียดเราเคยสนใจไหม (ไม่)  แล้วมันทำอะไรเราได้ไหม ถ้าเราไม่สนใจเราไม่รัก ไม่ทำให้เราทุกข์หรอก  แต่คนที่ทำให้เราทุกข์คือคนที่เรารักที่สุด จริงไหม (จริง)  แล้วคนที่ทำให้เราเจ็บที่สุดก็คือคนที่เรารักใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจะดีขึ้นได้ ด้วยใจที่รู้จักต่อสู้กับความเป็นจริง โลกนี้มีเรื่องจริงหลายอย่างที่บางครั้งเราคิดไม่ถึง  และรับไม่ได้ แต่ถึงเวลาเมื่อมันมาเผชิญกับเรา เราก็ต้องสู้และยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครบ้างที่เกิดมาไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องพลัดพราก ไม่ต้องทุกข์ และใครบ้างไม่ต้องเสียสละ แต่อย่าลืมนะว่า เสียหนึ่งแต่อาจจะได้อีกหนึ่ง ถ้าเราคิดเป็นถึงแม้เราจะทุกข์แบบหนึ่ง แต่เราอาจจะได้สุขแบบหนึ่ง ก็เป็นได้  เหมือนยามป่วย เราจะเห็นว่าใครบ้างที่รักเรา ใครบ้างที่ไม่รักเรา จริงไหม (จริง)  ถ้ายามป่วยไม่มีใครมาเยี่ยม  แสดงว่าไม่มีใครรักท่านเลยนะ  ฉะนั้นเรากลัวความทุกข์ทั้งแปดของโลก จงรู้จักตั้งรับ และสู้  การคิดเป็นและคิดได้  จะทำให้เรามีความสุข
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมปิดตาคำสิ่งของ)
เหมือนเรานั่งฟังในวันนี้ แม้จะพูดเรื่องเดียวกัน แต่ละคนก็มีความรู้ความเข้าใจไม่เหมือนกัน  ทั้งที่ฟังเรื่องเดียวกัน แต่ที่อยู่ในหัวใจหรือสิ่งที่ได้รับไปก็ไม่เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  เหมือนคนปิดตาจับเก้าอี้ทุกคนก็ถูก แต่ถูกคนละแบบ เป็นเก้าอี้เหมือนกัน แต่เก้าอี้คนละแบบ  แล้วในชีวิตของมนุษย์เรานั้นเรากำลังปั่นหัวตัวเองหรือเปล่า

เวลาเราอยู่ในสังคม ทุกคนต่างมีความเห็นมุมมองแตกต่างกัน  แต่ทำไมเราไม่คิดว่าในมุมมองต่างๆ กันนั้น ถ้าเราเอามาประสานรวมกันให้พอเหมาะ เราจะได้โลกที่กว้างขึ้น  แต่คนในโลกกลับยืนกระต่าย
ขาเดียว ฉันถูกเธอผิด  ชีวิตนี้อย่าเอาแต่ถูกผิดมากเลย มัวแต่เถียงถึงที่สุดแล้วมีแต่ทุกข์ ปล่อยให้คนอื่นถูก แล้วเราผิดบ้างจะเป็นอะไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เผื่อสักวันสิ่งที่เราคิดอาจจะดลใจให้เขาเห็นมุมมองที่ถูกและกว้างขึ้นก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนท่านมาฟังธรรม แล้วบอกว่าไม่เคยได้ยิน ไม่เหมือนพุทธศาสนา แล้วจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิดได้ไหม (ไม่ได้)  ถูกได้ไหม ก็ไม่แน่  เราอยากจะบอกว่า ขอเพียงเป็นหลักธรรมที่ทำให้มนุษย์เราสามารถพ้นทุกข์และเข้าใจชีวิต ก็พอแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ศาสนามีหลายศาสนา มีหลายแบบ ขอเพียงยึดอะไรแล้วมีสุข พ้นทุกข์ และช่วยเหลือคนได้ ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ  ทำไมต้องมายืนยันว่า ของฉันถูก ของเธอผิด จะต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ไม่ได้  สำคัญนะ ไม่อย่างนั้นท่านไม่แย้งอยู่ในใจหรอก จริงหรือเปล่า  ฉะนั้นบางทีสิ่งที่คิดว่าสำคัญ แต่ถ้าเกิดลองชั่งน้ำหนักความจริงแล้ว อะไรจะมีความสำคัญกว่าคุณประโยชน์ที่มีผลต่อจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์พยายามถามพระพุทธองค์ว่าโลกนี้จะดับเมื่อไร  พระพุทธองค์บอกว่าจะถามไปทำไม ทำไมไม่ถามว่าตัวเองจะพ้นทุกข์เมื่อไร มิประเสริฐกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นควรถามปัญหาที่ควรถาม ควรสงสัยปัญหาที่ควรสงสัย อย่าสงสัยแล้วเสียสมองในเรื่องที่ไม่ควรเอาสมองไปเสียเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่)  

“เปิดใจกว้างรับมุมต่างเข้าใจคน”
มาศึกษาธรรม ใจต้องกว้างขึ้น เรียนรู้ ค้นคว้าหลักธรรม  หัวใจต้องขยายใหญ่ขึ้น ไม่ใช่เป็นคนมีความรู้แต่จิตใจกลับคับแคบ อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนศึกษาธรรมจิตใจต้องกว้างขวาง รับได้ทุกคำพูดของคน  แม้วันนี้เขาจะด่าทอเรา แต่ลึกๆ เขาอาจเป็นห่วงเราก็ได้  ถ้าไม่ห่วง ไม่สนใจ เขาจะด่าเราให้เมื่อยปากไหม (ไม่)  ไม่ด่าหรอก จริงหรือไม่ (จริง)  เงียบๆ ไว้ดีกว่า ปล่อยๆ ให้ตายไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเขารักเขาห่วง เขาจึงบ่น เขาจึงว่า ถ้าไม่รัก แล้วจะบ่นให้เมื่อยกรามทำไม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราศึกษาธรรม มุมมองในการมองชีวิตต้องกว้างขึ้นและชัดเจนให้ถูกต้องนะ
“การอดทนด้วยใจแย้งย่อมไม่ดี”
อยู่ร่วมกันใช้คำว่า อดทน ไม่ค่อยดี  เพราะอดทนไปนานๆ แล้วมันตะบะแตก  ทนไว้ก่อน ยอมไปก่อน แต่ใจลึกๆ รู้สึกว่าน่าโมโหจริงๆ  แต่ก็บอกตัวเองว่าทนไว้ๆ สุดๆ แล้ว แต่ยังต้องอดทนไว้ก่อน  แต่พอวันหนึ่ง ทั้งที่เป็นคนทนมาได้ร้อยๆ เรื่อง เข็มบ่งนิดเดียว พอเรื่องอีกนิดเดียวก็สุดและแตกออก ที่ทนมาร้อยๆ อย่างไม่มีประโยชน์เลย  ฉะนั้นอยู่ด้วยความเข้าใจ เห็นใจ และพร้อมให้อภัย ดีกว่าไหม (ดี)  คนยังมีหัวหงอก หัวดำ หัวขาว หัวทอง หัวแดง หรือหัวล้าน  จะให้ทุกคนรักษาผมให้อยู่บนหัว ยังรักษาไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะให้ดีเหมือนกับที่เราคิดเป็นไป
ได้ไหม (ไม่ได้)  ทีผมยังทำใจได้เลย หรือว่าทำใจไม่ได้ยังรู้จักหาวิกมาเสริมทำให้รู้สึกสบายใจ  แล้วเมื่อใจเราคิดแล้วทุกข์ ทำไมไม่คิดอะไรที่สบายใจ เพราะคนที่เขาทำให้เราทุกข์เขาเดินไปแล้ว ผ่านไปเป็นปีๆ แล้ว เรายังเจ็บใจอยู่ ยังจำอยู่  แต่ถามว่าโกรธเรื่องอะไรบางทีก็นึกไม่ออกเหมือนกัน จริงไหม (จริง)  รู้แค่เพียงว่าเกลียดมันแล้ว
ฉะนั้นขอให้คิดให้ดีๆ ชีวิตเริ่มขึ้นที่ตัวเราและสรรค์สร้างด้วยตัวเราเอง เริ่มต้นที่ความคิดในจิตใจใช่ไหม และสำเร็จได้ด้วยใจที่คิดเป็น
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ใครที่อุตส่าห์เสียสละเวลามาช่วยงาน เราก็ขอบคุณในความเหนื่อยยาก ในความลำบาก ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลัง  รู้ว่าเหนื่อยแต่ยอมเหนื่อยเพื่อผู้อื่นเป็นจิตใจที่ประเสริฐและจิตใจที่งดงามนะ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมยกย่องจิตใจนี้  แต่ใจประเสริฐและงดงามจะดีที่สุด เมื่อรักษาให้อยู่คู่ชีวิตจนวันตาย  คนเราจะขึ้นชื่อว่าดีอย่างถ่องแท้คือดีอย่างไม่กลัวอุปสรรคและดีจนถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“สิ่งใหม่มีค่ากว่าสิ่งเก่าหรือ”
เคยไหม เบื่อแฟนที่บ้าน แต่เห็นผู้ชายข้างนอกบ้านดีกว่าแฟนของเรา เบื่อของที่อยู่ในมือแต่ของที่อยู่ในห้างน่าสนใจกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ไม่รู้จักเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมี ไปยกย่องคุณค่าของข้างนอกมากกว่า นั้นคือคนที่ถมไม่เคยเต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นคนอย่างนั้นนะ ไม่อย่างนั้นท่านจะต้องเหนื่อยไม่มีวันสิ้นสุดและหาสุขไม่มีวันเจอ
มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาทำผิดไม่ยอมรับ กั้นไว้ด้วยเหตุผลนั้น เหตุผลนี้ บางทีเราลองยอมรับดูบ้างก็ได้นะ แล้วเราจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเรากล้าแค่ไหน ที่ทำแล้วเรารับผิดชอบ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วคนที่ทำแล้วรับผิดชอบเอาไปสอนคนได้นะ ซึ่งปัจจุบันในโลกไม่มีนะ  ปัจจุบันในโลกนี้ถ้าผิดก็ของเขา ถ้าถูกก็ของเรา  แต่อย่าลืมว่าเกิดเป็นคน ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นคนที่น่ารักของผู้อื่นได้ ต้องรู้จักรับผิดชอบ  เห็นไหมว่าคำว่าผิดยังมาก่อนคำว่าชอบเลยใช่ไหม (ใช่)  มีใครพูดว่าเกิดเป็นคนต้องรู้จัก
“รับชอบผิด” บ้าง (ไม่มี)  พูดเองก็นึกด้วยนะว่าคำพูดก็สอนเรา  เคยได้ยินไหมว่า ความบกพร่องของคนโบราณนี้ ทำให้มนุษย์รู้จักสมบูรณ์และเติมเต็มเป็น  ฉะนั้นอย่ารังเกียจข้อบกพร่องแม้ของตัวเอง  ถ้ากล้าจะมองเห็นและกล้าจะบอกคนอื่นว่าฉันก็มีข้อบกพรอ่ง คนอื่นจะช่วยเติมให้เต็ม จริงไหม (จริง)  เช่นเวลาอยู่ในบ้านใส่รองเท้าเก่าๆ เชื่อไหมว่าไม่ต้องบ่นอะไรนะ พอภรรยาเห็นก็จะถามเองว่า “ทำไมใส่รองเท้าเก่าอย่างนี้”  ถ้าเราตอบว่า “ก็รองเท้ายังดีอยู่ยังทนอยู่”  เดี๋ยวไม่นานภรรยาก็จะซื้อให้ใหม่ จริงไหม (จริง)  เพราะเขารักเรา  แต่ถ้าตัวเองเป็นคนที่ถูกเสมอ แล้วเราจะได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
เอาล่ะไปล่ะ ขอบคุณปั้นซื่อทุกคนนะ ที่ช่วยทำให้งานฟ้าและ
งานดินและงานมนุษย์สำเร็จลงได้ในสามวันนี้  และขอบคุณทุกคนขอบคุณจิตใจที่อดทนเข้มแข็ง ฟังจนอยู่ครบได้ และขอให้รักษาจิตใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ควรอดทนให้อยู่ไปตลอดชีวิตนะ  วันนี้ตลอดสามวันไม่ได้อะไรเลย  แต่อย่างน้อยได้ความอดทนไป และได้รู้ว่าการกินเจก็อร่อยเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ารีบตั้งป้อมรังเกียจอะไรง่ายๆ
ทุกสิ่งมีดีเป็นของตัวเอง ถ้ารู้จักหาให้เจอ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เป็นคนดีมีศรัทธา”
        เกิดเป็นคนทนได้เมื่อรู้ชัด        แต่ไม่อาจเป็นอย่างที่ตนคิด
    ยอมรับตามความจริงบำเพ็ญจิต        จำทนเป็นคนผิดรู้สัจธรรม
    ใช่รักษาความดีไว้ใส่กรอบ            พูดทำชอบด้วยหน้าที่มีสูงต่ำ
    จงดีง่ายใฝ่ดีขึ้นอยู่ประจำ            ปัญญานำความรู้เหนือความจริงยง
    คนเลื่อมใสสิ่งหนึ่งถึงที่มั่น            ศรัทธาอันมีเข้าใจให้ประสงค์
    ความแตกต่างต่างสร้างไม่เป็นเย็นล้มลง    สร้างเป็นคงหลากหลายแต่เลือดสีเดียว


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา