วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2550

2550-06-09 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร


西元二○○七年歲次丁亥四月二十四日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    โลกจมลงจะกู้ได้ด้วยธรรม    แต่ว่าธรรมที่กล่าวนี้ไร้รูปลักษณ์
มหาธรรมโปรดโลกท่านต่างรู้จัก    อย่าได้มักใกล้เกลือกินด่างเลย
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
            ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา ฮวา

    อันภาระคนมีทุกคนผู้    แต่จะรู้ก่อนจะสายได้หรือไม่
ความโชคดีที่ใครคิดได้กว่าใคร    อยู่ที่ใครรู้แก่นสารแห่งชีวา
การได้มีโอกาสอย่าปล่อยเสีย    ชีวิตเพลียเพราะกิเลสมากหนักหนา
จะไล่ตามมีไม่สิ้นความอยากนา    ขอปรารถนาพ้นเวียนว่ายเป็นที่สุด
อันคุณค่าทุกคนมีไม่แตกต่าง    แต่ในนั้นทุกคนสร้างไม่เท่ากัน
ความสัมพันธ์ของคนนั้นเกื้อกูลกัน    แต่ก็ต่างกดดันกันอยู่ในที
ในคนที่ประสบความสำเร็จเป็นส่วนมาก    เหตุผลจักซ่อนอยู่ในมารยาทศรี
ไร้มารยาทมีเหตุผลเหมือนไม่มี    มีมารยาทเหตุผลไม่มีก็เหมือนมี
ในวันนี้ชีวิตล่วงเลยมา    อันเรื่องว่าชีวิตนี้ต่างรู้สิ้น
แต่ยังทำไม่ดีนักน้องชาวดิน    ต่างผกผินตามใจไม่เป็นกระบวน
ศึกษาธรรมจึงหมายมุ่งรู้ชีวิต    เพื่อลิขิตความคิดและความประพฤติ
จึงจะไม่มามืดและไปมืด    ขอจางจืดรู้รสแท้แห่งชีวา
น้องคนบุญอย่าได้เอาแต่สงสัย    อย่าเป็นไก่ได้พลอยไม่รู้ค่า
การเป็นคนต้องอดทนทั้งนั้นนา    อย่าได้หาปัญหามาสู่ตัว
การทำงานต้องปลอดพ้นความเร่งร้อน    ท้อแท้หย่อนสมาธิกังวลจัด
ทั้งทางโลกทางธรรมล้วนต้องหัด    จึงจะอาจชนะอุปสรรคเป็น
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ    แลเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
ก่อนที่จะใช้ใจต้องสำรวจใจ    จึงใช้ใจฟังธรรมและบำเพ็ญธรรม
ศิษย์พี่รับบัญชาคุมชั้นเรียน    หวังน้องเปลี่ยนตนเองได้สำเร็จ
เจียระไนจิตใจให้แกร่งดั่งเพชร    อย่าได้เข็ดความล้มเหลวที่รอบราย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
            ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

    ที่สุดแห่งชีวิตอยู่ที่ใดฤๅ    ใช่คาดเดาหรือควบคุมกำหนดได้
ที่สุดแห่งความทุกข์ของหัวใจ    อยู่ที่ใครคิดได้เป็นเท่านั้นเอง
        เราคือ
    เสี่ยวเซี่ยวฝอถง    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา    ถามเมธีทุกท่านง่วงนอนหรือเปล่า

    ฝึกจิตสุดคนลืมเมาโลกีย์ร้าย    ผิดถูกท้ายพอตัวมัวไม่ใส
ใจใครเป็นสนิมรู้ตัวไม่วาย    อย่ารู้ใจใครกว่าทำใจตน
ตื่นทุกข์เป็นได้สติสุขไม่ยาก    ขวบกาลไล่มายมากเหนื่อยและสับสน
ชีวิตขืนพัวพันตามไม่ข้ามพ้น    ทุกโมงยามนั้นคนอย่าเผลอใจ
โลกวุ่นวายวันนี้ดั่งคนลืมธรรม    หาใช่ธรรมลืมคนยามหนึ่งไหน
ขาดแคลนจนน่าขำคนจนน้ำใจ    ไม่ว่าสุขเศร้ากลัวไว้ลืมสละ
อย่าจดจ่อช้ำเจ็บก้าวไม่ออก    ปัญหานอกตัวเรื่องจมแก้หรือละ
การทำใจกว่าเดิมคืนวันมานะ    แต่หวั่นกลัวรู้จะไม่ทันกาล
จิตใจและอารมณ์ครองต้องมีดุล    น้อยเป็นทุนคนอยู่อย่าเสียขวัญ
จงอย่าท้อในความเป็นอยู่นั้น    จัดระเบียบชีวิตและงานบนความจริง
อาจอยากเปลี่ยนในความเป็นอย่างนั้น    รู้สามัญอย่าสับสนในจริงยวดยิ่ง
หายใจจะพร้อมโลกที่เหยียบนิ่ง    คนเหนือคนใจนิ่งดีกลางใจ
การรู้ยอมย่อมหมายถึงชัยชนะ    ทุกภาระไม่จริงได้เลือกงานง่าย
บำเพ็ญไม่มีสายไปอย่าถอดใจ    ใช้ปัญญาพิจารณาทั้งหลายไม่กินแรง
            ฮิ ฮิ หยุด

    พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ฟังดนตรีขับกล่อมแล้วเป็นอย่างไร ไพเราะไหม (ไพเราะ) รู้สึกว่าคนเล่นดนตรีเป็นอย่างไร (ดี) เล่นดี ฟังแล้วรู้สึกเคลิ้ม รู้สึกมีความสุขใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าฟังดนตรีแล้วทำให้หัวใจเราอ่อนโยน แล้วก็รู้สึกดีใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราไปหัดเรียนดนตรีเลยดีไหม (ไม่ดี)  แปลกนะบางคนรู้ว่าการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำให้หัวใจรู้สึกดี ทำให้ชีวิตรู้สึกสดชื่น แต่ให้ไปทำ ให้ไปฝึกแล้วให้ตัวเองเป็น กลับไม่เอา
มีอีกวิธีการหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเล่นดนตรี แต่สามารถทำให้เราและคนในบ้านมีความสุขได้  นั่นคือการมีดนตรีมีความสุขอยู่ในหัวใจตลอดเวลา คนที่มีความสุขอยู่ในหัวใจตลอดเวลาไปอยู่ที่ไหนก็ต้องสร้างสรรค์ความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเกษมปรีดา เกิดรอยยิ้ม  แต่หากในหัวใจเราหดหู่ ห่อเหี่ยว เต็มไปด้วยความทุกข์ ความโกรธ ความรู้สึกเกลียดคนอื่นเต็มไปหมด เราจะสามารถสร้างความสุขให้ตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะสามารถมอบความสุขให้คนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าทุกขณะเรามีดนตรี มีความสุข มีความร่มรื่นอยู่ในหัวใจ เราก็สามารถที่จะสร้างสรรค์คนรอบข้างให้มีความสุขได้  
แต่มนุษย์มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือชอบแบ่งปัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรามีความทุกข์ในหัวใจ  มีความทุกข์มากๆ  เราชอบระบาย ต้องระบาย ต้องแบ่ง ต้องให้คนอื่น ถึงจะหายทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  แต่แบ่งไปแล้ว ระบายไปแล้ว หายไหม (ไม่หาย)  บางทีกลับยิ่งหนักเข้าไปอีก
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาเรารู้สึกดี เราเคยคิดจะแบ่งให้คนอื่นบ้างไหม น้อยครั้งที่จะให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างมากสุดก็ยิ้มอยู่คนเดียว แต่พอเห็นหน้าใครก็หุบทันทีจริงไหม (จริง)  
รู้ไหมว่าทำไมมนุษย์เราจึงไม่สามารถมองกันด้วยความสุข อยู่ร่วมกันด้วยความเกษมปรีดิ์เปรม ทั้งที่เป็นคนในบ้านเดียวกันแท้ๆ เพราะหัวใจเราไม่บริสุทธิ์ แล้วเวลามองเขาก็เต็มไปด้วยนิสัยอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกว่าเห็นขยะเต็มไปหมดเลย จริงหรือไม่ (จริง) มองก็เหมือนมีขยะมาขวางอยู่ตรงหน้า เวลาเจอหน้าภรรยาเดินมา สามียิ้มออกไหม
(ไม่ออก)  ตอนแรกๆ แค่เห็นก็ยิ้มออกแล้ว แต่พออยู่กันไปนานๆ เหมือนมีอะไรมาขวางกั้นจิตใจ ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่มนุษย์สามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา เราจะเป็นคนที่มีความสุขได้ง่าย มองใครๆ ก็ยิ้มออก  แต่เดี๋ยวนี้หัวใจเราไม่บริสุทธิ์ มองใครก็เต็มไปด้วยกิเลส  อัตตา ตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นความสุขไม่ได้หายาก อยู่ที่เราพร้อมที่จะมองผู้อื่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์หรือยัง  
วันนี้นั่งอยู่ที่นี่เป็นนรกหรือเป็นสวรรค์ (สวรรค์)  เป็นกรงขังหรือเป็นแดนสวนสนุก (แดนสวนสนุก)  หากจิตใจไม่มีความสุขไปอยู่บ้านไหนๆ  ก็ไม่มีสุข  แต่หากจิตใจรู้สึกยินดีปรีดา แม้อยู่ในที่แคบที่สุดเราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ ฉะนั้นทุกข์หรือสุขหาได้หมายถึงการครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่  แต่ทุกข์หรือสุขอยู่ที่หัวใจเราต่างหาก  ว่าเราจะวางไว้ให้สูงหรือสอดไว้ให้ต่ำ จะวางไว้ให้ดีหรือวางไว้ให้ไม่ดี จะยกให้สูงหรือกดให้มันแย่ แล้วตอนนี้เรากำลังวางหัวใจไว้ที่ใด
เคยได้ยินคำพูดที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวไหม (เคย)  แล้วเคยไหมว่าถ้าหัวใจมันรู้สึกแย่มากๆ ลองยกให้สูงแล้วจะมองออกว่า ปัญหาที่เคยมองว่าใหญ่แท้ที่จริงแล้วเล็กนิดเดียว  บางครั้งเราก็คิดว่าตัวเราเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา แต่พอไปยืนอยู่ที่สูงเราจึงรู้ว่ามนุษย์นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมดตัวเล็กๆ นี่เอง ถ้าอยู่ที่สูงนานๆ แล้วเริ่มหนาวเราก็จะต้องหัดลงมาต่ำบ้าง เพราะการหลงลำพองไม่มีใครอยากคบหา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น เกิดเป็นคนเมื่อรู้จักยกจิตได้ก็ต้องรู้จักกดจิตได้เหมือนกัน เมื่อรู้จักกดจิตให้แย่ได้ ทำไมจะยกกลับขึ้นมาให้ดีไม่ได้ จริงหรือเปล่า ถ้าจิตใจเหมือนสวิทซ์ไฟ อย่างนั้นวันนี้เราจะมาเรียนรู้การเปิดปิดหัวใจของเราดีไหม (ดี)  
การศึกษาหลักธรรมอย่ายึดมั่นหรือจำกัดวง เคยไหมว่ามองผู้ใหญ่แล้วรู้สึกเบื่อหน่าย แต่มองเด็กแล้วรู้สึกสดชื่น เห็นผู้ใหญ่มีความรู้มากๆ มองแล้วคร่ำเครียดเหลือเกิน แต่พอไปมองเด็กแล้ว
สดชื่น สบาย ไม่ต้องคิดอะไร ใช่หรือไม่  วันนี้ลองมาศึกษาธรรมในแบบเด็กดู อย่ายึดมั่นในคุณธรรมหรือการเรียนรู้หลักธรรมว่าจะต้องอยู่ในวัดหรืออยู่ที่พระเท่านั้น จริงๆ แล้วหลักธรรมมีอยู่ในทุกๆ ที่  อยู่ที่เราจะเปิดหัวใจกว้างหรือยึดติดเอาไว้เท่านั้นเอง ถ้ายึดไว้ก็มองไม่เห็น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อใดเห็นธรรมเมื่อนั้นเห็นตถาคต แต่ถ้าวันนี้ไม่สามารถเห็นธรรม จะเห็นตถาคตในตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นจะมาโทษว่าเราเป็นของปลอมได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะท่านมองไม่เห็นธรรมเอง อย่าให้พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า อย่าให้อัตตาตัวตน ความยึดมั่นในรูปแบบมาบดบังความจริงแท้ที่อยู่ภายใน ไหว้พระแล้วจะไปให้ถึงพระ ตัวเราต้องรู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ถ้ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นพระ แม้จะแขวนพระองค์ใหญ่ๆ ก็ไม่เห็นพระ มีแต่พระภายนอกแต่ไร้ซึ่งพระภายใน จะมีประโยชน์อะไร
มนุษย์อยากพ้นความทุกข์เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่ทรมานหัวใจมากที่สุด แล้วก็บีบคั้นให้เราเจ็บปวดชีวิตมากที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะหยุดทุกข์ได้อย่างไร
มนุษย์มักจะพูดว่า “ฉันจะรู้สึกดีได้ก็ต่อเมื่อมีคนมาชมเท่านั้น” “ฉันจะรู้สึกดีได้ก็ต่อเมื่อมีเงินมีทองเท่านั้น” แต่พอมีคนชม มีเงินมีทอง มีสุข ก็กลับกลายเป็นกลุ้มกังวลต่อว่าเงินนี้จะอยู่หรือหายไป ส่วนคำชมนี้จะเปลี่ยนเป็นคำด่าเมื่อไร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วความสุข นั้นอยู่ที่ว่าเมื่อไรหัวใจเราจะรู้จัก (พอ)  แค่ “พอ” อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรู้จักยินดีในความพอ เมื่อไรที่เรายินดีในความรู้สึกพอ สุขก็จะอยู่ใกล้แค่นี้เอง
ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  สำหรับมนุษย์บางทีความร้อนความเย็นขึ้นอยู่กับพัดลมหรือแอร์ บอกว่าแค่มีพัดลมไม่เย็นหรอก ต้องแอร์เท่านั้นถึงจะเย็น  แต่อีกคนหนึ่งคิดว่า แอร์ไม่มีก็ไม่เป็นไรขอให้มีพัดลม แต่ถ้าพัดลมไม่มีก็ไม่เป็นไร ขอให้มีลมพัดก็พอ อันไหนดี แล้วท่านจะยึดติดว่าต้องแอร์เท่านั้นหรืออะไรๆ ก็ได้ ความสุขอยู่ที่การยึดติดหรืออยู่ที่อะไรก็ได้ ถ้าบอกว่าความสุขอยู่ที่การมีเงิน มีเงินหนึ่งบาท ก็ต้องมีสองบาท มีสองบาทก็ต้องมี (สามบาท) บางคนไม่สามบาทแต่ขอร้อยหนึ่งเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เมื่อเราต้องเร่งรีบตัดสินใจอะไร ขอให้คิดพิจารณาให้ครบสามรอบ ถ้าคิดพิจารณาครบสามรอบแล้วค่อยตัดสินใจทำ ทำอะไรอย่ารีบร้อน เพราะความรีบร้อนมักทำให้เรา (ผิดพลาด)  อย่างนั้นวันนี้ยอมรับหรือยังว่าตัวเองก็เป็นนักเรียนได้เหมือนกัน บางทีก็ต้องยอมรับในสิ่งที่แม้ไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากมีคนเรียกชื่อเราหนึ่งครั้ง เราก็ขานตอบรับใช่ไหม แต่ถ้าเรียกสักสิบครั้งเราจะรู้สึกโมโหทันที  จริงไหม (จริง) แปลกนะ  
ชื่อเดียวกันแต่ถ้าเรียกซ้ำสิบครั้งทำไมเราโมโหง่ายๆ
ถามว่าสิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี เราชอบทำสิ่งที่ดีมากกว่า ใช่ไหม (ใช่) ระหว่างบุญกับบาปเราชอบทำบุญมากกว่าใช่ไหม (ใช่) พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า “บาป คือสถานที่อันหมองเศร้า มีผลเป็นความทุกข์เป็นความร้อนใจและความกลุ้มกังวล” มนุษย์กลัวทุกข์และไม่ชอบความทุกข์ ฉะนั้นจงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เมื่อนั้นความทุกข์ก็จะไม่เกิดในชีวิต  แต่ถามว่ามนุษย์มีทุกข์ไหม (มี)  เราก็ว่าเราไม่ทำบาปแต่ทำไมยังมีทุกข์ แล้วมีความกังวลใจ มีความร้อนใจ มีความเศร้าหมองในหัวใจไหม (มี) เราก็ไม่ทำบาป แล้วทุกข์มาได้อย่างไรเคยถามไหม ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
พระพุทธองค์เคยบอกว่า “ความทุกข์มีเหตุมาจากการทำบาป ผลของการทำบาปคือมีความทุกข์ มีความหมองเศร้า และมีความร้อนใจเป็นที่สุด”  แต่บาปเราก็ไม่ทำ ศีลห้าเราก็มีครบ แต่ทำไมยังทุกข์ ยังมีความกลุ้มกังวล ความหมองเศร้าก็เป็นอยู่บ่อยๆ เพราะเรามีอะไร  (เพราะใจไม่สงบ) ก็เป็นไปได้  เพราะอะไรอีก (เพราะจิตที่สำนึกได้) จิตที่สำนึกได้เพราะไปแอบทำผิดมาใช่ไหม พอสำนึกได้เราก็รู้สึกละอายใจจังเลยที่แอบทำผิด ใช่ไหม  
เรามีโจรอยู่สี่ตัว แล้วโจรนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกฤทธิ์อะไร แต่ถ้าเก็บไว้อยู่ในใจ บางครั้งก็ทำให้เราไม่มีความสุขได้เหมือนกัน
จริงไหม ถ้าเรามีโจรอยู่ในบ้าน ถึงแม้โจรคนนี้บอกว่าเขาไม่ได้ขโมย ไม่ได้ทำอะไร แต่อยู่ในบ้าน เราก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ  อะไรที่อยู่ในหัวใจเราแล้วทำให้เราเป็นทุกข์ (ใจที่เป็นโจร) จริงไหม (จริง)  อย่างเช่น สิ่งที่ไม่น่ามอง แต่ก็แอบมอง สิ่งที่ไม่น่ารู้ พอได้ยินก็อยากรู้ รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด หรือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีอะไรอีกที่เป็นโจรในหัวใจเรา แม้จะอยู่เฉยๆ ไม่ออกฤทธิ์แต่ก็ทำให้เราวุ่นวายใจได้เหมือนกัน (วาจา)  เคยไหมว่าคำพูดคำเดียว แต่สามารถฝังลึกในใจ นึกถึงเมื่อใดก็เจ็บปวดเมื่อนั้น ถ้าพูดไม่ระวังและพูดด้วยอารมณ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหมว่าอดทนแล้วทนไม่ไหว ว่าเขาไปคำหนึ่ง  แต่คำว่าคำหนึ่งก็ฝังใจเขาเป็นแผลกลัดหนองลึกนึกทีไรก็เจ็บทุกที เราเคยพบไหม (เคย) เกลียดคนนี้อยู่คนเดียวเพราะเขาเคยว่าเราคำหนึ่งว่า “งก” เกลียดจริงๆ เห็นหน้าเขาทีไร “งก” มาแต่ไกลเลย เพราะพูดไม่รู้จักคิด ใช่ไหม (ใช่)
เรารู้มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนดี อยากทำสิ่งที่ดี และอยากมีสิ่งที่ดีอยู่เสมอ แต่ถ้าเราอยากทำสิ่งดีแต่ไม่รู้จักขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัว ความดีนั้นก็อาจจะถูกลบล้างด้วยความชั่วที่อยู่ในใจเราก็เป็นได้ ฉะนั้นนึกให้ออก แล้วเอามันออกไป (รัก โลภ โกรธ หลง)  เป็นโจรทั้งสี่ที่แม้ไม่ทำอะไรก็เป็นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ตอบได้ดีนะ แล้วมีอะไรอีก (มองด้วยความคิดที่ไม่ดี)  ความคิดไม่ดีก็มีส่วน
แม้ไม่พูด แม้ไม่กระทำแต่ถ้าคิดร้ายแล้วก็เป็นความวุ่นวายในหัวใจได้
จริงไหม (จริง) เช่นถ้ารู้สึกว่าเก้าอี้มันร้อนเป็นไฟเหลือเกินก็เพราะว่าเราเป็นอย่างไร เพราะใจเราเบื่อ เมื่อไหร่จะจบเสียทีใช่หรือเปล่า
เรายกตัวอย่างง่ายๆ นอกจากรักโลภโกรธหลงแล้ว ยังมีสองสามตัวที่เราอยากจะบอกและมนุษย์ไม่เคยคิดมาก่อนด้วย ง่ายๆ นะ สมมติว่ามีเด็กเดินมาสองคน แต่เรามีแอปเปิลอยู่หนึ่งผล เราให้แอปเปิลคนแรกแต่อีกคนหนึ่งเราไม่ให้ สองคนนี้ใครมีสุขใครมีทุกข์ (คนที่ได้แอปเปิลมีความสุข)  จริงหรือ (จริง)  เคยไหมพอได้แอปเปิลแล้วกลับคิดว่า ทำไมเขาถึงให้ฉัน เขาจะเอาอะไรจากฉันหรือเปล่า โดยส่วนใหญ่เราจะคิดว่าคนที่ได้แอปเปิลน่าจะมีความสุข แต่ถ้าคิด
ไม่เป็นก็จะคิดว่า “มันให้ทำไมเนี่ย แล้วทำไมไม่ให้อีกคนล่ะ” หรือในทางกลับกัน ถ้าเราบอก “เราโชคดีจังเลยได้แอปเปิล” แต่อีกคนหนึ่งบอก “ทำไมเขาให้คนเดียวไม่ให้เราด้วย ทุเรศที่สุดเลย มันดีกว่าเราตรงไหน” จากที่ไม่ได้แอปเปิลว่าแย่แล้วก็ยิ่งแย่เข้าไปอีกเพราะจิตใจที่อิจฉา จิตใจที่เห็นตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น แม้ไม่ได้ทำบาปแต่คิดแบบนี้ก็กลายเป็นทุกข์ได้
แต่ในทางกลับกันเราสามารถแปรทุกข์เป็นสุขได้และแปรทุกข์เป็นคุณธรรมได้ด้วยการทำอย่างไร เราไม่ได้แอปเปิลแต่บอกว่า “เธอโชคดีจริงๆ เลย ทำไมเธอโชคดีอย่างนี้” แม้เราไม่มีความสุข แต่เราก็ยิ่งเพิ่มความสุขให้กับเขา “วันนี้เธอต้องโชคดีทั้งวันแน่เลยดูซิเขาไม่ให้ฉันแต่เขาให้เธอ เธอโชคดีจริงๆ” เขาเรียกว่า แปรทุกข์เป็น (สุข)  และยังรู้จักเพิ่มความสุขให้คนได้สุขยิ่งขึ้น แล้วในทางกลับกัน ถ้าคนที่ได้แอปเปิลนี้คิดว่า เราเก็บความโชคดีนี้ไว้เป็นความสุขลึกๆ แล้วเราแบ่งความสุขมอบแอปเปิลให้เพื่อนดีไหม (ดี)  เห็นไหมว่าในชั่วขณะหนึ่ง ในสุขเรายังแปรให้เป็นที่สุดแห่งสุข หรือแปรเป็นส่งมอบสุขได้ หรือในชั่วขณะหนึ่งในสุขนั้นถ้าคิดไม่เป็นก็กลายเป็นทุกข์และทุกข์ซ้ำทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ที่ตัวเรานะ ความทุกข์หรือความสุขเกิดจากไหน (จากใจ)  ใจที่คิดเป็นอย่างไรล่ะ (คิดดี)  
จบหนึ่งเรื่องแล้วนะ  ฉะนั้นความทุกข์ไม่ได้เกิดจากการทำบาปทำผิดอย่างเดียวนะ แต่อยู่ที่ว่าหัวใจเราตั้งไว้ที่ส่วนใด   ตั้งไว้ในการคิดร้ายมันก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้าตั้งให้ถูกที่ วางให้เหมาะ วางให้เป็น นอกจากทำให้เรามีความสุขแล้วยังส่งเสริมให้คนอื่นได้สุขยิ่งขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นถ้าวันนี้มีคนมาขอแอปเปิล ให้หรือไม่ให้ (ให้)  
ยังมีอีกไหมที่ทำให้เราเป็นทุกข์ จิตใจแบบไหนที่ทำให้เราหงุดหงิดง่าย เกลียดง่าย ไม่พอใจอะไรง่ายหรือชอบจับผิดคนอื่นมากกว่าจับผิดตนเอง ดังคำกล่าวว่า  “โทษคนอื่นเห็นเท่าภูเขา โทษของเราเห็นเท่า (เส้นผม)” จริงไหม (จริง)  เป็นคนที่  “ฉันไม่เคยทำบาปอะไรเลยนะแต่ทำไมฉันยังทุกข์อยู่” ก็เพราะเป็นคนที่จู้จี้จุกจิก
ขี้บ่นเข้มงวด อะไรก็ไม่ได้ดังใจ  คนแบบนี้ทุกข์ง่าย ใช่ไหม(ใช่) ไปอยู่ที่ไหนก็หมองเศร้า จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นไหม (เป็น) การยอมรับก็คือการพยายามเอามันออกนะ ถ้าไม่ยอมรับก็คือยังเกาะมันแน่น ฉะนั้นหัดยอมรับเสียบ้างนะ ว่าบางทีเราก็หงุดหงิดง่าย ใช่ไหม (ใช่)
เพราะความโกรธง่าย หงุดหงิดง่าย ชอบจับผิดคน ทำให้มนุษย์เรามีทุกข์ง่าย แล้วเราจะทำอย่างไรดี (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางได้หรือ ถ้าลูกบอกว่า “แม่ ไปเที่ยวนะขอห้าร้อย” เราบอกว่า “ปล่อยไป” สามีบอก “ผมไปเที่ยวนะขอหนึ่งพัน” เราบอกว่า “ปล่อยไป” ปล่อยได้หรือ เราต้องรู้จักแยกให้ออก เพราะการเกลียดอะไรง่ายๆ
นี่แหละทำให้เราแยกแยะอะไรได้ไม่ชัดเจน  เวลาพูดอะไร ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ชอบ ความรู้สึกเกลียด ฉะนั้นจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะพูดด้วยอารมณ์โกรธ ใช่ไหม (ใช่)  เราต้องแยกให้ออก “ฉันรักคุณนะ ฉันอยากให้เงินคุณ แต่ฉันไม่ชอบเลยเวลาที่คุณเอาแต่เที่ยว”  แล้วเขาจะได้รู้ว่าภรรยาเกลียดฉันที่ฉันเที่ยวไม่ใช่เกลียดที่ตัวฉัน เหมือนเวลาว่าลูก ถ้าว่าลูกเสียจนหาความดีไม่เจอ
ลูกจะอยากอยู่กับแม่ไหม (ไม่)  ก็แม่ไม่เคยรักเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราก็ต้องบอกลูกให้ถูก “ลูก ตั้งใจเรียนนะ แม่ยินดี แม่ชอบ ถ้าลูกตั้งใจเรียนแล้วลูกจะไปเที่ยวอย่างไรแม่ก็ไม่ว่า ขอให้รับผิดชอบให้ดี แต่ถ้าลูกเอาแต่เที่ยว แม่รับไม่ได้ แม่ไม่ชอบ แต่ว่าไม่ได้เกลียดลูกทั้งหมดนะ” ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเวลาโกรธอะไรหรือจะว่าอะไรใคร ต้องแยกให้ออกว่าเราไม่ชอบอะไรเขา และเรากำลังจะว่าอะไรในสิ่งที่ไม่ดีของเขา อย่าเอาสิ่งไม่ดีหนึ่งอย่างมาทำร้ายทั้งหมดของเขา เช่นนี้จะทำให้เราไม่เกลียดใครจนสุดหัวใจ ความเกลียดไม่มาทำให้เราทุกข์ใจ  เพราะเราแยกแยะออกว่าเราเกลียดอะไรเขา เราชอบอะไรเขา
จริงไหม (จริง)
สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใจ มีอะไรอีกบ้าง (ปาก) ปากทำให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร พูดน้อยๆ หรือพูดมากๆ กายที่ทำให้เป็นทุกข์ เช่น ร่างกายที่เจ็บป่วย ใช่ไหม เรามีโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าพยายามรักษาจนถึงที่สุดแล้วยังไม่หายบางครั้งเราก็ต้องปล่อยวาง เรื่องราวในโลกนี้มีหลายอย่างที่ต้องใช้ความเข้มแข็งของหัวใจ ถ้าเราไม่เสริมสร้างความเข้มแข็งในหัวใจนี้ เวลาพบเรื่องที่ไม่คาดคิดก็อาจจะทำให้เราตั้งรับไม่ได้และต่อสู้กับปัญหาไม่เป็น
จำไว้นะว่าในโลกนี้มีปัญหาอยู่ ๒ แบบ แบบหนึ่ง คือแบบที่แก้ได้ กับอีกแบบหนึ่งคือแบบที่แก้ไม่ได้ ต้องยอมรับ เหมือนเรารักเขาแต่เขาไม่รักเรา เราให้เขาแต่เขาจะรับอย่างเดียวไม่เคยให้เรา เราก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนโดยส่วนใหญ่รักที่จะรับมากกว่ารักที่จะให้  เพราะว่าการรับเป็นการได้ การให้เป็นการสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตใจที่เอาแต่รับไม่รู้จักให้นี้เองก็เป็นจิตใจที่สร้างความทุกข์ให้ตัวเราได้เหมือนกัน คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ครอบครัวตัวเอง ก็สามารถมีทุกข์ได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ว่า เกิดเป็นคนทุกคนมีภาระหน้าที่ รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เรื่องอื่นไม่ต้องสน ก็ไม่มีใครกล้าตำหนิ จริงไหม (จริง)  แต่ในทางตรงกันข้ามทุกคนสนเรื่องอื่นหมด แต่ไม่รับผิดชอบตัวเอง ไม่รับผิดชอบหน้าที่ คนนั้นควรตำหนิ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น เราเอาแต่ดูแลตัวเอง รักครอบครัวตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง ไม่ต้องช่วยเหลือใคร ดีไหม (ไม่ดี)  เพราะอะไร (เพราะไม่แบ่งปันคนอื่น, เพราะเราเห็นแก่ตัว)  คนที่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ไม่เคยไปรับผิดชอบงานคนอื่นหรือไม่เคยไปช่วยคนอื่น เป็นคนเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์มักจะพูดว่า “ฉันรับผิดชอบตัวเองก็พอแล้ว คนอื่นช่างหัว” ได้หรือไม่ เรารู้สึกว่าคนที่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้ดี แต่ไม่เคยมีน้ำใจช่วยเหลือใคร คนนั้นเป็นคนที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย และเป็นคนที่ไม่เคยปลูกมิตรไมตรีกับผู้อื่น
ยกตัวอย่างง่ายๆ  มีสามีภรรยาคู่หนึ่งออกไปหาปลา ขณะที่เหวี่ยงแหลงไป ฝ่ายสามีรู้สึกว่า แหหนักๆ ก็บอกภรรยาว่า สงสัยจะได้ปลาตัวใหญ่หลายตัว หากได้ปลาตัวใหญ่ ตอนกลับบ้านก็จะมีคนมาขอแบ่ง ดังนั้นให้ฝ่ายภรรยาเดินกลับบ้านล่วงหน้าไปก่อน แล้วระหว่างทางก็ให้ด่าว่าชาวบ้านไปตลอดทาง เพื่อที่เวลาเราแบกปลาไปจะได้ไม่มีคนขอ ฝ่ายภรรยาก็เห็นดีเห็นงามด้วย จึงได้เดินด่าชาวบ้านปูทางไปก่อน ฝ่ายสามี ขณะที่กำลังพยายามดึงแห ก็ลื่นล้มหัวฟาดพื้น หัวแตกเลือดไหล แทนที่จะได้ปลาก็ไม่ได้ ขณะที่เดินทางกลับบ้าน เดินเลือดไหลจะมีใครสงสารหรือไม่ (ไม่)  เพราะฝ่ายภรรยาด่าปูทางไว้แล้ว จึงมีแต่คนสมน้ำหน้า  นี่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวอยากได้มากๆ  ไม่เคยคิดแบ่งปันใคร
ฟังนิทานเรื่องนี้อย่าลืมหันมามองตัวเอง เวลาเรามีมากๆ เคยคิดตักแบ่งใครไหม  เราจะคิดว่ายังน้อยอยู่ให้ไม่ได้หรอก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วต่างอะไรกับสามีภรรยาคู่นี้ เป็นคนที่รักแต่บ้านตัวเอง อยู่กับบ้านตัวเองพูดเพราะ แต่กับคนอื่นพูดไม่เพราะได้ไหม เช่นเดียวกัน อยู่ข้างนอกพูดเพราะ แต่อยู่ในบ้านพูดไม่เพราะได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้น ทั้งนอกบ้านและในบ้านจะต้องรู้จักรักษาให้สมบูรณ์ เป็นคนดีทั้งนอกบ้านและในบ้าน ไม่ใช่ดีเฉพาะตัวเอง ครอบครัวตัวเอง แต่ครอบครัวคนอื่นไม่สนใจได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องฝึกจิตใจที่รู้จักเสียสละและให้ จิตใจเช่นนี้จะทำให้เรามีความสุข จิตใจที่เอาแต่โลภหวังแต่ได้ ไม่เคยให้ใคร ย่อมนำทุกข์มาให้เสมอๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมร้องตัวโน้ตโดเรมี ประกอบดนตรี)
นิสัยเดิมของมนุษย์ที่ทำให้ทุกข์ คือเป็นคนแพ้คนไม่เป็น ยอมคนไม่ได้ อย่างนั้นวันนี้ต้องหัดแพ้ให้เป็น รู้จักยอมให้ได้
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีและตนเองเป็น ชอบดูถูกคุณค่าของตนเองว่าช่างต่ำเตี้ย ช่างดูไม่ดีเลย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรารู้จักคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ถึงแม้จะมีเล็กน้อยก็สามารถสร้างความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้ เคยได้ยินไหมว่า คนรวยคือคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ไม่มีคุณค่า คนที่มีสติปัญญาคือคนที่รู้จักยอมโง่เขลาก่อนจึงจะฉลาด ฉะนั้นอย่าได้ดูถูกดูเบาตนเองว่า คนอย่างเราจะไปทำอะไรได้ จะไปสร้างสรรค์หรือทำอะไรให้ใครได้ ไม่แน่หรอก คนธรรมดาอย่างนี้แหละ เวลาให้อาจจะให้อะไรที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ เวลาทำก็ทำยากเกินคนจะนึกถึงก็เป็นได้ ขอเพียงเรามีความมั่นใจและภูมิใจในคุณค่าของตนเอง อย่าเอาคุณค่าที่มีหรือความดีที่มีอยู่ไปฝากไว้กับคนอื่นเลย มนุษย์ส่วนใหญ่นั้นมีชีวิตอยู่แต่บางครั้งชีวิตหมดไปเพราะว่าเอาชีวิตไปอยู่กับคนนั้น ฉันจะมีสุขได้ต้องมีเธอเท่านั้น  ฉันจะมีสุขได้ต้องมีเกียรติยศเท่านั้น จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่ใช่) ไม่จำเป็นใช่ไหม (ใช่) พอมีเธอแล้วฉันก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น จากที่ไม่เคยคาดคิดกลายเป็นว่าทำไมมันทุกข์อย่างนี้หนอ แล้วก็ตัดอกตัดใจไม่ได้เพราะตัวเองนั่นเอง ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นสู้อยู่ตัวคนเดียวดีไหม (ดี) ไม่ต้องสงสารใคร ช่วยใครเลยได้ไหม (ไม่ได้)
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนอยู่ ฉะนั้นเวลาเกี่ยวข้องกับผู้คนต้องรู้จักสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจ เชื่อมั่นในตัวเองนั้นดี แต่อย่ามากจนทำร้ายใคร เห็นความสำคัญของตนเองนั้นดี แต่อย่าสำคัญถึงขนาดถ้าใครไม่เรียกฉัน ฉันก็ไม่ทำ เคยไหม ถามว่าตัวเองเก่งไหม (เก่ง)  แต่ถ้าเขาไม่เรียก ฉันก็ไม่ทำหรอก เพราะว่าเขาดูถูกคุณค่าฉัน ฉันก็เลยไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่)  คนสามคนเดินไปแต่เขาเรียกสองคนไม่เรียกเรา ก็รู้สึกน้อยใจ “ไม่เห็นเราอยู่ในสายตา ไม่เห็นหัวเรา” ทำไมต้องเอาคุณค่าไปฝากที่คำพูดคนอื่นด้วย เขาไม่เห็นเราก็ทำตัวให้ดีให้เขาเห็น ถึงแม้ดีแล้วเขาไม่เห็นก็คิดเสียว่าเขาไม่มีบุญตาเห็นเรา คิดอย่างนี้ดีไหม (ดี)  ทำไมต้องโมโห ว่าทำไมไม่เห็นคุณค่าฉัน ทำไมมองไม่เห็นฉัน ทำไมไม่เรียกฉัน ฉันสวัสดีแล้วเขาไม่สวัสดีตอบ โกรธในสิ่งที่ไม่น่าโกรธเลย ฉะนั้นอย่ายึดมั่นในตัวตนเองมากเกินไป การยึดมั่นในตัวตนเองก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากเราเห็นว่าตัวเองดีแล้ว แต่คนสิบยี่สิบคนบอกว่าเราต้องแก้ไข เราจะแก้ไม่แก้ (แก้)  เปลี่ยนไม่เปลี่ยน (เปลี่ยน)  เราอยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งว่า สิ่งไม่ดีที่เราแสดงออกมาทั้งหมดทั้งสิ้นนี้สามารถมลายหายไปสิ้นโดยการบ่มเพาะปลูกฝังคุณธรรมในหัวใจ มนุษย์ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจจะไม่คิดริษยาคน จะไม่คิดร้ายต่อคน จะไม่คิดดูถูกคน จะไม่คิดเอาแต่ได้หรือเอาแต่ชนะอย่างเดียว แล้วยังรู้จักยอมให้อภัยคน ฉะนั้นความชั่วร้ายในหัวใจ แม้จะมีมากมายก็สามารถหยุดได้ด้วยการบ่มเพาะคุณธรรม ถ้าทุกขณะมีเมตตาจิต มีจิตใจให้อภัย มีจิตใจเสียสละเอื้อเฟื้อ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้สิ่งที่เลวร้ายในหัวใจสามารถมลายหายไปสิ้นโดยที่เราไม่ต้องขจัดทิ้งก็ได้ ฉะนั้นการปลูกฝังคุณธรรมจึงควรมีไว้ในตัวเรา ยิ่งปลูกมากเท่าไหร่ความชั่วร้ายก็ยากจะมีอิทธิพลต่อชีวิต เมื่อชีวิตมีแต่สิ่งที่ดีความทุกข์ก็มลายหายสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะขจัดความชั่วร้ายในหัวใจไม่ต้องไปกดดัน ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลง แค่พยายามเพิ่มความดีในหัวใจ เหมือนน้ำที่สกปรก อย่าคิดว่าการถ่ายน้ำทิ้งอย่างเดียวคือการทำให้น้ำสะอาด ถ้าเติมน้ำสะอาดเข้าไปเรื่อยๆ น้ำที่สกปรกก็จะถูกดันออกมาเองโดยอัตโนมัติ แล้วเราจะเติมอะไรดีๆ เข้ามาในหัวใจเราบ้าง (คุณธรรม, ความดี, ความมีน้ำใจ, การให้อภัยไม่ถือโกรธ, รู้จักยิ้มให้กัน, มีสติ) มีสติทำอะไรรู้จักยั้งคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ (เสียสละ, การคิดดีๆ, การมองโลกในแง่ดี, การเอาใจเขามาใส่ใจเรา, มีเมตตากับผู้อื่น, คุณธรรม) คุณธรรมข้อไหนล่ะ เราอยากให้ท่านคิด เพราะเมื่อท่านคิดในสิ่งที่ดี แล้วพยายามทำในสิ่งที่คิดอยู่เสมอๆ นั่นก็คือเราพยายามเอาความดีมาสู่ตน และให้ความชั่วนั้นไม่มีบทบาทในหัวใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่คิดแล้วจะมีไหม (ไม่มี)
มนุษย์ทุกคนมักจะพูดว่าเกิดเป็นคนต้องทำความดี เคยไหมลูกหลานถามว่า “ยาย อะไรเรียกว่าทำดี” ยายบอกว่าทำไปเถอะ ยายบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน  ฉะนั้นอะไรล่ะที่เรียกว่าความดี (พรหมวิหารสี่) มีอะไรบ้าง (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ท่องได้หมดเลย แล้วมีหรือยัง มีใจเป็นกลางแน่หรือ แล้วมีอะไรอีก (รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น, คิดสิ่งที่ดีพูดแต่สิ่งที่ดี, การรู้จักให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น, ไม่โกรธ, ไม่หลง, ความกตัญญู)  ความกตัญญูรู้คุณเป็นคุณธรรมข้อแรกที่ไม่ควรหายไปจากตัวมนุษย์ มีแล้วถึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้คุณคนก็หาเรียกว่าเป็นคนประเสริฐไม่ ขนาดพ่อแม่ยังลืมได้ ยังไม่รู้จักสำนึกคุณ คนเช่นนี้ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นคน เขาเรียกว่าแค่ยืมร่างกายคนแค่นั้นเอง ใช่ไหม   
ความละอายเกรงกลัวต่อบาปเป็นความดีไหม (ดี) (รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี, เคารพและให้เกียรติผู้อื่น, มีความอดทน)  มานั่งฟังมีความอดทนไหม ไม่สูบบุหรี่เลยตลอดชีวิตต้องใช้ความอดทนไหม ไม่กินเหล้าเลยใช้ความอดทนไหม (อดทน) แล้วจะยอมทนไหม (ทน)  ถ้าไม่ยอมทนเดี๋ยวก็ต้องเป็นโรคให้ต้องทนนะ  
วันนี้เรามานานพอสมควรแล้ว ขอให้เอาสิ่งที่เราพูดกลับไปพิจารณาดูนะว่า เราใช่มาเล่นละครหลอกลวงหรือเปล่า หรือเราต้องการมาแสดงประจักษ์หลักฐานเรื่องหลักธรรมะให้มนุษย์รู้ว่า ถ้ามนุษย์รู้จักอบรมบ่มเพาะคุณธรรมในชีวิตบ่อยๆ มนุษย์จะสามารถพ้นจากความทุกข์และหลีกหนีความทุกข์บนโลกนี้ได้ การหลุดพ้นไม่ใช่เรื่องยาก การหลุดพ้นคือหลุดพ้นอะไร หลุดพ้นความทุกข์ในหัวใจ แล้วทุกข์มาจากไหนล่ะ บางทีเราไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ทำชั่วเลย  แต่มันมาจากหัวใจที่คิดอะไรผิดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ก็คงแค่นี้ล่ะนะ 


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    มีความเพียรเป็นความเลิศของตนเอง    ในความเก่งอย่าได้รนไม่เข้าท่า
ทำอะไรใช้สติและปัญญา    วัตรธรรมดางามเป็นเอกธรรมในตน
        เราคือ
    อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่โลกมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า

    รับปากง่ายคำสัตย์รักษายาก    งานไม่ยากอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องง่าย
งานมากเห็นยากไม่ลำบากได้    งานต้องทำด้วยใจที่รู้จริง
สร้างสมดุลในจิตใจของตนเอง    อารมณ์เร่งเรื่องราวร้อนทำใจนิ่ง
แสวงหาตนเองที่แท้จริง    อุปสรรคยิ่งทวียิ่งชนะเร็ว
เป็นคนต้องเข้าใจตนให้ถ่องแท้    การคิดแก้คนอื่นมีแต่ล้มเหลว
จงรีบเร่งบำเพ็ญดุจมีดจ่อเอว    ชีวิตเปลวแสงเทียนพร้อมดับตามลม
มีความสุขด้วยหัดควบคุมความคิด    กระทำใดสัมฤทธิ์ด้วยรู้เหมาะสม
จริยธรรมเพิ่มพูนไม่ปล่อยตามลม    ศิษย์เกลียวกลมอาจารย์นี้ก็โล่งใจ
ให้กำลังใจศิษย์รักทุกคนผู้    พิจิตรดูจะขึ้นก็ไม่ง่าย
แต่ศิษย์รักสามัคคีต้องทำได้    อย่าถือใครเรื่องเล็กน้อยควรปล่อยวาง
ฮา  ฮา  หยุด

    สุดท้ายพอคนลืมตัว จิตถูกเมามัวไม่สนใจใคร กว่ารู้ตัวทำไมเป็นได้ สติมากมายไล่ตามพันพัว    ดั่งนั้นยามคนลืมธรรม เศร้าจนน่าขำ ยามคนลืมกลัว เจ็บช้ำจ่อจมเรื่องตัว กว่าจะรู้กลัวแก้คืนไม่ทัน
*    แค่อย่างน้อยเจ้าเป็นดังควรเป็น แค่อย่างน้อยเจ้ายังคิดเป็น แค่อย่างน้อยเจ้าทำในสิ่งควร จะทำของตนกว่านี้    แค่อย่างน้อยเจ้าเป็นคนมีธรรม แค่อย่างน้อยเจ้ายอมเพียรเช้าค่ำ แค่อย่างน้อยเจ้ามีในสิ่งควรรู้ควรจำ
    อย่าท้อในความเป็นคน และอย่าสับสนในความเป็นจริง โลกพร้อมจะยอมคนใจนิ่ง ที่ดีได้จริงไม่มีสายไป  (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง  แค่อย่างน้อย
ทำนองเพลง  ฟั่นเฟือน

หมายเหตุ :  เนื้อเพลงท่อนที่หนึ่งและท่อนสุดท้ายได้จากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่ + วินัย”  ส่วนเนื้อเพลงท่อนที่เหลือพระอาจารย์เมตตาประทานโดยตรง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้มาเป็นผู้ร่วมฟังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟังนี้ฟังอะไร (ฟังธรรมะ)  ฟังธรรมะแล้วต้องอย่าลืมเอาไปปฏิบัติด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้ธรรมะกับชีวิตของเราใกล้เคียงกันหรือยัง (ใกล้แล้ว)  เวลาโกรธลูกโกรธหลานที่บ้านใช้ธรรมะหรือเปล่า (ใช้)  เวลาขายของใช้ธรรมะหรือเปล่า (ใช้)  เวลาโกรธคนใช้ธรรมะหรือยัง (ใช้)  แน่หรือเปล่า (แน่)  ธรรมะกับชีวิตของศิษย์นั้นยังไม่ใกล้กันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะส่วนธรรมะมาฟัง ๒ วัน มาฟังธรรมะ ชีวิตส่วนชีวิต ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนี้มีเหตุผลให้ตัวเองมากมาย สุดท้ายธรรมะกับชีวิตก็ยังไม่ได้รวมเป็นเนื้อเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตกับความทุกข์เหมือนกันไหม ชีวิตกับความทุกข์ของเราเป็นเนื้อเดียวกันหรือเปล่า (เป็น)  ชีวิตกับความทุกข์ของศิษย์นั้นเป็นเนื้อเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อชีวิตยังมีความทุกข์ก็ยังต้องการธรรมะใช่หรือเปล่า (ใช่)  การมีธรรมะมีหลายแบบ ธรรมะประเภทแรกคือธรรมะที่มีไว้ช่วยชีวิตตัวเอง ธรรมะอีกอย่างคือธรรมะที่มีไว้ใช้ช่วยผู้อื่นด้วย ในเมื่อเรายังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ก็ย่อมจะไม่สามารถช่วยผู้อื่นได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเรายังมองว่าเรามาฟังธรรมะสองวันชีวิตของเราก็ส่วนชีวิต ส่วนธรรมะก็คือมานั่งฟังสองวัน ย่อมไม่มีอะไรดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องรวมธรรมะกับชีวิตให้เป็นเนื้อเดียวกันให้ได้ เหมือนที่เรารวมชีวิตกับความทุกข์เป็นเนื้อเดียวกันอย่างนั้น ถ้าเราพูดถึงชีวิตก็พูดถึงความทุกข์ เมื่อพูดถึงความทุกข์ก็พูดถึงธรรมะ เพราะฉะนั้นชีวิตกับธรรมะก็เป็นเนื้อเดียวกันได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยู่ที่ว่าเราจะคิดแบบไหน ถ้าเราคิดแบบเดิม ถ้าเรามีความหวังลมๆ แล้งๆ กับสิ่งที่เรานั้นผิดหวังอยู่เรื่อย แล้วเราไม่เปลี่ยนความคิดตัวเอง เราย่อมไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เพราะฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะ ๒ วัน แต่ธรรมะจะอยู่กับศิษย์ทุกๆ วันทำได้ไหม (ได้)  เมื่อคนเขาเรียกให้เรามาฟังธรรมะ เราต้องทำความเข้าใจด้วย เข้าใจธรรมะก็คือเข้าใจชีวิตตัวเองนั่นเอง เมื่อเราเข้าใจชีวิตตัวเองได้ เราย่อมที่จะพาตัวเองรอดพ้น จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อตัวเองรอดพ้นแล้ว คนรอบตัวเรารอดพ้นไหม (รอด)  อย่างน้อยก็รอดจากเสียงบ่นของเรา จริงหรือเปล่า (จริง)  รอดจากเสียงนินทาของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอดจากสายตาที่เชือดเฉือนของเราจริงหรือเปล่า (จริง)  รอดจากอารมณ์โกรธของเราด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการช่วยตัวเองก็คือการช่วยผู้อื่นเช่นเดียวกัน วันนี้ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นฟังธรรมะและกลับไปเอาธรรมะไปปฏิบัติด้วย ปฏิบัตินี้ปฏิบัติธรรมะให้อยู่ในชีวิตทุกๆ วัน และศึกษาธรรมให้มากขึ้นจะได้รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงมีธรรมะมาโปรดศิษย์ แล้วบทบาทหน้าที่ของศิษย์นั้นควรจะทำอย่างไรกับการที่ได้มาฟังธรรมะ บทบาทหน้าที่ของศิษย์นั้นควรจะทำอย่างไร จึงเรียกว่าบำเพ็ญธรรมะเพื่อการหลุดพ้น ไม่ใช่แค่เข้ามานั่งฟัง เขาเรียกมากี่ทีก็มานั่งฟัง อย่างนี้ไม่หลุดพ้น ใช่หรือไม่
เป็นคนที่ส่งเสริมคนได้ดีอุ่นหนาฝาคั่งมาก เพราะฉะนั้นคนยิ่งมากเท่าไร เราก็ยิ่งเหนื่อย ปัญญาต้องยิ่งเฉียบขาดขึ้น
การเป็นเด็กเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า ทุกคนมีความเป็นเด็กในตัวไม่ว่าจะอายุมากหรืออายุน้อย พร้อมที่จะเอาแต่ใจ พร้อมที่จะดื้อกันทุกคน ใช่หรือเปล่า  การเป็นเด็กนั้นต้องเป็นเด็กที่มีจิตใจไร้เดียงสา บริสุทธิ์สะอาด แต่นิสัยของเด็กแต่ละคนที่ดื้อรั้น คนที่เอาแต่ใจตัวเองนั้นเป็นเด็กไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น นิสัยเด็กๆ ก็ดี มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ต้องรู้จักเลือกใช้ เราถึงจะสามารถทำงานช่วยอาจารย์ได้ จึงจะสามารถทำงานยุคสามวาระปลายได้อย่างตลอดรอดฝั่ง อย่ามองแต่ตัวเรา อย่ามองแต่อารมณ์ของเรา อย่ามองแต่ใจของเราและอย่ามองแต่ความรู้สึกของเรา มองให้กว้างๆ ทำงานต้องเห็นภาพรวม งานถึงจะเดิน เข้าใจไหม
ศิษย์มีส่วนทุกคน จะเป็นคนที่สร้างความยิ่งใหญ่ได้ทุกคน แต่ต้องทิ้งบางอย่าง และต้องเก็บบางอย่าง ใช่ไหม
คนลงจากเวทีพูดธรรมะนั้นลงง่าย แต่ถ้าหากว่าอยู่ในปัญหาแล้วเราจะลงจากเวทีปัญหานั้นทำยากหรือไม่ (ยาก)  ทุกๆ คนเกิดมามีปัญหาหรือเปล่า (มี) หากมนุษย์คนใดเกิดมาไม่มีปัญหาแสดงว่ามนุษย์คนนั้นมีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีปัญหากับคนอื่นเรามักมองว่าปัญหาอยู่ที่คนอื่น แล้วเรามีปัญหาไหม (ไม่มี)  เราไม่มีปัญหา แสดงว่าเรานั่นแหละเป็นตัว (ปัญหา)  
เราเป็นตัวปัญหาได้ทุกเมื่อ แท้ที่จริงแล้วจากเวทีปัญหาของชีวิตนั้น เราจะลงจากปัญหาหรือเปล่า อันนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่เราต้องรู้จักที่จะให้คนอื่นนั้นลงจากเวทีของปัญหาได้ เราต้องรู้จักทำทางให้ผู้อื่นนั้นลงจากปัญหาชีวิตของเขาที่เกี่ยวข้องกับเราให้ได้ อย่างเช่น คนสองคนทะเลาะกัน หนึ่งในสองคนนั้นเป็นเรา เราจะทำทางให้เขาลงได้อย่างไร ถ้าหากว่าเราทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว หน้าบึ้งตึง ถามว่าเขาจะยอมอย่างสบายใจไหม (ไม่ยอม)  คนที่ทะเลาะกับเราย่อมเกิดความไม่สบายใจอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะทำทางให้ผู้อื่นลงได้อย่างไร จากหน้าบึ้งเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันทีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถามว่าปากที่อยู่บนหน้าเป็นปากใคร (ปากเรา)  ใจที่อยู่ในตัวคือใจใคร (ใจเรา)  เพราะฉะนั้นการทำใจให้ใครทำ (เราทำ)  ให้เราทำ การเปลี่ยนหน้าจากหน้าบึ้งเป็นหน้ายิ้มทันทีทำได้ไหม (ได้)  อย่าพูดว่านั่นทำไม่ได้ นี่ทำไม่ได้ อารมณ์แบบนี้เอาชนะไม่ได้ ความรู้สึกเห็นแก่ตัวแบบนี้เอาชนะไม่ได้ ความคิดแบบนี้มันอยู่กับเรามาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้ อย่าพูดอย่างนี้ เพราะว่าคนทุกคนต้องเปลี่ยนตนเองทั้งนั้น ไม่มีใครสักคนที่อยู่ในโลกนี้โดยไม่มีความคุ้นเคย หรือไม่มีความเคยชิน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเปลี่ยนตัวเองทั้งนั้น เปลี่ยนด้วยตัวเราเอง เมื่อเราเปลี่ยนตัวเราเองได้ เราจะเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่ทุกวันนี้เราเปลี่ยนตัวเอง หรือว่าเราเปลี่ยนคนอื่น (เปลี่ยนคนอื่น)  เรามองเห็นตนเองหรือเรามองเห็นคนอื่น (คนอื่น)  ทุกวันนี้เรามองไม่เห็นตัวเองจึงมีความทุกข์มากมาย  อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  พ้นทุกข์ต้องรอหลุดพ้นหรือเปล่า (ไม่รอ)  อยากพ้นทุกข์ไม่ต้องรอหลุดพ้นสามารถพ้นได้ทันทีที่ไหน (ใจเรา)  
เพราะฉะนั้นวันนี้ฟังธรรมะเป็นวันสุดท้ายแล้ว  ภาระหลังจากเราฟังธรรมะไปคือ การเอากลับไปปฏิบัติ สิ่งใดที่เราฟังแล้ว สิ่งใดที่เรารู้แล้ว เราจะทำเป็นไม่รู้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  คนในโลกชอบพูดว่า ไม่รู้ก็ไม่ผิด มีเรื่องไหนที่เราไม่รู้ไหม โดยส่วนใหญ่แล้วรู้ทุกเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเราก็ยังอุตส่าห์รู้ แต่เราบอกว่าไม่รู้ไม่ผิด จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นบอกว่า “ไม่รู้ไม่ผิด” จึงไม่จริง เพราะว่าศิษย์อาจารย์นั้นรู้ทุกเรื่องเลย รู้มากเกินไปด้วยซ้ำ เป็นคนประเภทมีความรู้ท่วมหัวเอาตัว (ไม่รอด)  
เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์สอนให้ศิษย์มีความรู้เล็กน้อยแต่เอาตัวรอดดีหรือไม่ (ดี) ไม่ต้องรู้มาก ปิดหูไว้ข้างหนึ่ง ปิดตาไว้ข้างหนึ่ง แล้วปิดปากไว้ครึ่งหนึ่งดีหรือเปล่า (ดี) แขนก็หดลงข้างหนึ่ง ขาก็เก็บไปข้างหนึ่ง ถามว่ายังอยู่ได้ไหม ปิดหูไปข้างหนึ่งหมายความอะไร ฟังเรื่องไม่ดีให้น้อยลง แล้วฟังเรื่องดีๆ ให้มากขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่อยากให้ฟังก็อุตส่าห์ไป (ฟัง)  เราชอบฟังที่สุดคือคนพูดถึงเราใช่ไหม (ใช่)  เรื่องที่เขาพูดถึงเราให้คนอื่นฟัง เราชอบอยากรู้ที่สุดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่มีนิสัยอย่างนี้แสดงว่าเป็นคนที่มีความอยากรู้อยากเห็น  เพราะฉะนั้นเมื่ออยากรู้แล้วก็อยากเห็นมากเกินไป วันนี้อาจารย์จึงให้ปิดลงครึ่งหนึ่ง ทำได้ไหม (ได้)  ศิษย์ปิดตาไปข้างหนึ่งเท่ากับตาอาจารย์คู่หนึ่ง เชื่อหรือไม่เชื่อ (เชื่อ)  อาจารย์เข้าใจเรื่องในโลกนี้ดี แต่อาจารย์นั้นยังรู้น้อยกว่าศิษย์เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเวลาทุกข์นั้นศิษย์ก็ทุกข์ ทุกข์เพราะหู ทุกข์เพราะตา ทุกข์เพราะปาก ทุกข์เพราะใจ ฉะนั้นวันนี้อยากทุกข์น้อยลงต้องทำอย่างไร อยากมีความทุกข์น้อยลงต้องมีธรรมะในชีวิตเพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อมีธรรมะในใจเพิ่มมากขึ้นแล้ว ต่อให้หูทั้งสองข้างยังได้ยินอยู่ ตาทั้งสองข้างยังเปิดอยู่ก็ไม่ทุกข์  ฉะนั้นเราจะทุกข์หรือเปล่าอยู่ที่ตัวของเราทำตัวของเราเอง ฉะนั้นวันนี้เราบอกว่าเราเป็นคนดีหรือเราทำดีอยู่ ทำไมเป็นคนดีแล้วยังทุกข์นัก ทุกวันนี้เราทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์)  ทุกวันนี้เรายังทุกข์ อยากพ้นทุกข์ต้องหันมาตรวจสอบมองดูตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้หรือเปล่า (ได้)  
มนุษย์ในโลกมีจุดอ่อนอยู่อย่างเดียวเลยคือ ถูกใครมองว่าโง่ไม่ได้ เราไม่อยากให้ใครว่าเราโง่เราก็เลยต้องฉลาดเข้าไว้ ยิ่งฉลาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งโง่มากเท่านั้น ถ้าบอกว่าคนโง่มีสุข คนฉลาดมีทุกข์ อยากโง่หรืออยากฉลาด (อยากฉลาด) แสดงว่ายังเจอทุกข์ไม่มากพอ ทุกวันนี้ยังมีที่ให้ใส่ความทุกข์อีก

พุทธะมีความทุกข์คือเห็นเวไนยมีทุกข์ คนมีความทุกข์เพราะว่าตัวเองนั้นอยากมีสุข ฉะนั้นจึงมีความแตกต่างกันอย่างมาก การที่ศิษย์จะอยู่จากดินแล้วกลายไปเป็นดาว จากโลกส่งตัวเองขึ้นสวรรค์นิพพานจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเพียรพยายามมากๆ เมื่อตนอยู่ตรงไหนก็ให้เอาชนะตนที่ตรงนั้น ในช่วงนี้มีปัญหาอะไรก็เอาชนะตนเองที่ปัญหานั้นๆ การเอาชนะปัญหาได้ คือการยอมแพ้ เพราะเรื่องบางเรื่องชนะไม่ได้
รู้จักความรนไหม คนในโลกยิ่งเป็นคนรู้มาก เรียนมาก กลัวมาก ก็จะรนมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ในความรู้มากมายแต่เรานั้นรู้สึกรน รนเพราะว่าเรากลัว ที่เรากลัวแสดงว่าเรานั้นยังรู้ไม่จริง  หลายๆ ปีที่ผ่านมานี้เป็นโรคใหม่ในตัวของศิษย์หลายๆ คนที่บำเพ็ญธรรมมานาน เคยเห็นไหม ทำไมทำมาก ยิ่งทำก็ยิ่งผิด แล้วใครบอกศิษย์ว่าผิดล่ะ แล้วตอนถูกใครบอกศิษย์ว่าถูก แปลกใจไหม  พออาจารย์ถามอย่างนี้ศิษย์ก็แปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงรนไปได้ ที่เรารนเพราะ รนที่ใจของตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรามักพูดว่าผิด เรามักพูดว่าถูก คนอื่นบอกผิดอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าตัวเราเองบอกว่าผิด  เราจะเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ย  ผิดก็ผิด อย่างมากก็โดนคนว่า  ถูกก็ทำอีกครั้งหนึ่ง แสดงว่าดี  อย่าไปกลัว ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก  ชีวิตก็แค่นั้นมีเวลาอยู่แค่ไม่กี่ปี คิดได้อย่างสร้างสรรค์ก็ไม่กี่ที บางทีคิดแล้วไม่กล้าทำ บางทีทำแล้วไม่กล้ายอมรับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รีบรักษาโรคโดยด่วนนะ ทั้งอาวุโสทั้งผู้น้อย ต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น ต้องรู้ให้จริงจึงจะแก้ได้
(พระอาจารย์เมตตาอาจารย์บรรยายธรรมซึ่งเขียนพระโอวาทบนกระดานผิด)  เห็นไหมว่าไม่มีใครผิดใช่ไหม เวลาผิดเราจะหันไปหาคนอื่นทันที แต่ถามว่าใครเป็นคนเขียน ฉะนั้นเวลาที่เราทำอะไรผิด อย่าหันซ้ายอย่าหันขวา ให้อยู่เฉยๆ เพราะว่าไม่รู้จริงก็เลยเขียนผิด ถ้ารู้จริงก็เขียนถูก แต่ว่าอันนี้เขาทำตัวยากเพราะว่าอาจารย์เป็นคนให้เขาเขียน ดังนั้นคนที่จะบอกว่าผิดหรือถูกเป็นใคร (อาจารย์) อาจารย์พูดตรงนี้เพื่อจะบอกคนที่เป็นอาจารย์ต้องรู้จักระวังเวลาที่เราจะตำหนิใครด้วย เพราะว่าถ้าหากเราไม่รู้นิสัยของคนๆ นั้นและไม่มีความปรารถนาดีมากพอ ไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง เวลาเราว่าคน เราจะไม่มีความเมตตา
“วัตรธรรมดางามเป็นเอกธรรมในตน”  มีความหมายว่า ความประพฤติตามปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันที่เกิดกับศิษย์นั้นจะต้องมีความงามเป็นหนึ่ง คือต้องมีคุณธรรมและความดีแฝงอยู่ในนั้น จึงจะสามารถเปล่งประกายธรรมะที่อยู่ในตนได้ เพราะว่าธรรมะที่มองเห็นได้เป็นรูปลักษณ์นั้น ยิ่งมีรูปลักษณ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งสอบจิตใจคนเท่านั้น ฉะนั้นทุกๆ อย่างที่ศิษย์เห็น รวมทั้งอาจารย์ตรงนี้จึงไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะแท้จริงนั้นจึงต้องอยู่กับศิษย์ตลอดเวลา ทุกคนนั้นมีธรรมะอยู่แล้ว เพียงแต่เวลาไหนมีธรรมะมาก เวลาไหนมีธรรมะน้อย แม้ว่าคนอื่นจะไม่ว่าเราผิด แต่เราต้องหัดตรวจสอบตัวเองเสมอๆ เพราะว่าอาจารย์สอนศิษย์ประจำว่าเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ต้องเปลี่ยนตนเอง พูดว่าคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องว่าตัวเอง ทีนี้เวลาเราไม่ว่าคนอื่นเมื่อเห็นคนอื่นทำผิด เรามักกลัวว่าคนอื่นจะเสียคน แต่ว่าเราไม่กลัวตัวเองเสียเหรอ คนอื่นเสียเขาก็ทำให้เราเสียด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเสียแล้วเราซ่อมเองได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลงให้พร้อมกัน)  ถือว่าพร้อมใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่สอบผ่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้สอบผ่านชีวิตตัวเองหรือยัง (ยัง) ชีวิตจะมีความทุกข์หรือความสุขขึ้นอยู่กับอะไร (อยู่ที่ใจ)  ชีวิตจะมีความสุขได้นั้นถามว่ามาจากไหน ทุกคนตอบเกือบเหมือนกันหมดว่าอยู่ที่ใจ อาจารย์มีอยู่สามสิ่งที่จะพูดถึงนั่นคือ ใจ, การกระทำ เรามีความทุกข์เพราะใจ เพราะการกระทำเป็นไปได้ไหม (ได้)  ทำใจไม่ได้ ปลงไม่เป็นก็มีความทุกข์ได้  มีอีกสิ่งหนึ่งคืออะไร (วาจา) มีความทุกข์เพราะพูดมากเป็นไปได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์ให้วาดวงกลมขึ้นมาหนึ่งวง ในนั้นมีคำว่า ใจ การกระทำ และคำพูด  อยู่ด้วยกัน)  “ใจ การกระทำ และคำพูด” สามสิ่งนี้มาจากไหน
ทำอะไรต้องมีจังหวะและเวลาในการพูดในการทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเลยเวลาไปแล้วต้องหาวิธีใหม่ เวลาเราเจอคนดีๆ สักคน แล้วเขาก็ซื่อๆ เซ่อๆ ซ่าๆ  ศิษย์เอ๋ยคนในโลกแบบนี้หายาก เราจะไปว่าเขาว่าเขาไม่ฉลาด  ไม่เก่ง ไม่ดีพอ  หรือเราจะรู้จักรักษาคนแบบนี้ไว้  อย่างเช่นถ้าอาจารย์รู้สึกว่าศิษย์คนนี้ผิด ถ้าอาจารย์ว่าเขา แล้ววันหลังจะมีใครกล้าซื่อๆ เซ่อๆ อย่างนี้ไหม (ไม่มี) ในเมื่อศิษย์ของอาจารย์เป็นคนชอบสนุก ชอบตลกขบขัน ชอบความสุขมาก จงแปรเรื่องที่เครียดๆ ทั้งหลายของศิษย์ให้เป็นมุมมองที่มีความสุขได้ คนที่มีความดีเป็นคนดีแล้วดูเซ่อซ่าไปสักนิดหนึ่งอย่าว่าเขา ให้ทำอย่างไร หัวเราะก็พอ เพราะว่าถ้าหากว่าปล่อยให้คนดีโดนว่าคนจะไม่กล้าทำดี ทุกวันนี้คนมักพูดว่า ทำดีแล้วโดนว่า แล้วถามว่าเราเคยโดนไหม (เคย)  นั่นคือกรรมตามสนองแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปว่าคนอื่น ตัวเองจะได้ไม่ถูกว่า แต่ถ้าเซ่อซ่าพอกำลัง พอน่ารักก็ไม่โดนว่า ถ้าเซ่อซ่าเหลือกำลัง โดนซักหน่อยดีไหม (ดี/ไม่ดี)  คนบนโลกนี้ไม่ได้มีไว้ให้เราซ้ำ แต่คนบนโลกนี้มีไว้ให้ศิษย์นั้นยิ้มด้วย
ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ดีอยู่เราก็ย่อมมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะมีความสุขในชีวิตนี้ต้องระวังอะไรบ้าง (การพูด การกระทำ) เราพูดวันละกี่ชั่วโมง ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงก่อนนอนเลย ใจของเราคิดอยู่กี่นาที การกระทำของเราทำวันละกี่ชั่วโมง ถามว่าที่ใจคิด การพูด การกระทำส่วนใหญ่นั้นเป็นทำดี เป็นพูดดีหรือเปล่า ส่วนใหญ่ดีมากกว่าหรือไม่ดีมากกว่า (ดีมากกว่า)  
เรามักมองว่าสิ่งที่เราทำนี้เป็นสิ่งที่ดีและมีเหตุผลใช่ไหม (ใช่)  แต่ยิ่งเรามีเหตุผลมากเท่าไหร่คนก็มองว่าเราเป็นคนที่ดื้อมากขึ้นเท่านั้นจริงหรือเปล่า (จริง)  คนมองเราว่าเราดื้อ แต่เรารู้สึกว่าตัวเราเองมีเหตุผลเพราะอะไร เพราะว่าเหตุผลของเราไม่ใช่เหตุผลของเขา  เหตุผลไม่ได้ชนะทุกอย่างในโลกนี้ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นเรามีเหตุผล ถามว่าเราชนะคนอื่นไหม (ไม่ชนะ)  พูดจนปากเปียกปากแฉะ พูดจนเหนื่อยหอบคนฟังไม่ฟัง แต่คนเขาฟังไว้เพื่อที่จะค้าน  เพราะฉะนั้นเหตุผลไม่ได้ทำให้ศิษย์นั้นชนะได้ทุกอย่าง เพราะเหตุผลเราไม่ใช่เหตุผลเขา ที่เราพูดส่วนเราพูด ที่เขาฟังส่วนเขาฟัง ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ชนะได้ในโลกนี้จึงไม่ใช่เหตุผล เหตุผลเหมือนไม้ท่อนใหญ่ เหมือนไม้หน้าสามเอาไว้ตีหัว สิ่งที่ทำให้แทรกซึมเข้าถึงใจคนได้มากกว่าเปรียบเหมือนน้ำคือความอ่อนน้อม ความมีมารยาท เป็นของที่นิ่มนวล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ถ้าหากว่าคนที่มีเหตุผลมากๆ มายืนพูดให้เราฟัง กลับอีกคนหนึ่งเลี้ยงข้าวเราก่อนแล้วค่อยพูด ถามว่าเราฟังใคร ต้องเป็นคนที่เลี้ยงข้าวเราก่อนแล้วค่อยพูดแน่นอนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนต้องพูดอยู่แล้ว แต่ต้องมีวาทศิลป์ และต้องมีวิธีการพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่อยากชนะคนอื่นก็ไม่ต้องเรียนวิชาการอยู่เป็นมนุษย์ แต่ถ้าหากว่าทุกวันนี้ยังไม่อยากแพ้ใครก็เรียนสักหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  จริงๆ แล้วที่เรียนมาทั้งหมด การเป็นคนมีคุณธรรมคือให้ศิษย์นั้นยอมแพ้ทุกกระบวนท่า ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) จริยมารยาทสอนให้ศิษย์อ่อนปวกเปียกจนไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าหากว่าคนที่คิดอย่างนั้น ก็แสดงว่ายังไม่เข้าถึงธรรมะ คนที่เข้าถึงธรรมะแล้วย่อมรู้ว่าควรปรับใช้อย่างไร จึงเรียกว่ารู้จริง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่เป็นคนที่ซื่อสัตย์มากๆ ตั้งแต่ในสมัยโบราณมักจะถูกเอาเปรียบ ได้รับคำครหานินทา ถูกโจษจันไปต่างๆ นานา เพราะว่าเป็นคนที่มีความซื่อมากเกินไป แต่ถามว่าซื่อมากเกินไปดีไหม (ไม่ดี)  อันนี้เป็นความขัดแย้งของมนุษย์ในปัจจุบัน อยากทำดีแต่ไม่อยากเสียเปรียบ การเป็นคนซื่อตรงนั้นจึงเป็นคนดี เป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ว่าคำพูดตรงๆ เก็บไว้ในใจ เวลาทำต้องรู้จักที่จะรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง (ชนะร้อยครั้ง)
เมื่อจะทำชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น กลับมาที่คำถามเดิม ศิษย์ต้องตอบสามอย่างนี้คำพูดมาจากความคิดอะไรพูดอย่างนั้น เสร็จไม่เสร็จ (เสร็จ)  ต้องคิดก่อนแล้วค่อยพูดใช่หรือไม่ (ใช่)  คำพูดมาจากความคิด  การกระทำก็มาจากความคิด คิดอะไรก็ทำอย่างนั้นเสร็จไม่เสร็จ (เสร็จ)  เสร็จเหมือนกัน ต้องทำอย่างไร (คิดก่อนทำ)  เราต้องหัดคิดก่อนแล้วค่อยทำจริงหรือไม่
ความคิดอยู่ในใจแต่ว่าเราจับใจได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนถามศิษย์ บอกว่าศิษย์ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  อะไรๆ ก็ทำใจไม่ได้ แต่ถามว่าทำความคิดที่อยู่ในใจได้ไหม (ได้) ทำความคิดที่อยู่ในใจของตนให้ตนนั้นเป็นคนที่คิดในทางบวก คิดในแง่ดี แล้วชีวิตนั้นจะมีความสุขมากขึ้น ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ฉะนั้นชีวิตคนจะดีขึ้น ชีวิตคนจะมีความสุขมากขึ้นต้องควบคุมความคิดของตัวให้ความคิดของตัวเป็นความคิดในแง่ดี เป็นความคิดที่ชอบและเหมาะสม  
การพูดให้คนเข้าใจนั้นยาก คนไม่เห็นภาพ พูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องจริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราเห็นภาพอยู่คนเดียว แล้วจะพูดให้คนอื่นรู้เรื่อง ทำยากไหม (ยาก)  เรื่องอย่างนี้พบบ่อยไหม (บ่อย)  เราเห็นภาพ คนอื่นไม่เห็นภาพ พูดกันเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง  เพราะฉะนั้นทำอย่างไร คิดกันเสียยากเย็น อาจารย์จะบอกให้ ก็แค่ใจเย็นๆ งานอะไรมอบหมายให้ผู้อื่นไปทำ คนที่มอบหมายแม้จะไว้ใจกันสักเท่าไรก็ยังจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบด้วย ถึงจะไม่ผิดพลาด
ตอนนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนทั้งคนเก่าและคนใหม่นั้นหลับตา การมองเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี การได้ยินก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีด้วย ฉะนั้นอาจารย์มักจะบอกให้ศิษย์ฟังให้มาก แต่อาจารย์ก็ยังเห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าศิษย์ฟังมากคือฟังตัวเอง ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจะไม่มีความสุขเลยถ้าศิษย์นั้นไม่ได้เห็นตัวเอง  การมองเห็นตัวเองก็เพื่อที่จะเสียสละให้ผู้อื่น ขณะนี้ศิษย์อยู่คนเดียว ศิษย์รู้สึกไม่เห็นใครที่อยู่รอบข้างศิษย์เลย เห็นไหมว่าชีวิตของศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่งดงาม สวยงามและมีคุณค่า เพียงแต่การสร้างคุณค่าคือการสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น ตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มคุณค่ามากขึ้น ความวุ่นวายในโลกนี้หยุดลงดับลงเพียงแค่ศิษย์นั้นหลับตา  เชิญลืมตาขึ้น เห็นไหมว่าตอนนี้ศิษย์ทุกคนนั้นมีคนมากมายอยู่รอบข้าง มันเป็นเพียงแค่ความคิดของศิษย์ที่รู้จักคิด ศิษย์เพียงทำจิตใจของตนเองให้มีสมดุลมากกว่านี้  เวลาที่อาจารย์แบ่งส้มลูกหนึ่งเป็นข้างซ้ายและข้างขวา ส้มสองข้างนี้ถูกแบ่งได้เท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ถ้าเราปิดส้มไว้เหมือนเดิม ส้มนี้สมบูรณ์ไหม (สมบูรณ์)  ส้มนี้สมบูรณ์เพราะว่ามีทั้งเม็ด มีทั้งเนื้อ มีทั้งเปลือก  แต่ว่าใจของคนนั้นไม่เหมือนส้ม แยกออกมาก็ยังสามารถกลับไปเป็นใจเดิมได้  ไม่เหมือนกับส้มที่แบ่งแล้วแบ่งเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะสร้างสมดุลให้กับจิตใจ เวลาคิด พูด ทำอะไร ความไม่สมดุลนั้นสามารถฟังได้ มองเห็นได้ และสัมผัสได้  ใจของศิษย์มีความสมดุลมีความสมบูรณ์หรือยัง ยิ่งอยู่ในโลกมนุษย์นาน ยิ่งอยู่เป็นมนุษย์นาน ยิ่งอายุมากขึ้น จิตใจก็ยิ่งไม่สมดุลและไม่สมบูรณ์  
บางคนนั้นมีนิสัยเรียกร้องความยุติธรรม  คนที่มีนิสัยประเภทนี้ก็มักจะมองเห็นว่าอะไรคือดำ อะไรคือขาว อะไรคือผิด อะไรคือถูก อะไรคือคนพาล อะไรคือคนดี แล้วเราก็ชอบวิจารณ์คนที่เป็นคนพาล เราชอบที่จะสร้างความสมบูรณ์ตรงนั้นให้บังเกิด คนรักความยุติธรรมคนนี้เป็นคนดีหรือเปล่า (เป็น)  แต่ความดีของเขาไม่ได้ทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัย จริงหรือไม่ (จริง) เมื่อเขาเห็นคนพาล เขาอยากที่จะเปลี่ยนคนพาลคนนี้ไหม (อยาก) เขาอยากจะพูดเรื่องคนพาลคนนี้ไหม อยากเปิดโปงเขาไหม  ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังพูดได้ยังมีปาก ทุกคนชอบพูดทั้งนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นวจีกรรมและกายกรรม สุดท้ายศิษย์ก็มีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  มีกรรมเพราะคนคนหนึ่งที่ศิษย์ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเขาได้เลย  แต่ถ้าศิษย์มองใหม่ว่า เปลี่ยนเขาแล้วได้อะไร เปลี่ยนเราดีกว่า จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้น เมื่อเราพบใครสักคนหนึ่งที่เป็นคนพาล ที่เป็นคนไม่ดี ความประพฤติของเขาไม่เข้ารูปเข้ารอยไม่เข้าตาเรา ขอให้เราเปลี่ยนตัวเอง ไม่ใช่เปลี่ยนคนอื่น
อีกคนหนึ่งเป็นคนที่รักความสะอาดบริสุทธิ์ คนที่รักความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาเจอคนอื่นก็รู้สึกถึงความสกปรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเจอคนอื่นแล้วเรารู้สึกทนไม่ได้ รับไม่ได้ แล้วศิษย์สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์อยากจะเช็ดใจคนอื่นให้สะอาดมากขึ้น อยากให้เรื่องราวทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ไม่ผิดลำดับเลย ทำได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นชีวิตที่มันซับซ้อนก็เพราะว่า ๑ ไปอยู่หลัง ๑๐ และ ๒ ไปอยู่หลัง ๕  แล้วเราก็เพิ่มความซับซ้อนให้ตัวเองด้วยการบอกว่า เราเป็นคนรักความบริสุทธิ์ รักความสะอาด อย่างนั้นเราแย่ลงทันที  
อีกคนหนึ่งเป็นคนที่รักความซื่อสัตย์  คนที่รักความซื่อสัตย์นี้ก็เห็นสิ่งใดแล้วไม่ชอบมาพากล รู้สึกว่าอยากจะเข้าไปช่วยแก้ไข มองเห็นเรื่องราวต่างๆ แล้วใช้เหตุผลเพราะว่าเป็นความซื่อสัตย์ของตัวเอง ถามว่าศิษย์จะสามารถรอดพ้นจากสังคมได้ไหม (ไม่ได้)  
วันนี้อาจารย์พูดถึงคนสามนิสัย คือ คนที่หนึ่งยุติธรรม  คนที่สองบริสุทธิ์สะอาด  คนที่สามซื่อสัตย์  คนทั้งสามนิสัยนี้แฝงอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ของอาจารย์อยากที่จะช่วยให้คนอื่นรอด แต่ไม่นำพาความรอดพ้นให้ตัวเอง อาจารย์อยากให้ศิษย์มองว่าเมื่อเราจะช่วยผู้อื่นด้วยคำพูดเราต้องมีบารมีมากพอ  เมื่อเราจะช่วยคนอื่นด้วยการหนุนช่วยด้วยเงิน เราต้องมีเงินมากพอ  เมื่อเราจะช่วยเขาด้วยการส่งเสริมเขาเราต้องมีคุณธรรมมากพอ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีใครที่มีเงิน มีก็ไม่พอให้คนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกร้องศิษย์ได้คืออะไร คุณธรรม ความคิด จิตใจ ฉะนั้นทำตัวเองให้ดี แล้วจึงช่วยคนอื่น จงยอมอ่อนให้ถึงที่สุด จงยอมเสียเปรียบคนบ้าง เมื่อคนเรารู้จักใช้ไม้อ่อน เมื่ออ่อนให้ถึงที่สุด อ่อนอย่างต่อเนื่อง ศิษย์จะเป็นผู้ชนะตลอดไป ไม่ใช่อ่อนบ้าง แข็งบ้างตามอารมณ์ อย่างนั้นยังไม่ได้บำเพ็ญเลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่ + วินัย”)
วันนี้ศิษย์ทุกๆ คนมีหน้าที่ไหม (มี)  ทุกคนมีหน้าที่ต่อชีวิตตัวเอง ต้องทำชีวิตตัวเองให้ปล่อยวาง  ปลง  ทำใจ และทำชีวิตตัวเองให้มีความสุขมากกว่านี้ ทุกคนมีหน้าที่เป็นลูก ลูกมีหน้าที่ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนที่เป็นภรรยามีหน้าที่ต้องดูแลสามีและครอบครัว ทุกคนที่เป็นสามีมีหน้าที่ที่จะซื่อสัตย์และดูแลครอบครัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนมีหน้าที่ต่อสังคม ไม่ว่าเราจะเป็นกรรมกร คนทำงานบริษัท เป็นคนโกยขยะ ไม่ว่าเราจะเป็นใครที่หน้าที่อะไรในสังคม อาชีพของเรามีผลต่อสังคมทั้งสิ้น ทุกคนจึงมีหน้าที่ และหน้าที่ที่ลืมไม่ได้คือต้องมีหน้าที่ต่อกัน พาตัวเองให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิด วันหนึ่งทุกข์เกิดดับหลายรอบ อาจารย์สอนให้ศิษย์ดับทุกข์ทันทีแต่ว่าไม่ใช่ทุกข์ดับแล้วดับเลย ทุกข์จะกลับมาบ่อยๆ เป็นระยะ ศิษย์จึงต้องหาทางที่จะดับให้สิ้น หลุดพ้นจากความทุกข์ จากทะเลทุกข์ จากชีวิตนี้  ก่อนที่จะหมดลมหายใจ เวลาที่เหลืออยู่นี้คือเวลาที่ต้องสำรวจตนเอาชนะตน
วินัยคืออะไร ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือวินัย เมื่อเราดำรงตนตามวินัย กฎระเบียบก็คือ การที่เรารู้จักใช้ธรรมะกับชีวิตตนเอง มีหลายๆ คนมาที่นี่แล้วบอกว่าที่นี่ระเบียบมากเกินไป จริงหรือเปล่า ชีวิตคนต้องมีระเบียบจึงจะสามารถอยู่อย่างสุขได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นรักษาหน้าที่ของตัวเองและใช้ธรรมะคู่กับชีวิตของตัวเองด้วย
ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในห้องนี้เป็นศิษย์ที่ผ่านประชุมธรรมมาแล้ว อาจารย์อยากให้ศิษย์ใส่ใจกลับมาศึกษาให้มากๆ คนไม่เรียกก็มาได้ ไม่ต้องรอให้คนเรียกคนเชิญก็มาได้ อย่างน้อยๆ เวลาที่มีไหว้พระ มีอะไรก็ขอให้ศิษย์กลับมา การไหว้พระนั้นช่วยเปิดปัญญาให้ศิษย์ อย่ามองข้าม คนที่ไม่ได้ไหว้พระบ่อยๆ มักจะคิดอะไรตีบๆ ตันๆ คิดไม่ค่อยออก หรือแม้เหตุผลง่ายๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะปัญญานั้นไม่ได้เปิดออก ทุกคนนั้นประกอบไปด้วยหนี้เวรกรรมมากมาย ฉะนั้นการที่จะพ้นหนี้เวรกรรมได้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นมีต้นทุนดี คือมีชีวิตนี้ อยากให้ศิษย์ทุกคนเข้าใจที่จะใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่า คนที่สามารถร่ำเรียนมีวิชา หาเงินทำงานได้ มีรถ มีบ้าน มีอะไรก็แล้วแต่ คงไม่ยิ่งใหญ่เท่าคนที่สามารถพาตนเองให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ระยะทางอีกไกล ศิษย์อย่าเป็นคนที่ใช้อารมณ์ อย่าใช้ความคิดของตัวเองมาก ขอให้ปล่อยให้วาง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บ้าน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เรานั้นไปทะเลาะกับใคร เรานั้นแพ้ใคร หรือชนะใคร สิ่งนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ เราอายุมากแล้ว ยิ่งอายุมากก็ต้องรีบหน่อย อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนทำได้ ใช้ใจของศิษย์นั้นจับใจของอาจารย์ ใช้มือในใจของศิษย์นั้นจับใจของอาจารย์แล้วศิษย์ก็จะเข้าถึงอาจารย์  รักษาธรรมในตัวให้ดี  
ภัยที่อยู่นอกตัวไม่ร้ายแรงเท่าภัยที่อยู่ภายในตัวของมนุษย์  เสียงที่ดังออกลำโพงก็ดังไม่เท่ากับเสียงของมนุษย์ที่นินทาว่าร้ายกัน ใจของใคร ใจของฟ้า ก็ไม่สำคัญเท่ากับใจของมนุษย์ที่มีให้กัน เมตตาของฟ้าหลั่งมาถึงมนุษย์บ้าง ไม่ถึงมนุษย์บ้าง แต่เมตตาของมนุษย์ย่อมถึงมนุษย์ได้เลยในทันที ขอให้ศิษย์นั้นเป็นฟ้าแทนอาจารย์ ขอให้เข้าใจกัน รักกัน วางใจกัน  ทำจิตใจให้มีสมดุล ความคิดบางอย่างค้างคา ก็มีแต่เราเท่านั้นที่ปลดปล่อยออก
ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนลองจับหัวใจศิษย์ว่าเต้นไหม หัวใจของศิษย์เต้น ใจนั้นมีกำลังพอจะเต้น ก็ขอให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีกำลังใจไปตามจังหวะหัวใจของตัวเอง อาจารย์จะทิ้งท้ายด้วยคำพูดไม่กี่คำ สิ่งที่เป็นคุณธรรมที่ศิษย์ควรรู้ก็คือ เมตตา, ปัญญา, กล้าหาญ  คนมีเมตตาแล้วไม่มีปัญญาไม่ได้ คนมีปัญญาแล้วไม่มีความกล้าในการไปทำไม่ได้ เมื่อเรามีความกล้าแล้วไม่เมตตาก็ไม่ได้ แต่ศิษย์บางคนนั้นมีความกล้ามากเกินไป ถามว่าความกล้าสำคัญไหม ความกล้าสำคัญแต่มโนธรรมสำนึกสำคัญกว่า ฉะนั้นศิษย์ที่มีความกล้าน้อยอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่มีความกล้า ส่วนศิษย์ที่มีความกล้ามากเกินไปอาจารย์อยากให้ศิษย์มีมโนธรรมสูงๆ ทุกอย่างที่เป็นคุณธรรมที่ศิษย์ศึกษานั้นไม่มีเรื่องใดสักเรื่องเดียวที่ไม่ต้องทำ ทุกอย่างต้องทำ ให้เวลากับตัวเอง อย่าท้อแท้หมดใจ อย่าหมดหวัง อย่าท้อกับคำพูดของคน อย่าท้อกับสายตาของคน อย่าท้อที่ถูกแบ่งแยกหรือกีดกัน นึกเสียว่าเราไม่เข้าใจคนอื่น ทุกคนต่างมีเหตุผลทั้งนั้น ถ้าหากเราเข้าใจซึ่งกันและกันศิษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจริงๆ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยาก แล้วก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ อยู่ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะจับมือของตัวเองมาพลิกหรือเปล่า จะยอมสั่งจากข้างในของตัวเองว่าจะพลิกฝ่ามือหรือเปล่าเท่านั้น ขอให้ภายในของศิษย์มีแต่สิ่งที่ดีๆ และสั่งศิษย์ในสิ่งที่ดีๆ อย่ายอมแพ้ให้อำนาจใฝ่ต่ำในจิตใจ อาจารย์หวังว่าจะพบศิษย์บ่อยๆ และทุกครั้งที่พบศิษย์ก็ขอให้ศิษย์นั้นดีขึ้นกว่าเดิม อย่าเป็นคนเฉื่อยแฉะต้องให้คนคอยกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ทำได้ไหม (ได้)  



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่ + วินัย”
สุดท้ายพอคนลืมตัว  จิตถูกเมามัวไม่สนใจใคร  กว่ารู้ตัวทำไมเป็นได้  สติมากมายไล่ตามพันพัว  ดั่งนั้นยามคนลืมธรรม  เศร้าจนน่าขำ ยามคนลืมกลัว  เจ็บช้ำจ่อจมเรื่องตัวกว่าจะรู้กลัวแก้คืนไม่ทัน อย่าท้อในความเป็นคน  และอย่าสับสนในความเป็นจริง  โลกพร้อมจะยอมคนใจนิ่งที่ดีได้จริงไม่มีสายไป


หมายเหตุ   เนื่องจากบทพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของชั้นประชุมธรรม ณ สถานธรรมเจาหยู จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๙ - ๒๑  พฤษภาคม ๒๕๕๐  หน้า ๔๙   พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทไว้ว่า
ขงจื่อบอกว่า การจะตัดสินคน จำเป็นต้องขจัดให้สิ้น ๔ อย่าง
๑. ดื้อดึง
๒.ไร้เหตุผล
๓.ยึดตนเป็นศูนย์กลาง
โดยให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมไปค้นหา ข้อ ๔ มา ซึ่งผู้ปฏิบัติงานธรรม ค้นหามาคือ  ๔. ยืนยันว่าสรรพสิ่งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเป็น “ลำเอียง”  และให้เรียงลำดับใหม่ ดังนี้
๑. ลำเอียง
๒.ไร้เหตุผล
๓.ดื้อดึง
๔.ยึดตนเป็นศูนย์กลาง

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา