วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2550

2550-06-23 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


西元二○○七年歲次丁亥五月初九日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    ดวงตะวันจันทราส่องทั่วปฐพี    อันความดีในมนุษย์ส่องทั่วหล้า
เกิดเป็นคนทนยากได้ประเสริฐนา    ใช้ชีวาให้คุ้มที่เกิดเป็นคน
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
            ขอทุกคนสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

    เรื่องที่เกิดบ่อยครั้งในมนุษย์    นั้นยากสุดที่มนุษย์แก้ไขได้
จงยึดมั่นความดีไม่สูญเปล่าไป    จงเข้าใจชีวิตนี้มีทางเสมอ
อย่าไขว่คว้าความสุขจนหน้ามืด    จงจางจืดรู้รสแท้แห่งชีวิต
เป็นคนต้องเข้าใจในลิขิต    จึงรู้มิตรแห่งชีวิตคือลำเค็ญ
ต้องขมก่อนจึงหวานน้องตรองดู    หากไม่รู้ตัวกำลังทำอะไร
หาไม่เจอทางออกที่ควรเป็นไป    จะหลีกเลี่ยงทุกข์อย่างไรก็ต้องเจอ
ตั้งสติภายในตนพ้นวุ่นวาย    อย่าหลงได้ทรัพย์ภายนอกพาพกเพ้อ
จงอย่าปล่อยชีวิตสุดแต่เจอ    ขอให้เจอใจตนนี้โดยเร็ววัน
แยกแยะซึ่งบุคคลออกจากกระทำ    สิ่งที่จำจดไว้พาขุ่นเคือง
แก้ปัญหาชีวิตต้องทีละเรื่อง    ผู้ปราดเปรื่องอยู่ที่รู้ปลงให้เป็น
สองวันนี้ฟังธรรมะกระตุ้นจิต    ปรับปรุงตนมองชีวิตในแง่ใหม่
ความรู้นั้นต้องปฏิบัติควบคู่ไป    ความเข้าใจค่อยค่อยเกิดเมื่อผ่านมา
สังคมใหญ่อยู่ยากน้องคนเมือง    ความรุ่งเรืองบีบให้คนแสวงหา
กลัวแต่จะตามไม่ทันเท่านั้นนา    จิตวิญญาไม่สนใจแล้วงั้นฤๅ
สองวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต    ขออย่าปิดจิตใจนี้ให้อับเฉา
การบำเพ็ญขึ้นอยู่กับตัวเรา    อย่าดูเบาว่าทำไม่ได้เลย
จงตั้งใจอยู่ให้ครบทั้งสองวัน    จงแข่งขันทวนกระแสโลกีย์หนา
ผู้บำเพ็ญต้องมีรากบุญปัญญา    พินิจว่าน้องทุกคนล้วนแต่มี
ศิษย์พี่รับบัญชาคุมชั้นเรียน    หวังน้องเพียรกว่าเรื่องใดในชาตินี้
เข้าใจได้ก็ย่อมทำได้ดี    ศึกษามีจึงปฏิบัติถูกแนวทาง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    หวังน้องได้รักษาระเบียบในชั้นเรียน
            ฮวา  ฮวา   หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๓ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

    กล้าสู้กับความยากลำบากใจ    แม้กำลังน้อยไม่คิดยอมแพ้
ที่สุดอย่าประมาทบนความไม่แน่     สุขเป็นแม้โลกแปรก็เข้าใจ
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว        ถามเมธีทุกท่านเมื่อยหรือเปล่า

    บันเทิงเรื่อยเหนื่อยถอนไม่สิ้นซาก    กระหายอยากใจทำไมหยุดไฉน
มีต่อไปต่อไปไม่คลี่คลาย    แสวงไม่พักฝืนทำให้พัง
รู้ควรทำแต่ระอาเพราะสับสน    รู้ไม่จนหวังแอบสติตั้ง
รู้อะไรต้องรู้จริงจึงสว่าง    วิถีทางถึงมายมากไหนปฏิปทา
กายใจล้าสันโดษมาบำรุงหนัก    บำเพ็ญพักไปคนชวนจงกล้า
วัตถุในโลกประยุกต์ล้ำแซงหน้า    เตือนรักษาจิตใจหน้าตาเดิม
ฝึกบำเพ็ญใจเข็ญแต่นิ่งนิ่ง    ปัญหาวิ่งแกมวุ่นสองสามเสริม
เตือนไม่วายหนึ่งคนทนประเดิม    ตนส่งเสริมตนไร้คนใดปาน
บัณฑิตเสียศรัทธาในตนหมองเศร้า    ศักดิ์ศรีเท่าสิ่งร้างตามสุสาน
ขุ่นหมองหมางหลายคราทางวิญญาณ    อย่าปล่อยนานใจของผู้เจริญ
เมื่อมีใจสมัครตนบำเพ็ญธรรม    ประกายงำมีอ่อนน้อมน่าสรรเสริญ
มุ่งแก้ไขย่อมกระเตื้องปลงใจเดิน    ใช่บังเอิญเคารพตนเผยคุณงาม
อย่าหวั่นกลัวผลหน้าเป็นอย่างไร    ปรามาส ใจใจหลัวผ่ากว่าสนาม
ในทุกคนมีแท้แน่นิยาม    สามารถปรามแปรเทียมมีจริงแล
            ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ฟังธรรมมาค่อนวันแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เห็นอย่างนี้เราก็รู้ว่าจะให้เชื่อก็คงเป็นไปได้ยาก แต่ลองฟังดูก่อนก็ไม่เสียหลายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยังไม่รู้ว่าใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นการยืมร่าง เข้าร่างเข้าทรงที่หลอกลวงคนข้างนอก แล้วข้างในนี้ก็มี อย่างนั้นหรือเปล่า ก่อนที่จะปักใจเชื่ออะไรขอให้ลองพิจารณาดูก่อน อย่าเอาสิ่งที่รู้จากภายนอกมาตัดสิน  ทุกๆ คนอยู่ในโลกนี้บางครั้งเราเลือกสภาพแวดล้อมให้ถูกใจเราไม่ได้ เราเลือกคนที่อยู่ตรงหน้าให้ทำตามสิ่งที่เราปรารถนาไม่ได้  เมื่อสภาพแวดล้อมไม่เป็นดั่งใจหวัง ความอิสระของร่างกายและจิตใจยังถูกบีบคั้น ก็คงเหลือแต่ทัศนคติที่จะนำพาคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ให้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก หาใช่คนภายนอกอย่างเดียว จริงไหม (จริง)  หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ แม้สภาพแวดล้อมจะเลวร้ายขนาดไหน แต่มนุษย์สามารถค้นหาความหมายความดีงามในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีด้วยการคิดดีได้ และความคิดดีนี้จะเป็นตัวที่ทำให้เราฟันฝ่าหาหนทางที่สว่างจนเจอ และเป็นตัวผลักดันอันท้าทายที่จะทำให้เราเมื่อคิดดีแล้วต้องพยายามทำดีให้ถึงที่สุด หรือเมื่อคิดดีทำดีแล้วทำไมเราไม่ช่วยผู้อื่นบ้าง ในหนังสือมักจะกล่าวว่าวีรชนสร้างสถานการณ์ แต่สถานการณ์ก็สร้างวีรชนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงเหตุการณ์แวดล้อมจะบีบบังคับให้เรารู้สึกแย่ขนาดไหน แต่ถ้าทัศนคติในหัวใจเราไม่แย่ตาม สิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อหัวใจเราไหม
(ไม่มี)  ฉะนั้นถึงแม้สภาพแวดล้อมจะดีขนาดไหน แต่ถ้าทัศนคติในหัวใจรู้สึกแย่ ใครก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจะบอกว่าความรู้สึกที่ดีหรือความรู้สึกที่ร้ายใช่แค่คนพูดหรือสิ่งแวดล้อม  แต่แท้ที่จริงแล้วอยู่ที่ทัศนคติในหัวใจของเราต่างหาก จริงไหม (จริง)  เราจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมหรือจะทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงใจเรา เราจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตหรือปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเราไปตลอดทั้งชีวิต เหมือนที่นั่งตรงนี้ ถ้าเขาร้องเพลงสนุกสนาน ยิ้มอย่างปรีเปรมปรีดา แต่ถ้าทัศนคติของท่านรู้สึกแย่ เขาฉุดอย่างไรก็ฉุดเราไม่ขึ้น จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นที่สุดแห่งทุกข์หรือที่สุดแห่งความสุขอยู่ที่ใด (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่หัวใจเราคิดทางใด จะคิดให้ขึ้นสวรรค์หรือลากให้ลงนรก จริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนวันนี้นั่งฟังครึ่งวันรู้สึกว่าขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (ขึ้นสวรรค์)  บางครั้งเหตุการณ์ภายนอกเมื่อถึงเวลาที่เราไม่สามารถจัดการอะไรได้ สิ่งที่เราสามารถจัดการได้คือหัวใจเราต่างหาก  เคยไหมอยู่กับคนที่เอะอะโวยวาย บอกให้หยุดก็ไม่หยุด อยากจะเดินหนีก็ไม่ได้ เราควบคุมเขาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเรากลับมาควบคุมหัวใจเราไม่ดีกว่าหรือ
การศึกษาบำเพ็ญธรรม เราไม่ได้เรียกร้องที่ผู้อื่น แต่คือการเรียกร้องและเริ่มต้นที่ตัวเราเอง  วันนี้ก่อนที่เราจะพูดให้ยืดยาวไปกว่านี้ขอทำความเข้าใจก่อนว่า การศึกษาปฏิบัติธรรมคืออะไร การศึกษาปฏิบัติธรรมก็คือการเรียกร้องตนเอง เข้มงวดตนเอง แต่ผ่อนปรนการเรียกร้องผู้อื่น ไม่เรียกร้องผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่าผู้มีธรรมในหัวใจ เป็นผู้ที่กล้าตำหนิตัวเอง ไม่ตำหนิผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้จะไม่มีใครที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ หากทำได้แค่นี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ดีแล้ว ยากเกินไปไหม ไม่ยากเลยใช่หรือไม่  ขอให้เพียงหัวใจนี้มีธรรม ธรรมที่ถูกที่ควรจะนำพาคนให้เป็นที่รักของคนในสังคม
มนุษย์มักจะพูดว่าจิตใจดีก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องมีธรรม ไม่เห็นต้องเพิ่มธรรมให้กับตัวเลย ใจดีก็พอแล้วทำไมต้องเพิ่มนั่นเพิ่มนี่ ฟังนั่นฟังนี่ ไม่เห็นว่าสำคัญตรงไหนเลย
เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ นะว่าใจดีเท่านั้นพอไหม สมมติว่าเรามีหินอยู่ก้อนหนึ่งในมือ แล้วเราต้องการขว้างไปให้ถึงจุดหมายและตรงเป้า การเอาหินนั้นขว้างไปทันที โอกาสพลาดเป็นไปได้เยอะไหม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะเรียนรู้ศึกษาและขัดเกลาตัวเองหน่อยว่า ถ้าเอาไม้มาสักหนึ่งอัน เอายางมาผูกกับไม้ แล้วก็เอาหินมาน้าวให้เต็มที่แล้วพยายามเล็งให้ถูก โอกาสผิดพลาดจะเป็นไปได้เยอะไหม จะทำให้เรายิงได้แม่น เร็ว และตรงเป้าหมาย ใช่หรือไม่  
วันนี้เรามาฝึกฝนศึกษาหลักธรรมเพิ่มเติมก็เพื่อให้เรียนรู้วิธีการที่ไปให้เร็วและถูกทาง คำพูดที่กล่าวว่าใจดีก็พอแล้ว ทำดีแค่ตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องช่วยใคร เท่านั้นพอไหม (ไม่พอ)  แล้วเคยเห็นลูกธนูไหม ถ้าเวลาเราเอาไม้ที่คดๆ มายิงมันตรงไหม (ไม่ตรง) แล้วมันจะไปได้ถึงเป้าหมายไหม (ไม่ถึง) เพราะอะไร (เพราะมันคด) แรงที่ไปก็ไปได้ไม่ถึงสุด ทำอะไรก็ไปได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเรายอมดัดไม้ที่คดและเหลาให้มันตรง พยายามเหลาปลายให้แหลม รู้จักเพิ่มเหล็กแหลมมาใส่ที่ไม้ เพิ่มขนนกมาใส่ที่หาง รู้จักเหลาไม้ให้โค้ง และเติมเชือกให้ตรง แล้วน้าวให้เต็มที่ ธนูจะไปถึงเป้าหมายได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธนูจะเป็นธนูและไปให้ถึงเป้าหมายถ้าไม่มีคันธนูได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเอาแต่ตนเองรอดแล้วไม่สนใจคนรอบข้างเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  บางครั้งกว่าจะถึงเป้าหมายก็ยังต้องมีคนอยู่ร่วมทางเหมือนคันธนู เหมือนหนังสติ๊ก ใช่หรือไม่  ต้องมีคนหนึ่งที่เป็นคนแกร่ง และมีคนหนึ่งที่เป็นคนอ่อนน้อม สังคมจึงจะเป็นสุขได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้จะมาเพิ่มเหล็กแหลมในตัวเอาไหม (เอา)  จะยอมเป็นหนังสติ๊กเอาไหม เราพูดเพื่อเปรียบเทียบ แต่ไม่ใช่พูดเพื่อให้ไปทำบาปนะ
อยากรู้จักเราไหม (อยาก)  เราเห็นชื่อบางท่านแล้ว รู้จักและเห็นหน้า แล้วยังเห็นไปถึงใจ แต่ทุกท่านที่นั่งที่นี่เห็นหน้าแล้วรู้ถึงจิตใจเราหรือเปล่า ฉะนั้นวัดคนอย่าวัดเพียงผิวเผิน ดูอะไรอย่าดูเพียงเปลือกนอก ไม่เช่นนั้นแล้วจะเสียโอกาสและคุณค่าในการอยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยปกติเราอยู่ในสังคม สิ่งที่คุยกันมักจะเป็นเรื่องข่าวการเมือง ข่าวการบันเทิง ข่าวคนนั้นข่าวคนนี้ ใช่หรือไม่  แต่วันนี้สิ่งที่เรามาคุยคงไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นข่าวเกี่ยวกับธรรมะ เอาไหม เห็นบอกให้มาฟังธรรมะ ไม่เอาใช่ไหม  ไหนใครบอกว่าพอเขาชวนมาฟังธรรมะตอบตกลงทันทีไม่มีอิดออดยกมือขึ้น  เราอยากฟังสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี หรืออยากฟังสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ (รู้สึกดี)  แปลกจริงนะ ถ้าฟังก็ต้องฟังดีๆ ถ้าฟังแล้วรู้สึกแย่ก็ไม่อยากฟังใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่รู้สึกแย่คือความจริง แต่สิ่งที่รู้สึกดีนั้นบางทีคือภาพลวงหลอกใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเริ่มต้นคิดอย่างนี้แล้วก็เป็นอันทุกข์แน่นอน  ฉะนั้นก่อนที่เราจะทำอะไร สิ่งที่เราขาดไม่ได้ในการดำเนินชีวิตคือสติ  ชีวิตนี้ไม่มีใครรับผิดชอบตัวใครได้นอกจากตัวเราเอง ถ้าผิดพลาดไปแล้วเราถอนไม่ได้นะ  แล้วเราก็เรียกกลับคืนมาให้เราเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ก็ไม่มีนะ  ฉะนั้นก่อนพูดคิดให้ดีๆ  วันนี้เรามาเพื่อให้ท่านได้ฟังสิ่งที่เราพูด แต่ขอให้ไตร่ตรองก่อนที่จะเชื่ออะไร  
สิ่งที่มนุษย์เกิดมาแล้วปรารถนากันนั้นมีอะไรบ้าง (ร่างกายแข็งแรง)  เมื่อเกิดมาสิ่งที่ต้องการที่สุดคือร่างกายแข็งแรง จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ใช่สมประกอบก่อนหรือ ท่านอื่นล่ะ (อายุยืน)  ร่างกายแข็งแรง อายุยืน มั่งมีศรีสุข แล้วปัจจุบันนี้ทำอะไรให้ตัวเองแข็งแรงบ้างไหม อาหารห้าหมู่กินครบไหม หรือว่ากินเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ไม่ชอบไม่กิน อยากมีอายุยืนแต่วันๆ ทำงานกี่ชั่วโมง พักกี่ชั่วโมง อยากมั่งมีศรีสุขแต่ว่าใช้เกินงบประมาณตัวเองประจำ (อยากพบแต่ความสุขความเจริญ)  อยากพบแต่ความสุขแต่หวั่นวิตกไปก่อนล่วงหน้าเสมอใช่ไหม ท่านกำลังปรารถนาเพื่อให้เราให้ในสิ่งที่ท่านปรารถนาใช่หรือไม่ (ใช่)  (อยากให้คนในครอบครัวรอบตัวเรามีความสุข อยากให้ครอบครัวของทุกๆ คนมีสุขภาพแข็งแรง)  ตอบได้ดีนะ แต่ยิ่งตอบยิ่งไม่เข้าประเด็นที่เราต้องการจะสื่อเลยนะ (อยากให้ครอบครัวและคนอื่นทุกๆ คนมีศีลธรรมในใจ)
สิ่งที่มนุษย์เกิดมาและปรารถนาอย่างแรกคือ มีเงินทอง (อยากพ้นทุกข์)  วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรมเพื่อรู้หนทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ไม่นำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่รู้จักหันมามองตัวเองมากกว่าที่จะหันไปมองผู้อื่น คนที่รู้จักตำหนิตัวเองมากกว่าที่จะตำหนิผู้อื่น คนนั้นยากที่จะไปก่อความทุกข์ยากลำบากให้แก่ใคร คนที่รู้จักเข้มงวดตัวเอง และเริ่มต้นทำดีด้วยตัวเองก่อนที่จะไปเรียกร้องผู้อื่น คนนั้นยากจะเป็นที่รังเกียจของผู้ใด แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้ามนุษย์ยังมีความอยาก มีความโลภ มีความเกลียดอยู่ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่วันนี้เราไม่ใช่ให้ท่านหยุดอยาก หยุดโลภ หยุดเกลียด แต่รู้จักมีชีวิตอย่างอยากเป็น เกลียดให้ถูกต้อง และโกรธให้ดีงาม แล้วทำอย่างไรล่ะ เริ่มต้นง่ายๆ มนุษย์ทุกคนอยากมีทรัพย์สิน อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นคนที่มีความสามารถ มีคนนับหน้าถือตา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราถามหน่อยนะ ขึ้นชื่อว่าเสือ หาเสือที่ไม่มีลายได้ไหม (ไม่ได้) เสือเปรียบเทียบได้กับอำนาจ  เมื่อมนุษย์อยากมีอำนาจจะหาความบริสุทธิ์และรักษาความซื่อตรงในหัวใจได้หรือไม่ เป็นไปได้ไหม
อย่างที่สอง คนทุกคนอยากมีคุณค่าในสังคม และเป็นค่าที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นเราเปรียบเทียบเป็นหยกเม็ดงาม ขึ้นชื่อว่าหยก แต่ถ้ามีรอยตำหนิแล้ว สวยขนาดไหนคนก็ตีราคาให้ต่ำลง คนเราเมื่อขึ้นอยู่ที่สูงแล้ว เป็นที่นับหน้าถือตา เวลาทำผิดเห็นได้ชัดไหม (ชัด)  แล้วถ้าเวลาทำผิดเห็นได้ชัดแล้วไม่แก้ไขไม่สำนึก ใครรับได้บ้าง อยู่ต่ำๆ เมื่อทำผิดคนก็ไม่ว่าอะไร แต่เมื่อไรที่ขึ้นสูงแล้วยิ่งผิดก็ยิ่งเห็นชัด คนก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากอยู่สูงไหม อยากมีค่าไหม (อยาก)  อยากหาเงินให้ตัวเองมีค่ามากๆ แต่พอมีค่ามากๆ ก็ง่ายที่จะถูกเขาติฉินนินทาและถูกจับผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายากที่จะรักษาความบริสุทธิ์ให้ตลอด ฉะนั้นอยากน้อยหน่อยดีไหม (ดี)  
คนอีกประเภทหนึ่งคือ อยากเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ เขาว่าเรียนอะไรแล้วคนจะยกย่องก็ไปเรียนหมด เขาว่ารู้อะไรแล้วจะยิ่งใหญ่ก็ไปรู้ให้หมด แต่ถามท่านนะ ม้าดีเป็นม้าอาชาไนย สีก็สวยหายาก แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือพยศ ปราบอย่างไรเลี้ยงอย่างไรก็ไม่เชื่อง ขึ้นขี่ทีไรดีดคนขี่ตกทุกที แล้วมีใครบ้างล่ะที่พอมีความรู้ความสามารถ แล้วจะไม่หยิ่งทะนง ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้ มีไหม มี แต่คงน้อยเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีอำนาจอย่างเสือ มีคุณค่าสูงส่งอย่างทับทิมหรือหยกงาม หรือมีความรู้ความสามารถอย่างม้าอาชาไนย แต่ขาดซึ่งคุณธรรมความดีงาม และจิตใจที่เมตตาซื่อตรง หรืออ่อนน้อมถ่อมตน คนนั้นก็ยากจะมีจุดจบที่ดีงามในชีวิตได้ จริงหรือไม่ (จริง)  คนทุกคนรู้ในเหตุผลนี้ บอกสิบก็รู้สิบ แต่คนส่วนมากไม่ทำ ปล่อยให้อำนาจชักพาให้เรากลายเป็นคนไม่สามารถซื่อตรงได้ ปล่อยให้คุณค่าที่สูงส่งทำให้เราแอบหลงตัวเองแล้วเผลอทำผิด เมื่อมีความรู้ก็กลายเป็นคนยึดมั่นถือมั่น ใครพูดอะไร เดี๋ยวก่อนเถอะ มีดีขนาดไหนมาบอกฉัน รู้ไหมฉันจบอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์เราเหมือนคนที่อยากขึ้นหลังเสือแต่พอขึ้นหลังเสือแล้วเอาตัวไม่รอด ลงมาก็ลงไม่ได้ อำนาจ ความสามารถ ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็ฆ่าตัวเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเรารู้สิ่งนี้แล้วอย่าเอาแต่รู้ แต่เราต้องทบทวนอยู่เสมอว่าต้องทำให้ได้แล้วอยากเป็นเช่นนั้น  สิ่งที่รู้ถึงจะไม่ทำลายตัวเราเอง จริงหรือเปล่า (จริง)
เราอยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ เงินทอง ชื่อเสียง ความรู้ความสามารถ มีได้แต่อย่าขาดซึ่งคุณธรรมในหัวใจ คุณธรรมนั้นมีอะไรบ้างล่ะ ยิ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่จิตใจที่เมตตาย่อมขาดไม่ได้  ยิ่งมีความรู้ความสามารถ ความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ควรเพิกเฉย  ยิ่งโดดเด่นมีหน้ามีตาในสังคม จิตใจที่รู้จักเสียสละและกล้ารับผิดชอบต้องมีในหัวใจ เคยไหมเขาอยู่ตำแหน่งสูง แต่เมื่อผิดเขาแบกรับก่อนเป็นคนแรก ยิ่งเขาอยู่สูงขนาดไหนเราก็ไม่อยากปลดเขาลง เพราะเมื่อไหร่ที่ผิด เขากล้ารับแทนทุกๆ คนก่อน การยิ่งใหญ่ของเขาจะไม่เป็นที่รังเกียจของใครเลย ถ้าเขาเป็นคนที่กล้ารับผิดแทนผู้คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอำนาจ คุณค่า และชื่อเสียง ถ้าเป็นที่ปรารถนาอย่าลืมเติมคุณธรรมอิงแอบไว้ด้วย ดีไหม (ดี)  
แล้วอำนาจชื่อเสียงทำให้คนเปลี่ยนแปลงจากคนดีกลายเป็นคนเลวได้ ใช่หรือไม่ (ไม่แน่เสมอไป อยู่ที่คนนั้นจิตใจมีคุณธรรมแค่ไหน ถ้าเขาไม่มีคุณธรรมในใจเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไป ถ้าเขามีคุณธรรมแล้วเขาก็จะยึดมั่นตรงนั้น เขาจะเป็นคนที่น่านับถือมาก)  แต่หาได้น้อยในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราอยู่ในแต่อยู่เหนือไม่ได้ อยู่ในสังคมแต่มีจิตใจอยู่เหนือสังคมและสภาวะอารมณ์ของผู้คนนั้นเป็นไปได้ยาก อย่างนั้นเรามาฝึกฝนการขัดเกลาตัวเองเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางชื่อเสียง เกียรติยศ ความรู้ ความสามารถ เอาไหม (เอา)
การฝึกฝนแปลว่าอะไร  พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ประโยคหนึ่งว่า ในหมู่คนจำนวนมากคนที่ฝึกตนได้ดีคนนั้นคือคนประเสริฐ  การฝึกตนคือการคุ้มครองควบคุมตนเองให้เดินไปสู่หนทางที่ดีที่ถูกต้อง แล้วทำไมมนุษย์เราจึงต้องรู้จักควบคุมฝึกฝนตน เพราะจิตใจของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำหรือขึ้นสู่ที่สูง (ไหลลงต่ำ)  ยิ่งถ้ามีโอกาส มีสิ่งล่อใจ ก็ง่ายที่จะลื่นไหลไปกับกระแสเสียงของคนหรือกระแสเสียงของโลกีย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่รู้จักควบคุมฝึกฝนตนจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เราทำผิดทำพลาด และสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เราทำผิดทำพลาดนั่นก็คือเข้มงวดตนไม่เข้มงวดใคร ตำหนิตนไม่ตำหนิใคร เราไม่มีเวลาที่จะไปดูแลคนอื่นหรอก เราทำตัวเองให้ดีก่อน  แต่มนุษย์กลับตรงกันข้าม เรารู้ไหมว่าบางคน ชีวิตนี้การทำอย่างนี้คือถูก การทำอย่างนี้คือควร บางครั้งเราคิดแล้วคำนวณแล้วน่าจะถูก น่าจะควร แต่พออยู่ร่วมกับคนหมู่มาก คนบางคนกลับบอกว่า ไม่ถูกไม่ควร จริงหรือไม่ (จริง)  บางครั้งสิ่งที่เราคำนวณแล้วว่าน่าจะถูกต้องเหมาะสมและดีงาม คนบางคนกลับบอกว่าผิด น่าเกลียด  ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถควบคุมได้เลยว่าอะไรถูกต้องอะไรดีงาม แล้วการที่เอาตัวเราไปตัดสินคนอื่นว่าเขาทำผิด แล้วประณามว่าเขาทำผิดทำไม่ถูก นั่นดีหรือไม่ (ไม่ดี) เหมาะสมหรือเปล่า (ไม่เหมาะสม)  เคยได้ยินไหมว่า สุภาพชนประณามคนเลวมากๆ แล้วถ้าประณามมากเกินไปจะกลับกลายเป็นสุภาพชนนั่นแหละน่าเกลียดทันที จริงไหม (จริง)
เราเคยไหม กฎระเบียบของสังคม เรายังรักษาได้ไม่ครบ แต่พอเจอคนอื่นปฏิบัติผิดกฎสักหนึ่งข้อ เราโกรธและฉุนเฉียวทันที จริงหรือไม่ (จริง)  คุณธรรมเรายังมีได้ไม่ทุกวัน แต่พอเห็นใครที่ยืนข้างบนและยืนสูงๆ แล้วยืนเด่นๆ พอเขาไม่มีธรรมสักข้อหนึ่งว่าเขาเสียไม่มีดี ถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วเราจะทำอีกไหม (ไม่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันในสังคมเริ่มต้นง่ายๆ อย่าเอากฎระเบียบไปเข้มงวดคนอื่น แต่ควรจะเข้มงวดตนเอง ยิ่งเราเข้มงวดตัวเราเองมากเท่าไหร่ ความไม่ดีในจิตใจเราจะถูกชำระล้างได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ฟังเราแล้วพอทำได้ไหม (ได้)  ถามว่าตอนนี้มีอะไรในตัวเราที่น่ารังเกียจแล้วอยากเอาออกมาทิ้งบ้าง (หลายอย่าง) เคยไหม เห็นคนอื่นโกรธแล้วถามเราว่า ก่อนจะไปว่าเขาว่าคนนั้นขี้โมโห เราโมโหไหม (โมโห)  ว่าคนนั้นไม่ซื่อสัตย์ คดโกง กินบ้านกินเมือง แล้วเราแอบคดโกง ทำนาบนหลังเพื่อนหรือเปล่า ถ้าเกิดเราอยู่กันในสังคมไม่มีใครที่ทำให้เราต้องต่อว่าเลย ไม่มีใครที่น่ารังเกียจเลย เมื่อนั้นโลกคงสันติสุขยิ่งขึ้น  เพราะเราอยู่กันอย่างเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ใช่เอาแต่ทิ่มแทงกันด้วยสายตา วาจา และการกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่ใช่เอาแต่สะสมแต่ต้องรู้จักถ่ายเทเอาออกบ้าง เพราะสิ่งที่สะสมจนกลายเป็นความเคยชินและชะตากรรมจะทำให้เราโกรธบ่อยๆ หงุดหงิดง่าย ก็กลายเป็นคนที่ใจร้อนมากกว่าใจเย็น มีอะไรบ้างที่อยากจะเอาออก ชีวิตนี้สะสมมาเยอะแล้ว มาฟังธรรมวันนี้จะเอาออกบ้างได้หรือไม่ (ไม่อิจฉาริษยากัน, ขี้เกียจ, อารมณ์ร้อน, เอาความโกรธความโมโหออกจากร่างกาย)  ถ้ารับผลไม้ไปแล้วจะไม่โกรธ ไม่โมโห จะใจเย็นขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ความโกรธ ความโลภ ความหลง) เอาออกหมดเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะไม่มีความต้องการอะไรในโลกแล้ว ใช่หรือไม่ แอปเปิลก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ให้ก็เอา)  ไม่ให้ก็ไม่โกรธใช่ไหม (ใช่)  ไม่ให้แล้วแถมขอคืนด้วยก็ไม่โกรธใช่ไหม  จะเอาออกจริงก็ต้องให้เราทดสอบดูนะว่าเอาออกจริงหรือเปล่า (อารมณ์ร้อน) แต่น่ากลัวตรงที่บางครั้งเราก็หลงตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองมีความชั่วอะไร ใช่ไหม (หงุดหงิดง่าย)  งั้นต่อไปจะใจเย็นขึ้น (ชอบนินทา)  งั้นต่อไปคงจะไม่นินทาแล้วใช่ไหม (น้อยลง)  (ความไม่รู้จักพอ, การคิดในแง่ลบ)  เหมือนจะเชื่อเราหรือไม่เชื่อเราดี ใช่ไหม(ความเครียดและความกลัวในการทำงาน)  เราอยากมาช่วยไขความทุกข์และเปิดความสุขให้ท่าน มีอะไรอีกไหม (ความวิตกกังวล, ความเกลียด, ความโมโห, สิ่งชั่วร้ายในร่างกาย) อะไรที่ร้ายที่สุดในร่างกาย (หัวใจ)  ไม่มีดีเลยเหรอ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่มีดี คนนั้นแหละใกล้จะดี  แต่คนที่คิดว่าตัวเองมีแต่ดีแล้วไม่มีร้าย คนนั้นแหละใกล้จะร้าย หรือร้ายแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) (ความไม่กล้า, ความเจ้าคิดเจ้าแค้น, ท้อแท้ในการทำความดี)  การบำเพ็ญธรรม ก็คือ การทำสิ่งใดก็ได้โดยไม่หวังผล ถ้าเมื่อไรเราหวังผล เป็นธรรมดาที่เราต้องผิดหวัง ถูกไหม (ถูก)
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ภัยภายนอกไม่เท่ากับภัยภายใน ภัยภายนอกบางครั้งเป็นเพราะผลของกรรมเวรในอดีตชาติ ทำให้คนที่อยู่ร่วมในสถานนั้นต้องร่วมรับเคราะห์ไป แต่สิ่งที่สำคัญก็คือความสงบสุขในหัวใจเรา น้ำหนึ่งหยด แต่เมื่อหยดลงในที่ๆ กันดาร กลับนำความชุ่มชื่นมาให้ นั่นหมายความว่าอย่างไร ความสันติสุขภายในของเรา ถ้าเราสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้ นั่นประเสริฐกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ก่อนที่จะแก้สิ่งใหญ่ ควรเริ่มต้นที่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก่อน แล้วเคยได้ยินไหมว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะกระจายผลของการกระทำไปอย่างต่อเนื่องเองโดยอัตโนมัติ ขอเพียงมีคนทำดีอย่างถ่องแท้และแท้จริง ยืนนานและยิ่งยง ผลของการทำความดีจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างอยากดำเนินตามและทำตาม เมื่อมีคนหนึ่งคนทำตาม สองคนย่อมทำตาม
ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งที่เราอยากเรียกร้องในตัวของทุกท่านเมื่อมาฟังธรรมนั่นก็คือ ขอให้เริ่มต้นที่ตัวเราเอง เมื่อตัวเราเองทำได้ถูกต้อง ทำได้ดี ทำได้งดงาม มีหรือที่คนรอบข้างจะไม่ปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้คนในสังคมก็คือตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด แต่ชอบเอาตัวเองไปวัดคนอื่นแล้วก็ไปดูถูกแล้วก็ไปตีค่าคนอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการแก้ปัญหาเลย  ลองดูสิว่าครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นผาสุก ครอบครัวข้างๆ จะไม่อยากเดินมาถามหรือว่า ทำอย่างไรบ้านคุณถึงไม่มีเสียงทะเลาะเลยสักนิด มีแต่เสียงหัวเราะทุกวัน จริงหรือไม่ (จริง)  หรือเอาง่ายๆ เดินเข้าไปในที่ทำงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และโปรยยิ้มตลอดทางที่เดินไป เชื่อหรือไม่ว่าคนที่นั่งอยู่แม้จะทำหน้างง แต่ก็อยากยิ้มตาม
ฉะนั้นจิตใจที่ดีงามการประพฤติที่ถูกต้อง ขอเพียงเริ่มต้นที่ตัวเรา แล้วผลของการกระทำนั่นแหละจะสะท้อนสะเทือนหัวใจของคนรอบข้างให้คิดอยากปฏิบัติตามโดยที่เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย
แล้วเราควรจะทำอย่างไรล่ะ (ไตร่ตรองให้ดีก่อนคิดก่อนทำ)  ตอบได้ดีนะ  ถามจริงๆ ว่าตอนเด็กกับตอนนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ จิตใจที่บริสุทธิ์ดีงามเหลือเท่าไร น้อยเหลือเกินใช่ไหม (ใช่)  มองสังคมก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเลวร้ายและโหดร้าย มองผู้คนก็เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่รู้จะเชื่ออะไรดี  เต็มไปด้วยความระแวง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ  แต่หนทางของพระพุทธะกล่าวไว้ว่า ขอเพียงมนุษย์มีจิตใจที่เคารพเขาเช่นเคารพตน รักเขาเช่นรักตน ตัวเองไม่ชอบอย่างไร ก็อย่าปฏิบัติอย่างนั้นกับผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตาธรรมในหัวใจแล้ว
มีคำกล่าวหนึ่งที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ทำดีไม่ได้ดี”  แต่เราถามท่านนะ ถ้าหนึ่งคนกำลังไปช่วยคนที่กำลังจะถูกแทง แล้วเขาถูกแทงตายแทน เขาทำดีไม่ได้ดีใช่ไหม  แต่เราว่าคนที่ตายแบบนี้เป็นคนที่ตายอย่างประเสริฐ แม้เวลาทั้งชีวิตเขาไม่เคยสร้างคุณค่าอะไร แต่จบชีวิตแบบนี้ ไม่ประเสริฐหรือ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นแม้เราจะมีความรักความจริงใจ แต่โดนคนหลอกลวงแล้วหลอกลวงเล่า จงภูมิใจเถิด อย่าท้อแท้กับการทำดี จงภูมิใจว่าคนที่หลอกลวงนั่นแหละมาทดสอบจิตใจเราให้เรายิ่งเข้มแข็ง  เขาจะร้ายขนาดไหน ฉันก็จะเอาความดีชนะหัวใจเขาให้ได้  ฉะนั้นเมื่อทำดีแล้วโดนผลกรรมที่เลวร้าย อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ แต่จงภาคภูมิใจ แล้วดีใจแทนเขาสิ  มีคำพูดกล่าวไว้ว่าเกิดมาร้อยปีแต่ไม่เคยทำดีเพื่อใคร ก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับว่ามีชีวิตหนึ่งวันแต่ได้ทำดีเพื่อผู้อื่น จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเมื่อมุ่งมั่นจะปฏิบัติกระทำสิ่งที่ดี ขออย่าได้ยอมแพ้อุปสรรคปัญหานานา  เพราะอุปสรรคปัญหานานานั่นแหละเป็นข้อทดสอบวัดความแกร่งและจิตใจอันมุ่งมั่นในความดีในหัวใจเรา  สิ่งหนึ่งที่เราอยากจะเรียกร้องให้ตัวท่านมี และทำให้มีชีวิตที่ยากจะผิดพลาดในการดำเนินชีวิต นั่นก็คือเป็นคนที่รู้จักรับฟังคำตักเตือนของผู้อื่น  ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่าไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนกล้า ไม่ใช่คนมีความสามารถ แต่ขอเพียงเป็นคนที่กล้ารับฟังคำตักเตือนของผู้อื่น คนเช่นนี้ก็สามารถเป็นคนประเสริฐได้  แค่รู้จักรับฟังคำตักเตือน จะทำให้เรานั้นมีกุญแจไขไปสู่หนทางที่ดี  การรู้จักรับฟังคำตักเตือนและว่านอนสอนง่ายจะทำให้เราเป็นคนมีเสน่ห์ จริงไหม (จริง)  ลองสิว่าใครมาพูดอะไรเราก็ค่ะ เราก็ครับ ใครพูดอะไรมา ค่ะ ครับ ขอบคุณ เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่บอก คนเตือนร้อยคนเราก็ฟังทั้งร้อยคน เขาจะไม่รักเราหรือ ใช่ไหม (ใช่)  มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธการรับฟังคำตักเตือนของผู้อื่นและปฏิเสธการผูกมิตรกับคนอื่น  แต่ข้อสำคัญในการฟังคำตักเตือนที่เราขาดไม่ได้ก็คือตัวแปร เคยไหมว่าเตือนเหมือนกัน แต่คำเตือนนั้นบางทีฟังแล้วแปลกๆ ฟังแล้วไม่รู้ว่าเขากำลังเตือนหรือเขากำลังต่อว่า  ฉะนั้นเวลาที่ฟังคนพูด สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือตัวตรอง มโนธรรม จริยธรรม และความเหมาะสม เมื่อใครพูดอะไรมา ลองตรองดูว่าเป็นความจริงไหม ทำแล้วผิดหรือทำแล้วดีไหม ถูกต้องในหลักศีลธรรมหรือเปล่า  ถ้าทำแล้วดี ถูกต้องเหมาะสม ก็ควรมองให้ลึกถึงน้ำเสียงนั้นด้วยว่ามีเจตนาใดแอบแฝงไหม  การรู้จักรับฟังคำเตือนจะทำให้เราเกิดปัญญาและสติ เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างเป็นและถูกทาง
ฟังเราพูดถึงขนาดนี้แล้ว การเป็นคนดีในสังคมก็ไม่ยากเลย แค่เริ่มต้นเข้มงวดที่ตัวเอง และรู้จักรับฟังคำพูดของผู้อื่นเท่านั้นเอง  ทำยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  แต่เสียอย่างเดียวคือ มนุษย์รู้แล้วไม่พยายามทบทวนทำให้ได้ และทำให้ดี เพราะเรามักจะเกี่ยงว่า เขาต้องทำก่อนสิ ฉันถึงจะทำ เขาต้องยอมก่อนสิ ฉันถึงจะยอม  เขาต้องเป็นผู้เสียสละให้ก่อนสิ ฉันถึงจะยอมเสียสละให้ตาม ดังที่มนุษย์ชอบบอกว่าดีมาดีตอบ ร้ายมา (ร้ายตอบ)  ที่ฟังมาถ้าสรุปอย่างนี้จบกัน ไม่ต้องพูดต่อ พูดมาดีเท่าไหร่แต่ถ้าท่านยังสรุปว่าร้ายมาร้ายตอบ จบกันเลย พูดไปก็เปล่าประโยชน์ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเจอคนแบบนี้เราจึงต้องรู้จักอดทนแล้วพยายามดีตอบให้ได้ เอาความดีชนะหัวใจเขาให้จงได้  เพราะเราอยู่ในสังคมย่อมมีทั้งคนที่รักเราและ (เกลียดเรา)  แล้วทำไมเราไม่รู้จักแปรคนเกลียดให้เป็นคนรัก  ทำไมปล่อยให้คนเกลียดกลายเป็นคนเกลียดอยู่วันยังค่ำ ไม่ทุกข์เหรอ เรามาเริ่มเรื่องทุกข์กับสุขดีไหม (ดี)
มนุษย์เราทุกข์กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แล้วการมีตัวตนทำให้เราทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทุกข์เรื่องใดบ้าง ง่ายๆ ทุกข์เรื่องร่างกาย ทุกข์เรื่องตำแหน่งหน้าที่  ทุกข์เรื่องทรัพย์สินเงินทอง อะไรที่เป็นของเรา เราทุกข์หมด แต่อะไรที่เป็นของคนอื่นเราไม่เคยทุกข์ด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เราทุกข์เพราะสิ่งที่มีตัวตนคือของเรา และเราทุกข์ในสิ่งที่ไม่มีตัวตนคือเงิน ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ เป็นสิ่งที่มีตัวตนไหม (ไม่มี)  แล้วเราทุกข์กับมันไหม (ทุกข์)  แต่ท่านเคยเชื่อไหมว่า สองแบบนี้จะกลายเป็นแบบเดียวได้ เคยได้ยินไหม ลมพัดมาถ้ามีธง ธงก็ไหว  แต่ถ้าลมพัดมา แต่ธงไม่มี แล้วอะไรจะไหว ถ้าเงินทอง ชื่อเสียง มาอยู่ตรงหน้า แต่ถ้าเราไม่ครอบครอง และไม่กำหนดว่าเป็นของเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ระหว่างร้อยบาทกับล้านบาท ทุกข์อันไหนเจ็บปวดมากกว่ากัน (ล้านบาท)  รู้ว่ามีมากทุกข์มาก แล้วทำไมไม่มีน้อย จะได้ทุกข์น้อยล่ะ ถูกไหม มีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ งั้นทำอย่างไรดี มีอย่างไรให้พอดี
มีชายคนหนึ่ง วันหนึ่งมีโอกาสได้ทำงาน พอเขาได้เงินมาก้อนหนึ่ง เขาก็บอกว่า “พอแล้ว” พอเขาทำงานไปอีก ก็ได้เงินเพิ่มมาอีก เขาก็บอกว่า “พร้อมแล้ว” แต่พอเขาทำไปได้อีกสักพักหนึ่ง เขาได้มากกว่าเดิมอีก เขาก็บอกว่า “สมบูรณ์แล้ว”  ถามว่าคนเช่นนี้สุขไหม  สุขนะ  แต่มนุษย์เราตรงกันข้าม มีน้อยก็บอก “ยังไม่พอ”  พอมีมากก็บอกว่า “ขออีกนิดหนึ่ง” พอมีมากจนถึงที่สุดก็บอก “ยังไม่สมบูรณ์” ตรงข้ามกับคนเมื่อสักครู่นี้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่จะหาความสุขก็คือ การพอใจในสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด ธรรมดาที่สุด และต่ำเตี้ยที่สุด หรือพูดง่ายๆ คือ
จงมีสุขอยู่กับปัจจุบัน อย่ามีสุขในเงื่อนไขอันเป็นอนาคต
มนุษย์มักจะพูดว่า มีรถ มีบ้าน มีอาชีพมีตำแหน่งสูงๆ คือความสุข  แต่พอมีสามอย่างนั้นสุขไหม (ไม่สุข)  ช่วงที่หาก็ทุกข์ว่าเมื่อไหร่จะครบสามอย่างสักที  แต่พอครบสามอย่างพอไหม (ไม่พอ)  พอมีบ้านมีรถแล้วรถเริ่มเก่า รถคันนี้ไม่เหมาะแล้วต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมีสุขก็คือ จงมีความสุขกับสิ่งที่มีสิ่งที่เป็นอย่างเรียบง่ายที่สุด โดยหัวใจไม่คิดเปรียบเทียบกับใคร ทุกๆ ขณะที่มีชีวิตคิดว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว ดีที่ได้ทำงาน หรือวันหนึ่งไม่ได้ทำงานก็คิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยเคยได้ทำ คือมีความสุขอยู่ทุกขณะเวลา แล้วอนาคตเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพราะปัจจุบันดีที่สุดแล้ว ยากไปไหม (ไม่ยาก)
ดังที่เซียนน้อยเคยพูดไว้ว่า มนุษย์เราเป็นมนุษย์เงินเดือน ในสามสิบวัน ยี่สิบเก้าวันตกนรก วันรับเงินเดือนคือวันขึ้นสวรรค์ เซียนน้อยเข้าใจพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่ทำสามสิบวันให้มีความสุข วันรับเงินเดือนคือวันที่ยิ่งสุขเข้าไปอีก ฉะนั้นจงพอใจในสิ่งที่เรียบง่ายและเป็นพื้นฐานดีกว่า แล้วเราจะได้ไม่ต้องทุกข์
มนุษย์ทุกข์กับอีกเรื่องหนึ่งคือ ทุกข์กับคนที่อยู่รอบข้าง เขาไม่เคยเข้าใจฉันเลย เขาชอบพูดให้ฉันเจ็บปวด ฉะนั้นไม่อยากมีทุกข์ก็ไม่ยาก เลิกเรียกร้องจากคนอื่น แต่พยายามทำตัวเองให้เข้าใจผู้อื่น  ถามสิว่าในร้อยคนใครจะเข้าใจเราได้บ้าง แต่พอเข้าใจเรามากๆ เราก็กลับรำคาญหงุดหงิดเขา จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นเอาอย่างไรกันแน่หัวใจของคน
จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้  แล้วจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวจมอยู่กับอดีต และอย่ามัววาดฝันกับอนาคต แล้วลืมทำปัจจุบันให้ดีที่สุด จงมีทุกก้าวที่มีความสุข มีทุกก้าวที่มีความหวัง
สิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดนี้ ท่านลองเอาไปตรึกตรองดูว่าเป็นจริงไหม เป็นเหตุเป็นผลหรือเปล่า เรามาไม่ใช่ให้เชื่อเรื่องกายปลอมตัวนี้ ศรัทธาเรื่องตัวปลอมตัวนี้ หรือมาเพื่อให้ท่านขออะไร  ถ้าเราให้ความเข้มแข็ง เราให้ความร่ำรวย แต่ตัวท่านไม่รู้จักรักษาจะมีประโยชน์อะไร  คนที่น่าสงสารและยากจนที่สุดในสายตาของพุทธะคือคนที่มีความรู้แต่ไม่รู้จักใช้ปัญญาให้ถูกทาง คนที่น่าอเนจอนาถมากที่สุดคือคนที่ทำผิดแล้วไม่ละอายไม่สำนึก คนที่เก็บขยะล้างห้องน้ำ ไม่ได้น่าละอาย ไม่ได้น่าอเนจอนาถเลย แต่คนที่แต่งตัวดีๆ แต่เผลอทำผิดอย่างไม่มีใจสำนึกละอายนั่นแหละ
น่าอเนจอนาถกว่าคนที่ล้างห้องน้ำเก็บขยะเสียอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดมาทั้งทีทำดีให้ได้ เกิดมาทั้งทีมีดีให้ถึงที่สุด ด้วยการเข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น หาข้อผิดพลาดของตัวเองให้เจอ ไม่คิดจะไปตำหนิหาข้อผิดพลาดของใคร เมื่อไรที่ความชั่วในหัวใจน้อยลงแล้ว จะไม่เหลือความดีบังเกิดขึ้นหรือ เรารู้ว่าทุกท่านเป็นคนดี แต่วันนี้คงไม่ต้องมานั่งชมเชยอะไรแล้ว
การฝึกฝนที่ดีอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ กล้ารับฟังคำตำหนิจากผู้อื่น เพราะคนที่กล้าตำหนิเราคือคนที่ชี้ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเรา ฉะนั้นเมื่อมีคนกล้าบอกเราว่า สิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ถูก แล้วทำไมไม่รีบชะล้างออก และทำไมไม่รีบรักษาสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่าอยากเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ฝึกฝนธรรม ต้องพยายามเอาความดีมาอยู่ในหัวใจ นั่นก็คือจิตใจที่เมตตากรุณา รู้จักเสียสละส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม รู้จักสละความสุขของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังทุกข์ยาก หรือแม้แต่ช่วงที่ตนเองกำลังทุกข์ยากที่สุด ยังมีใจคิดถึงหัวอกของผู้อื่นที่ทุกข์ยากกว่า จิตใจอย่างนี้แหละคือจิตใจของพระพุทธะที่มีธรรมยอดเยี่ยม และเราก็เชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ทำได้ แต่ต้องเอาชนะกิเลสในหัวใจของตัวเองให้ได้ก่อน ความเกียจคร้าน ความรักสบายต้องเอาชนะให้ได้  เพราะความรักสบายทำให้เรามีกิเลสได้ง่าย เพราะความยึดมั่นถือมั่นจึงทำให้เราฟังใครไม่ค่อยรู้เรื่อง
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ก่อน ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ชีวิตของมนุษย์ทุกคนก็เหมือนกัน มีเวลาจำกัด แต่จงทำให้เวลาอันจำกัดนี้มีค่าเพื่อผู้อื่นบ้าง การช่วยมนุษย์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ไม่เท่ากับช่วยด้วยธรรมะ การพูดให้ผู้อื่นฟัง เทียบไม่ได้กับการปฏิบัติให้ผู้อื่นดู  ฉะนั้นอย่าสอนคนด้วยคำพูด แต่จงสอนคนด้วยการประพฤติปฏิบัติให้เขาเห็นผล เอาตัวเราเป็นประจักษ์หลักฐานให้มนุษย์รู้ว่าทำดีได้ดี และคนทำดีก็มีความสุขด้วยการทำดีได้  การบำเพ็ญธรรมคือการกระทำโดยไม่หวังผล รู้จักเสียสละส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม เข้มงวดตนไม่เข้มงวดผู้อื่น ย้ำหลายรอบแล้วนะ อย่างนั้นวันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเท่านี้ หลักสัจธรรมทำให้มนุษย์ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติด้วยความมั่นคงไม่ยอมแพ้สักก้าวเดียว ปฏิปทาทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะโพธิสัตว์ได้ด้วยการมุ่งมั่นกระทำอย่างถึงที่สุดโดยไม่ยอมแพ้หรือท้อถอยสักก้าวเดียว  ฉะนั้นมนุษย์ที่อยู่ในที่นี้เราเชื่อว่าสามารถที่จะดำเนินรอยตามพุทธะโพธิสัตว์ได้ด้วยจิตใจแห่งความเมตตากรุณา เสียสละส่วนตนเพื่อส่วนรวม  วันนี้คงเท่านี้ล่ะนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    การทำงานที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร    ก็คือไม่มีอะไรผิดพลาดเลย
ไม่ผิดเล็กจะผิดใหญ่ยากชดเชย        แต่ไม่ใช่ปล่อยเพิกเฉยอย่างเลื่อนลอย
ปล่อยให้ผิดทั้งที่รู้ว่าจะผิด    เพื่อได้คิดได้ฝึกสะดุ้งหน่อย
จึงโอบอุ้มชี้แนะใจเย็นคอย    บุคลากรน้อยหนึ่งคนเท่าสามแรง
        เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส อาจารย์เจ้า    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

    ชีวิตเปลี่ยนร้อยหน้าเมื่อไหร่จะพัก    ปัญหาหนักคลื่นปรวนชวนหน้าแก่
หัวใจที่ตามกังวลตามกระแส    โบราณแต่ไหนมาคนต้องทบทวน
สู้หัวหมุนไปแพ้กว่าชนะ    การสละเป็นเงาของชนะถ้วน
ไร้สาระชีวิตมีความขาดด้วน    ปลาในอวนรนเพื่อรอดวุ่นวาย
อารมณ์ค่อนร้อนรีบสุขไม่เป็น    การบำเพ็ญจำต้องละกิเลสได้
อย่าซ้ำคนเหนื่อยแล้วแซวอะไร    บำเพ็ญไปถึงวันใดหมดลม
เหนื่อยเกินไปยามใดให้หยุดพัก    อย่าได้กลัวพังลงในพริบตา
ยามที่ใจนิ่งลงจนแช่มช้า    ดวงปัญญาพร่างพรูบรรลุตน

ผิดหวังสมหวังล้วนจากต้นน้ำหัวใจ    ศรัทธาจริงใจให้จงฝึกตนไร้ตน
การบำเพ็ญที่ดีขอจงอย่าใช้เล่ห์กล    ไม่อาจทิ้งตน ธรรมต้องประยุกต์ใช้
            ฮา  ฮา   หยุด

    เหนื่อยถอนใจทำไมไม่หยุดพัก ฝืนต่อไปทำไมให้ระอา แอบหวังจนมากมายถึงต้องล้า สันโดษมาชวนคนไปพักใจ
*    โลกประยุกต์ล้ำหน้าแต่เข็ญใจ นิ่งแกมวุ่นวายหนึ่งคนสองตน ไร้ศรัทธาในตนคนหมองหมาง หลายสิ่งร้างราตามทางของตน สมัครใจปลงเองย่อมมีผล เคารพตนเผยหน้าผ่าหัวใจ
    ใจคนมีแท้มีเทียมแปรปรวนร้อยหน้า เมื่อไหร่ที่ไหนหมุนไปมาตามกังวล คนแพ้ชีวิตมีเงาของความร้อนรีบรน เพื่อสุขแล้วคนต้องเหนื่อยถึงวันใด
**    เหนื่อยเกินไปยามใดให้หยุดพัก   อย่าได้กลัวพังลงในพริบตา  ยามที่ใจนิ่งลงจนแช่มช้า   ดวงปัญญาพร่างพรูบรรลุตน (ซ้ำ *)
    ผิดหวังสมหวังล้วนจากต้นน้ำหัวใจ  ศรัทธาจริงใจให้จงฝึกตนไร้ตน  การบำเพ็ญที่ดีขอจงอย่าใช้เล่ห์กล  ไม่อาจทิ้งตน ธรรมต้องประยุกต์ใช้
ชื่อเพลง : เหนื่อยนักพักหน่อย
ทำนองเพลง : รักคุณเท่าฟ้า

พระโอวาทสองย่อหน้าสุดท้ายพระอาจารย์เมตตาประทานเพิ่มเติมจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “สร้างกุศลสร้างคุณธรรม”
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ยิ่งเป็นคนที่บำเพ็ญมานานก็ยิ่งมีความสามารถในการเก็บความท้อไว้อย่างมิดชิด การเก็บความท้อเป็นสิ่งที่ดี เพราะความท้อของเราอาจจะทำลายผู้อื่นได้ แต่เวลาเก็บมิดเกินไปจนกลายเป็นความเก็บกดก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นบางทียังต้องหาวิธีระบายออกบ้าง โดยการอาจจะร้องเพลงธรรมะ บางคนฟังเพลงธรรมะอย่างเดียวไม่ร้อง เวลาไม่ร้องแล้วเครียดหรือไม่ แต่คนที่โดนบังคับร้องก็เครียดเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า
ฟังธรรมะแล้วรู้สึกสบายกายสบายใจกว่าที่เราฟังสิ่งใดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่น่าแปลกใจว่าคนเรานั้นเมื่อไม่ได้อยู่ในภาวะบรรยากาศแบบนี้ ถ้าเรียกให้ไปทำบุญมักจะบอกว่าเดี๋ยว แต่ถ้าเรียกให้ไปเที่ยวจะบอกว่า (ไป) เพราะฉะนั้นดูๆ แล้วถ้าเรียกให้คนสมัยนี้บำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าคนเรานั้นติดในสีหลากสีมากกว่าติดในสีขาว การที่บอกให้ไปทำบุญเปรียบเหมือนกับการให้ศิษย์นั้นเลือกสีขาว แต่ถ้าหากว่ามีอีกสามสีแขวนไว้ อย่างเช่นมีสีแดง สีเหลือง สีเขียว แล้วบอกว่า เลือกสีขาวดีไหม มีสักกี่คนที่บอกว่าอยากจะมีสีขาวเข้ามาสู่ชีวิต
สมมติว่าแขวนเสื้ออยู่สี่ตัว ตัวหนึ่งสีขาว ตัวหนึ่งสีเขียว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหลือง เราจะเลือกสีอะไรดี (สีขาว)  ถ้าหากว่าเราไปวัด เราคงเลือกสีขาว ถ้าหากว่าเราไปเที่ยว เราคงเลือกเสื้อสี  แล้วมีกี่วันในชีวิตนี้ที่ศิษย์จะใส่เสื้อสีขาว ไม่มีใครใส่เสื้อสีขาวทุกวัน ไม่มีใครเป็นคนดีอยู่ทุกวัน ทุกคนเป็นสีขาวมอๆ คือมีความขุ่นอยู่ในสีขาว เหมือนกับคนที่ซักผ้าไม่สะอาด เสื้อก็จะออกเป็นสีขุ่นๆ นิดๆ ไม่ขาวบริสุทธิ์ สีจะขาวบริสุทธิ์ก็เมื่อเราเพิ่งซื้อเสื้อมาใหม่ พอนานๆ ไป เราก็ใส่เสื้อสีขาวที่ไม่ใช่สีขาว ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์นั่งฟังธรรมะอยู่ที่นี่เหมือนการใส่เสื้อสีขาวตัวใหม่ ทุกคนมีเสื้อสีขาวตัวใหม่ แต่เมื่อนานๆ วันไป ถามว่าเสื้อสีขาวนี้ยังเป็นสีขาวหรือเปล่า เสื้อตัวนี้ก็จะมีความหมองปะปนอยู่ คือกิเลสต่างๆ นั้นปะปนเข้าไปในเสื้อ คือสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะปะปนเข้าไปในธรรมะ ทำให้เราเป็นคนที่มีธรรมะหรือเปล่า ศิษย์เก่าๆ คงตอบได้ดีกว่า ว่าเราใส่เสื้อสีขาว และเมื่อนานวันไปเสื้อของเราก็กลายเป็นสีขาวที่ไม่ใช่สีขาว แต่ถามว่าตอนนั้นเรายังมีธรรมะหรือเปล่า (มี)  ถ้าใครตอบว่ามีอาจารย์ก็ดีใจ นี่เป็นคำตอบที่อยากจะฟัง สีขาวย่อมเป็นสีขาวไม่ว่าขาวนั้นจะหม่นหมองแค่ไหน จริงหรือไม่ (จริง)  
เมื่อให้คนที่ใส่เสื้อสีขาวหม่นๆ สักคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้านี้ และถามว่าคนนี้ใส่สีอะไร (สีขาว)  แต่ความขาวในแต่ละคนย่อมมีไม่เท่ากัน เราจะเอาสีขาวของเราไปเทียบกับสีขาวของเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเอาสีขาวของเขามาเทียบกับสีขาวของเราได้ไหม (ไม่ได้)  เราไม่สามารถเอาใครมาเปรียบเทียบกับใครได้ เสื้อของใคร ใจของใครขาวแค่ไหน ปนด้วยกิเลสมากแค่ไหนย่อมเป็นเรื่องของเขา
ตราบใดก็ตามเมื่อศิษย์นั้นตั้งใจซักเสื้อมากกว่านี้ เสื้อของศิษย์ก็จะขาวยิ่งขึ้น ตราบใดที่ศิษย์เจอวิธีการซักที่ทำให้เสื้อของศิษย์สะอาดมากกว่านี้ เสื้อของศิษย์ก็จะขาวยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การที่จะลงมือไปซักเสื้อตัวนี้ หรือการที่เราจะเจอเคล็ดลับวิธีการซักเสื้อให้สะอาดมากกว่านี้ ทุกอย่างต้องอาศัยการลงแรง ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา  ศิษย์ให้เวลากับชีวิตของตนเองหรือเปล่า (ให้)  เมื่อเราอยากมีเสื้อที่มีสีขาวอยู่ตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้องลงมือซักมากกว่า ออกแรงมากกว่าคนอื่น เราจึงต้องหาเคล็ดลับมาซักเสื้อของเราจริงหรือเปล่า (จริง)
เสื้อที่อาจารย์พูดถึงนี้ก็คือใจ  ใจของศิษย์นั้นเป็นอย่างไร ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนดีจริง แต่คนดีจริงคนนี้ก็เคยนินทาคนอื่นจริงไหม (จริง)  เคยว่าคนอื่นจริงไหม (จริง)  ไม่ชอบฟังคนอื่นพูดในสิ่งที่เราไม่ชอบ จริงหรือเปล่า (จริง)  คนๆ นี้เคยตีผู้อื่น เคยทำร้ายผู้อื่น เราเคยทำทั้งนั้น ตีให้เขาเจ็บด้วยปาก ตีให้เขาเจ็บด้วยมือ ทุกอย่างเรานั้นเป็นคนที่กำหนดตัวเองทั้งสิ้น ในเมื่อวันนี้คนที่ใส่เสื้อสีขาวอยู่ แล้วบอกว่าเสื้อของเรายังใหม่ไม่พอ เราจึงจำเป็นที่จะต้องมาซักเสื้อของเรา คนที่นั่งใส่เสื้อสีอยู่ที่นี่ บอกว่าฉันไม่ได้ใส่สีขาวไม่เกี่ยว อันนี้ไม่ใช่ อาจารย์หมายความว่าใจของศิษย์ทุกๆ คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนเป็นใจที่ดีงามมาตั้งแต่เดิม  เพียงแต่ว่าใจดีงามของเรานี้ ก็ถูกกระแสโลกีย์ ถูกน้ำตา ถูกน้ำลาย ถูกน้ำฝน ถูกน้ำใจ น้ำเงิน มีน้ำคำด้วย มีอีกตั้งหลายน้ำที่ทำให้จิตใจที่เปรียบเสมือนเสื้อสีขาวนี้หม่นลง แต่ถ้าคนที่ถูกน้ำใจซักอยู่บ่อยๆ เสื้อขาวเราก็คงยังขาวอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าหากเราเป็นคนที่ถูกน้ำคำซักอยู่บ่อยๆ น้ำเงินซักอยู่บ่อยๆ ถามว่าใจของเราจะสะอาดอยู่ไหม (ไม่สะอาด) แต่ถามว่าคนที่เลือกน้ำมาซักเสื้อของเราคือใคร (เราเอง)  มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่ศิษย์ถูกซักด้วยน้ำต่างๆ ที่เป็น น้ำคำ น้ำเงิน น้ำตา เอามาซักเสื้อศิษย์ โดยที่ศิษย์นั้นไม่ได้จงใจอยากจะซัก จริงหรือเปล่า
ส่วนใหญ่ในชีวิตของทุกคนนั้นยังเป็นชีวิตที่เลือกได้ เลือกจะไม่บ่นทำได้ไหม (ได้) เลือกที่จะไม่ว่า เลือกที่จะไม่ติ เลือกที่จะไม่ทำผิดทำได้ไหม (ทำได้)  ลองยกตัวอย่าง ถ้าหากว่ามีความชั่วอย่างหนึ่งที่จะต้องให้ศิษย์ทำ ยังไงศิษย์ก็ต้องทำ ถามว่ามีความชั่วอย่างเล็ก กับมีความชั่วอย่างใหญ่ อันแรกขโมยเงิน อันที่สองฆ่าชิงทรัพย์ ถามว่าศิษย์จะเอาอะไรดี ถ้าให้เลือกจะเอาอะไรดี ใครเลือกขโมยเงิน แล้วใครเลือกฆ่าชิงทรัพย์  ไม่มีใครเลือกทำความผิดอย่างใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าเดิมทีใจของเราเป็นใจที่ดี แต่ถามว่าทางเลือกที่สามคือต้องเลือกสองอย่างนี้นะ ถามว่าเราไม่เลือกได้ไหม (ได้)  มีสักกี่คนที่มีพลังจิตที่เข้มแข็งพอจะไม่เลือก  เมื่อไม่เลือกที่จะขโมยเงิน ไม่เลือกที่จะฆ่าชิงทรัพย์ แสดงว่าเราต้องยอมอด มีสักกี่คนที่ยอมอด ไม่ยอมขโมย น้อยคนหรือไม่ (ไม่น้อย) เพราะว่าเมื่อสักครู่ที่อาจารย์บอกว่าให้เลือกสองอย่างนี้ ศิษย์บอกว่าไม่ทำ แสดงว่าเรานั้นยังมีมโนธรรมสำนึกที่สูงมากจริงหรือไม่ (จริง)  แต่เมื่อเจอเหตุการณ์จริงๆ เข้าตาจน สุนัขจนตรอก ถามว่ายังมีกี่คนที่ยังมีพลังจิตที่เข้มแข็ง ที่จะเลือกทางเลือกที่สามคือไม่ทำชั่ว
ทุกอย่างในโลกนี้บีบบังคับให้ศิษย์ต้องเลือก แต่เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าศิษย์ทุกคนที่นั่งที่ยืนอยู่ที่นี่ เลือกชีวิตตัวเองได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนสามารถเลือกชีวิตตัวเองได้ แต่ว่าส่วนใหญ่บอกว่าให้เลือกสองทางก็เลือกอยู่แค่สองทางจริงหรือเปล่า เวลาถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกในสิ่งใดๆ ให้อาศัยคุณธรรมเป็นที่ตั้งในการที่คิดว่าเราจะเลือกหรือไม่เลือก ถ้าหากว่าใจเราเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นผู้มีธรรมะ เป็นผู้ที่ฟังธรรมะบ่อย เป็นผู้ที่ซึมซับและโดยเนื้อแท้ของเรานั้นมากกว่าเนื้อเทียมที่มีอยู่ เราก็จะเป็นผู้ใช้ธรรมะในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราเลือกได้ไหม (ได้)  จงจำไว้ว่า ชีวิตศิษย์เลือกได้ แม้ตอนนี้ยังไม่มีทางให้เลือก แต่ว่าเลือกได้ อยู่ที่เรานั้นจะทำอย่างไร จะยื่นแขน จะก้าวขา จะลงมือทำหรือไม่ทำ ย่อมเป็นสิทธิ์ของศิษย์เอง  
ทุกวันนี้ทุกๆ คนในที่นี้เคยทำผิดอยู่แล้ว ทุกคนมีความผิดด้วยกันทั้งสิ้น ความผิดเป็นสิ่งดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ความผิดเป็นสิ่งที่ไม่ดี นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเชื่อและเข้าใจ  เราก็เลยพยายามจะทำทุกอย่างไม่ให้ผิดพลาด แต่ยิ่งไม่อยากให้ผิดพลาดเท่าไร เราก็ยิ่งผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น  หลายๆ ครั้งที่เวลาเราทำผิด แล้วเรากลบความผิดของเราด้วยอะไร (ด้วยการนิ่งเฉย แล้วค่อยกลับมาแก้ไขทีหลังโดยไม่ต้องไปปรึกษาใครก็ได้)  นี่เป็นความจริง หลายคนก็ใช้วิธีนี้  ด้วยการแก้ตัว  พูดแก้ตัวเสียยกใหญ่ แต่สุดท้ายผิดหรือไม่ผิด (ผิด)  ที่ผิดคืออะไร ผิดที่เราพูดแก้ตัว ผิดที่เรานิ่งเงียบ แล้วไปแก้ไขเอาภายหลัง หรือผิดที่เราใช้สิ่งที่ดีๆ กลบลงไปบนสิ่งที่เราทำผิด  นี่คือความผิดพลาดของเราที่ทำไปบนความผิดต่างๆ
ทุกวันนี้เราเป็นคนใจร้อนหรือเปล่า (ใจร้อน)  ใจร้อนมาก เมื่อผิดต้องรีบแก้ แต่ยิ่งแก้ก็ยิ่งผิด  บางเรื่องเมื่อผิดสามารถแก้ไขได้ทันที  อย่างเช่นถ้าทำแก้วแตก ต้องทำอย่างไร (เก็บ)  ไปแก้ตัวก่อนว่าทำไมทำแตก ใช่หรือไม่ใช่ (ไม่ใช่) เมื่อทำแก้วแตกปุ๊บต้องรีบเก็บกวาด  อันนี้เป็นความผิดที่เราสามารถแก้ได้ทันที แต่ถ้าเป็นความผิดพลาด หรือคิดผิดในชีวิต ศิษย์ของอาจารย์จะแก้ไขทันที เป็นเรื่องที่ยากมากๆ  โดยส่วนใหญ่ปัญหาของศิษย์ทุกคนเป็นปัญหาที่แก้ครั้งเดียวไม่ได้  อย่าไปคิดว่าเราจะแก้ได้ภายในครั้งเดียว แล้วก็รีบๆ ใจร้อนๆ เร็วๆ ลวกๆ แก้ไขให้เสร็จไปทีเดียว ได้หรือไม่ได้
ชีวิตของศิษย์ เมื่อเกิดปัญหาหนึ่งเรื่องยังต้องแก้หลายครั้ง บางทีการที่เปลี่ยนแปลงตัวเราเป็นคนดีแล้ว แต่คนรอบข้างยังไม่เชื่อว่าเราดี ทำไมเขาไม่เชื่อเรา เขาผิดหรือเปล่า (ไม่ผิด)  เขาไม่ผิดที่ไม่เชื่อเรา แต่ผิดที่ใคร (ตัวเรา)
ถามว่าความผิดพลาดในชีวิตเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  วันนี้ศิษย์ไม่เคยทำผิด ถามว่าถูก มาจากไหน อะไรก็แล้วแต่ที่ผิดไปจะมีสิ่งใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าวันนี้ไม่ผิดก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกวันนี้ที่ดีขึ้นก็เพราะว่าเราได้แก้ไขจากสิ่งที่ผิดพลาดทั้งนั้น จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นความผิดเป็นสิ่งที่ดี เรื่องผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน นั่นจึงบอกว่าความผิดนั้นเป็นสิ่งที่ดี ถ้าทำผิดขึ้นมาแล้วเดือดร้อนคนอื่น คือ เดือดร้อนไปถึงบุคคลที่สอง สาม สี่ ห้า อันนี้จึงบอกว่าความผิดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่คนทำผิดไม่ได้ฆ่าคน คนทำผิดนั้นควรที่จะได้รับการอภัยหรือเปล่า (ควร)  ทุกวันนี้มีคนผิดต่อเราเยอะหรือเปล่า (เยอะ)  สามีผิดกับเราหรือเปล่า ภรรยา ลูก เขาทำผิดเยอะแยะไปหมดเลย  แต่ถามว่าทุกคนผิดต่อเราหรือเปล่า เราตอบว่า “ไม่ผิด” ทำไมล่ะ เวลาเราบอกว่า “ลูกห้ามออกไปทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ” ถึงเวลาลูกออกไปทำ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นชัดกว่า สมมติว่าเราตั้งน้ำร้อนไว้บนเตา แล้วเราบอกลูกเราว่า “อย่าไปจับนะ อย่าไปเล่น” ถึงเวลาลูกเราไปเล่น ถามว่าลูกทำผิดไหม (ไม่ผิด)  เขาทำผิดไปจากสิ่งที่เราพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราพูดคือความถูกต้อง ถ้าแค่เอามือไปใกล้หรือไปสัมผัสน้ำร้อนจะลวกใส่ มือจะพังทันที จริงหรือไม่ (จริง)  เขาทำผิดไปจากสิ่งที่เราพูด แปลว่าเขาทำผิด แต่เวลาถามว่าลูกทำผิดหรือเปล่า เราตอบว่าไม่ผิด อย่างนี้ไม่ใช่ความรักลูก อันนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นความผิดแต่ไม่ใช่ความผิดพลาดร้ายแรง ฉะนั้นต้องแยกแยะให้ออกระหว่างความผิดที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง กับความผิดที่เกิดขึ้นไม่ได้ และความผิดพลาดแบบเล็กน้อยธรรมดา
ตอนนี้ศิษย์มองได้ว่าทุกคนที่มาแวดล้อมชีวิตของศิษย์ทำให้เราโกรธบ่อยๆ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำผิด ศิษย์พร้อมที่จะให้อภัยหรือยัง (พร้อม)  ไหนลองพูดพร้อมกัน ถ้าใครอยากจะให้อภัย ขอให้พูดพร้อมกันว่า “ให้อภัย” ดีไหม (ดี)  จงให้อภัยคนทุกคนรอบๆ ตัวเราเถิด เมื่อไหร่ที่เราให้อภัยก็คือเราปลดล็อค ก็คือการคลายพันธนาการ คือเอาความเจ็บป่วยออกไปจากจิตใจ เมื่อไหร่ที่เราไม่ยอมให้อภัย คือการหาโรค ภัย เคราะห์ โศก และพันธนาการมามัดจิตใจของเรานั้นให้รุ่มร้อน ให้อึดอัด ให้หงุดหงิด ให้เครียด  เพราะฉะนั้นเมื่อศิษย์ให้อภัยคนอื่นรอบข้างแล้ว ถามว่าให้อภัยตัวเองหรือยัง มีบางเรื่องที่อยู่ในใจของเรา ที่เรารู้สึกขุ่นเคือง ค้างคาใจ คิดไม่ตก ไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่คิด เศร้าโศกเสียใจและทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการคิดต่างๆ นานา พร้อมจะให้อภัยตัวเองหรือยัง (พร้อม)  ปัญหาของเรา ถามว่าแล้วถ้าเราเจออีกทำอย่างไรล่ะ ปัญหาบางเรื่องไม่ได้มีไว้คิดเลย คนที่ไม่รู้จักคิดอะไรเลยจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกับการที่เรานั้นไม่คิดปัญหาซ้ำๆ ซากๆ วนๆ เวียนๆ เหมือนกันไหม เป็นความคิดเหมือนกัน แต่โดยนัยแล้วไม่เหมือนกัน เรื่องหลายเรื่องที่อยู่ในชีวิตของเรา เรามักคิดซ้ำซากวนเวียนและหาทางออกไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วทำไมเราถึงไม่เลิกคิดล่ะ ไหนลองบอกตัวเองสิว่าเลิกคิด ได้หรือไม่ (ได้, ไม่ได้)  บางคนยังตอบไม่ได้อยู่เลย ก็ถูกของศิษย์ที่เลิกคิดไม่ได้ แต่ว่าเมื่อความคิดโผล่ขึ้นมาก็ให้ตัดความคิดทันทีเลยดีหรือเปล่า  ความคิดเป็นส่วนหนึ่งในความทุกข์ของเรา ความคิดทำให้คนทุกข์มาก ปัญหาบางเรื่องจึงไม่ได้มีไว้คิด เพราะว่าคิดเท่าไหร่ก็หาทางออกไม่ได้  ตราบใดเมื่อเราปล่อยตัวเราให้ปลอดโปร่งโล่งสบายความทุกข์นั้นจะหายไปเอง ทำได้หรือเปล่า โผล่ขึ้นมาก็ตัดทันที  บางคนบอกว่าเลิกคิดไม่ได้ อาจารย์บอกให้ว่า ศิษย์ก็ปล่อยให้คิดประมาณกลางตัวแล้วศิษย์ก็รีบตัดความคิดดีหรือไม่ (ดี)  อย่าเห็นว่าน้ำตาเป็นของถูก ร้องไห้เท่าไหร่ก็ได้ ต่อให้ร้องไห้จนตาบอดทุกข์หายหรือไม่หาย (ไม่หาย)  เพราะฉะนั้นน้ำตาราคาถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) น้ำตาของศิษย์ไม่ได้ราคาถูก ถ้าหากว่าปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ทุกวันๆ แล้วจะเป็นพุทธะที่เจ้าน้ำตาหรือไง  ร้องไห้แล้วก็ต้องมียิ้ม มียิ้มแล้วก็ต้องมีหัวเราะ
ใครอยากให้อภัยตัวเองบ้าง พูดพร้อมกัน (ให้อภัยตนเอง)
(พระอาจารย์เมตตานับหนึ่งถึงสามแล้วให้นักเรียนและผู้ร่วมฟังนั่งพร้อมกัน แต่ถ้าไม่พร้อมต้องลุกขึ้นยืนใหม่)
ไหนใครว่าไม่พร้อมยกมือขึ้น ใครว่าพร้อมยกมือขึ้น คนที่ยกว่าไม่พร้อมเชิญยืนขึ้น ทำไมอาจารย์ให้คนที่ยกว่าไม่พร้อมยืนขึ้นรู้ไหม จริงๆ แล้วมีอีกหลายคนที่คิดว่าไม่พร้อม แต่ว่าไม่ยอมยกมือ จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่าคนที่พูดออกมาว่าไม่พร้อมกับคนที่คิดว่าไม่พร้อมแล้วไม่ยอมยกมือขึ้น ในโลกนี้มีสัดส่วนเท่าไหร่ คนที่เห็นว่าผิดแล้วไม่พูด กับคนที่เห็นแล้วต้องพูดว่าผิด มีสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของโลก คนมากกว่าครึ่งในโลกเป็นอย่างนี้ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าคนทุกคนที่มีนิสัยเห็นว่าคนอื่นผิดแล้วต้องพูด เป็นนิสัยที่ทำให้ศิษย์นั้นเดือดร้อน ถามว่าพูดอย่างนี้หมายความว่าให้นิ่งเงียบถูกไหม (ไม่ถูก)  เวลาที่เราจะพูดมากที่สุด เมื่อเห็นคนอื่นทำผิดคือ คนที่อยู่แวดล้อมเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นใครบ้าง สามีทำผิดพูดหรือไม่ (พูด)  ภรรยาทำผิดพูดหรือไม่ (พูด)  ลูกทำผิดพูดหรือไม่ (พูด)  เพื่อนร่วมงานทำผิดพูดหรือไม่ (พูด)  ญาติเราทำผิดพูดหรือไม่ (พูด)  พ่อแม่เราทำผิดก็ยังพูดอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถามว่าเวลาที่เรามีความสุข เรามีความสุขจากใคร คนแปลกหน้า ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  คนที่ทำให้เรามีความสุขนี้คือคนในบ้านของเรา ญาติสนิทมิตรสหายของเรา ลูกหลานของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าเวลาเขาทำผิด เรากลับไม่ยอมอภัยพวกเขา แต่เรากลับชอบบ่น บ่นมากแล้วเป็นอย่างไร ได้ดีหรือเปล่า (ไม่ได้ดี)  ยิ่งบ่นก็ยิ่งอยู่ไม่ติดบ้าน ถูกบ่นแล้วเราก็ไปนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาเราทำร้าย เราทำร้ายคนที่ไหน เราทำร้ายบ่อเงินบ่อทองบ่อสมบัติของตัวเอง เราทำร้ายบ่อแห่งความสุขที่บ้านเราเอง ถามว่าทำอย่างนี้แล้วมีประโยชน์หรือไม่ (ไม่มี)
เวลาที่จะพูดว่าใครผิด เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีวาทศิลป์ มีวิธีการ มีความใจเย็น เมื่อไหร่ที่เขาอยากฟัง เราค่อย (พูด)  เวลาที่เขาไม่อยากฟัง พูดไปมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เวลาที่เขาไม่อยากฟังก็อย่าไปพูด เวลาที่เขาไม่อยากฟังแล้วเรายังพูดได้ผลหรือเปล่า (ไม่ได้ผล)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาอยากฟังแล้วค่อยพูด แต่การที่เราจะรอได้เราต้องเป็นคนใจเย็นก่อน ถ้าหากว่าเราเป็นคนไม่ใจเย็นเหมือนทุกวันนี้จะมีอะไรดีขึ้นหรือเปล่า (ไม่มี)
อาจารย์เห็นศิษย์ถึงจะบ่นอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ก็มีความสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่ามองว่าการได้บ่นเป็นความสุขเลยนะ ให้มองว่าการแก้ไขเป็นความสุข ให้มองว่าการบ่นคนอื่นเป็นความทุกข์ บ่นเสร็จแล้วต้องไปกินน้ำไหม (กิน)  ถามว่าน้ำที่บ้านเสียเงินซื้อหรือเปล่า (เสีย)  บ่นมากก็เสียเงินมาก ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ถ้าเงียบไว้ก็ไม่ต้องไปกินน้ำ ไม่กินน้ำก็ไม่เสียเงินค่าน้ำ ดีหรือไม่ (ดี)
ผู้หญิงเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย อะไรกระทบกระเทือนนิดๆ หน่อยๆ ก็บอบบางเหมือนแก้วเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ภายนอกยิ่งดูแข็งเท่าไหร่ ภายในจะยิ่งอ่อนเท่านั้น เพราะฉะนั้น ขอให้ประคับประคองตัวเอง อย่าเอาหัวใจของตัวเองไปฝากไว้ที่สามี หรือไว้ที่ลูก อย่าไปฝากไว้ที่ความหวังลมๆ แล้งๆ ขอให้เราเก็บแก้วเจียระไนนี้มาประคองเอง รักษาเอง อย่าให้จิตใจของเราเป็นจิตใจที่อ่อนไหวง่าย เจอลมหน่อยก็ไม่ไหว เจอฝนหน่อยก็ไม่ไหว เจอคนพูดว่าหน่อยก็ไม่ไหว เจออุปสรรคสักนิดหนึ่งก็ไม่ไหว อย่างนี้แล้วชีวิตของเรามีอะไรไหวไหม ทุกวันนี้ก็เป็นชีวิตที่ไม่มีอะไรไหวเลย มันเครียดถึงที่สุดแล้ว มันตันถึงที่สุดแล้ว มันทุกข์ถึงที่สุดแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  
แต่อาจารย์บอกให้ ถ้าทุกข์ถึงที่สุดจริงๆ มันจะกลับไปเป็นความสุข ศิษย์จะยอมผ่านไหม (ยอม)  ศิษย์ต้องทุกข์ถึงที่สุดแล้วศิษย์ถึงจะมีความสุขได้ ที่มีความสุขได้ เป็นเพราะว่าเมื่อเราทุกข์ถึงที่สุดแล้ว เมื่อเราจนถึงที่สุด เราจะได้คิด ยิ่งเป็นสังคมเมืองหลวง อยู่ในกรุงเทพยิ่งลำบากใหญ่  อะไรๆ ก็สำเร็จรูป และก็ต้องซื้อใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์พูดแค่ซื้อน้ำก็สะดุ้งแล้ว ยังต้องซื้อข้าว ซื้อเสื้อ ใส่เสื้อเก่าๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  มีเสื้อยังใส่ไม่ได้ เพราะว่ามันเก่าเกินไป  เป็นค่านิยมของมนุษย์ เป็นความยากลำบากของคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่จะบอกว่าให้คนสมัยนี้ หรือคนในเมืองหลวงเมืองกรุงนี้อยู่อย่างเรียบง่าย จึงกลายเป็นเรื่องที่ยาก กลายเป็นเรื่องที่เชย แล้วก็ล้าสมัย จริงหรือไม่ (จริง)
แต่ถามว่าศิษย์ของอาจารย์เอ๋ย ถ้าศิษย์อยากจะนำสมัย หรือแค่ศิษย์อยากจะตามสมัยก็พอ ศิษย์ก็ต้องเหนื่อยมากขึ้นเป็นเท่าตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินก็ต้องมีเยอะ ความคิดความฉลาดก็ต้องมีเยอะ ความสามารถก็ต้องมีเยอะ ถามว่าเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  อยากพักไหม (อยาก)  ต้องพักที่หัวใจของเราเอง  แล้วต้องพักที่ความคิดของตัวเอง  เหนื่อยแล้ว อยากพักลง ต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง  เหนื่อยแล้ว อยากพักลง ต้องแก้ไขตัวเอง  เวลาที่ศิษย์มองพระพุทธรูป  พระพุทธรูปไม่ได้มองตรงๆ ส่วนใหญ่จะมองต่ำลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าถ้าศิษย์มองเหมือนพระพุทธรูป ศิษย์จะเห็นอะไรบ้าง
กลัวหน้าแก่ไหม (กลัว)  กลัวหน้าแก่ก็เลยต้องหาครีมมาพอก ใช่หรือไม่ (ใช่) พออายุห้าสิบแก่หรือไม่แก่ (แก่)  ทำอย่างไรล่ะ (ดึงหน้า)  ดึงไว้ อีกห้าปี ห้าสิบห้า แก่ไม่แก่ (แก่)  แล้วทำอย่างไรต่อล่ะ (ทำใจให้มันปลงเสียว่ามันแก่แล้ว)  อย่างนั้นอาจารย์เสนอให้ปลงตั้งแต่เนิ่นๆ ดีหรือเปล่า (ดี)  เคยเห็นไหมว่าคนแก่ปลงไม่ได้ แล้วเราสาวๆ นี่ปลงได้หรือเปล่า (ได้)  หนุ่มๆ ปลงได้หรือเปล่า (ได้)  อดเหล้า อดบุหรี่ เลิกเที่ยว เลิกการพนัน (ได้)  แล้วก็เลิกเป็นหนุ่มแล้ว ได้ไหม ปัญหาทุกอย่างของผู้ชายมาจากความหนุ่ม เมื่อหนุ่มเมื่อหล่อก็อดไม่ได้ ต้องไปแสดงความสามารถนอกบ้าน เพราะฉะนั้นอาจารย์เสนอแนะให้ศิษย์นั้นปลงเร็วขึ้นอีกสักกี่ปีดี
เริ่มพอกหน้าตั้งแต่อายุเท่าไหร่แล้ว (สามสิบ) สามสิบเริ่มทาครีมหรือยัง (เริ่มแล้ว)  อาจารย์ไม่ได้พูดว่าไม่ให้ศิษย์ใช้ครีม แต่อาจารย์พูดว่าไม่ให้ศิษย์เป็นคนที่รักสวยรักงามจนฟุ้งเฟ้อ ให้เป็นคนที่รู้จักสมถะ  บางเรื่องนั้นไม่ควรที่จะบำรุงจนเกินไป เพราะสังขารยังไงก็ต้องเหี่ยวย่น สุดท้ายตายจาก จริงหรือไม่ (จริง)  คนที่รักที่ชอบพอกัน ใครก็แล้วแต่ที่ห่วงใยไว้ สุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี ฉะนั้นเรายิ่งปลงได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นกำไรเท่านั้น
ย้อนกลับมาที่พระพุทธรูปที่ส่วนใหญ่ไม่มองตรง แต่มองหลบ ถามว่ามองหลบลงมานี้เห็นไหม ลองมองหลบลงมาระยะสามนิ้วเห็นหรือเปล่า (เห็น) เห็น เพราะไม่ได้ให้หลับตา ถ้าหลับตาก็จะไม่เห็น แต่ว่าหลบตา ยังเห็นอยู่ในระยะสามนิ้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)   ทำไมถึงให้หลบตาในระยะสามนิ้ว (เห็นน้อยลง) เห็นน้อยลงแล้วทำไม (ปัญหาน้อยลง)  ไม่ใช่เป็นการตัดโลกทัศน์ของตัวเองให้แคบลง แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่เราจะเห็นแค่ธรรมดา แต่ยังเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด คิดทำในสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นอีก เรายังเป็นทุกอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เรามองให้แคบลงแต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้มอง ที่ให้มองแคบลงเพราะว่าจะได้เห็นแต่ตัวเอง  ไม่ใช่ให้เห็นแก่ตัว แต่เพื่อให้เรานั้นสามารถที่จะย้อนมองส่องตน ทบทวนความผิดพลาดต่างๆ นานา ทุกคนมีความผิดพลาดหรือเปล่า (มี)  อาจารย์ให้อภัยตัวเองไปแล้ว ศิษย์ยังทำผิดพลาดอีกหรือไม่ ทุกวันนี้ก็รู้ว่าไม่ควรพลาดไม่ควรผิด แต่สุดท้ายศิษย์ก็ผิด เพราะว่าศิษย์ทุกคนยังมีกิเลส มีความรู้สึก มีความอยากได้ มีความเคยชิน มีความหวัง มนุษย์สมัยนี้พูดถึงความหวังบ่อยมาก เป็นคนต้องมีความหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์มีความคิด ความหวัง ความรู้สึก ศิษย์ก็เลยเป็นคนที่มีความทุกข์เช้าจรดค่ำ ค่ำจรดเช้า ถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ ถึงเวลาให้ทำงานก็ทำงานไม่ได้  ทำอย่างไรกับตัวเองดี เราจึงต้องพยายามลดเงื่อนไขในการดำเนินชีวิตของตัวเองให้ต่ำลง อย่างเช่น อยากใส่เสื้อที่มียี่ห้อน้อยลง อยากใช้ครีมยี่ห้อแพงๆ น้อยลง อยากจะดัดผมน้อยลง ตัดแว่นก็ไม่ต้องตัดแว่นแพงๆ ใส่เสื้อผ้าก็ไม่ต้องประณีตมาก
ภายนอกจงอย่าประณีต ให้ประณีตกับภายใน คือจิตใจของตัวเอง ถ้าหากว่าภายนอกใส่เสื้อสามวันไม่ซัก เป็นอย่างไรบ้าง (เหม็น)  เสื้อผ้าของศิษย์ใส่สามวันห้าวันไม่ได้ซักบอกว่าเหม็น ใจของศิษย์อยู่มาจนป่านนี้ อายุหลายสิบปีแล้วซักบ้างหรือเปล่า (ซัก)  ซักอย่างไร  ทุกคนนั้นมีโอกาสซักจิตใจของเราเองโดยการฟังธรรมะ ฟังพระเทศน์ฟังพระสวด ทำบุญทำทานอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าบ่อยครั้งนี้ก็ถือว่ายังนานๆ ทำดีอยู่เหมือนกัน เราเป็นคนที่ซักจิตใจของเราแบบนานๆ ทำที และซักเฉพาะจุด เราไม่ได้ซักใจของเราให้หมด เรายังกลบเก็บซ่อนมิดชิดไว้ในส่วนที่เรานั้นไม่อยากที่จะซัก ไม่อยากที่จะให้ใครมาแตะความผิดพลาดอันนี้ ไม่อยากให้ใครมาแตะสำนึกอันนี้ เรายังซักจิตใจของเราเฉพาะที่เฉพาะทางเฉพาะจุด ฉะนั้นเสื้อตัวนี้ถือว่าสะอาดไหม (ไม่สะอาด)  เพราะฉะนั้นอาจารย์แนะวิธีซักก็คือเอาเสื้อลงไปจุ่มทั้งตัวเลย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องซ่อน ไม่ต้องกลัวว่าอะไรจะถูกซักไป สะอาดแล้วก็คือสะอาด
ฉะนั้นสองวันนี้มานั่งฟังธรรมะเพื่อกระตุ้นให้ศิษย์นั้นซักเสื้อของตัวเอง ซักจิตใจของตัวเอง ศิษย์อยากจะซักเสื้อตัวเองไหม (อยาก)  ซักเสื้อต้องออกแรง ต้องใช้เวลา ฟังธรรมะต้องฟังบ่อยๆ ฟังแล้วต้องนำกลับไปทบทวนด้วย เพื่อให้ตัวเองนั้นได้สะอาดอยู่เสมอ ทำได้ไหม (ทำได้)  
การมานั่งฟังธรรมะไม่ได้ต้องการเอาอะไรจากศิษย์ แค่เอาใจเปิดกว้างๆ แล้วก็ฟัง เท่านั้นเอง ไม่ยากใช่ไหม ทำได้ไหม สิ่งที่พูดมามีอะไรทำไม่ได้มีไหม (ไม่มี)  ธรรมะเป็นเรื่องธรรมชาติ ง่ายดาย ขอเพียงเปิดใจฟัง ให้ความร่วมมือ ดีหรือไม่ (ดี)  ถามว่าถ้าศิษย์กลัวโดนหลอกแล้ว คนในชั้นทั้งหมดนี้ไม่กลัวโดนหลอกหรือ อาจารย์เองไม่กลัวโดนศิษย์หลอกบ้างหรือ เพราะเวลาฟังธรรมะไปแล้วก็บอกว่าดีๆ แต่ถึงเวลาเป็นอย่างไร ดีอยู่คนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับใคร บำเพ็ญธรรมะใจดีก็พอแล้ว ดีอยู่คนเดียว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้นอย่าบอกว่าบำเพ็ญธรรมใจดีก็พอแล้ว ศิษย์ดีคนเดียวไม่พอ เพราะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ฉะนั้นเป้าหมายที่พูดในวันนี้ไม่ใช่แค่ให้ศิษย์ตรงนี้ดีขึ้น แต่ศิษย์ต้องดีขึ้นจนเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้อื่นได้ และทำให้ผู้อื่นดีขึ้นด้วย ฉะนั้นในวันนี้กลับไป มีใครรู้ธรรมะบ้าง มีใครนำธรรมะมาปฏิบัติกับชีวิตบ้างมีไหม มีเล็กน้อย เป็นแค่มาตรฐานของคนดี  แต่วันนี้ศิษย์ที่มานั่งในที่นี้มีธรรมะที่อยากให้นำธรรมะไปใช้กับชีวิตและที่บ้านของศิษย์ที่เป็นโลกโลกีย์ ที่บ้านของศิษย์ที่มีแต่ปัญหาวุ่นวาย ที่บ้านของศิษย์คนที่ศิษย์ยังบอกว่าเขายังไม่ดีนั้น เป็นโอกาสเป็นลู่ทางให้ศิษย์ได้ทำความดี ทำความดีกับคนใกล้ตัวเสียหายไหม (ไม่เสียหาย) ทำความดีกับคนใกล้ตัวศิษย์จะได้ผลที่ยิ่งใหญ่ แต่หากทำความดีกับคนไกลตัว ศิษย์จะหวังผลไม่ได้ เข้าใจไหม ทำความดีกับคนไกลตัวอย่าได้หวังผล แต่ทำความดีกับคนใกล้ตัวศิษย์จะได้ผลที่ยิ่งใหญ่ เวลาที่เราไปซื้อของเราชอบของถูกที่มีคุณภาพดี ที่บ้านศิษย์นี้แหละคือของที่ถูกและมีคุณภาพดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
รับพระพุทธรูปไปที่บ้านคนละองค์ดีไหม (ดี)  เดี๋ยวอาจารย์จะแจกพระพุทธรูปให้คนละองค์ ศักดิ์สิทธิ์มากๆ ไม่ต้องแขวน ไม่ต้องใส่กรอบ เอาไม่เอา (เอา)  ใครเอายกมือขึ้น ยกสูงๆ หน่อยๆ ศักดิ์สิทธิ์นะ ให้โชค ให้ลาภ ให้พร รับไปอยู่แล้วรวยมาก ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ก็บอกแล้ว บอกว่า เอามือลง นั่งตรงๆ นั่งสง่าๆ สวยๆ ทำตาลดลงสามนิ้ว ตอนนี้ทุกคนคือพระพุทธรูป พระพุทธรูปนั้นพูดไม่เป็น ฟังได้ยินอย่างเดียว พูดไม่ได้ เพราะฉะนั้นกลับไปบ้านอย่าไปบ่นใครนะ ถ้าหากกลับไปบ้านชอบนอนเอกเขนกตามอำเภอใจ อยากกินอะไรก็กิน อยากพูดอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ อันนี้ถือว่าเราเป็นผู้มีระเบียบวินัยในชีวิตหรือไม่ (ไม่มี) นั่งผิดท่ามากๆ กระดูกก็จะมีปัญหา กินผิดๆ มากๆ จะมีโรคภัย ถ้าพูดผิดมากๆ ก็จะมีเคราะห์ร้าย อาจารย์พูดไม่ผิดสักคำเดียวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อาจารย์มองว่าศิษย์ทุกคนนั้นเป็นบุคคลผู้มีคุณภาพ เป็นบุคคลผู้สามารถขัดเกลาได้ สอนได้ หวังได้ พึ่งได้ หวังว่าศิษย์นั้นจะมีความหวังในตัวเองเช่นนั้นเช่นเดียวกัน อะไรที่ไม่ทำก็ย่อมไม่ได้มา  อะไรที่ทำก็ย่อมได้มา หากว่าศิษย์อยากที่จะได้ดีมากกว่านี้ มีโชค มีลาภ มีวาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องอำนวยพรให้ตัวเอง เพราะว่าพระที่ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ไม่อาจจะอยู่กับผู้ที่ไม่มีคุณธรรมได้ เมื่อเรามีคุณธรรม ต่อให้เราไม่ห้อยพระ เราก็ศักดิ์สิทธิ์ เช็คได้จากการที่มองว่าคนรอบข้างมองเราอย่างไร ทุกวันนี้คนมองเราด้วยสายตาแบบไหนบ้าง ชื่นชม ยินดีหรือติเตียน สายตาดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจ ใครมองเราอย่างติเตียน ใครมองเราอย่างเคารพรัก ใครมองเราอย่างชื่นชม เราย่อมสัมผัสได้
“การทำงานที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร
ก็คือไม่มีอะไรผิดพลาดเลย
ไม่ผิดเล็กจะผิดใหญ่ยากชดเชย
แต่ไม่ใช่ปล่อยเพิกเฉยอย่างเลื่อนลอย”
การทำงานที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร ในการทำงานหลายๆ คนร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะวางแผนงานมาดีแค่ไหน ก็มีข้อผิดพลาดได้ แต่ว่าการทำงานที่ผิดพลาด คือไม่มีอะไรที่ผิดเลย เป็นเรื่องผิดปกติไหม เป็นเรื่องผิดปกติ หรือพูดอีกทีก็คือการทำงานที่ไม่เจออะไรที่ผิดพลาดเลยเป็นเรื่องที่ผิดพลาดนั่นเอง
สมมติเราเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ทำงานอยู่ด้วยกัน คนที่เป็นหัวหน้างานบอกว่าตรงนี้จะผิดแล้ว ตรงนั้นจะผิดแล้ว ตรงโน้นจะผิดแล้ว รีบๆ ไปทำให้ไม่ผิดซะ สุดท้ายคนที่ได้รับคำสั่ง บางคำสั่งฟังรู้เรื่อง บางคำสั่งฟังไม่รู้เรื่อง  เพราะฉะนั้นการที่เขาทำตามที่เราสั่ง เขาไม่ได้เกิดการเรียนรู้ วันหน้าถ้าศิษย์ใช้เขาไปทำงานอีก เขาก็ยังจะผิดอีก เพราะว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำอย่างไรจึงเรียกว่าดี  ฉะนั้นการทำงาน จะต้องปล่อยให้ผิดบ้าง เพื่อให้คนที่ทำงานได้เรียนรู้  ถ้าเราไม่ปล่อยให้ผิดเล็ก ผิดอีกทีก็เรื่องใหญ่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เป็นหัวหน้างาน คนที่ดูคนอื่นทำงาน คนที่เป็นคนควบคุมงานจำเป็นต้องดูอยู่ห่างๆ  ไม่ใช่ปล่อยให้ผิดเละเทะไปหมด ถึงสุดท้ายก็ยิ่งแก้ยาก บางเรื่องนั้นจำเป็นต้องให้ผิดบ้าง เพื่อให้คนนั้นได้เกิดการเรียนรู้  ปล่อยให้ผิดทั้งที่รู้ว่าจะผิด เพื่อให้เราได้คิดได้ฝึกและสะดุ้งหน่อย  เวลาที่เราทำผิดพลาด เราย่อมรู้ว่าเราทำผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะคิดได้จากความผิดพลาดนั้นๆ   แต่ถ้าหากว่าไม่ปล่อยให้ผิดเลย จะรู้หรือเปล่า (ไม่รู้)  
คนสมัยนี้บอกว่าการเปิดหนังสือสอนได้ทุกอย่าง ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  หนังสือสอนคนไม่ให้ทำผิดไม่ได้  ใครก็แล้วแต่ถ้าปล่อยให้ทำอะไร มีผิดมีพลาดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการที่ให้เขาผิดด้วยตนเอง แล้วให้เขาลุกขึ้นยืน และได้คิดได้สะดุ้งด้วยตนเอง นั่นจึงเป็นการสอนคนที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าเราอย่าปล่อยให้ผิดจนแก้อะไรไม่ได้  อันนี้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เป็นผู้ควบคุม ผู้ที่เป็นหัวหน้างานที่จะต้องคอยดู ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและกว้างไกล  การที่เราพยายามจะกลบทุกปัญหาให้มิด บางทีจึงไม่ใช่ ทุกวันนี้ในการทำงานธรรมะก็เหมือนกัน เวลาให้ทำงานธรรมะอะไรสักเรื่องหนึ่ง ทุกคนก็พยายามที่จะให้ผิดพลาดน้อยที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  น้อยไม่ผิด ผิดอะไร (ผิดมาก)  เพราะว่าน้อยๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเหตุผลสัจธรรมข้อใหญ่ๆ จะเข้าใจได้อย่างไร จริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์บอกว่าเวลาที่เขาทำผิด แล้วเขาเข้าใจว่าเขาผิดอะไร เขาได้คิดแล้ว เขาได้ฝึกแล้ว เขาได้สะดุ้งจากความคิดของตัวเองแล้ว จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้อง หนึ่งโอบอุ้ม สองชี้แนะ สามใจเย็นคอย  ถ้าศิษย์สามารถทำได้อย่างนี้ ศิษย์จะได้บุคลากร  ซึ่งแม้บุคลากรจะน้อย หรือเป็นเด็กน้อย แต่หนึ่งคนจะทำงานได้เยอะ หนึ่งคนทำได้เท่ากับสามแรงเลย  ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์หนึ่งคนก็ทำงานได้ตั้งเยอะ ไม่ว่าจับไปลงหน้าที่อะไรก็ทำได้หมดเลย ไม่มีอะไรทำไม่ได้  เพราะว่ามีใจสู้  ศิษย์ทุกคนของอาจารย์ใจสู้มาก อาจารย์ก็ดีใจที่ศิษย์นั้นเป็นคนใจสู้ แต่อาจารย์ก็ค่อนข้างจะห่วง แล้วก็เข้าใจว่าทุกวันนี้เป็นอย่างนี้เพราะว่าอะไร
การแก้ไขเรื่องใดๆ จึงไม่ใช่การแก้ไขด้วยตัวของเราเพียงคนเดียว การแก้ไขนิสัยความเคยชินที่ลงตัวของเรา ถึงแม้เป็นเรื่องที่แก้ไขยาก ก็ยังแก้ไขได้ แต่การแก้ไขการทำงานเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า จึงต้องอาศัยทั้งความคิด ความรู้และสติปัญญา ความสามารถ คุณธรรม ทุกอย่างต้องมาพร้อมกันถึงจะสามารถที่จะแก้ไขได้ แม้ยังมีอุปสรรคอยู่ อาจารย์ให้กำลังใจ ขอให้ทุกคนทำได้
เหนื่อยเกินไปยามใดให้หยุดพัก      อย่าได้กลัวพังลงในพริบตา
ยามที่ใจนิ่งลงจนแช่มช้า         ดวงปัญญาพร่างพรูบรรลุตน
บรรลุตนไม่เหมือนบรรลุธรรม บรรลุตนคือค้นหาตัวเอง ค้นเจอตัวเอง เข้าใจชีวิตตัวเอง วางแผนและดำเนินชีวิตตัวเองได้ถึงเป้าหมาย อย่างมีอุปสรรคแต่น้อย  ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้ทุกคนอยู่ในสภาวะที่ไม่รู้จักตัวเอง เวลาที่โกรธก็โกรธเลย เวลาที่เกลียดก็เกลียดเลย เวลาที่รักก็รักเลย อะไรที่คิดว่าดีก็ไม่มีสติยั้งคิด สุดท้ายดีก็ไปเรื่อยๆ ไปถึงไหนก็ไม่รู้ นี่คือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง ทุกวันนี้ไม่รู้จักชีวิตตัวเอง จึงเป็นคนที่มีความทุกข์ ทุกข์หนักด้วย แต่การที่แต่เดิมมามีทุกข์เป็นสิ่งที่ดีไหม ดีที่ศิษย์นั้นเคยทุกข์ ถ้าไม่เคยทุกข์จะไม่เข้าใจสัจธรรมของชีวิต ไม่เคยทุกข์จะไม่รู้ว่าเรานั้นจะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ได้ ต้องรู้จักทุกข์จึงจะพ้นทุกข์ได้ เพียงแต่หวังว่าหลังจากสองวันนี้ ดวงตาแห่งธรรมแห่งปัญญาของศิษย์นั้นจะเปิดขึ้น มองสิ่งใดก็เข้าใจได้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม คิดอะไรทำอะไรก็สามารถที่จะคิดได้อย่างปลอดโปร่งมากขึ้น ไม่ใช่ให้สิ่งที่เราคิดมาบังสิ่งที่เราฟัง ทุกวันนี้ฟังลูก ลูกบอกว่าออกไปเรียนหนังสือ เวลาฟังลูกแล้วรู้สึกว่าลูกออกไปเรียนหนังสือไหม เราก็อาจจะไม่เชื่อ คิดว่าเขาออกไปเที่ยว แล้วเราก็พร่ำว่า แทนที่ลูกจะไม่เที่ยวก็เลยเที่ยว เพราะว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่มีอารมณ์ร้อนและรุนแรง ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ ไหนๆ ก็โดนว่าแล้วก็เลยออกไปเที่ยวเสียเลย จริงหรือไม่ (จริง)  
ในบ้านมีแม่ที่คอยบ่นคอยว่ามีความเข้มงวดมากเกินไป เมื่ออยู่ในบ้านไม่มีความสุขถามว่าออกไปไหน (นอกบ้าน)  เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก เมื่อเรามีความทุกข์เราไปไหน ไปนอกบ้าน ไปซื้อเสื้อผ้า ไปเดินช็อปปิ้ง ไปตากแอร์  สุดท้ายแม้แต่เรายังอยู่บ้านไม่ติดเลย เรายังเบื่อ เซ็ง  กระหายเป็น แล้วนับประสาอะไรกับลูกของเราที่เกิดมาทีหลังเรา เราต้องพยายามที่จะมีความเข้าใจซึ่งกันและกันให้มาก แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ตามใจจนเสียเรื่อง ต้องรู้จักที่จะประมาณ แต่จริงๆ แล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีสิทธิ์ทุกข์ให้ลูกดูนะ  อาจารย์พูดแบบนี้ร้ายแรงไปไหม เพราะว่าเวลาเราทุกข์มากๆ เราก็ไม่สนใจไยดีอะไร แล้วเราจะไปไยดีลูกของเราตอนไหน เลี้ยงเขามาด้วยความทุกข์แล้วลูกเราจะสุขหรือไม่
ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น อย่าเข้าถ้ำเสือแล้วออกไปมือเปล่านะ เดี๋ยวอาจารย์ถามอะไรต้องตอบดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าไปห้างสรรพสินค้า ไปแล้วจะเอาอะไรออกมาจากห้างฯ ดี (เสื้อผ้า, เอาตัวออกมาจากห้าง, ความสบาย, ความอิ่ม, ความสบายใจ, เอาของที่เราถูกใจ, ของใช้, ขนม, รอยยิ้มสวยๆ, มาม่า)  บะหมี่สำเร็จรูปกินมากไม่ดี กินแล้วตายไวนะจะบอกให้ มีชีวิตไว้บำเพ็ญธรรมดีกว่านะ (เอาความทุกข์) เอาความทุกข์ออกมาจากห้างหรือ  (ช็อปปิ้งมากเงินหมด) แพงไปหน่อยไหม (ยารักษาโรค, ขนม, หนังสือ, เครื่องสำอาง)  สงสัยคำถามนี้จะตอบง่ายเกินไป แต่ไม่มีใครตอบถูกใจเลย (เอาสิ่งของที่ต้องการออกมา, ผัก, เครื่องดื่ม)
เห็นไหมว่าศิษย์นั้นคุ้นเคยกับห้างสรรพสินค้า ตอบได้มากมายยิ่งกว่าให้ตอบปัญหาธรรมะอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาที่บอกว่า ศิษย์เอ๋ยเข้าห้างฯ ไปได้อะไรออกมา ไม่เห็นมีใครตอบอาจารย์ว่า “ไม่เข้า” แสดงว่าในชีวิตของศิษย์ยังเลือกไม่ได้ เพราะว่ายังไม่รู้จักเลือกที่จะหักห้ามใจตัวเอง  ไปห้างได้อะไรออกมาพะรุงพะรัง แต่ว่าเวลาที่ไปห้างได้ใจของตัวเองออกมาหรือเปล่า ออกมาจากห้างฯ แต่ใจยังนึกถึงของที่เราไม่มีปัญญาซื้อ นึกถึงของที่เรานั้นซื้อไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาใจทิ้งไว้ที่นั่นหมดเลย แล้วใจที่กลับมาบ้านล่ะ ความสุขของศิษย์ก็อยู่ที่ห้างฯ ความสะดวกสบายของศิษย์ก็อยู่ที่ห้างฯ แล้วทำไมไม่อยู่ที่บ้าน คนในสมัยก่อนปลูกผักกินเอง ทำของใช้เอง เสื้อผ้าทอเอง คนสมัยนี้ทุกอย่างต้องเข้าห้างฯ หมดเลย ห้างฯ ให้ได้ทุกอย่าง ยกเว้นให้ความสันโดษแก่ศิษย์ไม่ได้เลย ให้ความสมถะหรือรู้จักพอแก่ศิษย์ไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เข้าไปต้องเสียเงินกี่บาท สิบบาทเป็นอย่างต่ำ แล้วเข้าไปทำไมล่ะ
รักตัวเองให้มากๆ  และก็รักคนอื่นให้มากๆ อย่างนี้ถึงเรียกว่าเมตตา  รักตัวเองมากๆ รักคนอื่นน้อยๆ ก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว อยู่ในสังคมเมืองกรุงเมืองใหญ่ กรุงเทพฯ ศิษย์ต้องระวัง อย่ารับเอาความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกของคนอื่นมาเป็นของเรา  ทำไมอาจารย์ถึงถามศิษย์ว่าไปห้างฯ แล้วได้อะไร  ใครเป็นคนปลูกฝังว่าห้างฯ มีทุกอย่าง การโฆษณาของในเมืองใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้างฯ มีทุกอย่าง แต่มีต้นเหตุของความทุกข์มากมายให้ศิษย์เช่นเดียวกัน คนอยากได้ก็เป็นทุกข์แล้ว ไม่ได้ก็เป็นทุกข์แล้ว ได้แล้วเสียไปก็ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็ไปห้างฯ น้อยๆ หรือถ้าให้ดีก็ไม่ต้องไปเลย ทำได้ไหม (ได้)  เดี๋ยวพอไม่ไปห้างฯ ในครัวไม่มีของใช้แล้ว ผงซักฟอกก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เสื้อผ้าก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน ของใช้ก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน ผักไปซื้อที่ไหนล่ะ (ตลาดนัด)  อาจารย์ว่าถ้าจะให้ดีก็ใช้เงินน้อยๆ หน่อย ถูกต้องที่สุด ถึงวันหนึ่งก็จบแล้ว
หนึ่งคนมีจดหมายเตือนกี่ฉบับ เป็นไข้ ปวดเมื่อย ปวดเข่า ปวดหลัง ตายาว ตาสั้น ปวดหู ปวดหัว ปวดท้อง  ทุกๆ คนมีจดหมายเตือนภัยมา  แต่ทุกๆ คนก็ยังไม่เข้าใจการเตือนภัยจากฟ้าเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  ปวดท้องทำอย่างไร  ปวดท้องต้องรีบหาสาเหตุว่าทำไมปวดท้อง  ถ้าปวดท้องแสดงว่าอาจจะกินเผ็ดเกินไป ทำไมปวดหัว (เครียด)  นอนน้อย และเครียดมากไป หักโหมและก็เครียดกับงานมากเกินไป  เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ทุกโรคจะต้องมาแก้ที่สาเหตุ ถ้าทุกคนแก้สาเหตุของลางบอกเหตุตัวเอง เราก็จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี เขาบอกว่าตอนสามสิบจะเริ่มป่วย แต่ศิษย์ของอาจารย์ถ้าทำได้ดั่งนี้ ต่อให้หกสิบก็ยังไม่ป่วย เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ)  ทำได้หรือเปล่า (ได้)
คนมีแรงแต่ไม่ยอมออกแรงก็เหมือนคนไม่มีแรง ไม่แตกต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์มีความจริงใจ มีมารยาทอันงดงามอยู่มากมายไปหมด ศิษย์ทั้งหลายในที่นี้ทุกคนก็เป็นผู้มีมารยาท มีธรรมะ มีมโนธรรมสำนึก แต่อาจารย์จะบอกให้ มโนธรรมสำนึกมารยาทอันงดงามนั้นต้องแสดงออกอย่างถูกกาลเทศะและถูกเวลาอย่างเหมาะสม  บางคนนั้นเป็นผู้ที่มีความเขินอายสูง เวลาที่มีโอกาสแล้วไม่แสดงออก ถือว่าเป็นการปิดโอกาสของตนเองอย่างมาก  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูด เราต้องเป็นผู้ที่พูดอย่างมีมารยาท ทำอย่างมีมารยาท และแม้กระทั่งคิดก็ยังต้องมีมารยาท  เวลาที่เราชั่งใจว่าสิ่งใดควรพูดและไม่ควรพูด เรียกว่าเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะ เช่นเดียวกันเวลาที่โอกาสมาถึง ควรจะพูด ต้องรีบๆ พูด เมื่อชั่งใจแล้วว่าสิ่งที่เราจะพูดเป็นสิ่งที่มีมารยาทและถูกกาลเทศะ เมื่อโอกาสมาถึง อย่าได้ปิดบังตัวเอง อย่าได้ไม่ยอมแสดงออก  คนไทยนั้นเป็นผู้มีอิสระ ชอบอิสรเสรี ชอบคนที่สุภาพนิ่มนวล ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าเสรีเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อมีมารยาทต้องรู้ว่าเราควรเกรงใจ แต่ไม่ควรมากเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย อันนี้ก็ไม่ถูกเช่นเดียวกัน
หลายคนตอนเด็กถูกสอนให้เป็นคนเรียบร้อย พอโตขึ้นมาแล้วก็ยังมีความเรียบร้อยอยู่ แต่เมื่อไหร่ที่ไม่สามารถที่จะเรียบร้อยอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็เหมือนคนที่ดีแตก เวลาแสดงออกก็มากเกินไป  เพราะฉะนั้นควรอยู่อย่างพอดี ถึงเวลาควรพูดต้องพูด ถึงเวลาไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูด แม้รู้ก็ยังคงต้องเก็บไว้เฉยๆ  เวลาคนที่เรียบร้อยเข้าสังคมมักถูกเอารัดเอาเปรียบ เมื่อเวลาที่เราไม่สามารถที่จะเก็บอารมณ์ไว้ได้ เราก็มักจะแสดงออกอย่างเลยเถิด ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนรู้ว่าต้องแสดงออกอย่างพอดี พองาม เป็นการแสดงออกถึงความเคารพตัวเอง ไม่ใช่เห็นคนเอารัดเอาเปรียบแล้วเรานึกจะพูดก็พูด ต้องดูมารยาท สุภาพ จริยธรรม ระเบียบ แต่เมื่อเราพูดเราก็ควรที่จะพูดอย่างคนที่รู้จักกาลเทศะ พูดอย่างพองาม พูดเมื่อยามคนอื่นอยากจะฟัง ไม่ใช่บังคับคนอื่นให้มาฟัง ถ้าหากบังคับคนอื่นให้มาฟัง ต่อให้เขาฟังเขาก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี เรามักพูดว่าคนนั้นฟังไม่เข้าใจ คนนี้พูดไม่รู้เรื่อง ถามว่าเราพูดรู้เรื่องหรือเปล่า ต้องลองมาคิดดูนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “สร้างกุศลสร้างคุณธรรม”)
อาจารย์จะให้ข้อความทิ้งไว้เกี่ยวกับการสร้างกุศล สร้างกุศลมีอยู่สามทางคือ หนึ่ง พูดธรรมะเป็นทาน สอง แรงกายเป็นทาน สาม บริจาคทรัพย์เป็นทาน ซึ่งศิษย์ทุกๆ คนคงจะเคยสร้างอยู่แล้ว แต่ถ้าเราสร้างไปด้วยความไม่เต็มใจ บุญนั้นๆ จะไม่ก่อเกิดเป็นกุศล แต่หากว่าแม้เราจะทำเพียงบาทเดียว คนอื่นทำไปร้อยบาท คนที่ทำบาทเดียวอาจจะมีกุศลมาก แต่มีบุญน้อยก็เป็นไปได้ เพราะว่ากุศลคืออะไร กุศลคือความบริสุทธิ์ใจ บริสุทธิ์ผุดผ่องที่จะทำ บริสุทธิ์ผุดผ่องที่จะพูด บริสุทธิ์ผุดผ่องที่จะเสียสละ นี่คือคำว่า “กุศล”  ทั้งนี้ทั้งนั้น กุศลนั้นจะต้องสร้างด้วยใจที่เป็นกุศลมูลสามประเภท คือ หนึ่ง ไม่โลภ สอง ไม่โกรธ สาม ไม่หลง เมื่อไม่โลภก็เป็นการให้ เป็นการเสียสละ เป็นจาคะการบริจาค เมื่อไม่โกรธก็เป็นเมตตา เมื่อไม่หลงก็เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นเพียงแต่การสร้างบุญสร้างกุศลนั้น ศิษย์ก็สามารถที่จะบำเพ็ญได้ตั้งเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญภายนอก คือการให้ไป ให้แรงกาย ให้ทรัพย์ ให้เงิน พูดไป ให้ภายใน คือการที่เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ภายนอกและภายในก็บำเพ็ญพร้อมกัน แต่กุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นคือการให้อภัย เข้าใจหรือไม่ เพราะฉะนั้นการสร้างกุศลอันนี้ศิษย์ทำได้หรือไม่ (ได้)
การสร้างคุณธรรมคือการนำธรรมะไปปฏิบัติ เข้มงวดต่อตัวเอง ไม่เข้มงวดต่อผู้อื่น การที่เรานั้นรู้จักที่จะสร้างในสิ่งที่เป็นธรรมบูชาทั้งหลาย คือการสร้างคุณธรรม การที่สร้างแล้วผู้อื่นเคารพและเชื่อถือแสดงว่าเราเป็นผู้ที่มีคุณธรรม การสร้างคุณธรรมนั้นออกจะเป็นเรื่องที่ยากกว่า เพราะว่าคุณธรรมนั้นต้องเกิดจากการสะสม สะสมในสิ่งที่ดีงามทั้งหลายจึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีคุณธรรม
ยกตัวอย่างเช่น การสร้างคุณธรรมด้วยการกตัญญู การกตัญญูรู้คุณคนนั้นสร้างยากไหม การกตัญญูนั้นสร้างไม่ยากและทุกคนนั้นมีพ่อแม่ที่จะต้องกตัญญู แม้ว่าพ่อแม่จะอยู่ในโลกนี้หรือไม่อยู่ก็ตาม ทุกคนต้องสร้างความกตัญญู แต่ความกตัญญูนานๆ สร้างทีได้ไหม (ไม่ได้)  เรากินข้าวสามมื้อ พ่อแม่กินข้าวสามมื้อ เราทำอะไร เราก็ต้องทำให้พ่อแม่อย่างนั้น ที่สำคัญต้องทำให้ท่านสุขกายสบายใจ ไม่ใช่ว่ามีเราอยู่แล้วเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ อย่างนี้เป็นความอกตัญญูที่สุด
อาจารย์จะเพิ่มเติมให้คนที่บำเพ็ญธรรมที่นี่ทางนี้ การบำเพ็ญคุณธรรมนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว คนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมรุ่นแรกนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยที่จะเก่งเท่าไหร่ แต่เป็นผู้มีคุณธรรมมาก เพราะฉะนั้นจึงมีผู้ที่อยู่รุ่นหลังตามมาเป็นผู้ที่มีความเก่งมาก เมื่อรุ่นแรกเห็นว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ไม่เก่งก็ยอมที่จะเปิดโอกาสให้ผู้อื่น เห็นคนอื่นเก่งและเปิดโอกาสให้กับผู้อื่น เมื่อผู้น้องตามขึ้นมาแล้ว ผู้น้องย่อมได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ทั้งยังเห็นความอ่อนน้อมถ่อมตนในตัวของพี่ๆ จึงดำเนินรอยตามการทำงานและทำตามแบบอย่างที่ดี การที่รุ่นพี่อยู่เฉยๆ จึงเป็นคุณธรรมเช่นเดียวกัน เมื่อได้แสดงคุณธรรมดังนี้ทั้งพี่ทั้งน้อง พี่เองก็ให้เกียรติน้องเพราะว่าน้องเก่ง ส่วนน้องเองก็ให้เกียรติพี่เพราะว่าพี่อ่อนน้อม อย่างนี้จึงเป็นบรรยากาศธรรมที่ดี และศิษย์เองในที่นี้หลายคนก็เป็นคนที่มีบรรยากาศธรรมในตัวดีมาก เพราะว่าได้รับการเริ่มต้นอย่างดี อาจารย์พูดอย่างนี้เพราะอาจารย์อยากบอกว่านี่เป็นข้อดีของศิษย์ ศิษย์ที่บำเพ็ญอยู่ทางนี้เป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก บำเพ็ญไปอย่างนี้ สามัคคีกันอย่างนี้คือความอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าปล่อยให้งานมากแล้วเราก็เลยรักษาสิ่งที่ดีๆ ของเราไม่ได้ การส่งเสริมคนให้ทำงานนั้นต้องรู้จักส่งเสริมข้อเด่นให้เด่นมากยิ่งขึ้น แต่จำเป็นที่จะต้องสร้างเวทีให้ขึ้น ไม่ใช่ให้ขึ้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนถึงแม้ในขณะที่ศิษย์เองไม่รู้สึกตัว ศิษย์ทุกคนก็มีคุณธรรม อาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์นั้นเป็นคนที่บำเพ็ญดีอยู่แล้ว อย่างเช่นศิษย์มีความสามารถมาก เวลาที่คนที่ตามขึ้นมาเขาจะแสดงออกอะไรจึงเกิดความเคอะเขิน แล้วก็กลัว ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่านี่คือข้อด้อย เราจึงจำเป็นที่จะต้องกลับไปเปลี่ยน เปลี่ยนตอนนี้ก็ยังไม่สาย เปิดโอกาสให้คนทำงานให้มากแล้วเราก็จะได้รู้ว่าทุกคนของเรามีความสามารถเก่งกว่าคนที่นี่ แต่คนที่นี่น่ารักเป็นคนที่มีคุณธรรมความอ่อนน้อมสูง ทุกคนบำเพ็ญได้ดี ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ใจ ไม่ต้องท้อใจ ทุกคนทำได้ดีมาก ขอให้รักษาความดีนี้ไว้ให้เสมอต้นเสมอปลาย ยังอ่อนน้อมถ่อมตนต่อกันและยังเห็นว่าผู้อื่นเก่งกว่าตนเสมอ อย่างนี้จะมีโอกาสมากมายที่ให้ศิษย์นั้นได้แสดงออก
วันนี้อาจารย์มานานแล้วนะ ศิษย์ของอาจารย์ก็อดน้ำ อดเข้าห้องน้ำมาเป็นเวลานานแล้วเหมือนกัน แต่ทุกคนยังอดทนได้ ก็เพื่อชีวิตของศิษย์นะ อาจารย์มาพูดตั้งมากมาย แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์เองไม่มั่นใจในตัวเอง หรือเรื่องที่มั่นใจก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมั่นใจเลย อย่างนี้ใครก็ช่วยศิษย์ไม่ได้ สุดท้ายแม้อาจารย์จะมาเพื่อโปรดสามโลก ฉุดช่วยศิษย์ทั้งหลาย แต่ยังจำเป็นต้องอาศัยตัวศิษย์ทั้งหลายเป็นผู้ที่ช่วยเหลือตัวเอง ภาระของศิษย์ในเบื้องหน้าก็มีเพียงการช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากทุกข์ และขึ้นฝั่งธรรม  สองวันนี้คงให้ศิษย์สรุปไม่ได้ว่าศิษย์จะศรัทธาดีไหม เชื่อ ปฏิบัติดีไหม  แต่อาจารย์ขอโอกาส โอกาสอันนี้ไม่ใช่เปิดไว้ให้กับใคร โอกาสนี้เปิดไว้ให้กับตัวเอง  ใครก็แล้วแต่ที่มีทุกข์ ผู้นั้นสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องบำเพ็ญธรรม  ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง โรคภัยไม่ใช่ของน่ากลัว ตัวเองต่างหากที่น่ากลัว
อาจารย์อาจเป็นคนแปลกหน้าสำหรับศิษย์ แต่อาจารย์มีความสนิทชิดเชื้อกับศิษย์มากกว่าที่ศิษย์นึกถึง อาจารย์สามารถเป็นเหมือนพ่อ เป็นเหมือนแม่ของศิษย์ เป็นญาติพี่น้องมิตรสหายที่ให้ศิษย์นั้นระบายความทุกข์ได้ทุกเมื่อ เพียงแต่อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่า แล้วศิษย์นั้นจะมีความทุกข์ถึงเมื่อไร อาจารย์ไม่ได้เบื่อที่จะฟังคำภาวนาทั้งหลายของศิษย์ แต่บางทีอาจารย์ก็ทนไม่ได้ที่เห็นศิษย์เหมือนคนที่ทำร้ายตัวเอง ให้ร้ายตัวเอง ทำไมไม่ตื่นขึ้นจากความฝันอันลวงตา
ทำไมไม่คิดได้ปลงตก ทำไมไม่รู้แต่เนิ่นๆ  และทำไมปล่อยตัวเองเป็นอย่างนี้ ทุกเรื่องที่เกิดในชีวิตมีสาเหตุทั้งสิ้น และสาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากตัวศิษย์เอง อาจารย์อยากคุ้มครองศิษย์ แต่ศิษย์ต้องช่วยคุ้มครองตัวเองด้วย เพราะว่าชีวิตของมนุษย์นั้นซับซ้อนมากเกินไป คิดมากเกินไป บางทีก็คิดน้อยเกินไป เจ้าเล่ห์แสนกล แสนงอน มีอารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป มากเกินไปจริงๆ  ห่วงตัวเองเหมือนที่อาจารย์ห่วงศิษย์นะ เข้าใจตัวเองเหมือนที่อาจารย์นั้นก็เข้าใจศิษย์  ศิษย์ทุกคนเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ จงใช้ธรรมะมาบำเพ็ญในชีวิตตน อย่าได้มีลมหายใจเข้าหรือออกยามใดที่ปราศจากธรรมะ  ธรรมะมากมายค่อยๆ ปฏิบัติ แต่ต้องเริ่ม ต้องเรียน อย่าให้ความทุกข์ประเภทใดประเภทหนึ่งชนิดใดชนิดหนึ่ง มาบั่นทอนตนเอง เสมอต้นเสมอปลาย ทำตัวให้ดีๆ แม้ว่าดูแล้วเหมือนกับทำดีไม่ได้ดี ดูแล้วเหมือนเราถูกรังแกตลอดเวลา แต่ใครรังแกเราไม่สู้ตัวเรารังแกตัวเองใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ให้โอกาสตัวเองนะ วันนี้ไม่เชื่ออาจารย์ ไม่รักอาจารย์ ไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด ก็ไม่เป็นไร  แต่ว่าการฟังธรรมะ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนคงฟังได้  ค่อยๆ ฟื้นฟูและเปิดปัญญาของตัวเอง อย่าบำเพ็ญไปบำเพ็ญมาจนเป็นคนเก็บกด
อาจารย์ชอบเวลาที่มีศิษย์ห้อมล้อม แต่ก็เศร้าใจเวลาที่ต้องจากกันแบบนี้ ลาก่อนนะ รักษาตัวให้ดีๆ รักษาจิตใจให้มั่นคง 

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สร้างกุศลสร้างคุณธรรม”
เหนื่อยถอนใจทำไมไม่หยุดพัก  ฝืนต่อไปทำไมให้ระอา  แอบหวังจนมากมายถึงต้องล้า  สันโดษมาชวนคนไปพักใจ
โลกประยุกต์ล้ำหน้าแต่เข็ญใจ  นิ่งแกมวุ่นวายหนึ่งคนสองตน  ไร้ศรัทธาในตนคนหมองหมาง  หลายสิ่งร้างราตามทางของตน  สมัครใจปลงเองย่อมมีผล  เคารพตนเผยหน้าผ่าหัวใจ
ใจคนมีแท้มีเทียมแปรปรวนร้อยหน้า  เมื่อไหร่ที่ไหนหมุนไปมาตามกังวล  คนแพ้ชีวิตมีเงาของความร้อนรีบรน  เพื่อสุขแล้วคนต้องเหนื่อยถึงวันใด



แก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม อิ๋งเซียน เมื่อวันที่ ๒๓-๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐
แก้โดย พระอาจารย์จี้กง ในงานประชุมธรรม ณ สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐

พระโอวาทท่านหันเซียงจื่อ
หน้าที่ ๓  บรรทัดที่ ๕ จากล่าง
จากเดิม    วิถีทางจึงมายมากไหนปฏิปทา
แก้เป็น    วิถีทางถึงมายมากไหนปฏิปทา

หน้าที่ ๔  บรรทัดที่ ๓
จากเดิม    งำประกายมีอ่อนน้อมน่าสรรเสริญ
แก้เป็น    ประกายงำมีอ่อนน้อมน่าสรรเสริญ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
หน้าที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๑
จากเดิม    ผิดหวังสมหวังล้วนจากต้นน้ำจิตใจ
แก้เป็น    ผิดหวังสมหวังล้วนจากต้นน้ำหัวใจ

หน้าที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๕
จากเดิม    มากมายจึงต้องล้า
แก้เป็น    มากมายถึงต้องล้า

หน้าที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๙
จากเดิม    เมื่อไหร่ที่ไหนหมุนไปตาม
แก้เป็น    เมื่อไหร่ที่ไหนหมุนไปมาตาม

หน้าที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๑๔
จากเดิม    ผิดหวังสมหวังล้วนจากต้นน้ำจิตใจ
แก้เป็น    ผิดหวังสมหวังล้วนจากต้นน้ำหัวใจ

หน้าที่ ๒๕
ชื่อเพลง    เหนื่อยนักพักหน่อย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
แก้ตามที่แก้ไว้ด้านบนทั้งหมด ทั้งในส่วนของกลอนที่แยก และกลอนที่ครอบออกมาแล้ว



แก้เพิ่มเติม
หน้าที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๑๐
จากเดิม    ความกังวล
แก้เป็น    กังวล



ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา