วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2543

2543-01-08 พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น


PDF 2543-01-08-ฮุ่ยอวี้ #27.pdf


วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์พุทธะสำเร็จไปจากกายคน ประธานบนวิหารไม่ขมวดคิ้ว
คุมชีวิตสร้างค่าก่อนเคว้งปลิดปลิว สอบแถวทิวมีคนผ่านกันกี่คน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
คนหลงของยังพอที่จะตื่นใจ คนหลงคนงมงายยากตื่นฟื้น
คนมีทุกข์ทั้งยามหลับแลยามตื่น ขอได้คืนจิตแท้ด้วยรู้บำเพ็ญ
ถนอมบุญพลังธรรมในกายตน อย่าสับสนสิ่งลวงตาพาไขว้เขว
ในบัดนี้เปรียบลอยคอกลางทะเล จงทุ่มเทพิจารณาด้วยปัญญา
ในบัดนี้กาลคับขันส่งธรรมช่วย คนจิตป่วยต้องรู้ตนป่วยจึงหาย
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย หมั่นละลายหนี้บาปอย่ากลัวลำเค็ญ
เมื่อได้รู้ธรรมแท้นำปฏิบัติ แลกำจัดกิเลสตนให้สิ้นซาก
อย่าได้กลัวสู้ความยากลำบาก กิเลสหากขาดได้จิตเบาลอย
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ความสุขุมในใจต้องมีกำเนิด
อย่าได้มัวฟุ้งซ่านจิตเตลิด คนประเสริฐที่สุดจำให้ดี

ขอได้ใช้เวลาสองวันนี้ เปลี่ยนแปลงตนเป็นคนดีดั่งใจหมาย
ขอให้อย่าหมดแรงกลางวุ่นวาย รักสุขในเฉพาะหน้าต้องโศกนาน
ขอปราดเปรียวดังสายน้ำที่หลั่งริน ตระหง่านสูงยอดเขาเมฆินทร์มั่นคงแท้
คือปัญญาเมตตาในดวงแด ฝึกกายใจหมั่นเหลียวแลเวไนยชน
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นดูน้องว่านิ่งพอไหม
ทั้งบนล่างขอให้ประสานใจ ยิ่งนานไปบำเพ็ญจะยิ่งสุขจริง
เคารพกันและกันรักษาระเบียบ อย่าเปรียบเทียบใครเก่งกว่าหามีไม่
ความเที่ยงแท้ตรวจสอบจากทุกดวงใจ ไม่เข้าใครออกใครพี่ตรวจคุม
จงรู้ว่าจิตศรัทธาสุดสำคัญ คนขยันชนะตนยากต้องพ่าย
เหนือสิ่งใดบำเพ็ญธรรมต้องรู้ละอาย ปิดใครได้แต่มิอาจจะปิดตน
สองวันนี้คนอยู่ใกล้มาให้ครบ แผ่นดินกลบเมื่อไหร่คืนชั้นฟ้า
ในบัดนี้ต้องแข่งกับเวลา บางคนหนาอายุก็ใช่น้อยเอย
อย่าสงสัยในจิตใจให้มากความ แลพี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

การมองคนให้มองซึ่งตนก่อน การเร่งร้อนอย่าเร่งแต่กำลังขา
คนละไม้คนละมือสำเร็จพา ประกาศธรรมแทนฟ้าต้องรู้จริง
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง   () รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม
คุณธรรมเป็นหลักปฏิบัติชนวิญญู นำหน้าด้วยกตัญญูทุกรุ่นสมัย
ครองจริยาอย่านิยามผู้ใดไป บำเพ็ญใจมองกลับต้องทุกวัน
ไม่มองข้ามแลเพิ่มการพิจารณา บันไดฟ้าอาจถูกกวดแม้ฝัน
ใช้ปัญญาทำการขั้นตอนสำคัญ สำนึกมั่นเยี่ยงเป็นต้นเหตุเสมอ
ตามรอยอย่างปราชญ์เมธีบำเพ็ญจริง เมื่อประวิงแสนสำคัญย่อมไม่เผลอ
มั่นปณิธานยามฟันฝ่าอย่าละเมอ ทุ่มเทเจอปลายคุ้มค่าต้นตั้งใจ
เกียจคร้านเป็นจุดเริ่มการถอยหลัง ถอนรากฝังพยายามทำให้ได้
หมั่นขัดเกลาละฤดีสิ่งชั่วร้าย อานุภาพแห่งสำรวมให้ร้ายไม่พาน
ชีวิตหนึ่งเกิดเป็นคนต้องเข้าใจ อย่าทำลายจนตนต้องน่าสงสาร
ตามสบายกล่าวกระทำย่อมเสียการ ฟื้นฟูญาณเพียบงามรักษาค่าตน
โปรดคนบุญพร้อมกันหนึ่งเวลา องค์มารดาเต็มจิตเมตตาเปี่ยมล้น
ส่งสายทองบำเพ็ญนาช่วยตน สามัคคีดลมานำอุปสรรคมลายไป

เมื่อศึกษาธรรมะเจริญความรุดหน้า กายวาจาจิตใจปฏิบัติเพียรแก้ไข
ในสองวันอบรมธรรมเบาสงสัย ตรองแต่เพียงทำไฉนพ้นถาวร
ความผิดชี้รับผิวเผินพร่องละอาย เจตนาให้บังเอิญเรื่องใช่แรงอ่อน
หนีจนตราบชีพมลายตามหลอน จงคิดก่อนดำเนินอย่าทำลืม
ฮิ  ฮิ  หยุด





พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

มนุษย์ในโลกนี้ใช้อะไรควบคุม (ใจ)  สิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ก็อาจจะควบคุมไม่ได้ สิ่งที่อาจจะควบคุมไม่ได้ก็อาจจะควบคุมได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เฉพาะข้างนอกยังไม่แน่นอนตัวเราเองก็ยังไม่แน่นอน จริงหรือไม่ แต่ว่าในความไม่แน่นอนก็ยังมีความแน่นอน เราอยู่บนโลกนี้เรายังงงๆ งวยๆ  บางครั้งเราว่าจริงบางครั้งเราว่าเท็จ แต่ไม่แน่สิ่งที่จริงกลับเท็จก็อาจจะเป็นเท็จและจริงก็ได้ ตอนนี้ท่านเห็นเราท่านก็อาจจะงงๆ งวยๆ ว่าจริงหรือเท็จ แต่จะไปหาอะไรกับโลกใบนี้ บางทีวิ่งวนเพื่อจะหาความจริงกับเท็จ วิ่งวนไปหาความถูกความผิด แต่พอวิ่งไปจนถึงที่สุดแล้วเรากลับลืมไปว่าอะไรถูกอะไรผิดจริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่านิทานให้นักเรียนในชั้นฟัง) เมื่อเราเป็นเด็กเราอยากฟังนิทาน แม้บางทีโตแล้วเราก็ยังอยากฟังนิทาน เพราะนิทานก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เอาไว้สอนใจเราใช่หรือไม่  มีชายคนหนึ่งภรรยาเขาให้กำเนิดบุตรขึ้นมา บุตรคนนี้เมื่อโตขึ้นก็มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากคนทั่วไป  สิ่งที่เขาบอกว่าหอม ลูกเขาก็บอกว่าเหม็น สิ่งที่บอกว่าสวย ลูกเขาก็บอกว่าขี้เหร่ สิ่งที่บอกว่าถูก ลูกเขาก็บอกว่าผิด  สามีภรรยาคู่นี้กลุ้มใจมาก ว่าทำไมลูกเป็นอย่างนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยไปหานักปราชญ์ แต่ปราชญ์กลับพูดว่าไม่แน่ที่บอกว่าหอม บอกว่าสวย บอกว่าดี จริงๆ แล้วอาจจะไม่หอม ไม่สวย ไม่ดีก็ได้  ที่เราบอกว่าลูกเราเลอะๆ เลือนๆ ไม่เหมือนคนอื่นนั้นก็ไม่แน่เสมอไป  ตัวเราก็อาจจะเลอะๆ เลือนๆ ก็เป็นได้  นั่นเป็นเพราะสังคมกำหนดมาเช่นนี้ใช่ไหม สังคมกำหนดมาว่าอย่างนี้ต้องสวย อย่างนี้เรียกว่าถูก เราก็เป็นไปตามสังคม  แต่ถ้าวันหนึ่งสังคมเกิดเปลี่ยนสิ่งที่บอกว่าสวยกลับไม่สวย สิ่งที่บอกว่าถูกกลับไม่ถูก เราก็วิ่งตามสังคมไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจุดที่ถูกที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุดแท้จริง อยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่  บางครั้งก็อาจจะอยู่ที่ตัวคนอื่นได้เหมือนกัน  จึงบอกว่ามนุษย์เราอยู่ในโลกนี้ บางครั้งก็น่างงงวยเรื่องภัยในโลกนี้เหมือนกัน  ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องจะมาอย่างไรก็ยิ้มเข้าไว้ เรารับเรื่องทุกอย่างได้อย่างสบายใจ เวลาที่ใจเราเปิดกว้างเราก็พร้อมที่จะรับเรื่องที่จะประเดประดังเข้ามาได้ เราก็พร้อมที่จะรับมือและต่อสู้ได้  ฉะนั้นไม่ว่าจะมองใครหรือจะมองโลก บางครั้งเราต้องหันมามองตัวเราก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
 “การเร่งร้อนอย่าเร่งแต่กำลังขา”
ทำไมเราจึงบอกว่าจะทำสิ่งใดไม่ว่าจะคิดหรือจะพูด บางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดได้ จะสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้เริ่มต้น  เราไปเร่งให้เขาทำแต่ถ้าใจเราไม่เอาเขาก็ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียกร้องให้ผู้อื่นทำให้สำเร็จ แต่ตัวเองไม่ร่วมมือด้วยเขาจะทำตามเราไหม เขาก็ไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องในโลกก็เป็นเช่นนี้  อย่าไปเรียกร้องคนอื่นเลย เรียกร้องตัวเองนั่นแหละดีที่สุด  แล้วก็ง่ายที่สุด เชื่อฟังที่สุดจริงหรือไม่ (จริง) คนอื่นเชื่อฟังไหม บางทีเราเป็นพ่อเป็นแม่เขาเรียกเท่าไรเขาก็ไม่เชื่อฟังใช่หรือไม่  ฉะนั้นเรียกร้องตัวเราเองก่อน ถ้าเราทำได้ดีไม่มีหรอกที่จะไม่มีใครเดินตามใช่ไหม  ถ้าเราทำไม่ดีจะมีใครที่อยากจะเดินตาม
วันนี้มาฟังธรรมะ จะรู้ว่าธรรมะนี้เชื่อถือได้หรือไม่ได้ต้องอยู่ที่ว่าเราใช้พิจารณาเปิดฟังดูก่อน หากเราฟังไม่เต็มที่ฟังไม่เข้าใจ เราออกไปพูดเท่ากับว่าเราเป็นผู้ปิดกั้นธรรมะนี้ไม่ให้ผู้อื่นได้รู้เรื่องใช่หรือไม่ เพราะทุกคนมีหมู่ชน มีกลุ่มชนของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนนั้นก็เป็นเหมือนตัวแทนแห่งธรรมนี้ออกไปบอกกลุ่มชนของเรา  ถ้าเราฟังให้เข้าใจการที่จะอธิบายธรรมะนี้ก็ย่อมอธิบายได้ชัดเจนและแจ่มแจ้ง แต่ถ้าเราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ เราออกไปพูดกับกลุ่มชนของเรา เราตอบไม่ได้ ธรรมะนี้ก็กลายเป็นธรรมะที่ไม่รู้เรื่อง  ฉะนั้นตอนนี้ท่านก็มีหน้าที่แล้ว หน้าที่ตรงนี้ก็คือ นั่งฟังธรรมะนี้ให้เข้าใจ  เพราะเมื่อใดที่คนถามท่าน ตอนนั้นแหละท่านก็คือตัวแทนของธรรมะนี้แล้ว ถ้าท่านทำได้ดี ธรรมะนี้ก็ดี แต่ถ้าท่านทำไม่ดีธรรมะนี้ก็ไม่ดี  เฉกเช่นเดียวกันเหมือนเรามีชื่อของเราอยู่ ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อแต่เรายังมีนามสกุลและวงศ์ศาคณาญาติ  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะคิดหรือพูดตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราจึงต้องไม่ลืมว่าเราอยู่ในสังคมนั้นเราเป็นตัวแทนของใครบ้าง เป็นตัวแทนของโรงเรียน ครอบครัว และสังคมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนทุกคนเป็นหน่วยที่สำคัญหน่วยหนึ่ง ทอดทิ้ง ปล่อยปละละเลยไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งใช่หรือไม่
ชื่อเราแปลว่าอะไร  “ต้า ()”  แปลว่าใหญ่ “เซี่ยว ()”  แปลว่าอะไร (ยิ้ม)  “ฝอถง ()” แปลว่าเด็กผู้ชาย  เราเป็นตัวแทนความสุข มามอบความสุขให้แก่ท่าน  ปีใหม่ก็ผ่านไปแล้ว ใครรู้สึกมีความสุขกับปีใหม่ที่ผ่านมาบ้าง หรือว่าสุขวันปีใหม่วันเดียว แล้วหลังจากนั้นก็หวานอมขมกลืน
บนแดนฟ้านั้นมีพุทธะหลายวัย มีตั้งแต่วัยอาวุโส  วัยกลาง วัยเด็ก และเด็กเล็กๆ แปลว่า คนทุกวัยสามารถบำเพ็ญธรรมแล้วสำเร็จกลับคืนเบื้องฟ้าได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการบำเพ็ญอย่างเป็นธรรมชาติ  ดูง่ายๆ อย่างเช่น น้ำฝน  การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับฝนเมื่อตกลงมาจากฟ้า ก็ยังมีวันกลั่นตัวระเหยกลับคืนไปเบื้องฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราก็เหมือนกันหากเราไม่รู้ว่าเรามาจากไหน แต่ถ้าเกิดเราบอกท่านว่า ท่านมาจากเบื้องฟ้าสู่แดนโลก ถ้าจะกลับไปก็ต้องกลั่นกรองตัวเอง เพื่อที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกับฝนนั่นแหละ  แต่หลายคนมักจะคิดว่า ตนเองเป็นน้ำที่สกปรกแล้วยากที่จะกลับคืนใสเช่นเดิม  นี่คือปัญหาแรก  อย่างที่สองนั่นก็คือ รู้ว่าตนเองสกปรกและสามารถใสได้แต่ก็กลัวการกลั่นกรอง กับอีกประเภทหนึ่ง รู้ว่าตนเองขุ่นและสามารถใสได้และกล้าที่จะโดนกลั่นกรอง แต่พอโดนกลั่นกรองจริงๆ ก็ยอมแพ้  บุคคลสามประเภทจึงยากจะกลับคืนสู่ความใสได้  ทำอย่างไรก็ยากบำเพ็ญสำเร็จมรรคผลจริงหรือไม่
แล้วท่านเป็นประเภทไหน ตอนนี้ท่านยังเป็นประเภทไม่อยู่ในสภาวะใดที่เราพูด เพราะยังไม่รู้ว่า ตนเองสามารถบำเพ็ญและบรรลุได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งแต่มีชีวิตมา ถามท่านในที่นี้ มีใครบ้างที่คิดว่าตนเองสามารถเป็นพุทธะได้  น้อยคนนักที่จะคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกคนเวลาลืมตาขึ้นมาสิ่งที่เราคิดก็คือ เรื่องของปากท้อง  สิ่งต่อไปที่คิดก็คือ ตัวเอง เราคิดแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น  แต่ถ้าจะคิดเข้าไปข้างในก็คิดเพียงแค่นิดเดียว  ไม่เคยผ่าเข้าไปให้ถึงในสุดของตัวตนเองที่แท้จริง จริงหรือไม่ (จริง)  ตอนนี้เรามาบอกท่าน ท่านต้องรู้แล้ว ตัวท่านเองบำเพ็ญตนกลับคืนเบื้องฟ้าได้  แต่จะเป็นคนสามประเภทนี้ หรือไม่ก็แล้วแต่ แต่จะต้องเป็นคนที่รู้ว่า ตนเองมีขุ่น มีใส และสามารถกลับเป็นใสได้โดยผ่านการกลั่นกรอง เพื่อที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ดีหรือไม่ (ดี)  ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้แม้แต่ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  การชนะคนอื่นเรียกว่า ผู้เก่งกล้าและฉลาด แต่ถ้าเราชนะตนเองได้เรียกว่า “ผู้รู้แจ้ง”  แล้วท่านรู้แจ้งได้หรือเปล่า (ได้)  รู้ได้แต่ไม่ยอมแจ้งสักที หรือไม่ก็แจ้งแล้วแต่ไม่รู้สักที  บางครั้งคนเราแจ้งแล้วว่า ชีวิตเป็นทุกข์เราต้องฝ่าทุกข์ให้ได้ เพื่อกลับคืนนิพพาน  แจ้งแล้วแต่พอให้รู้ตื่นจริงๆ  รู้ฉับพลันจริงๆ แล้วก็กลับเป็นรู้ยากไปอีก  แปลว่าในโลกนี้เราสามารถบำเพ็ญธรรมได้ แล้วกลับคืนเบื้องฟ้าก็ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ก็ต้องรู้ก่อนว่า ตัวเรานั้นเป็นคนที่มีคุณธรรมหรือเปล่า  คนที่จะเป็นอย่างเช่นฟ้าได้ คนที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ก็คือ จะต้องเบา ใส บริสุทธิ์ และปราศจากอบายมุข
จริงๆ แล้วทุกคนรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าดี  ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าไม่ดี  ทำอย่างไรทำให้ตนเองเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยุติธรรม  และทำอย่างไรให้เป็นคนคดเคี้ยวเต็มไปด้วยราคีและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เรารู้ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่เสียอย่างเดียวท่านรู้แล้วไม่ยอมทำ  ชอบเป็นคนสองใจ รักดีก็เอารักชั่วก็เอา เอาหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากจะทำสิ่งใดก็ต้องมีความเด็ดขาดและมั่นคงด้วย  คุณธรรมอย่างแรกที่เราจะมาศึกษา นั่นก็คือ “คุณธรรมแห่งความเป็นคน”  เพราะเราเป็นคน
  ลองอ่านกลอนที่เราให้ เข้าใจไหม  อ่านไม่ได้เพราะตาไม่ดีหรือ  ฟังนะ อย่าบอกว่าฟังไม่ได้ หูไม่ดีอีก ท่านนี้ท่าจะมีปัญหา ตาก็ไม่ดี หูก็ไม่ดี มือก็ไม่ดีด้วยอีกหรือเปล่า  แต่รู้ว่าตนเองไม่ดีก็ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมถึงบอกว่ารู้ว่าตนเองไม่ดีแล้วถึงดีรู้ไหม  เพราะเวลาเรารู้ว่าตนเองมีตรงไหนที่ไม่ดี ก็แปลว่าเราก็พร้อมที่จะแก้ไขและทำให้ดีขึ้น ใช่หรือไม่  แต่หลายคนรู้ว่าไม่ดี แต่ก็ประคองไว้  ก็ฉันไม่ดีอย่างนี้ ก็ประคองไว้ อย่ามาว่านะ แทนจะทำลายทิ้งก็ไม่ทำ
“บำเพ็ญใจมองกลับต้องทุกวัน”
คุณธรรมแห่งความเป็นคนอย่างแรก ที่เราไม่ควรทอดทิ้ง นั่นก็คือความกตัญญู กตัญญูเป็นคุณธรรมแห่งฟ้า และเป็นคุณธรรมแห่งดิน เป็นหลักดำเนินชีวิตของคน คนเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างฟ้าและดิน  ฉะนั้นมนุษย์เราต้องรู้จักเอาคุณธรรมแห่งฟ้าและคุณประโยชน์แห่งดิน มาใช้ให้กลมกลืนสอดคล้องกับอุปนิสัยของตน  เมื่อทำได้เช่นนี้ เราก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรม แล้วเมื่อไรที่คนมีคุณธรรม รู้จักนำคุณธรรมแห่งฟ้าคุณประโยชน์แห่งดินมาหล่อหลอมกับอุปนิสัยของตนเอง ก็จะเป็นคนที่อยู่กลมกลืนได้ทั้งฟ้าและดิน  เมื่อเขามีชีวิตกลมกลืนกับฟ้าและดิน เขาก็เหมือนส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีแต่ให้ มอบแต่ความสุข มอบแต่รอยยิ้ม มอบแต่สิ่งที่คนปรารถนา โลกก็สันติสุข ตัวเราก็จะร่มเย็นและเป็นสุข ไม่หวาดกลัวหวาดผวา แล้วเราจะทำได้อย่างไร ตรงนี้แหละเป็นเรื่องยาก
บ่อยครั้งที่มนุษย์เรารู้จักที่จะมีคุณธรรม รู้จักที่จะมีความกตัญญู แต่การจะมีคุณธรรมแล้วกตัญญูได้นั้น เราต้องไม่ลืมว่าคุณธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งคุณธรรมทั้งปวงนั้นก็คือกตัญญูต่อบิดามารดา และการกตัญญูต่อบิดามารดาที่ดีที่สุด และประเสริฐที่สุดนั้นก็คือ เคารพท่านเยี่ยงฟ้าและดินหรือเยี่ยงพระโพธิสัตว์หรือพุทธะ  แต่การกตัญญู ใช่บอกว่าคุณพ่อสวัสดี คุณแม่สวัสดี เคารพอย่างนี้ไม่ถูก ใช่หรือไม่  การเคารพเยี่ยงฟ้าและดินก็คือมีความอ่อนน้อม มีความรัก มีความเป็นห่วง รักใคร่ท่าน  เมื่อไรที่เรารู้จักกตัญญูกับพ่อแม่ นั่นก็แปลว่าเราไม่ได้มีใจที่เห็นแก่ตนแล้ว เรายังมีใจที่รู้จักเห็นใจผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อแม่ของเรา ใช่ไหม  เมื่อเราเคารพพ่อแม่ เพื่อนเห็นเขาย่อมรักเรา  แต่ถ้าเกิดว่าคุณธรรมแห่งความกตัญญูเราไม่สามารถทำได้ เพื่อนก็ยากจะจริงใจกับเราได้  ฉะนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ใช่มีแค่คุณธรรมอย่างเดียว แต่อย่าลืมความกตัญญูด้วย  เพราะคุณธรรมแห่งความกตัญญู เป็นข้อแรกของมนุษย์ที่ต้องรู้จักจำไว้  ความกตัญญูยังสอนให้มนุษย์เรารู้จักสำนึกคุณและตอบแทนคุณคนเป็นด้วย  หรือว่าชีวิตเรานี้ไม่ใช่เกิดมาเพราะตัวเราด้วยลำแข้งของเรา แต่ยังเกิดมาเพราะมีคนหนุนนำ มีคนนำหน้า และมีคนช่วยเหลือ  เมื่อเรารู้จักความกตัญญู เราก็จะเป็นผู้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และก็เป็นผู้ที่รู้จักรักผู้อื่นได้  เพราะว่าผู้อื่นเคยให้และเป็นผู้ที่สำนึกในบุญคุณคน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนเราต้องไม่ลืม  หนึ่งคือ กตัญญูรู้บุญคุณคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์เราเมื่อมีธรรมะแล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว บางครั้งก็มักจะอดไม่ได้ที่จะวัดคนเพียงภายนอก ดูคนเพียงหนึ่งครั้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บ่อยครั้งที่มนุษย์เรา มักจะมองผู้อื่น แล้ววัดเขาเพียงภายนอก หรือดูเขาแค่หนึ่งครั้ง ก็เพราะว่าเวลาเราอยู่ด้วยกัน บางครั้งเราเห็นเขาทำผิด เราตัดสินเขาตลอดชีวิต ได้ไหม (ไม่ได้)  อันนี้ท่านต้องคิดเอาเองแล้ว เราจะไม่ตอบว่าได้หรือไม่ได้  ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะดีมากมายเพียงใด ดีพร้อมเพียงใด ก็อย่าเอาการกระทำของเขาเพียงหนึ่งครั้งตัดสินเขาตลอดชีวิต อย่างนี้ก็โหดร้ายเกินไป  เหมือนหัวหน้าเมาหนึ่งครั้ง เราก็บอกหัวหน้าขี้เมาตลอดชีวิต ได้ไหม (ไม่ได้)  เท่ากับเราประณามเขาไม่ให้เขากลายเป็นคนที่ดีได้เลย ก็เท่ากับเรานั่นคือคนที่จะกดเขา ไม่ให้เขามีวันได้กลับคืนเบื้องบนและกลับเป็นคนดีได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ฉะนั้นแม้เราจะดีแล้ว คนอื่นจะผิดพลาดอย่างไร เราอย่าได้เอาการทำผิดหนึ่งครั้งมาตัดสินเขาชั่วชีวิต เราต้องเปิดใจกว้างนิดหนึ่ง เมื่อเปิดใจกว้างเมื่อไร เราจะบริสุทธิ์และยุติธรรมต่อโลก และต่อคนมากกว่านี้  ฉะนั้นหากเราคิดจะบำเพ็ญ เราคิดจะกลับคืนเบื้องฟ้าไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น เราจะต้องขัดเกลาจิตใจตลอดเวลา รู้หรือไม่ (รู้)  บำเพ็ญไม่ว่าหลับหรือตื่น ท่านก็จะถูกกวดขันอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม  การเป็นคนถูกกวดขันและถูกเข้มงวด บางครั้งเราก็รู้สึกว่าอึดอัด รู้สึกว่าไม่ได้ดั่งใจเลย อยากจะฝ่ากฏออกไปให้ได้ แต่ให้ท่านคิดดูว่าระหว่างคนที่รู้จักเข้มงวด กับคนไม่เคยเข้มงวดตัวเอง ท่านว่าคนไหนดี  คนที่เข้มงวดถึงจะเรียกว่าเป็นคนดีได้ คนที่ไม่เข้มงวดไม่น่าจะดีเท่าไหร่  เมื่อเราคิดจะบำเพ็ญ เราต้องเข้มงวด ก็เพราะว่าการที่จะบำเพ็ญได้ เริ่มต้นนั้นก็คือ ต้องเป็นคนดีให้ได้ก่อน และเป็นคนดีที่ยืนหยัดในความดี ไม่พ่ายแพ้แม้กระทั่งเรื่องความดี แล้วการจะเป็นคนดีนั้น เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร (ทำตัวเป็นกลาง)  การทำตัวเป็นกลางบางครั้งต้องทำตัวให้ถูก ไม่ใช่เป็นนกสองหัว บ่อยครั้งที่เราพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่โดนว่าเป็นนกสองหัว นั่นก็คือเราใช้ความเป็นกลางอย่างไม่ถูกต้อง  หากคนนี้เขาร้อนมา เราต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หากเขาเย็นอยู่เราต้องชี้แจงเหตุผลให้เขาเข้าใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การจะเป็นคนดีได้นั้นต้องทำอะไรอีก  บางครั้งเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บางครั้งความดีกับความไม่ดีเราก็แยกกันไม่ออก ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่เรียกว่าดี อะไรกันแน่ที่เรียกว่าไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรถึงจะแยกออก เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องหนึ่ง
สมมติว่ามีคนที่ไม่สามารถแยกออกว่าอะไรที่จะเรียกว่าการทำให้มีชีวิตที่ดี และอะไรที่จะทำให้มีชีวิตไม่ดี  เขาก็เอาชีวิตมาวางแล้วก็เขย่า (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำท่าเขย่าลูกเต๋า) ได้ ๓, ๕, ๖  ออกแต้มสูง ก็เลยปล่อยชีวิตแบบสะเปะสะปะ หรือไม่ก็บางครั้งไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยากที่จะรู้ว่าทำอย่างไรเรียกว่าดี ทำอย่างไรเรียกว่าไม่ดี ทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ตัวเองพ่ายแพ้  ก็เลยไปไหว้พระแล้วก็มาเสี่ยงทาย  แต่ปราชญ์หรือพุทธะไม่ทำเช่นนั้น เพราะการทำเช่นนั้นย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ดีและไม่ดีนั้นย่อมไม่สามารถกำหนดได้ เพราะถ้าออกมาไม่ดีแล้วจะไม่ดีตามนั้นหรือ ชีวิตเราต้องอยู่ที่เรากำหนดเอง  ถ้าเราเกลียดกลัวความไม่ดีเหมือนเกลียดสัตว์ประหลาด เกลียดความทุกข์แล้ว เราย่อมรักดีมากๆ ใช่หรือไม่  หากเมื่อไรเราเห็นว่าการทำความไม่ดีนั้นให้โทษ มีอันตราย ทำให้หลับแล้วไม่เป็นสุข เราย่อมรักความดี และจะไม่แตะความชั่วเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอถึงเวลาจริงๆ มนุษย์เรากลับไม่กลัวเรื่องความไม่ดีเลย เพราะเวลาทำความไม่ดีกลับทำอย่างกล้าหาญ แต่ความดีกลับทำอย่างอ่อนปวกเปียก เช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เกลียดกลัวความไม่ดีเหมือนเกลียดกลัวความทุกข์ และรักความดีเช่นเหมือนความสุข มนุษย์เราจะพยายามดำเนินชีวิตได้อย่างมีความดีตลอด ไม่ยอมให้พลาดไปทำความไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เป็นเพราะมนุษย์เราไม่ยอมกลัวความไม่ดี ไม่ยอมกลัวเรื่องความผิดพลาด จึงทำให้เราเผลอทำผิดอีกบ่อยๆ  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ให้คิดและพิจารณาว่าดีหรือไม่ดี หากไม่ดีก็ตัดทิ้งและไม่ทำ  อย่าได้ไปเป็นอย่างนี้อีกนะ (ท่านต้าเซี่ยวฝอถงทำท่าแจกไพ่)  เพราะการทำอย่างนี้เราไม่สามารถควบคุมตัวเราได้ ชีวิตของเรากลับไปแขวนไว้กับการเสี่ยงทายการเสี่ยงโชค ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะทำสิ่งใดขอให้เราคิดว่าชีวิตของเรามีหนึ่งชีวิต ไม่ได้มีเก้าชีวิต รอดมาได้หนึ่งครั้งต้องกลัวแล้ว  ไม่ใช่ว่ารอดมาได้หนึ่งครั้งแล้วคิดว่าไม่เป็นไรเอาใหม่ อย่างนี้ไม่ถูกต้องใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ผู้บำเพ็ญธรรมไม่ใช่มีสองใจนี้เท่านั้น แต่จะไม่มีใจที่หัวเราะ จะมีแต่ใจที่สงสารกับใจที่จะรีบไปช่วยเขา  เปลี่ยนจากใจว่าเขาและใจอิจฉาเขา เป็นใจที่เมื่อไรเราจะรีบไปดึงเขาดี เมื่อไรเราจะช่วยเขาได้ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละคือความสำคัญของการเรียกร้องให้คนรู้จักบำเพ็ญและควบคุมตน  เพราะบ่อยครั้งที่เราอาจจะเป็นเสือร้ายที่แอบอยู่ในตัวตนเองก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ความคิดของมนุษย์เรานั้นยากที่จะคาดเดา แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่จะเดาได้เหมือนกัน  ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่รู้จักระมัดระวังตัวเองให้ดี ท่านนั่นแหละอาจจะเป็นคนที่ก่อภัยให้แก่สังคม ก่อความวุ่นวายให้กับครอบครัวและตัวตนเองก็เป็นได้  การที่รู้จักบำเพ็ญตนจึงเป็นการที่รู้จักจับเสือมาอยู่ในกรง จับเสือมาเลี้ยงให้เชื่อง จับเสือให้กลายเป็นแมวน่ารักใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ว่าร่างกายเราจะอ่อนแอ แต่ใจเราเข้มแข็งได้ ใจเราสู้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะขยับเขยื้อนอะไรก็ตาม เราจะต้องไม่ลืมความสำรวมและระวัง เพราะว่าการที่เราเกิดเป็นคน บางครั้งเราต้องไปนำเขา บางครั้งเราต้องใช้อำนาจร่วมกับเขา  ฉะนั้นเมื่อเราต้องนำเขา เรามีอำนาจที่จะต้องนำพาเขา เราจึงต้องไม่ลืมคำว่า “สุขุม ระมัดระวังและสำรวม”  และบางครั้งเราอาจจะเป็นผู้ตามเขา  เมื่อไรที่เราต้องตามเขา เราต้องไม่ลืมคำว่า “ประมาทตนเอง”  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งที เวลาเราจะดำเนินชีวิตอย่าลืมว่าต้องสำรวม ระมัดระวังและไม่ประมาท  เราก็ยากที่จะผิดพลาด แล้วก็ยากที่จะเผอเรอได้  ไม่มีใครที่จะเป็นผู้นำไปตลอดชีวิต บางครั้งก็ต้องตามเขา บางครั้งก็ต้องนำเขา จึงไม่ควรลืมสิ่งที่เราบอกไว้ ดีหรือไม่ (ดี)  การสำรวม ระมัดระวังนั้น ก็ต้องไม่ลืมความอ่อนน้อมด้วย  เราจะนำเขาถ้าเกิดท่าทีที่เขาอยู่ร่วมกับเรา แข็งมาเรากลับแข็งตอบ ย่อมไม่สามารถนำพาเขาได้  อยู่กับเพื่อนเรา เขาแข็งมาเราก็แข็งตอบ เขาตามา เราก็ตาตอบ อย่างนี้มีแต่เจ็บทั้งคู่  ทางที่ดีนั้นก็คือ เขาแข็งมาเราอ่อนตอบ เขาแค้นเคืองมาเราให้อภัยและเมตตาตอบ อย่างนี้เขาก็จะเคารพเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเขาเคืองแค้นมา โกธามา เราแค้นตอบ โกธาตอบ อย่างนี้เขาก็ชี้หน้าเป็นศัตรูกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความน่ากลัวของคนนั้น ไม่ใช่มีแค่ตัวคนเท่านั้น แต่ยังมีตัวตนเองด้วยที่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกนี้เรากลัวสิ่งใดกันบ้าง บางคนกลัวภัยธรรมชาติ บางคนกลัวคน แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลัวตนเอง  เพราะว่าตัวตนเองนั่นแหละที่จะเป็นผู้ทำให้เกิดภัยหรือไม่มีภัย ทำให้มีเพื่อนหรือมีศัตรู ทำให้ลูกรักหรือเกลียด ทำให้สามีอยู่กับเราหรือแตกแยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเรานั้นจึงเป็นส่วนสำคัญ จะดีจะชั่ว จะเลวร้ายหรือว่าจะสมหวัง ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้ว จึงกล่าวไว้ว่า “ภัยของธรรมชาติ เรายังหลีกหนีได้ แต่ถ้าภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง ทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น”  ฉะนั้นจะทำสิ่งใดขอให้ไตร่ตรองสักนิดหนึ่งก่อน ชั่งดูว่าความดีความชั่วอันไหนมีมากกว่า  ถ้าชั่วมากกว่าก็ตัดทิ้ง ปลง ตัดใจ อย่าไปทำ ดีหรือไม่ (ดี)  แล้วเราก็จะไม่เป็นผู้ที่ทำร้ายตัวเองและกำหนดชีวิตตนเอง จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อไรที่เรามีใจเจียดเวลามาศึกษาธรรมะ  เมื่อนั้นคุณธรรมของตัวเราก็จะเจริญและก็ก้าวหน้า แต่จะเจริญก้าวหน้าได้ไม่ใช่แต่ศึกษาอย่างเดียว  ต้องพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติและฝึกปรือคุณธรรม ถึงจะเกิดความชำนาญได้ ถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม และมีความเชี่ยวชาญในคุณธรรมได้
อากาศร้อนใจเราต้องเย็น  ถ้าอากาศร้อนใจเราร้อนก็มีแต่พังกับพังใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่เราก็ต้องทำให้ใจเย็นๆ แล้วใจสบายดีหรือเปล่า (ดี)  ถึงเวลาเงียบก็ต้องเงียบอย่าคุยมากนัก  ถึงเวลาพูดให้พูดไม่ยอมพูด ถึงเวลาไม่ให้พูดท่านพูด อย่างนี้มักจะตายก่อนเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ต้องตายก่อนเพราะไม่รู้ความเหมาะควร  เราเกิดมาเป็นคนเราต้องแสวงหาอย่างไรถึงให้พอเหมาะพอควร ไม่ไปเบียดบังเขา ไม่ไปทำร้ายเขา  แสวงหาแล้วไม่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนจนเกินไป หากคนเรารู้ง่ายๆ ว่า เมื่อหิวก็กิน เมื่ออิ่มก็นอน ขาดก็หาเพิ่มเติม ก็คงง่ายกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราหิวแล้วต้องกินดีๆ ต้องร้านไกลๆ ต้องนั่งที่หรูๆ แต่งตัวสวยๆ  เวลาหามาเอาเงินเท่านี้ก็พอแล้ว  ต้องให้เหนื่อยกว่านี้ ต้องหาให้ได้มากกว่านี้ถึงเช้าจนเย็น  จึงต้องทุกข์เพราะไม่รู้จักคำว่า “พอเหมาะพอควร”  หรือพูดง่ายๆ ว่า มีความโลภ  โลภมากเกินก็เป็นทุกข์  เราต้องรู้ว่า จุดพอ จุดหยุดของเราอยู่ตรงไหนบ้าง  เมื่อเราเริ่มต้นย่อมมีวันสิ้นสุด เมื่อเราโกรธเป็นเราย่อมมีวันสิ้นสุดการโกรธเป็น ถึงจะสมบูรณ์ไม่ใช่มีด้านเดียวแต่อีกด้านหนึ่งไม่รู้จักแก้ไขอย่างนี้ไม่ถูกต้อง  ฟ้ายังมีมืดสว่าง ชีวิตคนย่อมเป็นธรรมดาในการจะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาจากความเป็นจริงของชีวิต ย่อมเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำอย่างไรให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่จึงเป็นไปได้
บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้เราก็เมาชีวิต และลืมรักชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรารักตัวเอง แต่ถามจริงๆ รักตัวเองใช่ทำให้ตัวเองทุกข์บ่อยๆ อย่างนี้หรือ รักตัวเองใช่ปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้หรือเปล่า ย่อมไม่ใช่  การรักตัวเองที่แท้จริงก็คือ  รู้จักนำพาตัวเองไปในที่ดี และนำพาตัวเองไปให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง  อันนี้ท่านรักตัวเองอย่างถูกต้องหรือเปล่า สิ่งที่ท่านทำอยู่เหมือนไม่รักตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับทำร้ายและบั่นทอนตนเองทุกวัน เอาแต่โหดเหี้ยม เอาแต่ทำร้ายตัวเอง อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย อย่างนี้คุ้มหรือ  มีหนึ่งชีวิตก็ไม่คุ้มใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนับจากวันนี้ไปเราต้องรู้จักสร้างในสิ่งที่ดีให้กับตนเอง  รู้จักรักตนเองในสิ่งที่ถูก ไม่ใช่รักแล้วทำร้ายคนอื่น เบียดบังคนอื่น แต่ต้องเป็นรักที่ทำให้คนอื่นอยู่ได้ด้วย  เดินแล้วคนอื่นเดินตามมาได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นถึงจะเป็นการรักตนเองและคำนึงถึงคนอื่น  เพราะเราอยู่ในโลกนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น  ฉะนั้นเราจะทำอะไรต้องไม่ลืมคำนึงถึงคนอื่นด้วยดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อเราทำและคำนึงถึงเขาแล้วมีหรือเขาจะไม่กลับมาคำนึงถึงเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วหากตัวเราเองทำได้ บำเพ็ญได้ดีงาม ถูกต้อง ใครจะเป็นอย่างไรไม่ต้องสนใจ ต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด เห็นคนอื่นผิดพลาดเราไม่ต้องไปว่าเขา  ไม่ต้องนำมาเก็บไว้ในตัวเรา ล้างทิ้งเสีย  แต่ถ้าเขาทำดีเราต้องเอาดีให้ได้อย่างเขา  เห็นเขาผิดพลาดไม่เป็นไร ให้อภัย เมตตาจิตเข้าไว้  เราถึงจะเป็นคนที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็เคารพ และอวยพรให้อายุยืนๆ  อยากให้คนอย่างนี้อยู่นานๆ ใช่หรือไม่  เราก็อยากให้ท่านอายุยืนๆ  แต่จะทำอย่างไรอายุยืนๆ ก็คือ ต้องรักตัวเอง อะไรที่ไม่ดีรีบตัดใจเสีย อย่าได้ปล่อยให้เกาะให้เกิดราก จนเป็นรากแก้วอย่างนั้นก็ดึงยาก ทำลายยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เรามักจะมีความดื้อรั้นและไม่ยอมแก้ไข  นั่นแหละคือ สารเหนียวที่เกาะไว้ที่ทำให้มนุษย์ยากที่จะดีได้  แล้วสารเหนียวนี้ก็รู้สึกมีกันทุกคน  เพราะเรามักจะติดว่าก็เราเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดีต้องเด็ดขาด ตัดให้ขาด และพยายามให้ความดีคงอยู่อย่างถาวร  เพราะว่าหนึ่งดีจะสามารถชนะร้อยร้ายได้ก็ต่อเมื่อดีนั้นมั่นคงดั่งขุนเขา  แต่บ่อยครั้งที่หนึ่งดีพอมีร้ายมานิดหนึ่ง ดีก็หายไปอย่างกับทะเลทราย  ฉะนั้นเราอย่าได้เผลอ อย่าคิดว่าเป็นผิดนิดเดียว ไม่ใช่ผิดนิดเดียวก็ทำลายร้อยดีได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่  อย่าลืมว่าโลกก็เป็นอย่างนี้ วกๆ วนๆ กลับไปกลับมายากจะเดาใจได้  แต่ตัวเรานั้นต้องพยายามควบคุมให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ภายนอกของโลกความสว่างกับความมืด  นั่นก็คือให้รู้จักให้มองโลกให้ออก โลกมีทุกข์มีสุข คนมีดีมีเสีย แต่เราต้องรู้จักเลือกความสว่างของภายนอกมาย้อนส่องภายในจิตใจของเรา  เมื่อไรที่เราเอาความสว่างภายนอกมาย้อนส่องภายในจิตใจ ใจเรานั้นก็จะเกิดความสว่างขึ้น  เมื่อใจเราสว่างก็นำความสว่างภายในใจมาย้อนกลับคืนส่องละลายความมืดให้สังคม และละลายความไม่ดีไม่สวยงามของคน นั่นก็คือใช้ความกระจ่างคลี่คลายความมืด ใช้ความถูกต้องดีงามละลายความชั่วร้ายในสังคมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช้อดีตเป็นตัวตัดสิน เป็นตัวมองอนาคต  หากเมื่อไรเราดำเนินชีวิตอย่างนี้เราจะเป็นผู้ที่สว่างในทุกข์ และสว่างในทุกๆ สิ่ง แม้ตอนนี้ยังไม่สว่าง เอาความสว่างภายนอกนั่นแหละย้อนส่องในใจ และเมื่อไรที่ใจเราสว่างก็พร้อมที่จะเอาไปส่องละลายความมืดให้คนอื่นดีไหม  เพราะถ้าเมื่อไรที่ตัวเราไม่กระจ่างเราก็จะดำเนินชีวิตยากที่จะเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเรายังมืดๆ มัวๆ เวลาดำเนินชีวิตก็ยากที่จะกำหนดแน่ชัดได้  ฉะนั้นนี่คือการเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน แล้วเราจะดูคนอย่างไร คนดูไม่ยากเลย เราจะดูเขาหรือเราจะร่วมงานกับเขาเราก็ต้องเลือกสักหน่อยใช่ไหม (ใช่)  เหมือนสถานที่ก็ต้องเลือกที่ดีๆ เมื่อเราพยายามทำตัวดีแล้วที่ก็ต้องดีด้วย  เพราะบ่อยครั้งไปอยู่ในที่เหม็นตัวเราก็อาจจะอาบกลิ่นเหม็นด้วย ไปอยู่กับสีแดงตัวเราก็จะกลายเป็นสีแดงได้  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเลือกคนและเลือกที่คนเป็นอย่างไร จะดูเขาได้อย่างไร เราดูเขาได้ที่ หนึ่ง คือเพื่อนรอบตัวเขาเป็นอย่างไรตัวเขาก็ย่อมมีส่วนใกล้เคียงอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเขาเอ่ยปาก เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ เขานึกถึงแต่ตัวเองหรือเปล่า หรือเขานึกถึงคนอื่นด้วย  เขาเคยนึกถึงคุณธรรมหรือไม่ หากเขาไม่นึกถึงนั่นก็แปลว่าเขาไม่ค่อยมีความชอบธรรมเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรามีปัญญาตัดสินได้ว่าสิ่งไหนควรไปสิ่งไหนไม่ควรไป สิ่งไหนควรชิดใกล้สิ่งไหนควรถอยห่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราดีรู้จักอยู่กับคนได้เป็นแล้ว รู้จักนำพาตนเองได้แล้วมีหรือที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราถึงทุกข์ๆ สุขๆ ก็เพราะว่าเราไม่เข้าใจคน ไม่เข้าใจตนเองและก็ไม่เข้าใจสิ่งแวดล้อมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ภายนอกมาสอนใจเรา ใช้เหตุการณ์ภายนอกมาย้อนส่องตัวเรา  บางครั้งคนเขาทะเลาะกัน เราเป็นอย่างไร (ยุเขา)  นั่นแสดงว่าภายนอกส่องให้เห็นแล้วว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร เห็นเขาทุกข์เรากลับสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นคนเขาร้องไห้แต่เราเดินไปปลอบใจเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่ามีจิตเมตตาสงสาร นั่นคือเอาภายนอกมาส่องภายในเรา เมื่อภายในเราสว่างเราก็พร้อมที่จะยื่นให้ภายนอกด้วย  เมื่อเราเริ่มมีเมตตาเราก็นำใจที่มีเมตตารักษาให้กับทุกๆ คน  หากทำได้เช่นนี้เราก็คือผู้บำเพ็ญตนที่ดีได้จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราก็จะยิ้มได้ และจะไม่ใช่ยิ้มเล็กๆ แต่จะเป็นยิ้มที่อิ่มเอิบและเป็นสุข
บ่อยครั้งที่เราอยู่บนโลกนี้นอนก็ผวา ตื่นก็ผวา ออกไปข้างนอกก็ผวา เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักโลก และก็ไม่รู้จักคนอื่น  แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราจะรู้จักตนได้อย่างไร รู้จักคนอื่นได้อย่างไร และรู้จักโลกได้อย่างไร  ก็ด้วยการมองให้ออก แยกให้ชัด ละตรวจสอบให้ได้  น้ำนิ่งๆ เท่านั้นถึงจะมองออก  ในที่สงบราบเรียบเท่านั้นถึงจะเห็นได้ชัด  สังคมวุ่นวายหมุนเป็นเกลียวคลื่นแต่ใจเราต้องสงบ เมื่อใจเราสงบเราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเราเที่ยงธรรมเราถึงจะตัดสินได้ถูกต้อง หัวใจสำคัญของการเป็นคนนั่นคือความเที่ยงธรรม หากมนุษย์ไม่เที่ยงธรรมแล้ว ตัวเราก็ยากเดา ตัวเขาก็ไม่รู้  โลกภายนอกเป็นอย่างไรก็ยากจะตัดสินได้ใช่หรือไม่
“เจตนาให้บังเอิญเรื่องใช่แรงอ่อน”
บางครั้งเวลาเราทำผิดไปแล้วเรามักจะพูดว่าเราไม่ได้เจตนา มันเป็นเหตุบังเอิญ  แต่บางครั้งการพูดแบบนี้เรียกว่าการแก้ตัวใช่หรือเปล่า เมื่อผิดก็ยอมรับผิด  เมื่อเรายอมรับผิดแล้วก็รีบแก้ไข คนอื่นจะได้ช่วยชี้แนะ  แต่ถ้าเมื่อไรเราผิดเรากลับปกป้องทุกด้าน คนจะชี้แนะให้เขาจะเห็นไหมว่าเรานั้นผิดตรงไหน (ไม่เห็น) เมื่อป่วยก็ยอมรับว่าป่วย เมื่อผิดก็ยอมรับว่าผิด อย่าไปคิดว่าเขามารุมว่าเราใช่หรือเปล่า
“หนีจนตราบชีพมลายตามหลอน”
ไม่อย่างนั้นถ้าผิดแล้วเราไม่ยอมรับผิด ความผิดนั่นแหละจะคอยหลอกหลอนเราทุกวันทุกคืนเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“จงคิดก่อนดำเนินอย่าทำลืม”
  เมื่อไรที่เราจะทำอะไรขอให้ตระหนักคิดพิจารณา ด้วยตาชั่งแห่งความเที่ยงธรรมในจิตใจ แล้วเราจะเป็นคนที่ไม่ดำเนินผิดพลาดเลย
หากเราพยายามทุ่มเทในการบำเพ็ญธรรม ตอนต้นตั้งใจตอนปลายท่านก็จะได้รับมรรคผลอันคุ้มค่าที่สุด  บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถบำเพ็ญได้ แต่ขอให้ลดการแสวงหาลงบ้าง รู้จักพอแล้วท่านก็จะพบสุข รู้จักสุขในคำว่าเท่านี้ก็พอ แล้วท่านนั้นก็จะมีเวลาให้กับการบำเพ็ญธรรม  หากทำได้เราก็จะเป็นผู้ที่เดินไปสู่หนทางเดียวกัน และกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่ใช่ร่างนี้  การกลับไปสู่เบื้องบนเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด และดีที่สุดของการมีชีวิตการเป็นคน แต่มนุษย์เรามักจะติดความสุขเล็กๆ น้อยๆ จนไปไม่ถึงความสุขอันยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนที่ทำงานหากหวังผลประโยชน์เพียงเล็กๆ น้อยๆ เขาจะไม่มีวันได้พบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เลย  หากท่านเป็นข้าราชการท่านกลับแอบรับสินบนเพียงเล็กๆ น้อยๆ ท่านจะไม่มีวันได้ตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ เฉกเช่นเดียวกันการบำเพ็ญธรรมจะสำเร็จถึงมรรคผลได้  ก็ต้องไม่หวังผลและเห็นแก่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ บนโลกนี้ แต่ท่านจะได้รับความสุขอันยิ่งใหญ่บนเบื้องฟ้าดีหรือไม่ (ดี)  ขออย่าได้หลงติดอยู่ในสุขอันจอมปลอมในโลกนี้ หลงแล้วก็รู้จักถอน พลาดแล้วก็รู้จักแก้ไข แล้วท่านนั่นแหละก็จะเป็นคนที่กลับคืนเบื้องบนได้อย่างเบาสบายและเป็นสุขอันนิรันดร์
 คงต้องจากกันด้วยรอยยิ้มแล้วนะ แม้จากกันก็ยินดีและเป็นสุขเพราะว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้วจำประโยคนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ว่าเราจะไปกับใครหรืออยู่กับใคร ขอให้อยู่กับเขาด้วยบุญสัมพันธ์ที่ดี  เมื่อเราจากกันเราจะได้ไม่ต้องเสียใจเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อเราจะไปกับเขา และต้องจากกันเขาก็จะไม่เสียใจเลย เพราะคุ้มค่าแล้วที่ได้อยู่ร่วมกับเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและรั้น อย่าเหนียวในกิเลสของตน เห็นอะไรเป็นสิ่งที่ดีรีบวิ่งไปทำ นั่นแหละกุศลถึงจะเต็มที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นำศรัทธาออกมาเป็นกุญแจ ความแน่วแน่เป็นทางลัดไปสู่ฟ้า
ประตูจิตเปิดออกยากแต่นานมา ศิษย์ศึกษาให้เข้าใจไปเปิดเอง
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนง่วงหรือไม่ สบายดีหรือเปล่า
อากาศร้อนลมโบกก็มีไอร้อน มาบั่นทอนสมาธิแห่งเมธีศิษย์
บำเพ็ญธรรมเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เหนือลิขิตด้วยใจที่เหนือโลกีย์
อาจารย์หวังสองวันนี้มีค่ายิ่ง คนฝึกจริงโลกและธรรมมอบหน้าที่
ชีวิตนี้เวลาสั้นรู้จักพลี เป็นคนดีต้องมอบดีแก่โลกา
ต้องรู้จริงจึงทำจริงนะศิษย์รัก ต้องห้ามหักเหล่ากิเลสจึงคืนฟ้า
ทั้งต่อหน้าและลับหลังเป็นหนึ่งนา ทุกเวลาอยู่ในสายตาฟ้าระวังตน
อย่าท้อเมื่อเดินครึ่งทางเพราะลำบาก ความมั่นคงเร่งอย่างมากอย่าสับสน
ศิษย์รักล้วนเป็นพุทธบุตรจากเบื้องบน แค่ฝ่าฝนเพื่อคืนแดนสู้ต่อไป
ช่วงเวลาที่จากศิษย์ใจอัดอั้น ไม่รู้ศิษย์จะรู้ทันมายาไหม
พบกันอีกอย่าเห็นข้าเป็นอื่นไป รู้เถิดใจอยู่กับศิษย์ทุกเวลา
ตั้งจุดหมายพ้นเวียนว่ายไกลสูงส่ง จะมัวหลงปัจจุบันทำไมหนา
สุขคือสุขทุกข์คือทุกข์เวียนหมุนนา ตัดไม่ขาดพันขาศิษย์จนหยุดเดิน
เป็นดั่งพี่เป็นดั่งน้องปรองดองกัน ไม่แข่งขันบำเพ็ญยิ่งไม่ผิวเผิน
อย่ามัวติดโลภโกรธหลงมัวเมาเกิน อย่ามัวติดลาภยศเงินล้วนนอกกาย
ร้อยพันคำพูดไม่ออกแม้คำหนึ่ง หวังเข้าถึงใจอาจารย์ศิษย์ทั้งหลาย
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย แลกลับไปอยู่เคียงข้างอาจารย์เอย
เฮ้อ  หยุด


มองหาชีวา  อันดีงามที่ใด  ถ้าไกลตนแล้วนั่น  คงไม่เจอตลอดกาล  ด้วยใจอันยืนยง  เหนื่อยเพียงใดไม่เคยพรั่นหวั่น  ด้วยใจเดียวกันย่อมนำชนไกลภัย
เคยเสียใจมา  เคยโรยแรง เคยเพลียใจ  ทำใจแล้วลุกจาก  วันเมื่อวานสู้ต่อไป  เปลี่ยนแปลงตนเอง  อย่ารอให้สายจนเกินแก้  อย่ามัวเอาแต่แล  ความพลาดเขาเรากลับจำ
* มองย้อนตนเอง  บำเพ็ญมานานหลายปี  ร่วมฟ้าร่วมปฐพี  ร่วมใจร่วมคุณธรรม  ศิษย์เอ๋ยบางที  ยอมได้เราควรต้องยอม  ฉับพลันเข้าถึงใน  สิ่งที่ตนรู้แต่ก่อนมา
ด้วยใจอันยืนยง  เหนื่อยเพียงใดมิเคยพรั่นหวั่น  ด้วยใจเดียวกัน  ย่อมนำชนไกลห่างภัย  (ซ้ำ *)
เพลง : ยอมได้ต้องยอม
ทำนองเพลง : บินหลา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีศรัทธาหรือเปล่า (มี)  มีน้อยหรือมีมาก (มีมาก)  ถ้ามีมากเราก็ต้องพูดเสียงดังๆ ว่าเรามี  ถ้ายังไม่มีเราก็ต้องเงียบไว้ก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  มานั่งฟังเป็นวันที่สองแล้วได้อะไรมากขึ้นหรือไม่ (ได้)  คิดว่าตัวเองได้อะไรมากขึ้น (ได้ความรู้ , ได้รู้จักความเป็นมนุษย์มากขึ้น)  เวลามาสถานธรรมเขาบอกว่าเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาถามอะไรให้ยืนตอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่ยืนเราจะได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้เราฟังธรรมะเป็นวันที่สองแม้ว่าจบสองวันนี้ไปเขาบอกว่าธรรมะนี้ดีอย่างไรต้องนำไปปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราจะได้อะไรหรือไม่ แม้ว่าสองวันนี้เสียเวลานั่งฟังอย่างลำบาก แต่ว่าเวลาปฏิบัติจะยิ่งลำบากมากกว่านี้ เรากลัวหรือไม่ความลำบากเหล่านี้ (ไม่กลัว)  ตอนนี้ในสังคมมีคนทำดีอยู่น้อย มีคนทำชั่วมาก  ถ้าเป็นคนดี แต่เราต้องลำบากยอมไหม (ยอม)  ถ้าหากว่าเราไปซื้อของแล้วเขาทอนเงินเกินมาเราจะคืนเขาหรือไม่ (คืน)  เราต้องคืนเพราะว่าเรานั้นมีมโนธรรมสำนึกใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราไม่คืนถามว่าใครรู้สึกผิด (ตัวเราเอง)
สองวันนี้มานั่งประชุมธรรม จิตใจของเราต้องเปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธา หากไม่ศรัทธาก็เปิดใจไม่ออกใช่หรือไม่ (ใช่)  ความศรัทธาเปรียบเหมือนกุญแจเปิดประตูบ้าน ให้บ้านหลังนี้สามารถเปิดประตูได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราศรัทธาไม่พอ ถามว่าเปิดประตูบ้านหลังนี้ออกไหม (ไม่ออก)  คนที่มีศรัทธาไม่พอก็เหมือนมีกุญแจ แต่มีกุญแจบ้านอื่น  มีกุญแจไขไปสู่ความสงสัย แต่ไม่มีกุญแจไขไปสู่ธรรมะอันล้ำค่าได้ แม้ว่าเรามานั่งฟังสองวันนี้ ถึงแม้อาจารย์จะเปิดประตูจิตแห่งพุทธะให้แล้ว แต่ประตูแห่งการศึกษา ประตูแห่งการเป็นพุทธะด่านต่อๆ ไป หลังจากนี้ต้องอาศัยศิษย์เป็นผู้ไปเปิด  หากว่าเราไม่ไปเปิดเราก็จะไม่เข้าใจ เพราะว่าเราไม่รู้จักศึกษา ปัญหาก็คือมีคนที่บำเพ็ญธรรมมานานหลายปี บำเพ็ญธรรมแต่ไม่ชอบขึ้นไปนั่งฟัง มาสถานธรรมทุกครั้งแต่ว่าไม่ขึ้นไปนั่งฟัง  เพราะว่าอะไร จะมีเหตุผล
อยู่มากมายที่เรานำมาใช้ แต่เหตุผลเดียวก็คือ ความขี้เกียจ เราไม่อยากขึ้นไปเพราะว่าเราขี้เกียจ แล้วเราขี้เกียจเป็นพุทธะไหม (ไม่)  ไม่ขี้เกียจเป็นพุทธะ มีธรรมะมาพูดให้ฟังอยู่ตรงหน้าแล้วเราอยากฟังไหม (อยาก)  อาจารย์ถือว่านี่เป็นการตอบแทนคนขี้เกียจขึ้นมาฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
คิดว่าหลังจากวันนี้เมื่อเรากลับไปบ้านใช้ชีวิตอย่างปกติคือ ตื่นเช้ามาก็ล้างหน้าแปรงฟัน ออกไปทำงาน กลับมาบ้านก็นั่งดูทีวี คุยกัน เข้านอน และมีปัญหามากมายปนเปอยู่ในนั้น ถึงตอนนั้นเรายังมีใจที่อยากจะบำเพ็ญธรรมอยู่ไหม (มี)  และหากมีอยู่ช่วงหนึ่งเราพบกับวิกฤต เหมือนกับเราเจอไอเอ็มเอฟอย่างนี้ วุ่นวายมากขึ้นทุกวันแล้วเราอยากบำเพ็ญธรรมไหม ในกระเป๋าก็แห้งไปหมดอยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก)  เกิดมีคนข้างบ้านมากระทบกระเทียบ เหมือนอาจารย์โยนลูกแอปเปิ้ลไปโดนแว่นของนักเรียนพังไปข้างหนึ่งยังอยากบำเพ็ญธรรมไหม การบำเพ็ญธรรมนั้นกลัวมากที่สุดคืออะไร  (กลัวไม่มีที่บำเพ็ญ)  เราสามารถจะมีที่บำเพ็ญได้ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องนอนหรือในห้องน้ำ ในห้องครัว จะอยู่ในสถานธรรมหรืออยู่นอกสถานธรรมก็บำเพ็ญได้  ขอเพียงใจของเรานั้นคิดที่จะบำเพ็ญอยู่เสมอ  กลัวแต่ใจเราคิดฟุ้งซ่านไปไกล วันๆ คิดถึงแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการบำเพ็ญนั้นคือ  การที่เราเที่ยวฟังชาวบ้านไปหมด สมมติตอนนี้อาจารย์จับผลไม้อยู่ลูกหนึ่งเป็นสาลี่  ก้านสาลี่นี้สีเหลือง ผิวสาลีนี้ขรุขระ ผิวของสาลี่นี้สีเหลืองนวลหรือสีเหลืองมีจุด (เหลืองมีจุด)  สมมตินักเรียนกินสาลี่นี้คนละคำ  แล้วเราก็จินตนาการเอาว่า สาลี่นี้มีรสหวานมาก  เราได้รู้จักสาลีนี้ดีพอประมาณแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและทั้งรสชาติภายใน ถึงเวลาเรากลับไปบ้าน  คนแถวบ้านเราที่ไม่เคยเห็นสาลี่ ไม่รู้จักสาลี่เลย แล้วเขาก็บอกว่า สาลี่นี้กินแล้วไม่ดี มีพิษ  และเขายังไปเอาหนังสือมาให้เราดูอีก  เอาข้อมูลมาให้เราดู แล้วบอกว่ากินไม่ได้จริงๆ  สาลี่เป็นผลไม้ต้องห้าม เราจะเชื่อเขาหรือไม่ (ไม่เชื่อ)  ไม่เชื่อหรือคิดดูก่อน (ไม่เชื่อ)  มาสถานธรรมนานๆ เราก็มาที อยู่แต่ที่บ้านอยู่ๆ พอมีคนมาบอกเราทุกๆ วัน จากที่ไม่เชื่อก็กลายเป็นเชื่อบ้าง  ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นเชื่อ  เชื่อคนที่ยังไม่เคยเห็นสาลี่มากกว่าตัวเราซึ่งเคยกินมาแล้วอีก  อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนกับคนที่มาศึกษาธรรมะ  ศึกษามาครบสองวันอะไรๆ ก็ได้เห็น  สาลี่เราก็ชิมด้วยตัวเราเอง  ธรรมะเราก็ฟังกับใจ  แต่ถึงเวลาคนเขาพูดหนักๆ เข้าเชื่อใคร เชื่อคนอื่นหรือตัวเราเอง (ตัวเอง)  ถึงเวลาก็ไม่เชื่อตัวเอง ไม่เชื่อปากของเราที่กินสาลี่ไปด้วยปากของเราเอง  คนอย่างนี้มีอยู่มากกมาย  ศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นแบบนี้มีอยู่มากมาย น่าห่วงหรือเปล่า (น่าห่วงมาก)  อาจารย์จึงอยากจะบอกว่า สองวันนี้อย่าเสียเวลามาฟังเปล่าๆ  เมื่อเรานั้นอยากที่จะมาบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรม เราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง  เข้มแข็งอย่างไร  เข็มแข็งอย่างที่ว่า เราฟังธรรมะแล้วเกิดความเข้าใจในจุดไหน ขอให้จุดนั้นเป็นความเข้าใจที่หนักแน่น ที่พร้อมจะหยั่งรากลึกลงไป แล้วกลายเป็นต้นโพธิ์ที่แผ่ร่มไทรให้กับผู้คนได้ทั่วหน้า
ฉะนั้นเมื่อศิษย์ศึกษาจนร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้นไทร ต้นโพธิ์ในใจของศิษย์นั้นจะมีมากมายเป็นร้อยต้น  เมื่อมีมากมายขนาดเป็นร้อยต้น หวังว่า ขอสักตนหนึ่งไปปลูกที่ใจของผู้อื่น ให้กลายเป็นพันธุ์ต่อไป ให้กลายเป็นสิ่งที่ผู้อื่นเอาไปเพาะปลูกให้ขึ้นได้มากมาย  และขอแบ่งสักต้นหนึ่งไปเรื่อยๆ  ในที่สุดแล้วต้นโพธิ์ก็มีเต็มโลกเลยใช่หรือไม่  อะไรที่บอกว่าเราทำไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ลงมือทำก็ย่อมทำไม่ได้  อะไรที่เรายังไม่เคยลองคิดก็ต้องคิดไม่ออกใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกศิษย์ว่า วันนี้ฟังธรรมะมาเป็นวันที่สอง เป็นการยากลำบากกว่าจะนั่งสองวันนี้ได้ครบ ขอให้เราเอาสองวันนี้มาเป็นบทเรียนให้เรา แล้วหลังจากสองวันนี้กลับไปแล้วอย่าไขว้เขวอย่างง่ายดาย  อาจารย์ให้ยืนฟังวันนี้หวังว่าคงจำใส่ใจได้หมด  เพราะอาจารย์กลัวว่า นั่งฟังแล้วก็จะหลับไป
(พระอาจารย์เมตตานำสาลี่สามผลให้นักเรียนส่งต่อ พร้อมกับร้องเพลงพายเรือธรรม แล้วให้ส่งผลไม้นี้ต่อไป เมื่อหยุดร้องเพลงแล้วสาลี่อยู่กับใคร ให้คนนั้นเป็นคนมีโชคของชั้นนี้)
ปีใหม่นี้อยากได้โชคดีมีลาภใช่หรือไม่ (ใช่)  ลาภของอาจารย์ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ทองสิบบาท ไม่ใช่เงินสิบล้านบาท  แต่เป็นสาลี่ผลเดียว  มีคนโชคดีอยู่สามคน อาจารย์หวังว่า ทั้งสามคนในชั้นนี้โชคดีที่สุด  เราต้องรู้จักถนอมบุญของเราไว้  วันหลังต้องพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นทำได้หรือไม่ (ได้)  อายุมากแล้วแม้ว่าเรานั้นไม่ค่อยมีความรู้ ไม่เป็นไร พุทธะนั้นต่อให้ทำงานอยู่ในครัวก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่อให้เป็นคนขัดห้องน้ำก็สำเร็จเป็นพุทธะได้เชื่อหรือเปล่า (เชื่อ)
สาลี่สามลูกนี้หมายถึง ไตรรัตน์สามประการ  ทุกๆ คนมีไตรรัตน์สามประการที่อาจารย์มอบให้ไปแล้ว ได้มานานแล้วหรือเพิ่งได้ก็แล้วแต่  แต่ไตรรัตน์สามประการนี้มีความล้ำค่า อาจารย์ให้ศิษย์สามคนนั้นได้รับไปแล้ว อย่าดูถูกตัวเองว่า เรานั้นต่ำต้อย หรือเรานั้นสูงส่งเกินไป หรือเราฉลาดเกินไป  ศิษย์อาจารย์นั้นมีความเท่าเทียมกันทั้งสิ้น  ทุกๆ คนมีไตรรัตน์ทั้งสามนี้  มีสิ่งล้ำค่าเหมือนสาลี่ผลนี้  ที่คัดเลือกมาจากคนทั้งชั้นได้สามคน  ที่เลือกมาจากคนจำนวนมากในชุมชนแถวนี้แล้วได้ศิษย์สามคนนี้  ถามว่าศิษย์ของอาจารย์มีความล้ำค่าหรือไม่ (มี)  สิ่งล้ำค่านี้เป็นของตัวเรา แล้วตัวเราจะไม่ล้ำค่าอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
 “อากาศร้อนลมโบกก็มีไอร้อน มาบั่นทอนสมาธิแห่งเมธีศิษย์”
ในตอนนี้อาจารย์ให้กลอนไปบอกว่าถ้าอากาศร้อน ลมที่พัดมาก็ยังมีไอร้อนผสมอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตอนนี้สังคมโลกวุ่นวาย แม้ว่าจะมีธรรมะเป็นสายลม ทำให้เราเย็นใจได้ แต่ก็มีไอร้อนผสมผสานเข้ามาด้วย อาจารย์จึงบอกว่า เวลาที่โลกนี้ร้อน ใจของเรานั้นจริงๆ แล้วร้อนยิ่งกว่าแดดที่เผานี้อีก  มีปัญหามากมายที่เราแก้ไม่ตก วันนี้อาจารย์มา อาจารย์จะพูดเรื่องการบำเพ็ญธรรมะให้ศิษย์ฟังตั้งแต่ในบ้านทีเดียว อาจารย์จะเล่าให้ฟังตั้งแต่เรื่องในบ้าน ออกไปจนถึงการบำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นพุทธะ  ฉะนั้นวันนี้ถ้าใครอยากเป็นพุทธะ ให้ตั้งใจฟัง ตามอาจารย์มาทีละก้าวๆ แล้วศิษย์จะรู้
เวลาที่เรามีชีวิตนี้ เรานั้นมักจะคิดว่าเราเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ยังมีคนที่ดีมากกว่าเราอีกมากมาย  ตั้งแต่เล็กจนโต ศิษย์ของอาจารย์รู้จักสวรรค์ ใช่หรือไม่  เขาบอกว่าคนทำดี (ขึ้นสวรรค์)  คนทำชั่ว (ลงนรก)  ถามว่าสวรรค์ที่เราจะไปนี้มีคนไปได้กี่คนในความคิดเรา  สมมติให้ศิษย์ทำหน้าที่เลือกคนขึ้นสวรรค์แล้วกันนะ มองไปนี้มีน้อยหรือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนที่ทำความดีส่วนใหญ่ ก็ทำความผิดด้วย น่าประหลาดหรือเปล่า สมมติว่าเราเป็นคนที่ทำหน้าที่เลือกคนขึ้นสวรรค์ เราเลือกกี่คนดี สมมติว่าในห้องนี้แล้วกัน ศิษย์มองมาแล้วสองวัน ในห้องนี้มีคนขึ้นสวรรค์กี่คน ให้มองดูใจตัวเอง แล้วถามว่ามีถึงครึ่งหรือเปล่า คนที่ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ลองถามเขาว่า ถามจริงๆ คุณเป็นคนดีหรือเปล่า เขาจะตอบว่าอะไร (ดี)  เขาก็จะตอบว่าจริงๆ เขาเป็นคนดี มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เขานั้นทำไม่ดี ใช่หรือไม่ แต่จิตใจเขาเป็นคนดี ถามว่าคนๆ นั้นเราหรือเปล่า ในความเป็นจริง ศิษย์ไม่ได้ทำหน้าที่คัดเลือกคนขึ้นสวรรค์ หรือมีคนมาถามเราว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ดีอยู่ตอนนี้ ที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์เราดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเราได้ขึ้นหรือไม่ได้ขึ้น (ไม่ได้ขึ้น)  เปรียบเทียบให้สวรรค์นั้นอยู่เหนือศรีษะ แล้วให้นิพพานอยู่กลางฟ้า สวรรค์อยู่เหนือศรีษะ เอามือเอื้อมขึ้นไป รู้สึกอย่างไรบ้าง (ว่างเปล่า, ร้อน)  แสดงว่าในโลกนี้มีแต่ความร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  สวรรค์นั้นมองไม่เห็น ถ้าใช้ตามองเราก็จะมองเห็นแต่คนผูกเนคไทอยู่ข้างหน้าเต็มไปหมด แต่ถ้าเราใช้ใจมองเราจะเห็นอะไร มีคนบอกว่าอยู่สถานธรรมนั้นเหมือนอยู่สวรรค์ แต่ทำไมสถานธรรมนี้ร้อน เพราะว่าเราใช้กายของเราสัมผัสใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ตาของเรามองไปรอบๆ อาจารย์อยากจะบอกว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้ใช้ตามอง การบำเพ็ญธรรมนั้นใช้ใจมอง บำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช้ความรู้สึก เวลาที่เราโกรธคนนี้สวรรค์หรือนรก (นรก)  เวลาเราโกรธคนก็เหมือนอยู่ในนรกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นต้องมีจิตใจที่สะอาด สมมติว่าผ้าผืนนี้เป็นสีชมพู ผ้าผืนนี้หมองไหม (หมอง)  เวลาที่เรามองผ้าสีขาว ถ้าขาวทั้งผืนเราบอกว่าผ้าผืนนี้ไม่ขาวจริง แต่ถามว่าตัวหนังสือที่เขียนบนกระดานนั้นขาวหรือไม่ (ขาว)  เพราะว่าเขาเขียนห่างกันใช่หรือไม่  การที่เราบอกว่าจิตใจของเราขาวบริสุทธิ์ ขอให้เรานั้นมีจิตใจที่มองให้เห็นซึ่งความขาว อย่ามองไปๆ แล้วลายตาบอกว่าไม่ขาว ถามว่าศิษย์เอาอะไรมาวัด บางทีบอกว่าใจของเรานั้นเที่ยงแล้วมองสองเป็นสองถามว่าจริงหรือไม่  ถ้าเราสามารถมองเห็นได้ชัด เหมือนแอปเปิ้ลสองลูกก็คงจะจริง  แต่มีอีกหลายเรื่องที่เรามองไปแล้วเรามองไม่ออกว่าจริงๆ แล้วถูกหรือผิด สองหรือสาม  ความมั่นใจในตนเองนั้นมีได้แต่ต้องเป็นความมั่นใจที่มาจากจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์  ถ้าเรายังไม่รู้แน่ ถ้าเรายังสงสัย ถ้ายังมีจิตใจที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์เวลาที่อยู่กับอาจารย์ก็ต้องไปปรับใหม่  ถ้าหากว่ามีจิตใจที่สงสัยมากมายทำอย่างไรดี แต่คำตอบที่ดีที่สุดใครเป็นคนตอบ (ตัวเรา)  เพราะว่าหนึ่งนาทีเราก็คิดไม่ซ้ำแบบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องคิดเรื่องที่เป็นธรรมะบ้าง แต่อย่าคิดเรื่องกิเลส เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมข้อที่สองนั้นคือ ให้ศิษย์นั้นตัดกิเลสให้สิ้น กิเลสเหมือนเชื้อรา  ถ้ายังเหลือไว้ก็จะแพร่กระจายไปทั่ว  หากว่ามีเชื้อรามาเกาะภาชนะ แล้วเราก็ออกแรงถูจนเกือบหมดแรงแล้วเราก็ขี้เกียจ พอขี้เกียจเราก็หยุด  ตอนนี้ใจของศิษย์หลายคนมีเชื้อรา ความขี้เกียจอยู่ข้างนอก ลงแรงไปมากมายสุดท้ายความขี้เกียจเล็กๆ น้อยๆ ขี้เกียจจะบำเพ็ญ ถามว่าใครได้ผลเสียอันนี้ (ตัวเรา)
คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นต้องรักษาพุทธระเบียบทุกคน แม้จะยอมรับคนไม่ได้ ยอมรับรูปแบบไม่ได้ แต่ต้องยอมรับพุทธระเบียบได้  เพราะอย่างน้อยจะทำให้เรานั้นอยู่ร่วมกันได้  บางคนมาสถานธรรมตินั่นตินี่เต็มไปหมด แต่ถ้าศิษย์ของอาจารย์นั้นติพุทธระเบียบ คือระเบียบแห่งพุทธะแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่าต่อให้เรานั้นยอมรับสิ่งใดไม่ได้แต่จะต้องยอมรับระเบียบได้ ทั้งความเป็นระเบียบเรียบร้อย ครัวเป็นครัว โต๊ะทานข้าวเป็นโต๊ะทานข้าว สมควรหรือไม่ (สมควร)  การบำเพ็ญธรรมจึงต้องฝึกไปตามพุทธระเบียบเป็นข้อที่สาม
เน้นศิษย์ตอนนี้ก็คือต่อหน้ากับลับหลัง ข้างหน้าเราทำให้ดูสวยงามมาก แต่ข้างหลังดูไม่สวยงามเลย ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ต่อหน้าและลับหลังต้องเหมือนกัน เราคุยกับคนนี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่พอหันกลับมาเราก็บึ้งเลยได้ไหม ก็ดูแปลกประหลาดใช่หรือไม่  ต่อหน้าเขาเรายิ้ม ลับหลังเขาเราก็ต้องยิ้ม  เพราะเวลาเบื้องบนจะตรวจสอบ จะดูพฤติกรรมทั้งทีไม่ได้ดูตอนต่อหน้า แต่ดูนั้นดูตอนลับหลัง ระวังไว้ เหมือนที่อาจารย์เคยพูดไว้ เวลาที่เรานินทานั้น เสียงบนโลกเบา แต่เสียงข้างบนดังทีเดียว อาจารย์พูดอย่างนี้กลัวหรือเปล่า (กลัว)  คนที่กลัวแสดงว่ายังทำ คนที่ไม่กลัวแสดงว่าไม่ทำ ความกลัวนั้นเปรียบเสมือนฤดูหนาว อากาศหนาวที่เพิ่งผ่านมาเราก็รู้สึกหนาวจนเราต้องขดตัว หนาวจนเราทำอะไรไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความกลัวในจิตใจก็เหมือนกัน เป็นเช่นนี้แล้วเวลาศิษย์สังเกตุต้นไม้ เวลาอากาศหนาวนั้นต้นไม้ที่ใบยังเขียวๆ อยู่ถึงกับร่วงทีเดียว ความกลัวเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  เราจะต้องกลัวต่อการทำผิดบาป และไม่กลัวที่จะต้องทำความดี แต่ในโลกปัจจุบันนั้นกลับตาลปัตร สิ่งดีๆ เวลาเราจะทำดีกลัวหรือไม่กลัว (ไม่กลัว)  ยกตัวอย่างง่ายๆ สมัยนี้เวลาเดินเข้าวัด ส่วนใหญ่คนไม่ได้ใส่เสื้อสีขาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนเราจะใส่เสื้อสีขาวเข้าไป เราก็รู้สึกเขินๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปรียบเทียบกับเมื่อเรามาสถานธรรมมีแต่คนใส่เสื้อสีขาว ถ้าเราใส่เสื้อสีๆ เข้ามา เราจะรู้สึกอย่างไร เราก็เขินอีก  เพราะฉะนั้นอันหนึ่งเปรียบเทียบว่าทำผิดต้องละอาย อีกอันหนึ่งเปรียบเทียบว่าถ้าเราทำความดีก็อย่าละอาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่เป็นอุปสรรคของการบำเพ็ญของหลายๆ คน คือนิสัยของตัวเองใช่หรือไม่ ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าเรามีนิสัยหนึ่งที่ขัดกับการเป็นพุทธะ แล้วเราจะเป็นพุทธะได้หรือไม่ได้ นิสัยส่วนมากของเราก็เป็นนิสัยที่ขัดกับการเป็นพุทธะด้วย
เวลาเรากินข้าว ถ้าจานไม่ได้ล้างหลายวันคราบก็จะเกาะแข็งขึ้นๆ เกาะจนขัดไม่ออกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับนิสัยของเรา ใจของเราเป็นจาน นิสัยของเราเป็นเหมือนคราบอาหารที่ติดอยู่บนจาน หลายปีแล้วก็ไม่ยอมล้างเสียที พอคิดจะล้างก็ล้างไม่ค่อยออก แล้วจะทำอย่างไรดี (เอาจานแช่น้ำร้อนไว้ก่อน)  อาจารย์บอกว่าใจนี้คือจาน เอาใจเราไปแช่น้ำร้อน เป็นวิธีการที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อาจารย์อยากบอกว่าถึงไม่ดี แต่บางครั้งฟ้าดินก็ใช้วิธีนี้ ถ้าเห็นว่าการแช่น้ำร้อนนั้นจะทำให้คนๆนั้นกลับตัวได้
หลายคนกลัวกับความยากลำบาก แต่ยิ่งหนีก็ไม่พ้น เพราะสิ่งที่นำไปสู่การทดสอบก็คือตัวเราเอง เหมือนกับแม่เหล็กที่ดูดเข้าหากัน  ฉะนั้นเราต้องแก้ไขและปรับปรุง นี่เป็นหลักการบำเพ็ญธรรมข้อที่ ๔  แก้ไขและปรับปรุง ไม่ยอมให้นิสัยไม่ดีต่างๆ นั้นมาเกาะอยู่ที่เรา มีอีกนิสัยหนึ่งคืออะไร เวลาที่คนในบ้านพูดมา บางครั้งเราฟังไม่เข้าหูใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอคนนอกบ้านพูดสามคำเรากลับเชื่อหมดเลย ประหลาดไหม  อาจารย์สมมติว่าศิษย์อยากจะเดินไปอาบน้ำ แม้ว่าสบู่บ้านเราจะไม่ดีเท่าของบ้านข้างๆ แต่เราจะหยิบสบู่ของบ้านข้างๆ มาใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต่อให้ผู้อื่นพูดดีเท่าไร แต่คนในบ้านต้องดีกว่าใช่หรือไม่  (ใช่)
เวลาที่เรามาสถานธรรมก็เหมือนกัน แม้ว่าเราจะรู้จักคนที่มาจากสถานธรรมอื่นๆ มาจากท่านเฉียนเหยรินท่านอื่น แม้จะดีกว่าแต่คนที่ดีกว่าจริงๆ นั้นคือบ้านเราใช่หรือไม่  เพราะเราไม่สามารถย้ายเรือกระโดดข้ามไปทางอื่นได้ เวลามีงานประชุมธรรม คนที่มาช่วยเราก็คือคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)
ข้อที่๕  “การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องบำเพ็ญทั้งครอบครัว”  และครอบครัวนี้ก็ต้องรักษาความสามัคคีกัน จึงจะบำเพ็ญได้อย่างมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรากลับไปบ้านแล้วสามีเราชอบดื่มสุราจะทำอย่างไร แล้วถ้าผู้ชายบอกว่าภรรยาเราชอบเล่นหวยจะทำอย่างไร  มีภรรยาชอบเล่นหวย มีสามีชอบดื่มสุรา ใครผิด เป็นสภาพส่วนใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างคนต่างมีความทุกข์ จะโทษใครคนใดคนหนึ่งได้ไหม  อยากให้ครอบครัวมีความสุขเราต้องรู้จักยอมกันคนละนิด เวลาเราอยากคุยดีๆ กับคนสักคน แต่ว่าคนคนนี้ชอบมาว่าเรา เราจะอยากคุยกับคนผู้นี้หรือไม่ (ไม่อยาก)  ถ้าเราอยากจะแก้ไขปรับปรุงตนเองสักครั้งหนึ่ง เราจะกล้าทำดีกับคนผู้นี้ก่อนไหม (กล้า)  อาจารย์บอกว่าส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยกล้า เพราะว่ากลัวเขาจะมองความดีไม่ออกว่าเรียกว่าความดีน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  จริงๆ แล้วจะบอกว่าทุกคนนั้นรู้จักความดี และรับรู้ได้ว่าความดีนั้นมีพลังมหาศาล เวลาที่ศิษย์จะแก้ไขปรับปรุงตัวเองนั้น  ขอให้เราทำทันที ไม่ว่าแก้ไขปรับปรุงตัวกับใครก็ตาม ยิ่งกับคนที่ไม่ดีเขายิ่งเห็นความดีของเราชัดมาก อย่าได้กลัวว่าถ้าหากว่าเราแก้ไขทำตัวดีกับคนที่ชอบว่าเราแล้วเขาจะดูไม่ออก ถ้าเขาดูไม่ออกสักครั้งหนึ่งเลิกหรือไม่ (ไม่เลิก)  ต้องมีความมุ่งมั่นถึงจะอยู่รอดปลอดภัย อาจารย์นั้นเป็นห่วง อาจารย์รู้ว่าในบ้านนั้นตีกันไม่ถึงตาย แต่บางทีตีกันบ่อยๆ เป็นอย่างไร การที่เรานั้นอยากจะบำเพ็ญธรรมทั้งบ้าน เรานั้นต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ถ้าหากบางทีดูคนอื่นแล้วทำไมเขาเห็นเราไม่ดี เราต้องย้อนมองส่องตน  เรากลับไปวันหนึ่งเราส่องกระจกกี่ครั้ง นับไม่ถ้วนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าส่องกระจกแล้วมองเห็นอะไร มองเห็นรูปร่างของตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราใช้กระจกย้อนมองส่องตนได้ไหม ถ้าเราใช้กระจกเราก็จะมองเห็นแต่รูปร่างภายนอก  แต่ใช้อะไรมาส่องให้เราเห็นตัวเราเองดี มีคำพูดคำหนึ่งว่า “คนนั้นไม่ชอบคนติ คนเรานั้นชอบแต่คำชม”  แต่ว่าคำพูดนั้นออกมาจากปากใคร คำพูดที่ติหรือชมออกมาจากอีกฝ่ายหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใช้ส่องที่ดีที่สุดก็คือ คนนั่นเอง คนส่องคนจึงเห็นคน  บางทีมีคนเดินมาว่าเรา ไม่ยอมฟังเรา ถ้าเราไม่ชอบแสดงว่าเรายังไม่ได้คิด แต่ถ้าเราชอบแล้วแสดงว่าเรารู้จักคิด  คนที่ว่าเรานั้นเหมือนกับกระจกที่มาส่องให้เห็นถึงความดี ก็คือคำชม สิ่งร้ายก็คือคำติ คนอื่นว่าเราชมเรา เขาเหมือนกระจกที่มาส่องเรา เราจะไม่ชอบกระจกได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้าหากเราไม่ฟังคำติหนึ่งครั้ง ไม่ฟังคำติสองครั้ง  ยังมีคนอยากติอยากชมเราไหม (ไม่มี)  ถ้าเราไม่ชอบคำติวันหลังเขาก็จะชมเราอย่างเดียวจนเรากลายเป็นเทวดานางฟ้า ตัวเราจะลอยขึ้นๆ ไม่ได้เหยียบพื้นซึ่งเปรียบเหมือนความเป็นจริง  ในที่สุดแล้วเราลอยขึ้นไปห่างจากความเป็นจริง ห่างจากคนที่อยู่ร่วมกัน ผลเสียนั้นอยู่ที่เราทั้งหมด  ฉะนั้นขอให้ชอบคำติ ขอให้ระมัดระวังคำชมให้ดีๆ อาจารย์เชื่อว่าคนที่ยิ่งบำเพ็ญนานเท่าไรยิ่งมีคนชื่นชมเรามากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งนานวันคนยิ่งชมเราใหญ่ แต่ถ้ายิ่งชมเรามากเกินไปแล้วเราลืมตัว เราก็จะได้รับผลเสียนั้นทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ฟังเรื่องความกตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาฟังนั่งร้องไห้หรือเปล่า อาจารย์หวังว่าน้ำตาของเรานั้นคงไม่แห้งเร็ว  แม้วันนี้น้ำตาของเราจะแห้งไปเพราะเราเช็ดทิ้งไปแล้ว แต่น้ำตาความดีที่อยู่ลึกๆ ภายในหวังว่าจะไม่แห้งไปอย่างง่ายดาย
การล้างจาน หากราขึ้นจานก็ต้องนำน้ำร้อนมาแช่จาน จานต้องร้อนก่อนจึงจะขัดได้ แล้วจึงค่อยๆ ย่อยสลาย  นอกจากถูกแช่แล้วยังต้องถูกขัดตามมาอีก ขัดแรงๆ เพื่อที่จะเอาคราบอยู่ในใจเราออกให้ได้  หากเรารู้ทันเราก็ไม่ต้องเจ็บตัวมาก มีความสกปรกก็ต้องล้าง มีความไม่ดีตั้งแต่เริ่มต้นที่ลงไปแตะอยู่ที่ชาม แตะอยู่ที่ใจก็ต้องขจัดออกทันที อย่าบอกว่าเราอายุมากแล้ว วิธีอย่างนี้ บำเพ็ญอย่างนี้ไม่เหมาะกับเรา  ที่จริงแล้วไม่ใช่ เมื่อวานนี้ศิษย์ได้พบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเด็ก ใช่หรือไม่ (ใช่)  บนฟ้ายังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นคนแก่ ที่เป็นผู้ชาย ที่เป็นผู้หญิง  แต่พอจะกลับคืนฟ้า ก่อนจะถึงฟ้าต้องวางให้หมดทำได้หรือไม่ (ได้)  แม้ญาติธรรมเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็ยังยึดติดไม่ได้เลย  ฉะนั้นเงินทองเป็นของนอกกายทำอย่างไร วางหรือไม่วาง (วาง)  จะวางไว้บนโต๊ะหรือวางไว้บนกระเป๋า ต้องคิดดีๆ
ถ้าเราพูดมากภัยจะใกล้ตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราเงียบ แต่หมายความว่าให้เราพูดในสิ่งที่ควรพูด และทำในสิ่งที่ควรจะทำ สิ่งที่ไม่ควรทำก็ไม่ต้องทำ มีอีกอย่างหนึ่งซึ่งเรารู้ได้เฉพาะตัวคือ คิดในสิ่งที่ควรคิด สิ่งไหนที่ไม่ควรคิดต้องไม่คิด สิ่งนี้เป็นข้อต่อไปที่อาจารย์จะระบุเข้าไปคือ การระวังกาย วาจา ใจ  ตัวเรานี้ไม่มีอะไรมาก มีกายเป็นของตัวเอง มีใจเป็นของเราเอง มีวาจาเป็นของเราเอง เราพูดดีก็เป็นศรีแก่ตัว การพูดนั้นเปรียบเสมือนสีทาบ้าน สีนี้ก็เหมือนกับเราทาสีเดียวกับสีเดิมที่มีอยู่ ทาเข้าไปบ้านของเราก็ดูแจ่มจรัสดี  สมมติว่าบ้านเราเป็นสีขาว แต่คำพูดเราพูดอะไรก็ไม่รู้ พูดไร้สาระ พูดโกหกก็กลายเป็นสีแดง ถ้าพื้นสีขาวทาสีแดงเป็นอย่างไร เด่นใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีพื้นสีขาวทาสีดำก็เปรียบเสมือนการพูดเพ้อเจ้อ พูดโกหก ควรต้องระวัง เรายิ่งอยู่กับคนจำนวนมาก ย่อมมีอิทธิพลกับคนจำนวนมาก ยิ่งเรามีภาระใส่บ่าอยู่กับตัวแล้วยิ่งต้องระวังให้ดีๆ ถ้าไม่ระวังเดินๆ ไปในดงธนู ธนูแทงตายไหม  คำพูดที่คนพูดมาพูดไปเปรียบเสมือนลูกศร ลูกธนู เวลาแทงเจ็บยิ่งกว่าธนูแทงอีก  เพราะว่าตอนนี้อาจารย์นั้นมีอัตราเต็มพิกัด ยิ่งบำเพ็ญบางคนนั้นยิ่งมีอัตราสูง เราต้องจำใส่ใจไว้ประชุมธรรมครั้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้อาจารย์บอกว่า “ยอมได้ต้องยอม”  แล้วเรามาดูว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าที่จะเจออาจารย์ต่อไปนั้นจะยอมคนหรือเปล่า บางคนไม่ยอมถามว่าถ้าศิษย์ไม่ยอมจะทำอะไรได้ ถ้าเรายอมได้ก็ต้องยอม  บางครั้งโกรธนิดหน่อย เกลียดนิดหน่อย ไม่ชอบใจนิดหน่อย อยากเอาชนะอีกนิดหน่อยแต่ว่าไม่เป็นผลดีแก่ตัวเราเลย แต่ถ้าเรายอมเขาเราก็เอาหินออกจากในอกเรา ทำให้ใจเราเบา  เวลาที่เราเกลียดคนอื่นก็เหมือนเอาหินก้อนหนึ่งมาทุ่ม โกรธมากๆ น้ำตามไหลใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่า “ยอมได้ต้องยอม”  คำนี้เป็นมงคลไหม  แม้ว่าดูๆ แล้วเหมือนเรายอมแพ้ แต่จริงๆ แล้วพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร (แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร)  อยากเป็นพระหรืออยากเป็นมาร (อยากเป็นพระ)  วันนี้เรายอมแพ้แต่วันหน้าเราอาจจะมีวันที่ดีกว่านี้มารอเราอยู่ก็ได้  เหมือนกับนิทานเรื่องหนึ่งที่บอกว่าม้าตัวเดียวหายไปแต่กลับมาเป็นม้าคู่ ลูกชายขาหักเลยไม่ต้องเกณฑ์ทหารใช่หรือเปล่า (ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง บินหลา ชื่อเพลงยอมได้ต้องยอม)
ตั้งสติให้ดีๆ ร้องให้ไพเราะ ร้องเพลงนี้ได้กลิ่นทะเลหรือเปล่า ต้องให้คนใต้ร้องให้ฟัง 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นอ่านพระโอวาทครอบในการประชุมธรรมที่ผ่านมาสามครั้งจนถึงครั้งนี้)
“สืบทอดคุณธรรม แห่งปราชญ์โบราณ เพื่อจรรโลงโลกไว้ ตราบนานเท่านาน”
เราทุกคนคงหวังให้โลกของเรานั้น งามอย่างนี้ตลอดไป แล้วเราคงหวังแก้ไขสิ่งที่ร้ายให้กลายเป็นดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็หวัง แผ่นดินนั้นจะสงบสุขไปตราบนานเท่านาน เพราะว่าทุกคนนั้นร่วมใจมีคุณธรรมพร้อมกัน ถ้าหากคนใดไม่มีคุณธรรม เมื่อถึงแผ่นดินพระศรีอาริย์ จะอยู่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เรียกว่าไม่มีแผ่นดินจะอยู่ก็ถูก  ฉะนั้นการที่จะเป็นพุทธะได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ การที่เราจะสอบผ่านก็ต้องมีข้อสอบอยู่ในมือถูกหรือเปล่า การที่เราได้ดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่เราเคยอ่านหนังสือหรือเปล่า หากว่าศิษย์นั้นไม่เคยขวนขวายบำเพ็ญ ไม่เคยอ่านหนังสือเลย เวลาสอบแล้วจะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  มีหลายคนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเกิด  แต่เมื่อถึงเวลาไม่ยอมเข้าสอบ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน (ไม่ผ่าน)  การเป็นพุทธะในวันหน้าต้องดูศิษย์วันนี้
วันนี้เป็นการประชุมธรรมวันสุดท้ายของคนที่มานั่งสองวัน และเป็นครั้งสุดท้ายของการประชุมธรรมในระลอกนี้ อาจารย์รู้สึกแปลกๆ ถ้าจะไม่ได้เจอศิษย์ของอาจารย์บ่อยๆ อย่างนี้ อีกใจหนึ่งก็ห่วงใย  ศิษย์บางคนนั้นเห็นหน้าเกือบทุกอาทิตย์เลย บางคนนั้นนานๆ เจอกันที  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นรักษาการบำเพ็ญของเราให้ดีๆ ตัวอย่างของคนที่เคยบำเพ็ญแล้วเลิกบำเพ็ญนั้นมีอยู่มากมาย เพราะว่าเราคุมใจของเราเองไม่อยู่ จิตใจของเรารวดเร็วเหมือนลิงเหมือนม้า นึกจะควบไปก็ไปข้างหน้า นึกจะหยุดก็หยุด แต่บางทีศิษย์ไม่รู้หรอกว่า การที่เราวิ่งไปข้างหน้านั้นๆ เป็นหน้าผาวิ่งไม่ได้ บางทีเราหยุด ตัวเราหยุดจนสบายเกินไป แล้วเราก็ลืมการบำเพ็ญ  ช่วงที่ห่างกันคือหนึ่งช่วงแห่งการมองตนเอง หนึ่งช่วงแห่งการพัฒนาการบำเพ็ญให้ดี หนึ่งช่วงที่ได้ลงแรงศึกษาอย่างจริงจัง
อาจารย์หวังว่าทุกคนนั้นเกิดมาชีวิตหนึ่งมีค่า ใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ การบำเพ็ญธรรมในสมัยนี้นั้น ทางธรรมคู่ทางโลก  เรานั้นต้องออกไปทำงานทางโลก แต่อย่ายอมให้โลกนั้นกลืนเราเข้าไป ต่อให้เราเป็นพุทธะมาเกิด แต่เกิดมาแล้วไม่บำเพ็ญก็กลับฐานะเดิมไม่ได้ รักษาตัวให้ดี  บำเพ็ญให้ดี อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่า วันหน้าจะได้พบศิษย์ใหม่ขอให้ศิษย์ก้าวหน้ามากขึ้น หรือถ้าก้าวหน้าไม่ได้ก็อย่าได้ถอยหลัง
“เป็นดั่งพี่เป็นดั่งน้องปรองดองกัน”
ใครที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมก่อนก็เหมือนกับเป็นพี่ของคนที่เป็นน้อง  ให้อภัยได้ก็ต้องให้อภัยกัน ยอมได้ยอมกัน อย่าเป็นพี่ที่คอยจะเอาชนะแต่น้อง เตือนน้องแล้วน้องไม่ฟังเราต้องหันมามองดูตัวเราเอง เป็นดั่งน้องนั้นเหมือนเป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่ และเคารพอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม เคารพอาจารย์ อยู่ด้วยกันขอให้เป็นบ้านแสนสุข ไม่ใช่เป็นบ้านแสนทุกข์  ต่อให้อาจารย์พูดไปกี่ร้อยกี่พันครั้ง หากว่าศิษย์ไม่เข้าใจ ศิษย์ไม่ใส่ใจก็เท่านั้น  มองดูอาจารย์ให้ดีๆ  อาจารย์และศิษย์เป็นลูกขององค์มารดาเหมือนกัน เราจะจูงกันกลับไปเบื้องบนไม่ใช่หรือ (ใช่)  แล้วจะไปจูงกันตอนไหน ถ้าเราไม่จูงกันตอนนี้ เอาไว้รอให้ใกล้ๆ ที่เราคิดว่าเราจะกลับแล้วเราจะไปจูงมือคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  จะเป็นพุทธะเราต้องเป็นตั้งแต่วันนี้ ต้องพยายามตั้งแต่วันนี้ จะจูงมือกัน จูงอย่างไร ไปจับกันจริงๆ หรือไปจับมือของอีกคนหนึ่ง  มือนี้คือ มือที่ไม่มีรูปลักษณ์ จะเป็นมือที่จูงมือใคร แสดงออกให้ดู ทำออกมาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และอาจารย์เห็น ยากหน่อยแต่พยายามอีกนิดหนึ่ง ศิษย์ทำได้แน่
ศิษย์บำเพ็ญให้ดีๆ แต่ละคนนั้นมีบุญมากมาย อย่าปล่อยให้รากของต้นโพธิ์ของเราเน่าก่อนที่เราจะไปขยายให้กับคนอื่น  บำเพ็ญดีๆ รักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย กลับมาเจออาจารย์ใหม่ในวันข้างหน้า อาจารย์รู้สึกอาลัยอาวรณ์ศิษย์ทุกคนเหลือเกิน มีคำพูดมากมายคงพูดไม่ออกแล้วในยามนี้  สุดท้ายอาจารย์ขอพูดแค่บำเพ็ญดีๆ กลับมาเจอกันใหม่ ให้เป็นคนที่น่ารัก ว่าง่ายเหมือนเดิม บำเพ็ญดีๆ นะ ลาก่อน

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “ตราบนานเท่านาน”

กตัญญูเป็นหลักปฏิบัติทุกผู้นาม อย่ามองข้ามแลกลับต้องเพิ่มกวดขัน
การทำตนเป็นเยี่ยงอย่างแสนสำคัญ ยอมฝ่าฟันยามเริ่มปลายคุ้มค่า
ทำสิ่งดีละร้ายให้สำรวมตน เกิดเป็นคนรักษางามเพียบพร้อม
เมตตาจิตเต็มเปี่ยมนา อุปสรรคนำมาความเจริญ
ธรรมะอบรมจิตใจ ปฏิบัติไฉนผิวเผิน
รับชี้ใช่เรื่องบังเอิญ ดำเนินตราบชีพมลาย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2543

2543-01-01 พุทธสถานเจิ้งซิน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


PDF 2543-01-01-เจิ้งซิน #26.pdf


วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเจิ้งซิน อ.วารินชำราบ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

คุมทิศทางการบำเพ็ญเป็นขั้นตอน สอบคนหย่อนความก้าวหน้าจากทางนี้
สามร้อยหกสิบห้าวันผ่านไปคิดถ้วนถี่ ภูมิใจมีความสูงส่งไหมคุณธรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ
หนึ่งปีผ่านดั่งวันวานอย่างรวดเร็ว
ขออวยพรน้องทุกคนให้โชคดี   ฮวา  ฮวา

ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอชุมนุมด้วยจิตใจอันผุดผ่อง
ฟังสิ่งใดใช้ปํญญามากลั่นกรอง อันแสงทองของจิตแท้คือบำเพ็ญ
ในวาระยุคปลายการแผ่โปรด คนชอบโทษไปเรื่อยยากบรรลุ
อารมณ์นั้นพาให้ใจชอบปะทุ รักโลภหลงยากอยู่แดนพุทธา
อย่าสงสัยให้ในจิตต้องมืดบอด ขอให้ถอดความจริงใจไว้ตรงหน้า
แม้จะไร้ซึ่งบุญดั่งราชา แต่ธรรมดาจิตทุกคนดั่งพุทธา
ในยามนี้นาวาธรรมลงช่วยโลก ใจอย่าโยกตามลมร้ายคอยพัดหนา
ชีวิตคนไม่อาจตีเป็นราคา ทางข้างหน้าอยู่ที่ตนกำหนดเอง
แปรซึ่งความแปลกหน้าเป็นสนิทสนม ความเกลียวกลมไม่อาจหาจากนอกบ้าน
การเกิดตายเวียนว่ายทรมาน ขอให้ท่านอย่าเสียเวลาชาตินี้เลย
บำเพ็ญธรรมละกิเลสหมั่นปลดปลง ใครยืนยงอยู่ค้ำฟ้าหามีไม่
ฝึกเมตตาบำเพ็ญจิตสะอาดใจ ใช่ง่ายดายแต่ใช่จะลำบากเกิน
ขอให้รู้น้องต่างมีบุญกับพุทธะ ให้ชนะซึ่งตนเองอย่าปล่อยเฉย
อันสุทธาไกลสุดไกลนัยน์ตาเอย อย่าละเลยการทำดีเป็นสรณะ
เวลาในชีวิตคนมีจำกัด สายทองเป็นทางลัดคืนสู่ฟ้า
แต่ละคนย้อนมองตนย่อมรู้ว่า ตนควรทำสิ่งใดหนาต่อไปดี
ในวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ขอตั้งใจเริ่มต้นดีอีกสักครั้ง
สิบเท้ายังรู้พลาดปราชญ์รู้พลั้ง รวมพลังกำลังใจเป็นของขวัญที่ดี
อย่าประมาทชีวิตหนึ่งอนิจจัง สี่กำเนิดหกทางยังจะไปถึง
ทำสิ่งใดไกลบาปกรรมเฝ้าคำนึง เดินเพียงครึ่งทางอย่าท้อล้มลง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอศิษย์น้องตั้งใจมาสองวันครบ
ขอให้มีความศรัทธามาสมทบ แลเคารพพุทธระเบียบออกจากใจ
แลพี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทท่านหยูอี้ถงจื่อ

มุตตา   แห่งแดนปัจฉิม  แผ่แสงกล้า ให้โลกหล้าอบอุ่นคลายความหนาว
หรือฤดูกาลผันร้อนดั่งในเตา มุตตาแห่งเราเป็นดั่งหยกมีเนื้อเย็น
เราคือ
หยูอี้ถงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ขออวยพรปีใหม่ให้ชีวิตมีแต่ความราบรื่นเป็นสุขและร่มเย็น

ชีวิตกรำทำการงานผ่านเวลา มีปัญหาร้อนใจอย่าด่วนตัดสิน
จงค่อยเป็นค่อยไปกอปร  ชีวิน เว้นวศิน  ทบทวนความเร่งให้ตน
เพียรนำหนุนใจสำคัญด้วยเมตตา บาปวิญญาหันไปตามประโยชน์ผล
การเรียนรู้ลำดับเรื่องราวเบาอับจน คลายกังวลเพิ่มลดงานตามตะวัน
แข็งแรงรับความยากของวันใหม่ เพ่งไปที่มวลคุณธรรมจิตประสาน
ชำระกรรมคอยออฉุดตนนั้น บำเพ็ญมั่นให้ยิ่งใหญ่แข่งเวลา
ทัศนาว่าคนสูงขึ้นใจสูง เลิศผดุงปีใหม่แปรตนหนา
ประคองจิตไม่ท้อได้ดั่งว่า มวลกฤดา  แห่งการให้พร้อมสมบูรณ์
บำเพ็ญธรรมอดทนพาก้าวหน้า กล่าวมุสาเลิกแล้วแคล้วเรื่องวุ่น
ชีวิตอย่ารอหวังสิ่งปาฏิหาริย์หนุน เบิกอรุณต่อความอกุศลในใจ
ศึกษาธรรมอย่ารอแต่คนตาม เวลาสามอย่างไรให้หาเจียดได้
บำเพ็ญคือโอกาสวิ่งมาคว้าไป กิเลสใดจงกล้าห่างไม่อำพราง
ปราชญ์แห่งยุคในโอกาสนี้พยายาม โลกยุคสามบำเพ็ญตนตามกำลัง
อนุเคราะห์คนช่วยโลกจึงเจอฝั่ง หมั่นระวังในสนามรบวีรชนเอย
ฮิ  ฮิ  หยุด

  มุตตา ไข่มุก, แก้วชนิดหนึ่งสีหมอกอ่อนๆ คล้ายสีไข่มุก
  ปัจฉิม ชื่อทิศตะวันตก
  กอปร ประกอบ
  วศิน ผู้ชำนะตนเอง, ผู้สำรวมอินทรีย์
  กฤดา บารมีอันยิ่งที่ทำไว้, มีอธิการที่ทำไว้

พระโอวาทท่านหยูอี้ถงจื่อ

วันนี้ไม่มีความสุขเลย  วันนี้วันอะไร (วันปีใหม่)  วันปีใหม่ควรมีความสุขกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่  แล้วรู้สึกว่ามีความสุขหรือเปล่าที่มานั่งฟังธรรมะ (มี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนร้องเพลงทำนอง จับปู)  ร้องให้รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ทั้งทีสร้างความกระชุ่มกระชวย สร้างความมีชีวิตชีวาให้ตัวเองหน่อยดีหรือเปล่า  นั่งฟังธรรมะแต่จิตใจกลับหดหู่ห่อเหี่ยว นั่งฟังก็ไม่มีความสุข อุตส่าห์เป็นปีใหม่ทั้งทีก็ไม่มีความสุขเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปแอปเปิ้ลบนกระดาน)
รูปนี้คืออะไร (แอปเปิ้ล) แล้วผลไม้ลูกนี้เรียกว่าอะไร (แอปเปิ้ล)  แอปเปิ้ลลูกนี้และแอปเปิ้ลรูปภาพเหมือนกัน และเรียกว่า แอปเปิ้ลเหมือนกัน ท่านอาจจะแปลกใจว่าเราเป็นใคร ท่านเป็นคน เราก็เป็นคนเหมือนท่านเหมือนกัน  แต่ใครๆ บอกว่าเราคือ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนสถานะจากแอปเปิ้ลจริงเป็นรูปภาพ ทุกคนมักจะพูดว่า พระพุทธรูปคือ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเป็นแบบนี้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ คน เพราะฉะนั้นแอปเปิ้ลจริงกับรูปแอปเปิ้ลเหมือนกันหรือไม่ มีทั้งความเหมือนกับไม่เหมือน แต่ก็เป็นแอปเปิ้ลได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พุทธะที่เคยประดิษฐ์อยู่บนโต๊ะนี้แต่ก่อนก็เคยมายืนอยู่ตรงนี้ เคยเป็นคนเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งยึดรูปลักษณ์ภายนอกมากนัก ไม่อย่างนั้นอาจจะบอกว่า นี่เป็นแค่รูป ไม่มีวันจะเป็นแอปเปิ้ลได้ จริงหรือไม่  เหมือนวันนี้ถ้าท่านคิดว่า เราคือ คนๆ หนึ่งมาคุยกับท่าน ยังไม่ต้องสนใจว่า เราใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ จะได้คุยกันได้ พร้อมที่จะคุยกับเราหรือยัง
วันนี้ทุกท่านมาศึกษาธรรมะ เราก็ต้องพูดเรื่องของธรรมะ ชีวิตของคนเรานั้นเกิดมาแล้วก็แสวงหา ท่ามกลางการเกิดมามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์  เรามาทั้งทีเราก็อยากอวยพรและนำสิ่งที่ดีให้กับท่านเหมือนกัน เหมือนกับทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ มาแรกๆ ก็สว่างใสไม่มีความคิดอะไรแปดเปื้อน  แต่พอเดินไปสักพักหนึ่งเราก็อดจับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ พอหยิบก็เกิดการแปดเปื้อนและมีร่องรอยของการดำเนินชีวิต จะมีใครกี่คนที่สามารถมีชีวิตแล้วยืนอยู่กับที่ได้ เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่  พอมีชีวิตต้องย่ำเดินไปทั่วสารทิศ  ความสุขของมนุษยคือ การเดินไปให้ทั่วเท่าที่ใจอยากจะเดินไป แต่แท้ที่จริงแล้วบางครั้งการไม่เดินการอยู่เฉยๆ ก็มีความสุข อยู่ที่ว่าเรากำหนดความสุขของเราเป็นการแสวงหาหรือเป็นการอยู่นิ่ง
มุตตาแห่งแดนปัจฉิมแผ่แสงกล้า  “มุตตา” คือ จิตใจของมนุษย์ เราสามารถส่องแสงแรงกล้าได้ท่ามกลางความหนาวเย็น และสามารถให้ความร่มเย็นเป็นสุขได้ท่ามกลางความรุ่มร้อน หมายถึง จิตใจของเรานั่นเองสามารถเอาชนะสภาวะแวดล้อม ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งต่างๆ เปรียบเหมือนกับน้ำ หากจิตใจของมนุษย์เราอยู่ท่ามกลางบุคคลที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง เต็มไปด้วยเพลิงแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน  ถ้าหากมนุษย์เราหรือตัวเราไปอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นแล้วเราร้อนไปด้วย ก็เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้รุ่มร้อน มีแต่ว่าเราต้องช่วยกันดับร้อนด้วยการเอาน้ำเย็นมาช่วยประพรม  ไม่ใช่เขาร้อนมา ท่านก็เอาน้ำเย็นราดใส่เขาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่การเอาน้ำเย็นเข้าลูบเข้าหา  ท่ามกลางสังคมและบุคคลที่ต่างแก่งแย่งแข่งขัน ทำไมเราต้องเข้าไปร่วมแก่งแย่งแข่งขัน เติมเชื้อไฟให้กับโลกให้ยิ่งวุ่นวาย  ผู้บำเพ็ญธรรมไม่คิดเช่นนี้แต่ผู้บำเพ็ญธรรมกลับทำในสิ่งที่ช่วยโลกดับความร้อนและดับความวุ่นวาย นั่นก็คือ จิตใจของผู้บำเพ็ญธรรม  คือ ความมุ่งมั่นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยากจะช่วยแปรเปลี่ยนโลกที่ร้อนวุ่นวาย หรือโลกที่หนาวเหน็บของเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายให้เป็นความอบอุ่น ความร่มเย็น  แล้วท่านคิดว่า ท่านเป็นคนๆ นั้นที่สามารถแปรเปลี่ยน สามารถนำพาสังคมให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้หรือไม่ (ได้)  ทุกคนมีสิทธิ์และสามารถทำได้ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเราเจอเราจะนิ่งเฉย ไม่สนใจไยดี หรือเมื่อเราเจอเราจะช่วยเปลี่ยนแปลง  จึงทำให้คนเราแม้จะเกิดมาร่วมโลกเดียวกัน แต่คุณค่าต่างกันก็อยู่ที่ว่าเขาทำเพื่อตนหรือเขาทำเพื่อหมู่ชน  เราเกิดเป็นคนทั้งทีอย่าได้คิดแต่ตนอย่างเดียวไม่คุ้มและจะทำให้เราเดือดร้อน แต่ถ้าเราทำอะไรหัดคิดถึงคนอื่น หัดคำนึงถึงคนอื่นบ้าง  เราจะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุขและเขาจะรับเราได้อย่างฉันท์มิตร
“หยูอี้”  แปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร  ใครๆ ก็อยากให้เราไปอยู่กับเขา เพราะเราเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนสมปรารถนา  คำว่า “หยูอี้”  แปลว่า สมหวังสมปรารถนา  ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่สมหวังสมปรารถนา  แล้วท่านอยากสมปรารถนาในสิ่งใดบ้าง ทุกคนอยากสมปรารถนาสมหวังในเรื่องความสุข  อยากมั่งมี อยากให้ครอบครัวร่มเย็น  แต่มีใครบ้างที่ร่มเย็นแล้วจะไม่ร่มเย็นบ้าง บ่อยครั้งที่เราทำให้คนๆ หนึ่งสมหวังได้นั้นแต่ตัวเราต้องเสียสละให้เขา ในโลกนี้ไม่มีใครสมหวังไปทุกคน  ภายใต้ความยิ้มแย้มสมหวังของเรา จะมีอีกคนหนึ่งที่ยืนเศร้าตรมเพราะผิดหวัง   ภายใต้ความชนะยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะมีอีกคนที่ยืนห่อเหี่ยวพ่ายแพ้
 ปีใหม่ทุกท่านมักจะยื่นของให้กับผู้อื่น แต่ท่านเคยเห็นหน้าคนที่ยื่นของให้ไปแล้วกลับมาอย่างตรอมตรมเคยเห็นหรือไม่ (ไม่เคย)  มีใครบ้างให้ของเขาไปแล้วรู้สึกว่ากระเป๋าแห้งเหลือเกิน  บางครั้งเพื่อให้คนๆ หนึ่งได้สมหวังนั้นย่อมมีอีกคนหนึ่งที่ต้องผิดหวัง  แต่จะมีใครสักกี่คนที่มีความสุขท่ามกลางความผิดหวังแม้ตัวเองจะไม่ได้สมหวังแต่พร้อมที่จะหยิบยื่นความสมหวังให้กับคนอื่น  บ่อยครั้งที่เวลาปีใหม่เราอยากสมหวัง อยากมีความสุข อยากได้ชัยชนะ อยากเป็นผู้สำเร็จ  แต่ท่ามกลางสิ่งที่เราได้นั้นย่อมมีอีกคนหนึ่งที่อยู่มุมมืดที่เขาไม่สมหวัง เขาผิดหวังที่เขาไม่พบสำเร็จ  แล้วจะมีใครสักกี่คนที่เมื่อตัวเองสมหวังแล้วพร้อมจะหยิบยื่นความสมหวังให้กับคนอื่น  ปีใหม่เรามักจะคิดถึงแต่ตัวเอง ให้ตัวเองต้องสมหวัง ต้องสำเร็จและมีชัย  แต่จะมีใครบ้างที่ยอมเสียชัยเพื่อให้ตัวเองไม่ได้และไม่สมหวัง น้อยคนนักใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้เราให้ท่านสมหวังเราก็ไม่ต่างอะไรจากคนข้างนอก  เราก็ไม่อาจจะเรียกว่า เป็น
ผู้บำเพ็ญได้  เราต้องการปรารถนาจะให้ท่านสมหวังในทุกๆ อย่าง  แต่ถ้าเกิดว่าเราทำเช่นนี้ท่านก็ต้องไปเวียนในโลกนี้เหมือนเดิม  ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงจากสมหวังเป็นไม่สมหวัง แต่ให้ผู้อื่นสมหวังได้หรือไม่ (ได้)  ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ตัวท่าน เพราะว่าในโลกนี้ใครๆ ก็อยากเป็นผู้ที่ได้  ใครๆ ก็อยากเป็นหนึ่ง อยากโดดเด่น  แต่อย่าลืมว่าการเป็นหนึ่งและการโดดเด่นนั้นย่อมเป็นอันตรายและมีคนอิจฉาได้เหมือนกัน  ฉะนั้นเรายอมไม่เด่นให้คนอื่นเด่น เรายอมไม่ดังให้คนอื่นดัง แต่เรามีความสุขในการไม่ดังและไม่เด่นได้  หากทำได้เช่นนี้นับว่าเป็นคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญตน แต่หากยังทำไม่ได้ยังอดไม่ได้ก็จะต้องกลับไปวนอยู่ในโลกแห่งการผิดหวังและสมหวัง  ในความสุขมักจะพบความทุกข์ ในความทุกข์มักจะแขวงไว้ด้วยความสุข  แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะค้นพบสัจธรรมในสุขและทุกข์ของชีวิตได้
การฟังธรรมะไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องง่ายๆ  ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลแต่เป็นเรื่องใกล้ๆ ตัว  ทุกคนสามารถกระทำได้ ทุกคนสามารถบำเพ็ญได้ แต่จะบำเพ็ญอย่างไร และบำเพ็ญทำไม บางครั้งฟังอยู่ก็อดสงสัยไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราถามท่านอย่างหนึ่ง หากคนๆ หนึ่งเวลาจะพูดอะไรเขาก็รู้จักระมัดระวังคิดแต่คุณธรรม คิดถึงแต่ความชอบ เวลาพูดออกไปย่อมไพเราะและดีงามเหมาะสม แล้วคนเช่นนี้เวลาที่เขาพูดจะมีคนฟังหรือไม่ (มี)  เหมือนอีกคนหนึ่งเขาจะกระทำสิ่งใดก็ตาม เขามักจะคิดถึงว่าถูกต้องดีงามหรือไม่ ชอบธรรมหรือเปล่า เมื่อเขากระทำออกไปย่อมสอดคล้องกับความถูกต้องดีงามและเหมาะสม เมื่อกระทำเช่นนี้แล้วความประพฤติของเขาย่อมเป็นที่น่าเคารพและยกย่อง  ถ้าหากว่าคนสองคนนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเวลาทำ เวลาพูด คิดถึงแต่ความดีงาม ความถูกต้อง คนๆ นี้ไม่ว่าพูดอะไรก็ย่อมมีคนฟัง ไม่ว่าการดำเนินชีวิตก็ย่อมมีคนเคารพและยกย่อง แต่ในชีวิตจริงเวลาเราพูดมีใครอยากฟังหรือเปล่า บางทีอยากฟังบ้าง ไม่อยากฟังบ้าง  เวลาที่เราดำเนินชีวิตมีใครเคารพและนับถือการดำเนินชีวิตเราหรือเปล่า  บางครั้งนับถือ บางครั้งดูไม่น่านับถือ แล้วสองคนนี้ต่างกันอย่างไร ใครคิดได้บ้าง นั่นคือ คนหนึ่งคิดในเรื่องความถูกต้องชอบธรรม ความดีงาม ส่วนอีกคนหนึ่งไม่คิดหรือถ้าคิดก็คิดถึงแต่ตน คิดถึงแต่ผลประโยชน์ คิดถึงแต่ความสะดวกสบาย  เรื่องถูกต้องชอบธรรมดีงามไม่ค่อยคิดถึง ผลของความประพฤติหรือผลของการดำเนินชีวิตจึงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หากคนๆ หนึ่งเมื่อยามมีชีวิตก่อนจะพูดก็คิดว่าถูกต้องดีงามและเหมาะสมหรือไม่ เมื่อพูดออกมาย่อมระมัดระวัง ย่อมสำรวมในการพูด และเมื่อพูดออกมาย่อมน่าฟัง และคนอยากฟังเพราะได้ไตร่ตรองผ่านการคิดแล้ว เมื่อเขาจะประพฤติปฏิบัติเขาก็คิดก่อนว่า ดีงามถูกต้องและชอบธรรมหรือไม่ กระทำลงไปแล้วมีความเมตตาและมีคุณธรรมหรือไม่ เมื่อเขาคิดแล้วผ่านการไตร่ตรองแล้วเขาจึงจะลงมือกระทำ ไม่ว่าจะพูดหรือกระทำเขาได้ผ่านการคิดถึงในด้านคุณธรรมความดีงาม ความเมตตา สิ่งที่เขากระทำออกมาย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าดีและถูกต้อง   แต่กับอีกคนหนึ่งเมื่อมีชีวิตดำเนินไปนึกอยากเดินก็เดิน นึกอยากจะชนก็ชน นึกจะตีเขาก็ตี ไม่เคยคิดถึงเรื่องคุณธรรมและความถูกต้องชอบธรรม ผลของการดำเนินชีวิตของคนสองคนจึงเกิดความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนกัน เราเป็นฟ้าหรือเป็นดินในขณะมีชีวิตอยู่  หากเราเป็นดินแปลว่า เมื่อเรามีชีวิตเราไม่คิด หรือคิดเหมือนกันแต่เราคิดในด้านเข้าข้างตน เห็นแก่ตน แต่ถ้าเราคิดถึงคุณธรรม ความถูกต้อง ความดีงาม คิดถึงมโนธรรมสำนึก ความยุติธรรม คิดถึงเขาคิดถึงเรา เวลาเรากระทำลงไปแล้วผลของการกระทำย่อมดีงามและไม่กระทบกระเทือนต่อผู้ใด ชีวิตของมนุษย์ก็ง่ายแค่นี้เอง  เราอยากพูดแล้วมีคนฟังขอให้คิดก่อนที่จะพูด เราอยากกระทำแล้วมีคนเคารพและมีคนเชื่อถือ ขอให้คิดสักนิดหนึ่งก่อนกระทำ  หากทุกขณะคิดและนึกถึงคุณธรรมความดีงาม ไม่ได้คิดเอาแต่อารมณ์ เอาแต่ตน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็อยากฟังเวลาเราพูด ใครๆ ก็อยากมองดูเวลาเรากระทำ  ถ้าปีใหม่แล้วเราทำได้เช่นนี้ ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ต้องรักเราและต้องการเรา ไม่ใช่ต้องการเราเพียงเพราะหน้าที่ เพราะเรามีความสำคัญหรือผลประโยชน์  อย่างนี้แล้วไม่ใช่ความต้องการที่น่าภาคภูมิใจ
มนุษย์เราอยู่ร่วมกันเพราะผลประโยชน์และความเห็นแก่ตน ไม่ใช่อยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรและรักใคร่กลมเกลียวอย่างแท้จริง จึงมีสำนวนปราชญ์สำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์เรานั้นแม้จะไม่มีญาติพี่น้องเลยสักคนเดียว แต่ทุกขณะที่เขาดำเนินชีวิต เขารู้จักคิดในสิ่งที่ดี รู้จักสำรวมความประพฤติระมัดระวัง ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รักเขาเหมือนญาติและมิตร”  หากเราทำได้อย่างนี้ทั่วโลกย่อมเป็นบ้านของเรา  แต่เดี๋ยวนี้เราไปอยู่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้องการ เพราะว่าอะไร  ต้องโทษเขาหรือว่าโทษตัวเรา ผิดที่เขาหรือผิดที่ตัวเรา นี่คือ ชีวิตที่น่าคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคนมีงานและหน้าที่ของตนเอง แล้วเราได้บรรลุในหน้าที่และทำสิ่งต่างๆ สำเร็จแล้วหรือยัง หากเรามีชีวิตเราประสบผลสำเร็จหนึ่งครั้งแต่เราไม่สามารถทำให้ความสำเร็จหนึ่งครั้งนี้สำเร็จไปตลอดชีวิต การสำเร็จหนึ่งครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นความสำเร็จที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นความสำเร็จที่เกิดจากตัวเราเองเป็นผู้ควบคุมความสำเร็จ  คนทุกคนต่างมีการงานและอาชีพ แล้วใครเคยสำเร็จการงานของตนเองสักครั้งหนึ่งบ้าง ท่านจะเลื่อนจากชั้นหนึ่งเป็นชั้นสองก็ต้องจบชั้นหนึ่งก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะสำเร็จจากการเรียนได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและผ่านการสอบก่อนจึงจะเรียนจบ จะทำงานได้ท่านก็ต้องเรียนสำเร็จก่อน  แต่ถ้ามนุษย์เราสามารถยึดกุมความสำเร็จและเอาความสำเร็จนั้นไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แล้วสามารถสำเร็จทุกๆ อย่างได้ อย่างนี้เรียกว่า สำเร็จในการทำงานเป็น  แต่ถ้าเราสำเร็จครั้งหนึ่ง แต่ครั้งอื่นๆ เราล้มเหลว นั่นก็แปลว่า ความสำเร็จนั้นได้มาเพราะฟลุค เปรียบเสมือนการยิงธนูหากคนเราจะฝึกยิงธนูให้แม่น แต่ถ้าภายในสิบดอกเขายิงแม่นหนึ่งดอกจะเรียกว่า เขายิงธนูแม่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกันเราจะมีความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่สำเร็จหนึ่งอย่าง แล้วที่เหลือล้มเหลวหมดทุกอย่าง อย่างนี้ไม่ใช่ผู้สำเร็จที่แท้จริง  ผู้ที่เก่งจริงสามารถยึดกุมความสำเร็จแล้วนำพาความสำเร็จนั้นให้สำเร็จในทุกๆ เรื่องได้ นี่ถึงจะเรียกว่า ผู้สำเร็จอย่างแท้จริง  ท่านเรียนหนังสือท่านรู้ว่าทำอย่างนี้จะสอบได้ที่หนึ่ง ท่านก็พยายามทำอย่างนี้ทุกๆ ครั้ง ท่านย่อมได้ที่หนึ่งทุกครั้ง  แต่ถ้าเราประมาทเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายท่านจะสำเร็จหรือไม่ (ไม่สำเร็จ) ไม่ว่าง่ายหรือยากปราชญ์จึงกล่าวไว้ว่า “ขอให้มองงานทุกอย่างเป็นงานที่ยาก แล้วจะไม่มีเรื่องยากในชีวิต” ทุกท่านว่าเป็นจริงหรือไม่ (จริง) การมีชีวิตก็เป็นเช่นกันทุกคนอยากจะพบกับความสำเร็จ  ปีใหม่ใครๆ ก็อยากทำอะไรแล้วสำเร็จ แต่จะทำแล้วสำเร็จได้นั้นเราต้องรู้จักมองงานนั้นอย่างไม่ประมาท อย่าดูเบางานนั้น แม้งานนั้นจะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เราต้องมองให้ยากไว้ก่อนแล้วเราจะไม่ประมาทและไม่พลาดในการทำงานนั้นๆ  ฉะนั้นชีวิตของคนเราก็เหมือนกันอย่ามองว่าเป็นเรื่องง่าย ในความง่ายนี้หากเราประมาทแม้เพียงเล็กน้อย กินข้าว นอนหลับ หรือทำงานก็อาจจะประสบภัยและอาจจะทำให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน  หากเรามองยากเสียแล้วก็จะไม่มีเรื่องยากให้ต้องเจอ  เราเตรียมพร้อมตั้งแต่ต้นเราก็จะไม่กลัวเมื่อเหตุหรือภัยมา เราป้องกันเหตุแล้วจะปลอดภัยเมื่ออันตรายมา เราพร้อมจะรับมือได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกมส)
การกระทำต่างๆ ดูแล้วเป็นเรื่องง่าย แต่เวลาที่เราจะกระทำหากเราไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่กำหนดมาให้ดี เราก็อาจจะเผลอแล้วผิดพลาดได้ มนุษย์เราจะทำอะไรสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราเอาชนะตัวเองได้ เราสามารถควบคุมและรู้จักตนเอง  เหมือนสำนวนปราชญ์หรือสำนวนพิชัยการรบกล่าวไว้ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”  แต่หลายๆ คนรู้เขาไม่รู้เราหรือบางคนรู้เราไม่รู้เขาก็เลยรบกี่ครั้งก็แพ้ทุกที  บางคนเวลาทำงานน่าจะสำเร็จด้วยดี แต่ผลสุดท้ายพอถึงบั้นปลายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะเราไม่สามารถยึดกุมใจตอนต้นและรักษาให้เหมือนตอนปลายได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนเราอ่านหนังสือวันนี้เราตั้งใจ แต่พอใกล้สอบจริงๆ เราประมาท เราอ่านมาเต็มที่แล้วแต่ผลสุดท้ายอาจจะสอบไม่ผ่านก็ได้  ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตเมื่อเราตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว อยากประสบสำเร็จอย่างที่หนึ่ง ต้องไม่ดูเบา ไม่ดูเบาก็คือ ไม่ประมาท อย่างที่สอง ตั้งใจมุ่งมั่น ตอนต้นอย่างไรตอนปลายต้องอย่างนั้น เราถึงจะสำเร็จได้ ไม่พบความล้มเหลวและพบความลำบาก เราบอกวิธีหาความสำเร็จให้กับท่านแล้ว ท่านคงรู้แล้วว่าฟ้าจะช่วยคนก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นรู้จักช่วยตนเอง กราบไหว้ฟ้าให้หายโรค ให้รวย ให้เก่ง ฟ้าจะทำให้ท่านเก่งได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ท่านเก่งได้หรือไม่ (ไม่ได้)  บางทีได้เหมือนกันแต่ได้แบบโชคช่วย  แต่ได้หนึ่งครั้ง ครั้งต่อไปล้มเหลวจะมีประโยชน์อะไร  สู้ไม่ได้หนึ่งครั้งแต่สามารถยึดกุมแนวทางได้ และนำพาให้ประสบความสำเร็จในตอนท้ายได้ย่อมดีกว่า
คนในห้องนี้เป็นเสือยิ้มยาก พอเรายิ้มด้วยท่านก็ไม่กล้ายิ้มอยู่แบบไม่หวังดีกว่าอยู่แบบหวังแล้วหวังอีก เพราะว่าอยู่แบบหวังแล้วหวังมักจะผิดหวังทุกหวัง  ฉะนั้นอยู่แบบไม่หวังและไร้หวังดีกว่าจะได้ไม่เศร้าเสียใจ เพราะใจมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงแล้วก็คิดอะไรร้อยแปดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากเดา แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าสามารถเห็นได้ว่าต่อไปท่านจะเป็นอย่างไร แต่พอถึงเวลาจริงๆ มนุษย์ก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผิดหวังทุกทีหรือทำอะไรเหนือความคาดหวังอยู่เสมอ  หวังว่าท่านจะเดินไปให้ตรงมุ่งไปให้ถึงหรือวิ่งไปให้ถึง แต่แล้วพอวิ่งหรือเดินไปสักพักหนึ่งก็ไม่ไหวแล้ว  ฉะนั้นตัวท่านเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะไปหวังกับใครได้บางครั้งต้องคิดกลับ  ฉะนั้นเราทำตัวให้ดีก่อน ทำตัวให้มั่นคงก่อน ทำตัวให้สมหวังก่อน  คนอื่นนั้นจะเป็นอย่างไรคือเรื่องของเขา คนอื่นจะไม่ถูกใจเรา นั่นคือ เรื่องของเขา แต่ถ้าเราดีแล้วแม้เขาจะผิดหวังไปรับรองเขาต้องกลับมาเพื่อจะมาหาความสมหวังในตัวเรา  ฉะนั้นทำตัวให้ดีไว้แล้วรับรองคนเขาแม้จะล้มแม้จะผิดอย่างไรเขาก็จะมาหาท่าน ถึงตอนนั้นท่านจะยื่นอะไรไปให้เขา เขาก็รับ เขาก็เชื่อ
"คลายกังวลเพิ่มลดงานตามตะวัน"  ตะวันคืออะไร (พระอาทิตย์)  พระอาทิตย์คืออะไร (ตะวัน)  พระอาทิตย์คือ ตะวัน ตะวันคือ ลูกกลมๆ ที่ส่องแสง  สองวันนี้ก็เหมือนกัน เราบอกว่าจะให้ท่านมาฝึกฝนบำเพ็ญตนก็เหมือนกับคนตาบอดถามถึงพระอาทิตย์  ถ้าเราบอกว่าพุทธะคือ วงกลมๆ พอเห็นอะไรกลมๆ ท่านก็บอกว่าเป็นพุทธะ  ถ้าอย่างนั้นนาฬิกาก็เป็นพุทธะใช่หรือไม่  แล้วก็มาบอกว่าพุทธะที่สอนนั้นไม่ได้เรื่อง สอนผิดๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คนที่ตาบอดต่างหากไม่รู้จักพลิกแพลง เหมือนเวลาเราอยู่ในโลกนี้ทุกคนก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วก็ถูกต้อง พูดแล้วใครๆ ก็ฟัง ใครๆ ก็เชื่อ แต่บ่อยครั้งที่พูดแล้วไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ เพราะอะไร  เพราะมนุษย์บางคนมักยึดมั่นในความคิดของตัวเอง เหมือนบอกว่าหนึ่งก็เป็นหนึ่ง ไก่ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นไก่ แต่พุทธะไม่คิดอย่างนั้น  เมื่อบอกว่าไก่บางทีอาจจะมีลูกเจี๊ยบ  เมื่อบอกว่าหนึ่ง พุทธะอาจจะนับต่อไปสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ  วันนี้เราบอกว่าท่านบำเพ็ญตนสามารถเป็นคนที่มีความสุขได้ เป็นคนที่สำเร็จในชีวิตได้ต่อเมื่อเรายึดในสิ่งที่ถูกต้อง  แล้วการเป็นผู้สำเร็จในการดำเนินชีวิตย่อมเป็นแบบที่ดีงามให้คนต่อๆ ไปได้ปฏิบัติตาม เมื่อเป็นแบบที่ดีงามก็ย่อมเป็นพุทธะได้หนึ่งขั้นแล้ว การจะเป็นพุทธะได้ บางคนก็คิดว่าทำไม่ได้ ไก่อย่างไรก็เป็นไก่ คนอย่างไรก็เป็นคนไม่มีทางเป็นพุทธะได้  เหมือนท่านมักจะพูดว่าเราก็ยังเป็นมนุษย์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร แต่อย่าลืมว่าไก่หนึ่งตัวบางทีไปอยู่ที่อื่นอาจจะให้ลูกให้หลานได้  คนหนึ่งคนไปอยู่ที่ที่หนึ่ง อาจจะเปลี่ยนแปลงจากคนเป็นพุทธะได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาเลือกทางใดให้กับชีวิต  หากบอกว่าเมตตาธรรมคือ มีบ้านอันร่มเย็น บ้านอันแสนสุข คุณธรรมคือ หนทางอันสว่างไสวที่นำคนไปสู่นิพพาน หากคนคิดว่าคนเป็นคน แม้จะมีบ้านร่มเย็น มีทางสว่างไสวเขาก็ยังมีความเป็นคนอยู่วันยังค่ำ บ้านก็เป็นบ้าน ทางก็เป็นทาง เขาไม่คิดที่จะเอามาใช้ให้สอดคล้อง   มนุษย์เราหากคิดกลับกันเป็นหนึ่งอย่างไรต้องออกไปสองสามสี่ได้ เป็นคนอย่างไรก็ต้องเป็นพุทธะให้ได้ เขาย่อมอิงเมตตาธรรมและเดินสู่คุณธรรม  เพราะอะไรถึงต้องอิงเมตตาธรรมแล้วเดินสู่คุณธรรม คนที่จะเป็นพุทธะได้ หากไม่มีเมตตามิอาจเรียกว่า พุทธะ หากไม่คำนึงถึงคุณธรรมมิอาจเรียกว่า บำเพ็ญตน  ฉะนั้นเราจะพูดเรื่องพุทธะจึงไม่ควรลืมเรื่องเมตตาธรรมและคุณธรรม  ฉะนั้นตอนนี้มีบ้านอันร่มเย็น มีทางอันสว่างไสวขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้ไก่จะยอมเป็นแค่ไก่หรือไม่ คนจะยอมเป็นแค่คนธรรมดาหรือจะผันตนเองเป็นพุทธะ  ฉะนั้นอยู่ที่ท่านแล้วเป็นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเราตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจ เดินหรือไม่เดินเท่านั้นเอง การบำเพ็ญธรรมคือ ตรงแล้วไม่งอ คดแล้วไม่หวั่นไหว นี่คือ สำนวนที่พุทธะกับพุทธะเขาคุยกัน ตรงไว้ไม่งอนั่นก็คือ มุ่งมั่นแล้วไม่เปลี่ยนแปลง คดแล้วไม่หวั่นไหว นั่นก็คือ ผิดแล้วยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำและพร้อมที่จะแก้ไข ไม่หวั่นไหวว่าใครจะว่าอะไร พร้อมจะแก้ไขว่าตนเองนั้นคดแล้ว  แต่มนุษย์เราตรงแล้วก็หงิกๆ งอๆ งอแล้วก็ตุปัดตุเป๋  ฉะนั้นอยากฟังเสียงพุทธะ อยากได้ยินเรื่องของพุทธะ ตัวท่านนั้นจะยืนอยู่แดนโลกหรือจะยืนอยู่แดนพุทธะ (แดนพุทธะ)  ต้องเข้ามาในแดนพุทธะจึงจะได้ยินเสียงแห่งพุทธะและมองเห็นพุทธะ  แต่การจะเข้าถึงพุทธะนั้นต้องตัดให้ได้ซึ่งรูปและนาม ถ้าตัดไม่ได้ซึ่งรูปและนามจะไม่มีวันพบพุทธะ
รูปหมายถึงสิ่งใด นามหมายถึงสิ่งใด (นามคือ สิ่งที่เรามองไม่เห็น, รูปคือ ความสัมผัสได้)  ลองยกตัวอย่างนามที่หมายถึง สิ่งที่มองไม่เห็น (ชื่อเสียง)  นามคือ สิ่งที่สัมผัสไม่ได้  รูปคือ สิ่งที่เราสัมผัสได้
คนเดี๋ยวนี้มักจะลืมกิน ลืมนอน ลืมเหนื่อยเพียงเพื่อให้ตัวเองมีเงินมากๆ  มนุษย์เรายอมหยุดเพราะว่าอะไรบ้าง เพราะเราได้ยินเสียงอันไพเราะ เรายอมหยุดเพื่อได้กลิ่นอันหอมหวล เรายอมหยุดเพื่อได้เห็นคนสวยๆ  แต่จะมีใครสักกี่คนที่ได้ฟังธรรมะอันถูกต้องดีงามแล้วยอมหยุด จะมีใครสักกี่คนที่บำเพ็ญธรรมอย่างไม่เหน็ดไม่เหนื่อยถึงขนาดลืมกินลืมนอน ลืมวันลืมคืน ลืมความเหนื่อย คงเห็นแต่ปราชญ์โบราณเท่านั้น คนยุคนี้คงหาไม่เจอแล้ว ปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ว่า “เมื่อศึกษาก็ถึงกับลืมกินลืมนอน  เมื่อช่วยเหลือคนก็ถึงกับลืมวันลืมคืน ลืมว่าอายุเท่าไร”  แต่มนุษย์เราไม่ใช่เมื่อรักเขาก็อยากให้เวลาหยุดไว้เท่านี้  เมื่ออยากให้ตัวเองมั่งมีก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  เมื่อตัวเองติดทีวีก็ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนอยู่จนย่ำรุ่ง แต่ถ้าบอกว่าให้มานั่งฟังธรรมะจนกระทั่งรับปีใหม่ มีใครคิดแบบนี้บ้างมีแต่ไปนั่งดูทีวี  มีคนบอกว่าจะปีใหม่แล้ว จะเที่ยงคืนแล้วก็ไม่เป็นไรจะดูต่อ  นี่คือความแตกต่างระหว่างคนกับพุทธะที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน  แต่ถ้าเมื่อไรเราทำได้เหมือนอย่างท่าน เราก็จะได้เป็นอย่างท่านสักวันหนึ่ง แต่คนไม่ยอมทำมัวห่วงเรื่องกิน มัวห่วงเรื่องความสวย ความหล่อ  มัวห่วงเรื่องเงินในกระเป๋ายังไม่มี จึงทำให้เราไม่เคยได้ค้นพบความเป็นพุทธะสักวันหนึ่งเลย  จะมีใครสักกี่คนเมื่อเวลาได้ยินธรรมะแล้ว หยุดยั้งที่จะฟังและคิดที่จะทำตาม กลับไม่มี  เมื่อเห็นใครที่สวยเราอยากแต่งตัวให้สวยอย่างเขา  แต่จะมีใครบ้างที่เห็นคนทำความดีแล้วเราคิดอยากจะทำความดีได้อย่างเขา  หากถามว่ามีกี่คนที่คิดเรื่องธรรมะ มีกี่ชั่วโมงที่เราคิดถึงเรื่องความดีงามแห่งจิตใจและแห่งตัวตน ถ้าเทียบเป็นเวลาแล้วก็เหลือแค่นิดเดียวเองที่เราคิดถึง จริงหรือไม่ (จริง)  จึงเป็นเรื่องน่าตกใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์  หากทุกคนคิดทุกวัน ทุกนาทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องลงมาให้เหนื่อย ไม่ต้องลงมาเรียกร้องกวักมือเรียกให้มาบำเพ็ญธรรมะ  หัดคิดแต่เรื่องที่ดีและสิ่งที่ดี  แต่เดี๋ยวนี้คนกลับถอยหลังลงคลองหมดแล้ว  บอกว่าไปห้องพระ ไม่เอายอมอยู่ห่างจากพุทธะ ยอมอยู่ห่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตใจเช่นนี้น่าเศร้ายิ่งนัก  คิดง่ายๆ หากท่านมีลูก ท่านดูเขาออกเลยว่าเขาคิดอย่างนี้ ถ้าปล่อยให้เขาเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รับรองชีวิตเขาไม่มีความสุข บั้นปลายเขาไม่มีความเจริญ  ถ้าท่านเห็นลูกเป็นอย่างนี้ท่านจะปล่อยให้เขาเดินต่อไปหรือไม่ (ไม่)  หากมีเวลาท่านคงอยากจะหยุดและพูดให้เขารู้และอยากจะให้เขากลับมาดี  พุทธะก็เหมือนกันเห็นท่านไปแบบนั้นก็ทนไม่ได้ต้องรีบมาดึงก่อน ก่อนที่ม้าจะขี่เตลิดไปไกลกว่านี้ ก่อนที่ใจจะยากหยุดยั้งไปมากกว่านี้  เพราะอะไรมนุษย์จึงยากที่จะอยู่ตรงนี้ได้อย่างมั่นคง ยากจะบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่ง  เพราะว่า หนึ่ง เรายังอดอยากมีไม่ได้  สอง เรายังอดโลภไม่ได้  สาม เรายังติดความสุขในโลกโลกีย์นี้  บอกให้มนุษย์หยุดเดินบางครั้งยังง่ายกว่าบอกให้เขาไปเดินเสียอีก   และบอกให้เขาหยุดเดินบางครั้งยังง่ายกว่าบอกให้เขาเดินแบบไร้ร่องรอยเสียอีก  จะมีใครที่อยู่ในโลกนี้แล้วสร้างแต่สิ่งที่ดีไม่เหลือร่องรอยแห่งความชั่วร้ายให้คนนึกถึง  เมื่อมีชีวิตตัวเองต้องได้ ตัวเองต้องดี  คนอื่นรับทุกข์ไปไม่สนใจเขา อย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ถ้าเกิดว่าเรามั่งมีแต่คนอื่นยากจน ท่านยังอยากมั่งมีหรือไม่ (ไม่อยาก)  ถ้ามนุษย์เราอยากแล้วไม่รู้จักหยุดก็จะเป็นอันตราย  เมื่อมีแล้วไม่รู้จักพอย่อมเดือดร้อน  เพราะฉะนั้นแม้จะอยากอย่างเปี่ยมล้นก็ไม่สู้รู้จักหยุดอย่างพอเหมาะพอควร  แต่หยุดอย่างพอเหมาะพอควรก็ไม่สู้ไม่เอาเลย ทำได้หรือเปล่า คงจะยาก จะมีใครสักกี่คนเมื่อเห็นประโยชน์ตรงหน้าแล้วคำนึงถึงภัยที่จะตามมาภายหลัง ทุกคนเมื่อเห็นทองก็หยิบทองก่อน แล้วค่อยนึกถึงอันตราย มีใครสักกี่คนเมื่อเห็นทองแล้ว คิดว่าอย่าเอาเลย เอาไปแล้วเดี๋ยวเป็นอันตราย ไม่มีใครคิดเลยใช่หรือไม่  เหมือนในโลกนี้ถ้าคนเราก่อนที่จะแสวงหาเราคิดถึงภัย เราจะไม่ต้องพบความทุกข์ยากเลย  แต่ทุกวันนี้ที่ผ่านมาทั้งร้อนและหนาวต้องทุกข์ยากและต้องเดือดร้อนก็เพราะว่า มัวแต่ห่วงประโยชน์จนลืมคำนึงถึงโทษและภัยที่จะตามมา แล้วทำไมยังห่วงกันอีก ทำไมยังอดโลภไม่ได้ ยังอดหลงไม่ได้อีก  เรามัวรักตัวเองมากเกินไป ไม่อยากให้เขามาตี ไม่อยากให้เขามาว่า  หากท่านมีเพื่อนสองคน คนหนึ่งเข้าใจเราทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งตรงข้ามเราทุกอย่าง ท่านจะคบคนไหน  บ่อยครั้งคนที่ตรงข้ามเราทุกอย่างก็ให้แง่คิดและให้ความรอบคอบแก่เรา อย่าได้ลืมมนุษย์เรามักจะปล่อยตัวเองไปในสิ่งที่ตัวเองชอบ  ลืมไปในทางที่ตัวเองไม่ชอบ จึงพูดว่าระหว่างโลกีย์กับธรรมะ เราเลือกไปโลกีย์มากกว่าไปธรรมะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ให้นักเรียนเล่นเกมสโดยทำท่าที่ตรงข้ามกับคำสั่ง)
เวลาบอกนั่งให้ยืน บอกยืนให้นั่งเป็นการกระทำที่ตรงข้ามคำสังซึ่งเป็นการยากที่จะกระทำและยากที่จะฝึก แต่ไม่ใช่ผิดแล้วก็ไม่ฝึกเลย  ผิดแล้วก็ยังต้องพร้อมที่จะฝึกต่อไป  บำเพ็ญแล้วแม้จะยังเป็นคนไม่ดีอยู่แต่ก็ยังคิดที่จะบำเพ็ญต่อไป ต้องรู้จักแก้ไขให้ดีขึ้น ทำได้หรือไม่ (ได้)
“กล่าวมุสาเลิกแล้วแคล้วเรื่องวุ่น”  ใครชอบโกหกเป็นนิจ คนที่โกหกเรื่อยๆ จะเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ คนที่ไม่สามารถรักษาธรรมได้เรื่อยๆ จะเป็นคนไร้ธรรม  ฉะนั้นนับจากวันนี้ไปขอให้ทุกขณะจิตทุกขณะชีวิตพยายามมีธรรมอยู่ตลอดได้หรือไม่ การมีชีวิตอย่าได้คิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น  พยายามนึกถึงเขานึกถึงเราอยู่เสมอได้หรือไม่ (ได้) ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงบอกว่า แม้ว่าเราจะทำอะไร ขอให้เรานึกถึงคนอื่น ถ้าเราเป็นคนที่นึกถึงคนอื่นทุกขณะ เราจะเป็นที่รักของทุกคน  แต่ถ้าทุกขณะจิตเรานึกถึงแต่ตัวเองจะไม่มีใครรัก แม้แต่ตัวเราเองบางครั้งก็ลืมรักตัวเอง  เพราะว่าคนที่รักตัวเองจะไม่ทำร้ายตัวเอง คนที่รักตัวเองจะพาตัวเองไปสู่ความสว่าง คนที่รักตัวเองจะไม่พาตัวเองไปอยู่กับสุขๆ ทุกข์ๆ  ฉะนั้นทุกขณะจิตหากเรามีคุณธรรมและเมตตาธรรม เราจะเป็นคนที่รักเขาและเขาก็รักเราได้ เราจะเป็นคนที่ยอมไม่รักตัวเองแต่ยอมรักเขาได้แล้วเขาก็จะยอมไม่รักตัวเขาแล้วรักตัวเราได้ ซึ่งเป็นความรักที่ดีที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างนี้ บ่อยครั้งที่เรามีชีวิตเราอดไม่ได้ที่ตัวเองต้องดีก่อน ตัวเองต้องสุขก่อน ตัวเองต้องมีก่อนแล้วคนอื่นค่อยมีตาม ค่อยสุขตาม แต่จะมีใครสักกี่คนที่ตัวเองน้อยก่อนแล้วให้คนอื่นมีก่อน ถ้าเราทำได้เช่นนี้เราก็คือ คนที่ฝึกฝนบำเพ็ญตนพร้อมจะเป็นพุทธะ พร้อมจะเป็นแบบอย่างหรือพร้อมจะเป็นต้นโพธิ์ที่ร่มเย็นให้คนได้อิงอาศัย
ชีวิตเราจะเพิ่มขึ้นหรือจะลดลงอยู่กับมือของเราเอง จะเป็นคนดีหรือจะเป็นคนร้าย จะเป็นคนที่เอาแต่ขอหรือจะเป็นคนที่รู้จักให้ขึ้นอยู่ที่มือนี้  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขึ้นอยู่กับเราทำหรือไม่ทำ ลงแรงเบาหรือลงแรงหนัก ถ้าลงแรงหนักมีใจมั่นคงย่อมสะเทือนใจให้เขาทำตามได้  แต่ถ้าลงแรงเบาแม้จะกินใจแต่คนก็ยากจะคล้อยตามได้  ชีวิตของคนเราหากเราเป็นแบบอย่างที่ดีไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องถาม รับรองมีคนทำตาม  อยากสอนลูกโดยไม่ต้องเหนื่อยปากคอแหบคอแห้งหรือเปล่า (อยาก)  นั่นก็คือ เราต้องเป็นตัวอย่าง  ตัวเราต้องทำเป็นแบบอย่างถ้าเราไม่สนใจธรรมะเลยลูกเราจะกตัญญูหรือเปล่า ถ้าท่านไม่เคารพพี่เลย น้องท่านจะเคารพท่านหรือเปล่า ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้อะไร (ถั่ว)  อาจจะได้แตงก็ได้เพราะว่าถั่วโดนเหยียบไปเรียบร้อยแล้วเลยมีแตงขึ้นมาแทนเพราะว่าถั่วไม่น่าสนใจ  เราพูดผิดหรือเปล่า ไม่ผิดเพราะคนบางคนทำไมถึงเติบโตได้ ก้าวหน้าพัฒนาเป็นที่ต้องการของสังคมได้ก็ขึ้นอยู่กับตรงนี้ เขามีชีวิตเพื่อใคร เขาทำอย่างเห็นแก่ตนหรือไม่ แม้จะเป็นถั่วก็เป็นถั่วที่มีคุณค่าได้
“ชีวิตอย่ารอหวังสิ่งปาฏิหาริย์หนุน”  ใครอยากพบเรื่องปาฏิหาริย์ในชีวิตบ้าง เราอย่าลืมว่าปาฏิหาริย์ไม่มีจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ปาฏิหาริย์จะเกิดได้เมื่อคนเราเอาชนะฟ้าได้ แล้วฟ้าก็จะให้ปาฏิหาริย์แก่เขา แต่จะมีใครบ้างที่สามารถทำแล้วชนะใจฟ้า  ท่านเคยเชื่อหรือไม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงได้ มีได้เหมือนกันขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเขาสามารถเอาชนะคนได้หรือยัง ถ้าทำได้เมื่อนั้นความดีของเขาจะสะเทือนฟ้าและปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้น  ฉะนั้นอยู่ที่ตัวเราเองเกิดเป็นคนไม่ใช่มีแค่การแสวงหา แค่รัก โลภ โกรธ หลง มีชื่อเสียง ไร้ชื่อเสียง  แต่ความเป็นคนนั้นยังมีสิ่งที่ล้ำเลิศกว่าและประเสริฐกว่านั่นก็คือ การหลุดพ้นและค้นพบความเป็นจริงแห่งชีวิตตนค้นพบความเป็นตัวตนที่แท้จริงที่เป็นพุทธะ แต่จะมีสักกี่คนที่ท่ามกลางชีวิตนี้จะค้นพบความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง  ตราบใดที่เขาไม่สามารถเอาชนะรัก โลภ โกรธ หลงได้ ตราบนั้นแม้เขาจะบำเพ็ญก็ไม่มีทางพบพุทธะได้  แล้วเอาชนะอะไรให้ได้เราถึงจะพบพุทธะได้นอกจากเอาชนะตนเอง (เอาชนะกิเลสทั้งปวง, ความอยาก )  กิเลสในตัวเรานั้นมีมากมายนอกจากรัก โลภ โกรธ หลง บางครั้งตัวตนก็ขวางความเป็นพุทธะได้เหมือนกัน บางทีความอยากก็เป็นตัวขวางที่ใหญ่เหมือนกัน แต่เราจะทำอย่างไรให้คนที่ยังอยากอยู่ในรัก โลก โกรธ หลงนี้หยุดสิ่งต่างๆ ได้ แล้วค้นพบความเป็นพุทธะ อันนี้เป็นวิ่งที่น่าคิดแล้วท่านอยากรู้และอยากตัดให้ได้หรือไม่ (อยาก) อย่างแรกก็คือ ต้องทำให้ชอบก่อนเพราะเมื่อเราชอบเราจะรัก และเมื่อเรารักเราจะมีความมุ่งมั่นไปให้ถึง ฉะนั้นต้องมีใจที่รักก่อน หากเรามีใจที่รักจะบำเพ็ญจะบรรลุให้ถึงเราย่อมกระทำสำเร็จได้ แล้วทำอย่างไรถึงจะรัก ก็ต้องรู้จักมาห้องพระบ่อยๆ มาทำใจให้เปิดกว้างและรับให้ได้ จากเกลียดก็เปลี่ยนเป็นรักได้ด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ใจจะเปิดกว้างได้ก็ต่อเมื่อรู้ความเป็นจริงของสรรพสิ่ง หากมนุษย์เราไม่เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่งก็จะไม่มีวันเปิดกว้างและรับสิ่งต่างๆ ได้  นั่นก็คือ สรรพสิ่งย่อมมีเกิดย่อมมีดับ แล้วการดับนั้นย่อมดับไปตามอะไร (อายุและกาลเวลา)  แต่การไปของสิ่งต่างๆ ที่ดับนั้นล้วนไปตามสภาพที่เป็นไป เช่น ร่างกายเราดับธาตุบางธาตุย่อมไปกับน้ำ ธาตุบางธาตุไปกับดิน ธาตุบางธาตุไปกับลม ธาตุบางธาตุไปกับไฟ จิตก็ไปกับสภาวะที่จิตได้กระทำไว้  ถ้าเมื่อไรเราสามารถเข้าใจถึงการเกิดและการดับและรู้ว่าสรรพสิ่งนั้นล้วนไม่เที่ยง เมื่อเราเข้าใจถึงความไม่เที่ยงแล้วเราจะพบความสงบ เมื่อไรที่ท่านพบความสงบในคำว่า “ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน” แล้ว ท่านจะเห็นแจ้ง เมื่อใดที่ท่านเห็นแจ้งแล้วใจท่านจะเปิดกว้าง เมื่อเปิดกว้างแล้วท่านจะรับได้ทุกสิ่ง เมื่อรับได้ทุกสิ่งท่านจะยุติธรรม และเมื่อใดเรายุติธรรมแล้วเราจะบริสุทธิ์ และเมื่อเราบริสุทธิ์เราก็คือ ธรรมชาติ
แต่เพราะอะไรมนุษย์เราถึงรับไม่ได้และไม่เที่ยงธรรม ก็เพราะเราไม่ยอมรับ เมื่อไม่ยอมรับเราย่อมไม่ยุติธรรม เมื่อไม่ยุติธรรมเราย่อมยากบริสุทธิ์ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนความรู้เป็นความเข้าใจ จากความเข้าใจเป็นความเปิดกว้าง ความเปิดกว้างเป็นความน้อมรับ แล้วเมื่อเปิดกว้างและน้อมรับเราย่อมมีความเที่ยง เมื่อไรที่เราเที่ยงเราจะพบความบริสุทธิ์ เมื่อไรที่เราเที่ยงบริสุทธิ์เราจะเป็นธรรมชาติ และเราอยู่ได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ
พูดเรื่องเกิดดับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนรู้และเข้าใจ แต่ทุกคนไม่รู้แจ้งอย่างแท้จริง  แต่หากมีความพยายามสิ่งที่ยากก็กลายเป็นง่ายได้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ อย่าฟังแล้วคิดว่าดี เข้าใจ จะพยายามทำแต่กลับบ้านไปก็เหมือนเดิมไม่มีประโยชน์อะไร ต้องรู้จักที่จะนำเอาไปใช้ให้ได้ แล้วท่านจะค้นพบความสุขที่แท้จริงและความอิสระบนโลกใบนี้  แต่จะมีสักกี่คนที่มีอิสระแล้วไม่ดื้อด้านและไม่เห็นแก่ตน ทุกคนมีอิสระได้แต่อิสระของคนบางคนมักจะดื้อด้านและเห็นแก่ตนอย่างนี้ไม่เรียกว่า อิสระที่แท้จริง  อิสระที่แท้จริงคือ อิสระที่ไม่ดื้อด้านสอดคล้องกับธรรมชาติและไม่เคยเห็นแก่ตน เพราะว่าไม่มีตนให้เห็น
เรามาจากฟ้าเราก็อยากกลับคืนฟ้า แม้เราไม่รู้ว่าเรามาจากไหน แต่ระหว่างการเลือกฟ้าและเลือกดิน  ทุกคนก็ต้องเลือกฟ้าไม่มีใครเลือกที่จะลงต่ำ ชีวิตก็เหมือนกันทุกคนก็เลือกความก้าวหน้าและความสำเร็จ มาจากสว่างก็อยากไปอย่างสว่าง ถึงแม้มาจากมืดก็อยากที่จะกลับไปสว่าง ไม่มีใครมามืดแล้วอยากกลับมืด ฉะนั้นทางสว่างอยู่แห่งใด ทางมืดไปอย่างไร ทุกคนรู้ได้
การที่จะเอาชนะจิตใจที่เป็นอกุศล  จิตใจที่คิดไม่ดี  จิตใจที่เห็นผิดเป็นชอบ จิตใจที่ถือแต่ทิฐิมานะของตน  จะแก้ไขได้ต้องใช้ความเปิดกว้าง ใช้ความสว่างไสวของจิตใจมาช่วยชำระล้าง เราถึงจะเอาชนะและค้นพบความเป็นจริงได้
“ศึกษาธรรมอย่ารอแต่คนตาม เวลาสามอย่างไรให้หาเจียดได้”
ทุกคนมีเวลาที่จะให้กับการบำเพ็ญธรรมมบ้างได้หรือไม่ ทุกคนมีได้แต่อยู่ที่ว่าจะเจียดเวลามากน้อยแค่ไหน เกิดเป็นคนทั้งทีเอาแต่หาลาภยศเงินทอง จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่รู้จักคุณค่าของตัวตนเดิม
“บำเพ็ญคือโอกาสวิ่งมาคว้าไป”  ตอนนี้เป็นโอกาสของทุกท่านแล้ว โอกาสวิ่งมาข้างหน้าแล้ว เราจะคว้าเอา เราจะสนใจศึกษาหรือไม่  การบำเพ็ญธรรมนั้นถ้าท่านทำได้ ไม่ใช่เราดี ไม่ใช่เราจะเลิศลอย แต่ตัวท่านเองต่างหากที่ดี
บางครั้งเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่มีตัวเราคนเดียว  เรายังมีคนพ่วง เรายังมีคนที่ต้องนำพา เรายังมีคนที่ต้องดูแลและเอาใจใส่  คนที่ถูกดูแลเอาใจใส่ก็อย่าลืมมองคนข้างหน้าบ้าง อย่าลืมสนใจคนข้างหน้าบ้าง มีเราได้ก็เพราะมีเขา  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีต้องจิตสำนึกคุณอย่าได้หลงลืมไป ไม่ใช่ตนเองมีความสุขแต่ไม่เคยนึกถึงความทุกข์ยากของพ่อแม่ ไม่ใช่ตนเองยินดีปรีดาแต่ไม่เคยมอบความยินดีปรีดาให้กับพ่อแม่ เช่นนี้แล้วก็ยากจะเรียกว่า คนรู้บุญคุณคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่ามกลางความสุขบ่อยครั้งแลกมาด้วยน้ำตา แลกมาด้วยหยาดเหงื่อของคนอื่นก็มี หลายๆ คนในที่นี้อายุยังน้อย ขอให้คิดว่าความสุขที่เราได้มานั้นเป็นการแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของใครหรือเปล่า เป็นการแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของพ่อแม่หรือไม่  หากเป็นการแลกมาเราขอไม่สุขย่อมจะดีกว่า  ฉะนั้นเราเป็นเด็กก็ต้องเป็นเด็กที่รู้จักคำนึงและนึกถึงพ่อแม่ของตนเองด้วย ไม่ว่าเราไปอยู่กับผู้ใหญ่ที่ไหน เราก็รักเขาเคารพเขาเหมือนพ่อแม่ เขาย่อมเอ็นดูเราเหมือนลูก   เราบำเพ็ญตนไม่ใช่รักแค่ครอบครัวของเราแต่เรายังรักคนอื่นอย่างเช่นครอบครัวของเรา คนอื่นก็จะรักเราเช่นลูกหลานได้เหมือนกัน นี่คือ ความเป็นจริงแห่งหลักธรรม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลง “พายเรือธรรม” )
เราอยู่เรือลำเดียวกันแล้ว เราจะฉุดดึงกัน เราจะช่วยกัน และนำพากันไปให้ถึงฝั่งดีหรือไม่ (ดี)
"อนุเคราะห์คนช่วยโลกจึงเจอฝั่ง" เราพูดกับทุกท่านไปตั้งมากมาย แต่ถ้าท่านฟังไม่เข้าใจและไม่ได้นำไปปฏิบัติก็ย่อมไร้ค่า เกิดเป็นคนทั้งทีขอให้มีความมุ่งมั่นให้กับตนเอง  มุ่งมั่นอะไร อย่าได้มุ่งมั่นแต่ลาภยศเงินทองเลย ขอให้มุ่งมั่นแต่ช่วยเหลือคน จะเป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และนำพาคนกลับคืนเบื้องบนได้ พุทธะที่สำเร็จล้วนมีปณิธานมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือคน ล้วนมีปณิธานที่จะอนุเคราะห์นำพาคนให้พ้นจากทะเลทุกข์ ไม่คิดช่วยตนอย่างเดียว แต่พร้อมจะช่วยผู้อื่นแม้ตนเองจะยังทุกข์อยู่ก็ตาม  หากมีคนทำได้เช่นนี้นับว่าเป็นคนที่ใกล้จะเจอฝั่งพุทธะแล้ว  ไม่เห็นแต่ความทุกข์ของตนเอง แต่พร้อมจะดึงคน แม้ตนเองยังทุกข์ยากก็ตาม  นี่แหละคือ คนประเสริฐ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้ แต่เราก็หวังว่าคนในนั้นจะเป็นคนในนี้ได้ทั้งหมดเลย  ขอให้ท่านทำให้ได้
 ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว การบำเพ็ญธรรมก็คือ การตั้งมั่น มุ่งมั่นเป็นคนดี เป็นคนดีแล้วยังช่วยคนและทำแบบอย่างที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีนำพาคน บำเพ็ญธรรมไม่ยากเลย เราเคยทำบุญทำกุศลอย่างไร ก็ยังทำบุญทำกุศลอย่างนั้น เคยตั้งใจจะเป็นคนดีอย่างไรก็ขอให้รักษาความดีให้ได้อย่างนั้น แต่เมื่อดีแล้วยังมีใจเผื่อแผ่นำสิ่งที่ดีให้คนได้รู้ ให้คนได้รู้จักช่วยตนเองด้วย นั่นแหละถึงจะเรียกว่าเป็นคนดีที่มุ่งหวังในความดีอย่างแท้จริง แล้วความดีนั้นก็ยังเป็นความดีที่เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้ด้วย ทุกคนในที่นี้เป็นพุทธะได้ ทุกคนในที่นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ขอให้เจียดเวลาสักนิดหนึ่ง แบ่งเวลาสักหน่อยหนึ่ง อย่าคิดถึงแต่ตนเองมาก เอาเวลาที่มีอยู่นั้นไปช่วยคนบ้าง เมื่อเวลามีทุกข์ยากเราจะไม่กลัวความทุกข์ เพราะอะไรถึงไม่กลัวทุกข์  เพราะเรามัวแต่เห็นทุกข์ของคนอื่น  เพราะเราไม่มีตัวตนมีแต่ผู้อื่นที่เราอยากช่วยเหลือ
ขอให้ทุกคนไปให้ถึง บำเพ็ญให้ได้ อย่าเห็นว่าเรามาหลอกลวง จับมือกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วเราจะดึงทุกคนไปด้วยกัน แล้วเราก็ดึงท่านได้ แล้วเราก็พาท่านไปได้  เรามาเร็ว ไปเร็วถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว อยากเป็นพุทธะน้อยๆ หรือเปล่า (อยาก)  พุทธะน้อยๆ มีความสุขที่สุดในโลกเลย  ทุกท่านก็เป็นได้ ทุกท่านก็ไปถึงได้แม้จะอายุเท่านี้ก็ตาม ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าได้ดูเบาตนเอง ทุกคนก็สามารถเป็นพุทธะได้ ไปแล้ว.


วันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มึนมึนงงงงมาร่วมงานประชุมธรรม บ้านคราครำ่ด้วยผู้คนบุคลากรเจ้าหน้าที่
เห็นแต่ไกลผ้าเย็นเย็นส่งมาทันที ชิดเชื้อดีด้วยคุณธรรมจริยะมารยาท
เราคือ
พระพุทธะจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน  แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา สวัสดีปีใหม่ศิษย์รักทุกคนขอให้มีสุขภาพแข็งแรงถ้วนทุกคน

น้ำนั้นเปรียบเหมือนปัญญาอันสูงส่ง จิตใจตรงเพราะชะล้างกิเลสสิ้น
ศิษย์อาจารย์แม้เจ้าเป็นแค่ชาวดิน ไม่ติดกลิ่นแห่งปุถุชนคืนฟ้าไกล
เสมอต้นเสมอปลายคงเส้นวา อย่ารอช้าปรับปรุงตนสู่ชีวิตใหม่
ตั้งต้นดีดีทั้งปีศิษย์ทั้งหลาย สมหวังได้เพราะหายโรคประมาท
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้าไกล ขอศิษย์ได้ทุกสิ่งดังใจคาด
ขอศิษย์มีความสำเร็จที่ไม่จำกัด ขอสายลมมงคลพัดเจ้าร่มเย็น
ทิ้งสิ่งเก่าที่ไม่ดีออกให้หมด ไม่คอยกดใจจนเครียดอย่างที่เห็น
ขอให้เป็นดั่งแสงจันทร์ในวันเพ็ญ ส่องโลกเย็นด้วยมือเรานะศิษย์เอย
ฮา  ฮา  หยุด

เวลาที่เราได้เจอกัน  ช่างยากเย็นและแสนจะสั้นหนักหนา  การลากันทำให้ปวดใจ  กระนั้นอาจารย์ยอมก้มหน้ารับไป  เพราะใจยังเชื่อมั่นในศิษย์  สักวันคงมีบุญได้อยู่ร่วมกัน  วอนคนดีมีใจอย่าผัน  วอนศิษย์นั้นไม่ทำให้ข้าต้องคอย
ไม่ตั้งใจบำเพ็ญกันหรือไรศิษย์เรา  แล้วให้อาจารย์เจ้าแบกกรรมไว้หรือไร  อาจารย์จะทำเพื่อใคร  ใจอาจารย์จะขาดแล้ว  วอนคนดีมีความเห็นใจ
ไม่มั่นใจคืนแดนมาหรือไรศิษย์เรา  แล้วให้อาจารย์เจ้าแบกกรรมไว้หรือไร  อาจารย์จะทำเพื่อใคร บำเพ็ญธรรมอย่าอ่อนล้า ศิษย์ข้าคงจะทราบแก่ใจ
เพลง : อาจารย์จะทำเพื่อใคร
ทำนองเพลง : เฉิงจิงซินท่ง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใจของคนเรานั้นเป็นสีขาวหรือสีดำ หรือสีขาวปนสีดำ หรือสีดำปนสีขาว ระหว่างสีขาวปนสีดำกับสีดำปนสีขาวเหมือนกันหรือไม่ ไม่เหมือนกันสมมติว่ากระดาษแผ่นหนึ่งเป็นสีดำแล้วเอาสีขาวมาแต้มลงไป แสดงว่าพื้นฐานจิตของคนๆ นี้ไม่ดี บางที่ก็คิดดีบ้าง ใครที่จิตใจเป็นสีดำปนสีขาวแสดงว่าแย่มาก  แล้ววันหนึ่งข้างหน้าคงเป็นสีดำสนิท  ส่วนคนที่มีจิตใจเป็นสีขาวปนสีดำเป็นอย่างไร  ดึงกระดาษขาวๆ แล้วนำสีดำมาป้าย คนๆ นี้ก็คือ เราทุกคนที่เป็นใจสีขาวปนสีดำ แล้วเราเคยคิดที่จะขจัดสีดำนี้ออกไปหรือไม่ (เคย)  แล้วต้องขจัดอย่างไร (ทำความดี)  คนส่วนใหญ่อยากจะทำดี เหมือนกับเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา  คิดดูแล้วก็มีโอกาสทำความดีหลายครั้งหลายหน แต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไป พอถึงปีใหม่ปีนี้จนถึงปลายปีเราจะปล่อยโอกาสที่ดีผ่านไปอีกหรือไม่ (ไม่)  เราต้องคิดแต่ไม่มัวคิดพิจารณาถึงผลประโยชน์ ผลเสีย ข้อดี ข้อเสียมากมาย  เพราะว่ายิ่งพิจารณาเรายิ่งไม่ยอมทำ  มองไปรอบๆ ใครก็จะเอาเปรียบเรา ใครก็ไม่เห็นจะดีเท่าเรา เราจะทำความดีไปทำไมในเมื่อมีเราเพียงคนเดียว  เราเพียงคนเดียวก็มีความสำคัญ เพราะตอนนี้ในบ้านของศิษย์ ศิษย์คนเดียวไม่ทำแล้วจะรอให้ใครทำ  อยากจะทำความดีก็ต้องเริ่มที่ใคร (ตัวเรา)  การเริ่มต้องเริ่มอย่างจริงจังอย่าเป็นคนสามวันดีสี่วันไข้  วันนี้อยากเริ่มพรุ่งนี้ไม่เอาแล้ว เพราะเหนื่อยเหลือเกินกับการเป็นคนดี  ตอนนี้มีคนมากมายในสังคมเป็นคนไม่ดี เราเป็นคนดีคนเดียวจึงเหนื่อย เอาไว้รอจนวันหน้า คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนดี มีคนๆ เดียวที่ทำความชั่ว  คนทำชั่วเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย)  คนทำชั่วก็เหนื่อยเหมือนกัน เราจะให้คนทำดีเหนื่อยหรือคนทำชั่วเหนื่อย (คนทำชั่วเหนื่อย)  อยากให้คนทำชั่วเหนื่อย เราก็ต้องทำความดี  ตอนนี้มีเราคนเดียวก่อนก็อดทนสู้ไปก่อนเรายอมหรือเปล่า (ยอม) รอสักระยะหนึ่งมีคนดีมากมาย คนชั่วคนเดียวจะเหนื่อย
"มึนมึนงงงงมาร่วมงานประชุมธรรม"  นั่งฟังธรรมะมาก็วันที่สองแล้ว ตอนแรกเราอาจจะงง บางคนก็งงน้อย บางคนก็งงมาก แต่นั่งถึงสองวันก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว จะมัวนั่งงงอยู่อีกได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องเปิดใจกว้างๆ พิจารณาในสิ่งที่ฟังแล้ว นำกลับไปปฏิบัติจึงจะได้ผล เมื่อสักครู่อาจารย์บรรยายธรรมกล่าวว่าคนข้างหน้าลำบาก คนข้างหลังเป็นอย่างไร (สบาย)  แต่อาจารย์มีคำพูดอีกคำพูดหนึ่งว่า “คนข้างหน้าทุกข์หน่อย แต่คนข้างหลังประสบความสำเร็จ” คนข้างหน้าคือใคร ก็คือ มองไปที่คนข้างหน้า แล้วคนข้างหน้าก็มองไปที่ข้างหน้าอีก นั่นก็คือ ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า เพราะฉะนั้นคนข้างหลังทุกๆ คน ใกล้ประสบความสำเร็จ คนข้างหน้าแม้จะมีความทุกข์หน่อย แต่เมื่อได้เห็นความสำเร็จของคนรุ่นหลังก็เป็นผลอันดีที่เกิดขึ้น เป็นผลมันประเสริฐ
ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน มีความทุกข์หลายประเภท  มีความทุกข์ประเภทหนึ่งที่อาจารย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดี  เป็นความทุกข์ที่หาจุดๆๆ ใส่หัว มีความทุกข์ประเภทนี้อยู่ในโลกนี้  คำพูดนี้เป็นคำพูดที่มนุษย์เป็นคนพูดเพราะว่า  มีคนประเภทนี้อยู่ในโลกนี้จริงๆ  คนๆ นั้นคือ ศิษย์หรือเปล่า (ใช่)  เราเคยหาแบบจุดๆ ใส่หัวเราหรือเปล่า  (เคย)   แล้วเมื่อไรเราจะดึงออก เราต้องรู้จักตรวจสอบตัวเอง เวลาที่เห็นเด็กมีเหาเราทำอย่างไร  (หาเหา)  เวลามีเหาเราก็ต้องหาเหาออกมาใช่หรือไม่ (ใช่)  พ่อแม่ทุกคนมีประสบการณ์ แต่ว่าเหาตัวนี้ไม่ได้เกาะอยู่ที่ผม  แต่เหาตัวนี้เกาะอยู่ที่ใจ กินเลือด กินเนื้อของเราอยู่ ไม่ว่ากุศลทำมาเท่าไรก็หมดไปเพราะว่ามันขยายพันธุ์เร็ว นั่นก็คือ ความไม่ดีในใจของเราขยายพันธุ์เร็ว แต่ความดีในใจนั้นไม่ยอมขยายพันธุ์   มีเท่าไรก็อยู่เท่านั้น ดีอยู่แค่ไหนบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเราจะดีกว่านี้  ศิษย์หลายคนบอกว่าตนเองเป็นคนดีอยู่แล้ว  อาจารย์ก็ทราบแต่ถามว่าเราดีกว่านี้ได้หรือไม่  เคยเห็นเหนือฟ้ายังมีฟ้าหรือเปล่า (เคย)   เวลาที่เรามองฟ้าแล้วเรารู้สึกว่าฟ้ามีแค่นี้หรือเปล่า  มีฟ้าสูงกว่าอีกฟ้าที่เป็นชั้นๆ นั้นก็เหมือนใจของเรา ยิ่งสูงเท่าไรฟ้าก็ยิ่งโปร่ง การเป็นคนดียิ่งดีเท่าไรใจเรายิ่งโปร่งและยิ่งสะอาด  อาจารย์ก็หวังว่าความดีของศิษย์นั้นจะเพิ่มพูนตามปีที่บำเพ็ญ  ปีหนึ่งๆ ที่ผ่านไป เราดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ วัน  เมื่อครบปีแล้ว เราก็ดูว่าเราดีขึ้นจริงๆ หรือดีแบบปลอม
ศิษย์เคยเห็นทั้งดอกไม้จริงกับดอกไม้ปลอม ดอกไม้ทั้งสองอย่างเรียกว่าดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงเรียกว่าดอกไม้เหมือนกัน (รูปลักษณ์) เพราะว่ารูปภายนอกเหมือนกัน  แล้วดอกไม้ไหนสวยกว่า สวยเหมือนกันหรือเปล่า อาจารย์ว่าดอกไม้ปลอมคงสวยกว่า  ถ้าให้ศิษย์เลือกศิษย์อยากเป็นดอกไม้ปลอมหรือดอกไม้จริง (ดอกไม้จริง) ดอกไม้จริงนั้นปักไว้สามวันก็เหี่ยว  ชีวิตหนึ่งเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งมีเวลาสั้นๆ มีเวลาน้อยควรทำสิ่งใดให้รีบทำ ไม่ควรทำสิ่งใดให้เลิกทำ เพราะว่าหลายคนนั้นมีชีวิตสั้นๆ แต่ใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า อะไรที่ไม่ควรทำก็ยังทำอยู่ อะไรที่ควรทำไม่ยอมเร่งรีบไปทำ  ดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริงนั้นเหมือนกับชีวิตเรา อาจารย์อยากเปรียบเทียบให้ฟังว่าชีวิตของเรานั้นอยู่กับความปลอมมาก เห็นความปลอมนั้นเป็นเรื่องที่สวยงามยั่งยืนและจีรัง แต่รู้หรือไม่ว่าความยั่งยืนจีรังอันนี้คร่าชีวิตของเรา เราอาจจะมองไม่เห็นเพราะดอกไม้ปลอมคร่าชีวิตของศิษย์ไม่ได้ แต่ว่ามีของปลอมมากมายในโลกนี้ที่คร่าชีวิตเราได้ ดอกไม้แม้จะปักอยู่ในแจกัน แม้จะไม่เนิ่นนานเท่าไร แต่ก็ยังสามารถให้ความสวยนั้นปรากฏสู่สายตาผู้อื่นได้  ถ้าไม่มีดอกไม้โลกนี้ก็ไม่สวยงาม  ชีวิตของเรานั้นก็จงทำความดีแม้ความดีที่เราทำเล็กๆ น้อยๆเหมือนดอกไม้ที่อยู่ในแจกันแต่ก็ต้องทำ  ความดีเล็กๆ น้อยๆ มีคนเห็นไม่กี่คนก็ต้องเพราะนั่นก็คือ ความดี  สิ่งที่น่ากลัวในการเปรียบเทียบระหว่างดอกไม้ปลอมและดอกไม้จริง ถ้ามองในด้านของการบำเพ็ญเปรียบเสมือนผู้บำเพ็ญธรรมที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้บำเพ็ญธรรม แต่บำเพ็ญได้ไม่ดี ทำได้ไม่สมควรกับการได้ชื่อว่า เป็นผู้บำเพ็ญธรรมเลย อยากเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่ทำไม่ดี ทำไม่ได้ เราก็กลายดอกไม้ของผู้บำเพ็ญแต่เป็นดอกไม้ปลอม หากว่าวันใดเราสามารถที่จะทำให้ดีขึ้นสมควรกับคำว่า "บำเพ็ญ" ดอกไม้ปลอมนี้ก็จะถูกใส่ชีวิตลงไปก็กลายเป็นดอกไม้จริง อยากมีชีวิต อยากมีวิญญาณแห่งผู้บำเพ็ญธรรมหรือไม่ (อยาก)  วิญญาณแห่งผู้บำเพ็ญธรรมไม่สามารถจะคิดเรื่องชั่วร้ายได้ ไม่สามารถจะคิดเรื่องไม่ดีได้ เรื่องใดผิดจารีด เรื่องใดผิดประเพณี เรื่องใดผิดครรลองคลองธรรม เรื่องใดผิดใจแห่งมโนธรรมนั้น เรื่องเหล่านี้ให้ละเว้น
อาจารย์พูดคำว่า "ผู้บำเพ็ญธรรม" ในวันนี้ง่ายขึ้น แต่การการะทำยากขึ้น เพราะทุกครั้งอาจารย์จะบอกว่า การบำเพ็ญคือ การขัดเกลากิเลส  การขัดเกลากิเลสทำอย่างไร กิเลสนั้นอยู่ในใจเรา เราเพียงแต่แค่ปัดออกถ้าเรามีความตั้งใจอย่ากลัวเจ็บ แล้วก็ตัดทิ้งไปง่ายนิดเดียว เหมือนเนื้องอกเราตัดทิ้งไปก็จบ แต่วันนี้อาจารย์จะพูดใหม่ การบำเพ็ญธรรมคือ การฝึกคุณธรรมความดีงาม อย่าผิดสิ่งที่ดีงาม ตัดสิ่งที่เกินออกไปแล้วมันก็เว้าแหว่ง เราต้องเติมให้เต็ม เติมคุณธรรมเติมความเมตตาเข้าไป ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้  ศิษย์ก็เป็นดอกไม้จริงที่มีชีวิต  ถ้าไม่ได้ก็เป็นดอกไม้ปลอมที่ไร้ชีวิต อาจารย์ถามใหม่อยากเป็นดอกไม้จริงหรือดอกไม้ปลอม (ดอกไม้จริง)  มีชีวิตอยู่แค่สามวันทำตัวเองให้มีคุณค่า จำคำพูดของอาจารย์ไว้
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (เจิ้งซิน)   เจิ้งซิน แปลว่า ใจที่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจเราไม่เที่ยงก็เกิดกิเลสขึ้น  โดยเฉพาะใจที่อยู่ข้างใน กิเลสอยู่ข้างนอก เปรียบเหมือนคนตาเขเคยเห็นหรือไม่ คนตาเขมองตรงๆ อยู่แต่ว่าตาเขไป อยากเป็นคนตาเขหรือไม่ (ไม่อยาก)  ไม่อยากเป็นคนตาเขก็ต้องมีใจไม่เขเพราะว่ากายกับใจนั้นสัมพันธ์กัน สิ่งใดที่อยู่ภายในเป็นลองเทียบดูกับภายนอก  ศิษย์จะรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เรานั้นเที่ยงตรงขึ้น ชื่อสถานธรรมที่นี่เป็นมงคล เราต้องคิดพิจารณา   เหมือนคนที่สวดมนต์ไม่คิดเนื้อความในก็ไม่บรรลุเป็นพุทธะ
เมื่อวานนี้ตอนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มามีคนที่เป็นคนท้องที่แต่นั่งคุยอยู่ข้างล่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่ใช่ส่งเสริมเฉพาะคนใหม่เท่านั้น เราซึ่งเป็นคนเก่าก็ควรที่เอาโอกาสนี้มาส่งเสริมตนเองด้วย  แม้ว่าข้างบนนี้จะร้อนอึดอัดสักหน่อยแต่ทนได้ ก็ต้องทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่เกินสามชั่วโมง ห้าชั่วโมงทนได้หรือเปล่า (ได้)  คนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนอุบลมากมาย การที่สถานธรรมตั้งอยู่ที่นี่แม้บางทีไม่สะดวกมา แต่เรามีสะดวกใจ ใจของเรานั้นหากสะดวกแล้วถึงเวลาควรจะมาก็รู้สึกอยากจะมาเอง  แต่ถ้าหากใจเราไม่อยากจะมาต่อให้มีรถมารับก็ไม่อยากมา  จึงบอกว่าบางคนนั้นสะดวกกายไม่สะดวกใจ อาจารย์รู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ได้ศึกษา พอไม่ได้ศึกษาก็เริ่มที่จะหยุดอยู่กับที่  หยุดอยู่กับที่นั้นดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  การหยุดอยู่กับที่นั้นบางทีก็ดี ถ้าหยุดแล้วรู้จักย้อนมองส่องตน มองให้เห็นว่าเรายังมีอะไรที่บกพร่องบ้าง ต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง อันนี้สมควรจะหยุดหรือเปล่า (สมควร)  แต่บางคนหยุดอยู่เฉยๆ หยุดดูทีวี หยุดอยู่กับบ้าน หยุดเพราะไม่อยากลำบากบำเพ็ญ
วันนี้อากาศไม่ได้ร้อนเท่าเมื่อวาน แต่เมื่อวานนี้ที่อากาศร้อนก็มีคนที่ลำบากปีนหลังคาให้เรา อยากเห็นหน้าคนปีนหลังคาชัดๆ ดูว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร  ปีนหลังคาลากสายยางทำความเย็นบนหลังคา แล้วก็ต้องทำความเย็นในจิตใจให้ผู้อื่นด้วยเข้าใจหรือไม่ สิ่งใดที่เราทำดีมากๆ เข้ายิ่งเหมือนกับความเย็นที่รดให้เขาเย็นใจและรดให้เราเพื่อชีวิตเรานี้ร่มเย็น
อาจารย์ขอน้ำสองกะละมัง รู้หรือไม่ว่าอาจารย์ให้เอาน้ำมาทำอะไร เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองของปีใหม่ ปีที่แล้วมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ มีเรื่องไม่สมหวังมากมาย  เมื่อวานนี้ท่านหยูอี้ถงจื่อมา ท่านหยูอี้ถงจื่อก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานความสมหวังให้กับศิษย์ทุกคน แต่ว่าศิษย์ทุกคนกลับทำให้ท่านผิดหวังหรือเปล่า  สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้มองศิษย์แค่สองวันนี้ แต่มองถึงวันข้างหน้าและข้างหน้า  ใครที่บอกว่าตัวเราเป็นคนดีอยู่วันนี้ก็ไม่แน่ว่าต่อๆ ไปจะดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าทะเยอทะยาน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง เกิดเป็นคนต้องอ่อนน้อมถ่อมตน และผู้ที่บำเพ็ญธรรมต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นผลสำเร็จ บางทีเราอ่านหนังสือมา ในหนังสือก็เขียนไว้มากมายแต่ว่าเราทำไม่ได้  เหมือนสองวันนี้กี่อย่างๆ ที่ผู้อื่นพูดก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่าจะเอาไปทำสำเร็จหรือไม่นั้นต้องถามตัวเรา  มีคำพูดบอกว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”  เอาเวลาที่เหลือในชีวิตนี้มาพิสูจน์เรา  แต่ละคนนั้นอาจจะมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน บางคนเป้าหมายสูงส่งถึงเบื้องบนแดนพุทธะ  บางคนเป้าหมายเป็นคนดีเท่านั้น บางคนก็มีเป้าหมายอยากที่จะร่ำรวยเท่านั้น บางคนก็มีเป้าหมายอยากให้ชีวิตเป็นสุขเท่านั้น บางคนชีวิตนี้ขาดเป้าหมาย จึงล้มเหลวบ่อยๆ  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์อยากที่จะเป็นคนที่มีเป้าหมายที่สูงส่งแค่ไหน ต้องกำหนดตั้งแต่วันนี้ เหมือนคนจีนที่สรุปว่า “เมื่อรู้ชีวิตแล้ว ก็ควรกำหนดชีวิตตนเอง”  โชคชะตานั้นแม้จะเป็นกรรมเก่าคอยกำหนดเรา แต่ว่าเมื่อเรารู้แล้วเราสามารถกำหนดเองได้  โชคชะตาแม้จะเล่นตลกกับเราบ่อยครั้งแต่เราต้องรู้จักฝืน  บางทีศิษย์ของอาจารย์ถึงเวลากินข้าวไม่อยากกินข้าวก็ต้องกิน แม้ไม่อยากนอนก็ต้องนอน แม้ไม่อยากบำเพ็ญก็ต้องบำเพ็ญธรรม ไม่บำเพ็ญแล้วเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตลอดกาล  การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ความทุกข์นั้นไม่ใช่เกิดเฉพาะผู้ใหญ่ เด็กก็มี ผู้ชาย ผู้หญิงก็มี คนแก่ก็มี  เพียงแต่ว่าทุกข์ที่เราเจอนั้นแม้เราจะรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่าทุกข์ของเรานั้นยังน้อยกว่าคนอื่น เอาความโชคดีที่เรามีอยู่น้อยนิดอันนี้ไปสู้ชะตากรรมของเรา ปลานั้นเมื่อไม่ว่ายทวนน้ำก็ถือว่าเป็นปลาตาย ศิษย์ของอาจารย์ถ้าไม่ทวนกระแสโลกีย์อันนี้ ถ้าอยากจะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปนั้น แม้จะให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรืองอำนาจเรืองฤทธิ์กว่าอาจารย์ลงมาก็คงไม่มีประโยชน์  เพราะว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงแค่ปกปักษ์ช่วยเหลือ ช่วยแนะแนวทาง แต่คนปฏิบัติอยู่ที่ใคร (อยู่ที่ตนเอง)  คนปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเรา  ฉะนั้นคำว่า “บำเพ็ญธรรมและตัวเรา” เกี่ยวข้องกันมากหรือไม่ (มาก)   ตราบใดที่ศิษย์ของอาจารย์ยังอยากที่จะบำเพ็ญธรรม   คำว่า “บำเพ็ญธรรมและตัวเรา” จะเกี่ยวข้องกันไปตลอดชีวิต ตราบใดที่ศิษย์คิดจะเลิกล้มการบำเพ็ญ ก็เป็นปลาตายที่ลอยตามน้ำไป เป็นเหมือนคนที่ไร้ชีวิตลอยตามกระแสโลกีย์ไป คุ้มหรือไม่คุ้ม ลองคิดดู
วันนี้ซึ่งเป็นวันที่สองของปี นับๆ ไปก็ยังเป็นวันปีใหม่  ปีใหม่นี้อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนใหม่ เอาน้ำมาล้างสิ่งที่ไม่ดีออก แต่ตรงนี้ไม่ใช่ห้องน้ำเพราะฉะนั้นก็คงจะล้างให้สะอาดหมดจดไม่ได้  เราล้างแค่มือทุกคน เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่ามือนั้นคือ สิ่งที่เรากำหนดชีวิตของตัวเรา เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็จะให้ล้างสิ่งที่กำหนดชีวิตของศิษย์เองนี่แหละ ให้สะอาดหมดจด ให้สะอาดเอี่ยมอ่อง  แล้วขอให้ล้างมือนี้ไปสู่ใจ  ล้างใจของเราให้สะอาด
ตั้งต้นดีดีทั้งปีศิษย์ทั้งหลาย สมหวังได้เพราะหายโรคประมาท
ศิษย์หลายคนนั้นอยากจะให้ชีวิตนี้มีความสมหวังดังที่คิด แต่ทว่าแต่ละคนนั้นมีใจอยู่ดวงหนึ่งที่มีใจที่มีกิเลสอยู่ คือ ใจของคนที่ประมาท เวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เราจำเป็นต้องละเอียดละออ   เวลาที่จะพูดเราต้องรู้จักคิดพิจารณาในสิ่งที่เราจะพูดออกไป  เวลาที่เราจะทำเราก็ต้องรู้จักคิดพิจารณาในสิ่งที่เราจะทำ  เวลาที่เราจะคิดเราต้องมองให้รอบดูให้ทั่ว  คนที่อยากจะประสบความสำเร็จนั้นต้องรู้จักเป็นคนที่พิจารณา ในวันนี้อาจารย์เอาน้ำใสๆ ซึ่งคนจีนนั้นเปรียบไว้ดั่งปัญญา  แท้ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องล้างมือในวันนี้ก็ได้ อาจารย์ขอน้ำสองกะละมัง  ต่อให้ศิษย์นั้นอีก ๕ วัน อีก ๒ เดือน ศิษย์จะไปล้างมืออีกทีก็ได้  แต่ว่าล้างที่ไหนดีที่สุด ให้นำน้ำปัญญาที่เรามองไม่เห็นนี้มาล้างใจที่เรามองไม่เห็น  ไม่ใช่น้ำที่สามารถมองเห็นได้ เพราะว่านี่เป็นแค่เพียงปริศนาธรรมความในที่อยากจะบอกศิษย์ว่าทุกๆ คนนั้นต่างมีปัญญา ต่างมีชีวิต มีมืออันไร้รูปลักษณ์อันนี้และสามารถกำหนดชีวิตของตนเอง  ไม่ต้องกลัวกับการที่เราจะล้มเหลวบ่อยครั้งเพราะการที่เราล้มเหลวหนึ่งครั้งเราก็จะมีบทเรียนหนึ่งครั้ง  การที่เราล้มสองครั้งก็ทำให้เรามีบทเรียนสองครั้ง  ยิ่งเราล้มเราลำบากมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากเท่านั้น  เหมือนกับคำที่ว่า “ต้องให้ความคิดโตตามตัว”  ความคิดโตตามตัวได้เพราะอะไร  ไม่ใช่ว่าเราไปอ่านหนังสือแล้วเราจะมีความรู้เสมอไป  แต่บางทีนั้นอยู่ที่ไหน  อยู่ที่ทุกๆ วันประสบการณ์ที่สั่งสอนเรา ให้เรานั้นรู้และเข้าใจ   เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์บอกว่า อยากเป็นคนที่สมหวัง เป็นคนที่ดีกว่านี้  ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด
ถ้ามีใครมาไม่ทันล้างมือก็ไปเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างมือให้สะอาด ที่ไหนๆ ก็มีอาจารย์ทั้งนั้น ขอเพียงแต่ในใจของศิษย์นั้นมีอาจารย์ อาจารย์ก็เป็นนำ้ที่อยู่ในน้ำประปา อาจารย์เป็นลม เป็นเงาต้นไม้ ที่ที่ไหนที่ศิษย์คิดถึงอาจารย์  อาจารย์ก็อยู่ด้วย
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมกันร้องเพลง “พรปีใหม่”)
เมื่อศิษย์ร้องเพลงก็เสมือนว่าได้ร่วมอวยพรต่อกันและกัน  สิ่งดีๆ เมื่อเราส่งให้ผู้อื่น สิ่งดีๆ นั้นก็จะย้อนกลับมาให้เราเอง  เหมือนที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำบุญทำทาน  ทำไมถึงให้เราทำบุญทำทานสะเดาะเคราะห์  เพราะว่าเราทำออกไปก็จะไปส่งสิ่งที่ดีให้ผู้อื่น ส่งของให้ผู้อื่นมีใช้ ให้ผู้อื่นมีกิน  สิ่งต่างๆ นั้นถูกกำหนดด้วยผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว  เมื่อเรานั้นรู้สึกว่าเราไม่ดี เราได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็ควรรู้ว่าเรานั้นควรส่งสิ่งที่ดีๆ ให้แก่คนอื่น หากว่าเราส่งของให้เขาได้ของนี้คืออะไร  อย่างเช่น อาหาร เสื้อผ้า เราส่งให้เขาแต่มีสิ่งหนึ่งที่คนเขาไม่ค่อยจะยอมส่งกันนั่นก็คือ การคิดดีต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ของเหล่านี้เราส่งให้ได้จะส่งของแพงเท่าไหร่ก็ส่งได้ ส่งของให้ดีเท่าไหร่ก็ส่งได้  แต่เรานั้นไม่ได้ส่งจิตใจอันดีงามให้ผู้อื่น เพราะฉะนั้นอยากให้ศิษย์นั้นที่เป็นผู้บำเพ็ญมาเน้นที่จิตใจภายในของเราส่งสิ่งที่ดีๆ ออกจากตัวเรา ออกจากใจเรา สิ่งนี้ไม่ต้องใช้เงินทอง
อาจารย์นั้นบางครั้งเจ็บปวดร้าวใจเห็นศิษย์อาจารย์นั้นหาเงินทองด้วยความโลภ หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นทรัพย์นอกกาย หากไม่มีก็หาอย่างสุจริต หากมีแล้วต้องรู้จักพอ คำว่า “พอดี” หมายถึง พอแล้วดี  หากว่าไม่พอก็ไม่ดี อยากที่จะดีเราต้องรู้จักพอ  เงินทองของนอกกายแบ่งปันได้แบ่งปันไป เมื่อใดที่คนไม่ให้ความสำคัญกับเงินทอง เงินทองก็จะไม่เป็นเจ้านายเรา เงินทองจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งล้ำค่า  เมื่อเราเน้นเรื่องใดเรื่องนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเราเน้นแต่สิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นในสังคม นั่นคือ เรื่องของจิตใจ  ศิษย์ของอาจารย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นคนกลุ่มหนึ่งในโลก มีภาระหลายอย่างที่จะต้องทำทั้งทางด้านช่วยจิตใจของผู้อื่นและในด้านช่วยให้สังคมนั้นดีขึ้น อย่ามัวมานั่งงมงายแล้วก็รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ เพราะถ้าศิษย์รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้แล้วปล่อยให้เกิดจริงๆ  ถ้าหากเกิดขึ้นจริงๆ ศิษย์ยังจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า  ดังนั้นถ้าเราทำความดีเต็มเปี่ยม เมื่อเราจากไปก็จากไปอย่างคนที่มีคุณค่า  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นรอดูไม่ยอมเลิก ใจของเรานั้นจะเป็นใจที่อับเฉา
อาจารย์นั้นภาวนาทุกวันว่าให้เภทภัยในโลกนี้ลดน้อยลง ไม่เกิดได้ยิ่งดี อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์คิดว่าต้องมีหนักขึ้นและหนักขึ้นจะต้องให้เกิดขึ้นจนได้ ไม่มีได้ยิ่งดีใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าไม่มีศิษย์ของอาจารย์จะบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์โกหกใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ขอให้คิดให้ดี คิดแต่เรื่องดี สิ่งใดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกแล้วหากเปลี่ยนแปลงเป็นดีได้อาจารย์ยิ่งดีใจ  ถือว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทำงานสำเร็จ เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์จะเห็นต่อไปในโลกข้างหน้านี้ก็คือ โลกที่ดีขึ้น อาจารย์ปรารถนาอย่างนั้น  สิ่งใดที่อาจารย์เคยพูด อาจารย์อยากจะบอกว่าอาจารย์นั้นพยายามไม่ให้เกิด  และศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องทำให้เป็นอย่างเดียวกับอาจารย์ ปณิธานของเรานั้นต้องเหมือนกัน เพราะว่าในโลกนี้มีคนบางคนที่พร้อมที่จะดีขึ้น พร้อมที่จะเป็นคนดีมากขึ้น มีบางคนที่ยินยอมตกนรก เคยได้ยินหรือไม่ที่เขาบอกว่าทำความดีเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่ต้องทำหรอกวันหน้ายอมตกนรก เคยได้ยินหรือเปล่าเขายอมตกนรก คนประเภทนี้ยอมตกนรก แล้วเราจะช่วยเขาอย่างไร เราต้องพยายามช่วยกัน เรื่องเกิดมาอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แต่เรื่องตายไปเป็นเรื่องโศกเศร้าแน่นอน
ชีวิตเราเปรียบเสมือนดอกไม้  เราจะต้องใช้ดอกไม้แห่งชีวิตเรานี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด บางคนยังเด็กอยู่เป็นดอกไม้วันที่หนึ่ง เพิ่งจะเริ่มผลิบานงดงาม ระวังให้ดี การทำตน การวางตน การที่เรานั้นจะหลงระเริงไปกับสีสันนั้นง่ายดาย  บางคนเป็นดอกไม้วันที่สองคือ วัยกลางคน อยู่ในวัยกลางคนแล้วต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น แสดงว่าทุกๆ อย่างเราต้องดีแล้ว สัตบุรุษนั้นมีกิริยาท่าทางท่วงท่าที่สง่างาม ทำสิ่งใดไม่เคยให้ใครมาติเตียน แล้วตัวเรามีคนมาคอยติหรือเปล่า  อาจารย์ว่าคงมีไปจนวันตายเลยทีเดียว ดอกไม้วันที่สามเป็นดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรยแล้ว พอเอามือไปแตะดอกไม้ก็ร่วงลงมาหมด ถือว่าชีวิตนี้แตกดับ ให้พิจารณาดูว่าสิ่งที่เราควรจะทำนั้นทำหมดหรือยัง ให้พิจารณาดูว่ากรรมของเราที่มีอยู่นั้นใช้หมดหรือยัง  อย่ามัวมารู้สึกว่า ร่างกายของเราสังขารไม่ดีไปไหนไม่ได้ เมื่อไปไกลไม่ได้ก็ทำบุญใกล้ๆ  เราต้องให้โอกาสกับตนเอง  ดอกไม้ของอาจารย์นั้นมีอยู่แค่สามวันเท่านั้นเอง ดูว่าศิษย์ของอาจารย์จะใช้ดอกไม้สามวันอย่างไร
ศิษย์เคยเห็นเวลามีดที่บ้านไม่ได้ใช้นานๆ แล้วน้ำหยดลงไปแล้วมีดเป็นสนิมหรือเปล่า (เคย)  มีดอันนี้ก็เปรียบเสมือนตัวเรา คนทุกคนมีนิสัยของตัวเอง  สิ่งที่เป็นอุปสรรคของจิตใจเรามากที่สุดได้แก่ นิสัยของเราเอง  จะบอกว่าคนอื่นดี คนอื่นไม่ดีเป็นเรื่องง่ายเพราะเราเพียงแค่พูด แต่ว่าเรานี้มีนิสัยต่างๆ น้ำหยดลงไปหนึ่งหยดเหมือนนิสัยของเราที่ไม่ดี ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข น้ำหนึ่งหยดก็คือ นิสัยของเราหนึ่งนิสัย ถ้าหากว่าเราเช็ดน้ำหนึ่งหยดที่หยดลงมาก็จะไม่มีปัญหา เฉกเช่นเดียวกันเราเช็ดนิสัยที่ไม่ดีออกไปทันทีก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราปล่อยค้างไว้มีปัญหาหรือไม่ หยดที่สองหยดดลงไปเป็นการเพิ่มปัญหามากขึ้นหรือเปล่า หยดที่สาม หยดที่สี่ หยดที่ห้าหยดลงไปก็หนัก เปรียบเสมือนความรัก หากว่าเรานั้นรู้สึกรักใครที่เป็นความรักของชายหนุ่มหญิงสาว หากว่าตัดใจทันทีมีปัญหาหรือเปล่า หากว่าปล่อยนานไปเป็นอย่างไร จากความรักกลายเป็นความหลง เวลาเราหลงเรามองอย่างไร เราจะมองสีขาวก็กลายเป็นสีชมพู มองสีเขียวกลายเป็นสีแสด อาจารย์อยากจะเตือนในสถานธรรมนั้นขอให้หลีกเลี่ยง ทุกคนโตขึ้นทุกวัน ทุกคนไม่อยากเป็นนกตัวเดียวอยากจะเป็นนกคู่ ขอให้มองให้ดี คิดให้ดีว่าจะทำอะไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ที่ประทานให้ไว้ที่พุทธสถานสกุลหง  จ.ชัยนาทว่า  “สืบทอดคุณธรรม”  และที่พุทธสถานถงซิน ดำเนินสะดวกว่า “แห่งปราชญ์โบราณ”  ออกมาให้นักเรียนในชั้นดู และอธิบายพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
“สืบทอดคุณธรรม” คำว่า "คุณธรรม" นั้นเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญทุกคนต้องเติมให้เต็ม เริ่มง่ายๆ ก็คือ ความกตัญญู เพราะว่าเราทุกคนมีพ่อแม่ และพ่อแม่เลี้ยงดูเรา เพราะฉะนั้นเราต้องตอบแทนคุณพ่อแม่ หากอยากเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่กตัญญูไม่ได้ก็กลับขึ้นฟ้าไม่ได้ เปรียบเสมือนมีใจแต่ไม่มีขาจึงเดินไปไม่ถึง เพราะฉะนั้นอย่าได้มองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เวลาที่เรานั้นมีชีวิตอยู่ก็อยากให้ใครๆ มารักเรา แต่คนที่อยากให้เรารักมากที่สุดก็คือ พ่อแม่ของเรา เพราะความผูกพันธ์ทางสายเลือดนั้นมีหนาแน่น แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่มีความผูกพันธ์กับลูก แต่ลูกไม่ยอมผูกพันธ์กับพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อไปนี้ก็ลองกลับกันดูบ้างให้พ่อแม่ได้อยู่สบายๆ แล้วเรานั้นผูกพันธ์กับท่าน ไปไหนมาไหนก็นึกถึงท่าน ทำอะไรก็นึกถึงท่าน จะกินข้าวก็นึกถึงท่านว่าท่านกินหรือยัง จะออกไปข้างนอกก็ให้คิดที่จะชวนพ่อแม่ไป เวลาเราไม่มีเงินใช้เราก็ต้องคิดว่าพ่อแม่มีเงินใช้หรือเปล่า  ไม่ใช้เวลาเราไม่มีเงินใช้ก็คิดจะไปขอพ่อแม่
“แห่งปราชญ์โบราณ”  คราวที่แล้วอาจารย์อธิบายไว้ว่า ทำไมต้องเป็น “แห่งปราชญ์”  เพราะว่ามนุษย์ในสมัยนี้เอาแน่ไม่ได้สามวันดีสี่วันไข้  วันนี้บอกว่าธรรมะดีแล้วพรุ่งนี้บอกว่าธรรมะดีแต่เงินดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ธรรมะดีเหมือนกันแต่มีสิ่งที่ดีกว่าก็เลยผัดวันประกันพรุ่ง แท้ที่จริงแล้วการบำเพ็ญนั้นอยู่ที่ใจของเราไม่ได้อยู่ที่นอกกาย แต่ว่าจะบำเพ็ญอยู่คนเดียวที่บ้านได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีหลายคนบอกว่าจะบำเพ็ญให้ดีเลย แต่เราจะบำเพ็ญที่บ้านแตกต่างกันตรงไหน  เวลาที่เรามา สถานธรรมนั้นก็เหมือนกับหินที่มีความแหลมคมนี้กลายเป็นหินที่มีความมน เอาหินแหลมๆ ใส่เข้าไปในกระจาด แล้วก็เขย่าเหลี่ยมของหินนี้มลขึ้นหรือเปล่า มีหลายคนมาสถานธรรมแล้วไม่พอใจคนนี้ ไม่พอใจคนนั้น ศิษย์เอาชีวิตและอนาคตทั้งหมดไปแขวนไว้กับคนอื่นหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราไม่หลงใหลไปตามอายตนะของตน ก็ถือว่าไม่ แต่ถ้าคนส่วนใหญ่อยากเอาชีวิตของเราไปแขวนไว้กับคนอื่น เห็นคนอื่นเขานินทากัน เราก็รู้สึกว่าเข้ามาในสถานธรรมมีแต่แบบนี้ ไม่อยากมา แต่ถามว่าเราเคยนินทาคนหรือเปล่า (เคย)  คงจะไม่มีใครไม่เคย แล้วให้อภัยเขาได้หรือเปล่า ถ้าเรานั้นนำเอาลักษณะของผู้บำเพ็ญมาแตะแต้มมากขึ้น ในที่สุดแล้วต่อให้ใครๆ ไม่ดีเราก็ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับบนถนนสายหนึ่งมีคนเดินไปเดินมามากมาย แต่ว่าศิษย์หยุดยืนอยู่ตรงนั้น มองดูความเป็นไป เหมือนกับบนเส้นทางหรือถนนสายหนึ่ง มีคนเดินไปเดินมาตั้งมากมาย แต่ว่าศิษย์ยืนหยุดอยู่ตรงนั้นมองดูความเป็นไป คนที่เฝ้าสังเกตแต่คนอื่นเวลาเข้ามาสถานธรรมก็เป็นเหมือนคนๆ นี้ ถนนสายนี้ทั้งสายศิษย์ก็ยืนหยุดดูตรงนี้ไม่ยอมไปไหนเลย คอยมองสังเกตการณ์ เห็นความไม่ดีเขาเต็มเลย แต่ว่าคนที่เขากำลังเดินก็เดินไปเรื่อยๆ เดินไปๆ เขาถึงจุดหมายหรือเปล่า (ถึง)  มีแต่เราหยุดอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนเลย ไม่มีความก้าวหน้าเลย เพราะฉะนั้นการที่เรานินทาคนอื่นใครผิด (ตัวเราผิด)  ตัวเราที่ผิดเพราะเอาแต่มองคนอื่น
ถ้าหากว่าเราลงไปเดินในถนนสายนี้แล้วจะเห็นคนอื่นผิดหรือไม่ เราก็จะเห็นได้น้อยลงๆ พอเราเห็นได้น้อยลงจิตใจเราก็จะปลอดโปร่งขึ้น ฉะนั้นการอยู่ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องลำบาก เหมือนกับมีตาสับปะรดคอยจับจ้องมองเราอยู่ว่าเราผิดหรือเราถูก นอกจากฟ้าเบื้องบนที่คอยดูว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไปถึงไหนแล้ว ยังมีเพื่อนผู้บำเพ็ญที่คอยมองอีก เราต้องทำตนให้ดีเป็นแบบอย่างให้มากขึ้นทุกวัน วันนี้ก่อนนอนให้เราคิดดูว่า เราได้ผิดพลาดอะไรบ้างที่เราอยากจะแก้ไขปรับปรุงให้มากขึ้น หากเราไม่คิดเลยสักวัน เราก็คงจะไม่ได้รับความก้าวหน้าเลย
ศิษย์เคยเห็นเขาแกะสลักผลไม้เป็นรูปต่างๆ หรือเปล่า แกะลายเดียวกัน ชนิดเดียวกัน จะแกะได้เหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  ทำไมถึงไม่เหมือน (ต่างคนต่างคิด, แกะคนละเวลา, เพราะมีความชำนาญต่างกัน, มีความคิดคนละอย่าง, ชำนาญขึ้น, เพราะได้แก้ไขให้ดีขึ้น, ลูกมันไม่เท่ากัน, ถึงแม้ว่าจะเป็นผลไม้ชนิดเดียวกันและก็แกะสลักลายเดียวกัน และถึงแม้ว่าจะเป็นคนๆ เดียวกันแกะ แต่ก็จะแตกต่างกันเพราะว่าช่วงระยะของเวลาที่แกะ สภาพจิตใจในขณะนั้นและสภาพแวดล้อมก็มีผลต่อฝีมือ หรือการลงรอยแกะไปหนักเบาไม่เท่ากัน, เพราะว่าเวลาแกะเราก็คิดไปไม่เหมือนกัน)  ศิษย์ของอาจารย์ประเภทนี้น่ากลัวที่สุดเวลาที่ออกจากสถานธรรมไปเพราะอะไร บางทีเราเป็นคนที่เห็นอะไรน่ากลัวเสมอ เวลาที่คนอื่นเขาบอกว่าธรรมะนี้ไม่ดี เราก็ทำเขินอายในสิ่งที่เรานั้นไม่แน่ใจ ที่เราไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เราก็เลยเดินออกไป ใครที่เป็นโรคนี้อยู่ให้ระวัง (ขึ้นอยู่กับคนมอง ถ้ามองให้เหมือนกันก็เหมือนกันมองให้ต่างกันก็ต่างกัน, คนละเวลา)  จริงๆ แล้วอาจารย์ก็ไม่ได้คิดหวังให้ศิษย์ตอบอะไรมากมาย ปัจจัยที่ทำให้ผลไม้แกะออกมาไม่เหมือนกันนั้นมีมากมาย ผลไม้สองลูกนี้แสดงถึงทัศนคติของมนุษย์ที่มีอยู่มากมายเต็มเปี่ยมต่อให้ตอบทุกวันก็มีเหตุผลต่างกัน เพราะแต่ละคนนั้นมีความคิดแตกต่างกัน บางคนบอกว่าเป็นเพราะว่าคนตอบนั่นแหละมีปัญหา จิตใจไม่ดี สมาธิไม่ดี บางคนบอกว่าคนดูนั่นแหละมีปัญหา ในการที่เรานั้นออกไปรับศึกปัญหาต่างๆ ในชีวิตนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มั่นใจว่าความคิดของเราจะถูกต้องเสมอไป ขอให้เรามีใจอันนี้และโอบอุ้มใจอันมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่อย่าเชื่อมั่นจนกลายเป็นไม่ไว้หน้าใคร อย่าเชื่อมั่นจนใจเรานั้นคิดว่าคนอื่นผิดหมด ให้คิดว่าแต่ละคนนั้นมีเหตุการณ์ต่างๆ กัน มีบุญและกรรมที่ต่าง มีสถานการณ์ต่างกัน แต่ละคนจึงทำเรื่องราวออกไปได้ไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งลูกหลานของเราเอง เราบอกว่าอยากจะให้ลูกเราโตเป็นแบบนี้ เป็นคนดีอย่างนี้ ทำงานประเภทนี้ ถึงเวลาแล้วทำได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ขอให้เผื่อใจแห่งความผิดหวังและเชื่อมั่นในตนเองในการก้าวไปข้างหน้า  แม้ว่าศิษย์จะมีชีวิตถึงห้าสิบปีก็ขอให้ห้าสิบปีนี้เป็นห้าสิบปีที่ดี ร้อยปีก็ขอให้ร้อยปีนี้เป็นร้อยปีที่ดีต่อไป  กับความคิดอันเปิดกว้าง กับคำพูดที่ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้ว  กับการกระทำอันดีงามจะคู่กับชีวิตของเราตลอดไป  ทำได้หรือไม่ (ได้)  อาจารย์เห็นศิษย์ทุกๆ คนนั้นล้วนกำหนดว่าทุกอย่างควรจะทำอะไรแต่เสียอย่างเดียวที่ไม่ทำ  รู้แต่ไม่ทำ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะช่วยได้อย่างไร ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นแก้ไขตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ว่า “เพื่อจรรโลงโลกไว้” ซึ่งต่อจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทที่ให้ไว้ที่พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาทว่า “สืบทอดคุณธรรม”  และที่พุทธสถานถงซิน ดำเนินสะดวกว่า “แห่งปราชญ์โบราณ”  )
บางทีเราก็คิดว่าคุณธรรมที่เราสร้างแต่เพียงคนๆ เดียวนั้นไม่มีผลต่อคนอื่น มันจะเป็นข้อดีของเราคนเดียว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ถ้าหากว่าคนสามบ้านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมทั้งสามบ้าน ต่อไปห้าบ้านหรือสิบบ้าน หนึ่งหมู่บ้านหรือสังคมในโลกก็จะดีขึ้น ดังปณิธานของพระศรีอาริย์ที่บอกว่า จะแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นดอกบัว ความหวังของท่านนั้นไปได้ถึงและจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เกิดขึ้นได้แน่ถ้าทุกคนพยายาม มีแต่คนไม่พยายามเท่านั้นที่บอกว่าไม่เกิด หวังว่าศิษย์ของอาจารย์แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา เป็นคนมีฐานะนิดหน่อย หรือจะเป็นคนที่รวยล้นฟ้าต่างก็มีใจเดียวกัน อันเป็นใจสีขาวสะอาด สมควรแก่ธรรมกาลยุคขาว และนำความสันติสุขนี้ออกจากเราไปมอบให้กับมวลชน
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง "อาจารย์จะทำเพื่อใคร" ทำนองเพลง : เฉิงจิงซินท่ง)
อาจารย์มีปณิธานความมุ่งมั่นตั้งใจเสมอว่า ไม่ว่ากรรมของศิษย์นั้นจะหนักเท่าไร  ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี  ไม่ว่าศิษย์นั้นจะผิดมากี่หน อาจารย์ก็ให้อภัยได้  อาจารย์พร้อมจะให้ศิษย์เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เสมอ อะไรที่ผ่านมาก็เหมือนสายลมที่พัดไปเรื่อย ขอให้ศิษย์นั้นลืมอดีตที่เลวร้าย แก้ไขตนเองใหม่  อาจารย์พร้อมที่จะอยู่ข้างศิษย์เสมอ น่าเสียดายที่ศิษย์ของอาจารย์จำนวนมาก แม้กระทั่งอาจารย์มาในตอนนี้ก็บอกว่าอาจารย์นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เก๊ๆ  น่าเสียดายที่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยเห็นใจอาจารย์เลย อาจารย์จึงขอถามศิษย์ว่าจะให้อาจารย์ทำเพื่อใคร และไม่ว่าอาจารย์จะทำเพื่อเจ้าทุกคน และเจ้าทุกคนไม่ทำเพื่อตัวเองเลย
น่าเศร้าที่อาจารย์เป็นอาจารย์จี้กง   มีศิษย์มากมายที่อาจารย์นั้นคอยดูแล แต่มีศิษย์น้อยคนที่เข้าถึงใจอาจารย์ ไม่มีใครสงสาร แต่อาจารย์ก็สงสารตนเองเสมอ วันนี้เป็นวันปีใหม่ แต่อาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะเอาความในใจที่อยู่ลึกๆ อย่างนี้บอกเล่าให้เข้าใจ ขอร้องให้ศิษย์เห็นใจ ศิษย์ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอให้ดูแลตัวเองให้ดีและทำตัวเราให้ดีกว่านี้ เป้าหมายอยู่ทางไหนเดินไปตามแสงสว่างเส้นนั้น แต่อย่างว่าระยะทางมันยาวก็เลยไขว้เขว สมัยก่อนนั้นให้บำเพ็ญก่อนจึงชี้ทางให้หลุดพ้น  คนที่ได้รับการชี้ทางก็หลุดพ้นไปเลย แต่ตอนนี้อาจารย์ชี้ทางให้ศิษย์ก่อน ศิษย์ก็ต้องบำเพ็ญอีกนาน ใครที่ไม่เอาจริงในชาตินี้ไม่มีทางพ้น ในที่สุดอาจารย์ก็ต้องดูศิษย์ทุกคนเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งหนึ่ง  เสียดายแทนที่ทุ่มเทไปตั้งมากมายแล้วไม่ได้รับความสำเร็จกลับคืนมา อาจารย์เชื่อแน่ว่าถ้าศิษย์เจอเหตุการณ์แบบนี้ เห็นอย่างนี้ชัดๆ แม้แต่คนเดียว ศิษย์ต้องร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดแน่ อย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับศิษย์ทุกคน ทำตัวเราให้ดี อาจารย์ในใจของศิษย์ทุกคนก็มีเชื่อฟังเขาหน่อย ทำได้หรือเปล่า ต่อไปเหตุการณ์ชีวิตเปลี่ยนไป แต่เรานั้นต้องไม่เปลี่ยนใจ
สุดท้ายอาจารย์ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคนจงสุขสวัสดี อย่าลืมว่าอาจารย์นั้นคอยมองศิษย์เสมอๆ อาจารย์ลาศิษย์ทุกคน  แต่ศิษย์ไม่ต้องห่วงครั้งนี้ศิษย์มีอาจารย์ อาจารย์ก็มีศิษย์อยู่แล้ว หนทางยังยาวไกลรักษาตัวเราให้ดีให้อยู่รอดปลอดภัย ให้แคล้วบ่วงมารทั้งหลาย ให้เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ไม่ว่าอีกนานเท่าไรศิษย์จะอยู่ในหัวใจอาจารย์เสมอ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา