วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2543

2543-01-08 พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น


PDF 2543-01-08-ฮุ่ยอวี้ #27.pdf


วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์พุทธะสำเร็จไปจากกายคน ประธานบนวิหารไม่ขมวดคิ้ว
คุมชีวิตสร้างค่าก่อนเคว้งปลิดปลิว สอบแถวทิวมีคนผ่านกันกี่คน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
คนหลงของยังพอที่จะตื่นใจ คนหลงคนงมงายยากตื่นฟื้น
คนมีทุกข์ทั้งยามหลับแลยามตื่น ขอได้คืนจิตแท้ด้วยรู้บำเพ็ญ
ถนอมบุญพลังธรรมในกายตน อย่าสับสนสิ่งลวงตาพาไขว้เขว
ในบัดนี้เปรียบลอยคอกลางทะเล จงทุ่มเทพิจารณาด้วยปัญญา
ในบัดนี้กาลคับขันส่งธรรมช่วย คนจิตป่วยต้องรู้ตนป่วยจึงหาย
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย หมั่นละลายหนี้บาปอย่ากลัวลำเค็ญ
เมื่อได้รู้ธรรมแท้นำปฏิบัติ แลกำจัดกิเลสตนให้สิ้นซาก
อย่าได้กลัวสู้ความยากลำบาก กิเลสหากขาดได้จิตเบาลอย
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ความสุขุมในใจต้องมีกำเนิด
อย่าได้มัวฟุ้งซ่านจิตเตลิด คนประเสริฐที่สุดจำให้ดี

ขอได้ใช้เวลาสองวันนี้ เปลี่ยนแปลงตนเป็นคนดีดั่งใจหมาย
ขอให้อย่าหมดแรงกลางวุ่นวาย รักสุขในเฉพาะหน้าต้องโศกนาน
ขอปราดเปรียวดังสายน้ำที่หลั่งริน ตระหง่านสูงยอดเขาเมฆินทร์มั่นคงแท้
คือปัญญาเมตตาในดวงแด ฝึกกายใจหมั่นเหลียวแลเวไนยชน
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นดูน้องว่านิ่งพอไหม
ทั้งบนล่างขอให้ประสานใจ ยิ่งนานไปบำเพ็ญจะยิ่งสุขจริง
เคารพกันและกันรักษาระเบียบ อย่าเปรียบเทียบใครเก่งกว่าหามีไม่
ความเที่ยงแท้ตรวจสอบจากทุกดวงใจ ไม่เข้าใครออกใครพี่ตรวจคุม
จงรู้ว่าจิตศรัทธาสุดสำคัญ คนขยันชนะตนยากต้องพ่าย
เหนือสิ่งใดบำเพ็ญธรรมต้องรู้ละอาย ปิดใครได้แต่มิอาจจะปิดตน
สองวันนี้คนอยู่ใกล้มาให้ครบ แผ่นดินกลบเมื่อไหร่คืนชั้นฟ้า
ในบัดนี้ต้องแข่งกับเวลา บางคนหนาอายุก็ใช่น้อยเอย
อย่าสงสัยในจิตใจให้มากความ แลพี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

การมองคนให้มองซึ่งตนก่อน การเร่งร้อนอย่าเร่งแต่กำลังขา
คนละไม้คนละมือสำเร็จพา ประกาศธรรมแทนฟ้าต้องรู้จริง
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง   () รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม
คุณธรรมเป็นหลักปฏิบัติชนวิญญู นำหน้าด้วยกตัญญูทุกรุ่นสมัย
ครองจริยาอย่านิยามผู้ใดไป บำเพ็ญใจมองกลับต้องทุกวัน
ไม่มองข้ามแลเพิ่มการพิจารณา บันไดฟ้าอาจถูกกวดแม้ฝัน
ใช้ปัญญาทำการขั้นตอนสำคัญ สำนึกมั่นเยี่ยงเป็นต้นเหตุเสมอ
ตามรอยอย่างปราชญ์เมธีบำเพ็ญจริง เมื่อประวิงแสนสำคัญย่อมไม่เผลอ
มั่นปณิธานยามฟันฝ่าอย่าละเมอ ทุ่มเทเจอปลายคุ้มค่าต้นตั้งใจ
เกียจคร้านเป็นจุดเริ่มการถอยหลัง ถอนรากฝังพยายามทำให้ได้
หมั่นขัดเกลาละฤดีสิ่งชั่วร้าย อานุภาพแห่งสำรวมให้ร้ายไม่พาน
ชีวิตหนึ่งเกิดเป็นคนต้องเข้าใจ อย่าทำลายจนตนต้องน่าสงสาร
ตามสบายกล่าวกระทำย่อมเสียการ ฟื้นฟูญาณเพียบงามรักษาค่าตน
โปรดคนบุญพร้อมกันหนึ่งเวลา องค์มารดาเต็มจิตเมตตาเปี่ยมล้น
ส่งสายทองบำเพ็ญนาช่วยตน สามัคคีดลมานำอุปสรรคมลายไป

เมื่อศึกษาธรรมะเจริญความรุดหน้า กายวาจาจิตใจปฏิบัติเพียรแก้ไข
ในสองวันอบรมธรรมเบาสงสัย ตรองแต่เพียงทำไฉนพ้นถาวร
ความผิดชี้รับผิวเผินพร่องละอาย เจตนาให้บังเอิญเรื่องใช่แรงอ่อน
หนีจนตราบชีพมลายตามหลอน จงคิดก่อนดำเนินอย่าทำลืม
ฮิ  ฮิ  หยุด





พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

มนุษย์ในโลกนี้ใช้อะไรควบคุม (ใจ)  สิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ก็อาจจะควบคุมไม่ได้ สิ่งที่อาจจะควบคุมไม่ได้ก็อาจจะควบคุมได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เฉพาะข้างนอกยังไม่แน่นอนตัวเราเองก็ยังไม่แน่นอน จริงหรือไม่ แต่ว่าในความไม่แน่นอนก็ยังมีความแน่นอน เราอยู่บนโลกนี้เรายังงงๆ งวยๆ  บางครั้งเราว่าจริงบางครั้งเราว่าเท็จ แต่ไม่แน่สิ่งที่จริงกลับเท็จก็อาจจะเป็นเท็จและจริงก็ได้ ตอนนี้ท่านเห็นเราท่านก็อาจจะงงๆ งวยๆ ว่าจริงหรือเท็จ แต่จะไปหาอะไรกับโลกใบนี้ บางทีวิ่งวนเพื่อจะหาความจริงกับเท็จ วิ่งวนไปหาความถูกความผิด แต่พอวิ่งไปจนถึงที่สุดแล้วเรากลับลืมไปว่าอะไรถูกอะไรผิดจริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่านิทานให้นักเรียนในชั้นฟัง) เมื่อเราเป็นเด็กเราอยากฟังนิทาน แม้บางทีโตแล้วเราก็ยังอยากฟังนิทาน เพราะนิทานก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เอาไว้สอนใจเราใช่หรือไม่  มีชายคนหนึ่งภรรยาเขาให้กำเนิดบุตรขึ้นมา บุตรคนนี้เมื่อโตขึ้นก็มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากคนทั่วไป  สิ่งที่เขาบอกว่าหอม ลูกเขาก็บอกว่าเหม็น สิ่งที่บอกว่าสวย ลูกเขาก็บอกว่าขี้เหร่ สิ่งที่บอกว่าถูก ลูกเขาก็บอกว่าผิด  สามีภรรยาคู่นี้กลุ้มใจมาก ว่าทำไมลูกเป็นอย่างนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยไปหานักปราชญ์ แต่ปราชญ์กลับพูดว่าไม่แน่ที่บอกว่าหอม บอกว่าสวย บอกว่าดี จริงๆ แล้วอาจจะไม่หอม ไม่สวย ไม่ดีก็ได้  ที่เราบอกว่าลูกเราเลอะๆ เลือนๆ ไม่เหมือนคนอื่นนั้นก็ไม่แน่เสมอไป  ตัวเราก็อาจจะเลอะๆ เลือนๆ ก็เป็นได้  นั่นเป็นเพราะสังคมกำหนดมาเช่นนี้ใช่ไหม สังคมกำหนดมาว่าอย่างนี้ต้องสวย อย่างนี้เรียกว่าถูก เราก็เป็นไปตามสังคม  แต่ถ้าวันหนึ่งสังคมเกิดเปลี่ยนสิ่งที่บอกว่าสวยกลับไม่สวย สิ่งที่บอกว่าถูกกลับไม่ถูก เราก็วิ่งตามสังคมไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจุดที่ถูกที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุดแท้จริง อยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่  บางครั้งก็อาจจะอยู่ที่ตัวคนอื่นได้เหมือนกัน  จึงบอกว่ามนุษย์เราอยู่ในโลกนี้ บางครั้งก็น่างงงวยเรื่องภัยในโลกนี้เหมือนกัน  ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องจะมาอย่างไรก็ยิ้มเข้าไว้ เรารับเรื่องทุกอย่างได้อย่างสบายใจ เวลาที่ใจเราเปิดกว้างเราก็พร้อมที่จะรับเรื่องที่จะประเดประดังเข้ามาได้ เราก็พร้อมที่จะรับมือและต่อสู้ได้  ฉะนั้นไม่ว่าจะมองใครหรือจะมองโลก บางครั้งเราต้องหันมามองตัวเราก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
 “การเร่งร้อนอย่าเร่งแต่กำลังขา”
ทำไมเราจึงบอกว่าจะทำสิ่งใดไม่ว่าจะคิดหรือจะพูด บางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดได้ จะสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้เริ่มต้น  เราไปเร่งให้เขาทำแต่ถ้าใจเราไม่เอาเขาก็ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียกร้องให้ผู้อื่นทำให้สำเร็จ แต่ตัวเองไม่ร่วมมือด้วยเขาจะทำตามเราไหม เขาก็ไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องในโลกก็เป็นเช่นนี้  อย่าไปเรียกร้องคนอื่นเลย เรียกร้องตัวเองนั่นแหละดีที่สุด  แล้วก็ง่ายที่สุด เชื่อฟังที่สุดจริงหรือไม่ (จริง) คนอื่นเชื่อฟังไหม บางทีเราเป็นพ่อเป็นแม่เขาเรียกเท่าไรเขาก็ไม่เชื่อฟังใช่หรือไม่  ฉะนั้นเรียกร้องตัวเราเองก่อน ถ้าเราทำได้ดีไม่มีหรอกที่จะไม่มีใครเดินตามใช่ไหม  ถ้าเราทำไม่ดีจะมีใครที่อยากจะเดินตาม
วันนี้มาฟังธรรมะ จะรู้ว่าธรรมะนี้เชื่อถือได้หรือไม่ได้ต้องอยู่ที่ว่าเราใช้พิจารณาเปิดฟังดูก่อน หากเราฟังไม่เต็มที่ฟังไม่เข้าใจ เราออกไปพูดเท่ากับว่าเราเป็นผู้ปิดกั้นธรรมะนี้ไม่ให้ผู้อื่นได้รู้เรื่องใช่หรือไม่ เพราะทุกคนมีหมู่ชน มีกลุ่มชนของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนนั้นก็เป็นเหมือนตัวแทนแห่งธรรมนี้ออกไปบอกกลุ่มชนของเรา  ถ้าเราฟังให้เข้าใจการที่จะอธิบายธรรมะนี้ก็ย่อมอธิบายได้ชัดเจนและแจ่มแจ้ง แต่ถ้าเราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ เราออกไปพูดกับกลุ่มชนของเรา เราตอบไม่ได้ ธรรมะนี้ก็กลายเป็นธรรมะที่ไม่รู้เรื่อง  ฉะนั้นตอนนี้ท่านก็มีหน้าที่แล้ว หน้าที่ตรงนี้ก็คือ นั่งฟังธรรมะนี้ให้เข้าใจ  เพราะเมื่อใดที่คนถามท่าน ตอนนั้นแหละท่านก็คือตัวแทนของธรรมะนี้แล้ว ถ้าท่านทำได้ดี ธรรมะนี้ก็ดี แต่ถ้าท่านทำไม่ดีธรรมะนี้ก็ไม่ดี  เฉกเช่นเดียวกันเหมือนเรามีชื่อของเราอยู่ ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อแต่เรายังมีนามสกุลและวงศ์ศาคณาญาติ  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะคิดหรือพูดตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราจึงต้องไม่ลืมว่าเราอยู่ในสังคมนั้นเราเป็นตัวแทนของใครบ้าง เป็นตัวแทนของโรงเรียน ครอบครัว และสังคมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนทุกคนเป็นหน่วยที่สำคัญหน่วยหนึ่ง ทอดทิ้ง ปล่อยปละละเลยไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งใช่หรือไม่
ชื่อเราแปลว่าอะไร  “ต้า ()”  แปลว่าใหญ่ “เซี่ยว ()”  แปลว่าอะไร (ยิ้ม)  “ฝอถง ()” แปลว่าเด็กผู้ชาย  เราเป็นตัวแทนความสุข มามอบความสุขให้แก่ท่าน  ปีใหม่ก็ผ่านไปแล้ว ใครรู้สึกมีความสุขกับปีใหม่ที่ผ่านมาบ้าง หรือว่าสุขวันปีใหม่วันเดียว แล้วหลังจากนั้นก็หวานอมขมกลืน
บนแดนฟ้านั้นมีพุทธะหลายวัย มีตั้งแต่วัยอาวุโส  วัยกลาง วัยเด็ก และเด็กเล็กๆ แปลว่า คนทุกวัยสามารถบำเพ็ญธรรมแล้วสำเร็จกลับคืนเบื้องฟ้าได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการบำเพ็ญอย่างเป็นธรรมชาติ  ดูง่ายๆ อย่างเช่น น้ำฝน  การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับฝนเมื่อตกลงมาจากฟ้า ก็ยังมีวันกลั่นตัวระเหยกลับคืนไปเบื้องฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราก็เหมือนกันหากเราไม่รู้ว่าเรามาจากไหน แต่ถ้าเกิดเราบอกท่านว่า ท่านมาจากเบื้องฟ้าสู่แดนโลก ถ้าจะกลับไปก็ต้องกลั่นกรองตัวเอง เพื่อที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกับฝนนั่นแหละ  แต่หลายคนมักจะคิดว่า ตนเองเป็นน้ำที่สกปรกแล้วยากที่จะกลับคืนใสเช่นเดิม  นี่คือปัญหาแรก  อย่างที่สองนั่นก็คือ รู้ว่าตนเองสกปรกและสามารถใสได้แต่ก็กลัวการกลั่นกรอง กับอีกประเภทหนึ่ง รู้ว่าตนเองขุ่นและสามารถใสได้และกล้าที่จะโดนกลั่นกรอง แต่พอโดนกลั่นกรองจริงๆ ก็ยอมแพ้  บุคคลสามประเภทจึงยากจะกลับคืนสู่ความใสได้  ทำอย่างไรก็ยากบำเพ็ญสำเร็จมรรคผลจริงหรือไม่
แล้วท่านเป็นประเภทไหน ตอนนี้ท่านยังเป็นประเภทไม่อยู่ในสภาวะใดที่เราพูด เพราะยังไม่รู้ว่า ตนเองสามารถบำเพ็ญและบรรลุได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งแต่มีชีวิตมา ถามท่านในที่นี้ มีใครบ้างที่คิดว่าตนเองสามารถเป็นพุทธะได้  น้อยคนนักที่จะคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกคนเวลาลืมตาขึ้นมาสิ่งที่เราคิดก็คือ เรื่องของปากท้อง  สิ่งต่อไปที่คิดก็คือ ตัวเอง เราคิดแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น  แต่ถ้าจะคิดเข้าไปข้างในก็คิดเพียงแค่นิดเดียว  ไม่เคยผ่าเข้าไปให้ถึงในสุดของตัวตนเองที่แท้จริง จริงหรือไม่ (จริง)  ตอนนี้เรามาบอกท่าน ท่านต้องรู้แล้ว ตัวท่านเองบำเพ็ญตนกลับคืนเบื้องฟ้าได้  แต่จะเป็นคนสามประเภทนี้ หรือไม่ก็แล้วแต่ แต่จะต้องเป็นคนที่รู้ว่า ตนเองมีขุ่น มีใส และสามารถกลับเป็นใสได้โดยผ่านการกลั่นกรอง เพื่อที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ดีหรือไม่ (ดี)  ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้แม้แต่ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  การชนะคนอื่นเรียกว่า ผู้เก่งกล้าและฉลาด แต่ถ้าเราชนะตนเองได้เรียกว่า “ผู้รู้แจ้ง”  แล้วท่านรู้แจ้งได้หรือเปล่า (ได้)  รู้ได้แต่ไม่ยอมแจ้งสักที หรือไม่ก็แจ้งแล้วแต่ไม่รู้สักที  บางครั้งคนเราแจ้งแล้วว่า ชีวิตเป็นทุกข์เราต้องฝ่าทุกข์ให้ได้ เพื่อกลับคืนนิพพาน  แจ้งแล้วแต่พอให้รู้ตื่นจริงๆ  รู้ฉับพลันจริงๆ แล้วก็กลับเป็นรู้ยากไปอีก  แปลว่าในโลกนี้เราสามารถบำเพ็ญธรรมได้ แล้วกลับคืนเบื้องฟ้าก็ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ก็ต้องรู้ก่อนว่า ตัวเรานั้นเป็นคนที่มีคุณธรรมหรือเปล่า  คนที่จะเป็นอย่างเช่นฟ้าได้ คนที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ก็คือ จะต้องเบา ใส บริสุทธิ์ และปราศจากอบายมุข
จริงๆ แล้วทุกคนรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าดี  ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าไม่ดี  ทำอย่างไรทำให้ตนเองเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยุติธรรม  และทำอย่างไรให้เป็นคนคดเคี้ยวเต็มไปด้วยราคีและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เรารู้ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่เสียอย่างเดียวท่านรู้แล้วไม่ยอมทำ  ชอบเป็นคนสองใจ รักดีก็เอารักชั่วก็เอา เอาหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากจะทำสิ่งใดก็ต้องมีความเด็ดขาดและมั่นคงด้วย  คุณธรรมอย่างแรกที่เราจะมาศึกษา นั่นก็คือ “คุณธรรมแห่งความเป็นคน”  เพราะเราเป็นคน
  ลองอ่านกลอนที่เราให้ เข้าใจไหม  อ่านไม่ได้เพราะตาไม่ดีหรือ  ฟังนะ อย่าบอกว่าฟังไม่ได้ หูไม่ดีอีก ท่านนี้ท่าจะมีปัญหา ตาก็ไม่ดี หูก็ไม่ดี มือก็ไม่ดีด้วยอีกหรือเปล่า  แต่รู้ว่าตนเองไม่ดีก็ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมถึงบอกว่ารู้ว่าตนเองไม่ดีแล้วถึงดีรู้ไหม  เพราะเวลาเรารู้ว่าตนเองมีตรงไหนที่ไม่ดี ก็แปลว่าเราก็พร้อมที่จะแก้ไขและทำให้ดีขึ้น ใช่หรือไม่  แต่หลายคนรู้ว่าไม่ดี แต่ก็ประคองไว้  ก็ฉันไม่ดีอย่างนี้ ก็ประคองไว้ อย่ามาว่านะ แทนจะทำลายทิ้งก็ไม่ทำ
“บำเพ็ญใจมองกลับต้องทุกวัน”
คุณธรรมแห่งความเป็นคนอย่างแรก ที่เราไม่ควรทอดทิ้ง นั่นก็คือความกตัญญู กตัญญูเป็นคุณธรรมแห่งฟ้า และเป็นคุณธรรมแห่งดิน เป็นหลักดำเนินชีวิตของคน คนเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างฟ้าและดิน  ฉะนั้นมนุษย์เราต้องรู้จักเอาคุณธรรมแห่งฟ้าและคุณประโยชน์แห่งดิน มาใช้ให้กลมกลืนสอดคล้องกับอุปนิสัยของตน  เมื่อทำได้เช่นนี้ เราก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรม แล้วเมื่อไรที่คนมีคุณธรรม รู้จักนำคุณธรรมแห่งฟ้าคุณประโยชน์แห่งดินมาหล่อหลอมกับอุปนิสัยของตนเอง ก็จะเป็นคนที่อยู่กลมกลืนได้ทั้งฟ้าและดิน  เมื่อเขามีชีวิตกลมกลืนกับฟ้าและดิน เขาก็เหมือนส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีแต่ให้ มอบแต่ความสุข มอบแต่รอยยิ้ม มอบแต่สิ่งที่คนปรารถนา โลกก็สันติสุข ตัวเราก็จะร่มเย็นและเป็นสุข ไม่หวาดกลัวหวาดผวา แล้วเราจะทำได้อย่างไร ตรงนี้แหละเป็นเรื่องยาก
บ่อยครั้งที่มนุษย์เรารู้จักที่จะมีคุณธรรม รู้จักที่จะมีความกตัญญู แต่การจะมีคุณธรรมแล้วกตัญญูได้นั้น เราต้องไม่ลืมว่าคุณธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งคุณธรรมทั้งปวงนั้นก็คือกตัญญูต่อบิดามารดา และการกตัญญูต่อบิดามารดาที่ดีที่สุด และประเสริฐที่สุดนั้นก็คือ เคารพท่านเยี่ยงฟ้าและดินหรือเยี่ยงพระโพธิสัตว์หรือพุทธะ  แต่การกตัญญู ใช่บอกว่าคุณพ่อสวัสดี คุณแม่สวัสดี เคารพอย่างนี้ไม่ถูก ใช่หรือไม่  การเคารพเยี่ยงฟ้าและดินก็คือมีความอ่อนน้อม มีความรัก มีความเป็นห่วง รักใคร่ท่าน  เมื่อไรที่เรารู้จักกตัญญูกับพ่อแม่ นั่นก็แปลว่าเราไม่ได้มีใจที่เห็นแก่ตนแล้ว เรายังมีใจที่รู้จักเห็นใจผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อแม่ของเรา ใช่ไหม  เมื่อเราเคารพพ่อแม่ เพื่อนเห็นเขาย่อมรักเรา  แต่ถ้าเกิดว่าคุณธรรมแห่งความกตัญญูเราไม่สามารถทำได้ เพื่อนก็ยากจะจริงใจกับเราได้  ฉะนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ใช่มีแค่คุณธรรมอย่างเดียว แต่อย่าลืมความกตัญญูด้วย  เพราะคุณธรรมแห่งความกตัญญู เป็นข้อแรกของมนุษย์ที่ต้องรู้จักจำไว้  ความกตัญญูยังสอนให้มนุษย์เรารู้จักสำนึกคุณและตอบแทนคุณคนเป็นด้วย  หรือว่าชีวิตเรานี้ไม่ใช่เกิดมาเพราะตัวเราด้วยลำแข้งของเรา แต่ยังเกิดมาเพราะมีคนหนุนนำ มีคนนำหน้า และมีคนช่วยเหลือ  เมื่อเรารู้จักความกตัญญู เราก็จะเป็นผู้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และก็เป็นผู้ที่รู้จักรักผู้อื่นได้  เพราะว่าผู้อื่นเคยให้และเป็นผู้ที่สำนึกในบุญคุณคน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนเราต้องไม่ลืม  หนึ่งคือ กตัญญูรู้บุญคุณคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์เราเมื่อมีธรรมะแล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว บางครั้งก็มักจะอดไม่ได้ที่จะวัดคนเพียงภายนอก ดูคนเพียงหนึ่งครั้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บ่อยครั้งที่มนุษย์เรา มักจะมองผู้อื่น แล้ววัดเขาเพียงภายนอก หรือดูเขาแค่หนึ่งครั้ง ก็เพราะว่าเวลาเราอยู่ด้วยกัน บางครั้งเราเห็นเขาทำผิด เราตัดสินเขาตลอดชีวิต ได้ไหม (ไม่ได้)  อันนี้ท่านต้องคิดเอาเองแล้ว เราจะไม่ตอบว่าได้หรือไม่ได้  ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะดีมากมายเพียงใด ดีพร้อมเพียงใด ก็อย่าเอาการกระทำของเขาเพียงหนึ่งครั้งตัดสินเขาตลอดชีวิต อย่างนี้ก็โหดร้ายเกินไป  เหมือนหัวหน้าเมาหนึ่งครั้ง เราก็บอกหัวหน้าขี้เมาตลอดชีวิต ได้ไหม (ไม่ได้)  เท่ากับเราประณามเขาไม่ให้เขากลายเป็นคนที่ดีได้เลย ก็เท่ากับเรานั่นคือคนที่จะกดเขา ไม่ให้เขามีวันได้กลับคืนเบื้องบนและกลับเป็นคนดีได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ฉะนั้นแม้เราจะดีแล้ว คนอื่นจะผิดพลาดอย่างไร เราอย่าได้เอาการทำผิดหนึ่งครั้งมาตัดสินเขาชั่วชีวิต เราต้องเปิดใจกว้างนิดหนึ่ง เมื่อเปิดใจกว้างเมื่อไร เราจะบริสุทธิ์และยุติธรรมต่อโลก และต่อคนมากกว่านี้  ฉะนั้นหากเราคิดจะบำเพ็ญ เราคิดจะกลับคืนเบื้องฟ้าไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น เราจะต้องขัดเกลาจิตใจตลอดเวลา รู้หรือไม่ (รู้)  บำเพ็ญไม่ว่าหลับหรือตื่น ท่านก็จะถูกกวดขันอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม  การเป็นคนถูกกวดขันและถูกเข้มงวด บางครั้งเราก็รู้สึกว่าอึดอัด รู้สึกว่าไม่ได้ดั่งใจเลย อยากจะฝ่ากฏออกไปให้ได้ แต่ให้ท่านคิดดูว่าระหว่างคนที่รู้จักเข้มงวด กับคนไม่เคยเข้มงวดตัวเอง ท่านว่าคนไหนดี  คนที่เข้มงวดถึงจะเรียกว่าเป็นคนดีได้ คนที่ไม่เข้มงวดไม่น่าจะดีเท่าไหร่  เมื่อเราคิดจะบำเพ็ญ เราต้องเข้มงวด ก็เพราะว่าการที่จะบำเพ็ญได้ เริ่มต้นนั้นก็คือ ต้องเป็นคนดีให้ได้ก่อน และเป็นคนดีที่ยืนหยัดในความดี ไม่พ่ายแพ้แม้กระทั่งเรื่องความดี แล้วการจะเป็นคนดีนั้น เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร (ทำตัวเป็นกลาง)  การทำตัวเป็นกลางบางครั้งต้องทำตัวให้ถูก ไม่ใช่เป็นนกสองหัว บ่อยครั้งที่เราพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่โดนว่าเป็นนกสองหัว นั่นก็คือเราใช้ความเป็นกลางอย่างไม่ถูกต้อง  หากคนนี้เขาร้อนมา เราต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หากเขาเย็นอยู่เราต้องชี้แจงเหตุผลให้เขาเข้าใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การจะเป็นคนดีได้นั้นต้องทำอะไรอีก  บางครั้งเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บางครั้งความดีกับความไม่ดีเราก็แยกกันไม่ออก ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่เรียกว่าดี อะไรกันแน่ที่เรียกว่าไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรถึงจะแยกออก เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องหนึ่ง
สมมติว่ามีคนที่ไม่สามารถแยกออกว่าอะไรที่จะเรียกว่าการทำให้มีชีวิตที่ดี และอะไรที่จะทำให้มีชีวิตไม่ดี  เขาก็เอาชีวิตมาวางแล้วก็เขย่า (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำท่าเขย่าลูกเต๋า) ได้ ๓, ๕, ๖  ออกแต้มสูง ก็เลยปล่อยชีวิตแบบสะเปะสะปะ หรือไม่ก็บางครั้งไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยากที่จะรู้ว่าทำอย่างไรเรียกว่าดี ทำอย่างไรเรียกว่าไม่ดี ทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ตัวเองพ่ายแพ้  ก็เลยไปไหว้พระแล้วก็มาเสี่ยงทาย  แต่ปราชญ์หรือพุทธะไม่ทำเช่นนั้น เพราะการทำเช่นนั้นย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ดีและไม่ดีนั้นย่อมไม่สามารถกำหนดได้ เพราะถ้าออกมาไม่ดีแล้วจะไม่ดีตามนั้นหรือ ชีวิตเราต้องอยู่ที่เรากำหนดเอง  ถ้าเราเกลียดกลัวความไม่ดีเหมือนเกลียดสัตว์ประหลาด เกลียดความทุกข์แล้ว เราย่อมรักดีมากๆ ใช่หรือไม่  หากเมื่อไรเราเห็นว่าการทำความไม่ดีนั้นให้โทษ มีอันตราย ทำให้หลับแล้วไม่เป็นสุข เราย่อมรักความดี และจะไม่แตะความชั่วเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอถึงเวลาจริงๆ มนุษย์เรากลับไม่กลัวเรื่องความไม่ดีเลย เพราะเวลาทำความไม่ดีกลับทำอย่างกล้าหาญ แต่ความดีกลับทำอย่างอ่อนปวกเปียก เช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เกลียดกลัวความไม่ดีเหมือนเกลียดกลัวความทุกข์ และรักความดีเช่นเหมือนความสุข มนุษย์เราจะพยายามดำเนินชีวิตได้อย่างมีความดีตลอด ไม่ยอมให้พลาดไปทำความไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เป็นเพราะมนุษย์เราไม่ยอมกลัวความไม่ดี ไม่ยอมกลัวเรื่องความผิดพลาด จึงทำให้เราเผลอทำผิดอีกบ่อยๆ  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ให้คิดและพิจารณาว่าดีหรือไม่ดี หากไม่ดีก็ตัดทิ้งและไม่ทำ  อย่าได้ไปเป็นอย่างนี้อีกนะ (ท่านต้าเซี่ยวฝอถงทำท่าแจกไพ่)  เพราะการทำอย่างนี้เราไม่สามารถควบคุมตัวเราได้ ชีวิตของเรากลับไปแขวนไว้กับการเสี่ยงทายการเสี่ยงโชค ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะทำสิ่งใดขอให้เราคิดว่าชีวิตของเรามีหนึ่งชีวิต ไม่ได้มีเก้าชีวิต รอดมาได้หนึ่งครั้งต้องกลัวแล้ว  ไม่ใช่ว่ารอดมาได้หนึ่งครั้งแล้วคิดว่าไม่เป็นไรเอาใหม่ อย่างนี้ไม่ถูกต้องใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ผู้บำเพ็ญธรรมไม่ใช่มีสองใจนี้เท่านั้น แต่จะไม่มีใจที่หัวเราะ จะมีแต่ใจที่สงสารกับใจที่จะรีบไปช่วยเขา  เปลี่ยนจากใจว่าเขาและใจอิจฉาเขา เป็นใจที่เมื่อไรเราจะรีบไปดึงเขาดี เมื่อไรเราจะช่วยเขาได้ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละคือความสำคัญของการเรียกร้องให้คนรู้จักบำเพ็ญและควบคุมตน  เพราะบ่อยครั้งที่เราอาจจะเป็นเสือร้ายที่แอบอยู่ในตัวตนเองก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ความคิดของมนุษย์เรานั้นยากที่จะคาดเดา แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่จะเดาได้เหมือนกัน  ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่รู้จักระมัดระวังตัวเองให้ดี ท่านนั่นแหละอาจจะเป็นคนที่ก่อภัยให้แก่สังคม ก่อความวุ่นวายให้กับครอบครัวและตัวตนเองก็เป็นได้  การที่รู้จักบำเพ็ญตนจึงเป็นการที่รู้จักจับเสือมาอยู่ในกรง จับเสือมาเลี้ยงให้เชื่อง จับเสือให้กลายเป็นแมวน่ารักใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ว่าร่างกายเราจะอ่อนแอ แต่ใจเราเข้มแข็งได้ ใจเราสู้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะขยับเขยื้อนอะไรก็ตาม เราจะต้องไม่ลืมความสำรวมและระวัง เพราะว่าการที่เราเกิดเป็นคน บางครั้งเราต้องไปนำเขา บางครั้งเราต้องใช้อำนาจร่วมกับเขา  ฉะนั้นเมื่อเราต้องนำเขา เรามีอำนาจที่จะต้องนำพาเขา เราจึงต้องไม่ลืมคำว่า “สุขุม ระมัดระวังและสำรวม”  และบางครั้งเราอาจจะเป็นผู้ตามเขา  เมื่อไรที่เราต้องตามเขา เราต้องไม่ลืมคำว่า “ประมาทตนเอง”  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งที เวลาเราจะดำเนินชีวิตอย่าลืมว่าต้องสำรวม ระมัดระวังและไม่ประมาท  เราก็ยากที่จะผิดพลาด แล้วก็ยากที่จะเผอเรอได้  ไม่มีใครที่จะเป็นผู้นำไปตลอดชีวิต บางครั้งก็ต้องตามเขา บางครั้งก็ต้องนำเขา จึงไม่ควรลืมสิ่งที่เราบอกไว้ ดีหรือไม่ (ดี)  การสำรวม ระมัดระวังนั้น ก็ต้องไม่ลืมความอ่อนน้อมด้วย  เราจะนำเขาถ้าเกิดท่าทีที่เขาอยู่ร่วมกับเรา แข็งมาเรากลับแข็งตอบ ย่อมไม่สามารถนำพาเขาได้  อยู่กับเพื่อนเรา เขาแข็งมาเราก็แข็งตอบ เขาตามา เราก็ตาตอบ อย่างนี้มีแต่เจ็บทั้งคู่  ทางที่ดีนั้นก็คือ เขาแข็งมาเราอ่อนตอบ เขาแค้นเคืองมาเราให้อภัยและเมตตาตอบ อย่างนี้เขาก็จะเคารพเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเขาเคืองแค้นมา โกธามา เราแค้นตอบ โกธาตอบ อย่างนี้เขาก็ชี้หน้าเป็นศัตรูกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความน่ากลัวของคนนั้น ไม่ใช่มีแค่ตัวคนเท่านั้น แต่ยังมีตัวตนเองด้วยที่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกนี้เรากลัวสิ่งใดกันบ้าง บางคนกลัวภัยธรรมชาติ บางคนกลัวคน แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลัวตนเอง  เพราะว่าตัวตนเองนั่นแหละที่จะเป็นผู้ทำให้เกิดภัยหรือไม่มีภัย ทำให้มีเพื่อนหรือมีศัตรู ทำให้ลูกรักหรือเกลียด ทำให้สามีอยู่กับเราหรือแตกแยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเรานั้นจึงเป็นส่วนสำคัญ จะดีจะชั่ว จะเลวร้ายหรือว่าจะสมหวัง ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้ว จึงกล่าวไว้ว่า “ภัยของธรรมชาติ เรายังหลีกหนีได้ แต่ถ้าภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง ทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น”  ฉะนั้นจะทำสิ่งใดขอให้ไตร่ตรองสักนิดหนึ่งก่อน ชั่งดูว่าความดีความชั่วอันไหนมีมากกว่า  ถ้าชั่วมากกว่าก็ตัดทิ้ง ปลง ตัดใจ อย่าไปทำ ดีหรือไม่ (ดี)  แล้วเราก็จะไม่เป็นผู้ที่ทำร้ายตัวเองและกำหนดชีวิตตนเอง จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อไรที่เรามีใจเจียดเวลามาศึกษาธรรมะ  เมื่อนั้นคุณธรรมของตัวเราก็จะเจริญและก็ก้าวหน้า แต่จะเจริญก้าวหน้าได้ไม่ใช่แต่ศึกษาอย่างเดียว  ต้องพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติและฝึกปรือคุณธรรม ถึงจะเกิดความชำนาญได้ ถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม และมีความเชี่ยวชาญในคุณธรรมได้
อากาศร้อนใจเราต้องเย็น  ถ้าอากาศร้อนใจเราร้อนก็มีแต่พังกับพังใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่เราก็ต้องทำให้ใจเย็นๆ แล้วใจสบายดีหรือเปล่า (ดี)  ถึงเวลาเงียบก็ต้องเงียบอย่าคุยมากนัก  ถึงเวลาพูดให้พูดไม่ยอมพูด ถึงเวลาไม่ให้พูดท่านพูด อย่างนี้มักจะตายก่อนเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ต้องตายก่อนเพราะไม่รู้ความเหมาะควร  เราเกิดมาเป็นคนเราต้องแสวงหาอย่างไรถึงให้พอเหมาะพอควร ไม่ไปเบียดบังเขา ไม่ไปทำร้ายเขา  แสวงหาแล้วไม่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนจนเกินไป หากคนเรารู้ง่ายๆ ว่า เมื่อหิวก็กิน เมื่ออิ่มก็นอน ขาดก็หาเพิ่มเติม ก็คงง่ายกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราหิวแล้วต้องกินดีๆ ต้องร้านไกลๆ ต้องนั่งที่หรูๆ แต่งตัวสวยๆ  เวลาหามาเอาเงินเท่านี้ก็พอแล้ว  ต้องให้เหนื่อยกว่านี้ ต้องหาให้ได้มากกว่านี้ถึงเช้าจนเย็น  จึงต้องทุกข์เพราะไม่รู้จักคำว่า “พอเหมาะพอควร”  หรือพูดง่ายๆ ว่า มีความโลภ  โลภมากเกินก็เป็นทุกข์  เราต้องรู้ว่า จุดพอ จุดหยุดของเราอยู่ตรงไหนบ้าง  เมื่อเราเริ่มต้นย่อมมีวันสิ้นสุด เมื่อเราโกรธเป็นเราย่อมมีวันสิ้นสุดการโกรธเป็น ถึงจะสมบูรณ์ไม่ใช่มีด้านเดียวแต่อีกด้านหนึ่งไม่รู้จักแก้ไขอย่างนี้ไม่ถูกต้อง  ฟ้ายังมีมืดสว่าง ชีวิตคนย่อมเป็นธรรมดาในการจะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาจากความเป็นจริงของชีวิต ย่อมเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำอย่างไรให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่จึงเป็นไปได้
บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้เราก็เมาชีวิต และลืมรักชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรารักตัวเอง แต่ถามจริงๆ รักตัวเองใช่ทำให้ตัวเองทุกข์บ่อยๆ อย่างนี้หรือ รักตัวเองใช่ปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้หรือเปล่า ย่อมไม่ใช่  การรักตัวเองที่แท้จริงก็คือ  รู้จักนำพาตัวเองไปในที่ดี และนำพาตัวเองไปให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง  อันนี้ท่านรักตัวเองอย่างถูกต้องหรือเปล่า สิ่งที่ท่านทำอยู่เหมือนไม่รักตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับทำร้ายและบั่นทอนตนเองทุกวัน เอาแต่โหดเหี้ยม เอาแต่ทำร้ายตัวเอง อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย อย่างนี้คุ้มหรือ  มีหนึ่งชีวิตก็ไม่คุ้มใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนับจากวันนี้ไปเราต้องรู้จักสร้างในสิ่งที่ดีให้กับตนเอง  รู้จักรักตนเองในสิ่งที่ถูก ไม่ใช่รักแล้วทำร้ายคนอื่น เบียดบังคนอื่น แต่ต้องเป็นรักที่ทำให้คนอื่นอยู่ได้ด้วย  เดินแล้วคนอื่นเดินตามมาได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นถึงจะเป็นการรักตนเองและคำนึงถึงคนอื่น  เพราะเราอยู่ในโลกนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น  ฉะนั้นเราจะทำอะไรต้องไม่ลืมคำนึงถึงคนอื่นด้วยดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อเราทำและคำนึงถึงเขาแล้วมีหรือเขาจะไม่กลับมาคำนึงถึงเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วหากตัวเราเองทำได้ บำเพ็ญได้ดีงาม ถูกต้อง ใครจะเป็นอย่างไรไม่ต้องสนใจ ต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด เห็นคนอื่นผิดพลาดเราไม่ต้องไปว่าเขา  ไม่ต้องนำมาเก็บไว้ในตัวเรา ล้างทิ้งเสีย  แต่ถ้าเขาทำดีเราต้องเอาดีให้ได้อย่างเขา  เห็นเขาผิดพลาดไม่เป็นไร ให้อภัย เมตตาจิตเข้าไว้  เราถึงจะเป็นคนที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็เคารพ และอวยพรให้อายุยืนๆ  อยากให้คนอย่างนี้อยู่นานๆ ใช่หรือไม่  เราก็อยากให้ท่านอายุยืนๆ  แต่จะทำอย่างไรอายุยืนๆ ก็คือ ต้องรักตัวเอง อะไรที่ไม่ดีรีบตัดใจเสีย อย่าได้ปล่อยให้เกาะให้เกิดราก จนเป็นรากแก้วอย่างนั้นก็ดึงยาก ทำลายยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เรามักจะมีความดื้อรั้นและไม่ยอมแก้ไข  นั่นแหละคือ สารเหนียวที่เกาะไว้ที่ทำให้มนุษย์ยากที่จะดีได้  แล้วสารเหนียวนี้ก็รู้สึกมีกันทุกคน  เพราะเรามักจะติดว่าก็เราเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดีต้องเด็ดขาด ตัดให้ขาด และพยายามให้ความดีคงอยู่อย่างถาวร  เพราะว่าหนึ่งดีจะสามารถชนะร้อยร้ายได้ก็ต่อเมื่อดีนั้นมั่นคงดั่งขุนเขา  แต่บ่อยครั้งที่หนึ่งดีพอมีร้ายมานิดหนึ่ง ดีก็หายไปอย่างกับทะเลทราย  ฉะนั้นเราอย่าได้เผลอ อย่าคิดว่าเป็นผิดนิดเดียว ไม่ใช่ผิดนิดเดียวก็ทำลายร้อยดีได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่  อย่าลืมว่าโลกก็เป็นอย่างนี้ วกๆ วนๆ กลับไปกลับมายากจะเดาใจได้  แต่ตัวเรานั้นต้องพยายามควบคุมให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ภายนอกของโลกความสว่างกับความมืด  นั่นก็คือให้รู้จักให้มองโลกให้ออก โลกมีทุกข์มีสุข คนมีดีมีเสีย แต่เราต้องรู้จักเลือกความสว่างของภายนอกมาย้อนส่องภายในจิตใจของเรา  เมื่อไรที่เราเอาความสว่างภายนอกมาย้อนส่องภายในจิตใจ ใจเรานั้นก็จะเกิดความสว่างขึ้น  เมื่อใจเราสว่างก็นำความสว่างภายในใจมาย้อนกลับคืนส่องละลายความมืดให้สังคม และละลายความไม่ดีไม่สวยงามของคน นั่นก็คือใช้ความกระจ่างคลี่คลายความมืด ใช้ความถูกต้องดีงามละลายความชั่วร้ายในสังคมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช้อดีตเป็นตัวตัดสิน เป็นตัวมองอนาคต  หากเมื่อไรเราดำเนินชีวิตอย่างนี้เราจะเป็นผู้ที่สว่างในทุกข์ และสว่างในทุกๆ สิ่ง แม้ตอนนี้ยังไม่สว่าง เอาความสว่างภายนอกนั่นแหละย้อนส่องในใจ และเมื่อไรที่ใจเราสว่างก็พร้อมที่จะเอาไปส่องละลายความมืดให้คนอื่นดีไหม  เพราะถ้าเมื่อไรที่ตัวเราไม่กระจ่างเราก็จะดำเนินชีวิตยากที่จะเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเรายังมืดๆ มัวๆ เวลาดำเนินชีวิตก็ยากที่จะกำหนดแน่ชัดได้  ฉะนั้นนี่คือการเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน แล้วเราจะดูคนอย่างไร คนดูไม่ยากเลย เราจะดูเขาหรือเราจะร่วมงานกับเขาเราก็ต้องเลือกสักหน่อยใช่ไหม (ใช่)  เหมือนสถานที่ก็ต้องเลือกที่ดีๆ เมื่อเราพยายามทำตัวดีแล้วที่ก็ต้องดีด้วย  เพราะบ่อยครั้งไปอยู่ในที่เหม็นตัวเราก็อาจจะอาบกลิ่นเหม็นด้วย ไปอยู่กับสีแดงตัวเราก็จะกลายเป็นสีแดงได้  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเลือกคนและเลือกที่คนเป็นอย่างไร จะดูเขาได้อย่างไร เราดูเขาได้ที่ หนึ่ง คือเพื่อนรอบตัวเขาเป็นอย่างไรตัวเขาก็ย่อมมีส่วนใกล้เคียงอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเขาเอ่ยปาก เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ เขานึกถึงแต่ตัวเองหรือเปล่า หรือเขานึกถึงคนอื่นด้วย  เขาเคยนึกถึงคุณธรรมหรือไม่ หากเขาไม่นึกถึงนั่นก็แปลว่าเขาไม่ค่อยมีความชอบธรรมเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรามีปัญญาตัดสินได้ว่าสิ่งไหนควรไปสิ่งไหนไม่ควรไป สิ่งไหนควรชิดใกล้สิ่งไหนควรถอยห่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราดีรู้จักอยู่กับคนได้เป็นแล้ว รู้จักนำพาตนเองได้แล้วมีหรือที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราถึงทุกข์ๆ สุขๆ ก็เพราะว่าเราไม่เข้าใจคน ไม่เข้าใจตนเองและก็ไม่เข้าใจสิ่งแวดล้อมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ภายนอกมาสอนใจเรา ใช้เหตุการณ์ภายนอกมาย้อนส่องตัวเรา  บางครั้งคนเขาทะเลาะกัน เราเป็นอย่างไร (ยุเขา)  นั่นแสดงว่าภายนอกส่องให้เห็นแล้วว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร เห็นเขาทุกข์เรากลับสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นคนเขาร้องไห้แต่เราเดินไปปลอบใจเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่ามีจิตเมตตาสงสาร นั่นคือเอาภายนอกมาส่องภายในเรา เมื่อภายในเราสว่างเราก็พร้อมที่จะยื่นให้ภายนอกด้วย  เมื่อเราเริ่มมีเมตตาเราก็นำใจที่มีเมตตารักษาให้กับทุกๆ คน  หากทำได้เช่นนี้เราก็คือผู้บำเพ็ญตนที่ดีได้จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราก็จะยิ้มได้ และจะไม่ใช่ยิ้มเล็กๆ แต่จะเป็นยิ้มที่อิ่มเอิบและเป็นสุข
บ่อยครั้งที่เราอยู่บนโลกนี้นอนก็ผวา ตื่นก็ผวา ออกไปข้างนอกก็ผวา เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักโลก และก็ไม่รู้จักคนอื่น  แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราจะรู้จักตนได้อย่างไร รู้จักคนอื่นได้อย่างไร และรู้จักโลกได้อย่างไร  ก็ด้วยการมองให้ออก แยกให้ชัด ละตรวจสอบให้ได้  น้ำนิ่งๆ เท่านั้นถึงจะมองออก  ในที่สงบราบเรียบเท่านั้นถึงจะเห็นได้ชัด  สังคมวุ่นวายหมุนเป็นเกลียวคลื่นแต่ใจเราต้องสงบ เมื่อใจเราสงบเราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเราเที่ยงธรรมเราถึงจะตัดสินได้ถูกต้อง หัวใจสำคัญของการเป็นคนนั่นคือความเที่ยงธรรม หากมนุษย์ไม่เที่ยงธรรมแล้ว ตัวเราก็ยากเดา ตัวเขาก็ไม่รู้  โลกภายนอกเป็นอย่างไรก็ยากจะตัดสินได้ใช่หรือไม่
“เจตนาให้บังเอิญเรื่องใช่แรงอ่อน”
บางครั้งเวลาเราทำผิดไปแล้วเรามักจะพูดว่าเราไม่ได้เจตนา มันเป็นเหตุบังเอิญ  แต่บางครั้งการพูดแบบนี้เรียกว่าการแก้ตัวใช่หรือเปล่า เมื่อผิดก็ยอมรับผิด  เมื่อเรายอมรับผิดแล้วก็รีบแก้ไข คนอื่นจะได้ช่วยชี้แนะ  แต่ถ้าเมื่อไรเราผิดเรากลับปกป้องทุกด้าน คนจะชี้แนะให้เขาจะเห็นไหมว่าเรานั้นผิดตรงไหน (ไม่เห็น) เมื่อป่วยก็ยอมรับว่าป่วย เมื่อผิดก็ยอมรับว่าผิด อย่าไปคิดว่าเขามารุมว่าเราใช่หรือเปล่า
“หนีจนตราบชีพมลายตามหลอน”
ไม่อย่างนั้นถ้าผิดแล้วเราไม่ยอมรับผิด ความผิดนั่นแหละจะคอยหลอกหลอนเราทุกวันทุกคืนเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“จงคิดก่อนดำเนินอย่าทำลืม”
  เมื่อไรที่เราจะทำอะไรขอให้ตระหนักคิดพิจารณา ด้วยตาชั่งแห่งความเที่ยงธรรมในจิตใจ แล้วเราจะเป็นคนที่ไม่ดำเนินผิดพลาดเลย
หากเราพยายามทุ่มเทในการบำเพ็ญธรรม ตอนต้นตั้งใจตอนปลายท่านก็จะได้รับมรรคผลอันคุ้มค่าที่สุด  บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถบำเพ็ญได้ แต่ขอให้ลดการแสวงหาลงบ้าง รู้จักพอแล้วท่านก็จะพบสุข รู้จักสุขในคำว่าเท่านี้ก็พอ แล้วท่านนั้นก็จะมีเวลาให้กับการบำเพ็ญธรรม  หากทำได้เราก็จะเป็นผู้ที่เดินไปสู่หนทางเดียวกัน และกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่ใช่ร่างนี้  การกลับไปสู่เบื้องบนเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด และดีที่สุดของการมีชีวิตการเป็นคน แต่มนุษย์เรามักจะติดความสุขเล็กๆ น้อยๆ จนไปไม่ถึงความสุขอันยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนที่ทำงานหากหวังผลประโยชน์เพียงเล็กๆ น้อยๆ เขาจะไม่มีวันได้พบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เลย  หากท่านเป็นข้าราชการท่านกลับแอบรับสินบนเพียงเล็กๆ น้อยๆ ท่านจะไม่มีวันได้ตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ เฉกเช่นเดียวกันการบำเพ็ญธรรมจะสำเร็จถึงมรรคผลได้  ก็ต้องไม่หวังผลและเห็นแก่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ บนโลกนี้ แต่ท่านจะได้รับความสุขอันยิ่งใหญ่บนเบื้องฟ้าดีหรือไม่ (ดี)  ขออย่าได้หลงติดอยู่ในสุขอันจอมปลอมในโลกนี้ หลงแล้วก็รู้จักถอน พลาดแล้วก็รู้จักแก้ไข แล้วท่านนั่นแหละก็จะเป็นคนที่กลับคืนเบื้องบนได้อย่างเบาสบายและเป็นสุขอันนิรันดร์
 คงต้องจากกันด้วยรอยยิ้มแล้วนะ แม้จากกันก็ยินดีและเป็นสุขเพราะว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้วจำประโยคนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ว่าเราจะไปกับใครหรืออยู่กับใคร ขอให้อยู่กับเขาด้วยบุญสัมพันธ์ที่ดี  เมื่อเราจากกันเราจะได้ไม่ต้องเสียใจเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อเราจะไปกับเขา และต้องจากกันเขาก็จะไม่เสียใจเลย เพราะคุ้มค่าแล้วที่ได้อยู่ร่วมกับเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและรั้น อย่าเหนียวในกิเลสของตน เห็นอะไรเป็นสิ่งที่ดีรีบวิ่งไปทำ นั่นแหละกุศลถึงจะเต็มที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นำศรัทธาออกมาเป็นกุญแจ ความแน่วแน่เป็นทางลัดไปสู่ฟ้า
ประตูจิตเปิดออกยากแต่นานมา ศิษย์ศึกษาให้เข้าใจไปเปิดเอง
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนง่วงหรือไม่ สบายดีหรือเปล่า
อากาศร้อนลมโบกก็มีไอร้อน มาบั่นทอนสมาธิแห่งเมธีศิษย์
บำเพ็ญธรรมเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เหนือลิขิตด้วยใจที่เหนือโลกีย์
อาจารย์หวังสองวันนี้มีค่ายิ่ง คนฝึกจริงโลกและธรรมมอบหน้าที่
ชีวิตนี้เวลาสั้นรู้จักพลี เป็นคนดีต้องมอบดีแก่โลกา
ต้องรู้จริงจึงทำจริงนะศิษย์รัก ต้องห้ามหักเหล่ากิเลสจึงคืนฟ้า
ทั้งต่อหน้าและลับหลังเป็นหนึ่งนา ทุกเวลาอยู่ในสายตาฟ้าระวังตน
อย่าท้อเมื่อเดินครึ่งทางเพราะลำบาก ความมั่นคงเร่งอย่างมากอย่าสับสน
ศิษย์รักล้วนเป็นพุทธบุตรจากเบื้องบน แค่ฝ่าฝนเพื่อคืนแดนสู้ต่อไป
ช่วงเวลาที่จากศิษย์ใจอัดอั้น ไม่รู้ศิษย์จะรู้ทันมายาไหม
พบกันอีกอย่าเห็นข้าเป็นอื่นไป รู้เถิดใจอยู่กับศิษย์ทุกเวลา
ตั้งจุดหมายพ้นเวียนว่ายไกลสูงส่ง จะมัวหลงปัจจุบันทำไมหนา
สุขคือสุขทุกข์คือทุกข์เวียนหมุนนา ตัดไม่ขาดพันขาศิษย์จนหยุดเดิน
เป็นดั่งพี่เป็นดั่งน้องปรองดองกัน ไม่แข่งขันบำเพ็ญยิ่งไม่ผิวเผิน
อย่ามัวติดโลภโกรธหลงมัวเมาเกิน อย่ามัวติดลาภยศเงินล้วนนอกกาย
ร้อยพันคำพูดไม่ออกแม้คำหนึ่ง หวังเข้าถึงใจอาจารย์ศิษย์ทั้งหลาย
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย แลกลับไปอยู่เคียงข้างอาจารย์เอย
เฮ้อ  หยุด


มองหาชีวา  อันดีงามที่ใด  ถ้าไกลตนแล้วนั่น  คงไม่เจอตลอดกาล  ด้วยใจอันยืนยง  เหนื่อยเพียงใดไม่เคยพรั่นหวั่น  ด้วยใจเดียวกันย่อมนำชนไกลภัย
เคยเสียใจมา  เคยโรยแรง เคยเพลียใจ  ทำใจแล้วลุกจาก  วันเมื่อวานสู้ต่อไป  เปลี่ยนแปลงตนเอง  อย่ารอให้สายจนเกินแก้  อย่ามัวเอาแต่แล  ความพลาดเขาเรากลับจำ
* มองย้อนตนเอง  บำเพ็ญมานานหลายปี  ร่วมฟ้าร่วมปฐพี  ร่วมใจร่วมคุณธรรม  ศิษย์เอ๋ยบางที  ยอมได้เราควรต้องยอม  ฉับพลันเข้าถึงใน  สิ่งที่ตนรู้แต่ก่อนมา
ด้วยใจอันยืนยง  เหนื่อยเพียงใดมิเคยพรั่นหวั่น  ด้วยใจเดียวกัน  ย่อมนำชนไกลห่างภัย  (ซ้ำ *)
เพลง : ยอมได้ต้องยอม
ทำนองเพลง : บินหลา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีศรัทธาหรือเปล่า (มี)  มีน้อยหรือมีมาก (มีมาก)  ถ้ามีมากเราก็ต้องพูดเสียงดังๆ ว่าเรามี  ถ้ายังไม่มีเราก็ต้องเงียบไว้ก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  มานั่งฟังเป็นวันที่สองแล้วได้อะไรมากขึ้นหรือไม่ (ได้)  คิดว่าตัวเองได้อะไรมากขึ้น (ได้ความรู้ , ได้รู้จักความเป็นมนุษย์มากขึ้น)  เวลามาสถานธรรมเขาบอกว่าเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาถามอะไรให้ยืนตอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่ยืนเราจะได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้เราฟังธรรมะเป็นวันที่สองแม้ว่าจบสองวันนี้ไปเขาบอกว่าธรรมะนี้ดีอย่างไรต้องนำไปปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราจะได้อะไรหรือไม่ แม้ว่าสองวันนี้เสียเวลานั่งฟังอย่างลำบาก แต่ว่าเวลาปฏิบัติจะยิ่งลำบากมากกว่านี้ เรากลัวหรือไม่ความลำบากเหล่านี้ (ไม่กลัว)  ตอนนี้ในสังคมมีคนทำดีอยู่น้อย มีคนทำชั่วมาก  ถ้าเป็นคนดี แต่เราต้องลำบากยอมไหม (ยอม)  ถ้าหากว่าเราไปซื้อของแล้วเขาทอนเงินเกินมาเราจะคืนเขาหรือไม่ (คืน)  เราต้องคืนเพราะว่าเรานั้นมีมโนธรรมสำนึกใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราไม่คืนถามว่าใครรู้สึกผิด (ตัวเราเอง)
สองวันนี้มานั่งประชุมธรรม จิตใจของเราต้องเปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธา หากไม่ศรัทธาก็เปิดใจไม่ออกใช่หรือไม่ (ใช่)  ความศรัทธาเปรียบเหมือนกุญแจเปิดประตูบ้าน ให้บ้านหลังนี้สามารถเปิดประตูได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราศรัทธาไม่พอ ถามว่าเปิดประตูบ้านหลังนี้ออกไหม (ไม่ออก)  คนที่มีศรัทธาไม่พอก็เหมือนมีกุญแจ แต่มีกุญแจบ้านอื่น  มีกุญแจไขไปสู่ความสงสัย แต่ไม่มีกุญแจไขไปสู่ธรรมะอันล้ำค่าได้ แม้ว่าเรามานั่งฟังสองวันนี้ ถึงแม้อาจารย์จะเปิดประตูจิตแห่งพุทธะให้แล้ว แต่ประตูแห่งการศึกษา ประตูแห่งการเป็นพุทธะด่านต่อๆ ไป หลังจากนี้ต้องอาศัยศิษย์เป็นผู้ไปเปิด  หากว่าเราไม่ไปเปิดเราก็จะไม่เข้าใจ เพราะว่าเราไม่รู้จักศึกษา ปัญหาก็คือมีคนที่บำเพ็ญธรรมมานานหลายปี บำเพ็ญธรรมแต่ไม่ชอบขึ้นไปนั่งฟัง มาสถานธรรมทุกครั้งแต่ว่าไม่ขึ้นไปนั่งฟัง  เพราะว่าอะไร จะมีเหตุผล
อยู่มากมายที่เรานำมาใช้ แต่เหตุผลเดียวก็คือ ความขี้เกียจ เราไม่อยากขึ้นไปเพราะว่าเราขี้เกียจ แล้วเราขี้เกียจเป็นพุทธะไหม (ไม่)  ไม่ขี้เกียจเป็นพุทธะ มีธรรมะมาพูดให้ฟังอยู่ตรงหน้าแล้วเราอยากฟังไหม (อยาก)  อาจารย์ถือว่านี่เป็นการตอบแทนคนขี้เกียจขึ้นมาฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
คิดว่าหลังจากวันนี้เมื่อเรากลับไปบ้านใช้ชีวิตอย่างปกติคือ ตื่นเช้ามาก็ล้างหน้าแปรงฟัน ออกไปทำงาน กลับมาบ้านก็นั่งดูทีวี คุยกัน เข้านอน และมีปัญหามากมายปนเปอยู่ในนั้น ถึงตอนนั้นเรายังมีใจที่อยากจะบำเพ็ญธรรมอยู่ไหม (มี)  และหากมีอยู่ช่วงหนึ่งเราพบกับวิกฤต เหมือนกับเราเจอไอเอ็มเอฟอย่างนี้ วุ่นวายมากขึ้นทุกวันแล้วเราอยากบำเพ็ญธรรมไหม ในกระเป๋าก็แห้งไปหมดอยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก)  เกิดมีคนข้างบ้านมากระทบกระเทียบ เหมือนอาจารย์โยนลูกแอปเปิ้ลไปโดนแว่นของนักเรียนพังไปข้างหนึ่งยังอยากบำเพ็ญธรรมไหม การบำเพ็ญธรรมนั้นกลัวมากที่สุดคืออะไร  (กลัวไม่มีที่บำเพ็ญ)  เราสามารถจะมีที่บำเพ็ญได้ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องนอนหรือในห้องน้ำ ในห้องครัว จะอยู่ในสถานธรรมหรืออยู่นอกสถานธรรมก็บำเพ็ญได้  ขอเพียงใจของเรานั้นคิดที่จะบำเพ็ญอยู่เสมอ  กลัวแต่ใจเราคิดฟุ้งซ่านไปไกล วันๆ คิดถึงแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการบำเพ็ญนั้นคือ  การที่เราเที่ยวฟังชาวบ้านไปหมด สมมติตอนนี้อาจารย์จับผลไม้อยู่ลูกหนึ่งเป็นสาลี่  ก้านสาลี่นี้สีเหลือง ผิวสาลีนี้ขรุขระ ผิวของสาลี่นี้สีเหลืองนวลหรือสีเหลืองมีจุด (เหลืองมีจุด)  สมมตินักเรียนกินสาลี่นี้คนละคำ  แล้วเราก็จินตนาการเอาว่า สาลี่นี้มีรสหวานมาก  เราได้รู้จักสาลีนี้ดีพอประมาณแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและทั้งรสชาติภายใน ถึงเวลาเรากลับไปบ้าน  คนแถวบ้านเราที่ไม่เคยเห็นสาลี่ ไม่รู้จักสาลี่เลย แล้วเขาก็บอกว่า สาลี่นี้กินแล้วไม่ดี มีพิษ  และเขายังไปเอาหนังสือมาให้เราดูอีก  เอาข้อมูลมาให้เราดู แล้วบอกว่ากินไม่ได้จริงๆ  สาลี่เป็นผลไม้ต้องห้าม เราจะเชื่อเขาหรือไม่ (ไม่เชื่อ)  ไม่เชื่อหรือคิดดูก่อน (ไม่เชื่อ)  มาสถานธรรมนานๆ เราก็มาที อยู่แต่ที่บ้านอยู่ๆ พอมีคนมาบอกเราทุกๆ วัน จากที่ไม่เชื่อก็กลายเป็นเชื่อบ้าง  ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นเชื่อ  เชื่อคนที่ยังไม่เคยเห็นสาลี่มากกว่าตัวเราซึ่งเคยกินมาแล้วอีก  อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนกับคนที่มาศึกษาธรรมะ  ศึกษามาครบสองวันอะไรๆ ก็ได้เห็น  สาลี่เราก็ชิมด้วยตัวเราเอง  ธรรมะเราก็ฟังกับใจ  แต่ถึงเวลาคนเขาพูดหนักๆ เข้าเชื่อใคร เชื่อคนอื่นหรือตัวเราเอง (ตัวเอง)  ถึงเวลาก็ไม่เชื่อตัวเอง ไม่เชื่อปากของเราที่กินสาลี่ไปด้วยปากของเราเอง  คนอย่างนี้มีอยู่มากกมาย  ศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นแบบนี้มีอยู่มากมาย น่าห่วงหรือเปล่า (น่าห่วงมาก)  อาจารย์จึงอยากจะบอกว่า สองวันนี้อย่าเสียเวลามาฟังเปล่าๆ  เมื่อเรานั้นอยากที่จะมาบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรม เราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง  เข้มแข็งอย่างไร  เข็มแข็งอย่างที่ว่า เราฟังธรรมะแล้วเกิดความเข้าใจในจุดไหน ขอให้จุดนั้นเป็นความเข้าใจที่หนักแน่น ที่พร้อมจะหยั่งรากลึกลงไป แล้วกลายเป็นต้นโพธิ์ที่แผ่ร่มไทรให้กับผู้คนได้ทั่วหน้า
ฉะนั้นเมื่อศิษย์ศึกษาจนร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้นไทร ต้นโพธิ์ในใจของศิษย์นั้นจะมีมากมายเป็นร้อยต้น  เมื่อมีมากมายขนาดเป็นร้อยต้น หวังว่า ขอสักตนหนึ่งไปปลูกที่ใจของผู้อื่น ให้กลายเป็นพันธุ์ต่อไป ให้กลายเป็นสิ่งที่ผู้อื่นเอาไปเพาะปลูกให้ขึ้นได้มากมาย  และขอแบ่งสักต้นหนึ่งไปเรื่อยๆ  ในที่สุดแล้วต้นโพธิ์ก็มีเต็มโลกเลยใช่หรือไม่  อะไรที่บอกว่าเราทำไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ลงมือทำก็ย่อมทำไม่ได้  อะไรที่เรายังไม่เคยลองคิดก็ต้องคิดไม่ออกใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกศิษย์ว่า วันนี้ฟังธรรมะมาเป็นวันที่สอง เป็นการยากลำบากกว่าจะนั่งสองวันนี้ได้ครบ ขอให้เราเอาสองวันนี้มาเป็นบทเรียนให้เรา แล้วหลังจากสองวันนี้กลับไปแล้วอย่าไขว้เขวอย่างง่ายดาย  อาจารย์ให้ยืนฟังวันนี้หวังว่าคงจำใส่ใจได้หมด  เพราะอาจารย์กลัวว่า นั่งฟังแล้วก็จะหลับไป
(พระอาจารย์เมตตานำสาลี่สามผลให้นักเรียนส่งต่อ พร้อมกับร้องเพลงพายเรือธรรม แล้วให้ส่งผลไม้นี้ต่อไป เมื่อหยุดร้องเพลงแล้วสาลี่อยู่กับใคร ให้คนนั้นเป็นคนมีโชคของชั้นนี้)
ปีใหม่นี้อยากได้โชคดีมีลาภใช่หรือไม่ (ใช่)  ลาภของอาจารย์ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ทองสิบบาท ไม่ใช่เงินสิบล้านบาท  แต่เป็นสาลี่ผลเดียว  มีคนโชคดีอยู่สามคน อาจารย์หวังว่า ทั้งสามคนในชั้นนี้โชคดีที่สุด  เราต้องรู้จักถนอมบุญของเราไว้  วันหลังต้องพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นทำได้หรือไม่ (ได้)  อายุมากแล้วแม้ว่าเรานั้นไม่ค่อยมีความรู้ ไม่เป็นไร พุทธะนั้นต่อให้ทำงานอยู่ในครัวก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่อให้เป็นคนขัดห้องน้ำก็สำเร็จเป็นพุทธะได้เชื่อหรือเปล่า (เชื่อ)
สาลี่สามลูกนี้หมายถึง ไตรรัตน์สามประการ  ทุกๆ คนมีไตรรัตน์สามประการที่อาจารย์มอบให้ไปแล้ว ได้มานานแล้วหรือเพิ่งได้ก็แล้วแต่  แต่ไตรรัตน์สามประการนี้มีความล้ำค่า อาจารย์ให้ศิษย์สามคนนั้นได้รับไปแล้ว อย่าดูถูกตัวเองว่า เรานั้นต่ำต้อย หรือเรานั้นสูงส่งเกินไป หรือเราฉลาดเกินไป  ศิษย์อาจารย์นั้นมีความเท่าเทียมกันทั้งสิ้น  ทุกๆ คนมีไตรรัตน์ทั้งสามนี้  มีสิ่งล้ำค่าเหมือนสาลี่ผลนี้  ที่คัดเลือกมาจากคนทั้งชั้นได้สามคน  ที่เลือกมาจากคนจำนวนมากในชุมชนแถวนี้แล้วได้ศิษย์สามคนนี้  ถามว่าศิษย์ของอาจารย์มีความล้ำค่าหรือไม่ (มี)  สิ่งล้ำค่านี้เป็นของตัวเรา แล้วตัวเราจะไม่ล้ำค่าอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
 “อากาศร้อนลมโบกก็มีไอร้อน มาบั่นทอนสมาธิแห่งเมธีศิษย์”
ในตอนนี้อาจารย์ให้กลอนไปบอกว่าถ้าอากาศร้อน ลมที่พัดมาก็ยังมีไอร้อนผสมอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตอนนี้สังคมโลกวุ่นวาย แม้ว่าจะมีธรรมะเป็นสายลม ทำให้เราเย็นใจได้ แต่ก็มีไอร้อนผสมผสานเข้ามาด้วย อาจารย์จึงบอกว่า เวลาที่โลกนี้ร้อน ใจของเรานั้นจริงๆ แล้วร้อนยิ่งกว่าแดดที่เผานี้อีก  มีปัญหามากมายที่เราแก้ไม่ตก วันนี้อาจารย์มา อาจารย์จะพูดเรื่องการบำเพ็ญธรรมะให้ศิษย์ฟังตั้งแต่ในบ้านทีเดียว อาจารย์จะเล่าให้ฟังตั้งแต่เรื่องในบ้าน ออกไปจนถึงการบำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นพุทธะ  ฉะนั้นวันนี้ถ้าใครอยากเป็นพุทธะ ให้ตั้งใจฟัง ตามอาจารย์มาทีละก้าวๆ แล้วศิษย์จะรู้
เวลาที่เรามีชีวิตนี้ เรานั้นมักจะคิดว่าเราเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ยังมีคนที่ดีมากกว่าเราอีกมากมาย  ตั้งแต่เล็กจนโต ศิษย์ของอาจารย์รู้จักสวรรค์ ใช่หรือไม่  เขาบอกว่าคนทำดี (ขึ้นสวรรค์)  คนทำชั่ว (ลงนรก)  ถามว่าสวรรค์ที่เราจะไปนี้มีคนไปได้กี่คนในความคิดเรา  สมมติให้ศิษย์ทำหน้าที่เลือกคนขึ้นสวรรค์แล้วกันนะ มองไปนี้มีน้อยหรือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนที่ทำความดีส่วนใหญ่ ก็ทำความผิดด้วย น่าประหลาดหรือเปล่า สมมติว่าเราเป็นคนที่ทำหน้าที่เลือกคนขึ้นสวรรค์ เราเลือกกี่คนดี สมมติว่าในห้องนี้แล้วกัน ศิษย์มองมาแล้วสองวัน ในห้องนี้มีคนขึ้นสวรรค์กี่คน ให้มองดูใจตัวเอง แล้วถามว่ามีถึงครึ่งหรือเปล่า คนที่ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ลองถามเขาว่า ถามจริงๆ คุณเป็นคนดีหรือเปล่า เขาจะตอบว่าอะไร (ดี)  เขาก็จะตอบว่าจริงๆ เขาเป็นคนดี มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เขานั้นทำไม่ดี ใช่หรือไม่ แต่จิตใจเขาเป็นคนดี ถามว่าคนๆ นั้นเราหรือเปล่า ในความเป็นจริง ศิษย์ไม่ได้ทำหน้าที่คัดเลือกคนขึ้นสวรรค์ หรือมีคนมาถามเราว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ดีอยู่ตอนนี้ ที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์เราดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเราได้ขึ้นหรือไม่ได้ขึ้น (ไม่ได้ขึ้น)  เปรียบเทียบให้สวรรค์นั้นอยู่เหนือศรีษะ แล้วให้นิพพานอยู่กลางฟ้า สวรรค์อยู่เหนือศรีษะ เอามือเอื้อมขึ้นไป รู้สึกอย่างไรบ้าง (ว่างเปล่า, ร้อน)  แสดงว่าในโลกนี้มีแต่ความร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  สวรรค์นั้นมองไม่เห็น ถ้าใช้ตามองเราก็จะมองเห็นแต่คนผูกเนคไทอยู่ข้างหน้าเต็มไปหมด แต่ถ้าเราใช้ใจมองเราจะเห็นอะไร มีคนบอกว่าอยู่สถานธรรมนั้นเหมือนอยู่สวรรค์ แต่ทำไมสถานธรรมนี้ร้อน เพราะว่าเราใช้กายของเราสัมผัสใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ตาของเรามองไปรอบๆ อาจารย์อยากจะบอกว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้ใช้ตามอง การบำเพ็ญธรรมนั้นใช้ใจมอง บำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช้ความรู้สึก เวลาที่เราโกรธคนนี้สวรรค์หรือนรก (นรก)  เวลาเราโกรธคนก็เหมือนอยู่ในนรกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นต้องมีจิตใจที่สะอาด สมมติว่าผ้าผืนนี้เป็นสีชมพู ผ้าผืนนี้หมองไหม (หมอง)  เวลาที่เรามองผ้าสีขาว ถ้าขาวทั้งผืนเราบอกว่าผ้าผืนนี้ไม่ขาวจริง แต่ถามว่าตัวหนังสือที่เขียนบนกระดานนั้นขาวหรือไม่ (ขาว)  เพราะว่าเขาเขียนห่างกันใช่หรือไม่  การที่เราบอกว่าจิตใจของเราขาวบริสุทธิ์ ขอให้เรานั้นมีจิตใจที่มองให้เห็นซึ่งความขาว อย่ามองไปๆ แล้วลายตาบอกว่าไม่ขาว ถามว่าศิษย์เอาอะไรมาวัด บางทีบอกว่าใจของเรานั้นเที่ยงแล้วมองสองเป็นสองถามว่าจริงหรือไม่  ถ้าเราสามารถมองเห็นได้ชัด เหมือนแอปเปิ้ลสองลูกก็คงจะจริง  แต่มีอีกหลายเรื่องที่เรามองไปแล้วเรามองไม่ออกว่าจริงๆ แล้วถูกหรือผิด สองหรือสาม  ความมั่นใจในตนเองนั้นมีได้แต่ต้องเป็นความมั่นใจที่มาจากจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์  ถ้าเรายังไม่รู้แน่ ถ้าเรายังสงสัย ถ้ายังมีจิตใจที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์เวลาที่อยู่กับอาจารย์ก็ต้องไปปรับใหม่  ถ้าหากว่ามีจิตใจที่สงสัยมากมายทำอย่างไรดี แต่คำตอบที่ดีที่สุดใครเป็นคนตอบ (ตัวเรา)  เพราะว่าหนึ่งนาทีเราก็คิดไม่ซ้ำแบบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องคิดเรื่องที่เป็นธรรมะบ้าง แต่อย่าคิดเรื่องกิเลส เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมข้อที่สองนั้นคือ ให้ศิษย์นั้นตัดกิเลสให้สิ้น กิเลสเหมือนเชื้อรา  ถ้ายังเหลือไว้ก็จะแพร่กระจายไปทั่ว  หากว่ามีเชื้อรามาเกาะภาชนะ แล้วเราก็ออกแรงถูจนเกือบหมดแรงแล้วเราก็ขี้เกียจ พอขี้เกียจเราก็หยุด  ตอนนี้ใจของศิษย์หลายคนมีเชื้อรา ความขี้เกียจอยู่ข้างนอก ลงแรงไปมากมายสุดท้ายความขี้เกียจเล็กๆ น้อยๆ ขี้เกียจจะบำเพ็ญ ถามว่าใครได้ผลเสียอันนี้ (ตัวเรา)
คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นต้องรักษาพุทธระเบียบทุกคน แม้จะยอมรับคนไม่ได้ ยอมรับรูปแบบไม่ได้ แต่ต้องยอมรับพุทธระเบียบได้  เพราะอย่างน้อยจะทำให้เรานั้นอยู่ร่วมกันได้  บางคนมาสถานธรรมตินั่นตินี่เต็มไปหมด แต่ถ้าศิษย์ของอาจารย์นั้นติพุทธระเบียบ คือระเบียบแห่งพุทธะแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่าต่อให้เรานั้นยอมรับสิ่งใดไม่ได้แต่จะต้องยอมรับระเบียบได้ ทั้งความเป็นระเบียบเรียบร้อย ครัวเป็นครัว โต๊ะทานข้าวเป็นโต๊ะทานข้าว สมควรหรือไม่ (สมควร)  การบำเพ็ญธรรมจึงต้องฝึกไปตามพุทธระเบียบเป็นข้อที่สาม
เน้นศิษย์ตอนนี้ก็คือต่อหน้ากับลับหลัง ข้างหน้าเราทำให้ดูสวยงามมาก แต่ข้างหลังดูไม่สวยงามเลย ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ต่อหน้าและลับหลังต้องเหมือนกัน เราคุยกับคนนี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่พอหันกลับมาเราก็บึ้งเลยได้ไหม ก็ดูแปลกประหลาดใช่หรือไม่  ต่อหน้าเขาเรายิ้ม ลับหลังเขาเราก็ต้องยิ้ม  เพราะเวลาเบื้องบนจะตรวจสอบ จะดูพฤติกรรมทั้งทีไม่ได้ดูตอนต่อหน้า แต่ดูนั้นดูตอนลับหลัง ระวังไว้ เหมือนที่อาจารย์เคยพูดไว้ เวลาที่เรานินทานั้น เสียงบนโลกเบา แต่เสียงข้างบนดังทีเดียว อาจารย์พูดอย่างนี้กลัวหรือเปล่า (กลัว)  คนที่กลัวแสดงว่ายังทำ คนที่ไม่กลัวแสดงว่าไม่ทำ ความกลัวนั้นเปรียบเสมือนฤดูหนาว อากาศหนาวที่เพิ่งผ่านมาเราก็รู้สึกหนาวจนเราต้องขดตัว หนาวจนเราทำอะไรไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความกลัวในจิตใจก็เหมือนกัน เป็นเช่นนี้แล้วเวลาศิษย์สังเกตุต้นไม้ เวลาอากาศหนาวนั้นต้นไม้ที่ใบยังเขียวๆ อยู่ถึงกับร่วงทีเดียว ความกลัวเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  เราจะต้องกลัวต่อการทำผิดบาป และไม่กลัวที่จะต้องทำความดี แต่ในโลกปัจจุบันนั้นกลับตาลปัตร สิ่งดีๆ เวลาเราจะทำดีกลัวหรือไม่กลัว (ไม่กลัว)  ยกตัวอย่างง่ายๆ สมัยนี้เวลาเดินเข้าวัด ส่วนใหญ่คนไม่ได้ใส่เสื้อสีขาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนเราจะใส่เสื้อสีขาวเข้าไป เราก็รู้สึกเขินๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปรียบเทียบกับเมื่อเรามาสถานธรรมมีแต่คนใส่เสื้อสีขาว ถ้าเราใส่เสื้อสีๆ เข้ามา เราจะรู้สึกอย่างไร เราก็เขินอีก  เพราะฉะนั้นอันหนึ่งเปรียบเทียบว่าทำผิดต้องละอาย อีกอันหนึ่งเปรียบเทียบว่าถ้าเราทำความดีก็อย่าละอาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่เป็นอุปสรรคของการบำเพ็ญของหลายๆ คน คือนิสัยของตัวเองใช่หรือไม่ ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าเรามีนิสัยหนึ่งที่ขัดกับการเป็นพุทธะ แล้วเราจะเป็นพุทธะได้หรือไม่ได้ นิสัยส่วนมากของเราก็เป็นนิสัยที่ขัดกับการเป็นพุทธะด้วย
เวลาเรากินข้าว ถ้าจานไม่ได้ล้างหลายวันคราบก็จะเกาะแข็งขึ้นๆ เกาะจนขัดไม่ออกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับนิสัยของเรา ใจของเราเป็นจาน นิสัยของเราเป็นเหมือนคราบอาหารที่ติดอยู่บนจาน หลายปีแล้วก็ไม่ยอมล้างเสียที พอคิดจะล้างก็ล้างไม่ค่อยออก แล้วจะทำอย่างไรดี (เอาจานแช่น้ำร้อนไว้ก่อน)  อาจารย์บอกว่าใจนี้คือจาน เอาใจเราไปแช่น้ำร้อน เป็นวิธีการที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อาจารย์อยากบอกว่าถึงไม่ดี แต่บางครั้งฟ้าดินก็ใช้วิธีนี้ ถ้าเห็นว่าการแช่น้ำร้อนนั้นจะทำให้คนๆนั้นกลับตัวได้
หลายคนกลัวกับความยากลำบาก แต่ยิ่งหนีก็ไม่พ้น เพราะสิ่งที่นำไปสู่การทดสอบก็คือตัวเราเอง เหมือนกับแม่เหล็กที่ดูดเข้าหากัน  ฉะนั้นเราต้องแก้ไขและปรับปรุง นี่เป็นหลักการบำเพ็ญธรรมข้อที่ ๔  แก้ไขและปรับปรุง ไม่ยอมให้นิสัยไม่ดีต่างๆ นั้นมาเกาะอยู่ที่เรา มีอีกนิสัยหนึ่งคืออะไร เวลาที่คนในบ้านพูดมา บางครั้งเราฟังไม่เข้าหูใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอคนนอกบ้านพูดสามคำเรากลับเชื่อหมดเลย ประหลาดไหม  อาจารย์สมมติว่าศิษย์อยากจะเดินไปอาบน้ำ แม้ว่าสบู่บ้านเราจะไม่ดีเท่าของบ้านข้างๆ แต่เราจะหยิบสบู่ของบ้านข้างๆ มาใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต่อให้ผู้อื่นพูดดีเท่าไร แต่คนในบ้านต้องดีกว่าใช่หรือไม่  (ใช่)
เวลาที่เรามาสถานธรรมก็เหมือนกัน แม้ว่าเราจะรู้จักคนที่มาจากสถานธรรมอื่นๆ มาจากท่านเฉียนเหยรินท่านอื่น แม้จะดีกว่าแต่คนที่ดีกว่าจริงๆ นั้นคือบ้านเราใช่หรือไม่  เพราะเราไม่สามารถย้ายเรือกระโดดข้ามไปทางอื่นได้ เวลามีงานประชุมธรรม คนที่มาช่วยเราก็คือคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)
ข้อที่๕  “การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องบำเพ็ญทั้งครอบครัว”  และครอบครัวนี้ก็ต้องรักษาความสามัคคีกัน จึงจะบำเพ็ญได้อย่างมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรากลับไปบ้านแล้วสามีเราชอบดื่มสุราจะทำอย่างไร แล้วถ้าผู้ชายบอกว่าภรรยาเราชอบเล่นหวยจะทำอย่างไร  มีภรรยาชอบเล่นหวย มีสามีชอบดื่มสุรา ใครผิด เป็นสภาพส่วนใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างคนต่างมีความทุกข์ จะโทษใครคนใดคนหนึ่งได้ไหม  อยากให้ครอบครัวมีความสุขเราต้องรู้จักยอมกันคนละนิด เวลาเราอยากคุยดีๆ กับคนสักคน แต่ว่าคนคนนี้ชอบมาว่าเรา เราจะอยากคุยกับคนผู้นี้หรือไม่ (ไม่อยาก)  ถ้าเราอยากจะแก้ไขปรับปรุงตนเองสักครั้งหนึ่ง เราจะกล้าทำดีกับคนผู้นี้ก่อนไหม (กล้า)  อาจารย์บอกว่าส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยกล้า เพราะว่ากลัวเขาจะมองความดีไม่ออกว่าเรียกว่าความดีน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  จริงๆ แล้วจะบอกว่าทุกคนนั้นรู้จักความดี และรับรู้ได้ว่าความดีนั้นมีพลังมหาศาล เวลาที่ศิษย์จะแก้ไขปรับปรุงตัวเองนั้น  ขอให้เราทำทันที ไม่ว่าแก้ไขปรับปรุงตัวกับใครก็ตาม ยิ่งกับคนที่ไม่ดีเขายิ่งเห็นความดีของเราชัดมาก อย่าได้กลัวว่าถ้าหากว่าเราแก้ไขทำตัวดีกับคนที่ชอบว่าเราแล้วเขาจะดูไม่ออก ถ้าเขาดูไม่ออกสักครั้งหนึ่งเลิกหรือไม่ (ไม่เลิก)  ต้องมีความมุ่งมั่นถึงจะอยู่รอดปลอดภัย อาจารย์นั้นเป็นห่วง อาจารย์รู้ว่าในบ้านนั้นตีกันไม่ถึงตาย แต่บางทีตีกันบ่อยๆ เป็นอย่างไร การที่เรานั้นอยากจะบำเพ็ญธรรมทั้งบ้าน เรานั้นต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ถ้าหากบางทีดูคนอื่นแล้วทำไมเขาเห็นเราไม่ดี เราต้องย้อนมองส่องตน  เรากลับไปวันหนึ่งเราส่องกระจกกี่ครั้ง นับไม่ถ้วนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าส่องกระจกแล้วมองเห็นอะไร มองเห็นรูปร่างของตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราใช้กระจกย้อนมองส่องตนได้ไหม ถ้าเราใช้กระจกเราก็จะมองเห็นแต่รูปร่างภายนอก  แต่ใช้อะไรมาส่องให้เราเห็นตัวเราเองดี มีคำพูดคำหนึ่งว่า “คนนั้นไม่ชอบคนติ คนเรานั้นชอบแต่คำชม”  แต่ว่าคำพูดนั้นออกมาจากปากใคร คำพูดที่ติหรือชมออกมาจากอีกฝ่ายหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใช้ส่องที่ดีที่สุดก็คือ คนนั่นเอง คนส่องคนจึงเห็นคน  บางทีมีคนเดินมาว่าเรา ไม่ยอมฟังเรา ถ้าเราไม่ชอบแสดงว่าเรายังไม่ได้คิด แต่ถ้าเราชอบแล้วแสดงว่าเรารู้จักคิด  คนที่ว่าเรานั้นเหมือนกับกระจกที่มาส่องให้เห็นถึงความดี ก็คือคำชม สิ่งร้ายก็คือคำติ คนอื่นว่าเราชมเรา เขาเหมือนกระจกที่มาส่องเรา เราจะไม่ชอบกระจกได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้าหากเราไม่ฟังคำติหนึ่งครั้ง ไม่ฟังคำติสองครั้ง  ยังมีคนอยากติอยากชมเราไหม (ไม่มี)  ถ้าเราไม่ชอบคำติวันหลังเขาก็จะชมเราอย่างเดียวจนเรากลายเป็นเทวดานางฟ้า ตัวเราจะลอยขึ้นๆ ไม่ได้เหยียบพื้นซึ่งเปรียบเหมือนความเป็นจริง  ในที่สุดแล้วเราลอยขึ้นไปห่างจากความเป็นจริง ห่างจากคนที่อยู่ร่วมกัน ผลเสียนั้นอยู่ที่เราทั้งหมด  ฉะนั้นขอให้ชอบคำติ ขอให้ระมัดระวังคำชมให้ดีๆ อาจารย์เชื่อว่าคนที่ยิ่งบำเพ็ญนานเท่าไรยิ่งมีคนชื่นชมเรามากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งนานวันคนยิ่งชมเราใหญ่ แต่ถ้ายิ่งชมเรามากเกินไปแล้วเราลืมตัว เราก็จะได้รับผลเสียนั้นทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ฟังเรื่องความกตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาฟังนั่งร้องไห้หรือเปล่า อาจารย์หวังว่าน้ำตาของเรานั้นคงไม่แห้งเร็ว  แม้วันนี้น้ำตาของเราจะแห้งไปเพราะเราเช็ดทิ้งไปแล้ว แต่น้ำตาความดีที่อยู่ลึกๆ ภายในหวังว่าจะไม่แห้งไปอย่างง่ายดาย
การล้างจาน หากราขึ้นจานก็ต้องนำน้ำร้อนมาแช่จาน จานต้องร้อนก่อนจึงจะขัดได้ แล้วจึงค่อยๆ ย่อยสลาย  นอกจากถูกแช่แล้วยังต้องถูกขัดตามมาอีก ขัดแรงๆ เพื่อที่จะเอาคราบอยู่ในใจเราออกให้ได้  หากเรารู้ทันเราก็ไม่ต้องเจ็บตัวมาก มีความสกปรกก็ต้องล้าง มีความไม่ดีตั้งแต่เริ่มต้นที่ลงไปแตะอยู่ที่ชาม แตะอยู่ที่ใจก็ต้องขจัดออกทันที อย่าบอกว่าเราอายุมากแล้ว วิธีอย่างนี้ บำเพ็ญอย่างนี้ไม่เหมาะกับเรา  ที่จริงแล้วไม่ใช่ เมื่อวานนี้ศิษย์ได้พบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเด็ก ใช่หรือไม่ (ใช่)  บนฟ้ายังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นคนแก่ ที่เป็นผู้ชาย ที่เป็นผู้หญิง  แต่พอจะกลับคืนฟ้า ก่อนจะถึงฟ้าต้องวางให้หมดทำได้หรือไม่ (ได้)  แม้ญาติธรรมเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็ยังยึดติดไม่ได้เลย  ฉะนั้นเงินทองเป็นของนอกกายทำอย่างไร วางหรือไม่วาง (วาง)  จะวางไว้บนโต๊ะหรือวางไว้บนกระเป๋า ต้องคิดดีๆ
ถ้าเราพูดมากภัยจะใกล้ตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราเงียบ แต่หมายความว่าให้เราพูดในสิ่งที่ควรพูด และทำในสิ่งที่ควรจะทำ สิ่งที่ไม่ควรทำก็ไม่ต้องทำ มีอีกอย่างหนึ่งซึ่งเรารู้ได้เฉพาะตัวคือ คิดในสิ่งที่ควรคิด สิ่งไหนที่ไม่ควรคิดต้องไม่คิด สิ่งนี้เป็นข้อต่อไปที่อาจารย์จะระบุเข้าไปคือ การระวังกาย วาจา ใจ  ตัวเรานี้ไม่มีอะไรมาก มีกายเป็นของตัวเอง มีใจเป็นของเราเอง มีวาจาเป็นของเราเอง เราพูดดีก็เป็นศรีแก่ตัว การพูดนั้นเปรียบเสมือนสีทาบ้าน สีนี้ก็เหมือนกับเราทาสีเดียวกับสีเดิมที่มีอยู่ ทาเข้าไปบ้านของเราก็ดูแจ่มจรัสดี  สมมติว่าบ้านเราเป็นสีขาว แต่คำพูดเราพูดอะไรก็ไม่รู้ พูดไร้สาระ พูดโกหกก็กลายเป็นสีแดง ถ้าพื้นสีขาวทาสีแดงเป็นอย่างไร เด่นใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีพื้นสีขาวทาสีดำก็เปรียบเสมือนการพูดเพ้อเจ้อ พูดโกหก ควรต้องระวัง เรายิ่งอยู่กับคนจำนวนมาก ย่อมมีอิทธิพลกับคนจำนวนมาก ยิ่งเรามีภาระใส่บ่าอยู่กับตัวแล้วยิ่งต้องระวังให้ดีๆ ถ้าไม่ระวังเดินๆ ไปในดงธนู ธนูแทงตายไหม  คำพูดที่คนพูดมาพูดไปเปรียบเสมือนลูกศร ลูกธนู เวลาแทงเจ็บยิ่งกว่าธนูแทงอีก  เพราะว่าตอนนี้อาจารย์นั้นมีอัตราเต็มพิกัด ยิ่งบำเพ็ญบางคนนั้นยิ่งมีอัตราสูง เราต้องจำใส่ใจไว้ประชุมธรรมครั้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้อาจารย์บอกว่า “ยอมได้ต้องยอม”  แล้วเรามาดูว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าที่จะเจออาจารย์ต่อไปนั้นจะยอมคนหรือเปล่า บางคนไม่ยอมถามว่าถ้าศิษย์ไม่ยอมจะทำอะไรได้ ถ้าเรายอมได้ก็ต้องยอม  บางครั้งโกรธนิดหน่อย เกลียดนิดหน่อย ไม่ชอบใจนิดหน่อย อยากเอาชนะอีกนิดหน่อยแต่ว่าไม่เป็นผลดีแก่ตัวเราเลย แต่ถ้าเรายอมเขาเราก็เอาหินออกจากในอกเรา ทำให้ใจเราเบา  เวลาที่เราเกลียดคนอื่นก็เหมือนเอาหินก้อนหนึ่งมาทุ่ม โกรธมากๆ น้ำตามไหลใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่า “ยอมได้ต้องยอม”  คำนี้เป็นมงคลไหม  แม้ว่าดูๆ แล้วเหมือนเรายอมแพ้ แต่จริงๆ แล้วพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร (แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร)  อยากเป็นพระหรืออยากเป็นมาร (อยากเป็นพระ)  วันนี้เรายอมแพ้แต่วันหน้าเราอาจจะมีวันที่ดีกว่านี้มารอเราอยู่ก็ได้  เหมือนกับนิทานเรื่องหนึ่งที่บอกว่าม้าตัวเดียวหายไปแต่กลับมาเป็นม้าคู่ ลูกชายขาหักเลยไม่ต้องเกณฑ์ทหารใช่หรือเปล่า (ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง บินหลา ชื่อเพลงยอมได้ต้องยอม)
ตั้งสติให้ดีๆ ร้องให้ไพเราะ ร้องเพลงนี้ได้กลิ่นทะเลหรือเปล่า ต้องให้คนใต้ร้องให้ฟัง 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นอ่านพระโอวาทครอบในการประชุมธรรมที่ผ่านมาสามครั้งจนถึงครั้งนี้)
“สืบทอดคุณธรรม แห่งปราชญ์โบราณ เพื่อจรรโลงโลกไว้ ตราบนานเท่านาน”
เราทุกคนคงหวังให้โลกของเรานั้น งามอย่างนี้ตลอดไป แล้วเราคงหวังแก้ไขสิ่งที่ร้ายให้กลายเป็นดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็หวัง แผ่นดินนั้นจะสงบสุขไปตราบนานเท่านาน เพราะว่าทุกคนนั้นร่วมใจมีคุณธรรมพร้อมกัน ถ้าหากคนใดไม่มีคุณธรรม เมื่อถึงแผ่นดินพระศรีอาริย์ จะอยู่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เรียกว่าไม่มีแผ่นดินจะอยู่ก็ถูก  ฉะนั้นการที่จะเป็นพุทธะได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ การที่เราจะสอบผ่านก็ต้องมีข้อสอบอยู่ในมือถูกหรือเปล่า การที่เราได้ดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่เราเคยอ่านหนังสือหรือเปล่า หากว่าศิษย์นั้นไม่เคยขวนขวายบำเพ็ญ ไม่เคยอ่านหนังสือเลย เวลาสอบแล้วจะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  มีหลายคนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเกิด  แต่เมื่อถึงเวลาไม่ยอมเข้าสอบ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน (ไม่ผ่าน)  การเป็นพุทธะในวันหน้าต้องดูศิษย์วันนี้
วันนี้เป็นการประชุมธรรมวันสุดท้ายของคนที่มานั่งสองวัน และเป็นครั้งสุดท้ายของการประชุมธรรมในระลอกนี้ อาจารย์รู้สึกแปลกๆ ถ้าจะไม่ได้เจอศิษย์ของอาจารย์บ่อยๆ อย่างนี้ อีกใจหนึ่งก็ห่วงใย  ศิษย์บางคนนั้นเห็นหน้าเกือบทุกอาทิตย์เลย บางคนนั้นนานๆ เจอกันที  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นรักษาการบำเพ็ญของเราให้ดีๆ ตัวอย่างของคนที่เคยบำเพ็ญแล้วเลิกบำเพ็ญนั้นมีอยู่มากมาย เพราะว่าเราคุมใจของเราเองไม่อยู่ จิตใจของเรารวดเร็วเหมือนลิงเหมือนม้า นึกจะควบไปก็ไปข้างหน้า นึกจะหยุดก็หยุด แต่บางทีศิษย์ไม่รู้หรอกว่า การที่เราวิ่งไปข้างหน้านั้นๆ เป็นหน้าผาวิ่งไม่ได้ บางทีเราหยุด ตัวเราหยุดจนสบายเกินไป แล้วเราก็ลืมการบำเพ็ญ  ช่วงที่ห่างกันคือหนึ่งช่วงแห่งการมองตนเอง หนึ่งช่วงแห่งการพัฒนาการบำเพ็ญให้ดี หนึ่งช่วงที่ได้ลงแรงศึกษาอย่างจริงจัง
อาจารย์หวังว่าทุกคนนั้นเกิดมาชีวิตหนึ่งมีค่า ใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ การบำเพ็ญธรรมในสมัยนี้นั้น ทางธรรมคู่ทางโลก  เรานั้นต้องออกไปทำงานทางโลก แต่อย่ายอมให้โลกนั้นกลืนเราเข้าไป ต่อให้เราเป็นพุทธะมาเกิด แต่เกิดมาแล้วไม่บำเพ็ญก็กลับฐานะเดิมไม่ได้ รักษาตัวให้ดี  บำเพ็ญให้ดี อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่า วันหน้าจะได้พบศิษย์ใหม่ขอให้ศิษย์ก้าวหน้ามากขึ้น หรือถ้าก้าวหน้าไม่ได้ก็อย่าได้ถอยหลัง
“เป็นดั่งพี่เป็นดั่งน้องปรองดองกัน”
ใครที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมก่อนก็เหมือนกับเป็นพี่ของคนที่เป็นน้อง  ให้อภัยได้ก็ต้องให้อภัยกัน ยอมได้ยอมกัน อย่าเป็นพี่ที่คอยจะเอาชนะแต่น้อง เตือนน้องแล้วน้องไม่ฟังเราต้องหันมามองดูตัวเราเอง เป็นดั่งน้องนั้นเหมือนเป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่ และเคารพอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม เคารพอาจารย์ อยู่ด้วยกันขอให้เป็นบ้านแสนสุข ไม่ใช่เป็นบ้านแสนทุกข์  ต่อให้อาจารย์พูดไปกี่ร้อยกี่พันครั้ง หากว่าศิษย์ไม่เข้าใจ ศิษย์ไม่ใส่ใจก็เท่านั้น  มองดูอาจารย์ให้ดีๆ  อาจารย์และศิษย์เป็นลูกขององค์มารดาเหมือนกัน เราจะจูงกันกลับไปเบื้องบนไม่ใช่หรือ (ใช่)  แล้วจะไปจูงกันตอนไหน ถ้าเราไม่จูงกันตอนนี้ เอาไว้รอให้ใกล้ๆ ที่เราคิดว่าเราจะกลับแล้วเราจะไปจูงมือคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  จะเป็นพุทธะเราต้องเป็นตั้งแต่วันนี้ ต้องพยายามตั้งแต่วันนี้ จะจูงมือกัน จูงอย่างไร ไปจับกันจริงๆ หรือไปจับมือของอีกคนหนึ่ง  มือนี้คือ มือที่ไม่มีรูปลักษณ์ จะเป็นมือที่จูงมือใคร แสดงออกให้ดู ทำออกมาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และอาจารย์เห็น ยากหน่อยแต่พยายามอีกนิดหนึ่ง ศิษย์ทำได้แน่
ศิษย์บำเพ็ญให้ดีๆ แต่ละคนนั้นมีบุญมากมาย อย่าปล่อยให้รากของต้นโพธิ์ของเราเน่าก่อนที่เราจะไปขยายให้กับคนอื่น  บำเพ็ญดีๆ รักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย กลับมาเจออาจารย์ใหม่ในวันข้างหน้า อาจารย์รู้สึกอาลัยอาวรณ์ศิษย์ทุกคนเหลือเกิน มีคำพูดมากมายคงพูดไม่ออกแล้วในยามนี้  สุดท้ายอาจารย์ขอพูดแค่บำเพ็ญดีๆ กลับมาเจอกันใหม่ ให้เป็นคนที่น่ารัก ว่าง่ายเหมือนเดิม บำเพ็ญดีๆ นะ ลาก่อน

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “ตราบนานเท่านาน”

กตัญญูเป็นหลักปฏิบัติทุกผู้นาม อย่ามองข้ามแลกลับต้องเพิ่มกวดขัน
การทำตนเป็นเยี่ยงอย่างแสนสำคัญ ยอมฝ่าฟันยามเริ่มปลายคุ้มค่า
ทำสิ่งดีละร้ายให้สำรวมตน เกิดเป็นคนรักษางามเพียบพร้อม
เมตตาจิตเต็มเปี่ยมนา อุปสรรคนำมาความเจริญ
ธรรมะอบรมจิตใจ ปฏิบัติไฉนผิวเผิน
รับชี้ใช่เรื่องบังเอิญ ดำเนินตราบชีพมลาย

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา