PDF 2543-01-01-เจิ้งซิน #26.pdf
วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเจิ้งซิน อ.วารินชำราบ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
คุมทิศทางการบำเพ็ญเป็นขั้นตอน สอบคนหย่อนความก้าวหน้าจากทางนี้
สามร้อยหกสิบห้าวันผ่านไปคิดถ้วนถี่ ภูมิใจมีความสูงส่งไหมคุณธรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ
หนึ่งปีผ่านดั่งวันวานอย่างรวดเร็ว
ขออวยพรน้องทุกคนให้โชคดี ฮวา ฮวา
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอชุมนุมด้วยจิตใจอันผุดผ่อง
ฟังสิ่งใดใช้ปํญญามากลั่นกรอง อันแสงทองของจิตแท้คือบำเพ็ญ
ในวาระยุคปลายการแผ่โปรด คนชอบโทษไปเรื่อยยากบรรลุ
อารมณ์นั้นพาให้ใจชอบปะทุ รักโลภหลงยากอยู่แดนพุทธา
อย่าสงสัยให้ในจิตต้องมืดบอด ขอให้ถอดความจริงใจไว้ตรงหน้า
แม้จะไร้ซึ่งบุญดั่งราชา แต่ธรรมดาจิตทุกคนดั่งพุทธา
ในยามนี้นาวาธรรมลงช่วยโลก ใจอย่าโยกตามลมร้ายคอยพัดหนา
ชีวิตคนไม่อาจตีเป็นราคา ทางข้างหน้าอยู่ที่ตนกำหนดเอง
แปรซึ่งความแปลกหน้าเป็นสนิทสนม ความเกลียวกลมไม่อาจหาจากนอกบ้าน
การเกิดตายเวียนว่ายทรมาน ขอให้ท่านอย่าเสียเวลาชาตินี้เลย
บำเพ็ญธรรมละกิเลสหมั่นปลดปลง ใครยืนยงอยู่ค้ำฟ้าหามีไม่
ฝึกเมตตาบำเพ็ญจิตสะอาดใจ ใช่ง่ายดายแต่ใช่จะลำบากเกิน
ขอให้รู้น้องต่างมีบุญกับพุทธะ ให้ชนะซึ่งตนเองอย่าปล่อยเฉย
อันสุทธาไกลสุดไกลนัยน์ตาเอย อย่าละเลยการทำดีเป็นสรณะ
เวลาในชีวิตคนมีจำกัด สายทองเป็นทางลัดคืนสู่ฟ้า
แต่ละคนย้อนมองตนย่อมรู้ว่า ตนควรทำสิ่งใดหนาต่อไปดี
ในวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ขอตั้งใจเริ่มต้นดีอีกสักครั้ง
สิบเท้ายังรู้พลาดปราชญ์รู้พลั้ง รวมพลังกำลังใจเป็นของขวัญที่ดี
อย่าประมาทชีวิตหนึ่งอนิจจัง สี่กำเนิดหกทางยังจะไปถึง
ทำสิ่งใดไกลบาปกรรมเฝ้าคำนึง เดินเพียงครึ่งทางอย่าท้อล้มลง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอศิษย์น้องตั้งใจมาสองวันครบ
ขอให้มีความศรัทธามาสมทบ แลเคารพพุทธระเบียบออกจากใจ
แลพี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทท่านหยูอี้ถงจื่อ
มุตตา แห่งแดนปัจฉิม แผ่แสงกล้า ให้โลกหล้าอบอุ่นคลายความหนาว
หรือฤดูกาลผันร้อนดั่งในเตา มุตตาแห่งเราเป็นดั่งหยกมีเนื้อเย็น
เราคือ
หยูอี้ถงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ขออวยพรปีใหม่ให้ชีวิตมีแต่ความราบรื่นเป็นสุขและร่มเย็น
ชีวิตกรำทำการงานผ่านเวลา มีปัญหาร้อนใจอย่าด่วนตัดสิน
จงค่อยเป็นค่อยไปกอปร ชีวิน เว้นวศิน ทบทวนความเร่งให้ตน
เพียรนำหนุนใจสำคัญด้วยเมตตา บาปวิญญาหันไปตามประโยชน์ผล
การเรียนรู้ลำดับเรื่องราวเบาอับจน คลายกังวลเพิ่มลดงานตามตะวัน
แข็งแรงรับความยากของวันใหม่ เพ่งไปที่มวลคุณธรรมจิตประสาน
ชำระกรรมคอยออฉุดตนนั้น บำเพ็ญมั่นให้ยิ่งใหญ่แข่งเวลา
ทัศนาว่าคนสูงขึ้นใจสูง เลิศผดุงปีใหม่แปรตนหนา
ประคองจิตไม่ท้อได้ดั่งว่า มวลกฤดา แห่งการให้พร้อมสมบูรณ์
บำเพ็ญธรรมอดทนพาก้าวหน้า กล่าวมุสาเลิกแล้วแคล้วเรื่องวุ่น
ชีวิตอย่ารอหวังสิ่งปาฏิหาริย์หนุน เบิกอรุณต่อความอกุศลในใจ
ศึกษาธรรมอย่ารอแต่คนตาม เวลาสามอย่างไรให้หาเจียดได้
บำเพ็ญคือโอกาสวิ่งมาคว้าไป กิเลสใดจงกล้าห่างไม่อำพราง
ปราชญ์แห่งยุคในโอกาสนี้พยายาม โลกยุคสามบำเพ็ญตนตามกำลัง
อนุเคราะห์คนช่วยโลกจึงเจอฝั่ง หมั่นระวังในสนามรบวีรชนเอย
ฮิ ฮิ หยุด
มุตตา ไข่มุก, แก้วชนิดหนึ่งสีหมอกอ่อนๆ คล้ายสีไข่มุก
ปัจฉิม ชื่อทิศตะวันตก
กอปร ประกอบ
วศิน ผู้ชำนะตนเอง, ผู้สำรวมอินทรีย์
กฤดา บารมีอันยิ่งที่ทำไว้, มีอธิการที่ทำไว้
พระโอวาทท่านหยูอี้ถงจื่อ
วันนี้ไม่มีความสุขเลย วันนี้วันอะไร (วันปีใหม่) วันปีใหม่ควรมีความสุขกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ แล้วรู้สึกว่ามีความสุขหรือเปล่าที่มานั่งฟังธรรมะ (มี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนร้องเพลงทำนอง จับปู) ร้องให้รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ทั้งทีสร้างความกระชุ่มกระชวย สร้างความมีชีวิตชีวาให้ตัวเองหน่อยดีหรือเปล่า นั่งฟังธรรมะแต่จิตใจกลับหดหู่ห่อเหี่ยว นั่งฟังก็ไม่มีความสุข อุตส่าห์เป็นปีใหม่ทั้งทีก็ไม่มีความสุขเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปแอปเปิ้ลบนกระดาน)
รูปนี้คืออะไร (แอปเปิ้ล) แล้วผลไม้ลูกนี้เรียกว่าอะไร (แอปเปิ้ล) แอปเปิ้ลลูกนี้และแอปเปิ้ลรูปภาพเหมือนกัน และเรียกว่า แอปเปิ้ลเหมือนกัน ท่านอาจจะแปลกใจว่าเราเป็นใคร ท่านเป็นคน เราก็เป็นคนเหมือนท่านเหมือนกัน แต่ใครๆ บอกว่าเราคือ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนสถานะจากแอปเปิ้ลจริงเป็นรูปภาพ ทุกคนมักจะพูดว่า พระพุทธรูปคือ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเป็นแบบนี้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ คน เพราะฉะนั้นแอปเปิ้ลจริงกับรูปแอปเปิ้ลเหมือนกันหรือไม่ มีทั้งความเหมือนกับไม่เหมือน แต่ก็เป็นแอปเปิ้ลได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะที่เคยประดิษฐ์อยู่บนโต๊ะนี้แต่ก่อนก็เคยมายืนอยู่ตรงนี้ เคยเป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งยึดรูปลักษณ์ภายนอกมากนัก ไม่อย่างนั้นอาจจะบอกว่า นี่เป็นแค่รูป ไม่มีวันจะเป็นแอปเปิ้ลได้ จริงหรือไม่ เหมือนวันนี้ถ้าท่านคิดว่า เราคือ คนๆ หนึ่งมาคุยกับท่าน ยังไม่ต้องสนใจว่า เราใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ จะได้คุยกันได้ พร้อมที่จะคุยกับเราหรือยัง
วันนี้ทุกท่านมาศึกษาธรรมะ เราก็ต้องพูดเรื่องของธรรมะ ชีวิตของคนเรานั้นเกิดมาแล้วก็แสวงหา ท่ามกลางการเกิดมามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ เรามาทั้งทีเราก็อยากอวยพรและนำสิ่งที่ดีให้กับท่านเหมือนกัน เหมือนกับทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ มาแรกๆ ก็สว่างใสไม่มีความคิดอะไรแปดเปื้อน แต่พอเดินไปสักพักหนึ่งเราก็อดจับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ พอหยิบก็เกิดการแปดเปื้อนและมีร่องรอยของการดำเนินชีวิต จะมีใครกี่คนที่สามารถมีชีวิตแล้วยืนอยู่กับที่ได้ เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ พอมีชีวิตต้องย่ำเดินไปทั่วสารทิศ ความสุขของมนุษยคือ การเดินไปให้ทั่วเท่าที่ใจอยากจะเดินไป แต่แท้ที่จริงแล้วบางครั้งการไม่เดินการอยู่เฉยๆ ก็มีความสุข อยู่ที่ว่าเรากำหนดความสุขของเราเป็นการแสวงหาหรือเป็นการอยู่นิ่ง
มุตตาแห่งแดนปัจฉิมแผ่แสงกล้า “มุตตา” คือ จิตใจของมนุษย์ เราสามารถส่องแสงแรงกล้าได้ท่ามกลางความหนาวเย็น และสามารถให้ความร่มเย็นเป็นสุขได้ท่ามกลางความรุ่มร้อน หมายถึง จิตใจของเรานั่นเองสามารถเอาชนะสภาวะแวดล้อม ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งต่างๆ เปรียบเหมือนกับน้ำ หากจิตใจของมนุษย์เราอยู่ท่ามกลางบุคคลที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง เต็มไปด้วยเพลิงแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน ถ้าหากมนุษย์เราหรือตัวเราไปอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นแล้วเราร้อนไปด้วย ก็เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้รุ่มร้อน มีแต่ว่าเราต้องช่วยกันดับร้อนด้วยการเอาน้ำเย็นมาช่วยประพรม ไม่ใช่เขาร้อนมา ท่านก็เอาน้ำเย็นราดใส่เขาได้หรือไม่ (ไม่ได้) มีแต่การเอาน้ำเย็นเข้าลูบเข้าหา ท่ามกลางสังคมและบุคคลที่ต่างแก่งแย่งแข่งขัน ทำไมเราต้องเข้าไปร่วมแก่งแย่งแข่งขัน เติมเชื้อไฟให้กับโลกให้ยิ่งวุ่นวาย ผู้บำเพ็ญธรรมไม่คิดเช่นนี้แต่ผู้บำเพ็ญธรรมกลับทำในสิ่งที่ช่วยโลกดับความร้อนและดับความวุ่นวาย นั่นก็คือ จิตใจของผู้บำเพ็ญธรรม คือ ความมุ่งมั่นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยากจะช่วยแปรเปลี่ยนโลกที่ร้อนวุ่นวาย หรือโลกที่หนาวเหน็บของเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายให้เป็นความอบอุ่น ความร่มเย็น แล้วท่านคิดว่า ท่านเป็นคนๆ นั้นที่สามารถแปรเปลี่ยน สามารถนำพาสังคมให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้หรือไม่ (ได้) ทุกคนมีสิทธิ์และสามารถทำได้ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเราเจอเราจะนิ่งเฉย ไม่สนใจไยดี หรือเมื่อเราเจอเราจะช่วยเปลี่ยนแปลง จึงทำให้คนเราแม้จะเกิดมาร่วมโลกเดียวกัน แต่คุณค่าต่างกันก็อยู่ที่ว่าเขาทำเพื่อตนหรือเขาทำเพื่อหมู่ชน เราเกิดเป็นคนทั้งทีอย่าได้คิดแต่ตนอย่างเดียวไม่คุ้มและจะทำให้เราเดือดร้อน แต่ถ้าเราทำอะไรหัดคิดถึงคนอื่น หัดคำนึงถึงคนอื่นบ้าง เราจะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุขและเขาจะรับเราได้อย่างฉันท์มิตร
“หยูอี้” แปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร ใครๆ ก็อยากให้เราไปอยู่กับเขา เพราะเราเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนสมปรารถนา คำว่า “หยูอี้” แปลว่า สมหวังสมปรารถนา ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่สมหวังสมปรารถนา แล้วท่านอยากสมปรารถนาในสิ่งใดบ้าง ทุกคนอยากสมปรารถนาสมหวังในเรื่องความสุข อยากมั่งมี อยากให้ครอบครัวร่มเย็น แต่มีใครบ้างที่ร่มเย็นแล้วจะไม่ร่มเย็นบ้าง บ่อยครั้งที่เราทำให้คนๆ หนึ่งสมหวังได้นั้นแต่ตัวเราต้องเสียสละให้เขา ในโลกนี้ไม่มีใครสมหวังไปทุกคน ภายใต้ความยิ้มแย้มสมหวังของเรา จะมีอีกคนหนึ่งที่ยืนเศร้าตรมเพราะผิดหวัง ภายใต้ความชนะยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะมีอีกคนที่ยืนห่อเหี่ยวพ่ายแพ้
ปีใหม่ทุกท่านมักจะยื่นของให้กับผู้อื่น แต่ท่านเคยเห็นหน้าคนที่ยื่นของให้ไปแล้วกลับมาอย่างตรอมตรมเคยเห็นหรือไม่ (ไม่เคย) มีใครบ้างให้ของเขาไปแล้วรู้สึกว่ากระเป๋าแห้งเหลือเกิน บางครั้งเพื่อให้คนๆ หนึ่งได้สมหวังนั้นย่อมมีอีกคนหนึ่งที่ต้องผิดหวัง แต่จะมีใครสักกี่คนที่มีความสุขท่ามกลางความผิดหวังแม้ตัวเองจะไม่ได้สมหวังแต่พร้อมที่จะหยิบยื่นความสมหวังให้กับคนอื่น บ่อยครั้งที่เวลาปีใหม่เราอยากสมหวัง อยากมีความสุข อยากได้ชัยชนะ อยากเป็นผู้สำเร็จ แต่ท่ามกลางสิ่งที่เราได้นั้นย่อมมีอีกคนหนึ่งที่อยู่มุมมืดที่เขาไม่สมหวัง เขาผิดหวังที่เขาไม่พบสำเร็จ แล้วจะมีใครสักกี่คนที่เมื่อตัวเองสมหวังแล้วพร้อมจะหยิบยื่นความสมหวังให้กับคนอื่น ปีใหม่เรามักจะคิดถึงแต่ตัวเอง ให้ตัวเองต้องสมหวัง ต้องสำเร็จและมีชัย แต่จะมีใครบ้างที่ยอมเสียชัยเพื่อให้ตัวเองไม่ได้และไม่สมหวัง น้อยคนนักใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าวันนี้เราให้ท่านสมหวังเราก็ไม่ต่างอะไรจากคนข้างนอก เราก็ไม่อาจจะเรียกว่า เป็น
ผู้บำเพ็ญได้ เราต้องการปรารถนาจะให้ท่านสมหวังในทุกๆ อย่าง แต่ถ้าเกิดว่าเราทำเช่นนี้ท่านก็ต้องไปเวียนในโลกนี้เหมือนเดิม ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงจากสมหวังเป็นไม่สมหวัง แต่ให้ผู้อื่นสมหวังได้หรือไม่ (ได้) ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ตัวท่าน เพราะว่าในโลกนี้ใครๆ ก็อยากเป็นผู้ที่ได้ ใครๆ ก็อยากเป็นหนึ่ง อยากโดดเด่น แต่อย่าลืมว่าการเป็นหนึ่งและการโดดเด่นนั้นย่อมเป็นอันตรายและมีคนอิจฉาได้เหมือนกัน ฉะนั้นเรายอมไม่เด่นให้คนอื่นเด่น เรายอมไม่ดังให้คนอื่นดัง แต่เรามีความสุขในการไม่ดังและไม่เด่นได้ หากทำได้เช่นนี้นับว่าเป็นคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญตน แต่หากยังทำไม่ได้ยังอดไม่ได้ก็จะต้องกลับไปวนอยู่ในโลกแห่งการผิดหวังและสมหวัง ในความสุขมักจะพบความทุกข์ ในความทุกข์มักจะแขวงไว้ด้วยความสุข แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะค้นพบสัจธรรมในสุขและทุกข์ของชีวิตได้
การฟังธรรมะไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลแต่เป็นเรื่องใกล้ๆ ตัว ทุกคนสามารถกระทำได้ ทุกคนสามารถบำเพ็ญได้ แต่จะบำเพ็ญอย่างไร และบำเพ็ญทำไม บางครั้งฟังอยู่ก็อดสงสัยไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราถามท่านอย่างหนึ่ง หากคนๆ หนึ่งเวลาจะพูดอะไรเขาก็รู้จักระมัดระวังคิดแต่คุณธรรม คิดถึงแต่ความชอบ เวลาพูดออกไปย่อมไพเราะและดีงามเหมาะสม แล้วคนเช่นนี้เวลาที่เขาพูดจะมีคนฟังหรือไม่ (มี) เหมือนอีกคนหนึ่งเขาจะกระทำสิ่งใดก็ตาม เขามักจะคิดถึงว่าถูกต้องดีงามหรือไม่ ชอบธรรมหรือเปล่า เมื่อเขากระทำออกไปย่อมสอดคล้องกับความถูกต้องดีงามและเหมาะสม เมื่อกระทำเช่นนี้แล้วความประพฤติของเขาย่อมเป็นที่น่าเคารพและยกย่อง ถ้าหากว่าคนสองคนนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเวลาทำ เวลาพูด คิดถึงแต่ความดีงาม ความถูกต้อง คนๆ นี้ไม่ว่าพูดอะไรก็ย่อมมีคนฟัง ไม่ว่าการดำเนินชีวิตก็ย่อมมีคนเคารพและยกย่อง แต่ในชีวิตจริงเวลาเราพูดมีใครอยากฟังหรือเปล่า บางทีอยากฟังบ้าง ไม่อยากฟังบ้าง เวลาที่เราดำเนินชีวิตมีใครเคารพและนับถือการดำเนินชีวิตเราหรือเปล่า บางครั้งนับถือ บางครั้งดูไม่น่านับถือ แล้วสองคนนี้ต่างกันอย่างไร ใครคิดได้บ้าง นั่นคือ คนหนึ่งคิดในเรื่องความถูกต้องชอบธรรม ความดีงาม ส่วนอีกคนหนึ่งไม่คิดหรือถ้าคิดก็คิดถึงแต่ตน คิดถึงแต่ผลประโยชน์ คิดถึงแต่ความสะดวกสบาย เรื่องถูกต้องชอบธรรมดีงามไม่ค่อยคิดถึง ผลของความประพฤติหรือผลของการดำเนินชีวิตจึงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หากคนๆ หนึ่งเมื่อยามมีชีวิตก่อนจะพูดก็คิดว่าถูกต้องดีงามและเหมาะสมหรือไม่ เมื่อพูดออกมาย่อมระมัดระวัง ย่อมสำรวมในการพูด และเมื่อพูดออกมาย่อมน่าฟัง และคนอยากฟังเพราะได้ไตร่ตรองผ่านการคิดแล้ว เมื่อเขาจะประพฤติปฏิบัติเขาก็คิดก่อนว่า ดีงามถูกต้องและชอบธรรมหรือไม่ กระทำลงไปแล้วมีความเมตตาและมีคุณธรรมหรือไม่ เมื่อเขาคิดแล้วผ่านการไตร่ตรองแล้วเขาจึงจะลงมือกระทำ ไม่ว่าจะพูดหรือกระทำเขาได้ผ่านการคิดถึงในด้านคุณธรรมความดีงาม ความเมตตา สิ่งที่เขากระทำออกมาย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าดีและถูกต้อง แต่กับอีกคนหนึ่งเมื่อมีชีวิตดำเนินไปนึกอยากเดินก็เดิน นึกอยากจะชนก็ชน นึกจะตีเขาก็ตี ไม่เคยคิดถึงเรื่องคุณธรรมและความถูกต้องชอบธรรม ผลของการดำเนินชีวิตของคนสองคนจึงเกิดความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนกัน เราเป็นฟ้าหรือเป็นดินในขณะมีชีวิตอยู่ หากเราเป็นดินแปลว่า เมื่อเรามีชีวิตเราไม่คิด หรือคิดเหมือนกันแต่เราคิดในด้านเข้าข้างตน เห็นแก่ตน แต่ถ้าเราคิดถึงคุณธรรม ความถูกต้อง ความดีงาม คิดถึงมโนธรรมสำนึก ความยุติธรรม คิดถึงเขาคิดถึงเรา เวลาเรากระทำลงไปแล้วผลของการกระทำย่อมดีงามและไม่กระทบกระเทือนต่อผู้ใด ชีวิตของมนุษย์ก็ง่ายแค่นี้เอง เราอยากพูดแล้วมีคนฟังขอให้คิดก่อนที่จะพูด เราอยากกระทำแล้วมีคนเคารพและมีคนเชื่อถือ ขอให้คิดสักนิดหนึ่งก่อนกระทำ หากทุกขณะคิดและนึกถึงคุณธรรมความดีงาม ไม่ได้คิดเอาแต่อารมณ์ เอาแต่ตน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็อยากฟังเวลาเราพูด ใครๆ ก็อยากมองดูเวลาเรากระทำ ถ้าปีใหม่แล้วเราทำได้เช่นนี้ ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ต้องรักเราและต้องการเรา ไม่ใช่ต้องการเราเพียงเพราะหน้าที่ เพราะเรามีความสำคัญหรือผลประโยชน์ อย่างนี้แล้วไม่ใช่ความต้องการที่น่าภาคภูมิใจ
มนุษย์เราอยู่ร่วมกันเพราะผลประโยชน์และความเห็นแก่ตน ไม่ใช่อยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรและรักใคร่กลมเกลียวอย่างแท้จริง จึงมีสำนวนปราชญ์สำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์เรานั้นแม้จะไม่มีญาติพี่น้องเลยสักคนเดียว แต่ทุกขณะที่เขาดำเนินชีวิต เขารู้จักคิดในสิ่งที่ดี รู้จักสำรวมความประพฤติระมัดระวัง ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รักเขาเหมือนญาติและมิตร” หากเราทำได้อย่างนี้ทั่วโลกย่อมเป็นบ้านของเรา แต่เดี๋ยวนี้เราไปอยู่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้องการ เพราะว่าอะไร ต้องโทษเขาหรือว่าโทษตัวเรา ผิดที่เขาหรือผิดที่ตัวเรา นี่คือ ชีวิตที่น่าคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคนมีงานและหน้าที่ของตนเอง แล้วเราได้บรรลุในหน้าที่และทำสิ่งต่างๆ สำเร็จแล้วหรือยัง หากเรามีชีวิตเราประสบผลสำเร็จหนึ่งครั้งแต่เราไม่สามารถทำให้ความสำเร็จหนึ่งครั้งนี้สำเร็จไปตลอดชีวิต การสำเร็จหนึ่งครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นความสำเร็จที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นความสำเร็จที่เกิดจากตัวเราเองเป็นผู้ควบคุมความสำเร็จ คนทุกคนต่างมีการงานและอาชีพ แล้วใครเคยสำเร็จการงานของตนเองสักครั้งหนึ่งบ้าง ท่านจะเลื่อนจากชั้นหนึ่งเป็นชั้นสองก็ต้องจบชั้นหนึ่งก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) จะสำเร็จจากการเรียนได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและผ่านการสอบก่อนจึงจะเรียนจบ จะทำงานได้ท่านก็ต้องเรียนสำเร็จก่อน แต่ถ้ามนุษย์เราสามารถยึดกุมความสำเร็จและเอาความสำเร็จนั้นไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แล้วสามารถสำเร็จทุกๆ อย่างได้ อย่างนี้เรียกว่า สำเร็จในการทำงานเป็น แต่ถ้าเราสำเร็จครั้งหนึ่ง แต่ครั้งอื่นๆ เราล้มเหลว นั่นก็แปลว่า ความสำเร็จนั้นได้มาเพราะฟลุค เปรียบเสมือนการยิงธนูหากคนเราจะฝึกยิงธนูให้แม่น แต่ถ้าภายในสิบดอกเขายิงแม่นหนึ่งดอกจะเรียกว่า เขายิงธนูแม่นได้หรือไม่ (ไม่ได้) ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกันเราจะมีความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่สำเร็จหนึ่งอย่าง แล้วที่เหลือล้มเหลวหมดทุกอย่าง อย่างนี้ไม่ใช่ผู้สำเร็จที่แท้จริง ผู้ที่เก่งจริงสามารถยึดกุมความสำเร็จแล้วนำพาความสำเร็จนั้นให้สำเร็จในทุกๆ เรื่องได้ นี่ถึงจะเรียกว่า ผู้สำเร็จอย่างแท้จริง ท่านเรียนหนังสือท่านรู้ว่าทำอย่างนี้จะสอบได้ที่หนึ่ง ท่านก็พยายามทำอย่างนี้ทุกๆ ครั้ง ท่านย่อมได้ที่หนึ่งทุกครั้ง แต่ถ้าเราประมาทเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายท่านจะสำเร็จหรือไม่ (ไม่สำเร็จ) ไม่ว่าง่ายหรือยากปราชญ์จึงกล่าวไว้ว่า “ขอให้มองงานทุกอย่างเป็นงานที่ยาก แล้วจะไม่มีเรื่องยากในชีวิต” ทุกท่านว่าเป็นจริงหรือไม่ (จริง) การมีชีวิตก็เป็นเช่นกันทุกคนอยากจะพบกับความสำเร็จ ปีใหม่ใครๆ ก็อยากทำอะไรแล้วสำเร็จ แต่จะทำแล้วสำเร็จได้นั้นเราต้องรู้จักมองงานนั้นอย่างไม่ประมาท อย่าดูเบางานนั้น แม้งานนั้นจะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เราต้องมองให้ยากไว้ก่อนแล้วเราจะไม่ประมาทและไม่พลาดในการทำงานนั้นๆ ฉะนั้นชีวิตของคนเราก็เหมือนกันอย่ามองว่าเป็นเรื่องง่าย ในความง่ายนี้หากเราประมาทแม้เพียงเล็กน้อย กินข้าว นอนหลับ หรือทำงานก็อาจจะประสบภัยและอาจจะทำให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน หากเรามองยากเสียแล้วก็จะไม่มีเรื่องยากให้ต้องเจอ เราเตรียมพร้อมตั้งแต่ต้นเราก็จะไม่กลัวเมื่อเหตุหรือภัยมา เราป้องกันเหตุแล้วจะปลอดภัยเมื่ออันตรายมา เราพร้อมจะรับมือได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกมส)
การกระทำต่างๆ ดูแล้วเป็นเรื่องง่าย แต่เวลาที่เราจะกระทำหากเราไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่กำหนดมาให้ดี เราก็อาจจะเผลอแล้วผิดพลาดได้ มนุษย์เราจะทำอะไรสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราเอาชนะตัวเองได้ เราสามารถควบคุมและรู้จักตนเอง เหมือนสำนวนปราชญ์หรือสำนวนพิชัยการรบกล่าวไว้ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แต่หลายๆ คนรู้เขาไม่รู้เราหรือบางคนรู้เราไม่รู้เขาก็เลยรบกี่ครั้งก็แพ้ทุกที บางคนเวลาทำงานน่าจะสำเร็จด้วยดี แต่ผลสุดท้ายพอถึงบั้นปลายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะเราไม่สามารถยึดกุมใจตอนต้นและรักษาให้เหมือนตอนปลายได้ จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนเราอ่านหนังสือวันนี้เราตั้งใจ แต่พอใกล้สอบจริงๆ เราประมาท เราอ่านมาเต็มที่แล้วแต่ผลสุดท้ายอาจจะสอบไม่ผ่านก็ได้ ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตเมื่อเราตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว อยากประสบสำเร็จอย่างที่หนึ่ง ต้องไม่ดูเบา ไม่ดูเบาก็คือ ไม่ประมาท อย่างที่สอง ตั้งใจมุ่งมั่น ตอนต้นอย่างไรตอนปลายต้องอย่างนั้น เราถึงจะสำเร็จได้ ไม่พบความล้มเหลวและพบความลำบาก เราบอกวิธีหาความสำเร็จให้กับท่านแล้ว ท่านคงรู้แล้วว่าฟ้าจะช่วยคนก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นรู้จักช่วยตนเอง กราบไหว้ฟ้าให้หายโรค ให้รวย ให้เก่ง ฟ้าจะทำให้ท่านเก่งได้หรือเปล่า (ไม่ได้) สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ท่านเก่งได้หรือไม่ (ไม่ได้) บางทีได้เหมือนกันแต่ได้แบบโชคช่วย แต่ได้หนึ่งครั้ง ครั้งต่อไปล้มเหลวจะมีประโยชน์อะไร สู้ไม่ได้หนึ่งครั้งแต่สามารถยึดกุมแนวทางได้ และนำพาให้ประสบความสำเร็จในตอนท้ายได้ย่อมดีกว่า
คนในห้องนี้เป็นเสือยิ้มยาก พอเรายิ้มด้วยท่านก็ไม่กล้ายิ้มอยู่แบบไม่หวังดีกว่าอยู่แบบหวังแล้วหวังอีก เพราะว่าอยู่แบบหวังแล้วหวังมักจะผิดหวังทุกหวัง ฉะนั้นอยู่แบบไม่หวังและไร้หวังดีกว่าจะได้ไม่เศร้าเสียใจ เพราะใจมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงแล้วก็คิดอะไรร้อยแปดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากเดา แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าสามารถเห็นได้ว่าต่อไปท่านจะเป็นอย่างไร แต่พอถึงเวลาจริงๆ มนุษย์ก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผิดหวังทุกทีหรือทำอะไรเหนือความคาดหวังอยู่เสมอ หวังว่าท่านจะเดินไปให้ตรงมุ่งไปให้ถึงหรือวิ่งไปให้ถึง แต่แล้วพอวิ่งหรือเดินไปสักพักหนึ่งก็ไม่ไหวแล้ว ฉะนั้นตัวท่านเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะไปหวังกับใครได้บางครั้งต้องคิดกลับ ฉะนั้นเราทำตัวให้ดีก่อน ทำตัวให้มั่นคงก่อน ทำตัวให้สมหวังก่อน คนอื่นนั้นจะเป็นอย่างไรคือเรื่องของเขา คนอื่นจะไม่ถูกใจเรา นั่นคือ เรื่องของเขา แต่ถ้าเราดีแล้วแม้เขาจะผิดหวังไปรับรองเขาต้องกลับมาเพื่อจะมาหาความสมหวังในตัวเรา ฉะนั้นทำตัวให้ดีไว้แล้วรับรองคนเขาแม้จะล้มแม้จะผิดอย่างไรเขาก็จะมาหาท่าน ถึงตอนนั้นท่านจะยื่นอะไรไปให้เขา เขาก็รับ เขาก็เชื่อ
"คลายกังวลเพิ่มลดงานตามตะวัน" ตะวันคืออะไร (พระอาทิตย์) พระอาทิตย์คืออะไร (ตะวัน) พระอาทิตย์คือ ตะวัน ตะวันคือ ลูกกลมๆ ที่ส่องแสง สองวันนี้ก็เหมือนกัน เราบอกว่าจะให้ท่านมาฝึกฝนบำเพ็ญตนก็เหมือนกับคนตาบอดถามถึงพระอาทิตย์ ถ้าเราบอกว่าพุทธะคือ วงกลมๆ พอเห็นอะไรกลมๆ ท่านก็บอกว่าเป็นพุทธะ ถ้าอย่างนั้นนาฬิกาก็เป็นพุทธะใช่หรือไม่ แล้วก็มาบอกว่าพุทธะที่สอนนั้นไม่ได้เรื่อง สอนผิดๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คนที่ตาบอดต่างหากไม่รู้จักพลิกแพลง เหมือนเวลาเราอยู่ในโลกนี้ทุกคนก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วก็ถูกต้อง พูดแล้วใครๆ ก็ฟัง ใครๆ ก็เชื่อ แต่บ่อยครั้งที่พูดแล้วไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ เพราะอะไร เพราะมนุษย์บางคนมักยึดมั่นในความคิดของตัวเอง เหมือนบอกว่าหนึ่งก็เป็นหนึ่ง ไก่ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นไก่ แต่พุทธะไม่คิดอย่างนั้น เมื่อบอกว่าไก่บางทีอาจจะมีลูกเจี๊ยบ เมื่อบอกว่าหนึ่ง พุทธะอาจจะนับต่อไปสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ วันนี้เราบอกว่าท่านบำเพ็ญตนสามารถเป็นคนที่มีความสุขได้ เป็นคนที่สำเร็จในชีวิตได้ต่อเมื่อเรายึดในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วการเป็นผู้สำเร็จในการดำเนินชีวิตย่อมเป็นแบบที่ดีงามให้คนต่อๆ ไปได้ปฏิบัติตาม เมื่อเป็นแบบที่ดีงามก็ย่อมเป็นพุทธะได้หนึ่งขั้นแล้ว การจะเป็นพุทธะได้ บางคนก็คิดว่าทำไม่ได้ ไก่อย่างไรก็เป็นไก่ คนอย่างไรก็เป็นคนไม่มีทางเป็นพุทธะได้ เหมือนท่านมักจะพูดว่าเราก็ยังเป็นมนุษย์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร แต่อย่าลืมว่าไก่หนึ่งตัวบางทีไปอยู่ที่อื่นอาจจะให้ลูกให้หลานได้ คนหนึ่งคนไปอยู่ที่ที่หนึ่ง อาจจะเปลี่ยนแปลงจากคนเป็นพุทธะได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาเลือกทางใดให้กับชีวิต หากบอกว่าเมตตาธรรมคือ มีบ้านอันร่มเย็น บ้านอันแสนสุข คุณธรรมคือ หนทางอันสว่างไสวที่นำคนไปสู่นิพพาน หากคนคิดว่าคนเป็นคน แม้จะมีบ้านร่มเย็น มีทางสว่างไสวเขาก็ยังมีความเป็นคนอยู่วันยังค่ำ บ้านก็เป็นบ้าน ทางก็เป็นทาง เขาไม่คิดที่จะเอามาใช้ให้สอดคล้อง มนุษย์เราหากคิดกลับกันเป็นหนึ่งอย่างไรต้องออกไปสองสามสี่ได้ เป็นคนอย่างไรก็ต้องเป็นพุทธะให้ได้ เขาย่อมอิงเมตตาธรรมและเดินสู่คุณธรรม เพราะอะไรถึงต้องอิงเมตตาธรรมแล้วเดินสู่คุณธรรม คนที่จะเป็นพุทธะได้ หากไม่มีเมตตามิอาจเรียกว่า พุทธะ หากไม่คำนึงถึงคุณธรรมมิอาจเรียกว่า บำเพ็ญตน ฉะนั้นเราจะพูดเรื่องพุทธะจึงไม่ควรลืมเรื่องเมตตาธรรมและคุณธรรม ฉะนั้นตอนนี้มีบ้านอันร่มเย็น มีทางอันสว่างไสวขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้ไก่จะยอมเป็นแค่ไก่หรือไม่ คนจะยอมเป็นแค่คนธรรมดาหรือจะผันตนเองเป็นพุทธะ ฉะนั้นอยู่ที่ท่านแล้วเป็นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเราตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจ เดินหรือไม่เดินเท่านั้นเอง การบำเพ็ญธรรมคือ ตรงแล้วไม่งอ คดแล้วไม่หวั่นไหว นี่คือ สำนวนที่พุทธะกับพุทธะเขาคุยกัน ตรงไว้ไม่งอนั่นก็คือ มุ่งมั่นแล้วไม่เปลี่ยนแปลง คดแล้วไม่หวั่นไหว นั่นก็คือ ผิดแล้วยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำและพร้อมที่จะแก้ไข ไม่หวั่นไหวว่าใครจะว่าอะไร พร้อมจะแก้ไขว่าตนเองนั้นคดแล้ว แต่มนุษย์เราตรงแล้วก็หงิกๆ งอๆ งอแล้วก็ตุปัดตุเป๋ ฉะนั้นอยากฟังเสียงพุทธะ อยากได้ยินเรื่องของพุทธะ ตัวท่านนั้นจะยืนอยู่แดนโลกหรือจะยืนอยู่แดนพุทธะ (แดนพุทธะ) ต้องเข้ามาในแดนพุทธะจึงจะได้ยินเสียงแห่งพุทธะและมองเห็นพุทธะ แต่การจะเข้าถึงพุทธะนั้นต้องตัดให้ได้ซึ่งรูปและนาม ถ้าตัดไม่ได้ซึ่งรูปและนามจะไม่มีวันพบพุทธะ
รูปหมายถึงสิ่งใด นามหมายถึงสิ่งใด (นามคือ สิ่งที่เรามองไม่เห็น, รูปคือ ความสัมผัสได้) ลองยกตัวอย่างนามที่หมายถึง สิ่งที่มองไม่เห็น (ชื่อเสียง) นามคือ สิ่งที่สัมผัสไม่ได้ รูปคือ สิ่งที่เราสัมผัสได้
คนเดี๋ยวนี้มักจะลืมกิน ลืมนอน ลืมเหนื่อยเพียงเพื่อให้ตัวเองมีเงินมากๆ มนุษย์เรายอมหยุดเพราะว่าอะไรบ้าง เพราะเราได้ยินเสียงอันไพเราะ เรายอมหยุดเพื่อได้กลิ่นอันหอมหวล เรายอมหยุดเพื่อได้เห็นคนสวยๆ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ได้ฟังธรรมะอันถูกต้องดีงามแล้วยอมหยุด จะมีใครสักกี่คนที่บำเพ็ญธรรมอย่างไม่เหน็ดไม่เหนื่อยถึงขนาดลืมกินลืมนอน ลืมวันลืมคืน ลืมความเหนื่อย คงเห็นแต่ปราชญ์โบราณเท่านั้น คนยุคนี้คงหาไม่เจอแล้ว ปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ว่า “เมื่อศึกษาก็ถึงกับลืมกินลืมนอน เมื่อช่วยเหลือคนก็ถึงกับลืมวันลืมคืน ลืมว่าอายุเท่าไร” แต่มนุษย์เราไม่ใช่เมื่อรักเขาก็อยากให้เวลาหยุดไว้เท่านี้ เมื่ออยากให้ตัวเองมั่งมีก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อตัวเองติดทีวีก็ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนอยู่จนย่ำรุ่ง แต่ถ้าบอกว่าให้มานั่งฟังธรรมะจนกระทั่งรับปีใหม่ มีใครคิดแบบนี้บ้างมีแต่ไปนั่งดูทีวี มีคนบอกว่าจะปีใหม่แล้ว จะเที่ยงคืนแล้วก็ไม่เป็นไรจะดูต่อ นี่คือความแตกต่างระหว่างคนกับพุทธะที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ถ้าเมื่อไรเราทำได้เหมือนอย่างท่าน เราก็จะได้เป็นอย่างท่านสักวันหนึ่ง แต่คนไม่ยอมทำมัวห่วงเรื่องกิน มัวห่วงเรื่องความสวย ความหล่อ มัวห่วงเรื่องเงินในกระเป๋ายังไม่มี จึงทำให้เราไม่เคยได้ค้นพบความเป็นพุทธะสักวันหนึ่งเลย จะมีใครสักกี่คนเมื่อเวลาได้ยินธรรมะแล้ว หยุดยั้งที่จะฟังและคิดที่จะทำตาม กลับไม่มี เมื่อเห็นใครที่สวยเราอยากแต่งตัวให้สวยอย่างเขา แต่จะมีใครบ้างที่เห็นคนทำความดีแล้วเราคิดอยากจะทำความดีได้อย่างเขา หากถามว่ามีกี่คนที่คิดเรื่องธรรมะ มีกี่ชั่วโมงที่เราคิดถึงเรื่องความดีงามแห่งจิตใจและแห่งตัวตน ถ้าเทียบเป็นเวลาแล้วก็เหลือแค่นิดเดียวเองที่เราคิดถึง จริงหรือไม่ (จริง) จึงเป็นเรื่องน่าตกใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากทุกคนคิดทุกวัน ทุกนาทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องลงมาให้เหนื่อย ไม่ต้องลงมาเรียกร้องกวักมือเรียกให้มาบำเพ็ญธรรมะ หัดคิดแต่เรื่องที่ดีและสิ่งที่ดี แต่เดี๋ยวนี้คนกลับถอยหลังลงคลองหมดแล้ว บอกว่าไปห้องพระ ไม่เอายอมอยู่ห่างจากพุทธะ ยอมอยู่ห่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตใจเช่นนี้น่าเศร้ายิ่งนัก คิดง่ายๆ หากท่านมีลูก ท่านดูเขาออกเลยว่าเขาคิดอย่างนี้ ถ้าปล่อยให้เขาเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รับรองชีวิตเขาไม่มีความสุข บั้นปลายเขาไม่มีความเจริญ ถ้าท่านเห็นลูกเป็นอย่างนี้ท่านจะปล่อยให้เขาเดินต่อไปหรือไม่ (ไม่) หากมีเวลาท่านคงอยากจะหยุดและพูดให้เขารู้และอยากจะให้เขากลับมาดี พุทธะก็เหมือนกันเห็นท่านไปแบบนั้นก็ทนไม่ได้ต้องรีบมาดึงก่อน ก่อนที่ม้าจะขี่เตลิดไปไกลกว่านี้ ก่อนที่ใจจะยากหยุดยั้งไปมากกว่านี้ เพราะอะไรมนุษย์จึงยากที่จะอยู่ตรงนี้ได้อย่างมั่นคง ยากจะบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะว่า หนึ่ง เรายังอดอยากมีไม่ได้ สอง เรายังอดโลภไม่ได้ สาม เรายังติดความสุขในโลกโลกีย์นี้ บอกให้มนุษย์หยุดเดินบางครั้งยังง่ายกว่าบอกให้เขาไปเดินเสียอีก และบอกให้เขาหยุดเดินบางครั้งยังง่ายกว่าบอกให้เขาเดินแบบไร้ร่องรอยเสียอีก จะมีใครที่อยู่ในโลกนี้แล้วสร้างแต่สิ่งที่ดีไม่เหลือร่องรอยแห่งความชั่วร้ายให้คนนึกถึง เมื่อมีชีวิตตัวเองต้องได้ ตัวเองต้องดี คนอื่นรับทุกข์ไปไม่สนใจเขา อย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) ถ้าเกิดว่าเรามั่งมีแต่คนอื่นยากจน ท่านยังอยากมั่งมีหรือไม่ (ไม่อยาก) ถ้ามนุษย์เราอยากแล้วไม่รู้จักหยุดก็จะเป็นอันตราย เมื่อมีแล้วไม่รู้จักพอย่อมเดือดร้อน เพราะฉะนั้นแม้จะอยากอย่างเปี่ยมล้นก็ไม่สู้รู้จักหยุดอย่างพอเหมาะพอควร แต่หยุดอย่างพอเหมาะพอควรก็ไม่สู้ไม่เอาเลย ทำได้หรือเปล่า คงจะยาก จะมีใครสักกี่คนเมื่อเห็นประโยชน์ตรงหน้าแล้วคำนึงถึงภัยที่จะตามมาภายหลัง ทุกคนเมื่อเห็นทองก็หยิบทองก่อน แล้วค่อยนึกถึงอันตราย มีใครสักกี่คนเมื่อเห็นทองแล้ว คิดว่าอย่าเอาเลย เอาไปแล้วเดี๋ยวเป็นอันตราย ไม่มีใครคิดเลยใช่หรือไม่ เหมือนในโลกนี้ถ้าคนเราก่อนที่จะแสวงหาเราคิดถึงภัย เราจะไม่ต้องพบความทุกข์ยากเลย แต่ทุกวันนี้ที่ผ่านมาทั้งร้อนและหนาวต้องทุกข์ยากและต้องเดือดร้อนก็เพราะว่า มัวแต่ห่วงประโยชน์จนลืมคำนึงถึงโทษและภัยที่จะตามมา แล้วทำไมยังห่วงกันอีก ทำไมยังอดโลภไม่ได้ ยังอดหลงไม่ได้อีก เรามัวรักตัวเองมากเกินไป ไม่อยากให้เขามาตี ไม่อยากให้เขามาว่า หากท่านมีเพื่อนสองคน คนหนึ่งเข้าใจเราทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งตรงข้ามเราทุกอย่าง ท่านจะคบคนไหน บ่อยครั้งคนที่ตรงข้ามเราทุกอย่างก็ให้แง่คิดและให้ความรอบคอบแก่เรา อย่าได้ลืมมนุษย์เรามักจะปล่อยตัวเองไปในสิ่งที่ตัวเองชอบ ลืมไปในทางที่ตัวเองไม่ชอบ จึงพูดว่าระหว่างโลกีย์กับธรรมะ เราเลือกไปโลกีย์มากกว่าไปธรรมะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ให้นักเรียนเล่นเกมสโดยทำท่าที่ตรงข้ามกับคำสั่ง)
เวลาบอกนั่งให้ยืน บอกยืนให้นั่งเป็นการกระทำที่ตรงข้ามคำสังซึ่งเป็นการยากที่จะกระทำและยากที่จะฝึก แต่ไม่ใช่ผิดแล้วก็ไม่ฝึกเลย ผิดแล้วก็ยังต้องพร้อมที่จะฝึกต่อไป บำเพ็ญแล้วแม้จะยังเป็นคนไม่ดีอยู่แต่ก็ยังคิดที่จะบำเพ็ญต่อไป ต้องรู้จักแก้ไขให้ดีขึ้น ทำได้หรือไม่ (ได้)
“กล่าวมุสาเลิกแล้วแคล้วเรื่องวุ่น” ใครชอบโกหกเป็นนิจ คนที่โกหกเรื่อยๆ จะเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ คนที่ไม่สามารถรักษาธรรมได้เรื่อยๆ จะเป็นคนไร้ธรรม ฉะนั้นนับจากวันนี้ไปขอให้ทุกขณะจิตทุกขณะชีวิตพยายามมีธรรมอยู่ตลอดได้หรือไม่ การมีชีวิตอย่าได้คิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น พยายามนึกถึงเขานึกถึงเราอยู่เสมอได้หรือไม่ (ได้) ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงบอกว่า แม้ว่าเราจะทำอะไร ขอให้เรานึกถึงคนอื่น ถ้าเราเป็นคนที่นึกถึงคนอื่นทุกขณะ เราจะเป็นที่รักของทุกคน แต่ถ้าทุกขณะจิตเรานึกถึงแต่ตัวเองจะไม่มีใครรัก แม้แต่ตัวเราเองบางครั้งก็ลืมรักตัวเอง เพราะว่าคนที่รักตัวเองจะไม่ทำร้ายตัวเอง คนที่รักตัวเองจะพาตัวเองไปสู่ความสว่าง คนที่รักตัวเองจะไม่พาตัวเองไปอยู่กับสุขๆ ทุกข์ๆ ฉะนั้นทุกขณะจิตหากเรามีคุณธรรมและเมตตาธรรม เราจะเป็นคนที่รักเขาและเขาก็รักเราได้ เราจะเป็นคนที่ยอมไม่รักตัวเองแต่ยอมรักเขาได้แล้วเขาก็จะยอมไม่รักตัวเขาแล้วรักตัวเราได้ ซึ่งเป็นความรักที่ดีที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างนี้ บ่อยครั้งที่เรามีชีวิตเราอดไม่ได้ที่ตัวเองต้องดีก่อน ตัวเองต้องสุขก่อน ตัวเองต้องมีก่อนแล้วคนอื่นค่อยมีตาม ค่อยสุขตาม แต่จะมีใครสักกี่คนที่ตัวเองน้อยก่อนแล้วให้คนอื่นมีก่อน ถ้าเราทำได้เช่นนี้เราก็คือ คนที่ฝึกฝนบำเพ็ญตนพร้อมจะเป็นพุทธะ พร้อมจะเป็นแบบอย่างหรือพร้อมจะเป็นต้นโพธิ์ที่ร่มเย็นให้คนได้อิงอาศัย
ชีวิตเราจะเพิ่มขึ้นหรือจะลดลงอยู่กับมือของเราเอง จะเป็นคนดีหรือจะเป็นคนร้าย จะเป็นคนที่เอาแต่ขอหรือจะเป็นคนที่รู้จักให้ขึ้นอยู่ที่มือนี้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขึ้นอยู่กับเราทำหรือไม่ทำ ลงแรงเบาหรือลงแรงหนัก ถ้าลงแรงหนักมีใจมั่นคงย่อมสะเทือนใจให้เขาทำตามได้ แต่ถ้าลงแรงเบาแม้จะกินใจแต่คนก็ยากจะคล้อยตามได้ ชีวิตของคนเราหากเราเป็นแบบอย่างที่ดีไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องถาม รับรองมีคนทำตาม อยากสอนลูกโดยไม่ต้องเหนื่อยปากคอแหบคอแห้งหรือเปล่า (อยาก) นั่นก็คือ เราต้องเป็นตัวอย่าง ตัวเราต้องทำเป็นแบบอย่างถ้าเราไม่สนใจธรรมะเลยลูกเราจะกตัญญูหรือเปล่า ถ้าท่านไม่เคารพพี่เลย น้องท่านจะเคารพท่านหรือเปล่า ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้อะไร (ถั่ว) อาจจะได้แตงก็ได้เพราะว่าถั่วโดนเหยียบไปเรียบร้อยแล้วเลยมีแตงขึ้นมาแทนเพราะว่าถั่วไม่น่าสนใจ เราพูดผิดหรือเปล่า ไม่ผิดเพราะคนบางคนทำไมถึงเติบโตได้ ก้าวหน้าพัฒนาเป็นที่ต้องการของสังคมได้ก็ขึ้นอยู่กับตรงนี้ เขามีชีวิตเพื่อใคร เขาทำอย่างเห็นแก่ตนหรือไม่ แม้จะเป็นถั่วก็เป็นถั่วที่มีคุณค่าได้
“ชีวิตอย่ารอหวังสิ่งปาฏิหาริย์หนุน” ใครอยากพบเรื่องปาฏิหาริย์ในชีวิตบ้าง เราอย่าลืมว่าปาฏิหาริย์ไม่มีจริงใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ปาฏิหาริย์จะเกิดได้เมื่อคนเราเอาชนะฟ้าได้ แล้วฟ้าก็จะให้ปาฏิหาริย์แก่เขา แต่จะมีใครบ้างที่สามารถทำแล้วชนะใจฟ้า ท่านเคยเชื่อหรือไม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงได้ มีได้เหมือนกันขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเขาสามารถเอาชนะคนได้หรือยัง ถ้าทำได้เมื่อนั้นความดีของเขาจะสะเทือนฟ้าและปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้น ฉะนั้นอยู่ที่ตัวเราเองเกิดเป็นคนไม่ใช่มีแค่การแสวงหา แค่รัก โลภ โกรธ หลง มีชื่อเสียง ไร้ชื่อเสียง แต่ความเป็นคนนั้นยังมีสิ่งที่ล้ำเลิศกว่าและประเสริฐกว่านั่นก็คือ การหลุดพ้นและค้นพบความเป็นจริงแห่งชีวิตตนค้นพบความเป็นตัวตนที่แท้จริงที่เป็นพุทธะ แต่จะมีสักกี่คนที่ท่ามกลางชีวิตนี้จะค้นพบความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง ตราบใดที่เขาไม่สามารถเอาชนะรัก โลภ โกรธ หลงได้ ตราบนั้นแม้เขาจะบำเพ็ญก็ไม่มีทางพบพุทธะได้ แล้วเอาชนะอะไรให้ได้เราถึงจะพบพุทธะได้นอกจากเอาชนะตนเอง (เอาชนะกิเลสทั้งปวง, ความอยาก ) กิเลสในตัวเรานั้นมีมากมายนอกจากรัก โลภ โกรธ หลง บางครั้งตัวตนก็ขวางความเป็นพุทธะได้เหมือนกัน บางทีความอยากก็เป็นตัวขวางที่ใหญ่เหมือนกัน แต่เราจะทำอย่างไรให้คนที่ยังอยากอยู่ในรัก โลก โกรธ หลงนี้หยุดสิ่งต่างๆ ได้ แล้วค้นพบความเป็นพุทธะ อันนี้เป็นวิ่งที่น่าคิดแล้วท่านอยากรู้และอยากตัดให้ได้หรือไม่ (อยาก) อย่างแรกก็คือ ต้องทำให้ชอบก่อนเพราะเมื่อเราชอบเราจะรัก และเมื่อเรารักเราจะมีความมุ่งมั่นไปให้ถึง ฉะนั้นต้องมีใจที่รักก่อน หากเรามีใจที่รักจะบำเพ็ญจะบรรลุให้ถึงเราย่อมกระทำสำเร็จได้ แล้วทำอย่างไรถึงจะรัก ก็ต้องรู้จักมาห้องพระบ่อยๆ มาทำใจให้เปิดกว้างและรับให้ได้ จากเกลียดก็เปลี่ยนเป็นรักได้ด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ใจจะเปิดกว้างได้ก็ต่อเมื่อรู้ความเป็นจริงของสรรพสิ่ง หากมนุษย์เราไม่เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่งก็จะไม่มีวันเปิดกว้างและรับสิ่งต่างๆ ได้ นั่นก็คือ สรรพสิ่งย่อมมีเกิดย่อมมีดับ แล้วการดับนั้นย่อมดับไปตามอะไร (อายุและกาลเวลา) แต่การไปของสิ่งต่างๆ ที่ดับนั้นล้วนไปตามสภาพที่เป็นไป เช่น ร่างกายเราดับธาตุบางธาตุย่อมไปกับน้ำ ธาตุบางธาตุไปกับดิน ธาตุบางธาตุไปกับลม ธาตุบางธาตุไปกับไฟ จิตก็ไปกับสภาวะที่จิตได้กระทำไว้ ถ้าเมื่อไรเราสามารถเข้าใจถึงการเกิดและการดับและรู้ว่าสรรพสิ่งนั้นล้วนไม่เที่ยง เมื่อเราเข้าใจถึงความไม่เที่ยงแล้วเราจะพบความสงบ เมื่อไรที่ท่านพบความสงบในคำว่า “ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน” แล้ว ท่านจะเห็นแจ้ง เมื่อใดที่ท่านเห็นแจ้งแล้วใจท่านจะเปิดกว้าง เมื่อเปิดกว้างแล้วท่านจะรับได้ทุกสิ่ง เมื่อรับได้ทุกสิ่งท่านจะยุติธรรม และเมื่อใดเรายุติธรรมแล้วเราจะบริสุทธิ์ และเมื่อเราบริสุทธิ์เราก็คือ ธรรมชาติ
แต่เพราะอะไรมนุษย์เราถึงรับไม่ได้และไม่เที่ยงธรรม ก็เพราะเราไม่ยอมรับ เมื่อไม่ยอมรับเราย่อมไม่ยุติธรรม เมื่อไม่ยุติธรรมเราย่อมยากบริสุทธิ์ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนความรู้เป็นความเข้าใจ จากความเข้าใจเป็นความเปิดกว้าง ความเปิดกว้างเป็นความน้อมรับ แล้วเมื่อเปิดกว้างและน้อมรับเราย่อมมีความเที่ยง เมื่อไรที่เราเที่ยงเราจะพบความบริสุทธิ์ เมื่อไรที่เราเที่ยงบริสุทธิ์เราจะเป็นธรรมชาติ และเราอยู่ได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ
พูดเรื่องเกิดดับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนรู้และเข้าใจ แต่ทุกคนไม่รู้แจ้งอย่างแท้จริง แต่หากมีความพยายามสิ่งที่ยากก็กลายเป็นง่ายได้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ อย่าฟังแล้วคิดว่าดี เข้าใจ จะพยายามทำแต่กลับบ้านไปก็เหมือนเดิมไม่มีประโยชน์อะไร ต้องรู้จักที่จะนำเอาไปใช้ให้ได้ แล้วท่านจะค้นพบความสุขที่แท้จริงและความอิสระบนโลกใบนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่มีอิสระแล้วไม่ดื้อด้านและไม่เห็นแก่ตน ทุกคนมีอิสระได้แต่อิสระของคนบางคนมักจะดื้อด้านและเห็นแก่ตนอย่างนี้ไม่เรียกว่า อิสระที่แท้จริง อิสระที่แท้จริงคือ อิสระที่ไม่ดื้อด้านสอดคล้องกับธรรมชาติและไม่เคยเห็นแก่ตน เพราะว่าไม่มีตนให้เห็น
เรามาจากฟ้าเราก็อยากกลับคืนฟ้า แม้เราไม่รู้ว่าเรามาจากไหน แต่ระหว่างการเลือกฟ้าและเลือกดิน ทุกคนก็ต้องเลือกฟ้าไม่มีใครเลือกที่จะลงต่ำ ชีวิตก็เหมือนกันทุกคนก็เลือกความก้าวหน้าและความสำเร็จ มาจากสว่างก็อยากไปอย่างสว่าง ถึงแม้มาจากมืดก็อยากที่จะกลับไปสว่าง ไม่มีใครมามืดแล้วอยากกลับมืด ฉะนั้นทางสว่างอยู่แห่งใด ทางมืดไปอย่างไร ทุกคนรู้ได้
การที่จะเอาชนะจิตใจที่เป็นอกุศล จิตใจที่คิดไม่ดี จิตใจที่เห็นผิดเป็นชอบ จิตใจที่ถือแต่ทิฐิมานะของตน จะแก้ไขได้ต้องใช้ความเปิดกว้าง ใช้ความสว่างไสวของจิตใจมาช่วยชำระล้าง เราถึงจะเอาชนะและค้นพบความเป็นจริงได้
“ศึกษาธรรมอย่ารอแต่คนตาม เวลาสามอย่างไรให้หาเจียดได้”
ทุกคนมีเวลาที่จะให้กับการบำเพ็ญธรรมมบ้างได้หรือไม่ ทุกคนมีได้แต่อยู่ที่ว่าจะเจียดเวลามากน้อยแค่ไหน เกิดเป็นคนทั้งทีเอาแต่หาลาภยศเงินทอง จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่รู้จักคุณค่าของตัวตนเดิม
“บำเพ็ญคือโอกาสวิ่งมาคว้าไป” ตอนนี้เป็นโอกาสของทุกท่านแล้ว โอกาสวิ่งมาข้างหน้าแล้ว เราจะคว้าเอา เราจะสนใจศึกษาหรือไม่ การบำเพ็ญธรรมนั้นถ้าท่านทำได้ ไม่ใช่เราดี ไม่ใช่เราจะเลิศลอย แต่ตัวท่านเองต่างหากที่ดี
บางครั้งเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่มีตัวเราคนเดียว เรายังมีคนพ่วง เรายังมีคนที่ต้องนำพา เรายังมีคนที่ต้องดูแลและเอาใจใส่ คนที่ถูกดูแลเอาใจใส่ก็อย่าลืมมองคนข้างหน้าบ้าง อย่าลืมสนใจคนข้างหน้าบ้าง มีเราได้ก็เพราะมีเขา ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีต้องจิตสำนึกคุณอย่าได้หลงลืมไป ไม่ใช่ตนเองมีความสุขแต่ไม่เคยนึกถึงความทุกข์ยากของพ่อแม่ ไม่ใช่ตนเองยินดีปรีดาแต่ไม่เคยมอบความยินดีปรีดาให้กับพ่อแม่ เช่นนี้แล้วก็ยากจะเรียกว่า คนรู้บุญคุณคน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นท่ามกลางความสุขบ่อยครั้งแลกมาด้วยน้ำตา แลกมาด้วยหยาดเหงื่อของคนอื่นก็มี หลายๆ คนในที่นี้อายุยังน้อย ขอให้คิดว่าความสุขที่เราได้มานั้นเป็นการแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของใครหรือเปล่า เป็นการแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของพ่อแม่หรือไม่ หากเป็นการแลกมาเราขอไม่สุขย่อมจะดีกว่า ฉะนั้นเราเป็นเด็กก็ต้องเป็นเด็กที่รู้จักคำนึงและนึกถึงพ่อแม่ของตนเองด้วย ไม่ว่าเราไปอยู่กับผู้ใหญ่ที่ไหน เราก็รักเขาเคารพเขาเหมือนพ่อแม่ เขาย่อมเอ็นดูเราเหมือนลูก เราบำเพ็ญตนไม่ใช่รักแค่ครอบครัวของเราแต่เรายังรักคนอื่นอย่างเช่นครอบครัวของเรา คนอื่นก็จะรักเราเช่นลูกหลานได้เหมือนกัน นี่คือ ความเป็นจริงแห่งหลักธรรม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลง “พายเรือธรรม” )
เราอยู่เรือลำเดียวกันแล้ว เราจะฉุดดึงกัน เราจะช่วยกัน และนำพากันไปให้ถึงฝั่งดีหรือไม่ (ดี)
"อนุเคราะห์คนช่วยโลกจึงเจอฝั่ง" เราพูดกับทุกท่านไปตั้งมากมาย แต่ถ้าท่านฟังไม่เข้าใจและไม่ได้นำไปปฏิบัติก็ย่อมไร้ค่า เกิดเป็นคนทั้งทีขอให้มีความมุ่งมั่นให้กับตนเอง มุ่งมั่นอะไร อย่าได้มุ่งมั่นแต่ลาภยศเงินทองเลย ขอให้มุ่งมั่นแต่ช่วยเหลือคน จะเป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และนำพาคนกลับคืนเบื้องบนได้ พุทธะที่สำเร็จล้วนมีปณิธานมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือคน ล้วนมีปณิธานที่จะอนุเคราะห์นำพาคนให้พ้นจากทะเลทุกข์ ไม่คิดช่วยตนอย่างเดียว แต่พร้อมจะช่วยผู้อื่นแม้ตนเองจะยังทุกข์อยู่ก็ตาม หากมีคนทำได้เช่นนี้นับว่าเป็นคนที่ใกล้จะเจอฝั่งพุทธะแล้ว ไม่เห็นแต่ความทุกข์ของตนเอง แต่พร้อมจะดึงคน แม้ตนเองยังทุกข์ยากก็ตาม นี่แหละคือ คนประเสริฐ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้ แต่เราก็หวังว่าคนในนั้นจะเป็นคนในนี้ได้ทั้งหมดเลย ขอให้ท่านทำให้ได้
ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว การบำเพ็ญธรรมก็คือ การตั้งมั่น มุ่งมั่นเป็นคนดี เป็นคนดีแล้วยังช่วยคนและทำแบบอย่างที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีนำพาคน บำเพ็ญธรรมไม่ยากเลย เราเคยทำบุญทำกุศลอย่างไร ก็ยังทำบุญทำกุศลอย่างนั้น เคยตั้งใจจะเป็นคนดีอย่างไรก็ขอให้รักษาความดีให้ได้อย่างนั้น แต่เมื่อดีแล้วยังมีใจเผื่อแผ่นำสิ่งที่ดีให้คนได้รู้ ให้คนได้รู้จักช่วยตนเองด้วย นั่นแหละถึงจะเรียกว่าเป็นคนดีที่มุ่งหวังในความดีอย่างแท้จริง แล้วความดีนั้นก็ยังเป็นความดีที่เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้ด้วย ทุกคนในที่นี้เป็นพุทธะได้ ทุกคนในที่นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ขอให้เจียดเวลาสักนิดหนึ่ง แบ่งเวลาสักหน่อยหนึ่ง อย่าคิดถึงแต่ตนเองมาก เอาเวลาที่มีอยู่นั้นไปช่วยคนบ้าง เมื่อเวลามีทุกข์ยากเราจะไม่กลัวความทุกข์ เพราะอะไรถึงไม่กลัวทุกข์ เพราะเรามัวแต่เห็นทุกข์ของคนอื่น เพราะเราไม่มีตัวตนมีแต่ผู้อื่นที่เราอยากช่วยเหลือ
ขอให้ทุกคนไปให้ถึง บำเพ็ญให้ได้ อย่าเห็นว่าเรามาหลอกลวง จับมือกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วเราจะดึงทุกคนไปด้วยกัน แล้วเราก็ดึงท่านได้ แล้วเราก็พาท่านไปได้ เรามาเร็ว ไปเร็วถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว อยากเป็นพุทธะน้อยๆ หรือเปล่า (อยาก) พุทธะน้อยๆ มีความสุขที่สุดในโลกเลย ทุกท่านก็เป็นได้ ทุกท่านก็ไปถึงได้แม้จะอายุเท่านี้ก็ตาม ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าได้ดูเบาตนเอง ทุกคนก็สามารถเป็นพุทธะได้ ไปแล้ว.
วันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มึนมึนงงงงมาร่วมงานประชุมธรรม บ้านคราครำ่ด้วยผู้คนบุคลากรเจ้าหน้าที่
เห็นแต่ไกลผ้าเย็นเย็นส่งมาทันที ชิดเชื้อดีด้วยคุณธรรมจริยะมารยาท
เราคือ
พระพุทธะจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา สวัสดีปีใหม่ศิษย์รักทุกคนขอให้มีสุขภาพแข็งแรงถ้วนทุกคน
น้ำนั้นเปรียบเหมือนปัญญาอันสูงส่ง จิตใจตรงเพราะชะล้างกิเลสสิ้น
ศิษย์อาจารย์แม้เจ้าเป็นแค่ชาวดิน ไม่ติดกลิ่นแห่งปุถุชนคืนฟ้าไกล
เสมอต้นเสมอปลายคงเส้นวา อย่ารอช้าปรับปรุงตนสู่ชีวิตใหม่
ตั้งต้นดีดีทั้งปีศิษย์ทั้งหลาย สมหวังได้เพราะหายโรคประมาท
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้าไกล ขอศิษย์ได้ทุกสิ่งดังใจคาด
ขอศิษย์มีความสำเร็จที่ไม่จำกัด ขอสายลมมงคลพัดเจ้าร่มเย็น
ทิ้งสิ่งเก่าที่ไม่ดีออกให้หมด ไม่คอยกดใจจนเครียดอย่างที่เห็น
ขอให้เป็นดั่งแสงจันทร์ในวันเพ็ญ ส่องโลกเย็นด้วยมือเรานะศิษย์เอย
ฮา ฮา หยุด
เวลาที่เราได้เจอกัน ช่างยากเย็นและแสนจะสั้นหนักหนา การลากันทำให้ปวดใจ กระนั้นอาจารย์ยอมก้มหน้ารับไป เพราะใจยังเชื่อมั่นในศิษย์ สักวันคงมีบุญได้อยู่ร่วมกัน วอนคนดีมีใจอย่าผัน วอนศิษย์นั้นไม่ทำให้ข้าต้องคอย
ไม่ตั้งใจบำเพ็ญกันหรือไรศิษย์เรา แล้วให้อาจารย์เจ้าแบกกรรมไว้หรือไร อาจารย์จะทำเพื่อใคร ใจอาจารย์จะขาดแล้ว วอนคนดีมีความเห็นใจ
ไม่มั่นใจคืนแดนมาหรือไรศิษย์เรา แล้วให้อาจารย์เจ้าแบกกรรมไว้หรือไร อาจารย์จะทำเพื่อใคร บำเพ็ญธรรมอย่าอ่อนล้า ศิษย์ข้าคงจะทราบแก่ใจ
เพลง : อาจารย์จะทำเพื่อใคร
ทำนองเพลง : เฉิงจิงซินท่ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใจของคนเรานั้นเป็นสีขาวหรือสีดำ หรือสีขาวปนสีดำ หรือสีดำปนสีขาว ระหว่างสีขาวปนสีดำกับสีดำปนสีขาวเหมือนกันหรือไม่ ไม่เหมือนกันสมมติว่ากระดาษแผ่นหนึ่งเป็นสีดำแล้วเอาสีขาวมาแต้มลงไป แสดงว่าพื้นฐานจิตของคนๆ นี้ไม่ดี บางที่ก็คิดดีบ้าง ใครที่จิตใจเป็นสีดำปนสีขาวแสดงว่าแย่มาก แล้ววันหนึ่งข้างหน้าคงเป็นสีดำสนิท ส่วนคนที่มีจิตใจเป็นสีขาวปนสีดำเป็นอย่างไร ดึงกระดาษขาวๆ แล้วนำสีดำมาป้าย คนๆ นี้ก็คือ เราทุกคนที่เป็นใจสีขาวปนสีดำ แล้วเราเคยคิดที่จะขจัดสีดำนี้ออกไปหรือไม่ (เคย) แล้วต้องขจัดอย่างไร (ทำความดี) คนส่วนใหญ่อยากจะทำดี เหมือนกับเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา คิดดูแล้วก็มีโอกาสทำความดีหลายครั้งหลายหน แต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไป พอถึงปีใหม่ปีนี้จนถึงปลายปีเราจะปล่อยโอกาสที่ดีผ่านไปอีกหรือไม่ (ไม่) เราต้องคิดแต่ไม่มัวคิดพิจารณาถึงผลประโยชน์ ผลเสีย ข้อดี ข้อเสียมากมาย เพราะว่ายิ่งพิจารณาเรายิ่งไม่ยอมทำ มองไปรอบๆ ใครก็จะเอาเปรียบเรา ใครก็ไม่เห็นจะดีเท่าเรา เราจะทำความดีไปทำไมในเมื่อมีเราเพียงคนเดียว เราเพียงคนเดียวก็มีความสำคัญ เพราะตอนนี้ในบ้านของศิษย์ ศิษย์คนเดียวไม่ทำแล้วจะรอให้ใครทำ อยากจะทำความดีก็ต้องเริ่มที่ใคร (ตัวเรา) การเริ่มต้องเริ่มอย่างจริงจังอย่าเป็นคนสามวันดีสี่วันไข้ วันนี้อยากเริ่มพรุ่งนี้ไม่เอาแล้ว เพราะเหนื่อยเหลือเกินกับการเป็นคนดี ตอนนี้มีคนมากมายในสังคมเป็นคนไม่ดี เราเป็นคนดีคนเดียวจึงเหนื่อย เอาไว้รอจนวันหน้า คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนดี มีคนๆ เดียวที่ทำความชั่ว คนทำชั่วเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย) คนทำชั่วก็เหนื่อยเหมือนกัน เราจะให้คนทำดีเหนื่อยหรือคนทำชั่วเหนื่อย (คนทำชั่วเหนื่อย) อยากให้คนทำชั่วเหนื่อย เราก็ต้องทำความดี ตอนนี้มีเราคนเดียวก่อนก็อดทนสู้ไปก่อนเรายอมหรือเปล่า (ยอม) รอสักระยะหนึ่งมีคนดีมากมาย คนชั่วคนเดียวจะเหนื่อย
"มึนมึนงงงงมาร่วมงานประชุมธรรม" นั่งฟังธรรมะมาก็วันที่สองแล้ว ตอนแรกเราอาจจะงง บางคนก็งงน้อย บางคนก็งงมาก แต่นั่งถึงสองวันก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว จะมัวนั่งงงอยู่อีกได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ต้องเปิดใจกว้างๆ พิจารณาในสิ่งที่ฟังแล้ว นำกลับไปปฏิบัติจึงจะได้ผล เมื่อสักครู่อาจารย์บรรยายธรรมกล่าวว่าคนข้างหน้าลำบาก คนข้างหลังเป็นอย่างไร (สบาย) แต่อาจารย์มีคำพูดอีกคำพูดหนึ่งว่า “คนข้างหน้าทุกข์หน่อย แต่คนข้างหลังประสบความสำเร็จ” คนข้างหน้าคือใคร ก็คือ มองไปที่คนข้างหน้า แล้วคนข้างหน้าก็มองไปที่ข้างหน้าอีก นั่นก็คือ ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า เพราะฉะนั้นคนข้างหลังทุกๆ คน ใกล้ประสบความสำเร็จ คนข้างหน้าแม้จะมีความทุกข์หน่อย แต่เมื่อได้เห็นความสำเร็จของคนรุ่นหลังก็เป็นผลอันดีที่เกิดขึ้น เป็นผลมันประเสริฐ
ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน มีความทุกข์หลายประเภท มีความทุกข์ประเภทหนึ่งที่อาจารย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดี เป็นความทุกข์ที่หาจุดๆๆ ใส่หัว มีความทุกข์ประเภทนี้อยู่ในโลกนี้ คำพูดนี้เป็นคำพูดที่มนุษย์เป็นคนพูดเพราะว่า มีคนประเภทนี้อยู่ในโลกนี้จริงๆ คนๆ นั้นคือ ศิษย์หรือเปล่า (ใช่) เราเคยหาแบบจุดๆ ใส่หัวเราหรือเปล่า (เคย) แล้วเมื่อไรเราจะดึงออก เราต้องรู้จักตรวจสอบตัวเอง เวลาที่เห็นเด็กมีเหาเราทำอย่างไร (หาเหา) เวลามีเหาเราก็ต้องหาเหาออกมาใช่หรือไม่ (ใช่) พ่อแม่ทุกคนมีประสบการณ์ แต่ว่าเหาตัวนี้ไม่ได้เกาะอยู่ที่ผม แต่เหาตัวนี้เกาะอยู่ที่ใจ กินเลือด กินเนื้อของเราอยู่ ไม่ว่ากุศลทำมาเท่าไรก็หมดไปเพราะว่ามันขยายพันธุ์เร็ว นั่นก็คือ ความไม่ดีในใจของเราขยายพันธุ์เร็ว แต่ความดีในใจนั้นไม่ยอมขยายพันธุ์ มีเท่าไรก็อยู่เท่านั้น ดีอยู่แค่ไหนบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเราจะดีกว่านี้ ศิษย์หลายคนบอกว่าตนเองเป็นคนดีอยู่แล้ว อาจารย์ก็ทราบแต่ถามว่าเราดีกว่านี้ได้หรือไม่ เคยเห็นเหนือฟ้ายังมีฟ้าหรือเปล่า (เคย) เวลาที่เรามองฟ้าแล้วเรารู้สึกว่าฟ้ามีแค่นี้หรือเปล่า มีฟ้าสูงกว่าอีกฟ้าที่เป็นชั้นๆ นั้นก็เหมือนใจของเรา ยิ่งสูงเท่าไรฟ้าก็ยิ่งโปร่ง การเป็นคนดียิ่งดีเท่าไรใจเรายิ่งโปร่งและยิ่งสะอาด อาจารย์ก็หวังว่าความดีของศิษย์นั้นจะเพิ่มพูนตามปีที่บำเพ็ญ ปีหนึ่งๆ ที่ผ่านไป เราดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ วัน เมื่อครบปีแล้ว เราก็ดูว่าเราดีขึ้นจริงๆ หรือดีแบบปลอม
ศิษย์เคยเห็นทั้งดอกไม้จริงกับดอกไม้ปลอม ดอกไม้ทั้งสองอย่างเรียกว่าดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมถึงเรียกว่าดอกไม้เหมือนกัน (รูปลักษณ์) เพราะว่ารูปภายนอกเหมือนกัน แล้วดอกไม้ไหนสวยกว่า สวยเหมือนกันหรือเปล่า อาจารย์ว่าดอกไม้ปลอมคงสวยกว่า ถ้าให้ศิษย์เลือกศิษย์อยากเป็นดอกไม้ปลอมหรือดอกไม้จริง (ดอกไม้จริง) ดอกไม้จริงนั้นปักไว้สามวันก็เหี่ยว ชีวิตหนึ่งเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งมีเวลาสั้นๆ มีเวลาน้อยควรทำสิ่งใดให้รีบทำ ไม่ควรทำสิ่งใดให้เลิกทำ เพราะว่าหลายคนนั้นมีชีวิตสั้นๆ แต่ใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า อะไรที่ไม่ควรทำก็ยังทำอยู่ อะไรที่ควรทำไม่ยอมเร่งรีบไปทำ ดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริงนั้นเหมือนกับชีวิตเรา อาจารย์อยากเปรียบเทียบให้ฟังว่าชีวิตของเรานั้นอยู่กับความปลอมมาก เห็นความปลอมนั้นเป็นเรื่องที่สวยงามยั่งยืนและจีรัง แต่รู้หรือไม่ว่าความยั่งยืนจีรังอันนี้คร่าชีวิตของเรา เราอาจจะมองไม่เห็นเพราะดอกไม้ปลอมคร่าชีวิตของศิษย์ไม่ได้ แต่ว่ามีของปลอมมากมายในโลกนี้ที่คร่าชีวิตเราได้ ดอกไม้แม้จะปักอยู่ในแจกัน แม้จะไม่เนิ่นนานเท่าไร แต่ก็ยังสามารถให้ความสวยนั้นปรากฏสู่สายตาผู้อื่นได้ ถ้าไม่มีดอกไม้โลกนี้ก็ไม่สวยงาม ชีวิตของเรานั้นก็จงทำความดีแม้ความดีที่เราทำเล็กๆ น้อยๆเหมือนดอกไม้ที่อยู่ในแจกันแต่ก็ต้องทำ ความดีเล็กๆ น้อยๆ มีคนเห็นไม่กี่คนก็ต้องเพราะนั่นก็คือ ความดี สิ่งที่น่ากลัวในการเปรียบเทียบระหว่างดอกไม้ปลอมและดอกไม้จริง ถ้ามองในด้านของการบำเพ็ญเปรียบเสมือนผู้บำเพ็ญธรรมที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้บำเพ็ญธรรม แต่บำเพ็ญได้ไม่ดี ทำได้ไม่สมควรกับการได้ชื่อว่า เป็นผู้บำเพ็ญธรรมเลย อยากเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่ทำไม่ดี ทำไม่ได้ เราก็กลายดอกไม้ของผู้บำเพ็ญแต่เป็นดอกไม้ปลอม หากว่าวันใดเราสามารถที่จะทำให้ดีขึ้นสมควรกับคำว่า "บำเพ็ญ" ดอกไม้ปลอมนี้ก็จะถูกใส่ชีวิตลงไปก็กลายเป็นดอกไม้จริง อยากมีชีวิต อยากมีวิญญาณแห่งผู้บำเพ็ญธรรมหรือไม่ (อยาก) วิญญาณแห่งผู้บำเพ็ญธรรมไม่สามารถจะคิดเรื่องชั่วร้ายได้ ไม่สามารถจะคิดเรื่องไม่ดีได้ เรื่องใดผิดจารีด เรื่องใดผิดประเพณี เรื่องใดผิดครรลองคลองธรรม เรื่องใดผิดใจแห่งมโนธรรมนั้น เรื่องเหล่านี้ให้ละเว้น
อาจารย์พูดคำว่า "ผู้บำเพ็ญธรรม" ในวันนี้ง่ายขึ้น แต่การการะทำยากขึ้น เพราะทุกครั้งอาจารย์จะบอกว่า การบำเพ็ญคือ การขัดเกลากิเลส การขัดเกลากิเลสทำอย่างไร กิเลสนั้นอยู่ในใจเรา เราเพียงแต่แค่ปัดออกถ้าเรามีความตั้งใจอย่ากลัวเจ็บ แล้วก็ตัดทิ้งไปง่ายนิดเดียว เหมือนเนื้องอกเราตัดทิ้งไปก็จบ แต่วันนี้อาจารย์จะพูดใหม่ การบำเพ็ญธรรมคือ การฝึกคุณธรรมความดีงาม อย่าผิดสิ่งที่ดีงาม ตัดสิ่งที่เกินออกไปแล้วมันก็เว้าแหว่ง เราต้องเติมให้เต็ม เติมคุณธรรมเติมความเมตตาเข้าไป ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ศิษย์ก็เป็นดอกไม้จริงที่มีชีวิต ถ้าไม่ได้ก็เป็นดอกไม้ปลอมที่ไร้ชีวิต อาจารย์ถามใหม่อยากเป็นดอกไม้จริงหรือดอกไม้ปลอม (ดอกไม้จริง) มีชีวิตอยู่แค่สามวันทำตัวเองให้มีคุณค่า จำคำพูดของอาจารย์ไว้
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (เจิ้งซิน) เจิ้งซิน แปลว่า ใจที่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใจเราไม่เที่ยงก็เกิดกิเลสขึ้น โดยเฉพาะใจที่อยู่ข้างใน กิเลสอยู่ข้างนอก เปรียบเหมือนคนตาเขเคยเห็นหรือไม่ คนตาเขมองตรงๆ อยู่แต่ว่าตาเขไป อยากเป็นคนตาเขหรือไม่ (ไม่อยาก) ไม่อยากเป็นคนตาเขก็ต้องมีใจไม่เขเพราะว่ากายกับใจนั้นสัมพันธ์กัน สิ่งใดที่อยู่ภายในเป็นลองเทียบดูกับภายนอก ศิษย์จะรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เรานั้นเที่ยงตรงขึ้น ชื่อสถานธรรมที่นี่เป็นมงคล เราต้องคิดพิจารณา เหมือนคนที่สวดมนต์ไม่คิดเนื้อความในก็ไม่บรรลุเป็นพุทธะ
เมื่อวานนี้ตอนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มามีคนที่เป็นคนท้องที่แต่นั่งคุยอยู่ข้างล่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่ใช่ส่งเสริมเฉพาะคนใหม่เท่านั้น เราซึ่งเป็นคนเก่าก็ควรที่เอาโอกาสนี้มาส่งเสริมตนเองด้วย แม้ว่าข้างบนนี้จะร้อนอึดอัดสักหน่อยแต่ทนได้ ก็ต้องทน ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่เกินสามชั่วโมง ห้าชั่วโมงทนได้หรือเปล่า (ได้) คนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนอุบลมากมาย การที่สถานธรรมตั้งอยู่ที่นี่แม้บางทีไม่สะดวกมา แต่เรามีสะดวกใจ ใจของเรานั้นหากสะดวกแล้วถึงเวลาควรจะมาก็รู้สึกอยากจะมาเอง แต่ถ้าหากใจเราไม่อยากจะมาต่อให้มีรถมารับก็ไม่อยากมา จึงบอกว่าบางคนนั้นสะดวกกายไม่สะดวกใจ อาจารย์รู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ได้ศึกษา พอไม่ได้ศึกษาก็เริ่มที่จะหยุดอยู่กับที่ หยุดอยู่กับที่นั้นดีหรือเปล่า (ไม่ดี) การหยุดอยู่กับที่นั้นบางทีก็ดี ถ้าหยุดแล้วรู้จักย้อนมองส่องตน มองให้เห็นว่าเรายังมีอะไรที่บกพร่องบ้าง ต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง อันนี้สมควรจะหยุดหรือเปล่า (สมควร) แต่บางคนหยุดอยู่เฉยๆ หยุดดูทีวี หยุดอยู่กับบ้าน หยุดเพราะไม่อยากลำบากบำเพ็ญ
วันนี้อากาศไม่ได้ร้อนเท่าเมื่อวาน แต่เมื่อวานนี้ที่อากาศร้อนก็มีคนที่ลำบากปีนหลังคาให้เรา อยากเห็นหน้าคนปีนหลังคาชัดๆ ดูว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร ปีนหลังคาลากสายยางทำความเย็นบนหลังคา แล้วก็ต้องทำความเย็นในจิตใจให้ผู้อื่นด้วยเข้าใจหรือไม่ สิ่งใดที่เราทำดีมากๆ เข้ายิ่งเหมือนกับความเย็นที่รดให้เขาเย็นใจและรดให้เราเพื่อชีวิตเรานี้ร่มเย็น
อาจารย์ขอน้ำสองกะละมัง รู้หรือไม่ว่าอาจารย์ให้เอาน้ำมาทำอะไร เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองของปีใหม่ ปีที่แล้วมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ มีเรื่องไม่สมหวังมากมาย เมื่อวานนี้ท่านหยูอี้ถงจื่อมา ท่านหยูอี้ถงจื่อก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานความสมหวังให้กับศิษย์ทุกคน แต่ว่าศิษย์ทุกคนกลับทำให้ท่านผิดหวังหรือเปล่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้มองศิษย์แค่สองวันนี้ แต่มองถึงวันข้างหน้าและข้างหน้า ใครที่บอกว่าตัวเราเป็นคนดีอยู่วันนี้ก็ไม่แน่ว่าต่อๆ ไปจะดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าทะเยอทะยาน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง เกิดเป็นคนต้องอ่อนน้อมถ่อมตน และผู้ที่บำเพ็ญธรรมต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นผลสำเร็จ บางทีเราอ่านหนังสือมา ในหนังสือก็เขียนไว้มากมายแต่ว่าเราทำไม่ได้ เหมือนสองวันนี้กี่อย่างๆ ที่ผู้อื่นพูดก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่าจะเอาไปทำสำเร็จหรือไม่นั้นต้องถามตัวเรา มีคำพูดบอกว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” เอาเวลาที่เหลือในชีวิตนี้มาพิสูจน์เรา แต่ละคนนั้นอาจจะมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน บางคนเป้าหมายสูงส่งถึงเบื้องบนแดนพุทธะ บางคนเป้าหมายเป็นคนดีเท่านั้น บางคนก็มีเป้าหมายอยากที่จะร่ำรวยเท่านั้น บางคนก็มีเป้าหมายอยากให้ชีวิตเป็นสุขเท่านั้น บางคนชีวิตนี้ขาดเป้าหมาย จึงล้มเหลวบ่อยๆ ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์อยากที่จะเป็นคนที่มีเป้าหมายที่สูงส่งแค่ไหน ต้องกำหนดตั้งแต่วันนี้ เหมือนคนจีนที่สรุปว่า “เมื่อรู้ชีวิตแล้ว ก็ควรกำหนดชีวิตตนเอง” โชคชะตานั้นแม้จะเป็นกรรมเก่าคอยกำหนดเรา แต่ว่าเมื่อเรารู้แล้วเราสามารถกำหนดเองได้ โชคชะตาแม้จะเล่นตลกกับเราบ่อยครั้งแต่เราต้องรู้จักฝืน บางทีศิษย์ของอาจารย์ถึงเวลากินข้าวไม่อยากกินข้าวก็ต้องกิน แม้ไม่อยากนอนก็ต้องนอน แม้ไม่อยากบำเพ็ญก็ต้องบำเพ็ญธรรม ไม่บำเพ็ญแล้วเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตลอดกาล การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ความทุกข์นั้นไม่ใช่เกิดเฉพาะผู้ใหญ่ เด็กก็มี ผู้ชาย ผู้หญิงก็มี คนแก่ก็มี เพียงแต่ว่าทุกข์ที่เราเจอนั้นแม้เราจะรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่าทุกข์ของเรานั้นยังน้อยกว่าคนอื่น เอาความโชคดีที่เรามีอยู่น้อยนิดอันนี้ไปสู้ชะตากรรมของเรา ปลานั้นเมื่อไม่ว่ายทวนน้ำก็ถือว่าเป็นปลาตาย ศิษย์ของอาจารย์ถ้าไม่ทวนกระแสโลกีย์อันนี้ ถ้าอยากจะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปนั้น แม้จะให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรืองอำนาจเรืองฤทธิ์กว่าอาจารย์ลงมาก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงแค่ปกปักษ์ช่วยเหลือ ช่วยแนะแนวทาง แต่คนปฏิบัติอยู่ที่ใคร (อยู่ที่ตนเอง) คนปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเรา ฉะนั้นคำว่า “บำเพ็ญธรรมและตัวเรา” เกี่ยวข้องกันมากหรือไม่ (มาก) ตราบใดที่ศิษย์ของอาจารย์ยังอยากที่จะบำเพ็ญธรรม คำว่า “บำเพ็ญธรรมและตัวเรา” จะเกี่ยวข้องกันไปตลอดชีวิต ตราบใดที่ศิษย์คิดจะเลิกล้มการบำเพ็ญ ก็เป็นปลาตายที่ลอยตามน้ำไป เป็นเหมือนคนที่ไร้ชีวิตลอยตามกระแสโลกีย์ไป คุ้มหรือไม่คุ้ม ลองคิดดู
วันนี้ซึ่งเป็นวันที่สองของปี นับๆ ไปก็ยังเป็นวันปีใหม่ ปีใหม่นี้อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนใหม่ เอาน้ำมาล้างสิ่งที่ไม่ดีออก แต่ตรงนี้ไม่ใช่ห้องน้ำเพราะฉะนั้นก็คงจะล้างให้สะอาดหมดจดไม่ได้ เราล้างแค่มือทุกคน เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่ามือนั้นคือ สิ่งที่เรากำหนดชีวิตของตัวเรา เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็จะให้ล้างสิ่งที่กำหนดชีวิตของศิษย์เองนี่แหละ ให้สะอาดหมดจด ให้สะอาดเอี่ยมอ่อง แล้วขอให้ล้างมือนี้ไปสู่ใจ ล้างใจของเราให้สะอาด
ตั้งต้นดีดีทั้งปีศิษย์ทั้งหลาย สมหวังได้เพราะหายโรคประมาท
ศิษย์หลายคนนั้นอยากจะให้ชีวิตนี้มีความสมหวังดังที่คิด แต่ทว่าแต่ละคนนั้นมีใจอยู่ดวงหนึ่งที่มีใจที่มีกิเลสอยู่ คือ ใจของคนที่ประมาท เวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เราจำเป็นต้องละเอียดละออ เวลาที่จะพูดเราต้องรู้จักคิดพิจารณาในสิ่งที่เราจะพูดออกไป เวลาที่เราจะทำเราก็ต้องรู้จักคิดพิจารณาในสิ่งที่เราจะทำ เวลาที่เราจะคิดเราต้องมองให้รอบดูให้ทั่ว คนที่อยากจะประสบความสำเร็จนั้นต้องรู้จักเป็นคนที่พิจารณา ในวันนี้อาจารย์เอาน้ำใสๆ ซึ่งคนจีนนั้นเปรียบไว้ดั่งปัญญา แท้ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องล้างมือในวันนี้ก็ได้ อาจารย์ขอน้ำสองกะละมัง ต่อให้ศิษย์นั้นอีก ๕ วัน อีก ๒ เดือน ศิษย์จะไปล้างมืออีกทีก็ได้ แต่ว่าล้างที่ไหนดีที่สุด ให้นำน้ำปัญญาที่เรามองไม่เห็นนี้มาล้างใจที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่น้ำที่สามารถมองเห็นได้ เพราะว่านี่เป็นแค่เพียงปริศนาธรรมความในที่อยากจะบอกศิษย์ว่าทุกๆ คนนั้นต่างมีปัญญา ต่างมีชีวิต มีมืออันไร้รูปลักษณ์อันนี้และสามารถกำหนดชีวิตของตนเอง ไม่ต้องกลัวกับการที่เราจะล้มเหลวบ่อยครั้งเพราะการที่เราล้มเหลวหนึ่งครั้งเราก็จะมีบทเรียนหนึ่งครั้ง การที่เราล้มสองครั้งก็ทำให้เรามีบทเรียนสองครั้ง ยิ่งเราล้มเราลำบากมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากเท่านั้น เหมือนกับคำที่ว่า “ต้องให้ความคิดโตตามตัว” ความคิดโตตามตัวได้เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าเราไปอ่านหนังสือแล้วเราจะมีความรู้เสมอไป แต่บางทีนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทุกๆ วันประสบการณ์ที่สั่งสอนเรา ให้เรานั้นรู้และเข้าใจ เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์บอกว่า อยากเป็นคนที่สมหวัง เป็นคนที่ดีกว่านี้ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด
ถ้ามีใครมาไม่ทันล้างมือก็ไปเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างมือให้สะอาด ที่ไหนๆ ก็มีอาจารย์ทั้งนั้น ขอเพียงแต่ในใจของศิษย์นั้นมีอาจารย์ อาจารย์ก็เป็นนำ้ที่อยู่ในน้ำประปา อาจารย์เป็นลม เป็นเงาต้นไม้ ที่ที่ไหนที่ศิษย์คิดถึงอาจารย์ อาจารย์ก็อยู่ด้วย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมกันร้องเพลง “พรปีใหม่”)
เมื่อศิษย์ร้องเพลงก็เสมือนว่าได้ร่วมอวยพรต่อกันและกัน สิ่งดีๆ เมื่อเราส่งให้ผู้อื่น สิ่งดีๆ นั้นก็จะย้อนกลับมาให้เราเอง เหมือนที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำบุญทำทาน ทำไมถึงให้เราทำบุญทำทานสะเดาะเคราะห์ เพราะว่าเราทำออกไปก็จะไปส่งสิ่งที่ดีให้ผู้อื่น ส่งของให้ผู้อื่นมีใช้ ให้ผู้อื่นมีกิน สิ่งต่างๆ นั้นถูกกำหนดด้วยผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว เมื่อเรานั้นรู้สึกว่าเราไม่ดี เราได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็ควรรู้ว่าเรานั้นควรส่งสิ่งที่ดีๆ ให้แก่คนอื่น หากว่าเราส่งของให้เขาได้ของนี้คืออะไร อย่างเช่น อาหาร เสื้อผ้า เราส่งให้เขาแต่มีสิ่งหนึ่งที่คนเขาไม่ค่อยจะยอมส่งกันนั่นก็คือ การคิดดีต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ของเหล่านี้เราส่งให้ได้จะส่งของแพงเท่าไหร่ก็ส่งได้ ส่งของให้ดีเท่าไหร่ก็ส่งได้ แต่เรานั้นไม่ได้ส่งจิตใจอันดีงามให้ผู้อื่น เพราะฉะนั้นอยากให้ศิษย์นั้นที่เป็นผู้บำเพ็ญมาเน้นที่จิตใจภายในของเราส่งสิ่งที่ดีๆ ออกจากตัวเรา ออกจากใจเรา สิ่งนี้ไม่ต้องใช้เงินทอง
อาจารย์นั้นบางครั้งเจ็บปวดร้าวใจเห็นศิษย์อาจารย์นั้นหาเงินทองด้วยความโลภ หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นทรัพย์นอกกาย หากไม่มีก็หาอย่างสุจริต หากมีแล้วต้องรู้จักพอ คำว่า “พอดี” หมายถึง พอแล้วดี หากว่าไม่พอก็ไม่ดี อยากที่จะดีเราต้องรู้จักพอ เงินทองของนอกกายแบ่งปันได้แบ่งปันไป เมื่อใดที่คนไม่ให้ความสำคัญกับเงินทอง เงินทองก็จะไม่เป็นเจ้านายเรา เงินทองจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งล้ำค่า เมื่อเราเน้นเรื่องใดเรื่องนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเราเน้นแต่สิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นในสังคม นั่นคือ เรื่องของจิตใจ ศิษย์ของอาจารย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นคนกลุ่มหนึ่งในโลก มีภาระหลายอย่างที่จะต้องทำทั้งทางด้านช่วยจิตใจของผู้อื่นและในด้านช่วยให้สังคมนั้นดีขึ้น อย่ามัวมานั่งงมงายแล้วก็รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ เพราะถ้าศิษย์รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้แล้วปล่อยให้เกิดจริงๆ ถ้าหากเกิดขึ้นจริงๆ ศิษย์ยังจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ดังนั้นถ้าเราทำความดีเต็มเปี่ยม เมื่อเราจากไปก็จากไปอย่างคนที่มีคุณค่า ถ้าหากว่าศิษย์นั้นรอดูไม่ยอมเลิก ใจของเรานั้นจะเป็นใจที่อับเฉา
อาจารย์นั้นภาวนาทุกวันว่าให้เภทภัยในโลกนี้ลดน้อยลง ไม่เกิดได้ยิ่งดี อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์คิดว่าต้องมีหนักขึ้นและหนักขึ้นจะต้องให้เกิดขึ้นจนได้ ไม่มีได้ยิ่งดีใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าไม่มีศิษย์ของอาจารย์จะบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์โกหกใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ขอให้คิดให้ดี คิดแต่เรื่องดี สิ่งใดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกแล้วหากเปลี่ยนแปลงเป็นดีได้อาจารย์ยิ่งดีใจ ถือว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทำงานสำเร็จ เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์จะเห็นต่อไปในโลกข้างหน้านี้ก็คือ โลกที่ดีขึ้น อาจารย์ปรารถนาอย่างนั้น สิ่งใดที่อาจารย์เคยพูด อาจารย์อยากจะบอกว่าอาจารย์นั้นพยายามไม่ให้เกิด และศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องทำให้เป็นอย่างเดียวกับอาจารย์ ปณิธานของเรานั้นต้องเหมือนกัน เพราะว่าในโลกนี้มีคนบางคนที่พร้อมที่จะดีขึ้น พร้อมที่จะเป็นคนดีมากขึ้น มีบางคนที่ยินยอมตกนรก เคยได้ยินหรือไม่ที่เขาบอกว่าทำความดีเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่ต้องทำหรอกวันหน้ายอมตกนรก เคยได้ยินหรือเปล่าเขายอมตกนรก คนประเภทนี้ยอมตกนรก แล้วเราจะช่วยเขาอย่างไร เราต้องพยายามช่วยกัน เรื่องเกิดมาอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แต่เรื่องตายไปเป็นเรื่องโศกเศร้าแน่นอน
ชีวิตเราเปรียบเสมือนดอกไม้ เราจะต้องใช้ดอกไม้แห่งชีวิตเรานี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด บางคนยังเด็กอยู่เป็นดอกไม้วันที่หนึ่ง เพิ่งจะเริ่มผลิบานงดงาม ระวังให้ดี การทำตน การวางตน การที่เรานั้นจะหลงระเริงไปกับสีสันนั้นง่ายดาย บางคนเป็นดอกไม้วันที่สองคือ วัยกลางคน อยู่ในวัยกลางคนแล้วต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น แสดงว่าทุกๆ อย่างเราต้องดีแล้ว สัตบุรุษนั้นมีกิริยาท่าทางท่วงท่าที่สง่างาม ทำสิ่งใดไม่เคยให้ใครมาติเตียน แล้วตัวเรามีคนมาคอยติหรือเปล่า อาจารย์ว่าคงมีไปจนวันตายเลยทีเดียว ดอกไม้วันที่สามเป็นดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรยแล้ว พอเอามือไปแตะดอกไม้ก็ร่วงลงมาหมด ถือว่าชีวิตนี้แตกดับ ให้พิจารณาดูว่าสิ่งที่เราควรจะทำนั้นทำหมดหรือยัง ให้พิจารณาดูว่ากรรมของเราที่มีอยู่นั้นใช้หมดหรือยัง อย่ามัวมารู้สึกว่า ร่างกายของเราสังขารไม่ดีไปไหนไม่ได้ เมื่อไปไกลไม่ได้ก็ทำบุญใกล้ๆ เราต้องให้โอกาสกับตนเอง ดอกไม้ของอาจารย์นั้นมีอยู่แค่สามวันเท่านั้นเอง ดูว่าศิษย์ของอาจารย์จะใช้ดอกไม้สามวันอย่างไร
ศิษย์เคยเห็นเวลามีดที่บ้านไม่ได้ใช้นานๆ แล้วน้ำหยดลงไปแล้วมีดเป็นสนิมหรือเปล่า (เคย) มีดอันนี้ก็เปรียบเสมือนตัวเรา คนทุกคนมีนิสัยของตัวเอง สิ่งที่เป็นอุปสรรคของจิตใจเรามากที่สุดได้แก่ นิสัยของเราเอง จะบอกว่าคนอื่นดี คนอื่นไม่ดีเป็นเรื่องง่ายเพราะเราเพียงแค่พูด แต่ว่าเรานี้มีนิสัยต่างๆ น้ำหยดลงไปหนึ่งหยดเหมือนนิสัยของเราที่ไม่ดี ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข น้ำหนึ่งหยดก็คือ นิสัยของเราหนึ่งนิสัย ถ้าหากว่าเราเช็ดน้ำหนึ่งหยดที่หยดลงมาก็จะไม่มีปัญหา เฉกเช่นเดียวกันเราเช็ดนิสัยที่ไม่ดีออกไปทันทีก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราปล่อยค้างไว้มีปัญหาหรือไม่ หยดที่สองหยดดลงไปเป็นการเพิ่มปัญหามากขึ้นหรือเปล่า หยดที่สาม หยดที่สี่ หยดที่ห้าหยดลงไปก็หนัก เปรียบเสมือนความรัก หากว่าเรานั้นรู้สึกรักใครที่เป็นความรักของชายหนุ่มหญิงสาว หากว่าตัดใจทันทีมีปัญหาหรือเปล่า หากว่าปล่อยนานไปเป็นอย่างไร จากความรักกลายเป็นความหลง เวลาเราหลงเรามองอย่างไร เราจะมองสีขาวก็กลายเป็นสีชมพู มองสีเขียวกลายเป็นสีแสด อาจารย์อยากจะเตือนในสถานธรรมนั้นขอให้หลีกเลี่ยง ทุกคนโตขึ้นทุกวัน ทุกคนไม่อยากเป็นนกตัวเดียวอยากจะเป็นนกคู่ ขอให้มองให้ดี คิดให้ดีว่าจะทำอะไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ที่ประทานให้ไว้ที่พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาทว่า “สืบทอดคุณธรรม” และที่พุทธสถานถงซิน ดำเนินสะดวกว่า “แห่งปราชญ์โบราณ” ออกมาให้นักเรียนในชั้นดู และอธิบายพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
“สืบทอดคุณธรรม” คำว่า "คุณธรรม" นั้นเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญทุกคนต้องเติมให้เต็ม เริ่มง่ายๆ ก็คือ ความกตัญญู เพราะว่าเราทุกคนมีพ่อแม่ และพ่อแม่เลี้ยงดูเรา เพราะฉะนั้นเราต้องตอบแทนคุณพ่อแม่ หากอยากเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่กตัญญูไม่ได้ก็กลับขึ้นฟ้าไม่ได้ เปรียบเสมือนมีใจแต่ไม่มีขาจึงเดินไปไม่ถึง เพราะฉะนั้นอย่าได้มองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เวลาที่เรานั้นมีชีวิตอยู่ก็อยากให้ใครๆ มารักเรา แต่คนที่อยากให้เรารักมากที่สุดก็คือ พ่อแม่ของเรา เพราะความผูกพันธ์ทางสายเลือดนั้นมีหนาแน่น แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่มีความผูกพันธ์กับลูก แต่ลูกไม่ยอมผูกพันธ์กับพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่อไปนี้ก็ลองกลับกันดูบ้างให้พ่อแม่ได้อยู่สบายๆ แล้วเรานั้นผูกพันธ์กับท่าน ไปไหนมาไหนก็นึกถึงท่าน ทำอะไรก็นึกถึงท่าน จะกินข้าวก็นึกถึงท่านว่าท่านกินหรือยัง จะออกไปข้างนอกก็ให้คิดที่จะชวนพ่อแม่ไป เวลาเราไม่มีเงินใช้เราก็ต้องคิดว่าพ่อแม่มีเงินใช้หรือเปล่า ไม่ใช้เวลาเราไม่มีเงินใช้ก็คิดจะไปขอพ่อแม่
“แห่งปราชญ์โบราณ” คราวที่แล้วอาจารย์อธิบายไว้ว่า ทำไมต้องเป็น “แห่งปราชญ์” เพราะว่ามนุษย์ในสมัยนี้เอาแน่ไม่ได้สามวันดีสี่วันไข้ วันนี้บอกว่าธรรมะดีแล้วพรุ่งนี้บอกว่าธรรมะดีแต่เงินดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ธรรมะดีเหมือนกันแต่มีสิ่งที่ดีกว่าก็เลยผัดวันประกันพรุ่ง แท้ที่จริงแล้วการบำเพ็ญนั้นอยู่ที่ใจของเราไม่ได้อยู่ที่นอกกาย แต่ว่าจะบำเพ็ญอยู่คนเดียวที่บ้านได้หรือไม่ (ไม่ได้) มีหลายคนบอกว่าจะบำเพ็ญให้ดีเลย แต่เราจะบำเพ็ญที่บ้านแตกต่างกันตรงไหน เวลาที่เรามา สถานธรรมนั้นก็เหมือนกับหินที่มีความแหลมคมนี้กลายเป็นหินที่มีความมน เอาหินแหลมๆ ใส่เข้าไปในกระจาด แล้วก็เขย่าเหลี่ยมของหินนี้มลขึ้นหรือเปล่า มีหลายคนมาสถานธรรมแล้วไม่พอใจคนนี้ ไม่พอใจคนนั้น ศิษย์เอาชีวิตและอนาคตทั้งหมดไปแขวนไว้กับคนอื่นหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราไม่หลงใหลไปตามอายตนะของตน ก็ถือว่าไม่ แต่ถ้าคนส่วนใหญ่อยากเอาชีวิตของเราไปแขวนไว้กับคนอื่น เห็นคนอื่นเขานินทากัน เราก็รู้สึกว่าเข้ามาในสถานธรรมมีแต่แบบนี้ ไม่อยากมา แต่ถามว่าเราเคยนินทาคนหรือเปล่า (เคย) คงจะไม่มีใครไม่เคย แล้วให้อภัยเขาได้หรือเปล่า ถ้าเรานั้นนำเอาลักษณะของผู้บำเพ็ญมาแตะแต้มมากขึ้น ในที่สุดแล้วต่อให้ใครๆ ไม่ดีเราก็ดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนกับบนถนนสายหนึ่งมีคนเดินไปเดินมามากมาย แต่ว่าศิษย์หยุดยืนอยู่ตรงนั้น มองดูความเป็นไป เหมือนกับบนเส้นทางหรือถนนสายหนึ่ง มีคนเดินไปเดินมาตั้งมากมาย แต่ว่าศิษย์ยืนหยุดอยู่ตรงนั้นมองดูความเป็นไป คนที่เฝ้าสังเกตแต่คนอื่นเวลาเข้ามาสถานธรรมก็เป็นเหมือนคนๆ นี้ ถนนสายนี้ทั้งสายศิษย์ก็ยืนหยุดดูตรงนี้ไม่ยอมไปไหนเลย คอยมองสังเกตการณ์ เห็นความไม่ดีเขาเต็มเลย แต่ว่าคนที่เขากำลังเดินก็เดินไปเรื่อยๆ เดินไปๆ เขาถึงจุดหมายหรือเปล่า (ถึง) มีแต่เราหยุดอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนเลย ไม่มีความก้าวหน้าเลย เพราะฉะนั้นการที่เรานินทาคนอื่นใครผิด (ตัวเราผิด) ตัวเราที่ผิดเพราะเอาแต่มองคนอื่น
ถ้าหากว่าเราลงไปเดินในถนนสายนี้แล้วจะเห็นคนอื่นผิดหรือไม่ เราก็จะเห็นได้น้อยลงๆ พอเราเห็นได้น้อยลงจิตใจเราก็จะปลอดโปร่งขึ้น ฉะนั้นการอยู่ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องลำบาก เหมือนกับมีตาสับปะรดคอยจับจ้องมองเราอยู่ว่าเราผิดหรือเราถูก นอกจากฟ้าเบื้องบนที่คอยดูว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไปถึงไหนแล้ว ยังมีเพื่อนผู้บำเพ็ญที่คอยมองอีก เราต้องทำตนให้ดีเป็นแบบอย่างให้มากขึ้นทุกวัน วันนี้ก่อนนอนให้เราคิดดูว่า เราได้ผิดพลาดอะไรบ้างที่เราอยากจะแก้ไขปรับปรุงให้มากขึ้น หากเราไม่คิดเลยสักวัน เราก็คงจะไม่ได้รับความก้าวหน้าเลย
ศิษย์เคยเห็นเขาแกะสลักผลไม้เป็นรูปต่างๆ หรือเปล่า แกะลายเดียวกัน ชนิดเดียวกัน จะแกะได้เหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน) ทำไมถึงไม่เหมือน (ต่างคนต่างคิด, แกะคนละเวลา, เพราะมีความชำนาญต่างกัน, มีความคิดคนละอย่าง, ชำนาญขึ้น, เพราะได้แก้ไขให้ดีขึ้น, ลูกมันไม่เท่ากัน, ถึงแม้ว่าจะเป็นผลไม้ชนิดเดียวกันและก็แกะสลักลายเดียวกัน และถึงแม้ว่าจะเป็นคนๆ เดียวกันแกะ แต่ก็จะแตกต่างกันเพราะว่าช่วงระยะของเวลาที่แกะ สภาพจิตใจในขณะนั้นและสภาพแวดล้อมก็มีผลต่อฝีมือ หรือการลงรอยแกะไปหนักเบาไม่เท่ากัน, เพราะว่าเวลาแกะเราก็คิดไปไม่เหมือนกัน) ศิษย์ของอาจารย์ประเภทนี้น่ากลัวที่สุดเวลาที่ออกจากสถานธรรมไปเพราะอะไร บางทีเราเป็นคนที่เห็นอะไรน่ากลัวเสมอ เวลาที่คนอื่นเขาบอกว่าธรรมะนี้ไม่ดี เราก็ทำเขินอายในสิ่งที่เรานั้นไม่แน่ใจ ที่เราไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เราก็เลยเดินออกไป ใครที่เป็นโรคนี้อยู่ให้ระวัง (ขึ้นอยู่กับคนมอง ถ้ามองให้เหมือนกันก็เหมือนกันมองให้ต่างกันก็ต่างกัน, คนละเวลา) จริงๆ แล้วอาจารย์ก็ไม่ได้คิดหวังให้ศิษย์ตอบอะไรมากมาย ปัจจัยที่ทำให้ผลไม้แกะออกมาไม่เหมือนกันนั้นมีมากมาย ผลไม้สองลูกนี้แสดงถึงทัศนคติของมนุษย์ที่มีอยู่มากมายเต็มเปี่ยมต่อให้ตอบทุกวันก็มีเหตุผลต่างกัน เพราะแต่ละคนนั้นมีความคิดแตกต่างกัน บางคนบอกว่าเป็นเพราะว่าคนตอบนั่นแหละมีปัญหา จิตใจไม่ดี สมาธิไม่ดี บางคนบอกว่าคนดูนั่นแหละมีปัญหา ในการที่เรานั้นออกไปรับศึกปัญหาต่างๆ ในชีวิตนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มั่นใจว่าความคิดของเราจะถูกต้องเสมอไป ขอให้เรามีใจอันนี้และโอบอุ้มใจอันมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่อย่าเชื่อมั่นจนกลายเป็นไม่ไว้หน้าใคร อย่าเชื่อมั่นจนใจเรานั้นคิดว่าคนอื่นผิดหมด ให้คิดว่าแต่ละคนนั้นมีเหตุการณ์ต่างๆ กัน มีบุญและกรรมที่ต่าง มีสถานการณ์ต่างกัน แต่ละคนจึงทำเรื่องราวออกไปได้ไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งลูกหลานของเราเอง เราบอกว่าอยากจะให้ลูกเราโตเป็นแบบนี้ เป็นคนดีอย่างนี้ ทำงานประเภทนี้ ถึงเวลาแล้วทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) ขอให้เผื่อใจแห่งความผิดหวังและเชื่อมั่นในตนเองในการก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าศิษย์จะมีชีวิตถึงห้าสิบปีก็ขอให้ห้าสิบปีนี้เป็นห้าสิบปีที่ดี ร้อยปีก็ขอให้ร้อยปีนี้เป็นร้อยปีที่ดีต่อไป กับความคิดอันเปิดกว้าง กับคำพูดที่ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้ว กับการกระทำอันดีงามจะคู่กับชีวิตของเราตลอดไป ทำได้หรือไม่ (ได้) อาจารย์เห็นศิษย์ทุกๆ คนนั้นล้วนกำหนดว่าทุกอย่างควรจะทำอะไรแต่เสียอย่างเดียวที่ไม่ทำ รู้แต่ไม่ทำ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะช่วยได้อย่างไร ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นแก้ไขตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ว่า “เพื่อจรรโลงโลกไว้” ซึ่งต่อจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทที่ให้ไว้ที่พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาทว่า “สืบทอดคุณธรรม” และที่พุทธสถานถงซิน ดำเนินสะดวกว่า “แห่งปราชญ์โบราณ” )
บางทีเราก็คิดว่าคุณธรรมที่เราสร้างแต่เพียงคนๆ เดียวนั้นไม่มีผลต่อคนอื่น มันจะเป็นข้อดีของเราคนเดียว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ถ้าหากว่าคนสามบ้านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมทั้งสามบ้าน ต่อไปห้าบ้านหรือสิบบ้าน หนึ่งหมู่บ้านหรือสังคมในโลกก็จะดีขึ้น ดังปณิธานของพระศรีอาริย์ที่บอกว่า จะแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นดอกบัว ความหวังของท่านนั้นไปได้ถึงและจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เกิดขึ้นได้แน่ถ้าทุกคนพยายาม มีแต่คนไม่พยายามเท่านั้นที่บอกว่าไม่เกิด หวังว่าศิษย์ของอาจารย์แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา เป็นคนมีฐานะนิดหน่อย หรือจะเป็นคนที่รวยล้นฟ้าต่างก็มีใจเดียวกัน อันเป็นใจสีขาวสะอาด สมควรแก่ธรรมกาลยุคขาว และนำความสันติสุขนี้ออกจากเราไปมอบให้กับมวลชน
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง "อาจารย์จะทำเพื่อใคร" ทำนองเพลง : เฉิงจิงซินท่ง)
อาจารย์มีปณิธานความมุ่งมั่นตั้งใจเสมอว่า ไม่ว่ากรรมของศิษย์นั้นจะหนักเท่าไร ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ว่าศิษย์นั้นจะผิดมากี่หน อาจารย์ก็ให้อภัยได้ อาจารย์พร้อมจะให้ศิษย์เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เสมอ อะไรที่ผ่านมาก็เหมือนสายลมที่พัดไปเรื่อย ขอให้ศิษย์นั้นลืมอดีตที่เลวร้าย แก้ไขตนเองใหม่ อาจารย์พร้อมที่จะอยู่ข้างศิษย์เสมอ น่าเสียดายที่ศิษย์ของอาจารย์จำนวนมาก แม้กระทั่งอาจารย์มาในตอนนี้ก็บอกว่าอาจารย์นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เก๊ๆ น่าเสียดายที่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยเห็นใจอาจารย์เลย อาจารย์จึงขอถามศิษย์ว่าจะให้อาจารย์ทำเพื่อใคร และไม่ว่าอาจารย์จะทำเพื่อเจ้าทุกคน และเจ้าทุกคนไม่ทำเพื่อตัวเองเลย
น่าเศร้าที่อาจารย์เป็นอาจารย์จี้กง มีศิษย์มากมายที่อาจารย์นั้นคอยดูแล แต่มีศิษย์น้อยคนที่เข้าถึงใจอาจารย์ ไม่มีใครสงสาร แต่อาจารย์ก็สงสารตนเองเสมอ วันนี้เป็นวันปีใหม่ แต่อาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะเอาความในใจที่อยู่ลึกๆ อย่างนี้บอกเล่าให้เข้าใจ ขอร้องให้ศิษย์เห็นใจ ศิษย์ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอให้ดูแลตัวเองให้ดีและทำตัวเราให้ดีกว่านี้ เป้าหมายอยู่ทางไหนเดินไปตามแสงสว่างเส้นนั้น แต่อย่างว่าระยะทางมันยาวก็เลยไขว้เขว สมัยก่อนนั้นให้บำเพ็ญก่อนจึงชี้ทางให้หลุดพ้น คนที่ได้รับการชี้ทางก็หลุดพ้นไปเลย แต่ตอนนี้อาจารย์ชี้ทางให้ศิษย์ก่อน ศิษย์ก็ต้องบำเพ็ญอีกนาน ใครที่ไม่เอาจริงในชาตินี้ไม่มีทางพ้น ในที่สุดอาจารย์ก็ต้องดูศิษย์ทุกคนเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งหนึ่ง เสียดายแทนที่ทุ่มเทไปตั้งมากมายแล้วไม่ได้รับความสำเร็จกลับคืนมา อาจารย์เชื่อแน่ว่าถ้าศิษย์เจอเหตุการณ์แบบนี้ เห็นอย่างนี้ชัดๆ แม้แต่คนเดียว ศิษย์ต้องร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดแน่ อย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับศิษย์ทุกคน ทำตัวเราให้ดี อาจารย์ในใจของศิษย์ทุกคนก็มีเชื่อฟังเขาหน่อย ทำได้หรือเปล่า ต่อไปเหตุการณ์ชีวิตเปลี่ยนไป แต่เรานั้นต้องไม่เปลี่ยนใจ
สุดท้ายอาจารย์ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคนจงสุขสวัสดี อย่าลืมว่าอาจารย์นั้นคอยมองศิษย์เสมอๆ อาจารย์ลาศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ไม่ต้องห่วงครั้งนี้ศิษย์มีอาจารย์ อาจารย์ก็มีศิษย์อยู่แล้ว หนทางยังยาวไกลรักษาตัวเราให้ดีให้อยู่รอดปลอดภัย ให้แคล้วบ่วงมารทั้งหลาย ให้เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ไม่ว่าอีกนานเท่าไรศิษย์จะอยู่ในหัวใจอาจารย์เสมอ