วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2543

2543-03-11 พุทธสถานจินจง จ.พิจิตร

        
วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานจินจง จ.พิจิตร
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เทียนจุดขึ้นจะไม่ดับจนหมดเล่ม สีคมเข้มย่อมจางไปกลางแสงกล้า
ชีวิตหนึ่งอยู่จำกัดด้วยเวลา ขอรู้ค่าทำแต่สิ่งอันสมควร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

ในวันนี้บุญสัมพันธ์พาพบหน้า ขอรู้ว่าบำเพ็ญธรรมช่วยจิตฟื้น
ธรรมดาคนทุกคนต่างสามารถตื่น อย่ากล้ำกลืนวนแล้ววนเรื่องวุ่นวาย
จิตใจคนฟุ้งซ่านง่ายสงบยาก ความลำบากเจอกันมานับไม่ถ้วน
ลำบากอีกเพื่อบำเพ็ญนับสมควร ใจอย่าด่วนตัดสินศึกษาก่อน
สองวันนี้อาจจะนับเป็นก้าวแรก รู้สึกแปลกแต่อย่าได้ถอยเสียก่อน
อยู่ในโลกแต่ยิ่งใหญ่เหมือนมังกร จะหนาวร้อนจิตมุ่งสู่แดนพุทธา
ออกจากชั้นให้กลับมาศึกษาต่อ คนรู้พอจึงอยู่ได้อย่างเป็นสุข
อยู่ในโลกดังอยู่กลางทะเลทุกข์ ใจตื่นลุกสายหรือไม่อยู่ที่ตน
ท่านมีบุญกับพุทธะมาก่อนเก่า อย่าดูแคลนตัวเราจะดีไหม
ตั้งจุดหมายปลายทางย่อมถึงได้ ความเข้าใจจงมีเพิ่มขึ้นทุกวัน
บำเพ็ญธรรมละโลภโกรธแลรักหลง จงมั่นคงในสติแก้ปัญหา
ปัจจุบันสารพัดทางขึ้นฟ้า อย่าตาลายสับสนนามุ่งทางเดียว
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันต้องปลดปลง รู้ดำรงจิตดั่งคนไม่นอนป่วย
นาวาธรรมระฆังทองสง่าสวย มุ่งหน้าด้วยใจสัตย์ซื่อถือคุณธรรม
น้องชายหญิงขอตั้งใจฟังธรรมเถิด คนประเสริฐอยู่ที่รู้แก้ข้อเสีย
เกิดมาแล้วอย่าปล่อยใจมารลามเลีย ดั่งคนเพลียอยู่เป็นนิจคืนอย่างไร
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ เรียนให้จบฟื้นฟูจิตด้วยปฏิบัติ
เกณฑ์ยุคขาวยามนี้ส่งทางลัด แลเลือกคัดหินหยกไม่รอดตา
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น สิ่งสำคัญดวงใจท่านเป็นกุศล
การเวียนว่ายแสนทุกข์ต้องจำทน ขอรู้ตนแลไม่ยอมเวียนต่อไป
รู้จักจะเข้มงวดตนผ่อนผันคน อยู่ร่วมกันไม่ต้องทนอึดอัดหนา
ในวันนี้เวลาพี่จำกัดนา ขอน้องฝ่าลมฝนทนด้วยกัน
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้ โอกาสมีค่อยมาร่วมผูกสัมพันธ์
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

สดชื่นรับลมเย็นสัมผัสกาย วางจิตใจโปร่งเบาคลายเศร้าหมอง
แหงนมองฟ้าเมฆเคลื่อนคล้อยอย่างปรองดอง แล้วย้อนมองชีวิตคนยังลังเล
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

มีไหมสุขไหนจีรังโลกมนุษย์ ดั่งแสงสุดมีในเวลาค่ำ
แต่ความเพียรหล้าโลกด้วยกระทำ มีประจำสำเร็จให้พบเมื่อพยายาม
บางสิ่งไขว่คว้ากลับไม่ได้ บางสิ่งไม่ใฝ่แต่กลับล้นหลาม
ดำรงใจเปล่าว่างความหมายงาม ทั้งรูปนามแท้เท็จล้วนอนิจจา
เนื้อแท้สุขคือความสงบใส สุขคือสงบในใจอย่ากังขา
ชีวิตคนเราเมื่อจะก้าวหน้า สลัดล้าจิตเบาก็สุขดี
ก่อนหน้าบำเพ็ญธรรมดั่งสีหลาก เตือนตนเองมากขึ้นขจัดสี
ตั้งใจเหนือโลกีย์พ้นเพื่อคืนที่ อุปสรรคสอบไม่หนีสอบรู้ตน
ถูกภาระพันผูกเรื่องเก่าใหม่ ถูกบีบถูกทำให้ต่างสับสน
ตั้งสติรับผิดโค่นวุ่นวายร่น ให้อดทนเก่งพูดนั้นใช้ไม่
ไร้แบบอย่างชีวิตตื่นในจิต เลี้ยงชีวิตรีบเร่งสะดุ้งเมื่อสาย
มนุษย์แม้แสนเก่งกรรมลากไป สามารถล้นก็ไม่พ้นแม้ประการ
ยากรั้งสุขลาภยศแม้นาที คนชังหนีเศรษฐีก็น่าสงสาร
ชีวิตคนยังกลืนกล้ำซ้ำทรมาน หวนนิพพานให้สุขกว่าหลงเงา
อ่อนน้อมนำน้อมรับอาวุโสสอน พินิจก่อนจึงได้ดีกว่าเก่า
พบอะไรดีย่อมทำรอบเรา เคืองใจก้าวไปอภัยวิเศษเอย
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

ในชีวิตคนเราก็มีเศร้า มีดีใจ มีเสียใจ มีร้องไห้ ในท่ามกลางความสุขทุกข์ดีใจเสียใจร้องไห้ยังมีอะไรแฝงซ่อนเร้นอยู่ และสิ่งที่สอนที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในชีวิตเราคืออะไรกันล่ะ เราไม่เคยได้ค้นหา มีชีวิตอยู่ก็อยู่ไปวันๆ หนึ่งรู้แค่เพียงว่าเรามีชีวิต เราต้องแสวงหาให้ชีวิตเราดำรงอยู่รอด แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นทั้งหมดไม่ เพราะชีวิตเรานั้นยังมีคุณค่าและยังมีความหมายเหนือกว่าคำว่า “หาเพื่ออยู่รอด” คุณค่าของความหมายในการมีชีวิตที่อยู่เหนือการหาเพื่ออยู่รอดนั่นคืออะไรกัน นั่นก็คือ คำว่า “หลุดพ้น” ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนเคยได้ยินคำๆ นี้แล้ว บางคนคิดว่า คำว่า “หลุดพ้น” เป็นเรื่องไกลเกินตัว ชีวิตตอนนี้ลืมตาอ้าปากกว่าจะหาเลี้ยงชีพแต่ละมื้อแต่ละวันก็ยากแสนเข็ญจะให้มาพูดเรื่องคำว่า “หลุดพ้น” เป็นเรื่องไกลเกินมือเอื้อมใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราได้มาฟังอาจารย์บรรยายธรรมได้กล่าวว่า หากสาธุชนได้รับการชี้หนึ่งจุดก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่เรารับชี้แล้วหนึ่งจุด บางคนก็เพิ่งรับ บางคนก็รับไปหลายปี บางคนก็รับไปหลายวันแต่ยังเป็นเหมือนคนที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในอารมณ์อยู่ในวัฏสงสารแห่งโลกใบนี้ ยังดูไม่เหมือนว่ารับไปแล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาเราจะต้องสนใจเรื่องนี้กันสักเล็กน้อยดีหรือเปล่า แล้วเราจะรู้ว่าชีวิตของคนทุกคนนั้นสามารถหลุดพ้นได้ สามารถค้นพบความเป็นพุทธะหรือความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองได้ แต่อยู่ที่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ มั่นใจหรือไม่มั่นใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นวันนี้เราจะพูดว่ามีผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ ผลไม้นี้กินได้ หากทุกคนไม่เชื่อก็คงแค่มองดูแล้วก็รับฟังใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดคนเชื่อก็ต้องเป็นอย่างไร หยิบมาแล้วเป็นอย่างไร  (ชิม) ชิมเลยหรือ ในใจท่านก็คงกลัวว่าแอบวางยาพิษไว้หรือเปล่า แอบวางไสยศาสตร์ทำให้หลงมึนเมาหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจะเชื่อจะชิมจะต้องเป็นอย่างไร ใช้ปัญญามองให้ทะลุถึงแก่นแท้ความเป็นจริง เหมือนวันนี้มาศึกษาหลักธรรม อย่าใช้แค่ตาดูหูฟัง แต่จะต้องใช้สติปัญญาและความรู้ความสามารถของเรามองให้ทะลุเข้าถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของธรรมะ วันนี้หากเราใช้ตาดูหูฟังอย่างเดียว เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าผลไม้นี้กินได้กินไม่ได้ แต่ถ้าเราใช้สติปัญญาความรู้ความสามารถของเรา ผสมผสานกับตาดูหูฟังเราจะรู้ว่าควรกินหรือไม่ควรกินจริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาหลักธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน อย่าตัดสินแค่เพียงตาดูหูฟัง แต่ขอให้น้องใช้สติปัญญาความรู้ความสามารถของท่านร่วมผสมผสานขบคิดตามไปกับเราด้วย แล้วเราจะได้ไม่รู้สึกง่วงนอน มิฉะนั้นแล้วคงนั่งฟังตรงนี้อย่างไม่ค่อยมีความสุข อากาศร้อนๆ ลมเย็นพัดมาก็รู้สึกสบายใจ ความทุกข์ยากที่เคยแบกมานับเดือนนับปีจะปลดวางลงได้ เมื่อเราปล่อยวางจิตใจ จริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้จะนั่งฟังอย่างหายปวดหัวหายวิงเวียน หายสงสัยก็ต่อเมื่อเรารู้จักปล่อยวางลงบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) 
“สดชื่นรับลมเย็นสัมผัสกาย วางจิตใจโปร่งเบาคลายเศร้าหมอง 
แหงนมองฟ้าเมฆเคลื่อนคล้อยอย่างปรองดอง แล้วย้อนมองชีวิตคนยังลังเล”
มองดูฟ้าเมฆที่เคลื่อนคล้อยมีเมฆที่ชนกันบ้างไหม เคยเห็นเมฆชนกันบ้างไหม ดูเหมือนชนแต่จริงๆ แล้วก็เหลื่อมล้ำกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีชนเหมือนกันแต่ทำไมไม่เกิดเสียงดัง  เพราะว่าอะไรเคยขบคิดกันหรือไม่ เพราะเมฆไม่มีตัวตนใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะเมฆไม่มีนามแห่งคนเวลาชนกันจึงไม่เกิดเสียง แต่คนกับคนเมื่ออยู่รวมกัน แตะกันนิดโดนกันหน่อยก็เกิดเสียงทะเลาะวิวาทใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเรามองคนแล้วเป็นอย่างไร ก็ยังลังเลใจอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้จะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่ทอดถอนหายใจส่ายหน้าไม่รับรู้  คนบางคนเห็นคนอื่นดีไปหมดแต่พอมองตัวเองย่ำแย่เหลือเกิน อย่างนี้ก็เรียกว่า มีทุกข์นิยมใช่หรือเปล่า (ใช่)  กับคนบางคนเห็นคนอื่นแย่ไปหมดแต่ตัวเองช่างดีล้ำเลิศ  อย่างนี้เป็นเช่นไร ก็หลงตัวเองจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนพระพุทธองค์ก็สอนไว้แล้ว ทางสายกลางมีให้เดินก็จงเลือกเดิน มองเขามากแล้วหลงลืมตน ก็ต้องหันมามองตนบ้างสักเล็กน้อยใช่หรือไม่ (ใช่) หลงตัวเองมากเกินนิยมชมชอบตัวเองมากเกิน ก็ลองหันไปดูชื่นชมคนอื่นบ้างจะได้ไม่หลงตัวเองเกินไปใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้จะทุกข์จะสุขจะดีจะร้าย บางทีไม่ใช่คนอื่นกำหนดหรอก แต่เป็นตัวเราเองต่างหาก วางตัวเองเช่นไร คิดมากก็ทุกข์มากใช่หรือไม่ (ใช่)  ห่วงแต่น้อยจิตใจเบิกบานแจ่มใส เมื่อจิตเบิกบานสมองก็เป็นอย่างไร ปลอดโปร่ง เมื่อสมองปลอดโปร่งความคิดย่อมก้าวไกลก้าวหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่คนปัจจุบันนี้ความคิดเป็นอย่างไร ยากจะปลอดโปร่ง ห่วงนั่นห่วงนี่พะวงหน้าพะวงหลังใช่หรือไม่ (ใช่) 
มีความสุขกันไหม  นั่งฟังธรรมะแล้วยังหาความสุขไม่ได้ก็ลำบากแล้ว มาฟังธรรมะแต่ใจยังเป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่ ยังวางไม่ลง อย่างนี้มีชีวิตก็ต้องลำบาก
เมื่อสักครู่เราบอกว่า อยู่ร่วมกันจะมองสิ่งใดต้องมองให้ถึงแก่นแท้  แต่ถ้ามัวสนใจแก่นแท้ไม่มองดูเปลือกนอกก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็บอกว่า  สะอาดแค่ภายใน ภายนอกมอมแมมสกปรกก็ไม่เป็นไร เข้าใจความหมายเราหรือเปล่า  ถ้าเราบอกว่ามีชีวิตอยู่ให้หัดใช้สติปัญญาและความรู้ความสามารถมองให้ถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิตและสรรพสิ่งแล้ว  จะทำให้เราไม่ถูกภายนอกหลอกได้  ถ้าเรามัวสนใจภายในแต่ลืมสนใจภายนอกก็ไม่ได้เหมือนกัน  ไม่อย่างนั้นจะมองคนเห็นแต่ข้างในแล้วลืมสนใจภายนอกเขา  เหมือนเราพูดว่า ให้จิตใจเราขาวสะอาดบริสุทธิ์  ภายนอกมอมแมมสกปรกก็ช่างได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วอาจารย์ของท่านเป็นอย่างไร  รู้จักอาจารย์จี้กงหรือเปล่า  อาจารย์จี้กงนั้นภายในสะอาดบริสุทธิ์  แต่ภายนอก (มอมแมม)   ท่านใช้ตาวัดหรือใช้จิตวัด  
วันนี้เรามีโอกาสมาอยู่ร่วมกันก็ขอให้คิดเสียว่าเราก็คือ พี่น้อง  ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากเราพูดว่าเราเป็นพี่น้อง  การสนทนากันก็เป็นกันเองขึ้น อย่าเพิ่งสนใจตำแหน่ง ยศ หรือเกียรติที่ชื่อเรามีบนกระดานเลย  สนใจว่าตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันก่อนดีหรือไม่ (ดี) จะได้คุยได้ตลอดรอดฝั่งไม่อย่างนั้นยังไม่ทันเริ่มคุย  ท่านก็ปิดประตูลงกลอนไม่อยากคุยกับเราเสียแล้ว  และก็อย่าได้คิดว่าวันนี้เด็กผู้หญิงคนนี้จะมาสอนมาสั่งอะไรเลยนะ  
ความทุกข์ความสุขในโลกนี้  เมื่อสักครู่มีเมธีท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า  ไม่เอาแล้วทุกข์ในโลกนี้  กลัวเต็มที่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อสักครู่เล่นอิปปียา ให้เขานวดหรือนวดเขาเป็นอย่างไร มีความสุขหรือเปล่า  (มี)  แม้จะเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามใช่หรือไม่  ฉะนั้นบางครั้งสุขในโลกนี้ไม่ได้หายากเลยอยู่ที่ว่ามือและใจของเราจะไขว่คว้าและจะกำหนดความสุขในชีวิตของเรานั้นเป็นเรื่องยากเกินไปหรือเปล่า  บางคนบอกว่าสุขของฉันคือ การมีเงินร้อยล้าน  สุขของผมคือ การมีเงินพันล้าน มีชื่อเสียง มีตำแหน่งใหญ่โต  แต่บางคนกลับพูดว่าสุขของฉันขอเพียงมีข้าวครบสามมื้อ  วันนี้มีอาหารทานก็เพียงพอแล้ว คนแรกกับคนหลัง คนไหนจะหาความสุขได้ง่ายกว่ากัน (คนหลัง)  ก็ต้องคนหลังใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนส่วนมากเป็นอย่างคนแรกหรือคนหลังกัน(คนแรก)  ในเมื่อรู้อย่างนี้ทำไมยังชอบเลือกคนแรกมากกว่าคนหลัง  แล้วอย่างนี้จะบอกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า  นั่นก็คือ น้ำใกล้ไม่ยอมตักอยากตักน้ำไกลๆ ใช่หรือไม่   น้ำใกล้ๆ ไม่ยอมตักมาดื่ม มากิน ตอนนี้เดินทางมาไกลหิวกระหายแล้วมีน้ำวางอยู่ข้างๆ เรากลับเป็นอย่างไร ไม่เอา ขอน้ำบ่อใหญ่ๆ ขอน้ำที่มีในตุ่มเพชร มีขันทองประดับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราสมมติง่ายๆ ท่านมีชีวิตอยู่กำลังเดินทางไปจุดหมายหนึ่งข้างหน้า  จุดหมายข้างหน้านี้เราไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร  แต่รู้แค่เพียงว่าเกิดมาแล้วต้องเดินไป  แต่จุดหมายคืออะไรยังไม่รู้ใช่ไหม  พอเดินไปได้สักระยะหนึ่งรู้สึกหิว กระหายน้ำ มีน้ำข้างๆ เป็นบ่อเล็กๆ แอ่งเล็กๆ เรากลับไม่เอา  เรากลับอยากหวังบ่อที่ใหญ่ ที่ต้องประดับไปด้วยทอง มีขันเพชร ขันทอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับความสุขในโลกมนุษย์นี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน  บางครั้งหาไม่ง่าย  แต่มนุษย์เรากลับไม่หยิบยื่นใส่เข้าหาตัวกลับหวังความสุขที่ยากเกินไขว่คว้า  เหนื่อยเกินร่างกายจะหาได้ไหวใช่ไหม  บรรยากาศไม่เป็นใจแต่ใจเราต้องเป็นอย่างไร (มีสมาธิ)
“มีไหมสุขไหนจีรังโลกมนุษย์”  แต่สุขที่เราหาในโลกมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการได้เงินทอง การมีชื่อเสียง การได้ความรัก  การประสบผลสำเร็จก็ยังเป็นความสุขที่ไม่เที่ยงแท้  วันนี้ได้  พรุ่งนี้อาจจะเลือนหาย  วันนี้มีพรุ่งนี้อาจจะพลัดพรากจำจากจร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นแม้วันนี้เราได้สุขก็จงยิ้มอย่างภูมิใจ  แม้วันนี้เราต้องทุกข์ก็จงสู้อย่างมีน้ำอดน้ำทนไม่ยอมแพ้  หากรู้จักดำรงชีวิตได้เช่นนี้  ความยากลำบากจะไม่กร้ำกรายเข้ามาในชีวิตเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ความสำเร็จในโลกนี้การนั่งเฉยๆ เป็นไปได้ง่ายหรือเปล่า (ไม่ได้) จะต้องมีความวิริยะอุตสาหะพยายาม แต่ก่อนจะมีความวิริยะอุตสาหะพยายามนั้น  ชีวิตต้องมีจุดหมายก่อนว่าเราจะสำเร็จเรื่องอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนขอให้สำเร็จในการงาน บางคนขอให้สำเร็จในการมั่งมีเงินทอง บางคนขอให้สำเร็จในการจบสิ่งที่สูงสุด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่วันนี้เรามาศึกษาธรรม เราขอตัดเรื่องนี้ไปก่อน เราต้องขอมุ่งแสวงหาเกี่ยวกับเรื่องทางด้านธรรมะก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเรามาศึกษาหลักธรรมจุดมุ่งหมายใหญ่ที่สำคัญที่สุดในการศึกษาหลักธรรมนั่นก็คือ แสวงหาความหลุดพ้น หรือแสวงหาพระนิพพาน ใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินไหมว่า “พระนิพพานแสวงได้ในใจตน พระพุทธาสถิตอยู่ในตน” ทำไมจึงพูดว่า พระนิพพานแสวงได้ในใจตน พุทธะสถิตอยู่กลางตน นั่นคือ คำว่า  “พุทธะ” หรือ คำว่า “นิพพาน” คำว่า “หลุดพ้น” จะหาได้ก็ต่อเมื่อเราย้อนมองชีวิตของตนเอง ไม่ว่าพระพุทธะองค์ไหนก็ตามที่สำเร็จขึ้นไปบนแดนนิพพาน หรือแดนโลกุตตรภูมินั้น ล้วนแต่เคยมีกายเป็นคน ล้วนแต่เคยคิดที่จะแสวงหา ลาภ ยศ ชื่อเสียงกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก่อนท่านจะถึงคำว่า “หลุดพ้น” ท่านต้องรู้จักคำว่า “ปล่อยวาง” รู้จักคำว่า “พอ” ในการแสวงหาและอุทิศเสียสละเวลาในการมีชีวิตอยู่ค้นหาสัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) หรือที่เรารู้กันอยู่ว่าโลกมีขาวมีดำ มีหน้ามีหลัง มีสุขมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่จะค้นพบความสุขที่แท้จริง ก็คือ คนที่เคยมีทุกข์มาก่อน คนที่จะรู้จักความสว่างที่แท้จริงก็เพราะว่าเคยพบความมืดมนของชีวิตมาก่อน เข้าใจตรงนี้หรือไม่ (เข้าใจ) เหมือนตัวเรานั้นจะรู้ว่าเราเป็นคนที่ไม่ดีก็ต่อเมื่อเราเคยใฝ่ดี ประพฤติดี ปฏิบัติดี และเมื่อเราปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ชอบ เราจึงรู้ว่านี่แหละเรียกว่า “ดี”  และนี่แหละที่เรียกว่า “ไม่ดี” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันคนที่จะหลุดพ้นหรือคนที่จะแสวงหาพระนิพพานได้นั้นคือ คนที่มองชีวิตออกหรือมองชีวิตเป็น รู้ว่าชีวิตมีขาวมีดำ แต่จะทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากขาวดำนี้ ก็โดยที่ว่าเราต้องรู้จักนำขาวไปชำระล้างดำใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะนำขาวไปชำระล้างดำทิ้งได้นั้น ล้างทันทีคงทำไม่ได้ ให้กดเอาไว้ก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง จริงหรือเปล่า เราจึงต้องรู้จักค่อยค่อยเป็นค่อยไป
สังคมของคนปัจจุบันย่อมมีคนที่ดีและไม่ดี การที่เราจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้เราต้องเริ่มต้นที่ตัวมนุษย์ก่อน และการที่เราจะเริ่มต้นที่ตัวมนุษย์ได้ เราต้องเริ่มที่จิตใจเราก่อน หากจิตใจเรายังขาวยังดำอยู่ เราจะไปเปลี่ยนแปลงคนหรือเปลี่ยนแปลงสังคมย่อมเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการที่เราจะช่วยโลกช่วยคนเราต้องเริ่มที่ตนก่อน เมื่อไรที่ตนตั้งนิ่งไม่ว่าลมจะพัดซ้ายลมจะพัดขวาย่อมกลับมานิ่งได้เหมือนเดิม การที่เราบริสุทธิ์สะอาดอย่างถ่องแท้แม้จะมีโคลนมาสาด แม้จะมีน้ำมาเทเราก็ยังคงรักษาความสะอาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น การที่เราจะค้นพบความบริสุทธิ์ในตน หาความหลุดพ้น ถึงแจ้งในความเป็นพุทธะ เราจะต้องรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ สงบนิ่งให้ได้ก่อน หากเราไม่สามารถรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ สงบนิ่ง เราก็ยากที่จะพบคำว่า “หลุดพ้น” ในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การจะรักษาความสะอาดบริสุทธิ์มิใช่แค่เพียงกาย เมื่อไรที่เราอาบน้ำหนึ่งครั้ง ขอให้ดูจิตใจหนึ่งครั้ง เมื่อไรที่เราชำระร่างกายหรือชำระความสะอาดไม่ว่าเครื่องอุปกรณ์ ไม่ว่าเสื้อผ้า ไม่ว่าเก้าอี้ ขอให้ย้อนมองดูจิตใจของตนเองตามด้วยอีกหนึ่งครั้ง ทุกๆ ครั้งที่ทำความสะอาดภายนอกขอให้ย้อนมองทำความสะอาดภายในจิตใจ นั่นก็คือ การได้ดูแลกายและใจ การได้ควบคุมกายและควบคุมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสามารถควบคุมได้จนถึงขนาดเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เรียกว่า “กด” ไม่ได้เรียกว่า “บีบบังคับ” เมื่อเรารักษาได้จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติในการดำเนินชีวิตและควบคุมตน เมื่อนั้นเราจะนิ่งได้ เมื่อเรานิ่งได้แล้วเราจะสงบเมื่อยามเคลื่อนไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยปกติชีวิตของคนเรานั้นใจมักจะหลุกหลิกอยู่ตลอดเวลา กายมักจะวุ่นวายอยู่ทุกขณะ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อวุ่นวาย เมื่อไม่สงบการจะขยับเขยื้อนหรือการจะมองสิ่งใดย่อมเป็นไปได้ยาก การจะชำระล้างหรือการจะชี้ชัดให้เห็นถึงจิตใจว่าตรงนี้สกปรก ตรงนี้สะอาดก็ย่อมเป็นไปได้ยาก เหมือนน้ำที่แกว่ง ตะกอนย่อมผสมกับน้ำยากจะเห็นความใสของน้ำจนกว่าน้ำจะตั้งไว้นิ่งๆ  เฉกเช่นเดียวกับจิตใจของเราแม้ทุกขณะจิตจะต้องทำงาน ต้องดูแล ต้องเรียนหนังสือ ต้องประกอบภารกิจทางโลก แต่ขอให้ขณะขับเคลื่อนมีความนิ่งอยู่ภายในเราจะมองเห็นทุกสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าหากภายในเคลื่อนและตัวเองเคลื่อนด้วยก็ยากจะมองเห็นได้แจ่มชัด นึกออกไหม  ถ้าเราอาบน้ำขันหนึ่งแล้วมองใจครั้งหนึ่งจะรู้สึกว่าใจสกปรกไหม จะมองไม่เห็นใช่หรือไม่ เหมือนเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่พอออกไปเจอคนๆ หนึ่งทิ้งขยะบนถนน เราก็หันมาล้างใจตัวเราเองว่าเราเคยทำอย่างนั้นไหม พอเดินไปอีกสองสามก้าวเห็นเด็กอายุยังน้อยจูงมารดาผู้ชราเดินไปเที่ยวเล่นชมธรรมชาติ เราลองสำรวจใจเราดูซิ ใจเราเคยได้ทำอย่างนั้นไหม  เวลาเราทำงานร่วมกับเพื่อนเห็นเพื่อนขยันตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอบอกว่าให้พักหน่อยนะ หยุดก่อน เขาก็ไม่พักเขาก็ไม่หยุด เขาบอกว่างานยังไม่เสร็จจะปล่อยจะวางได้อย่างไร  เราลองหันมาดูใจเราซิว่าเป็นอย่างนั้นไหม ทุกขณะที่เราทำอะไรก็ตาม ทุกขณะที่เราดำเนินชีวิตภายนอกก็ตาม การได้มองออกไปข้างนอกจะทำให้เราได้ย้อนมองส่องใจเรา การที่เราได้เห็นคนดีๆ จะทำให้เราได้ย้อนมองใจเราว่าเรามีดีได้อย่างเขาหรือไม่ การที่เรามองเห็นคนไม่ดีจะทำให้เราได้ย้อนส่องใจว่าเรานั่นแหละเคยไม่ดีอย่างเขาหรือเปล่า และหนักกว่าเขาหรือไม่ นั่นคือ การได้ล้างอยู่ทุกทุกวัน นั่นคือ การที่ภายในสงบ แต่ภายนอกเคลื่อนไหว ถ้าเราได้เอาความเคลื่อนไหวภายนอกนั้นมาช่วยล้างภายในใจของตน หากทุกขณะจิตได้ทำเช่นนี้ เมื่อผิดแก้ไขทันทีไม่ปล่อยให้เป็นนิสัยสันดาน หรือความเคยชินที่ย่ำแย่ผูกติดชีวิตของเรา ผูกติดความเป็นตัวตนของเรา เมื่อเห็นผิดตัดได้ทันที สลัดได้ทันทีอย่างไม่มีเยื่อใยอาวรณ์ หากเราทำได้เช่นนี้จะเป็นคนที่ใหม่ได้ทุกๆ วันสะอาดได้ สะอาดโดยคนเขาช่วยแล้วเราก็ช่วยเรา จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าได้ใช้สายตาอย่างที่เคยทำ เมื่อเห็นคนอื่นดี ใจกลับคิดริษยา เมื่อเห็นคนอื่นประพฤติไม่ดี ใจกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง เช่นนี้แล้วไม่ได้เรียกว่าคนประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นนี้แล้วไม่ได้เรียกว่าคนรักความก้าวหน้าให้กับชีวิต แต่กลับเป็นคนทับถมชีวิตให้ย่ำแย่ลง จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหากทุกขณะจิตได้ทำแบบนี้ ทุกขณะจิตจะได้พัฒนาและจะได้ฟื้นฟูจิตใจของเรา เพื่อจิตใจเราจะได้ฟื้นฟูดีขึ้น สะอาดขึ้น เป็นคนใหม่ขึ้น การกระทำ ความประพฤติ คุณธรรมย่อมเข้ามาหาเองโดยไม่ต้องเรียกร้อง  โดยไม่ต้องอ่านหนังสือคัมภีร์ จริงหรือไม่ (จริง)
บ่อยครั้งที่เราอ่านหนังสือคัมภีร์  เราก็ได้สำรวจเหมือนกัน แต่ถ้าเมื่อไรท่านวางหนังสือคัมภีร์ เมื่อนั้นท่านก็ไม่ได้สำรวจ  เมื่อนั้นท่านก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดีหรือไม่ดี ฉะนั้นไม่จำเป็นว่าธรรมะอยู่ในคัมภีร์ แต่ธรรมะแท้จริงแล้วอยู่ในโลก อยู่ในสังคม อยู่ในธรรมชาติ อยู่ที่ว่าจับเป็นไหม ดึงเป็นหรือเปล่า หากเราจับเป็นเราจะได้อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ หากเรารู้จักดึงเป็นมองให้เห็นถึงแก่นแท้ เราจะได้แก่นแท้มากกว่าเปลือกที่เห็นแค่ตา ได้ยินแค่หู สัมผัสด้วยมือ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นโลกอันกว้างนี้อย่ามองเห็นแค่ความทุกข์ยาก อย่ามองเห็นแค่ความมืดมนสกปรก แต่แท้จริงแล้วในความทุกข์ยากในความเดือดร้อนยังมีสัจธรรมและความหลุดพ้นให้เราค้นพบ ให้เราค้นหาอยู่ที่ว่าเรามองอย่างไร แล้วเราดึงออกมารู้จักกลั่นกรองชีวิต รู้จักกลั่นกรองธรรมชาติหรือเปล่า 
เมื่อเราทำเช่นนี้  เราจะค้นพบหนทางสว่างเส้นหนึ่งที่นำพาเราไปสู่ความตื่น ความหลุดพ้นจากทุกข์ของโลกใบนี้  เมื่อไรที่เราค้นพบความตื่น ความหลุดพ้นอันแท้จริงบนโลกใบนี้จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวอันตราย  ไม่ต้องกลัวว่าจะสุขหรือทุกข์อีกต่อไป  เพราะได้มองเห็นแล้วซึ่งชีวิตอันแท้จริงพอเข้าใจไหม  ฟังดูแล้วสวยหรูงดงามประทับจิตประทับใจหรือเพ้อฝัน อยู่ที่ท่านจะคิดแม้จะดูเป็นการเพ้อฝันแต่ก็มีคนสำเร็จแล้ว  แม้จะดูเป็นความฝันอันน่าสวยงามแต่ก็มีคนได้เดินไปถึง  และเราก็คิดว่าทุกท่านในที่นี้เดินไปได้เหมือนกัน  อยู่ที่ว่าอย่าได้ดูเบาตัวเอง  อย่าได้มองตัวเองเป็นน้ำสกปรกที่ไม่มีวันสะอาด  อย่าได้มองตัวเองเป็นคนที่เต็มไปด้วยกิเลส ราคะ ตัณหาที่ไม่มีวันขจัด แต่ก่อนมีไหม กิเลส ตัณหา ราคะ ไม่มีใช่หรือเปล่า (ใช่) 
มนุษย์เราพอพูดถึงเงินก็ทำให้คนตายมานับไม่ถ้วนแล้ว  ทำไมพอพูดถึงเงินท่านยังโบกมืออยากได้อีก พอพูดถึงความรักหลายคนที่ตายเพราะความรัก ทุกข์เพราะความรักก็มีมากแล้ว  ทำไมท่านยังยินดีโอบกอดรับความรักอีก  หลายคนที่รู้ว่าโกรธแล้วจะต้องเจ็บช้ำใจ จะต้องเดือดร้อนใจ  ทำไมเรายังยินดีโกรธอีก  ชอบที่จะโกรธอีก  เรารู้อยู่แล้วว่าชีวิตเกิดมาก็ไม่ได้เอาอะไรมา  ตายไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป  มีแต่ความดีความชั่วที่ติดตัว ติดตามไปเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อไรเราจะพอกันสักที  ใช่หรือเปล่า  เมื่อไรเราจะรู้หยุดในการแสวงหาอันวุ่นวายบ้าง  ไม่ใช่หยุดชั่วชีวิตแต่ให้หยุดบ้างในหนึ่งวัน หนึ่งวันเคยทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมง ลดลงมาสักสิบชั่วโมง  เหลือสักสองสามชั่วโมงมาศึกษาธรรม  มาใฝ่หาปฏิบัติธรรม มาฟื้นฟูจิตใจ หากทำได้เช่นนี้เราก็คงจะมีสุขบ้างไม่มากก็น้อย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว หนึ่งวันเป็นอย่างไร  ทำงานกี่ชั่วโมง  พักผ่อนกี่ชั่วโมง  ดูทีวีกี่ชั่วโมง  ศึกษาธรรมเคยถึงชั่วโมงไหม  แต่ก่อนไม่เคยแต่วันนี้ต้องเคยแล้วใช่ไหม  ศึกษาธรรมไปกี่ชั่วโมงแล้วทำได้ใช่หรือไม่  ถ้าอย่างนั้นกลับไปมีเวลา  ไม่ต้องทั้งสองวัน ไม่ต้องเต็มวัน หมดจากสองวันนี้  มีเวลาก็มาศึกษาอีกได้หรือเปล่า  กลับเป็นเรื่องที่ต้องคิดอีกใช่หรือเปล่า สุขอยู่ข้างหน้าไม่ไขว่คว้า ไปคว้าอะไรไม่รู้ แล้วอย่างนี้จะมาบอกว่าพุทธะไม่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะ พุทธะร้องเรียกแล้ว ชี้นำแล้ว ชี้บอกแล้ว แต่ผู้ไม่เดินคือใคร (ตัวเราเอง)  ตัวท่านเองต่างหากใช่หรือเปล่า  ฝึกง่ายๆ ลองยิ้มให้กับตัวเองที่วันนี้เก่งจังเลย  แต่ก่อนไม่เคยนั่งฟังธรรมะได้นานขนาดนี้  วันนี้ก็ทำได้ วันนี้เก่งจังเลย  แต่ก่อนไม่เคยอดทนฟังใครได้เป็นชั่วโมงๆ  แต่วันนี้ก็ทนฟังได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอกในกลอน ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความพยายาม  แล้วความสำเร็จจะมีได้ก็อยู่ที่ความเพียร จะเพียรหรือไม่เพียร  จะพยายามหรือไม่พยายามเท่านั้นเอง  แต่หลายต่อหลายครั้งนักที่เรามักจะเป็น “เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแจว”  ใช่หรือไม่  วันนี้ฟังธรรมะดีเหลือเกินรู้ว่าจะต้องไม่โกรธ ไม่โมโห แต่พอเอาเข้าจริงก็โกรธ ก็โมโห ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญธรรมะต้องมีน้ำอดน้ำทน  อดทนอดกลั้น  เอาเข้าจริงๆ พอถึงคราวกลับทนไม่ไหวแล้ว นั่นแหละตาบอดเมื่อแจว เรือล่มเมื่อจอด ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  ทำไมถึงยอมเป็นคนเช่นนี้ ยังไม่ทันทำอะไรก็คว้าน้ำเหลวเสียแล้ว 
“ชีวิตคนเราเมื่อจะก้าวหน้า สลัดล้าจิตเบาก็สุขดี”
บ่อยครั้งที่เรามีชีวิต  ทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม  ขอให้เพิ่มจุดมุ่งหมายให้กับชีวิต  นั่นก็คือมีชีวิตอย่างน้อยขอให้ได้หลุดพ้น ไม่มากแต่ได้น้อยก็ยังดี  แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไร  สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  ต้องมีปณิธาน มีใจที่มุ่งมั่น หากคนๆ หนึ่งจะทำสิ่งใดก็ตาม ไม่มีความมุ่งมั่น  ไม่มีความตั้งใจ  พอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องล้มไม่เป็นท่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะลืมไปว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ตนเองกำลังมุ่งไปทางทิศไหน  
ฉะนั้นเมื่อศึกษาหลักธรรม  อย่าลืมว่าจุดมุ่งหมายที่สำคัญนั่นก็คือ  การแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ได้มาก ได้น้อยก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การแสวงหาทางหลุดพ้น การที่คนเราจะมีปณิธานเพื่อให้บรรลุสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จนั้น  สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  อย่าได้มีความเกียจคร้าน อย่าได้มีความท้อถอย และอย่าได้เสื่อมคลายในปณิธานที่ตนเองตั้งไว้  บ่อยครั้งที่คนเราตั้งใจกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไปไม่ถึงจุดหมายเพราะว่าอุปสรรค ความยากลำบากจิตใจที่ไม่สู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลายต่อหลายคนพอล้มเลิกไปกลางคัน ก็เพิ่งมารู้ว่าช่วงขณะที่ตนเองกำลังตัดสินใจจะล้มเลิกนั้น เป็นช่วงขณะที่ใกล้ความสำเร็จระดับหนึ่งมากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยไหมที่เวลาทำงานไปช่วงหนึ่งแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ จิตใจอ่อนแอไม่คิดสู้ ไม่อยากก้าวต่อไป  พอเราปล่อยวาง แล้วมีคนมาสานต่อ เดี๋ยวเดียวก็สำเร็จได้  เรากลับรู้สึกเสียดายว่าทำไมเราไม่พยายามต่ออีกเฮือกหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน คนเราเมื่อพยายามอะไรแล้ว ขอให้ตั้งใจจนถึงที่สุด ช่วงขณะที่เราท้อแท้ ช่วงขณะที่เราอ่อนแออาจจะเป็นช่วงขณะที่เราใกล้ความสำเร็จมากที่สุดก็เป็นได้  อย่าปล่อยให้ความพยายามที่พยายามมาตั้งแต่ต้น  ต้องมาล้มลงกลางคัน ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเรือล่มเมื่อจอด  ทำอะไรไม่เคยได้พบความสำเร็จ  จริงหรือไม่ (จริง)  จึงขอน้อมเตือนท่านไว้  อยากมีความสำเร็จในชีวิต อยากมีความก้าวหน้าในชีวิต สิ่งสำคัญก็คือ เพียรพยายามอย่างไม่ท้อ  ช่วงไหนที่พบความยากลำบากขอให้รู้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้ความสำเร็จที่สุด  ช่วงใดที่ท้อแท้อ่อนแอ ช่วงนั้นใกล้สำเร็จมากที่สุด  แต่จะสำเร็จขั้นไหนอาจจะสำเร็จขั้นเตี้ยๆ ยังไม่ถึงขั้นสูงก็เป็นได้  อาจจะสำเร็จขั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นสิบก็เป็นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าได้ทิ้งความอดทนและเพียรพยายาม  ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าทิ้งไปชีวิตนี้จะหาความสำเร็จก็เป็นไปได้ยาก 
“บางสิ่งไขว่คว้ากลับไม่ได้ บางสิ่งไม่ใฝ่แต่กลับล้นหลาม”
บางสิ่งไขว่คว้ากลับไม่ได้ เหมือนเงินทุกคนต่างไขว่คว้าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ยิ่งไขว่คว้าเงิน กลับเป็นอย่างไร (ไม่ได้)  จริงๆ ได้ แต่พอได้แล้วเราไม่เอาเงินไปแลก จากเงินสิบจะให้แลกเป็นเงินล้าน จากเงินล้านจะให้แลกเป็นสองพันล้าน ห้าพันล้าน พอลงทุนหนึ่งแต่หวังสิบ เป็นธรรมดาที่สิบกลับมาแล้วต้องเป็นหนี้มากกว่าสิบใช่ไหม (ใช่)  นี่คือ ความเป็นจริง หัวหน้าชั้นบอกว่าชีวิตคนเราไขว่คว้าเงินแต่ไม่อยากไขว่คว้าหนี้ใช่ไหม พอไขว่คว้าเงินกลับไม่ได้เงิน แต่กลับได้หนี้ล้นหลาม แท้จริงแล้วเราเป็นหนี้เงินหรือเงินเป็นหนี้เรา  (เราเป็นหนี้เงิน) ตอนแรกเรามีเงิน เราก็เป็นเจ้านายของเงินดีหรอกนะ สั่งเงินไปสร้างบ้าน สั่งเงินไปให้คนทำอย่างนั้น สั่งเงินไปให้คนทำอย่างนี้  แต่พอมีจริงๆ ทำไมหนี้กลับมาสั่งเราเงินกลับมาสั่งเรา ใช่ไหม (ใช่) นั่นแปลว่าเราบริหารเงินไม่เป็น เราควบคุมเงินไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าอย่างนั้นเงินไม่ดีเลยโยนทิ้งอย่าจับเลยดีไหม (ไม่ดี) ก็เงินเลี้ยงไม่เชื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) เลี้ยงไม่ทันเท่าไรก็วกกลับมาฉกเราเข้าแล้ว ฉกอย่างเดียวไม่พอ ทำเราเจ็บเจียนตายด้วย ใช่หรือไม่  นี่แหละคือ ทุกข์ของมนุษย์ที่มีแล้วใช้ไม่เป็น ใช้แล้วควบคุมไม่ได้ ตัวเราเองบางครั้งเรายังควบคุมไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้เพิ่มภาระให้กับตัวเองมาก ไม่อย่างนั้นยิ่งมีภาระเพิ่ม ตัวเราเองยิ่งทุกข์มากใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราจึงอยากบอกท่านว่า บ่อยครั้งที่มีชีวิต เราจะหาสุขได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักพอ แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกับหนี้ที่เกิด  หนึ่งก็คือ ตัวเราต้องไม่หาเพิ่มใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่จะทำให้เราก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้ก็คือ อย่าได้หาหนี้เพิ่ม ทำหนี้ตรงนี้ให้หมดสิ้นก่อน เมื่อหนี้หมดสิ้นตัวเราสบาย การจะไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ก็ไม่เป็นไร จริงหรือไม่ (จริง) แต่อย่าเป็นอย่างประเภทหนี้สูงท่วมหัวก็ยังหาหนี้มาเพิ่มอีก เพื่อมาลดหนี้ เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วมนุษย์เรามีทางออก อุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากตัวเรา การจะฝ่าอุปสรรคให้จงได้นั้นก็อยู่ที่ตัวเราจะมองออกอย่างไร  ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนไฟไหม้บ้านท่านวิ่งวุ่นเลยใช่หรือไม่ เมื่อวิ่งวุ่นจิตใจก็ฟุ้งซ่าน เมื่อใจฟุ้งซ่านคิดอะไรออกไหม (ไม่ออก) อะไรควรหยิบก่อนคิดออกไหม (ไม่ออก) ท่านกลับหยิบอะไร บางคนหยิบตู้เย็น บางคนอุ้มโอ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เมธีในนี้ตอบว่าหยิบอะไรนะ (หยิบกระด้ง) หยิบกระด้งใช่หรือไม่ จงจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน บางครั้งเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราต้องตั้งสติให้มั่น อย่าได้เป็นกระต่ายตื่นตูม พอเป็นกระต่ายตื่นตูมอะไรที่คิดได้ก็หายหมด ฉะนั้นเมื่อเจออุปสรรคเมื่อเจอปัญหาขอให้ใช้สติพินิจพิจารณา โดยใช้ท่าทีแห่งความสงบ อย่าได้วิ่งวุ่น ไม่อย่างนั้นจะหยิบในสิ่งที่ไม่ควรหยิบ ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
“ดำรงใจเปล่าว่างความหมายงาม ทั้งรูปนามแท้เท็จล้วนอนิจจา”
นั่นก็คือ บางครั้งชีวิตของเรา เรารู้แต่เพียงว่า การมีเงิน การมีชื่อเสียงทำให้เรามีความสุข  แต่เราลืมไปว่าการไม่มีอะไรเลยบางครั้งก็มีสุข  บ่อยครั้งที่แต่ก่อนเราเคยไม่มีเงิน พอไม่มีเงินเราอยากมีเงิน แต่พอมีเงินมีใครบ้างไหมเคยคิดอยากไม่มีเงิน เหมือนเวลาเรามีตำแหน่ง มีชื่อเสียง ตอนนี้อยากมีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอมีแล้วอยากไม่มีบ้างไหม เราเคยศึกษาหลักธรรมะ ถ้าเกิดว่าชี้หนึ่งแต่ไม่ไปหนึ่งแต่กลับยืนอยู่ตรงหนึ่งก็ไม่ต้องพูดธรรมะต่อแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ชี้ให้ท่านดูถึงการมี  เรารู้แต่การมี แต่เราอย่าลืมว่า บ่อยครั้งที่การมีทำให้เราต้องไม่มี ฉะนั้นเมื่อเรามีทำตัวเหมือนไม่มีได้ไหม (ได้) ถ้าเรามีแล้วทำเหมือนไม่มี เวลาไม่มีแล้วเราก็จะเป็นสุข มีแต่ใจว่างเปล่า มีแต่ใจไม่ยึดติด เหมือนเราได้รักใครคนหนึ่ง แต่เมื่อถึงคราวที่เขาต้องจาก เราก็ต้องปล่อยวางใช่หรือไม่ แต่ไม่ใช่ปล่อยวางตอนที่เขาจาก แต่ต้องคิดคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่าสักวันหนึ่งเขาต้องจาก เหมือนเวลาเรามีเงิน เราต้องคิดอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเราต้องไม่มีเงิน เมื่อทุกขณะจิตเมื่อเราคิดอย่างนี้ เวลาเราไม่มีเงินจริงๆ ใจเรา ก็สบายใช่หรือไม่ เหมือนง่ายๆ ถ้าวันนี้ท่านทำผิดอย่างหนึ่ง ถ้าไปเจอหน้าคนที่เขารู้เขาจะต้องว่าแน่ ท่านก็วิตกกังวล เขาจะต้องว่าแน่ แต่พอไปถึง เขากลับไม่ว่าเรา เราก็เป็นอย่างไร สบายใจแล้วใช่หรือไม่ เพราะคิดไปแล้วตั้งแต่ต้น จริงหรือไม่ เฉกเช่นเดียวกัน หากเรามีชีวิตเมื่อเรามีสิ่งใดขอให้คิดดูให้ดีว่า เราอาจจะไม่มีก็ได้ เมื่อวันนี้สุข แต่เราอาจจะทุกข์ก็ได้ หากทุกขณะจิตคิดทั้งด้านบวกและด้านลบ เวลาไปเผชิญเราก็จะไม่ต้องห่วง เมื่อด้านลบมาเจอกับชีวิตจริง
“ตั้งสติรับผิดโค่นวุ่นวายร่น”  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร ขอให้สติมาเหนืออารมณ์ อย่าได้เป็นคนที่อารมณ์มาเหนือความคิด ไม่เช่นนั้นแล้วอารมณ์จะทำให้ชีวิตผิดพลาด
“ให้อดทนเก่งพูดนั้นใช้ไม่” คนเราต้องเก่งปฏิบัติอย่าเก่งคำพูด จริงไหม (จริง)  ไม่ว่าคนที่ปฏิบัติธรรมหรืออยู่ในโลกก็ตาม ใครๆ ก็รักคนเก่งทำงาน ไม่รักคนเก่งพูด จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นเวลาทำงานอะไร ขอให้หยุดตรงนี้ ก้าวเดินมือขยับให้มากๆ แล้วจะเป็นที่รักของทุกๆ คนใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เป็นคนที่พูดๆ คนเขาอยากจะเอามือปิดหู อยากจะหนีจริงหรือเปล่า ฉะนั้นเกิดเป็นคนเก่งพูด ไม่เก่งทำ ไม่ใช่เรื่องที่ดี ต้องเป็นคนที่เก่งทำ แต่เป็นคนพูดไม่เป็นย่อมดีกว่า จริงหรือไม่ แต่คนในโลกนี้เป็นอย่างไร ชอบคำชมหลงคำชม ชมว่าสวยหน่อยก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชมว่าเก่งหน่อย หล่อหน่อย ก็ยิ้มแก้มปริไม่หุบเลยใช่หรือเปล่า  แต่พอถูกตำหนิต่อว่าถากถางทิ่มแทงก็หน้าบูดหน้าเบี้ยว  ทั้งที่เราลืมนึกไปว่าคำชมทำให้เราหลงระเริง  แต่ถ้าติทำให้เราตรวจสอบใจตน  ฉะนั้นคำหวานบางครั้งก็เลี่ยนไม่เหมือนคำขมบางครั้งช่วยรักษากายรักษาใจจริงหรือไม่  วันนี้เราคงจะพูดหวานบ้างขมบ้างหน้าท่านก็ต้องยิ้มบ้างบิดเบี้ยวบ้าง  เราต้องแทรกอารมณ์ให้ท่านหัวเราะบ้าง  เพราะถ้าพูดธรรมะตลอดทั้งชั่วโมงคงนั่งเบื่อกันเป็นแน่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนอธิบายกลอน)
“ก่อนหน้าบำเพ็ญธรรมดั่งสีหลาก เตือนตนเองมากขึ้นขจัดสี”
รองหัวหน้าชั้น : ตอนเรายังไม่บำเพ็ญ เราก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ยังไม่ถูกสอบถูกกล่าวก็ยังไม่เข้าใจอะไร  เมื่อถูกกล่าวแล้วก็จะมีสีสันทางธรรมดีขึ้น
“ตั้งใจเหนือโลกีย์พ้นเพื่อคืนที่ อุปสรรคสอบไม่หนีสอบรู้ตน”
รองหัวหน้าชั้น : โลกีย์ทุกอย่างเราจะอยู่เหนือสิ่งชั่วร้าย  เราจะไปทางธรรมที่ดี  อุปสรรคใดๆเราก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าสู่ตัวเรา
ก่อนหน้าที่เราจะมีจิตใฝ่ศึกษาใฝ่บำเพ็ญธรรมนั้น  ตัวเราก็จะเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งที่พร้อมจะแต่งแต้มสีสันต่างต่างให้มากมายที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรมคือ การทำให้กระดาษแผ่นนี้กลับมาขาวดังเดิม  กลับมาบริสุทธิ์ กลับมาสะอาด กระดาษนี้จริงจริงแล้วเป็นกระดาษที่ขาวอยู่แล้ว  แต่เราเอากิเลส อารมณ์ ตัณหามาแต่งเติมให้แปดเปื้อน  แต่ก่อนเราเคยเป็นคนที่จิตใจบริสุทธิ์ใส แต่ต้องกลายเป็นคนมีอารมณ์  มีสีสัน  มีความต้องการมากมายก็เพราะความอยาก  ความโลภ การเปรียบเทียบกับคนอื่น และอยากมีให้ได้อย่างเขา  เราจึงพยายามแต่งแต้ม เติมตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  แต่พอแต้มไปได้มากที่สุด  เรากลับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า  บางครั้งการไม่แต้มอะไรเลยเรากลับเป็นสุขยิ่งนัก  ยิ่งแต้มกลับยิ่งทุกข์  ขอให้คิดดีๆ ทำไมเราถึงพูดเช่นนี้  บ่อยครั้งที่เรายิ่งแต้ม เรากลับยิ่งทุกข์เพราะเรายิ่งแต้มมากเท่าไร เราก็ไม่มีทางเหมือนเขา ยิ่งแต้มเท่าไรยิ่งไม่มีทางลืมความเป็นตัวตนเองได้หมดจริงหรือไม่  เหมือนคนในโลกนี้เราอยากมี  เพราะว่าเราเห็นเขามี   เราอยากได้เพราะว่าอะไร  เราเห็นเขาได้ใช่หรือไม่  เราอยากมีให้ถึงเขา บางครั้งเราทำไม่ได้  บางครั้งเรามีให้เหนือเขา  แต่เป็นไม่ได้ใช่หรือไม่  เราวุ่นวายกับการมีให้เหนือเขา  มีให้ได้ดีดั่งเขา  มีให้เขาสู้เราไม่ได้  แล้วเราก็เป็นอย่างไร  เหนื่อยและเป็นทุกข์ใช่หรือไม่  สู้เราอยู่เฉยๆ เรากลับเป็นสุขมากกว่าอีกจริงหรือเปล่า
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การย้อนกลับคืนสู่ความเป็นต้นรากของตัวตนเองที่แท้จริง ต้นรากของตัวตนเองที่แท้จริงต่างมีอยู่ในตัวเรา แต่ถูกอารมณ์  กิเลส ตัณหา กามราคะ บดบังไว้ทำให้เรามองไม่เห็นและทำให้เรามืดมนจริงหรือไม่  ฉะนั้นการจะกลับคืนสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงก็ไม่ยากเลย แค่ “รู้พอ”  เข้าใจคำนี้ไหม เท่านี้ก็สุขแล้ว เท่านี้ก็ดีแล้ว เท่านี้ก็อร่อยแล้ว  เท่านี้ก็สวยแล้ว  แบบนี้ก็ดีแล้วใช่ไหม ทำได้หรือเปล่าทำได้ใช่หรือไม่  เมื่อเราเตือนตนเองทุกขณะ  สีก็จะหลุดไปเองโดยไม่ต้องล้างไม่ต้องขัด  ไม่ต้องแกะจริงหรือไม่  เพราะว่าการเป็นตัวตนเดิมแท้ไม่เคยหายไปไหน  แต่เพราะมีกิเลส  ตัณหา  กามราคะ มาบดบังไว้  เมื่อไรที่เราไม่นึกถึงกิเลส  ตัณหา กามราคะ  แล้วสิ่งนี้จะมาเกาะอะไรในใจเราใช่หรือไม่  เมื่อเรานึกถึงมันย่อมมี  เมื่อเราลืมไปย่อมหาย  ตัณหา  กิเลส  ราคะ  ก็เฉกเช่นเดียวกับเมื่อเราไม่นึกถึงกิเลสจะมีไหม (ไม่มี) เมื่อเราไม่นึกถึงตัณหา  ตัณหาจะเกาะที่ใดใช่หรือไม่  ไม่ยากเลยในการที่จะกะเทาะกิเลสตัณหาให้คืนพบความเป็นพุทธะ  สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ อย่าได้เกียจคร้าน   อย่าได้ดูเบา  อย่าได้เอาแต่เปรียบเทียบ
“ไร้แบบอย่างชีวิตตื่นในจิต เลี้ยงชีวิตรีบเร่งสะดุ้งเมื่อสาย”
หลายคนมักจะพูดว่าตั้งใจจะบำเพ็ญธรรม ตั้งใจจะศึกษาธรรม แต่ไร้แบบอย่างที่ดีเป็นครูสอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เลยดูคนข้างหน้าเท่านั้นเอง ใช่หรือเปล่า  พอครูสอนที่เป็นคนข้างหน้า ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว  ท่านก็เป็นอย่างไร ถอยหลังโบกมือลา ไม่ปฏิบัติแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราจะตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเจออุปสรรคอย่าได้คิดหนี  แต่ต้องฝ่าออกไปให้เจอ ไม่เช่นนั้นยิ่งหนีจะยิ่งพบ ยิ่งเกลียดจะยิ่งเจอ  ฉะนั้นทุกๆ เรื่องไม่เกลียด รักหมด ทุกๆ เรื่องไม่กลัว ฝ่าได้หมด เมื่อนั้นโลกนี้ก็ไม่มีอะไรต้องรังเกียจ โลกนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นอุปสรรคแล้ว  เพราะเรารักเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าได้ ไม่ว่าเสีย จริงหรือไม่ (จริง)
“มนุษย์แม้แสนเก่งกรรมลากไป สามารถล้นก็ไม่พ้นแม้ประการ”
ชีวิตในโลกมนุษย์นี้ย่อมมีทั้งคนเก่ง คนไม่เก่ง  ย่อมมีทั้งคนมีความสามารถและไร้ความสามารถ  แต่จะหาสักกี่คนที่เก่งแล้วใฝ่ดี ศึกษาดี  หลายต่อหลายครั้งที่คนเก่ง แต่หลงความเก่งของตนเองและเอาความเก่งของตนเองไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ  เมื่อเผชิญเรื่องไม่ดีไม่ชอบก็ย่อมตกที่นั่งลำบาก  แล้วอาจเผชิญอันตรายได้ทุกเมื่อ  ในโลกนี้รักการเกิด แต่เกลียดการตาย  ให้พูดว่า “เกิด” ทุกคนชอบ เกิดมีเงิน เกิดอยากได้  เกิดมีความรัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอบอกว่าให้ดับความอยาก ดับความโลภ ความรัก  ทุกคนกลับส่ายหัวไม่ทำ ใช่หรือไม่  แต่แท้ที่จริงแล้วไม่มีใครหลีกหนีพ้นการเกิดและการดับ เกิดตายเป็นเรื่องใหญ่ ฉับพลันและไม่แน่นอน  วันนี้เรานั่งอยู่ พรุ่งนี้เราไม่รู้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นใครๆ ก็อยากตายหรืออยากดับอย่างสงบที่สุด ไม่ใช่อยากดับแบบต้องไปชดใช้กรรม  หรือต้องไปเวียนว่ายตายเกิด  ไม่รู้ไปเป็นอะไร ใช่หรือไม่
ฉะนั้นตอนมีชีวิตอยู่ ขอให้ใช้ชีวิตให้ดีอย่างที่เราเคยเห็นว่า คนในอดีตนั้น หลายต่อหลายคนยอมทุ่มทั้งชีวิตและจิตใจเพื่อคนส่วนมาก เพื่อรักษาความดี เพื่อเชิดชูคุณธรรม เพื่อช่วยเหลือมหาชน  คนเหล่านี้แม้จะตายไปก็ยังเป็นอมตะ ไม่เกิดและไม่ตาย ทำไมจึงบอกว่ายังเป็นอมตะ ไม่เกิดไม่ตาย แม้ตัวตนเองจะดับไปแล้ว  แต่จิตใจและความมุ่งมั่นยังคงโชติช่วงชัชวาลอยู่ เฉกพระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์กวนอิน  แม้ท่านจะดับไปแล้วนับพันปี แต่ว่าไฟแห่งความวิริยะ อุตสาหะ และจิตใจแห่งความมุ่งมั่นในการเพียรศึกษาหลักธรรม เพื่อค้นหาความหลุดพ้นยังมีอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้  ฉะนั้นชีวิตคนเราเลือกได้  เราจะเลือกดับแบบต้องเวียนว่ายตายเกิด หรือเราจะเลือกดับแบบเป็นอมตะไม่เกิดไม่ตาย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกระทำตนเช่นไร  ทำเพื่อสร้างเวรสร้างกรรม หรือทำเพื่อมีแต่ให้ลบเวรลบกรรม  บ่อยครั้งที่เราชอบที่จะแบมือรับยากที่จะยื่นมือให้  แต่จิตใจแห่งโพธิสัตว์คือจิตใจที่พร้อมจะยื่นมือให้ ใครไม่ลงนรก ฉันขอลงนรก  ทำไมถึงพูดเช่นนี้  เพราะนรกมีแต่คนตกทุกข์ได้ยาก  หากไม่มีจิตใจอย่างโพธิสัตว์เข้าไปฉุดช่วย นรกจะหมดคนเวียนว่ายตกทุกข์ไหม  ย่อมไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน ในสังคมนี้ทำไมเขาถึงไม่เกิดไม่ตาย  ก็เพราะว่าจิตใจแห่งความช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจแห่งการเสียสละ  แม้ตัวเองจะสบายไม่เป็นไรขอหยุดความสบาย  ขอพอใจความสบายเท่านี้ เอาความสบายของตัวเองนั้นไปแลกเปลี่ยนเพื่อดึงคนทุกข์ยากขึ้นมา  หากเรามีชีวิตกระทำได้เช่นนี้  ย่อมเป็นอมตะไม่เกิดไม่ตาย  ชื่อจารึกอยู่ตราบนานเท่านาน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านทำได้หรือเปล่า  ทุกท่านในที่นี้ทำได้ สำคัญอย่างหนึ่ง อย่าได้กลัวลำบาก สำคัญอย่างหนึ่ง ขอให้เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวลงบ้าง  บ่อยครั้งที่ความทุกข์ยากของการแสวงหาผลประโยชน์ทำให้เรายากที่จะช่วยเหลือคน  ทำให้เรายากที่จะมีความสุขร่วมกับมหาชน และทำให้เรายากที่จะค้นพบจิตใจแห่งโพธิสัตว์หรือพุทธะ ก็เพราะว่าเราไม่เคยเสียสละ  เราไม่เคยอุทิศผลประโยชน์ของตนเองให้หมู่ชนเลย เพราะว่าเราไม่เคยคิดที่จะลงไปคลุกอยู่กับความทุกข์  เพื่อช่วยปัดเป่าความทุกข์ให้กับคนอื่นเลย จริงหรือไม่  
หนทางแห่งโพธิสัตว์เป็นอย่างไร  อยากรู้หรือเปล่า  แม้วันนี้จะเป็นปุถุชนเดินดิน  แต่อยากเข้าไปดูไหมว่า หนทางแห่งพระโพธิสัตว์เป็นอย่างไร   ลองหลับตาดู ช่วงที่หลับตาท่านลองนึกทางแพร่งทางหนึ่ง  ทางแพร่งทางนี้มีทางแยกออกไปสองแยก  แยกหนึ่งคือ คนตกทุกข์ได้ยาก แยกหนึ่งคือความสุขสนุกสนานปรีดิ์เปรม  จิตใจแห่งโพธิสัตว์คือ จิตใจที่ยอมเหยียบย่างเข้าไปทางแห่งความทุกข์เดือดร้อน แม้ตัวเองจะทุกข์เท่าไร ก็ยอมเอาความทุกข์ของตัวเองวางลงแล้วยื่นมือเข้าไปช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เมื่อไรที่เอาทุกข์ของตัวเองวางลง  แล้วยื่นมือเข้าไปช่วยความทุกข์ของผู้อื่น  เมื่อนั้นท่านจะได้พบหนทางแห่งโพธิสัตว์ เมื่อนั้นท่านจะได้พบจิตใจมหาเมตตาแห่งตัวตนเอง  เห็นบ้างหรือไม่ ไม่เห็นเลยพบแต่ความมืดมนหรือ  วันนี้ยังมืดมนอยู่  แต่ต่อไปภายภาคหน้าเราหวังว่าท่านคงสว่างได้ ทุกคนเกิดมาแม้จะไม่รู้ว่ามาแบบมืดๆ หรือมาแบบสว่าง  แต่ขอกลับไปให้สว่างจงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วหนทางสว่าง คือ มองแค่ตน ช่วยแค่ตนหรือก็ไม่ใช่  หนทางสว่างที่แท้จริงคือ รู้จักช่วยคนและนำพาตนเองให้ถูกทาง และพร้อมจะนำพาผู้อื่นให้ถูกทางเช่นกัน 
วันนี้เรามา เราคงไม่มาพูดว่าจะทำอย่างไรให้ร่ำรวย จะทำอย่างไรให้ครอบครัวเป็นสุข ถ้าเราพูดแค่เพียงครอบครัวท่าน ไม่ได้พูดสังคม เราก็แล้งน้ำใจเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเอาของคนอื่นมาให้ท่านร่ำรวย เราก็ไม่ยุติธรรม  เราก็ไม่อาจรับตำแหน่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นสู้ตัดของคนมีให้กับคนไร้ ชีวิตมนุษย์อย่าได้ลืมว่า คนที่มีมากย่อมถูกตัด คนที่มีน้อยย่อมถูกเพิ่ม นี่เป็นความจริง ธรรมชาติเมื่อมีสิ่งใดมากเกินจะต้องถูกทำลายทิ้ง เมื่อสิ่งใดน้อยเกินย่อมถูกเพิ่มเติมให้สมดุล  ฉะนั้นเกิดเป็นคนก็เหมือนกัน เมื่อมีมากอย่าลืมเผื่อแผ่แบ่งปันแล้วจะไม่ถูกตัดให้เศร้าใจ  แต่ก็อย่าได้ทำตัวเป็นคนที่ไม่ยอมสู้ รอแต่ฟ้าอย่างนี้ไม่ได้  ฟ้าจะไม่ช่วยคนที่ไม่รู้จักช่วยตน จำคำนี้ไว้  เอาแต่ขอฟ้าไม่มีทางช่วย  ฟ้าไม่มีทางให้ได้ ฟ้าจะให้ก็ต่อเมื่อคนนั้นรู้จักให้ตนเองและให้ผู้อื่น 
“ยากรั้งสุขลาภยศแม้นาที คนชังหนีเศรษฐีก็น่าสงสาร”
หากเรามีชีวิตหนึ่ง ใครๆ ก็รังเกียจหนีหน้าเกิดเป็นคนไม่คุ้มค่าเลย ฉะนั้นอยากเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากมาหา ใครๆ ก็อยากพูดด้วย ใครๆ ก็ยินดีอยู่ร่วมกับเรา การจะเป็นคนอย่างนั้นได้ต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมไม่ใช่น้อย คนที่มีแต่ความโลภ ความต้องการ ไร้ซึ่งคุณธรรม มีหรือใครจะกราบไหว้ มีหรือใครจะพึ่งพิง ถ้าจะพึ่งพิงก็แค่หวังขอเงินขอทอง หวังอาศัยบารมีเท่านั้นเอง  ฉะนั้นอยากให้พ่อแม่ คนรัก เพื่อนพี่น้องยินดีสนิทชิดเชื้อก็ต้องทำตัวให้น่ารัก น่าเคารพ แล้วเมื่อนั้นอยู่เฉยๆ คนก็อยากมาเข้าใกล้ แค่พูดนิดหน่อยคนก็ยินดีฟังและเอาไปปฏิบัติตาม เพราะว่าตนเองเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความดี เป็นความดีแค่พูดหรือความดีที่ลงมือทำ (ลงมือทำ)
“ชีวิตคนยังกลืนกล้ำซ้ำทรมาน หวนนิพพานให้สุขกว่าหลงเงา”
สุขในโลกนี้ก็เหมือนกับเงา มาเพียงชั่ววูบแล้วก็ไป ไม่เหมือนสุขแห่งนิพพาน แต่หลายคนยังไปไม่ถึง ยังอดไม่ได้ที่จะหลงสุขในโลกนี้ ยังอดไม่ได้ที่จะติดกิเลส ตัณหา อารมณ์ ความเคยชินของตนอยู่ เกิดมาทั้งทีรักชีวิตรักตัวเองไหม (รัก) เมื่อมีชีวิตก็ไม่อยากให้ชีวิตตายไปอย่างน่าอนาถ ตายไปอย่างน่าเศร้า ฉะนั้นเมื่อยามมีชีวิตอย่าได้รักสนุกจนเกินไป ไม่เช่นนั้นรักสนุกก็จะทุกข์ถนัด รักชีวิตจนเกินไป จนลืมนึกถึงอันตรายแห่งการไร้ชีวิต หลายต่อหลายคนในโลกนี้บางคนก็กลัวตายจนเกินไป จนลืมรักษาคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่ หลายต่อหลายคนกลัวตาย กลัวลำบาก กลัวชีวิตจะต้องขื่นขม จึงยอมเสียคุณธรรมแห่งตน ยอมแลกคุณค่าแห่งการมีชีวิตอันประเสริฐไป เช่นนี้แล้วไม่คุ้มค่าเลยในการเกิดเป็นคน ฉะนั้นอย่าได้รักตัวกลัวตายจนลืมรักษาคุณค่าแห่งความเป็นคน แล้วก็อย่าได้รักชีวิตสนุกสนานจนลืมระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดกับตน เกิดเป็นคนทั้งทีไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่จะดำรงชีวิตให้เป็นแล้วก็มีความสุข สำรวมหรือเปล่า ระมัดระวังหรือไม่ คิดก่อนทำหรือเปล่า อย่าได้คิดปุ๊บทำปั๊บ ไม่ฉะนั้นก็จะเหมือนกับสายน้ำ น้ำเมื่อไหลเรื่อยๆ ก็ไม่มีอันตราย แต่พอน้ำเกิดอารมณ์ กิเลส และตัณหา ย่อมเหมือนกับน้ำที่มาแรงๆ มีอะไรขวางก็ทำให้พังทลายหมด ฉะนั้นชีวิตของเราต้องรู้จักเป็นน้ำที่ค่อยๆ เคลื่อนไหว เป็นน้ำที่รู้จักควบคุมตน แล้วน้ำนี้จะมีประโยชน์ทั้งต่อตนและผู้อื่น
“อ่อนน้อมนำน้อมรับอาวุโสสอน พินิจก่อนจึงได้ดีกว่าเก่า”
ตอนนี้ที่พิจิตรขาดผู้ปฏิบัติธรรมฝ่ายชายใช่หรือไม่ ตอนนี้หน้าที่ได้เริ่มมีแล้ว ผู้ปฏิบัติงานธรรมฝ่ายชายขอให้กระตือรือร้นตัวเองหน่อย จะได้มาช่วยทำงานแทนได้หรือเปล่า (ได้) มีเวลาขอให้เวลากับการศึกษาหลักธรรมเพิ่มเติม สิ่งใดที่ควรต้องจดต้องจำก็รีบจดรีบจำเสีย สิ่งใดที่ควรเร่งรีบเดินหน้าก็เร่งรีบเดินหน้าเสีย หลายคนพอบอกให้ทำดีกลับเกี่ยงงอน แต่พอบอกให้ไปนอนกลับยินดี เช่นนี้แล้วจะเป็นคนได้หรือ สัญลักษณ์ของคนคือ ตัวตรงสง่าผ่าเผย  การเอาแต่นอนหลังคดๆ งอๆ มิใช่ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ดี นี่ใช่คนที่ประเสริฐหรือเปล่า ไม่น่ามองเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าได้เกียจคร้าน เรามีขาสองขาไว้ตั้งตรง ไม่ใช่มีขาสองขาเอาไว้นอนอยู่กับที่
“พบอะไรดีย่อมทำรอบเรา” ผู้ปฏิบัติงานธรรมฝ่ายหญิงเริ่มมีจำนวนมากแล้ว แต่ต้องรู้ด้วยว่าหน้าที่อะไรที่เราควรเร่งรีบทำ หน้าที่อะไรที่เราควรศึกษาและมาทำแทนผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มาจากกรุงเทพ ดีหรือไม่ จะได้ช่วยผ่อนหนักผ่อนเบากันได้  พบอะไรที่ดีๆ ก็จงรีบทำ รอบตัวเรามีแต่สิ่งที่ดีที่น่าปฏิบัติน่าศึกษา มองดูง่ายๆ เรื่องสุดท้ายก่อนจะจากกัน เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง มีคุณค่าตั้งแต่ยอด ใบ จนไปถึงราก ท่านคิดจะเอามาปลูกไว้ในบ้านไหม (อยาก) คนก็เฉกเช่นเดียวกับต้นไม้ เราอยากจะเป็นที่ต้องการของคนอื่น เราอยากจะไปที่ไหนก็มีแต่คนอื่นรัก อยู่ร่วมกับทุกๆ คนได้ ไม่เกี่ยงงอน ไม่มีใครขับไล่ไสส่ง เราก็ต้องทำตัวให้เป็นคนเช่นไร (มีประโยชน์) แต่อย่าลืมว่ามีประโยชน์มากเกินไปบางครั้งก็เหนื่อยมากหน่อย  แต่เหนื่อยแล้วยอมทำเพื่อผู้อื่นได้ไหม (ได้)  ฝ่ายชายทำได้หรือเปล่า (ได้)  เกิดเป็นคนมีประโยชน์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านั่นดีออก นั่นก็คือ หัวคิดได้ คิดแต่สิ่งที่ดี เมื่อคิดแล้วก็สามารถช่วยคนอื่นได้ ไหล่สองไหล่นี้พร้อมจะแบกรับปัญหาอุปสรรค ใครมีปัญหามา  แม้เราจะไม่มีเงินช่วย แม้เราจะไม่มีแรง แต่เราก็มีวาจาที่ดีคอยช่วยเหลือเขาได้ มีกำลังแรงที่ดีคอยช่วยแบกรับ ผ่อนหนักผ่อนเบาให้เขาได้ มือนี้ก็พร้อมที่จะขยับเขยื้อน ช่วยเหลือเขา ยื่นมือยื่นคุณธรรม ยื่นแต่สิ่งดีๆ ให้เขาและเสียสละอุทิศ นำแต่สิ่งที่ดีให้กับเขา ขานี้ก็พร้อมจะเดินไปฉุดช่วยเขา นี่ถึงเรียกว่า คนที่มีประโยชน์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
“เคืองใจก้าวไปอภัยวิเศษเอย”  บ่อยครั้งที่เวลาเราอยู่ร่วมกับคนอื่น พยายามทุกอย่างเพื่อให้เขา ดีกับเขาสารพัด แต่บ่อยครั้งสิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือคำด่า คือคำว่าใช่หรือไม่ แต่เคยเห็นไหมว่าพระพุทธองค์ถึงขนาดโดนฆ่า ถึงขนาดโดนว่าถูกทำร้ายแต่ท่านก็ไม่ถือโกรธ ท่านพร้อมจะฝึกเมตตาให้อภัย เมื่อไรที่เราพร้อมจะฝึกเมตตาให้อภัยเมื่อนั้นเราได้ย่างก้าวฝึกเป็นพุทธะ และเมื่อไรที่ท่านทำได้อย่างนั้น ลูกและบุตรหลานย่อมปลื้มปิติ และไม่ถือโกรธแค้น  เอามาเป็นบทเรียนสอนลูกได้ด้วย นี่เรียกว่า สอนโดยไม่พูด สอนโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดคนก็พร้อมที่จะเลียนแบบและปฏิบัติตาม 
บ่อยครั้งที่เราอยากจะทำดีปฏิบัติดีแต่โดนคนต่อว่า โดนคนถากถางใช่หรือไม่ โดนคนปัดแข้งปัดขาใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราต้องย้อนมองตัวเองกลับด้วยนะว่าการทำดีของเราเป็นการเอาขาวไปราดดำหรือเปล่า ถ้าเอาขาวไปราดดำคนอยู่ย่อมไม่ยินดีรับฟัง ฉะนั้นการที่จะไปเปลี่ยนคนอื่นนั้น การที่จะไปช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยากนั้น  คล้ายๆ กับการฝึกเสือ เราต้องรู้จักเอาท่าทีที่ดีไปก่อน  ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน เสือเข้ามาตอนหิวๆ จะฟังคำสั่งเราไหม (ไม่ฟัง)  จะต้องเลี้ยงให้เชื่องก่อน  จนเสือคิดว่าเราเป็นมิตรไม่ใช่เป็นอาหารใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเสือคิดว่าเราเป็นมิตรไม่ใช่เป็นอาหารก็พร้อมจะปฏิบัติตาม คนก็เหมือนกัน การที่เราจะเปลี่ยนแปลงเขาหรือนำพาเขานั้น ไปตีแสกหน้าเขาทันทีเขาย่อมไม่รับฟัง ไปชี้ทันทีว่าผิดนะเขาย่อมไม่เชื่อ เหมือนการที่จะโน้มน้าวกษัตริย์จะต้องมีคนคอยชี้นำแนะนำใช่หรือไม่ (ใช่)  กษัตริย์ทุกๆ พระองค์ที่แล้วมาล้วนแต่มีอุปราช หรือผู้ตักเตือนผู้ชี้นำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันการที่เราจะไปชี้นำเขา ให้เขารู้ว่าเขาผิดทันทีย่อมไม่ได้ เราต้องรู้จักยกอุปมาอุปมัยกล่าวเปรียบเทียบให้เขาเห็น ยกตัวอย่างให้เขารู้ว่าถ้าเขาทำจะเกิดอันตรายใช่หรือไม่ ไม่ใช่ไปชี้หน้าว่าเขาโง่บ้าง ไม่ดีบ้าง อย่างนี้เขาจะทำตามไหม (ไม่ทำ)   ฉะนั้นการจะเปลี่ยนแปลงคน การจะโน้มนำคนต้องรู้จักใช้คำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” เข้าไปหา ยิ่งอ่อนน้อมมากเท่าไร คนยิ่งรักใคร่  และอยากจะเป็นมิตรด้วย 
หวังว่าทุกคนในที่นี้คงไม่คิดว่าการมาของเราครั้งนี้เป็นการเล่นละครตบตานะ ไม่เช่นนั้นเราคงไปอย่างเสียใจ ถึงแม้จะคิดว่าเราไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้ เราคือพี่น้องกันที่มาตักเตือนกันก่อนที่จะดำเนินชีวิตต่อไปใช่ไหม ขอให้ทุกก้าวของท่านเป็นก้าวแต่ละก้าวที่สุขุม ไตร่ตรองคิดรอบคอบแล้ว คิดใฝ่ดีแล้วและเมื่อทุกขณะที่คิด ทุกขณะเดิน ทุกขณะไตร่ตรองการมีชีวิตก็จะไม่พบความผิดพลาดและล้มเหลว มีโอกาสขอให้กลับมาศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมต่อๆ ไป ธรรมะนี้อย่าวัดกันแค่คนบำเพ็ญข้างหน้าเลย แต่ธรรมะนี้ขอให้ดูให้ถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง
ทุกคนสามารถค้นพบแก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิตได้ สามารถค้นพบพุทธะในตนได้อยู่ที่ว่าจะกระทำหรือไม่กระทำ วันนี้เราไม่ได้มีโอกาสแจกแอปเปิ้ลกับทุกๆ คน แต่ก็รู้สึกภาคภูมิใจและยินดีที่ได้มาพบกับทุกๆ ท่านขอให้รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี มีโอกาสหมั่นมาศึกษาบำเพ็ญธรรม อย่าเห็นว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องไกล ทุกคนบำเพ็ญได้ เข้าใจเพียงไหนเอากลับไปบ้านไปปฏิบัติ เพราะว่าคนที่มีธรรมอยู่กับชีวิตจะมีความสุขมีความสงบใช่หรือไม่   พอไปอยู่ในบ้านลูกหลานต้องอยากศึกษาความสุขความสงบแบบท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  สอนอะไรก็ไม่เท่ากับสอนธรรมะให้กับบุตรหลานให้กับชีวิตคน ธรรมะช่วยให้คนค้นพบความสุขที่แท้จริงจำไว้นะ
ผู้ปฏิบัติงานธรรมพักผ่อนจากการบำเพ็ญธรรมไปหลายเดือน (ใช่)  จะให้มาช่วยงานประชุมธรรมบางคนก็เหนื่อยล้าอ่อนล้าทั้งกำลังแรงกำลังใจ แต่อย่างที่เราบอกตอนต้น เมื่อทุกคนต่างมีปณิธานแล้วอย่าได้เกียจคร้านอย่าได้ท้อถอย และอย่าได้ปล่อยปณิธานของตนเองทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ทุกขณะที่เราบำเพ็ญธรรมคือ ทุกขณะแห่งการสำเร็จตัวตนเอง ค้นพบตนเองแต่ค้นพบเท่าไร บางคนอาจค้นพบแค่นี้ หรือบางคนอาจค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หรือบางคนอาจจะค้นไม่พบเลย  นั่นเป็นเพราะว่าเราระแวงไม่เต็มที่ หรือเราระแวงไม่เพียงพอก็เป็นได้ใช่หรือไม่ แต่เมื่อพยายามแล้ว ตั้งใจจะบำเพ็ญแล้วมีปณิธานแล้ว ขอให้มุ่งมั่นให้สำเร็จ อย่าพยายามแล้วก็ล้มเลิกกลางคัน อย่างนี้น่าเสียดายใช่หรือไม่

วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ในโลกนี้ใครรักเราเท่าพ่อแม่ ไม่เปลี่ยนแปรและไม่เคยจะหน่ายเบื่อ
มีพ่อแม่เสมือนอยู่ในเรือ ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแฝงอันตราย
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า

อย่าได้ลืมระฆังเรียกออกเดินทาง จิตสว่างทางจะไม่มืดสลัว
หมั่นฝึกฝนบำเพ็ญบ่อยคลายความกลัว ละความชั่วหมั่นทำดีปูพื้นตน
การบำเพ็ญแม้ลำบากให้ฝ่าฟัน คนขยันจึงเดินได้สุดถนน
กลางวุ่นวายสงบจิตเกิดอุบล ด้วยอดทนทุกสิ่งจะไม่ยากเกิน
ศิษย์อาจารย์ต่างมีบุญกันมาก่อน อย่าผัดผ่อนเกียจคร้านมองผิวเผิน
ธรรมะแสนแยบยลวอนศิษย์เดิน ยิ่งเผชิญความลำเค็ญยิ่งเร่งไป
ติดลาภยศชื่อเสียงบำเพ็ญยาก น้ำตาพรากเพราะเดินไปไม่ถึงไหน
เร่งสลัดยึดติดอย่างมงาย ด้วยตั้งใจอย่างหนักแน่นกว่าเคยมา
บัดนี้สู่ยุคปลายแห่งการบำเพ็ญ เบาความเห็นส่วนตัวจึงอาจมุ่งหน้า
นักปราชญ์ไม่เคยสบายดั่งราชา แต่หาญกล้าฝ่าลำบากช่วยปวงชน
จบสองวันหมั่นกลับมาศึกษาหน่อย จากรู้น้อยค่อยค่อยเพิ่มเป็นมากล้น
กตัญญูดั่งอาจารย์สอนทุกคน ไม่วกวนมีใจบ้างถอยบ้างเอย
ฮา  ฮา  หยุด


คนไหนยังประมาท คงล้มพลาดวันหนึ่ง ยามล้มใครจะดึง ลำบากพึ่งใช้ใครได้ โปรดจงระวังสักหน่อย อย่าปล่อยชีพนี้ให้พังง่ายดาย หลับตื่นหนนี้ให้ผลยาวไกล ศิษย์จงแก้ไขเสียวันนี้เลย
?พบยากจนถึงง่ายสุด ต่างคนเร่งรุดมิเฝ้าเปรียบเปรย ขอมิซ้ำคนพลาดเอย ปราชญ์เปิดเผยและอภัยคน ขอจงตั้งใจบำเพ็ญ เปลี่ยนแปลงตนเป็นที่พึ่งแห่งชน คิดร้ายใครต้องแพ้ภัยตน หมั่นฝึกฝนดลใจน้อมเอง (ซ้ำ  ?)
เพลง : อย่าแพ้ภัยตนเอง
ทำนองเพลง : ลองรัก


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศรัทธาคืออะไร  (ความเลื่อมใส เชื่อถือ เชื่อใจ) ความเลื่อมใส เชื่อถือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอื่นตอบว่าอย่างไรบ้าง ศรัทธาไม่ใช่ฟังแค่สองวันนี้แล้วจบกัน แต่ศรัทธาคือ หลังจากฟังแล้วต้องปฏิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้เราบอกคนอื่นว่า เราศรัทธา สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากเชื่อหรือเปล่า  (ไม่อยากเชื่อ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากเชื่อว่าศิษย์นั้นมีความศรัทธา เราบอกว่าเราศรัทธาแต่เราไม่เคยทำในสิ่งที่คนศรัทธาตั้งใจทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นหลังจากฟังสองวันนี้แล้วนำกลับไปปฏิบัติแล้วยังต้องทำอะไรเพิ่มด้วย ศรัทธานี้ต้องใช้ไปตลอดชีวิต ไม่ใช่มาวันนี้มีคนถามเราศรัทธาหรือไม่ เราบอกว่าศรัทธา แต่พอหลังจากสองวันนี้ สามปีให้หลังกลับไปถามใหม่ว่า ศรัทธาหรือไม่  เงียบๆ ไม่มีเสียงตอบ อย่างนี้ก็ไม่เชื่อว่า ศรัทธาที่แท้จริง ใช่หรือเปล่า คนที่ศรัทธาที่แท้จริงนั้นแม้วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ แม้สามปีข้างหน้าก็เป็นอย่างนี้  ชั่วชีวิตก็เป็นอย่างนี้ นั่นจึงเรียกว่า มีความศรัทธา  วันนี้อาจารย์ถามใหม่ว่า ศรัทธาหรือไม่ (ศรัทธา)  แสดงว่าคนที่อยู่ในชั้นนี้จะบำเพ็ญไปชั่วชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญไปไหน (ไปนิพพาน) ไปถึงหรือเปล่า (ไปถึง)  อย่างนั้นตีระฆังออกเดินทาง ออกเดินทางแล้วตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป หวังว่าเสียงระฆังนี้จะก้องอยู่ในหูของศิษย์ตลอดไปว่าเราได้ออกเดินทางแล้ว  เราได้ออกเดินทางจากที่ไหน ออกจากสถานธรรมไปนิพพานไปทางไหน  ตอนนี้ยืนอยู่ที่ไหน 
“มีพ่อแม่เสมือนอยู่ในเรือ”  ข้างเรือเป็นอะไร (น้ำ) ถ้าหากเป็นเด็กตกน้ำเป็นอย่างไร รอดหรือตาย (ตาย)  เพราะฉะนั้นมีพ่อแม่เหมือนมีเรือ ข้างล่างคือ น้ำ  รอบๆ ตัวเราคือ อันตราย  เพราะฉะนั้นมีพ่อแม่นั้นถือว่า มีพระ มีพุทธะคอยคุ้มครองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราเกิดมาเราต้องไปกตัญญูพ่อแม่ด้วย  เพราะว่าพ่อแม่นอกจากให้กำเนิดแล้วยังเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่มีเราในวันนี้ ใช่หรือไม่   เรานั้นเติบใหญ่ขึ้นมายิ่งมีความรู้ความสามารถพ่อแม่ยิ่งต้องมาอยู่กลางใจ  พ่อแม่ยิ่งต้องเป็นที่เคารพและเทิดทูนที่สุด ใช่หรือไม่  (ใช่)   บางคนบอกพ่อแม่ไม่ดี  ถ้าพ่อแม่ไม่ดีแล้วเจ้าจะเติบโตมาจนตัวใหญ่ขนาดนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แม้ว่าเขาจะไม่ดีเขาก็เป็นพ่อแม่ของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนไม่มีความกตัญญูก็ไม่สามารถที่จะเป็นคน  เมื่อไม่สามารถเป็นคนจะเป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วเมื่อสักครู่พูดถึงไปนิพพาน  ไปนิพพานได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นตอนนี้เกิดมาเป็นคนทั้งทีคุณธรรมประการแรกหลังจากจบชั้นนี้ไปต้องทำทุกวัน ทำทุกนาที   ทุกลมหายใจเข้าออกคือ ความกตัญญู ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เขาบรรยายไปลืมหมดหรือยัง (ยัง)  กลับไปบ้านจำได้หรือเปล่า (ได้)  ผ่านไปสามวันเป็นอย่างไร  ผ่านไปสามวันต้องทำไปแล้วถึงกี่ครั้ง  วันหนึ่งกินข้าวกี่มื้อ (สามมื้อ)  สามวัน (เก้ามื้อ)  อย่างแรกที่เราจะแสดงความรักต่อพ่อแม่คืออะไร เราต้องกินข้าวหรือเปล่า (กิน)  พ่อแม่ต้องกินข้าวหรือเปล่า (กิน) มีคนชอบพูดว่าไม่มีเงิน อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ อย่างนั้นก็ทำไม่ได้  จริงๆ แล้วความกตัญญูง่ายกว่านั้น ไม่ใช่การซื้อ เพื่ออำนวยความสะดวกมาให้ ไม่ใช่การที่เราจะเอาเงินมาให้ท่านใช้ ไม่ใช่การซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ท่านใส่ แต่เป็นอะไร  พ่อแม่ให้อะไรเรา พ่อแม่ให้ความรักเรา เราให้ความรักพ่อแม่ได้หรือไม่ (ได้)  วันหนึ่งได้ให้กี่เวลา วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชัวโมงก็ให้ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย  วันหนึ่งเรากินข้าวกี่ครั้ง (สามครั้ง)  อาจารย์มักพูดบ่อยๆ ว่า  มนุษย์นั้นเห็นได้ชัดที่การกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเขาเป็นคนดีแต่การกระทำไม่ดีเป็นอย่างไร เป็นคนดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อาจารย์จะบอกให้ว่า จงเป็นคนมองโลกในแง่ดีกว่านี้  บางทีเราอาจจะบอกว่าเขาเสแสร้งใช่หรือเปล่า (ใช่)   แต่คิดในทางกลับกันถึงเสแสร้งแต่ก็เสแสร้งในการทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  สักวันหนึ่งความดีที่เขากระทำออกมาคนชมเขามากมาย เขาจะรู้สึกอย่างไร  เขาก็จะรู้สึกละอายใจไปเอง แล้วเขาก็จะกลับมาทำดีขึ้นจากภายนอกเข้าสู่ภายในได้หรือไม่ (ได้)  จากภายในออกมาสู่ภายนอกได้หรือไม่ (ได้)  เพราะฉะนั้นเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากเรามองโลกในแง่ร้ายอะไรร้ายในตัวเรา  ใจของเราก็ร้ายไปเองใช่หรือไม่ (ใช่) 
“ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแสนอันตราย” มีพ่อแม่อยู่เหมือนมีเรือ เหมือนอยู่เหนือมหาสมุทรที่แฝงไปด้วยอันตราย ใช่หรือไม่  (ใช่) บางคนตอนนี้เรือแตกไปแล้ว เรือแตกหมายความว่าอย่างไร ไม่มีพ่อแม่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าตอนนี้เราก็เติบใหญ่พอที่จะว่ายน้ำเองแล้วไม่จมน้ำตายแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรายังต้องเป็นเรือให้กับลูกหลานของเราอีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนเกิดมาชีวิตหนึ่ง บางคนมีอดีตที่หอมหวาน มีอดีตที่งดงาม เคยมีพ่อแม่ เคยมีความสุข บางคนมีอดีตที่ข่มขืน คิดทีไรก็อยากจะร้องไห้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าชีวิตคนนั้นไม่สามารถที่จะจมปลักกับอดีตได้ จำเป็นจะต้องเดินไปข้างหน้า เดินไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าใจคิดถึงความสุขสมัยก่อน หรือคิดถึงความทุกข์สมัยก่อน ก็ไม่มีประโยชน์ ชีวิตคือการเดินไปข้างหน้า แต่ว่าการจะเดินไปข้างหน้าเราจะได้อนาคตที่ดีนั้นต้องอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจอย่างเดียวหรืออยู่ที่หมอดูหรือเปล่า หรืออยู่ที่ดวงดี (อยู่ที่ใจแล้วธรรมะ)  อยู่ที่ใจและธรรมะ แล้วตอนนี้ใจดีแล้วหรือยัง (ดีแล้ว)  ดีมากไหม (ดีมากแล้ว)  อย่างนี้อนาคตก็ดีสิ (คงดี)  เห็นไหมว่าไม่ได้อยู่ที่ใจใช่หรือไม่ อยู่ที่ไหน อย่าให้คำตอบทุกอย่างกลายเป็นใจหมด อยู่ที่ไหน อยู่ที่หมอดูใช่หรือเปล่า ไม่ใช่อยู่ที่หมอดู เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปดูดวง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหมอดูบอกว่าไม่ดีแล้วเราจะทำอย่างไร เราจะขี้เกียจที่จะมีชีวิตต่อไป ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่หมอดู อยู่ที่ไหนอีก อยู่ที่ดวงดีมีวาสนาใช่หรือเปล่า  วันนี้เรายังโชคไม่ค่อยดี แล้วพรุ่งนี้จะดีกว่านี้ได้อย่างไร (อยู่ที่การกระทำในปัจจุบัน)  อยู่ที่การกระทำในปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อพูดง่ายๆ ก็คืออนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบันถูกหรือเปล่า แสดงให้เห็นว่าเด็กๆ สมัยนี้มีปัญญามากกว่าคนหลายคนใช่ไหม (ใช่)   เพราะฉะนั้นยิ่งปัญญามากเท่าไรยิ่งต้องรู้จักคิดให้ดี 
(นักเรียนกราบรับพระอาจารย์)
เอาอะไรรับ (ใจ)  ใจเป็นอย่างไร (บริสุทธิ์)  ใจที่ยังขี้สงสัยไม่เอานะ ไม่รู้จะสงสัยอะไรนักหนา สงสัยว่าอาจารย์จี้กงแน่หรือเปล่า ไม่สู้สงสัยว่าเกิดมาเพื่ออะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนยังสงสัยว่าอาจารย์จี้กงแน่หรือเปล่า วันนี้โดนหลอกหรือเปล่านะ ไม่สู้สงสัยว่าตัวเองนั้นเกิดมาเพื่ออะไรและจะทำอะไรต่อไปดี สงสัยอันไหนดีกว่ากัน  (สงสัยตัวเอง)  สงสัยตัวเองดีกว่านะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกได้เตือนได้ไม่เกินห้าชั่วโมง แปลว่าหลังจากห้าชั่วโมงนี้ไปแล้ว เวลาที่เหลือเป็นของใคร (ของตัวเราเอง)  เวลาที่เหลือเป็นของเราเอง ชั่วชีวิตนี้เราต้องอยู่กับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเดินขึ้นจะเดินลง จะเดินไปข้างหน้าหรือว่าจะถอยไปข้างหลังก็อยู่ที่เราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเดินไปทางไหนอาจารย์ก็ดูไปเรื่อยๆ  บางคนตอนเดินหน้า วิ่งไปเลย แต่ตอนถอยหลังไม่เป็นท่าเลย  
สถานธรรมมีเรื่องน่าศึกษามากมาย  ปกติอยู่บ้านอยากจะนั่งก็นั่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่) พอมาสถานธรรมอยากนั่งก็นั่งไม่ได้  อย่างนี้อยากจะมาสถานธรรมหรือเปล่า (อยาก)  อยู่บ้านนึกจะกินข้าวก็กิน พอมาสถานธรรมจะกินข้าวก็กินต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน  ยุ่งยากหรือเปล่า (ไม่ยุ่งยาก) รู้ไหมว่าก่อนที่เราจะนั่งลง กับก่อนที่เราจะกินข้าว เขาสอนให้เราทำอะไร (ขอบคุณ)  เขาสอนให้เรานั้นเป็นคนที่มีจิตใจดีใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจดีตรงไหนล่ะ ก่อนกินข้าวต้องรู้จักขอบคุณ ต้องขอบคุณใคร  (คนที่ทำให้)  ต้องขอบคุณคนที่ทำให้  ถ้าอยู่บ้านทำเองขอบคุณใคร   ต้องรู้จักขอบคุณชาวนาปลูกข้าว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ามีเงินแล้วชาวนาไม่อยากขายข้าวทำอย่างไร  อดข้าวไหม (อด)  ชาวนาอยากทำนาแต่ฟ้าไม่อยากให้ฝนตก อดไหม (อด)  เพราะฉะนั้นตัวเราคนเดียวก็เกี่ยวพันกับคนตั้งเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้อยากจะนั่งแต่ทำไมเขาไม่ให้นั่ง  เขาอยากให้เราเรียกคนอื่นนั่งก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าเป็นการฝึกให้เราไม่ใช่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น  แต่ต้องคิดถึงคนๆ อื่นด้วย  ตอนนี้เวลาเราจะนั่งเราต้องรู้จักเรียกคนอื่น คนอื่นเห็นเราเป็นคนอย่างไร เป็นคนดีไหม (ดี) มีมารยาทไหม (มี) การเป็นคนดีมีมารยาทง่ายไหม (ง่าย)  แต่ว่าอะไรหนัก (ปาก) ไม่ค่อยอยากจะเรียก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลากินข้าวก็ไม่ค่อยอยากจะเรียกพ่อแม่ เพราะว่าถ้าทำเสร็จแล้วเดี๋ยวต่างคนก็ต่างกินใช่หรือไม่ (ใช่)  วันหนึ่งต่างคนต่างกิน  ต่างคนต่างอยู่  ต่างคนต่างใช้  ต่างมีห้องของตัวเองแล้ว  วันหนึ่งต่างทำงานของตัวเองแล้ว  ถามว่าเป็นครอบครัวอยู่ไหม (ไม่เป็น)  เพราะฉะนั้นเราจะมองข้ามจุดน้อยๆ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  จะไปมองแต่จุดใหญ่ว่า  มีเงินใช้หรือยัง ต้องไปหาเงินก่อน  สุดท้ายมีเงินใช้  แต่ว่าลูกรู้จักแต่ใช้เงิน แต่ไม่รู้จักว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นคนดี  ฉะนั้นเราจะมองข้ามจุดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตนี้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์มองศิษย์แล้วรู้สึกว่าจะเห็นแต่ข้อเล็กๆ น้อยๆ เสียด้วยซ้ำ  คืออะไร เวลาเห็นคนอื่นทำความผิดเราเห็นไหม (เห็น)  ความผิดของคนอื่นเป็นเรื่องเล็กน้อยไหม (ไม่น้อย)  แล้วความผิดของเรา อะไรใหญ่กว่ากัน (ของคนอื่น)  เขาเรียกว่าถึงเวลาแล้วเรื่องที่ควรจะมองในจุดเล็กน้อยไม่มอง ไปมองจุดใหญ่ๆ  บางทีให้มองจุดเล็กๆ บางทีต้องมองจุดใหญ่ๆ สลับกันไปกันมาตามแต่เรื่องตามแต่โอกาสใช่หรือไม่  เวลาเรามองคนอื่นเราก็เห็นว่าผิด  ทั้งๆ ที่ความผิดของเขาถ้าเทียบกับเรา  ของเขายังเล็กกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะวันหนึ่งเขาอาจจะแก้ได้  แต่นิสัยการจับผิดของเราแก้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  
เวลาเกิดปัญหาขึ้นนั้นต้องรู้จักมองทั้งเรื่องเล็กและมองทั้งเรื่องใหญ่   เวลามีปัญหาหลายคนชอบมองแต่ปัญหาโดยกว้าง ปัญหาใหญ่ๆ  ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย ทำให้ปัญหานั้นยิ่งทียิ่งลามปาม  เหมือนกับผลไม้ที่หนอนเข้าไปไชตรงกลาง ต่อให้รักษาผิวภายนอกได้ดี แต่ข้างในนั้นพอกินก็กินไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องนี้กลับไปคิดเอาเองอย่างละเอียดก็แล้วกัน
“อย่าได้ลืมระฆังเรียกออกเดินทาง”  ลืมหรือยังเสียงระฆัง (ยัง)  บางคนลืมไปแล้วก็บอกว่ายังไม่ลืม  ในโลกนี้เขาเรียกว่าเป็นผู้ร้ายปากแข็ง  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้ร้ายปากแข็งไหม  
อาจารย์จะถามคำถามเดิม ว่าเรามีจุดมุ่งหมายไปนิพพาน เราจะออกเดินทางจากที่ไหน  จุดนี้ที่ที่เรายืนอยู่เรียกว่าอะไร (สถานธรรม)  ถ้าวันไหนไม่มาสถานธรรมก็ไม่ได้ออกเดินทางสิ หรือกลับมาสถานธรรมอีกทีก็ยังอยู่ที่เดิมใช่หรือเปล่า  อาจารย์บอกแล้วว่าไม่ใช่อยู่ที่สถานธรรมจินจง แต่ว่าอยู่ที่ไหน (ตัวเอง, ใจ, โลกมนุษย์)  โลกมนุษย์เกือบถูกแล้ว ตอบในใจก็เอาแอปเปิ้ลไม่มีรูปไป  (อยู่ที่การกระทำ) (ทะเลทุกข์)  การบำเพ็ญธรรมต้องรู้จักเสียสละ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าใจเรามีหนึ่งเดียวก็ควรจะได้สิ่งที่เป็นหนึ่ง ถูกหรือเปล่า  ถ้าเราอยากได้เป็นสองเป็นสามก็จะกลายเป็นความโลภไป เมื่อใจให้ไปแล้วจะไปดึงกลับได้หรือไม่ (ไม่ได้)  สังเกตดูตามีกี่ข้าง หูมีกี่ข้าง ตามีสองข้าง ตามีไว้มองสี ตาไว้มองรูป เป็นทางเข้าของกิเลส  หูไว้ฟัง ฟังแต่สิ่งที่ไม่ดี หูก็เป็นทางเข้าของกิเลส เพราะฉะนั้นอยากจะทำสิ่งใดให้ดีๆ แล้ว  ผู้บำเพ็ญก็ทำให้เป็นหนึ่งเดียว เวลาที่อาจารย์แจกแอปเปิ้ลก็จะไม่ค่อยแจกให้คนอื่นมากกว่าสองลูก นอกจากว่านักเรียนในชั้นนั้นจะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร  โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรมบางทีไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า น้อยใจไหม (ไม่) ควรที่จะเสียสละส่วนของเราไว้ให้กับผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทุกคนมี เราเคยมี คนอื่นมีเป็นอย่างไร  เสมอภาคไหม 
ออกเดินทางจากที่นี่เรียกว่า “โลกีย์” ใช่หรือไม่ (ใช่) สถานธรรมจินจงนี้ตั้งอยู่บนโลกีย์  โลกมนุษย์เรียกว่า “โลกียภูมิ” หมายถึง ว่าเป็นภูมิแห่งความวุ่นวาย เป็นทะเลทุกข์ บ้านเราก็อยู่ในโลกีย์ สถานธรรมก็ตั้งอยู่ในโลกีย์  สถานธรรมตั้งขึ้นมาให้เรานั้นบำเพ็ญจากโลกีย์ขึ้นไปสู่เบื้องบนแดนนิพพาน ทำได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อก่อนนี้เราเคยคิดว่าโตขึ้นมาเราจะหาเงินให้ได้เดือนละเท่านี้ ตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็หาเงินได้ตามเจตจำนงนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ดีไม่ดีมากกว่านั้นอีก  ตอนนี้เราต้องการที่จะเดินจากโลกียภูมินี้ไปสู่แดนนิพพาน เมื่อเราตั้งใจไว้ หวังไว้ เราทำได้ไหม (ได้) แต่ถามว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เราอยู่เฉยๆ ได้ไหม  เราอยากได้เงินมาเราต้องไปทำงาน เราอยากจะออกเดินทางจากตรงนี้ไปสู่แดนนิพพานนั่งอยู่เฉยๆ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทุกวันนั่งอยู่บ้านรอคนมาเรียกไปสถานธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  มาสถานธรรมก็เอาแต่ไหว้พระเสร็จแล้วกลับบ้าน  ได้ไปนิพพานไหม (ไม่ได้) ต้องปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) ปฏิบัติอย่างไรล่ะ (ทำแต่ความดี)  ทำแต่ความดี ตลอดชีวิตมาเวลาเราไปศึกษาธรรมตามวัดนั้นก็สอนให้เราทำดี  แต่ทำไมตอนนี้มาที่นี่บอกให้เราทำดีอีกแล้ว แล้วที่นี่จะต่างกับวัดตรงไหน  ตั้งแต่เล็กจนโตเราก็ทำดีมาตลอด  แต่ถามว่าความดีที่เรามีอยู่นั้นมั่นใจหรือไม่ว่าจะพาเราไปถึงแดนนิพพาน (ไม่มั่นใจ) แสดงว่าความดีที่เราทำอยู่นั้นยังไม่พอใช่หรือไม่  หรือจะทำแบบสามวันดีสี่วันไข้จะทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำได้ไหม ศิษย์ต้องลงแรงปฏิบัติ เมื่อเราอยากให้มีดคมก็ต้องลับมีดใช่หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าลับมีดไปแล้วยังลับมีดไม่เสร็จก็เลิกลับ มีดคมไหม (ไม่คม)  ฉะนั้น การที่เรามาในคราวนี้ การที่ธรรมะเกิดขึ้นให้ศิษย์ได้เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบันนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าโลกที่ศิษย์อยู่นั้นคนที่ทำความดีอยู่ในโลกนี้ยังไม่เชื่อมั่นในความดีที่มีอยู่เลยใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ก็ไม่แนjใจว่าทำดีไป จะได้ดีหรือไม่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) และไม่รู้ว่าการทำความดีทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ต้องทำไปถึงไหนล่ะ แล้วพอมีคนถามว่าเราเป็นคนดีไหม ศิษย์ยังไม่กล้ารับประกันตัวเองเลยว่าศิษย์เป็นคนดีที่แท้จริง แสดงว่าเรานั้นจะต้องลงแรงมากกว่าที่เราทำมาถูกหรือไม่ (ถูก) โลกยิ่งวุ่นวายธรรมะยิ่งเห็นเด่นชัด เรานั้นต้องรีบปฏิบัติ การบำเพ็ญนั้นบำเพ็ญที่ไหน ไม่ใช่บำเพ็ญให้คนอื่นเห็นนะ บำเพ็ญนั้นต้องบำเพ็ญลงแรงที่ใจเราเอง ที่คนอื่นไม่สามารถที่จะเห็นได้ ยิ่งคนอื่นเห็นเท่าไร จะเรียกเป็นความดีก็คงเรียกได้ยาก แต่จิตใจของเราต่างหากที่คนอื่นไม่เคยเห็นเป็นที่ที่เรารู้อยู่คนเดียว รู้อยู่แก่ใจว่าขาดอีกกี่เปอร์เซนต์  ควรจะเพิ่มอีกสักเท่าไร สมมติว่าใจเป็นวงกลมสีขาวสักวงหนึ่ง ได้กี่ส่วนแล้วที่มีสีขาว
คนในโลกมนุษย์นี้เป็นคนใจดำใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใจดำก็คือคนที่ชอบทำชั่วอยู่เป็นประจำถูกหรือไม่ (ถูก)  สมมติวาดวงกลมขึ้นมาวงหนึ่ง ระบายสีในวงกลมให้เป็นสีโดยใช้ชอล์ค  สมมติว่าสีขาวที่อยู่บนกระดานนี้เป็นสีดำ  ใจคนนี้เป็นคนที่ใจดำมาก ดำสนิทเลย  การที่เราบำเพ็ญธรรมก็คือทำในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ลบสีดำนี้ให้เป็นอย่างไร (สีขาว)  สักกี่ปีดี นี่ตั้งเกือบครี่งหนึ่ง ใช้เวลากี่ปีให้กลับไปคิดนะ คนวันนี้เป็นคนดีครึ่งไม่ดีครึ่งใช่หรือเปล่า เห็นเยอะไหมคนดีครึ่งไม่ดีครึ่ง (เยอะ)  วันนี้จะทำการคัดเลือกคนกลับคืนขึ้นไปเบื้องบนถามว่าคนดีครึ่งไม่ดีครึ่งเอาไหม (ไม่เอา)  ขนาดศิษย์ทั้งหลายยังไม่เอาเลย แล้วจะให้เบื้องบนเอาไหม (ไม่เอา)  เวลามองๆ ไปศิษย์ของอาจารย์ก็ดีทุกคน แต่ถ้ามองกันให้จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ศิษย์ไม่กล้ารับประกันตนเอง ให้อาจารย์รับประกันแทนได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไม่ได้พูดนะ ดีครึ่งเราไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  เราต้องลบอีกใช้เวลาเท่าไร  เวลาเรากลับไปเบื้องบนนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ดีแฝงไม่ดี ดีแฝงดีไว้ เราก็มาดูกันอย่างชัดเจน เหมือนกับอะไร เหมือนกับหางนกที่เป็นพู่เคยเห็นไหม ดึงออกมาทีละเส้นว่าจนสุดท้ายแล้วเหลืออะไร เพราะฉะนั้นหากวันนี้ไม่ขยันบำเพ็ญ ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากเจ็บใจ กลับไปข้างบนก็เจ็บเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นตอนนี้ในโลกมนุษย์นี้สถานธรรมใหญ่โตหรือไม่ ไม่สำคัญ สถานธรรมมีพัดลมหรือแอร์หรือไม่ไม่สำคัญ ตัวเราจะถูกคนอื่นมองว่าดีไม่ดีไม่สำคัญ แต่สำคัญว่าใจจริงๆ ของเราเป็นอย่างไร ทุกๆ คนนั้นเป็นหน้าตาให้กับธรรมะ เพราะธรรมะนั้นไร้รูปลักษณ์เห็นเป็นรูปลักษณ์ที่ใคร หากว่าเราดีไม่ดีนั้น มีแต่ใครที่รู้ (ตัวเราเอง)  คนที่จะกลับไปเบื้องบนได้ ต้องลบออกให้หมด  ลบแค่นี้ไม่พอ ต้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้เกลี้ยง  อย่างนั้นจึงกลับไปเบื้องบนได้ ยากไหม (ยาก)  ไหนใครบอกว่ายากอาจารย์ถอนชื่อจากลูกศิษย์อาจารย์ให้หมด ถ้าหากว่าเจ้าบอกว่ายาก แล้ววันนี้อาจารย์จะช่วยเจ้าไปทำไม สู้อาจารย์ช่วยคนที่มีกำลังใจบำเพ็ญดีกว่าไหม บางคนบอกว่าตัวเองนั้นโดนคนอื่นว่า โดนเขามองข้ามหัวไป เห็นเราเหมือนเห็นอะไร ไม่ค่อยจะมีใครอยากมอง ถามว่าเจ้าอยากมองตัวเองไหม (อยาก) หมายความว่าเรานั้นอยากจะย้อนมองส่องตนหรือเปล่า เวลาคนอื่นมองไม่เห็นค่าเรา  แล้วเราอยากจะมองไหมว่าตัวเรานั้นจริงๆ แล้วมีค่าหรือเปล่า (อยาก)  ถ้าอยากมองก็ยังพอมีความหวัง การขึ้นไปเบื้องบนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ไกลจนเกินเอื้อม เพราะว่าทุกๆ คน นั้นเกิดมาได้ชื่อว่ามีร่างกายเป็นคนเช่นเดียวกับที่อาจารย์นั้นเคยมีมาแล้ว อาจารย์ก็สำเร็จเป็นพุทธะ จากร่างกายที่เป็นคนอย่างนี้ มีหน้าตาเป็นคน มีหูมีตาจมูกปาก  เป็นเจ้าของกิเลส เหมือนกับที่ศิษย์มี มีร่างกายเป็นผู้หญิง และเป็นผู้ชายเหมือนที่ศิษย์  มีขาไว้เดินเท่าๆ กัน แต่วันหนึ่งอาจารย์อาจจะเดินไปห้าสิบกิโล แล้วศิษย์อาจารย์เดินไปแค่ครึ่งกิโล วันหนึ่งอาจารย์อาจจะเอาตาไปมองว่าเวไนยนั้นทุกข์อย่างไร แต่ในขณะทิ่ศิษย์เอาแต่ตามองทีวี วันหนึ่งอาจารย์อาจจะเอาหูไว้ฟังเสียงของคนที่เขาทุกข์ยาก  ในขณะที่ศิษย์นั้นเอาหูไปฟังเรื่องนินทาชาวบ้านต่างกันไหม (ต่างกัน)  ต่างที่ไหน อยู่ที่การลงแรงของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์อยากจะเอาหูไปฟังศิษย์นินทากันได้ไหม (ไม่ได้)  คงต้องฟังกันหูชา ถ้าหากอาจารย์จะเอาตาไปมองทีวีอย่างที่ศิษย์ทำได้ไหม (ได้)  แต่อาจารย์คงต้องดูไม่มีวันจบใช่หรือไม่ (ใช่)  จบเรื่องนี้ก็ต่ออีกเรื่อง เหมือนกับเรื่องวุ่นวายในชีวิตของเรา  ที่เรื่องนี้จบแล้ว  เรื่องนั้นต่อ  เราต้องรู้จักที่จะแยกจากสภาพความวุ่นวายในโลกนี้  ในเมื่อว่าตัวเราวุ่นวายเราจะถูกดูดเข้าไปหาฝั่งวุ่นวายหรือสงบ (วุ่นวาย)   ถ้าตัวเราวุ่นวายก็จะถูกดูดไปฝั่งวุ่นวายทำให้เรานั้นยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าตัวเรานั้นสงบเรานั้นจะถูกดูดไปฝั่งไหน (สงบ)  เราก็จะถูกดึงเข้าไปในฝั่งสงบ ในที่สุดแล้วเมื่อเรานั้นสามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ ก็เหมือนกับการพายเรือทวนน้ำ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับปลาที่วิ่งทวนกระแสขึ้นไปใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าปลาวิ่งทวนกระแสถือว่าเป็นปลาอะไร (ปลาเป็น) ปลาที่ว่ายตามกระแสเป็นปลาเช่นไร (ปลาตาย)  อยากเป็นปลาเป็นหรือปลาตาย (ปลาเป็น) เวลาที่เราบำเพ็ญนั้นก็เปรียบเสมือนก้าวขึ้นบันได ยิ่งก้าวขึ้นไปยิ่งต้องออกแรงมาก  เหมือนยอดไม้ที่อยู่บนต้นไม้ที่สูงที่สุดนั้น ลมพัดบ่อยมากแทบจะไม่มีวันหยุดเลย ยอดไม้ที่อยู่เตี้ยๆ ใต้โคนต้นไม้นั้นไม่ค่อยจะถูกลมพัด เพราะฉะนั้นยิ่งสูงยิ่งลำบาก ยิ่งนำคนยิ่งยาก บำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนแยบยล ต้องอาศัยการปฏิบัติ เข้าไปดูให้แตกฉาน ตีให้แตกฉาน ถ้าหากว่าทำไม่ได้ แม้ว่าเราจะวิ่งออกจากโลกีย์นี้ไป ก็ไปไม่ถึงนิพพานหรอกนะ ลำบากมากหน่อยทนได้ไหม (ทนได้)  
จริงๆ แล้วชีวิตคนเกิดมานั้นทุกคนต้องมีความทุกข์เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทุกข์ วันนี้จะยอมมาบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า  ถ้าหากว่าตั้งแต่เล็กจนถึงเดี๋ยวนี้สุขสบายทุกวัน อยากจะมาบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่อยาก)  เพราะว่ารู้จักทุกข์ ได้เจอทุกข์จนรู้จักว่าเราอยากจะพ้นทุกข์  หากทุกวันสุขอย่างนี้ก็อยู่ในโลกนี้ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อยากเห็นหน้าแม่ครัวไหม (อยาก) แม่ครัวทำอาหารอร่อยไหม (อร่อย) อร่อยจริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าหากว่ายังติดกับรสชาติของความอร่อย  แล้วกลับไปเบื้องบนไม่มีอะไรทาน จะกลับมากินใหม่ไหม  
(พระอาจารย์เมตตาชี้แนะแม่ครัว)  แม้ว่าเราจะมีหน้าที่แม่ครัว  แต่ว่ามีเวลาว่างๆ ก็ยังต้องมาศึกษาธรรมะ เรียนรู้ธรรมะ มีอะไรไม่เข้าใจ ศึกษาแล้วรู้ไม่ถี่ถ้วน ก็พยายามศึกษามากขึ้นๆ ธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่ศึกษาไม่รู้จบ การปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง  แม้ว่าเป็นแม่ครัวจะกุศลมาก แต่ว่าอย่าหาทางใช้กุศลหมดนะ รู้ไหม   อากาศในครัวร้อน  แต่ว่าหน้าเราต้องยิ้มไว้
(พระอาจารย์เมตตาชี้แนะคนดูแลเด็ก)
มีเวลาว่างศึกษาธรรมะให้เยอะๆ  วันนี้เขาให้เราดูแลเด็ก  วันหน้าเรามาเป็นพี่เลี้ยงเขาดีไหม (ดี)  อาจารย์หวังว่าจะเห็นศิษย์บ่อยๆ  ดูแลเด็กให้ดี เด็กนึกอยากร้องก็ร้อง นึกอยากหัวเราะก็หัวเราะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กมีความไร้เดียงสา เวลาเด็กร้องไห้ก็นึกเสียว่าเขาร้องเพลง เวลาเด็กหัวเราะก็ขอให้มีความสุขกับเขา  เราก็เคยเป็นเด็กมาก่อน แล้วจิตใจที่เป็นเด็กๆ ของเราตอนนี้หายไปหรือไม่ (หาย)  ต้องทำอย่างไร ต้องฟื้นฟูขึ้นมา  สองวันนี้เรามานั่งฟังธรรมะ ชั้นเรียนนี้ชื่อว่าฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ  แปลว่าฟื้นฟูจิตแห่งพุทธะของเรานั้นให้กลับคืนขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนนั้นมีภาวะแห่งพุทธะอยู่ในตัวของเรา  เป็นภาวะอันบริสุทธิ์ แต่ว่าเราเอาฝุ่นแห่งโลกีย์ เอากิเลสต่างๆ นั้นไปป้ายจนเปื้อนไปหมด  ต้องค่อยๆ เช็ด ค่อยๆ ขัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งวันขี้เกียจขัด ถามว่าฝุ่นนี้กลับทวีคูณไหม (เป็น)  พอเราเห็นบ้านรกหนักๆ เข้า  ยิ่งขี้เกียจถูใหญ่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราบที่พื้นถ้าหากว่าเกาะแน่นๆ เราขัดง่ายหรือยาก  (ยาก)  เราเอาคราบเหล่านี้ออกยาก  ยิ่งออกยากยิ่งต้องใช้น้ำยาที่แรงๆ  เพราะฉะนั้นใจของเราก็เหมือนกับคราบที่ติดอยู่ในใจของเรา  ถ้าหากว่าเราปล่อยให้ติดแน่นมากเกินไป  วันหนึ่งเบื้องบนอาจจะต้องใช้น้ำยาแรงๆ มาลงที่ใจศิษย์ก็ได้ ถึงเวลานั้นเจ็บก็ต้องยอมเจ็บ  หากว่าไม่ยอมเจ็บก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด  ชาตินี้เราบอกว่าเราทุกข์แล้ว  แต่อาจจะมีชาติต่อไปที่เราทุกข์กว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าชาตินี้เราก็รู้สึกว่า ทำบาปไปเยอะ ชาติหน้าเราอาจจะต้องทุกข์กว่านี้ก็ได้  แล้วถ้าหากว่าชาติหน้าของเรา  เรายิ่งทำไม่ดีมากขึ้น  เคยเห็นคนฆ่าคนตายทางหนังสือพิมพ์ไหม เคยเห็นคนที่ทำร้ายผู้อื่นทางหนังสือพิมพ์ไหม  ชาติหน้าเราอาจจะลืมจิตใจของตัวเอง อาจจะไม่เป็นคนที่ทำดี อาจไม่เป็นคนเข้าวัดเข้าวา จนเรานั้นกลายเป็นคนไม่ดีสุดๆ ไปเลย  เพราะฉะนั้นชาตินี้โชคดีเจอธรรมะ โชคดีเหนือดี   แล้วเราจะต้องทำดีให้ถึงที่สุด ได้หรือไม่ (ได้)  เพื่อสักวันหนึ่งเราก็สามารถที่จะขึ้นไปสู่ดินแดนแห่งความดีอันบริสุทธิ์  เพราะเรานั้นเป็นผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว  อยากไปหรือไม่อยากไป (อยากไป)  อยากไปก็พยายามมากๆ เข้า
(พระอาจารย์เมตตาคนในครอบครัวสกุลจวง และประทานชื่อพุทธสถานในบ้านสกุลจวงว่า “ฉือเซวียน”)
ตอนนี้มีชื่อสถานธรรมแล้ว เราก็ทำให้ดีๆ ความตั้งใจที่เรามี  อาจารย์บอกว่าให้ขีดเส้นตรงไปให้จนสุดเลย  
 “ฉือเชวียน”                  อันนี้เป็นชื่อสถานธรรมอีกชื่อหนึ่งที่อาจารย์ได้รับมอบหมายให้ส่งให้ ใครที่มีหน้าที่มีส่วนร่วมอยู่ในสถานธรรมแห่งนี้ก็ให้รู้ว่าตอนนี้สถานธรรมแห่งนี้ ไม่ได้เป็นสถานธรรมในบ้าน  เป็นสถานธรรมของทุกทุกคน… คนที่มาจากทางกรุงเทพฯ และไปมาสถานธรรมนี้บ่อยๆ ขอให้พยายามยิ่งยิ่งขึ้นไป  ทำได้เท่าไหนก็เท่านั้นแต่ขอให้ทำเท่าที่เราตั้งใจแล้ว   (พระอาจารย์เมตตาให้วงพระโอวาท)  ในโลกนี้มีสุขที่แท้จริงไหม  สุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (นิพพาน) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
มีศิษย์ข้างหลังรู้ว่าให้เพลง เวลาอาจารย์สอบไม่เห็นรู้ใจอาจารย์เลยตกกันระนาวเลย ตอนนี้รู้ว่าอาจารย์ทำอะไร แต่พอสอบแล้วไม่เห็นผ่านสักคนเลย ศิษย์คิดว่าอาจารย์สอบศิษย์เป็นรึเปล่า  สอบเป็นไหม บางคนโดนไปไม่รู้ตัวเลย เวลาที่เรานั้นมีอะไรที่เรารู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกไม่ชอบใจ เราก็ต้องรู้ไว้ว่าเรานั้นจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม จะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว พ่นพิษก็พ่นพิษไปเรียบร้อย โมโหก็โมโหไปเรียบร้อยแล้ว น่าคิด น่าคิด 
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายคำในพระโอวาทที่ให้นักเรียนวง)
“เก่ง”  คำนี้อ่านว่าอย่างไร (เก่ง)  เก่งไหม (ไม่เก่ง)  ถ้าหากว่ามีความเก่งก็เอาความเก่งมาใช้ในการบำเพ็ญธรรมด้วย บำเพ็ญธรรมได้ดีก็เรียกว่าบำเพ็ญธรรมได้เก่ง 
“ต่าง”  คำว่า ต่างอันนี้หมายความว่าอย่างไร ศิษย์มาจากสังคมที่ต่างกับที่นี่ ที่นี่ไม่เหมือนกับที่บ้านแต่ว่าน่าแปลกตรงที่ธรรมะก็ไว้บำเพ็ญในชีวิตประจำวัน ธรรมะก็เอาไปบำเพ็ญในชีวิตที่มีสีสันของเรานั่นแหละ บำเพ็ญได้ยิ่งดีเท่าไร สีสันก็กลับกลายเป็นสีขาวเอง สักวันหนึ่งศิษย์ก็คงมาใส่เสื้อสีขาวแบบคนที่นี่ ทำได้ไหม (ได้)  
จริงๆ แล้วความสงสัยเป็นเรื่องดีหรือเปล่า (ดี)  ความสงสัยที่จะหาความรู้เพิ่มเติมนั้นเป็นสิ่งที่ดี  แต่ความสงสัยนั้นต้องมีวันจบสิ้น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราก็คงต้องจบเอง  ชีวิตเราต้องจบแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสงสัย ศึกษาแล้ว ได้คำตอบแล้วต้องเอาไปใช้  ถ้าหากว่าสงสัยแล้ว ได้คำตอบแล้วก็เฉยๆ ว่าฉันรู้แล้ว รู้มากกว่าใครเพื่อน  แต่ก้าวของเรานั้นน้อยกว่าใครเพื่อน อย่างนั้นก็เป็นการรู้ที่เสียเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ใครว่าตัวเองไม่มีโอกาส  เวลาโอกาสมาถึงแล้วก็อย่าปล่อยผ่านไป เคยได้ยินคำว่า “แพ้ภัยตนเอง” ไหม (เคย)  คนประเภทไหนถึงแพ้ภัยตนเอง คนที่แพ้ภัยตนเองคือคนที่คิดร้ายต่อผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น  เหมือนกับว่าเราได้เปรียบ แต่สุดท้ายเราไม่ใช่เสียเปรียบใคร แต่เสียเปรียบตัวเอง  เราไม่ได้แพ้คนอื่น แต่แพ้ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าอะไร  เพราะว่าใจของเรานั้นมีพิษภัยมากมาย  เราให้พิษคนอื่น  แต่ว่าเราเก็บพิษไว้กับตัว  สักวันหนึ่งพิษรั่วเราก็ (ตาย)  
ความหมายคร่าวๆ ของเพลงนี้ที่อาจารย์ให้ไป คือการเป็นคนประมาททำให้เราจะต้องล้มลงได้  เวลาเราล้ม เวลาเราลำบาก เราจะหันหน้าไปพึ่งใคร  ในเมื่อเราไม่เคยช่วยใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แน่นอนคนเรานั้นไม่มีใครช่วยเราได้เท่าตัวเราเอง  แต่ถ้าให้ดีก็คือ อย่าได้ล้มลง อย่าได้ประมาท อาจารย์จึงบอกว่า “โปรดจงระวังสักหน่อย  อย่าปล่อยชีพนี้ให้พังง่ายดาย”  ชีวิตคนเหมือนกับของสิ่งหนึ่ง  เก้าอี้ที่เรานั่งอยู่สักวันก็ต้องพังทลาย ชีวิตของเรานั้นยิ่งเปราะบางกว่าเก้าอี้อีก  ชีวิตของเรานั้นเปราะบางกว่า ยิ่งพังลงได้ง่ายดายกว่า  เพียงแต่เราคิดผิดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วทำตามความคิดผิดๆ เหล่านั้น ชีวิตของเราก็จะพังลงแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนอยากจะฆ่าตัวตาย  แค่เราเอามีดกรีด เราก็ตายไป ชีวิตนี้ก็พังลงแล้ว  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “หลับตื่นหนนี้ให้ผลยาวไกล”  ในวันนี้เราจะบอกว่าเราเป็นคนหลับอยู่หรือตื่นอยู่  ในการมองเราลืมตาเหมือนดั่งตื่นแต่ใจของเรานั้นหลับ ดังนั้นจึงขอให้เรานั้น ตานี้หลับหรือลืมไม่สำคัญ ขอให้ใจของเรานั้นตื่น เพราะฉะนั้นหลับหรือตื่นอันนี้พูดถึงจิตใจของเรา  ตื่นอย่างไร  ตื่นก็คือรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรม สร้างคุณธรรม  สร้างความดี สร้างกุศล ชำระกรรมที่เราเคยสร้าง มีจุดมุ่งหมายในการที่จะเดินทาง
“พบยากจนถึงง่ายสุด”  บางคนพบยาก พบง่าย สิ่งใดที่ง่ายที่เราเจออยู่ในตอนนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของความยากในวันข้างหน้า  สิ่งใดที่เราเจอยากแล้ว ลำบากแล้ว  วันหน้าเราอาจจะเจอสิ่งที่สบายกว่านี้ก็ได้ อย่าได้ท้อแท้ หดหู่ หมดกำลังใจ  เพราะกำลังใจที่ดีนั้นมีแต่เราให้ตัวเราเองเท่านั้น
“ต่างคนเร่งรุด”  ตอนนี้ทุกคนก็เร่งรุดอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็เห็นศิษย์เร่งจริงๆ  แต่อย่าลืมลงไปเร่งที่ใจของเราด้วย  เร่งที่ใจของเราเวลาที่จะทำผิดแล้วใจของเราเตือนเราเอง ตอนนั้นให้เตือนใจของเราเองด้วย  ไม่ใช่รู้ว่าผิดก็ยังทำไป เหมือนคนหลับหูหลับตาทำ  เพราะฉะนั้นเวลาเราเร่งรุดมากๆ  เรารีบมากๆ  ก็ต้องมีข้อผิดพลาดบ้าง  อาจารย์จะบอกว่า  เมื่อเรารีบมากๆ  เราเห็นคนข้างๆ ของเราก็รีบเหมือนเราแต่เขาทำผิด  เราจะไปกระทบกระเทียบเปรียบเปรยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  หลายคนไม่อยากจะบำเพ็ญธรรมต่อก็เพราะว่าโดนว่านี่แหละ  โดนต่อว่า แต่ให้รู้ไว้ว่า จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครไม่เคยทำผิด  จึงบอกไว้ในประโยคสุดท้าย  “เปิดเผยและอภัยคน”  เรานั้นอย่าได้กระทบกระเทียบเปรียบเปรย พูดจาเปรียบเทียบถากถางต่างๆ นานา  เรานั้นควรที่จะทำตัวเราให้เป็นแบบอย่างจนเขานั้นได้รู้ตัวต่างหาก “ขอมิซ้ำคนพลาดเอย”  อาจารย์ย้ำอีกว่าอย่าได้ซ้ำเติมคนที่ผิดพลาดไป  
“ปราชญ์เปิดเผย” เปิดเผยมาคู่กับคำว่าอะไร  คำว่า "เปิดเผย" คำนี้ ก็คือคำว่า "เปิดเผยจริงใจ"  คนบางคนบำเพ็ญธรรมแต่ทำตัวลับๆล่อๆ ดูแล้วไม่สง่างาม เมื่อเราเป็นคนเปิดเผยก็ต้องรู้จักที่จะให้อภัยคนใช่หรือไม่ (ใช่) จึงจะเพิ่มความมีราศี เพิ่มบารมี และสง่างามเหมือนปราชญ์ได้  เพราะฉะนั้น ปราชญ์เปิดเผย จริงใจ อภัยคน ให้จำไว้ พูดสิ่งใดขอให้เราคิดว่าเรานั้นจำเป็นต้องเป็นคนที่เปิดเผย แต่อย่าได้มุทะลุ หลายคนสับสนคำว่า "เปิดเผยกับมุทะลุ"นั้น ถ้าหากเรามีมากเกินไปกว่าความพอดีก็เรียกว่า มุทะลุ หากเรามีพอดีก็เรียกว่า เปิดเผย มีน้อยเกินไปนั้นก็ไม่อาจเรียกว่า เปิดเผยได้ "ขอจงตั้งใจบำเพ็ญ  เปลี่ยนแปลงตนเป็นที่พึ่งแห่งชน" เวลาที่เราลำบากเรานั้นไม่พึ่งใครใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้เราจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เราเป็นที่พึ่งของคนอื่น เพราะเรารู้ว่าเราไม่มีที่พึ่งเราจึงต้องเป็นที่พึ่งให้คนอื่น นอกจากไม่หวังไปพึ่งใครแล้ว เรายังต้องให้คนอื่นพึ่งเราได้ด้วย เป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ไหม อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไปพึ่งใครเลยให้พึ่งตัวเอง และยอมให้ผู้อื่นพึ่ง 
"คิดร้ายใครต้องแพ้ภัยตน      หมั่นฝึกฝนดลใจน้อมเอง" 
ไม่คิดร้ายกับใครเพราะคนที่หวังเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น ถ้าหากคิดร้ายกับคนอื่นก็ไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้ ใช่หรือเปล่า  ในห้องนี้ทุกคนเคยทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนเคยสุขไหม แล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร ความสุขที่แท้จริงต้องมีเงินใช้ มีบ้านหลังโตๆ มีรถขับใช่หรือเปล่า แต่ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน ความสงบที่แท้จริงๆนั้นอยู่ที่ความสงบภายในจิตใจของเราเอง ไม่สามารถหาได้จากภายนอกใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่หาได้จากภายนอก ความสงบและความสุขนั้นไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา จึงเรียกเป็นความสงบที่แท้จริง บางคนบอกว่าฉันเป็นคนจิตสงบมาก แต่ว่าสงบตอนนั่ง นั่งหลับตา แต่พอเดินก็ไม่สงบแล้ว พอเห็นคนทะเลาะกันก็ไม่สงบแล้ว เห็นขโมยขึ้นบ้านก็ไม่สงบแล้ว เพราะฉะนั้น ความสงบที่แท้จริงคือ จิตสงบ เป็นความสงบที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งต่างๆ ความสุขนี้เป็นความสุขที่ไม่สามารถหาได้จากภายนอก จึงถือเป็นความสุขที่แท้จริงและเป็นความสงบที่จีรังยั่งยืน  ในห้องนี้ใครเคยมีความสุขบ้าง มีไหม  ปีนี้ก็เริ่มจะหาได้น้อยลงเพราะว่าจริงๆ แล้ว หยุดวุ่นวายนั้น ศิษย์นั้นมีความสงบน้อยครั้งเต็มที  ในความเป็นจริงแม้นไม่อยู่ในคฤหาสถ์ อยู่กระต๊อบแทนบ้าน เดินเท้าแทนรถ ไม่มีเงินใช้ ปลูกผักกินเองก็มีความสุขได้ ใช่หรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความรู้จักพอของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้อยู่ในโลกนี้ใช้เวลาที่มีอยู่บำเพ็ญธรรม และอย่าติดโลกนี้มากเกินไป เพราะยิ่งติดโลกนี้มากเท่าไรยิ่งตัดยิ่งยาก เหมือนเอามีดไปตัดยาง ยางนั้นตัดยากไหม (ยาก) แล้วเอามีดไปหั่นผักหั่นง่ายไหม(ง่าย) ใจของเราก็เหมือนอย่างนี้ หากว่าเราปลูกฝังความยึดติดไว้มากจิตของเราก็เป็นยาง จะเอามีดหั่นลงไปยางยิ่งหนาก็ยิ่งหั่นลำบาก แต่ถ้าหากจิตของเราอ่อนนิ่มเหมือนผักที่เกิดมาจากธรรมชาติ แค่เอามีดหั่นลงไปมันก็ขาด ขอให้กิเลสของเรานั้นบั่นง่ายเหมือนหั่นผัก วันนี้อาจารย์มาเวลามีจำกัด ถ้าศิษย์ทุกคนนั้นดีใจที่อาจารย์มา หลายคนที่มาเข้าชั้นเรียนในสองวันนี้อายุมากแล้ว รู้ว่าชีวิตเรานั้นมันเหลือน้อยเต็มที ก็ขอให้ทำชีวิตของเรานั้นให้มีค่าให้มาก คุณธรรมนั้นเปรียบเสมือนราก ทรัพย์สินเงินทองเปรียบเสมือนกิ่งก้าน ขอให้เรานั้นรักษารากของเราไว้อย่าไปสนใจกิ่งก้าน หากว่าเรามีรากที่ดี สักวันหนึ่งกิ่งก้านก็จะงอกขึ้นมา แต่หากว่าเรานั้นมีรากไม่ดีสนใจแต่กิ่งก้าน สนใจแต่ใบ สนใจแต่ผล วันหนึ่งเมื่อรากเน่าไปแล้วอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะคนบำเพ็ญธรรม ชีวิตนี้ที่ขึ้นตรงต่อฟ้า ทุกขณะจิตทุกๆ สิ่งที่ทำนั้นอยู่ในสายตาของพุทธะเบื้องบนเราทำตัวดี ธรรมะนี้ก็อยู่ยืนนาน ทำไม่ดีธรรมะนี้ก็สั้นลงคำว่า "ธรรมะ" ในที่นี้หมายถึง ธรรมะที่ศิษย์นั้นต้องการเผยแพร่ ต้องการสืบต่อ อย่าให้การกระทำ และอุดมการวิ่งสวนทางกัน การเป็นคนดีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อาจารย์รู้เพราะว่าเรานั้นเกิดมาจนถึงปัจจุบันเราก็ฟัง เราก็รู้ว่าต้องทำดีมาตลอด แต่เรานั้นทำได้เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เสี้ยวไม่ได้ครึ่ง เวลาอาจารย์ถามถึงนิพพานจึงไม่มีใครกล้าตอบว่าไปถึง  แต่อย่าลืมว่าเบื้องบนนิพพานนั้นมีอาจารย์รออยู่เจ้าไม่อยากไปหรือ ไม่อยากอยู่กับอาจารย์หรือให้อาจารย์รออยู่อย่างนี้ แล้วอาจารย์มาช่วยเราทำไมล่ะ ถ้าอาจารย์ไม่มีความหวังไม่มีความตั้งใจแล้วอาจารย์จะมาช่วยทำไม อาจารย์เรียกศิษย์ไปนิพพาน ในใจของเจ้าทุกคนนั้นบอกว่าไปไม่ถึง แล้วที่อาจารย์มาช่วยศิษย์ล่ะ ถามว่าใจอาจารย์คิดว่าศิษย์ไปถึงไหม ถ้าคิดว่าศิษย์ไปไม่ถึงจะมาช่วยทำไม คิดว่าอาจารย์ลงมาช่วยด้วยความจำใจอย่างนั้นหรือ อาจารย์จำแบกภาระนี้แต่ลงมาช่วยด้วยความเต็มใจถ้าอาจารย์คิดเหมือนที่เจ้าคิด คิดว่าศิษย์ไปไม่ถึงไม่ลงมาช่วย เราก็ไม่มีบุญเป็นศิษย์อาจารย์กัน พยายามหน่อยดีไหม วันนี้เป็นวันแรกของการประชุมธรรมในช่วงนี้ที่เกิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่เจ้านั้นได้เห็นอาจารย์เป็นรูปลักษณ์อีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่อาจารย์ได้พูดกับพวกเจ้าว่า “พยายามมากกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม” (ได้) เวลาที่เราเผลอเวลาที่เราท้อมันเป็นเวลาที่สิ้นหวังที่สุดใช่ไหม คิดถึงอาจารย์ให้มาก ความสิ้นหวังและท้อแท้นั้นจะได้เหือดหายไป
คราวหน้าเจอกันใหม่ เห็นใจอาจารย์ไหม (เห็น) เห็นใจอาจารย์บำเพ็ญให้เยอะๆ  บำเพ็ญเยอะๆ วันหลังก็กลับมาอยู่กับอาจารย์ได้ บำเพ็ญน้อยไปก็ต้องวนเวียนอยู่ในโลกนี้ เวียนว่ายตายเกิดมีความทุกข์อย่างนี้ เกือบครึ่งเกือบค่อนของชีวิตเรานั้นมีแต่ความทุกข์  แล้วเป็นคนนั้นดีอย่างไร  ตื่นเถอะนะ ตื่นก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไป  ลาก่อนนะ วันหน้าเจอกันใหม่.

พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ความสงบคือสุขแท้”

มีสุขไหนจีรังในโลกหล้า เพียรไขว่คว้ากลับพบแต่ความว่างเปล่า
ความสุขแท้คือสงบในใจเรา เมื่อจิตเบาก็จะสุขขึ้นมาเอง
บำเพ็ญธรรมเพื่อพ้นโลกไม่พันผูก เรื่องผิดถูกทำให้คนนั้นพูดเก่ง
ต่างวุ่นวายใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง สะดุ้งตื่นแสนเก่งก็ไม่พ้นกรรม
แม้ล้นยศลาภสุขหนี เศรษฐีก็ยังกลืนกล้ำ
ให้สุขกว่ารับน้อมนำ ได้ทำย่อมดีกว่ารอ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา