วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2543

2543-03-15 พุทธสถานหมิงฮุย จ.ลพบุรี


PDF  2543-03-15-หมิงฮุย #2.pdf

วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๓ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เปิดใจกว้างรับสิ่งดีเข้าสู่จิต อย่าได้ติดความคิดตนเฝ้าสงสัย
ศึกษาเพิ่มจนวันหนึ่งได้เข้าใจ ธรรมชิดใกล้ชีวิตตนไม่ไกลตัว
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา     ฮวา  ฮวา

ใช้เมตตายกระดับชีวิตตน การฝึกฝนพาพัฒนาสู่ขั้นใหม่
ต้องขมก่อนจึงหวานขึ้นมาได้ ลำบากก่อนจึงง่ายธรรมดา
มีชีวิตหนึ่งนี้นับเป็นเกียรติยิ่ง เหนือสุดทิ้งโลกีย์วิสัยไม่ถวิล
อย่าห่วงแต่ปากท้องเรื่องหากิน อาจตายดิ้นพร้อมกิเลสยากช่วยทัน
ในครานี้เบื้องบนส่งสายทองมา ช่วยผู้มีบุญหนักหนาคืนสู่ฝั่ง
จงหนีจากภัยแห่งใจเฝ้าระวัง บำเพ็ญหยั่งทั้งชีวิตมาทุ่มเท
ชีพดั่งฝันดั่งละครยากควบคุม จงสุขุมปรับปรุงตนไม่ไขว้เขว
ทะเลทุกข์ไม่เคยปล่อยคนลังเล ยังเกเรไม่รู้ค่ายากช่วยทัน
เป็นคนใหม่ต้องปรับปรุงเริ่มจากใจ จิตยิ่งใหญ่รู้พิจารณาปัญญาล้ำ
อย่าเห็นเป็นเรื่องหลอกเล่นในใจขำ จากที่ต่ำขึ้นสูงนั้นช่างยากเย็น
สองวันนี้โอกาสดีประชุมธรรม ใส่ใจจำแต่เรื่องดีที่ได้เห็น
ธรรมะอยู่ที่ปฏิบัติและใช้เป็น ไม่ยากเย็นในคนที่พยายาม
จงรักษาพุทธระเบียบการร่วมชั้น ไม่เป็นควันหายลับหลังจบชั้นนี้
ขอให้มีความตั้งใจอันคงที่ ทุกทิวาราตรีมีใจเดียว
จงแก้ไขสิ่งบกพร่องใหม่สู่เก่า ขอให้เราเป็นแบบอย่างคนรุ่นหลัง
ให้ใครเห็นใครรักเพราะงามที่ตั้ง คุณธรรมหลั่งจากใจดุจสายน้ำ
ผู้มีบุญกับพุทธะรักษาบุญ แปรน้ำขุ่นเป็นใสเต็มใจหนา
ธรรมะแท้แต่แผ่โปรดชั่วเวลา จงสร้างค่าให้กับตนเองทัน
พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น จงแบ่งปันความทุกข์สุขเท่าเสมอ
ชีวิตหนึ่งสั้นนักอย่าละเมอ เมื่อพบเจอโอกาสแล้วอย่าปล่อยไป
ทั้งสองวันจงมาให้ครบถ้วน อย่าเรรวนเมื่อผ่านไปหลายปีนั้น
เพียรทางธรรมต้องเพียรอยู่ทุกวัน ลมหายใจไม่ขาดนั้นไม่เลิกรา
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา   หยุด


วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๓ พุทธสถานหมิงฮุย  อ.เมือง จ.ลพบุรี

ใจไหวตามสิ่งกระทบพาให้คิด พันผูกติดตามอารมณ์กระเพื่อมไหว
เป็นเช่นคลื่นแปรปรวนยากควบคุมได้ ปลงไม่ได้วางไม่ลงบำเพ็ญสูญเปล่า
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ทำงานร่วมมนุษย์ฟ้าอีกหนึ่งงาน มาช่วยกันวาระโปรดไกลกว้าง
ร่วมทำงานใหญ่เกณฑ์ยุคปลายสะสาง ตลอดทางเรียกคืนล้วนพุทธบุตรเดิม
พุทธะลงฐานถิ่นแห่งแดนโลกีย์ ต้องรู้ที่เตือนตนอย่าเคลิบเคลิ้ม
ทวนกระแสบำเพ็ญธรรมฟื้นญาณเดิม คนจริงใจแรงเริ่มจากฤทัย
ฤทัยใสสราญผู้ชอบในงาน ช่วงของกาลรู้แบ่งเวลาใช้
ชอบประวิงเวลาผิดติดพันไกล ทำงานใหญ่อย่าผ่อนผันเคยชิน
คลังปัญญาแยกแยะรู้เหนือการเปลี่ยน ขุ่นใสเรียนแก้ไขภัยลดสิ้น
ใดขวางหน้าเดินฝ่าอย่าถวิล จิตเที่ยงตรงตามคืนถิ่นมาตุภูมิ
ตัดแนวทางอารมณ์ตัดที่ใจ ถือครรลองแห่งสัมมาให้ใจสุขุม
โลภอยากมีทำให้ใจร้อนรุ่ม เหมือนอย่างให้หนามรุมต้องจาบัลย์
อย่าเปลืองใจมีทุกข์เพราะระกำ ถือคุณธรรมทำแต่ดีไม่ผัน
บำเพ็ญแล้วแจ้งที่ยิ่งใหญ่นั้น เพราะมีปณิธานผ่องแผ้วแสนงาม
เมื่อทำจะลังเลอีกไม่ได้ เมื่อเข้าใจฟ้าอาศัยท่านแบกหาม
รู้จักตนความสำเร็จยังเดินตาม ฟองเจตนาตามคลื่นดูไว้ครรลอง
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เกิดมาก็มีแต่ความทุกข์จึงต้องพยายามหาสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วเกิดมาทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แน่ใจหรือไม่ เกิดมาเรายังไม่รู้เลยว่าอะไรเรียกว่า “ทุกข์” อะไรเรียกว่า “สุข” ให้ท่านลองนึกถึงตอนเด็กๆ ท่านรู้หรือยังว่าอะไรคือทุกข์  รู้แค่เพียงว่าหิวกับไม่หิว หิวก็ร้องไม่หิวก็นอนหลับ ใครแหย่เล่นด้วยก็ยิ้มแย้ม แต่ตอนนั้นเราแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย จะมารู้อีกทีก็ต่อเมื่อเราโตขึ้น เมื่อมองเห็นว่าเด็กเป็นอย่างไรเราถึงเพิ่งนึกออกได้ว่า ตัวเราก็เคยเป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วเราไม่ได้เกิดมาก็ทุกข์ เราเกิดมายังไม่รู้ เมื่อไม่รู้เราจึงเป็นผู้ที่อยากรู้และแสวงหาความรู้ว่าอันนี้คืออะไร อันนี้เป็นอย่างไร  ตัวเรานี้เป็นใคร ฉะนั้นเราเกิดมา เราจึงเป็นผู้ไม่รู้ ยิ่งเติบโตมายิ่งทำให้เราค่อยๆ รู้ว่าอันนี้เรียกว่าอะไร เป็นอย่างไร เมื่อเป็นแบบนี้เราเรียกว่าทุกข์ เมื่อได้แบบนี้เราเรียกว่าสุข
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกทำให้คนเปลี่ยนแปลง เรื่องราวในโลกนี้เมื่อมากระทบใจเราปุ๊บ ใจเราก็เกิดคิด หากคิดปุ๊บเราเห็นคล้อยด้วย เราก็ไปตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) เฉกเช่นมนุษย์เรา เมื่อเกิดมาทุกคนก็อยากมีเงินอยู่ในกระเป๋า  เพราะมีแล้วก็มีความสุข มีแล้วสามารถหาซื้ออะไรก็ได้ที่เราต้องการ  เมื่อตอนแรกเรามีเงิน เราสามารถควบคุมเงินได้แต่ยิ่งใช้ไปนานๆ กลายเป็นเงินมาควบคุมเรา จริงหรือไม่ (จริง)  อีกอย่างหนึ่งเมื่อเรามีอารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์โลภ ตอนแรกเราควบคุมใจเราให้โกรธ สั่งใจให้โมโห สั่งใจให้รักคนๆ หนึ่ง เมื่อเราสั่งใจให้รักเขา แต่พอเรารักเขาไปแล้ว ใจเราเป็นอย่างไร มืดบอดมองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวเราเป็นอย่างไร บงการตัวเองไม่ค่อยจะได้แล้ว จากตอนแรกเราสั่งให้ใจเรารักคนนี้ เราสั่งให้ใจเราเกลียดคนนี้ เราสั่งให้ใจเราโกรธคนนี้ แต่เมื่อได้เกลียด ได้รัก ได้โกรธ ความเกลียด ความรัก ความโกรธกลับมาครอบงำใจแล้วควบคุมใจเรา เมื่อเกิดอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งมาควบคุมใจเราก็หวาดกลัว  อย่างเช่นเราอยู่บ้านหลังหนึ่งและบ้านหลังนี้มีผู้มีอิทธิพลมาคุ้มครอง เราเริ่มกลัวใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีเรื่องมากระทบใจ ใจเราเริ่มรับกับเรื่องที่มากระทบ ใจเราก็สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ใครเขาบอกว่าอย่างไรเราก็ตามเขาไป ลืมตัวเองไปว่าทำไมเราไม่ลุกขึ้นสู้ ทำไมเราไม่รู้จักบอกเขาว่าอย่างนี้ไม่ถูกนะ ทำไมไม่หยุดยั้งตัวเอง ไม่ทำตามเขา แม้เขาจะมีอำนาจก็ตาม บ่อยครั้งที่เรื่องราวในโลกนี้มากระทบใจ ตอนแรกเราสามารถสั่งใจให้ทำเช่นนั้นทำเช่นนี้ได้ แต่พอสิ่งนั้นเข้ามาอยู่ในใจเรามากขึ้น สิ่งนั้นกลับควบคุมใจเรา ทำให้ใจเราเปลี่ยนแปลงไป  ทำให้ใจเรามืดบอดไป มองอะไรไม่ค่อยเห็น เป็นเพราะว่าใจของมนุษย์เราพร้อมที่จะไหวเอนไปตามเรื่องราวสภาวะที่มากระทบจิตใจได้ บางครั้งเราควบคุมโลก บางครั้งโลกควบคุมเรา บางครั้งเราควบคุมใจเราได้ แต่บางครั้งอารมณ์มาทำให้ใจเรายากควบคุม จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ หากเราสามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ เราก็ต้องรู้จักควบคุมใจของตัวเองให้อยู่เหนือสรรพสิ่งให้ได้ด้วย ในเมื่อเราจะบงการใครแล้ว ก็ต้องบงการให้ตลอดรอดฝั่งไม่ใช่บงการไปสักพักหนึ่ง เรากลับกลายเป็นทาสของสิ่งที่เรากำลังบงการอยู่ จริงหรือไม่ (จริง) บางครั้งมีเงิน เป็นนายของเงิน แต่พอมีเงินไปนานๆ เรากลับกลายเป็นทาสของเงิน เหมือนตอนแรกเรามีความรัก มีสุขที่ได้รัก แต่พอมีรักไปมากๆ เรากลับเป็นทุกข์เพราะรัก เพราะเราลืมไปว่าสิ่งที่มากระทบใจเรานั้น ทำให้ใจเราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ทำให้ใจเราลืมความเป็นตัวของตัวเอง จากที่เคยยืนด้วยลำแข้งนี้ และเคยพึ่งพาตัวเอง กลับต้องสูญเสียไป เพราะว่าสิ่งที่มากระทบใจจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราจะควบคุมเป็นนายเหนือสรรพสิ่ง เป็นทาสของสรรพสิ่ง หรือจะมีอิสระเหนือสรรพสิ่งในโลกนี้ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราจะควบคุมเรื่องที่มากระทบใจเราได้ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เราพูดเรื่องที่น่าเบื่อหรือเปล่า หรือท่านอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับการหาเงิน (ไม่อยาก)  เกือบตลอดชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ หาเงินมาแทบแย่แล้ว วันนี้มานั่งฟังธรรมะ ยังต้องพูดว่ามาหาเงินอีกหรือ บางคนเรียนมาเต็มที่แล้ว ก็อยากมาฟังธรรมะ ฟังแล้วก็ทำให้จิตใจเราคลายกังวล คลายเศร้าหมอง ฟังแล้วทำให้จิตใจเราโปร่งเบาสบายใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราแบกอะไรเยอะแยะไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีเต็มตัวไปหมดจนกลายเป็นเหมือนตัวของเราที่เป็นคนเช่นนี้ ฉะนั้นตอนนี้ทำอย่างไรเราถึงจะปล่อยพันธนาการเหล่านี้ให้วางลงได้ และเป็นอิสระได้
ตอนนี้แม้ท่านจะยังไม่รู้จักเรานัก แต่ขอให้มีใจต้อนรับเราสักเล็กน้อยได้หรือไม่ (ได้)  จะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เจอหน้าเราถ้าหากว่าท่านไม่ต้อนรับเราก็จะอยู่กันอย่างหวานอมขมกลืนหรือกลืนไม่เข้าคายไม่ออกใช่หรือเปล่า  เป็นอย่างไรตั้งแต่มีชีวิตมามีแต่เรื่องขื่นขมใจ วันนี้เจอหน้าเราถึงพูดไม่ออกเลย หรือว่าชีวิตนี้มีแต่เรื่องระกำลำบาก พอมานั่งที่นี่ก็ยังวางไม่ลงปลงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ท่านเป็นเหมือนเจ้าของบ้าน เราเหมือนแขกผู้มาเยือน  จะไม่เรียกแขกให้นั่งลงหรือทักทายกันบ้างเลยหรือไร หากเราเป็นแขกผู้มาเยือนเราคงไม่อยากมาบ้านนี้อีก เพราะเจอหน้ากันครั้งแรกก็ปั้นปึ่งใส่กันแล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)
วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรมกัน ก็เพื่อจะนำไปบำเพ็ญปฏิบัติ การบำเพ็ญปฏิบัตินั้น บำเพ็ญไปเพื่ออะไร ปฏิบัติไปเพื่ออะไร ปกติทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไป พอบอกให้บำเพ็ญก็กลายเป็นเหมือนกับว่าต้องเพิ่มภาระอีกอย่างหนึ่งเข้าไป แต่แท้ที่จริงแล้วการบำเพ็ญไม่ใช่ภาระที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่ถ้าทำได้จะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่ามนุษย์โดยปกติทั่วไปนั้น เมื่อลืมตามีชีวิตเติบโตอยู่ในสังคม ทุกคนต่างแสวงหาไขว่คว้าเท่าที่ตนเองจะไขว่คว้าให้ได้มากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนเหมือนคนที่ถือตะกร้า ซึ่งตะกร้าใบนี้ตอนแรกยังเป็นตะกร้าว่างๆ แต่พอมีชีวิตก็หาให้เต็มมากที่สุดเท่าที่ตะกร้านี้จะบรรจุได้เต็มที่ แม้จะรู้ว่ามันล้นแล้ว ก็ยังอยากจะใส่ให้เต็มที่ที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือเรื่องปกติของทุกๆ คนในโลกนี้ แต่การบำเพ็ญธรรมจะสวนกระแสกับคนที่ทำเช่นนี้ ทำไมถึงต้องสวนกระแส ก็เพราะว่า หากเรือขาดหางเสือ ม้าขาดคนควบคุมย่อมเป็นเช่นไร เรือสักวันต้องเกยตื้น ม้าเมื่อไร้คนควบคุมถึงแม้จะมีประโยชน์อย่างไร ก็ต้องถูกคนทอดทิ้งใช่หรือเปล่า (ใช่) คนก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อมีชีวิตปล่อยตัวเองไปตามอิสระอย่างไร้การควบคุม สักวันหนึ่งต้องมีภัยไม่มากก็น้อย หรือมีมาตลอดก็เป็นได้ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือการรู้จักควบคุมตนเอง ไม่ปล่อยตัวเองไหลไปตามกระแสแห่งสังคม ไม่ปล่อยตัวเองเป็นเช่นเรือน้อยที่ลอยอยู่ในทะเล ไม่มีวันที่จะรู้จุดหมายปลายทาง  คนบำเพ็ญธรรมนั้นอย่างที่หนึ่งคือคนที่รู้จักควบคุมดูแลความประพฤติของตัวเอง อย่างที่สองคือคนบำเพ็ญธรรมได้มองเห็นความเป็นจริงของโลกว่า มนุษย์ทุกคนรักความสุข เกลียดความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีขีดจำกัด แต่การจะไปถึงได้นั้นมีจำกัด เหมือนเรามีความปรารถนาซึ่งไม่มีวันพอ แต่สิ่งที่เราปรารถนานั้นได้มาจำกัดเหลือเกิน มนุษย์เรารักความสุข เกลียดความทุกข์เหมือนกันทุกผู้ทุกนาม เพราะทุกคนอยากให้ตัวเองเป็นคนรวย เป็นผู้ชนะ เป็นผู้ได้ ไม่ต้องสูญเสีย ไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ตลอด นี่คือสิ่งที่ทุกคนเหมือนกัน เราอยากชนะไม่อยากแพ้ เราอยากได้ไม่อยากเสีย ทุกคนรักที่จะได้เหมือนกัน แต่เมื่อมีคนหนึ่งได้ อีกคนจะได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อมีคนหนึ่งชนะ อีกคนจะชนะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  จึงทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีกัน ทำให้เกิดการฉ้อฉลคดโกงกัน และทำให้เกิดการประพฤติผิดกัน เพราะว่าสิ่งที่มนุษย์ต้องการมีจำกัด แต่ความอยากของมนุษย์มีไม่จำกัด  การบำเพ็ญธรรมจึงต้องให้มนุษย์มองสิ่งนี้ให้ออก ถ้ามองออกแล้วจะไม่ทำผิด เมื่อมองออกแล้วตัวเราจะไม่ตกไปอยู่ในการเวียนว่ายแห่งวังวนอันนี้อีก ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้ว่าโลกนี้ทุกคนต่างรักสุข เกลียดทุกข์ ทุกคนต่างแสวงหาอย่างไม่เพียงพอแล้ว จากที่วันนี้เป็นมิตรกัน พรุ่งนี้อาจจะเกลียดชังกันได้  จากวันนี้เคยเป็นพี่น้องกัน ก็อาจจะไม่รักสายสัมพันธ์กันได้ เพราะว่าทุกคนรักสุข เกลียดทุกข์ ทุกคนอยากได้ ไม่อยากเสีย ทุกคนอยากชนะ ไม่อยากยอมแพ้
การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อให้ทุกคนรู้ตื่น รู้ถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตปัจจุบันนี้ว่าคนเป็นเช่นนี้ หากเรายังปล่อยตัวเองเป็นเช่นนี้อีก การที่เป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนกันสักวันจะต้องแตกแยก จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเกิดขึ้น บำเพ็ญเพราะอะไรพอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  นั่นก็คือเพื่อควบคุมความต้องการของตัวเอง และเพื่อไม่ปล่อยให้ความต้องการนั้นทำร้ายซึ่งกันและกัน หรือหันมาทำร้ายตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักควบคุม และนำพาตัวเองให้เกิดแต่สิ่งที่ดี เมื่อเราจะบำเพ็ญธรรมการควบคุมตัวเองจะต้องใช้อะไรบ้าง (ความเมตตา,สติปัญญา,คุณธรรม)  ความเมตตาและสติปัญญาก็เป็นส่วนหนึ่งในคุณธรรม ทำให้ได้และรู้จักใช้  ถ้าหากทุกคนรู้จักใช้แต่สติปัญญา แต่ลืมนึกถึงคุณธรรม สติปัญญาก็อาจทำให้เราหลงตัวเองได้ บ่อยครั้งที่เราคิดว่าเราเก่ง แต่ความเก่งทำให้เราหลง ทำให้เราก้าวผิดพลาดได้ ฉะนั้นจึงต้องรู้จักนำคุณธรรมมาใช้  หากเป็นคนที่มีคุณธรรม มีเมตตา มีความกรุณาอยู่ในใจ แต่ไม่เคยยื่นให้ใครก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องมีความเมตตาและคำนึงถึงผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
คุณธรรมในโลกนี้มีมากมายอยู่ที่ว่าเราจะหยิบยกเรื่องใดมาพูดกัน หรืออยู่ที่ว่าเราจะหยิบยกเรื่องใดมาใช้กัน ในโลกนี้มีคุณธรรมอะไรบ้าง (มีจิตใจช่วยเหลือผู้อื่น, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ความกตัญญู, ขันติ, ความอดทน, สัจจะ, ความจริงใจ, ไม่เอาเปรียบ, ไม่ลักขโมย, ฝักใฝ่ดี, รู้จักประมาณตน) 
เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้จักบุญคุณคนก็นับว่าเสียชาติเกิด เกิดเป็นคนทั้งทีใครๆ จะรักเราได้ ใครๆ อยากให้เราทำงานร่วมกันได้ก็คือต้องซื่อสัตย์ เมตตากรุณา รู้จักให้อภัยผู้อื่น ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนในสังคม เราต้องรู้จักแบ่งปัน 
เพชรอยู่ในโคลนตมสักวันก็ต้องฉายความเป็นเพชรออกมา คนเก่งแม้จะหลบมุมอยู่แต่เมื่อมีคนเห็นคุณค่าวันใดวันหนึ่งแม้จะซ่อนเพียงใดทุกคนก็ต้องหยิบมาใช้ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมของทุกคนต่างมีอยู่ในจิตใจอยู่ที่ว่าวันใดเราจะหยิบออกมาใช้ วันใดเราจะยื่นออกไปให้ผู้อื่น 
ถึงเวลากล้าเราก็ควรกล้า หากกล้าในเวลาที่ถูกต้อง กล้าในเวลาที่เหมาะสมใครๆ ก็ยกย่องชมเชย แต่ถ้าเกิดว่าไม่ถึงเวลาที่ควรกล้า ไม่ถึงเวลาที่ควรจะพูดเรากลับพูดออกมา คำพูดนั้นก็ไม่มีประโยชน์ แม้จะกล้าไปแม้จะพูดดีไปก็ไร้คุณค่า อย่ารอให้โอกาสเลยไปแล้วค่อยมาคิดได้ บางครั้งก็สายเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยู่บนโลกนี้ไม่ใช่ว่าเราจะรู้จักสังคมอย่างเดียว บางครั้งเราต้องรู้จักตัวเอง รู้จักกาลเวลาของสังคม และต้องรู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควรด้วย ถ้าเราเป็นคนที่รู้จักตัวเอง รู้จักเวลา รู้จักผู้อื่น เมื่อเราอยู่ในสังคมไม่ว่าเราจะพูดอะไร ทำอะไร เราไตร่ตรองก่อนที่จะทำ คนๆ นั้นทำอะไรก็จะผิดพลาดน้อย ไม่ว่าทำอะไรก็มีแต่คนต้องการใช่หรือไม่ (ใช่) ต่างกับคนที่มีชีวิตแล้วเอาแต่ใจตัวเอง มุทะลุดุดันเห็นน้ำก็ลุยเห็นไฟก็ฝ่า คนเช่นนี้แม้จะมีชีวิตอยู่ แม้จะเป็นคนกล้า ใครๆ ก็ไม่ค่อยรัก เพราะกล้าเกินควร ไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควรและไม่รักตัวเอง หากคนๆ หนึ่งไม่รักตัวเองแล้วเรามั่นใจหรือว่าเขาจะรักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีชีวิตสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือตัวเองและผู้อื่น นึกถึงแต่ตนเองแล้วไม่นึกถึงผู้อื่นก็ไม่มีใครรัก นึกถึงแต่ผู้อื่นโดยไม่นึกถึงตนเองก็ไม่มีใครต้องการ  ฉะนั้นการอยู่บนโลกนี้เป็นเรื่องไม่ยากเลย ขอให้รู้จักคิดใช้สติปัญญาและคุณธรรมตรวจสอบ เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างเป็นสุขได้ และอยู่กับผู้อื่นได้อย่างปิติสุข เราให้รอยยิ้มกับเขาได้ไหม (ได้) ไปอยู่ที่ไหนแม้ไม่รู้จักใคร เราก็ยิ้มเข้าไว้เป็นใบเบิกทางที่ดี ใครเห็นก็เริ่มที่อยากจะคุยด้วย 
การอยู่ร่วมกันเราต้องรู้จักนำคุณธรรมมาใช้ หากเราอยู่ในสังคมเราก็ยิ่งต้องรู้จักนำคุณธรรมมาควบคุมตน เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเดินผิดพลาด และป้องกันไม่ให้ความปรารถนา ความอยากของตนเองนั้นไปทำลายและเบียดบังผู้อื่น แล้วผลกระทบกลับมาทำร้ายเราใช่หรือไม่ (ใช่)
คนๆ หนึ่งจะเป็นที่เคารพรักและเป็นที่ต้องการของผู้อื่นได้นั้น จะต้องมีลักษณะอย่างไร (เป็นคนดีน่าเชื่อถือ,ยิ้มแย้มแจ่มใส มีมนุษยสัมพันธ์ดี,เสียสละ) เราจะทำอย่างไรให้ตัวเราหรือคนอื่นนั้นกลายเป็นที่สนใจและเคารพรัก แล้วเป็นแบบอย่างได้ (มีจิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น) สิ่งแรกที่ทำให้คนๆ หนึ่งสนใจคนอีกคนหนึ่ง นั่นคือรูปลักษณ์ภายนอก เวลาท่านมองคนๆ หนึ่งสิ่งแรกคือ สวย หล่อ และเป็นคนมีความรับผิดชอบ เมื่อเราอยู่ในโลกนี้เราต้องผูกสัมพันธ์กับคนอื่น การที่เราจะผูกสัมพันธ์กับคนอื่นได้นั้นแบบอย่างก็มีให้เห็น ทำเช่นไรคนจึงรัก ทำเช่นไรคนจึงรังเกียจ
ทุกคนอยากเป็นที่รักของคนอื่น และอยากเป็นที่เคารพนับถือ พูดอะไรก็มีคนฟัง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพี่น้อง คนอื่นฟังเราก็ยิ่งภูมิใจ คนอื่นนับถือเราก็ยิ่งภาคภูมิใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะทำเช่นไรล่ะ การที่บุคลิกภายนอกดี เกิดจากการฝึกฝนอบรมภายนอกอย่างเดียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  การที่จะมีเมตตาออกมาได้ ต้องมีจิตใจเสียสละ หรือมีการผูกบุญสัมพันธ์กันมาก่อน ทำให้เรามาเจอคนนี้ ทำให้อยู่ๆ ทำไมเรารักคนนี้ เราเกลียดคนนี้ นั่นก็มีส่วนเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่เกิดจากการฝึกฝนจากภายนอกเราถึงจะทำให้คนอื่นรัก แต่ต้องเกิดจากการกลั่นกรองออกมาจากภายในด้วย ทำไมเราถึงพูดเรื่องนี้ ก็เพราะว่าเราอยากเป็นที่รักของทุกๆ คนและเป็นที่เคารพของทุกๆ คน พูดอะไรก็มีคนฟังมีคนเชื่อถือ แต่จะทำอย่างไรล่ะ หนึ่งนั่นก็คือต้องมีความอ่อนน้อม คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้ใหญ่ท่านก็ย่อมรัก ต่างกับคนที่แข็งกร้าวอวดเบ่งเข้าไปหาใครก็ไม่มีใครรัก คนที่โอ้อวดความรู้ของตัวเองไปอยู่กับใครก็ไม่มีใครต้องการ ฉะนั้นการจะเป็นคนที่มีบุคลิกหรือว่าความประพฤติที่ดีงามได้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือต้องมีความอ่อนน้อม สุภาพนิ่มนวล ถ้าผู้หญิงก็ต้องนิ่มนวล ถ้าผู้ชายก็ต้องรู้จักรักษาความสุภาพไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และการให้เกียรติกันสำคัญไหม (สำคัญ)  ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากใครมาคุยกับเราแล้วดูถูกเรา คำหนึ่งก็ดูถูก สองคำก็เหยียดหยามท่านอยากคุยกับเขาไหม (ไม่อยาก)  ท่านอยากนั่งกับเขาหรือเปล่า (ไม่อยาก)  แค่เอื้อนเอ่ยปากก็อยากจะเดินหนีใช่หรือไม่ (ใช่)  อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือความเป็นกันเอง ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าเขามีความเป็นกันเองกับเด็ก เด็กก็จะยิ่งอยากชิดใกล้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเด็กมีความเคารพ มีความอ่อนน้อม รู้จักสำรวมท่าที ระมัดระวังเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็รักใคร่จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลาเราจะบำเพ็ญตน เมื่อสักครู่เราต้องรู้จักควบคุมตน แต่ตอนนี้เราพูดว่าเมื่อเราจะอยู่กับคนในสังคม เราจะต้องควบคุมเข้าไปให้ลึกถึงจิตใจ เพราะความประพฤติจะแสดงออกมาได้หากใจไม่นิ่ง หากใจมีความทุกข์กังวล สีหน้าเราจะเป็นอย่างไร อ่อนน้อมไหม (ไม่)  สีหน้าเราจะไม่เบิกบาน ยิ้มไม่ออก ใครเดินมาคุยก็ไม่อยากคุยด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าจิตใจเราไร้กังวล มีแต่ความปิติสุข มีแต่ความยินดีปรีดา ยังไม่ต้องสร้างความประพฤติ ยังไม่แสดงออกมาเป็นความประพฤติ เริ่มต้นในการที่เรามีจิตใจที่ดี ก็เป็นบุญกุศลเป็นวาสนาแล้ว  ทำไมถึงเป็นบุญวาสนาล่ะ หากใจฝักใฝ่หรือคิดแต่สิ่งที่ดีจิตใจเราจะนำพากายเราเดินทางไปสู่ทางที่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าใจเราคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีฝักใฝ่แต่สิ่งที่ชั่วร้าย ไม่เคยหันมามองหลักธรรมะ ตัวเราก็ย่อมพบแต่ความวิบัติและหายนะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนอกจากเราจะควบคุมตนเองแล้ว ยังต้องรู้จักควบคุมใจด้วย
การที่เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้หากเรารู้จักควบคุมทั้งกายและใจ ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตอยู่ที่ไหน การที่ทุกคนจะรังเกียจก็มีได้น้อยลง การที่จะประสบผลสำเร็จก็มีได้มากขึ้น โดยปกติแล้วเราเคยคิดจะควบคุมตัวเองกันบ้างไหม (เคย) เคยเมื่อตอนทำผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเราผิดแล้วเราถึงมีความรู้สึกอยากจะแก้ไข อยากจะย้อนเวลา จริงๆ แล้วเราไม่สามารถย้อนเวลาได้  ฉะนั้นอยากจะทำให้อนาคตเราดีขึ้น เราก็ต้องรู้จักเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เราอยากให้ความคิดของเราเป็นความคิดที่เริ่มต้นใสสะอาดบริสุทธิ์ เราก็ต้องรู้จักคิดตั้งแต่วันนี้ สิ่งใดที่เป็นความชั่วร้ายความไม่ดี ทำแล้วน่าละอายก็อย่าได้ทำ
คุณธรรมเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องรู้เท่าทันด้วย เมื่อสิ่งใดมากระทบ เมื่อหูเราสัมผัสได้ยินเสียง ตาเรามองเห็น สมองเราต้องรีบทำงาน คุณธรรมเราต้องรีบตรวจสอบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องช่วงใช้ให้เท่าทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต แล้วเราจะเป็นผู้ที่เรียกว่า "สัพพัญญู"  สัพพัญญูก็คือผู้รู้ผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกง่ายๆ ว่า "พุทธะ" เราเคยได้ยินคำว่า "พุทธะเดินดิน" กันบ้างไหม (เคย) ท่านคิดว่าท่านจะเป็นอย่างที่เราพูดได้ไหม ถ้าทำได้ท่านจะเป็นพุทธะเดินดินที่มีความสงบนิ่งและอิสระ ไร้พันธนาการ แต่เรามักจะทำไม่ได้ เพราะเราปล่อยให้กระแสแห่งโลกีย์ กระแสแห่งอารมณ์ของตัวเอง เกาะติดแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อไรที่เราปล่อยได้ เราก็จะมีความสุข และมีอิสระอย่างแท้จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจะยกนิทาน ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างปราญช์สองท่านให้ทุกท่านลองคิดดูว่าเมื่อสักครู่ที่ท่านฟังเรื่องที่เราพูดไป ท่านจะตัดสินใจว่าอย่างไร ปราญช์ท่านหนึ่งคุยกับปราญช์อีกท่านหนึ่งว่า จะทำอย่างไรถึงจะปกครองคนได้ ปราญช์อีกท่านก็บอกว่าการจะปกครองคนได้ สำคัญก็คือต้องปกครองตัวเองให้ได้เสียก่อน เฉกเช่นเมื่อตัวเองมีความเที่ยงธรรม คนอื่นจะไม่เที่ยงธรรมได้อย่างไร  การที่ตัวเองจะเที่ยงธรรมได้นั้นก็คือรู้จักช่วงใช้คนดี รู้จักนำคนซื่อสัตย์มาสอนคนคดโกง และรู้จักเป็นคนที่รับฟังเป็นส่วนใหญ่ แล้วการที่จะปกครองผู้อื่นได้นั้น  หากมีองค์ประกอบสามข้อครบ ท่านก็จะปกครองได้ นั่นก็คือ 
๑. มีอาหารบริบูรณ์ มีทรัพย์สินเงินทอง และชื่อเสียง
๒. มีชีวิตและสุขภาพที่แข็งแรง
๓. มีคนนับถือรักใคร่
การที่เราจะปกครองคนอื่นได้ ทำไมเราถึงบอกว่าจะต้องมีสามองค์ประกอบนี้ หนึ่งก็คือต้องมีตำแหน่งหน้าที่ภาระที่ต้องรับผิดชอบ ตำแหน่งหน้าที่ภาระก็คล้ายๆ กับข้อที่หนึ่งคืออาหาร  ข้อสองก็คือเราต้องมีชีวิต หากเรามีตำแหน่งแต่ไร้ชีวิต เราจะไปปกครองคนได้ไหม (ไม่ได้) การจะปกครองคนอื่นได้ต้องได้รับความรักใคร่นับถือของคนด้วยใช่หรือไม่ แล้วสามอย่างนี้ทุกคนมีไหม ตอนนี้ทุกคนมี แม้จะไม่ได้เรียกว่าเป็นตำแหน่ง แต่ก็ถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ทุกคนกำลังทำอยู่ นั่นก็คือต้องปกครองตัวเอง หรือมีภาระปกครองลูกหลาน หรือมีภาระปกครองเพื่อนที่ทำงานใช่หรือไม่  หากสามอย่างนี้ให้ท่านเลือกตัดอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านจะตัดอย่างใดก่อน
คนที่ตัดข้อหนึ่งลองให้เหตุผลซิ (ถ้ามีสุขภาพดีแล้วย่อมมีกำลังที่จะหาเงินมาได้)  ท่านพูดได้ถูกแล้ว นั่นก็คือว่าถ้าคนเรามีชีวิต มีสุขภาพดี เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงหาเมื่อไหร่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ข้อสามเขาก็ยังเลือกอยู่ นั่นก็คือถ้าเรามีสุขภาพดีแต่ถ้าไม่มีใครนับถือมีประโยชน์ไหม ข้อสามหากคิดให้ดีๆ ให้ข้อคิดได้หลายอย่าง ท่านที่ตัดข้อสองลองให้เหตุผล (ตัวเองสุขภาพไม่ดี แต่ให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชามีกินมีใช้ แล้วเป็นที่รักของทุกคนด้วย)  คนประเภทนี้คือรักอุดมการณ์ยิ่งกว่าชีวิต คนที่เป็นแบบนี้ได้แม้ตายไปแล้วก็ยังมีคนนับถือและรักใคร่ นั่นก็คือแม้ตัวจะตายขอคุณธรรมและมวลชนคงอยู่ นี่คือยอดคนจริงหรือไม่ (จริง) ท่านที่ตัดข้อที่สามมีเหตุผลว่าอย่างไร (ข้อสามไม่สำคัญ ขอสุขภาพดี กินอิ่มท้อง มีเงินเก็บก็พอแล้ว คนไม่นับถือไม่เป็นไร)  คิดให้ดีๆ นะ คนเรานั้นเกิดตายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่จะตายแบบเสียชาติเกิดหรือไม่เสียชาติเกิดนั้น นี่คือเรื่องที่ต้องคิด ถ้าหากว่าเราเสียชีวิตไปแล้วแต่ไม่มีใครนับถือ คุ้มไหมกับการมีชีวิต (ไม่คุ้ม)  แล้วตอนแรกจะมีไว้ทำไมให้คนรัก ให้คนนับถือ ต้องควบคุมตัวเองทำไม ฉะนั้นชีวิตก็สำคัญ คนนับถือเปรียบเทียบได้กับคุณธรรม คนที่จะมีคนนับถือได้ก็ต้องมีคุณธรรม คนไม่มีคุณธรรมไม่มีใครนับถือ แม้เราจะมีสุขภาพดี มีอาหารบริบูรณ์ แต่ถ้าเราพร้อมที่จะตัดข้อนี้ทิ้ง นั่นก็แสดงว่าเราพร้อมที่จะไม่มีคุณธรรม ขอเพียงท้องอิ่ม ตัวเองแข็งแรง อย่างนี้ไม่เรียกว่าผู้ที่น่านับถือเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ อย่างเช่นง่ายๆ คนเราขอให้มีชีวิตมีเงิน แม้ตอนนี้จะไม่มีคนนับถือ ก็ไม่เป็นไร ยอมทำผิด พอได้เงินมาแล้ว กลับตัวทำดีใหม่ ท่านว่าคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ช่วงที่เรากำลังมีเงิน มีชีวิต อาจจะมีคนเขาจะฆ่าเราก็เป็นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่เรามีชีวิต มีอาหารบริบูรณ์ขอให้ไตร่ตรองสักนิดว่า อย่าได้ทำลายความนับถือของคนทิ้ง หากช่วงที่เรามีชีวิต มีอาหาร มีเกียรติยศบริบูรณ์ แล้วต้องทำลายความนับถือของคนอื่นทิ้งจะเป็นช่วงที่เป็นอันตราย และน่ากลัวที่สุดสำหรับการเกิดเป็นคน หากคนๆ หนึ่งไม่กลัวตาย ขอมีเงิน ขอมีชื่อเสียง คนๆ นั้นถึงแม้จะกลับตัวได้ เราก็ฝืนใจเต็มทนที่จะเคารพเขาได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นต้องคิดให้ดีๆ บ่อยครั้งที่คนเราในโลกนี้ ขอโกหกก่อน ขอฉ้อฉลก่อน ขอบิดเบือนเพื่อนก่อน พอมีเงินค่อยนำเงินไปหาเพื่อน ไปซื้อน้ำใจเพื่อน บางครั้งซื้อไม่ได้แล้ว ดังนั้นช่วงขณะหนึ่งของชีวิตขอให้คิดให้ดีๆ ถ้าผิดแล้วเราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปก็ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าท้องอิ่มมีชีวิตแต่ไร้ซึ่งคุณธรรมใครจะรัก ลูกเราจะรักเราลงไหม เพื่อนเราจะนับถือเราได้หรือเปล่า 
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าเห็นปากท้องเป็นใหญ่ อย่าเห็นชีวิตเป็นใหญ่เหนือคุณธรรม ต้องรู้จักนำคุณธรรมมาอยู่เหนือชีวิตบ้างไม่มากก็น้อย วันนี้แม้เราจะไม่ให้ท่านทำเต็มที่ แต่ขอให้มีบ้างได้หรือไม่ (ได้)  เพราะคนในสังคมปัจจุบันนี้มักจะรักปากท้องเป็นใหญ่ รักชีวิตเป็นใหญ่มากกว่าคุณธรรม เมื่อรักปากท้องเป็นใหญ่ รักตัวเองเป็นใหญ่แล้วเขาจะรักคนอื่นได้ไหม อย่างไรก็ขอให้ตัวเองเอาตัวรอดก่อน ขอให้ตัวเองสุขก่อน ตัวเองต้องดีก่อน เช่นนี้น้อยคนนักที่จะให้อภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้เราหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้เขาก่อน สู้เรายอมถอยก่อน เสียสละก่อนจะดีกว่า เวลาหนอนเดินยังต้องหดตัว คนเราบางครั้งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าก็ต้องรู้จักถอยหลังบ้าง เสียสละบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติ หากเราดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านจะเป็นคนที่เกิดมามีคุณค่าอย่างยิ่ง เมื่อท่านทำได้แม้จะมี ๓ อย่างนี้ ก็จะควบคุมได้ไปในทางที่ถูก แม้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะไม่ทำให้ตัวเองประพฤติผิดได้เลย หากท่านทำได้อย่างนี้ นับว่าเป็นคนที่เกิดมามีคุณค่าหนักยิ่งกว่าพื้นปฐพี  อย่าเป็นเหมือนดอกไม้ที่สวยแค่ชั่วครู่ชั่วขณะไม่นานก็ร่วงโรย สวยอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เก่งแต่ภายนอกแต่ภายในไม่เก่งก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีคนเริ่มต้ดพ้อแล้วว่า บ่อยครั้งที่ทำดีแล้วกลับไม่มีใครเห็นความดี มีแต่คนยิ่งเอาเปรียบ คนในโลกนี้ พออ่อนให้เขาก็กดเรา พอแข็งปุ๊บเขาก็รังเกียจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธองค์สอนไว้ว่าให้รู้จักรักษาทางสายกลาง คราวใดควรเข้มแข็ง คราวใดควรอ่อนน้อม เราต้องรู้ช่วงใช้ เหมือนเมื่อสักครู่เราได้ให้บทกลอนพระโอวาทไว้ว่า "ขุ่นใสเรียนแก้ไขภัยลดสิ้น" การเรียนรู้ในโลกนี้เราจะเรียนรู้แต่ด้านสว่างโดยไม่สนใจด้านมืดไม่ได้ บางครั้งเราต้องรู้จักเอาด้านสว่างมาฉายให้กับด้านมืด  แต่ต้องรู้จักฉายให้เป็น หากเขากำลังมืดมนเรามาฉายทันที เขาจะรับได้ไหม (ไม่ได้) เขามีแต่จะวิ่งหนี  ฉะนั้นเมื่อเขามืดเราจะต้องจุดความสว่างทีละน้อย เหมือนเขาเกลียดเขาโกรธเรา เราต้องรู้จักให้อภัย การให้อภัยหนึ่งวันไม่สามารถลบล้างความเกลียดหนึ่งชีวิตได้  เหมือนเขาอภัยท่านหนึ่งครั้งจะสามารถล้างความเกลียดที่ท่านเคยมีมาเป็นปีๆ นั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เฉกเช่นเดียวกับคนที่ทำความดี เอาน้ำหนึ่งขันมาราดความชั่วหรือความสกปรกที่สะสมมานาน จะราดได้หมดไหม (ไม่หมด)  อย่างแรกต้องเข้าไปคุยกับเขาก่อน อ่อนน้อม  เมื่อเขาเริ่มสนิทเชื่อใจ เขาเริ่มวางใจจึงค่อยๆ ชี้แนะว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด แล้วนำพาเขาไปให้เห็น ให้เขาได้ประจักษ์
ในโลกนี้ขาดสิ่งที่เป็นแบบอย่างว่าทำดีแล้วได้ดี ทำชั่วแล้วได้ชั่ว คนจึงไม่ทำดี ชอบทำชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อคนเห็นเราไม่ทำชั่ว เมื่อคนไม่เห็นเราแอบทำชั่ว ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ว่าคนอื่นจะเห็นหรือไม่เห็นเราจะต้องไม่ทำ เพราะตาข่ายแห่งฟ้าละเอียดยิ่งนัก ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่วแต่การตกผลของการทำความดีนั้น ก็คล้ายๆ กับผลไม้ซึ่งต้องอาศัยเวลา ทำดีหนึ่งวันแล้ว จะให้สุกเป็นผลไม้ทันทีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  จะต้องอาศัยการสั่งสมทำจนเต็มที ทำจนพร้อมสมบูรณ์ เหมือนพระพุทธองค์เกิดมาชาติเดียวแล้วบำเพ็ญจนสำเร็จหรือไม่ (ไม่ใช่) ท่านต้องใช้เวลาถึงสิบชาติหรือมากกว่านั้น คนเรานั้นก็เช่นเดียวกัน จะทำดีแล้วได้ผลดี ขอให้ดูแบบอย่างพระพุทธองค์ทำดีเท่าไรเขาก็ยังจะฆ่าใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะต้องโดนฆ่าโดนเขาทำร้าย ก็ยอมให้เขาทำ เมื่อเขาทำจนถึงที่สุดแล้ว เขาก็เลิกทำเอง เมื่อเขาเกลียดก็ให้เขาเกลียดไปเถอะ เขาเกลียดเราไม่เป็นไรแต่เรายังรักเขา สักวันเขาต้องเปลี่ยนจากเกลียดมาเป็นรักจนได้ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เขาคดโกงเรา เราก็ถือเสียว่าเราติดหนี้เขา ให้เขาไปเถอะ แต่ถ้าเขาจะเอาหมดก็บอกเขาให้เหลือไว้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นชีวิตของฉันก็คงอยู่ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือการให้ไปอย่างเต็มใจ แต่อย่าให้ไปจนหมดก็แล้วกัน ทำไมเราถึงพูดได้อย่างนี้  ยกตัวอย่างง่ายๆ มีพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังจะหลับ ก็บังเอิญมีขโมยคนหนึ่งจะมาขโมยของ พระภิกษุก็ได้ยินว่าเขาจะมาขโมยก็เลยบอกว่าอยากจะขโมยก็ขโมยไปเถอะ แต่ขอเงินเหลือไว้บ้าง พรุ่งนี้เราจะต้องออกไปทำธุระ ขโมยนั้นก็ยอมทิ้งไว้บ้างให้พระเอาไว้ใช้ พอถึงคราวจริงๆ ขโมยนี้ถูกจับได้ พระก็คือคนหนึ่งที่เป็นเจ้าทุกข์ ตำรวจก็พาไปให้ปากคำเพื่อยืนยันว่าคนนี้เป็นขโมยจริงหรือไม่ พระองค์นั้นกลับตอบว่าไม่ใช่ เพราะพระยินดีที่จะให้เงินเอง พอโจรคนนั้นได้ยินพระพูดอย่างนั้นจึงเกิดความซาบซึ้ง เมื่อถูกปล่อยออกจากคุกจึงยอมโกนผมบวชเป็นพระ นี่ก็คือความดีที่สามารถเอาชนะความชั่วได้ แต่ต้องใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราไปติดหนี้เขานะ แล้วจะขอผ่อนผันอย่างไร เขาจะยอมให้ผ่อนผันไหม (ไม่ยอม) ขอให้ภาระหมดหรือ ภาระจะหมดได้ถ้าใจเรารู้จักปล่อยวางก่อนใช่หรือไม่ แม้ภาระจะยัง อยู่เต็มบ่า แต่ถ้าใจเรารู้จักวางให้เป็นอิสระ ปล่อยบ้าง ปลงบ้าง หากชีวิตนี้ปลงไม่ตก วางไม่ได้ทุกอย่างก็เป็นทุกข์ แม้วันนี้จะไม่มีภาระ พรุ่งนี้ภาระก็ต้องมา ฉะนั้นถ้าอยากจะปล่อยวางได้ต้องรู้จักมองเรื่องให้ตก ปลงให้ได้ สำคัญอย่างเดียวเรื่องวางไม่ได้ ปลงไม่ลง ท่านจึงต้องทุกข์จนถึงทุกวันนี้ เราทุกคนก็เป็นเหมือนกัน เรายังทุกข์อยู่ไม่สามารถมีสุขได้ เพราะว่าเราปลงไม่ตก วางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกๆ คนมีอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์มีอะไรบ้าง (โลภ,โกรธ,รัก,หลง,ดีใจ,ทุกข์ใจ,เกลียด,หงุดหงิด,เศร้าหมอง,อารมณ์ชั่ววูบ,อาฆาตแค้น)  ความอาฆาตแค้นทำให้จิตใจเราไม่เป็นสุข  และทำให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เพราะฉะนั้นอย่าได้มีตัวนี้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาพูดกับนักเรียนท่านหนึ่งในชั้น)
จริงๆ ท่านก็มีความสามารถ แต่จะทำให้คนอื่นมองเห็นได้บางครั้งไม่ใช่อยู่ที่การแสดงออก บางครั้งการแกล้งทำเป็นไม่รู้ จะทำให้คนยิ่งเห็นว่าเรามีความสามารถมากกว่า จริงหรือไม่ (ไม่แน่) ทำไมล่ะ (บางคนมองไม่ออก)  การอยู่ร่วมกันการทำงานร่วมกัน เขาย่อมเห็นได้ชัดเจนกว่า ดีกว่าเราพูดอีก ท่านก็เคยพบคนที่พูดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ แต่พอได้เขามาจริงๆ เขาเป็นอย่างที่พูดไหม  ฉะนั้นท่านมีความสามารถ ขอให้เอาความสามารถนี้มาใช้ให้ดี
ท่านต่อไปว่าอย่างไร (อิจฉาริษยา, อารมณ์อ่อนไหว, อารมณ์ที่ไม่คิดจองเวรจองกรรมกับผู้อื่น, อารมณ์หวาดกลัว, อารมณ์ตื่นเต้น, อารมณ์ฉุนเฉียว)  อารมณ์ฉุนเฉียวเกิดแล้วมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  บางครั้งเรารู้ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้นในใจของเราแล้ว อารมณ์นั้นกลับทำให้เราเป็นทุกข์ และก็ดึงผู้อื่นให้เป็นทุกข์ด้วย ทุกคนในที่นี้ใครบ้างที่ไม่เคยโกรธเลย ใครไม่เคยโลภเลย ใครไม่เคยหลงรักเลยมีไหม (ไม่มี)  ใครเคยมีมากกว่าหนึ่งครั้ง ใครเคยมีมากจนนับไม่ถ้วนบ้าง มีแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง (ทุกข์)  ก่อนจะทุกข์เป็นอย่างไร (สุขก่อน)  ก่อนจะทุกข์เป็นสุขก่อน สุขสะใจที่ได้ว่าเขา ดีใจที่ได้รักเขา แต่พอรักแล้วก็มาทุกข์ทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นสุขที่อิจฉาเขา ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ในเมื่อไม่สุขแล้วอิจฉาทำไม  ฉะนั้นเวลาเราจะมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ขอให้มองให้ดีๆ ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วทำให้เราต้องมาทุกข์ตอนบั้นปลาย เราจะมีทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราขอพูดเรื่องโกรธก่อน เมื่อเราโกรธแล้วเราลงกับเขาไม่ได้เราก็พลอยถือโทษโกรธคนรอบข้างด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราลงกับคนๆ นี้ไม่ได้เราก็ลงกับคนข้างๆ จิตใจตอนนั้นเป็นจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ จิตใจมีมารสิงอยู่ มารนี้ถือความโกรธเป็นที่ตั้งใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนั้นเมื่อเรามีอารมณ์โกรธอยู่ คนที่ควรโกรธเรากลับไม่ได้ลง เรากลับไปลงกับอีกคนหนึ่ง หรือมีเมื่อไรใจเราย่อมไม่บริสุทธิ์ แล้วเมื่อปล่อยออกมาเมื่อไร คนอื่นย่อมเป็นทุกข์และเราก็ย่อมเป็นทุกข์ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างมีใจมารแล้วคนเกลียด กับมีใจพระแล้วคนรัก ท่านอยากมีใจแบบไหน (มีใจพระ)  ฉะนั้นจำไว้ว่าชั่วขณะที่โกรธหรือชั่วขณะที่กำลังจะเกลียดใครหรือริษยาใคร ขอให้คิดว่าถ้าใจเราไม่บริสุทธิ์ ตอนนั้นใจเราเป็นมาร พร้อมที่จะทำร้ายคนอื่นได้ เมื่อไรเราทำร้ายคนอื่นได้ แม้จะควบคุมความประพฤติมาดี แม้จะระมัดระวังจิตใจมาดี อารมณ์นั่นเองทำให้ทุกอย่างพังทลายสิ้น แม้จะทำความดีมาแต่ก็พังทลายสิ้นด้วยความคิดชั่ววูบ หรืออารมณ์ชั่ววูบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเกิดเป็นคนจึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ คนเราเมื่อมองหน้ากัน หนึ่งคือลักษณะท่าทาง สองก็คือบุคลิก สามก็คืออารมณ์ ฉะนั้นเราอยากให้เขารักเรา เราก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(นักเรียนท่านหนึ่งถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีตัวตนหรือไม่)
ถ้าเข้ามาอยู่ในการมีก็ "มี"  ถ้าออกจากการมีก็ "ไร้"  จริงๆ แล้วสรรพสิ่งในโลกนี้หากให้พุทธะพูด พุทธะจะพูดว่าไร้  การที่ครองตนว่าไร้ หรือการที่ให้พูดคำว่าไร้ ก็เพราะว่าแต่ก่อนที่เราจะมีก็เพราะเราไร้ แต่ก่อนที่เราจะมีตัวตนก็เพราะเราไม่มีตัวตน  แต่ก่อนที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะมีกายเป็นคนมาก่อนจึงบำเพ็ญสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมมีวันไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเกิดมีคำว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ย่อมมีคำว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะมากังวลอะไรกับคำว่า "มี" หรือ "ไม่มี"  สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าสิ่งที่เราทำนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก บางครั้งเรากังวลเรื่องถูกเรื่องผิด แต่พอมาจนถึงสุดท้ายแล้วแม้เราจะเป็นผู้ชนะแต่ความจริงก็ย่อมเป็นความจริง วันนี้ท่านอยากรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีตัวตนหรือไม่ ท่านได้ผลสรุปไปแล้วมีประโยชน์กับชีวิตไหม ช่วยอะไรกับตัวเองได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ฉะนั้นทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงพูดว่า “การมีก็คือการไร้ การไร้ก็คือการมี”  การจะบำเพ็ญให้ดีที่สุดก็คือไร้เสียเลย อย่ามีจะดีกว่า แล้วเราจะไม่ต้องทุกข์ใช่หรือไม่ เหมือนตัวเราเองถ้ามีตัวเราก็ย่อมมีทุกข์ แต่ถ้าไร้ตัวเรา เราจะไม่ต้องทุกข์ และเราจะไม่ต้องวุ่นวายในการแสวงหา พอเข้าใจไหม
ในตัวของทุกๆ คน ต่างมีภาวะความเป็นพุทธะอยู่ อยู่ที่ว่าเมื่อไรเราจะมองชีวิตได้รู้แจ้ง เมื่อนั้นเราจะค้นพบความเป็นพุทธะ เมื่อเราค้นพบแล้วเรานำความเป็นพุทธะออกมา เราย่อมสามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธะเดินดินได้ แต่มนุษย์มักจะติดข้องอยู่กับโลกีย์วิสัย เกี่ยวพันอยู่กับอารมณ์และห้วงตัณหาในโลกนี้จึงทำให้เราไม่สามารถที่จะค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตนเองได้ เพราะเรามัวแต่กังวลว่ายังไม่มีกิน ยังไม่อิ่ม ยังไม่พอ เราจึงไม่มีวันจะค้นพบคำว่า "พุทธะ" ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดที่เราหวนมาบำเพ็ญตน รู้จักหยุด รู้จักพอจึงพบสุข เมื่อพบสุขจึงไม่วุ่นวาย เมื่อไม่วุ่นวายแล้วจึงไม่ต้องเบียดเบียนแข่งขันเขา เมื่อไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น เราย่อมไม่ข่มเหง เมื่อไม่เบียดเบียนกันเราย่อมมีแต่ให้และเสียสละ เมื่อเรามีแต่ให้และเสียสละเราย่อมไม่มีตัวตน ไม่เห็นแก่ตนเพราะเรารู้จักให้คนอื่น หากเมื่อไรเราบำเพ็ญตนได้ถึงขั้นนี้ เราเองจะเป็นผู้เดินตามฟ้า เมื่อไรที่เราเดินตามฟ้า ฟ้าจะช่วยเรา แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ช่วยตนเองแม้ฟ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อใดที่ท่านรู้จักบำเพ็ญตน รู้จักเดินตามครรลองแห่งธรรมะ เมื่อนั้นท่านคือบุตรของฟ้า แต่ถ้าเมื่อใดท่านหนีออกจากครรลองแห่งความเป็นจริงของชีวิต นั่นก็คือท่านมิใช่บุตรของฟ้า เมื่อบุตรของฟ้าประพฤติผิด ฟ้าย่อมลงโทษ ผลกรรมย่อมตามสนองใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้ทุกคนต่างรู้ว่าทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ฉะนั้นก่อนที่จะหมดสิ้นชีวิตที่เราไม่รู้ว่าจะหมดไปเมื่อไร ขอให้ทุกขณะลมหายใจทำแต่สิ่งที่ดีมีคุณธรรมและมีคุณค่า อย่ามัวแต่มองแต่ตน เห็นแก่ตน คนที่รู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นคือบุตรของฟ้า ผู้นั้นคือบุตรที่รู้จักบำเพ็ญตน คนที่รู้จักบำเพ็ญเพื่อตนคือคนที่สามารถช่วยตนและนำพาคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเมื่อเราตั้งใจจะทำสิ่งใดมักเจออุปสรรคมักเจอขวากหนาม แต่ไม่ว่าเราจะตกอยู่ในสภาวะใด ถ้าใจเรานิ่ง สงบ ไม่หวั่นไหว แม้อุปสรรคขวากหนามจะมาทดสอบ เราก็ฝ่าไปได้อย่างเป็นอิสระ เฉกเช่นเดียวกัน คนที่มุ่งมั่นจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงจิตใจยังคงมุ่งมั่นอยู่อย่างแน่วแน่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอุปสรรคจะมาแรงเท่าไร เขาจะเดินฝ่าไปได้ด้วยใจอันปลอดโปร่ง คนเรานั้นเวลาจะทำอะไรก็ตามบางครั้งใกล้จะสำเร็จมักจะมีอุปสรรคมาทดสอบ ช่วงที่อุปสรรคทดสอบ นั่นคือช่วงที่ใจเรากำลังอ่อนแอ  จริงๆ แล้วอุปสรรคอาจจะไม่ทดสอบเลยถ้าใจเรามั่นคง หนักแน่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นการทำความดีพอเราทำไปช่วงหนึ่ง ทำไมเราพบความยากลำบาก เจอคนว่า เจอคนถากถาง เราต้องถามตัวเราเองว่าเราหนักแน่นในการทำความดีหรือไม่ เราทำความดีโดยหวังผลหรือเปล่า เมื่อไรที่เราทำความดีแล้วหวังผลเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีวันเห็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนที่ทำงานราชการ หากฉ้อโกงเบียดบังราษฎรหวังผลเล็กๆ น้อยๆ เขาจะไม่มีวันก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่สูงอย่างมั่นคงได้ จริงไหม (จริง)
เราทำความดี เราอยากได้มรรคผลอันยิ่งใหญ่หรือไม่ สำคัญก็คือ ทำอย่าได้หวังผล ทำไปเถอะ ยิ่งปิดทองหลังพระ ยิ่งไม่มีคนเห็น ให้ฟ้าเห็นอย่างเดียวก็พอ ท่านจะยิ่งได้รับมรรคผลอันยิ่งใหญ่ แม้จะไม่ได้รับด้วยกายนี้ ไปรับตอนที่ไม่มีกายบางครั้งยังดีเสียกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  รับตอนไม่มีกายตายไปจะกลัวอะไร ตายไปก็มีแต่เทพมารับ เทพมานำพา  รับผลบุญตอนนี้ตายไปบุญกุศลไม่เหลือแล้ว ตอนนั้นใครจะมารับไปล่ะ  ฉะนั้นทำความดีขออย่าได้ยอมแพ้ จงฝ่าฟันไปท่านจะสำเร็จได้ ท่านจะค้นพบความเป็นจริงของพุทธะได้ ขอให้เชื่อมั่นในตนเอง แต่การเชื่อมั่นในตนเองแล้วไม่รับฟังคนอื่นนั้นก็เป็นภัยอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์เพียงเท่านี้ ขอให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดีว่าหลักธรรมที่เราพูดไว้ในวันนี้เป็นหลักธรรมที่ฟังแล้วน่าสนใจไหม เป็นหลักธรรมที่ทำไปแล้วท่านสามารถนำพาชีวิตให้ดีงามได้หรือเปล่า หากคิดว่าดี ไตร่ตรองแล้วมีผลดี ขอให้เร่งรีบทำ เพราะเวลาไม่เคยรอเรา  วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ไม่ใช่ของเรามีแต่ขณะนี้เท่านั้นเองที่เป็นของเรา ฉะนั้นเวลาทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ เพื่อเวลาเราจะพ้นไปจากโลกนี้ เราก็จะหลับอย่างเป็นสุข
ใครที่คิดว่าจะมาหนึ่งวันขอให้คิดให้ดีๆ นะ ส่วนใครที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีจิตนั้น ขอให้ลองไปทบทวนดูว่าวันนี้สิ่งที่ฟัง ธรรมะที่ได้รับรู้เป็นธรรมะที่หลอกลวงหรือไม่ หากไม่หลอกลวงขอให้เอาไปคิดพิจารณาให้ดี บำเพ็ญธรรมใครทำคนนั้นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีทางโลกเก่งทางโลกจะมีประโยชน์อะไร ถ้าตายไปแล้วไปตัวเปล่า มีแต่ผลกรรมตามสนอง ฉะนั้นสู้ดีทั้งทางโลกและดีทั้งทางธรรมไม่ดีกว่าหรือ เราคงต้องอำลาจากกันแล้วนะ ขอให้รักษาบุญวาระนี้ไว้ให้ดี เรามาเราก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านมายึดรูปลักษณ์ภายนอกนี้ แต่เราต้องการให้ท่านค้นพบความเป็นจริงแห่งชีวิตที่ทุกคนมี และสามารถมองเห็นได้ สามารถที่จะพ้นทุกข์จากโลกนี้ได้ ทุกคนเป็นพุทธะได้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก



วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ผู้บำเพ็ญไม่ยึดติดเรื่องศักดิ์ศรี เป็นคนดีก็เกินพอแล้วศิษย์เอ๋ย
รักษาสัตย์ทุกทุกอย่างที่ตนเอ่ย ละชินเคยที่พาเจ้าให้เสียคน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า

ศึกษาธรรมอย่ารู้หน่ายไม่รู้พอ ศรัทธาต่อธรรมะอย่างคงมั่น
คนใจกว้างย่อมไม่ลืมจะแบ่งปัน บำเพ็ญนั้นอย่าบำเพ็ญอย่างผิวเผิน
ภาพภาพหนึ่งแขวนไว้ให้คนชม ได้รื่นรมย์ไปกับคำสรรเสริญ
หวานเป็นลมขมเป็นยาจริงเหลือเกิน เมื่อมุ่งเดินอย่าได้ติดคำเยินยอ
ภาพภาพนี้เปรียบได้ดั่งตัวศิษย์เอง เป็นคนเก่งในสังคมอย่างเนื่องต่อ
อย่าได้หลงเลื่อนลอยไร้คนรอ เร่งถักทอความก้าวหน้ามาสู่ตน
ตั้งแต่วันนี้เริ่มเดินนะศิษย์รัก รู้จักหักห้ามจิตใจอันสับสน
อย่าเสียทีที่ชาตินี้เกิดเป็นคน คนอับจนเพราะใจแพ้ใช่อื่นไกล
ทองไม่กลัวความร้อนการพิสูจน์ สิ่งสมมติทำให้ตาเจ้าลายได้
หยกไม่กลัวแกะสลักเจ็บปวดใด จิตแจ่มใสตื่นกลางทุกข์โดยเร็ววัน
ในวันนี้ข้าดีใจพบหน้าศิษย์ นำชีวิตฟ้ามนุษย์ร่วมประสาน
พาตนเองคืนฝั่งพ้นทรมาน คืนสู่บ้านพร้อมสมานดั่งวาริน

เอาใจตั้งมากขึ้นยามตั้งใจ มองด้วยใจเข้าถึงประจักษ์สิ้น
วันนี้และวันหน้าไร้ราคิน คนเดินดินคืนฟ้าเป็นอาจิณ
ฮา  ฮา  หยุด

*** กลอนบทที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นำไปรวมในพระโอวาทซ้อนพระโอวาทของท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ


ก่อบุญกรรมรู้แน่แก่ใจ เมื่อทำลงไปได้แต่รับมา ผิดถูกมองเห็นกัน 
ชั่วชีวิตคิดฝ่า เปลี่ยนแปลงดวงชะตา ขอเลิกเกี่ยวกรรม
หากทำกรรมไว้มากยากคืน ต้องเก็บกลืนน้ำตาหนาอยู่ทุกวัน สิ่งใดตนได้ทำ ย่อมมีผลตกนั่น ว่ายเวียนไปแสนนาน เพราะไม่ตัดใจ
* หลายเรื่องร้อนใจมิได้ทบทวน จึงกลายเป็นชนวนนำความหนักใจ  หลายสิ่งหามา หลายสิ่งทิ้งไป เป็นวังวนวุ่นวายโลกแห่งนี้
** ตัดอารมณ์แสนยากอย่างไร ตัดติดยึดในใจยากกว่าทวี ที่หมั่นเพียรทุกวัน เจ้าคงคิดถ้วนถี่ จะทำดีมิยากหากจะทำจริง     (ซ้ำ * , **)

ทำนองเพลง : ยากจะหักใจลืม
ชื่อเพลง : ละบาปบำเพ็ญบุญ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อยู่ในสถานธรรมก็เหมือนอยู่บนเรือ  ลงมือพายเรือธรรม แล้วพายไปถึงไหน (นิพพาน)  ถึงนิพพานแต่ไม่ถึงนิพพานที่อยู่ในใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจที่มีแต่ความสงสัยเป็นใจของนิพพานได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ใจของนิพพานเป็นอย่างไร (ใจที่สงบ,ใจที่ว่างเปล่า)  แก้วน้ำที่ว่างเติมน้ำลงไปได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นในวันนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนเทน้ำออกจากแก้วของตนเองเสียก่อน เราลองจับแก้วที่ไร้รูปลักษณ์ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทำท่าจับแก้ว)  แก้วน้ำของเราใหญ่หรือไม่เราก็คงมองเห็นอยู่คนเดียว ขอให้ทุกคนเทน้ำออกจากแก้ว หมายความว่าเทความคิดที่ช่างสงสัย ความคิดที่ไม่ดีเททิ้งก่อน ไม่ใช่มือหนึ่งเทแต่อีกมือหนึ่งปิดปากแก้วไว้ ถ้าทำเช่นนี้น้ำก็ไม่ออกจากแก้ว ถ้าน้ำไม่ออกจากแก้วแสดงว่าอะไรเป็นอุปสรรคของเรา (ตัวเอง) มือหนึ่งเราอยากจะศึกษาธรรมะแต่อีกมือหนึ่งขัดขวางตัวเองเอาไว้  หมายความว่าตัวเราเองที่ขัดขวางตัวเราเอง คนเรานั้นจะทำอะไรขึ้นอยู่กับใจของเราเองทั้งนั้น  สำเร็จได้ที่การกระทำ ล้มเหลวได้ที่เราคิดแล้วไม่กระทำ 
นั่งฟังธรรมะ ๒ วันแล้ว เราคิดว่าเราอยากออกไปกระทำหรือไม่ ธรรมะสอนให้คนช่วยคนดี เราเป็นคนดีหรือยัง ใครว่าตัวเองเป็นคนดีแล้วยกมือขึ้น คนดีเหล่านี้อาจารย์ขอให้ไปช่วยคนดีด้วยกันได้หรือไม่ (ได้) ใครคิดว่าตัวเองยังไม่ดียกมือขึ้น เป็นคนไม่ดีแล้วทำไมมีคนชวนมารับธรรมะ และยังคุกเข่าเอาชีวิตรับประกันว่าเราเป็นคนดี แต่เรากลับไม่มั่นใจว่าเรานั้นเป็นคนดี เมื่อมีโอกาสมารับธรรมะ บำเพ็ญธรรมแล้ว ก็เริ่มเปลี่ยนความไม่ดีมาเป็นความดี ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเราไม่อยากเปลี่ยนแปลง เมื่อมีคนมานั่งจ้องเรา แล้วบอกเราว่าเราควรจะเปลี่ยนแปลงการกระทำของเรา ถ้าเขาบอกเราอยู่เรื่อยๆ เราจะทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะฉะนั้นควรจะให้ตัวเองบอกกับตัวเองจึงจะสำเร็จได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาใช้เหรียญบาทอธิบายหลักธรรม)
เคยเล่นปั่นหัวปั่นก้อยไหม (เคย)  คนที่ดีก็คือคนที่ออกหัว คนที่ไม่ดีก็คือคนที่ออกก้อย เวลาเราปั่นลงไปมีไหมว่าเหรียญค้างอยู่ตรงกลางไม่ลงหัวและไม่ลงก้อย (ไม่มี)  ลองปั่นดูซิว่าเหรียญของเราจะได้หัวหรือได้ก้อย คนที่ออกหัวก็คือคนที่ดี คนที่ออกก้อยคือคนที่บอกว่าตนเองไม่ดีใช่หรือไม่ คนที่บอกว่าตนเองดีครึ่งไม่ดีครึ่งไม่มีใช่หรือไม่  ธรรมะนั้นก็คือธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นก็คือธรรมะ เพราะฉะนั้นเหรียญบาทนี้ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน เราเกิดเป็นคนนั้นจะบอกว่าตนเองดีครึ่งไม่ดีครึ่งตลอดชีวิต ได้หรือไม่ (ไม่ได้) จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เราจะใช้เวลากี่ปีในการดีขึ้น น่าเสียดายที่อาจารย์นั้นเห็นคนส่วนใหญ่ไม่ดีขึ้นแต่กลับแย่ลง หลายคนนั้นแย่ลงเรื่อยๆ  จนในที่สุดเวลาทำผิดบาปแล้วไม่รู้สึกว่าผิด  เคยรู้สึกอย่างนั้นไหม  เมื่อเวลาเราผิดแล้วไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นผิดเลย แสดงว่าเรากำลังแย่ลงอย่างที่สุด เราจะทำอย่างไรดี
ความชินเคยนั้นพาเราไปไหน สมมติว่าคนๆ หนึ่งเวลากินข้าวต้องกินเหล้าตามทุกครั้งเคยเห็นไหม (เคย)  ตอนแรกทำเพื่อให้เป็นอย่างไร (เจริญอาหาร)  ทำให้ย่อยอาหาร พอกินทุกๆ วันกลายเป็นอะไร (กลายเป็นความเคยชิน)  พอชินมากๆ กลายเป็นคนอะไร (กลายเป็นคนติดเหล้า)  ตอนเด็กๆ ก่อนจะออกจากบ้านต้องไหว้พ่อแม่ก่อน พอโตขึ้นแล้วขี้เกียจไหว้ พอนานๆ เข้าก็กลายเป็นความเคยชิน พอนานเข้าไปอีกกลายเป็นคนอะไร (ไม่มีสัมมาคารวะ)  สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตทั้งนั้นเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนบำเพ็ญธรรมเป็นคนติดเหล้าได้ไหม (ไม่ได้)  คนบำเพ็ญธรรมเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะได้ไหม (ไม่ได้)  ถามว่าการบำเพ็ญธรรมจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเหล่านี้ไหม (จำเป็น)  แต่ก่อนที่จะสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สิ่งที่มองเห็นชัดกว่าก็คือ สิ่งที่เป็นข้อเสียใหญ่ๆ ฉะนั้นมีเวลาว่างเราก็ลองมองข้อเสียข้อใหญ่ๆ ของเราก่อน พอเราพัฒนาๆ มากขึ้น เราเชื่อว่าเราเป็นคนดีแล้วเราก็อย่าลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้พาให้เจ้าเสียคน พาให้ศิษย์ของอาจารย์เสียคน เพราะว่าความเคยชินต่างๆ นั้น เป็นเรื่องแก้ไขยากที่สุด เหมือนอย่างที่คนบางคนตอนอยู่ในโลกบำเพ็ญดีมากๆ พอตายไปกลับไปเบื้องบน กลับแพ้ภัยตัวเอง เพราะว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ตัดเรื่องบางเรื่องไม่ได้ ถ้าตัดไม่ได้หนักๆ ถามว่าต้องลงมาเกิดใหม่ไหม (ลง)  เราไม่สามารถอยู่บนแดนแห่งความสงบได้ เพราะใจของเราไม่สงบนั่นเอง ลองนึกดูว่าเราบำเพ็ญธรรมแล้วเราจะทำอะไรบ้าง เราจะแก้ไขอะไรบ้าง ทำให้ทุกๆ วันผ่านไปอย่างมีคุณค่า คนทุกคนต่างมีทั้งข้อดีและมีข้อเสียใช่หรือไม่ (ใช่)  มองคนอื่นขอให้มองแต่ข้อดี  เวลามองตัวเองขอให้มองให้เห็นข้อเสีย อย่าไปชื่นชมกับความดีของตัวเองมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนที่หลงตัวเอง ตัวอย่างง่ายๆ ของความเสียคนนั้น มองได้จากคนที่ติดเหล้าและติดบุหรี่ได้ดีที่สุด คนที่สูบบุหรี่นั้นตอนแรกก็บอกว่าลองๆ ดู พอตอนหลังไม่รู้ลองยังไงวันหนึ่งสูบตั้งหลายซอง เพราะฉะนั้นคนที่ติดบุหรี่ก็เป็นคนที่เสียคนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีตัวอย่างการเสียคนมากมายที่อยู่ภายนอก ศิษย์ลองไปดูซิว่าเขาเหล่านั้นเสียคนเพราะเริ่มจากจุดเล็กๆ น้อยๆ นี้หรือเปล่า ธรรมะคือธรรมชาติ สังเกตคนก็สังเกตเห็นธรรมะ คนเหล่านั้นเมื่อยามไม่มองในจุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ทำให้เขานั้นห่างไกลธรรมะมากขึ้นๆ 
(นักเรียนในชั้นกราบรับพระอาจารย์)
 ใช้อะไรรับอาจารย์ (รอยยิ้ม)  ธรรมะที่เราฟังสองวันนี้ โดยส่วนใหญ่ ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ เพียงแต่เรานั้นอาจจะยังไม่ยอมทำ ใช่หรือไม่  ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องเป็นหัวข้อที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ศิษย์มาฟังอะไรที่ศิษย์ไม่เคยฟังมาก่อน แต่ว่าให้ศิษย์รู้ในสิ่งที่ศิษย์นั้นรู้อยู่แล้ว แต่ว่าความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การรู้ แต่อยู่ที่ไหน (การลงมือปฏิบัติ)
ระหว่างความสุขกับความทุกข์ศิษย์มีสิ่งไหนมากกว่ากัน (ความสุข,ความทุกข์)  เกิดมาเป็นมนุษย์มีสุขและทุกข์ปะปนกันไป อยากจะมีความสุขต้องทำอย่างไร มีเงินทองมากมีความสุขไหม (ไม่มี)  ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข (ต้องปล่อยทำจิตให้ว่าง ให้มุ่งมั่น)  การที่คนเรามีความสุขหรือความทุกข์นั้นอยู่ที่จิตใจของเราเอง ใจของเราอยู่ในตัวเรา และเรานั้นเป็นเจ้าของกาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตีตัวเองเจ็บไหม (เจ็บ) ไม่ตีเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  คนที่วิ่งเข้าไปหาความทุกข์ก็เหมือนคนที่ตีตัวเอง ยิ่งมีความทุกข์มากเราก็ยิ่งรู้ตัว เพราะมีคนคอยตี 
ฉะนั้นขอให้เรารู้ตื่นขึ้นมาจากทุกข์ เพราะแดนที่มนุษย์ติดอยู่นี้พุทธะเรียกว่า "ทะเลทุกข์" แสดงว่าคนที่อยู่ในทะเลนี้ต้องทุกข์แน่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความสุขลอยอยู่เหนือทะเล ถ้าอยู่ในทะเลก็ไม่เจอความสุข การที่จะมีความสุขได้จึงต้องขึ้นจากทะเล ลองนึกดูว่าถ้าเราไปลอยอยู่ในทะเล แล้วอยู่ๆ จะขึ้นจากทะเลได้อย่างไร (ขึ้นเรือ)  ตอนนี้เราเปรียบเหมือนอยู่บนเรือธรรม เราอยู่เหนือความทุกข์ แต่เรายังไม่พ้นทุกข์  เราจะไปกลุ้มใจกับความทุกข์เหล่านั้นทำไม ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่อย่าลุ่มหลงในความอิสระที่โลกวิวัฒนาการนี้มอบให้ เราต้องรู้ว่าเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ตอนนี้อยู่บนเรือแล้วจะกระโดดลงไปหาความทุกข์อีกดีไหม (ไม่ดี) ฉะนั้นการที่มีเรือลำนี้อยู่จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของเรามากๆ ที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์  ศิษย์บอกว่าศิษย์ไม่อยากเจอทุกข์ แต่ศิษย์ก็ไม่อยากบำเพ็ญธรรม แล้วถามว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร มือขวาจับน้ำทะเล มือซ้ายต้องพยายามจับเรือ  ฉะนั้นมือขวาทำงานทางโลกไปก่อน ทำงานทางโลกแต่อย่าโลภ มือซ้ายจับเรือ หมายความว่า มือซ้ายให้บำเพ็ญธรรม จึงมีคำกล่าวว่า ตอนนี้เป็นยุคของการบำเพ็ญธรรม และทำงานทางโลกไปพร้อมๆ กัน อาจารย์ไม่ได้บอกให้บำเพ็ญธรรมอย่างเดียว แต่ให้ศิษย์ทำงานทางโลกและทางธรรมด้วย  ถึงวันนี้แล้วศิษย์จะลงจากเรือหรือไม่ (ไม่ลง) อาจารย์เห็นบางสถานธรรมที่เปิดมาไม่กี่ปี มีบางคนนั้นกระโดดลงน้ำไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
นิสัยขี้ลืมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องแก้ลำบาก  วันนี้ลืมหยิบสิ่งนั้นสิ่งนี้มาด้วย เวลาเราบำเพ็ญเราก็ลืมหยิบหัวใจมาบำเพ็ญด้วย บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาก็บำเพ็ญแต่เปลือกนอก ภายนอกดูดีแต่ภายในเป็นอย่างไร มีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง" แต่อาจารย์ชอบแบบข้างนอกต๊ะติ๊งโหน่งแล้วข้างในให้สุกใสมากกว่า ข้างนอกต๊ะติ๊งโหน่งเป็นอย่างไร คนบำเพ็ญธรรมนั้นเวลาอยู่ข้างนอกโดนคนต่อว่าโดนกล่าวร้ายบ้าง โดนสิ่งต่างๆ นานา โดนความลำบากมาชนเข้า แต่ข้างในก็ยังสดใส 
มีคำกล่าวว่า "หากรู้พอก็จะมีสุข"  การรู้พอนั้นได้สุข แต่คำว่ารู้พอนั้นใช้กับการศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ได้  จริงๆ แล้วธรรมะคือธรรมชาติ กว้างใหญ่สุดที่จะประมาณได้ การศึกษาธรรมจึงต้องศึกษาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน เปิดเผยจริงใจ รู้จักเอาข้อดีของคนอื่นมาปรับปรุงตัวเอง ลืมข้อเสียของคนอื่นไปบ้าง เพราะทุกวันเราอยู่กับคนมากมาย แต่เราก็คอยมองข้อเสียของคนนั้นทีคนนี้ที เพราะเรานั้นควบคุมสายตาของตัวเองไม่ได้ เวลาเราหลับตาก็มองไม่เห็น ลืมตาจึงมองเห็น การที่เรานั้นควบคุมตัวเองได้ ควบคุมที่จะมองข้อดีและข้อเสียของผู้อื่นได้ ก็เหมือนกับการหลับตาและลืมตา เวลาที่เราไม่อยากมองเราก็ทำเหมือนหลับตาแต่เรายังลืมตาอยู่  การมองนั้นขอให้ใช้ข้อเสียของผู้อื่นมาเป็นบทเรียนไม่ใช่การปิดหูปิดตา ถ้าหากว่าใจของเรานั้นไม่เปิดกว้างไม่รู้จักปล่อยวาง เราก็จะมีข้อเสียของผู้อื่นเต็มหัวไปหมด ในที่สุดข้อเสียของตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ก็กลายเป็นคนเสียๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งไม่ดีของคนอื่นก็ลืมๆ ไปบ้าง ไม่ต้องเก็บไว้ บางคนเป็นคนช่างจำ พอตอนจะนอนแล้วเกิดกลุ้มใจนอนไม่หลับ ตัวเราก็เป็นทุกข์ ใครที่กลุ้มใจจนนอนไม่หลับนั้นก็ต้องพิจารณาตัวเอง หัดปล่อยวางบ้าง อาจารย์มีการเล่นอย่างหนึ่ง คือการปล่อยวาง เวลาที่เราพูดถึงปล่อยวางนั้น เรามักจะมองไม่เห็นรูป ธรรมะเดิมทีไม่มีรูปเน้นหนักที่การปฏิบัติ เพราะฉะนั้นมนุษย์ใช้ตามองแต่รูป อาจารย์จึงคิดปล่อยวางให้ศิษย์ดู 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นแสดงท่าปล่อยลูกแอปเปิ้ลแทนความหมายคำว่าปล่อยวาง)  
สมมติว่าใจของเราเป็นแอปเปิ้ลลูกนี้ เวลาปล่อยเราก็อย่าลังเลที่จะปล่อยมันออกมา คำว่าปล่อยวางนั้นมีมานานแล้ว เพียงแต่เราต้องรู้จักนำไปปฏิบัติ  ธรรมะนั้นสำคัญอยู่ที่การนำกลับไปปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์ที่บำเพ็ญมาหลายปีแล้ว ต่อให้ศิษย์จะพูดธรรมะได้ ต่อให้พูดแล้วมีคนฟัง แต่ถ้าหากว่าใจของเราไม่ยอมฟังตัวเอง นั่นก็เป็นความล้มเหลวของตัวเอง ฉะนั้นนอกจากเราจะพูดเป็น คิดเป็น ยังต้องปฏิบัติเป็นด้วย ต้องรู้ต้องกำหนดชีวิตของตัวเอง เหมือนกับโอวาทที่อาจารย์เคยให้ไว้ในชั้นประชุมธรรมที่นี่คำว่า "รู้ชีวิต กำหนดชีวิต" รู้จักชีวิตของเราเอง กำหนดชีวิตของเราเอง คำว่าอนาคตกำหนดได้จากปัจจุบัน อดีตมากำหนดปัจจุบันของเราไว้ และปัจจุบันนั้นกำหนดอนาคต  วันหน้าอยากจะเป็นหมอ วันนี้ต้องเริ่มเรียนหมอ อยากจะกินผลมะม่วง วันนี้ต้องปลูกมะม่วง อยากจะกินแตง วันนี้ต้องปลูกแตง แต่คนสมัยนี้คงไม่รู้จักปลูก เมื่ออยากกินมะม่วง อยากกินแตงก็เอาเงินไปซื้อ คนเราจึงให้ความสำคัญกับเงินมากเกินไป หากวันไหนไม่มีเงินก็รู้สึกว่าจะอยู่ไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ในตอนนี้โลกของศิษย์มีแต่วุ่นวายขึ้นทุกวัน ทำไมธรรมะจะต้องลงมาโปรดตอนนี้ด้วยล่ะ ทำไมอาจารย์ต้องลงมายืมร่าง ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลาย
พระองค์ต้องลงมาพูดธรรมะ ทั้งที่รู้ว่าเมื่อพูดไปก็อาจจะมีคนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ทำไมท่านต้องทำอย่างนั้น อาจารย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บำเพ็ญบรรลุกลับคืนไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงมาก็ได้ แต่ที่จำเป็นต้องมา เพราะว่าโลกที่วุ่นวายนี้มนุษย์ไม่สามารถที่จะกำราบกันเองได้  ความวุ่นวายไม่ได้ก่อเพียงสิบปียี่สิบปี ศิษย์เองนั้นเหมือนมดที่มองเห็นแต่ทางที่ตัวเองเดินเท่านั้น มองไม่เห็นถึงสิ่งอื่นรอบข้าง มองไม่เห็นถึงอันตรายจากบาปที่ตัวเองเคยสร้าง จึงไม่เคยกลัวบาปกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ศิษย์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เคยมองเห็นในสิ่งที่ตัวเองสร้าง จำไม่ได้ถึงกรรมในชาติเก่าที่ตัวเองเคยก่อ ฉะนั้นจึงเป็นความเดือดร้อน เมื่อกรรมของทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ การที่อาจารย์ต้องมาให้ธรรมะเพื่อให้เราได้รู้ว่าเรามีจิต เราต้องบำเพ็ญจึงจะสามารถหลุดพ้นจากภัยที่ตัวเองนั้นเคยก่อไว้ได้ เมื่อศิษย์มองไม่เห็นก็จำเป็นที่จะต้องช่วยมอง
ตอนนี้เราเกิดมาเป็นคน ไม่ได้เกิดมาเป็นสัตว์ เมื่อสามสี่วันก่อนศิษย์ยังกินเนื้อสัตว์อยู่เลย สัตว์เวลาใกล้ตายเขายังจะวิ่งต่ออีกนิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าทุกสิ่งมีชีวิตมีความเจ็บปวดเหมือนกัน ถ้าจะบอกว่าเขามีจิตเหมือนกับเราหรือไม่ อาจารย์คงไม่พูดไปไกลขนาดนั้น เรามักเห็นตอนที่เนื้อของเขานั้นสุกมาเรียบร้อยแล้ว รสชาดและกลิ่น ดีจนเราหักห้ามใจไม่อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้ที่จริงแล้วทุกชีวิตนั้นมีชีวิตเหมือนกัน เราจะไปประหัตประหารชีวิตเขาได้ไหม (ไม่ได้) ปีหนึ่งเรากินหมูกี่ตัว ถ้าเราลองให้หมูตัวหนึ่งวิ่งมาชนเราได้หรือไม่ ให้ไก่ตัวหนึ่งวิ่งมาจิกเราเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าเรากลัวเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บเรายังกลัวแล้วนับประสาอะไรเมื่อเทียบกับเราไปกินเขาทั้งตัวเลย บางทีกระดูกยังเคี้ยวเข้าไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมนั้นก็คือการฝึกเมตตาจิต เมตตาในชีวิตของคนที่มีชีวิต ของสิ่งที่มีชีวิต
กลับไปจะกินหมูอีกไหม ใครที่อยากกินหมูอีก ถ้ากลับไปเดินผ่านคอกหมู อาจารย์จะให้หมูวิ่งชนเอาไหม หมูวิ่งชนไม่เจ็บเท่าไรไม่ตายหรอก เรายังกินเขาได้ทั้งตัวเลย เดี๋ยวเดินผ่านไป ไก่มาจิกเอาไหม มีใครมาทุบหัวเราเอาไหม (ไม่เอา) การมีความสุขง่ายๆ คือ การที่ทำให้คนอื่นมีความสุข ทำให้สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากตัวเรามีความสุขแล้วเราจะมีความสุข เหมือนคนไทยที่เข้าวัดบ่อยๆ ชอบพูดว่าทำบุญแล้วสุขใจเพราะว่าเราได้ให้ออกไป ตัวเราจึงรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น
วันนี้อาจารย์จะบอกว่าการให้นั้นไม่ใช่ให้แต่พระสงฆ์ แต่ให้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ให้ถึงคนธรรมดาที่เรามองเห็น เขาว่าเขาเป็นคนชั่ว เราจึงเป็นพุทธะได้ ในวันนี้ศิษย์มานั่งรวมกันใครจะไปรู้ว่าอาจจะมีคนที่เคยทำไม่ดีมามากแล้วมานั่งอยู่ในที่นี้ด้วยก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงบอกว่าทำเหมือนมองไม่เห็น ทำเหมือนลืมๆ ไปบ้างสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ดีมีค่า เป็นสิ่งที่เราจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้  อยากมีความสุขก็จงมอบความสุขให้คนอื่น แล้วเราจะมีความสุขเอง ธรรมะลงมาโปรดตอนนี้ก็เป็นเวลาเพียงจำกัด ตัวศิษย์เองนั้นก็มีชีวิตเพียงจำกัด ฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญทั้งชีวิตนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่ยืดยาวเกินไป ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะว่าสัตว์นั้นมีกรรมที่มากกว่าเราจึงต้องเกิดเป็นสัตว์ เราเกิดมาเป็นคนนั้นก็มีบุญมากกว่าเขา แต่ถ้าเรานั้นสร้างบุญต่อไปเราจะมีสิทธิเป็นถึงพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธ์ได้
คนประเภทไหนจะสำเร็จธรรมไปให้คนกราบไหว้ เราเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะทำไปถึงขั้นนั้น เราต้องลองคิดดู แล้วเราจะต้องปรับปรุงตัวขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชายที่ไว้ผมยาวก็จะตัดสั้น ผู้หญิงที่นิสัยไม่อ่อนโยนก็จะพยายามอ่อนโยนขึ้น หูที่ชอบฟังคำนินทาของคนอื่นก็จะไม่อยากฟัง ตาที่ชอบมองแต่สิ่งไม่ดีก็ไม่อยากมอง สิ่งไม่ดีคำพูดให้ร้ายผู้อื่นก็ไม่อยากพูด เสื้อผ้าก็จะใส่ให้ดูเรียบร้อยขึ้น ผมก็จะไม่เปลี่ยนสี การกินของเรานั้นก็จะเป็นการกินที่บริสุทธิ์มากขึ้น อาจารย์พูดแค่คร่าวๆ ภายนอกที่มองเห็นเท่านั้นเอง แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นจะต้องตั้งเป้าหมายไว้ไกลๆ ตั้งเป้าหมายไว้ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าศิษย์ทำไม่ได้ ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราจะเดินไปแค่ ๒๕ กม. แล้วเราจะเดินไปได้ถึงไหม คนมักจะทำไม่ถึงในเป้าหมายของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเดิน ๒๕ กม. ต้องตั้งเป้าหมายไปสัก ๓๐ กม. ส่วนคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนขี้เกียจชอบแวะริมทางอยู่เรื่อยก็ตั้งไว้สัก ๕๐ กม.เลยแล้วกัน ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากว่านิพพานอยู่แค่ ๒๕ กม. เดินไปเราบอกว่าเราจะเดิน ๕๐ กม.ก็คงจะถึงครึ่งทางที่เรากำหนดไว้เท่านั้นเอง พระโพธิสัตว์กวนอิมนั้น แม้เวลาจะผ่านไปแล้วหลายพันปีก็ยังเป็นที่รู้จักใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง (ผู้หญิง)  เพราะฉะนั้นผู้หญิงยอมแพ้ไหม (ไม่ยอม)  พระโพธิสัตว์นั้นเป็นผู้หญิง ถามว่าผู้ชายยอมแพ้ผู้หญิงไหม (ไม่ยอม)
การมาสถานธรรมสำคัญอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือมารยาท คนที่สุขุม คนที่ดูเรียบร้อย จึงเป็นคนที่น่าเชื่อถือ ถ้าหากว่าเราดูแล้วหลุกหลิกๆ ก็ไม่ต่างจากลูกลิง ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร่วมวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
"ฟ้า"  เดิมทีใจของเราก็ใสอยู่แล้ว แต่ทำให้สว่างเหมือนฟ้าหลังฝนทำได้ไหม (ได้)
"มนุษย์" พุทธะทุกพระองค์ก่อนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้ก็ต้องมีกายเป็นมนุษย์มาก่อน ตอนนี้ศิษย์มีร่างกายเป็นมนุษย์ แล้วเราก็มีวาสนา มีกรรมพอสมควร เราก็ใช้กรรม แล้วก็ใช้วาสนาของเรานั้นบำเพ็ญจากมนุษย์ไปเป็นพุทธะ ไปได้หรือไม่ได้อยู่ที่ใจของเรานั้นจะโลเลหรือไม่
"จะทำดีมิยากหากจะทำจริง" การทำดีไม่ใช่เป็นเรื่องยาก หากว่าเราตั้งใจทำจริงๆ แต่ทุกวันที่ทำไม่ได้เพราะว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับแล้วกลับไปก็ต้องแก้ไข กล้ายอมรับในความผิดพลาดและแก้ไขในความผิดพลาดของตนจึงถือเป็นผู้กล้า
"เปลี่ยนแปลงดวงชะตา ขอเลิกเกี่ยวกรรม" การที่เราจะเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของเราเองได้ประการแรกต้องเลิกเกี่ยวกรรมกับสิ่งที่เป็นความผิดบาปทั้งหลายก่อน
เวลาที่อาจารย์เห็นศิษย์มีใจบำเพ็ญหรือท้อใจ ก็เป็นศิษย์คนเดียวกัน คนที่เปลี่ยนไปก็คือคนที่เมื่อก่อนนี้มีความมั่นคง มีความศรัทธาแรงกล้า อาจารย์อยากจะเตือนศิษย์สักคำหนึ่ง การตั้งปณิธานการบำเพ็ญธรรมไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครขู่เข็ญ แต่เมื่อไหร่ที่ตั้งปณิธานแล้ว เมื่อนั้นเป็นเรื่องของฟ้าเบื้องบนด้วย ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเราคนเดียว จะเปลี่ยนใจก็คิดให้ดี เจอความลำบากฝ่าไม่พ้นก็คิดให้ดี ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทางออกของน้ำที่โดนหินขวางทำอย่างไร (อ้อมไป) แต่ถ้าหินนั้นมาขวางหน้าไม่มีทางหลบ ศิษย์ต้องรู้จักหลีกรู้จักเซาะรู้จักพาตนให้ถึงฝั่งให้ได้ จำคำอาจารย์ไว้ให้ดีๆ นะ ทุกๆ คน
 คนที่ร่วมฟังอยู่ข้างล่างก็มีความสบายไม่แพ้คนที่อยู่ข้างบน เบื้องบนนั้นมองดูแต่ใจของศิษย์เท่านั้น อย่าคิดว่าเรานั้นห่างไกลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าคิดว่าใจเรานั้นไกลฟ้า แม้จะอยู่ห่างไกลแต่จริงๆ แล้วใกล้มากๆ เหมือนอาจารย์นั้นที่มาจากฟ้าตอนนี้ก็มาคุยกับศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้เรานั้นมีใจเหมือนฟ้า ใกล้ชิดฟ้า ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นตั้งใจเดินหน้าให้ถึงฝั่ง แม้ว่างานจะรัดตัว แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลาว่าง ก็ขอให้เรานั้นมีจิตหนึ่งใจเดียว ที่ยิ่งสูงนั้นก็ยิ่งเป็นที่อันตราย แต่หากไม่ก้าวขึ้นไม่อยากจะไปที่สูง ก็ไม่ถึงเช่นเดียวกัน เส้นทางที่ไปเบื้องบนนั้นมีทั้งยากมีทั้งง่าย อยู่ที่กรรมของเรานั้นสร้างมาแต่ก่อนอย่างไร เมื่อเจอความลำบากก็อย่าได้เอาตัวไปเทียบกับคนที่สบาย ไม่อย่างนั้นเราจะเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวใจจนเดินไม่ไหว
ขอให้ทุกคนโชคดี บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ แล้วก็ราบรื่น อย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรคที่จะเจอในวันหน้า
ในความหมายของเพลงนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องกรรมทั้งนั้น  กรรมก็คือ การกระทำของเรา หากว่าเราทำแต่สิ่งที่ดีก็เรียกว่ากรรมดี ทำไม่ดีเรียกว่ากรรมชั่ว เราทำสิ่งใดย่อมรู้อยู่แก่ใจของเราเอง ถ้าหากว่าทำไปแล้ว ก็รอแต่รับผลเท่านั้น เพราะฉะนั้นจงมีสติคิดให้ได้ ก่อนที่จะทำลงไป
"หลายเรื่องร้อนใจมิได้ทบทวน จึงกลายเป็นชนวนนำความหนักใจ" ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ต่างก็มีความหนักใจเป็นของส่วนตัวอยู่ การที่เราจะแก้ไขสิ่งใดนั้นไม่ใช่มาแก้ไขที่ปลายเหตุ แต่ต้องไปแก้ไขที่ต้นเหตุ 
“หลายสิ่งหามา หลายสิ่งทิ้งไป” เรานำเงินไปซื้อเสื้อผ้าเมื่อไม่ชอบใจเราก็ทิ้งไป รถคันนี้เริ่มเก่าแล้วไม่ถูกใจก็ขายไปใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกมนุษย์เป็นวังวนอย่างนี้ แม้กระทั่งร่างกายนี้ ต่อไปศิษย์ก็ต้องทิ้งไปเหมือนกัน อยากพ้นวังวนต้องรู้จักบำเพ็ญธรรม แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากให้หามาแล้วทิ้งไปในทางธรรม ก็คือหาคุณธรรมหาคุณงามความดี หาความเมตตาเข้ามาแล้วทิ้งกิเลส ทิ้งตัณหา ทิ้งความอยากทั้งหลายออกไปจากใจของเรา ถ้าหากว่าทำได้เช่นนี้แม้ว่าเราจะอยู่ในวังวนโลกแห่งนี้ แต่เราหามาแล้วทิ้งไปได้อย่างถูกต้องเราย่อมไม่หลงวังวน ย่อมไม่เป็นผู้หลงโลกนี้แน่นอน 
“ตัดอารมณ์แสนยากอย่างไร ตัดติดยึดในใจยากกว่าทวี” ความ
รู้สึกติดยึดของเรานั้นเป็นเรื่องที่ตัดยากกว่าอารมณ์ เหมือนอย่างวันนี้ที่ศิษย์ของอาจารย์รวมตัวกันอยู่ที่นี่ หลายๆ คนนั้นยึดติดในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยึดติดในตัวอาจารย์ซึ่งเป็นความยึดติดที่ยากจะตัด ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ศิษย์จะรักอาจารย์แค่ไหน จะมีบุญกับพุทธะแค่ไหน แต่หากว่าไม่บำเพ็ญก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ หากวันไหนอาจารย์ไม่มาแล้วศิษย์จะยึดอะไร เลิกบำเพ็ญอย่างนั้นหรือ เลิกบำเพ็ญยิ่งไม่มีโอกาสเป็นพุทธะได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)

ในโลกนี้คนที่กลัดกลุ้มมีอยู่ ๔ ประเภท 
๑.กลัดกลุ้มในการงาน อยากได้การงานที่สมบูรณ์เพรียบพร้อม 
๒.กลัดกลุ้มในเรื่องปากท้องวิถีชีวิต อยากจะมีกินมีใช้ 
๓.กลัดกลุ้มเรื่องครอบครัว กลัวว่าครอบครัวจะไม่ประสบความสำเร็จ กลัวลูกหลานของเราจะไม่ได้ดี กลัวการพลัดพรากจากสามีภรรยา กลัวลูกจะตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนความกลัดกลุ้มเรื่องที่ ๔ อาจารย์ให้ศิษย์กลับไปคิดเป็นการบ้านแล้วกันนะ 
อย่างที่ ๔ ยกให้เป็นความกลุ้มใจที่ศิษย์กลุ้มอยู่ทุกวันแล้วกัน 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ฟ้ามนุษย์รวมเป็น 1”)
ในกายของเรานั้นมี “ฟ้า” ซึ่งเปรียบเสมือนจิตของเรา “มนุษย์” ก็คือตัวของเราเอง ฟ้าจะทำงานได้ต้องอาศัยมนุษย์มาช่วย อย่างอาจารย์นี้ไม่มีร่างกายแต่ศิษย์ของอาจารย์ยังมีร่างกาย อาจารย์ก็ยืมร่างกายของศิษย์นั้นมาพูดกับศิษย์อีกทีหนึ่ง ตัวของศิษย์มีร่างกายเป็นฟ้าและมนุษย์ที่รวมกันเป็นหนึ่งอยู่แล้ว จึงมีศักยภาพที่จะไปทำงานธรรมะได้อย่างรุ่งเรือง ขอเพียงศิษย์นั้นรักษาใจฟ้าที่อยู่ในตัวให้สมบูรณ์เพรียบพร้อม ถ้าหากว่ารักษาใจของเรานี้ไม่ได้ ย่อมทำงานธรรมะนี้ไม่สำเร็จ ขอให้เรานั้นทำงานธรรมะด้วยความรู้สึกไม่โลภในลาภยศเงินทองชื่อเสียงจอมปลอมทั้งหลาย ขอให้เราทำงานธรรมะด้วยใจที่นิ่งๆ ใจที่สบายๆ ขอให้ฟ้ามนุษย์ที่รวมเป็นหนึ่งในตัวศิษย์นี้นำเรือธรรมลำนี้ไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ดีหรือไม่ (ดี)  สำเร็จหรือไม่สำเร็จย่อมอยู่ที่ตัวของเราเอง ฟ้าและมนุษย์ทำงานใหญ่ในการโปรดสามโลกนี้ แต่ศิษย์นั้นก็ทำงานฟ้าและมนุษย์ในการต้องบรรลุธรรมขึ้นไปซึ่งยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เมื่อเรานั้นรู้จักที่จะเดินก้าวก็อย่าลืมสอนให้ผู้อื่นนั้นเดินก้าวเช่นเดียวกัน เป็นคนที่รู้จักช่วยผู้อื่นให้ถึงฝั่งธรรมเช่นเดียวกัน อันนี้เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่มหาศาล แต่คนที่ทดสอบใครตกไปก็เป็นกรรมมหาศาลเหมือนกัน
ฟังธรรมะผ่านไปสองวัน ขอให้ศิษย์ตรึกตรองสักนิดหนึ่งว่า เรานั้นพร้อมที่จะบำเพ็ญแล้วหรือยัง ในใจของศิษย์นั้น ธรรมะคืออะไร ถ้าหากว่าธรรมะคือสิ่งที่เราจะนำมาใช้ ศิษย์ก็คงบำเพ็ญถึงฝั่งแน่นอน วันนี้ถ้ายังบำเพ็ญไม่ได้ดี วันหน้าคงทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์พูดถึงขอให้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น เวลาเบื้องบนทดสอบศิษย์นั้นก็เหมือนกับการบอกให้ศิษย์ไปถอนหญ้า แต่ละคนถอนออกมาเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  บางคนชอบสบายก็ใช้เครื่องตัดหญ้า งานก็ออกมาเรียบร้อยดี แต่อีกไม่กี่วันหญ้าก็งอกใหม่ บางคนที่ไม่ค่อยมีเงินก็ใช้มือลงไปถอน บางคนบอกว่าคนนี้โง่ แต่ว่าเขาถอนหญ้าได้เกลี้ยง เพราะว่าเขาขุดรากถอนโคน หลายวันหญ้าก็ยังไม่งอก ส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าเบื้องบนคงไม่เห็นเพราะไม่ได้มาเฝ้า ก็ไม่ยอมถอนหญ้าปล่อยไว้อย่างนั้น ศิษย์จะเป็นคนแบบใดเลือกเอาเองก็แล้วกัน ศิษย์บางคนนั้นชอบทำหน้าอย่างหลังอย่าง ที่ลับอีกอย่างที่แจ้งอีกอย่าง คนที่คอยตรวจตรานั้นก็คือตนเอง ไม่ใช่คนอื่น
(นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงส่งพระอาจารย์)
อาจารย์จะไปแล้ว มันเป็นเวลาที่น่าเศร้า แต่ถ้าศิษย์ทุกคนรับปากว่าวันหน้าเราจะกลับมาพบกันได้อีก ความเศร้าของอาจารย์คงกลายเป็นเรื่องน่ายินดีทีเดียว อาจารย์คงจะนับวันนับคืนให้สักวันหนึ่งกลับมาพบศิษย์อีก แต่อาจารย์อยากพบศิษย์ที่รู้จักและช่วยตัวเองมากขึ้น ไม่หลงอยู่กับความกลุ้ม ไม่หลงอยู่บนโลก ไม่หลงอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย
(มีนักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์ว่า การปฏิบัตินั่งสมาธิเป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม)
การนั่งสมาธิเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ในยุคสมัยนี้การนั่งสมาธิช่วยให้จิตใจสงบเท่านั้น พอออกจากสมาธิจิตใจก็ไม่สงบแล้ว การที่ให้ศิษย์มาสถานธรรมเพราะธรรมะลงมาฉุดช่วยให้เรานั้นบำเพ็ญ ไม่ว่าจะนั่งเดินยืนหรือนอนก็บำเพ็ญได้ ฉะนั้นมีเวลาว่างก็กลับมาศึกษาที่สถานธรรมให้บ่อยๆ อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวังนะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
“ฟ้ามนุษย์รวมเป็น 1”


ฟ้ามนุษย์ร่วมกันทำงานใหญ่ เกณฑ์ยุคปลายโปรดพุทธบุตรคืนถิ่นฐาน
ลงแรงจริงบำเพ็ญใจใสสราญ ผู้รู้กาลขออย่าประวิงเวลาผิดชอบมา
ตั้งใจด้วยเข้าใจและรู้แยกแยะปัญญาใส เรียนแก้ไขภัยขวางที่ตรงหน้า
เดินตามแนวครรลองแห่งสัมมา อารมณ์หนาอย่ามีให้เปลืองใจ
มีคุณธรรมทำแต่ที่แจ้งแล้ว มีปณิธานผ่องแผ้วแสนยิ่งใหญ่
ไม่ลังเลจะทำความเข้าใจ ฟ้าอาศัยดูคนตามเจตนา


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา