Skip to content
PDF 2538-07-29-เจิ้งซิน #8.pdf
วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานเจิ้งซิน อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
กตัญญูเกิดจากใจฟ้าเที่ยง จิตลำเลียงให้ตรงบำเพ็ญเสมอ
ทั้งเกิดแก่เจ็บตายลวงบ่วงละเมอ ท่านพบเจอคิดจะพ้นหรือไม่กัน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสำรวมตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกนี้มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ ชะตานั้นขึ้นลงแก้เพื่อวาสนา
ใดจีรังลองตรึกตรองด้วยปัญญา ทรัพย์หามาเหนื่อยยากนี้เพื่อใครกัน
อันวันนี้น้องท่านรากบุญหนัก จิตจงพักทางโลกที่สับสน
แล้วฟังธรรมสองวันนี้มิอับจน ใช่ผองชนอาจหาญเล่นละครลวง
ประชุมธรรมสะเทือนทั่วทั้งสามฟ้า ในใต้หล้าขอจงเร่งสนอง
รู้ชีวิตจิตนี้ที่หมายปอง ฟื้นญาณทองที่มีอยู่ทุกผู้คน
อันกังขาเกิดลังเลแลสงสัย น้องลองไปพินิจดูให้รู้หนา
ยุคขาวนี้ถูกกำหนดแต่ก่อนมา ลงมาเพราะใจพุทธาจะลืมจริง
พินิจดูรู้อายุมิเดินกลับ น้องท่านจับสิ่งใดเป็นแก่นสาร
แลสิ่งใดคู่กายปลอมน้องดูแล วาระแท้โอกาสแท้ดูให้ดี
ทุกทุกท่านต่างมีบรรพชน รอทุกคนดูว่าใครขมันขมี
นำพระธรรมโปรดเวไนยทุกชีวี กุศลมีบำเพ็ญให้พร้อมนอกใน
ในวันนี้ศิษย์พี่กล่าวบอกน้อง ใจจงครองดั่งวีรชนผู้ยิ่งใหญ่
สำคัญตนตั้งใจฟังซาบซึ้งใจ ให้เข้าใจถึงแก่นแท้อย่าลังเล
อย่าลืมอันที่กว้างมักขาดระเบียบ แลอย่าเปรียบดั่งผู้ที่ลืมหลง
รักษากฎมิใช่ง่ายจิตดำรง ประภัสสรคงส่องไสวทั่วทั่วกัน
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่คุมข้างชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน
ชีพดั่งเรือลำน้อยขาดมุ่งหมาย บ้างดั่งเรือลำใหญ่ขาดคุณค่า
ครานี้พบแสงธรรมเรือพุทธา เรือใหญ่น้อยหมายเมตตาโปรดเวไนย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานชั่วคราว แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านล้วนเกษมฤๅ
ศึกษาธรรมน้อมดวงใจไร้ทิฐิ พุทธะหากยึดวุฒิยากกระจ่างได้
น้ำเต็มแก้วไร้ประโยชน์พินิจใน เมื่อจิตเกิดความเข้าใจก้าวหน้าเอง
จิตเวไนยดั่งทะเลอันไพศาล ยากประมาณหยั่งลึกต่ออารมณ์ไหว
พลันสงบพลันถาโถมพลิกฉับไว ประคองใจหนึ่งจิตธรรมวิสุทธิ์เดิม
สรรพสิ่งล้วนเกิดดับที่ตรงหน้า กลับแสวงหาอย่างโดดเดี่ยวสถานไหน
เปรียบเมฆดำฟ้าค่ำตัณหาใจ จันทร์เต็มให้เดินย่ำรอยอริยา
เคารพตนประพฤติตนตามคลองธรรม บำเพ็ญปราชญ์กำใจนั้นไม่หวั่นไหว
รูปลักษณ์ก่อกิเลสเกิดพิชิตไว ชนะใจพลังแกร่งแล้วปล่อยวาง
อุปสรรคช่วยหล่อหลอมใจกายคู่ นำสู่เชิดชูภวังค์ไกลชีวีท่าน
พบสุขและทุกข์ราวีสองมัคคญาณ เพียงหวังท่านผ่านทรมานม่านโลกีย์
ชีวิตมีทางหนึ่งมีแสงชัย อยู่ไม่ไกลเกินเมื่อพบวิถี
มรรคตรงอยู่นิรันดร์หนึ่งประตูที่ จิตปรานีสว่างไสวแต่โบราณมา
วาระนี้คาบเกี่ยวปวงท่านหาก ในควรคิดสักนิดเตือนภัยใหญ่
จะดูแคลนไปไยบากบั่นใจ มรสุมก็จางไปยามพร้อมสมบูรณ์
เสียงกังวานหาญเรียกเพียรแจ้งชีวี บรรเลงเพลงล่องขับร้องนี้เยือนสถาน
เพื่อทันให้ไปชีวีตามรูปการณ์ ฟังนานย้อนเห็นแนวทางพิจารณา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน
เมื่อมีแขกมาเยือน ผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องต้อนรับ ตอนนี้นักเรียนทุกท่านเหมือนเป็นเจ้าของชั้นเรียนนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาเยือนก็ต้องต้อนรับ เชิญเรานั่งใช่ไหม วันนี้มาทำอะไร (ประชุมธรรม) เมื่อมาประชุมธรรมต้องตั้งใจ กล้าตอบกล้ารับ
เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรลุหรือตรัสรู้แล้ว เหตุใดจึงมีใจอยากจะโปรดเวไนยสัตว์ (เพราะอยากให้ปุถุชนรู้จักธรรมได้ดีขึ้น) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรลุไป แล้วมีใจอยากช่วยเวไนยเพราะท่านรู้ว่าการเข้าถึงความสุขอันแท้จริง เข้าถึงรสพระธรรมมีความสุขยิ่งกว่าสุขในโลกหลายเท่า เมื่อท่านเข้าถึงแล้วก็มีใจเมตตา อยากให้เวไนยได้มีโอกาสลองสัมผัส ซึ่งแต่ละคนมีระดับจิตใจไม่เท่ากัน จะแจกแจงตามภาวะจิตของทุกคน ตอนนี้เพียงสรุปใจความให้ฟัง มาศึกษาถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตของทุกท่านอยู่แล้ว ธรรมอยู่ตรงไหน อยู่ในคัมภีร์หรือเปล่า คัมภีร์ที่ถูกกำหนดตราขึ้นมาจากความเข้าใจแล้วถึงถ่ายทอดเป็นคัมภีร์ การเรียนรู้สามารถศึกษาจากตัวอักษร เมื่อศึกษาแล้วเหมือนกับการขุดบ่อ หากไร้จุดมุ่งหมายแม้ขุดให้ถึงที่สุดก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่หากมีจุดมุ่งหมายว่าขุดเพื่ออะไร ทำประโยชน์อะไร เมื่อมีความพยายามหรือมีความมุมานะ ก็สามารถก่อประโยชน์ได้ โดยไม่เสียแรงและเหนื่อยเปล่า ดังนั้นสิ่งที่เราตั้งใจขุด ตั้งใจศึกษาจึงไม่เสียเปล่า อายุนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญในการศึกษาธรรม แต่สำคัญตรงที่จะต้องตั้งใจและไม่ปิดกั้นตนเอง เปิดใจมาศึกษา ธรรมะอยู่ที่พุทธจิตของทุกท่าน เหตุใดจึงกล่าวว่าพุทธจิตมีหลักธรรม ถ้ายกเหตุการณ์ขึ้นมาว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังจะไปเล่นในบริเวณใกล้น้ำ เมื่อเราเห็นก็รีบเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา เพราะกลัวเด็กจะตกน้ำ คุณธรรมในจิตใจหาได้ไม่ยากเลย เราอยู่ในครอบครัว รักบิดามารดาและพี่น้อง มีบุตรรักบุตร มีสามีรักสามี ทำหน้าที่ตนได้อย่างถูกต้อง นั่นคือคุณธรรมสัมพันธ์ที่ให้กับครอบครัวและให้คนรอบข้าง คุณธรรมนั้นมีอยู่ในจิตใจของทุกท่านอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะนำออกมาใช้และใช้ได้ถูกสถานการณ์หรือไม่
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชอบมาคุกคามจิตใจอยู่เสมอ สิ่งนั้นคืออะไร (กิเลส) สิ่งที่ชอบมาคุกคามจิตใจคือกิเลส อารมณ์และทิฐิ สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจหลงไปตามสิ่งภายนอก หลงไปตามอารมณ์ความรู้สึก รูปขันธ์ อายตนะ เมื่อเห็นแล้วพึงพอใจก็ชอบ เมื่อมองแล้วไม่พึงพอใจก็เห็นว่าน่ารังเกียจ จิตใจนั้นเร็วกว่าอายตนะเพราะเมื่อมอง จิตใจก็ทำงานทันที
ในชีวิตที่ผ่านมาทุกท่านได้พบเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เป็นประจำ พระพุทธองค์เห็นแล้วมีใจอยากจะหลุดพ้น แต่ทุกท่านมองว่าเป็นเพียงวัฏสงสาร บางครั้งอยากจะหลีกหนีจากสิ่งนี้ อยากจะหาที่สงบดับความวุ่นวายในใจ แต่ทุกท่านเคยคิดหรือไม่ว่ายิ่งหลีกหนีก็เหมือนยิ่งวิ่งเข้าหา ยิ่งปิดบังก็ยิ่งเปิดเผย เมื่อคิดที่จะศึกษาบำเพ็ญ ก็ต้องกล้าที่จะยอมรับความเป็นจริงในทุกเรื่องที่เรากระทำ และเมื่อผลออกมาเราต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น แต่ทำไมเมื่อกระทำแล้วมีปัญหาเกิดขึ้นเราจึงรับไม่ได้ เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ เมื่อผูกก็ต้องแก้ ทุกสิ่งไม่ยาก เมื่อเราพบปัญหาเราพร้อมที่จะยอมรับสภาพทุกอย่างไหม เมื่อเราเลือกที่จะเดินเอง เลือกที่จะกระทำเอง เราก็ต้องระมัดระวังตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็สามารถควบคุมทั้งกาย วาจาและใจในการกระทำสิ่งต่างๆ การผิดพลาดก็ย่อมไม่เกิดหรือเกิดน้อยลง แต่อาจเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมาย นั่นก็คือกรรมเวรหรือชะตาที่ต้องรับ การดำรงชีวิตนั้นบางคนฟังดูแล้วอาจว่ายาก แต่บางคนอาจพูดว่าชีวิตนี้เกิดมาโชคดี การทำชีวิตให้มีความสุขก็คือการรู้จักพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนให้อุทาหรณ์ เป็นการหล่อหลอมสิ่งที่ดีให้เรา สิ่งที่เกิดข้างหน้าถ้าเรายอมรับและต่อสู้ด้วยความเบิกบานก็จะไม่มีความทุกข์ ลองยิ้มแล้ววางเรื่องทางบ้านลง ถ้าใครยังฟุ้งซ่าน คิดมาก ก็หยุดสักพักหนึ่ง บางทีถ้าทุกท่านยิ้ม ทุกท่านก็มีความสุขได้ แต่ความสุขนั้นจะยาวนานหรือไม่อยู่ที่ท่านจะยิ้มจนจบชั้นนี้ หรือจนตลอดชีวิตหรือเปล่า ไม่ใช่ยิ้มออกไปแล้ว พอโดนคนหาว่าเราบ้า แล้วเราก็เลิกยิ้ม นั่นถูกหรือเปล่า การปฏิบัติสิ่งที่ดี หากถูกคนต่อว่าแล้วเลิกทำ เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ ถ้าตัดสินใจที่จะบำเพ็ญอย่างสดชื่นเบิกบาน เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้
ในสมัยก่อน ถ้าใครยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำก็จะมีแต่ผู้ยกย่อง เพราะฉะนั้นจะว่าตัวเองผิดบ้างก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าตนเองไม่เคารพตนเอง หาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ตนเอง ต้องการแต่สิ่งที่ไม่ดี ก็เท่ากับเราไม่เคารพตนเอง เมื่อใดที่เราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราด้วย
ในสมัยก่อน ถ้าใครยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำก็จะมีแต่รู้ยกย่อง เพราะฉะนั้นจะว่าตัวเองผิดบ้างก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าตนเองไม่เคารพตนเอง หาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ตนเอง หรือต้องการแต่สิ่งที่ไม่ดีก็เท่ากับเราไม่เคารพตนเอง เมื่อใดที่เราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราด้วย ถ้าเราพูดว่าตัวเราร้าย ตัวเราไม่ดี ชอบว่าคน ชอบขโมยของ เพียงเรากล่าวเช่นนี้ก็ทำให้คนที่เพิ่งจะคบกับเรา เขาเกิดความระแวงได้ เมื่อระแวงแล้วถึงแม้สิ่งดีๆ ที่เราเคยสร้างให้เขาก็ทลายลงได้ เพราะเราสร้างสิ่งที่ไม่ดีไปด้วย ดอกไม้นั้นหอมได้เพียงตามลม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมธีทุกท่านล้วนหอมไปทั่วสารทิศ เข้าใจคำว่าหอมทั่วสารทิศไหม (ความดีที่เราทำ ทำให้คนสรรเสริญไปทั่วทุกสารทิศ) การทำความดีไม่ว่าจะอยู่แห่งไหน ผลของการกระทำก็มีแต่ผู้ยกย่องสรรเสริญ
พลังจิตใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถึงแม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่ถ้ามีกำลังในจิตใจ ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งนั้นก็สามารถส่งเสริมให้เราต่อสู้ต่อไปได้ ธรรมะสำคัญอยู่ที่จิตใจของทุกท่าน เมื่อมีจิตใจมั่นคงแล้วก็ต้องมีใจที่เข้มแข็ง วันนี้เหมือนเป็นวันเริ่มต้นวางรากฐาน ถ้าวางรากฐานสั่นคลอน ไม่มั่นคงแล้ว การศึกษาเรียนรู้ต่อไป หากมีปัญหาก็จะยิ่งสั่นคลอนได้ง่ายขึ้น เปรียบเช่นต้นไม้ ถ้ารากยึดไม่มั่นคง เมื่อพบลมพัดรุนแรงก็อาจหักล้มลงได้ ฉะนั้นวันนี้เริ่มต้นศึกษาต้องวางรากฐานให้มั่นคง เมื่อไม่เข้าใจต้องรีบถาม
ทุกท่านเคยศึกษาประวัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือประวัติของพระพุทธองค์ไหม สิ่งที่ท่านละทิ้งคือละทิ้งจากความสุขและลาภยศชื่อเสียง แล้วเดินไปสู่สิ่งที่เป็นความทุกข์ (ทุกขกริยา) ความทุกข์ที่แสวงหานั้นทำให้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต เมื่อเข้าใจก็ทำให้หลุดพ้น เหตุใดพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์กวนอินท่านจึงหลีกหนีจากลาภยศชื่อเสียงเพื่อแสวงหาธรรมและสิ่งที่เป็นนิรันดร์ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์อธิบาย : สิ่งศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งลาภยศชื่อเสียงซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งจอมปลอม ต้องการเข้าไปรู้จักความทุกข์ เพื่อที่จะหาทางให้ตนเองพ้นจากความทุกข์ แต่มิใช่เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อท่านรู้ถึงทางพ้นทุกข์แล้วก็ยังโปรดเวไนยด้วยการชี้นำทางให้แก่เวไนยที่ยังไม่รู้ทางแห่งการพ้นทุกข์ ทุกท่านไม่ได้แสวงหาแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแสวงหาหนทางที่ทำให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์และสุข ฉะนั้นเมื่อพบกับสิ่งที่เป็นทุกข์หรือเกิดปัญหาก็อย่าท้อแท้ ตรงกันข้ามจะต้องมองกลับคิดที่จะสู้ สู้ให้ชนะใจของตนเองด้วยพลังแห่งจิตใจ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเลือกที่จะยึดหลักธรรมเป็นแกน
“วาระนี้คาบเกี่ยวปวงท่านหาก ในควรคิดสักนิดเตือนภัยใหญ่” (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : ในยุคนี้เป็นวาระสาม วาระปลาย เภทภัยใหญ่ทั้งหลายกำลังอยู่เบื้องหน้าเรา ซึ่งคาบเกี่ยวกับการที่จิตญาณเราได้มีโอกาสรับรู้ว่ารากญาณของเรามาจากไหน ถ้าเราได้รับธรรมะ เราปฏิบัติบำเพ็ญ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้น) เกี่ยวกับยุคและวาระ วาระนี้เป็นวาระสาม แต่ยังไม่ใช่วาระสามเต็มที่ (เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างธรรมะกาลยุคแดงเข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว เป็นช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ยุคขาวหรือยุคปลายจริงๆ โดยพระศรีอาริย์ฯได้จุติลงมาเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์และเพื่อแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นโลกใหม่ เป็นโลกแห่งความสุข ตอนนี้เบื้องบน พระอนุตตรธรรมมารดาทรงบัญชาให้สามพุทธะลงมาฉุดช่วยเวไนย ถ่ายทอดไตรรัตน์ หรือมาชี้ทางสว่างนี้ให้ทุกคนได้รู้ ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ และฉุดช่วยเวไนยให้ทั่วก่อน แล้วในที่สุดเภทภัยต่างๆ ก็ลงมาเก็บล้างคนชั่วคนเลวทั้งหลาย ถึงตอนนั้นจึงจะเกิดเป็นโลกยุคใหม่ขึ้น)
เมื่อเช้าท่านองค์ประธานคุมสอบสามภูมิได้กล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคขาว แต่เป็นยุคขาวที่ยังไม่เต็มที่หรือพร้อมสมบูรณ์ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคแดงกับยุคขาวอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะถ้าเป็นยุคขาวเต็มที่ ไตรรัตน์ก็ต้องเปิดเผยได้ และจะต้องมีผู้นำแห่งยุคขาวที่ปรากฏให้เห็นก่อน พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่ายุคขาวจะเข้ามา แต่ตอนนี้ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมยังต้องแบ่งแยกยุคแดง ยุคขาว เพราะว่าเภทภัยที่เกิดขึ้นนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์หรือพระแม่องค์ธรรมไม่ต้องการที่จะให้เกิด แต่เป็นเพราะว่าพุทธจิตของทุกท่านนั้นเกิดความขุ่นมัวหรือรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ถ้าตราบใดพุทธจิตของทุกๆ ท่านยังฟื้นความใสบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่ได้ พลังที่คอยแอบแฝง คอยเข้าคุกคามก็พร้อมที่จะมาอย่างเต็มที่ การศึกษาธรรมะนั้นก็เพื่อขจัดพลังที่คอยแอบแฝง ฉุดช่วยคนที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ แล้วทำให้พลังนี้เบาบางลงไป ให้เภทภัยนี้น้อยลงไป เภทภัยจะมากหรือน้อย จะเกิดหรือยังไม่เกิดก็อยู่ที่ทุกๆ ท่านร่วมมือร่วมใจ เป็นแรงเป็นกำลังใจช่วยเหลือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนข้างหน้าก็คือความหวังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ คนข้างหลังก็คือแรงบันดาลใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ บันดาลใจว่าธรรมะนี้ พุทธจิตนี้จะฟื้นได้หรือเปล่า นิพพานนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายๆ พระองค์หรือเปล่า ฟังดูแล้วช่างยากเย็น แต่จริงๆ แล้วไม่ยากเลย อยู่ที่ทุกๆ ท่านพร้อมที่จะปฏิบัติ พร้อมที่จะบำเพ็ญหรือไม่ ตอนนี้พร้อมไหม (พร้อม) เมื่อพูดแล้วต้องกล้าที่จะทำ เมื่อทำแล้วก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
การศึกษาธรรมะก็คือการศึกษาจิตใจของทุกท่านว่าพร้อมที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมะเป็นการควบคุมจิตใจ เพราะเมื่ออยู่ในสภาวะเหตุการณ์ใดต้องสามารถประคับประคองจิตใจให้อยู่เหนือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ คำว่า “อยู่ในแต่ให้อยู่เหนือ” ฟังดูอาจจะยาก แต่ถ้าเรามองเห็นน้ำที่หยดลงบนใบบัวยังสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาเป็นอิสระได้ เปรียบกับชีวิตเราเมื่ออยู่ในโลก จิตใจก็ต้องมีสุขมีทุกข์ มีขึ้นมีลง ถ้าเราประคับประคองจิตใจให้อยู่เหนือความสุข เหนือความทุกข์ ไม่คล้อยไปตามกับอารมณ์ ไม่คล้อยไปตามรูปการณ์ ประคับประคองจิตใจให้ดีและมั่นคง นั่นก็คือเราอยู่เหนือและเรามีสติ เมื่อมีสติ ปัญญาก็เริ่มเกิด ฟังดูแล้วเหมือนไม่ยาก แต่ปฏิบัติได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเมื่อมีความสุข จิตใจก็ตื่นเต้นดีใจ เมื่อมีความทุกข์ จิตใจก็เศร้าหมองขุ่นมัว อย่างนี้ไม่เรียกว่าอยู่ในและสามารถอยู่เหนือได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อสุขก็ต้องระวังว่าอะไรจะเกิด เมื่อทุกข์ก็พร้อมที่จะยินดีรับสิ่งต่อไป หากทำได้เช่นนี้แล้ว การบำเพ็ญธรรมะก็ไม่ยาก และเมื่อเราดีแล้วเราคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่นไหม ความเมตตานั้นทุกท่านมีอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าพร้อมที่จะส่งมอบให้คนอื่นหรือเปล่า เมตตาจะเป็นเมตตาจริงแท้ก็ต่อเมื่อเราส่งมอบ เราถ่ายทอดให้กับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เป็นข้อสรุปที่ให้ทุกท่านบำเพ็ญธรรมะ ถ้าใครพอเข้าใจ พรุ่งนี้ก็ต้องมาศึกษาต่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นดีไหม (ดี) แต่ถ้ายังไม่เข้าใจพรุ่งนี้ต้องตั้งใจให้มากขึ้น มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ตั้งใจฟังธรรมะให้ดีๆ
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บ้านจี้กงเรือลำนี้มีแต่สุข เพื่อมาปลุกศิษย์ที่ยังงัวเงียหนา
จ้ำเร็วเข้าเอ้าหนึ่งสองเร่งเข้านา มิแบ่งว่าวุฒิหรือวัยต้อนรับทุกคน
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนล้วนสบายดีหรือไร
มีสิ่งหนึ่งในปราการอันวิไล สมัครใจฉับพลันจะเดินปลอดภัยยิ่ง
ห่างปลอมและจริงแยกมิประวิง คือญาณจริงอิงธาตุเจ้าของกาย
ลองตรวจวิธีบำเพ็ญกันทุกคน ปุถุชนดึงแน่นไซร้เร่งคลายทันที
อริยามิขุ่นข้องในชีวี ผู้หย่อนเกิดที่แปรความภาคภูมิใจ
ดูสิ่งปลอมวุ่นวายแต่รักชอบ ใจไร้ขอบตนผันปานเผลอไผล
ดั่งศิษย์ขาดครวญใคร่ทบทวนใจ ในแหล่งพำนักแห่งใหม่ยากคะเน
อยากบอกศิษย์เข้าใจมาร่วมศึกษา วาระฟ้าถึงเวลาต้องหันเห
เมื่อร้ายกลายดีว่างมิโลเล ส่งสันติสุขข้ามทะเลทุกข์สู่นิพพาน
เพียงเข้าใจแลรู้ตนสว่างประเสริฐ จิตเกิดความเบิกบานมิเป็นสอง
มีแต่ใจขัดเกลาล่วงเลยจับจอง ศรัทธาทองนี้คืออาวุธฝ่าภยัน
แต่ทำไมยังไม่เคยจิตละ เดินสะเปะสะปะศิษย์จะสูญจิตรจเลข
คำพูดศิษย์ปณิธานครรลองดั่งจัณฑเวค แพ้อารมณ์โดยปัจเจกวิสัยหลงอุบาย
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมื่ออยู่ในกายเนื้อของปุถุชนตอนนี้อาจจะยังไม่สว่าง แต่ต่อไปภายหน้าศิษย์อาจจะสว่างที่สุดก็ได้ใช่ไหม อยากสว่างหรือเปล่า อะไรสว่าง (จิตสว่าง) จะทำได้หรือเปล่า (จะพยายาม) พยายามไม่ใช่ทำง่ายๆ ต้องพยายามไปชั่วชีวิต สิ้นชีวิตก็ไม่สิ้นพยายาม ถ้าหากคนเขาบอกว่าศิษย์ของอาจารย์งมงาย เช่นนี้ศิษย์จะหยุดพยายามไหม (ไม่หยุด) แต่ต้องดูว่าจะพยายามไปทางไหน ไม่ใช่มีคนบอกว่างมงายแล้วก็พยายามเหมือนกัน แต่พยายามไปให้ไกลๆ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
มีคนบอกว่าติดธุระมาได้วันเดียว ถ้าวันนี้อาจารย์ติดธุระบ้าง อาจารย์ไม่มาได้หรือเปล่า (อาจารย์ไม่ติดธุระ เพราะอาจารย์มีจิตเมตตา) แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์มีจิตเมตตามาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม (ดี) ถ้ามาประชุมธรรมไปแล้ว กลับไปบอกว่าติดธุระ แล้วถ้าติดธุระยังจะมาได้ไหม (ได้) คนที่ตอบว่ามาได้ก็ต้องทำให้ได้จริงๆ เพราะสำคัญที่ศิษย์รู้จักแบ่งเวลาแค่ไหน การชวนคนมารับธรรมะก็ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์รักของอาจารย์ชวนคนให้ได้มากๆ เช่นเดียวกัน การมาสถานธรรมก็ไม่ใช่จะต้องมาทั้งวัน เพียงแต่สละเวลาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ชีวิตหนึ่งมีอายุ ๖๐-๘๐ ปี เท่านี้ก็ถือว่ามากแล้ว มีอายุยืนถึง ๘๐ ปี ประชุมธรรมแค่ ๒ วัน รับธรรมะก็แค่ครั้งเดียว ใช้เวลาเพียง ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับบอกว่าไม่มีเวลา รู้สึกว่าเวลาที่สละมาน้อยนิดไหม ถ้าน้อยอย่างนี้แล้วทีหลังมีคนไปตามอย่าบอกว่าพระอาจารย์จี้กงให้ไปตาม จึงจำใจต้องมา ขอให้มาด้วยความเต็มใจและมาบ่อยๆ ศึกษาธรรมะต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่ศึกษาแค่เปลือกนอก เข้าใจไหม (เข้าใจ)
เสียงที่เพราะที่สุดคือเสียงอะไร (เสียงศิษย์ร้องเพลงพร้อมกัน) เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนร่วมมือกันร้องเพลง เสียงก็จะเพราะที่สุด การอยู่ในสถานธรรมจะมีความสุขได้ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์ที่จะหาความสุขด้วยตัวเอง ความสุขนี้ถึงแม้จะไม่จีรังแต่ก็ทำให้ศิษย์ของอาจารย์หายเครียดและรู้สึกโล่งโปร่งสบายขึ้น อยู่กับอาจารย์ต้องมีใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะไม่ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันทุกวันหรืออยู่ได้ตลอดไป ถ้าศิษย์จะอยู่กับอาจารย์ตลอดไปต้องขึ้นไปอยู่ข้างบน
การที่ศิษย์มานั่งฟังธรรมคิดไหมว่าได้อะไรกลับไป ตอนนี้คิดบ้างหรือยังว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจริงหรือเท็จ แล้วคิดว่าจะบำเพ็ญอย่างไร ไม่มีใครตอบอาจารย์เลย ถ้าอาจารย์พูดอยู่คนเดียวก็เหมือนกับขว้างหินลงน้ำ การที่เราสนทนาธรรมะกันเพื่อให้จิตของศิษย์รักทุกคนเปิดออก ถ้าหากว่านั่งฟังเฉยๆ คิดว่าตัวเองอายุมากแล้วไม่ต้องตอบ อย่างนี้ก็เหมือนกับเป็นน้ำ เหมือนกับการเปิดประตูก็ต้องมีกุญแจไข เมื่อไขออกแล้วอาจารย์เอากุญแจไป ไม่มีรูกุญแจให้ไขจะทำอย่างไร ผลักเข้าไปก็ไม่ได้ กลัวศิษย์เจ็บ เพราะฉะนั้นการพูดธรรมะก็ต้องตอบ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าตอนนี้ศิษย์รักไม่มานั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์รักจะรู้ไหมว่ามานั่งทำอะไร แล้วจะรู้ไหมว่าธรรมะเป็นอย่างไร (ไม่รู้) เช่นนี้จิตของเราก็ไม่สามารถที่จะปรุโปร่งในเรื่องของธรรมะได้ การประชุมธรรมก็เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้แล้วก็ตื่น ถ้าหลับๆ ตื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเข้ามานั่งฟังธรรมะแล้วต่อไปก็ต้องกลับมาศึกษา ถ้าหากไม่กลับมาศึกษา การมานั่งฟัง ๒ วันก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าหากวันนี้อาจารย์ไม่พาไปในทางที่ดีศิษย์จะตามใคร (ตามอาจารย์) คิดได้ ๒ แง่คือ ๑.มีความมั่นคงดี ๒.การบำเพ็ญธรรมะไม่ให้ยึดตัวบุคคล ถ้าหากว่าคนที่พาศิษย์มา คนที่แนะนำรับรองเขาเกิดเปลี่ยนใจไป ศิษย์จะตามใครดี (ตามอาจารย์) ปกติเห็นอาจารย์หรือเปล่า (ไม่เห็น) แล้วจะตามใครดี แล้วตัวเองจะทำอย่างไร (มีจิตใจที่มั่นคง) นอกจากคำว่ามั่นคงแล้ว ต้องเชื่อมั่นอะไร (เชื่อมั่นในจิตใจตัวเอง) ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ควบคู่กับความเชื่อมั่นนี้คือการอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อมีคนต่อว่าเรา เราก็ต้องพินิจพิจารณาอยู่เสมอ นอกจากพินิจพิจารณาว่าถูกหรือผิดแล้ว ยังต้องพิจารณาอะไรอีก (พิจารณาตัวเองว่าควรแก้ไข) เมื่อวานท่านแปดเซียนได้สอนไว้แล้วใช่ไหม หรือว่าฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อย่าคิดว่าอาจารย์มาต่อว่า แต่โอกาสพบกันมีน้อย ถ้าหากไม่สอนศิษย์ ไม่บอกศิษย์ ไม่เตือนศิษย์ตอนนี้แล้วก็คงไม่มีโอกาสเตือน บางคนเผลอไผล บางคนลืมตัวเองไปจนไกล กลับมาสอนก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้เป็นยุคสาม เป็นวาระท้าย ศิษย์ต้องค่อยๆ ที่จะเดินหน้าไป เดินช้าเดินเร็วก็ขอให้เดินตรงๆ หากศิษย์รักของอาจารย์วันนี้พรุ่งนี้ไม่เริ่ม มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง รับรองว่าเมื่อไหร่ก็ไม่ได้เริ่มใช่ไหม (ใช่) และถ้าอยากจะเริ่มก็ต้องเริ่มด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เริ่มไปอย่างนั้นเอง เริ่มโดยที่ตัวเองไม่พร้อมและไม่เข้าใจธรรมะ เช่นนี้ก็หลุดพ้นไม่ได้
คนบำเพ็ญธรรมะต้องมีความเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ต้องมีจิตที่สำรวม เวลาเล่นก็อย่าเล่นจนเกินไป เวลาไม่เล่นก็ขอให้สำรวมไว้ โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรม ใครที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่นจนเกินไปและมากเกินไป ก็ขอให้ลดลงบ้าง เพราะว่าคนภายนอกเมื่อมองธรรมะก็จะมองที่ตัวคนข้างหน้า ถ้าเราไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขา เขาเข้ามาก็จะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับไป คนที่ตั้งปณิธานแล้ว ก็ควรที่จะพิจารณาตัวเอง พัฒนาตัวเอง ไม่หยุดอยู่กับที่ ควรที่จะสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ตอนนี้ใครเกิดความลังเลสงสัยก็ขอให้วางจิตนั้นลงไปก่อน ถ้าหากว่าเวลาฟังอาจารย์พูดไม่วางจิตลังเลสงสัยลงไป และใจไม่เปิดก็เหมือนกับว่าไม่ได้ฟังอะไรเลย ทุกสิ่งจะจริงหรือเท็จก็อยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ถ้าหากศิษย์เห็นว่าเป็นสิ่งปลอม ก็เหมือนกับฟังเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูด เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
สองวันนี้ฟังธรรมะไปแล้วชอบหัวข้อไหนมากที่สุด (ทุกหัวข้อ) คนไหนที่สามารถนำธรรมะกลับไปใช้ได้ก็เก็บไปใช้ ถ้านำกลับไปใช้ไม่ได้ก็เก็บรักษาไว้ มีคนดีๆ ก็ต้องแนะนำเขา เวลามีอารมณ์ก็ต้องเก็บเอาไว้เหมือนกัน เข้าใจไหม
มีใครเข้าใจคำว่า “ในปราการอันวิไล” ไหม ถ้าหากว่าร่างกายเราแยกปลอมและจริง ไม่มัวไปประวิงกับกายปลอม ญาณจริงนี้ก็อาศัยอยู่ในธาตุ คนเราประกอบไปด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อเกิด แก่ เจ็บ และตายแล้ว ก็กลายเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะปลงตกหรือเปล่า และจะให้ความสำคัญกับร่างกายนี้มากแค่ไหน อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้ไม่มีความสำคัญ เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายนี้ เขาก็จะอยู่กับเราไม่ได้นานเพราะขาดการเอาใจใส่ แต่หมายถึงผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีการตกแต่งเสริมอยู่เสมอ ไม่มีใครที่จะตัดเรื่องนี้ได้ขาดจริงๆ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็จะบอกว่าในปราการด่านนี้ หากศิษย์สามารถที่จะห่างออกไปได้ทั้งปลอมและจริง ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวแล้ว ก็จะเดินได้อย่างปลอดภัย เพราะว่าไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าเช่นนั้นมีใครพอจะอธิบายให้ฟังได้บ้างไหม (สิ่งที่เราปลงตกพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าและปฏิบัติ สละแล้วซึ่งกายเนื้อ) แล้วพร้อมที่จะตัดกันหรือยัง (พร้อมแล้ว) พร้อมที่จะเริ่มวันนี้หรือเปล่า ถ้าพร้อมก็ควรจะต้องมีจิตใจศรัทธาที่ตั้งมั่น ถ้าจะปีนเขาก็ปีนให้ถึงยอด จะดำลงสู่ทะเลลึกก็ต้องดำให้ลึกถึงที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็ต้องการใจชนิดนี้ ศิษย์รักของอาจารย์มีใจชนิดนี้หรือเปล่า ใจชนิดนี้ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกคน แต่ว่าวันหนึ่งเมื่อได้ทบทวนตัวเองแล้วก็ต้องพยายามทำให้ถึง เข้าใจหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง “หม่าโถว”) ร้องเพลงแล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับสู่อ้อมแขนของอาจารย์ กลัวหรือเปล่าที่จะกลับสู่อ้อมแขนของอาจารย์ ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์รักของอาจารย์ไม่มาที่สถานธรรมนี้ ก็คงไม่เข้าใจธรรมะ ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้ของศิษย์รักจะสละเพื่อการบำเพ็ญดีไหม การบำเพ็ญกับการปฏิบัติต่างกันอย่างไร (การปฏิบัติหมายถึงลงมือกระทำ) การบำเพ็ญคือบำเพ็ญที่จิตใจ การบำเพ็ญคือการซ่อมแซมภายใน ซ่อมแซมอะไรบ้าง (ซ่อมแซมใจ คิดดี พูดในสิ่งที่ดี) แล้วการปฏิบัติคืออะไร (คือการลงมือกระทำในสิ่งที่ดี, ชวนคนมารับธรรมะ) ถ้ามารับธรรมะ เข้าใจธรรมะก็สามารถพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ อย่างนี้น่าชื่นชมยิ่งนัก แต่การบำเพ็ญกับปฏิบัติถึงแม้จะอยู่คู่กัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนั้นศิษย์ต้องไปพินิจพิจารณาระหว่างภายในและภายนอก บางทีภายนอกกระทำดีให้เข้าถึงภายใน บางทีออกจากจิตใจสู่ภายนอก ในและนอกประสานกันจึงนับว่าเป็นการบำเพ็ญธรรมะอย่างแท้จริง แต่วิธีบำเพ็ญและปฏิบัติก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ ถ้าหากบำเพ็ญภายในด้วยการซ่อมแซม บำเพ็ญภายนอกด้วยการปฏิบัติแล้ว ศิษย์รักของอาจารย์เกิดความเข้าใจในทางธรรมะก็จะไม่เกิดความสับสนอีกต่อไป เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์เข้าใจกันทุกคนแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกดีไหม คนที่บำเพ็ญอย่างโง่ๆ บำเพ็ญไปเรื่อยๆ มักจะสำเร็จเร็วกว่าคนที่ฉลาด บางคนเห็นว่าเราโง่จริงๆ มีโอกาสว่าเขาแล้วไม่รู้จักว่า อย่างนี้เราฉลาดทันเขาหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่ว่าเขาเลย แล้วศิษย์อยากจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ (คนฉลาด) บางคนเขามาว่าเรา เขามาตีเรา แทนที่เราจะตีเขาตอบ แต่เราก็ไม่ตี อย่างนี้เราก็ฉลาด ถ้าเรื่องใหญ่กว่านั้นเราจะทำอย่างไร ถ้าเราหยุดได้หาหนทางแก้ไขได้ เราก็จะเป็นผู้ฉลาด แล้วศิษย์รักของอาจารย์ฉลาดทุกคนหรือเปล่า พอถึงเวลาโดนเข้าจริงๆ ฉลาดหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีลบใช่ไหม (ใช่) ทำไมถึงเป็นกรณีลบ (จิตใจยังมัวหมอง) เริ่มทำจากวันนี้ดีไหม (ดี) คนที่พูดได้แล้วทำได้เป็นคนจริง พูดได้ ทำได้ คิดได้ ก็รู้แจ้งได้ เมื่อถึงเวลานั้นเราเองเป็นผู้ฉลาดแล้วก็ฉลาดจริงๆ คนโดยมากเมื่อพูดไปแล้วทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่นับว่าเป็นคนจริง คนจริงพูดได้ทำได้ ธรรมะจริงพูดได้ทำได้ เพราะฉะนั้นทุกคนอยากจะเป็นคนจริงหรือคนปลอม แล้วจะถือธรรมะที่จริงหรือปลอม ถ้าจริงก็ต้องทำได้ พูดได้ เวลาโดนคนเขาตีหนึ่งที เราตีกลับ ๓ ทีหรือเปล่า มีคนเขาว่านิดหน่อย ในใจก็บ่นงึมงำ ไม่ยอมแพ้ ตอนนี้จะเริ่มยอมแพ้กันหรือยัง ผู้บำเพ็ญธรรมะต้องมีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ความเมตตานั้นก็จะส่งออกสู่คนภายนอก ถึงเราไม่พูด เราไม่กระทำ พวกเขาก็รับรู้ได้เอง จิตสำนึกของเราต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราสมควรกระทำสิ่งใด ธรรมะมีให้ศึกษาแต่หากศิษย์ไม่เป็นฝ่ายก้าวเดินออกมา ศิษย์ก็จะไม่ได้รับอะไรเลย เหมือนมีคนส่งของให้แต่ว่าไม่รู้จักแบมือรับ เขาจะมายัดเยียดให้ศิษย์ได้ไหม เราจะต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาและเปิดโอกาสให้ตัวเองสักนิดหนึ่ง เดินเข้ามาหาอีกหน่อยหนึ่ง พวกเขาก็จะสัมผัสเราได้ และพาเราไปในทางที่ดี เปิดโอกาสให้กับตัวเองหรือยัง (เปิดแล้ว) เปิดนี้ต้องเปิดตลอดไป ไม่ใช่บำเพ็ญไปสามปี พอโดนคนต่อว่า เราไม่ชอบก็เดินออกไป คนที่เดินออกไปก็คือตัวศิษย์เองใช่ไหม ธรรมะมีให้ศึกษามากมาย แต่มากมายที่สุดก็อยู่แค่จิตใจ ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้าหากว่าวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ถดถอย ไม่ท้อแท้ ศิษย์รักของอาจารย์ก็จะสามารถนำบรรพชน นำพี่น้องและคนรอบข้างขึ้นไปได้ วันนี้เริ่มบำเพ็ญจากในครอบครัว ถึงแม้ศิษย์จะไม่เชื่อที่อาจารย์พูด ขอเพียงครอบครัวของศิษย์สงบสุข นั่นก็เป็นผลดีต่อศิษย์แล้วใช่ไหม แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับชีวิตปุถุชน แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก ชีวิตนี้เมื่อตายไป สิ้นกายเนื้อไปแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนและพบเจอกับอะไร นั่นเป็นเรื่องน่าสงสารที่สุด ถ้าหากว่าวันหนึ่งสิ้นลมหายใจไปแล้ว อาจารย์ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์จะสามารถช่วยได้ทุกคน รอดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์รักของอาจารย์เข้าใจธรรมะ ศึกษาธรรมะ เมื่อนั้นศิษย์ก็จะไม่แพ้ จะสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธะได้ ทำได้หรือเปล่า
ทุกคนมีวิธีบำเพ็ญของตัวเอง บางคนบำเพ็ญในพระพุทธศาสนา นั่นก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญ บำเพ็ญในศาสนาใดก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ว่าลองตรวจสอบดูวิธีบำเพ็ญของแต่ละคนนั้นว่าเป็นเช่นไร (อาจารย์บรรยายธรรม : พระอาจารย์เมตตาให้ลองตรวจสอบวิธีการบำเพ็ญธรรมของแต่ละคน เมื่อสักครู่พระอาจารย์ก็พูดถึงแนวทางของพุทธศาสนาว่ามีแนวทางบำเพ็ญแตกต่างกันไป บางคนอาจจะถือศีลแปด ปฏิบัติตามแนวพุทธศาสนา หรืออาจจะปฏิบัติตามแนวของอิสลาม พิจารณาว่าเราบำเพ็ญกันอย่างไร ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่กำลังบำเพ็ญอยู่นั้นยังยึดติดกับสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์มากเกินไปหรือเปล่า ตึงอยู่กับด้านใดด้านหนึ่งหรือเปล่า ลองนึกย้อนถึงสมัยที่พระพุทธองค์ออกบำเพ็ญธรรมแสวงหาแนวทางปฏิบัติในยุคแรกๆ กว่าจะได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ได้พบแนวทางปฏิบัติ ทรงบำเพ็ญทุกขกริยาก่อนคือตึงไปข้างหนึ่ง ยึดในแนวทางใดแนวทางหนึ่งอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันเราอาจปล่อยปละละเลยชีวิตมากเกินไป สำหรับบางท่านถ้าตึงเกินไปก็ต้องเร่งคลายออกมาให้อยู่ในทางสายกลาง เราต้องพยายามตรวจสอบว่าเราจะเดินไปทางสายกลางได้อย่างไร) คนที่พูดได้และทำได้เป็นคนจริง เพราะฉะนั้นคนที่พูดได้ ทำได้ ก็บรรลุได้ แต่ว่าความหมายของอาจารย์นั้น ปุถุชนคือศิษย์รักทุกคน คนไหนรู้ตัวว่าตึงแน่นเกินไป บำเพ็ญธรรมมีกรอบมีระเบียบ บางคนกรอบสี่เหลี่ยมนิดเดียวแต่ก็ดึงเสียจนโย้ไปหมด ดึงแบบไหนลองไปพิจารณาดู แต่บางคนก็หย่อน พุทธระเบียบก็ไม่สนใจ คนบำเพ็ญธรรมทุกคนโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรมมีวิธีการบำเพ็ญของตนเอง ไม่มีคนไหนผิดและไม่มีคนไหนถูก ทุกคนถูกด้วยตัวเองเสมอ บอกว่าตนเองถูกนั่นก็ใช่ แต่ว่าถูกนี้เข้าข้างตนเองหรือเปล่า ถ้าเกิดว่าคนที่หย่อน แสดงว่าความภาคภูมิใจหายไป ความภาคภูมิใจที่อาจารย์พูดถึงนี้ วันหนึ่งมีศิษย์ของอาจารย์เกิดความภาคภูมิใจในธรรมะ ธรรมะที่อาจารย์พูดถึงนี้เป็นสัจธรรมแท้ ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดความลังเลสงสัย กังขาไม่เข้าใจ บอกว่าศิษย์รักของอาจารย์ขาดความภาคภูมิใจไปเสียแล้ว ถ้าความภาคภูมิใจสิ้นไป รู้ตัวไหมว่าหย่อนอย่างไร นำความเสียหายให้กับตนเอง ความคิดพิจารณาไม่ตั้งอยู่ตรงกลาง เมื่อยามนั้นศิษย์รักของอาจารย์ก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งหมดความภาคภูมิใจ ลองดูว่าตนเองเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า อาจจะไม่อยู่ที่ความภาคภูมิใจอย่างเดียว ความมั่นใจ ความมั่นคง ทุกอย่างให้กลับไปทบทวนดู เป็นหนทางซึ่งแนวทางบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่ารอให้ผู้อื่นมาว่าเรา ให้เราว่าตนเองเสียก่อน ดูตนเองเสียก่อนว่าทำได้หรือเปล่า ต่อไปก็จะเป็นผู้บำเพ็ญเหมือนกัน ลองดูว่าวิธีบำเพ็ญของตนบริสุทธิ์และถูกต้องหรือเปล่า
“ดูสิ่งปลอมวุ่นวายแต่รักชอบ” มีใครอธิบายได้บ้าง บำเพ็ญธรรมต้องมีความกล้าหาญ ถ้ารอให้จบชั้นเรียนก่อนจึงตอบ ตอนนั้นมีอาจารย์ได้ยินคนเดียว ตอนนี้ตอบได้ ได้ยินทั้งห้องเป็นวิทยาทานใช่ไหม (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราชอบ เรารู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่เราก็ยังชอบ) สิ่งปลอมตรงนี้อาจารย์หมายถึงสิ่งนอกกาย คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อนเคยเกิดเป็นวัว เป็นสัตว์ต่างๆ เป็นมนุษย์ แต่ว่าเมื่อมาชาตินี้ ตอนนี้ถ้าไม่ทบทวน อีกทั้งยังปล่อยตามใจตนเอง ใจของคนไร้ขอบเขต ไร้ขอบเขตในที่นี้หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม ถ้าไม่รู้จักทบทวน หากว่าไม่บำเพ็ญ ไม่ศึกษา ก็ต้องมีการเวียนว่ายอีก สำหรับตัวศิษย์เอง ชาติหน้าเกิดเป็นอะไรก็รับรองไม่ได้ ถ้าชาตินี้ลดละตัดไม่ได้ ชาติหน้าศิษย์ของอาจารย์ก็อาจจะอยู่อีกสภาพหนึ่งซึ่งศิษย์อาจคาดไม่ถึงก็ได้ อยากรู้ว่าชาติหน้าจะเป็นเช่นไร ให้ดูจากการกระทำปฏิบัติในชาตินี้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
อาจารย์อยากบอกศิษย์ทุกคนให้เข้าใจถึงความล้ำค่าของธรรมะและเร่งมาศึกษากัน ถึงเวลาที่จะหันเหออกมา มิหลงเวียนว่ายตายเกิด หากพ้นจากวาระนี้ไปแล้วต้องรออีกนาน หากเข้าใจธรรมะแล้วก็จะแปรจากจิตที่ร้ายกลายเป็นดี ศิษย์รักของอาจารยืก็จะไม่เกิดความโลเล บำเพ็ญสู่สังคม สู่โลก เมื่อนั้นสันติสุขก็ส่งถึงนิพพานได้ เข้าใจไหม
ศิษย์มีสมาธิดีขนาดนี้แล้ว อย่างนี้อาจารย์ก็กลับได้แล้ว (ขอให้พระอาจารย์อยู่ต่อเพื่อสอนศิษย์ที่ยังเขลาอยู่) คนโง่ที่สุดก็คือคนที่ฉลาดที่สุด จิตของทุกคนเป็นสิ่งประเสริฐ ทุกคนเข้าใจด้วยปัญญาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ใด สิ่งที่ศิษย์ขาดไม่ได้คือความเบิกบานและจิตที่แจ่มใส หากการขัดเกลาเป็นประธานในใจแล้ว จิตศรัทธาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็หมายถึงตัวศิษย์เองใช้ศรัทธาเป็นอาวุธ แม้เป็นอาวุธที่มองไม่เห็น แต่ก็เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“เดินสะเปะสะปะศิษย์จะสูญจิตรจเลข” เดินสะเปะสะปะแม้เดินไม่ตรงก็เดินอยู่ในทาง แต่ก็เดินช้าไม่ทันใจ เดินตามคนอื่นไม่ทัน อยู่รั้งคนอื่น ต้องให้คนอื่นชวนและจูง เหมือนดั่งสูญเสียจิตรจเลขหรือจิตที่งดงาม ถ้าจิตดวงนี้ขาดหายไป ต้องซ่อมแซม ก้าวไปแล้วก็กลับถอยหลังจะถึงจุดหมายไหม จะเดินกลับบ้านเดิมที่เป็นเบื้องบนก็ไม่ทันแล้ว
จัณฑเวคคือทะเลที่ไม่เคยสงบ ปณิธานมีมาแต่เดิม แต่ถ้าไม่นำมาลงมือลงแรง ปณิธานก็จะเหมือนกับทะเลที่ไม่มีวันจบ
ปัจเจกวิสัยคือนิสัยที่มีอยู่แล้วเฉพาะตัว การพ่ายแพ้อารมณ์และไม่สามารถชนะมารในจิตตนได้นั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือเปล่า ตัวเราน่ากลัวที่สุด คนอื่นไม่ได้น่ากลัวเหมือนตัวเรา อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าให้ศิษย์ห่วงตน รักตน นำตัวเองให้ถูกทาง หากพรุ่งนี้ไม่พบอาจารย์อีก ก็ขอให้เตือนตนเองอยู่เสมอ ทำได้หรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว ถึงแม้ไม่มีอาจารย์อยู่ด้วยก็คงเดินต่อไปได้ใช่ไหม ขอให้เชื่อตนเองและนำทางตนเองให้ดี
(พระอาจารย์ให้หัวหน้าชั้นพูดคำว่า “อิ๊” แปลว่าหนึ่ง หมายความว่าให้ลุกขึ้นยืน) การเป็นหัวหน้าชั้นเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เพียงแต่พูด “อิ๊” ให้ผู้อื่นลุกขึ้นยืนเท่านั้น แต่เสียงเราต้องนำผู้อื่นได้ เพราะถูกเลือกมาเป็นหัวหน้าชึ้นแล้ว เพราะในการเลือกแต่ละครั้ง ทั้งชั้นจะเลือกเพียงคนเดียว ถ้าพูดได้แต่คำว่าหนึ่ง ก็เป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้ เพราะคนอื่นจะตามเราไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจไหม อย่าคิดว่าอาจารย์ต่อว่าเลย (หัวหน้าชั้นบอกว่าจะปฏิบัติ)
อาจารย์ขอขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มาช่วยงานในครั้งนี้ แม้ความสัมพันธ์ยังไม่สามารถเข้าถึงใจของศิษย์ได้ การพบกันในวันนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของทุกคน วันนี้แม้ศิษย์จะไม่เข้าใจ แต่อาจารย์ก็จะรอ ขอให้ทุกคนบำเพ็ญให้ดี
อ่านต่อ...
PDF 2538-06-03-เมี่ยวเต๋อ #7.pdf
#อุปกิเลส #กิเลส
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์ประธานบริสุทธิ์สว่างว่าง คุมสอบกลางจริมยุคอันคับขัน
สามประการปริญญากิเลสพลัน ภูมิภพชั้นรวมหนึ่งนิรพาณ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่ธรรมสถาน แล้วกชกร
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ค่าอนันต์รู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ กุศลจิตพ้นภัยอันตรายผอง
บำเพ็ญรุดก้าวหน้าพิจารณ์ตรอง หยุดนิ่งครองคีรีอันมั่นคง
ขอชำระล้างใจแต่บัดนี้ อย่าได้มีอารมณ์ที่ขุ่นข้อง
อย่าได้ให้เหล่าธุลีเปื้อนจิตตรอง เจริญธรรมละสองจิตเหลือเที่ยงกลาง
ปธานนั้นมั่นแล้วรุดก้าวไกล สำเร็จในวิถีธรรมด้วยว่างใส
ทั้งกุศลนอกในบำเพ็ญไป คุณธรรมได้ชิดใกล้อริยา
สามกาลละอย่าข้องแวะให้จิตหม่น ทรชนผิดแล้วพลั้งมิแก้ไข
เมธีต่างน้อมย้อนมองตรวจแจ้งได้ บำเพ็ญใจสติคงถูกวิธี
ประชุมธรรมสองวันช่างล้ำค่า ขึ้นนาวาแห่งธรรมเร่งพายหนา
ศึกษาในคำชี้แนะถนอมค่า หมดเวลาเที่ยวเพลินเล่นในโลกีย์
เพียรสำนึกผลกรรมตนชำระหนี้ จะทวีฉัพพรรณรังสี
โปรดเมตตาสู่เวไนยศรัทธาพลี อย่าได้หนีโชคชะตาเดินผิดทาง
ผู้บำเพ็ญกำหนดชะตาชีวีตน เวไนยชนไหลเรื่อยตามน้ำหนา
ขอใคร่ครวญเลือกบำเพ็ญดั่งอริยา ปรารถนามุ่งสู่ฟ้าสุขนิรันดร์
เรามิขอกล่าวความให้มากไป หยุดพู่กันจรดไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านเซียนน้อยต้าเซี่ยว และ ท่านเสี่ยวเซี่ยว
อากาศร้อนร้อนที่ใจหรือภายนอก จิตเท่าตรอกหรือแผ่กว้างใหญ่ไพศาล
บำเพ็ญธรรมทารกน้อยละใจพาล ทั้งสามกาลคือว่างไร้อารมณ์
(พลอยเบิกบาน)
เราสองคือ
เซียนน้อยต้าเซี่ยว และ เสี่ยวเซี่ยว ร่วมรับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามปราชญ์เมธีทุกท่านเกษมฤๅ
ระอุร้อนกิเลสที่เผาใจอยู่ แจ้งรุดรู้ทันอารมณ์อยู่เสมอ
ตนในตนรวมหนึ่งเพื่อนเกลอ ชี้แนะเสนอร่วมอรรถาธรรมด้วยตั้งใจ
ใช่ต้นสนเกรียงไกรเพียงหญ้าน้อย อ่อนน้อมคล้อยตามพายุจึงตั้งรับ
จะบำเพ็ญฤทัยแม้ศิลาใหญ่ทับ ถามปรับตามรูปการณ์แข็งอ่อนบรรเทา
สรทะไม้ผลัดใบเก่าแห้งเฉา ตรมเมื่อคราวอายุขัยไม้ใกล้ฝั่ง
แปรจำนงกายาทุกข์มิสร่างหวัง เพียงมีพลังจุดหมายบรรลุปณิธานพลัน
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง
หยั่งดูใจมนุษย์โศก แสนเศร้าจากเหตุผลใด กักขังตนใส่กลอนใจ สะสมร้อยธุลีไม่ล้างบรรเทา ป่าวนเวียนรกร้างกว้าง พยายามเดินเข้าไป กลับหลงทางอยู่ภายใน โดดเดี่ยวเพียงไร ยิ่งเดินเคว้งคว้าง
กับสิ่งเท็จนั้น ทุกวันงมงายไขว่คว้า หลงใหลในมายา หนทางธรรมนำพา มิเดินยากฉุดรั้ง รู้สิ่งเท็จนั้น หลุมพรางเต็มใจถลำ เลิศร้ายเลือกทางใด เท็จแท้จงเข้าใจ กลับใจตรองดู (ซ้ำ )
เพลง : เลือกทางตนเดิน
ทำนองเพลง : ขอบใจจริงๆ
พระโอวาทท่านเซียนน้อยต้าเซี่ยว และ ท่านเสี่ยวเซี่ยว
ท่านต้าเซี่ยว : วันนี้ตั้งใจฟังธรรมะทุกหัวข้อหรือเปล่า (ตั้งใจ) แต่มีบางคนพอฟังไปก็ง่วง คิดว่าทำไมวันนี้เวลาผ่านไปช้าจริงๆ กว่าจะจบแต่ละหัวข้อใช่ไหม
“อากาศร้อนร้อนที่ใจหรือภายนอก” (คือคำถามว่าเราร้อนอะไรระหว่างภายในกับภายนอก ถ้าร้อนภายนอกยังพอแก้ไขกันได้ แต่ถ้าร้อนภายในนั้นแก้ไขไม่ได้)
“จิตเท่าตรอกหรือแผ่กว้างใหญ่ไพศาล” (คือจิตเราจะคับแคบไหม จะมืดมนหรือเปล่า ให้เราทำจิตให้แผ่กว้างขยายออกไป ไม่ให้คับแคบหรือคิดมากเกี่ยวกับเรื่องการง่วงนอน หรือว่าการร้อน)
“บำเพ็ญธรรมทารกน้อยละใจพาล (พลอยเบิกบาน)” (หมายความว่าบำเพ็ญธรรมให้เหมือนกับจิตเดิมแท้ ละอารมณ์ที่เป็นนิวรณ์ คือการง่วง และการฟุ้งซ่านออกไป)
“ทั้งสามกาลคือว่างไร้อารมณ์” (คือทำจิตให้ว่างไร้อารมณ์ไม่ให้นิวรณ์ต่างๆ มาแทรกแซงใจ ทำให้เราเบิกบาน สบายใจในการฟังธรรม)
ท่านต้าเซี่ยว : “ใช่ต้นสนเกรียงไกรเพียงหญ้าน้อย” ต้นสนใหญ่ๆ ที่ขึ้นตรงดูสูงสง่ามันจะแข็ง เมื่อโดนพายุพัดแรงๆ ถ้าหากไม่โอนเอนตามลมพายุจะเป็นอย่างไร (หักโค่น) ส่วนต้นหญ้าจะลู่ตามลมใช่ไหม (ใช่) ในนี้แฝงปริศนาธรรมคือความอ่อนน้อม ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพียงต้นหญ้าต้นเล็กๆ แต่ขอให้มีความอ่อนน้อม
“จะบำเพ็ญฤทัยแม้ศิลาใหญ่ทับ ถามปรับตามรูปการณ์แข็งอ่อนบรรเทา” คนเราในโลกนี้ บางครั้งก็ถูกแรงกดดันจากภายนอกใช่ไหม (ใช่) เช่นคนที่คิดจะบำเพ็ญ ก็อาจถูกคนภายนอกว่าเรานี้งมงาย ไร้สาระ หรือถูกคนว่าถากถางต่างๆ นานา ซึ่งเราต้องทำอย่างไร (อดทน) การบำเพ็ญธรรมนั้นสามารถปรับยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่แข็งจนเกินไป หรือว่าอ่อนจนเกินไป
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : ที่นี่ใครเป็นเจ้าของสถานธรรมบ้าง คนที่เป็นเจ้าของ-สถานธรรมออกมาให้หมด บ้านใครเคยให้ที่เป็นที่รับธรรมะบ้าง ออกมาให้หมด ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว ที่ L.A. ฟลอริดา รวมทั้งเมืองไทยด้วย
ท่านต้าเซี่ยว : สถานธรรมเปรียบเหมือนอะไร (เรือธรรม) ในเมื่อเราเป็นเจ้าของสถานธรรม เราก็ต้องพายเรือได้ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เจ้าของสถานธรรม และผู้ที่เคยใช้สถานที่ที่บ้านเป็นที่รับธรรมะ ออกมาสอนและแสดงท่าประกอบเพลงพายเรือธรรม)
ท่านต้าเซี่ยว : เรือบางลำก็พายไปได้ไกล แต่ทำไมเรือบางลำพายแล้วอยู่กับที่
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : นั่นสินะ (เรือรั่ว)
ท่านต้าเซี่ยว : รู้ว่ารั่วแล้วต้องทำอย่างไร ถ้าเรือของเรารั่ว น้ำก็เข้าเรือ เรือก็ล่ม แล้วจะพาคนอื่นไปถึงฝั่งธรรมได้อย่างไร (ต้องแล้วแต่จิตใจ)
สรทะแปลว่าฤดูอะไร (ฤดูใบไม้ร่วง) “สรทะไม้ผลัดใบเก่าแห้งเฉา” การที่ใบไม้ร่วงโรยไปนั้น เป็นเพราะใบนั้นแห้งเฉาแล้วใช่ไหม (ใช่) เมื่อใบนั้นเหี่ยวแล้วผลัดใบใหม่ขึ้นมา เป็นใบที่ใหม่และสดใสขึ้น ถ้าเปรียบเทียบแล้วแสดงว่าจิตใจเป็นอย่างไร จิตใจเราก็เหมือนใบไม้ เมื่อวันนี้จิตใจของเราอับเฉา ร่วงโรยไปแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นจิตใจของเราก็สามารถที่จะสดชื่นขึ้นมาได้อีก แสดงว่าจิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่กับความทุกข์ความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำอย่างไรที่เราไม่ต้องมีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ แก้ไขที่ข้างนอกให้ดี หรือว่าแก้ไขที่จิตใจของเรา (แก้ไขที่จิตใจของเรา)
“ตรมเมื่อคราวอายุขัยไม้ใกล้ฝั่ง แปรจำนงกายาทุกข์มิสร่างหวัง เพียงมีพลังจุดหมายบรรลุปณิธานพลัน” เมื่อเรามีชีวิต อายุเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไป ตอนที่แก่ เราก็อาจจะมีความทุกข์ เพราะเรารู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย จะบำเพ็ญ จะไปทางไหน ร่างกายเราก็ไม่สะดวก มีโรคต่างๆ มากมาย คนที่อายุมากๆ บำเพ็ญอย่างไร พออายุมากๆ แล้ว การบำเพ็ญภายนอกที่ออกมาให้เห็นชัดก็คงจะลำบาก เพราะฉะนั้นต้องบำเพ็ญภายในให้จิตเที่ยง เมื่อจิตเที่ยงแล้ว แม้ว่าจะมีโรคภัย มีความกังวลอะไรก็จะหายไปหมด ถูกไหม (ถูก) ถ้าเราเป็นปู่ ย่า ตา ยาย เราก็สอนให้ลูกหลานนั้นรู้จักธรรมะ รู้จักปฏิบัติธรรม ลูกหลานเราเป็นคนดี เราก็จะมีความสุขใช่ไหม (ใช่) แล้วคนที่อายุน้อยๆ บำเพ็ญจิตให้เที่ยงได้ไหม (ได้) บำเพ็ญอย่างไร ควบคุมให้ความอยากน้อยลง ควบคุมอารมณ์ไม่ให้โลดเต้นมากมาย ถ้าเกิดมีความโกรธ แล้วต่อว่าเขาไปแล้ว ใครที่เป็นคนที่ทุกข์ก่อน (ตัวเราเอง) ทุกคนตอบได้แต่ทำไมทำไม่ได้ แสดงว่าเราต้องฝึกสติให้มั่น เมื่อมีสติมั่นแล้ว มั่นอยู่ที่จุดๆนั้นใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับไตรรัตน์ไปแล้วไม่รู้จักใช้ ก็เหมือนกับคนในโลกที่ทุกข์บ้างสุขบ้างปะปนกันไป จะไม่รู้ว่าอันไหนคือสุขที่แท้จริง สุขในจิตที่ว่างเป็นสิ่งที่แท้จริง แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนทำได้ ว่างนี้ว่างอย่างไร บางคนบอกว่าฝึกสมาธิให้มีจิตที่สงบว่าง ไม่คิดอะไรเลย จิตที่ว่างนี้ก็คือจิตที่ว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าจะเรียกว่าคนไหนจิตว่างได้ก็หมายความว่าว่างทุกๆก้าวที่เดินไป นั่นคือจิตว่าง ไม่ใช่ว่างแค่ตอนนั่งสมาธิ ใช่ไหม (ใช่)
ให้เปลี่ยนแปลงความคิดที่คิดว่าร่างกายของเรานี้มีความทุกข์มาก ทุกข์จนเรารู้สึกทุกข์ ให้เราแค่รู้ว่าทุกข์ พอรู้ว่าทุกข์แล้วให้เราขจัดทุกข์ตรงนั้นออก แล้วทำอย่างไร ตรงนี้เป็นปัญหาที่ทุกๆคนต้องขบคิดในชีวิตประจำวันของตนเอง ทุกๆคนได้ประสบความทุกข์มาแล้ว ทุกข์มากทุกข์น้อย มีความทุกข์เพราะเราไม่สมหวัง มีความทุกข์เพราะคนอื่นขัดใจเรา ทุกข์แล้วให้เราดูว่าทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากไหน ให้เราตัดตรงนั้น แล้วให้เพิ่มความหวังเข้าไปให้เป็นพลังนำเราไปสู่จุดหมาย เพื่อบรรลุปณิธาน เพราะความทุกข์นี้ก็เป็นความทุกข์ที่เป็นมายา ความสุขก็เป็นความสุขที่เป็นมายาในโลก จะให้สุขจริง สุขอย่างไม่มีทุกข์ ให้เราอยู่ที่ว่าง เราต้องเปิดจิตใจศึกษาธรรมะ ทำจิตใจให้เหมือนกับอริยะ เจริญตามปณิธานของตัวเองที่มีไว้แต่เบื้องบน
“แจ้งรุดรู้ทันอารมณ์อยู่เสมอ” (หลักธรรมทั้งหลายที่นักเรียนและญาติธรรมทั้งหมดรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ใจเรา รู้อารมณ์ว่าตัวเองบางครั้งก็รุนแรงไปในคำพูดบางอย่าง ก็ขอให้เปลี่ยนจากอารมณ์นั้น คิดในสิ่งที่ดีอยู่เสมอ)
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : ร่วมกันศึกษาธรรมะด้วยความตั้งใจชี้แนะเสนอ หมายความว่ามีหลายคนที่รู้สึกอยากศึกษาธรรมะ เมื่อรู้สึกอยากศึกษาธรรมะแล้ว เรื่องที่เราพูดกันก็เป็นเรื่องการบำเพ็ญของแต่ละคน เราจะบำเพ็ญอย่างไรให้ดีขึ้น ถ้าคนอื่นที่มีความรู้ทางธรรมมากกว่าเรา เขาชี้แนะให้เราเป็นคนดีที่เก่งขึ้น ก็จะมีประโยชน์กับเราใช่ไหม (ใช่) คนไหนบำเพ็ญตัวคนเดียว บำเพ็ญแต่จิตใจของตัวเอง แล้วไม่มีการเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น อย่างนี้แสดงว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวไหม (เห็นแก่ตัว) เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าสิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่ดี เราก็ต้องชี้แนะให้ผู้อื่นเป็นคนดีเหมือนกับเราด้วย
“ตนในตนรวมหนึ่งเพื่อนเกลอ” ตนกายภายนอกกับตนภายในรวมอยู่เป็นหนึ่ง เราเป็นเพื่อนกัน แต่เพื่อนเราสองคนชอบทะเลาะกัน เราต้องทำให้เพื่อนนั้นรวมเป็นหนึ่ง และมีจิตใจที่เป็นหนึ่ง ถ้ามีจิตใจที่เป็นหนึ่งแล้วทำอะไรมีความตั้งมั่น เราก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ถูกไหม เพราะฉะนั้นบางคนที่เป็นคนไม่ดี แต่ว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดีอันยิ่งใหญ่ได้นั้น เพราะตนข้างในถูกย้อม ตนอารมณ์ข้างนอกเป็นตนที่ชักนำ จึงทำให้โลกนี้วุ่นวาย แต่เราจะให้ใครเป็นคนที่ชักนำเลือกเอาจากสองคนให้เหลือคนเดียว เลือกใครดี (เลือกตนข้างใน) ในเมื่อทุกท่านเลือกตนข้างในก็ขอให้ทำให้ตนข้างในหนึ่งคน แล้วช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด
ท่านต้าเซี่ยว : กลอนธรรมดาอันหนึ่ง หากเราใส่กลอนจากข้างนอก เราสามารถจะขังคนข้างในได้ไหม (ได้) เช่นเดียวกัน ถ้าเราใส่กลอนจากข้างใน กลอนนั้นก็สามารถปิดกั้นคนข้างนอกได้ใช่ไหม เช่นเดียวกับธรรมะ ซึ่งดูผิวเผินอาจจะดูธรรมดา ถ้าศึกษาอย่างเข้าใจแท้จริง รู้หนทางแท้จริงแล้ว ก็สามารถจะปิดกั้นตัวเองจากกิเลสภายนอกได้ใช่ไหม (ใช่) เช่นเดียวกัน สิ่งภายนอกทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง ดูๆไปแล้วก็เหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าสามารถดึงดูดกักขังคนเราให้ติดอยู่ในห้วงเวียนว่ายตายเกิดได้ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาท “เลือกทางตนเดิน”)
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรามีแค่สองทาง ทางหนึ่งคือกลับเบื้องบน อีกทางหนึ่งคือลงไปข้างล่าง เลือกได้สองทาง เราจะเลือกทางไหน
ท่านต้าเซี่ยว : เราให้เพลงโอวาทแฝงธรรมะไว้ อยากให้ทุกท่านลองศึกษาและทำความเข้าใจดู ในสองวันที่ท่านมานั่งฟังธรรมะ ท่านสามารถเก็บความรู้อะไรได้มากเท่าไหร่ หรือว่าปล่อยเวลาที่มานั่งอยู่ที่นี่ให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เราบอกแล้วว่าเลือกได้สองทาง ทางหนึ่งคือทางขึ้นเบื้องบน อีกทางหนึ่งคือทางลงข้างล่าง ถ้าชาตินี้ยังเลือกไม่ได้ก็ทุกข์กับสุขไปก่อน ชาติหน้าเลือกไม่ได้ก็ทุกข์กับสุขอีก จนวันหนึ่งเลือกได้แล้วก็ต้องเลือกข้างบนและจูงมือกันไป
ท่านต้าเซี่ยว : ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ต่างล้วนแต่เป็นผู้ที่เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจะต้องสามัคคีกัน ร่วมศึกษาไปพร้อมๆกัน ให้กำลังใจกันและกัน เมื่อเห็นคนไหนห่างสถานธรรมไปก็ชักชวนเขากลับเข้ามา แล้วบำเพ็ญกลับคืนไปข้างบนด้วยกัน
วันนี้เราสองคนก็มารบกวนเวลาพวกท่านนานแล้ว เดี๋ยวตั้งใจฟังหัวข้อธรรมะต่อดีไหม (ดี) ตั้งใจหรือเปล่า (ตั้งใจ) มีโอกาสเข้ามาร่วมชั้นประชุมธรรมไม่ใช่ง่ายๆ บางคนพอคิดจะมาเข้าชั้นประชุมธรรมก็ต้องมีเหตุให้ไม่ว่าง หรือว่ามีธุระด่วน นั่นหมายถึงถ้าเขาไม่แสดงศรัทธาตั้งใจจริงออกมา ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างบ้าง เท่ากับว่าเขาปิดโอกาสไม่ให้ตัวเองเข้ามาศึกษาธรรม
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรารู้ว่าบางคนกลัวว่ามานั่งฟังธรรมะแล้วจะเบื่อและไม่เข้าใจ
ท่านต้าเซี่ยว : ไม่ใช่หรอก ทุกคนตั้งใจฟังธรรมะได้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็เห็น เลือกทางเดินเอง ทางมีให้เลือกก็จงเลือกสิ่งที่ดี มนุษย์ในโลกนี้เปรียบเทียบได้กับเนื้อเพลงที่ว่า “ป่าวนเวียนรกร้างกว้าง พยายามเดินเข้าไป” รู้ก็รู้ว่าเป็นป่า ข้างในแฝงไว้ด้วยอันตรายมากมายและสิ่งต่างๆ ที่เราไม่รู้ ก็ยังจะเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ก็เหมือนกับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ทั้งๆที่เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นมายาจะฉุดรั้งเราไว้ ยิ่งถ้าเรายึดติดมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งไม่สนใจศึกษาธรรมะมากเท่านั้น เหมือนกัน ตอนที่เราตั้งใจฟังธรรมะก็จะมีอีกจิตหนึ่งคอยดึงเราไว้ให้ฟุ้งซ่าน ทุกท่านจะทำให้จิตสงบได้เพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนเอง
ที่เราทั้งสองพูดมาทั้งหมดเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) แล้วพรุ่งนี้จะตั้งใจฟังธรรมะไหม อาจารย์ของพวกท่านคือใคร (อาจารย์จี้กง) เราก็เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงเหมือนกัน ถ้าพวกท่านมีความศรัทธา ไม่แน่พรุ่งนี้อาจารย์ของพวกท่านอาจจะมาพูดคุยกับพวกท่าน
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรารอวันหนึ่ง วันที่เมธีทุกๆท่านขึ้นไปอยู่ข้างบนกับเรา
วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์ กล้า
วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา เจริญเมตตาเพ่งมองกรรมบำเพ็ญเจริญ
เราคือ
อรหันต์จี้กงวิปลาส รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถาน แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
พุทธจิตรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างขุมพลังอันไพศาล
ก่อกำเนิดใบใหม่พ้นหินพลัน หากมีใจเพียรหมั่นผลอนันต์
อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งเร่งถอนรากโคนบั่น
อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น มิอาจผันพ้นวิโมกข์ จากปฏิปทา
อดีตเคยยอมให้กิเลสบงการชีวัน ใจผจัญก้าวสูงส่งชนะหาญกล้า
ซ่อมบ้านก่อนลมฝนกระหน่ำมา สุขอุราวิมานในโลกสมบูรณ์ธรรม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์อยากให้ศิษย์ตั้งใจฟังโอวาท เพื่อศิษย์จะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับจิตญาณของตัวเองบ้าง
“ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์กล้า วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา เจริญเมตตาเพ่งมองกรรมบำเพ็ญเจริญ” การมีเมตตาอย่างสมบูรณ์แล้วก็หมายถึงการบำเพ็ญ แต่ถ้าคนไหนเจริญเมตตาเพียงแค่ขอบข่ายแคบๆ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเจริญบำเพ็ญเท่าที่ควร มีใครอยากอธิบายไหม (“ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด” หมายความว่าศิษย์จะชดใช้หนี้กรรมด้วยอะไร “ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์กล้า” จะใช้หนี้กรรมกี่ชาติด้วยใจ) ให้เลือกสองทางจะชดใช้หนี้กรรม ด้วยการที่ชดใช้ในการเจ็บป่วยทางร่างกายหรือในการที่ทนทุกข์ทรมานในโลกไม่รู้กี่ชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น หรือว่าจะชดใช้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และกล้าหาญ
“วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา” ในการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นวัฏสงสารนี้มีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ วันนี้ศิษย์เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ เจ้าหนี้อะไร ลูกที่ไม่ดีต่อพ่อแม่ ไม่กตัญญู มาทวงเอาที่พ่อแม่ ส่วนผู้ที่อยู่ในโลกนี้แล้วได้รับความทุกข์ต่างๆนานาจากเหตุการณ์รอบข้างมากมาย แสดงให้เห็นว่าศิษย์ก็เป็นลูกหนี้ด้วย และเจ้าหนี้ลูกหนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ให้ศิษย์ค่อยๆคิดกันเอง แต่ทุกๆวันที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปนี้ มีการสลับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆคนพิจารณาว่าสมควรแล้วหรือยังที่จะหยุดตรงนี้ สมควรหรือยังที่จะเริ่มบำเพ็ญ เปิดเมตตาออกมาฉุดช่วยผู้อื่น บำเพ็ญทั้งภายในภายนอก ถึงเวลาแล้วหรือยัง (ถึงแล้ว) ทุกคนรู้แล้วว่าถึงเวลา แต่ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรใช่ไหม (ใช่)
“พุทธจิตรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างขุมพลังอันไพศาล” ถ้าพุทธจิตภายในใจของศิษย์มีรากฐานแห่งจิตใจที่มั่นคงและมีคุณธรรมแล้ว ขอให้ยึดเหนี่ยวเอาไว้ให้แน่น ไม่ให้สั่นคลอน ศิษย์ก็จะพบกับพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลสุดประมาณ
“ก่อกำเนิดใบใหม่พ้นหินพลัน” ตรงนี้อาจารย์จะอธิบายตอนให้กลอนข้างใน แล้วศิษย์จะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
“หากมีใจเพียรหมั่นผลอนันต์” การที่พุทธจิตของศิษย์ทุกคนจะสามารถมีรากฐานที่มั่นคงและไม่สั่นคลอนได้นั้นต้องมีอะไร (ความเพียร) ความหมั่นเพียรและอดทน หมั่นเพียรทุกๆวันก็จะได้รับผลอันยิ่งใหญ่
“อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งเร่งถอนรากโคนบั่น
อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น มิอาจผันพ้นวิโมกข์จากปฏิปทา” อุปกิเลสคืออะไร (ลักษณะความเคยชินที่ไม่ดีทั้งหลาย) คือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใจนี้ ขอให้ศิษย์ถอนรากถอนโคนขึ้นมา อย่าให้มีรากติดอยู่แม้แต่นิดเดียว เพราะว่ามันอาจจะขึ้นลุกลามได้
“อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น” ถ้าจิตใจของศิษย์มีรากฐานที่เหนี่ยวรั้งมั่นคงแล้ว อวิชชาต่างๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วเราก็ไม่หวั่นกลัวถึงอวิชชานั้นด้วย
“มิอาจผันพ้นวิโมกข์จากปฏิปทา” เราทุกคนนั้นสามารถจะหลุดพ้นได้ถ้าหากมีความมุ่งมั่น
อาจารย์อธิบายจบตรงนี้แล้ว อุปกิเลสคืออะไร (อุปกิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก มี ๑๖ อย่างคือ ๑.อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบ จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร ๒.โทสะ คิดประทุษร้าย ๓.โกธะ โกรธ ๔.อุปนาหะ ผูกโกรธไว้ ๕.มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ๖.ปลาสะ ตีเสมอ ๗.อิสสา ริษยา ๘.มัจฉริยะ ตระหนี่ ๙.มายา เจ้าเล่ห์ ๑๐.สาเถยยะ โอ้อวด ๑๑.ถัมภะ หัวดื้อ ๑๒.สารัมภะ แข่งดี ๑๓.มานะ ถือตัว ๑๔.อติมานะ ดูหมิ่นท่าน ๑๕.มทะ มัวเมา ๑๖.ปมาทะ เลินเล่อหรือละเลย) ทุกคนมีบ้างใช่ไหม อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง ถ้าถอนไม่ดีมีรากเหลือแม้นิดเดียว ต้นหญ้าก็ขึ้นมาอีกใช่ไหม (ใช่) ต้องถอนให้หมด หมั่นถอนบ่อยๆ เพราะบางครั้งคิดว่าถอนหมดแล้ว เวลาผ่านไปฝนตกมาใหม่หญ้าก็ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นต้องมีความไม่ประมาทเป็นที่ตั้ง อยู่ที่ตนของตนเองข้างในนั้น แล้วก็สามารถจะบำเพ็ญได้
“อดีตเคยยอมให้กิเลสบงการชีวัน” เมื่อก่อนนี้กิเลสหรือว่าจิตญาณที่เป็นพุทธจิตของเราเป็นคนสั่งการให้ทำอะไร อะไรเป็นเครื่องสั่งการ เมื่อก่อนนี้หรือกระทั่งเดี๋ยวนี้ (จิต) แน่ใจหรือ บางครั้งทำในสิ่งที่ดีก็เป็นจิต แต่ส่วนมากเราไม่ทันได้รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นกิเลส เพราะว่าเราไม่มีสติที่จะเตือนยั้งเลยใช่ไหม
“ใจผจัญก้าวสูงส่งชนะหาญกล้า” ถ้ามีใจกล้าหาญที่จะสู้ไปข้างหน้า ก็แสดงว่าจิตใจนี้สูงส่งแล้ว และสามารถจะชนะด้วยความกล้าหาญของตนเอง
“ซ่อมบ้านก่อนลมฝนกระหน่ำมา” เทียบกับจิตใจว่าอย่างไร (ให้เราตั้งใจปฏิบัติก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ, ซ่อมจิตใจเราก่อนที่จะมีหนี้กรรมมาทวง เราก็จะอยู่ในโลกมนุษย์มีธรรมะที่สมบูรณ์ในจิตใจ)
“สุขอุราวิมานในโลกสมบูรณ์ธรรม” ถ้าสามารถจะมีคุณธรรมในจิตใจและไม่ให้กิเลสเข้ามาได้ จิตใจนี้ก็จะมีความสุขเหมือนกับว่าโลกที่อยู่ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีแต่ความทุกข์และสุขปะปนกันไปเรื่อยๆ แต่โลกนี้เป็นโลกที่มีความสุขสงบและสมบูรณ์ในธรรมในจิตใจของทุกๆคน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท) เมื่อสักครู่เวลาวงกลม หลายๆคนพยายามวงให้กลม แล้วใช้อะไรเป็นจุดศูนย์กลาง จุดจิตญาณตรงนั้นใช่หรือเปล่า เมื่อรู้ที่ตั้งแล้ว สติอยู่ตรงนั้นแล้ว ปัญญาก็ออกมาได้ รู้แล้วใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูปก้อนหินทับต้นหญ้า) ถ้าหินนั้นทับหญ้าเอาไว้ หญ้าข้างใต้ก็เหี่ยวไป แต่หญ้านั้นยังมีรากอยู่ ถ้าหญ้านั้นได้รับแสง มันก็ต้องพยายามสร้างรากเพิ่มจนสามารถผ่านหินออกมาได้ และเมื่อแตกใบออกมาได้รับแสงสว่าง ก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์ให้ศิษย์ดูต้นหญ้า ลองดูซิว่าหญ้าที่อาจารย์บอกมีความหมายอะไรบ้าง โดยดูจากกลอนบทต่อไป
“อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง” หญ้านี้เปรียบเหมือนอุปกิเลสที่เข้มแข็งมากและเราจำเป็นต้องพยายามถอนรากถอนโคนออกให้หมด นี่คืออย่างแรก อย่างที่สองคืออะไร
“หญ้าน้อยแม้ศิลาใหญ่ทับถม ใบเก่าแห้งเฉาตรมทุกข์มิสร่าง
หวังเพียงมีรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างใบใหม่พ้นหินพลัน
หากมีใจเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น
มิอาจให้กิเลสบงการชีวัน ใจผจัญก้าวพ้นสู่วิโมกข์”
อย่างที่สองคือความเข้มแข็ง และจากโอวาทของเมื่อวาน ก็มีอีกหนึ่งความหมายคือต้นหญ้านี้เมื่อลมพัดก็เอนอ่อนลงไปใช่ไหม การเป็นคนก็เหมือนกันถ้าเกิดแข็งก็หักได้ง่าย ถ้าเป็นหญ้าที่โอนอ่อนผ่อนตามไปเรื่อยๆ เช่นอ่อนน้อมคล้อยตามพายุจึงตั้งรับ ตรงนี้หมายความว่า เมื่อมีพายุมาต้นหญ้าก็พริ้วลู่ตามไปและสามารถคงอยู่ได้ แต่ต้นสนที่สูงใหญ่ เมื่อมีลมพายุพัดมาหักได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ทุกคนดูแล้วเข้าใจให้ดีๆ โอวาทซ้อนโอวาทนี้ อาจารย์ให้อ่านหลายๆครั้ง มีใครรู้สึกไหมว่าพออ่านหลายๆครั้งแล้วจะทำให้เข้าใจมากขึ้น (เข้าใจ) โอวาทนี้อาจารย์ไม่ได้อธิบายทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่เหลือเอาไว้ให้ศิษย์ค่อยๆไปศึกษาให้รู้แจ้งเอาเอง ทุกๆอย่างต้องอาศัยที่แรงลงมือปฏิบัติ การบำเพ็ญนั้นถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติ จะได้ผลไหม (ไม่ได้)
ถ้าไม่มีการทดสอบเสียบ้าง ทุกคนก็จะนึกว่าตัวเองเก่ง เพราะฉะนั้นทุกๆวันต้องมีจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เข้าใจหรือว่าไม่รู้อะไรก็ถามจากคนข้างหน้า เมื่อรู้แล้วก็ไปบอกคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราแพร่กระจายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนทั้งโลกนี้มีความสุขไหม (มี) และเมื่อคนไม่รบราฆ่าฟันกันแล้ว โลกก็จะสันติสุข ตอนนี้มีเภทภัยต่างๆมากมาย เป็นเพราะว่าศิษย์ไม่ได้ชดใช้หนี้กรรมของตนเองเลย เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่มีจิตสำนึกว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรไปบ้าง เมื่อไม่สำนึกแล้วก็ทำผิดไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เมื่อกรรมนั้นตามมาถึงตัวแล้ว สำนึกตอนนั้นสายไปไหม (สาย) เร่งตื่นเสียตั้งแต่ตอนนี้ เร่งชดใช้เจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป ถึงเวลานั้นแม้แต่อาจารย์เองก็ช่วยศิษย์ไม่ได้
วันนี้แม้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันจะสั้นนัก แต่ความผูกพันที่เรามีต่อกันนั้นหยั่งลึกถึงรากที่เหนียวแน่นและมั่นคงยิ่งกว่ารากของต้นหญ้า ทุกคนจะเป็นต้นธรรมใหม่ เป็นต้นธรรมที่อาจารย์ได้ปลูกขึ้น แต่ทุกคนต้องช่วยกันรดน้ำพรวนดิน แรงของอาจารย์เพียงคนเดียวไม่สามารถที่จะฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งโลกนี้ได้ ศิษย์ช่วยเป็นมือ เป็นเท้า เป็นแรง เป็นกำลังให้อาจารย์ มุ่งไปด้วยความตั้งใจยิ่งๆขึ้น ทุกๆวันแม้อาจารย์จะเจ็บแค่ไหน หรือแม้จะมีความทุกข์ขนาดไหน อาจารย์ก็ยอมรับได้ รับด้วยความเข้มแข็ง ศิษย์ก็เหมือนกัน รับแค่หนี้กรรมของตัวเองเพียงน้อยนิด จะต้องรับให้ได้ ชดใช้ให้ได้ บำเพ็ญทั้งนอกทั้งในก็กลับขึ้นไปได้แล้ว ลาก่อนศิษย์รักทุกคน ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ
อ่านต่อ...
PDF 2538-05-27-จือเจวี๋ย #6.pdf
#ทางสายกลาง #ความยากสี่
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์ประธานญาณสถิตแสงจรัส คุมเคร่งครัดมิเว้นผู้ใดหนา
สอบทั่วหล้าฟ้านี้พิจารณา สามภูมิฟ้านำคืนได้ถ้าเพียรจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
แดดประกายด้วยเมตตาแห่งฟ้าดิน สกุณาโผผินสำราญหนา
แต่ชีวิตมิอยู่เท่าดินฟ้า ศตายุเหมือนพร่ามัวมิถาวร
จิตสงบจงสยบจิตสงสัย ตัดเยื่อใยที่รักโลภให้สิ้นหนา
เพราะน้องท่านก่อนเคยเป็นพุทธา ลงสู่หล้าญาณนั้นหม่นหมองลง
ผู้มั่นคงประดุจดั่งสิงขร น้ำหยดกร่อนให้หินทะลวงได้
มิมั่นคงพิงหินผายังทลาย ด้วยดวงใจมิมั่นคงจะพึ่งใคร
อากาศร้อนวันนี้จงตั้งใจ จิตเบาใสอย่าได้กลัวอุปสรรค
ทุกทุกคนศรัทธาจริงเดินพร้อมพรัก จึงรู้จักเทพสถิตในปัญญา
เกิดมาแล้วเติบใหญ่ในกรงขัง ต้องระวังกิเลสมิเสาะหา
อย่าดูเบาชีพเรามิก้าวหน้า โชคชะตาในโลกนี้มิแน่นอน
เฝ้าขอพรให้ชีวิตมิมีกุศล เพราะสกนธ์ยังติดรูปทั้งหลาย
เจริญกุศลนำผองชนจนชีพวาย แหล่งสุดท้ายคืนที่นิรพาณ
ต้นไม้ใหญ่เติบโตจากหน่อเล็ก หญ้าเหี่ยวเฉามีหน่อชีวิตแอบแฝงหนา
จงใคร่ครวญแล้วด่วนพิจารณา ปลูกต้นหญ้าจึงได้หญ้ามิผันแปร
นาแห่งจิตน้องคิดปลูกอะไร พันธุ์พุทธาแสงไสวไปสวรรค์
ถ้าปลูกพันธุ์อบายมุขทุกข์ชีวัน ชีพสร้างสรรค์ด้วยหมั่นตรึกตรองดู
มิอยากให้เวไนยวนเวียนว่าย เมตตาเขาเราได้เจริญกุศล
มิลำพองลองลิ้มทิฐิหม่น ด้วยกมลดั่งฟ้าที่ปรานี
แม้ลำบากสองวันอย่าได้ท้อ ผู้อาวุโสนำธรรมให้ท่านนี้
ต่างลำบากเคี่ยวกรำเสี่ยงชีวี สงบฤดีให้กล้าแกร่งวชิรญาณ
จงตั้งใจมิเลิกเสียกลางคัน จงบากบั่นศึกษามิท้อถอย
รู้มารดาเบื้องบนยังเฝ้าคอย หกหมื่นปีจนอาทิตย์คล้อยจะลับลง
เรามิขอกล่าวความให้มากไป จรดพู่กันลงไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
จิตตื่นรู้แจ้งจบดุจสายน้ำ เป็นลำธารรินไหลไม่ขาดสาย
มิหยุดพักมิเก็บงำมิทลาย สถิตแฝงในกายไร้มลทิน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามปราชญ์เมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
ต้นหญ้าพริ้วเป็นระลอกตามคลื่นลม หมู่ปักษาโผผินรื่นรมย์ระงมจิต
ผองใบไผ่เรียวลู่ลมอาจิณ พิศธรณินเพลิดเพลินตามธรรมชาติงาม
ละอองไอโอบอบอุ่นแสงแดดส่อง มิบกพร่องคงด้วยตรงต่อสรรพสิ่ง
เมื่อใจรีบร้อนกิ่งปกติยิ่ง นรสิงห์เลี้ยงต้นใบโล้คงวิถี
บริสุทธิ์ใจคือจิตเดิมมั่นเที่ยง สถิต ณ กลางมิเอียงแสนอิสระ
ต่ำโน้มสูงตรงต้านคดมละ ทวนกระแสตามลมใหญ่อ่อนโยนกระทำ
บำเพ็ญไปไม่หวั่นกล้าหาญฝ่าภยัน ด้วยรากฐานเดียวกันกมลนำ
ด้วยอดทนขวนขวายยามใจระส่ำ อดีตทุกข์งำเงื่อนเผชิญเพื่อบรรเทา
มัชฌิมาจดจำไว้ไม่ละทิ้ง ลำเอียงใดประวิงแก้ตนปัดเป่า
บริบาลตนภายในข้องอัตตาเรา หมั่นขัดเกลาสุขทุกข์ล้วนอนิจจัง
ฮา ฮา หยุด
คลื่นลมทะเล เหมือนใจซัดเซวุ่นวาย เพียงหมายได้คลายทุกข์ถมใจ เพราะมิเข้าใจ หลงเพลินภาพในแดนฝัน กลับยิ่งส่งจิตไป ทะเลวนเวียน แสงเทียนจิตดับ เหมือนราตรีสงัดไร้ดาว ลืมหวนบ้านเดิมจริงนิรันดร์ รู้ทันเตือนตน ที่วนขวักไขว่ไขว่คว้า ตื่นขึ้นท่ามกลางแม้ทะเลคลื่นซัด
* หวนย้อนปลุกพุทธะที่เคยลืมเลือน ฟื้นเร่งคืนใสงาม ฟ้าได้ส่งสายทองงดงาม กลางธราทั่วโลกีย์ ล้มลงบ่มจิต เผลอเคยผิดจนคะนึง ประตูแห่งธรรมคงเบื้องหน้า พร้อมใจบำเพ็ญ ก้าวเดินเยี่ยงปราชญ์ศรัทธา โปรดมุ่งมั่นงานฟ้า เมตตากว้างไกล (ซ้ำ * , )
เพลง : ทะเลทุกข์
ทำนองเพลง : ขีดเส้นใต้
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
การค้นคว้าหาความรู้เป็นเครื่องพัฒนาปัญญาและจิตใจ แต่เมื่อสักครู่ก่อนที่เราจะลงมาได้เห็นบางคนตั้งใจฟังมาก แต่บางคนก็หลับไป การศึกษาธรรม ถ้าใจฟุ้งซ่านก็ไม่สามารถที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจได้ ถ้าเราฟุ้งซ่านไปกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว หนังท้องตึงก็ทำให้ง่วงนอน จึงไม่ได้ตั้งใจฟัง ตอนนี้เมื่อเรามาทุกคนก็เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ตื่นเพื่อมองดูว่าข้างหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อมองข้างหน้าแล้วก็อย่าให้ใจเผลอไป
ทุกคนดำเนินชีวิตมาเคยสังเกตเห็นธรรมชาติบ้างไหม บางครั้งเวลาเราดำเนินชีวิตวุ่นวายสับสน เราอยากพักผ่อน สถานที่ที่เราอยากพักผ่อนนั้นก็คือธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) บางคนก็ไปพักผ่อนตามชายทะเลที่มีหาดทรายสวยๆ มีคลื่นทะเลซัดสาด แต่บางคนไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสก็มองออกไปนอกหน้าต่างชมธรรมชาติ ต้นไม้ นก แม่น้ำ ลำธาร
สิ่งที่ทุกๆคนต้องใช้อยู่เป็นประจำก็คือน้ำ ทุกคนไม่สามารถที่จะขาดแคลนน้ำได้ น้ำในที่นี้ก็มีหลายแบบ แต่น้ำที่อยู่ในจิตใจของเรานั้นก็คือน้ำแห่งไมตรีจิต น้ำแห่งความเมตตากรุณา แม่น้ำลำธารหรือน้ำตกที่เราเห็น ถ้าตกลงมาอย่างรุนแรง แล้วไหลไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ข้างล่างก็ต้องถูกซัดเข้าไปด้วยใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ไร้การเกาะยึดเหนี่ยวก็ย่อมถูกซัดไป แต่ถ้าน้ำตกลงมามากจนเกินไป อีกทั้งยังมีสิ่งปิดกั้นขัดขวางอยู่แล้ว น้ำที่ไหลลงมา ถ้าไหลลงมาแรง สิ่งที่ปิดกั้นนั้นย่อมจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดความต้านทาน) เกิดความต้านทาน กระทบกันอย่างรุนแรงแล้วเกิดอะไรขึ้น (เกิดความเสียหายพังทลาย) สิ่งที่พังทลายนั้นใช่น้ำหรือเปล่า (ไม่ใช่) แต่คือสิ่งที่ถูกปิดกั้นใช่ไหม ถ้าเปรียบกับจิตใจของทุกๆคนก็คือ ถ้าเราเก็บสะสมสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เก็บความไม่ดีของคนอื่นเอาไว้มากมาย สักวันหนึ่งก็จะระเบิดออกมาได้ใช่ไหม (ใช่) ในเมื่อรู้แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นความไม่ดีของคนอื่นแต่เอามาไว้ในใจเราใช่ไหม (ใช่) การกระทำอะไรก็ตาม ถ้าเราคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ แล้วแสดงออกมาด้วยการพูดหรือการกระทำ เมื่อเราคิดใคร่ครวญอย่างถูกต้องแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวผิดพลาด บางทีถ้าเราคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งที่ได้มากลับเป็นผลดีต่อเราเองใช่ไหม (ใช่)
มลทินอะไรที่ร้ายแรงที่สุด (กิเลส ตัณหา ราคะ, หัวใจ) มลทินที่ร้ายแรงที่สุดก็คือความไม่รู้ นั่นก็คือความไม่รู้ว่าตนยังมีกิเลส ไม่รู้ว่าตนมีจิตใจ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเบิกบานเมื่อไหร่ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมเราจึงบอกว่าความไม่รู้เป็นมลทินที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเราไม่รู้จักว่าสิ่งใดคือกิเลส สิ่งใดคือความไม่ดีหรือความดี แล้วทุกคนก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่กลัวเกรงแม้กระทั่งฟ้าและดิน ใช่ไหม แต่ถ้าทุกคนได้ศึกษา ได้มีความรู้แล้ว มลทินนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ สามารถหลุดหายไปจากจิตใจได้ เพราะว่าเรามีสติรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใครเคยสังเกตฟ้าและดินบ้าง เวลาที่อากาศร้อน บางคนก็พูดว่าฟ้าไม่มีความเมตตา ทำให้อากาศร้อน บางทีเราเดินทางไกลหลายพันลี้ แต่ทำไมดินไม่ลดทอนระยะทางให้ดูใกล้บ้าง อันที่จริงฟ้าและดินไม่ได้ไร้ความเมตตา แต่ถ้าเรามองให้ชัดเจน ฟ้าก็ยังคงดำเนินการอย่างสัจธรรม ถูกต้องเที่ยงแท้ มิเอนเอียงให้คนใดมากกว่าหรือน้อยกว่า ยังคงทำตัวเองให้เป็นไปอย่างเดิม เพราะว่าฟ้าว่างเปล่า เมื่อผลักดันจึงก่อเกิดพลังให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วถ้าจิตของเราว่างเปล่า ไร้แล้วซึ่งอารมณ์ สรรพสิ่งก็สามารถจะเกิดได้กับจิตใจของเรา ลองทำจิตให้ว่างเปล่าสงบนิ่ง ถ้าทำได้ จิตที่ขุ่นมัวหรือจิตที่ข้องแวะสิ่งต่างๆ เมื่อว่างลงแล้วไม่ใช่คงอยู่ คำว่าว่างก็คือไม่ยึดติดอยู่กับอะไร ดำเนินชีวิตอย่างมีหลักมีเกณฑ์ ทุกสิ่งก็สามารถกำเนิดได้ตามใจเรา โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีเภทภัยมาคุกคาม
ถ้าทุกท่านครองใจด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มองสิ่งต่างๆเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แม้เขาจะทำผิด จิตใจเราก็ยังคงมั่น เห็นเป็นบทเรียนที่มีค่าให้กับเราได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราอยากถามทุกท่านว่าเวลาท่านเห็นคนอื่นทำผิดแล้ว ทำไมจึงนำสิ่งที่ไม่ดีของคนนั้นเข้ามาสู่ปากเราได้ บางคนไม่กล้าตอบเพราะว่าตัวเองทำอยู่ เราไม่ได้ต้องการจะต่อว่า แต่เราต้องการจะชี้แนะว่าถ้าขาดสติ ปล่อยให้น้ำไหลท่วมแล้ว เราก็หยุดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกไปใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดรีบตัดเสียตั้งแต่ตอนแรก ไม่ปล่อยให้ไหลท่วมเข้ามาในจิตใจแล้ว ทุกท่านก็จะไม่พลั้งเผลอหลุดออกไปได้ใช่ไหม ฉะนั้นตาเป็นสิ่งสำคัญ อายตนะทั้ง ๖ ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย ถ้าเราสงบอายตนะทั้ง ๖ บ้าง หันมามองเพ่งพินิจในจิตใจของเราดูบ้าง การที่เราจะเอาคำพูดหรือการกระทำไปทำร้ายคนอื่นก็จะน้อยลงได้ใช่ไหม
รอยแผลใจทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บช้ำมาก แม้ร่างกายเจ็บปวดไม่เท่าไหร่ แต่ว่าเจ็บใจนั้นเจ็บมากกว่าใช่ไหม แผลที่เราถูกคนอื่นฟาดฟันนั้นยังมีโอกาสรักษาให้หายได้ แต่แผลในจิตใจนั้นถูกฟาดฟันทีหนึ่ง มันก็กระหน่ำลงที่เดียวกันไม่เคยเปลี่ยนที่เลย เพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางที่สุด เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรให้จิตใจที่เปราะบางนี้แข็งแกร่งได้ (วางเฉย) ถ้าทุกคนวางเฉยได้ ก็ต้องวางเฉยให้ถูก ไม่ใช่เขากำลังโมโหโกรธา เรายิ้มให้ทันที สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นอาจจะเป็นการกระทำแทนก็ได้ใช่ไหม (ใช่) ที่เราบอกว่าทำไมรอยแผลใจจึงบาดซ้ำลงไปในที่ๆเดิม ทั้งที่โดนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แต่แผลก็ยังคงซ้ำลงที่เดิม ต้องแยกแยะให้ออกว่าแผลกายกับแผลใจนั้นต่างกันอย่างไร กายเรานั้นมีเพียงใจเดียว แต่ร่างกายนั้นมีหลายส่วน ฉะนั้นถ้าเกิดปัญหา สิ่งแรกที่เราต้องมองคือมองดูตัวเองก่อน บางครั้งเราถามวกไปวนมา แต่ในความเป็นจริงคำตอบก็อยู่ที่ตัวเราเองใช่ไหม เวลาเราตั้งคำถามทุกท่านก็มองเราว่าเราจะตอบอะไร ไม่ได้มองตัวเองใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินทางสายกลางนั้นก็คือมัชฌิมาปฏิปทา เช่นการวาดวงกลม จะวาดวงกลมได้ก็ต้องมีจุดศูนย์กลาง เมื่อมีจุดศูนย์กลางก็พร้อมที่จะสามารถทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างได้ เปรียบเหมือนทุกๆคนถ้าเดินอยู่บนทางที่ติดชิดริมจนเกินไป การเดินนั้นก็อาจพลาดพลั้งได้ แต่ถ้าเดินอยู่ตรงกลาง การพลาดพลั้งนั้นก็มีน้อยใช่ไหม จะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงเรียกว่าทางสายกลาง การดำเนินทางสายกลางนั้นก็คือจิตใจของเราไม่ถูกมัดถูกเกี่ยว ไม่ไปแอบแฝง คือไม่เป็นห่วงเป็นใย ไม่วิตกกังวลมากเกินไป เพราะทุกคนต่างมีชะตาชีวิต หนทางชีวิตของแต่ละคนเอง เหมือนกับตัวเราที่ไม่ไปผูกติดกับกาลเวลา ไม่ไปผูกติดกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดำเนินชีวิตขณะนี้ ตอนนี้ให้ดี ไม่ต้องไปกังวลกับอดีตและอนาคต
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์บรรยายธรรมอธิบายเพลงพระโอวาท (ใจของคนเราวุ่นวาย จิตใจมนุษย์วุ่นวายเหมือนกับคลื่นทะเลที่มีความวุ่นวายตลอดเวลา ถ้าหากว่าตัวเราเองสามารถที่จะลดความวุ่นวายออกไป คลายความทุกข์ได้ จิตใจก็จะสงบขึ้น คนเราเกิดมาในโลกนี้ ชีวิตคนเราเหมือนดั่งความฝันที่เมื่อตื่นขึ้นมาก็หายไป ชีวิตคนเราอยู่ในโลกอย่างมากก็ประมาณ ๑๐๐ ปี เมื่อตัวเราเกิดมาก็หลงเพลินกับสิ่งที่เราได้พบ หลงเพลินหาทรัพย์สินเงินทองหาความสุข หลงเพลินกับภาพในแดนฝัน การที่เราหลงเพลินแบบนี้ก็เหมือนกับจิตเราลงไปว่ายเวียนในทะเลทุกข์ คนเราเกิดมาบนโลกนี้เหมือนเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ เพราะฉะนั้นการที่จิตเราหลงยึดติดสิ่งต่างๆ วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องจากร่างกายนี้ไปแล้ว เสมือนกับว่าแสงเทียนได้ดับลง ทุกอย่างก็จะไม่มีแสงสว่าง หากมัวแต่หลงเพลินอยู่บนโลก เมื่อถึงเวลาที่จะจากร่างนี้ไปแล้ว ลืมที่จะกลับคืนสู่ดินแดนบ้านเดิมของเรา ซึ่งเป็นดินแดนที่เป็นนิรันดร์ ตัวเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไขว่คว้าอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ยังยึดติดในกิเลสต่างๆ บัดนี้เราได้รับวิถีธรรมแล้ว พระอาจารย์ได้ชี้จุดหนึ่งให้เรา เราต้องตื่นขึ้นมา แม้จะอยู่ท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นลมซัดอย่างรุนแรง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้แล้วว่าพวกเราล้วนเป็นพุทธบุตรที่มาจากเบื้องบน มีพุทธจิตอยู่ในตัวตน ตอนนี้เมื่อเรามีโอกาสได้รับวิถีธรรม พวกเราก็ต้องปลุกพุทธะในตัวตนขึ้นมา พวกเรามีพุทธะอยู่ในตัวตนอยู่แล้ว แต่ว่าเราลืมไปว่าตัวเราเองเป็นพุทธะ ตอนนี้รับวิถีธรรมแล้วรู้ว่าพุทธะอยู่ในตัว เราก็ต้องเร่งบำเพ็ญที่จะกลับคืนสู่ดินแดนเบื้องบน ขณะนี้พวกเราซึ่งเป็นพุทธบุตรลงมาอยู่บนโลกนี้นานเกินไปแล้ว หลงลืมทางที่จะกลับบ้าน ฟ้าเบื้องบนได้ส่งสายทองธรรมะนี้ลงมาในดินแดนทั่วโลกนี้ พวกเรามีโอกาสได้รับวิถีธรรมและจับยึดสายทองเพื่อที่จะกลับคืนสู่เบื้องบน ตัวเราเองถึงแม้ว่าจะผิดพลาดไปก็ขอให้พวกเราย้อนคิดถึงสิ่งที่ทำผิดมา แล้วก็ปรับปรุงตัวเองใหม่
เมื่อเรารู้ว่าประตูแห่งธรรมอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว ก็ขอให้พร้อมใจกันที่จะบำเพ็ญธรรม ดำเนินตามปราชญ์ทั้งหลายออกไปโปรดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ เผยแพร่งานธรรมในครั้งนี้ด้วยจิตที่เมตตากว้างไกล)
ตอนนี้จิตใจของทุกคนก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว แต่อยู่ที่ว่าต่อไปทุกคนจะรวมจิตรวมใจและมีใจเบิกบานได้ดั่งเช่นตอนนี้หรือเปล่า การศึกษาธรรมนั้นไม่ใช่ว่าแค่มาศึกษานั่งฟังสองวันเท่านั้น แต่การศึกษาธรรมเราต้องศึกษาไปตลอดชีวิตของเรา บางทีบางคนอาจจะต้องศึกษาไปอีกหลายภพหลายชาติ อยู่ที่ว่าตอนนี้เข้าใจตนเองที่แท้จริงหรือยัง บางคนเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมั่นในพุทธะ เชื่อมั่นในอริยะต่างๆ แต่ทำไมถึงมองข้ามความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าทุกคนมีความเชื่อมั่นในตนเองแล้ว การทำสิ่งใดตัดสินใจพิจารณาอย่างรอบคอบ ตนเองก็นำตนเองได้ ไม่ต้องไปพึ่งพาให้ใครมาช่วยนำเรา เพราะคนที่ชี้นำเรานั้นบางครั้งอาจจะช่วยได้แต่ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ต้องค้นหาตนเอง แล้วต่อไปก็พยายามดูว่าตนเองยังมีอะไรที่บกพร่อง ยังมีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม และมีอะไรที่ต้องคงรักษาไว้ พอเข้าใจไหม
ถ้าวันนี้อาจารย์ของทุกๆท่านได้มาเห็นคงปลาบปลื้มปิติแน่ เพราะว่าความตั้งใจทั้งของผู้ปฏิบัติงานและนักเรียนได้รวมกันเป็นหนึ่ง ศึกษาต่อไปอย่าให้ความวุ่นวายสับสนเข้ามาแทรกแซงได้
เรื่องที่เราได้พูดไปเมื่อสักครู่ก็มีเรื่องสายน้ำ ทางสายกลาง คลื่นลมทะเล คนที่มาทีหลัง เราไม่ต้องการจะกล่าวโทษ เราต้องการเพียงแต่บอกว่าบางครั้งเวลาที่เราสูญเสียไปนั้น เราไม่สามารถที่จะเรียกกลับคืนมาได้ใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ผ่านไปเราไม่สามารถที่จะนำกลับคืนมาได้ เหมือนเช่นการประคองจิตใจ ถ้าปล่อยพลาดพลั้งไปเราก็ไม่สามารถเรียกสิ่งที่พลาดเผลอไปนั้นกลับมาแก้ตัวใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องบำเพ็ญจิตให้ดีๆ
โอกาสของเราที่จะได้พบพวกท่าน ตอนนี้ก็เหลือน้อยลง แต่จริงๆแล้วทุกท่านสามารถรักษาโอกาสนี้ไว้ให้คงอยู่ได้ ขอให้รู้จักน้อมลงมองจิตและรักษาจิตให้ดี ก็จะสามารถมองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในใจของทุกๆคนได้ เวลาหมุนไปไม่หยุด เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ต้องรักษาและประคองให้ดี มีโอกาสเราคงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
เหยียบเมฆแก้วสู่สถานอันศักดิ์สิทธิ์ ปลุกดวงจิตที่อับเฉาฟื้นชุ่มฉ่ำ
ให้มวลศิษย์ทุกทุกคนล้วนจดจำ ให้ได้นำสู่มรรคผลอันแท้จริง
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง พร้อมนำ พระนาจา ร่วมรับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ
เคืองแค้นใครเพราะกมลเฝ้าย้ำ รังแต่จะถลำเกิดอารมณ์ร้าย
อารมณ์เท่าไรมายมากมาทดสอบใจ สติเหลือคืนเพียงไรเมธาศิษย์พิจารณา
โลกีย์มีสถานที่เช่นแดนนิมิต ศิษย์มีชีวิตบำเพ็ญอย่างเกิดปัญญา
ช่วยพี่น้องปรองดองสมานในวิญญา ปรารถนามายมากมนุษย์พร้อมตื่นได้
จิตชิงแย่งมิป้องกันอาจสาย ถ้าชั่งกันว่างวุ่นวายต่างไฉน
หากมิรู้ดูกลับกลางฤทัย ลมพัดทรายดั่งใจปลิวห่าง
ธงปลิวยามลมหวนจุนเจือเกื้อ ฤทัยเมื่อต้องลมสายธารหลั่ง
เลิกสับสนมิวกวนในภวังค์ วิถีกว้างโลกไป่หมุนตามอาสวะ
ความสำเร็จใหญ่ยิ่งเริ่มที่ฤดี เพราะหยุดลง ณ ฤดีแห่งจริยะ
ศิษย์เข้าใจให้แปรตนด้วยวิริยะ ปราชญ์อริยะต้องเคี่ยวกรำจึงสำเร็จจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
พระนาจา : อยากให้ใครมา เรามาคนเดียวไม่ได้ใช่ไหม ต้องมีอีกท่านหนึ่ง เร็วๆอย่าชักช้า ทำอย่างไรถึงจะให้พระอาจารย์มา ไม่มีใครเรียกพระอาจารย์เลย ลูกศิษย์ลืมอาจารย์แล้วหรือ ศิษย์น้องลืมอาจารย์แล้วหรือ
พระอาจารย์ : คิดถึงกันจริงๆหรือเปล่า แล้วรู้จักจริงๆหรือเปล่า อาจารย์เป็นพระไม่เต็มใช่ไหม คนเราเต็มไม่เต็มนั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) แล้วทำไมใจบางคนถึงได้เต็ม บางคนถึงไม่เต็ม คนที่ไม่เต็มใกล้จะเต็มกันหรือยัง (ใกล้แล้ว) คนที่ไม่เต็มก็เป็นพวกเดียวกับอาจารย์ใช่ไหม นั่งกันเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) นั่งกันครบ ๒ วันหรือเปล่า (ครบ) ครบทุกคนหรือ วันนี้หลายคนก็หลายจิตใจใช่ไหม (ใช่) เวลาที่อยู่ด้วยกันนี้รวมใจกันแล้วหรือยัง (รวมแล้ว) รวมกันเป็นใจเดียวนั้นจะรวมกับใคร (พระอาจารย์) นั่งอยู่บนเก้าอี้อะไรรู้ไหม (เก้าอี้เซียน) ถ้านั่งอยู่บนเก้าอี้เซียนต้องนั่งทำสมาธิ แต่ถ้าโงกหลับลงไปก็หล่นจากเก้าอี้เซียนใช่ไหม (ใช่) มรรคผลจริงๆเกิดจากที่ไหน (ใจ) คนที่จะมีมรรคผลจริงๆคือคนที่เข้าใจธรรมะ และมีความศรัทธาจริงใจเชิดชูออกมาให้เป็นเกียรติ หลังจากนั้นต้องนำใจที่เมตตานี้ออกไปพูดธรรมะ ออกไปส่งเสริมคนด้วยวาจาและการปฏิบัติที่เที่ยงตรง เมื่อวาจาที่กล่าวออกไปล้วนเป็นคำที่ดีงาม คนที่อยู่ข้างๆเราก็จะเคารพนับถือ เชื่อมั่นว่าเราคงไม่หลอกเขา เมื่อใจปฏิบัติได้ดีแล้ว การกระทำก็ย่อมทำได้ดี วาจาก็กล่าวได้ดี นี่เป็นหนึ่งในแนวทางการเจริญกุศล การเจริญกุศลเป็นการตอบแทนพระคุณฟ้าดิน ศิษย์อาจจะไม่รู้ว่าการที่เราสามารถได้รับหนึ่งชี้นี้เป็นเรื่องประเภทไหน ตอนนี้เข้าเกณฑ์วาระสามแล้ว ฟ้าดินมีความเร่งรีบอย่างยิ่ง ต้องการโปรดคนในโลกทุกคนให้กลับคืนขึ้นไป ขอเพียงแต่ว่าคนนั้นเป็นคนดี ประตูพุทธะก็จะเปิดออกได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พระนาจา : ใครเคยนั่งรถม้าบ้าง ถ้ามีม้า ๒ ตัวแต่มีคนบังคับหนึ่งคน ถ้าคนบังคับม้าได้ถูกทิศทาง ถึงแม้ม้าจะมี ๒ ตัวก็สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ใช่ไหม เมื่อสักครู่ตอนที่พระอาจารย์ให้โอวาท เราเดินไปเดินมา เราพูดนิดหน่อยทุกคนก็แบ่งใจเป็น ๒ ส่วน แสดงว่าไม่สามารถควบคุมม้า ๒ ตัวนี้ได้ เพราะอีกใจหนึ่งก็อยากดูพระอาจารย์ อีกใจหนึ่งก็อยากดูพระนาจา ทำให้ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินชีวิตเหมือนการควบม้า แล้วอะไรเป็นม้า (ร่างกาย) ถ้าทุกคนบอกว่ากายนี้เหมือนม้า แล้วจิตเหมือนอะไร (เหมือนลิง) เหมือนลิงใช่ไหม ลิงว่องไวใช่หรือเปล่า (ใช่) จริงๆแล้วจิตว่องไวเหมือนลิง กายประดุจม้าใช่ไหม (ใช่)
พระอาจารย์ : รู้ไหมว่าพระนาจาอายุกี่ขวบ (๗ ขวบ)
“เคืองแค้นใครเพราะกมลเฝ้าย้ำ” ใครเคยมีความเคืองแค้นบ้าง มีหรือเปล่า (มี) การที่เราเคืองแค้นใคร ถ้าลองพิจารณาดูนั่นเป็นเพราะว่าใจเราเฝ้าย้ำเสมอว่าเขาทำเราเจ็บ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า (เป็น) แล้วเคยคิดหรือไม่ว่าเราต้องให้อภัยเขา (เคย) กว่าความคิดเหล่านี้จะออกมา บางทีก็สายไปแล้ว ศิษย์ต้องรู้ว่าการที่คนเราจะทำอะไรโดยไม่ผิดพลาดนั้น ตัวเราเองจะต้องมีสติตลอดเวลา เหมือนกับที่อาจารย์บอก ถ้าชิงแต่จะถลำเข้าไปก็จะเกิดแต่อารมณ์ที่ร้ายแรงขึ้นมา แล้วเขาเป็นทุกข์กับเราหรือเปล่า อารมณ์โกรธนี้เป็นอารมณ์ที่รุนแรงใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากว่าโดนอารมณ์พวกนี้ทดสอบใจเรา ศิษย์จะทำอย่างไร (วางเฉย) ทำได้จริงๆหรือเปล่า ต้องค่อยๆทำ ถ้าครั้งแรกทำไม่ได้ ครั้งที่สองก็ย้ำใหม่ว่า “อภัย” ถ้ายังทำไม่ได้อีก ครั้งที่สามก็ย้ำใหม่ว่า “อภัย” อีกดีไหม (ดี) ถ้าเกิดว่าทำได้อย่างนี้แล้ว โลกนี้จะสันติ ทุกคนก็จะยิ้มแย้มเบิกบานกันดีใช่ไหม
ทุกคนมาสถานที่นี้แล้วมีความสุขไหม เกิดเป็นมนุษย์นี้ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนที่ศิษย์ป่วยเป็นหวัด แล้วนอนล้มเจ็บนั้นเป็นทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์) แล้วรู้ไหมว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
คนเรามีทุกข์มากมาย ทุกข์นั้นเกิดจากใคร (ตัวเรา) บำเพ็ญด้วยปัญญาและการพินิจพิจารณา สิ่งใดที่ดีเก็บไปศึกษา สิ่งที่ไม่ดีก็ขอให้ปล่อยวางลง ศิษย์คิดว่าตัวศิษย์มีสิ่งที่ดีและไม่ดีควบคู่กันไป คนอื่นก็เหมือนกัน การมาที่นี่ทุกคนต้องมีการขัดเกลา เพราะว่าชีวิตมนุษย์ทุกๆวันก็มีแต่ทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการที่มีมากเกินไป บางคนมีเงินทอง มีทรัพย์สิน มีลาภยศและมีวาสนาพร้อม มีมากเกินไปจึงเป็นทุกข์ บางคนมีน้อยเกินไปก็ตัดพ้อต่อว่า คนประเภทนี้ก็มีทุกข์ อยู่ที่ว่าทุกข์นั้นขาดๆเกินๆซ่อมให้มันเต็ม แล้วจะซ่อมเต็มเมื่อไหร่ ใกล้หรือยัง (ใกล้แล้ว) หวังว่ารอครั้งนี้คงไม่รอเปล่าใช่ไหม (ใช่)
คนเราเกิดมาแล้วก็ตายไม่ใช่จุดประสงค์แห่งชีวิต เกิดมาต้องรู้ว่าบัดนี้พบธรรมะแท้ ศิษย์อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายจริงๆ ใช่หรือเปล่า เมื่อวานนี้มีอาจารย์บรรยายธรรมได้พูดถึงความยาก ๔ อย่างที่เกิดมาในชีวิต จำกันได้หรือเปล่า ความยาก ๔ อย่างแห่งชีวิตก่อนที่จะรับธรรมะ (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพูดถึงความยาก ๔ อย่างของการเกิดมาเป็นมนุษย์ : ๑.ยากที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ คนเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในหกภูมิ การที่คนเราได้มาเวียนเกิดอยู่ในภูมิมนุษย์ได้นั้นจะต้องมีคนที่มีบุญมีกุศล และได้ทำความดีงามมากมาย ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ๒.ยากที่จะเกิดในแถบเอเซีย โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล เหตุใดเราจึงมีโอกาสมาเกิดอยู่ในใจกลางของโลกทางประเทศจีนและประเทศไทยนี้ ตรงนี้เป็นแหล่งที่พุทธอริยะทั้งหลายได้ทรงจุติเกิดลงมามีกายเนื้อ เพื่อฉุดช่วยมนุษย์ทั่วโลก พระพุทธเจ้าท่านเกิดที่อินเดีย พุทธะหลายๆพระองค์ พระกวนอิน ท่านขงจื้อ ท่านเหลาจื้อ หรือหลายๆพระศาสดาก็เกิดที่ประเทศจีน แล้วก็แพร่มาถึงประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้นการที่เราจะมาเกิดที่ศูนย์กลางของโลกแถบเอเซียก็เป็นเรื่องยาก ๓.ยากที่จะเกิดมาอยู่ในวาระยุคสุดท้ายที่เบื้องบนกำลังโปรดสัจธรรม ยากที่จะพบสัจธรรมแท้นี้ แต่ว่าเราได้เกิดมาอยู่ในยุคนี้แล้ว มีโอกาสรับการถ่ายทอดอนุตตรธรรมจากพระอาจารย์จี้กงและพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้มาจุติในโลกนี้และถ่ายทอดวิถีธรรมแท้ ทำให้เราได้รู้ทางหลุดพ้น ๔.การที่เราจะได้เกิดมาทันพุทธะเกิดเป็นเรื่องยาก แม้พวกเราไม่ได้เกิดมาทันในสมัยพุทธกาลพบพุทธองค์ ได้ฟังธรรมแล้วก็หลุดพ้นไป แต่พวกเราก็ยังโชคดีที่เกิดมาตอนนี้ ได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ซึ่งก็คือพุทธะที่จุติลงมาเกิดเพื่อช่วยชีวิตเวไนยสัตว์ในยุคนี้ คือเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นพุทธะองค์สุดท้ายที่จะมาช่วย ฉะนั้นทั้ง ๔ ประการนี้ พระวิสุทธิอาจารย์ที่เราพบได้ยาก เราก็ได้พบแล้ว และเกิดในที่ๆเกิดได้ยากคือทวีปเอเซีย ตรงศูนย์กลางของโลกนี้ เราก็ได้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ๔ อย่างนี้เราได้ครบหมด เราจะต้องถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี) เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ยากหรือไม่ยาก (ยาก) ตอนนี้เมื่อรู้ว่ายากอย่างนี้ เวลาก็คับขันขนาดนี้แล้วคิดว่าตัวเองจะไปสร้างมรรคผลอย่างจริงจังได้หรือยัง (ได้) การสร้างมรรคผลจริงๆ ต้องลงแรง ต้องลำบาก ศิษย์ทนได้หรือ (ได้) ถ้าศิษย์ทนความลำบากตรงนี้ได้ ทนคำพูดคนอื่นได้ ศิษย์ก็จะสำเร็จมรรคผลได้ มรรคผลตรงส่วนนี้เป็นมรรคผลของศิษย์เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์เลย เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พระนาจา : รู้สึกว่าศิษย์พี่จะไม่ได้ยินเสียงศิษย์น้องที่เป็นนักเรียนพูดเลย รู้ไหมว่าอาจารย์คิดถึงศิษย์น้องทุกคนขนาดไหน รู้ไหมว่าท่านเหนื่อยยากขนาดไหน ไม่มีใครเคยรับรู้ พออาจารย์มาก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความรู้สึกของอาจารย์ ไม่มีใครเข้าใจว่าอาจารย์คิดอย่างไร ทำไมอาจารย์ถึงต้องพูดธรรมะให้ศิษย์น้องทุกคนได้เข้าใจ ทำไมท่านถึงต้องไปไหว้วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ลงมาโปรดช่วยศิษย์น้องทุกๆคน ศิษย์น้องไม่เคยมองเห็นความลำบากของอาจารย์ ได้เห็นแต่ตอนที่อาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใสเท่านั้น
พระอาจารย์ : อย่าไปว่าเขาเลย ถ้าหากว่าตอนนี้มรรคผลเป็นสิ่งที่ศิษย์ตั้งจุดหมายแล้ว มรรคผลนี้แย่งชิงกันหรือเปล่า กุศลนั้นแบ่งให้กันไม่ได้ ถ้าเกิดว่าตอนนี้เราไม่ป้องกันตัวเองให้พ้นจากกิเลสทั้งหลาย เราก็ไม่สามารถที่จะตื่นได้ เพราะว่าหลังจากจบชั้นนี้ไป ศิษย์อาจจะออกไปข้างนอกและคิดว่าตรงนั้นดีกว่า ตรงนี้ใช่แน่ๆ ที่ผ่านมาคงจะเป็นของปลอม หรือไม่ก็ทำไมเธอคนนี้บำเพ็ญธรรมะแล้วเป็นอย่างนี้ ถ้าเจอเรื่องพวกนี้ศิษย์จะท้อหรือเปล่า (ไม่ท้อ) เมื่อใดหาธรรมะจากภายนอกไม่ได้ เมื่อนั้นขอให้ย้อนเข้าในใจตัวเอง ความว่างกับความวุ่นวายมักจะไปด้วยกันเสมอ แยกกันไม่ออก ไม่เว้นที่ไหน เวลาไหน พื้นทรายมีทรายเต็มไปหมด ศิษย์เป็นทรายเหล่านั้น ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงคนนี้เมื่อโดนลมพัดจะเกาะกลุ่มกันเหมือนทรายที่เปียกน้ำหรือว่าจะปลิวไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าหากปล่อยตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้ว หกหมื่นปีที่ผ่านมาศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายมาชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วแน่ใจไหมว่าในชาติหน้าตัวเองจะได้เป็นมนุษย์อีก (ไม่แน่ใจ) เกิดมาชาตินี้กินหมูกินไก่ ชาติหน้าถ้าเกิดเป็นหมูเป็นไก่ให้เขาฆ่าจะทุกข์กว่านี้ไหม (ทุกข์) ศิษย์เชื่อหรือไม่ว่าทั้งหมูทั้งไก่หรือวัวควาย ในชาติก่อนทุกอย่างก็ล้วนเคยเกิดเป็นมนุษย์มาแล้วทั้งสิ้น (เชื่อ) ถ้าเชื่ออย่างนี้แล้วคิดหรือไม่ว่าตัวเองจะบำเพ็ญอย่างไร ลองไปพินิจพิจารณาดูก็แล้วกัน
พระนาจา : ผลไม้ถ้าไม่สุกเต็มที่ก็จะไม่ร่วงหล่นจากต้นใช่ไหม (ใช่) เปรียบเหมือนความดี ถึงแม้จะทำทีละเล็กทีละน้อย แต่สักวันหนึ่งมันก็จะตกผลออกมาได้ ใช่หรือเปล่า แล้วตอนนี้พอที่จะตกหรือยัง (ยัง) การทำความดีพอมีคนบ่นว่า เราก็ท้อไม่ทำแล้ว ถูกหรือไม่ แล้วอย่างนี้มรรคผลจะสมบูรณ์ไหม (ไม่สมบูรณ์)
ศิษย์พี่จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทะเลเหนือคุยกับทะเลใต้ว่าอะไรคือธรรมชาติ ทะเลใต้ก็ตอบว่าม้ามีสี่ขา วัวมีสี่ขา มนุษย์มีสองขา นั่นแหละคือธรรมชาติ แล้วทะเลเหนือก็ถามทะเลใต้ต่อว่าแล้วสิ่งใดที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่ง ใครตอบได้ (จิตปรุงแต่ง, มนุษย์) นั่นก็คือการเอาบังเหียนไปใส่หลังม้า ซึ่งเปรียบเหมือนการเอาสิ่งที่ไม่ดีมาใส่ไว้ในจิตใจ มาปรุงแต่งร่างกายใช่ไหม (ใช่) ศิษย์พี่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ศิษย์น้องใส่เสื้อผ้า แต่ให้รู้จักคำว่า มี พอ หยุด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระอาจารย์ : ทุกๆคนต้องรู้ว่าถ้าหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ตอนนี้นั่งฟังอยู่ที่นี่แต่ว่าใจยังอยู่ที่บ้าน คิดโน่นคิดนี่ อย่างนี้นั่งฟังอยู่ที่นี่ครบสองวันก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม แล้วจะนำใจกลับมาได้หรือยัง ตอนนี้คิดหรือยังว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองนั่งฟังจบสองวัน เมื่อนั่งฟังจบแล้ว ความรู้เราจะต้องเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจบชั้นแล้วแต่ว่ายังไม่เข้าใจ นั่งไปสองวันก็ไม่มีประโยชน์ นั่งฟังธรรมะต้องทำจิตใจให้มีจริยะรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร (ทำจิตใจให้ว่างและตั้งใจฟัง) ยังไม่ถูกทีเดียว (มีจิตใจที่เป็นระเบียบ, สำรวมจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว) มีใครตอบได้อีก ไหนลองดูศิษย์แต่ละคนคิดเป็นอย่างไร (จิตใจสงบ, ฟังแล้วคิดตามไปด้วย, เปิดใจตั้งใจฟังและคิดตามไปด้วย) การที่เรามีจิตใจจริยะ ทุกคนตอบมามีส่วนถูกหมด อยู่ที่ว่าจิตใจแห่งจริยะของเรานั้นจะไปหยุดอยู่ที่ไหน ตอนนี้เมื่อทุกคนพูด จิตใจแห่งจริยะก็เงียบสงบ เมื่อเดินทาง จิตใจแห่งจริยะก็ต้องรู้ที่จะระวังไม่ให้ตัวเราเองผิดพลาดพลั้งไป จิตใจแห่งจริยะที่ว่าก็คือพุทธญาณ ถ้าหากว่าทุกๆวันรู้จักหยุดอยู่ตรงจุดๆนั้น นั่งฟังด้วยความตั้งใจ ทำอะไรก็ขอให้หยุดลงตรงนั้น อย่างนี้แล้วจิตใจแห่งจริยะก็จะเกิดความงอกงาม เพราะว่าบังเกิดแต่สิ่งที่ดี จิตใจแห่งจริยะก็คือจุดๆนั้นที่ได้รับชี้ไป เข้าใจหรือไม่ คำถามของอาจารย์ตอบง่ายๆ แต่ว่าใครจะหยุดลงตรงไหน นั่นเป็นเรื่องของแต่ละคน ถ้าไปหยุดอยู่ที่หู ตา จมูกก็จะบังคับไม่ได้ เหมือนกับม้าพยศที่ไม่สามารถวิ่งไปสู่เส้นชัยได้ เมื่อเข้าใจแล้วตอนนี้ถ้าตัวเองมีอะไรผิดพลาดพลั้งไป ควรจะทำอย่างไร (แก้ไข) เวลาผูกปมเราผูกอย่างไร เวลาเราก่อปัญหาเราก่ออย่างไร เวลาก่อปัญหาก่ออย่างรวดเร็วใช่ไหม แล้วเวลาที่จะแก้ แก้อย่างไร สมมติว่าเวลาแก้ปมมีเงื่อนซ้อนกัน ๕ เงื่อน หรือ ๕ ปัญหา ๕ เรื่องราว เราจะค่อยๆแก้ไปหรือว่าจะแก้อย่างไร (ค่อยๆแก้) เวลาแก้ก็ต้องอดทน อดทนด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น ตอนนี้บางคนยังมีความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ก็ขอให้ใช้จิตพิจารณาให้ดี แล้วค่อยๆแก้ไป อาจารย์เข้าใจดีว่าความสงสัยของคนเรานั้นมักจะงอกงามในใจเสมอๆ ถ้าหากว่าทุกๆวันเจอแต่เรื่องแบบนี้ เจอปัญหา เจอสิ่งใดๆ ก็ขอให้ระลึกและพิจารณาเสมอว่า นั่นเป็นเพราะตัวเราก่อขึ้นมาเองหรือว่าอารมณ์ร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการทดสอบ ถ้าเราชัดเจนในการพิจารณา ชัดเจนในจิตใจของตัวเองแล้ว คงไม่กลัวว่าตัวเองจะเดินไปล้มไป หรือจะเดินไปโดยไม่แน่นอน คนเราไม่ว่าจะทำการงานอะไรก็ต้องมีความหวังว่าจะต้องได้ยศตำแหน่งใช่ไหม แล้วถ้าหากว่าเราตั้งความหวังอย่างนั้นได้ เราควรรู้ว่าสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือลงแรง การที่อาจารย์นำมาเปรียบเทียบแบบนี้เพราะอยากให้ศิษย์รู้ว่าการที่เราจะลงแรงทางด้านธรรมะก็จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าหากว่าเราลงแรงปฏิบัติจริง ลงแรงแก้ไขตัวเองอย่างแท้จริง และเจริญกุศลอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะได้มรรคผลที่แท้จริงด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญธรรมะนั้นง่ายขึ้น แต่จะง่ายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ ถ้าศิษย์รู้จักปรับปรุงก็จะสามารถล่วงพ้นกิเลสที่มาขวางอยู่ได้
พระนาจา : การทำสิ่งใดก็ตาม ถ้าทำแล้วคนอื่นมีความสุขก็เป็นสิ่งดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย อันที่จริงความสุขนั้นทำไม่ยาก แต่เป็นเพราะว่าเราอาย เรากลัว เราไม่อยากยอมใคร จึงทำให้เราไม่กล้าที่จะทำ ไม่กล้าที่จะสู้ แต่ถ้าเราลองทำดู แล้วมองไปที่หน้าของทุกคน เราจะพบว่าทุกคนต่างก็ยิ้มให้เรา แต่ถ้าเราลองทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วให้เราเงยหน้า เราจะกล้าเงยไหม (ไม่กล้า) ถึงแม้จะกล้าเงยแต่จิตใจก็ยังแอบแฝงไปด้วยความเกรงกลัวใช่หรือเปล่า ฉะนั้นทำความดีก็ต้องเงยหน้ายิ้มรับ ถ้าทำความผิดก็ต้องก้มหน้ายอมรับผิด ดูๆแล้วความดีเป็นสิ่งที่ทำไม่ยาก แต่ทำไมถึงไม่ค่อยจะมีคนกล้าทำ
บางคนยังสงสัยว่าการบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไร การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือการซ่อมแซมจิตใจของตัวเองที่เป็นพุทธะ แต่เราทุกคนล้วนมองไม่เห็นความเป็นพุทธะในตัวเอง เช่นนั้นก็เหมือนเครื่องจักรที่ผุพังไป ต้องได้รับการซ่อมแซม แต่ถ้าเราไม่ย้อนมองตัวเองก็จะไม่รู้ว่าข้างในผุพัง ภายในขาดหรือเกิน สิ่งแรกในการบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน เมื่อมองตนเองแล้วก็ต้องดูว่าสิ่งใดตัวเองถูก สิ่งใดตัวเองยังดีอยู่ก็คงสภาพที่ดีไว้ แต่ถ้ามองแล้วสิ่งใดผุกร่อนเสียหายก็ต้องซ่อมแซมปะให้ดี ทำไมเวลากางเกงขาดยังรู้จักปะได้ นั่นเป็นเพราะว่ากางเกงอยู่ข้างนอก เราจึงมองเห็น แต่จิตใจอยู่ภายในทำให้มองไม่เห็นใช่ไหม เมื่อรู้ว่าจิตใจอยู่ภายใน การมองก็ต้องมองภายใน แต่ถ้ามองแล้วยังมองไม่เห็นก็ต้องมองเวลาเราทำ ถ้าเรามีความอยากนั่นก็คือเราเริ่มมองเห็นแล้วว่าจิตใจเรามีความอยาก เช่นเมื่อถึงเวลาเที่ยงเราต้องการกินข้าว นั่นก็คือเรามองเห็นจิตใจของเราแล้ว ไม่ยากเลยที่จะมองเห็นจิตใจของตัวเองใช่ไหม นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาในสองวันนี้มาสำรวจดูว่าจิตใจของเราดีเพียงไร ทำในสิ่งที่ควร คิดแล้วต้องปฏิบัติ เมื่อใช้ใจและปัญญาคิดแล้ว ทุกคนก็จะรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนคิดหรือทำไปถูกหรือผิดอย่างไร นั่นก็คือการบำเพ็ญ
พระอาจารย์ : ตอนนี้จิตเปิดกันครบทุกคนหรือยัง (เปิดแล้ว) ถ้าหากกลับจากชั้นนี้ไปแล้วจะกลับมาศึกษาธรรมะกันอีกหรือเปล่า เมื่อจบไปแล้วจะต้องกลับมาเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ต้องรู้ว่าคนข้างหน้าเขาก็เคยนั่งแบบนี้เช่นกัน ถ้าศิษย์พยายาม ศิษย์เองก็สามารถที่จะเป็นผู้บรรยายได้ บางคนมีความรู้น้อย บางคนมีความรู้มาก แต่ถ้าเกิดความสงสัยแล้วเก็บเอาไว้ ไม่รู้จักถามก็จะไม่เข้าใจ นี่ก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ (เชาฉือ) แล้ว บางคนมาจากที่ไกลๆ รู้ไหมว่าคนที่นั่งข้างๆเรามาจากไหน แล้วเขาเดินทางมาด้วยความลำบากเพียงไร แล้วรู้หรือไม่ว่าเขาชื่ออะไรและอยู่ที่ไหน บางคนก็รู้จักกันบ้าง บางคนก็ไม่รู้จักกันเลย อย่างนั้นก็ขอให้ทุกคนทำความรู้จักกันหลังจากที่อาจารย์กลับไปแล้วนะ
ถ้าหากว่าเรามีเพื่อนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน เวลาเราท้อถอย เขาก็ช่วยเราได้ เป็นเช่นนี้ดีหรือไม่ มีเพื่อนเป็นกัลยาณมิตรที่จะฉุดรั้งกันไว้ได้ เราก็ควรที่จะคบกับเขาใช่ไหม โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมทุกคนถ้าหากมีเพื่อนแล้วก็ต้องรู้จักให้ความเชื่อถือต่อกัน เมื่อเราเชื่อถือเขา เขาเชื่อถือเรา เราไม่โกรธหรือแบ่งแยกกับเขา ไม่ถือว่าเขาต่ำต้อยกว่า หรือสูงส่งกว่าเรา อย่างนี้ดีที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)
นักเรียนในชั้นนี้แบ่งเป็นสามตอน เปรียบเหมือนกับกอไผ่สามกอ แล้วรู้ไหมว่ากอไผ่ดีอย่างไร ต้นไผ่เวลาถูกลมพัดก็จะโยกไปตามลม พอลมสงบกอไผ่ก็ตั้งลำได้ตรง ส่วนใบไผ่ก็ยอมรับแสงอันร้อนแรงเพื่อเอาไว้เลี้ยงตนได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ยอมรับความลำบาก เพื่อที่จะบรรลุได้หรือไม่ พอเราเป็นต้นไผ่แล้ว เวลาคนเขาตัดมาใช้ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปไหนก็ยังคงเป็นไผ่อยู่ใช่ไหม เพราะมีข้อ มีปล้องที่ไม่เปลี่ยนแปลง ต้นไผ่มีทั้งความอ่อนโยนและมีทั้งความกล้าหาญ ถ้าหากชีวิตคนหนึ่งชีวิตสามารถบำเพ็ญได้เช่นนี้ก็จะเป็นเมธา แต่อย่างที่อาจารย์บอกไปแล้ว มีคนอยู่เท่าไหร่ที่จะทำได้แบบต้นไผ่นี้
คนเราเมื่อเกิดปัญหา เกิดการชิงชัง เกิดความวุ่นวาย ถ้าหากว่าโลกที่กว้างขนาดนี้ ศิษย์วนเวียนอยู่ในขณะนี้แต่ว่าศิษย์จะขอหยุดลงจากปัญหา การชิงชัง ความวุ่นวาย ณ ใจจริยะตลอดไปดีหรือเปล่า (ดี) คนที่ทำได้อย่างนี้ก็เป็นก้าวแรกของเมธาแล้ว หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะทำได้ อาจารย์ขอฟังเสียงคนที่แน่ใจ (แน่ใจ) หวังว่าศิษย์คงจะเป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าเกิดว่าต้นไผ่นี้เจริญเติบโตขึ้นในป่าใหญ่ กอไผ่ก็จะทนทั้งลม แดดและฝน เมื่อฝนตกลงมาก็ไม่กลัว เมื่อไม่กลัวก็เติบโตขึ้นอีก ศิษย์จะเป็นกอไผ่อยู่ที่กลางสายฝนได้ไหม ชั้นนี้มีทั้งหมดสามกอ จะดูว่ากอไผ่กอไหนจะเจริญเติบโตได้เร็วกว่ากัน ดีหรือเปล่า หน่อเล็กในแต่ละกอก็สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นลำต้นใหญ่ๆ แล้วต้องเผชิญและฟันฝ่าอะไรอีกมากมาย ถ้าหากว่ามัวแต่กลัวและไม่กล้า ก็จะไม่สามารถบำเพ็ญถึงขั้นเป็นเมธาได้
เพลงที่อาจารย์ให้ไปจะต้องนำมาร้องบ่อยๆ การที่อาจารย์มาพบกับศิษย์ในวันนี้ขอให้อาจารย์อยู่ในความทรงจำของศิษย์ทุกคน อย่าได้ลืมอาจารย์ง่ายๆ ได้หรือเปล่า (ได้) หากยังลังเลสงสัยอะไรก็ขอให้รู้จักที่จะแก้ปัญหาด้วยใจที่อยู่ในจริยะ ถ้าไม่รู้ให้ถามผู้อื่น อาจารย์เองรักศิษย์ทุกคนเสมอ เมื่อศิษย์พบความลำบากก็ขออย่าได้ท้อถอยไปง่ายๆ จับมือต่อๆกันไว้ หวังว่ามาคราวหน้าคงได้พบกับศิษย์ทุกๆคนอีก
พระนาจา : มีใครเข้าใจจิตใจของพระอาจารย์บ้าง รู้ไหมว่าพระอาจารย์ต้องร้องไห้ทุกๆวัน ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ศิษย์น้องได้รับรู้ ศิษย์น้องรู้ไหมว่าอาจารย์รักศิษย์น้องทั้งหลาย รอศิษย์น้องทุกๆวัน แต่ไม่มีใครเข้าใจ ฉะนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจและบำเพ็ญธรรมให้ดี ศิษย์พี่อยากเห็นศิษย์น้องทุกๆคนกลับไป ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าจะช่วยอาจารย์ได้อย่างไร หวังวอนให้พระแม่ผู้เมตตาดลจิตใจให้ศิษย์น้องทุกๆคนเข้าใจถึงความรู้สึกของอาจารย์ ความทุกข์ไม่ได้มีเพียงแค่นิดหน่อย แต่ยังมีอีกมากมาย โลกนี้ถึงแม้จะดูสวยงาม แต่สิ่งที่ศิษย์น้องมองไม่เห็นยังมีอีกมาก ขอให้ตั้งใจให้ดีๆ ลาก่อน
อ่านต่อ...
PDF 2538-05-20-ลำปาง (เหยินเต๋อ ) #5.pdf
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ มูลนิธิพุทธธรรมจีน จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ใจแน่วแน่สม่ำเสมอบำเพ็ญญาณ พุทธบุตรจากบ้านมัวเมาหลง
เสริมคุณธรรมน้อมใจในโลกปลง ธุลีผงกิเลสเร้าติดบ่วงมาร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ
ขอสำรวมจิตเที่ยงตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกล้วนสิ่งสมมติอุบัติมา แต่ชีวายังยึดติดให้เฝ้าหลง
มีความอยากฟุ้งซ่านจิตต่ำลง ดั่งญาณตนถูกขังกรงทรมาน
ชีวิตหนี้ต้องชดใช้มีกฎกรรม เหล่าเวไนยยังกระทำผิดอีกหรือ
ยังมิแก้มิศึกษามิฝึกปรือ เมื่อถึงวันเก็บกาลคือโศกอาลัย
ชีวิตที่เกิดมาสิ่งใดสำคัญ ศิษย์น้องหมั่นรักษาญาณตนได้ไหม
รักโลภโกรธหลงเศร้าอยู่กลางใจ แล้วเมื่อไรจิตพุทธาสถิตคง
มัชฌิมาปฏิปทาเดินรุดหน้า ด้วยไตรรัตน์เวทนาจะหมดสิ้น
ด้วยค่าล้ำสามสิ่งสงบอาจิณ อย่าได้หลงดิ้นรนหาทรัพย์ไป
คุณธรรมบังเกิดดั่งชนบุราณ อย่าได้ใช้อัตตาพาลให้ตนต่ำ
อย่าได้ใช้ความผิดตนติดจองจำ เพียงสำนึกกุศลกระทำพ้นหนี้เวร
ประชุมธรรมยิ่งใหญ่สะเทือนภพ ขอน้อมนบพิจารณารู้เหตุผล
จงตั้งใจศึกษาวิถีพ้นปุถุชน อริยชนสู่แดนนิรพาณ
สองวันนี้ขอรักษาซึ่งระเบียบ เราจะยืนเคียงข้างคุมสถาน
วนพู่กันจรดวาง
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่
ญาณจดจ่อบำเพ็ญด้วยหมั่นเพียร ผืนนาเตียนไถพรวนปลูกต้นกล้า
ญาณซึมซับแล้วแพร่สู่ประชา เจริญทางแห่งฟ้าไร้ทุกข์ตรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดรแล้ว ถามเมธีทุกท่านเกษมสราญฤๅ
เมื่อยามเกิดอารมณ์โกรธขึ้นในจิต สำรวมคิดผู้ใดที่ตนโกรธขึ้ง
มนุษย์ล้วนธาตุทั้งสี่รวมเป็นหนึ่ง ฉะนั้นจึงรำลึกไว้ระวังตน
เมื่อปิดตาภาพนานาล้วนมิต่าง เมื่อปิดหูไร้การฟังสำเนียงสิ้น
ไร้จมูกไร้การรับรู้กลิ่น รสผ่านลิ้นแล้วประหนึ่งรสเดียวกัน
กายานี้จะควบคุมหาได้ไม่ ฉะนั้นจึงมิใช่ตนเป็นเจ้าของ
เป็นสภาวะธรรมชาติตามครรลอง หากใฝ่ปองยึดกายนี้ยากสงบจริง
ฮา ฮา หยุด
โลกช่างดูงดงาม จากน้ำใจ เฝ้ามองเวิ้งฟ้าไกล สดใสตระการตา เมื่อยามใจทุกดวง เปี่ยมความรักและเมตตา ปรารถนาทั่วแดนเป็นสุข
แต่บางคราโลกมอง หม่นหมองไป ขาดไมตรีน้ำใจ ขาดสามัคคี เนื่องจากคนเผลอใจ ลืมแล้วความปรานี ต่างแก่งแย่งชิงดี เศร้าหมอง
หากดูแลบำเพ็ญใจ ได้มั่นคง อยู่แห่งไหนดวงใจยังคงมีสุข โลกจะสวยสะอาดหรือจะสับสน ยังรู้ญาณตนเสมอ
หมั่นดูแลบำเพ็ญใจ ผ่องแผ้วใส จิตหนึ่งรวมสร้างพลังเหนือใด ปราการร้อยพันจะพ้นได้โดยรู้ตน
ทำนองเพลง : หลับตา
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่
“ญาณจดจ่อบำเพ็ญด้วยหมั่นเพียร ผืนนาเตียนไถพรวนปลูกต้นกล้า” (แพร่ขยายไปสู่ทุกๆ คนที่ได้เข้ามา ณ ที่นี้) เมธีทุกท่านว่าถูกหรือผิด (ถูก) ถูกอย่างไรตอบได้ไหม (เหมือนกับจิตที่ว่างเปล่า ในประโยคแรกจิตใจที่จะบำเพ็ญเพียรคือ มีจิตที่ตั้งมั่นที่จะปลูกผืนแผ่นดินนั้นให้เจริญงอกงามตามประโยคที่สองดังกล่าว) แล้วประโยคที่สามล่ะ “ญาณซึมซับแล้วแพร่สู่ประชา” (เหมือนกับว่าแผ่นดินนั้นเราปลูกต้นพืชเอาไว้ เมื่อเจริญงอกงาม คนอื่นได้เห็นก็ประจักษ์สู่สายตาของประชา) ต้นพืชนั้นคืออะไร เจริญทางแห่งฟ้าคืออะไร “เจริญทางแห่งฟ้าไร้ทุกข์ตรม” (เมื่อทุกคนได้ประจักษ์แล้ว ทุกคนก็พยายามที่จะทำ แล้วความทุกข์หรือความโศก กิเลสทั้งหลายก็จะหายหรือสลายไป เหลือแต่ความสุข)
การมาฟังธรรมะในสถานธรรมนี้ ถ้าฟังด้วยจิตใจที่สงบก็ถือว่าเป็นการไม่สร้างทั้งกุศลและบาป ตั้งแต่เมธีทุกท่านเกิดมาจนมีอายุถึงปัจจุบันนี้ มีกี่ชั่วโมงที่สร้างความดี มีกี่ชั่วโมงที่ไม่ได้ทำอะไรเลย และมีอีกกี่ชั่วโมงที่สร้างบาป เมธีท่านทราบไหม (ไม่ทราบ นับไม่ได้) ยากที่จะนับใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่สามารถทราบได้ว่าขณะนี้ตนเองมีบาปมากกว่าหรือมีบุญมากกว่า และทำอย่างไรถึงจะแน่ใจว่าตนเองจะมีบุญกุศลมากกว่าบาป ต้องเร่งสร้างกุศลต่อใช่ไหม แล้วจะสร้างกุศลได้อย่างไร (ช่วยเหลือคนที่ลำบากและช่วยเหลือในสิ่งที่ตนเองทำได้) ช่วยเหลือทางร่างกายหรือทางจิตญาณดี ถ้ามีโอกาสเราก็ต้องช่วยเหลือทั้งสองทางใช่ไหม (ใช่)
มีเมธีท่านใดบ้างไหมที่ไม่เคยมีอารมณ์โกรธเลย ทุกท่านล้วนเคยมีอารมณ์โกรธจนนับไม่ถ้วนใช่ไหม (ใช่) แสดงว่ามีประสบการณ์เรื่องอารมณ์โกรธเป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นทราบไหมว่าทำอย่างไรจึงจะไม่มีอารมณ์โกรธได้ วิธีง่ายๆ ที่จะละอารมณ์โกรธได้มีอยู่วิธีหนึ่งคือ เมธีทุกท่านคงทราบว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ ฉะนั้นเวลาที่ท่านเกิดอารมณ์โกรธกับใครขึ้นมา ถ้าลองพิจารณาดูดีๆ ก็จะเหมือนเรามีอารมณ์โกรธกับธาตุทั้ง ๔ นั้นใช่ไหม (ใช่) โกรธกับธาตุทั้ง ๔ นี้ถูกต้องตามเหตุผลไหม ถ้าเช่นนั้นเกิดจากอะไรถ้าคิดว่าไม่ได้โกรธกับธาตุทั้ง ๔ ถ้ามองตามรูปลักษณ์ที่เห็นได้แล้วก็คงพาลโกรธกับธาตุทั้ง ๔ ซึ่งเหมือนการโกรธสิ่งของ เราน่าจะโกรธอีกไหม แต่ถ้ามองทางจิตแล้ว การโกรธคนก็คือการโกรธตนเองที่ไม่สามารถจะระงับอารมณ์โกรธของตนเองได้ ถ้าตนเองสามารถระงับอารมณ์โกรธของตนเองได้แล้วก็ย่อมไม่เกิดอารมณ์โกรธใดๆ ถูกไหม (ถูก)
การหลับตา บางครั้งอาจจะเป็นการพักผ่อนหรือบางครั้งอาจจะเป็นการคิดเรื่องต่างๆ เมื่อเวลาปิดตาแล้ว เมธีจะยังมองเห็นภาพภายนอกว่าสวยงามหรือมีตำหนิอยู่ไหม (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นรูปลักษณ์ภายนอกจะสวยงามหรือมีตำหนิก็ไม่เป็นผลอะไร ถ้าหากเป็นผลจริงๆ เมธีทุกท่านก็คงจะไม่ฟังเราพูดธรรมะในวันนี้หรอก เพราะเรามีขาที่พิการ มีตำหนิใช่ไหม
“เมื่อปิดหูไร้การฟังสำเนียงสิ้น” เมื่อเราปิดหูแล้ว เสียงที่ไพเราะหรือคำต่อว่าอะไรก็เหมือนกันใช่ไหม “ไร้จมูกไร้การรับรู้กลิ่น” (โดยปกติจมูกเราก็รับกลิ่นได้ เอาไว้หายใจเพื่อการยังชีพ แต่ถ้าตราบใดมีสิ่งใดเข้ามาอุดจมูกเราไว้ เราหมดลมหายใจ ร่างกายเราจะไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งสิ้น) การขึ้นมาอธิบายพระโอวาทมีประโยชน์อย่างไรรู้ไหม (ทำให้เกิดปัญญา)
“รสผ่านลิ้นแล้วประหนึ่งรสเดียวกัน” (เรากินอะไรเข้าไป เมื่อผ่านลิ้นไปแล้ว ก็เปรียบเหมือนรสเดียวกัน) ไม่ผิด แล้วมีความหมายแฝงว่าอย่างไร รสชาติอะไรผ่านลิ้นไปแล้วก็เหมือนกัน ภาพต่างๆ ที่สวยหรือไม่สวย ผ่านไปแล้วก็เหมือนกัน (ให้ทำใจ เมื่อทำใจได้แล้วเราก็รู้สึกเหมือนกัน) ถูกต้อง นี่คือการตอบที่ถูกประเด็นที่สุดใช่ไหม เมื่อบอกว่าให้ทำใจ เมื่อทำใจได้แล้วทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสของเราก็รู้สึกเหมือนกันทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุข หรือเศร้าหมอง ทุกอย่างก็เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)
เมธีท่านคิดว่าร่างกายนี้เป็นของตนเองหรือเปล่า (ไม่ใช่ของตนเอง เป็นของที่ปรุงแต่ง) เป็นของที่ปรุงแต่งขึ้นแล้วมองเห็นไหม (เห็น) จับต้องได้ แต่ไม่ยั่งยืนใช่ไหม ที่ว่ากายนี้ไม่เป็นของตนเอง เพราะว่าเราควบคุมกายของตนเองไม่ได้ เวลาเราเจ็บป่วยเราไม่สามารถจะบอกร่างกายได้ว่าเลิกเจ็บได้แล้ว จะไปบำเพ็ญธรรมะแล้ว จะไปทำงานแล้ว ถึงเราบอกอย่างนี้ไป ร่างกายก็ไม่อาจจะเลิกเจ็บป่วยได้ใช่ไหม (ใช่) ร่างกายเราก็ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนต่างๆ ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปเรื่อยๆ มนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ เราไม่สามารถควบคุมได้ จึงกล่าวได้ว่าไม่ใช่เป็นของตนเอง ร่างกายไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน แล้วสิ่งไหนที่ยั่งยืน (ความดีที่กระทำ, จิตญาณ, ความดีความชั่ว, ความมีธรรมะของอนุตตรธรรม) จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ยั่งยืนทั้งหลายนั้นล้วนมิใช่สิ่งที่มีรูปลักษณ์ทั้งสิ้นใช่ไหม (ใช่) มีได้หลายคำตอบ ผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกๆ ท่าน เวลาที่ญาติธรรมตอบคำถาม ทุกท่านก็ต้องตั้งใจฟังเช่นกัน เพราะว่าบางครั้งคำตอบที่เขาตอบมานั้นเราอาจจะยังไม่เคยนึกถึงเลยก็ได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วผู้ใดที่เป็นอาจารย์แนะนำรับรอง ถ้าตั้งใจฟังคำตอบของญาติธรรม แล้วรู้ว่าเขาตอบถูกหรือตอบผิด หรือสนใจในเรื่องใดก็สามารถจะนำไปส่งเสริมได้อย่างถูกต้องใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลงหลับตา) เวลาไม่มีกายเนื้อแล้วก็ลำบากใช่ไหม (ใช่) จะมาผูกบุญสัมพันธ์กับเมธีทุกท่านก็ต้องรองานประชุมธรรมถึงจะสามารถมาได้ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนร้องเพลงอีกครั้ง)
ขณะที่ร้องเพลงธรรม ได้พิจารณาเนื้อเพลงหรือเปล่า คำโอวาทที่ให้ไปนั้น แต่ละคนก็เข้าใจไม่เหมือนกันใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงต้องร่วมกันศึกษาธรรมะเพื่อจะได้ทราบว่า คนอื่นเขาสามารถเข้าใจได้มากแค่ไหน และตนเองเข้าใจและสามารถพิจารณาได้แค่ไหน แล้วก็ปรับปรุงกันขึ้นไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก)
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับเมธีทุกท่านนานพอสมควรแล้ว คิดว่าเมธีทุกท่านคงจะได้รับความรู้หรือธรรมะต่างๆ ได้ (ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา) คำขอบคุณเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย ฉะนั้นเราก็หวังว่าวันนี้และวันต่อๆ ไปจะได้เห็นเมธีทุกท่านปฏิบัติได้ตามที่พูดไว้ วันนี้และพรุ่งนี้ก็ขอให้เมธีทุกท่านมีจิตใจที่สงบ ตั้งใจฟังธรรมะต่อไปและรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้เพื่อจะได้ไปเผยแพร่ธรรมะต่อดีไหม (ดี) วันข้างหน้าหากเมธีทุกท่านบำเพ็ญต่อไปก็คงจะมีโอกาสได้พบกับเราอีก มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ลาก่อน
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใจตั้งมั่นบำเพ็ญในกลียุค พบตนพุทธะแจ้งแล้วในตนหนา
จิตสองแยกกังขาในอริยา ปรารถนาตัดมละใจสู่ทารกเดิม
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงวิปลาส รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนจิตสำรวมดีอยู่หรือเปล่า
แม้ฟืนไร้อัคคียังชัชวาลต่อ ชีวิตขอพลีรักษาญาณสุกใส
กายาคนเพลาจำกัดมิคงไว้ สิ้นชีพไปคุณธรรมยังคงชวาลา
กาลผลัดเปลี่ยนเร่งหมายเข้าอุทิศ ประกอบกิจจงรีบใจบำเพ็ญหนา
พุธชนพึงทอนละออกซึ่งอัตตา มรรคาลัดเพลี่ยงเป็นบรรเลงทุกข์โศกา
เดินทางมนุษย์แสนลำบากลมกรรโชก ยามละโลกละชีวาหลงอาสา
ปลงชีวิตกายสมมติในเหลื่อมหล้า ปรารถนาเยื่อใยสิ่งใดในปรีดี
มือสร้างตรวนเที่ยวกรรมกุศลวิบาก ปัจจุบันมากดีชั่วหนี้ทวงถาม
หนี้เร็วช้าต้องใช้พินิจตาม โลกยุคสามคับขันโปรดเร่งมือ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของทุกๆ คน ทุกๆ คนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ใช่ไหม ถ้าเราช่วยคนอื่น เรามีจิตใจเมตตา มีคุณธรรม เราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เดินอยู่ในโลกมนุษย์นี้ถูกไหม (ถูก) แล้วเมื่อสักครู่นี้อาจารย์บรรยายธรรมบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทุกคนมองหาใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) หาพบหรือยัง อยู่ตรงไหน อยู่ที่ตัวเราใช่ไหม (ใช่) เมื่อวานนี้ท่านแปดเซียนมาเยือน มีใครไม่ตอบคำถามท่านบ้าง ต่อไปหากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้พระโอวาท เราต้องทำอย่างไร (ต้องร่วมมือกันตอบคำถาม) จิตใจของทุกคนต้องรู้สำนึกขอบคุณใช่ไหม (ใช่)
สองวันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหนื่อย ง่วง ดีใจ หรือว่าเบิกบานแล้วก็เบื่อบ้างบางครั้ง เพราะฟังไม่ค่อยเข้าใจใช่ไหม อาจารย์รู้สึกว่ามีหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ ให้อาจารย์บรรยายธรรมมาอธิบายกลอนนำก่อนดีไหม
“ใจตั้งมั่นบำเพ็ญในกลียุค” (ยุคนี้เป็นยุคที่สามหรือยุคสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ตั้งใจมั่นหรือบำเพ็ญในยุคนี้ก็อาจจะหมดโอกาส)
“พบตนพุทธะแจ้งแล้วในตนหนา” (พุทธะในดวงจิตของเราหรือจิตญาณของเราที่อาจารย์ชี้ให้ตรงจุดนั้น ก็คือที่ตั้งของพุทธจิตธรรมญาณของเรา ให้เราบำเพ็ญที่จุดนั้น)
“จิตสองแยกกังขาในอริยา” (จิตของเราแบ่งเป็นสองจิตคือจิตที่ดีกับจิตที่ไม่ดี จึงทำให้เราเกิดความสงสัยในอริยะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเรารวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วตั้งใจฟัง สิ่งเดียวที่จะได้รับก็คือสัจธรรมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง)
“ปรารถนาตัดมละใจสู่ทารกเดิม” (เราต้องพยายามขจัดกิเลสต่างๆ ที่อยู่ในจิตใจ และขจัดอารมณ์ที่ไม่ดีนั้นออกไป ให้คงไว้ซึ่งจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็คือจิตใจที่ผ่องใสดั่งทารก)
“แม้ฟืนไร้อัคคียังชัชวาลต่อ” (สิ่งนี้เป็นธรรมะที่อาจารย์ให้กับเรา ขึ้นต้นว่าแม้ฟืนไร้ไฟ หมายความว่าหากเป็นกฎเกณฑ์ทางโลก ฟืนต้องใช้ไฟแน่นอน แต่ในสภาวะจิตของเรานี้เป็นสภาวะที่ไม่มีการจุดดับก็สามารถที่จะชัชวาลได้อยู่แล้ว หมายถึงสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในตัวสามารถสว่างได้)
“ชีวิตขอพลีรักษาญาณสุกใส” (ชีวิตนี้โชคดีได้เกิดกายเป็นมนุษย์ เมื่อได้รับธรรมะแล้ว ก็จะขอสละตนเพื่อฉุดช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเพื่อรักษาจิตญาณของตนให้สว่างสดใสดังเดิม)
“กายาคนเพลาจำกัดมิคงไว้ สิ้นชีพไปคุณธรรมยังคงชวาลา” ชวาลา แปลว่า ตะเกียง (คือชีวิตของคนเรา แต่ก่อนที่เราจะสิ้นชีพไป เราควรที่จะหาสิ่งที่ดีคือคุณธรรม เมื่อมีจิตใจที่ดีพร้อมที่จะเผยแพร่ธรรมและพร้อมที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรม เปรียบเหมือนกับแสงตะเกียงที่เราจุดไว้พร้อมที่จะสว่างไสวตลอด, ชีวิตคนเราสั้น เมื่อเทียบกับอายุของโลกและของจักรวาล เมื่อวันก่อนๆ ยังเป็นเด็กอยู่ วันนี้เข้าสู่วัยกลางคน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่จะเหลือไว้ก็คือคุณธรรม)
“กาลผลัดเปลี่ยนเร่งหมายเข้าอุทิศ” (ตอนนี้เข้ายุคสามแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่คับขันมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็ควรจะรีบๆ ทำในสิ่งที่พระอนุตตรธรรมมารดาท่านหวังที่จะให้พวกเราที่เป็นลูกๆ ทั้งหลายมีโอกาสกลับไปพบท่านอีกครั้งหนึ่ง)
“ประกอบกิจจงรีบใจบำเพ็ญหนา” กาลเวลาผลัดเปลี่ยนไปแล้วต้องรีบบำเพ็ญ เพราะว่าตอนนี้คือยุคสาม กาลคับขันแล้วใช่ไหม (ใช่)
“พุธชนพึงทอนละออกซึ่งอัตตา” พุธชนแปลว่าผู้รู้ (ผู้รู้ทั้งหลายจะต้องละซึ่งความถือตน และไม่ยึดติดกับอัตตาตัวตนที่มีอยู่)
“มรรคาลัดเพลี่ยงเป็นบรรเลงทุกข์โศกา” เพลี่ยงในที่นี่คือเพลี่ยงพล้ำที่แปลว่าพลาด ถ้าศิษย์พลาดทางลัดไปแล้วจะเป็นอย่างไร (จะเป็นทุกข์)
“เดินทางมนุษย์แสนลำบากลมกรรโชก ยามละโลกละชีวาหลงอาสา
ปลงชีวิตกายสมมติในเหลื่อมหล้า ปรารถนาเยื่อใยสิ่งใดในปรีดี”
อาสาแปลว่าความต้องการ ความอยากได้ (นักเรียนหญิง : เกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีอุปสรรคเป็นของธรรมดา ถ้าเรายังหลงในกิเลส เราควรที่จะปลงหรือปลงในกายหยาบและมุ่งในทางที่จะเป็นคนดี ปรีดี ข้าพเจ้าคิดว่าหมายถึงในทางที่ดี ทำดีเช่นไม่พูดปด ทำอะไรให้เราเป็นคนดี) ถูกต้อง ปรีดีแปลว่ายินดี
พุทธะไม่แบ่งแยกชายหญิง เพราะจิตญาณพุทธะนั้นเหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) มีใครหิวบ้าง อาจารย์ให้ทุกคนไปพักทานข้าวก่อน แล้วค่อยกลับมาหาอาจารย์ใหม่ดีไหม (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
(ตอนบ่ายพระอาจารย์เมตตามาประทานพระโอวาทต่อ และให้ออกกำลังกายในเพลงทำนองเซี่ยวเซิ่งโจ่วอี้หุย หลังจากนั้นก็ให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
ทุกคนเขาวงแบบวงกลมใช่ไหม คนนี้วงแบบสี่เหลี่ยมเพราะอะไรรู้ไหม เพราะอยากให้มันชัดเจน บางคนวงแบบวงกลม บางคนวงแบบสี่เหลี่ยม วิถีทางการบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน มีความชอบที่จะบำเพ็ญไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดแล้วผลสำเร็จก็ออกมาเป็นตัวหนังสือได้เหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจอาจารย์จะอธิบายใหม่ บางคนถ้ารู้ว่าธรรมะนี้ดีก็รีบบำเพ็ญ แต่หากคนใดไม่รีบบำเพ็ญ พอถึงสุดท้ายเจ้าหนี้ตามมาทวงแล้ว เราก็ต้องเจ็บตัว ถึงตอนนั้นก็ยังมีบทเรียนใช่ไหม ศิษย์ก็ต้องพิจารณาดูว่าศิษย์อยากได้บทเรียนก่อน หรือว่าศิษย์อยากจะบำเพ็ญก่อนที่บทเรียนนั้นจะมาถึง การเดินทางธรรมก็เหมือนกับคนเรียนหนังสือ บางคนก็เรียนได้ดี บางคนก็เรียนไม่ดี ที่เรียนไม่ดีไม่ใช่เพราะว่าหัวสมองไม่ดี ปัญญาไม่ดี หรือสายตาไม่ดี แต่ที่เรียนไม่ดีก็เพราะไม่ตั้งใจเรียน เพราะไม่รู้ว่าทำไมเราต้องเรียน เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) บางคนก็คิดว่าอยู่เป็นคนธรรมดาดีกว่า มีชีวิตอยู่ไม่ต้องบำเพ็ญธรรมะ เราเป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว ทำไมจึงต้องมาบำเพ็ญธรรมะให้เหนื่อยยาก เพราะอะไรรู้ไหม (เพราะเรากลัวเวียนว่ายตายเกิด) แล้วมีคนไหนบ้างที่ไม่กลัว ก็คงเป็นเด็กๆ เพราะไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรใช่ไหม ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ความทุกข์คือสิ่งที่เราอยากได้แล้วเราไม่ได้ สิ่งที่เราหวังแล้วไม่เป็นดังหวัง คนอื่นทำให้เราทุกข์ใจ เราก็เป็นทุกข์แล้วใช่ไหม วันนี้ถ้าเราไม่มีเงินในกระเป๋า เราทุกข์ไหม สมมติว่าวันนี้เรามีเงินหนึ่งร้อยบาท แต่เราก็ยังทุกข์เพราะว่าเราไม่มีเงินเป็นล้านใช่ไหม (ใช่) และเมื่อมีเงินเป็นล้าน ก็เปรียบเทียบกับคนที่เขามีสิบล้าน เราก็เป็นทุกข์เพราะเราไม่มีสิบล้านเหมือนเขาใช่ไหม (ใช่) นั่นแสดงว่าจิตใจของคนนั้นทะยานอยากไม่สิ้นสุด และการอยากเป็นคนนี้เป็นอย่างไร อยากเป็นคนก็มีความทะยานอยาก ตรงนี้ยากไป อาจารย์ไม่พูดถึง ขอพูดแต่เพียงว่าคนมีความทะยานอยากก็เกิดทุกข์ขึ้น ถูกไหม ดังนั้นเราต้องตัดความอยากให้น้อยลงทีละนิดๆ เพราะตัดทีเดียวทั้งหมดไม่ได้ เนื่องจากเรายังต้องเป็นคนอยู่ใช่ไหม
ชีวิตนี้ใครเป็นคนกำหนด (ตัวเราเอง) สิ่งที่เรากระทำเป็นตัวกำหนดชีวิตของเราในภายภาคหน้าใช่ไหม มีหลายคนยังไม่เข้าใจถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจริงหรือไม่ และมีต้นเหตุ-ผลกรรมจริงไหม ศิษย์อยากรู้ไหมว่าทำไมต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าวันนี้เรารักคนนี้มากๆ แต่ว่าเขาไม่รักเรา และเราก็โกรธแค้นว่าทำไมเขาไม่รักเรา ทำให้เราผูกเวรอาฆาตเขา เมื่อจิตของเราเป็นอย่างนี้ พอเราละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว จิตใจที่คิดอย่างนี้ก็ยังมีอยู่ ทำให้เราต้องเกิดมาเพื่อจะทำให้เขารักเราให้ได้ หรือเมื่อคนอื่นทำร้ายเรา ฆ่าเรา เราก็จะจองเวรกับเขา วันหนึ่งข้างหน้า เราก็ไปฆ่าเขาอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว แสดงว่าวัฏจักรนี้หมุนเวียนไปไม่หยุดสิ้น เพราะไม่มีการให้อภัยกันถูกไหม (ถูก) ถ้าวันนี้พี่น้องทะเลาะกัน ตีกัน และไม่มีคนไหนยอมรับผิดเลย ไม่มีพ่อแม่มาไกล่เกลี่ย สองคนพี่น้องจะหยุดทะเลาะกันได้ไหม จะต้องมีคนหนึ่งที่ยอม หรือไม่ก็ต้องมีพ่อแม่มาห้ามไว้ และรู้ไหมว่าพ่อแม่ที่มาไกล่เกลี่ยนั้นคือใคร คืออาจารย์ใช่ไหม อาจารย์เปรียบเสมือนพ่อของศิษย์ทุกคน ศิษย์หลายคนในที่นี้มีหนี้กรรมมากมาย เพียงแต่ว่าศิษย์มองไม่เห็นเท่านั้นเอง
เมื่อศิษย์ได้รับธรรมะแล้ว หนี้กรรมมากมายของศิษย์ทุกคนนั้น อาจารย์จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่อาจารย์จะไกล่เกลี่ยนั้น อาจารย์จะบอกเจ้าหนี้กรรมว่าเมื่อศิษย์รับธรรมะแล้ว ศิษย์จะรู้จักบำเพ็ญจิต บำเพ็ญใจ สร้างกุศลชดใช้เขาไปในสิ่งที่ได้ทำผิด อาจารย์พูดไปอย่างนี้กับเจ้าหนี้ทุกคน แต่ถ้าศิษย์ไม่ทำตามแล้ว เมื่อรับธรรมะแล้วรู้ว่าดีแต่ไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนกับว่าอาจารย์ผิดคำพูด เหมือนกับว่าอาจารย์ได้โกหกเจ้าหนี้ทุกๆ คน แล้วเจ้าหนี้เขาจะทำอย่างไรกับอาจารย์รู้ไหม เขาก็จะทุบตีอาจารย์ อาจารย์จะต่อว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์เป็นคนค้ำประกันเอง เห็นไหมว่าเสื้อผ้าของอาจารย์นั้นขาดรุ่งริ่ง ร่างกายอาจารย์ที่ผอมโซ เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับคนไร้ความหวัง ศิษย์ทุกคนคือความหวังของอาจารย์ อาจารย์หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์จะตื่นด้วยตนเอง ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ทุกข์จริงๆ ศิษย์จะรู้ว่าหากทำผิดไปแล้ว ต้องเร่งสำนึกแก้ไขตนก่อนที่เจ้าหนี้กรรมจะมาทำร้ายเรา หากวันนี้ศิษย์ทุกคนมีจิตสำนึกขึ้นมาบ้าง ขอให้ทุกคนตั้งจิตให้มั่น แล้วขอโทษเจ้ากรรมนายเวรทุกคน ทั้งที่เรารู้ว่าชาตินี้เราทำอะไรผิดบ้าง หรือว่าทำในชาติที่แล้วมาก็ตาม สำนึกขอขมาเขาและบอกกับเขาว่า ต่อแต่นี้ไปศิษย์ของอาจารย์จะสร้างกุศลชดใช้เขา หลายคนยังไม่รู้ว่าที่อาจารย์บอกให้บำเพ็ญนี้ บำเพ็ญอย่างไรใช่ไหม บำเพ็ญนี้ก็คือขัดเกลาจิตใจของตนเองให้ผ่องใสขึ้น ให้เป็นจิตใจที่ใสสะอาดเหมือนเมื่อก่อน ปัดหยากไย่ออกไปบ้าง ใจของศิษย์นั้นเหมือนคราบดำๆ เคยเห็นน้ำมันที่อยู่ในกระทะไหม หากทิ้งไว้นานหลายสิบปี ไม่ขัดออก จะขัดลำบากไหม (ลำบาก) คราบดำในใจศิษย์ยิ่งขัดยากกว่านั้นอีก กี่หมื่นปีที่เวียนว่ายตายเกิดมา เพราะฉะนั้นจะต้องมีความพยายามอย่างที่สุด จะต้องมีความอดทน ขัดไปทุกวัน ลงมือทุกวัน วันหนึ่งจะต้องสุกใสสว่างขึ้นมาจนได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เร่งมือ”)
“ชีพคนเพลาจำกัด มิผลัดกิจจงรีบเร่ง” ชีวิตคนหนึ่งชีวิตก็ไม่กี่สิบปี ศิษย์อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง ผลัดเปลี่ยนจิตใจของตัวเอง วันนี้โกรธ วันนี้รัก วันนี้โลภ ขอให้ศิษย์มีจิตใจที่มั่นคงแล้วก็รีบเร่งต่อไป
“หายใจเข้าออกบรรเลง เป็นเพลงลดทอนชีวา” ทุกลมหายใจเข้าออกนี้ ชีวิตเราก็ลดลงๆ ทุกวินาที
“ละโลกละกายเยื่อใย สิ่งใดหลงเหลือในหล้า
ดีชั่วที่ตนสร้างมา เร็วช้าต้องใช้หนี้กรรม”
เมื่อศิษย์ละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว ละจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลือในโลกนี้คือกรรมดี-กรรมชั่วที่ศิษย์ทุกคนจะต้องชดใช้ และจะต้องได้รับ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า วันหนึ่งศิษย์ก็จะต้องได้รับหนี้กรรมของตัวเองที่ทำ ถูกไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นสำนึกแล้วก็แก้ไขตนตั้งแต่บัดนี้ ยังไม่สายเกินไป แล้ววันข้างหน้าเราไปพบกัน ณ ผิงซันเบื้องบนดีไหม
ถ้าศิษย์สามารถสัญญาในใจกับอาจารย์ว่า ต่อไปนี้ศิษย์จะประพฤติปฏิบัติธรรม บำเพ็ญตนเป็นคนดี และไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้น ศิษย์จะช่วยให้คนอื่นเป็นคนดี ช่วยให้เขาได้เข้าใจถึงวิถีธรรมทางบำเพ็ญอันแท้จริง วันข้างหน้าศิษย์จะต้องได้พบกันที่เบื้องบนแน่นอนดีไหม (ดี)
ต่อไปนี้เร่งมือ เร่งก้าวเดินด้วยใจที่มั่นคง ทุ่มเทไปช่วยผู้อื่น ช่วยคนที่เขายังทุกข์อยู่ได้ไหม (ได้)
ต่อไปทุกคนจะต้องตั้งใจฟังหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อให้ดี เมื่อประชุมธรรม ๒ วันนี้หมดไป ขอให้เหลือสิ่งดีๆ จดจำเอาไว้ในใจ แล้วก็ช่วยคนอื่นที่เขาไม่ได้ฟังแบบนี้ เขาจะได้ตื่นขึ้นมา
(พวกเราได้ร้องเพลงคำสัญญาส่งพระอาจารย์) อาจารย์อยากจะฝากคำหนึ่งไว้กับศิษย์ทุกคน นั่นก็คือว่าถ้าคนไหนอยากจะบำเพ็ญให้บรรลุเป็นพุทธะจริงๆ การขึ้นฝั่งธรรมอย่างแรกคือละเว้นเนื้อสัตว์ ละเว้นการทำลายเลือดเนื้อของผู้อื่น กัดเนื้อของเขาไปแต่ละคำๆ ลองนึกดูซิว่าเหมือนกับเราได้กินเนื้อพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเรา ถ้าเกิดเราเอาเนื้อเขามา หยิบเขามาแล้วก็กัดลงไป กินไปเรื่อยๆ มีใครกินลงไหม ถ้าคนไหนเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด พ่อแม่ของทุกคน ปู่ ย่า ตา ทวด ก็มีสิทธิ์เวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ เหมือนกัน เข้าใจข้อนี้เอาไว้ให้ดีๆ ลาก่อนศิษย์รักทุกคน หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่
อ่านต่อ...