PDF 2538-05-27-จือเจวี๋ย #6.pdf
#ทางสายกลาง #ความยากสี่
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์ประธานญาณสถิตแสงจรัส คุมเคร่งครัดมิเว้นผู้ใดหนา
สอบทั่วหล้าฟ้านี้พิจารณา สามภูมิฟ้านำคืนได้ถ้าเพียรจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
แดดประกายด้วยเมตตาแห่งฟ้าดิน สกุณาโผผินสำราญหนา
แต่ชีวิตมิอยู่เท่าดินฟ้า ศตายุเหมือนพร่ามัวมิถาวร
จิตสงบจงสยบจิตสงสัย ตัดเยื่อใยที่รักโลภให้สิ้นหนา
เพราะน้องท่านก่อนเคยเป็นพุทธา ลงสู่หล้าญาณนั้นหม่นหมองลง
ผู้มั่นคงประดุจดั่งสิงขร น้ำหยดกร่อนให้หินทะลวงได้
มิมั่นคงพิงหินผายังทลาย ด้วยดวงใจมิมั่นคงจะพึ่งใคร
อากาศร้อนวันนี้จงตั้งใจ จิตเบาใสอย่าได้กลัวอุปสรรค
ทุกทุกคนศรัทธาจริงเดินพร้อมพรัก จึงรู้จักเทพสถิตในปัญญา
เกิดมาแล้วเติบใหญ่ในกรงขัง ต้องระวังกิเลสมิเสาะหา
อย่าดูเบาชีพเรามิก้าวหน้า โชคชะตาในโลกนี้มิแน่นอน
เฝ้าขอพรให้ชีวิตมิมีกุศล เพราะสกนธ์ยังติดรูปทั้งหลาย
เจริญกุศลนำผองชนจนชีพวาย แหล่งสุดท้ายคืนที่นิรพาณ
ต้นไม้ใหญ่เติบโตจากหน่อเล็ก หญ้าเหี่ยวเฉามีหน่อชีวิตแอบแฝงหนา
จงใคร่ครวญแล้วด่วนพิจารณา ปลูกต้นหญ้าจึงได้หญ้ามิผันแปร
นาแห่งจิตน้องคิดปลูกอะไร พันธุ์พุทธาแสงไสวไปสวรรค์
ถ้าปลูกพันธุ์อบายมุขทุกข์ชีวัน ชีพสร้างสรรค์ด้วยหมั่นตรึกตรองดู
มิอยากให้เวไนยวนเวียนว่าย เมตตาเขาเราได้เจริญกุศล
มิลำพองลองลิ้มทิฐิหม่น ด้วยกมลดั่งฟ้าที่ปรานี
แม้ลำบากสองวันอย่าได้ท้อ ผู้อาวุโสนำธรรมให้ท่านนี้
ต่างลำบากเคี่ยวกรำเสี่ยงชีวี สงบฤดีให้กล้าแกร่งวชิรญาณ
จงตั้งใจมิเลิกเสียกลางคัน จงบากบั่นศึกษามิท้อถอย
รู้มารดาเบื้องบนยังเฝ้าคอย หกหมื่นปีจนอาทิตย์คล้อยจะลับลง
เรามิขอกล่าวความให้มากไป จรดพู่กันลงไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
จิตตื่นรู้แจ้งจบดุจสายน้ำ เป็นลำธารรินไหลไม่ขาดสาย
มิหยุดพักมิเก็บงำมิทลาย สถิตแฝงในกายไร้มลทิน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามปราชญ์เมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
ต้นหญ้าพริ้วเป็นระลอกตามคลื่นลม หมู่ปักษาโผผินรื่นรมย์ระงมจิต
ผองใบไผ่เรียวลู่ลมอาจิณ พิศธรณินเพลิดเพลินตามธรรมชาติงาม
ละอองไอโอบอบอุ่นแสงแดดส่อง มิบกพร่องคงด้วยตรงต่อสรรพสิ่ง
เมื่อใจรีบร้อนกิ่งปกติยิ่ง นรสิงห์เลี้ยงต้นใบโล้คงวิถี
บริสุทธิ์ใจคือจิตเดิมมั่นเที่ยง สถิต ณ กลางมิเอียงแสนอิสระ
ต่ำโน้มสูงตรงต้านคดมละ ทวนกระแสตามลมใหญ่อ่อนโยนกระทำ
บำเพ็ญไปไม่หวั่นกล้าหาญฝ่าภยัน ด้วยรากฐานเดียวกันกมลนำ
ด้วยอดทนขวนขวายยามใจระส่ำ อดีตทุกข์งำเงื่อนเผชิญเพื่อบรรเทา
มัชฌิมาจดจำไว้ไม่ละทิ้ง ลำเอียงใดประวิงแก้ตนปัดเป่า
บริบาลตนภายในข้องอัตตาเรา หมั่นขัดเกลาสุขทุกข์ล้วนอนิจจัง
ฮา ฮา หยุด
คลื่นลมทะเล เหมือนใจซัดเซวุ่นวาย เพียงหมายได้คลายทุกข์ถมใจ เพราะมิเข้าใจ หลงเพลินภาพในแดนฝัน กลับยิ่งส่งจิตไป ทะเลวนเวียน แสงเทียนจิตดับ เหมือนราตรีสงัดไร้ดาว ลืมหวนบ้านเดิมจริงนิรันดร์ รู้ทันเตือนตน ที่วนขวักไขว่ไขว่คว้า ตื่นขึ้นท่ามกลางแม้ทะเลคลื่นซัด
* หวนย้อนปลุกพุทธะที่เคยลืมเลือน ฟื้นเร่งคืนใสงาม ฟ้าได้ส่งสายทองงดงาม กลางธราทั่วโลกีย์ ล้มลงบ่มจิต เผลอเคยผิดจนคะนึง ประตูแห่งธรรมคงเบื้องหน้า พร้อมใจบำเพ็ญ ก้าวเดินเยี่ยงปราชญ์ศรัทธา โปรดมุ่งมั่นงานฟ้า เมตตากว้างไกล (ซ้ำ * , )
เพลง : ทะเลทุกข์
ทำนองเพลง : ขีดเส้นใต้
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
การค้นคว้าหาความรู้เป็นเครื่องพัฒนาปัญญาและจิตใจ แต่เมื่อสักครู่ก่อนที่เราจะลงมาได้เห็นบางคนตั้งใจฟังมาก แต่บางคนก็หลับไป การศึกษาธรรม ถ้าใจฟุ้งซ่านก็ไม่สามารถที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจได้ ถ้าเราฟุ้งซ่านไปกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว หนังท้องตึงก็ทำให้ง่วงนอน จึงไม่ได้ตั้งใจฟัง ตอนนี้เมื่อเรามาทุกคนก็เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ตื่นเพื่อมองดูว่าข้างหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อมองข้างหน้าแล้วก็อย่าให้ใจเผลอไป
ทุกคนดำเนินชีวิตมาเคยสังเกตเห็นธรรมชาติบ้างไหม บางครั้งเวลาเราดำเนินชีวิตวุ่นวายสับสน เราอยากพักผ่อน สถานที่ที่เราอยากพักผ่อนนั้นก็คือธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) บางคนก็ไปพักผ่อนตามชายทะเลที่มีหาดทรายสวยๆ มีคลื่นทะเลซัดสาด แต่บางคนไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสก็มองออกไปนอกหน้าต่างชมธรรมชาติ ต้นไม้ นก แม่น้ำ ลำธาร
สิ่งที่ทุกๆคนต้องใช้อยู่เป็นประจำก็คือน้ำ ทุกคนไม่สามารถที่จะขาดแคลนน้ำได้ น้ำในที่นี้ก็มีหลายแบบ แต่น้ำที่อยู่ในจิตใจของเรานั้นก็คือน้ำแห่งไมตรีจิต น้ำแห่งความเมตตากรุณา แม่น้ำลำธารหรือน้ำตกที่เราเห็น ถ้าตกลงมาอย่างรุนแรง แล้วไหลไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ข้างล่างก็ต้องถูกซัดเข้าไปด้วยใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ไร้การเกาะยึดเหนี่ยวก็ย่อมถูกซัดไป แต่ถ้าน้ำตกลงมามากจนเกินไป อีกทั้งยังมีสิ่งปิดกั้นขัดขวางอยู่แล้ว น้ำที่ไหลลงมา ถ้าไหลลงมาแรง สิ่งที่ปิดกั้นนั้นย่อมจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดความต้านทาน) เกิดความต้านทาน กระทบกันอย่างรุนแรงแล้วเกิดอะไรขึ้น (เกิดความเสียหายพังทลาย) สิ่งที่พังทลายนั้นใช่น้ำหรือเปล่า (ไม่ใช่) แต่คือสิ่งที่ถูกปิดกั้นใช่ไหม ถ้าเปรียบกับจิตใจของทุกๆคนก็คือ ถ้าเราเก็บสะสมสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เก็บความไม่ดีของคนอื่นเอาไว้มากมาย สักวันหนึ่งก็จะระเบิดออกมาได้ใช่ไหม (ใช่) ในเมื่อรู้แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นความไม่ดีของคนอื่นแต่เอามาไว้ในใจเราใช่ไหม (ใช่) การกระทำอะไรก็ตาม ถ้าเราคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ แล้วแสดงออกมาด้วยการพูดหรือการกระทำ เมื่อเราคิดใคร่ครวญอย่างถูกต้องแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวผิดพลาด บางทีถ้าเราคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งที่ได้มากลับเป็นผลดีต่อเราเองใช่ไหม (ใช่)
มลทินอะไรที่ร้ายแรงที่สุด (กิเลส ตัณหา ราคะ, หัวใจ) มลทินที่ร้ายแรงที่สุดก็คือความไม่รู้ นั่นก็คือความไม่รู้ว่าตนยังมีกิเลส ไม่รู้ว่าตนมีจิตใจ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเบิกบานเมื่อไหร่ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมเราจึงบอกว่าความไม่รู้เป็นมลทินที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเราไม่รู้จักว่าสิ่งใดคือกิเลส สิ่งใดคือความไม่ดีหรือความดี แล้วทุกคนก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่กลัวเกรงแม้กระทั่งฟ้าและดิน ใช่ไหม แต่ถ้าทุกคนได้ศึกษา ได้มีความรู้แล้ว มลทินนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ สามารถหลุดหายไปจากจิตใจได้ เพราะว่าเรามีสติรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใครเคยสังเกตฟ้าและดินบ้าง เวลาที่อากาศร้อน บางคนก็พูดว่าฟ้าไม่มีความเมตตา ทำให้อากาศร้อน บางทีเราเดินทางไกลหลายพันลี้ แต่ทำไมดินไม่ลดทอนระยะทางให้ดูใกล้บ้าง อันที่จริงฟ้าและดินไม่ได้ไร้ความเมตตา แต่ถ้าเรามองให้ชัดเจน ฟ้าก็ยังคงดำเนินการอย่างสัจธรรม ถูกต้องเที่ยงแท้ มิเอนเอียงให้คนใดมากกว่าหรือน้อยกว่า ยังคงทำตัวเองให้เป็นไปอย่างเดิม เพราะว่าฟ้าว่างเปล่า เมื่อผลักดันจึงก่อเกิดพลังให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วถ้าจิตของเราว่างเปล่า ไร้แล้วซึ่งอารมณ์ สรรพสิ่งก็สามารถจะเกิดได้กับจิตใจของเรา ลองทำจิตให้ว่างเปล่าสงบนิ่ง ถ้าทำได้ จิตที่ขุ่นมัวหรือจิตที่ข้องแวะสิ่งต่างๆ เมื่อว่างลงแล้วไม่ใช่คงอยู่ คำว่าว่างก็คือไม่ยึดติดอยู่กับอะไร ดำเนินชีวิตอย่างมีหลักมีเกณฑ์ ทุกสิ่งก็สามารถกำเนิดได้ตามใจเรา โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีเภทภัยมาคุกคาม
ถ้าทุกท่านครองใจด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มองสิ่งต่างๆเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แม้เขาจะทำผิด จิตใจเราก็ยังคงมั่น เห็นเป็นบทเรียนที่มีค่าให้กับเราได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราอยากถามทุกท่านว่าเวลาท่านเห็นคนอื่นทำผิดแล้ว ทำไมจึงนำสิ่งที่ไม่ดีของคนนั้นเข้ามาสู่ปากเราได้ บางคนไม่กล้าตอบเพราะว่าตัวเองทำอยู่ เราไม่ได้ต้องการจะต่อว่า แต่เราต้องการจะชี้แนะว่าถ้าขาดสติ ปล่อยให้น้ำไหลท่วมแล้ว เราก็หยุดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกไปใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดรีบตัดเสียตั้งแต่ตอนแรก ไม่ปล่อยให้ไหลท่วมเข้ามาในจิตใจแล้ว ทุกท่านก็จะไม่พลั้งเผลอหลุดออกไปได้ใช่ไหม ฉะนั้นตาเป็นสิ่งสำคัญ อายตนะทั้ง ๖ ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย ถ้าเราสงบอายตนะทั้ง ๖ บ้าง หันมามองเพ่งพินิจในจิตใจของเราดูบ้าง การที่เราจะเอาคำพูดหรือการกระทำไปทำร้ายคนอื่นก็จะน้อยลงได้ใช่ไหม
รอยแผลใจทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บช้ำมาก แม้ร่างกายเจ็บปวดไม่เท่าไหร่ แต่ว่าเจ็บใจนั้นเจ็บมากกว่าใช่ไหม แผลที่เราถูกคนอื่นฟาดฟันนั้นยังมีโอกาสรักษาให้หายได้ แต่แผลในจิตใจนั้นถูกฟาดฟันทีหนึ่ง มันก็กระหน่ำลงที่เดียวกันไม่เคยเปลี่ยนที่เลย เพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางที่สุด เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรให้จิตใจที่เปราะบางนี้แข็งแกร่งได้ (วางเฉย) ถ้าทุกคนวางเฉยได้ ก็ต้องวางเฉยให้ถูก ไม่ใช่เขากำลังโมโหโกรธา เรายิ้มให้ทันที สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นอาจจะเป็นการกระทำแทนก็ได้ใช่ไหม (ใช่) ที่เราบอกว่าทำไมรอยแผลใจจึงบาดซ้ำลงไปในที่ๆเดิม ทั้งที่โดนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แต่แผลก็ยังคงซ้ำลงที่เดิม ต้องแยกแยะให้ออกว่าแผลกายกับแผลใจนั้นต่างกันอย่างไร กายเรานั้นมีเพียงใจเดียว แต่ร่างกายนั้นมีหลายส่วน ฉะนั้นถ้าเกิดปัญหา สิ่งแรกที่เราต้องมองคือมองดูตัวเองก่อน บางครั้งเราถามวกไปวนมา แต่ในความเป็นจริงคำตอบก็อยู่ที่ตัวเราเองใช่ไหม เวลาเราตั้งคำถามทุกท่านก็มองเราว่าเราจะตอบอะไร ไม่ได้มองตัวเองใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินทางสายกลางนั้นก็คือมัชฌิมาปฏิปทา เช่นการวาดวงกลม จะวาดวงกลมได้ก็ต้องมีจุดศูนย์กลาง เมื่อมีจุดศูนย์กลางก็พร้อมที่จะสามารถทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างได้ เปรียบเหมือนทุกๆคนถ้าเดินอยู่บนทางที่ติดชิดริมจนเกินไป การเดินนั้นก็อาจพลาดพลั้งได้ แต่ถ้าเดินอยู่ตรงกลาง การพลาดพลั้งนั้นก็มีน้อยใช่ไหม จะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงเรียกว่าทางสายกลาง การดำเนินทางสายกลางนั้นก็คือจิตใจของเราไม่ถูกมัดถูกเกี่ยว ไม่ไปแอบแฝง คือไม่เป็นห่วงเป็นใย ไม่วิตกกังวลมากเกินไป เพราะทุกคนต่างมีชะตาชีวิต หนทางชีวิตของแต่ละคนเอง เหมือนกับตัวเราที่ไม่ไปผูกติดกับกาลเวลา ไม่ไปผูกติดกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดำเนินชีวิตขณะนี้ ตอนนี้ให้ดี ไม่ต้องไปกังวลกับอดีตและอนาคต
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์บรรยายธรรมอธิบายเพลงพระโอวาท (ใจของคนเราวุ่นวาย จิตใจมนุษย์วุ่นวายเหมือนกับคลื่นทะเลที่มีความวุ่นวายตลอดเวลา ถ้าหากว่าตัวเราเองสามารถที่จะลดความวุ่นวายออกไป คลายความทุกข์ได้ จิตใจก็จะสงบขึ้น คนเราเกิดมาในโลกนี้ ชีวิตคนเราเหมือนดั่งความฝันที่เมื่อตื่นขึ้นมาก็หายไป ชีวิตคนเราอยู่ในโลกอย่างมากก็ประมาณ ๑๐๐ ปี เมื่อตัวเราเกิดมาก็หลงเพลินกับสิ่งที่เราได้พบ หลงเพลินหาทรัพย์สินเงินทองหาความสุข หลงเพลินกับภาพในแดนฝัน การที่เราหลงเพลินแบบนี้ก็เหมือนกับจิตเราลงไปว่ายเวียนในทะเลทุกข์ คนเราเกิดมาบนโลกนี้เหมือนเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ เพราะฉะนั้นการที่จิตเราหลงยึดติดสิ่งต่างๆ วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องจากร่างกายนี้ไปแล้ว เสมือนกับว่าแสงเทียนได้ดับลง ทุกอย่างก็จะไม่มีแสงสว่าง หากมัวแต่หลงเพลินอยู่บนโลก เมื่อถึงเวลาที่จะจากร่างนี้ไปแล้ว ลืมที่จะกลับคืนสู่ดินแดนบ้านเดิมของเรา ซึ่งเป็นดินแดนที่เป็นนิรันดร์ ตัวเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไขว่คว้าอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ยังยึดติดในกิเลสต่างๆ บัดนี้เราได้รับวิถีธรรมแล้ว พระอาจารย์ได้ชี้จุดหนึ่งให้เรา เราต้องตื่นขึ้นมา แม้จะอยู่ท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นลมซัดอย่างรุนแรง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้แล้วว่าพวกเราล้วนเป็นพุทธบุตรที่มาจากเบื้องบน มีพุทธจิตอยู่ในตัวตน ตอนนี้เมื่อเรามีโอกาสได้รับวิถีธรรม พวกเราก็ต้องปลุกพุทธะในตัวตนขึ้นมา พวกเรามีพุทธะอยู่ในตัวตนอยู่แล้ว แต่ว่าเราลืมไปว่าตัวเราเองเป็นพุทธะ ตอนนี้รับวิถีธรรมแล้วรู้ว่าพุทธะอยู่ในตัว เราก็ต้องเร่งบำเพ็ญที่จะกลับคืนสู่ดินแดนเบื้องบน ขณะนี้พวกเราซึ่งเป็นพุทธบุตรลงมาอยู่บนโลกนี้นานเกินไปแล้ว หลงลืมทางที่จะกลับบ้าน ฟ้าเบื้องบนได้ส่งสายทองธรรมะนี้ลงมาในดินแดนทั่วโลกนี้ พวกเรามีโอกาสได้รับวิถีธรรมและจับยึดสายทองเพื่อที่จะกลับคืนสู่เบื้องบน ตัวเราเองถึงแม้ว่าจะผิดพลาดไปก็ขอให้พวกเราย้อนคิดถึงสิ่งที่ทำผิดมา แล้วก็ปรับปรุงตัวเองใหม่
เมื่อเรารู้ว่าประตูแห่งธรรมอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว ก็ขอให้พร้อมใจกันที่จะบำเพ็ญธรรม ดำเนินตามปราชญ์ทั้งหลายออกไปโปรดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ เผยแพร่งานธรรมในครั้งนี้ด้วยจิตที่เมตตากว้างไกล)
ตอนนี้จิตใจของทุกคนก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว แต่อยู่ที่ว่าต่อไปทุกคนจะรวมจิตรวมใจและมีใจเบิกบานได้ดั่งเช่นตอนนี้หรือเปล่า การศึกษาธรรมนั้นไม่ใช่ว่าแค่มาศึกษานั่งฟังสองวันเท่านั้น แต่การศึกษาธรรมเราต้องศึกษาไปตลอดชีวิตของเรา บางทีบางคนอาจจะต้องศึกษาไปอีกหลายภพหลายชาติ อยู่ที่ว่าตอนนี้เข้าใจตนเองที่แท้จริงหรือยัง บางคนเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมั่นในพุทธะ เชื่อมั่นในอริยะต่างๆ แต่ทำไมถึงมองข้ามความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าทุกคนมีความเชื่อมั่นในตนเองแล้ว การทำสิ่งใดตัดสินใจพิจารณาอย่างรอบคอบ ตนเองก็นำตนเองได้ ไม่ต้องไปพึ่งพาให้ใครมาช่วยนำเรา เพราะคนที่ชี้นำเรานั้นบางครั้งอาจจะช่วยได้แต่ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ต้องค้นหาตนเอง แล้วต่อไปก็พยายามดูว่าตนเองยังมีอะไรที่บกพร่อง ยังมีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม และมีอะไรที่ต้องคงรักษาไว้ พอเข้าใจไหม
ถ้าวันนี้อาจารย์ของทุกๆท่านได้มาเห็นคงปลาบปลื้มปิติแน่ เพราะว่าความตั้งใจทั้งของผู้ปฏิบัติงานและนักเรียนได้รวมกันเป็นหนึ่ง ศึกษาต่อไปอย่าให้ความวุ่นวายสับสนเข้ามาแทรกแซงได้
เรื่องที่เราได้พูดไปเมื่อสักครู่ก็มีเรื่องสายน้ำ ทางสายกลาง คลื่นลมทะเล คนที่มาทีหลัง เราไม่ต้องการจะกล่าวโทษ เราต้องการเพียงแต่บอกว่าบางครั้งเวลาที่เราสูญเสียไปนั้น เราไม่สามารถที่จะเรียกกลับคืนมาได้ใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ผ่านไปเราไม่สามารถที่จะนำกลับคืนมาได้ เหมือนเช่นการประคองจิตใจ ถ้าปล่อยพลาดพลั้งไปเราก็ไม่สามารถเรียกสิ่งที่พลาดเผลอไปนั้นกลับมาแก้ตัวใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องบำเพ็ญจิตให้ดีๆ
โอกาสของเราที่จะได้พบพวกท่าน ตอนนี้ก็เหลือน้อยลง แต่จริงๆแล้วทุกท่านสามารถรักษาโอกาสนี้ไว้ให้คงอยู่ได้ ขอให้รู้จักน้อมลงมองจิตและรักษาจิตให้ดี ก็จะสามารถมองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในใจของทุกๆคนได้ เวลาหมุนไปไม่หยุด เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ต้องรักษาและประคองให้ดี มีโอกาสเราคงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
เหยียบเมฆแก้วสู่สถานอันศักดิ์สิทธิ์ ปลุกดวงจิตที่อับเฉาฟื้นชุ่มฉ่ำ
ให้มวลศิษย์ทุกทุกคนล้วนจดจำ ให้ได้นำสู่มรรคผลอันแท้จริง
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง พร้อมนำ พระนาจา ร่วมรับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ
เคืองแค้นใครเพราะกมลเฝ้าย้ำ รังแต่จะถลำเกิดอารมณ์ร้าย
อารมณ์เท่าไรมายมากมาทดสอบใจ สติเหลือคืนเพียงไรเมธาศิษย์พิจารณา
โลกีย์มีสถานที่เช่นแดนนิมิต ศิษย์มีชีวิตบำเพ็ญอย่างเกิดปัญญา
ช่วยพี่น้องปรองดองสมานในวิญญา ปรารถนามายมากมนุษย์พร้อมตื่นได้
จิตชิงแย่งมิป้องกันอาจสาย ถ้าชั่งกันว่างวุ่นวายต่างไฉน
หากมิรู้ดูกลับกลางฤทัย ลมพัดทรายดั่งใจปลิวห่าง
ธงปลิวยามลมหวนจุนเจือเกื้อ ฤทัยเมื่อต้องลมสายธารหลั่ง
เลิกสับสนมิวกวนในภวังค์ วิถีกว้างโลกไป่หมุนตามอาสวะ
ความสำเร็จใหญ่ยิ่งเริ่มที่ฤดี เพราะหยุดลง ณ ฤดีแห่งจริยะ
ศิษย์เข้าใจให้แปรตนด้วยวิริยะ ปราชญ์อริยะต้องเคี่ยวกรำจึงสำเร็จจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
พระนาจา : อยากให้ใครมา เรามาคนเดียวไม่ได้ใช่ไหม ต้องมีอีกท่านหนึ่ง เร็วๆอย่าชักช้า ทำอย่างไรถึงจะให้พระอาจารย์มา ไม่มีใครเรียกพระอาจารย์เลย ลูกศิษย์ลืมอาจารย์แล้วหรือ ศิษย์น้องลืมอาจารย์แล้วหรือ
พระอาจารย์ : คิดถึงกันจริงๆหรือเปล่า แล้วรู้จักจริงๆหรือเปล่า อาจารย์เป็นพระไม่เต็มใช่ไหม คนเราเต็มไม่เต็มนั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) แล้วทำไมใจบางคนถึงได้เต็ม บางคนถึงไม่เต็ม คนที่ไม่เต็มใกล้จะเต็มกันหรือยัง (ใกล้แล้ว) คนที่ไม่เต็มก็เป็นพวกเดียวกับอาจารย์ใช่ไหม นั่งกันเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) นั่งกันครบ ๒ วันหรือเปล่า (ครบ) ครบทุกคนหรือ วันนี้หลายคนก็หลายจิตใจใช่ไหม (ใช่) เวลาที่อยู่ด้วยกันนี้รวมใจกันแล้วหรือยัง (รวมแล้ว) รวมกันเป็นใจเดียวนั้นจะรวมกับใคร (พระอาจารย์) นั่งอยู่บนเก้าอี้อะไรรู้ไหม (เก้าอี้เซียน) ถ้านั่งอยู่บนเก้าอี้เซียนต้องนั่งทำสมาธิ แต่ถ้าโงกหลับลงไปก็หล่นจากเก้าอี้เซียนใช่ไหม (ใช่) มรรคผลจริงๆเกิดจากที่ไหน (ใจ) คนที่จะมีมรรคผลจริงๆคือคนที่เข้าใจธรรมะ และมีความศรัทธาจริงใจเชิดชูออกมาให้เป็นเกียรติ หลังจากนั้นต้องนำใจที่เมตตานี้ออกไปพูดธรรมะ ออกไปส่งเสริมคนด้วยวาจาและการปฏิบัติที่เที่ยงตรง เมื่อวาจาที่กล่าวออกไปล้วนเป็นคำที่ดีงาม คนที่อยู่ข้างๆเราก็จะเคารพนับถือ เชื่อมั่นว่าเราคงไม่หลอกเขา เมื่อใจปฏิบัติได้ดีแล้ว การกระทำก็ย่อมทำได้ดี วาจาก็กล่าวได้ดี นี่เป็นหนึ่งในแนวทางการเจริญกุศล การเจริญกุศลเป็นการตอบแทนพระคุณฟ้าดิน ศิษย์อาจจะไม่รู้ว่าการที่เราสามารถได้รับหนึ่งชี้นี้เป็นเรื่องประเภทไหน ตอนนี้เข้าเกณฑ์วาระสามแล้ว ฟ้าดินมีความเร่งรีบอย่างยิ่ง ต้องการโปรดคนในโลกทุกคนให้กลับคืนขึ้นไป ขอเพียงแต่ว่าคนนั้นเป็นคนดี ประตูพุทธะก็จะเปิดออกได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พระนาจา : ใครเคยนั่งรถม้าบ้าง ถ้ามีม้า ๒ ตัวแต่มีคนบังคับหนึ่งคน ถ้าคนบังคับม้าได้ถูกทิศทาง ถึงแม้ม้าจะมี ๒ ตัวก็สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ใช่ไหม เมื่อสักครู่ตอนที่พระอาจารย์ให้โอวาท เราเดินไปเดินมา เราพูดนิดหน่อยทุกคนก็แบ่งใจเป็น ๒ ส่วน แสดงว่าไม่สามารถควบคุมม้า ๒ ตัวนี้ได้ เพราะอีกใจหนึ่งก็อยากดูพระอาจารย์ อีกใจหนึ่งก็อยากดูพระนาจา ทำให้ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินชีวิตเหมือนการควบม้า แล้วอะไรเป็นม้า (ร่างกาย) ถ้าทุกคนบอกว่ากายนี้เหมือนม้า แล้วจิตเหมือนอะไร (เหมือนลิง) เหมือนลิงใช่ไหม ลิงว่องไวใช่หรือเปล่า (ใช่) จริงๆแล้วจิตว่องไวเหมือนลิง กายประดุจม้าใช่ไหม (ใช่)
พระอาจารย์ : รู้ไหมว่าพระนาจาอายุกี่ขวบ (๗ ขวบ)
“เคืองแค้นใครเพราะกมลเฝ้าย้ำ” ใครเคยมีความเคืองแค้นบ้าง มีหรือเปล่า (มี) การที่เราเคืองแค้นใคร ถ้าลองพิจารณาดูนั่นเป็นเพราะว่าใจเราเฝ้าย้ำเสมอว่าเขาทำเราเจ็บ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า (เป็น) แล้วเคยคิดหรือไม่ว่าเราต้องให้อภัยเขา (เคย) กว่าความคิดเหล่านี้จะออกมา บางทีก็สายไปแล้ว ศิษย์ต้องรู้ว่าการที่คนเราจะทำอะไรโดยไม่ผิดพลาดนั้น ตัวเราเองจะต้องมีสติตลอดเวลา เหมือนกับที่อาจารย์บอก ถ้าชิงแต่จะถลำเข้าไปก็จะเกิดแต่อารมณ์ที่ร้ายแรงขึ้นมา แล้วเขาเป็นทุกข์กับเราหรือเปล่า อารมณ์โกรธนี้เป็นอารมณ์ที่รุนแรงใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากว่าโดนอารมณ์พวกนี้ทดสอบใจเรา ศิษย์จะทำอย่างไร (วางเฉย) ทำได้จริงๆหรือเปล่า ต้องค่อยๆทำ ถ้าครั้งแรกทำไม่ได้ ครั้งที่สองก็ย้ำใหม่ว่า “อภัย” ถ้ายังทำไม่ได้อีก ครั้งที่สามก็ย้ำใหม่ว่า “อภัย” อีกดีไหม (ดี) ถ้าเกิดว่าทำได้อย่างนี้แล้ว โลกนี้จะสันติ ทุกคนก็จะยิ้มแย้มเบิกบานกันดีใช่ไหม
ทุกคนมาสถานที่นี้แล้วมีความสุขไหม เกิดเป็นมนุษย์นี้ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนที่ศิษย์ป่วยเป็นหวัด แล้วนอนล้มเจ็บนั้นเป็นทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์) แล้วรู้ไหมว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
คนเรามีทุกข์มากมาย ทุกข์นั้นเกิดจากใคร (ตัวเรา) บำเพ็ญด้วยปัญญาและการพินิจพิจารณา สิ่งใดที่ดีเก็บไปศึกษา สิ่งที่ไม่ดีก็ขอให้ปล่อยวางลง ศิษย์คิดว่าตัวศิษย์มีสิ่งที่ดีและไม่ดีควบคู่กันไป คนอื่นก็เหมือนกัน การมาที่นี่ทุกคนต้องมีการขัดเกลา เพราะว่าชีวิตมนุษย์ทุกๆวันก็มีแต่ทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการที่มีมากเกินไป บางคนมีเงินทอง มีทรัพย์สิน มีลาภยศและมีวาสนาพร้อม มีมากเกินไปจึงเป็นทุกข์ บางคนมีน้อยเกินไปก็ตัดพ้อต่อว่า คนประเภทนี้ก็มีทุกข์ อยู่ที่ว่าทุกข์นั้นขาดๆเกินๆซ่อมให้มันเต็ม แล้วจะซ่อมเต็มเมื่อไหร่ ใกล้หรือยัง (ใกล้แล้ว) หวังว่ารอครั้งนี้คงไม่รอเปล่าใช่ไหม (ใช่)
คนเราเกิดมาแล้วก็ตายไม่ใช่จุดประสงค์แห่งชีวิต เกิดมาต้องรู้ว่าบัดนี้พบธรรมะแท้ ศิษย์อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายจริงๆ ใช่หรือเปล่า เมื่อวานนี้มีอาจารย์บรรยายธรรมได้พูดถึงความยาก ๔ อย่างที่เกิดมาในชีวิต จำกันได้หรือเปล่า ความยาก ๔ อย่างแห่งชีวิตก่อนที่จะรับธรรมะ (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพูดถึงความยาก ๔ อย่างของการเกิดมาเป็นมนุษย์ : ๑.ยากที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ คนเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในหกภูมิ การที่คนเราได้มาเวียนเกิดอยู่ในภูมิมนุษย์ได้นั้นจะต้องมีคนที่มีบุญมีกุศล และได้ทำความดีงามมากมาย ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ๒.ยากที่จะเกิดในแถบเอเซีย โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล เหตุใดเราจึงมีโอกาสมาเกิดอยู่ในใจกลางของโลกทางประเทศจีนและประเทศไทยนี้ ตรงนี้เป็นแหล่งที่พุทธอริยะทั้งหลายได้ทรงจุติเกิดลงมามีกายเนื้อ เพื่อฉุดช่วยมนุษย์ทั่วโลก พระพุทธเจ้าท่านเกิดที่อินเดีย พุทธะหลายๆพระองค์ พระกวนอิน ท่านขงจื้อ ท่านเหลาจื้อ หรือหลายๆพระศาสดาก็เกิดที่ประเทศจีน แล้วก็แพร่มาถึงประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้นการที่เราจะมาเกิดที่ศูนย์กลางของโลกแถบเอเซียก็เป็นเรื่องยาก ๓.ยากที่จะเกิดมาอยู่ในวาระยุคสุดท้ายที่เบื้องบนกำลังโปรดสัจธรรม ยากที่จะพบสัจธรรมแท้นี้ แต่ว่าเราได้เกิดมาอยู่ในยุคนี้แล้ว มีโอกาสรับการถ่ายทอดอนุตตรธรรมจากพระอาจารย์จี้กงและพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้มาจุติในโลกนี้และถ่ายทอดวิถีธรรมแท้ ทำให้เราได้รู้ทางหลุดพ้น ๔.การที่เราจะได้เกิดมาทันพุทธะเกิดเป็นเรื่องยาก แม้พวกเราไม่ได้เกิดมาทันในสมัยพุทธกาลพบพุทธองค์ ได้ฟังธรรมแล้วก็หลุดพ้นไป แต่พวกเราก็ยังโชคดีที่เกิดมาตอนนี้ ได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ซึ่งก็คือพุทธะที่จุติลงมาเกิดเพื่อช่วยชีวิตเวไนยสัตว์ในยุคนี้ คือเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นพุทธะองค์สุดท้ายที่จะมาช่วย ฉะนั้นทั้ง ๔ ประการนี้ พระวิสุทธิอาจารย์ที่เราพบได้ยาก เราก็ได้พบแล้ว และเกิดในที่ๆเกิดได้ยากคือทวีปเอเซีย ตรงศูนย์กลางของโลกนี้ เราก็ได้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ๔ อย่างนี้เราได้ครบหมด เราจะต้องถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี) เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ยากหรือไม่ยาก (ยาก) ตอนนี้เมื่อรู้ว่ายากอย่างนี้ เวลาก็คับขันขนาดนี้แล้วคิดว่าตัวเองจะไปสร้างมรรคผลอย่างจริงจังได้หรือยัง (ได้) การสร้างมรรคผลจริงๆ ต้องลงแรง ต้องลำบาก ศิษย์ทนได้หรือ (ได้) ถ้าศิษย์ทนความลำบากตรงนี้ได้ ทนคำพูดคนอื่นได้ ศิษย์ก็จะสำเร็จมรรคผลได้ มรรคผลตรงส่วนนี้เป็นมรรคผลของศิษย์เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์เลย เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พระนาจา : รู้สึกว่าศิษย์พี่จะไม่ได้ยินเสียงศิษย์น้องที่เป็นนักเรียนพูดเลย รู้ไหมว่าอาจารย์คิดถึงศิษย์น้องทุกคนขนาดไหน รู้ไหมว่าท่านเหนื่อยยากขนาดไหน ไม่มีใครเคยรับรู้ พออาจารย์มาก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความรู้สึกของอาจารย์ ไม่มีใครเข้าใจว่าอาจารย์คิดอย่างไร ทำไมอาจารย์ถึงต้องพูดธรรมะให้ศิษย์น้องทุกคนได้เข้าใจ ทำไมท่านถึงต้องไปไหว้วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ลงมาโปรดช่วยศิษย์น้องทุกๆคน ศิษย์น้องไม่เคยมองเห็นความลำบากของอาจารย์ ได้เห็นแต่ตอนที่อาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใสเท่านั้น
พระอาจารย์ : อย่าไปว่าเขาเลย ถ้าหากว่าตอนนี้มรรคผลเป็นสิ่งที่ศิษย์ตั้งจุดหมายแล้ว มรรคผลนี้แย่งชิงกันหรือเปล่า กุศลนั้นแบ่งให้กันไม่ได้ ถ้าเกิดว่าตอนนี้เราไม่ป้องกันตัวเองให้พ้นจากกิเลสทั้งหลาย เราก็ไม่สามารถที่จะตื่นได้ เพราะว่าหลังจากจบชั้นนี้ไป ศิษย์อาจจะออกไปข้างนอกและคิดว่าตรงนั้นดีกว่า ตรงนี้ใช่แน่ๆ ที่ผ่านมาคงจะเป็นของปลอม หรือไม่ก็ทำไมเธอคนนี้บำเพ็ญธรรมะแล้วเป็นอย่างนี้ ถ้าเจอเรื่องพวกนี้ศิษย์จะท้อหรือเปล่า (ไม่ท้อ) เมื่อใดหาธรรมะจากภายนอกไม่ได้ เมื่อนั้นขอให้ย้อนเข้าในใจตัวเอง ความว่างกับความวุ่นวายมักจะไปด้วยกันเสมอ แยกกันไม่ออก ไม่เว้นที่ไหน เวลาไหน พื้นทรายมีทรายเต็มไปหมด ศิษย์เป็นทรายเหล่านั้น ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงคนนี้เมื่อโดนลมพัดจะเกาะกลุ่มกันเหมือนทรายที่เปียกน้ำหรือว่าจะปลิวไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าหากปล่อยตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้ว หกหมื่นปีที่ผ่านมาศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายมาชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วแน่ใจไหมว่าในชาติหน้าตัวเองจะได้เป็นมนุษย์อีก (ไม่แน่ใจ) เกิดมาชาตินี้กินหมูกินไก่ ชาติหน้าถ้าเกิดเป็นหมูเป็นไก่ให้เขาฆ่าจะทุกข์กว่านี้ไหม (ทุกข์) ศิษย์เชื่อหรือไม่ว่าทั้งหมูทั้งไก่หรือวัวควาย ในชาติก่อนทุกอย่างก็ล้วนเคยเกิดเป็นมนุษย์มาแล้วทั้งสิ้น (เชื่อ) ถ้าเชื่ออย่างนี้แล้วคิดหรือไม่ว่าตัวเองจะบำเพ็ญอย่างไร ลองไปพินิจพิจารณาดูก็แล้วกัน
พระนาจา : ผลไม้ถ้าไม่สุกเต็มที่ก็จะไม่ร่วงหล่นจากต้นใช่ไหม (ใช่) เปรียบเหมือนความดี ถึงแม้จะทำทีละเล็กทีละน้อย แต่สักวันหนึ่งมันก็จะตกผลออกมาได้ ใช่หรือเปล่า แล้วตอนนี้พอที่จะตกหรือยัง (ยัง) การทำความดีพอมีคนบ่นว่า เราก็ท้อไม่ทำแล้ว ถูกหรือไม่ แล้วอย่างนี้มรรคผลจะสมบูรณ์ไหม (ไม่สมบูรณ์)
ศิษย์พี่จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทะเลเหนือคุยกับทะเลใต้ว่าอะไรคือธรรมชาติ ทะเลใต้ก็ตอบว่าม้ามีสี่ขา วัวมีสี่ขา มนุษย์มีสองขา นั่นแหละคือธรรมชาติ แล้วทะเลเหนือก็ถามทะเลใต้ต่อว่าแล้วสิ่งใดที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่ง ใครตอบได้ (จิตปรุงแต่ง, มนุษย์) นั่นก็คือการเอาบังเหียนไปใส่หลังม้า ซึ่งเปรียบเหมือนการเอาสิ่งที่ไม่ดีมาใส่ไว้ในจิตใจ มาปรุงแต่งร่างกายใช่ไหม (ใช่) ศิษย์พี่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ศิษย์น้องใส่เสื้อผ้า แต่ให้รู้จักคำว่า มี พอ หยุด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระอาจารย์ : ทุกๆคนต้องรู้ว่าถ้าหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ตอนนี้นั่งฟังอยู่ที่นี่แต่ว่าใจยังอยู่ที่บ้าน คิดโน่นคิดนี่ อย่างนี้นั่งฟังอยู่ที่นี่ครบสองวันก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม แล้วจะนำใจกลับมาได้หรือยัง ตอนนี้คิดหรือยังว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองนั่งฟังจบสองวัน เมื่อนั่งฟังจบแล้ว ความรู้เราจะต้องเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจบชั้นแล้วแต่ว่ายังไม่เข้าใจ นั่งไปสองวันก็ไม่มีประโยชน์ นั่งฟังธรรมะต้องทำจิตใจให้มีจริยะรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร (ทำจิตใจให้ว่างและตั้งใจฟัง) ยังไม่ถูกทีเดียว (มีจิตใจที่เป็นระเบียบ, สำรวมจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว) มีใครตอบได้อีก ไหนลองดูศิษย์แต่ละคนคิดเป็นอย่างไร (จิตใจสงบ, ฟังแล้วคิดตามไปด้วย, เปิดใจตั้งใจฟังและคิดตามไปด้วย) การที่เรามีจิตใจจริยะ ทุกคนตอบมามีส่วนถูกหมด อยู่ที่ว่าจิตใจแห่งจริยะของเรานั้นจะไปหยุดอยู่ที่ไหน ตอนนี้เมื่อทุกคนพูด จิตใจแห่งจริยะก็เงียบสงบ เมื่อเดินทาง จิตใจแห่งจริยะก็ต้องรู้ที่จะระวังไม่ให้ตัวเราเองผิดพลาดพลั้งไป จิตใจแห่งจริยะที่ว่าก็คือพุทธญาณ ถ้าหากว่าทุกๆวันรู้จักหยุดอยู่ตรงจุดๆนั้น นั่งฟังด้วยความตั้งใจ ทำอะไรก็ขอให้หยุดลงตรงนั้น อย่างนี้แล้วจิตใจแห่งจริยะก็จะเกิดความงอกงาม เพราะว่าบังเกิดแต่สิ่งที่ดี จิตใจแห่งจริยะก็คือจุดๆนั้นที่ได้รับชี้ไป เข้าใจหรือไม่ คำถามของอาจารย์ตอบง่ายๆ แต่ว่าใครจะหยุดลงตรงไหน นั่นเป็นเรื่องของแต่ละคน ถ้าไปหยุดอยู่ที่หู ตา จมูกก็จะบังคับไม่ได้ เหมือนกับม้าพยศที่ไม่สามารถวิ่งไปสู่เส้นชัยได้ เมื่อเข้าใจแล้วตอนนี้ถ้าตัวเองมีอะไรผิดพลาดพลั้งไป ควรจะทำอย่างไร (แก้ไข) เวลาผูกปมเราผูกอย่างไร เวลาเราก่อปัญหาเราก่ออย่างไร เวลาก่อปัญหาก่ออย่างรวดเร็วใช่ไหม แล้วเวลาที่จะแก้ แก้อย่างไร สมมติว่าเวลาแก้ปมมีเงื่อนซ้อนกัน ๕ เงื่อน หรือ ๕ ปัญหา ๕ เรื่องราว เราจะค่อยๆแก้ไปหรือว่าจะแก้อย่างไร (ค่อยๆแก้) เวลาแก้ก็ต้องอดทน อดทนด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น ตอนนี้บางคนยังมีความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ก็ขอให้ใช้จิตพิจารณาให้ดี แล้วค่อยๆแก้ไป อาจารย์เข้าใจดีว่าความสงสัยของคนเรานั้นมักจะงอกงามในใจเสมอๆ ถ้าหากว่าทุกๆวันเจอแต่เรื่องแบบนี้ เจอปัญหา เจอสิ่งใดๆ ก็ขอให้ระลึกและพิจารณาเสมอว่า นั่นเป็นเพราะตัวเราก่อขึ้นมาเองหรือว่าอารมณ์ร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการทดสอบ ถ้าเราชัดเจนในการพิจารณา ชัดเจนในจิตใจของตัวเองแล้ว คงไม่กลัวว่าตัวเองจะเดินไปล้มไป หรือจะเดินไปโดยไม่แน่นอน คนเราไม่ว่าจะทำการงานอะไรก็ต้องมีความหวังว่าจะต้องได้ยศตำแหน่งใช่ไหม แล้วถ้าหากว่าเราตั้งความหวังอย่างนั้นได้ เราควรรู้ว่าสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือลงแรง การที่อาจารย์นำมาเปรียบเทียบแบบนี้เพราะอยากให้ศิษย์รู้ว่าการที่เราจะลงแรงทางด้านธรรมะก็จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าหากว่าเราลงแรงปฏิบัติจริง ลงแรงแก้ไขตัวเองอย่างแท้จริง และเจริญกุศลอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะได้มรรคผลที่แท้จริงด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญธรรมะนั้นง่ายขึ้น แต่จะง่ายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ ถ้าศิษย์รู้จักปรับปรุงก็จะสามารถล่วงพ้นกิเลสที่มาขวางอยู่ได้
พระนาจา : การทำสิ่งใดก็ตาม ถ้าทำแล้วคนอื่นมีความสุขก็เป็นสิ่งดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย อันที่จริงความสุขนั้นทำไม่ยาก แต่เป็นเพราะว่าเราอาย เรากลัว เราไม่อยากยอมใคร จึงทำให้เราไม่กล้าที่จะทำ ไม่กล้าที่จะสู้ แต่ถ้าเราลองทำดู แล้วมองไปที่หน้าของทุกคน เราจะพบว่าทุกคนต่างก็ยิ้มให้เรา แต่ถ้าเราลองทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วให้เราเงยหน้า เราจะกล้าเงยไหม (ไม่กล้า) ถึงแม้จะกล้าเงยแต่จิตใจก็ยังแอบแฝงไปด้วยความเกรงกลัวใช่หรือเปล่า ฉะนั้นทำความดีก็ต้องเงยหน้ายิ้มรับ ถ้าทำความผิดก็ต้องก้มหน้ายอมรับผิด ดูๆแล้วความดีเป็นสิ่งที่ทำไม่ยาก แต่ทำไมถึงไม่ค่อยจะมีคนกล้าทำ
บางคนยังสงสัยว่าการบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไร การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือการซ่อมแซมจิตใจของตัวเองที่เป็นพุทธะ แต่เราทุกคนล้วนมองไม่เห็นความเป็นพุทธะในตัวเอง เช่นนั้นก็เหมือนเครื่องจักรที่ผุพังไป ต้องได้รับการซ่อมแซม แต่ถ้าเราไม่ย้อนมองตัวเองก็จะไม่รู้ว่าข้างในผุพัง ภายในขาดหรือเกิน สิ่งแรกในการบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน เมื่อมองตนเองแล้วก็ต้องดูว่าสิ่งใดตัวเองถูก สิ่งใดตัวเองยังดีอยู่ก็คงสภาพที่ดีไว้ แต่ถ้ามองแล้วสิ่งใดผุกร่อนเสียหายก็ต้องซ่อมแซมปะให้ดี ทำไมเวลากางเกงขาดยังรู้จักปะได้ นั่นเป็นเพราะว่ากางเกงอยู่ข้างนอก เราจึงมองเห็น แต่จิตใจอยู่ภายในทำให้มองไม่เห็นใช่ไหม เมื่อรู้ว่าจิตใจอยู่ภายใน การมองก็ต้องมองภายใน แต่ถ้ามองแล้วยังมองไม่เห็นก็ต้องมองเวลาเราทำ ถ้าเรามีความอยากนั่นก็คือเราเริ่มมองเห็นแล้วว่าจิตใจเรามีความอยาก เช่นเมื่อถึงเวลาเที่ยงเราต้องการกินข้าว นั่นก็คือเรามองเห็นจิตใจของเราแล้ว ไม่ยากเลยที่จะมองเห็นจิตใจของตัวเองใช่ไหม นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาในสองวันนี้มาสำรวจดูว่าจิตใจของเราดีเพียงไร ทำในสิ่งที่ควร คิดแล้วต้องปฏิบัติ เมื่อใช้ใจและปัญญาคิดแล้ว ทุกคนก็จะรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนคิดหรือทำไปถูกหรือผิดอย่างไร นั่นก็คือการบำเพ็ญ
พระอาจารย์ : ตอนนี้จิตเปิดกันครบทุกคนหรือยัง (เปิดแล้ว) ถ้าหากกลับจากชั้นนี้ไปแล้วจะกลับมาศึกษาธรรมะกันอีกหรือเปล่า เมื่อจบไปแล้วจะต้องกลับมาเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ต้องรู้ว่าคนข้างหน้าเขาก็เคยนั่งแบบนี้เช่นกัน ถ้าศิษย์พยายาม ศิษย์เองก็สามารถที่จะเป็นผู้บรรยายได้ บางคนมีความรู้น้อย บางคนมีความรู้มาก แต่ถ้าเกิดความสงสัยแล้วเก็บเอาไว้ ไม่รู้จักถามก็จะไม่เข้าใจ นี่ก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ (เชาฉือ) แล้ว บางคนมาจากที่ไกลๆ รู้ไหมว่าคนที่นั่งข้างๆเรามาจากไหน แล้วเขาเดินทางมาด้วยความลำบากเพียงไร แล้วรู้หรือไม่ว่าเขาชื่ออะไรและอยู่ที่ไหน บางคนก็รู้จักกันบ้าง บางคนก็ไม่รู้จักกันเลย อย่างนั้นก็ขอให้ทุกคนทำความรู้จักกันหลังจากที่อาจารย์กลับไปแล้วนะ
ถ้าหากว่าเรามีเพื่อนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน เวลาเราท้อถอย เขาก็ช่วยเราได้ เป็นเช่นนี้ดีหรือไม่ มีเพื่อนเป็นกัลยาณมิตรที่จะฉุดรั้งกันไว้ได้ เราก็ควรที่จะคบกับเขาใช่ไหม โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมทุกคนถ้าหากมีเพื่อนแล้วก็ต้องรู้จักให้ความเชื่อถือต่อกัน เมื่อเราเชื่อถือเขา เขาเชื่อถือเรา เราไม่โกรธหรือแบ่งแยกกับเขา ไม่ถือว่าเขาต่ำต้อยกว่า หรือสูงส่งกว่าเรา อย่างนี้ดีที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)
นักเรียนในชั้นนี้แบ่งเป็นสามตอน เปรียบเหมือนกับกอไผ่สามกอ แล้วรู้ไหมว่ากอไผ่ดีอย่างไร ต้นไผ่เวลาถูกลมพัดก็จะโยกไปตามลม พอลมสงบกอไผ่ก็ตั้งลำได้ตรง ส่วนใบไผ่ก็ยอมรับแสงอันร้อนแรงเพื่อเอาไว้เลี้ยงตนได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ยอมรับความลำบาก เพื่อที่จะบรรลุได้หรือไม่ พอเราเป็นต้นไผ่แล้ว เวลาคนเขาตัดมาใช้ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปไหนก็ยังคงเป็นไผ่อยู่ใช่ไหม เพราะมีข้อ มีปล้องที่ไม่เปลี่ยนแปลง ต้นไผ่มีทั้งความอ่อนโยนและมีทั้งความกล้าหาญ ถ้าหากชีวิตคนหนึ่งชีวิตสามารถบำเพ็ญได้เช่นนี้ก็จะเป็นเมธา แต่อย่างที่อาจารย์บอกไปแล้ว มีคนอยู่เท่าไหร่ที่จะทำได้แบบต้นไผ่นี้
คนเราเมื่อเกิดปัญหา เกิดการชิงชัง เกิดความวุ่นวาย ถ้าหากว่าโลกที่กว้างขนาดนี้ ศิษย์วนเวียนอยู่ในขณะนี้แต่ว่าศิษย์จะขอหยุดลงจากปัญหา การชิงชัง ความวุ่นวาย ณ ใจจริยะตลอดไปดีหรือเปล่า (ดี) คนที่ทำได้อย่างนี้ก็เป็นก้าวแรกของเมธาแล้ว หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะทำได้ อาจารย์ขอฟังเสียงคนที่แน่ใจ (แน่ใจ) หวังว่าศิษย์คงจะเป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าเกิดว่าต้นไผ่นี้เจริญเติบโตขึ้นในป่าใหญ่ กอไผ่ก็จะทนทั้งลม แดดและฝน เมื่อฝนตกลงมาก็ไม่กลัว เมื่อไม่กลัวก็เติบโตขึ้นอีก ศิษย์จะเป็นกอไผ่อยู่ที่กลางสายฝนได้ไหม ชั้นนี้มีทั้งหมดสามกอ จะดูว่ากอไผ่กอไหนจะเจริญเติบโตได้เร็วกว่ากัน ดีหรือเปล่า หน่อเล็กในแต่ละกอก็สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นลำต้นใหญ่ๆ แล้วต้องเผชิญและฟันฝ่าอะไรอีกมากมาย ถ้าหากว่ามัวแต่กลัวและไม่กล้า ก็จะไม่สามารถบำเพ็ญถึงขั้นเป็นเมธาได้
เพลงที่อาจารย์ให้ไปจะต้องนำมาร้องบ่อยๆ การที่อาจารย์มาพบกับศิษย์ในวันนี้ขอให้อาจารย์อยู่ในความทรงจำของศิษย์ทุกคน อย่าได้ลืมอาจารย์ง่ายๆ ได้หรือเปล่า (ได้) หากยังลังเลสงสัยอะไรก็ขอให้รู้จักที่จะแก้ปัญหาด้วยใจที่อยู่ในจริยะ ถ้าไม่รู้ให้ถามผู้อื่น อาจารย์เองรักศิษย์ทุกคนเสมอ เมื่อศิษย์พบความลำบากก็ขออย่าได้ท้อถอยไปง่ายๆ จับมือต่อๆกันไว้ หวังว่ามาคราวหน้าคงได้พบกับศิษย์ทุกๆคนอีก
พระนาจา : มีใครเข้าใจจิตใจของพระอาจารย์บ้าง รู้ไหมว่าพระอาจารย์ต้องร้องไห้ทุกๆวัน ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ศิษย์น้องได้รับรู้ ศิษย์น้องรู้ไหมว่าอาจารย์รักศิษย์น้องทั้งหลาย รอศิษย์น้องทุกๆวัน แต่ไม่มีใครเข้าใจ ฉะนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจและบำเพ็ญธรรมให้ดี ศิษย์พี่อยากเห็นศิษย์น้องทุกๆคนกลับไป ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าจะช่วยอาจารย์ได้อย่างไร หวังวอนให้พระแม่ผู้เมตตาดลจิตใจให้ศิษย์น้องทุกๆคนเข้าใจถึงความรู้สึกของอาจารย์ ความทุกข์ไม่ได้มีเพียงแค่นิดหน่อย แต่ยังมีอีกมากมาย โลกนี้ถึงแม้จะดูสวยงาม แต่สิ่งที่ศิษย์น้องมองไม่เห็นยังมีอีกมาก ขอให้ตั้งใจให้ดีๆ ลาก่อน