วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2538

2538-05-13 พุทธสถานหงเต้า จ.เชียงราย


PDF 2538-05-13-หงเต้า #4.pdf

#บำเพ็ญในครัวเรือน   #บำเพ็ญยุคขาว

วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานหงเต้า เชียงราย

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

บิดามารดาอบรมเลี้ยงด้วยเมตตา พระอริยาอบรมท่านหวังบรรลุ

ยืมกายปลอมบำเพ็ญแท้มิมัวเมา ด้วยใจจริงศรัทธาท่านได้กลับคืน

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องท่านเกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ภุมรินหลงรูปแห่งบุปผา น้องท่านพายังหลงโลกีย์หนา

ด้วยมิรู้เหตุกรรมได้นำพา จิตบริสุทธิ์สิ้นค่าด้วยหลงลืม

ติดบ่วงนั้นร่างแหแห่งมายา ลืมหุบผาแห่งชีวิตท่านลืมหลง

คิดไปว่าในโลกช่างมั่นคง จึงตกลงสู่ห้วงทุกข์ทรมาน

ในยามนี้เข้ายุคสามกาลมิเช้า เร่งกล่อมเกลาจิตนี้ให้คืนใส

สู่โฉมหน้าแท้จริงที่วิไล กลับตนใหม่เร่งไวนะน้องเอย

อันชีวิตเติบใหญ่อายุเยาว์ น้องมัวเมาในโลกห้าสีสัน

มิรู้ตนระคนทุกข์อยู่ทุกวัน มิเว้นวันให้กลับแจ้งปัญญา

รู้ในโลกหลอกลวงจิตแท้จริง จิตแฝงนิ่งน้องท่านได้รับชี้

หรือวันนี้เห็นเป็นเพียงละครดี ทรัพย์มากมีมิต้องการได้รับเลย

วิสุทธิ์อาจารย์นำธรรมาสู่ครัวเรือน กาลคล้อยเคลื่อนจงเร่งเก็บเร่งรักษา

จงเร่งนำเยือนจิตพิจารณา จะเห็นว่าธรรมเท็จจริงหรือกายจริง

ทั้งสองวันประชุมฟ้ามนุษย์ จงเร่งรุดมิปล่อยโอกาสเสีย

อย่าให้มารนำพาจิตน้องเพลีย จึงมิเสียเกิดมาชาติหนึ่งนี้

พุทธสถานกฎระเบียบเคร่งครัดจริง อย่าเห็นเพียงบ้านเล็กเล็กมิเชื่อถือ

ในใต้ฟ้าอนุตตรธรรมโปรดระบือ จงยึดถือสัจธรรมบำเพ็ญจริง

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป บรรพชนอยู่ใกล้มิห่างหาย

จงสำรวมมิมัวเมาทั้งใจกาย จึงมิคล้ายละเมออยู่ในโลกีย์

ทั้งสองวันจงอดทนให้จริงจัง พี่ระวังอยู่เคียงข้างบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน

วิมานแก้วสงบกลางภาพสวรรค์ เทพอำพันจิตพิสุทธิ์รู้ตนหนา

พยับแดดประกายทองสว่างนาวา บุปผชาติพารื่นภิรมย์ทั่วปฐพี

เราคือ

พระโพธิสัตว์ในชุดขาวแห่งทะเลทักษิณ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

ภาพชีวิตหมุนเวียนเช้าจรดค่ำ มิเว้นวันดุจคลำทางมืดสลัว

หลากหนทางไร้แสงนำจิตมืดมัว ยิ่งพันพัวมิรู้ทางหลีกเร้นภัย

ครานี้พบประกายฟ้าพิสุทธิ์ล้ำ ธรรมชี้นำครรลองจิตพิสุทธิ์ใส

ยุคขาวโปรดเวไนยสามภพไกล โปรดพุทธะให้บำเพ็ญในครัวเรือน

ศึกษาธรรมเพียงคัมภีร์มิรู้แก่น วางสับสนตีกรอบหมื่นแสนพินิจใน

ถอยหนึ่งก้าวเพียงหวนคิดแลเปิดใจ สัจธรรมแท้เดิมใสกลางพุทธญาณ

ทุกชีวิตมีลุ่มดอนใดเที่ยงแท้ ดุจพเนจรไร้ทางแก้แบกสัมภาระ

เผชิญทุกข์ยิ่งสับสนยิ่งคลุกคละ เพียงชนะจิตตนทุกข์คลี่คลาย

ปลูกต้นโพธิ์เสริมต้นธรรมครองเคียงคู่ เมตตาอยู่กลางฤดีมีมุ่งหมาย

โปรดช่วยคนนำตนทุกข์มลาย โพธิ์ต้นใหญ่เงาร่มเย็นโอบอุ้มธรรม

สำรวมจิตพินิจสติย้อน กิเลสก่อแคลนคลอนพาใจถวิล

สนิมเกิดจากเหล็กเปรียบชีวิน กิเลสกล้าประทีปสิ้นสว่างมลาย

มั่นคงธรรมมิแปรตามลมพัดพา หากเหนื่อยล้าเร่งฟื้นตนเป็นคนใหม่

ปัญญาดุจศาตรา๒ รู้วิธีใช้ ร้อยปัญหาพันภัยแก้ที่จิตตน

บำเพ็ญตนเคร่งครัดตนจึงถึงฝั่ง ติดวัตถุฤๅได้นั่งเรืองามผ่อง

มิหูเบาศรัทธามั่นพุทธะครอง เพียงอดทนลดอัตตา๓ กระจ่างจริง

ฮา ฮา หยุด

--------------------------------------------------------------

๒ ศาสตรา ของมีคมเป็นเครื่องฟันแทง

๓ อัตตา ตน, ตัวเอง







พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน

“ภาพชีวิตหมุนเวียนเช้าจรดค่ำ มิเว้นวันดุจคลำทางมืดสลัว

หลากหนทางไร้แสงนำจิตมืดมัว ยิ่งพันพัวมิรู้ทางหลีกเร้นภัย”

พอกระจ่างกลอนบทนี้ไหม ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้คุณค่าแห่งชีวิตนั้นอยู่ที่ใด คุณค่าของทุกๆ คนอยู่ที่ว่าเรารู้จักชีวิต เข้าใจชีวิต และรู้ที่จะดำเนินชีวิตอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะถ้าทุกคนลงมายังโลกมนุษย์ มาสู่ร่างกายนี้แล้ว รู้ว่ามีชีวิต มีร่างกาย รู้ว่ามีบุคคลรอบข้าง แต่ถ้าตัวเองไม่รู้ว่าตัวท่านเองจะปฏิบัติอย่างไร จะลงมาสู่โลกมนุษย์นี้เพื่ออะไร บางทีก็วุ่นวายสับสน เหมือนยิ่งเดินยิ่งขมวดปมของชีวิต ขมวดไปขมวดมาจนซัดเซ ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน ชีวิตคืออะไรกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้รู้แล้วว่าทุกๆ ท่านเกิดมาต่างก็มีคุณค่า คุณค่าของทุกคนแตกต่างกันออกไป อยู่ที่ว่าใครจะปฏิบัติตนอย่างไร ตอนนี้พอรู้ว่าสิ่งสำคัญแห่งการปฏิบัติตนนั้นเริ่มต้นที่พุทธจิตใช่หรือไม่ (ใช่) รู้หรือยังว่าพุทธจิตอยู่ที่ใด อยู่ที่จุดที่ทุกท่านได้รับชี้ ถ้าอ่านกลอนนำบทแรกดีๆ ก็จะสังเกตเห็นได้ เป็นปริศนาแฝงถึงจุดญาณ

“ครานี้พบประกายฟ้าพิสุทธิ์ล้ำ ธรรมชี้นำครรลองจิตพิสุทธิ์ใส

ยุคขาวโปรดเวไนยสามภพไกล โปรดพุทธะให้บำเพ็ญในครัวเรือน”

การบำเพ็ญในครัวเรือนนั้นบำเพ็ญอย่างไร การศึกษาธรรมนั้นสิ่งแรกทุกๆ ท่านต้องมีใจก่อน เมื่อมีใจมาศึกษาแล้ว จิตใจก็ต้องสงบนิ่งไม่ฟุ้งซ่านใช่หรือเปล่า (ใช่) ความวิตกกังวลต่างๆ ต้องปล่อยวางก่อนดีไหม (ดี) ทุกคนต่างต้องมีข้อสงสัย แต่หากนำความสงสัยมาปิดกั้นในจิตใจ ทุกท่านก็จะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ใช่ไหม (ใช่) เปรียบเหมือนการเรียนหนังสือ ถ้าเรามีความชิงชังโกรธอาจารย์ผู้สอน จิตใจที่จะมุ่งมั่นใฝ่หาความรู้นั้น ก็ถูกความชิงชังบดบังใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจไหม ต้องเปิดใจก่อนนะ

การบำเพ็ญในครัวเรือนนั้นก็คือการบำเพ็ญท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเป็นอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาข้างนอก แต่แสวงภายในจิตใจ แสวงภายในการดำเนินชีวิต แสวงหาสัจธรรมที่อยู่ในโลกใบนี้ใช่ไหม (ใช่) มีคนเคยกล่าวไว้ว่าบ้านอันแท้จริงนั้นก็คือบ้านที่ประกอบไปด้วยผู้ชรา เด็กน้อยและผู้นำครอบครัวใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็ไม่ค่อยชอบคนชราเพราะหาว่าจู้จี้ ขี้บ่น แต่หากเราพิจารณาดูจะเห็นว่าท่านจู้จี้เพื่อให้เราประพฤติดี ประพฤติชอบ เข้มงวดเพื่อให้เรารู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ ส่วนเด็กทารกน้อยคือประคองจิตใจตัวเองบริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ที่แฝงให้ขุ่นมัว เด็กนั้นเมื่อหิวก็ร้อง เมื่ออิ่มก็หลับ ไร้ความวิตกกังวล ฉะนั้นเมื่อเราเกิดอารมณ์ก็ขอให้ประคองจิตดั่งเด็กทารก นี่คือองค์ประกอบแห่งบ้านข้อที่สองใช่หรือเปล่า (ใช่) องค์ประกอบแห่งบ้านข้อที่สามคือผู้นำแห่งครอบครัว การเป็นผู้นำแห่งครอบครัวนั้นจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร (ต้องพยายามดูแลความสงบภายในบ้าน หรือจัดระเบียบทุกอย่างให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ) ก็คือการเป็นผู้นำแห่งตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)

“ศึกษาธรรมเพียงคัมภีร์มิรู้แก่น วางสับสนตีกรอบหมื่นแสนพินิจใน

ถอยหนึ่งก้าวเพียงหวนคิดแลเปิดใจ สัจธรรมแท้เดิมใสกลางพุทธญาณ”

การศึกษาที่ถูกต้องนั้นเราต้องนำมาปฏิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งที่ทุกท่านได้เรียนรู้นี้เรียกว่าอะไร (ศึกษาธรรมะ) การศึกษาที่ทุกท่านเรียนรู้เป็นเพียงทฤษฎีแนวทาง การจะเข้าใจทฤษฎีและมีความชำนาญนั้น อยู่ที่ว่าทุกท่านจะฝึกฝนลงมือปฏิบัติหรือไม่ ถ้าเราเรียนรู้แต่หลักทฤษฎีนั้นก็เปรียบเหมือนกับคนพูดไม่ได้ เมื่อกินยาขมก็ไม่สามารถจะบอกใครได้ว่ายานี้เป็นอย่างไรใช่ไหม (ใช่) เราไม่สามารถที่จะทำให้ทุกๆ ท่านเชื่อได้ทันที แต่อยู่ที่ว่าทุกๆ ท่านพร้อมที่จะเข้าใจหลักแห่งจิตญาณสัจธรรมเดิมแท้แห่งชีวิตอันเป็นธรรมชาติหรือเปล่า

“ทุกชีวิตมีลุ่มดอนใดเที่ยงแท้ ดุจพเนจรไร้ทางแก้แบกสัมภาระ

เผชิญทุกข์ยิ่งสับสนยิ่งคลุกคละ เพียงชนะจิตตนทุกข์คลี่คลาย

ปลูกต้นโพธิ์เสริมต้นธรรมครองเคียงคู่ เมตตาอยู่กลางฤดีมีมุ่งหมาย

โปรดช่วยคนนำตนทุกข์มลาย โพธิ์ต้นใหญ่เงาร่มเย็นโอบอุ้มธรรม”

ใครจะพออธิบายกลอนสองบทนี้ได้บ้าง ที่เราให้ทุกท่านได้อธิบายเพื่อเป็นการเปิดความเข้าใจกระจ่างแจ้งในพุทธจิต ทุกท่านเข้าใจไหม ทุกๆ ท่านเคยเดินออกไปบนถนนบ้างหรือเปล่า บนถนนนี้ทำไมบางครั้งจึงราบเรียบ บางครั้งจึงขรุขระ ก็เปรียบเหมือนกับชีวิตบางครั้งเราหาสาเหตุไม่พบว่า ทำไมชีวิตถึงต้องพบความทุกข์อยู่เป็นนิจศีล ทำไมความสุขที่เราต้องการจึงไม่มาหาเราบ้าง หรือมาก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ความทุกข์ ความร้อนรุ่มจิตใจก็เข้ามาแทนที่ใช่หรือเปล่า (ใช่) ขอให้ทุกท่านเข้าใจสัจธรรมชีวิตที่ว่าเมื่อมีสูงก็ต้องมีต่ำ เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ ถ้าทุกท่านเข้าใจและปล่อยวางไม่ผูกรัดตนอยู่กับความสุข ไม่เสียใจเมื่อตัวเองทุกข์ ชีวิตนั้นก็จะมองเห็นทุกอย่างราบเรียบเท่ากันหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับดินทำไมทุกๆ ท่านจึงใช้ปัญญาพินิจสร้างให้ราบเรียบได้ เมื่อรู้ว่ามันขรุขระก็ต้องสามารถทำให้ราบเรียบได้ จิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นรากฐานแห่งสรรพสิ่งพอเข้าใจไหม (เข้าใจ) ทุกๆ ท่านมีปัญญาอยู่แล้วเพียงแต่ไขหากุญแจแห่งปัญญาของตนเอง ไขแล้วต้องไขให้ออก

ต้นไม้บางครั้งถ้าเปรียบกับชีวิตคน ทุกคนอาจจะบอกว่าเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ เราไม่สามารถเลือกสภาวะแวดล้อมต่างๆ ได้ แต่ทุกคนสามารถที่จะกำหนดชีวิตของตนเองได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อตัวเองประสบเคราะห์แล้วก็ยิ่งดูถูกซ้ำเติมตัวเอง ถ้าทุกคนประสบเคราะห์ แล้วนำเคราะห์นั้นกลับมาเป็นบทเรียนที่ดี เพื่อสอนตัวเรา เคราะห์นั้นก็เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) การศึกษาธรรม เรียนรู้จิตแห่งชีวิตอันเป็นธรรมชาตินั้น จริงๆ แล้วไม่ยากเกิน อยู่ที่ รู้เข้าใจ ปฏิบัติ และพร้อมที่จะคืนเบื้องบน ไม่ยากเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)

“สำรวมจิตพินิจสติย้อน กิเลสก่อแคลนคลอนพาใจถวิล

สนิมเกิดจากเหล็กเปรียบชีวิน กิเลสกล้าประทีปสิ้นสว่างมลาย”

ทุกท่านเคยเห็นเหล็กกล้าไหม (เคย) เมื่อโดนน้ำก็ผุกร่อนไปตามเวลาใช่หรือเปล่า (ใช่) จิตใจของเรานั้นมีคุณค่า มีความหมายมากกว่าเหล็กหลายเท่า เพราะจิตใจนั้นแฝงอยู่ในร่างกายนี้ ไม่ได้อยู่ภายนอกเลย แต่ทำไมทุกๆ ท่านถึงเอาฝุ่นเอากิเลสมาบังจิตใจได้ กิเลสนั้นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ไม่ใช่สิ่งอันตราย แต่อยู่ที่ว่าการที่จะนำกิเลสนั้นมาใส่ในตัวเราหรือเอาออกจากตัวเราต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่) ความสว่างแห่งพุทธะเดิมนั้นก็อยู่ในจิตใจของทุกๆ ท่าน พยายามอย่าให้ความสว่างนั้นเลือนหายไป บำเพ็ญธรรมที่จริงแล้วไม่ยาก เราดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติ เมื่อมีก็รู้จักเพียงพอ เมื่อขาดก็รู้จักหา แต่หานั้นก็ให้คงความพอดีไว้เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)

ใครมีข้อสงสัยบ้าง (คนเรามีความต้องการ มีกิเลส จะแก้ไขได้อย่างไร ปัญหาชีวิตของแต่ละครอบครัวมีไม่เหมือนกัน การที่จะดำเนินชีวิตให้ราบรื่น โดยที่เราไม่พลาดพลั้ง ไม่เสียเปรียบ และไม่ตกต่ำเราควรจะทำอย่างไร) พูดง่ายๆ ก็คือจะดำรงชีวิตอย่างไรไม่ให้ลุ่มดอนใช่หรือเปล่า (ใช่ ที่ผ่านมาผมสูญเสียไปเยอะ) การสูญเสียนั้นสิ่งที่เราสูญเสียมากไม่ใช่สูญเสียสิ่งของเลย จิตใจต่างหากที่เราสูญเสียและสูญหายไป ถ้าเราไม่ดูถูกตนเอง เราไม่ยกย่องสิ่งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศล้ำ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัปยศอดสู สูญเสีย เรามองทุกๆ อย่างราบเรียบ เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ประคองจิตของเราให้มั่นคงตรงเที่ยงเสมอ บางอย่างที่สูญเสียไป ถ้าเรามองถึงจิตใจ มองความถูกต้องลึกๆ สิ่งที่สูญเสียนั้นอาจจะไม่เสียเปล่า อาจจะก่อสร้างสิ่งต่างๆ ที่แฝงอยู่ภายในจิตใจให้เราได้รับรู้ว่าโลกนี้มีสิ่งใดบ้างที่อยู่กับเราถาวร เหมือนทรัพย์สินกว่าเราจะหามาได้เลือดตาแทบกระเด็น แต่ทำไมบางคนจึงไม่คิดว่าสิ่งที่เราครอบครองอยู่นั้นกว่าจะหามาได้ลำบากยิ่ง ทำไมเขาถึงเอาไปได้ง่ายดาย บางทีการคิดมากไปทำให้จิตใจเรายิ่งเจ็บช้ำ แต่ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เขาเอาไปนั้นเป็นการช่วยให้เราไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องมีพันธะ มองในแง่ดี มองกลับทุกๆ ด้าน ทุกอย่างนั้นแฝงธรรมะไว้ มีใครมองเห็นบ้างว่า ท้องฟ้านั้นเป็นสีคราม ทุกคนต่างมองเห็นเมฆหมอกที่อยู่บนศีรษะเพราะทุกคนเอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวพัน ผูกพันกับสิ่งต่างๆ แต่ถ้าเราปล่อยวางลงบ้างจิตใจนั้นก็จะเบาสบาย ไร้วิตกกังวล การทำความดีนั้นทำไมบางครั้งดูช่างยากเย็นเหลือเกิน ทำไมความชั่วทำได้ง่าย แต่ถ้าเราลองถามทุกๆ ท่านดูว่า บางครั้งเพียงเราเผลอใจทำสิ่งที่ไม่ดีนิดหนึ่ง สิ่งที่ไม่ดีนั้นก็คอยกินแหนงแทงใจเราอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม ปัญหาบางอย่างเราต้องมองย้อนกลับเข้าไปภายในจิตใจ ปล่อยวางบ้าง โลกนี้ก็จะดูแจ่มใสขึ้น ดีไหม (ดี)

“มั่นคงธรรมมิแปรตามลมพัดพา หากเหนื่อยล้าเร่งฟื้นตนเป็นคนใหม่

ปัญญาดุจศาตรารู้วิธีใช้ ร้อยปัญหาพันภัยแก้ที่จิตตน”

ศาตราวุธใดก็ไม่ร้ายเท่าศาตราวุธที่เกิดจากจิตใจ ถึงแม้เราจะมีดาบอันยาวและแหลมคมอยู่ในมือ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนไม่มีความกล้า ไม่รู้วิธีการใช้ มีดดาบแหลมคมนั้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กท่อนหนึ่ง แต่ถ้าในจิตใจของทุกคนมีมีดดาบ มีดดาบอันนี้ไม่ใช่มีดดาบที่คอยทิ่มแทง แต่เป็นมีดดาบแห่งภูมิปัญญาของพุทธะที่รู้จักนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต รู้จักนำมาใช้ในการดับทุกข์ ก่อเกิดสุขอันนิรันดร์ มีดอันนี้ก็ย่อมมีคุณค่าเหนือสิ่งใดๆ เริ่มจะเข้าใจการดำรงชีวิตด้วยการบำเพ็ญตนหรือยัง ทุกๆ คนมีพุทธจิตอันผ่องใสอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้สิ่งใดมาปกคลุม การดำรงตนให้บริสุทธิ์นั้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เราบริสุทธิ์ได้ อยู่ที่ว่าจิตใจเราจะกระทำตนอย่างไรให้บริสุทธิ์ถาวร เมื่อเราบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครสามารถแย่งเอาความบริสุทธิ์ในจิตใจของเราออกไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)

“บำเพ็ญตนเคร่งครัดตนจึงถึงฝั่ง ติดวัตถุฤๅได้นั่งเรืองามผ่อง

มิหูเบาศรัทธามั่นพุทธะครอง เพียงอดทนลดอัตตากระจ่างจริง”

ตอนนี้ทุกคนเข้าใจและพร้อมจะปฏิบัติหรือเปล่า (พร้อม) อัตตาที่เราผูกมัดอยู่นั้นก็คืออัตตาตัวตนครอบครองสิ่งต่างๆ ไว้ เรายิ่งครอบครอง เราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผูกรัดใช่ไหม (ใช่)

การที่เราให้ทุกท่านได้ดื่มน้ำนั้น จริงๆ แล้วอยากให้ทุกคนนึกถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงานธรรมบ้าง บางครั้งทุกคนอาจจะคิดว่าดูน่ารำคาญ ตามเราอยู่ตลอด แต่ถ้าเรานึกถึงจิตใจเขาดีๆ ว่าสิ่งที่เขาต้องการให้เรารู้นั้นเป็นสิ่งใด มีค่าเพียงใด ถ้าทุกคนเข้าใจความหมายและความรู้สึกของผู้ปฏิบัติงานธรรม ทุกคนก็จะรู้ว่าเขามีจิตใจที่บริสุทธิ์มากเพียงใดใช่ไหม (ใช่) บางอย่างนั้นหากไม่ยึดอัตตาตัวตนมากก็จะทำให้เราสบายใจกว่า จิตใจคนนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขอให้พิจารณาไตร่ตรองให้ดี

เวลาของเราก็มีไม่มากแล้ว ขอให้ตั้งใจศึกษาฟังให้เข้าใจ อย่าปล่อยให้ความอ่อนเพลียมารุมรัด ถ้ามีโอกาสเราคงได้มาพบกันใหม่




วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ฟ้าหลังฝนงดงามเพราะคนมีธรรม ชีพระกำสร่างหายเมื่อผ่านอุปสรรค

ศึกษาธรรมสองวันแท้จิตประจักษ์ เร่งรีบหักเรื่องปุถุชนที่ทรมาน

เราคือ

พระอรหันต์จี้กง อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายเคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ

งงงงงวยงวยจิตสงสัยลังเลหนัก จิตตระหนักมิเห็นความล้ำค่า

ก็ทำไมท่านเป็นใครเดินเข้ามา มิรู้ข้าจี้กงสงฆ์วิปลาส

ตรงเที่ยงแท้จิตศิษย์พิสุทธิ์ใส บำเพ็ญธรรมทางขรุขระยากหนักหนา

มาฟันฝ่าช่วยพี่น้องมิช้ำอุรา ปีนขึ้นเสาชักช้าลำบากจริง

ร่วมสถานจิตเบิกบานมิถูกปิด น้ำอมฤตปัญญานิ่งเป็นรากฐาน

ประชุมนี้งานฟ้าช่วยพุทธญาณ จิตประสานเป็นหนึ่งรู้ตนเอง

ใจมั่นคงมิโลเลสำเร็จได้ ฝนกระหน่ำศิษย์มิคลายศรัทธาหนา

ตุ้มตุ้มต่อมต่อมใจนี้มินิ่งนา หรือจะฝ่าพายุร้ายแห่งชีวิน

คนมากมายสู่สถานบ้านพุทธา นาม

ต่อไปนี้ให้ศิษย์รักจงพยายาม ฝ่าขวากหนามไม่ท้อลงกลางคัน

ฮา ฮา หยุด

ฟ้ามืดครึ้ม เมฆฝนรำไร ให้ใจสงบอยู่ อย่ากลัวฝน เพราะทุกครั้งที่ทุกข์เกินทน ฝนคงเป็นแรงใจที่ดี

* ฟ้ามืดครึ้ม เมฆฝนบังตา ใช้ปัญญายืนหยัดลุก พ้นขมแล้ว ได้หวานใจสุข ไม่เกรงอุปสรรคขวางใจ

ความจริงฝนมีพลัง สุขทุกข์สัจธรรม ให้จิตเราเยือกเย็น ในยามทุกข์ เกินกำลัง จะสอนจิตเติบโต ต้องอดทนรู้ใจตนเอง (ซ้ำ *)

มนุษย์นั้นไม่รู้ทางเดิน เพราะเพลินกิเลสกับมายา จนวันหนึ่งได้พบนาวาที่พาจิตตนสู่นิรันดร์

อาจารย์ต้องนำนาวา สิบทิศก็จะพาให้ศิษย์เราได้ยิน ยามใดคิดจนลังเล ไขว้เขวเจ้าจะคืนแห่งใด ดั่งฟ้าขาดตะวัน จิตขาดธรรมะ เจ้าจะคืนอย่างไร

เพลง : ฟ้าหลังฝน

ทำนองเพลง : กระจกเงา




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ในพุทธสถานมีการแบ่งแยกหญิงชายชัดเจน เวลากราบพระทำไมชายหญิงถึงแยกกัน (ไม่ทราบ) มีใครชี้แนะเขาบ้าง (ในพุทธสถานชายหญิงแบ่งแยกอย่างชัดเจน แม้เราไม่ใช่พระสงฆ์ เราเป็นฆราวาส แต่ก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรม จึงต้องแยกชายหญิงให้เป็นระเบียบ นี่เป็นพุทธจริยระเบียบ)

ในการบำเพ็ญธรรม ความกตัญญูมี ๒ แบบ คือ กตัญญูแบบปุถุชนและกตัญญูแบบอริยะ กตัญญูแบบปุถุชนก็คือการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ที่ท่านได้ชุบเลี้ยง จัดงานวันเกิดเลี้ยงดูในยามแก่ชรา ส่วนกตัญญูที่อาจารย์พูดถึงนั้นหมายถึงการกตัญญูที่สูงกว่าการกตัญญูแบบปุถุชน นั่นคือการที่เราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมสูงกว่าตรงไหน การที่เรากตัญญูนั้นถ้าเราเป็นปุถุชนสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ให้ท่านกินอยู่หลับนอนอย่างดี เลี้ยงดูให้สุขสบายทุกอย่าง แต่ว่าไม่สามารถช่วยเหลือให้ท่านหลุดพ้นไปได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าตัวเราเองยังทำให้เราหลุดพ้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วคิดว่าการกตัญญูที่สามารถให้พ่อแม่หลุดพ้นนี้เป็นกตัญญูที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า (ยิ่งใหญ่) รู้ไหมว่าต้องทำอย่างไรพ่อแม่จึงจะหลุดพ้นได้ ในยุคสามนี้อาจารย์บอกได้อย่างหนึ่งว่า การช่วยให้พ่อแม่ของเรารับธรรมะเป็นสิ่งที่เป็นกตัญญูสูงสุด คนที่ไม่มีพ่อแม่แล้วก็ยังกตัญญูได้ด้วยการฉุดช่วยเขา เคยได้ยินไหม ค่อยๆ ศึกษาไปนะ

ทำไมอาจารย์จึงบอกว่าปีนขึ้นเสานั้นช้าและยากลำบาก คนเราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญยากลำบากนัก แต่ว่าพอถดถอยก้าวเดียวก็หล่นลงมาถึงพื้นได้ เช่นนี้ศิษย์รักจะท้อไหมถ้าต้องบำเพ็ญ (ไม่ท้อ) รู้ไหมว่าทำไมเราจึงต้องบำเพ็ญ (ให้ภาวะจิตของเราสูงขึ้น) ภาวะจิตไม่มีสูงไม่มีต่ำแต่ว่าที่เราต้องบำเพ็ญเพราะทุกๆ วันมีทุกข์ เกิดมาเจ็บแก่แล้วก็ตาย ชีวิตคนเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถึงเวลาต้องเวียนว่ายตายเกิด รู้สึกว่าชีวิตนี้ก็ทุกข์ ทุกๆ ชาติก็เป็นอย่างนี้ แล้วศิษย์รักของอาจารย์คิดจะหลุดพ้นหรือไม่ ถ้าศิษย์คิดจะหลุดพ้นนั่นคือจุดประสงค์ของการบำเพ็ญใช่ไหม (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ตระกูลวงศ์จันตาทั้งครอบครัวออกมาข้างหน้าชั้น) มีใครคิดขอบคุณเขาบ้าง (พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้) ผลงานนี้ถ้าไม่สร้างเราก็ไม่ได้ ถ้าหากว่าเรารู้ที่จะลงมือปฏิบัติ ก็จะมีผลงานเกิดขึ้น เพราะว่าผลงานย่อมเกิดกับผู้ที่กระทำเสมอ

อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์บำเพ็ญเพื่ออาจารย์ แต่ขอให้ศิษย์บำเพ็ญเพื่อตัวเอง ถ้าหากคิดว่าธรรมะที่อาจารย์ส่งมาให้นี้เป็นของปลอม ไม่เที่ยงแท้ นั่นแสดงว่าปิดปัญญาตัดโอกาสของตนเองไปเสียแล้ว วันนี้ไม่เข้าใจ วันนี้ต้องถาม พรุ่งนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้ต้องถาม ไม่ใช่คิดว่าเราไม่เข้าใจ เราก็ตอบเอง ในที่สุดก็เอาความสงสัยนั่นเป็นขาที่จะเดินห่างธรรมออกไป ถ้าศิษย์ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับปิดโอกาสตนเอง แล้วจะหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้) วันนี้อาจารย์มาสอนศิษย์ทุกคน ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เพราะว่าอาจารย์หวังดี ไม่อยากให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด ชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชาตินี้ไม่ยอมบำเพ็ญแล้วชาติหน้าจะไปไหนรู้ไหม (ไม่รู้) ถ้าอยากรู้ก็ขอให้เริ่มแต่วันนี้ อย่างน้อยมีบุญมีกุศลช่วยเป็นทางให้ตัวเอง ให้ชีวิตนี้ราบเรียบขึ้นไม่ขรุขระ ได้หรือเปล่า (ได้)

ศึกษาธรรม ๒ วันง่ายไหม ศึกษาธรรมะง่ายแต่ว่าบำเพ็ญยาก อนุตตรธรรมเป็นธรรมะแบบไหน แล้วสงสัยไหมว่าทำไมไม่ออกไปตั้งวัดเหมือนอย่างในยุคแดง ธรรมะในยุคขาวนี้เป็นธรรมะที่ซ่อนเร้น แต่ว่าจะรุ่งเรือง แล้วทำไมธรรมะถึงต้องซ่อนเร้นสู่ยุคสามนี้ ตอนนี้ข้างนอกเป็นอย่างไร รู้ไหมว่าทำไมธรรมะต้องลงมา ถ้าหากว่าเมื่อใดโลกวุ่นวายย่อมมีธรรมะมาฉุดช่วย เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์เข้าใจว่า ตอนนี้เป็นยุคสาม เป็นยุคปลาย เพื่อช่วยศิษย์ทุกคนและเพื่อช่วยเวไนยทุกคนแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ต่างลงมาช่วยเก็บงาน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้รับธรรมะก็ไม่รู้ที่ตั้งของจิต จึงหลุดพ้นไม่ได้ ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าจิตอยู่ที่ไหนใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วจึงสามารถที่จะบรรลุได้ แต่ว่ามนุษย์ยังมีกุศลไม่มากพอ จึงจำเป็นต้องบำเพ็ญ ถ้าหากว่าคนบำเพ็ญแล้ว คนรู้แล้ว ก็เป็นอริยาได้ใช่ไหม (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อพุทธสถานว่า “หงเต้า”)

ตอนนี้คนใหม่ๆ ก็ยังไม่เห็นค่าของชื่อสถานธรรม มีชื่อแล้วแปลกตรงไหนใช่ไหม จะหงเต้าไม่หงเต้าก็อยู่ที่ผู้นำแล้วนะ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : คำว่า “หงเต้า” หมายถึงการแพร่สะพัดธรรม คำว่า “หง” คือการแพร่สะพัด “เต้า” คืออนุตตรธรรม สถานธรรมแห่งนี้ถือว่าห่างไกลพอสมควร คนที่เป็นผู้นำก็ต้องออกไปหาคนทั้งหลาย เอาธรรมะนี้ไปให้คนทั้งหลาย จึงเหมือนภารกิจอันหนึ่งที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ด้วย วันนี้พวกเราทั้งหลายต้องช่วยกันนำธรรมะนี้ไปสู่หมู่บ้านที่เราอยู่ จึงจะเรียกว่าเป็นการประกาศให้ธรรมะแพร่สะพัดไปทั่วทุกหมู่บ้านแห่งนี้) เข้าใจไหม (เข้าใจ)

ในเพลงนั้นทำไมอาจารย์จึงบอกว่าให้ใจสงบอยู่กลางฝน ฝนก็เปรียบได้กับอุปสรรค ทุกคนมีจุดหมายแห่งชีวิต อยู่ที่ว่าจุดหมายนั้นนำพาเราไปสู่อริยะหรือปุถุชนเท่านั้น แม้จะเจอความยากลำบากของชีวิตในเรื่องต่างๆ อย่าเห็นว่าอุปสรรคจะทำให้ศิษย์นั้นล้มไปเลย แต่ว่าอุปสรรคอาจจะทำให้จิตเราดีขึ้น เมื่อผ่านทดสอบแล้วจะเห็นอุปสรรคเป็นแรงใจได้ คนเราถ้าไม่เจออุปสรรคก็ไม่โต ในวรรคต่อไปบอกว่า ถ้ามีอุปสรรคมาบังตา ก็ขอให้ใช้ปัญญาของเราพินิจพิจารณา ทำได้หรือเปล่า ชีวิตมนุษย์ถ้าไม่ท้อก็ไม่มีเรื่องที่เราจะแพ้ตนเอง เข้าใจหรือเปล่า

เพลงบทนี้อาจารย์ให้กำลังใจ สำหรับคนที่ท้อลงแล้วขอให้รู้ว่าในอุปสรรคนั้นมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ ทุกข์แล้วได้สุข สุขแล้วได้ทุกข์ ไม่มีอะไรถาวรเลยใช่ไหม ตอนนี้ชีวิตนี้รู้หรือยังว่าตนเองมุ่งหมายจะไปทำอะไร อยากจะเป็นพระอริยะหรืออยากจะเป็นปุถุชน (พระอริยะ) แต่ว่าอาจารย์อยากจะบอกว่าคิดจะเป็นอริยะไม่ใช่นึกจะเป็นก็เป็นได้ คนที่มีความพยายามเท่านั้นที่จะก้าวไปถึง ถ้าหากว่าตัวเองท้อแท้ไม่ตั้งใจ เราก็จะเดินไปไม่ถึงคำว่าอริยะ การปฏิบัตินั้นขอให้สร้างคุณงามโดยเริ่มจากจิตใจ ทำได้หรือเปล่า (ได้) ขอให้พยายามกันทุกคนเลยนะ อาจารย์หวังว่าวันนี้อาจารย์มาไม่เสียเปล่า อย่างน้อยศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนตื่นขึ้นบ้าง มีกำลังใจขึ้นบ้าง ต่อไปให้หมั่นกลับมาศึกษาอย่างที่อาจารย์บอกไปแล้ว สงสัยสิ่งใดก็ให้ถาม คนที่มีความพร้อมทั้งฐานะการเงิน การงาน อย่าปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกระแสน้ำ อย่าให้ตัวเองทุกข์จนทำอะไรไม่ถูก คนที่ยังเยาว์ก็ต้องรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างไร รู้ไหม (รู้) อีกอย่างที่อาจารย์จะขอ ก็คืออย่าเห็นว่าอาจารย์มาวันนี้เป็นการเล่นละคร อาจารย์หวังดีต่อทุกคน และก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า ละครฉากนี้สนุกนัก คนที่มาที่นี่ถ้าเขาไม่จริงใจ ถ้าเขาไม่ศรัทธา ศิษย์ก็คงไม่มีที่มานั่งฟังธรรม ความพยายามของคนที่นำเราอยู่ข้างหน้านั้น ถ้าเห็นว่าความพยายามของเขาเป็นสิ่งหลอกลวงร่วมไปกับอาจารย์แล้ว อาจารย์จะน้อมรับไว้คนเดียว หากวันนี้ต้องเสียเปล่าไป ศิษย์ก็อย่าเสียใจไปเลย ขอให้ศิษย์ทุกคนเป็นเด็กดี
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา