PDF 2538-05-20-ลำปาง (เหยินเต๋อ ) #5.pdf
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ มูลนิธิพุทธธรรมจีน จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ใจแน่วแน่สม่ำเสมอบำเพ็ญญาณ พุทธบุตรจากบ้านมัวเมาหลง
เสริมคุณธรรมน้อมใจในโลกปลง ธุลีผงกิเลสเร้าติดบ่วงมาร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ
ขอสำรวมจิตเที่ยงตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกล้วนสิ่งสมมติอุบัติมา แต่ชีวายังยึดติดให้เฝ้าหลง
มีความอยากฟุ้งซ่านจิตต่ำลง ดั่งญาณตนถูกขังกรงทรมาน
ชีวิตหนี้ต้องชดใช้มีกฎกรรม เหล่าเวไนยยังกระทำผิดอีกหรือ
ยังมิแก้มิศึกษามิฝึกปรือ เมื่อถึงวันเก็บกาลคือโศกอาลัย
ชีวิตที่เกิดมาสิ่งใดสำคัญ ศิษย์น้องหมั่นรักษาญาณตนได้ไหม
รักโลภโกรธหลงเศร้าอยู่กลางใจ แล้วเมื่อไรจิตพุทธาสถิตคง
มัชฌิมาปฏิปทาเดินรุดหน้า ด้วยไตรรัตน์เวทนาจะหมดสิ้น
ด้วยค่าล้ำสามสิ่งสงบอาจิณ อย่าได้หลงดิ้นรนหาทรัพย์ไป
คุณธรรมบังเกิดดั่งชนบุราณ อย่าได้ใช้อัตตาพาลให้ตนต่ำ
อย่าได้ใช้ความผิดตนติดจองจำ เพียงสำนึกกุศลกระทำพ้นหนี้เวร
ประชุมธรรมยิ่งใหญ่สะเทือนภพ ขอน้อมนบพิจารณารู้เหตุผล
จงตั้งใจศึกษาวิถีพ้นปุถุชน อริยชนสู่แดนนิรพาณ
สองวันนี้ขอรักษาซึ่งระเบียบ เราจะยืนเคียงข้างคุมสถาน
วนพู่กันจรดวาง
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่
ญาณจดจ่อบำเพ็ญด้วยหมั่นเพียร ผืนนาเตียนไถพรวนปลูกต้นกล้า
ญาณซึมซับแล้วแพร่สู่ประชา เจริญทางแห่งฟ้าไร้ทุกข์ตรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดรแล้ว ถามเมธีทุกท่านเกษมสราญฤๅ
เมื่อยามเกิดอารมณ์โกรธขึ้นในจิต สำรวมคิดผู้ใดที่ตนโกรธขึ้ง
มนุษย์ล้วนธาตุทั้งสี่รวมเป็นหนึ่ง ฉะนั้นจึงรำลึกไว้ระวังตน
เมื่อปิดตาภาพนานาล้วนมิต่าง เมื่อปิดหูไร้การฟังสำเนียงสิ้น
ไร้จมูกไร้การรับรู้กลิ่น รสผ่านลิ้นแล้วประหนึ่งรสเดียวกัน
กายานี้จะควบคุมหาได้ไม่ ฉะนั้นจึงมิใช่ตนเป็นเจ้าของ
เป็นสภาวะธรรมชาติตามครรลอง หากใฝ่ปองยึดกายนี้ยากสงบจริง
ฮา ฮา หยุด
โลกช่างดูงดงาม จากน้ำใจ เฝ้ามองเวิ้งฟ้าไกล สดใสตระการตา เมื่อยามใจทุกดวง เปี่ยมความรักและเมตตา ปรารถนาทั่วแดนเป็นสุข
แต่บางคราโลกมอง หม่นหมองไป ขาดไมตรีน้ำใจ ขาดสามัคคี เนื่องจากคนเผลอใจ ลืมแล้วความปรานี ต่างแก่งแย่งชิงดี เศร้าหมอง
หากดูแลบำเพ็ญใจ ได้มั่นคง อยู่แห่งไหนดวงใจยังคงมีสุข โลกจะสวยสะอาดหรือจะสับสน ยังรู้ญาณตนเสมอ
หมั่นดูแลบำเพ็ญใจ ผ่องแผ้วใส จิตหนึ่งรวมสร้างพลังเหนือใด ปราการร้อยพันจะพ้นได้โดยรู้ตน
ทำนองเพลง : หลับตา
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่
“ญาณจดจ่อบำเพ็ญด้วยหมั่นเพียร ผืนนาเตียนไถพรวนปลูกต้นกล้า” (แพร่ขยายไปสู่ทุกๆ คนที่ได้เข้ามา ณ ที่นี้) เมธีทุกท่านว่าถูกหรือผิด (ถูก) ถูกอย่างไรตอบได้ไหม (เหมือนกับจิตที่ว่างเปล่า ในประโยคแรกจิตใจที่จะบำเพ็ญเพียรคือ มีจิตที่ตั้งมั่นที่จะปลูกผืนแผ่นดินนั้นให้เจริญงอกงามตามประโยคที่สองดังกล่าว) แล้วประโยคที่สามล่ะ “ญาณซึมซับแล้วแพร่สู่ประชา” (เหมือนกับว่าแผ่นดินนั้นเราปลูกต้นพืชเอาไว้ เมื่อเจริญงอกงาม คนอื่นได้เห็นก็ประจักษ์สู่สายตาของประชา) ต้นพืชนั้นคืออะไร เจริญทางแห่งฟ้าคืออะไร “เจริญทางแห่งฟ้าไร้ทุกข์ตรม” (เมื่อทุกคนได้ประจักษ์แล้ว ทุกคนก็พยายามที่จะทำ แล้วความทุกข์หรือความโศก กิเลสทั้งหลายก็จะหายหรือสลายไป เหลือแต่ความสุข)
การมาฟังธรรมะในสถานธรรมนี้ ถ้าฟังด้วยจิตใจที่สงบก็ถือว่าเป็นการไม่สร้างทั้งกุศลและบาป ตั้งแต่เมธีทุกท่านเกิดมาจนมีอายุถึงปัจจุบันนี้ มีกี่ชั่วโมงที่สร้างความดี มีกี่ชั่วโมงที่ไม่ได้ทำอะไรเลย และมีอีกกี่ชั่วโมงที่สร้างบาป เมธีท่านทราบไหม (ไม่ทราบ นับไม่ได้) ยากที่จะนับใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่สามารถทราบได้ว่าขณะนี้ตนเองมีบาปมากกว่าหรือมีบุญมากกว่า และทำอย่างไรถึงจะแน่ใจว่าตนเองจะมีบุญกุศลมากกว่าบาป ต้องเร่งสร้างกุศลต่อใช่ไหม แล้วจะสร้างกุศลได้อย่างไร (ช่วยเหลือคนที่ลำบากและช่วยเหลือในสิ่งที่ตนเองทำได้) ช่วยเหลือทางร่างกายหรือทางจิตญาณดี ถ้ามีโอกาสเราก็ต้องช่วยเหลือทั้งสองทางใช่ไหม (ใช่)
มีเมธีท่านใดบ้างไหมที่ไม่เคยมีอารมณ์โกรธเลย ทุกท่านล้วนเคยมีอารมณ์โกรธจนนับไม่ถ้วนใช่ไหม (ใช่) แสดงว่ามีประสบการณ์เรื่องอารมณ์โกรธเป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นทราบไหมว่าทำอย่างไรจึงจะไม่มีอารมณ์โกรธได้ วิธีง่ายๆ ที่จะละอารมณ์โกรธได้มีอยู่วิธีหนึ่งคือ เมธีทุกท่านคงทราบว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ ฉะนั้นเวลาที่ท่านเกิดอารมณ์โกรธกับใครขึ้นมา ถ้าลองพิจารณาดูดีๆ ก็จะเหมือนเรามีอารมณ์โกรธกับธาตุทั้ง ๔ นั้นใช่ไหม (ใช่) โกรธกับธาตุทั้ง ๔ นี้ถูกต้องตามเหตุผลไหม ถ้าเช่นนั้นเกิดจากอะไรถ้าคิดว่าไม่ได้โกรธกับธาตุทั้ง ๔ ถ้ามองตามรูปลักษณ์ที่เห็นได้แล้วก็คงพาลโกรธกับธาตุทั้ง ๔ ซึ่งเหมือนการโกรธสิ่งของ เราน่าจะโกรธอีกไหม แต่ถ้ามองทางจิตแล้ว การโกรธคนก็คือการโกรธตนเองที่ไม่สามารถจะระงับอารมณ์โกรธของตนเองได้ ถ้าตนเองสามารถระงับอารมณ์โกรธของตนเองได้แล้วก็ย่อมไม่เกิดอารมณ์โกรธใดๆ ถูกไหม (ถูก)
การหลับตา บางครั้งอาจจะเป็นการพักผ่อนหรือบางครั้งอาจจะเป็นการคิดเรื่องต่างๆ เมื่อเวลาปิดตาแล้ว เมธีจะยังมองเห็นภาพภายนอกว่าสวยงามหรือมีตำหนิอยู่ไหม (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นรูปลักษณ์ภายนอกจะสวยงามหรือมีตำหนิก็ไม่เป็นผลอะไร ถ้าหากเป็นผลจริงๆ เมธีทุกท่านก็คงจะไม่ฟังเราพูดธรรมะในวันนี้หรอก เพราะเรามีขาที่พิการ มีตำหนิใช่ไหม
“เมื่อปิดหูไร้การฟังสำเนียงสิ้น” เมื่อเราปิดหูแล้ว เสียงที่ไพเราะหรือคำต่อว่าอะไรก็เหมือนกันใช่ไหม “ไร้จมูกไร้การรับรู้กลิ่น” (โดยปกติจมูกเราก็รับกลิ่นได้ เอาไว้หายใจเพื่อการยังชีพ แต่ถ้าตราบใดมีสิ่งใดเข้ามาอุดจมูกเราไว้ เราหมดลมหายใจ ร่างกายเราจะไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งสิ้น) การขึ้นมาอธิบายพระโอวาทมีประโยชน์อย่างไรรู้ไหม (ทำให้เกิดปัญญา)
“รสผ่านลิ้นแล้วประหนึ่งรสเดียวกัน” (เรากินอะไรเข้าไป เมื่อผ่านลิ้นไปแล้ว ก็เปรียบเหมือนรสเดียวกัน) ไม่ผิด แล้วมีความหมายแฝงว่าอย่างไร รสชาติอะไรผ่านลิ้นไปแล้วก็เหมือนกัน ภาพต่างๆ ที่สวยหรือไม่สวย ผ่านไปแล้วก็เหมือนกัน (ให้ทำใจ เมื่อทำใจได้แล้วเราก็รู้สึกเหมือนกัน) ถูกต้อง นี่คือการตอบที่ถูกประเด็นที่สุดใช่ไหม เมื่อบอกว่าให้ทำใจ เมื่อทำใจได้แล้วทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสของเราก็รู้สึกเหมือนกันทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุข หรือเศร้าหมอง ทุกอย่างก็เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)
เมธีท่านคิดว่าร่างกายนี้เป็นของตนเองหรือเปล่า (ไม่ใช่ของตนเอง เป็นของที่ปรุงแต่ง) เป็นของที่ปรุงแต่งขึ้นแล้วมองเห็นไหม (เห็น) จับต้องได้ แต่ไม่ยั่งยืนใช่ไหม ที่ว่ากายนี้ไม่เป็นของตนเอง เพราะว่าเราควบคุมกายของตนเองไม่ได้ เวลาเราเจ็บป่วยเราไม่สามารถจะบอกร่างกายได้ว่าเลิกเจ็บได้แล้ว จะไปบำเพ็ญธรรมะแล้ว จะไปทำงานแล้ว ถึงเราบอกอย่างนี้ไป ร่างกายก็ไม่อาจจะเลิกเจ็บป่วยได้ใช่ไหม (ใช่) ร่างกายเราก็ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนต่างๆ ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปเรื่อยๆ มนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ เราไม่สามารถควบคุมได้ จึงกล่าวได้ว่าไม่ใช่เป็นของตนเอง ร่างกายไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน แล้วสิ่งไหนที่ยั่งยืน (ความดีที่กระทำ, จิตญาณ, ความดีความชั่ว, ความมีธรรมะของอนุตตรธรรม) จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ยั่งยืนทั้งหลายนั้นล้วนมิใช่สิ่งที่มีรูปลักษณ์ทั้งสิ้นใช่ไหม (ใช่) มีได้หลายคำตอบ ผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกๆ ท่าน เวลาที่ญาติธรรมตอบคำถาม ทุกท่านก็ต้องตั้งใจฟังเช่นกัน เพราะว่าบางครั้งคำตอบที่เขาตอบมานั้นเราอาจจะยังไม่เคยนึกถึงเลยก็ได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วผู้ใดที่เป็นอาจารย์แนะนำรับรอง ถ้าตั้งใจฟังคำตอบของญาติธรรม แล้วรู้ว่าเขาตอบถูกหรือตอบผิด หรือสนใจในเรื่องใดก็สามารถจะนำไปส่งเสริมได้อย่างถูกต้องใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลงหลับตา) เวลาไม่มีกายเนื้อแล้วก็ลำบากใช่ไหม (ใช่) จะมาผูกบุญสัมพันธ์กับเมธีทุกท่านก็ต้องรองานประชุมธรรมถึงจะสามารถมาได้ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนร้องเพลงอีกครั้ง)
ขณะที่ร้องเพลงธรรม ได้พิจารณาเนื้อเพลงหรือเปล่า คำโอวาทที่ให้ไปนั้น แต่ละคนก็เข้าใจไม่เหมือนกันใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงต้องร่วมกันศึกษาธรรมะเพื่อจะได้ทราบว่า คนอื่นเขาสามารถเข้าใจได้มากแค่ไหน และตนเองเข้าใจและสามารถพิจารณาได้แค่ไหน แล้วก็ปรับปรุงกันขึ้นไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก)
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับเมธีทุกท่านนานพอสมควรแล้ว คิดว่าเมธีทุกท่านคงจะได้รับความรู้หรือธรรมะต่างๆ ได้ (ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา) คำขอบคุณเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย ฉะนั้นเราก็หวังว่าวันนี้และวันต่อๆ ไปจะได้เห็นเมธีทุกท่านปฏิบัติได้ตามที่พูดไว้ วันนี้และพรุ่งนี้ก็ขอให้เมธีทุกท่านมีจิตใจที่สงบ ตั้งใจฟังธรรมะต่อไปและรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้เพื่อจะได้ไปเผยแพร่ธรรมะต่อดีไหม (ดี) วันข้างหน้าหากเมธีทุกท่านบำเพ็ญต่อไปก็คงจะมีโอกาสได้พบกับเราอีก มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ลาก่อน
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใจตั้งมั่นบำเพ็ญในกลียุค พบตนพุทธะแจ้งแล้วในตนหนา
จิตสองแยกกังขาในอริยา ปรารถนาตัดมละใจสู่ทารกเดิม
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงวิปลาส รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนจิตสำรวมดีอยู่หรือเปล่า
แม้ฟืนไร้อัคคียังชัชวาลต่อ ชีวิตขอพลีรักษาญาณสุกใส
กายาคนเพลาจำกัดมิคงไว้ สิ้นชีพไปคุณธรรมยังคงชวาลา
กาลผลัดเปลี่ยนเร่งหมายเข้าอุทิศ ประกอบกิจจงรีบใจบำเพ็ญหนา
พุธชนพึงทอนละออกซึ่งอัตตา มรรคาลัดเพลี่ยงเป็นบรรเลงทุกข์โศกา
เดินทางมนุษย์แสนลำบากลมกรรโชก ยามละโลกละชีวาหลงอาสา
ปลงชีวิตกายสมมติในเหลื่อมหล้า ปรารถนาเยื่อใยสิ่งใดในปรีดี
มือสร้างตรวนเที่ยวกรรมกุศลวิบาก ปัจจุบันมากดีชั่วหนี้ทวงถาม
หนี้เร็วช้าต้องใช้พินิจตาม โลกยุคสามคับขันโปรดเร่งมือ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของทุกๆ คน ทุกๆ คนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ใช่ไหม ถ้าเราช่วยคนอื่น เรามีจิตใจเมตตา มีคุณธรรม เราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เดินอยู่ในโลกมนุษย์นี้ถูกไหม (ถูก) แล้วเมื่อสักครู่นี้อาจารย์บรรยายธรรมบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทุกคนมองหาใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) หาพบหรือยัง อยู่ตรงไหน อยู่ที่ตัวเราใช่ไหม (ใช่) เมื่อวานนี้ท่านแปดเซียนมาเยือน มีใครไม่ตอบคำถามท่านบ้าง ต่อไปหากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้พระโอวาท เราต้องทำอย่างไร (ต้องร่วมมือกันตอบคำถาม) จิตใจของทุกคนต้องรู้สำนึกขอบคุณใช่ไหม (ใช่)
สองวันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหนื่อย ง่วง ดีใจ หรือว่าเบิกบานแล้วก็เบื่อบ้างบางครั้ง เพราะฟังไม่ค่อยเข้าใจใช่ไหม อาจารย์รู้สึกว่ามีหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ ให้อาจารย์บรรยายธรรมมาอธิบายกลอนนำก่อนดีไหม
“ใจตั้งมั่นบำเพ็ญในกลียุค” (ยุคนี้เป็นยุคที่สามหรือยุคสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ตั้งใจมั่นหรือบำเพ็ญในยุคนี้ก็อาจจะหมดโอกาส)
“พบตนพุทธะแจ้งแล้วในตนหนา” (พุทธะในดวงจิตของเราหรือจิตญาณของเราที่อาจารย์ชี้ให้ตรงจุดนั้น ก็คือที่ตั้งของพุทธจิตธรรมญาณของเรา ให้เราบำเพ็ญที่จุดนั้น)
“จิตสองแยกกังขาในอริยา” (จิตของเราแบ่งเป็นสองจิตคือจิตที่ดีกับจิตที่ไม่ดี จึงทำให้เราเกิดความสงสัยในอริยะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเรารวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วตั้งใจฟัง สิ่งเดียวที่จะได้รับก็คือสัจธรรมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง)
“ปรารถนาตัดมละใจสู่ทารกเดิม” (เราต้องพยายามขจัดกิเลสต่างๆ ที่อยู่ในจิตใจ และขจัดอารมณ์ที่ไม่ดีนั้นออกไป ให้คงไว้ซึ่งจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็คือจิตใจที่ผ่องใสดั่งทารก)
“แม้ฟืนไร้อัคคียังชัชวาลต่อ” (สิ่งนี้เป็นธรรมะที่อาจารย์ให้กับเรา ขึ้นต้นว่าแม้ฟืนไร้ไฟ หมายความว่าหากเป็นกฎเกณฑ์ทางโลก ฟืนต้องใช้ไฟแน่นอน แต่ในสภาวะจิตของเรานี้เป็นสภาวะที่ไม่มีการจุดดับก็สามารถที่จะชัชวาลได้อยู่แล้ว หมายถึงสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในตัวสามารถสว่างได้)
“ชีวิตขอพลีรักษาญาณสุกใส” (ชีวิตนี้โชคดีได้เกิดกายเป็นมนุษย์ เมื่อได้รับธรรมะแล้ว ก็จะขอสละตนเพื่อฉุดช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเพื่อรักษาจิตญาณของตนให้สว่างสดใสดังเดิม)
“กายาคนเพลาจำกัดมิคงไว้ สิ้นชีพไปคุณธรรมยังคงชวาลา” ชวาลา แปลว่า ตะเกียง (คือชีวิตของคนเรา แต่ก่อนที่เราจะสิ้นชีพไป เราควรที่จะหาสิ่งที่ดีคือคุณธรรม เมื่อมีจิตใจที่ดีพร้อมที่จะเผยแพร่ธรรมและพร้อมที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรม เปรียบเหมือนกับแสงตะเกียงที่เราจุดไว้พร้อมที่จะสว่างไสวตลอด, ชีวิตคนเราสั้น เมื่อเทียบกับอายุของโลกและของจักรวาล เมื่อวันก่อนๆ ยังเป็นเด็กอยู่ วันนี้เข้าสู่วัยกลางคน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่จะเหลือไว้ก็คือคุณธรรม)
“กาลผลัดเปลี่ยนเร่งหมายเข้าอุทิศ” (ตอนนี้เข้ายุคสามแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่คับขันมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็ควรจะรีบๆ ทำในสิ่งที่พระอนุตตรธรรมมารดาท่านหวังที่จะให้พวกเราที่เป็นลูกๆ ทั้งหลายมีโอกาสกลับไปพบท่านอีกครั้งหนึ่ง)
“ประกอบกิจจงรีบใจบำเพ็ญหนา” กาลเวลาผลัดเปลี่ยนไปแล้วต้องรีบบำเพ็ญ เพราะว่าตอนนี้คือยุคสาม กาลคับขันแล้วใช่ไหม (ใช่)
“พุธชนพึงทอนละออกซึ่งอัตตา” พุธชนแปลว่าผู้รู้ (ผู้รู้ทั้งหลายจะต้องละซึ่งความถือตน และไม่ยึดติดกับอัตตาตัวตนที่มีอยู่)
“มรรคาลัดเพลี่ยงเป็นบรรเลงทุกข์โศกา” เพลี่ยงในที่นี่คือเพลี่ยงพล้ำที่แปลว่าพลาด ถ้าศิษย์พลาดทางลัดไปแล้วจะเป็นอย่างไร (จะเป็นทุกข์)
“เดินทางมนุษย์แสนลำบากลมกรรโชก ยามละโลกละชีวาหลงอาสา
ปลงชีวิตกายสมมติในเหลื่อมหล้า ปรารถนาเยื่อใยสิ่งใดในปรีดี”
อาสาแปลว่าความต้องการ ความอยากได้ (นักเรียนหญิง : เกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีอุปสรรคเป็นของธรรมดา ถ้าเรายังหลงในกิเลส เราควรที่จะปลงหรือปลงในกายหยาบและมุ่งในทางที่จะเป็นคนดี ปรีดี ข้าพเจ้าคิดว่าหมายถึงในทางที่ดี ทำดีเช่นไม่พูดปด ทำอะไรให้เราเป็นคนดี) ถูกต้อง ปรีดีแปลว่ายินดี
พุทธะไม่แบ่งแยกชายหญิง เพราะจิตญาณพุทธะนั้นเหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) มีใครหิวบ้าง อาจารย์ให้ทุกคนไปพักทานข้าวก่อน แล้วค่อยกลับมาหาอาจารย์ใหม่ดีไหม (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
(ตอนบ่ายพระอาจารย์เมตตามาประทานพระโอวาทต่อ และให้ออกกำลังกายในเพลงทำนองเซี่ยวเซิ่งโจ่วอี้หุย หลังจากนั้นก็ให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
ทุกคนเขาวงแบบวงกลมใช่ไหม คนนี้วงแบบสี่เหลี่ยมเพราะอะไรรู้ไหม เพราะอยากให้มันชัดเจน บางคนวงแบบวงกลม บางคนวงแบบสี่เหลี่ยม วิถีทางการบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน มีความชอบที่จะบำเพ็ญไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดแล้วผลสำเร็จก็ออกมาเป็นตัวหนังสือได้เหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจอาจารย์จะอธิบายใหม่ บางคนถ้ารู้ว่าธรรมะนี้ดีก็รีบบำเพ็ญ แต่หากคนใดไม่รีบบำเพ็ญ พอถึงสุดท้ายเจ้าหนี้ตามมาทวงแล้ว เราก็ต้องเจ็บตัว ถึงตอนนั้นก็ยังมีบทเรียนใช่ไหม ศิษย์ก็ต้องพิจารณาดูว่าศิษย์อยากได้บทเรียนก่อน หรือว่าศิษย์อยากจะบำเพ็ญก่อนที่บทเรียนนั้นจะมาถึง การเดินทางธรรมก็เหมือนกับคนเรียนหนังสือ บางคนก็เรียนได้ดี บางคนก็เรียนไม่ดี ที่เรียนไม่ดีไม่ใช่เพราะว่าหัวสมองไม่ดี ปัญญาไม่ดี หรือสายตาไม่ดี แต่ที่เรียนไม่ดีก็เพราะไม่ตั้งใจเรียน เพราะไม่รู้ว่าทำไมเราต้องเรียน เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) บางคนก็คิดว่าอยู่เป็นคนธรรมดาดีกว่า มีชีวิตอยู่ไม่ต้องบำเพ็ญธรรมะ เราเป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว ทำไมจึงต้องมาบำเพ็ญธรรมะให้เหนื่อยยาก เพราะอะไรรู้ไหม (เพราะเรากลัวเวียนว่ายตายเกิด) แล้วมีคนไหนบ้างที่ไม่กลัว ก็คงเป็นเด็กๆ เพราะไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรใช่ไหม ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ความทุกข์คือสิ่งที่เราอยากได้แล้วเราไม่ได้ สิ่งที่เราหวังแล้วไม่เป็นดังหวัง คนอื่นทำให้เราทุกข์ใจ เราก็เป็นทุกข์แล้วใช่ไหม วันนี้ถ้าเราไม่มีเงินในกระเป๋า เราทุกข์ไหม สมมติว่าวันนี้เรามีเงินหนึ่งร้อยบาท แต่เราก็ยังทุกข์เพราะว่าเราไม่มีเงินเป็นล้านใช่ไหม (ใช่) และเมื่อมีเงินเป็นล้าน ก็เปรียบเทียบกับคนที่เขามีสิบล้าน เราก็เป็นทุกข์เพราะเราไม่มีสิบล้านเหมือนเขาใช่ไหม (ใช่) นั่นแสดงว่าจิตใจของคนนั้นทะยานอยากไม่สิ้นสุด และการอยากเป็นคนนี้เป็นอย่างไร อยากเป็นคนก็มีความทะยานอยาก ตรงนี้ยากไป อาจารย์ไม่พูดถึง ขอพูดแต่เพียงว่าคนมีความทะยานอยากก็เกิดทุกข์ขึ้น ถูกไหม ดังนั้นเราต้องตัดความอยากให้น้อยลงทีละนิดๆ เพราะตัดทีเดียวทั้งหมดไม่ได้ เนื่องจากเรายังต้องเป็นคนอยู่ใช่ไหม
ชีวิตนี้ใครเป็นคนกำหนด (ตัวเราเอง) สิ่งที่เรากระทำเป็นตัวกำหนดชีวิตของเราในภายภาคหน้าใช่ไหม มีหลายคนยังไม่เข้าใจถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจริงหรือไม่ และมีต้นเหตุ-ผลกรรมจริงไหม ศิษย์อยากรู้ไหมว่าทำไมต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าวันนี้เรารักคนนี้มากๆ แต่ว่าเขาไม่รักเรา และเราก็โกรธแค้นว่าทำไมเขาไม่รักเรา ทำให้เราผูกเวรอาฆาตเขา เมื่อจิตของเราเป็นอย่างนี้ พอเราละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว จิตใจที่คิดอย่างนี้ก็ยังมีอยู่ ทำให้เราต้องเกิดมาเพื่อจะทำให้เขารักเราให้ได้ หรือเมื่อคนอื่นทำร้ายเรา ฆ่าเรา เราก็จะจองเวรกับเขา วันหนึ่งข้างหน้า เราก็ไปฆ่าเขาอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว แสดงว่าวัฏจักรนี้หมุนเวียนไปไม่หยุดสิ้น เพราะไม่มีการให้อภัยกันถูกไหม (ถูก) ถ้าวันนี้พี่น้องทะเลาะกัน ตีกัน และไม่มีคนไหนยอมรับผิดเลย ไม่มีพ่อแม่มาไกล่เกลี่ย สองคนพี่น้องจะหยุดทะเลาะกันได้ไหม จะต้องมีคนหนึ่งที่ยอม หรือไม่ก็ต้องมีพ่อแม่มาห้ามไว้ และรู้ไหมว่าพ่อแม่ที่มาไกล่เกลี่ยนั้นคือใคร คืออาจารย์ใช่ไหม อาจารย์เปรียบเสมือนพ่อของศิษย์ทุกคน ศิษย์หลายคนในที่นี้มีหนี้กรรมมากมาย เพียงแต่ว่าศิษย์มองไม่เห็นเท่านั้นเอง
เมื่อศิษย์ได้รับธรรมะแล้ว หนี้กรรมมากมายของศิษย์ทุกคนนั้น อาจารย์จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่อาจารย์จะไกล่เกลี่ยนั้น อาจารย์จะบอกเจ้าหนี้กรรมว่าเมื่อศิษย์รับธรรมะแล้ว ศิษย์จะรู้จักบำเพ็ญจิต บำเพ็ญใจ สร้างกุศลชดใช้เขาไปในสิ่งที่ได้ทำผิด อาจารย์พูดไปอย่างนี้กับเจ้าหนี้ทุกคน แต่ถ้าศิษย์ไม่ทำตามแล้ว เมื่อรับธรรมะแล้วรู้ว่าดีแต่ไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนกับว่าอาจารย์ผิดคำพูด เหมือนกับว่าอาจารย์ได้โกหกเจ้าหนี้ทุกๆ คน แล้วเจ้าหนี้เขาจะทำอย่างไรกับอาจารย์รู้ไหม เขาก็จะทุบตีอาจารย์ อาจารย์จะต่อว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์เป็นคนค้ำประกันเอง เห็นไหมว่าเสื้อผ้าของอาจารย์นั้นขาดรุ่งริ่ง ร่างกายอาจารย์ที่ผอมโซ เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับคนไร้ความหวัง ศิษย์ทุกคนคือความหวังของอาจารย์ อาจารย์หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์จะตื่นด้วยตนเอง ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ทุกข์จริงๆ ศิษย์จะรู้ว่าหากทำผิดไปแล้ว ต้องเร่งสำนึกแก้ไขตนก่อนที่เจ้าหนี้กรรมจะมาทำร้ายเรา หากวันนี้ศิษย์ทุกคนมีจิตสำนึกขึ้นมาบ้าง ขอให้ทุกคนตั้งจิตให้มั่น แล้วขอโทษเจ้ากรรมนายเวรทุกคน ทั้งที่เรารู้ว่าชาตินี้เราทำอะไรผิดบ้าง หรือว่าทำในชาติที่แล้วมาก็ตาม สำนึกขอขมาเขาและบอกกับเขาว่า ต่อแต่นี้ไปศิษย์ของอาจารย์จะสร้างกุศลชดใช้เขา หลายคนยังไม่รู้ว่าที่อาจารย์บอกให้บำเพ็ญนี้ บำเพ็ญอย่างไรใช่ไหม บำเพ็ญนี้ก็คือขัดเกลาจิตใจของตนเองให้ผ่องใสขึ้น ให้เป็นจิตใจที่ใสสะอาดเหมือนเมื่อก่อน ปัดหยากไย่ออกไปบ้าง ใจของศิษย์นั้นเหมือนคราบดำๆ เคยเห็นน้ำมันที่อยู่ในกระทะไหม หากทิ้งไว้นานหลายสิบปี ไม่ขัดออก จะขัดลำบากไหม (ลำบาก) คราบดำในใจศิษย์ยิ่งขัดยากกว่านั้นอีก กี่หมื่นปีที่เวียนว่ายตายเกิดมา เพราะฉะนั้นจะต้องมีความพยายามอย่างที่สุด จะต้องมีความอดทน ขัดไปทุกวัน ลงมือทุกวัน วันหนึ่งจะต้องสุกใสสว่างขึ้นมาจนได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เร่งมือ”)
“ชีพคนเพลาจำกัด มิผลัดกิจจงรีบเร่ง” ชีวิตคนหนึ่งชีวิตก็ไม่กี่สิบปี ศิษย์อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง ผลัดเปลี่ยนจิตใจของตัวเอง วันนี้โกรธ วันนี้รัก วันนี้โลภ ขอให้ศิษย์มีจิตใจที่มั่นคงแล้วก็รีบเร่งต่อไป
“หายใจเข้าออกบรรเลง เป็นเพลงลดทอนชีวา” ทุกลมหายใจเข้าออกนี้ ชีวิตเราก็ลดลงๆ ทุกวินาที
“ละโลกละกายเยื่อใย สิ่งใดหลงเหลือในหล้า
ดีชั่วที่ตนสร้างมา เร็วช้าต้องใช้หนี้กรรม”
เมื่อศิษย์ละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว ละจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลือในโลกนี้คือกรรมดี-กรรมชั่วที่ศิษย์ทุกคนจะต้องชดใช้ และจะต้องได้รับ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า วันหนึ่งศิษย์ก็จะต้องได้รับหนี้กรรมของตัวเองที่ทำ ถูกไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นสำนึกแล้วก็แก้ไขตนตั้งแต่บัดนี้ ยังไม่สายเกินไป แล้ววันข้างหน้าเราไปพบกัน ณ ผิงซันเบื้องบนดีไหม
ถ้าศิษย์สามารถสัญญาในใจกับอาจารย์ว่า ต่อไปนี้ศิษย์จะประพฤติปฏิบัติธรรม บำเพ็ญตนเป็นคนดี และไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้น ศิษย์จะช่วยให้คนอื่นเป็นคนดี ช่วยให้เขาได้เข้าใจถึงวิถีธรรมทางบำเพ็ญอันแท้จริง วันข้างหน้าศิษย์จะต้องได้พบกันที่เบื้องบนแน่นอนดีไหม (ดี)
ต่อไปนี้เร่งมือ เร่งก้าวเดินด้วยใจที่มั่นคง ทุ่มเทไปช่วยผู้อื่น ช่วยคนที่เขายังทุกข์อยู่ได้ไหม (ได้)
ต่อไปทุกคนจะต้องตั้งใจฟังหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อให้ดี เมื่อประชุมธรรม ๒ วันนี้หมดไป ขอให้เหลือสิ่งดีๆ จดจำเอาไว้ในใจ แล้วก็ช่วยคนอื่นที่เขาไม่ได้ฟังแบบนี้ เขาจะได้ตื่นขึ้นมา
(พวกเราได้ร้องเพลงคำสัญญาส่งพระอาจารย์) อาจารย์อยากจะฝากคำหนึ่งไว้กับศิษย์ทุกคน นั่นก็คือว่าถ้าคนไหนอยากจะบำเพ็ญให้บรรลุเป็นพุทธะจริงๆ การขึ้นฝั่งธรรมอย่างแรกคือละเว้นเนื้อสัตว์ ละเว้นการทำลายเลือดเนื้อของผู้อื่น กัดเนื้อของเขาไปแต่ละคำๆ ลองนึกดูซิว่าเหมือนกับเราได้กินเนื้อพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเรา ถ้าเกิดเราเอาเนื้อเขามา หยิบเขามาแล้วก็กัดลงไป กินไปเรื่อยๆ มีใครกินลงไหม ถ้าคนไหนเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด พ่อแม่ของทุกคน ปู่ ย่า ตา ทวด ก็มีสิทธิ์เวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ เหมือนกัน เข้าใจข้อนี้เอาไว้ให้ดีๆ ลาก่อนศิษย์รักทุกคน หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่