วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-17 สถานธรรมสกุลหง จ. ชัยนาท (อิ๋งเต๋อ)


PDF  2544-11-17-สกุงหง(อิ๋งเต๋อ) #13.pdf

หมวด: สติสัมปชัญญะ

วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมสกุลหง จ. ชัยนาท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

หากเป็นคนอารมณ์หุนหันพลันแล่น ส่งสายตาดุดันแทนการวานไหว้
ส่งคำพูดส่อเสียดแทนการไว้ใจ คนนั้นไซร้ไร้มิตรชีพไม่งาม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

การบำเพ็ญอยู่ในการดำเนินชีวิต ปรับปรุงจิตอยู่ท่ามกลางความว้าวุ้น
เกิดเป็นคนมีน้ำใจใฝ่การุณย์ ความอบอุ่นมากกว่าแสงตะวัน
การได้รู้ทางกลับแสนมงคล ต้องทำตนเป็นคนใหม่ทั้งเช้าค่ำ
อย่าได้ไปใส่ใจเรื่องขาวดำ ชีพระกำเพราะทำตนวุ่นโลกีย์
ในชาตินี้บำเพ็ญธรรมให้จริงจัง ด้วยพลังออกจากใจใช้ความกล้า
แก้ปัญหาผ่านเข้าออกด้วยปัญญา อย่าสรรหาเรื่องใส่ตนจำจงดี
เมื่อใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ทุกทุกวันล้วนดีงามประเสริฐศรี
ทำชีวิตให้งดงามมอบยอมพลี ทุกนาทีหมายใจช่วยเวไนย
สองวันนี้ประชุมธรรมงานศักดิ์สิทธิ์ แปรชีวิตนำที่ฟังไปปฏิบัติ
จะเคร่งครัดหรือไม่อยู่ที่ตนจัด ปรมัตถ์ต้องทุ่มใจย่อมแปรจริง
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา หวังว่าน้องรู้เวลาไม่ปล่อยผ่าน
เดินทางฟ้าไม่จบลงด้วยทรมาน ดั่งกินขมค่อยหวานสัจธรรม
อย่าได้หลงว่าตนเองดียิ่งนัก จงประจักษ์ด้วยเสมอต้นปลายหนา
อันสิ่งใดในโลกล้วนมีราคา แต่ชีวาหนึ่งนี้ยากประมาณราคา
จงตั้งใจฟังธรรมะให้จงดี ทุกนาทีมีค่ากว่าทองคำมาก
พุทธระเบียบจงรักษาพี่ขอฝาก ฝ่าลำบากด้วยใจธรรมคืนเบื้องบน
ในวันนี้หลายคนอายุน้อย หลายคนค่อยเกิดจิตความกังขา
จึงอยากฝากให้ติดตามเฝ้าศึกษา จงสืบหาความรู้ตื่นในกายตน
แล้วพี่นั้นจรดวางพู่กันคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมสกุลหง จ. ชัยนาท
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน  ท่านหันเซียงจือ

ลมหนาวมากระทบสัมผัสกาย หนึ่งจิตใจมุ่งหมายไม่แปรเปลี่ยน
แม้ต้องทุกข์ยากลำบากตามวนเวียน จิตพากเพียรเป็นลมอุ่นอาบเวไนย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจือ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

บำเพ็ญจงย้อนมองตนอยู่เสมอ เมื่อเผอเรอขอจิตน้อมสำนึกเห็น
ได้ความยอมรับใจยอมผิดเป็น แม้ลำเค็ญไม่หาเรื่องประมาทไป
ใครหนักใจมองชีวิตด้วยสัจจา วันเวลาคือความเร่งเพื่อแก้ไข
ชีวิตมีชมหน่ายน่าเศร้าใจ ติดนิสัยลูบหน้าปะจมูกกัน
เผชิญมาคมปัญหาสอบคนจริง ชนะยิ่งใจตนเลิกไหวหวั่น
เพียงเห็นทางกล้าขึ้นรู้ประมาณ มุ่งเดินหวังเป็นนั่นช่วยเวไนย
บุคคลมีความเส้นคงวาแทน ยิ่งไกลแสนชัยชนะยิ่งไสว
เมฆแสนไกลของคนผดุงใจ รู้หรือไม่หัวใจกล้าหาญเหนือเวลา
เพ่งยากเกินคือแสงอาทิตย์ส่อง ประกายเงินแสงทองจับขอบฟ้า
ตกแล้วขึ้นส่องในบำเพ็ญว่า สนิทกันเคารพใจกล่าวคำระวัง
ช่วยดึงใจมีน้ำใจให้กัน สำเร็จความหวานที่ทุกข์สร้าง
สุขกลางทุกข์จงไปหาพลัง บำเพ็ญอย่างทันรู้หลงเพียงใด
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งแปดเซียน  ท่านเซียงจื่อ

เบื่อไหมที่ต้องมีคนคอยกระตุ้นให้พูด  ให้ตอบ  หรือเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เป็นไหม  (เป็น)  เป็นแล้วทำไมต้องให้คนอื่นนำอยู่ตลอด  ไม่ว่าอายุมากน้อยยอมแพ้เขาไหม  ไม่ยอมแพ้กันและกันดีหรือเปล่า  สู้กันจนตายไปข้างหนึ่งดีหรือเปล่า  (ไม่ดี)  เมื่อสักครู่บอกว่าให้เราไม่ยอมแพ้  ก็บอกว่าดี  แต่พอบอกให้สู้ให้สู้กันจนล้มหายตายจากไปข้างหนึ่ง  ก็ไม่เอา   ใช่หรือไม่  (ใช่)  มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต้องเข้าใจถ่องแท้  เรื่องความถูกต้องและเหมาะสม  หากเกิดเป็นคนมีชีวิตแล้ว  เข้าใจสองอย่างนี้ไม่ถูกต้อง  ย่อมเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างลุ่มๆ ดอนๆ และแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว  จริงไหม  (จริง)  แล้วมาตรฐานของตัวท่านอะไรเรียกว่าความถูกต้อง  อะไรเรียกว่าความเหมาะสม  ถ้าเราเขาใจอย่างถ่องแท้  ชีวิตจะไม่ก้าวผิดพลาดและจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าความผิดพลาดในชีวิต  แต่ถ้าเมื่อไรเรายังเข้าใจไม่ถ่องแท้  เมื่อนั้นความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยที่เราไม่รู้ตัว  จริงหรือไม่  (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกที่ต้องศึกษาคือความถูกต้อง  อะไรเรียกว่าความถูกต้อง  อะไรเรียกว่าความเหมาะสม    หากเรามีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง  ด้วยความรู้  ด้วยปรัชญาเท่านั้นพอหรือเปล่า  (ไม่พอ)  เท่านั้นสามารถตัดสินความถูกต้องและความเหมาะสม  ได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)   ทำไมไม่ได้  แปลว่าท่านขาดอะไร  จริงๆ  เราว่าก็ได้   อาจจะทำให้ท่านผิดบ้างเหมือนกันใช่หรือไม่  (ใช่)  ประสงการณ์ของชีวิต    ประสบการณ์ของการศึกษาสามารถทำให้เราติดสินได้ว่า  อะไรถูกต้อง  อะไรเหมาะสม  จริงหรือไม่  (จริง)  แต่ไม่ตลอดรอดฝั่ง  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะประสบการณ์ของการศึกษาแต่ละคน  อาจารย์หนึ่งคน  ศิษย์ประมาณสิบคน  ความรู้ที่อาจารย์ส่งมอบให้เหมือนกันไหม  ไม่เหมือนกัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราได้บรรทัดฐานที่เท่ากันไหม  (ไม่เท่า)  ได้ความรู้ที่เท่ากันไหม   คนที่ได้หนึ่งอย่างก็ต้องคิดว่าตนเองถูกต้องสุด    ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ถ้าอีกคนฟังอาจารย์เหมือนกัน  แต่ได้สองอย่าง   เขาต้องว่าตัวเองถูกต้อง  แต่ถ้าอีกคนไม่ได้อะไรเลย   เขาก็ว่าตัวเองถูก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แม้ว่าอาจารย์หนึ่งคน  แต่ศิษย์สามคนย่อมได้ความรู้ต่างกัน  คนหนึ่งไม่ได้อะไรเลย  คนหนึ่งได้หนึ่งอย่าง  อีกคนหนึ่งได้สองอย่าง  จริงไหม   (จริง)  แล้วใครที่ถูกต้อง  การศึกษาอย่างเดียว  ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์อยู่บนความถูกต้องและเหมาะสมได้  จริงหรือไม่   (จริง)    แล้วพูดถึงประสบการณ์ชีวิต  คนสองคนมีอาชีพเป็นอาจารย์   สอนวิขาเดียวกันคือ   ประวัติศาสตร์  อาจารย์พูดประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง  แต่ใช้วิธีพูดแตกต่างกัน   อย่างพูดเรื่อง  “ประเทศไทย”  อาจารย์คนแรกเริ่มกล่าวเรื่องนิสัยใจคอก่อนและภูมิประเทศตามมาทีหลัง  แล้วก็พูดว่า  “นิสัยใจคอเป็นอย่างนี้    ก็เพราะว่าภูมิประเทศเป็นอย่างนี้      คนจึง
เป็นเช่นนี้”  นี่คือความเห็นของอาจารย์คนแรก  แต่ว่าอาจารย์คนที่สองมาสอนอีก  บอกว่า      ภูมิประเทศเป็นเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับนิสัยคน  นิสัยคนเกิดจากจิตใจของคนและธรรมะต่างหากที่ทำให้มีผลต่อจิตใจ  สองคนประการณ์การสอน  ต่างกันไหม  (ต่างกัน)  ถูกไหม  (ถูก)  ใครถูก  (ถูกทั้งคู่)  ท่านทำนา   วิธีการทำนาของแต่ละคนย่อมมีความละเอียดแตกต่างกันออกไป  แต่ทำแล้วได้ต้นข้าวเหมือนกัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วอะไรที่เป็นบรรทัดฐานความถูกต้องและความเหมาะสม  บางครั้งเรามีชีวิตอยู่จนอายุป่านนี้ ก็ยังมีความเข้าใจไม่ถ่องแท้  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าคนเรายึดติดที่ตัวตนเป็นหลัก  เอาตัวตนเป็นที่ตั้งความถูกต้องและความเหมาะสมย่อมหาได้ยาก     แล้วเราจะใช้อะไรดี  ความรู้ก็ไม่ได้    ประสบการณ์ก็ไม่เหมาะ  ตัวเองก็ไม่ได้  ใช้อะไรดี  (ปัญญาสมาธิ)  เกือบจะใช่    แต่ยังไม่ใช่เสียทีเดียว  ท่านว่าอะไร    (หลักสัจธรรม)  ใกล้เคียงเหมือนกัน  ท่านคิดว่าอะไรที่ทำให้ยืนอยู่บนบรรทัดฐานที่ถูกต้อง  ไม่เอนเอียงไม่เข้าข้างโดยที่ตัวเองไม่รู้  (หลักธรรมะ)  หลักธรรมะทำให้มนุษย์ยืนอยู่บนโลกอย่างเที่ยงตรง  ไม่เข้าข้างใคร  ไม่เข้าข้างตนเอง  แม้ว่ามีความรู้  มีประสบการณ์ก็ทำให้เราไม่หลงในความรู้  ไม่หลงในประสบการณ์ของตนเอง  ยังรู้จักตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของตนเองได้อีกด้วย  จริงหรือไม่  (จริง)  และเพราะอะไรท่านถึงลืมเรื่องนี้ไป  ลืมไปไหน  (ลืม)  ลืมและคิดไม่ถึงด้วย  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เรายังงอยู่เหมือนกันว่าท่านยังมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรกัน    ความถูกต้องและความเหมาะสมท่านยังหาไม่ได้เลย  แล้วท่านอยู่รอดมาได้อย่างไร  นับว่าเป็นบุญโดยแท้  จริงหรือไม่  (จริง)   อยู่รอดมาจนถึงป่านนี้  แม้ว่าจะทุกข์บ้างเจ็บบ้างก็ไม่เป็นไร    ยังคงก้มหน้าดำเนินชีวิตเหมือนเดิม     ใช่หรือไม่  (ใช่)   นี่คือความยากของมนุษย์  มองฟ้าก็เป็นฟ้า  มองชีวิตก็เป็นชีวิต  ไม่เคยมองชีวิตให้เข้าใจชีวิตสักที    เหมือนมองคน ๆ หนึ่งก็เห็นเพียงคนๆ หนึ่ง  จะมีใครบ้างที่มองชีวิตและเห็น
สะท้อนเข้าไปถึงชีวิตที่แท้จริง  คงเป็นการยาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)   ถ้าง่ายป่านนี้เราคงมองเห็นท่านข้างบนแล้ว   ไม่วนอยู่บนโลกนี้  แล้วอยากรู้วิธีหรือเปล่า   ทำอย่างไรจึงเป็นคนที่สมบูรณ์  ทำอย่างไรจึงเป็นคนที่ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ผิดพลาดเลย  อยากรู้บ้างไหม  (อยาก)
มาถึงที่นี่  สิ่งแรกเราไม่มีอะไรจะให้  แต่เราขอให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  คิดกันในแง่ดี    อย่าระแวงเคลือบแคลงกันเลย  ไม่อย่างนั้นจะอยู่กันอย่างไม่มีความสุข  ทำจิตใจให้เบิกบาน    ทำจิตใจให้สงบ  อย่าระแวงอย่าสงสัย  ไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้ที่ทุกข์ก่อนใครเพื่อน   จริงหรือเปล่า  (จริง)  เรามาอาจจะดูไม่สนุกสนานเหมือนเซียนเด็ก   แต่ว่าในความสงบเงียบก็มีความสุขอิงแอบ  ใช่หรือไม่  (ใช่)    และเคยค้นหาความสุขที่เป็นความสุขอันนิรันดร์กันบ้างไหม   (ไม่เคย)  ไม่เคยบ้างเลยหรือ  มีใครบ้างที่ตั้งแต่เกิดมามีจิตใจดวงเดียวไม่แปรเปลี่ยน  เหมือนมุ่งมั่นจะทำสิ่งใดก็เดินไปสู่สิ่งนั้นอย่างไม่ท้อถอย  ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากเพียงใด  มีไหม  (ไม่มี)  ไม่มีหรือ  ตอนเด็กคิดอย่างไรตอนโตก็ยังคิดอย่างนั้น  ตอนเด็กตั้งใจว่าจะทำอย่างไร  ตอนโตก็ยังมุ่งมั่นจะทำอย่างนั้นให้สำเร็จจงได้  ไม่ยอมเปลี่ยนใจ  มีไหม  (มี)  เราว่าคงมีบ้างและไม่มีบ้าง  ใช่หรือไม่  (ใช่)    บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใด  เมื่อเจอความยากลำบากแล้วทำให้เราไม่สมหวัง    ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  เราเคยมองไหมว่าเป็นเพราะภาวะเหตุการณ์ไม่เป็นใจ  หรือว่าตัวเรามุ่งมั่นไม่พอกัน  (มุ่งมั่นไม่พอ)   หรือว่าทั้งสองอย่าง
วันนี้เรามาที่นี่มาเพื่ออะไร    มาเพื่อให้ท่านได้รู้จักชีวิตที่แท้จริง  และตื่นจากชีวิตนี้ไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดที่เราหวัง   แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์หวังอาจจะต่างจากที่เราหวังอย่างหนึ่งก็คือ  มนุษย์หวังที่จะให้มีทรัพย์สินเงินทอง    มีลาภยศ  มีชื่อเสียง  ใช่หรือไม่  (ใช่)แต่สิ่งที่พุทธะหวัง  คือการรู้ตื่นแห่งชีวิตที่แท้จริง  และมุ่งสู่ความดับหรือหลุดพ้น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  นี่คือปฏิปทาของพุทธะ    และในตัวเมธีท่านที่นั่งอยู่ที่นี่มีไหม  (มี)   อยากกลับไปสู่ความดับหรือที่เรียกว่าหลุดพ้นบ้างไหม  ถ้าท่านไม่อยากวันนี้ท่านก็ต้องอยากในวันหน้า  จริงไหม  (จริง)   การกลับไปสู้ความดับบางคนดับแล้วหลุดพ้น    บางคนดับแล้วไม่หลุดพ้นยังต้องเวียนว่าย    วันนี้ท่านไม่ต้องการวันหน้าท่านก็ต้องเจอ      ใช่หรือไม่  (ใช่)    แต่จะดับอย่างไรแล้วหลุดพ้นไม่ต้องเวียนว่าย     ดับอย่างไรแล้วเป็นสุข    หลับตาหลับได้อย่างสบายใจ  ไม่เอาหรือ  (เอา)  เกิดเป็นคนก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนต้องตาย  รู้แต่ว่าวันนี้ฉันกเดไม่สนใจการตาย  ไม่ได้หรอก   ใช่หรือไม่  (ใช่)     เพราะวันนี้ท่านไม่สนใจอีกไม่กี่ท่านก็รู่ว่าความดับคืออะไร    อย่างเข่นหลับตา    ดับไหม  (ไม่หลับ)   แน่ใจหรือว่าหลับตาแล้วจะไม่ดับ  เห็นไหมแค่ตอนลืมตาท่านยังตัด    ท่านยังกลัวท่านยังไม่แน่ใจ  ท่านยังพะว้าพะวงและอย่างนี้จะหลับลงไหม   การหลับตาก็คือการดับอย่างหนึ่ง  คือ  การดับการเรียนรู้ ดับการดำเนินชีวิตแต่เป็นการพักผ่อน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้ามนุษย์เราไม่ยอมรับจะต้องทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ยอมหยุดพัก เพราะกลัวการดับจริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเมื่อใดเราหลับตานอนแล้วตื่นขึ้นมาได้อย่างสดชื่น  แปลว่าเราเข้าใจในการดับ และรู้เหตุผลของการดับ และดับอย่างถูกต้องเหมาะสม  จริงไหม   (จริง)  แต่หากวันนี้กลับไปแล้วไม่กล้าหลับ  เพราะเมื่อสักครู่สิ่งศักดิ์สิทธ์ท่านบอกว่า  หากหลับเดี๋ยวดับไปเลย  นั่นแปลว่าท่านเข้าใจไม่ถูกต้อง  ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่เหมาะสม  ใช่หรือไม่  (ใช่) ทีนี้สนใจหรือยังว่าต้องเรียนรู้การดับไว้ก่อน  สนใจไหม  (สนใจ)
ฉะนั้นเมื่อเราเกิดเป็นคนสัจธรรมที่เราจะต้องเรียนรู่นั่นก็คือ  การเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  คนเราต้องเกิดแล้วก็ดับเป็นธรรมชาติ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  นอกจากตาแล้ว  เรามีอะไรที่เกิดก็ดับอีก  (หู)  เกิดอย่างไรดับอย่างไร (การเกิดก็คือ  เริ่มรับรู้ฟังเสียงต่าง ๆที่จะเข้ามา  และการดับคือ  เราไม่รับและไม่ได้ยินเสียง ไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น)  และหูดับเหมือนดับตาไหม  (ไม่เหมือน)  ไม่เหมือนใช่หรือไม่  (ใช่)  ปัญญาเกิดขึ้นจากประสบการณ์และการดำเนินชีวิต  แล้วทำไม่จึงไม่เหมือน  เพราะหูปิดเองไม่ได้  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แปลว่าเมื่อเราใช้ประสาทสัมผัสแล้วใช้ชีวิตโดยการใช้อายตนะนอกแล้ว  ยังต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภายในด้วย  เราเรียนรู้การเกิด  การดับภาวะภายนอกของร่างกายเรา  แต่ว่าภายนอกกับภายในก็ต้องประสานกันด้วยใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าหูไม่อยากฟัง ที่ว่าไม่อยากฟัง  สิ่งใดไม่อยากฟัง  (จิตใจ) ใจไม่อยากฟังแปลว่าใจของมนุษย์ก็มี  (มีดับ   มีกิเลสอยู่ด้วย  คือมีเกิด  มีดับอยู่ด้วย)  แปลว่าได้หูอย่างหนึ่ง  ก็ยังได้ใจแถมท้ายมาด้วยใช่หรือไม่  (ใช่)  แปลว่าใจเราก็มีการเกิดการกับเหมือนกัน  หูสั่งใจหรือว่าใจสั่งหู  (ใจสั่งหู)  แล้วใจได้ยินหรือ  นั่นคือใจสั่งหู  แต่หูมีหน้าที่  (รับฟัง) หน้าที่ของหูคือ  รับฟัง  แต่ใจเป็นสั่งว่าหูนี้จะเปิดดี  หรือจะปิดดี  นอกจากหูกับใจแล้วมีอะไรอีก (ปาก)  ปาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ปากเราจะตายไหม  (ไม่ตาย)  ทำไมไม่ตาย  ยังอยากพูดก็เลยยังไม่ยอมตายง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ  แปลว่าท่านจะไม่มีวันยอมปิดปากเลย ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราพูดในสิ่งที่เป็นสัจจะแต่ในสัจจะนั้นก็มีความสนุกสนานอยู่ด้วย  อย่ากลัวที่จะยอมรับความเป็นจริงของชีวิต  บ่อยครั้งที่มนุษย์เราต้องสัมผัสกับเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  แล้วเป็นทุกข์กลับหาความสุขไม่ได้  มองความสุขไม่เจอเพราะเราไม่ยอมรับ  จริงหรือไม่  (จริง)  เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต  อย่างเช่นพลัดพรากจากคนที่รัก  ต้องพลัดพรากจากสิ่งของที่ต้องประสงค์  และทำไมรับไม่ได้  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นความถูกต้องไหม  (ถูก)  ถูกต้องตามเวลาที่มันต้องเป็น    หรือถูกต้องตามสัจจะที่ต้องเป็น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คือชีวิตมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย  นอกจากชีวิตแล้วมีไหม  สิ่งขิงอยู่ในวัฏฏะของสัจจะไหม  ท่านว่าอยู่ไหม  (อยู่)  ทำไมเราจึงให้ท่านคิดว่า  เกิด ดับ มีอะไรบ้าง  ไม่ใช่แค่หู  ไม่ใช่แค่ตา  ไม่ใช่แค่ปาก    แต่ยังมีทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใส่   ใช่หรือไม่  (ใช่)  ชื่อเสียงเรียงนามที่ปรากฏบนป้ายของท่าน  ใช่หรือไม่  (ใช่)   แล้วอะไรอีกที่เกิดขึ้นได้  คำพูดของเราเองก็อาจจะเป็นสัจจะที่ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตได้   ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นจงยอมรับความจริงและภูมิใจที่ด้พบความจริงในชีวิตนี้   ทำได้ไหม  (ได้)  กลับบ้านไปทองหายสิบบาท   ทำใจได้ไหม  เงินหายหนึ่งพันบาท   วันนี้เพิ่งฟังมา   ทำใจลงหรือเปล่า  (ลง)  ถ้าท่านทำใจได้  นั่นก็แปลว่าเตรียมพร้อมรับความจริงของชีวิต   แต่ถ้าเมื่อใดเราพูดว่า   เราทำใจไม่ได้  ยังยากอยู่  ยังลำบากอยู่  นั่นแปลว่าท่านสร้างกำแพงกั้นความเป็นจริงของชีวิต  จริงหรือไม่  (จริง)  เมื่อเหตุการณ์มากระทบท่านก็ไม่เข้าใจและมองไม่ออก  เพราะตัวเองสร้างกำแพงป้องกัน     จบเรื่องหนึ่งดีไหม   ได้ไหม  ยังไม่ได้เพราะเรื่องของชีวิตเป็นเรื่องที่ยาวเป็นและเป็นรเรื่องที่ง่ายๆ ง่ายไหม  (ไม่ง่าย)  ทำไมไม่ง่าย    เวลาเจอจะเป็นอย่างไร  ก็สู้ได้อย่างสบาย  แต่พอเราคิดว่ามันยากเวลาเจอก็หวาดกลัวและหวั่นไหว  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ในทางกลับกัน   ถ้าคิดว่าง่ายบางทีก็ไม่ดีเหมือนกัน  เพราะเวลาเจออยากกว่าก็รับมือไม่ไหว  คิดว่ายากก็มีส่วนที่ดี  คือเวลาเจอง่ายก็ทำใจได้ทัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราพูดอย่างหนึ่ง   แต่ทำไมมันแตกเป็นสอง  แต่พูดเผื่อไว้สองก็แปลว่าเราโลเล    ไม่มั่นคงหรือก็ไม่ใช่    มีทั้งคนเข้าใจและไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่  หรือพูดง่ายๆ ก็คือเกิดเป็นคนต้องรู้จักปลง  หรือง่ายเข้าไปอีกก็คือเกิดเป็นคนต้องรู้จักปล่อยวาง   เราพูดเยิ่นเย้อยาวไกล    แต่จริงๆ แล้วจุดหมายหลักก็คือต้องการให้เข้าใจชีวิตว่า  มีชีวิตแล้วอย่าได้ยึดติด  ไม่ว่ารูปนาม    ทรัพย์สิน หรือว่าสิ่งของอะไรก็ตามที่เราได้ครอบครอง  จงรู้จักปล่อยวาง  แม้คนที่เรารักที่สุด    เมื่อเราเอาใจเขามาก    ยึดถือมาก    เราก็เป็นทุกข์มาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)    เวลาเรามีชีวิต  บางครั้งเราก็พบความสำเร็จพบสิงที่สมหวัง  แต่บางครั้งก็พบความผิดพลาด    ใช่หรือไม่  (ใช่)  หลายต่อหลายคนเมื่อผิดพลาดแล้ว    ไม่กล้าที่จะยอมรับความผิดที่ตัวเองก่อ  จะใช้วิธีการหลบ  หรือบ่ายเบี่ยงหาเกตุผลให้กับตัวเองว่าเป็นคนถูกจนได้  ทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำผิดใช่ไหม  (ใช่)  เราขอถามว่า   ตั้งแต่มีชีวิตถึงปัจจุบันนี้  ใครเคยทำผิดพลาดแล้วกล้ายึดอกรับผิดโดยไม่อายบ้าง  มีไหม  ถ้าไม่กล้าตอบเราไม่เป็นไร  แต่เราหยั่งใจถามท่าน  ว่าถ้าในสังคม  หนึ่งร้อยคนมีแค่หนึ่งคนที่กล้ายึดอกรับความผิด  สังคมจะเป็นอย่างไร    ในสังคมจะเกิดความวุ่นวาย  ใช่ไหม  (ใช่)  เพราะคนทุกคนต่างไม่กล้ารับผิด    คนทุกคนต่างไม่ยอมรับสิ่งที่ตนเองกระทำ  ไม่รับผลในสิ่งที่ตนเองก่อ    ใช่หรือไม่  (ใช่)  เมื่อไม่ยอมรับผล  ความวุ่นวายในสังคมย่อมบังเกิดขึ้น  ความละลายใจในสังคมย่องแห้งแล้งลงไปทีละเล็กละน้อย    ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจิตสำนึกแห่งการรู้ผิดชอบจึงต้องมีไว้   เมื่อไรที่คนทำผิดแล้วกล้ายึดอกรับผิดสังคมจะมีระเบียบด้วยความสมัครใจ   โดยไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายหรือข้อบังคับใด ๆ   แต่เพราะอะไรสังคมถึงต้องมีกฎหมาย  เพราะว่ามนุษย์เราไม่กล้ารับผิดชอบ  รับผิดชอบต่อตนเองบางครั้งยังไม่ไหว  เลยไม่ยอมรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองกระทำและมีผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย  ใช่ไหม  (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนมีจิตสำนึกในการยอมรับผิด  รู้รับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น  ความผาสุขและความร่มเย็นย่อมเกิดขึ้นในโลกนี้ได้  ความบริสุทธิ์ยุติธรรมย่อมมีให้เห็น     ใช่หรือไม่  (ใช่)     เราพูดเรื่องนี้เพราะเป็นสัจธรรม   ที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่าโลกวุ่นวายไม่ใช่เพราะใคร  แต่เป็นเพราะใจของเราเอง   สังคมเสื่อมลง   ตกต่ำลง  ก็เพราะคนไม่กล้ารับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำ    ๑.  แยกแยะไม่ออก  ๒.  เมื่อผิดยังไม่ยอมรับผิด  ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ    ใช่หรือไม่  (ใช่)    ชีวิตของจึงยากหาความผาสุขได้  จริงหรือเปล่า  (จริง)  แล้วจะมาเรียกร้องให้เราทำดีไม่มีวัน  ใช่หรือไม่  (ไม่ใช่)  ทำไมไม่  เพราะหลายคนเวลาจะทำดีมักพูดว่า   ไม่ยอมทำเด็ดขากถ้าโลกยังไม่มีดี  ไม่ยอมให้เด็ดขาด   ถ้าคนอื่นไม่ยอมให้เรา  เราจะไม่ยอมเสียสละเด็ดขาด  ถ้าคนอื่นไม่ยอมเสียสละก่อนใช่ไหม  (ใช่)
ฟังเรื่องง่ายๆ สักเรื่องหนึ่ง    เรื่องมีอยู่ว่า   “มีชายสองคนสนทนากันในเรื่องความดีและความไม่ดี  ชายคนหนึ่งถามเพื่อนอีกคนหนึ่งว่า  ท่านขยันทำงานไหทำไม  ในเมื่อพี่น้องท่านอีกเก้าคนไม่เคยขยันเลย  ท่านจะเป็นคนดีไปทำไม  ในเมื่อครอบครัวของท่านมีท่านที่เป็นคนดีอยู่คนเดียว  เฉกเช่นเดียวกัน  เราจะเป็นคนดีไปทำไม   ในเมื่อสังคมยังชั่วร้ายอยู่  คนนั้นกลับตอบว่า   ในเมื่อมีเพียงคนดีคนเดียวที่ขยัน  แล้วเราจะยอมเป็นคนดีที่พ่ายแพ้คนเกียจคร้าน  ในเมื่อโลกเหลือคนดีอยู่เพียงคนเดียว   ฉันก็จะดำรงความดีนั้นต่อไปไม่ยอมแพ้เด็ดขาด  แต่คนในสังคมกลับกาเหตุผลไม่ได้ในการที่จะทำความดีต่อไป    หรือทำอย่างไรให้ตัวเองยืนหยัดในความดีต่อไป    เมื่อหาเหตุผลไม่ได้จึงเลิกทำ  ในเมื่อมีดีแค่หนึ่งเดียว  ก็ไม่ดีเลยใช่หรือไม่  (ไม่ใช่)  นั่นก็คือแม้จะเหลือเพียงหนึ่งเดียว     แต่ยังเป็นหนึ่งเดียวที่มั่นคง   ไม่หวั่นไหว  แม้จะเคยผิดพลาดไปบ้างก็ตามแต่ยังพร้อมกลับตัวกลับใจเป็นคนดีที่สู้ต่อไป   ทำได้หรือเปล่า  (ได้)  ไม่เช่นนั้นแล้วความผิดพลาดและความชั่วร้ายก็ยังคงปรากฏในสังคม   ไม่มีวันที่จะค้นพบคนดีได้ในโลกใบนี้เมื่อยามที่เรามีชีวิตอยู่   ธรรมที่จะสามารถรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย  ก็คือ  หนึ่งเป็นคนดี  ดีแบบปลอมหรือดีแบบถ่องแท้  ดีแบบยอมรับความชั่วร้าย  หรือดีแบบต่อสู้กับความชั่วร้ายในใจตน  ความดีจะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อ  ต้องมีธรรมรักษาใจ    สิ่งแรกก็คือ  อย่าโลภ   สิงที่สองอย่ารักสบาย   สิ่งที่สามก็คืออย่าเกียจคร้าน   สิ่งที่สี่ก็คือระมัดระวังคำพูดตัวเอง   หากสามารถประคับประคองสี่อย่างนี้ได้เราก็จะสามารถเป้นคนดีได้โดยพื้นฐาน    ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนดีนั้นต้องไม่มีความโลภ   เมื่อเราไม่โลภ   เราจะไม่เห็นแก่ตนและจะไม่เบียดเบียนผู้อื่น  เมื่อเราไม่รักสบาย   ไม่เกียจคร้าน   เราจะเป็นคนขยันทำมาหากินและต่อสู้กับอุปสรรคทุกรูปแบบ  เมื่อเราเป็นคนพูดน้อยแต่ทำมาก  เราจะเป็นแบบอย่างที่ดีและทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม  สี่ข้อนี้พอทำไหวไหม  (ไหว)  ยังมีอีกสองข้อที่ต้องเรียนรู้ด้วย  นั่นก็คือหน้าที่  คนทุกคนต่างมีหน้าที่   แต่ถ้าโดยหน้าที่จะมี่อยู่สองอย่าง  หากเกิดเป็นคนสามารถรักษาหน้าที่นี้ได้อย่างดี  จะเป็นคนดีได้อีกก้าวหนึ่ง  นั่นก็คือเมื่อยามที่เราอยู่ในครอบครัว  เราอย่าได้เห็นแก่สุขของตนเองจนลืมนึกถึงความสุขกายสบายใจของครอบครัว  เมื่อยวามอยู่ในสังคมจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม  เราไม่ได้นึกถึงสุขของตนเองอย่างเดียว    แต่เรายังต้องนึกถึงจิตของส่วนรวมด้วย   นี่คือก้าวที่สองของการเป็นคนดี  ทำได้ไหม  (ได้)  และสิ่งหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของการเป็นคน  นั่นก็คือความกตัญญู   เกิดเป็นลูกถ้ามีฐานะเป็นลูก  มีสถานะหน้าที่เป็นบุตร   สิ่งสำคัญอย่างงหนึ่งที่เราอยากจะบอกไว้ก็คือ  มิทำให้พ่อแม่เจ็บช้ำน้ำใจ  หากทำได้ท่านจะเป็นคนที่มีความกตัญญู     และประกอบไปด้วยความดี  และเมื่อท่านยืนได้ดีอย่างเหมาะสมแล้ว   ลูกหลานย่อมสามารถอิงแอบได้อย่างร่มเย็น   นั่นเป็นบทธรรมที่ผู้ใหญ่ควรพึงรู้ได้   ส่วนบทธรรมของผู้น้อยหรืออายุเยาว์  นั่นก็คือความรักเกิดเป็นคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเมื่อตนเป็นวัยรุ่น   ผู้ที่มีอายุน้อยปรารถนาความรักไหม   (ปรารถนา)  อายุมากปรารถนาความรักไหม  (ปรารถนา)  แปลว่าธรรมใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ทุกคนต่างปรารถนาความรัก  ไม่อยากให้ใครรังเกียจเรา  อยากเป็นที่รักของทุกคน  นั่นคือเราอยากมีความรักแบบไม่จำกัดอยากไหม  (อยาก)  อารมณ์ล้วนมีอยู่ในทุกคนไม่วัยเด็ก  วัยเยาว์  วัยชรา  หรือวัยกลางคน   ก็คือ  รัก  โลภ  โกรธ  หลง    ใช่หรือไม่  (ใช่)  มนุษย์เรามีสองอารมณ์คืออารมณ์คืออารมณ์ชังกับอารมณ์ชอบ  ความรักจะบังเกิดขึ้นในจิตใจได้   ต้องมีพื้นฐานมาจากความบริสุทธิ์ความรู้สึกที่ดีค่อย ๆ ก่อตัวมาเพิ่มมากขึ้น  จนกลายเป็นความเข้าใจ   เห็นใจ  และรักเขา  และเกิดเป็นมิตรภาพ    ใช่หรือไม่  (ใช่)   นี่คือความรู้สากที่เรียกว่ารัก  ส่วนความชังเกิดขึ้นมาจากอะไร  เกิดมาจากพื้นฐานของความไม่ชอบไม่ถูกชะตา   ฟังแล้วขัดหู      ใช่หรือไม่  (ใช่)  การกระทำล้วนขัดตาขัดใจเหลือเกิน  เมื่อความชังทวีตัวขึ้น  จึงเกิดเป็นความเคียดแค้นและริษยา อาฆาต    ใช่หรือไม่  (ใช่)   มนุษย์มีอารมณ์สองอย่างนี้  ความชังและความอิจฉาริษยาล้วนเป็นไฟที่เผาผลาญการมีชีวิตอยู่ในการเป็นคน  ฉะนั้นจงรักษาความรักไว้เป็นหนึ่งเดียวดีกว่า   โดยเริ่มต้นพื้นฐานที่จิตใจอันบริสุทธิ์  ถ้ามนุษย์เรามีจิตใจบริสุทธิ์  ไม่ว่าจะเห็นหน้าหรือได้ยินเสียง  ความบริสุทธิ์จะบังเกิดแก่ทุกๆ คน  เมื่อบังเกิดกับทุกคนแล้ว    เราจะมีจิตใจที่ยินดีและน้อมรับเขาได้    ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่เมื่อความรักบังเกิดออกมา  เป็นมิตรภาพแล้ว   เราจะรักเขาอย่างจับจองหรือว่ารักเขาอย่างเสียสละ  (เสียสละ)  แม้ว่าเขาจะทิ้งเราไปมีรักใหม่    ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้ามนุษย์เราสามารถตอบว่าใช่ได้จะเป็นจะเป็นคนที่รู้จักปลงและเฝื่อใจได้    ใช่หรือไม่  (ใช่)   จะไม่มีความรักที่เป็นพิษ  ฉะนั้นเมื่อเรารัก   จงรู้จักที่จะรักให้ถูกต้องและรักให้เหมาะสม   ทำได้ไหม  (ได้)  แล้วเมื่อโกรธสามารถโกรธอย่างถูกต้อง  โกรธอย่างเหมาะสมได้ไหม  เรายกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อลูกทำผิด  พ่อแม่ลงโทษแต่ไม่ใช่แค่ดุด่าว่ากล่าว   เมื่อลงโทษแล้วยังชี้นำให้เห็นแนวทางที่ถูกต้อง  นี่คือโกรธอย่างถูกต้อง    ใช่หรือไม่  (ใช่)   หรืออย่างเช่นเวลาท่านทำงานร่วมกัน   เพื่อนทำไม่ถูกเราปล่อยไป   ไม่โกรธไม่ได้  เราต้องบอกเขาด้วยความถูกต้อง  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เหมือนเวลาเรารักลูก  ลูกทำผิดเราก็ทำเป็นมองไม่เห็นอย่างนี้เรียกว่าไม่ถูกต้อง   ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถึงเรียกว่าเกิดเป็น  ต้องรู้จักใช้ทั้งพระเดชและพระคุณให้เป็น
เรื่องโลภ  ใครเคยโลภอย่างถูกต้องได้บ้าง    โลภในความดี    ใช่หรือไม่  (ใช่)  อย่าไปนึกเป็นเงินทองหรือชื่อเสียง   เพราะเงินทองหรือชื่อเสียงไม่มีทางโลภได้อย่างถูกต้อง  โลภในการทำดี  ไม่ยอมแพ้แพ้ที่จะทำดี    ทำดีหนึ่งครั้งพอไหม  (ไม่พอ)  เพราะคนเราจะเป็นคนที่ดีได้อย่างถ่องแท้ไม่ใช่เกิดจากการทำดีแค่หนึ่งหน  แต่ต้องเกิดจากกการทำอย่างสั่งสม  และมีฐานแห่งความดีรองรับอย่างหนักแน่น  เขาถึงจะเรียกคนๆ นั้นว่า    ดีที่แท้จริง  เมื่อท่านสามารถดำเนินชีวิตไม่ว่าจะมีอารมณ์ก็ยังมีอารมณ์อย่างถูกต้อง  มีธรรมรักษาใจ  เมื่อทำได้ครบทั้งสามอย่างหรือทำได้ครบอย่างที่เราบอกทั้งหมด  ก็ยืนอยู่บนพื้นฐานความดีที่ถูกต้องได้แล้ว  เมื่อสามารถดีได้อย่างถูกต้องแล้วก็สามารถก้าวขึ้นไปเป็นคนที่เหนือคนได้    แต่ถ้ามนุษย์เรายังยืนอยู่บนความดีได้ไม่ถูกต้อง  เราจะเป็นคนที่เหนือคนได้ยาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นพึงจำไว้
จะทำอย่างไรให้เรายืนหยัดที่จะเรียนรู้การเป็นคนดีและทำตนเป็นคนดีได้อย่างมั่นคง  นั่นก็คือ   เมื่อศึกษาเรียนรู้แล้วต้องมีใจชอบ  เมื่อชอบแล้วจงมีความสุข  หากทำได้อย่างนี้ไม่ว่าจะทำงาน  ไม่ว่าจะเป็นคนดี  หรือไม่ว่าจะมุ่งมั่นทำสิ่งใด  เราจะเดินไปได้อย่างมั่นคง   นั่นคือมีใจที่เรียนรู้  รักในการศึกษา     เมื่อรักในการศึกษาแล้วยังชอบ  เมื่อชอบแล้วยังมีความสุข  เมื่อสุขแล้วจะทำให้ท่านอยู่ตรงนั้นได้อย่างตลอดไป  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ทำไมวันนี้เราจึงเรียกร้องให้ท่านเป็นคนดีก่อน  เพราะว่าสิ่งที่สามารถติดตัวไปกับมนุษย์   ไม่ว่าจะมีลบมหายใจหรือไม่มีลมกายใจ  นั่นคือ  ความดีความชั่ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)  หากตอนนี้ท่านไม่สนใจเรื่องความดีความชั่ว  เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไป  ท่านจะเอาอะไรกลับไป  แล้วอะไรที่จะช่วยผลักดันให้ท่านได้กลับไปหรือทำให้ท่านดิ่งลงไปยังสู่เบื้องล่าง   ท่านจะใช้แรงผลักแห่งความดีเสริมส่งให้ท่านกลับคืนขึ้นเบื้องบน    หรือจะใช้แรงหน่วงเหนี่ยวดึงท่านกลับลงไปสู่นรกโลกันต์  ก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำตนแบบใด  ใช่หรือไม่  (ใช่)    นี่เราพูดแค่ว่าการเป็นคนดี  ท่านยังห่อเหี่ยวขนาดนี้  อย่างนี้เรื่องบำเพ็ญจะพูดได้หรือ  รู้เพิ่มเติมอีกหน่อยว่าการบำเพ็ญคืออะไร  แล้วทำไมเกิดเป็นคนต้องมีธรรมะและต้องรู้จักบำเพ็ญตน  สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราอยากบอกท่านคือ   เพราะอะไรเราต้องบำเพ็ญเพราะว่าโบกนี้มีสุขและทุกข์   สิ่งที่ไม่สามารถเอาชนะได้คือความทุกข์  แล้วสิ่งที่พ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลาก็คือความสุข  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วท่านทราบไหมว่า  ทุกข์กับสุขนี้มาจากใคร    (ตัวเรา)  มาจากตัวท่าน   ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วทุกข์  สุขเกิดที่ไหน  (ที่ใจ)  เกิดที่ชีวิตของท่านใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นหากท่านไม่เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้  ใจท่านจะรู้ไหม   (ไม่รู้)  แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับชีวิต   อวิชชา  ใช่หรือไม่  (ใช่)    พอเอาอวิชชาไปสู่กับชีวิต   ซึ่งหมายความว่าไม่รู้  ก็เลยต้องทุกข์และสุข  เวียนว่ายในวัฎสงสาร  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ในเมื่อตอนนี้เรารู้จักชีวิตมาตั้งแต่ต้น    ทีนี้มาเรียนรู้ใจเราเอง  ดีหรือไม่  (ดี)  ใจมีอำนาจเหนืออิทธิพลที่แวดล้อมตัวเรายิ่งนัก  ท่านว่าเป็นจริงไหม  (จริง)  แม้อากาศจะร้อน  ใจจะเย็นหรือร้อน  (ใจเย็น)  หากอากาศร้อน  แต่ใจเย็น   อากาศก้ยากมีผลต่อจิตใจ  ใช่หรือไม่  (ใช่)   หากอากาศเย็น    ใจเป็นอย่างไร  (ใจเย็น)  ถ้าตอบเราไม่ถูก  ท่านก็ดำเนินชีวิตไม่ถูกแล้ว  ทำไมจึงพูดเช่นนี้  เพราะว่าแม้อิทธิพลภายนอกจะเป็นเช่นไร   ถ้าใจเราตั้งอยู่บนความถูกต้องและเหมาะสม  มีคุณธรรมกล่อมเกลาจิตใจ   มีคุณธรรมคอยควบคุมความประพฤติของตัวเรา  เราจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและควบคุมจิตใจได้อย่าวงเป็นสุข  แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมและจับใจของตนเองได้  เพราะมนุษย์ชอบปล่อยใจไปอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้  แต่แท้ที่จริงแล้วเราลองพิจารณาให้ดีว่าเราปล่อยใจหรือเปล่า
ยกตัวอย่าง มีชายคนหนึ่งจากบ้านมาเป็นแรมปี  ได้ข่าวว่าบิดาและมารดานั้นถึงแก่กรรมแล้ว  เขาเลยต้องรีบกลับบ้าน  แต่ปรากฏว่าเขาจำบ้านไม่ได้แล้ว  เขาก็ร้องไห้ฟูมฟาย  พอเดินไปถึงหลุมศพของบิดา  มารดา    เขาก็ร้องไห้อีก  แต่ปรากฏว่า   เพื่อนเขาสะกิดบอกเขาว่า  “ที่เมื่อกี้พาไปไม่ใช่บ้านท่านหรอก   หลุมศพที่ท่านร้องไห้นั้นก็ไม่ใช่หลุมศพของพ่อ  แม่ท่าน”   เขาก็ตกใจ   น้ำตาที่ไหลอาบแก้มก็หยุดทันที  ไปถึงหลุมศพของพ่อ  แม่เขาจริงๆ   น้ำตาไม่ไหลสักหยด  เพราะอะไร  (ความเศร้าโศกได้ปล่อยไปหมดแล้ว, ควบคุมใจได้ถูกต้อง, ได้รู้ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์, เพราะทำใจได้, ทำใจได้ว่าคนเรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย, เพราะเขาเห็นว่าเป็นสัจธรรมของชีวิต)  ที่ตอบมาก็ถูกเกือบหมดทุกข้อ   แต่ถ้าเราจะสรุปในเรื่องนี้เป็นเพราะว่าปล่อยไปหมดแล้ว   พอปล่อยไปหมดจนถึงที่สุด   จึงกลายเป็นความธรรมดาสามัญ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  มนุษย์นั้นเมื่อเราโกรธ    เรารักใคร่  เมื่อปล่อยจนถึงที่สุดได้ก็กลับมาเป็นคนเดิม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เมื่อไรเราปล่อยอารมณ์จนถึงที่สุด   เราก็คือคนที่ไม่มีอารมณ์  แล้วที่ปล่อยออกไปนั้นที่แท้ไม่ใช่ตัวเรา  จริงหรือไม่   (จริง)  ที่ปล่อยออกไปเพราะใจเราไปยึดติดกับความรู้สึก  ใจเราไปยึดมั่นกับสภาวะแวดล้อม  แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราสามารถมองเห็นความจริงแล้วรับรู้ว่าโลกนี้คือความว่าง  ทุกสิ่งล้วนไปมาอย่างชั่วคราวนั่น  คือเราตื่นและหลุดพ้นด้วยการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางรัก   โกรธ  โลภ    หลง  ที่เฝ้าเวียนวนเผชิญอยู่ทุกวัน    เราจะตื่นได้ทุกวัน   เราจะตื่นได้ทุกขณะที่อะไรมากระทบใจ   แต่มนุษย์กลับไม่เป็นเช่นนั้น    หมดจากความโกรธ   ก็กลายเป็นธรรมดาแล้วก็กลับไปโกรธใหม่  ใช่หรือไม่  (ใช่)  มีใครบ้างที่โกรธอย่างถ่องแท้    แล้วไม่กลับไปโกรธอีก   นั่นแปลว่าท่านยังไม่เข้าใจชีวิต  ใจยังดำเนินชีวิตอย่างผิดๆ ถูกๆ
เมื่อใดที่สามารถควบคุมกาย  ควบคุมใจได้  ยืนอยู่บนความถูกต้อง  นั่นแหละเรียกว่าบำเพ็ญตน    การบำเพ็ญธรรมจะยากขึ้นอีกหน่อยก็คือ   เสียสละความเป็นคนเองเพื่อไปช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์   เพิ่มเติมขึ้นมาหน่อย   นั่นคือไม่ได้ช่วยแค่ตัวเอง   แต่ยังช่วยผู้อื่นด้วย  ช่วยด้วยคำพูดก็ได้  ช่วยด้วยแรงก็ได้   ช่วยด้วยเงินทองก็ได้  แต่ทั้งแรง  คำพูดและเงินทองก็ไม่สู่ช่วยด้วยธรรมะ  ใช่หรือไม่   (ใช่)  เพราะธรรมะจะช่วยทั้งยามีชีวิตและยามไร้ชีวิต  เขาจะรู้จักยืนอยู่ด้วยตัวตนเองอย่างถูกต้องและดีงาม    สอนคนด้วยคำพูดก็ไม่สู้สอนคนด้วยการประพฤติปฏิบัติให้เห็น ใช่หรือไม่  (ใช่)  บำเพ็ญก็คือคนดี   เป็นคนดีและยังมีจิตใจโอบอ้อมอารี    ช่วยเหลือคนอื่น   แม้ตอนนั้นตนเองจะยังสุขบ้างทุกข์บ้าง   ก็ยังเห็นทุกข์ของผู้อื่นเป็นหลักใหญ่   มากกว่าเห็นทุกข์ของตนเองเป็นหลัก   นี่จึงเรียกว่าบำเพ็ญตน  หากบำเพ็ญได้ท่านก็คือพุทธะอริยะน้อย ๆ แต่หากยังไม่คิดจะบำเพ็ญ  ท่านก็จะกลับไปเป็นคนเดิม  แม้จะรับชี้หนึ่งจุดแล้วก็ตาม  ประตูก็ยังลั่นกลอนและปิดตาย  ตราบเท่าที่ใจของท่านไม่ยอมรับรู้  ทั้งที่จริงประตูเปิดแล้ว  แต่รอท่านก้าวข้ามผ่านชีวิต  ข้ามผ่านได้อย่างไร  ถ้าเกิดเราไม่เข้าใจถ่องแท้    แต่วันนี้เราเรียนรู้แล้ว   เราศึกษาแล้ว  ท่านจะต้องค่อยๆ ก้าวด้วยความระมัดระวัง   และทุกขณะที่ก้าวต้องมีความสุขมีความสุขในการเรียนรู้และก้าวต่อ ไ ไปจะมั่นคงอยู่นิจนิรันดร์
คนเราจะพบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อรู้จักเห็นความหวานในความทุกข์ขม   น้ำแม้จะขุ่นเน่าเหม็นอย่างไรก็ยังมีน้ำใสสะอาดเจือปนอยู่   ความทุกข์ที่เราประสบพบเจอแม้จะยากลำยากอย่างไร   แต่ถ้าเราเห็นเป็นกำไนชีวิต   และเก็บเป็นประสบการณ์ต่อสู้ชีวิตในคราวต่อไป    ความทุกข์จะเป็นบทเรียนที่ดีสอนใจใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเข้าใจคำว่า  “สำเร็จดึงความหนาวที่ทุกข์สร้าง”  ไหม   การบำเพ็ญต้องผ่านความยากลำบาก    ต้องผ่านภาวะที่กดดันคับแค้น    เราเคยเห็นว่าสัตว์นั้นเมื่อถูกทำให้อดอยาก    เมื่อถูกทารุณ   สัตว์จะตะปบอย่างไม่เลือกหน้าท่านเคยได้ยินข่าวไหม  ที่สัตว์ทำร้ายเด็ก  หรือกัดกินผู้คน  แต่ถ้าเราสืบหาสาเหตุดี ๆ นั้นใช่ความผิดของสัตว์หรือเปล่า  (ไม่ใช่)  แล้วการลงโทษสัตว์โดยการฆ่าให้ตายตกไปตามกัน  เป็นการกระทำที่ถูกทวงไหม   (ไม่ถูก)  ฉะนั้นเวลาเราจะตัดสินโทษว่าใครเป็นคนผิด แม้จะเป็นสัตว์สี่เท้าแต่ก็มีชิตและจิตใจ  ฉะนั้นคนเราก็เช่นเดียวกัน    เมื่ออยู่ในภาวะที่ตกอับย่อมหนีจนตัวตายหรือสู้จนไม่คิดชีวิต  ใช่หรือไม่  (ใช่)   แถมไม่สนใจด้วยว่ามีคุณธรรมหรือไม่  แล้วรับประสาอะไรกับสัตว์ที่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ   ฉะนั้นเมตตาจงเปิดให้กว้าง  รักคนก็ต้องรักสัตว์  ดังนั้นเราเป็นมนุษย์เมื่อถึงคราวตกอับเราหนีอย่างไม่คิดชีวิต  สู้โดยไม่คิดถึงคุณธรรมได้หรือไม่   (ไม่ได้)  แปลว่าแม้จะอดตายก็ไม่ยอมทิ้งความดีหรือคุณธรรม  แม้จะถูกต่อว่าต่อขานจนไม่มีดี  เราก็จะไม่ทิ้งความดีหรือคุณธรรม    เพราะถึงแม้ว่าสู่ไม่ได้   แม้จะต้องตายเราก็ยังเหลือความดีไว้คู่ใจเรา   แต่ถ้าเกิดถึงคราวตกอับแล้วท่านไปประพฤติชั่ว   นั่นเรียกว่าก้าวผิดแล้ว  ฉะนั้นเมื่อยามตกอับอย่าทิ้งดีแล้วไปเลือกชั่วเด็ดขาด  วันนี้หน้าที่เราเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วจะเสร็จสมบูรณ์ในใจท่านหรือเปล่า   เราก็รับรู้ได้   วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้  มีโอกาสขอให้ท่านกลับมาศึกษาให้มากกว่านี้   การบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญที่กายและใจ  และบำเพ็ญเมื่อยามมีชีวิตอยู่  โดยส่วนใหญ่วัยรุ่นมักจะรักความสบาย   ชอบความสนุกสนาน  แม้อายุมากก็ยังรักสบาย   ชอบสนุกสนาน  อะไรที่คึกคักๆ ชอบไป    อะไรที่เงียบสงบชอบหนี  เวลาอยู่กับครอบครัวไม่คึกคักหรือ   ไม่มีความสุขหรือ  ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในโลกใบนี้   อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง   อยู่ได้ทุกสภาวะและจงมองเห็นทุกสภาวะล้วนมีสิ่งที่ดีแอบแฝงอยู่ให้คุณธรรม  ให้ข้อคิดวันนี้ก็คงต้องลากันเพียงเท่านี้  อยย่าคิดว่าเรามาเล่นละครตบตาวันนี้เราคงมีโอกาศผูกบุญสัมพันธ์กันเท่านี้   ศึกษาหลักธรรม   น้อมนำสู่ชีวิตที่ดีงาม


วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมสกุลหง จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ยามโมโหให้ในใจนับหนึ่งสอง หากไม่พอให้ลองนับสามสี่ห้า
ยังไม่หายหกเจ็ดแปดเก้านับมา นับจนกว่าจะหายค่อยคิดลงมือ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลายสบายดีหรือเปล่า

ใช้ธรรมะเป็นเหมือนเรือข้ามทะเล น้ำเหมือนเปลแกว่งไปมาสนุกสนาน
ใช้ธรรมะต่อเป็นเรือพิสดาร ใช้วันวานเป็นครูในก้าวต่อไป
จงอิดทนต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า และจงกล้าเดินต่อไปสู่จุดหมาย
มีปัญญาอย่าเห็นแก่ความสบาย เมตตาคล้ายโพธิสัตว์โปรดเวไนย
อันสิ่งใดผ่านอย่าเฝ้าตำหนิ ปทุมผลิรอเวลาอรุณฉาย
คนไม่อาจพูดว่าไม่รู้ตลอดไป จงรักการแก้ไขเท่าชีวิน
บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญจิตเจ้าอย่าลืม ให้เจ้ายืมกายปลอมเพียรคืนถิ่น
บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญอย่างติดดิน อย่าได้ติดราคินแม้เสี้ยวใจ
ร่วมมือรวมพลังสร้างอนาคต หมั่นละลดเหล่ากิเลสลงให้ได้
หนึ่งชีวิตดั่งฝันอย่าปล่อยใจ ฟ้าแสนไกลลงมาใกล้เพียงก้าวเดิน
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาฟังธรรมะแล้วรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า  (ดี)   ดีแล้วต้องทำอย่างไร  (ปฏิบัติ)  ดีแล้วต้องนำมาปฏิบัติ    แต่หากดีแค่ไหนถ้าไม่นำมาปฏิบัติก็ไม่ประโยชน์  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  ธรรมะจะดีแค่ไหนถ้าศิษย์ไม่นำไปปฏิบัติไม่มีประโยชน์   ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฟังธรรมะแล้วไม่ใช่ฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา  แต่ฟังธรรมะแล้วให้เข้าไปในจิตใจ  เข้าไปอยู่ในตัวเรา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนอื่นเขาจะเห็นธรรมะได้ดีอย่างไร  หรือจะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมะดี  (ปฏิบัติให้เขาเห็น)  สิ่งที่ตอบก็ถูกต้อง  เพราะที่สิ่งที่จีรังที่สุดก็คือ  การทำให้เขาเห็น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  อย่างเช่นเมื่อเช้าฟังหัวข้อกตัญญู    เราฟังมาแล้วกตัญญูนี้ดีไหม  (ดี)  ต้องทำอย่างไร  (ปฏิบัติ)  ปฏิบัติกับใคร  (พ่อ,แม่)  ปฏิบัติกับพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณ  ใช่หรือไม่  (ใช่)   กับพ่อ แม่ของเรา     เราเอาแต่ใจไหม  (เอาแต่ใจ)  มีคำกล่าวว่า  คนยิ่งแก่ยิ่งเหมือนเด็ก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เราจะเริ่มทำ  ถ้าศิษย์อายุน้อยๆ แล้วพ่อแม่ของเราอายุยังไม่มาก  แล้วท่านเป็นคนที่มีความรู้ดี  จะคุยกับเด็กและรับฟังเหตุผลรู้เรื่อง   แต่ถ้าหากว่าเราอามาก  แล้วพ่อแม่ของเราก็อายุมากขึ้น  ท่านยิ่งชรา  ท่านยิ่งเหมือนเด็กมากขึ้นทุกที  เราคิดว่าเราต้องใช้ความอดทนมากหรือเปล่า  (มาก)  เราใช้ความอดทน   ความพยายาม       ระยะเวลามาพิสูจน์ตัวของเรา  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)   การทำความดีไม่ใช่แค่ทำสามวัน  ห้าวัน   แต่ทำความดีหลายๆ  คนพอให้ทำความดีนาน ๆ เป็นอย่างไร  สามวันแรกก็ยังได้อยู่   พอนานๆ    ไปก็เหมือนการดึงเชือก  เรามีเชือกอยู่เส้นหนึ่ง  เชือกเส้นนี้    เราตึงไว้นานๆ  ตอนแรกก็ดึงได้ตึงดี  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)   แต่ให้จับสักปีเป็นอย่างไร  (หย่อน)  เบื่อที่จะจับไหม  (เบื่อ)  เพราะเราเป็นคนที่เบื่อง่าย   เพราะว่าเรานั้นยังแพ้ต่อคามเมื่อย   ความเหนื่อย  ความล้า    การทำความดีของเราจึงไม่คงเส้นคงวา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เส้นที่เคยตึงๆ นี้จึงหย่อนลงเรื่อยๆ  ยิ่งถ้าไม่มีคนเห็น   อาจจะเลิกทำ  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เพราะว่าคนบำเพ็ญนั้น    เวลาทำความดีก็อยากให้คนชม  เราชอบไหม  (ชอบ)  ถ้าเขาชี้แนะแบบตำหนิ  (ไม่ชอบ)    เหมือนเขาไม่เห็นใจในความพยายามของเรา   ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เป็นอย่างนี้ทุกคนจึงเลิกบำเพ็ญ
การที่ทำความดีแต่ละอย่างนั้น  ต้องใช้เวลา    ต้องใช้ความอดทน  อย่าบอกว่าเราทำความดีแล้ว   ทุกคนต้องเห็นใจเรา   ชมเรา    เพราะเราหมายใจว่าต้องได้อย่างนี้  ถ้าเราไม่ได้  เราจะเลิกทำหรือเปล่า  (ไม่เลิก)  ดูจะสวนทางกับคำตอบเมื่อสักครู่นี้  สวนทางหรือเปล่า   (สวนทาง)  แสดงว่ามนุษย์เป็นผู้เอาใจยาก   ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  จะให้ทำอย่างไรตัวเราถึงจะพอใจ  มีอยู่ทางเดียวนั่นคือ  ขจัดทิฐิอัตตา    ขจัดตัวตน  ความขี้เกียจ     รู้มาก  รู้เท่าไม่ถึงการณ์    ที่สำคัญขจัดอะไร  (กิเลส)  เพราะทุกวันนี้เรามีสิ่งที่เป็นอุปสรรคกับเรามากมายก็คือ    กิเลสที่อยู่ในจิตใจของเรา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เสื้อผู้หญิงแขวนอยู่ตัวหนึ่งสีม่วง  ตัวนั้นสวยๆ แวบวับเป็นประกาย  ผู้ชายก็มีเสื้อหล่อๆ เท่ๆ แขวนอยู่ข้างหน้าอีกตัวหนึ่ง  สีออกเทาๆ หน่อย  เราชอบไหม  สมมติเป็นตัวที่สวยมาก    ใครเห็นใครเห็นชอบ  ศิษย์ในที่นี้ก็ชอบด้วย  แล้วกิเลสอยู่ที่ไหน    อยู่ที่เสื้อตัวนั้นหรือเปล่า  (ไม่ใช่)  อยู่ที่ไหน  (อยู่ที่ใจ)  ฟังธรรมะสองวันนี้  ชั้นเรียนนี้เขาเรียกชั้นเรียนฟื้นฟูพุทธญาณหมายความว่าฟื้นฟูจิตที่เป็นพุทธะ  ฟื้นฟูญาณที่เป็นธรรมะ   เป็นความดี  แต่นั่งฟังสองวันฟื้นฟูได้หรือเปล่า    (ไม่ได้)  ที่ฟังไปล้วนเป็นเพียงแค่เสียง  ไม่ใช่ธรรมะจริง ๆ รูปที่ตั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นสถานที่ที่เป็นธรรมะจริงๆ รวมทั้งอาจารย์จี้กงที่มาในตอนนี้  ก็ไม่ใช่สิ่งที่จีรังยั่งยืนที่ศิษย์จะมายึด  แต่สิงที่ศิษย์ต้องไปฟื้นฟูกลับอยู่ในตัวของเราเอง  แสดงว่าในตัวเรามีของวิเศษ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ในตัวของเรามีของวิเศษ    เมื่อเราแผ่แสงนี้ออกไป    แสงนี้ย่อมครอบคลุมเมื่อยามมืด    เหมือนกับตอนนี้สมมติเป็นยามดึกสงัด    บ้านหลังนี้ปิดไฟมืดสนิท  มีอยู่สิ่งหนึ่งจุดขึ้นมาแล้วสว่างทันทีคือ  เทียนไข    แต่เทียนไขเล่มนี้อาจารย์เปรียบไว้เป็นจิตพุทธะของตัวเอง  สามารถที่จะจุดเทียนไขเล่มนี้  เพียงแต่ว่าเทียนไขนี้ไม่รู้ว่าจะจุดติดหรือเปล่า(ติด)
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)  เพื่อเป็นการบอกว่าเทียนไขเล่มนี้จุดติดคนที่รับผลไม้บอกอาจารย์หน่อยสิ  ว่าวิธีการจุดเทียนไขของตัวเองอย่างไรเพื่อพี่จะให้เทียนไขของเราไม่บอด  (ชำระล้างจิตใจ)  ชำระล้างอย่างไร  (ทำความดีงาม)   ความดีงามเป็นอย่างไร   ความดีมีตั้งมากมายพูดอะไรออกมาก็เป็นความดี  ใช่หรือไม่  (ใช่)พูดดี  คิดดี  ทำดีก็เป็นความดี  พูดก็มีตั้งหลายเรื่อง  คิดก็มีตั้งหลายอย่าง  ทำก็ทำตั้งหลายอย่างได้   ความดีคิดไม่ออกสักอย่างหรือ   (ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)    สัตว์นี้มีสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่  มีสัตว์ที่สมควรฆ่าและไม่สมควรฆ่า  ทั้งสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่  แต่ถ้าเราไปฆ่าสัตว์ใหญ่  เช่น   วัวควายหรือคน   ถือว่าเป็นกรรมเป็นบาปอย่างยิ่ง    ยิ่งสัตว์ตัวใหญ่เท่าไรกรรมก็ยิ่งมากขึ้นตามเป็นเท่าตัว  แต่ถ้าเราฆ่าสัตว์น้อย  เช่น  กุ้ง  หอย  ปู    ปลา  กรรมก็น้อย  แต่ถามว่ากรรมน้อยมีกรรมไหม   (มี)  เพราะฉะนั้นกุ้ง  หอย  ปู  ปลา  ไก่  อะไรทั้งหลาย  ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้  จะปฏิเสธว่าเราไม่มีกรรมนั้นเป็นไปไม่ได้   เพราะอย่างที่รู้แม้ว่าเขาตัวน้อย   แต่เขาก็เอาชีวิตรอดเหมือนกัน    ใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราฆ่ากับมือต้องพิจารณาว่าต้องเลิกทันทีอย่าลังเล   แต่หากว่าเราสั่งเขาฆ่า   ก็มาทีละครึ่งๆ ในที่สุดแล้วเราคิดว่า  ถังจะใหญ่สักเท่าไรเดี๋ยวมันก็ล้น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ทุกวันนี้คนที่เจ็บป่วย    คนที่มีเคราะห์ อยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นเป็นเพราะว่าเรามีกรรม   เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปสะเดาะเคราะห์เหล่านั้นก่อน  ตัดด้วยอะไร  ไม่ต้องเอาเงินมาให้สถานธรรม   ไม่ต้องเรียกร้องให้อาจารย์คนไหนช่วย   ขอให้ตัวของเราช่วยตัวเอาเอง  ด้วยการที่ให้เราลด  เลิก    ถ้าเลิกไม่ได้  ลดได้ไหม  (ได้)  ไม่ใช่ลดจากสองเป็นห้า   ลดจากสองเป็นเท่าไร  (ศูนย์)  มีสัตว์ที่สมควรฆ่าและไม่สมควรฆ่า    เป็นอย่างไร    เดี๋ยวนี้เวลาคนที่เสพยาบ้า   แล้วคนประชาทัณฑ์จนตาย  ถามว่าสมควรตายไหม  อาจารย์ว่าก็ควร   แต่ไม่สมควรตายในเท้าศิษย์  ไม่ควรตายด้วยน้ำมือศิษย์  และไม่ควรตายด้วยความคิดของศิษย์  ใช่หรือไม่  (ใช่)    คนเราแค่คิดก็มีบาปแล้ว     คิดว่าจะฆ่า    คิดอิจฉา    คิดว่าเกลียด   คิดว่าโกรธ   คิดว่าโทษ    แค่นี้ก็บาปแล้ว   ถึงแม้ว่าเขาสมควรตาย   เราก็คิดว่าเราไม่ควรตาย ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราไม่ควรแก่       และไม่ควรเจ็บ  เพราะฉะนั้นคิดไปคิดมาคนที่เราคิดว่าเขาควรตาย   เขาก็คิดว่าเขาไม่ควรเหมือนกัน
เกิดเป็นคนจึงอย่าได้ผูกเวรผูกกรรมกับใคร   วงจรชีวิตมนุษย์เป็นรูปวงกลม    เป็นเส้นเปล่า ๆ   ที่วาดไปกลมๆ แล้วก็กลับมาที่เดิม    นี่เป็นวงจรชีวิตของคน   จึงบอกว่าคนที่อายุมาก ๆ  จะกลับมาเหมือนเด็ก     เพราะว่าวงจรชีวิตของคนกลมวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดก็กลมเช่นเดียวกัน     กลมอย่างไร  ที่นี่บอกว่าศิษย์มาจากนิพพาน   มาจากความว่างเปล่า   ก็คือมาจากตรงนี้  ไม่ว่าจะทำอะไร  ไม่วาจะเกิดอะไรขึ้นมันก็จะวิ่งวนกลับมาที่เดิม  แต่ว่าจะไปช้าหรือจะไปเร็ว    จะกลมได้เท่าไรมันขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง   เชื่อไหมว่าเมื่อเราบำเพ็ญธรรม    เราสามารถหลุดพ้นได้  บางคนบอกว่าไกล  บ่นสั้นๆ แค่นี้ โอ๊ย !  ไปไม่ถึงหรอก  เรามองเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม  จากที่เห็น  เห็นชัดๆ ว่าวงเวียนของคนนั้นเกิดมาเป็นรูปวงกลม  เพราะฉะนั้นวงเวียนของการเกิดและการตาย  ตายแล้วไปไหน  กลับมาก็ยังกลมเหมือนกัน  เมื่อบอกว่าศิษย์มาจากนิพพาน  กลับก็คือกลับนิพพาน  แต่มีช้ามีเร็ว   หากทำกรรมไว้มากกรรมก็ดึงจะถึงไหม    ฉะนั้นขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญของเรา
สังเกตเวลาที่คนคิดสิ่งที่ไม่ดี   ก็จะมีความคิดที่ดีเข้ามาแทรก  น้อยนักที่คิดชั่วทำชั่ว  แล้วไม่มีความคิดดี ๆ เข้ามาแรก  โดยส่วนใหญ่จะมีความสำนึกรู้ความละอายเข้ามาแรก  แต่ว่าในชั่วขณะนั้นยอมให้นิพพานเป็นเจ้าหรือยอมให้นรกเป็นเจ้า  ถ้ายอมให้นิพพานยอมให้สวรรค์เป็นเจ้าศิษย์ก็คือคนดี    หากว่าโดยทั่ว ๆ ไป  ร้อยครั้ง  เจ็ดแปดสิบครั้งยอมให้นรกเป็นเจ้า   ศิษย์ก็เหมือนสัตว์ที่ยังไม่รู้ตื้น  ฉะนั้นจิตทุกๆ คนอยู่ข้างในเป็นของวิเศษที่อยู่คู่กาย  เป็นหน้าที่ของศิษย์ที่ต้องบำเพ็ญเพื่อที่จะหลุดพ้นกลับไป   หากเราไม่บำเพ็ญ  ชาตินี้เราบำเพ็ญไม่หลุดพ้น   ชาติหน้าชาติไหนๆ ก็คงต้องกลับมาบำเพ็ญอีก    ชาตินี้เราขึ้นชื่อว่ามีความกระตือรือร้น   รู้อะไรผิดอะไรชอบ   ฟังใครก็ฟังรู้เรื่อง   เกมดมาเป็นมนุษย์    หากไม่บำเพ็ญก็ถือว่าเราเสียชาติเกิด    เพราะฉะนั้นจะเกิดมาเสียชาติเกิดไหมชาตินี้   (ไม่)  แม้ว่าอายุมากแล้วก็สามารถที่จะบำเพ็ญได้เช่นเดียวกับวัยหนุ่มสาว  เพราะว่าอายุนั้นไม่ใช่อุปสรรคของการบำเพ็ญ   ความรู้ความสามารถ  ไม่ใช่อุปสรรคของการบำเพ็ญ  สิงที่เป็นอุปสรรคคือจิตใจที่สู้หรือไม่สู้ของเรา  เพราะฉะนั้นแม้ว่าตอนนี้จะจนแสนจน  ตอนนี้ผมจะขาว   แรงจะไม่มี     ก็สามารถบำเพ็ญได้เช่นเดียวกัน
สถานธรรมเปรียบเสมือนนาวาเป็นเรือ   ล่อยอยู่ที่ไหนเรือลำนี้  ล่องอยู่ในทะเลทุกข์  ทะเลทุกข์ในโลกของเราทุกวันนี้ทุกข์ไหม  ถ้าชีวิตของเราทุกวันนี้มีทุกข์เป็นส่วนใหญ่  ก็แสดงว่าศิษย์อยู่ในทะเลทุกข์  แล้วจะสุขอยู่คนเดียวได้ไหม   อยู่ในทะเลทุกข์    สุขอยู่คนเดียวก็ไม่ได้    เพราะฉะนั้นขอให้ตอนนี้   เราผลัดเปลี่ยนกันมอบความสุขให้กับผู้อื่น  แม้ว่าเราจะมีทุกข์อยู่เต็มหัวใจ  ขอให้เรายิ้มให้เรากับผู้อื่น   ขอให้เราทำให้ผู้อื่นหัวเราะได้  เมือผู้อื่นหัวเราะ    เราจะมีความสุข  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกลับไปที่บ้าน  ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงาน  ไม่ว่าจะอยู่ในไร่  ในทุ่งหรือที่ไหนก็ตามจะดูหนังฟังเพลง  จะทำอะไรก็แล้วแต่  ก็ขอให้เราทำให้ผู้อื่นมีความสุข  หากว่าศิษย์ดูหนังอยู่มีความก้าวเข้ามา   เราทำให้เขามีความสุขไม่ใช่เรื่องยากและก็ไม่เสียเวลามาก   ขอให้เราทำให้ผู้อื่นมีความสุข  เสียเวลาไม่ถึงห้านามี  ละครก็ยังเล่นต่อไป  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เวลาไปนานแล้วเจอคน  เราพูดธรรมะให้เขามีความสุข    ในเมื่อเขามีความกลุ้มใจ  เราให้เขามีความสุข  เราเสียเวลาไม่ถึงห้านาทีสิบนาที  งานของเราก็ยังทำต่อไป  แสงอาทิตย์ก็ยังแผ่จ้าให้ศิษย์สามารถทำงานต่อไปได้  เพราะฉะนั้นการทำให้ผู้อื่นมีสุขไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจ    เก็บความทุกข์ของเราพับลงใส่กล่อง  บางเรื่องควรทุกข์ก็ทุกข์    บางเรื่องไม่ควรทุกข์ก็อย่าทุกข์  แม้ว่าโลกนี้บางเรื่องมีเรื่องไม่ควรทุกข์รู้หรือเปล่า  เคยเจอไหมเรื่องไม่ควรทุกข์  เคยไหม  อย่างเช่นปัญหาของลูก  ลูกเรียนไม่เก่ง  เก็บมาทุกข์ลูกจะเรียนเก่งไหม  (ไม่เก่ง)  วันนี้เศรษฐกิจไม่ดีทำการค้าก็ไม่ดี  งานการก็ทำท่าจะไปไม่รอด  ถามว่าเราทุกข์มีประโยชน์ไหม  (ไม่มี)  เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทุกข์เพราะไม่สามารถแก้ได้ในขณะนั้น  ไม่สามารถแก้ได้ในทันที เราก็อย่าไปทุกข์กับมัน  แต่พอจะมีหนทางอยู่บ้างก็ขอให้ดิ้นรนต่อไป  เพราะมนุษย์นั้นหากยังมีกายเนื้อก็หนีไม่พ้นการดิ้นรนเพียงแต่ว่าท่ามกลางความทุกข์นั้น    ให้เรารู้จักที่จะบำเพ็ญจิตของตัวเอง   นี่เป็นเรื่องสำคัญ  เมื่อเราเกิดมากรบำเพ็ญเป็นเรื่องที่อยู่คู่ชีวิต  ตายไปจะได้ในหาทางที่ดี  หากวันนี้ไม่เสียสละเวลาบำเพ็ญ  ไม่บำเพ็ญท่ามกลางความวุ่นวายนี้  แล้วเมื่อไรจะได้บำเพ็ญ  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงประกอบท่าจับไม้พาย)  บางคนก็พายถูก   บางก็พายไม่ถูก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำผิดทำถูกดีวกว่าไม่อะไรเลย  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ก็ดีกว่าคนที่ทำถูกแล้วไม่ยอมทำ  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    นี่ก็เปรียบเทียบเป็นธรรมได้เหมือนกัน  คนเราถ้าหากเหมือนกันที่ทำสิ่งใดได้  ช่วยเหลือคนอื่นได้   แต่ไม่ยอมช่วย  คนที่ช่วยไม่เป็นกลับพยายามที่จะช่วยถูกบ้างผิดบ้าง  ช่วยผิดก็ยังช่วย  ดีกว่าคนแล้งน้ำใจช่วยเป็น  ทำเป็นแต่ไม่ยอมช่วย  เวลาที่เราอยู่ร่วมกันบ้างกลังนี้ยังเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น  วันนี้มานั่งก็นั่งติดๆ กันอบอุ่นมาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)   เป็นความอบอุ่นชนิดหนึ่งที่หาไม่ได้จากบ้านหลังใหญ่  สถานธรรมที่ยังเล็ก  ส่วนใหญ่คนจะยังรักและกลมเกลียวกัน    เมื่อสถานธรรมใหญ่โตสิ่งที่เราต้องรักษาไว้คือความอบอุ่น  ซึ่งเป็นความอบอุ่นที่ทุกๆ คนสัมผัสได้    เป็นความอบอุ่นที่พวกเราทุกๆ  คนร่วมกันสร้างขึ้นมิได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง  ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากใครคนใดหนึ่ง  เราอย่าโทษคนอื่น  อย่าผลักปัญหาไปให้คนอื่น  ทุกๆ คนก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความแห้งแล้วในความอบอุ่นครั้งนี้  ฉะนั้นในวันนี้เมื่อกลับมาอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก   แม้ว่าบ้านจะเล็กอาจารย์ก็ยินดี    อย่างน้อยบ้านเล็ก ๆ ก็ทำให้ศิษย์ของอาจารย์   ยืนเบียดๆ กัน  อยู่อย่างนี้  มองหน้ากันไป   มองหน้ากันมา  คนโกรธกันหรือจะโกรธกันลง   ฉะนั้นบ้านเล็กก็มีข้อดี   บ้านใหญ่ก็ดี  แต่ต้องมีความอบอุ่นเหมือนบ้านเล็ก จิตใจของคนที่รู้จักจะอภัยให้กันและกัน  เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านอบอุ่นมากขึ้น  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  ความคิดที่จะสามัคคีกลมเกลียวกันเป็นหนึ่งเดียวยิ่งทำให้เรือธรรม  ทำให้บ้านหลังนั้น   ก้าวไกลและกว้างไกลมากขึ้น  เจริญก้าวหน้ามากขึ้น  ใช่หรือไม่  (ใช่)   หากบอกว่าให้เขาสองคนสามัคคีกันแล้วเดี๋ยวเราเป็นคนที่มีความสามารถค่อยไปสามัคคีกับเขาทีหลังได้ไหม  (ไม่ได้)  ต้องช่วยๆ กัน  ใช่หรือไม่   (ใช่)  คนที่บำเพ็ญธรรม  มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ฉะนั้นยิ้มอยู่เป็นเนืองนิจ  แต่คนที่มาที่นี่หลายคนยังยิ้มไม่ออกอยู่เลย  เป็นไหม  ใจในเป็นอย่างไรอยู่  คนยิ้มแสดงว่าจิตใจเบิกบาน  คนไม่ยิ้มแสดงว่าจิตใจหมองเศร้าถูกหรือไม่  (ถูก)  คนที่อยากยิ้มก็ยังยิ้มไม่ออกแสดงว่าใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด  ใช่ไหม  ใช่หรือเปล่า   โดยปกติแล้วเป็นคนที่เศร้ามากกว่ามีความสุขใช่หรือไม่  (ใช่)  ตอนนี้เอาความสุขนั้นมาอยู่ตรงหน้าของเรา  แล้วเอาความทุกข์นั้นโยนทิ้งไปไกลๆ ลองทำมือเหมือนอุ้มอะไรไว้อย่างหนึ่ง  คนที่กอบกำใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีความสุขมาก  คนที่กอบกำเล็กๆ ก็แสดงว่ามีความสุขอันเล็ก ๆ คนที่มีความสุขไม่มีความสุขนั้นไม่ได้อยู่ข้างหน้านี้   แต่อยู่ที่ใจของเราใช่หรือไม่  (ใช่)  เวลาคนพูดให้เราหัวเราะ  แต่เรานั่งหน้าบึ้งคนนั้นมีความสุขไหม   (ไม่มี)  เวลามีคนที่เค้าหวังดีกับเรา  แต่ว่าความหวังดีของเขาอาจจะพูดอะไรที่ขัดหูเราบ้าง   หรือเข้าทางเราไม่ถูก  หรือไม่รู้จักนิสัยของเรา  เราก็หน้าบึ้งหนักเข้าไปใหญ่  เช่นนี้เป็นคนที่เปิดใจกว้างรับฟังไหม   (ไม่รับ)  การที่จะรับความสุข   ขอให้เรานั้นรู้จักที่จะรับ  ขอให้เรารู้จักที่สร้างเป็นด้วย  สร้างความสุขจากใจของเราไปให้ผู้อื่น  และรับความสุขจากผู้อื่นมาให้กับเรา ความทุกข์ในทะเลนี้จะได้เจือจางไปบ้าง  น้ำเค็มในทะเลจะได้เจือจางลงบ้าง  ใช่หรือไม่  (ใช่)
อาจารย์ถามว่า  “คิดตะทำอะไรเพื่อเป็นการแสดงถึงการบำเพ็ญของเราเป็นอย่างแรก”  อาจารย์แจกำผลไม้  ในสองวันนี้ใครยังไม่ได้เลย  ให้ลุกขึ้นตอบดีหรือไม่  (ดี)  ผลไม้ถึงแม้ว่าจะมากมายบนโต๊ะ   แต่ถ้าหากถึงคราวแจก  ก็อาจจะหมดก็ได้  เพราะฉะนั้นต้องรู้จักคว้าโอกาส  ใช่หรือไม่  (ใช่)  กลับไปบ้านทำอะไรเพื่อแสดงถึงการแสดงเป็นอย่างแรก  (นั่งสมาธิ)  นั่งลงแล้วหลับตาสักห้านาทีเวลาเราบอกว่าเราจะลงมือปฏิบัติในสิ่งที่เราพูดเป็นแค่เพียงการทบทวน  เมื่อศิษย์จะทบทวนก็ให้ทบทวนเลย  (กลับไปเจอลูกเมียก็ยิ้มแย้ม   มีอัธยาศัยที่ดีต่อกัน  ไม่หน้าบึ้งใส่กัน  ปกติทำไหม  (ปกติก็ทำอยู่แล้ว)  แสดงว่านี้เป็นเรื่องปกติ  (ไม่ปกติคือว่าปกติเราทำ   แต่พอไปเจอความขัดแย้ง  เราจะเปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธ  ก็พยายามระงับความโกรธไว้)  อันนี้ทำได้ไหม  (ทำได้)  แสดงว่าสิ่งที่ศิษย์จะทำไม่ใช่การยิ้มแย้ม   แต่คือการไม่โกรธต้องพยายามทำกันให้ได้กับทุกคน  ทุกคนที่ทำหน้ายักษ์ใส่   ทุกคนที่ทำให้เราขุ่นหมอง   พวกนั้นเป็นครูของเรา  นอกจากจะโกรธเขาไม่ได้   ยังต้องขอบคุณเขาด้วย   ต้องให้คิดอย่างนี้  คนอื่นว่าอย่างไร  (กลับไปจะเลิกละเสพของที่มึนเมา,เลิกเล่นหวยใต้ดินหันมาเล่นหวยรัฐบาล)  คนบางคนรู้ว่าซื้อหวยไม่ดี  รู้ว่าซื้อหวยไม่ดี  รู้ว่าซื้อแล้วจน  ถามว่าซื้อหวยรัฐบาลกับหวยใต้ดินจนเหมือนกันไหม   (เหมือนกัน)  เหมือนกับเวลาคนที่ติดบุหรี่แล้วจะเลิกสูบเขาก็ขอว่า  เดี๋ยวสูบม้วนนี้ก่อน  ขอให้หมดซองนี้ก่อนถามว่าเขาเลิกสูบได้ไหม  (ไม่ได้)
การนั่งสมาธิหมายความว่า  การที่เราสงบท่ามกลางความวุ่นวาย  สมาธิของเรานั้นคือการตั้งจิตใจให้นิ่ง  จิตใจต้องไม่คิดอะไร  แน่นอนศิษย์อาจจะยังได้ยินเสียง   แต่ว่าการได้ยินเสียงนั้นต้องเหมือนไม่ได้ยิน     เพราะการที่เราได้ยินแล้ว  แต่เราไม่เก็บเอามาคิด  นั่นจึงเรียกว่า  นั่งสมาธิ  เป็นสมาธิที่ไม่ต้องหลับตาก็ได้  แต่ขอให้จิตของศิษย์สงบนิ่ง  เวลาเจอคนต่อว่า  ติเตียนกล่าวโทษ    ไม่คิดอะไรเวลาเจอเหตุการณ์ที่ไม่สมหวัง  เราก็ไม่รู้สึกตัดพ้อต่อว่าอะไร   ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน  เรียนต่อไปใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ทำได้ไหม  (ทำได้)  เวลาที่เจริญสมาธิก็เหมือนกัน  เพราะว่ายิ่งเจริญสมาธิข้อดีคือ  ทำให้ศิษย์มีปัญญา   รู้จักยั้งคิดโดยทั่วไปยิ่งนั่งแล้วยิ่งฟุ้งซ่าน   อาจารย์จึงไม่แนะนำให้นั่ง  แต่ถ้าใครจะนั่งก็ขอให้มีจิตใจที่สงบเงียบ  แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายมากๆ ก็เหมือนไม่ได้ยินอะไร  โดยเฉพาะเสียงนินทา  สอดเสียด   เสียงที่มากระทบหูทำเหมือนไม่ได้ยินได้ยิ่งดี  เพราะว่าได้ยินแล้วมีแต่โมโห  มีแต่เรื่อง
สิงที่ควรทำที่สุดอย่านินทากัน  มิฉะนั้นแล้วต่อให้เป็นญาติ   เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องหรือเป็นใครก็ตาม   เขาจะทิ้งพวกเราเมื่อเขารู้   เขารู้ได้อย่างไร   ถามว่าความลับในโลกมีไหม  (ไม่มี)  ความลับไม่มีในโลกนี้   ฉะนั้นจงอย่าว่าใคร  ให้พูดต่อหน้าและดูสีหน้าของเขาก่อน  เมื่อพูดได้ควรพูด   เข้าใจไหม  (เข้าใจ)  บางคนไม่ดูสีหน้าพอพูดไปกลับโดนเขาชกกลับมา  คุ้มไม่คุ้ม   พอพูดไปก็โดนเขาว่ากลับมาแล้ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะพูดกับใครอยู่กับมครจะต้องรู้จักนิสัยของกันและกันคนเปิดเผยจริงใจในโลกนี้มีน้อย   คนที่เปิดเผยจริงใจและรู้จักกาลเทศะยิ่งน้อย   ฉะนั้นต้องรู้จักกาลเทศะ   ต้องรู้จักมอง   รู้จักคิด  ต้องรู้จักฟัง   ฟังให้มากกว่าพูด   คิดให้มากกว่าที่จะพูด  คิดให้มากกว่าแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง  อาจารย์ขอถามหัวหน้าว่าจะมาช่วยงานธรรมะที่นี่ได้ไหม  (ได้)  ทุกคนในที่นี่  ทั่วโลกนี้มีเวลาเท่ากัน  24  ชั่วโมง  อยู่ที่ว่าคนไหนเจียดเวลาได้แค่ไหน  และก็เบอร์สองเบอร์สามอาจารย์จะขอเช่นกัน   วันนี้ขอให้มีเวลาว่างและมาศึกษา   ร่วมคิด   ร่วมรู้   ร่วมปฏิบัติ     ดีหรือไม่   ทำได้ไหม  (ได้)
ถ้าหากว่างานประชุมธรรม  อาจารย์ไม่มาจะได้ไหม  (ไม่ได้)  ศิษย์คิดว่าถ้าวันนี้ขาดซึ่งอาจารย์ศิษย์จะอยู่ได้  ก่อนนี้เจ้าทุกำคนก็ไม่เคยมีคำว่าอาจารย์จี้กงอยู่ในชีวิตนี้เจ้าก็อยู่กันได้  เจ้าเป็นคนดี  มีปัญญามีชีวิตที่ผาสุก  เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ  ตอนนี้หากถ้าว่าอาจารย์ทดสอบศิษย์บ้าง  อาจารย์อยากให้เจ้าอยู่ได้ด้วยตนเอง  ฉะนั้นก็สอนมาตั้งมาด  ธรรมให้ศิษย์ตั้งเยอะบางทีอยากจะลองให้ศิษย์ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่แน่ว่า  ตอนที่ไม่มีอาจารย์มา  เจ้าอาจเข้มแข็งกว่านี้ก็ได้
เห็นไหมว่าบางเรื่องอนอยู่ไกลจะมองเห็นชัดยิ่งกว่าคนอยู่ใกล้  เพราะฉะนั้นเวลาที่มีใครก็แล้วแต่มาเตือนเรา  มาท้วงเรา  ขอให้เราลองเชื่อเขาดู  ด้วยการลองคิดตาม  มองตาม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนเราเวลาเจอปัญหา  มีปัญหามาสู่ตัว  มักจะเหมือนตาบอดคลำช้าง  เหมือนคนที่คิดไม่ออก   ฟังไม่ได้  บางคนหูหนวก   ตาบอดทีเดียว   ฉะนั้นเวลาที่คนเจอปัญหาแล้วเราเข้าไปช่วย    ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก  ระวังนี้ระวังว่าไปช่วยเขา   แล้วเรื่องจะวกมาหาเรา  เรียกว่าช่วยเขาแล้วเราเอาตัวไม่รอด  เคยเจอไหม  ฉะนั้นคนเราขาดไม่ได้นั่นก็คือ  ความมีสติ  สติแปลไปเป็นไทยว่าอะไร  สัมปชัญญะแปลไทยเป็นไทยว่าอะไร  ปัญญาแปลไทยเป็นไทยว่าอะไร
ไตรรัตน์สำคัญให้แล้วต้องเก็บไว้กับตัว   เก็บไว้ในใจ  ถ้าหากจำไม่ได้ก็เหมือนคนยังไม่เคยรับ  เวลาเบื้องบนถามว่าเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงนี่มีอะไรเป็นหลักฐาน   ในเมื่อยื่นหลักฐานให้ไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่ศิษย์อาจารย์  อย่าลืม   รู้ไหม   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)  คราวที่แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สอนให้เวลาถอดเทป   ให้เอาใบหนึ่งมาไว้ข้างหน้า  ถอดไปฟังไปว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ให้พูดว่าอะไร  รู้หรือเปล่า   ถ้ายังไม่รู้  หาคนรู้  แล้วก็พูดให้เราฟังด้วย  หมายความว่า  ให้เอาแผ่นหนึ่ง  อย่างเช่นถ้าถอดเทปอาจารย์อยู่  ก็ให้เอาแผ่นหนึ่งที่เป็นโอวาทอาจารย์ที่ยังไม่ได้ผ่าน   เอามาตั้งไว้   คนถอดเทป   ฟังไปก็ดูไปด้วยว่าผิดหรือเปล่า   จะได้ไม่เกิดอาการหูไม่ดี   เหมือนอย่างนี้   บางทีอาจารย์ก็ดูให้  บางทีก็ไม่ดูให้
ครอบพระโอวาทได้คำว่า  “ความระลึกได้”  ความระลึกได้อันนี้ที่เมื่อวานท่านแปดเซียนให้ไว้แปลว่า  “สติ”  แปลว่าความระลึกได้  ความระลึกได้  แปลว่า  สติ  แสดงว่าศิษย์ที่อยู่ในชั้นนี้อาจจะเป็นคนที่อยู่ในวัยหนุ่มเยอะ  หรืออาจจะเป็นคนที่ยังมีสติในการใช้ชีวิตน้อย  หมายความว่า   เรื่องราวผ่านไปแล้วถึงค่อยมารู้ตัวว่าตัวเองทำผิด  แสดงว่าเราไม่มีสติที่จะคิดก่อนที่จะทำ   อาการของคนมีสติก็คือ  คนที่คิดก่อนทำ  คิดก็พูด  ฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตของศิษย์  เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่ดีมาก  แต่ว่าคนมาใช้น้อย  ดดยทั่วไปเมื่อเราไม่มีสติในการยั้งคิดในการดำเนินชีวิตจะทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้ยาก  ความระลึกได้แปลว่าสติ
สัมปชัญญะแปลว่าอะไร (ความยั้งคิด , รู้แจ้งเห็นจริง)  สัมปชัญญะแลว่า  ความรู้ตัวอยู่เสมอ  เมื่อผนวกกันเป็นการระลึกได้คือการคิดได้  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนเราจะเกิดการคิดและระลึกได้ได้อย่างไร  นั่นแสดงว่าต้องมีพื้นในการรู้จักคิดขึ้นมา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถึงจะมีความระลึกได้   ได้ถ้าพื้นความคิดไม่มีอะไรเลย  มีแต่ขยะ  สิ่งเน่าเหม็นและปฏิกูล  คิดออกมาก็มีแต่ปฏิกูล   ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนที่คิดและระลึกได้ก็หมายความว่า   เป็นคนที่คิดเป็น  คิดเป็นจึงระลึกได้  จึงรู้ตัวขึ้นมา  การรู้ตัวทุกคนมีได้อยู่แล้ว   เพียงแต่จะฟังจิตใจตัวเองหรือเปล่า  การให้เราทำสิ่งใดอย่างหนึ่ง   เช่น   ให้เราทำการค้า  คิดว่าเราต้องทำอย่างนี้  โกงให้ได้มากหน่อย  อีกความคิดหนึ่งก็คิดว่าอย่าไปโกงเลย  มีความคิดขี้โกงกับความสุจริตเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน  อยู่ที่เราฟังจะตรงไหน  การรู้ตัวจะเป็นแบบนี้  ถ้าหากว่าเราเชื่อฟังในสิ่งที่ถูกต้อง  เชื่อฟังตนเอง   เชื่อฟังคนอื่นท้วง   เราก็จะไม่ต้องก้าวไปในทางที่ผิด  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เพลงธรรมะควรจะฝึกบ่อยๆ จะได้คล่อง  คนทุกคนก็มีเสียง  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าคนไหนร้องดี  คนไหนร้องไม่ดี  แต่ขอให้ร้องด้วยใจศรัทธาเพราะว่าความศรัทธาน่าฟังกว่าเสียงที่ไพเราะ  เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนช่วยกัน แต่งชื่อเพลง)  (แสงทองแห่งชีวิต)  อะไรคือแสงทองแห่งชีวิตของศิษย์  ทรัพย์สมบัติ ลูก สามี จิตใจและถ้าจิตใจที่เราหลง  เรานำชีวิตไม่ได้เราต้องเลือกสิ่งที่นำเราได้และก้าวไปตามสิ่งนั้นและเราก็คิดว่าเป็นกิเลสปลอมตัวมาเป็นทรัพย์สมบัติ  ปลอมตัวมาเป็นสิ่งทีเราผูกพัน  และกิเลสปลอมตัวมารเป็นยศฐาบรรดาศักดิ์และเราก็ยึดสิ่งนั้น  ตามกิเลสไปก็ไปอยู่แดนกิเลส  ตามสุญญตาไปก็ไปอยู่แดนสุญญตา  เลือกให้ดีสมมติว่าลูกนึ่งคือจิต  ถ้าส้มสองลูกเรียกว่าอะไร  (โลเล)  ทุกคนจำได้  ทำอะไรใช้จิตใจมีหนึ่งเดียว  หากเกิดอยากทำอะไร  ปกติแรกๆ  เราบอกว่าจะบำเพ็ญจิต  เราบำเพ็ญจิต  พอจิตขึ้นมาเป็นอันที่สองเป็นโลเล  (เป็นหลายใจ)  เป็นไม่มั่นคงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีจิตคนละกี่ดวง (ดวงเดียว , สองดวง)  อาจารย์บอกว่าสองลูกน้อยไปหมดถามถึงจะพอ   นี่คือจิตของศิษย์  เพราะฉะนั้นรู้จักที่จะใช้จิตใจเดียวเรา  บำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญจิต  จิตของเราขัดเกลาตัวเราเอง  ไม่มีใครรู้ว่าจิตใจของเราคิดอะไร  ก็นอกจากตัวของเราเอง  และถ้าหากว่าเราเกิดมีหลายใจขึ้นมา  คนอื่นก็ไม่รู้  ท่าทางภายนอกก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่  แต่ว่าภายในของใจกลายเป็นสิ่งที่มีหลากหลาย  ไม่ได้เรียกว่าเป็นจิตหนึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็นใจเดียว  แต่เรียกว่ากิเลสเป็นความหลายใจ  เป็นตัณหาความอยากได้ เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
เพลงนี้ชื่อ  “แสงเงินแสงทอง”  จุดหมายของชีวิตแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน  การบำเพ็ญไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีหรือสิ่งที่ศิษย์เป็น  แต่ให้เราลงมือแก้ไขในสิ่งที่เรายังบกพร่องหรือผิดพลาด   ให้เราใช้ชีวิตอย่างผาสุกมากขึ้น  โลกทุกวันนี้หากบอกว่าไม่เกี่ยวกับศิษย์  ความวุ่นวายต่างๆ จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับศิษย์ได้หรือ  ดูอย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานนี้  ที่มนุษย์เรียกว่าเรื่องช็อคโลก  อยากจะถามว่า  ไกลศิษย์ไหม  ก็ไกล  จะบกว่าไม่กระทบก็ไม่ใด้เพราะเดี๋ยวนี้ทำสงครามกัน  สิ่งที่มากระทบตัวศิษย์คืออะไร       เศรษฐกิจไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมาถึงตัวศิษย์แน่นอน   หนักหรือเบาเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้  ชะตาของโลกนี้ต้องช่วยกันกำหนด  อย่าไปกลัวอนาคตที่เกิดขึ้นข้างหน้า     อย่าไปเกลียดความโหดร้ายสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ขอให้เรารู้จักที่จะบำเพ็ญตัวของเรา  ไปสู่สิ่งที่ยังตามมาไม่ถึง  ศิษย์ไม่รู้อนาคต  จุดหมายปลายทางที่แสนไกลก็เริ่มตอนที่ศิษย์ก้าวไปสองก้าว  ลบร้อยก้าวก็เป็นเก้าสิบแปดก้าวแล้วศิษย์คิดว่าศิษย์จะไปไม่ถึงหรือ  ขอให้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจทำก่อนที่ชีวิตจะหาไม่
ฉะนั้นอย่าชี้เกียจ  อย่าเกียจคร้าน  หากว่าทุกคนขี้เกียจทั้งทำงานบำเพ็ญ  หรือการทำดี  ขี้เกียจไปทุกอย่าง     แสดงว่ากำลังตกนรก  เพราะว่าคนที่ไม่ทำอะไรก็ย่อมไม่มีอะไรเลย    เมื่อศิษย์สร้างผลเกิดขึ้น  คนที่ได้รับผลก็คือตัวเราเอง  เป็นคนที่ขี้เกียจก็เหมือนตกนรก  เป็นคนขยันก็เหมือนขึ้นสวรรค์   ให้เลือกชีวิตนี้  อย่ามัวแต่บอกว่าตัวเองไม่มีเวลา  คนที่จะตายก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่อายุมากๆ ถึงจะตายได้  เพราะฉะนั้นผู้ที่อายุมากต้องรู้ว่าตัวเองมีบุญวาสนาได้อยู่ถึงอายุป่านนี้  จะไปกลัวอะไรกับสุขภาพที่ไม่ดี    จะไปกลังอะไรกับความจน  สมบัติในโลกนี้  ก็ผลัดกันชม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  มีขึ้นมีลง  มีรวยมีจน   มีได้มีเสีย    แต่พอเราทำสิ่งที่ดี  ทำไมเราถึงกลัวจะต้องได้ผลกรรมไม่ดี  ถ้าเราทำเหตุดีทุกอย่างก็ต้องดี   ใช่หรือไม่  (ใช่)   ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราอยากจะทำสิ่งที่ดีถามว่าเราจะได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)  ชีวิตตนนั้น    ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม   ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งศิษย์จะไม่มีแรงบันดาลใจอะไรในการบำเพ็ญ   มีเวลาขอให้เราเข้ามาสถานธรรม  มาสถานธรรมมีคนพูดดีบ้างไม่ดีบ้าง  ก็เป็นธรรมดา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ทุกคนไม่ได้เกิดมามีพ่อแม่ที่เหมือนกัน  ไม่ได้เกิดมามีการศึกษาที่เท่ากัน   ไม่ได้เกิดมามีสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกัน   ไม่ได้รับเรื่องที่เป็นเคราะห์ร้ายหรือเป็นโชคดีมาเหมือนกันๆ กัน  ฉะนั้นความคิดของคนก็ไม่เหมือนกัน   มาอยู่ร่วมกัน  มีสิ่งที่ดีเก็บเป็นความประทับใจ  เจอสิ่งไม่ดีให้ขจัดไปจาดใจ  อย่าได้เก็บงำไว้  เพราะว่าศิษย์ยิ่งเก็บขยะไว้ในใจมากเท่าไร  สิ่งนั้นก็ยิ่งทำลายศิษย์มากนั้น  ขอให้ศิษย์รู้จักที่จะรักษา   ทั้งกายที่ศิษย์รักษาอยู่  รักษาทั้งใจ   คนมีสุขภาพร่างกายที่ดีจึงมีสุขภาพมาบำเพ็ญ
วันนี้ประชุมธรรมวันสุดท้าย  แต่ขอให้เป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้นของการบำเพ็ญของเรา   ดีหรือไม่  (ดี)  โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงของเราในชีวิตนี้มีอีกมากมาย  จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดี  ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้จะมุ่งหน้าไปทางไหน  มุ่งหน้าไปในทางที่ผิด   ก็ย่อมจะไม่รับผลที่ถูก   มุ่งหน้าไปในทางที่ถูก  ก็ย่อมไม่รับผลที่ผิด  อาจารย์รับรองว่าอาจารย์จะไม่นำศิษย์ไปตกนรก  ขอเพียงศิษย์เดินตามอาจารย์มา  เราไม่ใช่เกิดมาอย่างคนไม่มีบุญ  เราเกิดมาอย่างคนมีบุญ  เราต้องไปอย่างคนที่รักษาบุญให้ได้และยังมีบุญที่เพิ่มมากขึ้น   หลายคนที่นี่มานั่งด้วยความงง  นั่งด้วยความมึน   เพราะว่าเพิ่งจะรับธรรมะก่อน  ให้เขามีโอกาสศึกษาและใกล้ชิด   ไม่ใช่ว่าให้เขามานั่งฟังเพราะต้องการคนจำนวนมากแต่ในที่สุดแล้วความเข้าใจกลับไม่ได้  คนที่เป็นอาจารย์ถ่ายทอกเบิกธรรมที่เป็นอาวุโสที่รับผิดชอบฟังอาจารย์ไว้ด้วย  ไม่เช่นนั้นแล้วผลที่ศิษย์ได้   จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี     เผยแพร่ธรรม  ปฏิบัติงานธรรม  ต้องปฏิบัติด้วยความรอบคอบสุขุมและระมัดระวัง   หากไม่สามารถทำได้  งานประชุมธรรมที่เกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็อย่าจัดจะดีกว่า  อาจารย์เห็นศิษย์เก่า ๆ ก็อยากจะพูดสักคำหนึ่งก่อนที่อาจารย์จะจากไป  การบำเพ็ญธรรมะผ่านมาหลายปี   ทุกๆ  ปียิ่งต้องมีความก้าวหน้ามากขึ้น  อย่าก้าวขึ้นมาสิบก้าว   ถอยหลังไปห้าก้าว  อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนดูแลตัวเองได้   ดูแลผู้อื่นได้  รู้ดีในสิ่งที่อาจารย์นั้นอยากจะพูดทุกอย่าง  ดูแลจิตใจของตัวเองไม่ได้   เฝ้าพ่ายแพ้จิตใจของตนเองทุกเมื่อเชื่อวัน  ใจรักคนเมตตาก็ใกล้  ใจไม่ชอบคนเมตตาก็ไกล  ด้วยความรักดุจดังพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ขอให้อาจารย์เห็นศิษย์ทุกครั้งเป็นศิษย์ที่ก้าวหน้า ทั้งทางโลกทางธรรมมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ขอให้อาจารย์ได้เห็นศิษย์บ่อยๆ ขอให้อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ศิษย์ตลอดไป

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-10 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


PDF  2544-11-10-เหยรินเต๋อ #12.pdf

หมวด: เมตตาปัญญากล้าหาญ

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

มวลมนุษย์ลุ่มหลงสุขสบาย และเหนื่อยหน่ายเห็นบำเพ็ญเป็นลำบาก
อันโลกนี้เรื่องยากคือทำใจยาก และลำบากหรือไม่ล้วนอยู่ที่ใจ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนบูรพา เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีทั้งหลาย  เกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา

จงฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้ปรากฏ มาละลดเหล่ากิเลสให้หมดสิ้น
อันเชื้อเพลิงอย่าเหลือในใจชาวดิน ยามได้ยินพิจารณาปัญญาคม
เกิดเป็นคนประเสริฐสุดกว่าสิ่งใด จงได้ใช้โอกาสตนอย่ามัวหลง
ทั้งลาภยศเงินทองใจไม่ปลง จะยิ่งหลงยิ่งลึกยากช่วยคืน
อันแท้จริงมีแต่ตนช่วยตนได้ อย่าเย็นใจอยู่ในวัฏสงสาร
อันเกิดแก่เจ็บตาบเรื่องทรมาน น้องรู้กาลอันคับขันเร่งบำเพ็ญ
อย่าปล่อยตนอยู่ในโลกแสงสี เป็นคนดียังต้องบำเพ็ญเพิ่ม
ชำระจิตให้สะอาดเป็นประเดิม ขอจงเริ่มแต่วันนี้ด้วยตั้งใจ
สามวันแห่งประชุมธรรมศึกษาธรรม การกระทำต้องสำรวจตนครั้งใหญ่
ในอดีตแม้เคยทำพลาดไป อนาคตจะไม่ให้ผิดซ้ำรอย
จงแสดงศรัทธาด้วยการปฏิบัติ เดินทางรัดชาตินี้อย่าให้เสียเปล่า
จงตื่นขึ้นจากความฝันไม่มัวเมา อย่าดูเบาจิตภายในล้วนพุทธา
อริยะสำเร็จไปจากมนุษย์ แดนวิมุตติทุกท่านล้วนมีส่วน
อย่าต้นดีปลายร้ายเฝ้าเรรวน ใดสมควรเร่งเท้าไปเผชิญ
น้องทุกท่านต่างมีบุญกับพุทธะ จงสละทั้งสามวันหมั่นศึกษา
อย่าได้ให้จิตเกิดอวิชชา ใช้ปัญญาที่มีอยู่ในตัวตน
หลังจากจบชั้นไปแล้วหมั่นกลับมา โลกมายามากปัญหาขบไม่แตก
การบำเพ็ญต้องมีใจมุ่งมั่นดุจแรก อย่าได้แทรกความหลงคอยบังตา
ในบัดนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนขอน้องข้าตั้งใจยิ่ง
จงเป็นคนที่มีศรัทธาจริง รักษายิ่งพุทธระเบียบในชั้นเรียน
จงอย่าได้มีจิตใจเคลือบแคลงหนัก จงโปรดรักตนเองเลิกอบายมุข
ขอให้คนที่ยังล้มได้เร่งลุก ขอให้ทุกข์ในจิตใจสลายลง
มีจิตใจเสมอต้นปลายให้จงดี ขอจงพลีเวลามาฝึกฝน
ขอจงเชื่อสามารถกลับเบื้องบน ขออดทนต่อสิ่งที่ไม่สมใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่  ๑๐  พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๕
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซีนน ท่านจงหลีเฉวียน

อย่าชื่นชนความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน
จงยอมรับคุณค่าแห่งกันและกัน สูงสุดคือสามัญธรรมดา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกา  แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

พลังชีวิตอุ่นอาบอยู่ในตัว ฤทัยทั่วยังอบอวลความกระตือรือร้น
ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต
ถึงปัญหาหลายครั้งปัญญามี มองคนที่ความดีงามชีวิต
เป็นกลางพลางใช้ปัญญาช้อนคิด ใช้อดีตความผิดช่วยส่องภัย
สู่ชีวิตมีไฟคนมีธรรม กระแสน้ำดุจจ่อจดเที่ยงจุดหมาย
ไม่มีจิตวอกแวกให้อันตราย หนึ่งจิตใจเพียงดิ่งไหลดำรง
หากใจมุ่งลึกเหวแห่งมายา คนเมินฟ้าแดนคับขันประชันหลง
สะดุ้งรู้ฝึกตนเป็นผู้มั่นคง ก้าวบรรจงกิเลสใหญ่ยิ่งพาเพลิน
อัตตาอย่าแฝงในคนปล่อยวาง เมตตากว้างใจช่วยคนน่าสรรเสริญ
เห็นแก่ตนใช้ไม่กลางเจริญ อัตตาเกินเราเป็นแกนตัดสิน
คนฉลาดอาจไม่ตรองสำรวมใจ ประมาทไปขาดการตริตรองสิ้น
น้ำตาเป็นเลือดไม่ย้อนเวลาผิน ฟ้าถวิลคือปรองดองการรวมตัว
งานสรรค์สร้างไม่อาจขาดความอุตส่าห์ พิจารณาถี่ถ้วนเห็นมองให้ทั่ว
ชีวิตดั่งความฝันกว่าฟื้นตัว ดั่งเหยี่ยวมองต้องทั่วใช้เวลา
ย่อมใจกว้างคนที่วางตระหนี่ จงไม่มีแง่เหลี่ยมแห่งอัตตา
บำเพ็ญธรรมเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า วิริยะใกล้มาเรื่อยบ้านของเรา
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านจงหลีเฉวียน

ฟังธรรมะมาทั้งวันแล้ว  มีความอดทนมากน้อยแค่ไหน (อดทนมาก)  ต้องทนมากไหนในการฟังธรรม (มาก)  มากเลยหรือ  มีทั้งต้องใช้ความอดทนมากและอดทนน้อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว  ถ้าข่ออารมณ์ตนเองไม่ลงจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)  แล้วใครทุกข์ท่านทุกข์หรือคนที่พูดธรรมะ  ตัวเราเองหรือใครทุกข์ (ตัวเราเอง)  ถ้าให้เลือกระหว่างทุกข์และสุขจะเลือกอะไร (สุข)  ถ้าข่มอารมณ์ไม่ได้ก็เกิดความทุกข์  แล้วใครทำให้ใครกันล่ะ (เราทำตัวเอง)  จะโทษคนที่บังคับให้ท่านมาฟังได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  โทษได้เหมือนกันเพราะก้าวพลาดมาแล้วใช่หรือเปล่า  โดนพามาแล้วก็ต้องนั่งใช่ไหม  แต่จะสุขจะทุกข์นั้นอยู่ที่ตัวเองใช่หรือไม่  แม้ว่าต้นเหตุจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของเราทั้งหมดก็ตาม  เราถูกเรียกให้มา  ถูกพามาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ  แต่อย่างไรเราก็ต้องหาความสุขท่ามกลางที่ที่เราไม่สมหวังดั่งใจ
“อย่าชื่นชมความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน”
ในโลกปัจจุบันนี้มีทั้งคนที่เห็นแก่ตัวและคนที่กินแรงคนอื่นเป็นจำนวนมาก  เราจะอยู่ร่วมกับเขาในสังคมได้อย่างไร  ถ้าเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำเช่นนั้นด้วยคงไม่ดีแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเผลอเป็นคนหนึ่งในนั้น  จงพยายามให้กำลังใจคนขยัน  แต่อย่าได้ต่อว่าหรือเดินออกห่าง  เพราะหลายต่อหลายคนนั้นไม่รู้จักว่าอะไรคือการทำงาน  อะไรคือความขยัน  รู้แต่ว่าถ้าฉันไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ดี  ถ้าตัวเรานั้นไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ถูกใจนัก  หากเรายังเป็นคนอย่างนี้และรู้จักว่าตนเป็นคนอย่างนี้  ก็จงมองให้ออกว่าคนที่ขยันนั้นบางครั้งเขาก็ต้องการความช่วยเหลือไม่มากก็น้อย  ต้องการคำพูดดีๆ ไม่มากก็น้อย  แต่ไม่ใช่เราขี้เกียจแล้วกลับไปว่าคนขยันว่าขยันเกิน  เช่นนี้หรือเรียกว่าการให้กำลังใจคนดี  ย่อมไม่อาจเรียกว่าใช่  แล้วเราอยากเป็นผู้ทำลายความดีบนโลกนี้ด้วยน้ำมือเราเองหรือด้วยคำพูดของเราบ้างหรือไม่ (ไม่)  แล้วเราจะทำอย่างไร  นอกจากพูดส่งเสริมเขาสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือต้องเป็นให้ได้อย่างเขาไม่มากก็น้อย  ไม่ใช่เห็นงามเห็นหน้าที่  เราเดินหนี  เช่นนี้เราก็จะเป็นคนที่หนีงานไปตลอดชีวิต  และไม่มีทางเป็นงานได้เลย  ในปัจจุบันนี้สังคมทุกคนต้องมีหน้าที่ไม่มากก็น้อย  แต่หน้าที่อย่างหนึ่งที่เราต้องพึงมีและรู้จักทำนั่นก็คือ  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เห็นใจซึ่งกันและกัน  ใครตกทุกข์ได้ยากเราต้องรีบลงไปช่วยอย่าได้ช้า  อย่าได้เกียจคร้าน  ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้ที่ทำลายความดีไปทีละเล็กทีละน้อย  และถ้าโลกนี้ปราศจากความดีแล้วใครเล่าจะเป็นคนดี  ฉะนั้นขอความดีจงเริ่มต้นจากใจของท่านและ
ลงแรงด้วยน้ำมือของท่านเอง  เห็นอะไรที่เป็นงานเป็นการหรือมองอะไรไม่ออก  ก็ลองดูคนที่เขาทำอย่างไม่หยุดนั่นแหละ  แล้วค่อยๆ ศึกษาจากเขาแล้วเราจะรู้ว่าความขยันคืออะไร  เราเห็นบ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะชมคนที่ฉลาดมากกว่าชมคนที่ความดี  โดยเฉพาะลูกหลานเรา  เมื่อให้ไปสิบบาทแต่จ่ายไปห้าบาท  เก็บอีกห้าบาท  แล้วก็บอกว่าจ่ายหมดแล้ว  ถ้าจับได้เรากลับชมลูกว่าฉลาดเราชมถูกหรือเปล่า  ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าให้ลูกไปหยิบไม้เรียวมาเพราะเป็นความผิด  ลูกดันไปหยิบไม่เรียวอันเล็กๆ มา  แทนที่จะหยิบอันใหญ่ๆ เราชมลูกว่าฉลาด  เวลาใครโกง  โกงได้ร้อยบาทสิบบาท  กลับเอาคำพูดนี้ไปบอกต่อคนอื่นแล้วชมเพื่อนว่าฉลาด  เราภูมิใจแทนและอยากเลียนตามใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เลยทำให้สังคมปัจจุบันนั้น  เด็กเข้าใจสิ่งที่ผิด  เพราะว่าตัวท่านเองบอกว่าฉลาดจังลูก  แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  แล้วอย่างนี้เขาจะแก้ไขไหม (ไม่)  จากหนึ่งทำได้ก็จะต้องเป็นสองและจะต้องมากกว่านั้น  ฉะนั้นเราต้องชี้ให้เขาเห็นก่อนว่าอะไรผิดอะไรถูก  แล้วก็ต้องลงโทษในความฉลาดของเขา  แล้วเขาจะไม่ฉลาดใจทางนี้อีก  อยากให้ลูกฉลาดหรืออยากให้ลูกดี (ดี)  แต่ทำไมชมฉลาดมากกว่าชมดี  อยากให้หลานหรือเป็นคนดี (คนดี)  แต่ขยันชมจังเลยเวลาเขาฉลาดเราไม่ขอเรียกว่าฉลาดได้ไหม  เรียกว่าเจ้าเล่ห์  ตัวเล็กแค่นี้ยังบ่มเพาะความเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้  ถ้าโตไปล่ะ  แต่ก่อนที่จะถามว่าถ้าโตไปนั้น  เขาเอาความเจ้าเล่ห์มาจากไหน  ถ้าไม่ใช่คนรอบข้าง  เหมือนที่เรารู้จักกันว่าความรู้ได้มาจากการศึกษา  พฤติกรรมได้มาจากใหน  แล้วความคิดควรได้มาจากสิ่งใด  ให้ท่านคิดก่อน
หากท่านคิดว่าเด็กคนนี้กล้าแสดงตัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาคงกล้ามาก จริงหรือไม่ เป็นองค์ไหนไม่เป็น  เป็นจงหลีเฉวียนด้วย  ลองคิดให้ดีๆ ว่าการที่เขากล้าแบบนี้  บาปมหันต์หรือเปล่า  หรือว่าเขามาจริงๆ
ฟังธรรมะแล้วต้องมีแต่ความกระชุ่มกระชวย  และขอให้มีอย่างนั้นไปตลอดทั้งสาม  ชุ่มชื่น  กระชุ่มชวยเพียงวันนี้  แล้วอีกสองวันก็หายไป  ช่างน่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะคืออะไร  ธรรมก็คือหลักแห่งการประพฤติปฏิบัติของความเป็นคน  จะเป็นคนธรรมดาที่สมบูรณ์แบบหรือคนเหนือคนขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกหลักธรรมะใดมาปฏิบัติ
เมื่อตอนเริ่มต้นเราทิ้งคำถามไว้สองคำถาม  ความรู้ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้จึงทำให้เรารู้  แล้วความประพฤติเกิดจากอะไร  ทำไมเราจึงมีความประพฤติเช่นนี้ (สิ่งแวดล้อม)  สิ่งแวดล้อมใกล้หรือไกล (ใกล้)  เกิดจากสิ่งแวดล้อมใกล้ๆใช่หรือไม่  ลูกเราเดินเหมือนเราไหม  ไม่เหมือนพ่อก็เหมือนแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าความประพฤติเกิดจากครอบครัว  พ่อแม่  พี่น้อง  เราต้องมีความประพฤติส่วนใดส่วนหนึ่งที่คล้ายกับครอบรัวในบ้านเรา  ไม่มากก็น้อย  แล้วความคิดได้มาจากสิ่งใด  ความคิดเกิดจากการอบรมสั่งสอน  และการสั่งสอนของพ่อแม่แต่ละคนมีบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกันไหม (ไม่เท่า)  แล้วมีเหตุผลที่สมบูรณ์แบบไหม (ไม่สมบูรณ์)  ดังนั้น  ถ้าเราให้ความคิดของลูกหลามาจากความประพฤติและการสั่งสอนของเรา  ความคิดของลูกหลานจะเที่ยงธรรมไหม (ไม่เที่ยง)  เพราะแต่ละบ้านย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป  แปลว่าเขาย่อมผิดพลาดได้  ถ้าเกิดเขาไปอยู่ในสังคมแล้ว  เขาจะเอาสิ่งใดซึ่งสามารถมีความคิดที่ถูกต้องแม่นยำและเที่ยงตรง  ไม่ใช่เหตุผลที่เข้าข้างหรือเอนเอียง  หรือยึดติดในความชิน  เราเคยคิดกันบ้างไหม  โดยส่วนใหญ่เกิดมาก็ไม่รู้  มีชีวิตอยู่ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเอาความคิดของเรามาจากไหนกันที่ทำให้เราสามารถเป็นคนดีที่เที่ยงตรง  ที่สั่งให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้  ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ผิดพลาดบ่อยๆ เป็นที่ต้องการ  ไม่มีใครรังเกียจ  แปลว่าความคิดเราไม่มีใครรังเกียจ  แต่ความคิดเราต้องเที่ยงตรงใช่หรือไม่ และได้จากอะไร คิดออกไหม ใจของท่านลำเอียงไหม (ลำเอียง)  บางครั้งลำเอียง เวลามีของสิบส่วน ถ้าหนึ่งในการแจกนั้นมีลูกหลานเราด้วย เราให้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  การตัดสินใจใครผิดใครถูก  ถ้าหนึ่งในนั้นมีลูกของเราอยู่ในจำนวนนี้ด้วย เราจะลำเอียงไหม (ลำเอียง)  แล้วทำอย่างไร  ถึงจะทำให้เราเที่ยงได้ (ธรรมะ)  จากธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงลืมธรรมะกันล่ะ เพราะไม่ค่อยได้คิด ไม่ค่อยได้เอามาใช้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราใช้โลกนี้คืออะไร เงิน ทอง และความสามารถ และความเจ้าเล่ห์ฉลาด เราได้ใช้ธรรมหรือเปล่า  ใครไม่เคยใช้เลยยกมือขึ้น ตั้งแต่เราเด็กจนถึงโต จนป่านนี้ไม่เคยใช้ธรรมะสักข้อเดียว ยกมือขึ้น เพราะเราเห็นเป็นสิ่งไกลตัว เป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ค่อยได้ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นสิ่งที่ทำแล้วเหมือนคนปิดทองหลังพระ  ไม่มีใครชื่นชมเราก็เลยค่อยๆ หนี  ค่อยๆ ทิ้ง  แล้วก็ค่อยๆ วางลงไป โดยไม่รู้ตัวหรือโดยตั้งใจ จริงหรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่น ทำดีแล้วไม่ได้ดีก็เลยเลิกทำ ทำงานขยันกว่าคนอื่นแต่เจ้านายดันให้คนที่เอาหน้ามากกว่า  เลยเลิกขยันใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนที่แต่ก่อนพูดน้อย แต่พอพูดน้อยแล้วอย่างไร ไม่ได้ดี ก็เลยพูดมากๆใช่หรือไม่ เป็นคนที่แต่ก่อนไม่เคยว่าใครเลยแต่ทำไมคนช่างว่าเรา ก็เลยว่าคนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าเราพ่ายแพ้คุณธรรมในตัวตนเอง แต่เพราะเราเข้าใจหลักธรรมไม่ถ่องแท้ เราจึงทิ้งธรรมกันเป็นทิวเป็นแถว  จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วต่อไปนี้จะทิ้งอีกไหม (ไม่ทิ้ง)
ถ้าให้เราแสดงอภินิหารก็ไม่มีประโยชน์หรอก  เพราะเดี๋ยวนี้  อภินิหารกับมายากลไม่แตกต่างกันเลย จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราจะมองสิ่งที่ลวงหลอกหรือมองสิ่งที่เป็นจริงดีกว่ากัน สู้มองสิ่งที่เป็นจริง แล้วใช้ได้ตลอด ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่
เมื่อครู่เราพูดว่าความคิดต้องได้จากหลักธรรม หลักธรรมคอยชี้นำความคิด  คอบควบคุมความคิด  และคอยตักเตือนความคิดของเรา  ไม่ให้ก้าวผิด  ไม่ให้ก้าวพลาด
มนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดย่อมมีพลังใช่หรือไม่ (ใช่)  พลังที่ออกจากมนุษย์  มีอยู่สองทางคือ  พลังกายและพลังใจ  พลังกายเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพลังใจนั้นขับเคลื่อนตามขึ้นด้วย  กายกับใจถ้าเกิดขับเคลื่อนพลังพร้อมกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน  งานที่ทำย่อมสำเร็จ  แต่ถ้าเกิดว่ากายอยากทำอย่างหนึ่ง  ใจคิดอย่างหนึ่ง  เวลาทำย่อมผิดพลาดและอาจจะล้มเหลวได้ใช่หรือไม่  แล้วในพลังใจนั้นยังประกอบไปด้วยสองอย่างคือ  พลังใจฝ่ายดีกับพลังใจฝ่ายร้ายใช่หรือไม่  พลังใจฝ่ายดีนั้น  ย่อมสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นและสำเร็จด้วยดีได้  แต่พลังฝ่ายร้ายแม้จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้  แต่ว่าทำให้คนเป็นอย่างไร  ทั้งทุกข์และเจ็บช้ำและเบียดเบียนทำร้ายได้  ฉะนั้นเมื่อเวลาเราจะผลักร่างกายนี้ขับเคลื่อนร่งกายนี้ให้ทำสิ่งใดก็ตาม  เราอย่าลืมมองที่พลังใจของเราด้วยความคิดที่มีธรรมะว่าใจเรานั้นฝักใฝ่ฝ่ายดีไหม  ในเรานั้นคิดดีเป็นพื้นฐานหรือไม่  หากไม่มีความดีหากไม่ฝักใฝ่ดี  อย่าออกมาซึ่งการกระทำ  ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนเจ็บช้ำมากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งคำที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “โจรถ้าอยู่กับโจรย่อมทำร้ายซึ่งกันและกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง  แต่ถ้าเกิดจิตใจของมนุษย์  ตั้งอยู่ในที่ผิดแล้ว ทำร้ายตัวตนเองมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก” ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวเช่นนี้ คำว่าตั้งที่ผิดหมายความว่าอย่างไร นั่นก็คือ ถ้าใจยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เข้าใจหรือเรียนรู้อย่างไม่เที่ยงตรง เวลาทำสิ่งใดย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมผิดพลาด)  ย่อมผิดพลาด  ย่อมเกิดผลร้ายภายหลังใช่หรือไม่  ฉะนั้นไม่าจะทำสิ่งใดขอให้ตรวจสอบใจและลองมองย้อนที่ใจตัวเราเองว่าตั้งอยู่บนคุณธรรมความดีไหม  ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรมหรือเปล่า ถ้าทุกขณะที่คิดเช่นนี้  ไม่ว่ากายหรือใจจะทำสิ่งใดย่อมยากที่จะก่อผลร้าย
“ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต”
ถ้าเกิดว่าพลังใจนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องแล้ว ใจนี้จึงเปรียบได้ดั่งน้ำอมฤตที่ต่อเติมลงไปในร่างกายใครก็จะเกิดแต่สิ่งที่สัมฤทธิ์ผล  และเป็นมงคลจริงไหม (จริง)  เอาง่ายๆ วันนี้ถ้าใจท่านคิดร้าย  อย่างเช่นเด็กคนนี้หลิกลวง  เด็กคนนี้แสดงละคร  วันนี้ท่านจะไม่ได้อะไรจากเสือตัวนี้เลย  จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านคิดดีจริง  ไม่จริงไม่เป็นไร  ลองฟังดูว่าน่าสนใจไหม  ถูกต้องไหม  จริงเท็จไหม  บางทีท่านอาจจะได้  โดยที่จับเสือมือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สำคัญอย่างหนึ่งต้องมีความกล้า  เมื่อจะเข้าถ้ำเสือแล้วต้องกล้าที่จะจับเสือ  หรือไม่ก็ต้องกล้าอย่างน้อยไม่ได้แม่เสือก็ต้องได้ลูกเสือใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพร้อมจะจับไหม  จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ได้)  อย่าไปพึ่งพิงอาวุธใดเลย  เหมือนกับท่านอยู่ในโลกนี้  ท่านก็เหมือนต้องออกไปจับเสือใช่หรือไม่  เงินทองเหมือนเสือไหม (เหมือน)  ท่านว่าเหมือนไหม  ไม่มีปากแต่ทำเราเจ็บไหม  ไม่มีปาก  ไม่มีร่างกายทุบตีเรา  แต่ทำเราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ชอบ  ชอบจับเหลือเกินใช่ไหม  วันไหมไม่ได้จับวันนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่  ทั้งที่รู้ว่าจับแล้วก็ต้องอาจเจ็บบ้าง  ต้องอาจทุกข์มาก  อาจทุกข์บ้าง  แต่ก็ขอจับก็ยังดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนธรรมหรอกนะท่าน  ท่านมามือเปล่าหรือมีอาวุธ  จับอย่างไรก็ไม่เจ็บ  จะเจ็บก็ตรงที่ว่า  ท่านมีกิเลสจับแล้วถึงเจ็บ  ท่านมีอัตตาตัวตนจับแล้วจึงทุกข์ใช่หรือไม่  แต่ถ้าท่านมาด้วยความว่างเปล่า  จับธรรมไปเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  รัยธรรมะไปทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์แถมธรรมะยังทำให้ท่านเป็นคนเหนือคนหรือว่าเป็นคนยิ่งกว่าคนด้วย  เอาไหม (เอา)  วันนี้เอา  สิบวันจะเอาหรือเปล่า  มนุษย์เรานี้แปลก  ถ้าให้เห็นประโยชน์อยู่ตรงหน้าใครบ้างไม่เอาใช่หรือไม่  แต่ถ้าเราบอกว่า  ธรรมะคือกระดาษเพียงเล็กๆ แค่นี้  เอาไม่เอา (เอา)  เพราะเราให้ท่านถึงเอานะ
สิ่งใดในโลกนี้ทีไม่มีประโยชน์เลยให้หามาหนึ่งอย่าง  และสิ่งใดในโลกนี้ที่เรียกว่าว่างเปล่าให้หามาอีกหนึ่งอย่าง (กิเลส,วัตถุ, คิดว่าไม่ต้องหาที่ไหนอยู่ที่ตัวเราเอง  อยู่ที่ใจเราเองถ้าใจเรามีทุกข์สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์, ความหลงผิด, ความว่างเปล่า)  กิเลสนั้นหากท่านรู้จักใช้อย่างพระพุทธองค์  ความทุกข์ โลภ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเหมือนหนึ่งในกิเลสทั้งมวล  ท่านสามารถเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้ท่านตรัสรู้  อย่างนี้เรียกว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (มี)  พระพุทธองค์สอนว่า  อริยสัจสี่  เราต้องเข้าใจและรู้ให้แจ่มชัด  ถ้าเราเข้าใจอริยสัจสี่ที่เรียกว่าทุกข์  เราจะรู้แจ้ง  สิ่งใดในโลกที่ไม่มีประโยชน์เลย (ความหลงผิด)  ความหลงก็ไม่ถูก  ดูง่ายๆ พระพุทธะอย่างองคุลีมาลย์เคยหลงผิด  แล้วท่านตื่นจากความหลงผิดที่ยิ่งใหญ่  จึงทำให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธในปัจจุบัน  ดังนั้นความหลงผิดก็มีประโยชน์  ความว่างเปล่ามีประโยชน์ไหม   อย่างเช่นห้องมีตันหรือกลวง  ห้องมีเต็มหรือว่าง  ในความว่างจึงมีความเต็ม  แล้วในความเต็มเช่นเต็มกำแพงแต่กลวงตรงกลางจึงทำให้เกิดประโยชน์  เหมือนแก้วน้ำ  ถ้าแก้วน้ำเต็มมีประโยชน์ไหม (มี)  อาจจะเอาไปวางเป็นที่ทับของได้  แต้ถ้าแก้วน้ำว่างมีประโยชน์หรือไม่มี (มี)
เราเฉลยว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ไม่มีประโยชน์  หญ้าหนึ่งใบมีประโยชน์ไหม (มี)  บางคนเอามาแคะหู  เอาไปแหย่เพื่อน  กระดาษแม้เพียงเล็กนิดเดียว  แต่ถ้าเขียนอะไรสักหนึ่งข้อความ  ไปฝากคนที่อยากรู้  มีประโยชน์ไหม (มี)  แปลว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์  และในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นยารักษาโรคทุกอย่างล้วนรักษาโรคได้  วันนี้ท่านเสียใจแต่ถ้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งส่งมาหาท่าน ท่านกลับยิ้มได้ กระดาษก็รักษาท่านได้  เสื้อผ้าหนึ่งตัวที่ท่านว่าไม่มีประโยชน์  ลองเอาไปให้คนที่ไม่มีแม้สักหนึ่งชิ้น  มีประโยชน์ไหม (มี)  อะไรคือความว่าง (ความนึกคิด)  เพราะว่างจึงได้นึกคิด  ความนึกคิดไม่ใช่ความว่างทำไมเราจึงบอกว่าให้ท่านไปหารู้ไหม เพราะว่าความว่างต้องใช้รูปลักษณ์หรือเปล่า (จริง)  ท่านอื่นตอบได้ไหม ตบมือให้สามท่านผู้กล้าที่มาจับเสือ มีคำกล่าวว่า “หากจะจับเสือต้องใช้ความกล้า แต่หากจะจับลิงในใจต้องใช้ปัญญา” วันนี้ท่านก็เหมือนตัวแทนสองคนที่จะต้องจับลิง  ก็คือใจของเราที่เหมือนลิงวิ่งไปวิ่งมา  จังให้มั่นแล้วใช้ปัญญาคิดให้ออก จับลิงได้มั่นแล้ว ลิงตัวนี้จะเดินไปจับเสือด้วยความกล้าถูกไหม (ถูก)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีใจที่ชอบขบคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจนี้สั่งสมความรู้และคุณธรรมเป็นสิ่งที่ดีแล้ว  ใจนี้จะบังเกิดปัญญาซึ่งเป็นความรอบรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ใจของมนุษย์วอกแวกไม่อยู่นิ่ง แม้ยืนฟังตรงๆ นิ่งๆ แต่ใจวอกแวกใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้นั่งอยู่กับเก้าอี้ตัวนี้  แต่ใจฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยใช่หรือเปล่า  จึงทำให้เรายังจับลิงไม่ได้  แล้วจะมาจับอะไรกับเสือตัวนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่านจงเอาปัญญานี้จับให้อยู่  เมื่อปัญญาคุมตัวเองได้ เมื่อนั้นปัญญาจะสามารถจับทุกสิ่งในโลกนี้ได้อย่างถูกต้องและไม่ทำร้ายใคร และไม่เกิดผลพวงที่เรียกว่าความทุกข์ มีคำกล่าวว่า  “ใจนั้นถ้าข่มได้จะสำเร็จและบังเกิดประโยชน์  และถ้าใจนั้นควบคุมบังคับได้  จะบังเกิดความสุขที่แท้จริง”ใช่หรือไม่  แต่คนเราหรือตัวท่านหรือเมธีในห้องนี้เกือบหมด  จับใจไม่ค่อยได้  ข่มใจได้บ้างไม่ได้บ้าง  บังคับใจยิ่งเหลวใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องมองซ้ายมองขวามองที่เรานั่นแหละใช่หรือหรือ (จริง)  เวลาไปจับเสือข้างนอก ในโลกที่เรียกว่าเงินทองจึงโดนเสือกัดเสียเจ็บไปหมด  เวลาไปจับคนที่อยู่ในโลกเพื่อจะหาความรัก  เพื่อจะหาความสมหวังจึงต้องทุกข์บ้าง ผิดหวังบ้าง เพราะไม่รู้จักจับใจตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้อะไรไปบ้างหรือยัง ได้ลูกเสือไปบ้างหรือยัง ได้ไปหรือยัง (ได้)  เสียอยู่อย่างหนึ่งอะไรรู้ไหมที่ทำให้จับไม่ได้เลย นั่นก็คือความกล้าๆ กลัวๆ เราก็เป็นคนเหมือนท่านมาก่อน แต่ก่อนก็เป็นคนที่หวาดกลัว แต่พุทธะสอนไว้ว่ากลัวอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับกลัวใจตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่กลัวตัวเอง  กลัวคนอื่นมากกว่า กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้  เวลาทำผิดใช่ไหม (ใช่)  คำสอนคำหนึ่งที่พระพุทธองค์สอนไว้ก็คือ จงมีความละอาย ความละลายเกรงกลัวต่อบาป แต่จริงๆ แล้ว ความหมายโดยนัยท่านต้องการสอนว่า  “จงมีความละอายเกรงกลัวต่อบาปของตนเอง”  หรือเกรงกลัวตนเองนั่นเอง เพราะถ้าเกรงกลัวคนอื่น วันนี้เขาไม่เห็น ท่านก็กล้าที่จะทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรกลัวตัวเองจะเห็น ละอายตัวเองที่จะรู้ ทำไหมความผิด (ไม่ทำ)  ไม่ทำไม่ว่าที่ลับที่แจ้งเพราะว่าละอายใจตัวเอง กลัวตัวเองเหมือนที่ปราชญ์โบราณสอนไว้ว่า “อยากให้คนอื่นเคารพท่าน  ตัวท่านนั้นต้องเคารพตัวเอง” คือไหว้ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาไหว้เรา แต่คือการปฏิบัติกระทำแต่สิ่งที่ดีให้คนเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเราอยากจะเป็นคนดีได้ สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกคือ ความผิดต้องไม่กล้ำกราย แต่ก่อนนั้นอาวุธเราฝึกมานักต่อนักแล้ว เราไม่หวาดกลัวที่จะเข้าไปเผชิญภัย เราไม่หวาดกลัวที่จะเผชิญอันตราย แต่คนที่จะหวาดหวั่นได้คนที่จะไม่หวาดกลัวใจต้องกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว จึงพร้อมที่จะเผชิญความยากลำยาก ไปเผชิญเภทภัย แต่ถ้าท่านขาดซึ่งความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวแถมพ่วงท้ายไปด้วยความมั่นคง หากขาดซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายท่านก็ต้องพ่ายแพ้จริงหรือไม่  ความกล้าหาญต้องมี ความดีต้องปฏิบัติ  ความร้ายเราต้องหลีกหนี  แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญกาลยุคขาว ความร้ายห้ามหนี เมื่อร้ายยิ่งต้องเดินเข้าไปช่วย ยิ่งดีต้องรักษาให้คงมั่น แต่สำคัญคือต้องกล้าหาญและมั่นคงเด็ดเดี่ยว ท่านถึงจะไปช่วยคนที่เลวร้ายและฉุดเขาขึ้นมาจากนรกหรือทะเลอันว่ายวนนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนหลายคนในโลกนี้มักจะหลีกหนีคนไม่ดีเข้าใกล้คนดี แล้วอย่างนี้ความดีจะเติบโตได้ไหมในสังคม (ไม่ได้)  แล้วท่านมีความดีกับความไม่ดีอยู่ในใจไหม (มี)  ถ้ามัวแต่คิดถึงแต่สิ่งที่ดี แต่ท่านไม่เคยล้วงเอาความไม่ดีของตนเองออกมาชำระล้าง ออกมาแก้ไข แล้วความไม่ดีนี้จะหมดไปจากใจไหม ไม่หมด ตราบใดที่มนุษย์ยอมรับว่าตนเองมีแต่ความดี เมื่อนั้นความไม่ดีในตัวจะไม่มีวันล้างหมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งน่ากลัวของมนุษย์อีกอยางหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่าย วนไปแล้วก็ต้องวนกลับมาอีก นั่นก็คือ ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่  ไม่ว่าจะแก่หรือผู้เฒ่า ย่อมมีทุกข์เหมือนกันหมดนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์อย่างหนึ่งที่อยากให้ท่านได้เรียนรู้วันนี้ก็เป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวล  นั่นคืออะไรรู้ไหม (กิเลส, ทุกข์, ความโลภ, ใจ)  อย่ากลัวที่จะกล้า
มีใครตอบได้อีก ฟังหัวข้อสัจธรรมไปแล้วมิใช่หรือ เราเลือกคำถามที่ง่ายและคนตอบได้ง่าย (พลัดพรากจากที่สิ่งที่รัก)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักทำให้เราทุกข์ แล้วทุกข์ครั้งหนึ่งจะทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นไม่รักใครอีกเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องกลัวการพลัดพราก (ไม่ดี)  ไม่ต้องพบใครเลยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเราจะต้องพยายามทำใจ  และนี้เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่  เหมือนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโลกนี้เราหนีไม่พ้น ถ้าเกิดท่านทำใจได้เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านก็จะทำใจได้ และถ้าหนึ่งทำได้อีกสิงต้องทำได้ เราขออวยพรนะ
ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  ยืนเป็นกำลังใจให้นักเรียน และยืนเป็นกำลังใจให้เราได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นต้องยืนให้สง่างาม
ถ้าให้ท่านตอบคำถามโดยไม่ให้อะไรก็จะไม่มีกำลังใจในการทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านทำแล้วหวังผลกำลังใจอย่างนี้ไม่เรียกว่าดี  มีใครท่านใดตอบอีกไหม ก่อนที่เราจะเฉลย (ไม่สมหวังดั่งใจ,รัก โลภ โกรธ หลง)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีเหตุผล รู้ว่าทำผิดก็ยังมีเหตุผล ขนาดรู้ว่าตัวเองผิดคุกเข่าไปร้องไห้ไป ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ศิษย์ผิดไปแล้วแต่เพราะมีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้ว่าผิดไม่จำเป็นต้องพูดเหตุผล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดูออก แต่บางครั้งความทุกข์ ความผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ มนุษย์ละอายเกินกว่าที่จะหันกลับไปเห็นธรรมใช่ไม่ (ใช่)  เหตุหนึ่งที่พลัดพรากจากธรรมก็คือละอายใจ ไม่มีหน้าไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน้ากลับไปเป็นคนดี เพราะว่าเคยทำผิดมา แต่เราอยากย้ำเตือนให้ท่านรู้ไว้ว่า พุทธะทุกพระองค์เห็นความทุกข์เห็นปัญหา และเอาความทุกข์มาทำให้ท่านตื่นหรือตรัสรู้เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในอริยสัจสี่  หรือตรัสรู้ในสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ เหตุแห่งการดับทุกข์คืออะไร แล้วทุกข์มาจากไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคามผิดพลาดและความบาปสามารถทำให้มนุษย์ตื่นได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นองคุลีมาลย์ ฆ่าคนมากี่คน ทำร้ายคนมามากเท่าไหร่  ทำไมท่านยังกลับตัวกลับใจได้ แล้วนับอะไรกับความผิดของตัวท่าน ถ้าเทียบกับองคุลีมาลย์ท่านยังผิดน้อยกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะตื่นรู้หรือไม่ จงตื่นรู้จากความทุกข์ทุกข์ความผิดพลาดนั่นแหละ  รู้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจจะ เป็นความจริงแท้ ที่ธรรมดาทุกคนต้องมี ไม่มีใครพ้นแต่เราจะยิ้มสู้หรือเราจะทุกข์ทนสู้เราต้องยิ้มสู้และใช้สติยั้งคิดใช่หรือไม่ ใช้ปัญญาเป็นตัวฟันฝ่าออกไป จึงจะเรียกว่ายิ่งทุกข์เท่าไรยิ่งตื่นเท่านั้น ใช่ไม่ (ใช่)  ตื่นในความไม่รู้ มนุษย์เราทุกข์เพราะไม่รู้ทางออก ไม่รู้ว่าในทุกข์นั้นมีความสุขอยู่  ไม่รู้ว่าในสุขมีทุกข์อิงแอบจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราลุ่มหลงยึดติด
ฉะนั้น เราจงตื่น ยิ่งทุกข์ต้องดีใจว่าชีวิตนี้ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสียแล้ว ความสวยงามแฝงไปด้วยพิษภัย ความสะดวกสบายแฝงไปด้วยความทุกข์ทนและเจ็บปวด เมื่อไรที่เราติดในความสุขมาก เมื่อสุขหายไปเราจะทุกข์มาก เมื่อเราติดในรักมาก เราพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เมื่อนั้นเราจึงมีทุกข์  ฉะนั้นอย่าได้ติดสิ่งใด  จงมองสิ่งเป็นความว่าง  แม้จะเห็นว่ามี  แต่จงมองสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ให้มองเห็นและรับรู้ว่าทุกสิ่งล้วนชั่วคราว แม้กายตัวนี้ แม้ผลไม้ลูกนี้ หากถูกกินหมดแล้ว ชั่วคราวไหม  ถูกคนลักไปชั่วคราวไหม (ชั่วคราว)  แต่ทำใจไม่ได้ เพราะอะไร (เพราะยึดมั่นถือมั่น)  ถูกต้องแต่เพราะไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้เผื่อใจ ไม่ได้เก็บใจ ไม่ได้เก็บใจไว้เผื่อทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้ผิดหวัง  จงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้รับความว่าง ทำได้ไหม (ได้)  เหมือนกระเป๋า ร่างกาย เส้นผม  ชุดของเรา จงเผื่อใจไว้ว่าสักวันจะกลายเป็นความว่าง ถ้าเราเผื่อใจไว้ทุกขณะจิต ทุกขณะจิตยั้งคิดว่าเผื่อใจเราจะไม่ทุกข์ เหมือนตัวเพื่อนเรา เหมือนตัวคนสนิทญาติมิตรเรา เหมือนแม้กระทั่งคำพูดของคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา เผื่อไว้ว่าพูดวันนี้ก็คือความว่างในวันรุ่งขึ้น ทำไมเราเก็บเอาคำพูดไปเป็นความมีหรืออารมณ์ มนุษย์เราเสียแล้วพลาดแล้ว ทำไมจึงต้องเอาอารมณ์ของเราเสียเข้าไปอีก ตัวตนเสียยิ่งขึ้นไปอีก แม้เขาจะพูดผิดไปแล้วพลาดไปแล้ว เราจะเอาอารมณ์ของเรา ไปเกี่ยวผิดด้วยหรือ ไม่อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องดึงกลับมา แล้วยั้งคิดว่าพรุ่งนี้ก็คือความว่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ก็ได้  อีกสิบนาทีเสียงนี้ก็หายแล้ว ฉะนั้นอย่าได้กลัว ทุกคนต่างมีชะตา ชะตากำหนดไว้แล้ว แม้คนร้อยคนจะแช่งให้ท่านตกนรก แต่ถ้าท่านเป็นคนที่ทำดี มีความดี คำพูดนั้นก็ไม่สาปส่งให้คนนั้นตกนรกจริงๆ อย่ากลัวคำพูดคน อย่ายอมแพ้การตั้งใจกระทำความดี เอาชนะอารมณ์ของตัวเองให้ได้
เราเป็นคนปกติอย่างไร มีอารมณ์โกรธไหม (มี)  นั่งอย่างนี้เคยโกรธไหม รักไหม มนุษย์มีความปกติใช่หรือไม่ (ใช่)  ความปกติก็คือไม่รัก  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เห็นสิ่งถูกใจจึงเกิดรัก แต่ก่อนปกติเรามีรักไหม (ไม่มี)  พอเห็นคนโอบอุ้มประคับประคองเราก็ไม่รู้หรอกว่า นี่เรียกว่ารัก จนกระทั่งได้เรียนรู้สัญลักษณ์ เรียนรู้ถ่อยคำ การแสดงออก จึงเรียกว่ารัก เราผิดปกติหรือปกติ (ผิดปกติ)  พอมีคนมาพูดกระทบใจให้ไม่ถูกหู  โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ปกติหรือไม่ (ไม่)  พอโกรธเรายอมรับเลยว่าไม่ปกติ  แต่พอรักก็บอกว่าปกตินะ แต่จริงๆ แล้วชีวิตของเราโดยปกติมี รัก โลภ โกรธ หลงไหม (ไม่มี)  โดยปกติของมนุษย์แล้วไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง แต่พอมีเสียงมาให้ได้ยิน มีสิ่งของมาให้มองเห็น รัก โลภ โกรธ หลง วิ่งเข้ามาสู่ใจ ถ้าในใจเรามีหลายห้อง ห้องใดเรียกว่ารัก เมื่อมองเห็นสิ่งใดที่พ้องเข้ากับห้องของความรัก  อารมณ์รักก็เกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ ก้องใดที่พ้องกับความไม่ถูกโฉลก น่าเกลียด รังเกียจ อารมณ์โกรธไม่ชอบก็บังเกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ หรือที่เรียกว่าสัญญาใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้จงหมั่นล้างใจให้สะอาดวางใจให้บริสุทธิ์ พอมีสิ่งของมากระทบตา มือไปกระทบสิ่งใด หูสัมผัสสิ่งใด เมื่อใจว่างเปล่าอารมณ์จะบังเกิดไหม (ไม่บังเกิด)  แต่ใจมนุษย์ปัจจุบันนี้สกปรกยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็ว่าแก่แดดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพื่อนเราต้องให้ความหวัง ต้องเป็นมิตร ต้องจริงใจ ต้องเสียสละ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็บอกว่าไม่ใช่มิตรใช่ไหม แต่ถ้าท่านล้างใจให้บริสุทธิ์ทุกขณะจิต สิ่งไม่ดีในใจล้างออกให้หมด ให้ใจเราสะอาด ให้ใจเราว่างไม่มีสิ่งใด  เมื่ออะไรมากระทบอะไรมาสัมผัสก็จะเกิดความว่างสะท้อนกลับไป อารมณ์ก็จะไม่มี ถูกไหม  แล้วตอนนี้ปกติหรือยัง (ไม่ปกติ)
มนุษย์เราในโลกนี้มีทั้งคนดี คนร้าย คนเข้มเข็งและคนอ่อนแอ ฟ้าปรารถนามากที่สุดก็คือความปรองดองในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่มนุษย์เราเมื่อเห็นความแตกต่างก็เกิดจิตแบ่งแบก เมื่อเกิดจิตแบ่งแยกก็เกิดการยึดมั่นถือมั่น ดี ชอบ ร้าย เสีย และกำหนดตาบตัวในจิตใจ ความทุกข์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมจึงบังเกิดความแตกแยกจึงมีให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ฟ้าปรารถนามากที่สุดคือ คนเราอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองแม้นไม่ใช่เกิดมาจากสายเลือกเดียวกันแต่เป็นคนที่เกิดอยู่บนโลกเดียวกันก็เป็นพี่น้องกันได้ก็รักกันได้ เหมือนตัวท่านกับตัวเราแม้นเราจะเกิดคนละยุคคนละสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผูกใจไว้นั่นก็คือจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งความดีที่ยังคงสานเชื่อมต่อกันอยู่ ที่ยังคงสานทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้มนุษย์เป็นคนที่ดีอยู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากลงมาโปรดมนุษย์บนโลกนี้ให้กลับคืนขึ้นไปให้จงได้  เพราะว่าท่านยังมีจิตที่เรียกว่าฝ่ายดีอยู่ เมื่อไรที่มนุษย์สามารถขยายจิตฝ่ายดีให้เต็มใจจนไม่เหลือฝ่ายร้าย  และเอาฝ่ายดีไปฉุดช่วยคน เขาก็คือคนๆ หนึ่งที่เรียกว่าพุทธะ แต่ถ้าเมื่อเรามีความคิดฝ่ายดีและทำทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกขณะเพียงเพื่อตนเอง เพียงเพื่อแสวงหาให้กับตนเองโดยไม่คิดถึงความทุกข์ของใคร เขาก็ยังเรียกว่าปุถุชนหรือมนุษย์ เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธะกับมนุษย์บนโลกหรือยัง ก็คือท่ามกลางการมีชีวิตเราแสวงหาความสุข การหลุดพ้นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ช่วงที่แสวงหาเราสามารถยื่นมือไปช่วยคนได้ด้วย เราสามารถโอบอุ้มประคับประคองคนได้ด้วย ด้วยหัวใจแห่งธรรมะ ที่เรามีนั่นคือพุทธะบนแดนดินทำได้ไหม (ได้)  ยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก)  หากทำได้นั่นคือผู้บำเพ็ญธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  หากเมื่อใดที่เราทุกข์ เราลองหันไปมองความทุกข์ของผู้อื่น แล้วเรายื่นมือไปช่วยคนที่ทุกข์กว่าเราจะพบความสุขที่แท้จริงและความสุขที่เจิดจรัสในการช่วยคนให้พ้นทุกข์ ลองไปหาดู บ่อยครั้งมนุษย์โลกนั้นค้นหาความสุขโดยการที่ช่วยแต่ตนเอง หรือหาทางดับทุกข์เพื่อตนเอง ลองหันกลับไปดูว่าเมื่อใดที่คนอื่นทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ด้วย และเราไม่สนใจที่จะหาความสุขในตนเอง แต่กลับไปช่วยค้นหาความสุขให้กับมนุษย์  เรากลับพบความสุขที่เจิดจรัสยิ่งกว่าความสุขที่หาให้กับตัวเองยิ่งนัก และถ้าทำได้ จากพุทธะจะเรียกว่า โพธิสัตว์ จากเซียนเดินดินจะกลายเป็นโพธิสัตว์บนแดนโลกเอาไหม (เอา)  น้ำหนึ่งสายจะเกิดได้นั้น ต้องเกิดจากก้าวแรกของตัวท่าน และเป็นสายที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือการสืบเท้าต่อไปเรื่อยๆ วันนี้จะบำเพ็ญเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับก้าวแรกของท่าน  หากก้าวแรกเริ่มต้นดีก็จงสืบเท้าก้าวก่อไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบสิ่งที่ดียิ่งกว่าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ มนุษย์เราหาเงินทองมาก็มาก หาลาภยศชื่อเสียงมาก็ไม่น้อย ทำไมไม่หาความสุขแห่งการหลุดพ้นและฉุดช่วยมวลชนกลับคืนเบื้องบนบ้าง ลองไปทำดูนะ ถ้าท่านทำได้จากพุทธะก็กลับเป็นโพธิสัตว์  จากมนุษย์ก็เป็นพุทธะเอาไหม (เอา)
อยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ตาเราเมื่อมองเห็นจงมองให้รอบๆ จงมีความรอบคอบ จงมีความรอบคอบ จงมีความสุขุมและระมัดระวัง ปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าดำรงชีวิตทุกย่างก้าวเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบาง” เราจงมีความสุขุมและระมัดระวังดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำได้ไหม (ทำได้)  ความผิดพลาดก็จะบังเกิดได้น้อยยิ่งนัก แต่จะบำเพ็ญธรรมได้นั้น แม้วันนี้เราจะพูดได้ดีเพียงใดก็ตาม ถ้าท่านรู้จักปล่อยวางหน้าที่การงาน ทิ้งความสนุก ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต แล้วกลับมาแสงหาคุณธรรม ความเป็นพุทธะในตัวตน วันนี้ฟังไปทั้งวันหากท่านไม่ปล่อยวางหน้าที่การงานบ้างก็เปล่าประโยชน์ถ้ากลับไปแล้วยังหมกมุ่นเหมือนเดิม จริงหรือไม่ (จริง)  กลับไปแล้วคงพร้อมที่จะมีใจให้เวลากับตัวเอง อย่าลืมว่ามนุษย์เรานั้นหากใจอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องก็จะนำมาซี่งความสุข จะยืนอย่างไม่หวั่นไหว ก็มีคุณธรรมเท่านั้น อารมณ์ความเคยชิน เงินทอง เกียรติยศ ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์อยู่ในโลกนี้และโลกน้าได้ มีแต่คุณธรรมเท่านั้นที่ช่วยให้มนุษย์ไปได้ตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า กลัวไหมกับความตาย คนทุกคนต่างมีความตายหรือมรณะแฝงอยู่ในทุกขณะลมหายใจของชีวิต ฉะนั้นจงรู้จักปลงและปล่อยวางและทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“บำเพ็ญเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า”  เมื่อไรที่พร้อมบำเพ็ญและเมื่อไรที่ยอมรับการขัดเกลา เมื่อนั่นท่านกำลังเป็นผู้ที่ปูทางกลับคืนฟ้าเบื้องบน แต่ถ้าเมื่อไรยอมรับการบำเพ็ญแต่ไม่พร้อมการขัดเกลา เมื่อนั้นท่านไม่สามารถพบทางกลับคืนเบื้องบนได้ จำคำนี้ให้ดีนะ แม้ไม่มีเรี่ยวแรงแต่จงรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ทำได้ไหม (ได้)  ผู้ที่อายุมากแล้ว เราแยากบอกท่านว่าแม้จะไม่มีเรียวแรงจะไปฉุดช่วยคนหรือไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปดึงคนให้พ้นจากทุกข์ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านจะทำได้นั่นก็คือการรักษาใจให้บริสุทธิ์และหมั่นเอื้อนเอ่ยวาจาในสิ่งที่ดี นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมแล้ว สิ่งที่เราอยากให้ท่านบำเพ็ญง่ายๆ ก็คือ ใจรักษาให้สะอาด อบายมุข กิเลส ลดละให้สิ้น วาจาพูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี กระทำแต่สิ่งที่ดี นั่นจึงเรียกว่าบำเพ็ญ ทำได้ไหม ยากไหม (ยาก)  ไม่ยากแล้วนะ ถ้าวันนี้ยากท่านจะเอาอะไรกลับไป (บุญ)  บุญจะบังเกิดได้จิตต้องเป็นกุศล หากจิตไม่สะอาดแม้จะทำบุญก็บุญไม่เต็มแรง บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฉะนั้นใจต้องสะอาด สำหรับท่านที่อายุยังน้อยสิ่งที่เราะพูดอาจจะดูไกลแต่สักวันหนึ่งท่านต้องเจอ ขอให้ท่านจำไว้ให้ดี อย่าหลงในกิเลสตัณหา มายาอันจอมปลอมบนโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความเป็นจริงไม่เช่นนั้นท่านคือผู้ที่น่าสงสารที่สุด ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง คนอื่นมีแต่ชี้แนวทางและนำทางท่านเท่านั้น ตัวท่านจะเดินหรือไม่เดิน ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อยแย่แล้วใช่ไหม เราคงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ขอให้ตังใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี มองหลักธรรมนี้ให้ถ่องแท้ อย่ามองเพียงนิดหน่อย อย่ามองเพียงผิวเผิน หรืออย่าวัดเพียงรูปลักษณ์ภายนอกมองสิ่งใด จงมองให้ถึงแก่นแท้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  มีโอกาสเราคงได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กันอีก เป็นการยากเหลือเกินที่จะได้เจอกันแบบนี้ จงถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

ท้องใหญ่ใจกว้างรับทุกสิ่ง ให้มนุษย์ทิ้งทุกสิ่งลงในย่าม
พระศรีอาริย์โปรดเกณฑ์ในยุคสาม คนอยากจามฮัดเช้ยหูอื้อลืมฟัง
เราคือ
ต้าเชี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเซียนน้อยน้อย  มีความสุขหรือเปล่า

ใจงามยิ้มก็สวยไปเอง คนเก่งมีคุณธรรมไม่ทำชั่ว
คนดีไปไหนไม่ต้องกลัว รู้ตัวทำอะไรต้องรู้ตัว
เหนื่อยหรือไม่ชีวิตแสวงกันขวักไขว่ ใจไม่ได้สว่างขึ้นพร้อมทั่ว
เปรียบชีวิตกับแข่งขันจึงเหนื่อยกลัว ไฉนฝาดตัวเองไว้กับโลกีย์
งานรุ่งเรื่องหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่
เวลาเหมือนแม้นช้าเชื่องขณะนี้ แต่ฤดีล้าไม่อ่อนสุขุมพอ
ความดีอย่าอ่อนลงตามเวลา ประกายตามุ่งมั่นแรงไม่ท้อ
บำเพ็ญก้าวทางตามสร้างทางต่อ ไฉนหนอทำลายง่ายยากสร้างตรง
ฮิ   ฮิ   หยุด

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

เพียงศึกษาหลักธรรมนำชีวิต เพื่อสะกิดพุทธจิตตื่นหลับใหล
เริ่มวันนี้พรุ่งนี้อีกต่อไป ด้วยเข้าใจสู่ศรัทธาท้ายมั่นคง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีพุทธะทุกท่าน  สบายดีไหม

เตือนใจคนเข้าใจเตือนสัมฤทธิ์ โลกกว้างคนอดทนด้วยตามพะวง
ความลังเลไม่ขวางอุปสรรคประสงค์ ไร้ละเอียดเมื่อลงเล็กสำเร็จลาง
ร่วมปณิธานรวมพลังที่ต่างกัน อาศัยกันเริ่มแต่นี้อภัยตั้ง
ยามสบายตั้งใจยามลำบากหนีห่าง เลือกแต่ราบรื่นกำลังไร้บำเพ็ญ
เมื่อใจสู้ใจเข้มแข็งกว่าเก่า สนุกเดารู้ยิ่งเกินกว่าเห็น
ความเสื่อมวัดอันตรายไว้ยุคเข็ญ ฟ้ายามเย็นต้องระวังปัจจัยครบ
รู้จักใช้ความกล้าอย่าผิดแนว ถนอมแก้วของจิตใจใจสงบ
ถือสาเรื่องเล็กน้อยวุ่นไม่จบ อย่าผิดเรื่องเพราะกระทบอายตนะเลย
ฮิ   ฮิ  หยุด

เปลี่ยนแปลงตนเองทำวันนี้ให้ดี ให้ความดีจงคุ้มครองพลัน
เปลี่ยนแปลงใจใครคอยใจหายทุกวัน ถ้าเราดีกันความหมองสิ้น

ชื่อเพลง : สละให้-ได้รับ
ทำนองเพลง : แปลงฟัน

โอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถงและท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ (ตั้งใจ)  หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไวๆใช่หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดินไปทางไหนก็มีแต่คนใช่ไหม ท่านอยู่ที่นี่มีคนหรือเปล่า คนเบื่อคนไหม (ไม่)  เวลามีปัญหากับใคร (คน)  เบื่อไหมไหนใครเบื่อบ้างยกมือขึ้น เดี๋ยวใครไม่ยกมือก็ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าอยากยกมือแล้วไม่ยอมยกแสดงว่าไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครชอบคน ยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วนคที่ไม่ยกหมายความว่าอย่างไร (บางทีก็เบื่อบางทีก็ไม่เบื่อ)  ต้องเอารางวัลเข้าล่อใช่ไหม ชอบรางวัลหรือไม่  รางวัลเป็นเงินชอบไหม (ไม่ชอบ)  เสียงเบาๆ ไม่ขอบใช่ไหม ชอบจนๆ ใช่ไหม (ชอบรวยๆ ค่ะ )  ทำไมล่ะ รวยๆ แล้วดีหรือเปล่า (ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง, ดี)  จนๆ ดีหรือเปล่า (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ชอบโกหกเหรอ พูดก็พูดไม่จริง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดี๋ยวถ้าใครไม่ยอมตอบ จะจับมาอยู่ข้างหน้าสถานธรรมดีหรือเปล่า ให้ยืนขาแข็งเป็นชั่วโมงดีหรือเปล่า (ดี)  กลัวโดนสะกดจิตหรือ ขนาดจนยังไม่กลัวเลยใช่หรือเปล่า กลับไปดีกว่าไม่มีใครอยากคุยไหนใครอยากคุยกับเรายกมือขึ้น
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่มีใครช่วยยกมือเลย ยืนอยู่ข้างหลังก็เป็นกำลังใจด้วย
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ในโลกนี้มีคนเบื่อคนมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าโลกนี้มีเราคนเดียวก็ดีสิ ชอบพูดแบบนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ บางเวลาเบื่อๆ มากๆ ชอบพูดว่า ถ้ามีเราคนเดียวก็ดี ในความจริงเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในความเป็นจริงแล้ว เราไปทางไหนก็มีแต่คนใช่หรือไม่  และคนก็มีทั้งน่าเบื่อและไม่น่าเบื่อใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนน่าเบื่อคือเราหรือเปล่า (ไม่ใช่)  คนน่ารักคือเราหรือเปล่า (ใช่)  ชมตัวเองกันหมดเลย ไหนใครร่ารักยกมือขึ้นสิ คนไหนน่ารักยกมือขึ้นเร็ว
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครไม่น่ารักยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : รู้สึกว่าแถวนี้ยกเก่งนะ เดี๋ยวจับแถวนี้มานั่งหน้าแถวนี้ไปนั่งหลังดีไหม (ไม่ดี)  เวลาเห็นท่านบึ้งๆ ยิ่งอยากยิ้มใหญ่เลยใช่หรือเปล่า  เวลาเห็นท่านบึ้งๆ เราตลกจังเลย ถ้าอยากให้เราเศร้าหน่อย  ท่านก็ยิ้มให้เราหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)  จะบอกให้นะ ทุกท่านเกิดมาในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเพียงคนเดียว ฉะนั้นการเกิดมาในโลกนี้ก็มีแต่คนมีปัญหากับคน  ไม่มีคนก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างไรก็ตามท่านก็หลีกคนไม่พ้น  ฉะนั้นเวลาเจอปัญหาต้องทำไม (เข้าหาปัญหา)  เวลาเจอปัญหากับคน ท่านต้องยิ้มให้หน่อยดีหรือไม่ ยิ้มหน่อยไม่พอ  ก็ยิ้มให้มากหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าเวลาที่พวกท่านอยู่ในโลกนี้ คนที่เขาชอบก็ชอบมองที่ยิ้มหรือบึ้ง (ยิ้ม)  เวลาเขามองเขาก็ชอบมองคนที่ยิ้ม ต่อให้มีปัญหากัน เขาก็อยากให้ท่านยิ้มใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นยิ้มเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  แล้วพวกท่านยิ้มวันละกี่นาที
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่างนี้ต้องเอานิ้วดันเพื่อจะยิ้มขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มวันละกี่นาที ไหนใครตื่นขึ้นมาก็ยิ้มเลย ยกมือขึ้น จริงหรือเปล่าตื่นขึ้นมาก็ยิ้ม (จริง)  เราเห็นตื่นขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้วใช่หรือเปล่า  นาทีแรกท่านก็คิดถึงปัญหาชีวิตท่านเวลาหรือเปล่า (ใช่)  ไม่มีใครจะยิ้มเลยใช่หรือเปล่า เป็นเซียนเด็กนะ มีความสุข ทุกท่านแม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์แต่อยากเป็นเซียนทันทีก็ทำได้เหมือนกัน กายไม่ใช่เซียนแต่จิตใจเป็นเซียนเวลาเจอความทุกข์ต้องยิ้มใส เวลาเจอความสุขก็ต้อง (ยิ้ม)  ไม่ใช่ อย่างนี้เป็นเซียนไม่ได้ (เฉยๆ)  อย่างนี้ส่งลงจากสวรรค์เลย เวลามีความสุขท่านก็ทำให้ผู้อื่นเห็นว่ามีความสุขเหมือนเดิม  เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านมีความสุขก็ต้องเอาความสุขนั้นไปแบ่งให้ผู้อื่น ยิ่งท่านแบ่งความสุขไป  ความสุขจะยิ่งเป็นอย่างไร (มากขึ้น)  ท่านเก่งจริงๆ เลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ความจริงเขาก็รู้อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยยอมทำ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้หรอก เราเห็นเหวลามีกุศลแล้วก็หวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีการทำบุญต้องเขียนชื่อ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาทำบุญต้องกรวดน้ำใช่หรือไม่ (ใช่)ต้องอุทิศส่วนกุศล แต่บางคนก็อุทิศไปแล้วหมด เพราะว่าท่านนั้นไม่ได้คิดว่าจริงๆ แล้ว ยิ่งให้ไปจะยิ่งมาก บางคิดว่ากุศลมีอยู่หนึ่งแก้ว เวลาทำกุศลมามีอยู่หนึ่งแก้วแล้วมันจะหมดแบบนี้ (ท่านดื่มน้ำหมดแก้ว)  บางคนคิดว่ากุศลท่านจะหมดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วกุศลไม่ใช่แบบนี้ กุศลเป็นเสมือนอากาศที่ลอยไปลอยมาด้วย ยิ่งท่านให้คนอื่นได้รับโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เท่าไร ก็ยิ่งจะมีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีวันหมดไป อากาศหมดไหม ถ้าอากาศหมดไปเมื่อสองสามวันก่อนนี้ที่นี่ไม่มีคนเลยเพระว่าไม่มีคนชอบมาสถานธรรม ตรงนี้อากาศเยอะแยะไปหมด แล้ววันนี้ให้ท่านเข้ามาเต็มไปหมด  อากาศหมดเรียบไหม (ไม่หมด )  ในดินแดนของกุศลและดินแดนของความดี  ยิ่งท่านให้ก็จะยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งท่านให้ท่านก็ยิ่งได้รับมากขึ้น เคยคิดแบบนี้ไหม แต่เวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลก็คิดโน่นคิดนี่ ต้องนับก่อน ต้องกรวดน้ำไปให้คนที่สำคัญๆ ก่อน  ท่านคิดว่าคนที่ไม่เคยสำคัญนั้น สำคัญไหม เพราะว่าไม่ใช่ญาติท่าน ท่านจึงคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วทุกๆ คนในโบกนี้เป็นญาติท่านใช่ไหม (ใช่)  ท่านเกิดมาไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว  เพราะฉะนั้นคนทุกคนในตรงนี้ รวมทั้งเราสองคนด้วย ให้เราเป็นญาติกับท่านดีหรือไม่ (ดี)  ให้เราเป็นญาติท่าน ให้ท่านเป็นญาติเรา และเราทุกๆ คนมองหน้ากันแล้วมีรอยยิ้มให้กันดีหรือไม่ (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดีหรือ ต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ไวๆ นะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดี เพราะจะโดนจ้ำจี้จ้ำไช
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เราว่าดีออก จ้ำจี้จ้ำไชให้เป็นคนดี พุทธะบ่นท่านบ่นได้ไหม (ได้)  พุทธะไม่เคยตีด้วยมือจริงๆ นะ  พุทธะตีด้วยคำพูดและคุณธรรม และพุทธะก็ช่วยฆ่ากิเลสในตัวท่านด้วย เราไม่ใช่พุทธะที่ฆ่าท่านด้วยคำพูด เป็นพุทธะที่ช่วยฆ่ากิเลสในใจท่าน
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ใครฆ่าด้วยคำพูด (คน)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่าคิดแบบคนมากพยายามคิดให้เป็นพุทธะ คิดอย่างที่พุทธะคิด ทำอย่างที่พุทธะทำ เหมือนอย่างที่อาจารย์ของท่านสอนไว้ และเป็นอย่างที่พุทธะเป็นได้ แต่มนุษย์มักอยู่รวมกันแล้วคิดแบบมนุษย์ก็เลยวนกันแบบมนุษย์ คิดกันคน คน คน ไม่หยุดสักที
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วก็คนไป แล้วก็คนมา เละไปหมดเลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เห็นนะ เห็นกินกันอิ่ม กินตั้งหลายจาน  เป็นคนบำเพ็ญต้องรู้จักพอ พอดีบ้าง กินอิ่มมากเกินแล้วเราจะง่วง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้ว่ากินเจอร่อยไหม (อร่อย)  กินชออร่อยไหม กินเจกับชอต่างกันตรงไหน
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่กับท่านต้าเซี่ยวฝอถง  เมตตาให้เลือกจะนั่งหรือยืนหรือจะนั่งครึ่งๆ )
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ถ้าเลือกยืนแล้วง่ายกว่านั่นครึ่งๆใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนนั้นต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว  อยากจะทำสิ่งใดก็ต้องตั้งมั่นอยู่สิ่งนั้นสิ่งเดียว อย่าวอกแวกถึงสองสิ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบากใจ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยืนก็ง่าย นั่งก็ง่าย แต่ให้ครึ่งยื่นครึ่งนั่งนั้นยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะบำเพ็ญก็ง่าย ไม่บำเพ็ญก็ง่าย แต่ถ้าบำเพ็ญบ้างไม่บำเพ็ญบ้างก็ยาก เจกับชอต่างกันตรงไหน (เจคืออาหารที่บริสุทธิ์)  เจกับชอก็ต่างกันง่ายๆ ชอเอาเนื้อสัตว์มาปรุง  เจก็ไม่มีเนื้อ  ชออร่อยไหม  ต้องตอบจริงๆ จะโกหกตัวเองไปทำไม  ชอก็บอกว่าอร่อย  เจก็บอกว่าอร่อย  จะโกหกไปทำไม  โกหาตัวเองแล้วมาโกหาเราไม่น่ารักเลย  ชอก็บอกว่าอร่อย  เจก็บอกว่าอร่อย  แต่สิ่งที่ตัวเองแตกต่างไม่ใช่อยู่ที่ความอร่อย  ความอร่อยอาจทำให้ท่านไม่ได้กินเจต่อจากวันนี้ใช่หรือเปล่า  แต่สิ่งที่ทำให้ท่านกินเจต่อจากวันนี้ได้ก็คือ   การกลัวบาปเป็นการเริ่มต้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทำได้แล้ว  ท่านก็ค่อยๆคิดไปถึงความเมตตา  เพราะความเมตตาเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก  เพราะฉะนั้นเวลามีคนถามว่า  กินเจอร่อยไหม  อร่อยจริง  อร่อยแล้วกินเจไหม (ไม่)  จริงๆแล้วท่านไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง  เวลาจะกินเจท่านก็ไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง  ให้คิดถึงการกลัวบาปเป็นที่ตั้ง  ส่วนการกินชอท่านนึกอะไร (อร่อย)  ฉะนั้นถ้าท่านจะงดชอท่านก็ต้องคิดถึงความกลัวบาปเป็นที่ตั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ท่านก็จะกินเจง่ายขึ้นใช่หรือเปล่า  มีใครในโลกนี้ไม่กลัวบาปบ้าง  ถ้าเราบอกว่ากินชอแล้วบาป  ท่านเชื่อไหม (เชื่อ)  แล้วกลับจากวันนี้ไปท่านกลัวบาปไหม (กลัว)  แล้วท่านจะเริ่มกินเจไหม (เริ่ม)  แย่จังเลยเพราะท่านนั้นกลังบาปก็กลัว  อร่อยก็อร่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลัวบาปกับอร่อยอันไหนมากกว่ากัน (กลัวบาป)
ตอนนี้ท่านอยู่ในอารมณ์ที่ปกติมากขึ้น ทีนี้เราจะสอนท่านยิ้ม ยิ้มเป็นไหม (เป็น)  มนุษย์ชอบยิ้มแต่มียิ้มหลายอย่าง ยิ้มหัวเราะเยาะ ยิ้มแหยๆ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มหยันๆ ยิ้มแหยะๆ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มมีความสุข ยิ้มด้วยความชื่นใจ ยิ้มด้วยความจริงใจ ท่านรู้จักยิ้มเหล่านี้ไหม เวลาที่ท่านมีความทุกข์ก็อยากให้ท่านยิ้มให้กับความทุกข์นั้นๆ เวลาท่านมีความสุขก็อยากให้ท่านยิ้มกับความสุขนั้นๆ จริงๆ แล้วยิ้มนั้นมียิ้มเดียวแต่ใจท่านมีหลายใจ ฉะนั้นยิ้มก็ต่างกันตามจิตใจของท่านเอง ตอนนี้ถ้าใจของท่านเป็นอย่างไรท่านก็จะยิ้มออกมาอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ลองดูมนุษย์บอกว่าถ้าอยากยิ้ม ให้พูดว่า คำว่า สี่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ไหนลองพูดว่า สิบห้า แล้วยิ้มดู
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เราให้ท่านยิ้ม ท่านไหนไม่ยิ้มจะให้มายิ้มหน้าห้องหนึ่ง สอง สาม สี่
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  เมตตาให้นักเรียนเล่นยิ้ม)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : คนดีไปไหนไม่ต้องกลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ลางคนบอกว่ากลัวโน่นกลัวนี่ คนดีทำดีไม่มีอะไรคุ้มครองใช่หรือเปล่า  ก็เลยกลัวว่าไปโน่นไปนี่ แล้วจะไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแนะวิธีง่ายๆ ให้ คนโดนปล้นเพราะอะไร (ท่านต้าเซี่ยวฝอถงยหตัวอย่างนักเรียนในชั้น)  อย่างนี้ไปไหนปลอดภัยไหม (ไม่ปลอดภัย) เพราะอะไร (มีสมบัติเยอะ)  เพราะมีทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วคนนี้ล่ะปลอดภัยไหน (ปลอดภัย)  เราจะบอกให้ผู้หญิงหน้าตาไม่ได้แต่ง ผิวพรรณก็ไม่ได้บำรุง ฉะนั้นก็มอมแมมๆ ไปไหนก็สบาย แต่คนสมัยนี้ ทาครีมเช้า ทาครีมเย็น ฉะนั้นถ้ายิ่งแต่งหน้าด้วยยิ่งสวยก็ยิ่งไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ไม่)  มีอีกหลายสาเหตุของความไม่ปลอดภัยของท่านที่ต้องเจออยู่ทุกวันนี้ ท่านต้องคิดว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะเราดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยใช่หรือไม่  แต่คนดีจริงๆ ก็มีสุภาษิตกล่าวว่า “คนดีผีคุ้ม” ท่านก็ต้องเชื่อตรงนี้ด้วย  ถ้าท่านเป็นคนดีท่านก็ไม่ทำอะไรที่ผิดท่านก็มั่นใจว่าตัวท่านนั่นแหละปลอดภัยที่สุด แต่ตอนที่ท่านอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากแล้วเป็นอย่างหนึ่ง  พอลับหลังไปอยู่คนเดียวคิดก็คิดไม่ดี  ทำก็ทำไม่ดีอย่างนี้จะปลอดภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่ท่านมองว่าใครเป็นคนดีนั้นท่านก็มองไม่ออกเพราะว่าเขาตั้งใจปกปิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจำเป็นไหมที่ท่านจะต้องมองว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า (จำเป็น)  จำเป็นหรือ  แล้วท่านมองตัวเองสิว่าเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าท่านบอกว่า  ท่านจำเป็นต้องมองให้ออกว่าคนอื่นดีหรือเปล่า  ท่านก็ต้องมามองให้ออกว่าตนเองนั้นดีหรือเปล่าก่อน  ถึงจะดีใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่าเวลาจะไปทำการค้ากับคนนี้  เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า  เวลาจะไปสมาคมกับคนนี้  เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า  ในขณะที่ท่านมองเขา  ก็มีคนอื่นกำลังมองตัวท่านอยู่  ฉะนั้นก่อนที่จะมองคนอื่นก็ต้องรู้จักที่จะมองตนเอง  แล้วถ้าหากว่าท่านทำได้  นี่ก็เป็นหนึ่งคุณสมบัติของคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน  เพียงแต่เพิ่งจะเป็นแค่ย่างก้าวแรกหรือจะเป็นแค่การเริ่มต้นก็ดี  ขอให้ท่านนำความคิดของท่านนั้นไปสู่สิ่งที่ดีความคิดของท่านดี  ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ออกมาดี  ไม่ว่าท่านจะชวนอะไรใครก็ออกมาดี  ไม่ว่าท่านจะพูดจากับใครคำพูดของท่านนั้นก็จะมีแต่สิ่งที่ดีใช่หรือไม่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อยากกินลูกอมยักษ์ไหม เราเพิ่งรู้นะลูกอมโลกมนุษย์ใหญ่ขนาดนี้ มนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในถาดนี้  อยู่ที่ว่าวันใดเราจะถูกหยิบไปกิน จริงไหม (จริง)  แต่โชคดีที่พุทธะเก็บไป  แต่ไม่รู้ว่ท่านจะเป็นหนึ่งในโชคดีนั้นหรือเปล่า  ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในกะบะนี้ วันใดจะถูกหยิบขึ้นมาแล้วก็หายไปจากกะบะนี้ ใช่ไหม  แล้วรู้ไหมว่าเราจะถูกกิน  ไม่รู้แล้วกลัวไหม (กลัว)  ถ้าตราบใดที่เรายังกลัวอยู่  แปลว่าตอนนั้นเรายังไม่ดีพอเราถึงกลัว จริงหรือเปล่า  ถ้าตอนที่ท่านรับธรรมะ มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มีพุทธะท่านหนึ่งได้รับธรรมะชี้หนึ่งจุด แม้วันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่กลัวเลย” เคยได้ยินคำนี้กันมาหรือเปล่า (เคย)  คงเคยมาบ้างเพราะอย่างน้อยก็รับธรรมะมาแล้วใช่หรือเปล่า  แต่พอเรารับไปแล้วแต่ทำไมเราถึงกลัวตายอยู่อีกล่ะ นั่นแปลว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษา และเรายังดีไม่พอ  การจะเป็นคนดีให้พอและไม่ต้องถูกดึงออกไปทิ้งอย่างไร้คุณค่า เราจึงต้องทำตัวเองให้ดีก่อน ท่านเห็นไหมว่าลูกอมแต่ละเม็ดในกะบะนี้ล้วนมีสีสัน และล้วยมีการห่อหุ้มที่สวยงามต่างกันออกไปใช่ไหม ก็แปลว่ามนุษย์เราก็เหมือนกับลูกอมต่างๆ หลากสีนี่แหละพยายามประชันขอให้ตัวเองนั้นเด่นที่สุด แต่ว่าความตายไม่มีใครเลือกว่าใครสวนใครเด่น ไม่มีเลือกว่าอายุน้อยอายุมาก เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้องไป ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนที่จะถูกเลือกไปนั้น ก็คือทำตัวให้ดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราจะบอกท่านว่ามีหลักอยู่ไม่กี่ข้อในการทำตัวให้เป็นลูกอมที่แสนดี หลักง่ายๆ ก็คือ หนึ่ง รู้จักสำรวมความประพฤติ ก็คือ พูด คิด ทำ วนเป็นสิ่งที่ดี กิริยามารยาทล้วนเรียบร้อย มีความร่าเริงได้ แต่ในความร่าเริง ในความสนุกสนานนั้นต้องอย่าลืมความระมัดระวัง สอง ปฏิบัติหน้าที่ตนเองให้สมบูรณ์ ทำได้ไหม (ได้)  ทุกคนต่างมีหน้าที่มากกว่าหนึ่งหน้าที่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ หน้าที่เป็นบิดามารดา และหน้าที่ในการเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนกับเพื่อน หรอหน้าที่ความเป็นพี่เป็นน้อง  ฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ต่างๆ เหล่านั้นให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง สาม มีความสามัคคี ทำไมคนดีต้องมีความสามัคคีรู้หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : บางคนบอกว่าประชุมธรรมต้องไม่ยึดติด ไม่กินกาแฟแล้ว จริงๆ กาแฟก็ขม แต่ก่อนที่จะเลิกกาแฟไปเลิกอย่างอื่นก่อนก็ดีนะ  เลิกยึดติดในเงินทองยากนะ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : สามัคคีก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  เป็นคนที่ต้องอยู่กับหมู่มาก ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน  ท่านต้องอยู่มากกว่าหนึ่งคน นั่นคือสามัคคีนั้นแปลว่า อยู่ในบ้านก็ต้องสามัคคีปรองดอง อยู่ในที่ทำงานก็ต้องสามัคคีปรองดองกับเขาได้ ไม่ทำตัวผิดแผกแตกต่าง หรือให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนอื่น แล้วอยู่กับตัวเองต้องมีความสามัคคีไหม (มี)  ทำไมเราบอกว่าต้องสามัคคีเพราะว่าร่างกายเราประกอบไปด้วยกายและใจ ถ้ากายกับใจเมื่อจะทำสิ่งใด ใจคิดมากแล้วมือจะทำได้สำเร็จไหม ฉะนั้นกายกับใจก็ต้องมีความสามัคคี หลักของการทำตัวดีมีสามข้อแล้ว ท่านทำได้ไหม (ได้)  หากท่านทำได้ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ หรือทำสิ่งใดก็จะเป็นที่ปรารถนาของทุกคนในสังคม จริงไหม (จริง)  แต่ยังแถมท้ายด้วยอีกข้อที่ลืมไม่ได้คือ สี่ ความเสียสละ เป็นคนดีแม้จะดีทุกอย่างแต่ไม่เคยยืนมือช่วยใคร ไม่แคบเอื้อนเอ่ยพูดสิ่งใดที่เป็นการช่วยเหลือคนอื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าดีไม่สมบูรณ์ ดีแค่ตัวเอง  ฉะนั้นการทำความดีมีอยู่กี่ข้อ (สี่ข้อ)  มีอะไรบ้าง  ใครตอบได้เราจะให้ลูกอม
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : “งานรุ่งเรืองหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่”
หน้าก้าวฉลาดถอย หมายความว่า  ก้าวไปข้างหน้าก็ต้องก้าว แต่เวลาจะถอยก็ต้องถอยอย่างชาญฉลาด พระอาจารย์ท่านเคยพูดว่า คนฉลาดนั้นไม่ดีแต่เราคิดว่าถ้าท่านฉลาดโดยไม่มีเล่ห์กลอุบายอะไรก็ดี  ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นเรียกว่าชาญฉลาด ใช้ไหวพริบ  ใช้ปัญญา ใช้ความเข้าใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ท่านอยู่ ถ้าหากการจะมาสถานธรรมเป็นอุปสรรค หากงานธรรมะเดินไม่สะดวก ขอให้ฉลาดที่จะพลิกแพลง เพราะเวลาท่านเดินก็จะมีอะไรมาขัด ท่านก็ต้องรู้จักที่จะหลบ เจ้าใจไหม ดีไหม  ถ้าหากท่านไม่พอใจและอยากจะเปลี่ยนแปลง ต้องรู้จักใช้ความฉลาดด้วยปัญญา อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เราคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะดีแล้ว
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  เมตตาสอนลุก-นั่งตอบคำถาม)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เป็นคนดีเราต้องทำอะไรบ้าง (ปฏิบัติดี, มีความเสียสละ, มีสามัคคี)  สามัคคีตรงไหนบ้าง (ตรงจิตใจ)  ตรงจิตใจและการทำงานเป็นหมู่คณะ  หรือไม่ก็ในครอบครัว (ปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์, มีความสำรวม)  สำรวมอะไร สำรวมความประพฤตินะ วันนี้เราอยากแสดงอะไรให้ท่านดูหน่อย อยากดูละครเรื่องหนึ่งไหน (อยาก)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้นักเรียนอาสาสมัครขึ้นมาเล่นตาบอดคลำช้าง)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ สรุปก็คือ คนทุกคนหรือทุกๆ ท่านในที่นี้ล้วนมีความรู้ประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน เวลาเรารู้แล้วเราก็จะยึดติดกับสิ่งที่เราเคยรู้ แล้วก็ยึดมั่นกับความรู้ตรงนั้นแบบไม่ปล่อยเหมือนกับคนแรกกับคนที่สอง  จับได้ว่าเป็นแขนกล้ามแข็งๆ ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นผู้ชาย ผู้ชายในโลกนี้กล้ามนิ่มๆ มีบ้างไหม (มี)  ฉะนั้นบางครั้งเราจะเสริมเหตุผลอะไรของเรานั้นเราอย่าเพิ่งบอกว่ใช่เสมอไป ต้องบอกว่ายังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าผู้ชายโดยส่วนใหญ่กล้ามจะแข็ง คำพูดที่จะออกมานั้นใช้การเดาอย่างเดียวแล้วยึดติดในกระสบการณ์อาจไม่ถูกต้องเสมอไป รองหัวหน้าบอกว่าใส่ผ้าคลุมผมต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ใส่ผ้าคลุมผมได้เวลาอากาศร้อน นี่คือการยกตัวอย่างนะไม่ใช่ต่อว่า แต่คนเอาโดยส่วนใหญ่พอมั่นใจในความรู้ก็จะยึดมั่นในความรู้ไม่ปล่อยเหมือนที่คนคลำช้างคิดว่าช้างเหมือนหม้อเพราะจับหัว เหมือนกระด้งเพราะจับหู แล้วก็เถียงกันยกใหญ่ เฉกเช่นเดียวกันวันนี้ท่านมาศึกษาธรรมหลักธรรมที่ท่านอยู่ในใจ ที่ผ่านไปวันนี้สิ่งที่สรุปอยู่ในใจท่านก็จะแตกต่างกันบางคนจะบอกว่าธรรม หมายถึง การทำดี บางคนก็สรุปว่า ธรรมคือการเสียสละ แต่รู้ตรงนี้แล้วก็มั่นใจในตรงนี้ แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงตรงนี้ ถูกไหม (ไม่ถูก)  สรุปง่ายๆ วันนี้เราเจอรองหัวหน้า รองหัวหน้าดูเรียบร้อยแล้วท่านก็มั่นใจว่าเมื่อพูดกับรองหัวหน้าก็เรียบร้อย แต่ถ้าวันใดรองหัวหน้าเกิดหัวเราะหลุดพูดคำไม่เรียบร้อยขึ้นมา ท่านก็บอกว่าไม่ใช่  รองหัวหน้าเป็นคนเรียบร้อยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนชีวิตที่ท่านเรียน รู้อย่ามองเพียงหนึ่งเป็นหนึ่ง อย่ามองแค่สุขทุกข์เป็นแค่สุขทุกข์  แต่จงมองให้มากกว่านั้น และจงเข้าใจให้ลึกกว่านั้น เหมือนที่ท่านมองลูกอม ถ้าท่านบอกว่าลูกอมคือต้องห่อแบบๆ มีลายแบบนี้อันอื่นไม่ใช่ลูกอม ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นเราเรียนรู้อะไรในโลกนี้อย่ายึดมั่น เมื่อเรียนรู้แล้วจงให้เป็นเหมือนแพ พอข้ามมาฝั่งหนึ่งแล้วจงทิ้งแพนั้น อย่าเอาแพนั้นมาแบกไว้บนหัว เหมือนท่านเรียนรู้การเป็นคนดีท่านก็แบกความดีไว้บนหัว ใครมาว่าท่านไม่ดีท่านก็โกรธเช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  เหมือนท่านจะทำตรงนี้และเขาต้องพูดว่าดีนะ  แต่เขาพูดว่าร้ายท่านก็โมโห นี่แปลว่าเรายึดในแบบใช่หรือไม่  และหวังผลในแบบที่เรายึดมั่นเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้เล่นสัญลักษณ์ บวก ลบ คูณ หาร)
อย่างนี้แปลว่า (บวก)  อย่างนี้แปลว่า (ลบ)  อย่างนี้แปลว่า (คูณ)  ผิด นี่นิ่วมือกวาดไปกวาดมาจริงหรือเปล่า (จริง)  บอกแล้วว่าอย่างยึดใช่ไหม  ชีวิตเราบางครั้งต้องมีการเพิ่มอะไรให้กับชีวิต แล้วก็ตัดอะไรให้กับชีวิต  การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการบวกกับการลบ การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการคุณกับการหารได้เหมือนกัน แต่เราต้องดูให้ออกว่าชีวิตเราอะไรควรบวก  อะไรควรลบ อะไรควรคูณ อะไรควรหาร บางครั้งผลสรุปในความคิดต้องมีการแสดงออก เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ผลต้องมีการแสดงออก เหมือนกันวันนี้ท่านรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นก็คือการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี  ถ้าท่านเอาแต่พูดไม่มีผล ต้องลงมือปฏิบัติ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาที่ท่านมาฟังธรรมสามวันนี้ วันนี้วันที่สองใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เป็นวันที่สองแล้วในจิตใจของท่านต้องรู้สึกมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง ถ้าแม้จะฟังธรรมจะยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือปลอม ยังสรุปไม่ได้ว่า  ดีแน่หรือเปล่า แต่ว่าในจิตใจของพวกท่านสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเปลี่ยนแปลงในจิตใจ จิตใจต้องรู้สึกว่อยากที่จะทำความดีมากขึ้น นี่เป็นความสำเร็จของการฟังธรรมสองวันนี้ เพราะว่าเรามาฟังธรรม ไม่ใช่มาจับผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจับผิดก็ไม่ได้จับคนอื่น แต่ต้องจับผิดจิตใจของตนเอง ต้องให้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นในการที่เราฟังธรรมต้องให้จิตใจของเราถูกโน้มน้าวไปในการทำความดีมากขึ้น ถ้าหากท่านยังไม่รู้สึกอยากทำความดีมากขึ้น หรือฟังจบไปพอเย็นแล้วก็เฉยๆ อย่างนี้แสดงว่าในจิตใจของท่านนั้นถูกโน้มน้าวให้เป็นดียากมากใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าตอนนี้ทุกท่านดีอยู่แล้ว เราก็อยากให้ท่านดีขึ้นกว่านี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีใครบังคับให้ใครบำเพ็ญได้ แม้ว่ามีคนมาบังคับให้ท่านทำงานได้ บังคับให้ท่านล้างชาม ส่งผ้าหรือทำกับข้าวได้ แต่ไม่มีใครบังคับให้ท่านบำเพ็ญธรรมได้เพราะบำเพ็ญนั้นจริงๆ เป็นเรื่องของจิตใจ คือ การทำจิตใจให้เป็นปกติ และทำจิตใจให้สะอาด ตอนนี้ต้องกลับไปทำเองใช่หรือไม่  คนอื่นบังคับให้ท่านปฏิบัติธรรมได้แต่ไม่สามารถบังคับท่านให้บำเพ็ญได้ ต่อให้ท่านปฏิบัติธรรมมากมายถ้าท่านบำเพ็ญด้วยความรู้สึกถูกบังคับ บีบคั้น ท่านก็จะไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนมาวันนี้ด้วยความเกรงใจ  บางคนมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มร้อย  จิตใจยังไม่พร้อม
หวังว่กลับไปจากสามวันนี้ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีให้ท่านเกิดความรู้สึกเต็มร้อยในจิตใจของท่านเองมีความรู้สึกอยากจะบำเพ็ญธรรม มีความรู้สึกอยากจะชำระจิตใจให้สะอาด อยากจะเอากิเลสออกจากตัวท่านเองนั่นแหละคือการบำเพ็ญธรรมของท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอท่านทำได้ดังนี้ผลดีก็คือจิตใจของท่านนั้นจะสว่างเหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์ไหม เวลาจิตใจสว่างกับโลกสว่างเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  แล้วเวลาที่โลกสว่างไสวกับใจที่สว่างไสวอันไหนเกิดความรู้สึกปิติ เต็มตื้นมากกว่ากัน (ใจสว่าง)  จิตใจที่สว่างไสว ย่อมเป็นพลังชีวิตให้ท่านเดินทางต่อไปไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยหนุนหลังให้ท่านเกิดความสำเร็จในการทำงานทั้งปวง แม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญธรรมไปรวมกับการทำงานทางโลกไปเลี้ยงลูก ไปหาเงินแม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญไปรวมกันสิ่งใดก็ตาม  การบำเพ็ญธรรมจะทำให้ท่านไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น  นอกเสียจากว่าท่านคิดจะทำชั่ว การบำเพ็ญธรรมช่วยท่านไม่ได้  แต่เราเชื่อมั่นว่าโดยปกติแล้วมนุษย์ไม่มีใครคิดจะทำชั่วใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านมีแต่จะคิดทำดีให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาทำดีให้ผู้อื่นท่านรู้สึกว่าไม่สมใจที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่  แต่ว่าคนบำเพ็ญธรรมทำได้แค่ไหน อย่างมากก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ท่านแก้แค้นคนอื่นไม่ได้ ท่านไปบังคับคนอื่นไม่ได้ ขอให้ท่านเมื่อผิดหวังให้ย้อนกลับมาดูตัวเองใหม่ว่าเราดีพอหรือยังที่อยากจะให้คนอื่นดีตามเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าท่านทำได้อย่างนี้ ท่านก็จะเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่ใกล้ๆกับการบำเพ็ญธรรมมากขึ้น
เวลาท่านมาสถานธรรม มีบรรยกาศธรรมมากมายที่เป็นบรรยกาศธรรมที่ดี เวลาท่านเป็นรุ่นพี่แล้ว บรรยากาศธรรมเหล่านี้บางคนบอกว่าทำไมไม่เห็นบรรยากาศธรรมดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าคนรุ่นก่อนอายุมากไปหมดแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ก็คือพวกท่านที่มา ท่านไม่เคยเอาความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ไปให้กับคนอื่น หมายความว่าพร้อมที่จะเป็นผู้นับไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านไม่เคยเอาสิ่งดีๆ ที่ได้มาให้คนอื่นจะได้รับไหม (ไม่ได้)  ท่านก็ต้องพยายามด้วยแรงนะไม่ใช่หมดหายใจ
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ ท่านเมตตาสอนร้องเพลงทำนองเพลง :แปรงฟัน)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แปลกนะแปรงฟันก็แปรงทุกวัน  แต่พอแก่แล้วก็ใส่ฟันปลอม  แสดงว่าสิ่งที่ท่านรักที่สุดและถนอมสุดความสามารถนั้นก็ไม่ได้อยู่กับท่าน  เวลาตั้งความหวังในตัวผู้อื่น  เช่นลูกเราหรือใครก็แล้วแต่ที่ท่านสามารถตั้งความหวังกับเขาได้ ท่านก็อย่างตั้งความหวังมากเกินไปเพราะตั้งไปแล้วก็เหมือนฟันใช่หรือไม่  ถึงเวลาแล้วฟันก็หลุดใช่ไหม  หลุดแล้วท่านก็ต้องหาฟันปลอมมาใส่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ขอให้ท่านรักษาให้ดีที่สุดแต่อย่าหวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  :  เราสองคนจะกลับแล้วนะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากจะเป็นภาระของอาจารย์พวกท่านเลยนะ แต่ว่าไปดีกว่า ไม่อยากให้เราไป อย่างนั้นถ้ายิ้มหนึ่งครั้ง  เราจะอยู่ต่ออีกห้านาที (ยิ้ม)  ตอนเรามากว่จะให้ท่านยิ้มก็ใช้เวลานานบังคับแล้วบังคับอีก  แต่พอเราจะกลับส่งยิ้มให้เราทำไม
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีโอกาสกลับมารศึกษาบ่อยๆ นะ  เพราะว่งานประชุมธรรมกว่าจะเริ่มขึ้นได้ต้องอาศัยแรงกายของมนุษย์เป็นผู้เดิน แล้วพุทธะถึงจะลงมาช่วยเสริม ปกติแล้วคนเริ่มงานก็ต้องมีการเตรียมงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดการดูแลห้อง การเก็บของ ทำของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมที่จะจัดงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครมาถึงห้องพระ มีโอกาสกลับมาศึกษา มีโอกาสรีบกลับมาสร้างกุศลให้กับตัวเองโดยใช้แรงกายและแรงใจ นี้เป็นการเสียสละ เพราะคนอื่นทำแล้วนะรอท่านอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนข้างหน้าทำแล้ว รอพวกท่านเดินกุศลให้กับตัวเองมีโอกาสต้องหมั่นมาสร้างกุศลเยอะๆ ทำความสะอาด  เช็ดโต๊ะพระ  กวาดห้องพระ  มาร่วมสร้างห้องพระนี้ให้เต็มไปด้วยความสามัคคี  เต็มไปด้วยพุทธะดีไหม (ดี)  มีโอกาสกลับมาห้องพระบ่อยๆ นะ  ห้องพระก็เหมือนบ้าน   ทำได้ไหม แต่เดี๋ยวเราต้องไปก่อน ฉะนั้นอยู่กับท่านต้าเซี่ยวไปอึกช่วงหนึ่ง   เรายังมีหน้าที่ต้องไปช่วยเหลือคนอื่นๆ อีกยังมีหน้าที่ต้องไปช่วยพุทธะองค์อื่นๆ อีก
เอาอะไรเป็นกำลังใจให้คนที่มาช่วยเตรียมงานดี เอาส้มสีทองให้แก่คนที่มาช่วยเตรียมวงานตั้งแต่ก่อนที่จะมีงานนี้และช่วยเก็บหลังจากประชุมธรรมนี้หากเราไม่ได้ช่วยเตรียมก็มาช่วยตอนเก็บได้ไหม (ได้)
ใครเป็นคนลำปางยกมือขึ้น ความหวังอยู่ที่พวกท่านแล้วนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี หากวันนี้ยังไม่เข้าใจต้องมาฟังอีก เพราะวันนี้เราไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมอย่ายอมแพ้ ไม่หูเบาแต่อย่าปากหนัก
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เอาไว้คิดถึงพวกเราก็ไปหาพวกเรานะ รู้หรือเปล่า (รู้)  พวกท่านนั้นล้วนเป็นพุทธะได้  หากใครได้รับทอฟฟี่จากเราไป จะเป็นคนโชคดี เห็นไหมาว่าพวกท่านยังติดอยู่เลย อะไรที่เป็นของท่านก็เป็นของท่านอยู่วันยังค่ำใช่หรือเปล่า  มนุษย์ถ้าหากว่าจะโชคดีก็โชคดี   อยากได้โชคดีไหม ต้องทำอย่างไรถึงจะโชคดี (ทำดี)  ทำดีแล้วโชคดีหรือเปล่า (ดี)  แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องทำมากกว่านั้นอีก คนเราจะโชคดีต้องสร้างเหตุแห่งความโชคดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากอยากรวยก็ต้องรู้จักหาเงินทอง  ถ้าหาเงินหาทองโดยทุจริตก็จะไม่ได้สิ่งที่เป็นโชคดีนั้นๆ เพราะว่าโชคดีผ่านไป   โชคร้ายก็เข้ามาแทน  จริงๆ แล้ว โลกมนุษย์ไม่ดึงดูดให้อยู่เลย รู้หรือเปล่า เพราะว่าโลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์ แต่ท่านอย่าลืมว่าท่ามกลางความทุกข์ถึงจะสามารถสร้างความสุขขึ้นมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเราถ้ามีความทุกข์ถึงที่สุด ความสุขก็จะบังเกิดฉะนั้นถ้าอยากโชคดีต้องมีโชคร้ายมาบ้าง  ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด  ฉะนั้นถ้าอยากโชคดีก็ต้องมีโชคร้ายมาบ้าง ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด
ในที่สุดเราก็ผ่อนภาระของท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ ยิ่งเรามายิ่งภาระเยอะใหญ่เลย ขอให้พวกท่านได้รับความโชคดี ยิ้มให้เรานิดหนึ่ง ร้องเพลงไปด้วยยิ้มไปด้วย ความทุกข์จะได้หมดไปจากหัวใจท่านนะ


วันที่  ๑๒  พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว
ไม่มีเรื่องเหมือนมีเรื่องก็คือรู้กลัว ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี
เราคือ
หนันผิงจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลาย   อยากจะบำเพ็ญหรือยัง

สกุณาโผบินลงมาจากทิศใด  อยู่เป็นเพื่อนคนผู้เคว้งข้างใจจิตใจ  เหงาหงอยในคน  ยกตนไปสูงเหนือใคร  หลิกฟื้นจิตเคยหลงไปด้วยการบำเพ็ญติดดินไม่เลื่อนลอย
สกุณาโผบินมาตรงหน้าของเรา  ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย  ชนะจิตใจของตน  ศึกษาย้อนรอยรู้แล้วแล้วอย่ามั่วเลื่อนลอย  จงน้อมมุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม
นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา  เรียกคนมาคลายหลงไป  แม้ฟ้าจะสูงเพียงใด  แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว
เพลง : นกบนฟ้าปัญญาในใจ
ทำนองเพลง : เงาที่หายไป

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หัวข้อตั้งยาวจำหมดไหม (จำไม่หมด)  เวลามาฟังธรรมจำได้หมดหรือเปล่า (ไม่หมด)  อะไรที่เราสมควรจะจำอยู่ในใจ สมมุติว่าเรามาสถานธรรม มีคนเรียกเราฟังธรรมสามวันก็เหมือนกับผลไม้หนึ่งถาดนี้เลย ตั้งขึ้นมาสูงๆ อย่างนี้บรรยายไปเนื้อหาดีๆ ก็ตั้งขึ้น ตั้งขึ้น แล้วพานนี้ก็เหมือนกับจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราต้องจำนั้น เราจำไหมว่ารายละเอียดของผลไม้เป็นอย่างไร เราจะจำหมดไหม (ไม่หมด)  สมมุติว่าถาดนี้ไม่ได้มีแค่สาลี  แต่มีสารพัดลูกให้เราจำ  ทั้งหมดในถาดนี้ว่ามีอะไรบ้าง เราจำได้หรือเปล่า (จำไม่ได้)  ถ้าให้ลักษณะว่าซ้ำตรงไหน  เขียวตรงไหน เหลืองตรงไหน จำได้ไหม (จำไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเรามาฟังธรรมสามวัน ก็เหมือนชื่อหัวข้อที่ยาวๆ แล้วเราจำไม่ได้  แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นแก่นหรือใจความสำคัญที่เราต้องจำ  คืออะไร  มีแก่นอย่างหนึ่งที่เราต้องจำ  ไม่เช่นนั้นเราฟังสามวันนี้ก็เหมือนกับฟังไปแล้วไม่ได้อะไรเลย  สิ่งที่เราต้องจำคืออะไร (วิธีการปฏิบัติ, หัวใจสำคัญของเรื่อง, ธรรมะ)  อยากให้ตอบให้ตรงประเด็นกว่านี้สักนิดหนึ่ง  ว่าสิ่งที่เราจะนำกลับไปปฏิบัติคืออะไร  ไม่ได้หมายความว่า มีหัวข้ออะไร แต่ถามว่าคืออะไร สิ่งที่เราจะจำไป (การบำเพ็ญ)  ตอบถูกหรือยัง  เกือบถูกแล้วนะ (ความศรัทธาจริงใจ, การตังปณิธานแน่วแน่ที่จะปฏิบัติให้ได้)  ผลไม้หนึ่งพานนี้  ต่อให้ทั้งพานนี้คือสาลี่ ต่อให้ในพานนี้มีผลไม้หลากหลายแต่สิ่งที่ต้องจำคือ นี่คือผลไม้
ธรรมฟังไปสามวัน สิ่งที่ต้องจำคือธรรมที่เรานั้นจะเอาไปปฏิบัติ ฟังไปหมดสามวันนี้ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวถึงขนาดเก็บมาพูดเป็นฉากๆ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งกว่าคนที่มาพูดข้างหน้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากทุกอย่างที่เราฟังไปรู้สึกว่าดีนั้น เราไม่ได้เอามาปฏิบัติ  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องกลับไปแล้วทำก็คือกลับไปปฏิบัติธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก)
“ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว”
หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่โดยปกติแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดี แต่วันดีคืนดีก็มีเรื่องขึ้นมา พอเรื่องจบไปเรื่องหนึ่งแล้วก็มาเรื่องใหม่อีก ปัญหาชีวิตครั้งใหม่มาอีกแล้วก็จบไปอีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าบางคนนั้นไม่ใช่มีเรื่องเฉยๆ แต่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงบอกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะว่าคนนั้นมักจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ชอบหาเรื่องอย่างเช่น เห็นคนอื่นอยู่ด้วยกันเราก็ชอบยุยงให้เขาแตกแยกกัน อย่างนี้เคยเห็นไหมคนประเภทนี้ (เคยเห็น)  เห็นคนอื่นเขาทำอย่างนี้แล้วไม่ถูกใจก็ไปว่าเขาอย่างนี้ถือว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยนไหม (ใช่)  เวลาที่เราทำอะไรแล้วมีเรื่องก็เพราะว่าเราไปยุ่งกับคนอื่น ทำไมเราถึงไม่ยุ่งกับตัวของเราเอง แปลกไหม ใครบ้างที่เรามีสิทธิ์ที่จะยุ่งได้ ตัวเราเองมีสิทธิ์ที่จะยุ่งด้วยมากที่สุดใช่หรือไม่ รองลงมาคือใคร (ครอบครัว, ลูกและสามี, คนรอบข้าง, ญาติพี่น้อง, บิดามารดา, คนในปกครอง)
มีคนกลัวอาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์นี่ถ้าเรียกเป็นภาษาสามัญก็คือ ครู  ครูถือพัดไม้ ไม่ได้ถือไม้ กลัวโดนตีด้วยหรือ จะบอกให้ว่านอกจากตัวเราเองแล้วไม่มีใครจะยอมให้เรายุ่งด้วยเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดดูดีๆ  แม้กระทั่งลูก  ตอนที่เราเป็นลูก เราอยากให้พ่อแม่ยุ่งกับเราไหม (ไม่อยาก) พ่อแม่โดนลูกบังคับมากๆ เคยเห็นในปัจจุบันไหม ตอนนี้คงจะได้เห็นลูกบังคับพ่อแม่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีแต่เดี๋ยวนี้มีแล้ว  ลูกบังคับพ่อแม่ถามว่าพ่อแม่อยากให้ลูกยุ่งไหม ความจริงก็ไม่อยาก ฉะนั้นคนที่เราควรจะยุ่งด้วยมีอันดับเดียวและเป็นอันดับสุดท้ายก็คือตัวเราเองเท่านั้น  ยุ่งกับตัวเราแบบไหน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีอารมณ์มากขึ้นทุกวัน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีกิเลสมากขึ้นทุกวัน การยุ่งแบบนี้ทำให้ยุ่งแล้วไปนิพพานไหม การยุ่งอย่างนี้แล้วทำให้เราไปสวรรค์ไหม (ไม่ไป)  ยุ่งไปไหน (ไปนรก)  ยุ่งวนเวียนกันอยู่ในโลกมนุษย์นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยุ่งให้จิตใจของเรานั้นเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องยุ่งให้น้อยๆ ลง ยุ่งในแง่ของกิเลสตัณหา ยุ่งในแง่ของความอยากปรารถนา ยุ่งในแง่ของความโลภให้น้อยลง แต่ให้ยุ่งในด้านการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น ยุ่งในแง่ของการทำจิตใจของตัวเองให้สบายมากขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าไม่มีเรื่องก็อย่าไปหาเรื่อง แล้วเวลามีปัญหาอย่าไปกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัวเสียบ้าง อย่าให้รู้สึกเหมือนตัวเองสบายๆ อะไรก็ไม่กลัว อย่างนั้นถือเป็นความประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยามไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัว กลัวว่าจะมีปัญหาเกิด  แต่ถ้ามีปัญหาเกิดเราจะทำอย่างไร (แก้ไข)  ถูกหรือยัง อาจารย์จะให้มีแนวตรงกันข้าม (อย่ากลัว, วิ่งเข้าหา, อย่ามีเรื่องจะได้ไม่กลัว, เหมือนไม่มีเรื่อง)  ใช่แล้ว เวลามีเรื่องก็เหมือนไม่มีเรื่อง
กลัาคิดต้องกล้าพูดหรือพูดออกมาแล้วกลัวไม่ดีหรือเปล่า ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้นินทาใคร เป็นสิ่งที่ดีแต่ใช้ความคิด ใช้ปัญญา
“ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี”  ทำเหมือนไม่มีคือไม่มีอะไร อันนี้ต้องไปทำความเข้าใจแล้วคิดต่อให้จบนะ ประโยคสุดท้ายนี้เป็นประโยคที่ทำยากใช่หรือเปล่า  เวลาคนมีเรื่องอย่างแรกคิ้วจะขมวด จะทำเป้นไม่มีอะไร ทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหายิ่งหนัก ยิ่งมาก แต่ยิ่งต้องพยายามทำ ต่อให้ไม่สบายใจ ต่อให้เรากลุ้มใจ ต่อให้เราวิตกกังวลไปต่างๆ นานา ปัญหาก็ไม่ใช่ว่าจะจบ แต่สิ่งที่ทำให้ปัญหาจบคือการแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่สามารถจะบอกให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงได้ มีแต่บอกให้ตัวเองเปลี่ยนแปลง ตัวเรากับปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเราอยู่ตรงไหน สมมติว่าอาจารย์เป็นตัวของศิษย์ และศิษย์เป็นปัญหาของอาจารย์ ก็จะดูว่าสิ่งที่เป็นปัญหาระหว่างอาจารย์กับตัวปัญหาคืออะไร ตรงไหนเป็นปัญหาก็แก้ไข ตรงนี้เป็นปัญหาเข้าไปแก้ไข เมื่อแก้ไขจบแล้วปัญหาก็เบาไป เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรามากกว่าขึ้นกับผู้อื่น  เมื่อคนอื่นเห็นเราแก้ไขแล้วคนอื่นเขาจะแก้ไขสิ่งที่คนอื่นเป็นไหม (แก้)  ศิษย์คิดดูดีๆ ว่าเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน ศิษย์มีอัตตาหนึ่ง คนตรงข้ามมีอัตตาหนึ่ง คนตรงนั้นมีอัตตาหนึ่ง ทุกคนมีอัตตาพร้อมกันขึ้นมาแค่คนละหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญหาใหญ่โต ถ้าทุกคนยอมถอยคนละหนึ่งก้าว ปัญหาก็จะลดน้อยลง ถ้าศิษย์ยอมถอยหนึ่งก้าว คนๆ นั้นเขาเห็นศิษย์ยอมลดอัตตาแล้ว เขาอยากลดไหม (อยาก)  ศิษย์คิดว่าอยู่กับอัตตามีความทุกข์ไหม (มี)  อยู่กับความสบายใจมีความทุกข์ไหม (ไม่มี)  อยู่กับความสบายใจไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครอยากจะมีอัตตา ไม่มีใครอยากจะโกรธอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกลียดอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะแค้นอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกิดความชังอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าให้คิดให้ดี แม้กระทั่งในเวลาที่ศิษย์เกิดอารมณ์โมโหขึ้มาจริงๆ แล้วศิษย์ก็ไม่อยากมี เพราะว่าอารมณ์โมโหนั้น ทำให้เรารู้สึกร้อนแม้อากาศเย็นหรือว่าความรู้สึกชังทำให้เราหนาวจับขั้วหัวใจทั้งที่อากาศร้อน แสดงว่าตัวเราไม่ปกติ อารมณ์ไม่ปกติที่มีจิตใจที่ไม่ดีทำให้เรานั้นป่วย ถ้าหากว่าเราเกิดความรู้สึกร้อนภายในคือเกิดความโกรธ ในขณะที่อากาศนั้นหนาวเย็น ร้อนจะเผาผลาญตนเอง จิตใจของเราเต้นแรง หูตาของเราพล่ามัว ถามว่าคนๆ นี้สุขภาพดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์รู้ไหมว่าหลายๆ คนป่วยด้วยโรคของจิตใจ จิตใจของเราป่วย ป่วยแบบอารมณ์โกรธครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่และครั้งที่ห้า วันหนึ่งโกรธกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  หนึ่งปีโกรธกี่ครั้ง (หลายๆ ครั้ง)  สามร้อยหกสิบห้าคูณ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว คูณด้วยอายุตัวเอง โรคที่สะสมอยู่ในจิตใจมีมากไหม (มีมาก)  แล้วเราว่าเราป่วยไหม (ป่วย)  จริงๆ แล้วเราสุขภาพแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง)  ไม่แข็งแรงหรือ จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังแข็งแรงอยู่แต่ไม่ได้มาตรฐานของความแข็งแรง ถ้าเรามีจิตใจที่สบาย จิตใจที่มีความดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ เหมือนคนเขาบอกว่ามีอากาศดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงไหม สุขภาพจิตแข็งแรง สุขภาพกายแข็งแรง เลือกอะไรแข็งแรงมากกว่ากัน (สุขภาพจิต)  สุขภาพจิตแข็งแรงเป็นพื้นฐานของความแข็งแรงทั้งหมด  ถ้าหากทำได้บางคนที่ป่วยอยู่เป็นโรคที่ทำไมหาหมอไม่หายสักที โรคแบบนี้มาจากจิตใจที่ไม่แข็งแรง มาจากจิตใจที่ไม่สะอาด มาจากจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นตรวจที่ร่างกายจึงไม่พบต้นเหตุของโรค อยากให้แข็งแรงกว่านี้ ก็ทำจิตใจให้สะอาดกว่านี้ ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ไม่ใช่เปลี่ยนจิตใจให้แข็งแรง แล้วร่างกายแข็งแรงทันที เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ยานี้รักษาโรคอันนี้เป็นยาที่อยู่ที่อารมณ์ของเราเอง อาจารย์กล้าบอกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีคนไหนไม่เป็นโรค เป็นคนละนิด รักษาตัวเองดีไหม (ดี)  เมื่อรักษาจิตใจให้แข็งแรงได้ย่อมสามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ และบำเพ็ญธรรมได้ก็บรรลุเป็นพุทธะได้ ข้อดีหลายต่อยิ่งกว่าซื้อของในโลกมนุษย์แล้วลด แลก แจก แถมอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไม่เอางานนี้ (เอา)  เสี่ยงไม่เสี่ยง (เสี่ยง)  เสี่ยงไม่เสี่ยงขึ้นอยู่กับตัวเอง ตอบอาจารย์ตอนนี้บอกเสี่ยง กลับไปบ้านแล้ว เอาไว้ก่อน ทำไมหนอ เพราะว่าเราไม่ได้เกิดความซาบซึ้งในธรรมะจริงๆ เป็นความซาบซึ้งเพียงเปลือกนอก เป็นการฟังธรรมะแล้วแค่รู้สึกว่าดีเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาไปปฏิบัติ จึงยากที่จะกลับไปบ้านแล้วบำเพ็ญต่อได้ ถ้าหากว่าทำได้ ไปอยู่กับอาจารย์ ถ้าหากทำไม่ได้ไปไหน (กลับบ้าน)  ถามว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้ บ้านนี้กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ก่อนหน้ามาก็มีอยู่แล้ว อากง ทวด เคยอยู่บ้านหลังนี้ แล้วตอนนี้ทำไมเขาไม่อยู่แล้ว เพราะว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านจริงๆ เราจะกลับมาอยู่บ้านนี้เราต้องเป็นอย่างไร ชาตินี้เราเป็นคน เราอยู่บ้านนี้ ชาติหน้าถ้าอยากกลับมาอยู่บ้านนี้อีก ถ้าไม่ใช่หลาน เหลน โหลน ก็กลับมาเป็นตุ๊กแกเกาะฝาผนังดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าหากว่ายังหมกมุ่น ถ้าหากว่ายังมีอะไรที่เวียนว่ายอยู่ในอารมณ์ตอนนี้ ก็ให้รู้ไว้ว่าเราก็คนต้องเวียนว่ายอย่างนี้ ชาติหน้าอาจเกิดเป็นตุ๊กแกก็ได้ เกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัว เพราะว่าคนเป็นจิตญาณใหญ่ กลมใสที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ตุ๊กแกเป็นจิตญาณเล็กๆ ถ้าเกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัวนะ ถ้ารักบ้านหลังนี้มาก
ในตอนแรกที่เรามาสถานธรรม มีหลายครั้งเราเกิดความรู้สึกงงว่าคืออะไร ทำอะไรกัน มีที่เป็นมาอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง วันนี้ได้ฟังหัวข้อพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ก็ได้รู้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้นว่าเบื้องหลังในสิ่งที่เราเห็นมีการเสียสละจากคนมากมาย ที่เขาล้วนฝืนวัฏสงสาร ฝืนร่างกายนี้ดับสิ้น ไม่ได้รอแต่ว่ามีใครบ้างที่คิดจะสืบทอดไป คนมีปณิธานใหญ่สืบทอดธรรมะช่วยงานธรรม คนมีปณิธานเล็กก็คือทำตัวเองให้ดีๆ ฉะนั้นคนเราบางคนเกิดมายิ่งใหญ่ บางคนเกิดมากระจ้อยร่อย บางคนเกิดมาไม่มีใครรู้ว่าเกิดตาย ตายไปไม่มีใครรู้ว่าตาย เพราะอะไร ชะตาชีวิตลิขิตกำหนดให้เป็นเช่นนั้นไหม หรือว่าเรามากำหนดชีวิตของตัวเราเอง พรหมลิขิตในชีวิตเราเป็นอย่างนั้นหรือว่าเรากำหนดชีวิตของตัวเอง (เรากำหนดชีวิตของตัวเอง)  ลองย้อนกลับไปข้างหลัง วีรชนผู้เก่งกล้าทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่สละชีพ พวกเขาเหนื่อยไหม พวกเขามีความยากไหม (มี)  แล้วลองดูตัวเราในตอนนี้ ยังมัวแต่ห่วงตัวเองอยู่เลย มนุษย์ชอบพูดว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วค่อยไปคิดช่วยคนอื่น ถามให้ตอบอย่างซื่อๆ ตรงๆ ว่าเมื่อไรรอด ตอบได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีวันนั้น แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เสียสละเพื่อส่วนรวมทั้งหลายยังไม่สามารถฝืนอาการเจ็บป่วยไปได้ ในขณะที่เขาเสียสละชีวิต ในขณะที่เขาเหนื่อยนั้นเขาก็มีความเจ็บป่วย ในขณะที่เขายอมทนเพื่อคนอื่นนั้น เขาก็มีภาระที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาตกได้เช่นเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังอดทนช่วยพวกเราขึ้นมา ฉะนั้นถ้าหากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็จำเป็นที่จะต้องทนต่อความยากลำบากและหัดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่ตนเองยังทำไม่ค่อยได้ก็ตาม ต้องพยายาม ต้องช่วยเหลือผู้อื่น อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้มีความเมตตา มีมหาเมตตาช่วยเหลือผู้ที่ตกยากกว่าตน ช่วยเหลือผู้ที่อวดทะนงกว่าตนให้เขาได้รู้สำนึก เพราะว่าเรานั้นก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา และยังมีคนที่เหนือกว่าเรา เลือกเอาที่ตนเองช่วยได้ ช่วยเมื่อโอกาสเปิด ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าสามารถนำพุทธระเบียบในสถานธรรมไปใช้กับคนข้างนอกได้ เราจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจริยมารยาทมากเลย เพราะมีคนเชิญเรานั่งบ่อยๆ แต่เราเคยเชิญให้ผู้อื่นนั่งหรือเปล่า ก็มีน้อยครั้งเหมือนกัน ใช่หรือไม่ ถ้าเรานำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะเป็นคนที่มีความน่ารักมีจริยมารยาท ความอ่อนน้อมที่ขาดหายไปในสังคม ขาดแล้วขาดอีกให้เพิ่มแล้วเพิ่มอีก
ในสองวันนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้อะไรเลย อาจารย์เตือนไว้ก่อน วันนี้วันสุดท้ายเรียกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายไม่เอาก็อย่าเอา ใช่ไหม  วันนี้วันสุดท้ายแล้วใครสามารถตอบคำถามได้ก็ให้ตอบ หากใครอยากได้ผลไม้ก็ช่วยตอบแล้วช่วยเอาผลไม้บนโต๊ะนี้กลับไปบ้านดีหรือไม่ (ดี)
หลังจากวันนี้กลับไปจะเริ่มทำอะไรเป็นสิ่งแรก (ทานเจ, ทำความดี, ปฏิบัติธรรม)  เอาแบบพูดได้แล้วทำได้ (ปฏิบัติธรรม, ทบทวนตัวเอง, บำเพ็ญตนตามพระโอวาท, ปรับปรุงตัวเอง)
“เหงาหงอยในคน ยกตนไปสูงเหนือใคร”  คนที่เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่ง และมีความสามารถ ส่วนใหญ่แล้วก็คือยกตัวเองขึ้นมาหรือว่ายกย่องตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นลักษณะของคนที่ชอบยกย่องตนเองว่าเก่งและมีความสามารถ ส่วนคนที่มีความสามารถจริงๆ นั้นรอให้ผู้อื่นยกย่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าเวลาที่เรายกย่องตัวเองขึ้นไปสูงมากๆ ตัวเราเองก็จะโดดเดี่ยวเอกา เราก็จะลำพัง ฉะนั้นคนที่ยิ่งมีความสามารถ ยิ่งต้องอยู่กับคนที่เราเข้าใจว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อจะได้ชี้แนะเสมอๆ เห็นเขาผิดตรงไหนก็จะได้ชี้แนะ ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนขึ้นมาวงคำในพระโอวาท)
มาฟังธรรมสามวันแล้วก็ค่อยตรองดู พิจารณาดูแล้วเลือกว่าเราจะบำเพ็ญหรือเปล่า ไม่ใช่บำเพ็ญตามใครคนหนึ่งที่บอกเราให้บำเพ็ญ แต่พอเข้ามาแล้วคนแนะนำก็เรื่องหนึ่ง ตัวเราก็เรื่องหนึ่ง เราบำเพ็ญสร้างกุศลให้ตัวเราเอง ทางก็เป็นของเรา มัวแต่ติดในตัวบุคคล เราบำเพ็ญก็บำเพ็ญให้คนอื่น เข้าใจไหม ตัดสินใจด้วยการตรองทุกเรื่องที่ผ่านมา สมใจตรองไว้อย่าดีใจเกิน เสียใจตรองไว้อย่าเสียใจเกิน
“การปรองดอง”  ปรองดองระหว่างกายกับใจ โรคจะได้หาย ปรองดองระหว่างธรรมะกับจิตใจของเรา ปรองดองระหว่างทางบ้านกับตัวของเรา ปรองดองกับผู้คนที่เราอยู่ร่วม ปรองดองให้โรคในใจหาย โรคภายนอกหาย ปรองดองให้ทุกอย่างดีขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ปรองดองต้องใช้ปัญญา ต้องมีปัญญาในการที่จะนำตนเองเดินไป ฟังอะไร คิดอะไร พูดอะไร หลังจากวันนี้ศึกษาให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก เราจะได้ขึ้นมาอย่างมั่นคง ดีไหม
อาจารย์เปรียบศิษย์เป็นเลือด ขาดศิษย์ไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่บำเพ็ญอาจารย์ต้องตายแน่ๆ เลย ให้อาจารย์ตายไหม ตายแล้วตายอีก เวลาที่อาจารย์มีศิษย์ ศิษย์ทุกคนเหมือนเป็นเลือดของอาจารย์ แม้อาจารย์เป็นพุทธะ ไม่มีเลือด แต่ทุกคนในที่นี้เปรียบเหมือนเลือด รักศิษย์เหมือนดังรักเลือดของตัวเองทีเดียว ฉะนั้นฝากความหวังไว้ที่เราบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมให้มาก
(อาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง : เงาที่หายไป” และสอนร้อง)
วันนี้คนอายุมาก อาจารย์ให้วงคำว่า “เข้มแข็งใจสู้”  หมายความว่าเรายิ่งอายุมาก ชีวิตของเราก็สั้นลง โดยไม่ต้องรู้ว่าชีวิตของเราจะดับไปเมื่อไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้อยู่แล้วชีวิตสั้นลง ฉะนั้นทุกๆ เวลาๆ ทุกๆ นาทีที่เหลือมีค่ายิ่งกว่าทอง ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เข้มแข็งต่อสู้ เพราะเราเป็นคนอายุมาก ส่วนคนที่อายุน้อยยิ่งต้องรักษาโอกาส ฉวยโอกาส คิดจะทำอะไรให้เร่งทำ ส่วนคนที่อายุมากนั้นอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบทำไป เลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่ควร บางครั้งเรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ก็ต้องทำให้สำเร็จก่อน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจึงทำใช่หรือเปล่า  ทีนี้เราจะมองเรื่องสองเรื่องนี้ เราจะมองเห็นได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอันไหนเราต้องพยายามทำให้เสร็จ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไหนเราต้องมองก่อน รู้ก่อน ต้องแยกแยะด้วยอะไร (ปัญญา) ใช่ต้องแยกแยะด้วยปัญญา
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายชื่อเพลงพระโอวาท “นกบนฟ้าปัญญาในใจ”)
มีนกตัวหนึ่งอยู่บนฟ้าไม่รู้บินมาจากไหน มาอยู่เป็นเพื่อนเรา เราเป็นผู้ที่มีความเคว้งคว้างในจิตใจ แม้เราจะยกตนสูงเหนือใคร แต่ว่าอะไรอยู่สูงกว่า (นก)  แต่นกก็ยังยอมลงมาอยู่กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  นกเห็นเราเหงา นกลงมาอยู่เป็นเพื่อน พอเราพลิกฟื้นจิตที่เคยหลงไปให้มาบำเพ็ญ เราเป็นคนบนดิน เราต้องบำเพ็ญให้ติดดิน นกตัวเดิมบินลงมาตรงหน้าเรา ปลดปล่อยความมืดมนออกไป คนที่ไม่มีอัตตาสูงเกินไป คนที่ไม่มีทิฐิ คนที่รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อยวาง จิตใจนี้ก็จะโล่งสบาย
“ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย”  ชีวิตของเราเป็นชีวิตของศิษย์จริงๆ แต่ว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะถอยไปจากชีวิตนี้ คนที่ถอยเป็นอย่างไร เคยเห็นคนที่โดดตึกตายไหม คนที่กินยาตาย คนที่ฆ่าตัวตาย นี่คือคนที่ถอย เขาเอาความทุกข์ทั้งหมดใส่ยาแล้วกินเข้าไป รู้ไหมว่าเอาความทุกข์ทั้งหมดไปโดดตึกครั้งเดียว แต่เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บมาก ยาที่กินเข้าไปครั้งเดียว แต่ทรมานไหม (ทรมาน)  ทรมานมากมายทีเดียวพอถอยก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงบอกว่า ชีวิตของศิษย์ไม่มีสิทธิ์ถอย คนที่ไม่ถอยเป็นอย่างไร ก็ชนะจิตใจของตัวเอง เราชนะมาทั้งหมด ทำการค้าก็ชนะ คุยกับใครก็ชนะ แค่มองตาเรายังชนะ แต่ว่าไม่ชนะอยู่อย่างหนึ่ง คืออะไร จิตใจของตัวเอง แพ้อยู่เรื่อยเลย ใช่ไหม  อยากจะได้เสื้อสีชมพูก็ต้องไปซื้อสีชมพู ซื้อสีเหลืองไม่ได้ อยากจะได้เงินทองก็ต้องไปหาเงินทอง ไม่เอาไม่ได้ ลูกไม่เชื่อฟังก็ตี ให้เขาฟังเราให้ได้ใช่ไหม (ใช่)  สามีไปนอกใจก็ดิ้นรนจะตายให้ได้ นี่คือคนที่ไม่ชนะจิตใจของตัวเอง อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งใดที่อยู่นอกตัวบังคับไม่ได้ บังคับได้คือตัวเอง คนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้เป็นโรคอะไร โรคที่ขยับแขนขยับขาไม่ได้ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ใช่หรือไม่  นี่คือคนที่เป็นโรค แต่ว่าเราชนะจิตใจของตัวเอง ในเมื่อเราสามารถบังคับมือ บังคับเท้า บังคับอะไรก็ได้ เราต้องบังคับใจได้ ใช่หรือไม่
“ศึกษาย้อนรอย”  ศึกษาย้อนรอยไปดูอะไร ศึกษาย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่นหรือเปล่า ศึกษาย้อนรอยไปดูความสมหวังของคนอื่นหรือเปล่า ใช่เราย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่น แต่ไม่ได้ดูเพื่อเยาะเย้ย แต่ดูว่าเขาผิดได้อย่างไร แล้วเราจะผิดเหมือนเขาไหม ย้อนรอยไปดูว่าเขาสมหวังอย่างไรแล้วเรามีสิทธิ์สมหวังไหม ย้อนรอยเพื่อไปดู ไม่ทำให้ชีวิตของเราล้มเหลวด้วยมือของเราเอง ให้ชนะทุกอย่างด้วยตัวของเราเอง
“รู้แล้วอย่ามัวเลื่อนลอย”  ชีวิตของเราตอนนี้ ถ้าศิษย์นั่งเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี เคยเป็นไหม (เคย)  ถ้าเช่นนี้แสดงว่าชีวิตของเราเลื่อนลอยเต็มที คนนั้นถ้ายิ่งนั่งอยู่เฉยๆ ยิ่งไม่มีงานทำ แต่ว่าคนยิ่งทำงานงานยิ่งมาก คนยิ่งไม่ทำงานงานยิ่งน้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้สึกว่าเราว่าง ให้เราลุกออกไปหา เป็นงานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง เป็นงานที่เราไม่เคยทำเลยยิ่งดี อย่างที่ผู้ชายบางคนไม่เคยทำกับข้าว ถ้าหากวันไหนไม่รู้จะทำอะไรดี ก็ไปทำครัวดีไหม (ดี)  เหมือนเหลาจู่ซือ ถ้าหากผู้หญิงไม่เคยขับรถไปขับได้ไหม (ได้)  ไม่ได้ต้องไปกัดก่อน หากขับออกไปเลยเราอาจทำคนอื่นเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยก็ต้องไปหัด ผู้ชายหากไม่เคยทำครัว ทำครั้งแรกอร่อยไหม (ไม่อร่อย)  ผู้หญิงไม่เคยขับรถ ไปกัดขับบนถนนใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากเราไปฝึกฝน งานก็จะมีมากขึ้น
“มุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม”  มุ่งมั่นทำจิตใจของเราให้ดีงามไม่ว่าทำอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญก็คือ จิตใจที่ดีงามของเราเอง เพราะหากว่าจิตใจของเราดีงามแล้วทุกสิ่งย่อมดี มองไปที่ไหนก็ย่อมสวยงาม เห็นแดดร้อนๆ ก็ยังรู้สึกว่าแดดเป็นประกาย ไม่ใช่บอกว่าวันนี้เห็นแดดร้อนตามัวเลย
“นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา  เรียกคนมาคลายหลงไปแม้ฟ้าจะสูงเพียงใด  แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว”  นกเปรียบเหมือนปัญญามาเรียกให้เราคลายความหลง ท้องฟ้าก็เปรียบเหมือนจิตใจ เพราะว่านกบินอยู่บนฟ้า  ฉะนั้นสิ่งทีครอบคลุมปัญญาของเราก็คือจิตใจ ชีวิตไม่เคยยากเย็นเสียทีเดียว เพราะทั้งจิตใจและปัญญานั้นเป็นหนึ่งในชีวิตของเรา เราทำตัวเองนำทางไปทางไหน ชีวิตของเราก็ไปทางนั้น หากว่าคนที่ชอบเล่นการพนัน ชอบซื้อหวย เล่นไพ่ ชีวิตของเขาก็ไม่พ้นผีพนันใช่หรือไม่  ถ้าเราชอบช่วยคน ชอบเกื้อกูลคน คนๆ นี้อนาคตก็ไม่พ้นเป็นวีรชน อยู่ที่ว่าช่วยแล้วหวังผลตอบแทน ช่วยแล้วมีความก้าวหน้ามากแค่ไหน ค่อยนับเลื่อนขึ้นไปเป็นพุทธะทีละหน่อย
ท้องฟ้าเปรียบเสมือนจิตใจ จิตละเอียด ใจหยาบ คนเลี้ยงๆ ได้แค่กาย ปราชญ์นั้นหล่อเลี้ยงอารมณ์ให้นิ่ง เมธีนั้นเลี้ยงใจให้สะอาด อริยะนั้นเลี้ยงจิตให้สงบ ลองดูซิว่า ทุกๆ วันเราเลี้ยงอะไรบ้าง เลี้ยงคน, ตัว หรือเลี้ยงแค่กายหรือเปล่า (เลี่ยงแค่กาย)  ฉะนั้นต้องเลื่อนขั้นตัวเองขึ้นมาอีก ปราชญ์ใกล้กับมนุษย์ที่สุด เรามาเลี้ยงอารมณ์ของเราให้เยือกเย็นดีไหม (ดี)  คนที่เป็นคนอารมณ์เย็นอยู่เสมอๆ คนมักชอบที่จะรักใคร่ คบหา  ถ้าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน ก็ไม่มีคนอยากจะคุยด้วย  ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยด้วย เรามาสำรวจตัวเองว่าเวลาพูด เราพูดเสียงแข็งไหม เวลาเราพูดทำให้คนอื่นคิดมากหรือไม่ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นคิดมากต้องมาสำรวจตัว หากพูดแล้วทำให้เขาคิดไปในแง่ของปัญญาได้ จึงนับว่าเป็นคนที่พูดแล้วมีสาระ พูดแล้วทำให้คนคิดมากนี่ไม่ดี บางคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมอย่าคิดมาก แต่ไว้สอนตัวเอง อย่าบอกว่าคนอื่นอย่าคิดมาก เพราะว่าเราพูดไม่ดีเราต้องรู้ว่าเวลาพูดอย่าให้คนอื่นคิดมาก
จิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเราปรับอารมณ์ของเราได้ เราลองมาปรับใจของเราให้ดีแล้วค่อยเลื่อนขั้นพุทธะไป ทำจิตใจให้สงบดีไหม (ดี)  ทำไมสมัยก่อนการนั่งสมาธิจึงมีประโยชน์ ทำไมสมัยก่อนการทำสมาธิจึงทำให้คนบรรลุได้ เพราะว่าการฝึกจิตเป็นลำดับสุดท้ายของการฝึกทั้งมวล เพราะฝึกมาทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ทำจิตให้สงบเท่านั้นเอง ถึงเวลาเขาบรรลุต้องบรรลุ แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ นั่งหลับตาแต่จิตใจคิดไปเรื่อย ถือโอกาสนั่งหลับ ฉะนั้นจึงไม่เหมือนกัน จะบอกว่าคนสมัยก่อนนั่งสมาธิไม่บรรลุไม่ได้ พูดไม่ได้เสียทีเดียว แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ คือนั่งแล้วจิตใจไปเรื่อย สงบจิตไว้ก่อน แต่พอออกสังคมก็วุ่นวายไว้ก่อน อย่างนี้ไม่มีประโยชน์
ชีวิตไม่ได้ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ไม่งายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยากกับง่ายใครกำหนด (ตัวเรา)  ตัวเราเป็นผู้กำหนดชีวิตให้ยากหรือให้ง่ายนะอย่าลืม
อยู่กับอาจารย์ อาจารย์เป็นพุทธะ ฉายาของอาจารย์ “พุทธะเดินดิน”  อาจารย์ยังมาเดินอยู่บนดิน ศิษย์ของอาจารย์ก็ให้บำเพ็ญติดดินให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อุปสรรคอยู่เบื้องหน้า ชัยชนะอยู่เบื้องหลัง”)
คนทั่วๆ ไป เวลาอยากจะสำเร็จมักจะคิดถึงชัยชนะก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วอะไรมาอยู่ข้างหน้าของเราก่อนชัยชนะ (อุปสรรค)  สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเราคืออุปสรรคให้คิดถึงอุปสรรคก่อนแล้วชัยชนะที่อยู่เบื้องหลังนั้น ก็จะมาแทนที่อุปสรรค ตอนนี้เฉพาะหน้าอุปสรรคอยู่เบื้องหน้า แต่ชัยชนะนั้นอยู่เบื้องหลังไปก่อน  ถ้าเราใช้ความพยายามมาก อุปสรรคก็ไปอยู่ข้างหลัง แล้วชัยชนะก็มาอยู่เบื้องหน้า ไม่มีอะไรที่ยากเย็นเกินคนที่พยายาม แม้กระทั่งคนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะนั้น ก็ไม่ได้ยากเกินไป อย่าคิดว่าตัวเรานั้นทำไม่ได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ เพราะว่าครั้งหนึ่งอาจารย์ก็เคยเกิดเป็นคนมาแล้ว แล้วอาจารย์ก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ตอนนี้เป็นคนก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เป้นคนประเสริฐกว่าสิ่งใดทั้งมวล ที่เห็นมีร่างกายเหมือนกันก็คือสัตว์ สัตว์มีร่างกาย ศิษย์มีร่างกาย แต่ศิษย์ประเสริฐกว่า เพราะว่ามีความคิด มีปัญญา เทวดาไม่มีร่างกาย มนุษย์มีร่างกาย มนุษย์ประเสริฐกว่า ผีนรกนั้นชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นมนุษย์ยังทำกรรมอยู่ ถ้าหากว่าเราทำกรรมมาก วันหนึ่งเราก็ต้องชดใช้กรรมก็ไม่ต่างกับผี ฉะนั้นตอนนี้ทำความดีหรือความชั่วก็ต้องรู้อยู่กับตัว เราต้องเลือกอนาคตของเราตั้งแต่วันนี้ อันว่าคนนั้นสามารถสำเร็จเป็นพุทธะ อันว่าพุทธะองค์นั้นเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ ในศิษย์ของอาจารย์นั้นพยายามเริ่มตั้งแต่คนที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นต้นไป ไปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เมตตา เป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นโพธิสัตว์น้อยๆ เป็นอรหันต์น้อยๆ แล้วเป็นอรหันต์ใหญ่ๆ ในวันข้างหน้าดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากว่าวันนี้ ศิษย์เดินไปทางไหน คนยกมือไหว้ แสดงว่าเรานั้นมีคนนับถือ ถ้าหากว่าวันนี้เราเดินไปทางไหน คนเชิดใส่ แสดงว่าเราอะไร โพธิสัตว์คนอยากเจอ มีแต่ผีเท่านั้นคนไม่อยากเจอ คนเห็นเราแล้วกลัวแสดงว่าเราไม่ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์ แสดงว่าเรากำลังบำเพ็ญเป็นผี เพราะฉะนั้นตอนนี้ดูว่าเราเดินไปทางไหนมีคนทักเราไหม (มี)  แล้วตอนที่เขาทักเรานั้นเขายิ้มหรือไม่  ตอนนี้เราทำอะไร วันหน้าก็คือสิ่งนั้น ตอนนี้ให้ตั้งใจทำให้ดีให้งาม ไม่ต้องคิดว่าเวลาเราทำดี คนอื่นจะต้องมาตอบแทนดีกับเรา หรือบางคนบังคับให้คนไหว้ได้ แต่จิตใจของเขาไม่เคารพ อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นเราควรให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติหล่อเลี้ยงทุกสิ่ง ให้ธรรมชาติหล่อเลี้ยงใจของศิษย์ ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเป็นธรรมชาติ มาที่นี้ไม่มีใครสามารถบังคับให้ศิษย์ทำอะไรได้ บังคับให้กินเจก็ไม่ได้  คนที่ต้องบังคับก็คือตัวเราเอง ขอให้รู้จักละอายต่อบาปที่เราสร้าง รู้จักที่จะทำดีให้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไป อาจารย์หวังในตัวศิษย์มากมาย
บ่ายโมงแล้วนะ อาจารย์ไม่อยากรบกวนศิษย์มากเกินไป วันนี้อาจารย์มีความสุขมากที่เห็นศิษย์แม้ว่าจะน้อยแต่ว่ามีคุณภาพ ศิษย์เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสี่พระองค์ยังให้โอวาทยาวขนาดนี้ จนอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์คงเป็นผู้มีภูมิธรรมมาก ส่วนจริงๆ แล้วเรามีภูมิธรรมแค่ไหน เราคงต้องเป็นผู้ตัดสินตัวเราเอง
พุทธะเกิดมาบนโลก แต่พุทธะไม่ยอมบำเพ็ญต่อ แม้ว่าจะสูงเกียรติยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์
อาจารย์มอบกำลังใจให้ศิษย์ทุกๆ คนทุกๆ เมื่อ  คนลำปางทุกๆ คน ทุกๆ วันที่อยากได้กำลังใจ ทุกๆ นาทีที่อยากได้กำลังใจ
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ มีบุญแล้วต้องรู้จักใช้ในทางบำเพ็ญด้วย บุญกุศลนี้หมดไปได้ ร่อยหรอลงได้ ขอให้ตั้งใจนะ อาจารย์รอศิษย์อยู่นะ แต่ไม่รู้ว่ารอครั้งนี้เสียเปล่าหรือเปล่า  ขอให้ความหวังของอาจารย์สำเร็จที่ตัวศิษย์ รักสามัคคีกันให้มาก อย่าทะเลาะเบาะแว้ง มาบำเพ็ญร่วมกันก็ขอให้เดินทางธรรมร่วมกัน ขอให้อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ชั่วฟ้าดินสลาย อย่าทอดทิ้งอาจารย์นะ
มีเวลาว่างมาสถานธรรมนะรู้ไหม บำเพ็ญใจอยู่ที่บ้านบำเพ็ญยากก็ให้พยายามแม้เหตุการณ์ไม่เป็นใจก็ต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองมากๆ เข้าใจไหม รีบๆ บำเพ็ญนะ อายุมากแล้ว รีบๆ บำเพ็ญ ทำอะไรได้ก็ให้รีบๆ ทำได้แล้ว
ขอให้ครั้งนี้เจอกันเป็นครั้งแรกและมีครั้งต่อไป มีเวลาว่างศึกษาธรรมะให้หนักๆ พบสิ่งใดชอบใจ ไม่ชอบใจต้องใช้ปัญญาแยกแยะ
รักษาตัวให้พ้นมารพ้นภัย รักษาใจให้สะอาดๆ อาจารย์หวังว่าทุกครั้งที่อาจารย์เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นคนที่มีความสะอาดพร้อม หวังว่าทุกๆ ครั้งที่เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นศิษย์อาจารย์ ยอมรับอาจารย์ในหัวใจ หวังว่าศิษย์นั้นยอมให้จิตใจของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น อาจารย์อยู่ในใจศิษย์ต่อเมื่อศิษย์นั้นมีอาจารย์ในหัวใจ อย่าคิดว่าการทำดีนั้นยาก อย่าคิดว่าการเป็นพุทธะลำบาก อาจารย์รับประกันว่า ถ้าศิษย์พยายามย่อมที่จะไปถึง ขอให้ทุกคนนั้นแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี นิสัยที่ไม่ดีเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มลงมือทำอะไร ให้มองเห็นในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ดีอยู่เพื่อให้นิสัยของเรานั้น ความประพฤติของเรานั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น เพื่อให้ความประพฤติของเรานั้นเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น
สังคมการบำเพ็ญธรรมนั้นยังเป็นสังคมแคบ เมื่อเทียบกับสังคมมนุษย์ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมนั้นยังบำเพ็ญอยู่บนทะเลทุกข์ จึงขอให้ทุกๆ คนอดทนและพยายาม เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในธรรมะที่ศึกษา มีเวลาแบ่งเวลามาสถานธรรมให้มาก อย่าทอดทิ้งกลางคัน อย่าล้มเลิกกลางคัน ถ้ารักอาจารย์ก็ตามอาจารย์มาละกันนะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา