วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-16 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี


PDF 2543-12-16-เจิ้งซิน #24.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ผลแห่งกรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นอย่าฉงน
ในบัดนี้ต้องมารู้จักตัวตน บำเพ็ญพ้นเกิดตายสู่นิรพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกท่านจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
หนึ่งชีวิตเกิดมาอย่าค่าไร้ เกิดเป็นคนใช่ง่ายดายอย่างที่คิด
อย่าปล่อยผ่านไปวันวันไม่ลิขิต จะทำผิดทำถูกต้องพิจารณา
เมื่อมีบุญกราบรับธรรมต้องรักษา ฟังธรรมาใช่ฟังแค่ผ่านหู
ขอให้มีปัญญามาเคียงคู่ ขอให้เป็นนักต่อสู้ต่อชะตา
กรรมลิขิตอดีตอนาคต แต่บำเพ็ญกำหนดทางคืนฟ้า
ต่างมีสิทธิ์อย่าตัดสิทธิ์ตนเลยนา ใช้ความกล้าที่ตนไม่เคยมี
บุญไม่ทำกรรมไม่สร้างอยู่กลางกลาง ท่านเลยต่างมีสุขทุกข์ที่เลือกได้
ขยันหน่อยจะสบายพ้นยากไป ขี้เกียจไประทมจนอย่างเป็นอยู่
จงรู้ว่านำชีวิตตนเองสูง จิตใจอย่าปรุงแต่งให้วนหลง
สุรานารีเป็นตัวร้ายที่ฉุดลง เดินทางตรงต้องช่วยตนก่อนช่วยคน 
ความอิ่มบุญยากพบในใจคนโลภ นกบินโฉบคิดแต่จะเข่นฆ่า
เกิดในโลกจิตพ้นโลกเหนือมายา จิตเมตตาต้องปลูกฝังให้กับตน
สองวันนี้โอกาสดีมาเริ่มต้น สร้างชีวิตให้กับตนนะน้องเอ๋ย
เปลี่ยนแปรตนคนเก่าที่ละเลย เอาจริงกับการเดินเอยเดินทางธรรม
ฟังไปแล้วต้องนำกลับไปปฏิบัติ ต้องจำกัดตนเองอย่าทำเล่น
ธรรมศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตใจไม่อ่อนเอน มีกฎเกณฑ์มางัดกับนิสัยตน
อย่าไปหลงสิ่งเพลินตาอีกเพลินใจ คนแก้ไขทุกวันย่อมดีขึ้น
สัจธรรมนำชีวิตไม่เมามึน ขอให้ขึ้นสวรรค์เถิดน้องเมธี
เรื่องวันนี้ต้องทำเสร็จในวันนี้ อย่าให้มีนิสัยดินพอกหางหมู
ขอให้คุมจิตใจตนให้คงอยู่ ตนเองคงดูตนเองชัดที่สุด
จงหลีกเลี่ยงการทำผิดอีกทำบาป ธรรมมาปราบคนที่ไม่รู้ตื่น
ความศรัทธาไม่ทำให้ใครกล้ำกลืน คนรู้ตื่นย่อมเป็นกำลังให้เบื้องบน
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
อย่าดูถูกตนเองต่างมีญาณ จิตชื่นบานฟังธรรมะให้จริงใจ
กลับตัวอีกกลับใจเถิดน้องท่าน น่าสงสารถ้าเวียนว่ายหลังชาตินี้
เพราะว่าต่างได้ชื่อเป็นคนดี และต่างมีบุญมาเกิดประเทศธรรม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
หวังว่าน้องอยู่ครบทั้งสองวัน ฟังธรรมกันไม่ผ่านหูไปเฉยเฉย
เวลาว่างกลับมาสถานธรรม ให้ละกรรมเป็นส่วนหนึ่งของเรือนี้
จงมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมี หนึ่งชีวีจงใช้ไปเพื่อเวไนย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด 


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

กอบกำสำเร็จอยู่ในมือ จะต้องถือเสียสละเป็นสรณะ
บำเพ็ญกายเป็นดั่งผู้มีใจพุทธะ และลดละกิเลสจึงสงบสุขจริง
เราคือ
เสียวเสี่ยวเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะน้อยๆ ทุกท่านฟังธรรมะเข้าใจบ้างไหม
กล้าพูดแย้งนอบน้อมไม่เพิ่มปัญหา เมื่อขัดกันต้องพิจารณาอย่าไปเพ่ง
ทะเลาะเพราะผลประโยชน์มาขัดกันเอง จิตเครียดเคร่งถูกอารมณ์นำผิดทาง
เศร้าโดดเดี่ยวปล่อยใจจะยิ่งสับสน ฟุ้งซ่านเพราะเป็นคนที่คิดมากอย่าง
อภัยไม่แค้นเก่งย่อมช่วยได้บ้าง โชคอาจเยือนได้กลางคนจิตดี
ยืนเขย่งเพราะนานไม่อาจยืนแกร่ง โลกธรรมแปดใครแจ้งปลงโลกนี้
หลงชอบอวดเก่งเข้าทางใครมี เหนือฟ้าย่อมจะมีฟ้าเสมอมา
ใครเตือนกล้ามาบอกขอบคุณไว้ อุทิศตนสิ่งของไม่ไปยึดคว้า
ยามใดแม้เป็นเราเจ้าของนา อย่าได้ให้ตาบอดมามอมเมาใจ
ยินตลอดคนตายจึงจะไม่สู้ หน้าผาริมยืนอยู่น่าเสียวไส้
ก้าวร่วงหล่นหันกลับมาปลอดภัย คิดไกลใกล้อยู่เพื่ออะไรหนอคน
อย่าบำเพ็ญดั่งมีใจที่อ่อนล้า สิ่งได้มาไม้ผุที่อุ้มฝน
ให้ทางนำเท้าย่อมเดินเวียนวน ชีวิตตนรู้จักตนให้ฝึกตนเดิน 
ดวงตาสว่างคืนมากลางเสียงธรรม เสรีนำดั่งนกกลางหาวร่อนเหิน
เมื่อบำเพ็ญต้องใช้ธรรมออกลงเดิน อย่ามัวเพลินโลกจนกระทั่งลืมบำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

ชีวิตนี้จริงๆ แล้วมีความสุขหรือไม่ (มี)  แล้วมีความสุขแบบไหน (สุขใจ)  ชีวิตนี้มีความสุขง่าย แต่บางคนก็ไม่สุขง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอยู่ในโลกนี้บางทีก็เรียกว่าสุขง่ายๆ บางทีก็ไม่ได้ยาก ไม่ได้ง่ายเลย  บางครั้งเราบอกความสุขของเราก็คือทำอะไรก็ได้ตามใจใช่ไหม  ตามใจชนิดที่แบบห้ามมีคนขัด ถ้าขัดเมื่อไรไม่มีความสุขเหมือนมีคนมาตีกรอบ มีคนมาชี้นิ้วใช้ มีคนมาบังคับให้นั่งฟังไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  ความสุขใครๆ ก็อยากเรียกร้องให้อยู่กับตัวเอง  ถ้าหากว่านั่งตรงนี้มีความสุข ท่านก็ต้องเรียกร้องให้ตัวเองมานั่งตรงนี้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็เหมือนเราชอบกลิ่นหอม เราชอบกลิ่นหอมเราก็ต้องไปใกล้กลิ่นที่หอมๆ  สมมติว่ากลิ่นหอมคือความสุข ท่านบอกว่าท่านชอบความสุขและสิ่งใดที่ทำให้ท่านสุข ท่านก็จะไป  หากความสุขเหมือนกลิ่นหอม สิ่งใดหอมท่านก็จะไปหาใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าความทุกข์คือกลิ่นเหม็น สิ่งใดที่เหม็นท่านก็จะไม่ไปหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่ากลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็นเหมือนความสุขกับความทุกข์ของมนุษย์ ดูง่ายๆ เหมือนใบไม้ใบหนึ่งถ้าเอาไปห่อหุ้มขวดน้ำหอมห่อนานเข้า วันแรกวางออกจากหัวน้ำหอมก็ไม่มีกลิ่นแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าห่อไว้สักเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง จะติดนานไหม (นาน)  แม้จะห่างขวดไปก็ยังหอมอยู่ แต่ถ้ากลิ่นเหม็นห่อวันเดียวเป็นอย่างไร (เหม็น)  เหม็นแบบห่างจมูกแล้วจมูกเราก็ยังติดกลิ่นเหม็นอยู่ และเดินไปไหนก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นยังติดจมูกอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ความทุกข์ความสุขก็เหมือนกัน เราอยากจะหาความทุกข์ความสุขมาใกล้ตัวก็ง่ายๆ เหมือนเราอยู่ใกล้กลิ่นหอมกลิ่นเหม็น  ถ้าเราอยากหาความสุขมาใส่ตัว เราก็ต้องหมั่นชิดใกล้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่  ถ้าเราไม่อยากให้ความทุกข์มาใส่ตัว เราก็ต้องห่างไกลความทุกข์แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราบอกว่าบางครั้งแม้เราจะไม่ได้ดมสิ่งที่เหม็น ไม่ได้ดมสิ่งที่หอมแล้วแต่ใจเรา จมูกเรายังติดกลิ่นอยู่จริงไหม (จริง)  ถ้าวันนี้จบจากเราพูดไปแล้วท่านลองไปดมอะไรก็ได้ที่เหม็นที่สุดเสื้อท่านก็ได้  พอท่านดมทีหนึ่งแล้วท่านก็วางเสื้อไว้ เดินไปไหนก็ได้จมูกท่านก็ยังได้กลิ่นอยู่จริงไหม (จริง)  แล้วยิ่งถ้าใจท่านรู้สึกว่าเกลียดสิ่งนี้มากๆ เดินไปไหนท่านก็รู้สึกว่าเหม็นจริงๆ  แต่มีสิ่งหนึ่งที่คอยควบคุมเราให้สามารถค้นหาความสุขความทุกข์ได้เหนือสภาวะแวดล้อมนั่นคือ ใจดวงนี้ของเรา ที่จะกำหนดให้เราสุขสั้นๆ หรือสุขยาวๆ สุขโดยที่แม้สภาวะแวดล้อมไม่สุข ทุกข์ได้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่น่าจะทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนบอกว่าเราจะสุขได้ต้องมีกลิ่นหอม ต้องมีสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ใจเราอยากเป็น สภาวะแวดล้อมที่ดี ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญอยู่ที่สภาวะแวดล้อม  แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเราต่างหาก  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าใบตองห่อยาเส้นก็จะหอมกลิ่นยาเส้น เชือกร้อยปลาร้อยสัตว์ที่ตายแล้วก็จะมีกลิ่นคาวสัตว์ที่ตายแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวมนุษย์เราก็เฉกเช่นเดียวกันอยากมีสภาวะจิตใจ อยากมีความประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกสภาวะแวดล้อมเช่นไรให้กับตัวเอง ท่านอาจจะพูดว่าเราเกิดเป็นคน เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าเราเลือกที่จะเป็นเช่นไรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้มีแต่คนไม่ดี ชอบนินทา ชอบทำร้ายเบียดเบียน เขาเป็นอย่างนั้นแล้วเราต้องเป็นตามเขาไหม  อยากเป็นใบไม้ห่อยาเส้นก็หอมกลิ่นยาเส้น ใบไม้ห่อปลาร้าก็มีกลิ่นปลาร้า อย่างนี้ก็เป็นคนที่คบไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่กับใครก็เป็นอย่างนั้น อยู่กับอีกคนหนึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักตนเองจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่ามาพูดว่าทำดี ทำไม่ได้หรอก เพราะว่าสังคมยังเลวร้าย เช่นนี้ท่านก็เอาความเลวร้ายไปฝากไว้กับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “คนดีจะพูดว่าทำดีง่าย  คนชั่วจะพูดว่าทำดียาก”  และมีคำกล่าวต่อไปอีกว่า “ท่านที่ชอบสรรค์สร้างสิ่งที่ดีย่อมมีความสุข ผู้ที่เอาแต่สั่งสมความชั่วร้ายย่อมมีความทุกข์”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ยากเลยถ้าคิดจะทำความดีหากคิดอย่างนี้อยู่เสมอ ถ้าเราพูดว่าทำดียากเราก็กลายเป็นคนชั่วใช่หรือไม่  ถ้าเราเป็นคนที่เอาแต่ทำความชั่วเราก็กลายเป็นคนที่ต้องทุกข์ แล้วอย่างนี้อยากที่จะดมกลิ่นเหม็นไปตลอดชีวิตเลยหรือ  ถ้าเราบอกว่าคนที่ทำชั่วเหมือนคนที่นั่งอยู่หน้าห้องส้วมท่านอยากทำไหม (ไม่อยาก)  คนที่เป็นคนชั่วเหมือนคนที่ทำส้วมแตก ส้วมแตกไปอยู่ที่ไหนก็เหม็น แต่คนทำดีเหมือนทุ่งดอกไม้บาน ไปอยู่ที่ไหนก็หอม หอมทั้งทวนลมและตามลมใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้หอมได้แค่ตามลม แต่คนทำดีหอมทั้งทวนลม และตามลม ฉะนั้นมาทำดีกันเถอะ
เด็กคุยกับผู้ใหญ่จะอยู่ได้นาน เพราะผู้ใหญ่มองเด็กก็เห็นว่าน่ารัก น่าเอ็นดู แต่เวลามองผู้ใหญ่ด้วยกัน ช่างขี้บ่น เอาแต่ใจใช่ไหม  แต่เด็กอยู่กับเด็กก็ต้องอยู่ได้นานเพราะสนุกสนานด้วยกันใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเด็กเท่านั้นที่จะอยู่กับทุกๆ วัยได้อย่างเป็นสุขจริงหรือเปล่า (จริง)
เกิดมาเป็นคนอยู่บนโลกอะไรๆ ก็เพื่อตัวเอง  อันนี้ขอให้ฉันเองได้ไหม เกิดเป็นคนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราต้องอยู่กับคนหมู่มาก  ถ้าหากว่ามีชีวิตอยู่แล้วเราเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเองก็เป็นคนที่น่ารังเกียจของสังคมไม่น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดออกมาคำหนึ่งก็ต้องเพื่อฉัน เธอพูดไม่เห็นถูกใจฉัน เปลี่ยนใหม่เธอพูดไม่เพราะ พูดให้เพราะๆ อย่างนี้รำคาญไหม (รำคาญ)  ฉะนั้นเราต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า เราอยู่ในสังคมหมู่มากจะบังคับให้ทุกคนเป็นเส้นตรง ไม่คดได้ไหม  ห้ามพูดหยาบคาย ต้องมีน้ำใจ ทุกคนห้ามแล้งน้ำใจกับเรา ต้องซื่อสัตย์ห้ามคดโกงได้ไหม (ไม่ได้)  เราบังคับเขาด้วยปากไม่ได้ เราบังคับให้เขากระทำตามที่เราต้องการก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบังคับสิ่งที่พูดเพื่อตัวเองอย่างเดียว ไม่มีใครที่ทำตามท่านเด็ดขาด  ฉะนั้นไม่ว่าจะเรียกร้องสิ่งใดจากผู้อื่น จงพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อนว่าเพื่อเขาหรือเพื่อเรา คิดถึงตัวเองหรือว่าคิดถึงเขา  ถ้าคิดถึงแต่ตัวเอง แม้ท่านจะเรียกร้องเป็นสิบเป็นร้อยครั้งเขาก็ไม่ทำตาม ไม่เปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ (จริง)  กิเลสเป็นตัวร้ายที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถค้นพบความเป็นพุทธะ กิเลสเป็นตัวร้ายที่ทำให้มนุษย์สามารถทิ้งความดีแล้วมากระทำความชั่วร้าย และกิเลสเป็นตัวร้ายที่ใครมีแล้วย่อมยากที่จะเป็นคนดีจริงไหม (จริง)  อย่าให้นั่งแล้วเสียเปล่า อย่าให้เสียงผ่านหูแล้วก็หลับ  ศึกษาธรรมะมีแค่สองวันตั้งใจศึกษาให้มากๆ  อย่าเหนื่อยอ่อนล้าจิตใจ
ในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนนั้นมีความเหมือนมีความต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะมองให้เหมือนก็มีส่วนที่เหมือน ถ้าเราจะมองให้ต่างก็มีส่วนที่ต่าง  แต่มนุษย์เราปัญหาไม่ได้อยู่ที่เหมือนที่ต่าง แต่อยู่ที่ใจของท่าน ทำไมเราจึงบอกว่าอยู่ที่ใจ  คนทุกคนใช่มีความเหมือนต้องมองให้ออก คนทุกคนมีความต่าง อะไรคือความต่าง  เมื่อรู้ความเหมือนความต่างและเกี่ยวอะไรกับใจ คนทุกคนอยู่รอบตัวเรา บางครั้งเราเห็นความต่างมากเกินไปอย่างเช่นใจท่านชอบเขา ใจท่านเกลียดเขา ในใจเรากำหนดไว้ว่า สิ่งที่ท่านชอบต้องเป็นผอมสูงขาว  เมื่อชอบก็อยากอยู่ใกล้ มองอะไรก็ดูดี เห็นอะไรก็ชอบไปหมด  แต่ถ้าเกลียดก็ไม่อยากมองไม่อยากอยู่ใกล้ แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าหากว่าเขามาอยู่ในรัศมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเหมือนและความต่างจึงเริ่มมีปัญหาและทำให้เกิดทุกข์สุข หลายต่อหลายคนมีคำ  “ชอบ”  มีคำว่า “เกลียด”  ก็เริ่มแบ่งแยกสิ่งที่เหมือนกับต่าง ไม่ยอมมองตรงที่ต่างให้เหมือนๆ กัน อย่างเช่นท่านบอกว่า พอคนไหนที่ท่านเกลียด คนที่ท่านเกลียดคือคนที่ดำ อ้วนตุ๊ต๊ะ ท่านเกลียด  แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนเหมือนคนขาวผอมไหม (เหมือน)  แต่เพราะอะไรท่านถึงเกลียด เพราะใจที่ชอบกับไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรใจถึงชอบกับไม่ชอบ นั่นก็คือใจเรายึดมั่น พอรักเรายึดมั่น พอไม่ได้ดั่งรักเราก็เสียใจ  พอเกลียดเรายึดมั่นแล้วเกลียด ไม่ไปดังที่ใจเราต้องการเราก็เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงบอกว่ามนุษย์รู้จักแบ่งแยก ความเหมือน ความต่างเป็นสิ่งที่ดี  แต่บางครั้งหากความเหมือนความต่าง ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดสุข ที่ยึดมั่นจนเกินไป ก็จงมองความต่างให้เป็นเช่นความเหมือนแล้วเราจะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)  มองคนดำให้เป็นคนขาวแล้วเราจะรักเขาได้เหมือนคนขาวที่เป็นคนขาว มองคนอ้วนเป็นคนผอมแล้วเราจะรักเขาได้เหมือนคนผอม นี่ก็คือการรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจ แม้สิ่งแวดล้อมจะไม่เป็นดังใจเราหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มองสิ่งต่างให้เหมือนกับสิ่งที่เหมือน  มองสิ่งเหมือนให้รู้จักแตกต่าง ไม่ว่าต่างไม่ว่าเหมือนก็คือ สิ่งเดียวกันเข้าใจหรือเปล่า ท่าทางจะยังงงกันอยู่
พูดง่ายๆ นาย ก. นาย ข. นาย ง. ก็คือคน  แต่คนหนึ่งชื่อนาย ก. คนยาว นาย ข. คนอ้วน นาย ง. คนสั้น  ถ้าเรามองแบ่งแยกก็ต้องเป็นคนผอม คนอ้วน คนสั้น  แต่แท้จริงแล้วก็คือคนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าชอบคนต้องเป็นแบบนี้ ต้องดีอย่างนี้ ต้องเหมือนอย่างนี้และต้องมีความสุขเหมือนความสุขที่กำหนดว่าต้องได้แบบนี้  แต่พอได้เป็นแอปเปิ้ลลูกเดียวเราก็ทุกข์ใจ ต้องให้ได้แอปเปิ้ลสองลูก ต้องแอปเปิ้ลสองลูกเท่านั้นถึงจะมีความสุข  แต่บางครั้งชะตาชีวิตได้แค่ลูกเดียว ก็จงสุขในลูกเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือรู้จักยอมรับตามแต่ที่เป็น ทุกๆ สิ่งในโลกนี้มีเหตุมาและก็มีเหตุไป  หากเราเอาแต่กำหนดใจให้ตายตัว จะเป็นคนที่ทุกข์ง่าย สุขยากจริงหรือเปล่า (จริง)  เราจะยกตัวอย่างอะไรที่ง่ายๆ อีก เวลาที่ท่านเดินไปสวนสัตว์เห็นนกบิน ท่านเดินไปได้อย่างสบาย  แต่ถ้าเห็นเสือเดินเพ่นพ่านท่านเดินแบบรีบๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่ต่าง เสือกับนกต่าง หรือว่าใจที่ต่าง (ใจต่าง)  ใจที่สัมผัสกับสภาวะแวดล้อมต่าง นกกับเสือก็คือสัตว์  ถ้าท่านคิดว่าเสือก็คือสัตว์ นกก็คือสัตว์ ท่านจะเดินอย่างไม่รู้สึกแตกต่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
หลายต่อหลายคนที่ไม่กล้าเข้ามาในห้องพระ เพราะบอกว่าอยู่ในห้องพระกับอยู่ในแดนโลกต่างกัน และอะไรที่ต่าง  ใจต่าง สถานที่ใช่ต่าง แต่อารมณ์ความรู้สึกผูกพันธ์และสิ่งที่เราตระหนักพึงรู้ในใจเราต่างด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมหลายต่อหลายคนไม่อยากมาอยู่ในห้องพระ ไม่กล้ามาเดินเหยียบ เพราะรู้สึกว่าใจเราไม่สะอาด ห้องพระคือที่สะอาด บริสุทธิ์ ต้องสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แดนโลกีย์จะดีจะชั่วอยู่ไปเถอะ แล้วทำไมเราไม่ชอบสิ่งที่สะอาด เรากลับชอบสิ่งที่สกปรก ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ จริงไหม (จริง)  แล้วท่านก็รู้ว่าท่านละอายใจ นั่นก็หมายความว่า ความต่างในนั้นก็มีสิ่งที่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือในโลกนี้ไม่ว่าจะเหมือน ไม่ว่าจะต่างจงรู้จักใช้ปัญญาขบคิด และนำสิ่งที่เหมือนมานำพาให้ถูกทาง อย่านำทางให้จิตใจหม่นหมองและจมปลัก ไม่รู้จักทางสว่างเช่นนี้จะเรียกว่า รู้ต่าง รู้เหมือน แล้วไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  หลายต่อหลายคนเวลาทำงานอยู่ร่วมกันมองเขาเหมือนๆ กัน สบายใจไหม  แต่เวลาทำงานร่วมกันมองเขาเหมือนๆ กันได้ไหม (ไม่ได้) จะไม่สามารถช่วงใช้เขาได้เหมาะสมกับงาน  ถ้าเรามองเขาทำงานเก่งหมดทุกอย่าง จริงๆ แล้วไม่ถูก เราต้องรู้จักในหนึ่งเหมือนเราต้องรู้จักความต่าง ใช่ไหม (ใช่)  คนนี้ขยันชอบล้างจาน คนนี้ชอบนั่งเฉยๆ ทำงานจดๆ เขียนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเอาความต่างมาช่วงใช้ให้มีประโยชน์ เราจึงจะสามารถนำเขา ดึงความสามารถเขาได้ถูกทาง  แต่มีอันหนึ่งต้องมองความต่างให้เป็นความเหมือน นั่นก็คือเวลาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่บอกคนนี้ขี้บ่น พูดมาก ชอบนินทา ท่านจะอยู่กับเขาอย่างมีความสุขไหม (ไม่มี)  เพราะในใจท่านมีแต่สิ่งต่างที่เป็นรอยด่างพร้อย อยู่กับเขาก็อย่างทุกข์ใจ  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นความต่าง ต้องเปลี่ยนความต่างให้เป็นความเหมือน เขาก็เหมือนกันหมด  มีดีมีร้าย มีเสียมีดี ใช่หรือไม่  เหมือนตัวเรามีดีมีร้าย มีเสียมีดีเหมือนกัน  แล้วเราจะคุยกับเขาได้อย่างเป็นสุขและอยู่กับเขาได้อย่างสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้เรามักอยู่กับคน อยู่กับแฟนเรา พี่น้อง เพื่อน อยู่กันแล้วคุยกันได้อย่างไม่จริงใจ ไม่สามารถเข้าใจกันได้  เพราะเรามีความต่างของเรา  เขามีความต่างของเขา  เรามีความเป็นตัวของตัวเรา  เขามีความเป็นตัวของตัวเขาและก็มีความเป็นตัวของเขาอยู่ในใจเรา ทำให้เราคุยกับเขาเหมือนมีกำแพงบางๆ มากั้นไว้  คุยกันรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  ภาษาเดียวกันแต่ไม่รู้เรื่อง  ในใจเราก็คิดว่าคนนี้นิสัยไม่ดี ทำให้เราไม่สามารถยืนในตำแหน่งเขาและเข้าใจจิตใจเขาได้  ทำให้เขาไม่สามารถยืนในตำแหน่งเราและเข้าใจจิตใจเราได้  บางครั้งเราอยู่ด้วยกันหลายๆ คน ความรู้สึกต่อคนย่อมต่างกัน  ต่อคนที่มีอำนาจท่านจะรู้สึก (เกรงกลัว)  กับผู้ใหญ่จะรู้สึกเกรงใจ  กับเด็กจะมีความรู้สึกเอ็นดู รัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราบอกว่าถ้าอยู่ในโลกให้ล้างความรู้สึกนั้นทิ้งบ้าง  เพราะความรู้สึกนั้นจะทำให้ท่านไม่สามารถพูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างจริงใจ เป็นไหม (เป็น)  เวลาเราอยู่กับคนที่มีอำนาจ เวลาจะพูดต้องค่ะ ครับ  จะผิดจะถูกอย่างไรก็ได้  แต่ในใจก็แย้งว่าหัวหน้าพูดอย่างนี้ไม่ถูกนี่ จริงไหม (จริง)  เป็นเพราะว่าในใจของเรารู้สึกเช่นนั้น จึงทำให้เราไม่สามารถเป็นคนที่จริงใจ และพูดอะไรได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือพูดอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา  กลอนนำเราจึงบอกไว้ว่า บางครั้งถ้าสิ่งใดที่เราได้ยิน ไม่แน่ใจ รู้สึกว่าไม่ใช่ เรารู้มาว่าไม่จริง การที่จะพูดแย้งต้องใช้เวลา ใช้ความนอบน้อม  จะพูดแย้งกับหัวหน้าว่า คุณพูดไม่ถูก  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ต้องรอให้หัวหน้าพูดให้จบก่อน  เราค่อยอธิบาย  เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจเราผิด เห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจจะเป็น แต่ตอนนั้นพ่อแม่กำลังพูดอยู่ เราจะไปทำเป็นจระเข้ขวางคลอง  ท่านจะฟังเราไหม (ไม่ฟัง)  เราต้องใช้ท่าทีนอบน้อมค่อยๆ พูด จึงจะไม่เกิดปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเราพูดง่ายๆ ไม่ยาก เข้าใจได้และนำไปใช้ในชีวิต สามารถจะเป็นคนที่พูดได้อย่างถูกต้อง กระทำได้อย่างดีงาม ไม่เกิดความผิดพลาดในชีวิตบ่อยๆ  เพราะสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตนำมาซึ่งความ (ถูก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนแบมือออกมา)  คนข้างๆ แบมือข้างซ้าย  ตัวท่านเองแบมือข้างขวา  ตบมือตนเอง  ตบมือเขาเป็นอย่างไร  กลัวจะโดนตีกลับใช่ไหม เพราะเรามีความกลัวอยู่ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามีความกลัวว่าเราจะทำอะไรก็ตาม หากเราไปโดนคนอื่น เรากลัวที่จะโดนกลับ  ถ้าหากทุกขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราคิดเช่นนี้ เราไม่มีทางไปเบียดเบียนทำร้ายใคร จริงหรือไม่ (จริง)  แต่โดยปกติแล้วเรานึกจะตีก็ตี นึกจะไปก็ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่บอกว่า ตีเขาซิ หันไปมองก่อน ไม่มี  แปลว่าเวลาเราจะทำอะไรก็ตาม บางครั้งหากมีสติเราจะยังมองตนเองอยู่บ้างว่า เบานิดหนึ่ง พอตีเขาก็ตีลงไปเลย ไม่รู้ว่าเขาจะเจ็บไหม  ไม่รู้ว่าจะไปโดนสิ่งใดของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่ออยู่ด้วยกัน เราต้องระมัดระวังสักนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ชอบขัดแย้งกัน ต้องระวังให้หนัก อย่าใช้แต่อารมณ์ ไม่เช่นนั้นอารมณ์จะพาท่านไปไม่ถูกทาง
ใครชอบโมโหยกมือขึ้น ใครเกลียดโมโหยกมือขึ้น ใครมีโมโหยกมือขึ้น  ท่านจงแยกภาษาไทยให้ออก ชอบโมโหแปลว่าชอบมาก  มีโมโหแปลว่าตัวเองนั้นมีโมโห ไม่มีใครชอบโมโห แต่ตัวเองมักจะมีโมโห จงทำให้ดี คนเราเวลาโมโหจงนึกถึงสองอย่าง หากโมโหแล้วพรุ่งนี้ต้องเสียใจ อย่าโมโห  หากโมโหแล้วต้องร้องไห้เสียใจ อย่าโมโห  ถ้านึกสองอย่างนี้ได้จะไม่โมโหอีกเลย ดีไหม (ดี)  แต่ทุกครั้งที่โมโหต้องคิดก่อนนะ โมโหแล้วท่านต้องเสียใจ อย่าโมโห ถ้าพรุ่งนี้มานั่งคิดมากอีก อย่าโมโห แล้วเช่นนี้จะโมโหไหม (ไม่โมโห)  ใช่แล้วจำไว้นะ
“โชคอาจเยือนได้กลางคนจิตดี”  คนชอบมีโชคลาภ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโชคเป็นเงินก้อนโตกับมีโชคเป็นเพื่อนอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุข อันไหนดีกว่ากัน  ใครว่าอันเดียวหรือสองอัน คนที่เลือกอันเดียวเลือกอย่างไหน (เงินก้อนโต)  ถึงว่าไม่ยอมมาบำเพ็ญกันเลย เพราะว่าห่วงเงินก้อนโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกว่า สี่ ห้า หก เจ็ด คือเลขท้าย คงมีใจมาประชุมธรรมอีก  พอมาหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ๆ บอกว่าขอเงินสักสิบบาทไม่มาอีกเลย ใช่ไหม  ชีวิตนี้ท่านอย่าเห็นเงินเป็นใหญ่ เพราะว่าเงินไม่สามารถช่วยชีวิตท่านได้ตลอดชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)  เราถามท่านว่า เวลาท่านทุกข์ ท่านมีเงินร้อยบาทช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม ลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม  สมมติว่าท่านเป็นโรคร้าย มีลอตเตอรี่ใบหนึ่งคิดว่าถูกรางวัล ช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม (ช่วย)  ตอนแรกช่วย แต่พอรู้ว่าโรคนี้รักษาไม่หาย มีเงินก็ช่วยไม่ได้ และสิ่งที่ช่วยท่านได้คือ การรู้จักปลงและยอมรับความเป็นจริงด้วยจิตใจที่กล้าหาญและต่อสู้กับโรคร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  การรู้จักปลงและจิตใจกล้าหาญต่อสู้กับโรคร้าย คือการรู้จักนำธรรมะมาใช้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาธรรมะมาเรียกร้องตัวตนเองให้เป็นคนที่ต้องสู้เมื่อยามล้ม ทุกข์ทนเมื่อยามเจ็บปวด ตอนเจ็บเราต้องรู้จักเอาธรรมะมาช่วยสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ ว่าเงินแท้จริงนั้นหาได้ซื้อความสุขที่จริงๆ ไม่  แม้ท่านจะมีเงิน มีทรัพย์สิน เกียรติยศตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วก็ซื้อความสุขได้ไม่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ อย่าให้เงินหลอกความดีไปจากใจเลย พุทธะน้อยๆ อย่าให้เงินมาซื้อคุณธรรมในใจ น่าเสียดายเปล่าๆ  ยอมเป็นคนที่โลภแล้วหาความสุขได้ยากก็เพราะว่าหลงเงิน ยอมเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เพราะอยากได้เกียรติยศเช่นนี้แล้วหรือ เรียกว่าคนน่าคบ เช่นนี้หรือจะเรียกว่ามนุษย์ที่เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีใครเรียกได้ และไม่มีใครอยากจะเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาตัวเราคด แล้วไปคดกับคนอื่น ทำยากไหม (ยาก)  แล้วเงินมีมากๆ รำคาญไหม (ไม่)  ทำไมท่านไม่รำคาญ จริงๆ น่าจะรำคาญ ไม่ใช่หรือ มีเงินมากๆ ก็เป็นห่วงมาก กังวลมาก มีเงินน้อยๆ ไปไหนก็สบาย ไม่กลัวใครมาจี้ ไม่กลัวใครมาปล้น และไม่ต้องกลัวใครมาขอ จริงหรือไม่ (จริง)
ท่านอยู่ในชั้นนี้ต้องทำสมาธิให้ดีๆ ยิ่งวุ่นวายอย่างนี้จิตต้องนิ่ง ไม่อย่างนั้นจะฟังตรงนี้ไม่รู้เรื่อง  มนุษย์นั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม หากมีใจยึดมั่นก็จะทำให้เราสุขได้ยาก หากจิตใจมีอคติก็จะทำให้เราอยู่กับคนอื่นอย่างเป็นมิตรได้ยาก จริงหรือไม่ (จริง)  คนเราถ้าใจคิดร้ายแม้จะฝึกฝนบำเพ็ญตนก็เหมือนอาบน้ำโคลน  แม้ว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่น จิตใจจะบำเพ็ญธรรมแต่ก็เหมือนทุกวันอาบน้ำโคลน เพราะว่าจิตใจคิดไม่ดี เหมือนกันเวลาท่านเข้าวัดแต่ใจท่านไม่ชอบพระ แม้จะฟังพระท่านพูด พระพูดคำหนึ่งท่านก็อาบน้ำโคลนคำหนึ่ง แม้ว่าพระท่านจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าในใจท่านอคติกับพระไม่มีความบริสุทธิ์กับพระ ทั้งที่จะอาบธรรมด้วยความบริสุทธิ์อิ่มเอมใจ แต่ยิ่งอาบแล้วยิ่งเหม็นสกปรก เหมือนท่านไม่เคารพพระองค์นี้  แต่วันนี้ต้องมานั่งฟังเพราะท่านฟังแล้วเกิดความดีขึ้นไหม ถ้าตราบใดที่ใจท่านมีอคติและท่านไม่ชอบ เหมือนท่านอยู่กับใครก็ตาม หากจิตใจท่านไม่ชอบแม้อยู่กับเขาก็เป็นทุกข์ใจเพราะว่าใจไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านอยู่กับทุกๆ คนด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยใจที่เที่ยงธรรมไม่ยึดมั่น ไม่ยึดเอาแต่ใจตัว เวลาอยู่กับใครท่านก็จะอยู่กับเขาด้วยความสบายใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ายึดมั่นเอาแต่ใจตัว ยึดมั่นว่าเขาเป็นคนที่ไม่ดีแม้จะฟังเขาพูดดีกี่รอบ ก็เหมือนเอาน้ำโคลนสาดเข้าหาตัวเอง  ฉะนั้นแม้จะฟังเรื่องราวดีมากมายเพียงไร แต่ถ้าใจขาดซึ่งความบริสุทธิ์ก็ยากที่จะชำระด้วยธรรมะได้ ฉะนั้นขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่งว่า หนึ่งต้องไม่รู้จักยึดมั่น สองต้องวางใจเป็นกลางและบริสุทธิ์ยุติธรรม
หลายต่อหลายคนพอฟังว่าพระมีเรื่องไม่ดีก็อคติกับพระทุกองค์ เช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ไม้ต้นหนึ่งผลไม้เสียไปลูกหนึ่ง ผลไม้มีตำหนิลูกหนึ่งจะโทษทั้งต้นไม่ได้เรื่องได้หรือ ก็ไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญจะมองต้นไม้เป็นต้นไม้ หรือต้นไม้เป็นต้นร้าย ก็อยู่ที่ใจของเรา  บำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน จะยิ่งบำเพ็ญแล้วก้าวหน้าบริสุทธิ์ หรือยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งสกปรกขุ่นมัวก็อยู่ที่ใจของเรา  จงมองทุกคนให้เป็นคนดีแล้วเราจะสบายใจ  แต่ถ้าเมื่อไรต้องใช้เขาจึงต้องแยกแยะคนให้เป็นใช่หรือไม่  นี่คือสิ่งสำคัญ  มนุษย์เราที่ต้องวุ่นวายและไม่หยุดหย่อนในการแสวงหาก็เพราะ ตาดู จมูกดม ปากลิ้มรส และก็หูฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมวาดรูปตา หู จมูก ปาก หัวใจ มือ แล้วนำมายืนประกอบให้เป็นรูปหน้าคน)
 เมื่อตาเห็นสิ่งสวย ตาก็วิ่งไปบอกใจว่าสวย  เมื่อจมูกดมกลิ่นหอม จมูกก็ไปบอกใจว่าหอม  เมื่อปากได้ลิ้มรสอร่อย ปากก็ไปบอกใจว่าอร่อย  คำว่าความรู้สึกเป็นหน้าที่ของใจ ร่างกายเราเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่  ตาเห็นแล้วยังเลือกที่จะมองด้วย  จมูกเวลาดมแล้วยังเลือกที่จะดมด้วย แต่บางครั้งก็ต้องดมทั้งหมดใช่หรือไม่  เพราะจมูกเวลาไม่ดมต้องใช้มือปิด เวลาปากไม่พูดก็จะปิดปากใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านลองดูว่าชีวิตของมนุษย์วิ่งวนไขว่คว้า เมื่อตาเห็นแล้วไปบอกใจ เมื่อจมูกได้กลิ่นแล้วไปบอกใจ เมื่อปากได้ลิ้มรสแล้วไปบอกใจ พอใจได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น ใจก็ไปบอกตาว่าให้ไปมองสิ่งที่สวยจริงไหม นั่นก็คือใจมีสัญญา ใจมีความทรงจำ เมื่อใจสวยก็ไปบอกตาว่าจงไปมอง นี่คือระบบของอายตนะกับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าสมมติว่าตา หู จมูก ปาก และมือไปทำทุกอย่าง แต่ใจบอกว่าไม่ทำ แม้ตาจะดู ใจก็นิ่งเฉยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ร่างกายเราจะขยับไหม (ไม่ขยับ)  บางครั้งอายตนะภายนอกมาควบคุมใจ แต่บางครั้งใจที่มีสัญญามีความทรงจำที่จำได้ว่าสวยเป็นอย่างไร ก็เรียกร้องให้ร่างกายภายนอกไปกระทำ แต่ถ้าสมมติว่าใจท่านแม้ตาจะดูหูจะฟัง มือจะขยับแต่ใจท่านไม่เอาแล้ว พอแล้ว ตาดู หูฟัง ทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าใจไม่สัญญาไม่มีซึ่งความทรงจำอะไรแล้ว ตาดู หูฟัง ช่วยอะไรท่านได้ไหม ก็แค่ทำหน้าที่ตามที่เป็นเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ทุกวันนี้ ตาวิ่งไปทาง จมูกก็อยากดม มือก็อยากจับ หูก็อยากฟัง ใจก็เลยต้องทำหน้าที่ให้ครบทั้งตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราที่ยังต้องวิ่งวุ่นอยู่  เพราะว่าอายตนะภายนอก  แล้วใจก็วิ่งวุ่นตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าถ้าใจของมนุษย์รู้จักหยุด รู้จักสงบนิ่งบ้าง  แม้ตาจะมองก็มองได้แค่เท่านี้  แม้จมูกจะดมกลิ่นก็ดมได้เท่านี้ เพราะใจไม่ไปด้วยจริงไหม (จริง)  ถ้าใจไปด้วยร่างกายก็ขยับตามใจด้วย  เราต้องวิ่งเหนื่อยตามหู ตา จมูก ปาก  แล้วท่านที่เป็นอยู่เมื่อยังไม่รู้จักพอใจก็ยากที่จะนิ่ง  เมื่อใจยังไม่รู้จักพอก็ตกเป็นทาสอารมณ์ของ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการแสวงหาในโลกนี้จะเป็นทุกข์มาก  ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จักหยุดมองบ้าง บุกบ้างไม่รับมือบ้าง และใจก็หัดวางเฉยบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต้องรู้วางชีวาบ้างจึงดีได้  ยินตลอดคนตายจึงจะไม่สู้”  หลายต่อหลายคนเกิดมาชีวิตต้องสู้ เคยได้ยินคำนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนตายเท่านั้นจึงสู้ไม่ได้  แต่คำว่าสู้ไม่ใช่เกิดมารบแล้วต้องชนะ บางครั้งรบแล้วแพ้บ้าง  ยอมถอยบ้าง ท่านเคยเห็นเสือเวลาจะตะคุบหรือตะปบเหยื่อต้องย่อตัวให้สุด หมอบให้ต่ำ ถึงจะสามารถตะคุบเหยื่อได้มั่นคงจริงหรือไม่ (จริง)  นกเวลาจะกระพือปีกบิน ต้องวางตัว กระดูกต้องเบาใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วจะต้องแยกขาค่อยๆ กระพือออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนก็เหมือนกันการจะก้าวหน้า การจะรุกไปสู่ข้างหน้า บางครั้งต้องรู้จักถอยหลังบ้าง และบางครั้งต้องรู้จักอ่อนน้อมบ้าง เราถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและดีงาม  นั่นก็คือไม่ว่าจะทำสิ่งใดขอให้ย้อนกลับมาคิดที่ตนเองก่อน ก่อนที่จะเริ่มต้นที่จะกระทำสิ่งใดเข้าใจไหม (เข้าใจ)
“หน้าผาริมยืนอยู่น่าเสียวไส้”  ชีวิตนี้ถ้าเราปล่อยตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือปล่อยไปตามกิเลสความปรารถนา ก็เปรียบเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผาแห่งกิเลสตัณหา ถ้ายิ่งก้าวลงไปก็มีแต่ถลำลึกไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น  คนเราเมื่อมีความต้องการมีใครบ้างรู้จักพอไม่มีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะหยุดความต้องการได้ ไม่ใช่ต้องเติมให้เต็ม แต่คือรู้จักเต็มในความมีใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะบอกว่า เรามีไม่เคยเต็ม  แต่อย่าลืมว่าในสิ่งที่มีสามารถเต็มได้ถ้าใจเราบอกว่าพอและเต็ม จริงไหม (จริง)  เราจะหยุดแสวงหาสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักพอ รู้จักหยุด รู้จักพักผ่อนร่างกายในการหาเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง
“ก้าวร่วงหล่นหันกลับมาปลอดภัย  คิดใกล้ไกลอยู่เพื่ออะไรหนอคน”  มนุษย์เราเกิดมาไม่ใช่วิ่งวุ่นไปตาม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อสมปรารถนาเท่านั้น  เราเกิดมาใช่หน้าที่ต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายตัวตนนี้  แต่ค่าที่เหนือกว่านั้นก็คือทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมบ้าง รู้จักเสียสละเอาชีวิตของตนเองช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง จึงจะเป็นคนที่เรียกว่าเกิดมามีคุณค่า  คนเราหากรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่น คือคนที่รู้จักคุณค่าแห่งชีวิตและความงามแห่งจิตใจ  ถ้าเกิดคนเราไม่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น คนนั้นจะไม่มีวันพบคุณค่าความงามในตัวตนได้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  คนเรามีความงามได้ งามที่ตรงไหน คนเรามีความสมบูรณ์ดีงามได้ที่ตรงไหน ไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง แต่รู้จักทำแล้วหยุดของตนเอง แล้วแบ่งปันส่วนของตนเองให้กับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อย่าบำเพ็ญดั่งมีใจที่อ่อนล้า”  คนบางคนมีชีวิตเกิดมานั้นไม่สามารถมีความเข้มแข็งในตัวเองได้  จะยืนอยู่ได้ต้องมีคำปลอบใจจากผู้อื่น ต้องมีความช่วยเหลือจากผู้อื่น ต้องมีคำพูดที่ดีจากผู้อื่นจึงจะสามารถอยู่ตรงนั้นได้ สามารถที่จะทำงานตรงนั้นได้ เช่นนี้ถูกต้องไหม เวลาท่านอยู่ในครอบครัว บางครั้งท่านเรียกร้องพ่อแม่ว่าอย่าขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่)  เวลาท่านอยู่กับสามี ท่านจะเรียกร้องกับสามี อย่าว่าฉันบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนตัวท่านนั้นมักจะบอกว่า อยู่กับใครก็ตามเรามักจะเรียกร้องเขาว่า อย่าเป็นเช่นนั้น อย่าเป็นเช่นนี้  แล้วเราจะอยู่กับเขาได้ ใช่ไหม  เราคำนึงถึงเขาหรือคำนึงถึงตัวเรา ที่อยู่ร่วมกัน  เราคำนึงถึงตัวเรา แล้วก็ยึดมั่นที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็อคติที่เขาเป็นตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต่างมีความเป็นตัวของตัวเองเยอะ  แต่บางครั้งอยู่ร่วมกันต้องพบกันครึ่งทาง แล้วเดินไปตรงกลาง  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันอย่าเอาแต่เรียกร้องคนอื่น เราจงถามตัวเราเองก่อน เราทำได้ดีหรือยัง ก่อนที่จะไปเรียกร้องใครๆ เขา ใช่ไหม (ใช่)
“สิ่งได้มาไม้ผุที่อุ้มฝน  ให้ทางนำเท้าย่อมเดินเวียนวน”  การบำเพ็ญธรรมแม้จะมีทาง แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่คิดอะไรเลย เราไม่ใช้ปัญญาเดินไปตามทาง โดยไม่คิดก็จะทำให้ท่านเดินวนอยู่ในเขาวงกต ไม่ว่าจะเดินทางไหนก็ตาม อย่าเดินตามทาง แต่จงเดินด้วยใจและปณิธานของตน จะไม่หลงทาง จริงไหม (จริง)  เมื่อมีทางเดิน แต่ถ้าท่านไม่มีแผนที่ ไม่มีเข็มทิศ เดินไปตามทาง พอเจอทางก็ต้องมีทางแยก ท่านจะเลือกทางไหน  ถ้าท่านไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีแผนที่และไม่มีจุดหมายที่จะไป  ชีวิตของมนุษย์เราเหมือนคนที่เดินไปตามทาง เดินไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตได้อะไร  ได้เงิน ได้เกียรติยศ เท่านี้หรือคือคุณค่าสูงสุดของชีวิต  ตอนนี้ท่านได้รู้ว่าคุณค่าสูงสุดของชีวิตบนทางที่ท่านเดินอยู่ มีอีกทางหนึ่งคือการบำเพ็ญตัวเองเป็นพุทธะ ขัดเกลาจิตใจตน แต่การจะบำเพ็ญขัดเกลาจิตใจตนต้องรู้จักลดความปรารถนาทางโลก และเอาเวลาที่ลดความปรารถนาทางโลกมาศึกษาธรรม และลดความปรารถนาทางโลกมาลดกิเลสในใจตน ล้างใจตนเองให้สะอาดและรู้จักสงบวาง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฟังดูแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  บำเพ็ญธรรมสิ่งสำคัญนั่นก็คือต้องรู้จักปิดตา จมูก ปาก หู การกระทำบ้าง  แล้วเอาเวลาว่างที่ปิดทั้งหมดนี้มาศึกษานั่งฟังธรรมะให้เข้าใจ และนำเอาสิ่งที่เข้าใจนั่นไปช่วยคน คือการสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่  ทำไมพุทธะจึงมีคนกราบไหว้ จึงมีคนเรียกว่าพุทธะ  เพราะว่าพุทธะไม่ใช่ทำงานหาแต่เงิน แต่พุทธะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยมวลชน  คนจึงเรียกว่าพุทธะ คนจึงกราบไหว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คือสิ่งที่เราให้อยากให้ท่านมาศึกษาและบำเพ็ญตามรอยการเป็นพุทธะ ทำได้ไหม (ได้)  คงไม่ยากเกินไป
“ชีวิตตนรู้จักตนให้ฝึกตนเดิน”  ท่านเคยเห็นนก นกบินสูงหรือบินต่ำ (สูง)  แล้วเวลาสิงห์สาราสัตว์ เวลาจะตะคุบเหยื่อ จะตะคุบต่ำหรือสูง (ตะคุบต่ำ)  จากต่ำไปสู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราก็เหมือนกัน  แม้ตัวเองจะต่ำต้อย แต่ไม่ใช่ว่าจะทะยานสูงไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดว่านกคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ก็คงไม่กางปีกกระพือบินสูง จริงหรือไม่ (จริง)  เสือถ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ ก็คงจะไม่รู้จักหมอบต่ำบ้าง เพื่อจะได้เหยื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนอย่าดูถูกตนและก็อย่าได้หลงตัวเอง ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด บางครั้งก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะต่ำต้อยเพียงใดก็ต้องรู้จักที่จะทะยานขึ้นสู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนจึงจะมีคุณค่า นั่นก็คือการสร้างโอกาสให้กับตนเอง อย่าดูเบาตนเองและอย่าหลงตนเองจนเกินไป  ฟังธรรมะมาตั้งนาน อยู่กับเรามาตั้งเยอะแล้ว พอเข้าใจอะไรบ้างไหม (เข้าใจ)
“ดวงตาสว่างคืนมากลางเสียงธรรม”  วันนี้เซียนเด็กมามีแต่ให้ธรรมะ ไม่ได้ให้เพลง
“เสรีนำดั่งนกกลางหาวร่อนเหิน”  คำบรรยายในธรรมะมักจะมีรูปอยู่รูปหนึ่ง นั่นคือรูปนกบินกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนไม่ว่าจะออกมาจากบ้านไกลแค่ไหน  เมื่อยามทุกข์มักจะนึกถึงบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  นึกถึงบ้านตัวนี้หรือบ้านแห่งจิตเดิมแท้ (จิตเดิมแท้)  ลองหมั่นนึกถึงใจเดิมแท้บ้าง มนุษย์เราหลงอยู่ในโลกมานานนับหลายปีแล้ว หลงในแสงสีเสียง บันเทิง คำพูด รูปลักษณ์ เกียรติยศ เงินทอง ท่านหลงมากี่ปีแล้วก็ไม่รู้ จนกระทั่งท่านมีชีวิตก็หลงมาอีกหลายปี ไม่ยอมวางกันซักที  แล้วไปยึดตัวตนนี้ เลยไม่เคยปล่อยวาง  หากมนุษย์เรารู้จักปล่อยวางตัวตนบ้าง ปล่อยวางรูปลักษณ์ภายนอก แสงสีเสียง สัมผัสของโลกบ้าง ท่านก็จะมีเวลามาศึกษาธรรมมากขึ้น เข้าใจธรรมะแล้วเอาไปช่วยคนได้มาก  แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนมัวแต่ห่วงเรื่องชีวิต เรื่องชื่อเสียง หน้าใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้ามาห้องพระโดนเขาว่าจนเสียชื่อ โดนเขาว่าขายหน้าไปหมดแล้วก็ไม่มาอีกเลย อย่างนี้ท่านบำเพ็ญเพื่อหน้าหรือว่าบำเพ็ญเพื่อความว่างเปล่าแห่งจิตใจกัน  การบำเพ็ญธรรมก็คือ หวนกลับไปสู่ความว่างเปล่าไม่ยึดติดแม้รูปลักษณ์ กลิ่นเสียง อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรม อย่าบำเพ็ญเพื่อหน้าสวยๆ ชื่อหอมๆ อย่างเดียว  ชื่อหอมน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ยึดติดจนมากเกินไปใครแตะต้องไม่ได้ ใครว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ เขาว่ากล่าวตักเตือนต้องขอบคุณและน้อมรับมาพิจารณา นี่ถึงเรียกว่าผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้วันนี้จะได้ธรรมะไม่มากแต่ขอให้เอาไปคิดพิจารณาให้ดีๆ นะ วันนี้เรามีโอกาสเจอท่านใช้เวลานานเหมือนกัน จิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ใจทำให้กายนั้นอยู่นิ่งๆ ใจทำให้กายบริสุทธิ์แล้วใจก็บริสุทธิ์ด้วย ใจทำให้กายสว่างใจก็สว่างด้วย ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตามขอให้อย่าลืมตรวจสอบใจ  หากใจบริสุทธิ์ยุติธรรมก็จะมองทุกอย่างได้บริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ถ้าใจมีอคติ คดงอก็จะมองทุกๆ อย่างอคติคดงอใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ฟังเสียงธรรมใจก็จะคดงอไม่มีทางได้ธรรมเข้าใจไหม ฉะนั้นยิ่งบำเพ็ญใจต้องยิ่งสะอาด ไม่ใช่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีแต่อคติ ความไม่ดีของคนอื่นล้างทิ้งไป ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วมากำหนดว่าแบบนี้จะต้องเป็นแบบนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ  ผู้บำเพ็ญคือผู้ที่ถอยหลังไปสู่ความว่างเปล่า ไม่ใช่เดินไปสู่ความมืดจริงไหม (จริง)  ถอยไปบ้างหรือยังผู้บำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายต้องรู้จักล้างจิตใจ และเอาเวลาไปช่วยคนกันบ้างหรือยัง ช่วยคนแล้วเจอต่อว่าบ้าง เจอทุกข์บ้างก็อย่าได้ยอมแพ้ จงก้าวต่อไปเรื่อยๆ  การก้าวไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เจออุปสรรคก็ต่อสู้จะทำให้ท่านแข็งแกร่งในการบำเพ็ญธรรมทุกท่าน พุทธะน้อยๆ ในที่นี้ก่อนจะบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นรักษาความดีให้อยู่กับตัว ทำบุญ รักษาศีลทำให้ได้ อบายมุข ตัณหา กามราคะ สุรา นารี พาชีกีฬาบัตร รู้ว่าไม่ดียังอยากจะทำ ทำแล้วจะมาบอกว่าพุทธะไม่ช่วยไม่ได้ เพราะท่านทำตัวท่านเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนโลภก็ต้องตกเป็นทาสของความโลภ ฉะนั้นสู้ทำความดีจะได้ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งใด รู้จักควบคุม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จะได้ไม่เป็นทาสใจดวงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากพูดเยอะๆ  ก็จะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติ อย่าเป็นห่วงตัวเองมาก นึกถึงคนอื่นบ้างแล้วเราจะช่วยเขาได้อย่างเต็มที่จริงหรือเปล่า อย่ามัวแต่ห่วงสุขของตัวเองไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะไม่สามารถเห็นทุกข์ของใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่ข้างหน้าแล้วต้องควบคุมดูแลตัวเองให้ดี เพราะถ้าท่านก้าวผิดธรรมะจะหมดสิ้นเลยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ค่าของธรรมะจะหมดสิ้นเพราะตัวท่าน อย่าทำให้ธรรมะที่มีค่าที่พุทธะพยายามรักษาโอบอุ้มไว้ให้ท่าน ต้องหมดค่าไปเพราะตัวท่านเองเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  รักษาธรรมะให้ดี ธรรมอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจ ความยุติธรรมบริสุทธิ์จะเกิดได้จากที่ไหน ก็เกิดจากใจ ใจที่ไม่มีความโลภ ความหลง และเห็นแก่ตัว เข้าใจไหม (เข้าใจ)  จงตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ นะพุทธะน้อยๆ รักษาความดีให้มั่นคง บุญกุศลก็หัดสร้าง อย่าเป็นเด็กดื้อของพ่อแม่ จงเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักของเด็กๆ ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าได้ให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด เพียรตลอดอย่าให้ความพยายามถึงฝั่งก่อน
คนสองสีอาจารย์หนาวหนาวร้อนร้อน ความลุ่มดอนหวังศิษย์อดทนบำเพ็ญ
เราคือ
พุทธะจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจิ้งซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอยากบำเพ็ญธรรมไหม
ความต้องการและความรู้ต้องสมดุล ความเชื่อมั่นปัญญาหนุนให้ต่อเนื่อง
จิตใจคนอย่าคิดมากจนสิ้นเปลือง คนปราดเปรื่องไม่ได้มาจากการร่ำเรียน
จิตใจตรงมั่นคงและอดทน แม้อับจนเท่าไหร่มุ่งไม่เปลี่ยน
บำเพ็ญใจสร้างกุศลพ้นวนเวียน ตามรอยเกวียนแห่งพุทธะเหล่าเมธา
มีเรื่องอีกมากมายให้ศิษย์ฝึก ตรึกตรึกตรึกอันสิ่งใดคือคุณค่า
ธรรมะแท้ขอให้ศิษย์สละเวลา ยามเดินหน้าอย่ามีใจท้อมาปน
เฝ้าอภัยวิสัยแห่งผู้มีบุญ ไม่โกรธกรุ่นวาสนาเทดั่งฝน
ความเมตตาต่างมีอยู่ทุกผู้คน เฝ้าฉงนวิสัยแห่งผู้มีกรรม
ศิษย์รักเอยอาจารย์ฝากดูแลตน บำเพ็ญยืนบนความจริงอ่อนน้อมต่ำ
สิ่งใดที่อาจารย์พูดใส่ใจจำ เป็นดั่งน้ำอมฤตช่วยประชา
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าทุกวันๆ มีคนมาสถานธรรมเยอะอย่างนี้ก็ดีใช่หรือไม่  อยู่บนนี้เหมือนอยู่บนสวรรค์ไหม (เหมือน)  ตอนนี้คนที่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องเป็นเทวดา และตอนนี้เราเหมือนเทวดาไหม (เหมือน)  มีคนบอกว่าเก้าอี้ที่เรานั่งนี้เขาเรียกว่าเก้าอี้เซียนใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดอีกทีก็เรียกว่าเก้าอี้เทวดา นึกจะกินก็มีกิน ร้อนก็มีคนส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เทวดาที่นี่ทำไม่ได้อย่างเดียวอะไรรู้ไหม อาจารย์หมายความว่าอยู่บนนี้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทางขึ้นสวรรค์แคบหรือไม่ (แคบ)  เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันมาสถานธรรมอีกหน่อยจะได้ขยายกว้างๆ ดีหรือไม่ (ดี)  สวรรค์เมื่อวานนี้ร้อนไปหน่อย แต่วันนี้มีบุญมีแอร์ใช้ แต่ว่าคนที่เป็นเทวดานึกอยากจะกินข้าวก็มีกินเหมือนคนอิ่มทิพย์ นึกอยากจะนั่งก็มีเก้าอี้ดีๆ ให้นั่ง  แต่เทวดาที่นี่ทำไม่ได้อย่างเดียวคือ นอนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เทวดาก็ยังแอบหลับ ใครนั่งที่นี่ยังไม่หลับเลย แสดงว่าโดยทั่วๆ ไปทุกคนมีการแอบหลับใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่ามีวิชาช่วงใดช่วงหนึ่ง ของใครคนใดคนหนึ่งที่พูดมา แต่ว่าเราฟังไม่ได้ยิน เพราะว่าช่วงนั้นเราหลับไป พอจะตกเก้าอี้ก็กลับมาฟังใหม่ใช่หรือเปล่า แสดงว่าสองวันที่ฟังมา วันละห้าสิบเปอร์เซ็นต์ สองวันก็เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า (ไม่ได้)  เรายังฟังไม่ได้กันร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นก็มีสิ่งที่เราฟังแล้วเรายังไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ฟังแล้วได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หมายความว่าไม่หลับเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจทุกอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญ การมานั่งฟังธรรมะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  หนังสือธรรมะที่เราอ่านคงจะเทียบไม่ได้กับการที่เราลงมือปฏิบัติเองใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าเราไปฝึกปฏิบัติเองก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือทีละหน้า วันนี้เราสามารถที่จะละอารมณ์โมโหได้แล้ว ก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือเรื่องความโกรธ แล้วเราพยายามที่จะละใช่หรือไม่ (ใช่)  การปฏิบัติของเราจะดียิ่งกว่าการที่เรามานั่งอ่านโดยไม่ทำ หรือนั่งฟังโดยไม่รู้เรื่องอีก แต่ว่าการที่ให้ศิษย์มานั่งฟังจะว่าบังคับก็ไม่เชิง ไม่บังคับก็ไม่ใช่  แต่ว่าการที่เราถูกบังคับในขณะนี้แล้วเราควรที่จะได้สิ่งใดกลับไปบ้าง เพื่อนำกลับไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้มากก็ต้องทำให้ได้น้อย  หากว่าทำน้อยไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้นิด  ถ้าทำนิดไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้หน่อย  การทำสิ่งใดจะทำได้หรือไม่ได้นั้นอยู่ที่ตัวเราเอง จะทำได้หรือไม่ได้ไม่ใช่คนอื่นมาตัดสิน แต่ว่าอยู่ที่ตัวเรา  หากว่าเรามั่นใจว่าเราทำได้ เราจะทำได้ไหม (ได้)  ต่อให้ไม่ได้มาก ก็ได้น้อย ไม่ได้น้อยก็ได้นิด ฉะนั้นจะต้องพยายามหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าบอกว่าเราเป็นชาวบ้านธรรมดา เราอ่านหนังสือไม่ออก เราไม่มีความรู้ เราอายุมากแล้ว เราไม่ค่อยมีเงิน เราจะบำเพ็ญได้หรือไม่ (ได้)  มั่นใจตัวเองไหม (มั่นใจ)
“อย่าให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด”  ทุกคนก็เหมือนกับมีชีวิตอยู่ในทะเลทุกข์ หากว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้ธรรมะเลย เป็นคนที่มัวเมากิเลสตัณหา ก็เหมือนกับคนที่ลอยคออยู่ในทะเลทุกข์  แต่หากว่าคนที่รู้ตื่นจิตใจเบิกบาน จิตใจฟื้นฟูความเป็นพุทธะได้มากขึ้น ก็เปรียบเสมือนหนึ่งคนที่ขึ้นเรือแล้ว  ส่วนคนที่ขึ้นเรือมาแล้ว คือตื่นแล้วยังกลับไปหลับอีก แถมยังแพ้กิเลสตัวเองในเรื่องเดิมๆ ที่ตัวเองเคยแพ้มาแล้ว แสดงว่าไฟกิเลสของเราไม่ได้ดับสนิท แต่ดับแบบพร้อมจะคุอยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาศิษย์จะดับไฟกิเลสดวงไหนพยายามดับให้สนิท หมายความว่า เวลาเราจะละอารมณ์ ละกิเลสข้อไหน จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในข้อไหน ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงไปให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เป็นเหมือนเรือล่มเมื่อใกล้จอด ไม่ใช่ขึ้นเรือมาแล้วก็กระโดดกลับไปอีก เพราะว่าเหมือนคนที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด และถ้าทำผิดซ้ำเข้าไปอีกบาปกรรมที่เคยมี สมมติว่าศิษย์ทำผิดข้อนี้ กรรมของศิษย์ก็เพิ่มมาเท่านี้ แต่ถ้าหากคนที่ทำผิดข้อนี้รู้อยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด แล้วยังทำผิดเข้าไปกรรมจะเพิ่มเข้ามาอย่างไร (เป็นสองเท่า)  แล้วถ้าหากว่าเป็นกรรมชนิดที่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น หมายความว่าต้องเดือดร้อนผู้อื่น กรรมอันนี้จะสามารถคลายได้ไหม เพราะว่าประกอบด้วยความแค้นของสิ่งนั้นๆ ที่เราไปทำด้วย  ฉะนั้นถ้าให้ดี ถ้าศิษย์เลือกได้จะเกิดเป็นคนรวยหรือคนจน (คนรวย)  ถ้าเลือกได้ศิษย์ก็อยากเป็นคนรวยใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบความจริงจากใจไม่ต้องโกหก มนุษย์ในโลกนี้ไม่มีใครบอกว่าฉันไม่อยากรวย เลยเป็นจุดบกพร่องชิ้นโต เหมือนตะบองที่เอาไว้คอยทุบศีรษะตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าศิษย์เลือกได้จะเลือกเป็นคนดีหรือคนไม่ดี (คนดี)  รวยกับจนเลือกได้ไหม (ไม่ได้)  ดีกับไม่ดีเลือกได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นเราควรจะเลือกในสิ่งที่เราเลือกได้  สิ่งที่เลือกไม่ได้ก็อย่าไปเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน รวยจนเลือกไม่ได้ แต่ดีชั่วเลือกได้  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกตั้งแต่วันนี้ ให้รู้ ให้ดู ให้เห็นว่าตัวเองอยากจะเป็นใคร เพราะว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว จะกลับไปแก้อดีตเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก แต่อนาคตเกิดขึ้นหรือยัง (ยัง)  อยากจะให้ตัวเองมีชะตาชีวิตที่ดีจะต้องเลือกทางเดินให้กับอนาคต อย่าเป็นคนสองจิตสองใจ ชีวิตนี้ทำดีก็ได้ เขาไม่ดีมาเราก็ไม่ดีด้วย ตกลงคนนี้เป็นคนดีไหม (ก็ยังไม่ดีเท่าไร)  เพราะว่าจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับคนอื่น ถ้าคนอื่นไม่ดีมาเราจะไม่ดีตอบ แต่ถ้าคนอื่นดีมาเราจะดีตอบคนนี้เป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์ของอาจารย์โดยส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือรอดูว่าเขาจะดีกับเราหรือเปล่า ถ้าเขาดีมาเราจะดีไป ถ้าเขาไม่ดีมาเราก็ไม่ดีไป  ศิษย์ยังไม่ได้เลือกทางให้กับชีวิตของตนเองเลยว่าเราจะเป็นคนดีไหม แล้วคนดีคนนี้เป็นคนดีแท้หรือคนดีเทียม ดีแบบสามวันดีสี่วันไข้ หรือเป็นคนดีที่มุ่งมั่นทำความดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะทำดี อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นคนดีแท้  หมอดูไม่สามารถบอกอะไรเราได้ ดีหรือไม่ดีก็ใกล้ๆ กับหมอเดา  การเรียนหนังสือมีคนเรียนเก่งได้ที่หนึ่ง กับคนเรียนบ๊วยก็อยู่ในห้องเดียวกัน  คนเรียนบ๊วยก็สามารถผ่านข้ามชั้นได้ หมอดูก็เหมือนกันผ่านมาจากชั้นเดียวกัน บางทีก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน คนที่เดาถูก คนที่สามารถคำนวณได้ก็มี แต่ว่าคนที่คำนวณผิดๆ ก็มี  ฉะนั้นคนที่คำนวณได้ถูกที่สุดคือใคร (ตัวเราเอง)  ศิษย์เชื่อคำของพระพุทธองค์ ฉะนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าศิษย์ทำดีศิษย์จะได้อะไร (ได้ดี)  ถ้าศิษย์ทำชั่วศิษย์จะได้อะไร (ได้ชั่ว)  แล้วทุกวันนี้ทำดีตลอดไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นชีวิตของเราก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าหากว่าอยากให้ชีวิตได้ดีก็ต้องทำดี แม้ว่าวันนี้ผลที่ตอบกลับมายังไม่ดีเท่าไร แต่คิดว่าวันหน้าจะดีกว่านี้ไหม (ดีกว่า)  แล้วถ้าหากว่าวันหน้าก็ยังไม่ดีเท่าไร วันต่อไปจะดีไหม ก็คงจะมีสักวันหนึ่งที่ผลของความดีตอบกลับมาเป็นผลดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำดีก็ต้องได้ดีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ดีกรรมดีก็ไม่มีจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาศิษย์จะทำการค้าเวลาทอนเงิน ลูกค้าให้เงินมาเราต้องมองแบงค์หรือเปล่า (มอง)  ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่มีแบงค์ปลอม ความดีปลอมๆ มา  สมมติว่าศิษย์เป็นคนขายต้องเอาแบงค์มาส่องก่อนไหม (ส่อง)  ถ้าศิษย์เป็นคนที่ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วพ่อค้าเป็นเบื้องบน หรือนรก เช็คความชั่วและความดี และสามวันดีสี่วันไข้ไม่รู้ว่าวันนี้จะกลับตัวได้หรือเปล่า คนที่เป็นพ่อค้าต้องเช็คก่อน ศิษย์ของอาจารย์จะทำดีได้หรือเปล่า จะกลับตัวได้หรือไม่ เช็คเสร็จแล้วทอนกลับมาเท่าเดิมไหม (ไม่เท่าเดิม)  สมมติว่าศิษย์เป็นลูกค้า อาจารย์อยากทอนจะทอนกลับห้าสิบไหม (ไม่ทอน)  ต้องทำอย่างไรก่อน ต้องเอาไปจ่ายเจ้ากรรมนายเวรก่อนและเหลือทอนเท่าไรค่อยเอากลับไปใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นอย่าได้ใจร้อนมาก ไม่ใช่ว่าทำดีแล้วต้องได้ดี แล้วอย่าบอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป บางทีเราก็ทำชั่วเหมือนกันนะ แต่ก็ได้ดีด้วย เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่มีทั้งความชั่วและความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเปรียบกับการแต่งตัวของเรา ถ้าหากศิษย์ใส่เสื้อข้างบนขาว จะใส่กางเกงข้างล่างสีอะไร ผู้ชาย (น้ำเงิน)  ถ้าใส่เสื้อสีขาวใส่กางเกงสีเข้มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าบอกว่าสีน้ำเงิน เพราะตอนนี้ไม่ใช่สีน้ำเงินก็ใส่สีเข้มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้หญิงถ้าข้างบนสีขาว จะใส่ข้างล่างสีอะไร (สีเข้ม)  สีเข้มๆ เหมือนกัน สีขาวคือความดีเปรียบเหมือนเสื้อ ตัดกับอะไร ตัดกับสีเข้มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ถ้าหากว่าใส่ขาวทั้งตัวจะดูเป็นเทวดาไม่ได้ เทวดาอยู่โลกมนุษย์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามศิษย์ว่าอะไรดี อยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก) คนไหนที่อยากบำเพ็ญธรรมยกมือขึ้น การที่เราจะบำเพ็ญธรรมได้ต้องมาพร้อมจิตใจศรัทธา ใช่หรือไม่  แต่ความศรัทธาหนุนเนื่องมาจากการศึกษาเข้าใจเสียก่อน ถึงจะเกิดความศรัทธาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ศิษย์กำลังศึกษาธรรม นี่ก็เป็นการเริ่มต้นของการบำเพ็ญธรรม เพียงแต่ว่าคนที่จะเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมได้ กว่าจะมีความศรัทธาได้ ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้  แต่ว่าโดยส่วนใหญ่หลุดรอดมาบำเพ็ญธรรมไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่สามารถพยุงตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง ส่วนใหญ่ก็เสียสละเวลามาศึกษาแค่สองวันนี้เท่านั้นเอง พอกลับไปบ้านธรรมะก็อยู่ในใจ ใจก็มองไม่เห็น เลยไม่มีใครเห็นว่าศิษย์บำเพ็ญตรงไหน ในที่สุดก็เลิกบำเพ็ญ  เพราะคนนั้นเวลาห่างธรรมะไปนานๆ ถ้าหากไม่มีคนคอยบอกศิษย์ว่าทำดีแล้วได้ดี ศิษย์ก็จะเผลอไปทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่ได้ด้วยกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราก็เลยชอบที่จะเอาตัวเราไปเกาะไว้กับใครก็แล้วแต่ บางทีทำความดีไม่ได้ ก็โทษกัน โทษใคร โทษแฟน โทษลูก โทษเวลา โทษชาวบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนที่อยู่รอบข้างทั้งหลาย เราก็โทษไปเรื่อย  เราก็เอาตัวเราไปเกาะกับคนนั้นคนนี้ แล้วก็บอกว่าเราทำดีไม่ได้เพราะมีมารอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าจริงๆ แล้วมารอยู่ที่ไหน บางทีมารก็อยู่กับตัวเราเอง เพราะอะไรเราเป็นคนช่างคิดมาก ปกติให้คิดอะไรเป็นเหตุผล คิดไม่ค่อยออก แต่พอให้คิดมากคิดเป็นตุเป็นตะ เรื่องคิดมากเป็นทุกคนไหม ทำอย่างไรจะคิดน้อยได้ ตัดหัวสมองส่วนหนึ่งทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  ตัดแขนข้างหนึ่งทิ้งแล้วจะเลิกคิดมาก เชื่อไม่เชื่อ (ไม่เชื่อ)  ควักหัวใจออกมาบีบๆ ไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ทำอย่างนั้นมากๆ แล้วจะหายกลุ้มใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าลูกหลานดีแล้วจะหายกลุ้มใจใช่ไหม บางคนก็คิดว่าถ้าลูกหลานเราดีกว่านี้ เราคงจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้ บางคนก็บอกว่าถ้าแฟนฉันดีกว่านี้ ทั้งชีวิตคงมีความสุข คงจะคิดเรื่องทำบุญ ทำดีมากๆ หน่อย ไปๆ มาๆ อาจารย์ก็พูดวนไปวนมา อาจารย์ก็พูดกลับมาที่เดิมว่า เราเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนนั้นคนนี้ แล้วหวังว่าสิ่งต่างๆ ดีขึ้นก็จะได้ทำความดี  ถ้าหากว่าเรามีเงิน เราคงมีเวลาว่างมาสถานธรรม ถ้าเรามีความรู้มากกว่านี้ มีความฉลาดมากกว่านี้เราก็คงอยากมาสถานธรรรม  ถ้าเรามีเสื้อผ้าดีๆ กว่านี้หน่อย เราก็คงอยากมาสถานธรรม จริงๆ ใช่ไม่ใช่ (ไม่ใช่)  พุทธะที่อยู่เบื้องบนที่สำเร็จธรรมไป คนไม่มีความรู้ก็มี คนหน้าตาอัปลักษณ์ก็มีอย่างอาจารย์ คนที่หน้าตาดีก็มีเยอะแยะไป คนที่กลิ่นตัวเหม็นๆ ก็มี คนที่เป็นขอทานก็ยังมี แล้วศิษย์เป็นใคร ดูว่าเราเป็นคนที่สมประกอบไหม (สมประกอบ)  หัวสมองเรายังคิดได้ไหม (คิดได้)  ต้องพยายามคิดถึงในเรื่องดี ใช่หรือไม่ ต้องพยายามที่จะมุ่งเดินหน้าไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวให้ตัวเองมาจอด จอดอยู่ที่ไหน (ทะเลทุกข์)  ตอนนี้ศิษย์จอดอยู่ในหัวใจตนเอง ทะเลที่เต็มไปด้วยความคิดเข้าข้างตัวเอง และก็สรุปว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยากเกินไป ยังไม่ถึงเวลาของเรา อาจารย์อยากให้ศิษย์ลองคิดดูใหม่ ศิษย์คิดว่าถ้าศิษย์เลือกเป็นคนดีได้ ศิษย์ก็เลือกเป็นคนดี คนดีลงท้ายที่ไหน คนดีไปนรกหรือไปสวรรค์ (ไปสวรรค์)  เมื่อศิษย์ไปถึงสวรรค์แล้ว ไม่ไปให้ถึงนิพพานหรือ ใกล้นิดเดียวไปไม่ไป (ไป)  จะไปนิพพานเพิ่มอีกอย่างเดียว จะไปสวรรค์ต้องเป็นคนมีบุญ มีกุศล จะไปนิพพานเพิ่มอีกนิดเดียว ตัดกิเลส ง่ายไม่ง่าย (ง่าย)  รู้สึกว่าเสียงมันสะท้อนอยู่ในหัวใจตัวเองไหม เคยเห็นเด็กทารกไหม เมื่อวานก็อยู่กับเด็กมาแล้ว เด็กดูแล้วใสไหม (ใส)  ดูแล้วมีกิเลสไหม (ไม่มี)  แล้วเราเคยเป็นเด็กไหม เราเคยเป็นคนที่ไม่มีกิเลสมาก่อนทุกคน แต่กิเลสเกิดขึ้นหลังจากที่เราเติบโตขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก็แค่กลับไปสู่จิตใจเดิมๆ แค่หันหลังเดินกลับไปแค่นั้นเอง ยากไหมยาก (ไม่ยาก)
วันนี้เซียนไม่ได้นั่ง อยู่กับอาจารย์เซียนอดนั่ง มีใครที่ยืนอยู่แล้วไม่เอาตัวพิง ส่วนใหญ่ก็เกาะไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่คนแถวหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกว่าการบำเพ็ญธรรม คือการที่ถูกบังคับให้เราได้ถูกกดดัน บังคับให้เราได้ลำบาก บังคับให้เราต้องสู้  ศิษย์ลองคิดดูว่าตอนนี้ ถ้ามีคนกดหัวศิษย์ลงพื้น ศิษย์จะทำอย่างไร จะยอมให้เขากดจนติดเลยไหม (ไม่ยอม)  เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเขากดแล้วเรายอม ให้เขากดจนหัวถึงพื้น แล้วเราเอามือยันไว้ ถ้าหากว่าหน้าติดพื้นเมื่อไร เราจะยอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นการที่อาจารย์บอกว่า ต้องโดนกดดัน ต้องให้รับความยากลำบาก การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ศิษย์โดนกดอยู่ ก็คือโดนกรรมเวรของตัวเองกดอยู่ และนี่เป็นอำนาจที่อยู่เหนือตัวศิษย์ แต่ว่าศิษย์จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ การที่ได้รับความยากลำบาก บางทีไม่ใช่เบื้องบนทดสอบ แต่กรรมวิ่งมาหา มากดเราไว้แต่เราไม่ยอม ก็ให้ศิษย์พยายามที่ต่อสู้  ถ้าหากเบื้องบนมาทดสอบกดศิษย์ไว้ ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ศิษย์เลือก ในยามที่ลำบากที่สุด ในยามที่ต้องถูกสิ่งที่ตัดสินใจยากเข้ามาบีบบังคับ  ถ้าหากศิษย์กล้าที่ตัดสินใจไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดนคนนินทาครหามากๆ ในยามที่ถูกกดอย่างนี้ เหมือนคนมากดหัวเราไว้ เราก็กล้าตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็คือที่หนึ่งในการผ่านข้อสอบนั้นๆ มา ในการได้พ้นจากกรรมนั้นๆ มา  ฉะนั้นคนที่อยู่ข้างหน้าก็เปรียบเสมือนคนที่โดนกดอย่างที่อาจารย์ว่า ศิษย์อยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ มีแต่ถูกบังคับให้ยืนไว้ ส่วนคนข้างหลังมีที่เกาะก็เกาะเข้าไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคนที่ยืนข้างหน้าข้างหลังใครยืนเก่งกว่ากัน (คนข้างหน้า)  เพราะว่าเราเหมือนกับได้รับสิ่งที่ลำบากมากกว่า เมื่อเทียบไปแล้วคนที่อยู่ข้างหน้าก็เหมือนกับอาจารย์อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า เหมือนกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมที่อยู่ข้างหน้า ยิ่งอยู่หน้าเท่าไรยิ่งไม่มีอะไรให้เกาะ  เมื่อเราเป็นอาจารย์บรรยายธรรม เมื่อเราเป็นฐันจู่ หรือขณะที่เรานำใครอยู่ เราก็คือผู้นำ แล้วผู้นำก็ต้องยืนอยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ มีแต่ถูกกดไว้แล้วก็ต้องตัดสินใจต้องเลือก ต้องคิด ทั้งที่คิดไม่ออกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากศิษย์สามารถพ้นได้ก็จะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องที่ลำบากจนเกินไป เพราะว่าในปัจจุบันนี้ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมในขณะที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ให้ออกไปบำเพ็ญคนเดียว ศิษย์ยังมีพ่อยังมีแม่ ยังมีญาติและคนรอบข้าง เมื่อเวลาที่เรายากลำบากก็ยังมีคนที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ การบำเพ็ญธรรมยุคนี้จึงไม่ยากจนเกินไป แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการบำเพ็ญธรรมในตอนนี้คือการฝ่าจิตใจของตัวเราเอง จิตใจของเราเองที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดสำหรับการบำเพ็ญธรรม  เมื่อวานเซียนน้อยมาพูดให้ศิษย์ได้รู้จักดีไม่ดีเป็นอย่างไร ธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันใช้อย่างไร  เมื่อวานนี้เป็นภาพมนุษย์ สอนให้รู้เรื่องมนุษย์และการคงอยู่ในโลกมนุษย์นี้  ถ้าหากว่าศิษย์กลับไปบำเพ็ญธรรม ศิษย์เอาธรรมะที่เมื่อวานใช้ ไปใช้กับชีวิตทุกวันได้และเป็นคนดีที่หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้อาจารย์สอนให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเพื่อให้กลับไปเป็นพุทธะ หากว่าศิษย์สามารถทำได้ศิษย์ก็เป็นพุทธะ เพราะคนที่เป็นพุทธะได้ต้องมาจากมนุษย์
(พระอาจารย์เมตตาถามหัวหน้าชั้นว่า)  กลับไปบ้านจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก (เปิดประตูบ้าน)  ลองตีความหมายว่า เปิดประตูบ้าน เทียบกับอะไร ธรรมะคือธรรมชาติไม่ว่าศิษย์จะตอบมาอย่างไร จะตลกขบขัน แต่ทุกอย่างสามารถใช้เป็นปริศนาธรรมได้สำหรับอาจารย์  ถ้าหากอาจารย์จะบอกว่า การที่ศิษย์เกิดมาชีวิตหนึ่งนี้ก็เปรียบเสมือน ศิษย์เดินเข้าบ้านหลังหนึ่ง เดินเข้าบ้านหลังนี้แล้วศิษย์ยังไม่เคยออกมาเลย วันๆ เฝ้าแต่คิดว่าความดีเป็นอย่างไร ถ้าจะบำเพ็ญธรรมะ บำเพ็ญอย่างไร เงินทองหามาอย่างไร วันๆ มีแต่นั่งคิดไปต่างๆ นาๆ คำว่าเปิดประตูในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เปิดประตูเข้าไป เพราะศิษย์เข้าไปตั้งนานแล้ว อาจารย์หมายความว่า ให้ศิษย์เปิดประตูออกมาจากความคิดเพ้อเจ้อ ความคิดฝันกลางวันออกมาจากการคาดเดา ถ้าหากว่าเราเอาชีวิตของเราตั้งอยู่บนโลกแห่งความจริง ศิษย์จะได้รู้ว่า ชีวิตของศิษย์มีค่ามากกว่านั้น มีค่ามากกว่าการเดินเข้าบ้านหลังหนึ่งไป แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยออกมาทำประโยชน์ให้กับใคร เราออกจากบ้านหลังนั้นมาเพื่อที่จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่น  การเปิดประตูครั้งนี้ อาจารย์หมายความว่า ขอให้ศิษย์ได้เปิดประตูออกมา เปิดประตูความทิฐิ เปิดประตูของความอิจฉา ความเพ้อเจ้อ ออกมาอยู่กับโลกของความเป็นจริง ทำในสิ่งที่ตัวเองสมควรจะทำ ชีวิตคนไร้ค่าก็เพราะศิษย์รู้ว่าสมควรทำอะไร แต่ยังไม่เคยลงมือ จิตใจหนึ่งเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะโดนคนว่า กลัวว่าถ้าทำออกไป
แล้วจะไม่ได้ดีเท่าไร ก็เลยไม่เคยกล้าลงมือทำ  แต่กลับกัน การเล่นหวยเป็นเรื่องที่น่าทำไหม (ทำ) แล้วศิษย์รู้ไหมว่าการที่เราไปซื้อจะขาดทุนหรือได้กำไร (ขาดทุน)  ก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าหากเราออกไปซื้อเราก็ต้องขาดทุนแน่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ก็โดนกิน แต่ทำไมกล้าไปทำ (เป็นกิเลส, ความโลภ)  ในทางกลับกันสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่บางทีศิษย์กล้าไปทำมากกว่าที่จะไปทำดี เพราะอะไร ในเรื่องนี้ก็บอกว่าศิษย์มีความโลภ มีความอยากได้เงิน ต่อเรื่องอื่นๆ ที่เป็นลักษณะนี้ กับเรื่องที่เป็นความดีส่วนใหญ่เราก็ไม่กล้าไปทำ เรื่องที่เป็นความชั่วส่วนใหญ่เรากล้าทำ  อาจารย์อยากให้ศิษย์มองกลับกัน ถ้าหากว่าศิษย์ไปทำดีต่อสิ่งใดก็แล้วแต่ ผลที่กลับมาอย่างมากที่ไม่ดีที่สุดก็คือ ไม่มีผลตอบแทนของความดีนั้นกลับมาเลย อย่างเช่นเราไปช่วยเขาแต่เขาบอกว่าเรายุ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ อย่างมากก็แค่นั้น วันหลังเราก็ต้องดูตาม้าตาเรือใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเขาแนะนำว่าเรายังไม่ได้ดู วันหลังเราก็ต้องดูใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะเข็ดไหม (อย่าเข็ด)  ส่วนใหญ่แล้วเข็ด แต่พอเป็นเรื่องทำความชั่ว ไปซื้อหวยแล้วถูกกิน ครั้งต่อไปซื้อไม่ซื้อ (ซื้อ)  เรื่องไม่ดี อย่างคนนี้บอกว่าไม่เคยซื้อ แต่ถามว่าไม่เคยเลยหรือชีวิตนี้ ก็ตอบว่าเคย กับเรื่องที่ไม่ดีก็เคยทำมาแล้ว  บางคนก็ทำครั้งหนึ่ง บางคนก็ทำสองครั้ง อย่างนี้กลับกล้าที่จะลองใช่หรือไม่ (ใช่)  ความไม่ดีนั้นก็เหมือนเหล้า กินแล้วก็เมา มีกี่คนที่กินแล้วไม่เมามีไหม (ไม่มี)  ถ้าหากว่ายังไม่เมากินมากๆ ไปก็เมา หากว่าเรากินจนไม่เมาได้แสดงว่าเราต้องเป็นเซียนเหล้าทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  กินมากๆ เป็นโรคตับแข็ง อย่างนี้เป็นเซียนเหล้าหรือเป็นเซียนบนฟ้าดี  เป็นเซียนกิเลสหรือเป็นเซียนบนฟ้าดี (เซียนบนฟ้า)  ไม่ต้องทำความไม่ดีจนกระทั่งเขาเรียกเราว่าเป็นเซียนนะ อย่างนี้คงไม่ดีเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เซียนเหล้า ผีพนันอย่างนี้เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ต้องหัดที่จะทำความดีให้มากๆ ความดีนั้นช่วยจรรโลงโลกเหมือนกับน้ำที่ไว้รดน้ำต้นไม้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นนานๆ ทำทีต้นไม้ของศิษย์ตายไม่ตาย (ตาย)  เราไม่ค่อยรดน้ำต้นไม้ก็ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารดน้ำตรงเวลาตามเวลาต้นไม้ตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  ชีวิตของเราก็คือต้นไม้ต้นนั้น อยากให้ต้นไม้ของชีวิตของเราตายไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากให้ต้นไม้ของเราตายก็ต้องหัดทำความดีมากๆ ถ้าหากทำความชั่วก็เหมือนกับอะไร (การไม่รดน้ำต้นไม้)  ในที่นี้รู้เรื่องต้นไม้ทุกคน ต้องให้อาจารย์สอนปลูกต้นไม้ไหม ถ้าหากว่าต้นไม้โดนอะไรแล้วจะตาย (แมลงที่กัดกินต้นไม้)  การทำไม่ดีก็เหมือนกับแมลงกัดต้นไม้ ความไม่ดีได้เข้าไปกัดต้นไม้ทีละนิดทีละหน่อยจนต้นไม้ต้นนี้ตายโดยไม่รู้ตัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นให้ศิษย์เลือกระหว่างความดีที่เหมือนกับน้ำที่ไปรดไปหล่อเลี้ยง กับให้ศิษย์เลือกทำความชั่วที่เหมือนแมลงกัดต้นไม้ตายโดยไม่รู้ตัว จะทำอะไรกับชีวิตของตัวเองดี (ทำความดี)
“อย่าให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด เพียรตลอดอย่าให้ความพยายามถึงฝั่งก่อน”  ระหว่างเรือกับความพยายาม เรือก็คือตัวเราที่อยู่บนเรือกับความพยายามต้องไปควบคู่กันใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่แล้วศิษย์ของอาจารย์เกือบทำสำเร็จแล้ว แต่ความที่ว่าเพียรพยายามมานานมากเกินไป ความพยายามไปถึงที่สุดก่อนที่ความสำเร็จจะวิ่งมาหา บางทีความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม แต่ความสำเร็จนี้ไม่มีรูปให้ศิษย์เห็นเหมือนกับเสื้อผ้า เงินทอง ความสำเร็จเหล่านี้ไม่มีรูปให้ศิษย์เห็น ศิษย์จึงไม่รู้ว่าเราควรที่จะทำต่อไป คำว่า “ใกล้” ของอาจารย์บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าสองวัน คำว่าใกล้อาจจะหมายถึงสองปีก็ได้ แต่หมายความว่าในที่สุดจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่ความพยายามของเราไปถึงฝั่งก่อน ส่วนเรือของเราที่พยายามจะพายอยู่นี้มันไม่ไปถึง ถ้าหากว่าความพยายามไปถึงฝั่งก่อนเรือ เรือลำนี้ก็ล่มเมื่อใกล้ที่จอดใช่หรือไม่ (ใช่)
“คนสองสีอาจารย์หนาวหนาวร้อนร้อน”  คนสองสีมีสีขาวมีสีดำ แต่ว่าสองสีในที่นี้ไม่ใช่สองสีเหมือนเสื้อผ้า แต่หมายถึงสองสีที่จิตใจ จิตใจที่เป็นสองฝักสองฝ่าย รักดีบ้างรักชั่วบ้าง รักชอบบ้างรักไม่ชอบบ้าง พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง นึกอยากปลงก็ปลง ไม่อยากปลงก็ไม่ปลง นึกอยากได้ก็เอามา ไม่อยากได้ก็ไม่เอามา คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ ตามจิตใจตนเองเสียจนเคยตัว ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ไม่ได้อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอย่างเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้เบื้องบนอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ถูกเพราะว่าศิษย์เอาแต่ใจของตัวเอง นึกอยากทำก็ไปทำ นึกไม่อยากทำก็ไม่ทำ ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนที่ต้องช่วยคนๆ นี้จะเบื่อไหม (เบื่อ)  แต่อาจารย์ไม่ได้เบื่อหรอกนะ ไม่ได้เบื่อศิษย์ของอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์มีศิษย์มากมายเข้าใจนะ เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวให้เป็นคนแน่นอน คนที่แน่นอนไม่ว่าจะพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นก็ชื่นชม แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็ยังจะชื่นชม ชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักที่จะเป็นคนที่แน่นอน เมื่อเราคิดจะทำดีก็ต้องทำดี เมื่อเราคิดจะทำไม่ดีก็ต้องรู้จักกลับตัวกลับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่านึกจะทำดีก็ทำ พอนึกจะทำไม่ดีก็ไปทำอีก แบบนี้เสร็จแน่ๆ เลย
การที่อยากจะบำเพ็ญธรรมนั้นมีอยู่ทางเดียวคือ ทางที่จะทำดีเท่านั้น แต่การทำดีนั้นมีอยู่หลายลักษณะ หลายรูปแบบ หลายสถานะการณ์ ต้องใช้ปัญญาของเรามาช่วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ต้องยอมให้ความต้องการ ความเชื่อมั่นของศิษย์ควบคู่ไปกับปัญญาและความรู้ของศิษย์ บางคนความรู้น้อยความต้องการก็ต้องน้อยด้วย บางคนมีความเชื่อมั่นมาก ปัญญาของศิษย์ก็ต้องสูงด้วย จึงจะควบคู่ไปพร้อมๆ  กันได้ บางคนความรู้น้อย ภาวะที่จะได้มาน้อยแต่ความต้องการของศิษย์ไม่สมดุลกัน เพราะฉะนั้นเราจึงเกิดความล้มเหลวขึ้นบ่อยๆ  ระหว่างความต้องการและความรู้ ความเชื่อมั่นและปัญญาจะต้องควบคู่กัน จะต้องให้ตัวเองอยู่บนความสมดุลให้ได้ ปัญญานั้นนำมาพลิกแพลง ความเชื่อมั่นต้องคงอยู่และจะต้องมีสืบไป บนเหตุบนผล บนความถูกต้องเข้าใจไหม
เมื่อวานเซียนน้อยบอกว่านักเรียนที่นี่เบื่อเก่ง นั่งๆ ไปยังกล้าหลับ ถ้าหากว่าอาจารย์มาสอนศิษย์ที่นี่ อาจารย์ก็คงต้องบอกว่าถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับพุทธะเบื้องหน้า พุทธะที่สำเร็จไปก่อนหน้านี้ท่านนั่งเกวียนลุยไปข้างหน้าตามรอยเกวียน เมื่อเกวียนผ่านไปศิษย์ยังเห็นรอยไหม (เห็น)  ศิษย์ของอาจารย์ถึงแม้ว่าจะลำบากมากเท่าไรในการมุ่งมั่นบำเพ็ญธรรม ศิษย์ก็ยังพอจะมองเห็นรอยเกวียนที่คนข้างหน้าเขาวิ่งไปแล้ว ศิษย์ก็แค่วิ่งตามรอยเกวียนนั้นมา บางทีบางเรื่องเคยเกิดมาแล้วในอดีต ศิษย์ก็แค่เดินตามหรือทำตาม แก้ปัญหาอย่างที่คนข้างหน้าเขาแก้ แต่ไม่ใช่เลียนแบบไม่ใช้ปัญญาเลย  ต้องใช้ปัญญาบ้าง เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ รอบตัวก็เปลี่ยนไป จิตใจของมนุษย์สมัยนี้ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าจิตใจของมนุษย์สมัยนี้จะไม่ดี แต่จิตใจของมนุษย์สมัยนี้ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่เหมือนกับจิตใจของคนสมัยก่อน จิตใจของคนสมัยก่อนถึงแม้ว่าเขาจะไม่ดีแต่เขาก็หนักแน่น ในสมัยนี้คนไม่ดี หรือคนดี ก็ไม่ค่อยหนักแน่น การที่เราจะแก้ปัญหาอะไรสักอย่างก็เลยเป็นเรื่องยาก เหมือนกับที่อาจารย์บอกศิษย์ตั้งแต่ต้นว่า ศิษย์เคยตัดกิเลสอันนี้ไปได้แล้ว แต่ถึงวันดีคืนดีก็กลับมาใหม่เพราะว่าเราไม่หนักแน่นพอ  เมื่อตัดแล้วก็ตัดไม่ขาดเลยกลายเป็นปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าอยากจะหนีปัญหาก็หนีไม่พ้น แต่หากว่าอยากจะแก้ปัญหาก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่หรือไม่ อย่าไปเสียดายจิตใจของเราที่เราเคยหลงสิ่งนี้ เคยรักสิ่งนี้ เคยชอบสิ่งนี้ บางทีก็เหมือนกับการตัดเนื้อร้ายสักชิ้นออกไป  ถ้าหากว่านิ้วของศิษย์เป็นนิ้วที่เสียถ้าหากว่าไม่ตัดเนื้อร้ายก็จะกินไปเรื่อยๆ จนแขนกุด ศิษย์จะทำอย่างไร จะปล่อยให้กินไปเรื่อยๆ หรือไม่ เราก็ต้องพยายามหาวิธีทางรักษา แต่หากทำไม่ได้ก็ต้องยอมตัดทิ้งใช่หรือไม่ ถ้าหากไม่ตัดทิ้งจะเป็นอย่างไร มันก็กินไปเรื่อยๆ  ในที่สุดก็กินไปถึงหัวใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นความเด็ดขาดก็จำเป็นต้องมีในตัวตนทุกคนไป เด็ดขาดเพื่อให้อนาคตของเราดี บางทีการบำเพ็ญก็ขาดความสบาย ขาดคนรัก ไม่มีใครรัก บางทีก็ขาดความแข็งแรงของร่างกาย แต่การบำเพ็ญก็ไม่ได้ให้ศิษย์มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง คนที่มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างคือคนที่ไม่ยอมบำเพ็ญ  เพราะว่าพร้อมสมบูรณ์มากเกินไปจนกระทั่งลืมไปว่าอยู่ในทะเลทุกข์ ฉะนั้นวันนี้แม้ว่าเราจะมีความลำบากมีอุปสรรคบ้าง แต่นั่นจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้ศิษย์กล้าที่จะออกมาบำเพ็ญ บางทียังต้องขอบคุณสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น)  วงคำว่า “ต้อง”  อาจารย์ขอให้ศิษย์แม้ว่าต้องเจออุปสรรคอะไรก็ต้องบำเพ็ญ ได้ไหม (ได้)  เพราะชีวิตคนเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ใช่จะราบรื่นตลอด อย่างไรก็ต้องบำเพ็ญ  ถ้าทางที่ศิษย์เลือกคือทางนิพพาน เดินไปก็ต้องถึง เพราะยังไงก็ต้องบำเพ็ญ เข้าใจไหม  การเล่นหวยไม่ดี แต่ถ้าถูกก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้คิดแบบคนที่ไม่มีสิทธิ์จะหลุดพ้น ตอนนี้ศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ หากวันไหนมีคนที่อยากได้ศิษย์ของอาจารย์ เพราะรู้ว่าอาจารย์จะพาไปนิพพาน ถ้าหากรู้ว่าคนไหนจิตใจไม่มั่นคงพอ มีจุดอ่อนตรงชอบซื้อหวย ก็ให้ถูกหวยทุกงวดเลย เสร็จแล้วยังจะเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงอยู่ไหม ก็ไปเป็นศิษย์ของมารร้าย ไปเป็นศิษย์ของอบายมุข ไปเป็นศิษย์ของคนที่อยากจะลากศิษย์ไปลงนรก ไปหรือไม่ไป  เราไม่ได้มีชีวิตเกิดมาเพื่อกินเหล้า ไม่ได้มีชีวิตเกิดมาเพื่อลุ่มหลง ศิษย์มีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อชดใช้หนี้กรรม)  ชดใช้หนี้กรรมก็ดี แต่ต้องสร้างบุญด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พาตัวเองให้หลุดพ้นด้วยดีหรือไม่ (ดี)  ชาตินี้เราเกิดเป็นคนมีความทุกข์มากไหม (มาก)  ตอนนี้บอกมีความทุกข์มาก แต่จริงๆ แล้วอาจจะยังไม่มากเท่าไหร่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ว่ารอบต่อไปของการเวียนว่ายตายเกิด เราจะไปเกิดเป็นอะไร ตอนนี้เราว่าเราเกิดเป็นคนเราก็ลำบาก ก็ทุกข์แล้ว ถ้าคราวหน้าเกิดไปเป็นหมูให้เขาเชือด ลำบากไหม (ลำบาก)  หมูมีชีวิตวันๆ หนึ่ง สบายหรือเปล่า (ไม่สบาย)  เขามาเลี้ยงเรากิน อยู่ไปก็เหมือนเทวดา เหมือนราชา มีคนเขาประเคนให้ตลอดเวลา เวลาที่เรากิน เขาก็ให้เรากินอย่างเต็มที่ ไม่มีใครห้าม เหมือนกับให้เราถูกกิเลสมาปรนเปรออย่างเต็มที่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนสมัยนี้ บางคนก็ชอบกินเหมือนหมู กินโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ เรียกว่ามีกิเลสอยู่ที่ปาก กินเข้าไปชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็เกิดเป็นหมู ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  มีชีวิตให้สบายเต็มที่ เกิดเป็นคนกินมากไป มีคนบ่น ถ้าหากเกิดเป็นหมู จะมีคนบ่นไหม (ไม่มี)  ยิ่งเรากินมากเขายิ่งชอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สบายไปตลอดชีวิตเลย จบที่ไหน โดนฆ่าตาย  ตอนนี้เกิดเป็นคนก็ลำบากแล้ว ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ เกิดเป็นคนก็ยังดี เพราะฉะนั้นเราควรที่จะเริ่มจากจุดที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อาจารย์พูดศิษย์อาจจะยังไม่เชื่อ ว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องยาก อย่างเราหรือจะทำได้ ศิษย์ได้ลองแล้วหรือยัง (ยัง)  แล้วกล้าลองไหม (กล้า)  ซื้อหวยยังซื้อถูกซื้อผิด ตอนนี้ให้ลอง จะลองไหม (ลอง)  ลองสักตั้งดีไหมผู้ชาย (ดี)  ลองสักตั้งดีไหมผู้หญิง (ดี)  ตอนนี้ทุกๆ คนก็เหมือนกับปลาที่อยู่ในน้ำสายหนึ่ง ปลาเมื่อตอนที่เกิด แม้จะเกิดในที่ไกล แต่เขาก็สามารถว่ายทวนน้ำก็ไปสู่ต้นน้ำที่เป็นของเขาได้ นั่นหมายถึงเป็นที่ที่บรรพชนเขาอยู่ได้ โดยที่เขาไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่า ต้นน้ำอยู่ที่ไหน แต่เขาสามารถว่ายไปถูกทิศทาง ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ศิษย์ทุกๆ คนมีจิตใจที่อยู่ภายใน พูดอีกทีก็คือญาณหรือจิตแท้  พูดอีกทีก็คือจิตแห่งพุทธะที่อยู่ภายใน  ถึงแม้ว่าตอนนี้ ศิษย์ของอาจารย์จะไม่รู้ว่า จิตพุทธะมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าตัวเรามีจิตพุทธะอยู่ ไม่รู้ด้วยว่าไปนิพพาน ไปอย่างไร ศิษย์ก็เหมือนปลาตัวนั้น ทุกๆ คน รู้วิธีการจะกลับคืนขึ้นสู่นิพพานได้ เพียงแต่ว่าใครอยู่ไกล อยู่ใกล้มากกว่ากัน ในที่สุดศิษย์ก็จะไปถึงโดยที่ศิษย์ไม่รู้ตัวทีเดียว ขอเพียงแต่ว่าเราจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูจิตใจของเราให้เหมือนเดิมให้ได้ ยิ่งจิตใจของเราฟื้นฟูได้เหมือนเดิมมากเท่าไร เราก็ยิ่งใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  จำที่อาจารย์พูดได้หรือไม่ ปลาตัวนั้นแม้จะอยู่ปลายน้ำ แต่ว่าโดยสัญชาติญาณแล้ว เขากลับต้นน้ำถูกต้อง แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้เลยว่า ต้นน้ำเดิมอยู่ที่ไหน แต่ปลาตัวนี้ว่ายกลับไปถูก เหมือนกับศิษย์ ศิษย์ก็คือปลาที่อยู่ปลายน้ำ ที่มาโดนปล่อยไว้ไกล แต่หากว่าศิษย์เชื่อในสิ่งที่อาจารย์พูด อาจารย์จะบอกว่าศิษย์กลับต้นน้ำถูก บำเพ็ญกลับสู่นิพพานได้ ต่อให้วันนี้ไม่มีอาจารย์ มาช่วยชี้ทางบอกศิษย์ สักวันหนึ่งศิษย์ก็กลับได้ เคยรู้อย่างที่อาจารย์พูดไหม ต่อให้อาจารย์ไม่ชี้บอก ศิษย์ก็กลับถูก เพราะศิษย์มีใจเป็นดั่งพุทธะเหมือนกับอาจารย์ สักวันหนึ่งก็กลับได้ เพียงแต่ว่าอีกนานแสนนาน  แต่ตอนนี้อาจารย์ช่วยย่นระยะทางหรือช่วยบอกทางให้ศิษย์รู้ว่าไปทางนี้ รีบๆ ไปอย่ามัวช้า หรือบางคนอาจารย์ก็จับขึ้นมาแล้วก็พาไปล่วงหน้าจนใกล้ๆ บอกว่าพยายามว่ายไปอีกนิดหนึ่งก็จะถึงแล้ว ขอให้รีบๆ ว่าย ฉะนั้นคนที่เป็นศิษย์อาจารย์ในชาตินี้ อย่างน้อยศิษย์ก็มีคนช่วยคุ้มครอง เพียงแต่ศิษย์ขอให้อยู่ในความคุ้มครองของอาจารย์ด้วยเหมือนกัน นักโทษที่พยายามจะแหกคุก ไม่ยอมรับความผิดของตนเอง พยายามแหกคุกออกมา แม้ว่าจะถูกกักขังไว้แน่นหนา ก็ยังออกมาได้  หากอาจารย์บอกในสิ่งที่ดีแล้ว หากจะพยายามหนีอาจารย์ไปก็ย่อมสำเร็จ เพราะอาจารย์ก็บอกศิษย์อยู่แล้วว่า ไม่ว่าศิษย์จะทำอะไร ก็ทำได้สำเร็จทั้งนั้น ทำดีให้สำเร็จก็ได้ ทำไม่ดีให้สำเร็จก็ได้ สำเร็จเป็นพุทธะก็ทำได้ สำเร็จเป็นผีนรกก็ทำได้ เวียนว่ายตายเกิดต่อไปก็ทำได้ อยากจะเป็นคนเหนือคนก็ทำได้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่ศิษย์จะทำอะไร  อยู่ในโลกมนุษย์ก็คืออยู่ท่ามกลางสวรรค์ และนรก วันหน้าอยากไปสวรรค์ ก็ต้องเลือกทางไปสวรรค์ตั้งแต่ยังมีชีวิต วันหน้าอยากไปนิพพาน ก็ต้องเลือกทางไปนิพพานตั้งแต่ยังมีชีวิต อย่าปล่อยให้ชีวิตสักแต่ลอยไปๆ แล้วรอสักวันให้ไปถึง หากว่าคนทุกคนบนโลกนี้ สามารถกลับคืนนิพพานได้อย่างที่อาจารย์บอก คนที่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม คนนั้นจะเป็นคนสุดท้าย แล้วศิษย์อยากเป็นคนสุดท้ายไหม (ไม่อยาก)  หากไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่ไปถึง ก็ขอให้เรารู้จักที่บำเพ็ญ รู้จักตัวเราเองว่าเราต้องแก้ไขปรับปรุงอะไร อย่าคอยให้คนอื่นเตือน เมื่อคนอื่นเตือนก็อย่าไปว่าเขา ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ศิษย์จะทำได้เวลานี้ ทุกคนเกิดมามีกรรมเหมือนกัน กรรมผลักดันให้ศิษย์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การจะหนีให้พ้นกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย การต่อสู้กับกรรม ดีที่สุดก็คือหันหน้าเผชิญ ยอมชดใช้และสำนึกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจารย์มาทุกครั้งก็จะพูดอะไรที่คล้ายๆ อย่างนี้ แต่อาจารย์ก็เห็นศิษย์ของอาจารย์บางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีศิษย์อาจจะเข้าใจ แต่ในทางปฏิบัติกลับอยู่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของศิษย์ เกินกว่าที่อาจารย์จะเชื่อว่าศิษย์เข้าใจจริงๆ 
 (พระอาจารย์เมตตาประทานท๊อฟฟี่)
เห็นท๊อฟฟี่ไหม อาจารย์มักจะแจกท๊อฟฟี่ให้ศิษย์แล้วพูดว่า ขอให้ศิษย์เป็นคนพูดจาหวานๆ พูดจารื่นหู เพราะมีแต่คนที่ชอบฟังคำพูดที่ดีๆ ทั้งนั้น ไม่มีใครชอบฟังคำพูดที่ทิ่มแทงใจ เพราะว่าคำพูดมันทิ่มแทงใจได้มากกว่าอาวุธศาสตราใดๆ ไม่ว่าเราจะเป็น คนประเภทไหน จะเป็นคนชอบอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ตอนที่เราพูดออกมาต้องรู้จักพูดแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น คนเรามีภาพพจน์ของตัวเองอยู่ ถ้าหากว่าการที่เราสามารถที่จะสร้างภาพพจน์ของเราได้ด้วยคำพูดก็จะเป็นการดี แต่ว่าภาพพจน์จากคำพูดก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มีอยู่ ย่อมต้องประกอบไปด้วยการกระทำ การปฏิบัติ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความจริงใจ เพราะว่ามนุษย์สมัยนี้ไม่ค่อยจะมีความจริงใจให้กัน เวลาที่ทำอะไรแล้ว ไม่ค่อยจะมีความจริงใจให้กัน ก็เลยกลายเป็นดาบสองคมที่จะประหัตประหารตัวเอง ถ้าหากว่าเราพูดดี ก็ต้องรู้จักที่จะทำดี เมื่อเราสร้างภาพพจน์ด้วยคำพูด ก็ต้องรู้จักที่จะรักษาภาพพจน์นั้นๆ ด้วย อันว่าพูดอะไรต้องทำสิ่งนั้นได้ ถ้าหากว่าพูดแล้วทำไม่ได้ คนเขาก็ไม่ฟังเรา เหมือนอาจารย์บรรยายธรรม ถ้าหากว่าเราพูดธรรมะได้ดี เราก็ต้องทำได้ดีด้วย จึงเป็นการรักษาภาพของตนเองอยู่ อย่าเป็นคนที่สร้างภาพ เพราะว่าคนใช้เวลาตลอดชีวิตในการพิสูจน์ซึ่งกันและกัน  วันนี้เราให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนอย่างไร วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ ปีสองปียังพอไหว บางคนไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ก็ยังดี ถ้าเจอกันทุกวัน ถ้าเป็นนักสร้างภาพจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ภาพต่างๆ มันออกมาจากใจของศิษย์ ดีก็ดีมาจากใจ ไม่ดีก็ต้องขจัดให้ทิ้งไปจากใจ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้)  ยืนๆ ริมบันไดอย่าให้ตกบันไดไปนะ เดี๋ยวจะต้องกลับไปอยู่กับอาจารย์เร็วเกินเหตุ หรือไม่อีกทีหนึ่ง กลับไปอยู่ไม่ได้เพราะว่ามาเร็วเกินไป กุศลยังไม่ทันจะสร้าง
ทำไมอาจารย์แจกท๊อฟฟี่วันนี้ ท๊อฟฟี่ก็มีรสชาติหวานอร่อยดีใช่หรือไม่ เคยเห็นเด็กกินท๊อฟฟี่ไหม กินมากๆ ฟันก็ผุ เพียงแต่ผู้ใหญ่รู้จักระมัดระวังมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในสายตาอาจารย์ศิษย์ทุกคนก็ยังเป็นเด็กอยู่ เป็นเด็กที่กินท๊อฟฟี่แล้วฟันผุทุกคน แต่ไม่ได้ผุที่ฟัน ไปผุที่ใจเพราะอะไร เวลาเรากินท๊อฟฟี่ไปมันก็มีรสชาติหวาน เป็นเด็กก็ติดใจรสชาติหวานอย่างนี้ รสชาติหวานๆ อย่างนี้ก็เปรียบเหมือนกับกิเลสของเราเอง กิเลสก็มีสิ่งที่ทำให้ศิษย์ติดใจ ติดใจรสชาติความหวาน เวลาที่เรามีกิเลส พอกินเข้าไปแล้วก็ติดใจ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ แต่ในที่สุดฟันก็ผุ ใจก็ผุ ผุเพราะว่ากิเลสที่เราสะสมมากเกินไป  เพราะฉะนั้นบางทีจึงต้องลด ละ และก็เลิกใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กๆ เวลาเขาจะกินท๊อฟฟี่เขาก็กินได้ตามใจ เขาอยากจะกินเท่าไรเขาก็กิน ถ้าเราไม่ไปห้ามเขาก็กินไปเรื่อยๆ  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็กำลังอมอยู่เหมือนกัน แต่อมกิเลสไว้ แล้วพออมไปเรื่อยๆ  ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักห้ามตัวเองเราก็กินไปจนฟันของเราผุ เราอมกิเลสไว้ก็ทำให้ใจของเราผุใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นผลของการสะสม เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะยับยั้งช่างใจของตัวเราเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จักยับยั้งช่างใจตัวเองแล้ว ใครจะเป็นผู้ห้ามไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเวลาคนห้ามไม่ชอบฟังใช่หรือเปล่า ถึงฟังก็ไม่เชื่อใช่หรือไม่ หน้าอย่างหลังอย่างก็มี ล้วนแต่เป็นความไม่ดี ต้องพยายามที่จะเตือนตัวเองถ้าหากว่าไม่ชอบให้คนอื่นเตือนเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า .เห็นแก่ส่วนรวม”  ไว้ที่สถานธรรมฉงเต๋อ และได้ประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า “มากกว่าส่วนตน” ที่สถานธรรมเจิ้งซิน)  คำว่า เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เป็นหนึ่งในความตั้งใจของพุทธะอริยะ หรือว่าวีรชนปราชญ์ทั้งหลายที่พร่ำช่วยคนอื่น ถ้าหากคิดเราจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองแล้วจะมีใครทำเพื่อคนอื่นบ้าง ถ้าหากว่าเราคิดว่าทำทุกอย่างเพื่อตนเองจะมีวีรบุรุษที่ไหน ที่เขาถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ วีรชนก็เพราะว่าเขานั้นช่วยผู้อื่น อันว่าช่วยนั้นมีช่วยมาก ช่วยน้อย อาจารย์ไม่ได้อยากให้ศิษย์เป็นวีรชนพร้อมๆ  กันทุกคน เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักช่วยผู้อื่นเท่าที่ตัวเองสามารถที่จะทำได้ในเวลาอันเหมาะสม บางคนชักช้าเห็นแล้วแต่ทำเป็นไม่เห็น ผ่านๆ  เลยไป ถึงเวลาผ่านเลยไปแล้วคิดว่าตอนนั้นน่าจะช่วยแล้วเป็นอย่างไร เสียใจไหม (เสียใจ)  ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น คนจมน้ำตายศิษย์จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่หากว่าเป็นเรื่องเล็กๆ  เช่น เห็นแม่บ้านกำลังทำกับข้าว คิดว่าจริงๆ  เราน่าจะช่วยเขา แต่ความที่ว่าเราเป็นผู้ชายเราไม่ชอบช่วย เราก็ไม่ช่วย การแสดงน้ำใจเล็กๆ  น้อยๆ  ทำไม่ได้ ถามว่าวันหลังเรียกให้แม่บ้านช่วย แม่บ้านอยากช่วยไหม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักช่วยเขา เขาจะช่วยเราไหม พูดง่ายๆ ถ้าหากว่าคนเป็นลูกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่เราน่าจะเดินเข้าไปช่วยแต่เราไม่ช่วย ถึงเวลาผ่านไปแล้ว และมาคิดว่าตอนนั้นเราน่าจะช่วยแม่ ผ่านไปแล้วอาหารออกมาแล้วจะช่วยทันไหม  คนที่อยู่อุบลฯ ต้องรักสามัคคีกันให้ดีๆ ปีๆ ผ่านไปเราไม่รู้อนาคตเราเป็นอย่างไร ปีที่แล้วก็มีคนช่วยเรามากกว่านี้ ปีนี้แม้แต่จะช่วยกันเขาก็ยังไม่ยอมมาเลย เพราะฉะนั้นต้องดูว่าเราดูเขาแล้วเอามาเป็นตัวอย่าง ว่าเราจะไม่แตกแยกกันอย่างนั้น ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อภัยกัน รักกัน สามัคคีกัน ทำได้ไหม  สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ผ่านมาศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว สิ่งใดที่เคยเห็นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเก็บมาเป็นบทเรียน และต้องจำไว้ว่าเราจะบำเพ็ญตลอดชีวิต ฉะนั้นเวลาที่เราต้องทน ก็ขอให้ทน ถ้าหากว่าเราทนไม่ไหวอาจารย์อยากให้ศิษย์สงบใจลงพิจารณา ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวาง บำเพ็ญธรรมะก็ต้องใช้ธรรมะให้เป็น ถ้าหากว่าใช้ธรรมะไม่เป็นจะได้ชื่อว่าบำเพ็ญธรรมะแต่ชื่อเข้าใจไหม เวลาเจอคนทะเลาะกันพยายามอย่าเข้าข้างใครคนไหนมากกว่าใคร ถ้าหากว่าเราไม่รู้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะทำให้ความแตกแยกที่เกิดขึ้นลามไปมากกว่าเดิม ทุกคนที่เป็นศิษย์อาจารย์ก็บำเพ็ญธรรมะด้วยหัวใจทั้งนั้น อันว่าเคยที่จะเป็นศิษย์อาจารย์ เคยฟังคำพูดของอาจารย์ทุกคนก็มีจิตใจที่ดีงาม เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งถูกสิ่งที่ไม่ดีมาบดบัง เราอย่าได้โกรธกัน เราอย่าได้เถียงกัน ขอให้เรามีความเข้าใจ และเชื่อว่าทุกคนบำเพ็ญธรรมะด้วยหัวใจเช่นกัน ในตอนนี้เวลาที่คนเขาโมโห เวลาที่คนเขาโกรธ พูดอะไรไปก็คงฟังไม่เข้าหู แต่อย่าลืมว่าเราต้องห้ามปากของเรา ที่เรามีไว้พูด
เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนไว้ว่าอย่างไร สอนไว้ว่าตาไปบอกหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เราควบคุมหัวใจและไปควบคุมตา ควบคุมหัวใจและมาควบคุมปากของเรา ให้เราพูดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น บางเรื่องปล่อยผ่านๆ ไป เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะดีขึ้น บางเรื่องก็ไม่ใช่อย่างนั้นที่ไม่ดีขึ้นก็อาจจะดีขึ้น ก็อาจจะเป็นเพราะเราเป็นส่วนที่ทำให้เขาแตกแยก เพราะเราพูดเยอะก็เป็นไปได้ ฉะนั้นเวลาเจอคนที่ทะเลาะกัน คนที่ไม่เข้าใจกัน ถ้าจะพูดก็ขอให้พูดแต่สิ่งที่ดี ศิษย์ต้องเชื่อมั่นว่าทุกคนเข้ามาบำเพ็ญธรรมะเดิมทีเข้ามาด้วยหัวใจ ตอนนี้ก็ยังด้วยหัวใจ ไม่มีอะไรที่อาจารย์จะสอนศิษย์ได้ดีเท่ากับการรู้จักควบคุมตัวเอง ถ้าสมมติเราเป็นคนที่ทะเลาะกันอยู่ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายข้างซ้าย หรือข้างขวาที่เขายืนทะเลาะกันอยู่ก็ดี ไม่ว่าฝ่ายข้างซ้ายหรือฝ่ายข้างขวา คนใดคนหนึ่งยอมที่จะหยุด เรื่องก็จะหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการควบคุมตัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอยู่ บางทีบางเรื่องจบลงได้ด้วยคำว่าขอโทษ เราก็ขอโทษ  บางทีบางเรื่องจบลงได้ด้วยคำว่า ขอบคุณ เราก็ขอบคุณ  บางทีบางเรื่องจบได้ด้วย การหยุดเราก็หยุด  อย่าได้ใช้อารมณ์มาเป็นเหตุ อย่าใช้อารมร์มาเป็นหลัก แต่คำว่า ขอบคุณ ขอโทษ ทั้งหลายนี้ ต้องมาจากหัวใจของเรามันถึงจะดี เวลาศิษย์เห็นคนยิ้มไม่จริงใจศิษย์มองออกไหม (ออก)  เวลาศิษย์เห็นคนหัวเราะไม่จริงใจ ศิษย์เห็นไหมว่าเขาไม่จริงใจ (เห็น)  เพราะทุกคนมีสายตาที่แจ่มชัด แต่อย่าให้ชัดเกินกว่าความเป็นจริง ไม่ใช่ชัดแบบเราเห็นเองว่ามันชัดก็ชัดอยู่คนเดียว คนอื่นตาพร่าหมด มีแต่เราชัดเท่านั้น อย่างนี้เราก็เป็นคนที่ทำให้เรื่องใหญ่โตเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีที่สุดคือควบคุมตัวเอง ถ้าหากว่าเราเป็นสาเหตุและปัญหา เราต้องทำให้มันจบ แต่ไม่ใช่พยายามให้จบแบบไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครเห็น บางทีเราต้องสำนึกว่า ความห่วงใยที่ทุกคนมีให้เขาก็อาจจะห่วงใยด้วยการพูดเยอะไปหน่อย บางทีก็ห่วงใยด้วยแววตาที่ชัดไปหน่อย ทำไมเราไม่มองโลกในแง่ดีและทุกอย่างจะดีขึ้น
ตอนนี้ก็ใกล้จะปีใหม่อยู่แล้ว เดือนนี้ก็เป็นเดือนธันวาคมแล้ว ผ่านมาแล้วก็ผ่านมาอีกปี บำเพ็ญก็ต้องดีขึ้นทุกๆ ปี แต่ว่าไม่ใช่บำเพ็ญแล้วถอยหลังไปทุกๆ ปี หรือว่าก้าวไปสู่วันหน้าที่เราอาจจะเหมือนใครสักคนที่เราเห็นตอนนี้มันก็จะไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ศิษย์ทุกๆ คน ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่ารักแต่ตัวเอง มองให้เห็นผู้อื่น มองให้ทะลุผู้อื่น เลือกมองแต่ในสิ่งที่ดีๆ อย่าไปมองในสิ่งที่ไม่ดีของเขา ทำได้ไหม (ได้)  ความสามัคคี ความปรองดองอยู่ที่ไหนมันก็ต้องต่างส่งมือออกมา ไม่ใช่เราส่งอยู่คนเดียวหรือเขาส่งอยู่คนเดียว อย่างนี้ก็จะลำบาก ใกล้ปีใหม่แล้วอาจารย์อวยพรให้ศิษย์ทุกๆ คน มีชีวิตที่ราบรื่นมากขึ้น ด้วยการละอารมณ์ ละกิเลสให้เบาบางลง อย่าเอาแต่ใจมาก สิ่งใดไม่ดีก็แก้ไข สิ่งใดไม่ดีก็ทบทวน สิ่งใดไม่ดีก็ขจัดทิ้ง ถ้าหากว่าปีใหม่ทุกๆ ปี ศิษย์ของอาจารย์ขจัดทิ้งได้ทุกปี เมื่อขึ้นปีใหม่ก็จะเป็นปีที่ดีของศิษย์ทุกๆ ปี คนเราชีวิตไม่แน่ไม่นอนเหลือเกิน วันนี้ก็ไม่รู้พรุ่งนี้เป็นอย่างไร คนที่จะเสียชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นคนแก่เสมอไป เป็นศิษย์อาจารย์ก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้นความตายเสมอไป ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คน อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่งในการจะทำความดี ขอให้ศิษย์ทุกๆ คน เฝ้ารักสถานธรรมเหมือนรักบ้านตัวเอง มีเวลาก็มาช่วยกัน อย่าเกี่ยงกัน ยังเป็นเด็กก็ทำตัวเป็นเด็กที่ดี  ทุกๆ คนเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของอาจารย์เสมอ อย่าให้ความท้อแท้เข้ามาแปดเปื้อนจิตใจของตัวเอง จนมากมายเกินกว่าคำว่า “บำเพ็ญ”  วันนี้อาจารย์เรียกศิษย์ทุกๆ คน ก็เรียกศิษย์รัก เรียกศิษย์ทุกคนก็เรียกศิษย์เมธี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเมธีหรือเปล่า คงต้องพยายาม อาจารย์อยากให้สถานธรรมที่นี่ งานธรรมะได้รุ่งเรือง ทุกคนเป็นคนที่เอาแน่เอานอนได้ ในสายตาของอาจารย์ งานธรรมะโดยการนำพาของ ฮวั๋งจิงหลี่ ดูยากลำบากก็เพราะทุกคนมีจิตของความเป็นคนอยู่มากเกินไป อาจารย์อยากให้ศิษย์มีจิตใจแห่งพุทธะให้มากๆ ถึงเวลาต้องเด็ดขาดก็ต้องเด็ดขาด ถึงเวลาควรจะหยุดก็ต้องหยุด ควรละอารมณ์ ควรจะอภัยได้แล้วก็ต้องอภัย ทุกคนต่างควบคุมตัวเอง ต่างรู้จักตัวเอง ทุกคนดีงานธรรมะก็ดีเอง รู้ไหม (รู้)
การบำเพ็ญธรรมะเป็นสิ่งที่สูงส่ง ศิษย์ต้องทำจิตใจให้สูงส่ง ชีวิตไม่ใช่เรื่องที่สุขเท่าไรนะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันใหม่  บางทีอาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อาจารย์ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ หวังว่าการบำเพ็ญธรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตานี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของศิษย์ได้ จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนได้ แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็งกว่านี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ชั่วฟ้าดินสลาย  อาจารย์สู้อดทน สู้เข้มแข็งทุกวันๆ เพื่อให้ศิษย์เข้มแข็งได้ตามมา แต่บางทีก็ดูเหมือนว่าเป็นความฝันที่เลื่อนลอย  อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง เข้มแข็งเอาชนะกิเลส เข้มแข็งเอาชนะจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ไม่ให้ศิษย์ท้อแล้วถอยไป มีใจก็กลับขึ้นมาใหม่ อย่างนี้ศิษย์อาจจะวิ่งไม่ทันเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง  อาจารย์ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่พูดไม่ออกก็พูดไม่ออก ขอให้ใจของศิษย์ทุกคนมีอาจารย์ แล้วให้อาจารย์ที่อยู่ในหัวใจของศิษย์สอนศิษย์นะ

การบำเพ็ญธรรมะเป็นสิ่งที่สูงส่ง ศิษย์ต้องทำจิตใจให้สูงส่ง ชีวิตไม่ใช่เรื่องที่สุขเท่าไรนะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันใหม่  บางทีอาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อาจารย์ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ หวังว่าการบำเพ็ญธรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตานี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของศิษย์ได้ จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนได้ แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็งกว่านี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ชั่วฟ้าดินสลาย  อาจารย์สู้อดทน สู้เข้มแข็งทุกวันๆ เพื่อให้ศิษย์เข้มแข็งได้ตามมา แต่บางทีก็ดูเหมือนว่าเป็นความฝันที่เลื่อนลอย  อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง เข้มแข็งเอาชนะกิเลส เข้มแข็งเอาชนะจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ไม่ให้ศิษย์ท้อแล้วถอยไป มีใจก็กลับขึ้นมาใหม่ อย่างนี้ศิษย์อาจจะวิ่งไม่ทันเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง  อาจารย์ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่พูดไม่ออกก็พูดไม่ออก ขอให้ใจของศิษย์ทุกคนมีอาจารย์ แล้วให้อาจารย์ที่อยู่ในหัวใจของศิษย์สอนศิษย์นะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มากกว่าส่วนตน”

ต้องขัดแย้งกันเพราะผลประโยชน์ ถูกปล่อยเดี่ยวโดดเพราะเป็นคนเก่ง
คนไม่อาจยืนได้นานเพราะเขย่ง ชอบอวดเก่งใครเขาจะมากล้าเตือนตน
สิ่งใดแม้เป็นของเราไม่ตลอด คนตาบอดยืนริมผาใกล้ร่วงหล่น
หันมาบำเพ็ญดั่งมีไม้เท้านำทางตน รู้จักตนดั่งตาสว่างคืน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-09 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2543-12-9-ผู่ถี #23.pdf

วันเสาร์ที่  ๙  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓ พุทธสถานผู่ถี  จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ศึกษาธรรมด้วยจิตใจอันใฝ่รู้ ตรวจทานดูเคยผิดเร่งแก้ไข
วันเวลาผ่านไปไม่คอยใคร คนยิ่งใหญ่เพราะสละเพื่อประชา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา

แต่เดิมคนล้วนมีจิตใจดีงาม แต่หลงตามโลกมายาจนลุ่มหลง
ในบัดนี้ฟ้าส่งมอบทางสายตรง คนมั่นคงบำเพ็ญดีพ้นคืนไป
จะได้รู้ว่ายากเมื่อเคยลำบาก การพลัดพรากไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
ต้องขมก่อนจึงหวานเย็นชื่นใจ เมื่อเข้าใจจะปฏิบัติได้ยิ่งดี
ลงแรงจิตบำเพ็ญธรรมให้ถึงแจ้ง อย่าหน่ายแหนงเพราะคนหรือว่านิสัย
ด้วยชีวิตมีจำกัดไม่เท่าไร อย่าใส่ใจกับเรื่องไร้สาระเลย
สามัคคีกันเถิดเหล่าพี่น้อง จิตประคองจิตกันให้ถึงฝั่ง
ควรพูดจะต้องพูดรู้หรือยัง ควรฟังจะต้องฟังราบรื่นดี
ในเมื่อมีบุญสามชาติเจอธรรมแท้ อย่าเปลี่ยนแปรเพราะอุปสรรคบั่นทอนจิต
ตกนรกเพราะชั่ววูบแห่งความคิด จงพินิจด้วยปัญญาเสมอไป
กลางทะเลแห่งทุกข์ยากพ้นทุกข์ แต่จงปลุกเพื่อนเวไนยเพียรคืนฝั่ง
หมั่นปัดกวาดในจิตที่รกรุงรัง แลศรัทธาเป็นที่ตั้งเดินทางไกล
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม ขอให้นำความตั้งใจเป็นหลักใหญ่
ขออย่าได้สงสัยจนปิดบังใจ พุทธะได้สำเร็จจากมนุษย์เอย
จงรักษาพุทธระเบียบด้วยมุ่งมั่น สิ่งสำคัญนำกลับไปปฏิบัติ
จะมีใจที่จะเดินทางลัด ต้องเคร่งครัดกับตนเองมากกว่าใคร
ตนทำดีต้องดูอย่าเปรียบเทียบ น้ำราบเรียบอย่ามีคลื่นจึงส่องได้
แผ่นฟ้าดูดั่งไกลก็ดั่งใกล้ ขอจงใช้ความพยายามอย่าท้อนา
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องคงอยู่ครบ
คนอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพ จึงจะจบเรื่องทะเลาะเสียงนินทา
เสมอต้นเสมอปลายเพียรไม่พ่าย พ้นเวียนว่ายมาด้วยมั่นคงหนา
สัจธรรมคือธรรมะธรรมดา แต่ทว่าแฝงอยู่ในทุกทุกวัน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา   หยุด


วันอาทิตย์ที่  ๑๐  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ประกาศธรรมแทนฟ้าต้องระวัง อย่าพูดอย่างทำอย่างให้มัวหมอง
ประกาศธรรมแทนฟ้าตามครรลอง แม้รู้จริงยังตรองรู้รับฟัง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

การบำเพ็ญเน้นใจเป็นพื้นฐาน เหม่อทำการมักพบแต่อุปสรรค
ถ้าบำเพ็ญเน้นนอกข้องขัดนัก ใจจะหนักภยันตรายบุกคืบคลาน
กำลังใจพร่องแฝงจิตกลัดกลุ้ม ไฟสุขุมบำเพ็ญต้องดีมีขวัญ
รวมกันอยู่การยอมเรื่องสำคัญ มิตรสัมพันธ์ในลักษณะให้ก่อนรับ
อารมณ์คนเนื้อแท้ไม่ร้อนรน รู้ทันตนเรื่องเคืองโกรธระงับ
ปัญญาทำการชนะความยึดจับ จงประดับดีภายในสิ่งเจริญ
ทำบาปคละอยู่ทุกข์ไปเสมอ สิ้นละเมอเลือกอยู่และละสรรเสริญ
ฟ้าย่อมให้ทางเลือกมนุษย์เดิน ช่วยคนเดินหลังตนด้วยน้ำใจ
ชีวิตคนอย่าให้เงินเป็นเจ้า วัตถุเข้าตรึงตรามาอย่าหวั่นไหว
สติมั่นยิ่งผู้เป็นผู้ใหญ่ ทำอะไรให้อย่าใหญ่เกินงาม
ในจิตมีอคติอยู่เป็นมายา ทุกข์ใจมาเสี้ยมสอนคนบุ่มบ่าม
แยกแยะเป็นอาจใหม่ให้พยายาม เข้าใจตามการสร้างโอกาสรู้สำแดง
น้อยคนจักรู้จักตนเอง บรรดาเก่งรุกและถอยพลังแกร่ง
ปัญญาดีไม่ครั่นคร้ามพลิกแพลง ฝ่ากำแพงสำเร็จมุ่งเข็ดต้องจำ
ทำใจดีสู้เสือเถิดเมธี ท้อฤดีดั่งคนที่ตกน้ำ
ทุกเวลาไม่ประมาทธรรมเตือนย้ำ อนาคตธรรมมีผู้รักษาคือเรา
ปัญหาคู่ผู้ไม่อาจคลายสงสัย รักษาใจให้สะอาดทำตามก้าว
ทำดีไปได้ดีกรรมบรรเทา ทำดีเท่าทำได้งามบังควร
ฮา  ฮา   หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน  ท่านว่าอย่างไร (อยู่ทุกๆ หนทุกๆ แห่ง, อยู่ในใจของตัวเอง)  หาได้ยากที่คนอายุมากเช่นนี้แล้วกล้าลุกขึ้นตอบ ตบมือให้หน่อยนะ  เราเคยลงมายังเมืองมนุษย์หลายครั้ง ในโลกมนุษย์นี้หลายต่อหลายครั้งที่ผู้อาวุโสอายุมากจะไม่ค่อยกล้าลุกขึ้นตอบ  จะลุกขึ้นตอบสักทีหนึ่งก็ต้องเคี่ยวเข็ญเสียหลายครั้ง  แต่ท่านผู้นี้ต้องยกย่องให้แล้วว่าเป็นผู้ที่กล้ามาก  แล้วความศักดิ์สิทธิ์ความเป็นพุทธะแท้จริงนั้นอยู่ที่ใดกัน หากจะบอกว่าอยู่ที่ใจของท่านก็เรียกว่าถูก  หากจะบอกว่าอยู่ทุกๆ ที่ก็เรียกว่าใช่  หากจะบอกว่าอยู่ข้างหน้าหรืออยู่ข้างหลังก็ถือว่าใช่อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเถียงไหม  ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างหรือแม้กระทั่งตัวท่านเองนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็เป็นพุทธะให้คนกราบไหว้ได้เหมือนกัน  แต่ขึ้นอยู่ที่ไหนล่ะ ขึ้นอยู่ที่การกระทำ ถ้าท่านกระทำดี ปฏิบัติดี พูดจริง ทำจริง อย่างนี้เรียกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแดนโลก  แต่ถ้าท่านปฏิบัติได้ดี แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างขาดตกบกพร่อง ยังมีบางสิ่งบางอย่างทำได้แล้วไม่เต็มสมบูรณ์ คนก็ไม่อาจเรียกท่านว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สรรพสิ่งในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากเราเพ่งพินิจดูให้ดีๆ เราจะรู้ว่า  แต่ละสิ่ง แต่ละอย่างที่กำเนิดเกิดมาอยู่บนพื้นพสุธา อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเสกสรร หรือใครจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่ายๆ ตามอำเภอใจ จะทำได้   แต่ละอย่างนั้นต้องล้วนผ่านการศึกษาค้นคว้า แล้วเราถึงจะค้นพบว่าธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรานั้นช่างศักดิ์สิทธิ์เสียนี่กระไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะมีใครได้คิด นึกถึงอย่างถ่องแท้  ทุกชีวิตตื่นขึ้นมา สิ่งที่เราคิด นึกถึงกันก็เพียงแต่ว่า ทำอย่างไรตัวเราจะได้เงินได้ทอง ทำอย่างไรเราจะเลี้ยงชีวิตให้อิ่มหมีพีมัน ทำอย่างไร ตัวเราจะเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดได้หนึ่งวัน  โอกาสที่เราจะนึกถึงสิ่งรอบตัวนั้น    บางครั้งก็น้อย  โอกาสที่เราจะนึกถึงเรื่องธรรมะ บางครั้งก็ยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกวันเราคิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรให้เรารอด ทำอย่างไรให้เรามีชีวิตรอด แล้วมีชีวิตนั้นต้องเป็นรอดแล้วมีชีวิตที่เป็นสุข  ไม่ใช่รอดแล้วมีชีวิตอย่างทุกข์ หวานอมขมกลืน ท่านคงไม่อยากรอดแล้วมีชีวิตเช่นนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรกัน  ทำอย่างที่ทำทุกๆ วัน ที่บางครั้งก็ได้บางครั้งก็ไม่ได้หรือ ก็ไม่ใช่
เราเกิดมามีชีวิต เราต้องมีแนวทางของชีวิตที่ถูกต้องและดีงาม อย่าได้เกิดมาสักแต่ว่ามีชีวิตผ่านไปวันๆ หนึ่ง คุณค่าไม่สนใจ จะตายวันตายพรุ่งช่างประไร เช่นนี้เกิดมาก็เสียเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดมาทั้งทีขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าจะทำอะไร ไปทำแล้วดีหรือไม่ หากทำไปแล้วต้องมา   ทุกข์ทนเสียใจภายหลัง ใครล่ะจะช่วยท่านได้ จริงหรือไม่ (จริง)  หลายต่อหลายคนเกิดมาอยู่บนโลกนี้มีเรื่องเสียใจกี่ครั้ง มีเรื่องดีใจกี่ครั้ง หากลองนับดูแล้วมีเสียใจมากกว่าดีใจ หากนับดูแล้วยังไม่เริ่มต้นทำอะไรก็มีทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เราทุกข์ และอะไรที่จะช่วยทำให้เราดับทุกข์ได้ แล้วค้นพบความสุขที่แท้จริง
มีหลายต่อหลายคนพอเจอหน้าเราก็สงสัยแล้วว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า หรือว่ามาเล่นละครตบตากัน ความรู้จะเกิดได้ด้วยใฝ่ศึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัญญาจะเกิดได้ด้วยการทำเช่นไร  สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตเราใช่ทรัพย์สินเงินทองไหม (ไม่ใช่)  ทำไมเราเห็นหลายต่อหลายคน พอเงินหาย ทองหายร้องไห้อย่างกับจะเป็นจะตาย เคยไหม (เคย)  เคยใช่หรือไม่ แต่พอปัญญาความรู้ ความสามารถของเราหาย มีใครร้องไห้อย่างจะเป็นจะตายบ้างไหม มีไหม (ไม่มี)  คุณธรรมของเราหายไป กลายเป็นคนไม่มีความกตัญญู กลายเป็นคนคดในข้องอในกระดูก กลายเป็นคนไม่ซื่อตรง กลายเป็นคนไม่มีน้ำใจ เราเคยร้องไห้จะเป็นจะตายไหม (ไม่เคย)  ถ้าไม่เคยอย่างนั้นท่านก็สู้คนโบราณอย่างเราไม่ได้เลยนะ  คนโบราณเสียชีพอย่าเสียสัตย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ชีวิตจะตายก็ขอให้ความซื่อสัตย์คงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้แม้ตัวจะตายก็ขอให้มีเงินอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ตัวจะตายก็ขอให้รักษาหน้านี้ไว้ก่อนใช่ไหม  เป็นสิ่งที่เราพึงเห็นได้เลยว่าสังคมปัจจุบันกับสังคมบุคคลในอดีตนั้นแตกต่างกัน  ถ้าท่านเคยได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของบุคคลในสมัยก่อน รักษาคำพูดยิ่งกว่าชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  บอกว่าจะขายให้กับคนๆ นี้ แม้อีกคนจะมาเสนอให้ราคาที่สูงกว่า ยอมขายไหม (ไม่ยอม)  แต่ถ้าเป็นตัวเราล่ะ ยอมใช่หรือเปล่า (ใช่)  แถมโกหกอย่างหน้าเศร้ากับคนๆ แรกที่บอกว่าจะขายให้ว่าเสียใจด้วยจริงๆ เผอิญมีญาติมาซื้อไปแล้ว  หรือไม่ก็ปิดประตูลั่นกลอนเลย พอคนๆ นี้มาแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก โมโหโกรธาใส่เขาอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าเรามีชีวิตอยู่นั้น ทุกคนยอมทิ้งคุณธรรมความดีงามของตัวตนเองไปกับทรัพย์สินเงินทอง หน้าตา ชื่อเสียง ใช่หรือไม่ เช่นนี้เป็นการถูกต้องหรอกหรือ  แล้วลูกหลานเห็นท่าน เคารพไหม ก็ยากที่จะเจริญรอยตามได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หัวข้อก่อนที่ท่านจะลงไปทานข้าวก็คือหัวข้อกตัญญุตา เกิดเป็นคนนั้นหากพ่อแม่ของเรา แม้จะดีจะชั่วอย่างไรก็ตาม  เราซึ่งเป็นลูกของพ่อแม่ หรือเป็นบุคคลในครอบครัว หากรับคนในครอบครัวไม่ได้ หากรับพ่อแม่ที่สามวันดีสี่วันไข้ไม่ได้ แล้วจะให้ใครรักคนในครอบครัวเรา แล้วจะให้ใครรักพ่อแม่เรา แล้วจะให้ใครรักตัวเรา ในเมื่อครอบครัวเดียวกันเองยังรักกันไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันนี้ที่เรามา เราต้องการเรียกร้องสิ่งที่ได้จางหายไปจากจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนในสังคมปัจจุบันให้กลับคืนมาอยู่เหมือนเดิม  อยู่ให้เป็นแสงสว่างแห่งชีวิต อยู่ให้เป็นประทีปส่องทาง นำทางสู่ความสว่างไสว ไม่ใช่มืดมน  แล้วอะไรคือแสงสว่าง แล้วอะไรคือประทีปส่องทางสู่ชีวิต นั่นก็คือคุณธรรมในจิตใจของทุกๆ ท่าน  ความดีงามที่สิงสถิตอยู่ในใจของทุกๆ คน
มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครที่อยากทำความชั่วตั้งแต่เกิด   ตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่เด็ก สิ่งแรกที่ทุกคนอยากได้ก็คือความรัก ความอบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เกิดมาสิ่งแรกที่ท่านต้องการคือ เข่นฆ่า ดูถูกเหยียดหยาม ใช่หรือไม่  ไม่ใช่เลย  สิ่งแรกที่ท่านเกิดมาตั้งแต่เด็ก แม้จะจำความไม่ได้ แม้จะไม่รู้เรื่องอะไร แต่สิ่งแรกที่ท่านต้องการจากทุกๆ คน นั่นก็คืออ้อมกอดที่อบอุ่น  ความจริงใจที่ควรมีให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพื้นฐานของจิตใจท่านล้วนมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว  แต่เพราะสภาพแวดล้อม แต่เพราะความง่ายที่จะเผลอตามใจตัวเอง แต่เพราะมาตรฐานชีวิตของเราที่เอนเอียง ไม่ค่อยยุติธรรมจึงทำให้เราง่ายและเบี่ยงเบนที่จะไหลลงสู่ที่ต่ำ  แต่เพราะจิตใจของเราที่บางครั้งเห็นตัวเองมากเกินไป เข้าข้างตัวเองมากเกินไป จึงทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ตัดสินผิดพลาด ชอบทำเรื่องผิดๆ ถูกๆ สลับกันไป สลับกันมา ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แม้รู้จริงยังตรองรู้รับฟัง” ท่านนั่งอยู่ในที่นี้ถ้าไม่มีใจใฝ่ศึกษา การฟังก็จะไม่รู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อฟังไม่รู้เรื่องจะเรียนรู้ได้เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ)  การฟังเป็นพื้นฐานของความรู้  ความรู้เป็นพื้นฐานของการกระทำ การกระทำเป็นพื้นฐานของ         ภูมิปัญญา  ปัญญาจะเกิดได้ด้วยการลงมือกระทำ ใฝ่รู้อย่างเต็มที่   วันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกันจะเกิดปัญญาแห่งคุณธรรมได้หรือไม่ต้องอยู่ที่ว่าหูรับฟังหรือเปล่า ใจนี้เปิดรับหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าวันนี้นั่งอยู่ตรงนี้  หูรับฟังแต่ใจไม่พึงต้องการก็จะไม่ได้ความรู้ แล้วก็จะไม่เกิดปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญญาที่ท่านเรียนรู้มามีค่ายิ่งกว่าทรัพย์  แม้เงินจะหมด แต่ถ้ายังคงปัญญาอยู่  ปัญญาจะทำให้เราหาเงินได้ ปัญญาจะทำให้เรามีชีวิตต่อได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ชะตาใกล้จะขาด ไม่มีอาวุธอะไร ไม่มีความรู้อะไร  แต่ถ้ามีไหวพริบอยู่ชั่วขณะหนึ่งอาจต่อชีวิตให้ท่านอยู่ต่อได้จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ปัญญาต้องรู้จักใช้  หากมีปัญญามีความสามารถแต่ขาดซึ่งคุณธรรม คนนั้นคือบุคคลที่อันตรายของสังคม จริงไหม (จริง)   ทำไมจริงล่ะ อย่าเชื่อเรามากนะ (เพราะคนฉลาดใช้ปัญญาในทางที่ผิด)  เพราะหลายๆ คนพอมีความรู้ มีปัญญา มีความสามารถ แต่ขาดซึ่งคุณธรรมแล้วมักจะหลงตน จริงไหม (จริง)  เหมือนวันนี้ที่เรามา เราคิดว่าตัวเราคือพุทธะ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร  แต่เราใช้สายตาที่ดูถูกท่าน ใช้ภูมิปัญญาที่เหนือกว่าท่าน ข่มท่านทุกคำพูด อย่างนี้เรียกว่าใช้ถูกไหม (ไม่ถูก)  อย่างนี้จะเรียกว่าพุทธะไหม ไม่เรียก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา มีความสามารถ และเป็นที่ต้องการของผู้อื่นไหม (ไม่ต้องการ)  แม้เรายืนอยู่ตรงนี้ท่านก็อยากจะเชิญออก จริงหรือไม่ (จริง)
วางความสงสัยลงสักครู่ แล้วลองมาอยู่ร่วมกัน สนทนาธรรมกันดูบ้างจะเป็นอะไร  ชีวิตนี้ปรกติสิ่งที่ท่านพูดคุยกันไม่เรื่องคนโน้นก็เรื่องคนนี้ใช่ไหม ไม่ว่าคนนั้นก็ว่าคนนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้เรามาพูดคุยกันแบบมีธรรมะบ้างดีไหม  เปิดรับเราบ้างหรือเปล่าในใจดวงนี้  เราไม่ใช่บุคคลที่น่ากลัว และไม่ใช่บุคคลที่จะมาขออะไรท่าน จึงไม่ต้องกลัว เรามาพร้อมมีแต่จะให้ ให้เท่าที่เราจะให้ได้  แต่ยกเว้นเลขเด็ดๆ เท่านั้นที่เราไม่ให้
ฟังธรรมะไปวันครึ่งแล้วรู้สึกว่ามีอะไรพัฒนาในใจไปบ้างแล้วหรือไม่  (มี)
“การบำเพ็ญเน้นใจเป็นพื้นฐาน” วันนี้สิ่งที่เรามาศึกษากัน นั่นก็คือการนำธรรมะไปใช้ในการดำเนินชีวิต
หากสามารถนำไปใช้ได้ทุกขณะจิต ทุกขณะเวลา  แล้วสามารถเอาธรรมะนี้ไปขัดเกลาจิตใจ อบรมบ่มนิสัยให้ดีขึ้น นี่เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม  เมื่ออบรมบ่มนิสัยได้ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถนำธรรมะนี้ไปฉุดช่วยผู้อื่นด้วย นี่เรียกว่าการบำเพ็ญธรรมแล้วก้าวย่างอย่างการเป็นพุทธะ  ฟังง่ายๆ แบบนี้พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  การบำเพ็ญธรรมก็คือการลงแรงที่ตัวเอง ขัดเกลาที่ตนเอง รักษาจิต รักษาใจ รักษากายตนเองนี้ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม มีโอกาสฉุดช่วยเหลือ   ผู้อื่น โดยใช้หลักธรรมเป็นแนวในการนำพาชีวิตตนเองและชีวิตผู้อื่น นี่คือความหมายของการบำเพ็ญธรรม นี่คือความหมายของการมานั่งฟังธรรมะสามวันนี้ นี่คือจุดประสงค์หลัก  ส่วนจุดประสงค์ย่อยๆ เอาไว้เราค่อยพูดกันตอนอยู่    ร่วมกันในวันนี้ดีไหม (ดี)  เจาะลึกกันเป็นเรื่องๆ ไปดีหรือเปล่า (ดี)  เหมือนที่ท่านดูในทีวี เรื่องใดที่เป็นเรื่องของคนอื่น ยิ่งเจาะลึกเท่าไรยิ่งชอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดยเฉพาะเรื่องของคนที่กำลังเหม็นด้วย  เรื่องของคนที่หอมๆ ไม่เห็นมีใครสนใจเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“เหม่อทำการมักพบแต่อุปสรรค” วันนี้ท่านมานั่งฟังธรรมะ แต่ถ้าใจไม่มากับตัวด้วย  นั่งไปคิดเรื่องโน้น  คิดเรื่องนี้ แม้จะฟังอยู่ตรงนี้ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง จริงหรือไม่ (ใช่)
“ถ้าบำเพ็ญเน้นนอกข้องขัดนัก” ถ้าเกิดว่ามานั่งฟังธรรมะนี้ เราสนใจแต่เปลือกนอก  ตัวท่านมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกของคนบรรยาย ของสถานที่ ของนิสัยคน  เช่นนี้ย่อมไม่มีวันพบถึงแก่นแท้แห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะศึกษาสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนรู้นิสัยใจคอใครก็ตาม  อย่าได้มองแค่เครื่องแบบภายนอก อย่าได้มองแค่ตำแหน่งความรู้ที่เราได้ยิน  แต่จงมองให้ลึกๆ ถึงจิตใจและจุดมุ่งหมายที่เขาพูดกับเรา ที่เขาต้องการสื่อให้ท่านเข้าใจ ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร และเขาต้องการให้อะไรกับตัวท่าน  นี่คือการที่เราศึกษาเรียนรู้คนๆ หนึ่ง หรือรู้จักคนๆ หนึ่งโดยไม่ยึดติดเปลือกนอก  หากมองอะไรมองแค่เปลือกนอก ท่านจะไม่มีวันพบแก่นแท้ มองเห็นตัวตนหรือมองเห็นธาตุแท้ของคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น  ไม่ว่าจะทำอะไรอย่ายึดแค่ตาดูหูฟัง แต่ใจต้องพินิจคิดตามด้วยปัญญา ก็จะเกิด ความสว่างที่จะมองเห็นก็จะเห็นได้ เห็นแบบไม่ต้องมอง ฟังแบบไม่ต้องได้ยิน  นี่แหละเรียกว่าใช้ปัญญาแห่งธรรมะ ทำได้ไหม (ได้)  แต่ยากสักนิดหนึ่ง  เพราะเราอดจะติดตาดูหูฟังไม่ได้ ตาต้องเห็นสวยๆ  ถ้าเกิดคนขึ้นมาพูดแต่งตัวขาด  รุ่งริ่งท่านอยากฟังเขาไหม (ไม่อยาก)  แต่งตัวขาดรุ่งริ่งอย่างเดียวไม่พอ ยังถือขันมาวางไว้หนึ่งใบแล้วเตรียมจะพูด ท่านอยากฟังไหม ไม่ฟังหรอก  แถมยังมีซองกฐินมาหนึ่งซอง ฟังไหม (ไม่ฟัง)  เพราะกลัวโดนเขาขอเสียแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่ทันให้อะไรก็มาขอเสียแล้ว นี่คือจุดหนึ่งที่มนุษย์มักจะกลัวกันในการอยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เธอยังไม่ให้อะไรฉัน แล้วเธอจะมาขออะไรฉันอีก จริงไหม (จริง)
ในการอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มาก โดยเฉพาะกับคนที่ท่านยังไม่รู้จัก  หากเขามาแล้วขอท่านทันที ท่านคงไม่อยากจะรู้จักผู้นี้ และท่านคงไม่อยากร่วมกลุ่มกับบุคคลในกลุ่มนี้  แต่ถ้าเกิดว่าอยู่ร่วมกัน พอมาถึงมีแต่จะให้ มาถึงมีแต่จะส่งสิ่งที่ดีให้ ท่านย่อมอยากอยู่ร่วมด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นจุดเริ่มต้นในการ    อยู่ร่วมกับคนหมู่มาก  ฉะนั้นท่านต้องจำไว้อย่างหนึ่ง เวลาท่านลงไปอยู่ในสังคมที่มีคนหมู่มาก จงอย่าได้เรียกร้องในใจจากเขา  เราจงเป็นผู้เรียกร้องตัวตนเองว่าได้ให้อะไรแก่เขา แล้วเราจะเป็นผู้ถูกต้อนรับจากคนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกัน จงให้ก่อนแล้วค่อยรับ อย่าขอก่อน ยิ่งขอมากจะเป็นคนที่น่ารังเกียจ  คนขอมาก ท่านเกลียดเขาไหม (เกลียด, ไม่เกลียด)  ใครชอบบ้างยกมือขึ้น ใครไม่ชอบยกมือขึ้น  ใครชอบนิดหน่อยไม่ชอบเยอะยกมือขึ้น  ใครชอบเยอะไม่ชอบนิดหน่อยยกมือขึ้น  แปลว่าไม่ชอบมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเป็นเรา เราจะชอบ  เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรามีดีคนเขาจึงขอ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าท่านไม่ดี ใครจะมาขอจากท่าน จริงไหม (จริง)  คนไม่ขอท่านแปลว่าท่านไม่มีอะไรน่าให้ขอใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก้าวผิดเสียแล้วนะ
ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ อย่าให้ปัญญาหายไป อย่ามีแต่ความฉลาดมองตัวตนมาก  บ่อยครั้งที่เวลาเราอยู่ร่วมกันเราจะชั่งว่าเราได้หรือเราเสีย พอเราชั่งว่าเสียก็จะไม่คิดถึงปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งแรกที่เรานึกถึงเวลาเราอยู่ร่วมกันคือใครรักเรามากกว่าใคร ใครพูดดีมากกว่าใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครพูดดีกับเราใครพูดไม่ดีกับเรา ใครมีน้ำใจใครแล้งน้ำใจ ใครให้เงินใครขอเงิน ใครเคารพใครไม่เคารพ  สรุปแล้วเวลาเราอยู่ร่วมกัน สิ่งที่เรานึกกันเป็นเสียส่วนใหญ่คือผลได้ ผลเสีย  ไม่ได้อยู่กันด้วยน้ำใจ ไม่ได้อยู่กันด้วยคุณธรรม  แต่อยู่กันด้วยผลได้ ผลเสีย คนนี้ให้ประโยชน์เรามากคบไว้ไม่เสียหลาย คนนี้จริงใจพูดดีน่าฟังอยู่ใกล้ๆ ไว้ไม่ต้องเสียใจ  คนนี้พูดแต่ละคำล้วนทิ่มแทงหัวใจอย่าอยู่ใกล้ต้องนินทาเข้าไว้  ใช่หรือไม่
อย่างนี้เรียกว่าผู้บำเพ็ญ ผู้มีธรรมหรือก็ไม่ใช่  ปราชญ์เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นความว่างเปล่า  ชอบแล้วมีอะไรดีขึ้น ไม่ชอบแล้วมีอะไรสูญเสีย  ตั้งแต่โลกอนาคต ปัจจุบัน และอดีต หนีพ้นไหม เรื่องโลภ เรื่องชอบ เรื่องชัง หนีไม่พ้น  อยู่เฉยๆ  ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ นั่งเฉยๆ ก็มีทั้งเกลียดและชัง แล้วเวลาพูดก็เหมือนกัน ห้ามปากคนไม่ให้นินทาท่านได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทำก็นินทา ไม่ทำก็นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเพิ่มชอบเพิ่มชัง เพิ่มน่ารักไม่น่ารักลงไป  เหมือนความว่างเปล่าไหม  มองให้ดีๆ คือความว่างเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านทำดีที่สุดแล้ว ยังไงก็ต้องมีคนทั้งชอบและไม่ชอบ แล้วจะวัดกันทำไม แล้ว จะมาเลือกทำไมว่าอยู่กับคนที่พูดเพราะดีกว่า  คนที่พูดไม่เพราะอย่าไปอยู่ด้วย ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่  ถ้าท่านทำแบบนั้นแปลว่าตัวท่านนั่นแหละไม่ถูกต้องก่อนใช่หรือไม่  ตัวท่านยังหวังผลกับเขา แล้วตัวเขาละ  หากเขาพูดด้วยความหวังดี แม้เราจะเจ็บปวดบ้าง แม้จะทิ่มแทงบ้าง ทำไมต้องเสียใจ ต้องดีใจ เขาอยากพูดร้ายไม่เป็นไร แต่เราไม่ร้ายตามเขา  เขาอยากไม่มีน้ำใจไม่เป็นไร เราจะอยู่กับเขา ให้เขาเห็นว่าเรามีน้ำใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาคดโกงไม่เป็นไร   เราจะอยู่จนให้เห็นว่าเรานี่แหละคือคนไม่คดโกงในโลกคนหนึ่ง  นี่แหละคือคนที่รู้จักเอาธรรมมาใช้เป็นปัญญา เป็นแสงสว่างสู่ชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาเรื่องความรัก  ความชอบ  ความชัง  พูดเพราะ พูดไม่เพราะ  เคารพ ไม่เคารพมาวัด  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความว่างเปล่า  แล้วท่านจะหาอะไรในความว่างเปล่านี้ คว้าไปได้อะไรกลับมาไหม (ไม่ได้)  วิ่งไปแทบตาย จะทำให้เขารักได้อย่างไร เมื่อไม่รักก็ต้องไม่รัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากว่าท่านจะทำดีให้ถึงที่สุด คนที่ไม่รักอาจรักได้  คนที่เคยว่าร้ายไม่เคารพอาจจะเคารพได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือคุณธรรมง่ายๆในการอยู่ร่วมกัน เขาไม่มีเราต้องมี เขาทำไม่ได้เราต้องทำได้ นี่แหละคือ ยอดคน นี่แหละคือภูมิปัญญาของตัวมนุษย์ที่จะสามารถหาได้ ใช่หรือไม่  ผู้บำเพ็ญธรรม  ตอนนี้ยังอยากจะเกี่ยงฟังคำพูดเพราะพูดไม่เพราะอีกหรือเปล่า จงคิดให้ดีๆ  ยิ่งบำเพ็ญธรรมแล้ว เราบำเพ็ญเพื่อความว่างเปล่า เราบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้น ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อให้เขาเคารพ เขารัก เขามีน้ำใจ  อย่างนี้ยังเรียกว่าผู้บำเพ็ญหรือ  ในท่ามกลางความมีรูปลักษณ์  เราต้องค้นพบความว่างเปล่า  เราต้องไม่ยึดติด จริงหรือไม่ (จริง)  ยิ่งยึดยิ่งผูกมัด คนที่เจ็บก็คือ คนยึดคนผูกมัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้จงอยู่อย่างมีสติ และมีปัญญาแห่งธรรม
“อารมณ์คนเนื้อแท้ไม่ร้อนรน” ใครใจร้อนบ้าง ใครขี้โมโหบ้าง ผู้ปฏิบัติงานธรรมมีไหม  แต่เดิมมานั้น  เรามีนิสัยแบบนี้หรือไม่ จู้จี้จุกจิกมีหรือเปล่า ฉุนเฉียวง่ายมีหรือไม่ (ไม่มี)  ทำไมเราจึงบอกว่าไม่มี  โดยธรรมชาติของเราแล้ว เราเป็นคนที่โมโหทั้ง ๒๔ ชั่วโมงหรือไม่ (ไม่)  ถ้ามีโมโหทั้ง ๒๔ ชั่วโมง เราเชื่อแล้วว่าท่านเป็นคนขี้โมโหจริงๆ   อย่าได้ยอมรับว่าตัวท่านเป็นคนขี้โมโห เมื่อไรที่กล้ายกมือยอมรับ เมื่อนั้นต้องกล้ารักษาไม่ยอมล้างออกถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อใดไม่กล้ายกมือยอมรับแต่ในใจรู้อยู่พยายามล้างอยู่ นั่นก็คือเราพร้อมที่จะชะล้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ายกมือด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ไม่มีวันล้างทิ้งได้แน่ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเวลาเรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นในการมีชีวิต  มีแล้วเป็นทุกข์ มีแล้วเจ็บปวดใจ มีแล้วพอโมโหทีหนึ่งต้องมาเสียใจภายหลัง  ก่อนที่จะมีจงคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
รวมกันอยู่ดีกว่าแยกกันอยู่ใช่หรือไม่  แม้จะมาจากต่างที่ต่างแดนกัน  แต่ถ้าสามารถมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เดินไปไหนเราไม่ต้องกลัวเหงาเปล่าเปลี่ยวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องตรวจสอบใจของเราด้วยว่า ใจของเรานั้นเป็นหนึ่งร่วมกับคนในนี้หรือไม่  ใจเรานั้นสามารถรักษาความเป็นหนึ่งได้อยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า หากรักษาความเป็นหนึ่งได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดย่อมสำเร็จได้ง่าย  แต่ถ้าเกิดว่าทำอะไรก็ตาม แม้กระทั่งนั่งฟังตรงนี้ หากใจแตกแยกเป็นสอง สาม สี่  แม้จะฟังข้างหน้าด้วยสมาธิ  ด้วยสติ ก็ฟังได้ไม่รู้เรื่อง  ใช่หรือไม่  (ใช่)
“ทำบาปคละอยู่ทุกข์ไปเสมอ” คนที่ทำผิดมากๆ เข้า จิตใจเหมือนจมอยู่ในความทุกข์มืดมน  ชีวิตของมนุษย์นั้น  หากนับสิบส่วน มีกี่ส่วนที่ทุกข์ (สองส่วน, ห้าส่วน, แปดส่วน, เก้าส่วน, สิบส่วน)  ท่านมีสิบส่วนเพราะตัวใหญ่หรือ (เพราะมีทุกข์สิบส่วน จึงต้องใฝ่หาธรรมจึงจะละลายทุกข์ไปได้ทั้งหมด)  เรามารู้วิธีละลายทุกข์กันดีหรือไม่  (ดี)  ถ้าท่านจะละลายได้ เราแนะวิธีให้ทุกมื้อเย็นอย่ากินข้าวละลายได้ครึ่งหนึ่งเลยนะ เราไม่ได้พูดเล่น ของมัน ของทอดตัดทิ้ง อย่าเพิ่งหัวเราะนะ เราพูดจริงๆ  หลายต่อหลายคนพูดกันเรื่องปากเรื่องท้องมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจปากตามใจท้องมาก บำรุงเลี้ยงร่างกายมาก ก็เลยต้องทุกข์มากหน่อย  ชีวิตของมนุษย์เราที่ต้องทุกข์ก็เพราะรักตัวตนนี้มากเกินไป ถ้าปล่อยวางบ้างไม่รักบ้างจะทุกข์น้อยลง  เหมือนตัดอาหารสักมื้อหนึ่งให้กับชีวิตได้บ้าง จะทุกข์น้อยลงไปอีกใช่หรือไม่  อะไรที่ไม่ดีตัดลงไปบ้างจะทุกข์น้อยลงใช่หรือไม่
มีคำๆ หนึ่งที่มนุษย์บนโลกนั้นพูดถึงนั้น ก็คือ “ใฝ่สูงเกินความเป็นจริง” ใช่ไหม (ใช่)  เราลองมาคิดคำนี้ให้ดี ท่านช่วยเขียนคำนี้ให้เราหน่อยนะ แล้วลองนึกให้ดีๆ ว่าคำว่าใฝ่สูงเกินความเป็นจริงนั้นหมายความว่าอะไร (ทะเยอทะยาน)  ถูกต้องตามความหมายที่มีกันในมนุษย์โลก แต่ถ้าคิดถึงความนัยแล้วลองมองให้ดีๆ  ปกติท่านใช้เงินรับประทานอาหารทั้งวันเท่าใด เคยคำนวณไหม ประมาณเท่าไร (สามร้อยบาท)  สามร้อยสำหรับคนร่ำรวยใช่หรือเปล่า ตกมื้อละร้อยเลยนะ คนฐานะปานกลางประมาณเท่าใด หนึ่งร้อย คนฐานะที่ยากจนหน่อยประมาณห้าสิบ สามสิบ  คงไม่ถึงสิบบาท ถ้าอย่างนั้นท่านต้องอดสักมื้อหรือสองมื้อแล้วใช่หรือไม่ เสื้อผ้าท่านใส่วันหนึ่งกี่ชุด อย่างมากที่สุดสองชุดใช่หรือไม่ บ้านท่านอยู่กี่หลัง อยู่ได้ครั้งหนึ่งวันหนึ่งต่อชีวิตก็หลังเดียวใช่หรือไม่ หรือตลอดชีวิตก็หลังเดียวใช่หรือไม่ ถ้าเพิ่มรถจะขับได้กี่คัน (คันเดียว)  คันเดียวใช่ไหม แม้จะมีสิบคัน วันนี้ก็ขับได้คันเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความจำเป็นของทุกๆ วันที่ต้องใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่เหลือท่านโยนทิ้งเสีย ถูกหรือไม่ เพราะว่าอะไร (เกินความเป็นจริง)  จริงหรือไม่ (จริง)  เกินไหม (เกิน) แล้วท่านใฝ่สูงไหม ใฝ่สูงด้วยใช่หรือไม่ ถ้าลบสองคำว่า "ใฝ่สูง" ทิ้ง  ทุกวันที่ท่านหา เกินความเป็นจริงไหม (เกิน)  แล้วสิ่งที่เกินความจำเป็นต้องขึ้นที่สูง เหนื่อยไหม  แล้วขึ้นไปแล้วใช้หมดไหม (ไม่หมด) จริงหรือไม่ (จริง)  หาไปเพื่ออะไร  เพื่อใฝ่สูงเกินความเป็นจริงใช่หรือไม่  แต่พอเราบอกว่าให้ทุกท่านลองฝึกฝนความเป็นพุทธะ  ให้ทุกท่านรู้ตัวตนเองว่าตัวเองมีความเป็นพุทธะอยู่ในใจตน   ให้ฝึกฝนเป็นพุทธะ ให้ลองฝึกเป็นอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทุกคนมักจะพูดว่าใฝ่สูงเกินความเป็นจริง  คิดให้ดีๆ แล้วไม่ใช่ เพราะพุทธะล้วนเกิดได้จากกายมนุษย์นี้   พุทธองค์ก่อนที่ท่านจะสำเร็จ ท่านล้วนเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระโพธิสัตว์กวนอิม ก่อนที่ท่านจะสำเร็จก็เป็นคน ท่านทิ้งทรัพย์สิน  ชื่อเสียง  เพื่อไปแสวงหาธรรม  แต่การบำเพ็ญธรรมยุคนี้ไม่ต้องทิ้งทรัพย์สิน ชื่อเสียง แต่เราจะทำอย่างไร  เราจะพูดให้ท่านฟัง  แต่อยากให้ท่านเชื่อมั่นก่อนว่า การฝึกฝนความเป็นพุทธะไม่ใช่เรื่องใฝ่สูงเกินความเป็นจริง ขอเพียงท่านมีใจเชื่อมั่น และมีปณิธานความตั้งมั่น หรืออุดมคติอย่างมุ่งมั่นไม่ลังเล  ไม่ใช่เรื่องใฝ่สูงเลย  ทำไปเถิด  แม้วันนี้ แม้ชีวิตนี้ยังไม่เป็น ยังไม่สำเร็จ  แต่ท่านจะสามารถบำเพ็ญต่อได้  อาจจะไม่ใช่ชาตินี้สำเร็จ แต่อาจจะมีโอกาสกลับมาเกิดในชาติใหม่ เพราะได้บำเพ็ญดีจึงมีโอกาสได้บำเพ็ญต่อ  แต่ถ้าชีวิตนี้เอาแต่หาเงินทอง ไม่เคยทำดี  โอกาสที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์  เราบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สภาวะธรรมหาได้ที่ใด  ในเมื่อเราจะฝึกฝนความเป็นพุทธะ เราต้องหา สภาวะธรรมก่อนว่าธรรมะค้นหาได้ที่ใดหรือสภาวะธรรมมีอยู่ที่ใด  เราถึงจะบำเพ็ญธรรมได้  สภาวะธรรมแท้ที่จริงแล้วไม่ได้อยู่ไกลเกินตัวเลย  อยู่บนโลก ใบนี้ อยู่ในโลกที่เป็นมายา โลกที่โสมมแห่งนี้  แล้วก็อยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนนี้ ที่วันหนึ่งดีวันหนึ่งไม่ดีนี่แหละ มีสภาวะธรรมอยู่ มีธรรมอยู่ ดังคำกล่าวที่ว่า  บัวเกิดได้ในโคลนตม  พุทธะก็ย่อมเกิดได้ในแดนมนุษย์ ใช่หรือไม่  ท่านดูง่ายๆ  ทำไมเราจึงบอกว่าในโลกนี้มีสภาวะธรรม  เมื่อไรที่ท่านเห็นคนฉ้อฉล ท่านจะรู้ว่าต้องซื่อสัตย์  จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อไรที่ท่านเห็นคนแล้งน้ำใจ ไร้ความกรุณาปรานี  ท่านจึงเรียกความกรุณาปรานีออกมาจากใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน  ต้นไม้ที่เติบโต สรรพชีวิตที่เติบใหญ่ล้วนมีรากฐานอยู่บนพื้นดินอันโสมมนี้
ความเป็นพุทธะก็เฉกเช่นเดียวกันท่านจะหาได้จากที่ใด  สภาวะธรรมจะค้นหาได้จากที่ใด  ก็ค้นได้จากบนโลกใบนี้  ท่านมองดูนะ ตัวเราเท้าเหยียบดิน  ศีรษะอยู่บนฟ้า นั่นแสดงความนัยว่า แม้พื้นดินหรือบนโลกใบนี้จะโสมมเพียงใด  แต่ชีวิตจิตใจจะต้องมีหนึ่ง มุ่งตรงสู่เบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เท้าจะโสมมเพียงใด แต่หัวหรือศีรษะนี้จะต้องขึ้นสู่ความสว่างใส  นี่คือนัยที่พุทธะหรือผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตต้องการบอกมวลมนุษย์ สังเกตว่าไม่ว่าต้นไม้ สรรพชีวิตทุกชนิดล้วนมีต้นกำเนิดจากดินใช่หรือไม่  แล้วจากดินกลั่นกรองสิ่งที่ดีเติบโตขึ้นสู่เบื้องฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความนัยนี้ คือธรรมะที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ และนี่คือธรรมที่แฝงอยู่ในตัวตนที่ท่านต้องเป็นผู้ค้นพบ
จุดมุ่งหมายในการศึกษาหลักธรรมนั้น  ก็คือให้เรารู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในรูปลักษณ์ที่อายตนะสัมผัสลงบ้าง แล้วใช้จิตใจอันบริสุทธิ์เที่ยงธรรมมองสรรพชีวิต มองทุกๆ ชีวิต ด้วยความเที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ ใจกว้าง หากทำได้เช่นนี้ ปัญญาของท่านจะทำให้ท่านหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง หลุดพ้นจากตัวตนแห่งตน และสามารถชำระล้างความสกปรกโสมมในชีวิต กลายเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สะอาด ใส อยู่บนโลกนี้อย่างมีคุณค่า และเป็นพุทธะผู้ประเสริฐ ฟังเราแล้วเข้าใจไหม  เราอยากพูดง่ายๆ นะ เพราะถ้าเราพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ท่านก็จะเบื่อ
เป็นมนุษย์ง่ายแต่เป็นพุทธะยากเหลือเกิน แม้จะสำเร็จแล้วก็อดเป็นห่วงเวไนยสัตว์ไม่ได้ หลายต่อหลายคนยังหลงในโลก ยังหลงในแสงสี ยังหลงในรูปลักษณ์ ยังหลงในสิ่งที่ได้ยิน ยังหลงในสิ่งที่ตามองเห็น  แต่ท่านลองคิดดูวันนี้ได้เห็นเขาสวย แต่พรุ่งนี้ความสวยของเขาจะยังคงอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แล้วจะเห็นไปเพื่ออะไร ล้วนคือความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้วันนี้จะมีรถขับ แม้วันนี้จะมีเงินเต็มกระเป๋า แม้วันนี้จะมีเกียรติยศชื่อเสียง มีความสุขมากมาย  แต่พรุ่งนี้จะทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นขอให้ท่านรู้จักนำธรรมไปปฏิบัติกับตนไปรักษาตน  เมื่อใดที่สามารถเอาธรรมมารักษาชีวิต เมื่อนั้นธรรมจะคุ้มครองชีวิต แต่จงเชื่อมั่นในธรรมก่อน หากไม่เชื่อมั่นในธรรม ธรรมก็จะไม่รักษาชีวิตของใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะช่วยแม้มีชีวิตและไร้ชีวิต มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะช่วยท่านแม้จะมีเงินหรือไม่มีเงิน มีเพื่อนหรือไม่มีเพื่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะอยู่คู่ใจท่านแม้จะมีใครหรือไม่มีใคร ฉะนั้นจงบำเพ็ญธรรม  เสียเถิดวันนี้ ทำได้ไหม (ทำได้)
 “ฟ้าย่อมให้ทางเลือกมนุษย์เดิน” ฉะนั้นตอนนี้ท่านเหมือนคนที่เดินมาถึงทางแพร่ง ทางแพร่งนี้มีทางให้ท่านเลือกเดิน หนึ่งกลับไปเป็นเหมือนเดิม สองเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ท่านเลือกเอานะว่าหลังจากฟังวันนี้ไปท่านจะเลือกเดินทางไหนกับตัวตนเอง แม้ตัวเราเองก็บังคับท่านไม่ได้  แม้ฟ้ากำหนดชะตาชีวิตท่านมา แต่ก็บังคับให้ท่านเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เหมือนกัน  พุทธะมีอยู่อย่างหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือชี้นำทางสว่าง ส่วนจะเดินหรือไม่เดินคือตัวท่านเอง จริงหรือไม่ (จริง)
 “ช่วยคนเดินหลังตนด้วยน้ำใจ” วันนี้ท่านได้รู้แล้วว่าชีวิตเรามีทางเลือกทางหนึ่งที่เป็นทางสว่าง ทางเลือกทางหนึ่งที่เป็นทางประเสริฐแห่งชีวิต  เมื่อรู้แล้วจงบอกต่อได้หรือไม่ (ได้)  อย่างนั้นเราขออย่างหนึ่ง ขอให้ท่านมีโอกาสนำสิ่งนี้ไปบอกต่อ อย่าได้เป็นคนที่อยู่บนโลก แล้วมองไม่เห็นโลก  เคยได้ยินหรือไม่  “อยู่บนฟ้าไม่รู้จักฟ้า อยู่ในน้ำไม่รู้จักน้ำ อยู่บนดินไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง”  นี่คือความเศร้าใจของการเกิดเป็นคน ใช่หรือไม่
ทำไมใจถึงไม่อยู่นิ่งเลย นั่งฟังเราได้แต่ต้นประโยค ท้ายประโยคก็ฟังไม่รู้เรื่อง นั่งฟังเราต้นประโยครู้เรื่อง กลางประโยครู้เรื่อง แต่สุดท้ายไม่เข้าใจ เป็นเพราะอะไรกัน  มัวแต่ห่วงกังวลร่างกาย มัวแต่ห่วงกังวลชีวิต มัวแต่ห่วงกังวลอนาคตกันหรือ  ตอนนี้ทำให้ดี อนาคตจะห่วงอะไร  ตอนนี้ไม่คิดให้ถูกต้องแล้ว จะไปคิดได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงเรียบเรียงความคิดให้ถูกต้องก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะช้า แม้ถ้าเกิดว่าไปแล้วไม่ถูกต้อง สู้ถอยหลังกลับมาคิดไม่ดีกว่าหรือ
ท่านที่ตอบเราลุกขึ้น ท่านอยากได้อะไรบนโต๊ะพระ (ส้ม, แอปเปิ้ล,อะไรก็ได้แล้วแต่ท่านจะเมตตา) เอาอะไรดี (เอาสิ่งที่ดีที่สุดหรือไม่ก็แย่ที่สุด)  ทำไมต้องแบ่งแยกด้วยล่ะ (เอาความดี)  อะไรที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด  นั่นก็คือชีวิตของตัวเราเอง อยู่ที่เราจะมอง มองแล้วทำได้หรือเปล่า หากมองแล้วว่าชีวิตนี้แย่ที่สุดจงเปลี่ยนให้ดีที่สุด จากดีที่สุดก็ต้องรักษาให้ดีเรื่อยๆ ไป การทำดีทำง่าย แต่รักษาดีให้คงอยู่นั้นยากยิ่งนัก ใช่หรือไม่
เกิดเป็นคนหากไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้  จะรู้ไปหมดเสียเลยก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำตัวอย่างไรดีล่ะ  กับคนที่รู้ต้องทำตัวเหมือนไม่รู้ กับคนที่ไม่รู้จงช่วยแนะนำให้เขาได้รู้ นี่คือการทำตัวที่ถูกต้อง  กับคนที่ดีจงทำตัวเซ่อๆ ซ่าๆ ไว้จะปลอดภัย กับคนที่คดในข้องอในกระดูกจะทำอย่างไรดี (มีสัจจะ ซื่อสัตย์ รักษาสัญญา)  มีคำพูดว่ากับคนที่ดีจงดีตอบ กับคนที่ร้ายจง (ร้ายตอบ) กับคนที่ร้ายจง (ดีตอบ) นึกแล้วว่าท่านจะต้องเปลี่ยนคำตอบ  ขณะนี้ใจท่านยังไม่พร้อมใช่หรือไม่ ย่อมเปลี่ยนสักวันหนึ่งจนได้  กับคนที่ร้ายจงใช้ความเที่ยงธรรมตอบ กับคนที่ร้ายท่านอย่าร้ายตอบ  เพราะไม่เช่นนั้นทำดีมาสิบปี ก็เสียไปแล้ววันหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าทำเสียเพราะคนที่ไม่ดี และเวลาทำดีอย่าได้ขี้น้อยใจจริงไหม (จริง)  ทำดีแล้วทำไมขี้น้อยใจกันจริงก็ไม่รู้ ผู้บำเพ็ญว่าอย่างไร  พอทำดีไม่ได้ดี เราก็น้อยใจ ไม่ได้ดีก็ไม่ทำ  ไม่ได้ดีก็จงทำ นี่แหละเป็นการพิสูจน์ว่าเราดีจริงหรือไม่  เขาร้ายอย่างไร เราก็จงทำดีกับเขา แต่ดีแบบไหน ดีแบบอะลุ่มอล่วย นอบน้อม  ไม่ใช่ดีแบบเอาความดีไปสาดให้เขาเห็น เช่นนั้นเรียกว่าประชดประชัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่จะสามารถฉุดช่วยคนในโลกนี้ได้ มีตัวท่านเท่านั้นแหละที่จะเป็นพุทธะบนโลกนี้ได้ และมีแต่คนร้ายเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านได้เป็นพุทธะบนแดนดินนี้ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นจงดีใจที่เจอคนขัดแย้ง จงดีใจที่เจออุปสรรค และจงดีใจเมื่อยืนอยู่บนความยากลำบากเมื่อทำดี เพราะความลำบากทำให้เราเรียนรู้จากความดีที่   แท้จริง  ความสบายทำให้เราหลงตนและขาดความระมัดระวัง ฉะนั้นยิ่ง       เจอคนร้ายจงรักษาดีให้มั่นคง   ยิ่งเจอคนดียิ่งต้องรักษาความดีให้อยู่ตลอดไป นี่แหละคือการบำเพ็ญตน นี่แหละคือการที่รู้จักเอาปัญญาแห่งธรรมมาใช้      จุดความสว่างให้กับชีวิต
ฟังแล้วทำไมยังง่วงนอนกันอีก  พุทธะเคยกล่าวว่าเมื่อใดที่ได้รับฟังธรรมะ ความเป็นพุทธะย่อมชุ่มชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่เมื่อใดมารได้ฟังธรรมย่อมหดหู่หมดแรง หมดอิทธิฤทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ท่านกำลังเป็น  อย่างไรกัน กระปรี้กระเปร่าหรือหมดอิทธิฤทธิ์  ก็ขอให้กระปรี้กระเปร่า ไม่ใช่  หดหู่ห่อเหี่ยวนะ
“ชีวิตคนอย่าให้เงินเป็นเจ้า วัตถุเข้าตรึงตรามาอย่าหวั่นไหว”
หากมีอีกเส้นทางหนึ่งก่อนที่จะถึงห้องพระ  ทางนั้นมองไปแล้วเห็นทองสว่างไสว ท่านจะไปไหนก่อน รองหัวหน้าลองตอบบ้างสิ (ส่วนใหญ่ก็จะเดินไปหาทองก่อน)  เอาจากใจท่านไม่เอาส่วนใหญ่
(จากใจถ้าหนทางที่เดินไปพบทองก็จะเดินไปหาทองก่อน) ท่านอื่นล่ะ เราจะดูเสียงส่วนใหญ่นะ  ไหนผู้ร่วมฟังไปด้านทองดีหรือไปด้านห้องพระดี (ห้องพระ)  ห้องพระหรือ อย่างนั้นรองหัวหน้านำผิดแล้วนะ  จริงๆ รองหัวหน้าพูดถูกแล้วนะ  คนส่วนใหญ่เลือกไป (หาทอง)  จึงทำให้น้อยคนนักแม้ห้องพระจะกว้าง ประตูจะเปิดอ้าก็ไร้คนเดินเข้าหา  เพราะหลายต่อหลายคนเมื่อเริ่มต้นมีชีวิตมักเดินไปหาทองมากกว่าหาธรรม ใช่ไหม (ใช่ )  หากินมากกว่าหาการมีชีวิตอยู่อย่างมีค่าใช่ไหม (ใช่)  จึงทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินทางมาถึงห้องพระอย่างสง่าผ่าเผย  แม้จะเดินมาในใจก็คิดว่าน่าจะเดินกลับไปใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี  นั่นก็คือตัวท่านนั้นต้องเอาชนะความเคยชิน  เอาชนะความเป็นตัวตนในอดีต แล้วเดินอย่างกล้าหาญฝ่าความเคยชินนี้เพื่อมาค้นหาธรรม  หากว่าหลังจากฟังวันนี้ไปหรือหลังจากฟังจากเราไปจนจบแล้ว แต่ถ้าท่านไม่มีความกล้าหาญที่จะฝ่าความเคยชิน ไม่กล้าหาญที่จะกล้าฝ่าความปรารถนาในใจตน ท่านจะไม่มีวันเดินมาถึงห้องพระอีกเลยนับจากหมดสามวันนี้ไปจริงไหม (จริง)  เพราะเราเห็นมาหลายชั้นแล้วนะ เห็นมนุษย์มามากหน้าหลายตา ตาใสๆ อย่างนี้แหละหน้าตาบ้องแบ๊วอย่างนี้แหละ ปากก็พูดว่ามาธรรม แต่เอาเข้าจริงๆ เป็นอย่างไร หายไปทั้งตัวและหัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าฝืนความรู้สึกตัวเอง  ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝืนความเคยชินที่ตั้งแต่เกิดมามีชีวิตจนถึงปัจจุบันไม่เป็น แต่ถ้าฝืนได้หนึ่งครั้ง ท่านจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย และไม่ใช่เรื่องที่ไร้คุณค่าเลย เป็นเรื่องที่มีค่ายิ่งนัก เกิดเป็นคนไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง ตายอยู่บนกองเงินกองทองกับตายอยู่บนมหาธรรมอันยิ่งใหญ่หรือธรรมที่ได้ปฏิบัติดีแล้ว ตายอย่างไรมีค่ามากกว่ากัน ไม่ต้องตอบ ให้ไปคิดเองแล้วกัน  ตอนนี้เปลี่ยนจากฟังเรามาดูเนื้อหากลอนบ้าง  เราให้ไปแล้วให้ท่านลองคิดว่าแต่ละวรรคๆ ที่เราให้ไม่ใช่สักแต่จะให้ แต่ล้วนมีความหมายแฝงอยู่ภายใน
“ในจิตมีอคติเป็นมายา” ตอนต้นเราได้กล่าวไว้ว่ามาตรฐานความเที่ยงธรรมในจิตใจมนุษย์นั้นจะมีความเอนเอียงและเข้าข้างตนเป็นส่วนใหญ่  ทำให้เวลาอยู่ร่วมกันแม้จะพูดว่ามีเหตุผล แม้จะพูดว่ามีความคิด มีความเข้าใจ แต่ละเหตุผล แต่ละความเข้าใจของแต่ละคนเมื่อมาอยู่ร่วมกันในสังคมแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่ามาตรฐานไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไร แต่ละคนเหตุผลล้วนเข้าข้างตน แต่ละเหตุผล แต่ละความเข้าใจล้วนมีภูมิที่ไม่เท่าเทียมกัน ใช่ไหม (ใช่)  แม้จะอยู่ร่วมกันอย่างมี เหตุผล แต่ถ้าเกิดต่างคนต่างเหตุผล ต่างคนต่างยึดมั่น  เหตุผลและความยึดมั่นนั้นจะไม่สามารถทำให้อยู่ร่วมกันแล้วดำเนินงานได้อย่างสำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้  ฉะนั้นสิ่งใดที่จะมาคอยใช้ในการตรวจสอบจิตใจของเรา  นั่นก็คือในโลกมนุษย์มีสองสิ่งที่แย้งกันอยู่เสมอ ก็คือน้ำกับไฟ  น้ำมีลักษณะเป็นเช่นไร (เหลว, เย็น, สามารถเปลี่ยนรูปได้ตามสภาวะที่อยู่)  น้ำหากมองตามลำธารก็จะไหลไม่หยุดนิ่ง ไปเรื่อยๆ ไม่สามารถตัดขาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะตัดขาดได้ น้ำก็สามารถทะลุทลวงผ่านวันใดวันหนึ่งจนได้  แล้วไฟมีลักษณะเป็นเช่นไร (สามารถที่จะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างได้, มีความร้อน, ทำให้ร้อนรุ่ม)  ทำไมเราถามเรื่องง่ายๆ เพราะอยากให้ท่านได้ตอบแล้วเราจะได้ประทานผลไม้ได้
ไฟมีความร้อน น้ำมีความเย็น  ไฟเผาสิ่งใดก็ทำให้ร้อนรุ่ม  แล้วชีวิตนี้การแสดงออกอะไรที่เหมือนไฟ อะไรที่เหมือนน้ำ (ไฟก็คือความโมโหโกรธง่าย, ไฟคือความชั่ว น้ำคือความดี)  หลายต่อหลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้  แต่เราจะอธิบายเพิ่มเติมว่า ในไฟนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้ชั่วไปเสียทั้งหมด (ไฟเหมือนใจที่ร้อน, ไฟคือสิ่งที่ให้แสงสว่างยามกลางคืน, ไฟสามารถนำไปหุงหาอาหารได้, ไฟสามารถเผาผลาญสิ่งต่างๆ ได้)  แล้วไฟกับน้ำเหมือนอะไรในชีวิตเรา (ไฟจะให้ประโยชน์ถ้าเราใช้ให้ถูกต้อง, ไฟมีความร้อน แต่น้ำมีความเย็นอย่างสดชื่น, มีไฟกับน้ำเท่ากัน)  ควรจะมีไฟกับน้ำให้เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีแต่น้ำก็ไม่ดี หากมีแต่ไฟก็ไม่ดีเช่นกัน
ทำไมเราจึงบอกว่าไฟกับน้ำคือสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตเรา  สิ่งที่เรียกว่าผ่อนปรน อะลุ่มอล่วยตามใจเปรียบเหมือนน้ำ ในใจเรามักชอบผ่อนปรนตัวเอง อะลุ่มอล่วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งที่เข้มงวดกวดขันลงแรงจริงจังนั่นคือไฟ  หลายต่อหลายคนมักชอบเล่นน้ำ แต่กลัวไฟใช่ไหม (ใช่)  อย่างที่เราบอกว่า น้ำทำให้คนตายมาเยอะแล้ว แต่ไฟนับจำนวนได้น้อยเต็มที  ถ้าไม่ประมาท ไฟก็จะไม่ทำร้ายเขา จริงหรือไม่ (จริง)
อย่างนั้นเรามาพูดกันต่อว่าสองเรื่องที่เราต้องการจะพูดกับท่าน นั่นก็คือ ความเข้มงวดกับความอะลุ่มอล่วยผ่อนปรน  มนุษย์ทุกคนมักจะเข้มงวดผู้อื่น ผ่อนปรนตัวเอง คำโบราณกล่าวไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องเข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น”  แล้วคำว่าเข้มงวดคือการทำสิ่งใด ผ่อนปรนคือการทำสิ่งใด  ท่านผู้นี้กล่าวไว้ก็มีส่วนถูกต้อง  เข้มงวดก็คือเข้มงวดกวดขันตนเอง รู้จักระมัดระวังควบคุมตนเอง ผ่อนปรนนั่นก็คือไม่เอาสิ่งที่เข้มงวดของตนเองไปเข้มงวดคนอื่น รู้จักผ่อนปรนให้แก่เขา  แต่การผ่อนปรนนั้นบางครั้งต้องดูด้วย  หลายต่อหลายคนเริ่มต้น   ตั้งแต่เด็กค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่  ถ้าเด็กเกิดมาถูกพ่อแม่ตามใจเสียทุกอย่าง ผ่อนปรนอะลุ่มอล่วย เด็กเกิดมาจะเป็นคนเสียคน จริงหรือไม่ (จริง)  จะไม่สามารถเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างเข้มแข็งได้  การปล่อยตามใจจึงไม่ใช่สิ่ง  ที่ดี  การเลี้ยงลูกด้วยน้ำอย่างเดียวจึงไม่ถูกต้อง  เมื่อไรที่เลี้ยงลูกด้วยพระคุณ แต่ไม่เลี้ยงลูกด้วยพระเดช ความผิดพลาดของลูกจะเกิดขึ้น  นั่นก็คือเมื่อไรที่ชีวิตเราปล่อยตัวปล่อยใจตามอิสระตามความเคยชิน ไม่รู้จักเข้มงวดกวดขัน ความสำเร็จจะไม่มีในชีวิต  ชีวิตของตนเองจะเอาแน่นอนไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจะง่ายที่จะไหลลงสู่เบื้องต่ำ  เพราะการทำอะไรก็ได้ เอาอะไรก็ได้ ง่ายๆ ก็ได้ สบายไว้ก่อนดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย  นี่คือคนที่รักแต่น้ำแล้วใช้ไฟไม่เป็น  แต่คนบางคนเข้มงวดคนอื่นและเข้มงวดตนเองด้วย แต่ขาดซึ่งน้ำ  จะเป็นคนที่ไม่มีใครชิดใกล้ถูกไหม (ถูก)  แม้ตนเองจะเข้มงวดตนเองมากเท่าไร แล้วก็เข้มงวด  ผู้อื่นด้วย แต่จะเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวตลอดชีวิต ไม่มีใครกล้าชิดใกล้ และเป็นคนที่แท้จริงแล้ว ในใจลึกๆ ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ขี้เหงา  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคน ไม่ว่าน้ำกับไฟ ถ้าเมื่อใดสันทัดและใช้ให้ถูกต้องจะเกิดคุณอย่างมหาศาล  แต่ถ้าเมื่อใดเราเห็นแต่คุณของน้ำ ไม่รู้ค่าของไฟ เมื่อนั้นจะเสียเปล่าและอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือความหลงตน  ฉะนั้นไม่ว่าน้ำหรือไฟ จงใช้ให้ถูกทาง  หากมีแต่น้ำจะไม่สามารถตัดทิ้งความชั่วร้ายได้ และไม่สามารถรักษาความดีในตัวตนได้  แต่หากมีแต่ไฟ จะไม่สามารถที่จะโน้มนำและนำพามหาชนได้  ฉะนั้นจงรู้จักใช้น้ำและไฟให้ถูกต้อง  เข้มงวด ผ่อนปรนจงรู้จักใช้ให้ถูกทาง  แล้วจะเกิดคุณยิ่งนัก
“น้อยคนจักรู้จักตนเอง บรรดาเก่งรุกและถอยพลังแกร่ง
ปัญญาดีไม่ครั่นคร้ามพลิกแพลง ฝ่ากำแพงสำเร็จมุ่งเข็ดต้องจำ”
วันนี้สิ่งที่เราพูดมาเป็นเรื่องที่ยากเกินที่ท่านจะกระทำไหม (ไม่ยาก)  เป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันหรือเปล่า (เป็น)  ฉะนั้นขอให้เอาไปคิดพิจารณาให้ดีว่าชีวิตนั้นสามารถเลือกที่จะทำสิ่งใดก็ได้  แต่เมื่อมีหนทางที่ดี หนทางที่สว่างก็จงเลือกเดินด้วยการฉุกคิดอย่างคนมีธรรม ฉุกคิดอย่างผู้มีปัญญาแห่งธรรม  อย่าได้เอาแต่อารมณ์และอย่าได้ตามใจตนจนเกินไป  ท่านนั้นแม้จะเติบโตอายุมากเท่าไร แต่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเห็นเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เพราะเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ถูกไหม (ถูก)  ดื้อรั้นไหม เป็นเด็กไหม (เด็ก)  เด็กทั้งนั้นเลย นิสัยอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรแล้วเก็บเรียบร้อยไหม (ไม่)  ลุกไปแล้วเศษอะไรตกเต็มไปหมดเลย ทำงานอยู่ร่วมกับคนอื่นทิ้งปัญหาให้เขาบ้าง ทิ้งความไม่ดีของตัวเราไว้ในจิตใจเขาบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาสิ่งที่สอนเด็กๆ มาสอนเราบ้างก็ได้ ทำอะไรเก็บเป็นที่เป็นทาง  ตอนเด็กๆ เราสอนเด็กว่าอย่างไรบ้าง ใครพอจำได้บ้าง หนึ่งเก็บของให้เป็นระเบียบ สองอย่าดื้อ พูดต้องพูดง่ายฟังง่าย  หรือเรียกง่ายๆ ว่าเชื่อฟัง รู้จักเชื่อฟังบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมพอโตแล้วทิ้งนิสัยเด็กๆ ทิ้งหรือไม่ สอนลูกแล้วอย่าลืมสอนตัวเองด้วยนะว่าเราดื้อหรือไม่ พูดง่ายหรือไม่ ฟังหรือเปล่า ไม่ค่อยฟังด้วยใช่หรือไม่  แถมชอบเล่น เล่นแล้วไปก่อปัญหาตรงโน้น เล่นไปก่อปัญหาตรงนี้  แล้วก็ตามไปเก็บแทบไม่ไหว  แล้วให้ใครเก็บจริงหรือไม่  โตได้แล้วนะ
“ทำใจดีสู้เสือไว้เถิดเมธี ท้อฤดีดั่งคนที่ตกน้ำ”
หลายต่อหลายคนพอตั้งใจจะบำเพ็ญธรรม  ตั้งใจจะสร้างสิ่งที่ดี  ไปช่วยเหลือผู้อื่น บางครั้งก็พ่ายแพ้ใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) พ่ายแพ้อุปสรรค พ่ายแพ้คนที่จะไปช่วย  อุตส่าห์ช่วยแทบแย่แล้วยังไม่เห็นความดีของเราอีก  ใช่หรือไม่  หวังดีก็แล้ว ให้แต่สิ่งที่ดีก็แล้ว ทำไมไม่ยอมเชื่อสักที  อย่าได้ยอมแพ้  ถ้าทำดีแล้วจงสู้ อย่าเป็นคนแพ้ง่าย  ถ้าท่านแพ้ง่ายแล้วคนที่ไม่ดีเมื่อไรจะเปลี่ยนใจตามท่านมาสักทีใช่หรือไม่ ฉะนั้นตัวท่านต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดให้ผู้อื่นเห็นว่า  ทำดีได้ดีมีจริงบนโลกนี้ และพิสูจน์ให้เห็นได้ที่ไหน  พิสูจน์ได้ที่ตัวท่านเอง  เมื่อทำผิดจงยอมรับผิด  แล้วทำให้เขาเห็นว่าผิดแล้วไม่ดีนะ  ตัวท่านเองนั่นแหละเป็นแบบอย่าง แล้วเขาจะเคารพท่าน เพราะดีท่านก็ทำ ไม่ดีท่านก็ยอมรับและพร้อมจะแก้ไข และท่านจะเป็นคนหนึ่งที่พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าบำเพ็ญธรรมแล้วได้ดี  ทำผิดแล้วรับผล  แล้วคนจะคิดทำตาม จริงหรือไม่  แต่ปัจจุบันนี้หาคนทำดีแล้วได้ดีเจอไหม  ไม่เจอเพราะหลายคนทำแล้วยอมแพ้เสียก่อน คนทำชั่วกลับได้ใจอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เต็มห้องนี้ด้วยใช่ไหม ไม่ใช่นะ  ห้องนี้เหมือนห้องชำระล้าง  ในความหมายเราต้องการที่จะให้ท่านลงแรงกระทำจริงๆ แล้วพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น  เพราะถ้าท่านทำได้โลกปัจจุบันจะมีคนยิ่งกระทำดีตาม  แต่ปัจจุบันนี้คนชั่วยังลอยนวล  คนดีถูกต่อต้าน จริงหรือไม่ (จริง )  นั่นเป็นสิ่งประจักษ์ให้เห็นได้ว่าโลกปัจจุบันไม่มีใครอยากทำดี  แต่ทุกคนหันไปทำชั่ว ใช่หรือไม่  ไหนวันนี้ใครต่อต้านธรรมะนี้บ้าง
 “ปัญหาคู่ผู้ไม่อาจคลายสงสัย” หลายคนมักจะถามว่าตัวเรามาได้อย่างไร  ทำไมอยากรู้ว่าเรามาล่ะ  ทำไมไม่อยากรู้ว่าตัวเองจะกลับไปอย่างไร  หลายต่อหลายคนอยากรู้เรื่องคนโน้น อยากรู้เรื่องคนนี้ แต่ทำไมไม่อยากรู้ตัวตนเองบ้างว่าชีวิตเราจะกลับไปอย่างไร  ทำไมต้องมาอยากรู้เรื่องของเราด้วยใช่ไหม  อยากรู้ว่าเราจะมาอย่างไร  แล้วเราเข้ามาได้อย่างไรในร่างนี้ แล้วเดี๋ยวเราจะไปอย่างไรในร่างนี้  อยากรู้กันจริงๆ แต่รู้ไปมีประโยชน์ไหม  ก็มีเหมือนกันแต่ใครล่ะจะทำตามเรา  เดี๋ยวเราจะบอกให้ว่าเรามาอย่างไร  แล้วไปอย่างไร  เรามาด้วยความว่างเปล่า  เข้ามาสู่ความว่างเปล่า  แล้วจึงบังเกิดความมี  เข้าใจไหม  แล้วในความมีเราจะกลับไปสู่ความว่างเปล่า  และคืนสู่ความไม่มี  นี่แหละคือหนทางของพุทธะที่เดินและกลับได้อย่างสบายและอิสระ  แต่หนทางของมนุษย์มาด้วยความว่างเปล่า  อยู่ด้วยความมี  กลับไปด้วยความมี กลับไม่ถึงต้นเดิม ใช่หรือไม่  แถมบางทีมาด้วยความมี  อยู่ด้วยความมี  กลับไปด้วยความมั่งมี  และก็กลับไปไม่ถึงบ้านเดิม   อยากกลับแบบไหนล่ะ  คิดเอานะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ล้างจานและล้างห้องน้ำ)
สังเกตว่ารอบข้างตัวท่านล้วนมีผู้เสียสละไม่ว่าอายุมากอายุน้อย ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ใช่หรือไม่  แปลว่าผู้บำเพ็ญธรรมในยุคนี้ไม่ได้เลือกว่าต้องอาวุโส  ต้องผมขาว  แต่อยู่ที่ว่าท่านปล่อยวางได้หรือยัง  ท่านเสียสละที่จะช่วยผู้อื่นได้บ้างหรือไม่  เกิดเป็นคน ค่าของคนไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว  แต่เกิดเป็นคน ค่าของเขาจะประเสริฐก็คือได้ทำเพื่อผู้อื่นบ้าง  ได้อุทิศช่วยเหลือผู้อื่น  ใช่หรือไม่ (ใช่) หลายต่อหลายคนเลือกงานที่จะทำ รังเกียจการล้างจาน รังเกียจการขัดห้องน้ำใช่ไหม ทุกท่านในที่นี้ใครมากินข้าวแล้วได้ล้างจานของตัวเองบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มี) แล้วใครเข้าห้องน้ำแล้วทำรกสกปรกบ้าง เมื่อเราต้องอยู่ในสถานที่ที่เป็นของส่วนรวมจงพยายามรักษาความสะอาดให้มาก อย่างนี้หน้าที่ล้างห้องน้ำ ล้างจานคงไม่ต้องบังเกิด เพราะทุกคนรู้จักทำแล้วรักษาความสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำแล้วรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำหน้าที่ก็จะไม่มีมาก
ตั้งใจบำเพ็ญกันนะ  จริง ๆ เราอยากจะเรียกทุก ๆ คนออกมารับผลไม้  เพราะเรารู้ว่าผู้ปฏิบัติงานธรรมต่างเหนื่อยกันคนละแบบ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่าซือมาก็เรียกแต่แม่ครัว  ฉันก็ทำอย่างอื่นด้วยทำไมไม่เห็นเรียก เหนื่อยด้วย หนักด้วย อย่าได้น้อยใจนะ  ขอให้รู้ว่าทุกอย่างที่ทุกๆ  ท่านได้ทำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็น  แม้วันนี้จะไม่ได้ออกมาอยู่ข้างหน้าแล้วรับผล ก็อย่าได้น้อยใจ  เพราะว่าผลงานนั้นปิดทองหลังพระย่อมมีค่าสูงส่งยิ่งกว่ากุศลใดๆ ใช่หรือไม่  ทำดีแบบไม่หวังผลตอบแทนย่อมมีคุณประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด  ฉะนั้นทำดีไปเถอะนะ อย่าได้เหนื่อย อย่าได้ยอมแพ้ อย่าได้ขี้ใจน้อย และอย่าได้คิดว่าคนอื่นมองไม่เห็นความสำคัญ  ใครไม่เห็นไม่เป็นไร  พุทธะเห็น  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นก็น่าจะดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีไปเถอะถ้ายังทำไหว  ทำดีไปเถอะถ้ายังไม่ยอมแพ้ใจ
วันนี้เราคงต้องจากอำลาท่านไป มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ในใจคงไม่ถามอีกแล้วนะว่าไปอย่างไร  คนทุกคนในโลกนี้ถึงเวลาก็ต้องมา  ถึงเวลาก็ต้องไป  แต่ใครจะหยั่งรู้ว่าเวลาไหนคือถึงเวลาที่ของเรา  ฉะนั้นจงทำดี อย่ามัวห่วงอะไรมากเกินไป อย่ามัวห่วงรูปลักษณ์ในโลกนี้  อย่ามัวห่วงมายาในโลกนี้  อย่ามัวห่วงตัวตนนี้จนเกินไป ปล่อยวางเสียบ้าง  อยู่บนโลกอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม  ไร้ซึ่งอัตตาตัวตน  ไร้ซึ่งรูปลักษณ์หน้าตา  แล้วเราจะอยู่อย่างว่างเปล่า  และก็ไปอย่างว่างเปล่า

วันจันทร์ที่  ๑๑  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

จากคนหนึ่งที่ใครเขาก็เกลียด ทุกกระเบียดตรวจสอบให้ถ้วนถี่
ดีคงไว้ร้ายขจัดแค่หนึ่งปี จากคนที่ใครใครเกลียดกลายรักแทน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขดีฤๅ

ออกตามหาศิษย์คนดีมาหวนคืนฝั่ง ใกล้ออกเรืออาจารย์นี้ยิ่งห่วงหา  กลัวความทุกข์ทำลายศิษย์เรา
นำธรรมะมาเป็นเพื่อนใจจะบำเพ็ญได้ดี  จิตหนึ่งใจเดียวยึดมั่นความดี  ไยมีน้อยคนเข้าใจ
เพราะอะไรศิษย์คอยจะลืม  เสียงจากใจดั่งคลื่นซัดฝั่ง  บางครั้งดีใจได้พักหนึ่ง พลันศิษย์ก็กลายเป็นดั่งเดิม
จากกันป่านสุดสายคงเหลือใจผูกพัน  ขอแต่เพียงศิษย์ถึงฝั่ง  อาจารย์ทำไปไม่เคยเหนื่อยเลย

ทำนองเพลง  :  โอหลัน
ชื่อเพลง  :  อาจารย์ไม่เหนื่อยเลย


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อกลางวันนี้กินอะไรกัน (ก๋วยเตี๋ยว)  กินก๋วยเตี๋ยวอร่อยไหม (อร่อย)  เวลาที่เรากินก๋วยเตี๋ยว เราต้องปรุงหรือเปล่า (ปรุง)  ใครไม่ปรุงยกมือขึ้น  เดิมทีที่แม่ครัวเขาทำนั้น เขาก็กะว่าที่เขาปรุงมาให้อร่อยที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเวลาเรากินเราก็ยังต้องปรุง แสดงว่าเราก็ยังคิดว่ามันยังไม่อร่อยที่สุดใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าเราชอบแบบนี้ ส่วนเขาชอบแบบนั้น  เราชอบไม่เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์ลองพิจารณาดูดีๆ ว่า ปัญหาในชีวิตของเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละ  ปัญหาในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ อย่าง การที่เราอยู่ร่วมกับคนหลายคน บางทีศิษย์อาจจะเป็นคนกิน  บางครั้งศิษย์อาจจะเป็นแม่ครัว  ปัญหาที่เรากำลังปรุงอยู่ เราก็กะว่าปรุงให้มันดีที่สุด  ให้มีทางออกและสิ่งที่ดีที่สุดรออยู่ข้างหน้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่สุดท้ายคนที่มาร่วมปัญหากับเราเขาคิดว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดไหม (ไม่)  เขาก็ยังเอาปัญหาของเราไปปรุงอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่ศิษย์รับก๋วยเตี๋ยวมาในมือ ชิมหรือยังว่าอร่อยไหม  นิสัยบางคนก็ปรุงเลยไม่ต้องชิม บางคนก็ชิมก่อนแล้วค่อยปรุงมันก็ยังไม่ถูกใจ ก็ต้องปรุงใหม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่าในโลกนี้คนหลายคนเข้ามาอยู่ร่วมกัน  มันเป็นเรื่องของความแตกต่างบนความเหมือนกัน  ปัญหาก็คือก๋วยเตี๋ยวชามเดียว  ถ้าหากว่าเรานั้นมีทางออกที่ดีที่สุดก็คืออะไร  คนมีปัญหาเพราะว่าต้องกิน เมื่อต้องกินก็ต้องปรุง  ฉะนั้นถ้าจะไม่มีปัญหาก็คือไม่ต้องกิน ใช่หรือไม่  (ใช่)  ยังใช่อยู่หรือ ไม่กินตายไหม ยอมตายหรือไม่ยอมตาย
บางคนบอกว่าฉันมีปัญหามาก ชีวิตมีปัญหาเยอะแยะ ฉันยอมตายเลย  เหมือนกับคนที่ไม่ยอมกินข้าวแล้วก็ยอมตายไปเลยได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีปัญหาก็จบลงง่ายๆ ด้วยการที่ฝ่ายแม่ครัวก็ต้องทำใจ  ฝ่ายคนกินก็ต้องทำใจเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่างคนต่างยอมให้กัน มีปัญหาไหม (ไม่มี)  อภัยให้กันปัญหาลดน้อยลงหรือเปล่า (ลดน้อยลง)  ถามว่าในชีวิตของเรานั้น เราเคยยอมหรือไม่  โดยส่วนใหญ่ยอมหรือไม่ยอม (ไม่ยอม)  โดยส่วนใหญ่เรายอมให้กับสิ่งที่เรานั้นอภัยให้ได้  ไหนใครคิดว่าบางทีตนเองก็ยอมบ้าง ไม่ยอมบ้าง ยกมือขึ้น  เกือบทุกคนเลยนะ
ทุกคนก็มีทั้งยอมบ้างและไม่ยอมบ้าง แต่ตอนไม่ยอมอาจารย์เห็นไม่ยอมจริงๆ เลย เวลายอมก็ยอมจริงๆ เลย  มันก็ยังไม่พอดิบพอดี  เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับปัญหา  มีทั้งปัญหาชีวิต มีทั้งปัญหาครอบครัว มีทั้งปัญหาการงาน มีทั้งปัญหาส่วนตัว และมีปัญหาหัวใจอีก  มีปัญหาอยู่เยอะแยะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำไมจะต้องสร้างปัญหาให้กับตัวเอง  ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือใช้ธรรมะที่ถูกต้องมารับมือกับปัญหาของตัวเอง อย่าศึกษาธรรมะเพียงเพื่อศึกษา แต่ศึกษาธรรมะเพื่อการที่เรานั้นจะได้บำเพ็ญธรรม เพื่อจะให้มีปัญหาลดน้อยลง  ถ้าหากว่าใครยิ่งบำเพ็ญธรรม ยิ่งมีปัญหาต้องพิจารณาตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราเป็นตัวต้นเหตุ เป็นตัวปัญหา แต่ไม่รู้ว่าเรานั้นคือปัญหา เรายังใช้สายตาของเรามองไปข้างนอก มองไปเรื่อย มองไปเรื่อย สุดท้ายปัญหานั้นก็ไม่จบเพราะว่าเรานั้นไม่ยอมเลิก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ทุกๆ คนต้องคิดและพิจารณาให้ดี  ทุกคนมีสิทธิ์เป็นต้นเหตุของปัญหา ทุกคนเลยนะ มีสิทธิ์เป็นต้นเหตุของปัญหาในทุกๆ เรื่อง  เพราะว่าก๋วยเตี๋ยวชามเดียวนี่ปรุงกันหลายคน ถ้าหากว่าเปลี่ยนคนกิน ต่อให้คนนี้กินไม่หมดแล้วส่งให้อีกคนหนึ่งกิน อีกคนหนึ่งจะปรุงไหม (ปรุง)  เขาก็ปรุงอีกเหมือนกัน  แล้วปัญหาของศิษย์นั้น หลายๆ คนก็เป็นปัญหาเรื่องเดียวกัน  แล้วก็ส่งต่อกันกิน กินไม่หมดแล้วก็ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วก็ปรุงกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายเป็นอย่างไร  รสชาติในก๋วยเตี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง กินได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามีคนปรุงหลายๆ คนกินต่อกันไปเรื่อยๆ ถามว่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้รสชาติได้เรื่องไหม (ไม่ได้เรื่อง)  คนยิ่งกินต่อไป ยิ่งคนหลังๆ เท่าไรก็ยิ่งกินไม่ลงเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้ว่า จนกว่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้จะหมดชามไป เราก็จะต้องเจอปัญหาไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้นถ้าให้ดี ก่อนที่จะเกิดปัญหาก็ควรจะช่วยกันแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างคนต่างยอม ต่างคนต่างถอย  เสียงดังๆ ช่วยให้ปัญหาคลายไม่ได้ เข้าใจไหม
“จากคนหนึ่งที่ใครเขาก็เกลียด ทุกกระเบียดตรวจสอบให้ถ้วนถี่
ดีคงไว้ร้ายขจัดแค่หนึ่งปี จากคนที่ใครใครเกลียดกลายรักแทน”
หนึ่งปีนี่พอให้ต้นไม้โตไหม (ไม่พอ)  ไม่ถามอาจารย์หรือว่าปลูกต้นอะไร อย่าเพิ่งด่วนสรุป ต้นไม้ก็มีตั้งหลายชนิดใช่หรือไม่  อาจารย์อาจจะอยากปลูกต้นถั่วงอกขึ้นมาก็ได้ ถั่วงอกใช้เวลากี่วัน (สามวัน)  ใช้เวลาสามวันก็แก่หมดแล้ว  อาจารย์บอกว่า อาจารย์ให้กลอนบทนี้เปรียบเสมือนอาจารย์ให้ศิษย์ปลูกต้นไม้หนึ่งต้น  ต้นไม้ต้นนี้เรียกว่าต้นไม้แห่งความดี เจริญเติบโตพอๆ กับต้นไม้บนโลกมนุษย์นี้  หนึ่งปีที่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมา ถ้าหากว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ดี พอเราปลูกลงไป รดน้ำพรวนดิน ขยันใส่ใจแล้วก็ให้สภาวะที่ดีกับต้นไม้ต้นนี้ ถามว่าต้นไม้ต้นนี้จะงอกขึ้นมาไหม (งอก)  ต่อให้งอกขึ้นมาหนึ่งคืบ เรียกว่างอกหรือไม่ (งอก)  งอกขึ้นมาหนึ่งเมตร เรียกว่างอกหรือไม่งอก (งอก)  งอกขึ้นมาเท่ากับหลังคาบ้านนี่งอกหรือไม่งอก (งอก)  แต่เวลาหนึ่งปีจะให้ต้นไม้ต้นนี้งอกเท่าไร ต้นไม้ต้นนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในใจของเราเอง  เพราะฉะนั้นเราก็จงไปกำหนดเองว่าเราจะให้ต้นไม้ของเราเติบโตมากเท่าไร
“จากคนที่ใครใครเกลียดกลายรักแทน” มันก็เป็นผลสรุปของบรรทัดแรก บรรทัดที่สอง และบรรทัดที่สาม  อาจารย์เชื่อว่าทุกๆ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่ว่าเป็นคนที่ใครๆ เขาก็รักเราไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ที่ว่าเราจะอยู่กับคนๆ ไหน ถ้าหากว่าสมมติว่าศิษย์อยู่กับคนๆ นี้ ศิษย์ก็จำเป็นจะต้องรู้จักนิสัยของคนๆ นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนเป็นอยู่กับคนๆ นี้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักนิสัยของคนๆ นี้  เปลี่ยนมาอยู่กับศิษย์คนนี้ ศิษย์ก็ต้องรู้ว่า คนๆ นี้เป็นอย่างไร ถึงจะเข้ากันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หมายความว่าเราต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเสมอ  ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับในสถานที่ที่เราเข้าไปสู่ นั่นเรียกว่า "รู้จักกาละเทศะ" จะเอาแบบของเราแบบเดียว ถ้าหากสมมติว่าศิษย์เป็นสีเขียว  ศิษย์จะเข้าไปอยู่ในวงสีแดงจะเข้ากันไหม (ไม่เข้ากัน)  ถ้าหากว่าศิษย์เป็นสีเขียว จะเข้าไปอยู่วงสีเหลืองจะเข้ากันไหม (ไม่เข้ากัน)  นอกจากว่าสีเขียวจะอยู่กับสีเขียว แล้วสีเหลืองจะอยู่กับสีเหลืองตลอดไป เป็นไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเรียกว่า “รู้จักเขารู้จักเรา”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเป็นคนที่รู้จักแต่ตนเองคนเดียวไม่รู้จักคนอื่น  หรือบางคนเป็นคนที่รู้จักคนอื่นแต่ไม่รู้จักตนเองเลย  บางคนเวลาพูดถึงคนนั้นที พูดได้เป็นฉากๆ แต่พอพูดถึงตัวเองก็จมน้ำตาย ไม่รู้จักตนเองเลยอย่างนี้ไหวหรือไม่ไหว (ไม่ไหว)
การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีความยาก ไม่สลับซับซ้อนอะไรมากมาย  แต่มีสิ่งที่เราจะต้องเริ่มต้นทำเยอะ  เพราะว่าทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้น ถึงแม้ว่าจะบอกว่าตนเองเป็นคนดีแล้ว แต่เป็นคนดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม (ไม่)  ก็ยังไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์  ฉะนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนตนเองเยอะ  อย่างเช่นนิสัยทุกๆ วันก็ต้องปรับเปลี่ยนใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นอารมณ์ของเราก็ต้องปรับเปลี่ยน  ปรับเปลี่ยนจากร้ายเป็นร้ายที่สุดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ปรับเปลี่ยนจากอะไรเป็นอะไร (ร้ายเป็นดี)  ปรับเปลี่ยนจากดีเป็นอะไร (ดียิ่งขึ้น)  ดียิ่งขึ้นแล้วเป็นอะไร (ดีที่สุด)  แต่ว่าอย่าได้ติดกับความเป็นที่สุด  หลายคนติดกับความเป็นที่สุดของตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ว่ามีคำพูดบอกว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า”  คำพูดนี้จริงหรือไม่ (จริง)  ในวัยนี้ ในตอนนี้ของเรา เรานั้นเป็นที่สุดของตอนนี้  แต่ว่าในคนแก่นั้นเรียกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน  ย่อมจะมีประสบการณ์มากกว่า  ฉะนั้นมาตรฐานนั้นจึงปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ให้เรานั้นพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ เรียนรู้ด้วยความกระตือรือร้น  ฟังธรรมะบ่อยๆ ก็อย่าได้เบื่อหน่าย อย่าได้ท้อ  ถ้าหากว่าตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่สำเร็จ เราท้อใจง่ายๆ ไหม (ไม่ท้อ)  ถ้าหากว่าเราอยากจะเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่สมมุติว่ามีคนว่าเราเป็นคนไม่ดีอยู่วันยังค่ำ  อย่างไรก็ยังติดกับความไม่ดีของเราอยู่อย่างนั้น  ต่อให้เราปรับเปลี่ยนไปเท่าไรเขาก็ไม่มอง  มองก็มองแต่อดีตของคนๆ นั้นอยู่เรื่อยเลย ศิษย์คิดว่าอย่างไร  ถ้าหากว่ามีคนๆ หนึ่งอยากจะปรับเปลี่ยนตนเองให้ดียิ่งขึ้น ดียิ่งขึ้น  แต่สุดท้าย คนฝ่ายตรงข้ามก็ยังมองแต่สิ่งเก่าๆ ของเขา  มองไม่ยอมเลิก อย่างไรก็มองว่าเขาเป็นคนไม่ดีอยู่ อย่างนี้ยุติธรรมไหม (ไม่ยุติธรรม)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงอยากสอนให้ศิษย์นั้น ลืมตาให้กว้างๆ เพื่อเป็นการมองให้เห็นชัด  ตาของเรานั้นมองได้แต่ข้างหน้า  มองข้างหลังได้ไหม (ไม่ได้)  มองข้างบนทีแล้วจะมองเห็นข้างล่างได้ไหม (ไม่เห็น)  ฉะนั้นเมื่อตาเรามีองศาอยู่แค่นี้ ก็จำเป็นที่จะต้องลืมตาให้กว้างๆ กว้างนี้มองอะไร มองหน้าให้ถึงหลัง มองบนให้ถึงล่างด้วยตาเล็กๆ ของเรานี้แหละ  ถ้าหากว่าเรามัวแต่มองอย่างคนที่จิตใจคับแคบก็จะไม่เป็นผลประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คงไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน ที่ท่านมาชี้ให้ศิษย์ มาว่าศิษย์ตรงๆ อย่างนี้ นอกจากว่าต้องเป็นศิษย์อาจารย์กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ขนาดอาจารย์ว่าตรงๆ ขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครคิดจะแก้ไขเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมุติว่าต้องแก้ไปเมตรหนึ่ง แต่เพิ่งจะแก้ไปแค่คืบเดียว แล้วบอกว่าตนเองแก้ไขแล้ว  อย่างนี้นับว่าแก้ไขหรือไม่ (ไม่แก้ไข)  ถ้าหากว่าศิษย์จำเป็นต้องแก้ตัวเองสักเมตรหนึ่ง แต่เพิ่งจะแก้ไปหนึ่งคืบ คนๆ นี้จะถือว่าแก้ไขได้หรือไม่ (ยังไม่ได้)  อาจารย์บอกไว้ในกลอนว่า “ขอแค่หนึ่งปี” เท่านั้น ต้นไม้แห่งความดีนี้ การเปลี่ยนแปลงจากร้ายเป็นดีของนิสัย ขอแค่หนึ่งปี  ในหนึ่งปีนี้เราได้ทำอะไรบ้าง “ดีคงไว้ร้ายขจัด”  แค่นี้เอง  ในหนึ่งปีให้หลังนี้ ถ้าเราทำได้อย่างจริงๆ ถ้าเราทำได้อย่างจริงจัง  คนที่เคยเกลียดเราก็จะเปลี่ยนมารักเรา  แต่อย่ารู้สึกท้อใจหากว่าคนที่เราต้องการให้เขาหันมาเห็นใจเรา ชอบเรา  สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมที่จะมองเห็นสิ่งดีของเรา สักทีหนึ่ง  ก็แสดงว่าความไม่ดีที่เราทำไว้กับคนๆ นั้นอาจจะมากเกินไป  จากหนึ่งปีก็อาจจะต้องเลื่อนเป็นปีกว่าหรือสองปีก็แล้วแต่ว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นเคยทำกับคนๆ นั้นไว้อย่างไร  เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ชีวิตนี้ที่ผ่านมาเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขหรือไม่ (ไม่)  ไม่ใช่เป็นชีวิตที่มีความสุขแล้วเต็มไปด้วยความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ไม่เชิง เรามีชีวิตที่มีผ่านมานั้น ถ้าหากว่าเราอยากได้ความสุขก็จะต้องหมั่นที่จะมอบความสุขให้ผู้อื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อเรามีให้ไป ถึงจะมีส่งมา  จะรอให้เขาส่งมาโดยที่เราไม่ให้ไป ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าจะให้ดีใครส่งให้ก่อน (เราส่งก่อน)  ตอนนี้อาจารย์ก็ส่งอยู่เหมือนกัน  ตอนนี้อาจารย์ส่งธรรมะหนึ่งมาให้ศิษย์ของอาจารย์  เพื่อให้ศิษย์นั้นได้บำเพ็ญธรรม  เพราะว่าชีวิตของศิษย์นั้น ถามว่าตอนนี้มีความทุกข์ไหม ก็มี  มีความทุกข์เพราะอะไร  เป็นเพราะเกิดเองตามธรรมชาติไหม  (ไม่ใช่)  แต่เป็นผลกรรมที่เราได้ก่อไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราต้องชดใช้กรรมของเรา เราจึงมีความทุกข์  แล้วเราอยากพ้นทุกข์นี้เราทำอย่างไร  จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ไหม (บำเพ็ญธรรม)  บำเพ็ญธรรมนี้บำเพ็ญแค่ไหน  บางคนบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญอยู่ครึ่งๆ กลางๆ  บำเพ็ญแค่พอให้ตนเองรู้ว่าธรรมะคืออะไร  ส่วนบางคนนั้นบำเพ็ญธรรมเพื่อให้หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด
ศิษย์ของอาจารย์ถ้าอยากให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ที่เราผ่านมานี้เป็นความทุกข์เพียงเล็กๆ น้อยๆ  แต่ว่าความทุกข์ที่จะเจอในวันข้างหน้านั้นเป็นความทุกข์ที่หนักยิ่งกว่า  แต่ยังมีความทุกข์ท่ามกลางการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นควรจะเลือกแบบไหน  ถ้าหากว่าอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปๆ  หากไม่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กันในวันนี้ ศิษย์คิดว่าสุดท้ายปลายชีวิตของเรานั้นจะจบที่ว่าเรานั้นกลับไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่  เราจะได้เกิดมาเป็นคนอีกชาติหนึ่งไหม เคยคิดหรือเปล่า  เราทำอย่างที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ จะกลับมาเป็นคนอีกครั้งหนึ่งไหม (ไม่แน่ใจ, ไม่ได้)  แค่ที่บอกว่าทำบุญตักบาตรนั้น ทำทุกวันนั้น มีคนทำจริงๆ อยู่กี่คน  เราก็ลองคิดดูว่าถ้าหากเราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกรอบหนึ่ง เราจะไปเกิดเป็นอะไร  หรือคิดว่าตายไปแล้วดับสูญ ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า (เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน, ไม่ทราบ, เป็นมนุษย์แล้วเกิดมาคงจะเวียนว่ายตายเกิด)  ไม่มีใครบอกว่าฉันจะพ้นทุกข์เลย  เป็นเพราะไม่เคยมั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำลงไป ว่าสิ่งที่เราเองทำลงไปนั้นจะทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิด  ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นความดีแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือว่าไม่มีความมั่นใจในความดี แล้วศิษย์ทำอะไรลงไปทุกวันทุกวัน  เราทำอะไรผ่านไปวันๆ หนึ่งจนชีวิตของเราผ่านไปตั้งหลายสิบปีอย่างนี้  ในเมื่อไม่มั่นใจว่าตนเองสามารถหลุดพ้น เวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่มั่นใจในความดีที่ทำอยู่แล้วศิษย์ทำอะไร  เรียกว่าปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามกระแสกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเทียบเป็นปลา    ตัวหนึ่งในแม่น้ำ ถ้าปลาเป็นเป็นอย่างไร หรือเคยแต่กินไม่เคยดู  ปลาเป็นว่ายทวนหรือว่ายสวนกระแสน้ำ  (ทวนน้ำ)  ปลาตายว่ายตามน้ำ  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าศิษย์นั้นว่ายทวนกระแสกรรมหรือตามกระแสกรรม  เราจึงต้องคิดว่าธรรมชาติสอนอะไรให้เราบ้าง  ถ้าหากว่าเรานั้นเป็นผู้ที่พร้อมที่จะทำความดี  ยึดมั่นที่จะทำความดีและจะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ได้นั้น ก็คือต้องรู้จักว่ายทวนกระแสกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนปลาที่ว่ายทวนน้ำจึงเรียกว่าปลาไม่ตาย  ถ้าหากว่าวันใดที่ตามน้ำก็คือวันที่ตาย ถูกหรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าเขามีความพยายามถึงที่สุดที่เขาจะว่ายไปสู่ต้นน้ำ  ต้นน้ำของการเวียนว่ายตายเกิดของคนนั้นก็คือนิพพาน  เพราะนิพพานนั้นคือความดับ ดับเสียซึ่งความทุกข์  อยากไปหรือไม่ (อยากไป)  แค่นี้เท่านั้นเองหรือ หนึ่งคนพกกล่องเสียงมาแค่นี้เองหรืออยากไปไม่อยากไป (อยากไป)  ถ้าอยู่เฉยๆ เหมือนทุกวันนี้ไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องทำอะไร  ต้องพยายามที่จะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาละบำเพ็ญธรรมทำอะไรบ้าง (ประพฤติตนเป็นคนดี) ตอนนี้ดีหรือยัง (ตอนนี้ยังดี ไม่พอ)  ยังดีไม่พอ (มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป) แล้วละอายหรือยัง  ละอายอะไร (ละอายการทำความไม่ดี)  ละอายจริงหรือ ละอายสามวันพอไหม(ต้องละอายตลอดไป, อดทนต่อความยากลำบาก) มีความยากลำบากด้วยหรือ (มี) แน่ใจไหม  ความยากลำบากนั้นมีหลายอย่าง บางทียากลำบากที่เกิดจากตัวเอง บางที่ยากลำบากที่เกิดจากคนอื่นให้  อันไหนต้องอดทนมากกว่ากัน ว่าอย่างไร (ฝึกจิตให้สะอาด)
จริงๆ แล้วพูดถึงการบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องของตัวแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ เพราะว่าการบำเพ็ญก็คือการบำเพ็ญจิตใจของตัวเอง การขัดเกลาจิตใจของตัวเองเหมือนกับเราปล่อยให้จิตใจของเรานั้นโดนฝุ่นก็คือกิเลสต่างๆ นั้นครอบคลุมเกาะกุมไว้จนมิดทีเดียว  การที่จะขัดจิตใจของตัวเองนั้น จำเป็นที่จะต้องให้ตนเองเป็นคนขัดเอง เพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นเป็นคนที่รู้จักตัวของเราดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนนั้นปล่อยให้ตัวเองไม่รู้จักตัวเองมาเสียนาน บางทีก็รู้ว่านั้นคือกิเลสและนั้นคือสิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่ทำไมเราก็ยังทำลงไป ก็คือการไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปอย่างที่ศิษย์คนนี้ตอบ  แต่ว่าการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นคงไม่ได้ใช้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ธรรมะนั้นก็เปรียบเสมือนกับฟ้าผืนหนึ่งที่ศิษย์เงยหน้าขึ้นไปมอง บนฟ้านั้นมีอะไรบ้างละ มองให้ว่างมันก็ว่างใช่หรือไม่ (ใช่) มองให้มีมันก็มีเมฆใช่หรือเปล่า มองอีกทีก็มีดวงอาทิตย์ มองอีกทีก็มีดวงจันทร์ มองอีกทีก็มีดวงดาว มองอีกทีก็มีฝน มองอีกทีก็มีแดด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าจิตใจของศิษย์นั้นมันเย็นชา ไม่มีน้ำใจก็คงต้องใช้แสงแดดส่องถูกหรือไม่ ถ้าหากว่าจิตใจของศิษย์นั้นร้อน ต้องใช้สายฝนนั้นช่วยระงับถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าหากว่าจิตใจของเรานั้นมันปลิวกระจัดกระจาย ชอบฟุ้งซ่านเป็นเนืองนิจต้องใช้อะไร ก็ต้องใช้สายลมพัดจิตใจของเรานั้นให้มาเป็นกองเดียวกัน แต่บางคนนั้นก็ไม่รู้จักจะใช้อย่างไร บางคนใช้สายลมนั้นพาให้  จิตใจนั้นยิ่งกระจัดกระจายออกไปใหญ่ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าศิษย์นั้นรู้จักใช้แง่ไหนของสิ่งไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเข้าบ้านก็ต้องเข้าทางหน้าบ้านใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าจะเข้าทางหลังบ้านจะเป็นการเหมาะสมไหม (ไม่) ธรรมะก็เป็นอย่างนี้ ธรรมะคือเรื่องของความเหมาะสมและมีเหตุผลที่ถูกต้องในการทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าอยากให้ลมเข้าก็ต้องเข้าทางหน้าต่างถูกหรือไม่ (ถูก)  มันก็เป็นเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องง่ายๆ
เวลาเราเห็นคนเดือดร้อนก็ต้องรู้จักที่จะช่วย เวลาเราเห็นคนที่เขาไม่  ชอบใจ เราก็อย่าเพิ่งไปพูดใส่ๆ ให้เขาได้โมโหยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของคนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายหรือยาก อาจารย์สมมติให้ศิษย์นั้นมองให้เห็นต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง  ต้นไม้ต้นนี้มีกิ่งก้านสาขามากมาย ใบนั้นก็แตกออกเป็นกิ่งก้าน กิ่งก้านนั้น ยิ่งแตกยิ่งแตกยิ่งดกใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าศิษย์นั้นอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้ใบไม้กิ่งนี้ ใบไม้นี้ก็คือปัญหาในชีวิตของเราหลายๆ อย่าง ถ้าหากว่าศิษย์นั้นจะตัดใบไม้ทีละใบได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากว่าอยากตัดปัญหาก็ตัดใบไม้ทีละใบได้  ถ้าหากศิษย์มีความอดทนพอในการที่จะปลิดใบไม้ทีละใบก็ย่อมได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนอย่างไร เป็นคนใจร้อนถูกหรือเปล่า นั่งอยู่ที่นี้มีกี่คนที่ไม่เป็นคนใจร้อน กว่าเราจะรอให้ปลิดใบไม้ไปทีละใบเราก็เป็นอย่างไรแล้ว เราก็โมโหไปไม่รู้กี่รอบแล้วใช่หรือไม่ แล้วโมโหหนึ่งรอบนั้น ผลที่ได้จากการโมโหนั้นคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ไม่คุ้มเลย  ถ้าหากว่ามีความอดทนพอจะปลิดใบไม้ทีละใบก็ย่อมได้ ใบไม้นั้นก็จะหมดไปเช่นเดียวกัน แต่หากว่าศิษย์นั้นไม่อาจจะรอได้ จิตใจเป็นคนใจร้อน ก็ต้องรีบลุกหาว่าใบนี้มาจากไหน ใบมาจากกิ่ง กิ่งมาจากก้านใช่หรือไม่ ก้านมาจากที่ไหน มาจากลำต้น และลำต้นมาจากรากถูกหรือเปล่า ถ้าเราสามารถที่จะเข้าไปปลิดตรงกิ่งมัน เราก็จะขจัดปัญหาไปได้เยอะแยะแล้ว ใช่หรือไม่  แล้วพอเราคลำลงไปจนถึงราก รากของปัญหาคืออะไร (จิต, กิเลส)  คนหนึ่งตอบจิต คนหนึ่งตอบกิเลส กิเลสก็อยู่ในจิตใจเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) รากของปัญหานั้นก็คือตัวของเราเอง แล้วกิเลสที่อยู่ในตัวของเราเอง จิตใจที่อยู่ในตัวของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าทุกคนมอง ทุกคนจะรู้ว่าปัญหาหลายๆ อย่างนั้นเกิดขึ้นกับตัวเราเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยมากที่เกิดขึ้นจากผู้อื่นเป็นผู้มอบให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่บำเพ็ญธรรมนั้นก็คือการย้อนมองส่องตนและก็อ่อนน้อมถ่อมตน ทำได้ไหม (ได้) ถ้าหากว่าเราไม่ได้เป็นคนผิดเลย เราไม่ได้ทำผิดในเรื่องนี้ แต่คนมาโทษเราว่าเราผิด เราจะยอมไหม  ผู้ชายยอมหรือไม่ยอม (ไม่ยอม) อย่าคิดนาน ยิ่งคิดนานยิ่งไม่ยอม ใช่หรือไม่ ยิ่งคิดหาเหตุผลยิ่งไม่มี ใช่หรือเปล่า แต่ว่าต้องรู้ไว้ว่า ถ้าหากว่าเรายอมไม่ได้ ก็จะทำให้หนึ่งมาเกิดสอง สองมาเกิดสาม จากตอนแรกถ้าเรายอม ปัญหาก็อาจจะจบได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) หรืออาจจะเปลี่ยนจากหนักให้กลายเป็นเบาได้ใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากว่าเราทนไม่ได้ ปัญหานั้นก็จะย้อนกลับมาสู่ตัวเรา แล้วก็ดึงเราเข้ามาอยู่กับส่วนร่วมของปัญหานั้น สมควรหรือไม่สมควร (ไม่สมควร) ไม่สมควร จึงต้องคิดพิจารณาให้ดี
 บางที่การยอมก็คือการทำให้จบได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าอะไร เพราะว่าความจริงนั้นมันอยู่เหนือการเวลาใช่หรือไม่ แม้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ถ้าว่าเราเป็นคนที่ถูกต้อง ก็ถูกต้องอยู่ทุกเมื่อใช่หรือเปล่า เรียกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า ส่วนกาลเวลาพิสูจน์คน ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ถูกต้อง ก็จะเป็นคนที่ถูกต้องอยู่เสมอใช่หรือไม่ แต่หากว่าถ้าเราไม่ยอมรับ แม้เราจะถูกต้องแต่เราก็มีข้อหาอะไร มีข้อหาโมโห โมโหที่ยอมคนอื่นไม่เป็นใช่หรือเปล่า กิเลสของเราก็เพิ่มขึ้นมาเป็นความโมหะ
ผู้หญิงชอบใส่รองเท้าสูงๆ ใช่หรือเปล่า  เสร็จแล้วเวลาล้มลงมา ก็ข้อขาเคล็ดใช่ไหม เสียเงินหาหมอโดยใช่เหตุหรือเปล่า (ใช่)  หรือว่ามีความสามารถดียืนบนที่สูง ยืนบนที่สูงตกลงมาเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วศิษย์ของอาจารย์ชอบไปยืนบนที่สูงไหม (ชอบ)  ลาภ ยศ เงินทอง สรรเสริญ ชอบหรือไม่ชอบ (ชอบ)  เขายิ่งยกยอเราให้ยิ่งสูง เราชอบหรือไม่ชอบ (ชอบ)  คนมาติเตียนเราชอบหรือเปล่า (ไม่ชอบ)  คนว่าเราชอบไหม (ไม่ชอบ)  ส่วนคนชมว่าเราดี ชอบหรือไม่ชอบ (ชอบ)  ทำไมชอบล่ะ คำพูดประเภทไหนมีประโยชน์ต่อเรามากกว่ากัน  (คำพูดติเตียน)  คนติดีกว่าคนชมใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าเขายังติเราได้ เราก็ยังมีข้อเสีย เราต้องหัดแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่จะให้คนอื่นติ ต้องใครติก่อน (ตัวเราเอง)  ตัวเราต้องหัดว่าตัวเราเองด้วยใช่หรือไม่ เวลาทะเลาะกัน เราไม่เคยผิดทำไมเราถึงไม่เคยผิดเลย เพราะเราคิดว่าตัวเราถูกใช่หรือเปล่า  อาจารย์ถามกลับนะ โลกนี้มีใครถูกไม่เคยผิดบ้าง มีไหม ทุกคนเคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเราทะเลาะกับคนอื่น เราก็ถูกเสมอ แล้วคราวไหนเราผิด  เมื่อสองคนทะเลาะกัน คนหนึ่งย่อมผิดเป็นธรรมดา แต่ถ้าหากว่าคนผิดแล้วรู้จักแก้ไข คนนี้น่าอภัยไหม (น่าอภัย)  น่าอภัย  ถ้าหากว่าหัดอภัยคนได้ ก็เป็นมงคลกับชีวิต ถ้าหากว่ารู้จักที่จะยอมคนอื่นได้ ก็เป็นวาสนาของเราเอง
บางคนอยากจะได้วัตถุมงคลคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งหลาย บางคนอยากได้วาสนา แต่ไม่รู้ว่าวาสนาหรือวัตถุมงคลนั้น  มันไม่สามารถที่จะไปอยู่ที่วัตถุนั้นได้ แต่มันย่อมขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าตัวเรานั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเรานั้นรู้จักที่จะทำความดีเสมอๆ  ตัวเราก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีคนมายกย่องนับถือ  ตัวเรานั้นถ้าหากว่าเราทำความดีตั้งแต่วันนี้ เป็นความดีแท้ด้วยความจริงใจ คนอื่นก็นับถือเราเหมือนกัน เราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อยๆ เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยากเป็น)
 การจะบรรลุนิพพานนั้น ไม่ใช่บรรลุเมื่อตายไปหรือว่าเมื่อไม่มีร่างกายอันนี้  แต่ศิษย์สามารถทำได้ตั้งแต่ศิษย์นั้นมีลมหายใจอยู่ในขณะนี้ เพียงแต่ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่เสียดายเรื่องที่ไม่ดีที่เราเคยทำ เราก็ทิ้งไปให้หมด ขจัดๆ ไปให้หมด เราย่อมเป็นผู้รู้ตัวเราเองดี ว่าเรานั้นยังบกพร่องอะไรบ้าง  ยังต้องทำอะไรบ้างเป็นการเพิ่มเติมต่อเติมให้กับตัวเรานั้นพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
ศิษย์อย่ารักแต่ความก้าวหน้าทางชีวิต อย่ารักแต่ความก้าวหน้าทาง  การเรียนหนังสือ อย่ารักแต่ความก้าวหน้าทางการงาน อย่ารักแต่ความก้าวหน้าในเงินทอง แต่จงรักความก้าวหน้าของจิตตัวเองด้วย ให้จิตของเรานั้น ได้ยกระดับสูงขึ้น ถ้าหากว่าจิตนั้น เป็นจิตที่สูง จริงๆแล้ว ต่อให้เรานั้นไม่ไหว้พระ พระก็ยังคุ้มครองเรา แต่ว่าคนทั่วไปนั้นไม่ใช่อย่างนั้น คนทั่วไปนั้นอยากให้พระนั้นมาคุ้มครองตน ขอให้ตนนั้นโชคดีมีลาภ แต่ว่าไม่เคยสร้างลาภให้กับตัวเองเลย พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่รู้จะเอาลาภที่ไหนมาให้ ศิษย์เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ไหว้พระไป ต่อให้พระศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังช่วยศิษย์ไม่ได้  เพราะว่าตัวเรานั้นเป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนนั้นเกิดมานั้นมีบุญและกรรมนำพามา  อย่าสร้างกรรมมากเพิ่มขึ้นในชีวิตนี้ แต่จงสร้างความดีให้มากขึ้น  ความดีและความชั่วนั้นบางทีก็สามารถที่จะลบล้างกันได้  อย่าคิดว่าลบล้างไม่ได้เสมอไป
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำครอบพระโอวาท)
“พบ” ศิษย์อาจารย์พบหรือยัง พบอะไร (พบธรรมะ) วันนี้มาที่นี่พบธรรมะ อาจารย์รู้ว่าศิษย์เป็นคนที่ฉลาด แต่อาจารย์จะบอกว่าการพบธรรมะนั้นคงไม่สำคัญเท่ากับศิษย์นั้นได้พบตัวเอง เพราะถ้าหากศิษย์พบตัวเองเมื่อไร ศิษย์ก็จะรู้สึกอยากจะบำเพ็ญธรรมะเมื่อนั้น
“อยู่” ใจอยู่ที่นี่ได้ไหม บำเพ็ญคืออะไร  (คือการปฏิบัติธรรม) แสดงว่ากลับ ออกไปต้องปฏิบัติธรรมใช่ไหม การปฏิบัตินั้นเริ่มต้นได้ด้วยใจของเรา ไม่ใช่กลับไปสามวันห้าวันแล้วเลิก อย่างนี้ไม่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม
“อย่าให้อคติมาเสี้ยมสอนจิตใจ”  ทุกคนมีอคติใช่ไหม (มี)  เวลาเราไม่พอใจคนนั้น เพราะว่าเราได้ยินเรื่องจากคนนี้มา แล้วเราก็รวบรวมเป็นอคติในจิตใจของเรา  หากว่าเราไม่สามารถขจัดได้จะกลายเป็นความลำเอียง ซึ่งเป็นเรื่องที่รักษายาก  โดยเฉพาะผู้ที่เป็น   ผู้ที่นำผู้อื่น เป็นผู้ใหญ่  ถ้าเรามีอคตินั้น เราจะไม่สามารถที่จะนำใครคนหนึ่งได้เพราะว่าเรานั้นมีอคติมากินจิตใจของเรา  อาจารย์จึงหวังว่าทุกคน ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งของผู้น้อยหรืออยู่ในตำแหน่งของผู้ใหญ่  อย่าได้มีอคติ  สิ่งนี้จะเป็นบ่อนทำลาย สร้างความหายนะให้กับความสามัคคีทีเดียวเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงโอวาท ชื่อเพลง : อาจารย์ไม่เหนื่อยเลย)
ไม่รู้ว่าที่อาจารย์ให้เพลงไป ความหมายในเพลงจะมีกี่คนที่เข้าใจ  ศิษย์คนเก่า ทำตัวให้เหมือนคนเก่าด้วยคุณธรรมที่มีมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เก่าด้วยนิสัยที่ดื้อดึงมากขึ้น  คนเรานั้นเกิดมาเพียงไม่กี่ปีก็ลาจาก  หากไม่รู้จักทำประโยชน์ไว้ในโลกบ้าง ก็ดูเหมือนเป็นการไร้ค่าที่เกิดมาในหนึ่งชีวิตนี้  การเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ แล้วก็เหมือนการที่ศิษย์นั้นเดินข้ามประตู เดินข้ามประตูนี้ออกประตูโน้น จากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง ความหมายของการเกิดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ จะมีประโยชน์อะไรถ้าศิษย์เดินเข้าห้องนี้ เดินออกห้องโน้น เดินจนครบทุกห้องได้ลาภ ยศ เกียรติ สรรเสริญ เงินทองมากมาย แต่ศิษย์ไม่รู้จักใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่า และคิดว่าตัวเรามีทุกข์ มีความทุกข์มากมาย  และศิษย์เคยคิดไหมว่าคนอื่นนั้นก็มีความทุกข์  หากว่าศิษย์ไม่เป็นผู้ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์  แล้วจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้อย่างไร  จะมาอ้างว่าตัวเรานั้นยังมีความทุกข์มากมาย แต่หากไม่มีคนไหนสละจิตใจ สละแรงกาย สละกำลังออกมาเพื่อช่วยผู้อื่น โลกนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักแต่ห่วงใยตนเอง ส่องกระจกไปก็มองเห็นแต่ตัวเอง  สาเหตุอย่างนี้ที่ทำให้ในโลกนี้มีแต่การรบราฆ่าฟัน มีแต่น้ำตาที่นองหน้าไม่รู้จักพอ  เพราะว่าอะไร เพราะทุกคนนั้นคิดถึงแต่ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ผู้มีสติ ที่มีปัญญา ก็เป็นศิษย์อาจารย์  หากว่าได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พระอรหันต์ที่อนุเคราะห์ชาวโลก  แต่ศิษย์ก็ยังอนุเคราะห์แต่ตัวเอง  แล้วจะให้ใครมาช่วยกัน ทุกคนมีเวลาเท่าๆ กันยี่สิบสี่ชั่วโมง  ศิษย์ใช้เวลาไปทำอะไรหมด  สละเวลามาช่วยเหลือคนอื่นสักสองสามชั่วโมง  ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนกว่าเรา  ศิษย์รู้ไหม จะเชื่ออาจารย์ไหมว่าศิษย์นั้นยังเป็นคนที่โชคดียิ่งกว่าคนอีกตั้งหลายคนในโลกนี้  ความทุกข์ที่เรามีนั้นยังไม่มากมายพอ ยังไม่มากเท่ากับคนอื่นมี  ในเมื่อเราเป็นผู้มีโชคมีวาสนาเช่นนี้ เราก็ส่งเสริมโชควาสนาของเราให้มากขึ้น มากขึ้นด้วยการรู้จักช่วยคนอื่นไม่ดีหรือ
ในโลกนี้ไม่มีใครคิดเป็นผู้เริ่มต้นที่จะเป็นผู้ให้คนอื่น แต่อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น จะเป็นผู้เริ่มต้นในการให้คนอื่น ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้เขาโดยไม่ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว ให้โดยไม่ต้องคิดถึงผลประโยชน์ใดๆ หากว่าเราทำได้อย่างนี้ โลกนี้ก็เหมือนกับมีต้นไม้ที่เป็นร่มเงา ปลูกมากเพิ่มขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้น บางคนบำเพ็ญธรรมมะ บำเพ็ญจนเหนื่อย บำเพ็ญจนไม่มีแรงบำเพ็ญเลยทีเดียว แต่ศิษย์ลองมองดูว่า ศิษย์ที่บำเพ็ญจนเหนื่อยนั้น ในจิตใจของเราได้รับการขัดเกลาได้ไหม ขัดเกลาบางอย่างที่มันไม่ดีทิ้งไปบ้างหรือเปล่า ถ้าหากว่าศิษย์นั้นขัดเกลาบางอย่างทิ้งไป จิตใจสะอาดสะอ้านมากยิ่งขึ้นพร้อมๆ กับความเหนื่อยล้าที่เราบำเพ็ญมาเสียนาน อาจารย์เชื่อว่าศิษย์นั้นก็เหนื่อยอย่างสมควรแล้ว สมควรที่จะเหนื่อย เพราะว่าเรานั้นได้ขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาดสะอ้าน มีการออกแรงก็ย่อมมีความเหนื่อย แต่หากว่าเรานั้นเหนื่อยโดยใช่ที่ เหนื่อยโดยใช่เหตุ จิตใจของเราไม่ได้ดีมากยิ่งขึ้น กลับจะเลวร้ายลงทุกวัน นั่นก็เป็นการเหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้น อาจารย์เห็นศิษย์บางคนบำเพ็ญธรรมะ เหนื่อยแล้วกับการที่จะต้องบำเพ็ญต่อไป อาจารย์ก็มีความรู้สึกอยู่สองอย่าง ความรู้สึกแรกคือดีใจที่ศิษย์เหนื่อย แต่ศิษย์ได้ผล กับความรู้สึกที่สองคือเสียใจ เสียใจที่ศิษย์นั้นลงแรงเปล่า แถมไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย
พระโอวาทซ้อนพระโอวาทนี้  เป็นสุภาษิตในพุทธศาสนาประโยคหนึ่ง ที่อาจารย์อยากจะยกมาเตือนใจศิษย์  ไม่ใช่ให้แก่ผู้มาฟังธรรมะใหม่วันนี้เท่านั้น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนที่เป็นคนพิษณุโลก ที่เป็นคนเหนือ เพราะอะไร ธรรมะรักษาผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติคนนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ถูกรักษา ใครที่ไม่ปฏิบัติย่อมเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาคุ้มครอง ฉะนั้นธรรมะนั้นไม่ได้เน้นหนักที่การศึกษา แต่ธรรมะนั้นเน้นหนักเรื่องการปฏิบัติ ปฏิบัติลงแรงเท่าที่เจ้ามี เต็มความสามารถของเจ้า ลงแรงที่ไหนเป็นสำคัญ ลงแรงที่จิตใจของตัวเองนั้นให้ดียิ่งขึ้น สะอาดยิ่งขึ้น แล้วธรรมะก็จะคุ้มครองเรารักษาเราผู้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัตินั้น  คนเก่าๆ ที่ดูพระโอวาทแผ่นนี้ก็จะต้องคิดถึงอะไร คิดถึงว่าใครทำอย่างไร ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้ผลอย่างนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครคนหนึ่งมาเป็นผู้จ้ำจี้จ้ำไชให้เขาเปลี่ยน ยิ่งบางทียิ่งจ้ำจี้จ้ำไชยิ่งไปสังเกตคนอื่นจนลืมสังเกตตนเอง ในที่สุดแล้วคนอื่น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขากำลังรักษากำลังขัดเกลาจิตใจของตัวเองอยู่ กับอีกคนหนึ่งที่กำลังจดๆ จ้องๆ มองว่าคนนั้นทำอะไร เป็นอย่างไร อยู่ระดับไหนแล้ว สุดท้ายลืมมาสังเกตจิตใจของตนเองว่าเป็นอย่างไร  เพ็ญมานานปีก็ไม่มีผลอะไร  ขอให้เรานั้นเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม และขอให้ธรรมะนั้นได้มีโอกาสรักษาศิษย์ทุกคน  คำว่า “ธรรมะ” นั้น ก็หมายถึง ความดี ความงาม สิ่งชอบธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อาจารย์ขอเน้นว่า  การบำเพ็ญธรรมะ คือ การปฏิบัติ  แม้ว่าบางคนบำเพ็ญมานาน แต่ไม่เคยปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของตนเอง แม้จะได้ชื่อว่าผู้บำเพ็ญ แต่ศิษย์ยังไม่ได้บำเพ็ญ
หัวหน้าชั้นบำเพ็ญดีๆ นะ นักเรียนหมายเลขสองก็มีบุญมากแต่ต้องรู้จักเชื่อมบุญต่อบุญให้ยาวๆ  บำเพ็ญธรรมะเป็นทางเดียวที่ทำให้หลุดพ้น  ถ้าหากว่าไม่หันหลังให้กับกิเลสบ้างเราจะลำบากนะ  บำเพ็ญธรรมะให้ดีๆ  ได้ไหม
ทุกๆ คนนั้นมีโอกาสแต่เราต้องเปิดโอกาสของตนเองให้กว้างกว่าที่มีอยู่ด้วย เข้าใจไหม  อายุนั้นยังน้อยตั้งใจบำเพ็ญธรรมะให้ดีๆ  ถ้าหากว่ามีคนเขาเรียกให้มาฟังธรรมะก็ต้องพยายามเสียสละเวลามา  อายุมากแล้วบำเพ็ญธรรมะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว  บำเพ็ญดีๆ  อย่าเป็นเด็กดื้อ  อายุน้อยๆ บำเพ็ญตามอาจารย์มานะ  ชีวิตนี้มีความทุกข์สลัดทุกข์ได้  สละเวลามาสถานธรรมบ้าง  มาสถานธรรมให้บ่อยๆ
อาจารย์จะไปแล้ว  แต่ศิษย์นั้นขอให้บำเพ็ญอยู่บ่อยๆ จะได้กลับมาเจออาจารย์อีกนะ  มาสถานธรรมก็เหมือนอยู่บนสวรรค์  ขึ้นสวรรค์บ่อยๆ นะ  อย่าใจแข็งมากนะศิษย์อาจารย์รู้ไหม  เราต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญ  คนนำเรามาดีแล้ว  เราต้องรู้จักรักษาตัวเราให้อยู่รอดปลอดภัย จิตใจแบบสามวันดีสี่วันไข้นั้นไม่เอา
อาจารย์อยากพูดอะไรเล็กน้อยก่อนที่อาจารย์นั้นจะจากไป  ตอนนี้การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้ยากเย็นอย่างสมัยก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญยาก คืออุปสรรคที่ตนเองนั้นเฝ้าสร้าง คือกิเลสในใจ และทิฐิของตนเองทั้งนั้น
การบำเพ็ญตอนนี้เหมือนยุคใบไม้ร่วง  คนที่มีจิตใจที่ท้อแท้จะทำให้ต้องปลิดปลิวลงไปอย่างง่ายดาย  อันว่าลมพัดพาใบไม้ไม่ร่วงหล่นนั้นเป็นการยาก  แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเกี่ยวยึดกิ่งนี้ให้แน่นๆ จับสายทองให้มั่นบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ  ทำในสิ่งที่เราทำได้  โอกาสนั้นบางทียังไม่เปิดให้ใครบางคนในการบำเพ็ญได้ดีๆ  แต่ศิษย์ยึดมั่นความดีพอไหม  สร้างความดีเพิ่มเติมจากที่มันสั้นๆ ให้ยาวๆ ได้ไหม  อย่าท้อใจ อย่าเบื่อหน่ายการบำเพ็ญ  เพราะว่าเรานั้นบำเพ็ญอย่างคนมีจุดหมาย  เราคิดอย่างพิจารณาไม่ได้คิดอย่างคนฟุ้งซ่าน  ดำเนินตนอย่างผู้มีธรรมไม่ได้ดำเนินตนอย่างผู้ไร้ธรรม  อาจารย์นั้นเศร้าใจที่สุดในตอนนี้ ข้างหน้าบ้านต้อนรับญาติธรรมใหม่  หลังบ้านทะเลาะกันเอง  อย่างนี้จะให้งานธรรมะไปตลอดรอดฝั่งได้หรือ  อันว่าสวรรค์ คนที่อยู่บนสวรรค์ก็คือเทพ  ศิษย์ทั้งหลายก็คือเทพของอาจารย์  อย่าเป็นเทพที่มีกิเลสหนา อย่าเป็นเทพที่ชวนทะเลาะ การบำเพ็ญธรรมก็คือการฝึกตนเป็นผู้ดี พูดจาดี ทำตนดี มีความคิดที่ดี อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์บำเพ็ญราบรื่นเหมือนสายน้ำ  ไม่ได้อยากให้ศิษย์นั้นเดินบนทางลูกรัง  ต่างคนต่างสร้างความราบรื่นให้กัน สุดท้ายทางก็ราบรื่นเอง  สวรรค์นั้นก็เบิกบานขึ้นเรื่อยๆ  ผู้น้อยทั้งหลายมิได้เป็นปัญหาของอาจารย์  ผู้น้อยทั้งหลายเป็นผู้ที่เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์  อาจารย์อยากให้ผู้นำที่อยู่ข้างหน้าสามัคคีกัน  ร่วมแรงร่วมใจมีความคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียว  ไม่คอยทะเลาะกัน  ถ้าหากว่าพ่อแม่ทะเลาะกันลูกๆ หรือจะมีอนาคตที่ดีได้ เข้าใจคำพูดของอาจารย์ไหม  (เข้าใจ)  ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหน  เวลาไหน  ก็จงทำตนให้ดี  เป็นผู้นำมีอารมณ์ไม่ได้  คิดถึงแต่ตัวเองก็ ไม่ได้  ไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ  ศิษย์รักษาตัวดีๆ  วันหลังเรามาเจอกันใหม่


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  "ธรรมรักษาผู้ประพฤติ"

การเน้นหนักภายนอกมักพบข้อบกพร่อง บำเพ็ญต้องแฝงจิตดีอยู่ในลักษณะ
การยอมให้คือตนแท้เรื่องการชนะ ความดีคละอยู่ภายในทุกสิ่งไป
เลือกอยู่และเลือกทางให้ตนลงเดิน อย่าให้เงินตรามาเป็นผู้ยิ่งใหญ่
อย่าให้อคติมาเสี้ยมสอนจิตใจ เป็นคนใหม่อาจเป็นการสร้างโอกาส
รู้จักรุกและรู้จักถอยคร้ามไม่เข็ด มุ่งสำเร็จสู้ดั่งคนที่ไม่ประมาท
ธรรมรักษาผู้มีธรรมสะอาด ผู้ไม่อาจทำดีได้ไปตามกรรม

อ่านต่อ...

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-05 สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพฯ


วันอังคารที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพฯ
   สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ทะเลทุกข์แสนกว้างใหญ่ไพศาล กลับหลังหันคืนฝั่งธรรมจิตสันติ
รอต้นไม้ต้นเดิมออกดอกผลิ จงดำริดูแลตนบำเพ็ญจริง
เราคือ
ศิษย์ผู้พี่ม่าเถียน องค์ประธานคุมชั้นเรียน รับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉือหัง  เคียมคัล
องค์มารดา   ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา   ฮวา

สละเวลาสลัดใจแห่งกิเลส ความเทวษไม่กล้ำกรายสู่จิตใส
การบำเพ็ญหากเกียจคร้านไม่ตั้งใจ จะก้าวไปยิ่งถอยหลังเข้าทุกที
ฟ้าสอนใจเลื่อนลำดับปราชญ์อริยะ มีมานะแต่อย่าทิฐิยึดถือ
หูต้องหนักยามฟังคำร่ำลือ ให้ยึดถือสัจธรรมมาบำเพ็ญ
ปกติเราพี่น้องเจอกันประจำ ประชุมธรรมอันทรงค่าปลุกใจตื่น
แต่ทว่าใครเฉื่อยแฉะทุกข์มากลืน น้องยากยืนกลางโอกาสอันดีนี้
เมื่อตนรู้ไม่ปฏิบัติคอยผัดวัน จิตขยันถดถอยไปตามเวลา
ยิ่งบำเพ็ญยิ่งหลงแดนมายา สร้างคุณค่าไปแกนแกนกุศลพร่อง
เมื่อได้เกิดกายมาเป็นคนแล้ว ขอคล่องแคล่วไม่ชักช้าสติใกล้
ปัญญาเรืองดวงอาทิตย์อันแสนไกล กลับส่องให้ทุกชีวิตอบอุ่นทั่ว
เมื่อทุ่มเทใจบำเพ็ญพี่อยากเตือน อย่าเลอะเลือนไม่เอาจริงใจตนนั่น
วัตถุภายนอกสิ่งใดหรือสำคัญ ปัญหาสารพันไร้ทางออกเพราะตนเอง
ย้อนมองตนเห็นค่าแห่งใจกว้าง ทุกแนวทางเป็นเพียงแนวอย่ายึดมั่น
การบำเพ็ญตรงจากใจใสจากญาณ รูปถ่ายผ่านกุศลพูนเพราะลงแรง
ทุกคนต่างมีส่วนในงานธรรมฟ้า อย่าอ่อนล้าจนกว่าถึงจุดหมาย
ร่วมปกป้องงานธรรมยามอันตราย ตนทั้งหลายคือตัวแทนแห่งธรรมา
จงช่วยคนช่วยโลกดั่งพุทธะ คนมานะช่วยคนก็คือพุทธะ
ถึงคราวที่ต้องสละให้สละ การชนะตนเองดีคนเหนือคน
รู้แยกแยะผิดถูกให้ดีเลิศ ธรรมประเสริฐเฝ้าห่างไกลใจจะเปลี่ยน
นำความผิดต่างต่างมาเป็นบทเรียน อย่าว่ายเวียนโลกีย์นี้อย่างเต็มใจ
กระตือรือร้นศึกษาให้แจ้งจิต อันความคิดชั่ววูบที่ยังกังขา
ขอขจัดให้หมดด้วยตนเองนา ใช้ความกล้าควบคุมตัดสิ้นไป
ขจัดใจฟุ้งซ่านให้บริสุทธิ์ ในที่สุดเดินธรรมอย่างสง่าผ่าเผย
อย่าปลูกนิสัยให้กลายเป็นความชินเคย อย่าเปรียบเปรยซึ่งกันให้ช้ำใจ
อันว่าผู้ปฏิบัติงานธรรมสำคัญยิ่ง ขอพึ่งพิงซึ่งกันด้วยเข้าใจ
คนมีทรัพย์ท่านคือทรัพย์ของธรรมใหญ่ รู้จักใช้ทรัพยากรตนเถิดผู้นำ
พุทธระเบียบฝึกฝนให้จงหนัก อย่าได้ผลักภาระให้คนอื่น
ต้องไปลามาไหว้จิตจึงตื่น บางครั้งฝืนเรื่องโลกีย์ก็ควรทำ
จิตพุทธะและจิตมารเฝ้าต่อสู้ ใจตื่นรู้ไม่ว่ายามหลับตื่น
มีความทุกข์ความลำบากทนกล้ำกลืน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใจชื้นเห็นเด็ดเดี่ยวพอ
ในวันนี้น้องชายหญิงมาฟังธรรม เก็บเกี่ยวจำสิ่งดีไปปฏิบัติ
ต่อตนเองจะต้องรู้เคร่งครัด เดินทางลัดอาจไม่ง่ายขออดทน
ไม่ว่าอยู่นอกหรือในสถานธรรม จะต้องทำแต่ความดีทุกแห่งหน
ตะแกรงฟ้าละเอียดถี่กลั่นกรองคน แม้อับจนอย่าเผลอทำความผิดเลย
หากยังมีสิ่งไม่เข้าใจเร่งศึกษา ไต่ถามอาวุโสเบื้องหน้าย่อมรู้ได้
อมพะนำจำต้องหนักจนวันตาย สิ่งนั้นกลายเป็นอุปสรรคเราสร้างเอง
บำเพ็ญธรรมอย่ากลัวการทดสอบ อยู่ในกรอบจริยธรรมใจมีศีล
ต้องก้มลงบรรพตเมื่อป่ายปีน อุปสรรคหินใจคือน้ำเซาะลงเทอญ
ขอให้มีใจเสมอซึ่งต้นปลาย หากต้นร้ายปลายดีฟ้าสรรเสริญ
หากต้นดีปลายร้ายใจมัวเพลิน จักต้องเดินสู่แดนที่น่ากลัว
บำเพ็ญธรรมต้องฝึกฝนไม่กลัวโดนว่า คำครหาหากไม่จริงก็สิ้นเอง
ขอให้รู้สามควรต้องยำเกรง เป็นคนเก่งไม่กลัวใครว่าเราโง่  จริงไหม
ในวันนี้โอกาสดีมาพบน้อง ขอปรองดองน้องพี่สมัครสมาน
ทำสิ่งใดขอให้วางแผนงาน แต่อย่าให้งานมาวางแผนเรา
รายละเอียดอีกเล็กน้อยนั้นก็คือ สำรวมตนใบหน้าอีกน้ำเสียง
กิริยามารยาทให้พร้อมเพรียง อย่าหลีกเลี่ยงทำแต่ง่ายยากไม่ทำ
อย่าเลือกมาช่วยงานเฉพาะงานใหญ่ใหญ่ สิ่งใดใดเริ่มจากน้อยไปหามาก
จะรับงานภาระที่เบื้องบนฝาก ต้องฝึกหนักเริ่มจากเล็กไปหาใหญ่
ดูแลใจตนเองให้งามดี อันศักดิ์ศรีเป็นสิ่งกินไม่ได้
ใช้เมตตายืนหยัดตลอดไป ใช้ปัญญากว้างไกลในที่แคบ
ขอให้คิดแต่สิ่งดีอย่ามองคนอื่นผิด หากยังติดทรัพย์ยศถาให้ขจัด
ทำงานธรรมอย่าเลือกแต่ถนัด หมุนเวียนผลัดให้ชำนาญทุกสิ่งไป
หากยังไม่ได้กินเจต้องรีบเร่ง น่ากลัวเกรงคือใจตนไม่ยอมเริ่ม
นับนาทีนับวันกรรมคอยเพิ่ม น้องจะเติมเชื้อไฟไว้เผาตนฤๅ
ในวันนี้พี่ขอกล่าวเพียงเท่านี้ เพราะน้องมีสุขภาพรับไม่ไหว
การบำเพ็ญหนทางอีกยาวไกล แยกแยะเป็นไม่งมงายก็พอถึงฝั่ง
กราบลา องค์มารดาผู้เมตตา ขอน้องทุกคนตั้งใจจริง
ฮวา   ฮวา  หยุด

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา