วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2537

2537-06-18 พุทธธรรมจีน (เหยินเต๋อ) จ.ลำปาง



PDF 2537-06-18-สถานพุทธธรรม (เหยินเต๋อ ) #5.pdf

#ความโลภ


วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗      มูลนิธิพุทธธรรมจีน จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

 พู่กันทองวางพลันสว่างภพ อักษรลบเรียงรายไล่ลดหลั่น
เผยใจข้าอุราผู้คุมชั้น             ได้ยืนยันประจักษ์ชั้นปรัชญา
เราคือ
                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่อริยสถาน  เคียมคัล
องค์มารดา           ถามเมธีน้องทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง      ฮวา  ฮวา

ศุภรสถานประสานงานร่วมฟ้าดิน       ตามพุทธบุตรโบยบินคืนถิ่นฐาน
กรัชกายดั่งพยับแดดลวงตานาน         เร่งพบพานอรชุนแห่งดวงแด
ปลูกสร้างฐานมั่นคงบฤงคพ                ขอใจนบรู้แท้หวังเข้าใจ
ขอตั้งใจฟังธรรมอดทนไว้      ต่อมารร้ายกลางใจรังควานฤดี
ขอศรัทธาอย่าเป็นดั่งสนิมเกาะ           เกิดฉงนมิพอจากจิตสิ้น
ถวิลหาลาภยศฤๅทรัพย์สิน  ดอกไม้งามมีกลิ่นรักษาสัจจา
คุณธรรมแปดติดอยู่กลางใจตน           สละเสียสับสนมิก้าวหน้า
สุดท้ายนั้นคว้าควันแห่งมายา              รู้กาลนี้ยุคสามนากอปรกุศล
บรรพชนต่างมาร่วมยินดี      หากน้องมีความเข้าใจสร้างบัลลังก์
เพื่อผองชนโปรดแผ่มิหยุดยั้ง               เสริมพลังให้ตนค้นตนเอง
                กระจกนี้ส่องตนฤๅผู้อื่น        หากแข็งขืนมิอ่อนน้อมฤๅหยุดยั้ง
                คงเรื่อยไปสู่ทางลงเบื้องต่ำ  รู้แล้วเร่งชำระกรรมสว่างจิต
                หกหมื่นปีเนิ่นนานลืมมนสิการ             ปณิธานมุ่งหวังให้หลุดพ้น
                อายตนะสัมผัสสีสันจึงอับจน               น้องทุกคนรู้แล้วกลับหัวเรือ
                รูปภายนอกขันธ์ห้ามิจีรัง      ใดหมายปองหยุดยั้งใจสมาน
                อมตะจิตแท้ธรรมญาณ        เร่งค้นพลันเจอขุมทรัพย์แห่งปัญญา
                ต่อแต่นี้เริ่มต้นเป็นคนใหม่    สถานธรรมอย่าได้เอ็ดอึงหนา
                รักษาระเบียบวินัยแห่งพุทธา               เตือนน้องข้าตั้งใจฟังเพื่อดวงญาณ
                ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป             ศึกษาธรรมจึงไกลพัฒนะ
                แล้วประกายแห่งจิตตัดลดละ              เรายืน ณ ที่นี้ตรวจบัญชี
ฮวา  ฮวา  หยุด
-------------------------------------------------------------------------------------
ศุภร         :               ส่องแสง, สว่าง, งาม, ขาว
กรัชกาย :               ร่างกาย
อรชุน      :               ขาว, ใส
บฤงคพ   :               ผู้ประเสริฐ, หัวหน้า
มนสิการ :               การกำหนดไว้ในใจ
อายตนะ :               ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ
ขันธ์ห้า    :               รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ



                วันเสาร์ที่  ๑๘  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๓๗
                พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน เมตตา

หกหมื่นปีข้องเกี่ยวเกลียววัฏฏะ          น้อยคนละพเนจรแสงสลัว
ฝุ่นฟุ้งควันสะสมบาปเมามัว                ปิดรูรั่วแห่งสติอคาธถึง
เราคือ
                หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  แล้วแฝงกาย   กตัญชลี
องค์มารดา           ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

เหยียบเมฆทองเคลื่อนลงกลางธุลี      ปลุกชีวีตื่นขึ้นยามเหน็บหนาว
ชีพลางเลือนดั่งพยับแดดสะท้อนพราว               ฝันจึงราวกับภาพชีวิตเพียงชั่วคืน
โอบอารีต่อผู้ยั้งธรมาน         วาระกาลมุนีมิเช้าแล้ว
อัญมณีด้อยค่ากว่าจิตแก้ว  อวเคราะห์คลาดแคล้วด้วยใจตรง
พัฒนะซึ่งตนธรรมกว้างไกล เริ่มต้นใหม่ผ่านวิกฤตสู่กระสานติ์
ยอมรับทุกข์ลำบากแม้คลุกคลาน       บูรณญาณนี้เพื่อมหาอุบล
จิตตวิเวกตัดอาวรณ์เขย่าจิต               แม้คิดผิดเทียบเท่าอันทุอนันต์
ปหานแล้วอนุสัยนานัปการ  เห็นแก่นสารจึงหยุด ณ จุดกลาง
มุ่งวิมานฤๅตนเพียงผู้เดียว  กลางน้ำเชี่ยวธรรมแผ่กว้างไกลหนา
ประสานใจกับเวลาลักขณา อนุตตราเลิศล้ำเกินบรรยาย
ฮา  ฮา  หยุด

                หนทางรื่นรมย์ต่างผ่านวนเวียน   ทุกข์ภัยเยี่ยมเยียน   จนอ่อนโรยรา   แสงสีดั่งควัน   ไขว่คว้ามายา   ม่านบังตา   พาใจหมดสิ้นลืมหลง
                พบแสงพุทธา   สว่างภายใน   ทุกข์ทนยิ่งเดิน   ศรัทธาจริงใจ   ฟื้นสู่ญาณเดิม   เมฆนั้นค่อยคลาย   เพียงตั้งใจ  บำเพ็ญตนก่อนจะสาย
                หากท้อแท้   แม้ม่านบังตาทรนง   ปัดผงเข้าตาด้วยตนเศร้าใจ  
เมื่อเกณฑ์ฟ้า     เร่งแพร่ท่ามกลางห้วงจิตใจ     เลือกเป็นดั่งหยกใส
                ฟ้าดูเวิ้งตา   ยังมีฝนพรำ   พุทธะเร่งนำจิตเดิมภายใน   ลิขิตใดมีเรียนรู้แปรใจ   มั่นคงไว้   ลืมทุกข์ในห้วงตัณหา
เพลง : ก่อนจะสาย
ทำนองเพลง : อรุณสวัสดิ์
-----------------------------------------------------------------------
อธิบายศัพท์
อคาธ      :               เหว, หยั่งไม่ถึง
ธรมาน    :               ยังดำรงชีวิตอยู่
กระสานติ์               :               สงบ, ราบคาบ
จิตตวิเวก                :               ความสงัดใจ ได้แก่ การทำจิตให้สงบผ่องใส  สงัดจาก
นิวรณ์  สังโยชน์ และอนุสัย
อันทุ:       โซ่, ตรวน, เครื่องจองจำ
ลักขณา  :               มีลักษณะดี



พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน เมตตา

                กลางธุลีนี้ทุกคนทราบไหมว่าหมายความว่าอะไร  (ไม่ทราบ)  กลางธุลีนี้ก็คือสถานธรรมที่ใสบริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นละอองแห่งโลกีย์
                ทำไมเราถึงบอกว่า  "ปลุกชีวีตื่นขึ้นยามเหน็บหนาว"  ทุกคนรู้ไหมว่า
ทุกวันเราหลับแล้วต้องตื่นขึ้นมาพบกับสิ่งใดบ้าง  เราไม่รู้ว่ามันจะดี   จะทุกข์หรือจะสุข  มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเหน็บหนาว   ในวันนี้ทุกท่านได้มีโอกาสมาฟังธรรมะ  ได้รู้หนทาง  ให้นำความรู้ที่เราได้ทราบนี้ไปเมตตาโอบอ้อมอารีและไปเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับรู้  เวลานี้ช้ามากแล้วทุกคนจะต้องเร่งรีบบำเพ็ญ  ถ้าทุกคนไม่เร่งรีบบำเพ็ญก็ยิ่งช้า  อย่ามัวสงสัยคลางแคลงว่าทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต้องมายืมร่างและลงมาเร่งโปรดให้คนได้รับรู้ธรรม  เพราะทุกคนลืมจิตของ
ตัวเองไปแล้ว  จิตที่มีค่าดังแก้วแม้อัญมณีใด ๆ  ก็ไม่มีค่าเท่ากับจิตวิญญาณของเรา  ถ้าให้ทุกคนเลือกระหว่างอัญมณีกับแก้วตาดวงใจของเราซึ่งเป็นชีวิต เราจะเลือกอันไหน  (เลือกแก้วตาดวงใจ)
                ทุกคนเมื่อมีใจตรงเมื่อมีอุปสรรคเราก็จะสามารถฝ่าฟันไปได้  ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่  ขอให้มีใจที่เที่ยงตรงศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อในธรรมะ  เมื่อ
ทุกคนต้องฝ่าฟันกับอุปสรรค  ต้องเจอกับสิ่งต่าง ๆ  มากมายที่ทำให้เรามีจิตใจที่ท้อแท้  เบื่อหน่ายไม่อยากต่อสู้  ไม่อยากฝ่าฟัน  ไม่อยากที่จะมีชีวิตต่อไปในโลกนี้   ถ้าทุกคนไม่เจออุปสรรคทุกคนจะรู้หรือว่าสิ่งที่ไม่ใช่อุปสรรคนี้คืออะไร 
สิ่งที่ไม่ใช่ทุกข์คืออะไร  ทำไมเจ้าหน้าที่ทุกคนจึงเร่งรีบช่วยทุกคนให้มีโอกาสรับรู้  (ไม่ทราบ)  เพื่อกลับคืนเบื้องบน  และเพื่อฐานบัวของตัวเอง
จิตตวิเวกคือความสงัดในการตัดนิวรณ์และสังโยชน์
                นิวรณ์ คือ กิเลสที่ฝังอยู่ในจิตใจของเราทุกคน  เพราะเรายังมีความรัก  โลภ  โกรธ  หลง  อาลัยอาวรณ์อยู่กับโลกนี้  จิตที่เคยนิ่งใสก็ถูกสั่งสมให้ตะกอนที่อยู่นอนก้นลอยขึ้นมา  จากจิตที่ใสก็กลายเป็นจิตที่ขุ่น  เพราะเมื่อไหร่ที่เราเกิดอาลัยอาวรณ์หรือคิดผิดมันก็คือสิ่งที่เป็นโซ่ตรวนที่คอยรัดกุมจิตใจของเรา  กายของเรา  ไม่ให้คิดที่จะทำอะไรและไปไหน  เพราะมัวเฝ้าพะวงอยู่กับสิ่งที่เรารักและหวงแหน ขอให้ทุกคนละทิ้งสิ่งที่เป็นกิเลสและสิ่งที่เป็นตะกอนที่อยู่ในจิตใจของทุกคน  เมื่อเราละทิ้งแล้ว  ญาณอันใสที่อยู่ตรงกลางร่างกาย  กลางจิตใจก็จะปรากฏขึ้นมา
                เมื่อร้องเพลงแล้วดึงจิตกลับมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ชื่นใจ  การชื่นใจมิใช่เพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชื่นใจ   แต่บรรพชนที่นั่งรออยู่ข้างนอก มาฟังธรรมพร้อมกับ
พวกเราก็ชื่นใจด้วย
                "ฟ้าดูเวิ้งตายังมีฝนพรำ"  ความสุขที่เราพบเห็นอยู่นี้แน่ใจหรือว่าจะ
มั่นคงถาวรไปกับชีวิตและร่างกายตัวนี้ของเรา (ไม่แน่ใจ)  แล้วความสุขแห่ง
จิตใจคือความสงบที่จะได้กลับคืนไปบ้านเดิมแห่งจิตใจ  ซึ่งบ้านเดิมของเราไม่ใช่บ้านเดิมในโลกนี้
                การเปลี่ยนตัวเอง  ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงได้ทันที  แต่ต้องรู้จักค่อยเป็น
ค่อยไป ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ขอให้มีใจที่ตั้งใจอย่างจริงจัง สิ่งนั้นก็

สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้  แล้วทำอย่างไรถึงเรียกว่าเปลี่ยนแปลงจิตใจ  (ตั้งใจทำดีในสิ่งที่ตนเองหวัง)
                (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท และให้นักเรียนในชั้น
ร่วมกันตั้งชื่อเพลง)  ฟังเพลงธรรมะดูบ้างเพราะว่าฟังเพลงทางโลกมามากแล้ว  เราให้ทุกคนเป็นนกที่คอยส่งข่าวสารให้ทุกคนได้รับรู้ดีไหม  การบำเพ็ญไม่มีแก่  ไม่มีเด็ก  ถ้ามีใจที่บริสุทธิ์ตั้งใจบำเพ็ญก็จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายและนักเรียนหญิงออกมานำร้องเพลง)
                วันนี้ทุกท่านได้ร่วมร้องเพลงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว  ต้องเข้าใจความหมายของเพลงด้วย และเมื่อศึกษาธรรมะแล้วต้องเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและหลัก
อันแท้จริงของธรรมะด้วย
                (นักเรียนในชั้นคนหนึ่งได้ตั้งชื่อเพลงที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ว่า
"เพลงก่อนจะสาย" )  รู้ไหมทำไมถึงตั้งชื่อว่าเพลงก่อนจะสาย
                ขอให้ทุกคนเร่งรีบบำเพ็ญ  ทำความดีนั้นไม่ยาก  ทำไมเราถึงบอกว่าการทำดีนั้นไม่ยาก  อยู่ที่เราตั้งใจทำความดีนั่นก็คือการสร้างบุญ  เมื่อทุกคนสร้างบุญ  ทุกคนก็มีความสุข  สุขกับตัวเองไม่พอ  ความสุขนี้ยังเผื่อแผ่ไปให้กับคนอื่นอีก  เมื่อทุกคนมีความสุขอยู่ในสิ่งที่ตัวเราทำ  สุขนี้ก็เป็นกุศล  กุศลที่ดีคืออะไร  ใครตอบเราได้บ้าง (คิดดี พูดดี ทำดี)  ถูกไหม  เขาเป็นเด็กตัวเล็กแค่นี้ยังกล้าพูด  แล้วคนอื่นล่ะ  (ละสิ่งที่ไม่ดีในใจตัวออกไปและให้สร้างกุศลเพิ่มขึ้นเพื่อบรรพชน)  เมื่อรู้แล้วว่าต้องสร้างกุศล  ต้องบำเพ็ญตนเร่งรีบปฏิบัติ  เริ่มต้นที่ไหนก่อน (ที่ใจ)  เมื่อเริ่มต้นที่ใจแล้วต้องเริ่มที่ไหนต่อ
(ที่การกระทำทางกาย  วาจา)  ถึงแม้เด็กจะสามารถบำเพ็ญได้เร็วกว่าผู้ใหญ่  แต่ถ้าไม่มีผู้ใหญ่เด็กจะมาได้ไหม  (ไม่ได้)
                โอวาทและเพลงที่เราให้  ให้เร่งรีบศึกษา  ถ้าอยากมาผูกบุญกับ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เร่งรีบมาศึกษาธรรมะ  เมื่อกายนี้รู้แล้วที่จะบำเพ็ญ  เร่งรีบ
บำเพ็ญธรรม  อาจารย์ของท่าน  พระแม่มารดาของทุก ๆ  คนก็รอทุกคนอยู่  เข้าใจไหม



                วันอาทิตย์ที่  ๑๙  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๓๗
                พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง เมตตา
เพื่อชี้  หลักธรรม  ให้ลมเรียกวอนรู้ข้าหนักใจ  ศิษย์เอ๋ย สงสาร
อาจารย์ของเจ้าบ้างไหม  มอบรัก  หมดใจ  ละลายหายไปน้ำตา
ตอบแทน  ชอกช้ำ  ฝืนทนยิ้มไปด้วยใจผุพัง
สุขเพลินขอศิษย์หวนใจ  เวลาทุกข์มาใกล้ใคร  ถึงคิดสาย  ยิ่งทารุณ
หลอน  คว้าควันสลายไป
โอ้ฟ้า  เข้าใจ  ช่วยทวงสัญญาร้างแล้วอยู่ไหน  ตื่นหนา  ประคอง
ร่างกายที่ยังบอบช้ำ

เราคือ
                พระอรหันต์จี้กงวิปลาส อาจารย์เจ้า                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  แฝงกาย   น้อมอภิวาท
องค์มารดาผู้เมตตา             ถามศิษย์รักทุกคนใจอยู่ที่นี่หรือเปล่า

ผ่านปีนับชีพใกล้ชราวัย        คุณธรรมสร้างไว้เป็นแบบอย่าง
ได้ปิดกั้นหมางเมินหน้าอนิจจัง             โปรดคืนยังพุทธาแท้จิตนิ่ง
เรือชีวิตไร้จุดหมายลอยหันเห              กระแสทะเลคลื่นกิเลสพัดจมดิ่ง
ที่สำคัญขจัดโลภกระจ่างธรรมยิ่ง        ต่างช่วยจริงเหินห่างหลงติรใกล้
พินิจได้รู้อารมณ์คุกรุ่นทรมาน              ต้องฝืนเพียรเนิ่นนานผันนิสัย
ไป่ผัดวันประกันพรุ่งบำเพ็ญใจ            พ้นนรการต์นิพพานใกล้ด้วยใจวีรชน
ฮา  ฮา  หยุด


                เพื่อชี้   หลักธรรม   ให้ลมเรียกวอนรู้ข้าหนักใจ   ศิษย์เอ๋ย  สงสารอาจารย์ของเจ้าบ้างไหม  มอบรัก  หมดใจ  ละลายหายไปน้ำตาตอบแทน  ชอกช้ำ   ฝืนทนยิ้มไปด้วยใจผุพัง
*              สุขเพลินขอศิษย์หวนใจ  เวลาทุกข์มาใกล้ใคร  ถึงคิดสาย  ยิ่งทารุณหลอน   คว้าควันสลายไป
**             โอ้ฟ้า  เข้าใจ  ช่วยทวงสัญญาร้างแล้วอยู่ไหน  ตื่นหนา  ประคอง
ร่างกายที่ยับบอบช้ำ   (ซ้ำ *,**)
เพลง : ความในใจ
ทำนองเพลง : คู่นก



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง เมตตา

                ศิษย์ของอาจารย์ฟังหัวข้อกตัญญูไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง  นำไปปฏิบัติหรือเปล่า
                มาที่นี่มีความสุขไหม (มี)  มีใครบอกได้ว่ามีมากเท่ากับอาจารย์ที่ได้มาเจอศิษย์วันนี้  รู้ไหมว่าความรู้สึกของอาจารย์ที่เจอศิษย์เป็นอย่างไร
                มาที่นี่มีใครนึกขอบคุณผู้ดูแลที่นี่บ้าง  คนที่ดูแลที่นี่คือใครทราบไหม  การที่เราจะเข้าใจธรรมะได้ต้องรู้จักต้นธาร  ทำอย่างไรให้เขาดี  ให้เขารู้สึกว่าอบอุ่นใจ  รู้สึกว่าความพยายามของเขาต้องสำเร็จแน่นอน  (อาจารย์ถ่ายทอด-
เบิกธรรมได้แนะนำผู้ดูแลสถานธรรมให้นักเรียนรู้จัก)  เขาทำมาตั้งหลายปี
แนะนำแค่นี้หรือ  ให้เขาพูดซิว่าเขาหวังอะไรจากทุกคนบ้าง  (อยากให้ทุกคนเข้าใจธรรมะ  บำเพ็ญธรรม  ช่วยเหลืองานธรรมและญาติธรรมลำปางให้มาบำเพ็ญธรรมกันมาก ๆ )   ดูซิเขาหวังน้อยแค่นี้  ยังสละตัวเองตั้งหลายปี  แล้วศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนที่นี่ทำให้เขาสมหวังได้หรือเปล่า (ได้)  คนที่ตอบว่าได้ถ้าหากว่าทำไม่ได้จะให้อาจารย์ทำอย่างไรดี  ศิษย์รักของอาจารย์มีใครอาสาช่วยเขาบ้าง  คนที่นี่ทั้งนั้นมีใครอาสาช่วยเขาบ้าง  มีคนเดียวหรือ  อาจารย์จะขอดูใจของศิษย์หน่อย
                การช่วยไม่ใช่ช่วยอย่างงมงาย  ช่วยตามที่ใจต้องการ  ต้องช่วยด้วยใจที่ว่าง  แต่ไม่ใช่บอกว่าฉันไม่ว่างหรอก  แต่ที่ยังไม่ว่างเพราะอะไร  อาจารย์ชี้แนะไม่ได้ อยู่ที่ใจของศิษย์  ไม่ว่างเพราะละครเรื่องนี้สนุกมาไม่ได้  เดี๋ยวอดดู
อย่างนี้ใช่หรือเปล่า  อาจารย์จะบอกให้ว่าเพียงหนึ่งแรงไม่ใช่ง่าย ๆ  ศิษย์รัก
คนเดียวยังเป็นเสาหลักให้ยืนอยู่ได้  ศิษย์อีกคนมาช่วยก็ทำให้ที่นี่รุ่งเรือง
ขึ้นมาได้  อยู่ที่ศิษย์รักสนใจธรรมะแค่ไหน  มีศิษย์ตอบอาจารย์ในใจ 
ศิษย์รักของอาจารย์ต้องกล้าอย่างวีรชนใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบว่าใช่
อาจารย์ถือเป็นสัญญานะ
                "บำเพ็ญใจพ้นนรกานต์นิพพานใกล้..."  ด้วยอะไรดี  ใครที่ตั้งใจฟังอยู่คงจะตอบอาจารย์ได้  ดูซิว่าใครจะสื่อกับอาจารย์ได้บ้าง
                ศิษย์รักของอาจารย์รู้ไหม  ศิษย์รักไม่เคยมีความชั่ว  มีความเลวใน
สายตาของอาจารย์  เพียงแต่ศิษย์มั่นคง  เพียงแต่ศิษย์ขยันเดิน  สิ่งที่ศิษย์
บอกว่าชั่วนั้นก็จะหายไป  ทุกคนมีโอกาสกลับตัวได้  อย่าได้ตำหนิว่าตัวเอง  จนถึงวันนี้ทุกคนยังมีทางแก้ไขได้อีก  เพียงแต่ศิษย์ตั้งใจมาศึกษาธรรมะก็จะรู้ว่าทางนั้นเป็นอย่างไร  ถ้าศิษย์โทษตัวเองก็เท่ากับว่าศิษย์โทษอาจารย์ด้วย  เพราะอาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์  ถ้าอาจารย์สอนไม่ดีศิษย์ก็ไม่ดีใช่ไหม
ถึงศิษย์ไม่โทษอาจารย์  อาจารย์ก็คงต่อว่าตัวเองอยู่แล้ว  ขอให้ศิษย์มี
ความอดทน  อดทนแล้วสิ่งที่ศิษย์คิดว่ามันเป็นความเลว  เป็นความไม่ดี
ก็จะหายไป
                ถึงอาจารย์จะแบกกรรมให้ศิษย์มากมาย  อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไร  แต่ว่ากรรมของศิษย์สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นของศิษย์  อาจารย์ต้องแบกให้อาจารย์ไม่ว่า  แต่ถ้าศิษย์ไม่เดิน (สร้างกุศลเจริญปณิธาน)  เจ้ากรรมนายเวรของศิษย์จะ
ยอมไหม (ไม่ยอม)  รู้ว่าไม่ยอมแล้วทำไมไม่เดิน


                "บำเพ็ญใจพ้นนรกานต์นิพพานใกล้ด้วยใจวีรชน" ศิษย์ของอาจารย์
ทุกคนจะต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยว  แม้เดินเพียงคนเดียวก็ยังต้องสู้ไป  ถ้าศิษย์สู้จะมีทางแพ้หรือไม่ (ไม่มี)  แล้วถ้าศิษย์ไม่สู้ล่ะ  (แพ้)
                "ผ่านปีนับชีพใกล้ชราวัย"  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนผ่านไปแล้ว
ปีหนึ่ง ๆ  จากผมที่ดำก็กลายเป็นผมขาว  จากอายุที่เพียงนิดเดียวก็ขึ้นเลขห้า
เลขหก  แต่ว่าอายุมากไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย  อายุมากถ้าหากเราบำเพ็ญให้ดี ๆ  เราก็มีกุศลเหมือนกัน  อายุไม่ใช่ขีดจำกัดหรือข้อห้าม  ศิษย์รักของอาจารย์สามารถทำให้ลูกหลานเข้าใจธรรมะได้  ลูกหลานเราก็เป็นเพียงแค่คนที่มีบุญสัมพันธ์กับเรามาเกิดเท่านั้น  ถ้าเราส่งเสริมให้เขาเข้าใจธรรมะได้ก็จะเป็นกุศล
                "โปรดคืนยังพุทธาแท้จิตนิ่ง"    (ให้บำเพ็ญตนทั้งกายและใจ  เพื่อให้มีจิตใจที่สงบเยือกเย็นและมีสติตลอดเวลา)
                "ได้ปิดกั้นหมางเมินหน้าอนิจจัง"  ถ้าหากศิษย์รักไม่ได้ศึกษาธรรมะ
มาก่อนคงจะอธิบายไม่ได้  ทำไมถึงบอกว่าเราได้ปิดกั้นหมางเมินหน้าต่ออนิจจัง  ก็เพราะว่าถ้าเราเองปิดกั้นกิเลสที่จะมารบกวนจิตใจของเรา  ไม่
ข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้หันหลังกลับมาสู่ความเที่ยงแท้ของชีวิต  รู้จักศึกษาธรรมโดยที่ไม่งมงาย  ศิษย์รักของอาจารย์คิดว่าเราได้ปิดกั้น
หมางเมินหน้าอนิจจังหรือยัง  เราจะต้องเร่งปิดกั้น เพราะว่าทุก ๆ  วัน
กิเลสนั้นก็ตามมาราวีเราใช่ไหม

                "เรือชีวิตไร้จุดหมายลอยหันเห" (ชีวิตเราเปรียบเหมือนเรือที่ลอยไปในกระแสน้ำอย่างไร้จุดหมาย  จะลอยไปทางไหนก็ได้ตามกระแสคลื่น)
                "กระแสทะเลคลื่นกิเลสพัดจมดิ่ง"  กระแสทะเลนี้ไม่ใช่ทะเลธรรมดา  แต่เป็นทะเลทุกข์ที่เต็มไปด้วยคลื่นแห่งกิเลสพัดให้ศิษย์รักทุกคนของอาจารย์
จมลงไปเรื่อย ๆ  อย่างนี้แล้วคิดว่าจะว่ายน้ำทวนคลื่นขึ้นมาเพื่อพบกับธรรมะ
ได้ไหม (ได้)  อย่างนี้แล้วเราก็ต้องรู้ทัน  ไม่ไปตามกระแสกิเลสใช่ไหม  (ใช่)
                "ที่สำคัญขจัดโลภกระจ่างธรรมยิ่ง"  โลภในที่นี้หมายถึง  โลภทั้งใน โลภทั้งนอก  โลภทั้งในก็คือว่า โลภในจิตใจอยากจะให้สมหวังปรารถนา 
อยากจะให้ทุก ๆ  อย่างเป็นของเรา  โลภในความยินดี   โลภภายนอกก็คือว่า โลภในทรัพย์สิน  โลภในหน้าที่  โลภในตำแหน่ง  มีใครบอกอาจารย์ได้บ้างว่าทุกคนไม่มีความโลภแล้ว  ถ้าหากว่าทุกคนคิดว่าตัวเองยังมีความโลภอยู่ก็จะต้องขจัดความโลภออกด้วยใจใช่ไหม (ใช่)    ถ้าขจัดความโลภไม่ได้  ศิษย์ก็คงไปอยู่กับอาจารย์ไม่ได้เช่นกัน ใช่ไหม  (ใช่)
                "ต่างช่วยจริงเหินห่างหลงติรใกล้"  ติรแปลว่าฝั่ง  ฝั่งในที่นี้หมายถึง
ฝั่งธรรม  หมายถึงหนันผิงซัน  หนังผิงซันแปลว่าอะไร  (หนันผิงซันเป็นชื่อ
หุบเขาที่พระอาจารย์สถิตอยู่  เป็นหุบเขาแห่งหนึ่งแต่ไม่ใช่หุบเขาที่อยู่ภายนอก  แต่เป็นหุบเขาที่สถิตของจิตญาณเราทั้งหลาย  พระอาจารย์อยู่ที่นั่น  ท่านเป็น
ผู้รู้แจ้งแล้วท่านได้มาชี้ให้เรารู้จักหุบเขาที่มองไม่เห็น)  ต่างช่วยจริงก็คือว่า 
ในสถานธรรมแห่งนี้มีหน้าที่มากมายไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ครัว  ส่งผ้า  ส่งน้ำ  ล้วนเป็นหน้าที่ของอริยะทั้งนั้น  พวกเขาเหล่านั้นต่างเหน็ดเหนื่อยและช่วยด้วยความจริงใจ  ศิษย์รักของอาจารย์ทราบหรือไม่ (ทราบ)  ถ้าทราบแล้วตั้งใจ
ฟังธรรมสมกับที่เขาตั้งใจหรือเปล่า  ตั้งใจนะ
                "พินิจได้รู้อารมณ์คุกรุ่นทรมาน"  (ตรวจดูอารมณ์ของเรา  ตรวจดูอารมณ์ที่อยู่บนโลกนี้   คลุกฝุ่นเหมือนกิเลสที่อยู่บนโลกนี้  มันทรมานยังไง)      ฝุ่นในที่นี้ก็หมายถึงกิเลสอีก  การที่เราจะพินิจดูเราใช้อะไรพินิจดู (ใช้สติปัญญา)
แล้วใช้สติปัญญาในการบำเพ็ญหรือเปล่า ใครอาสาจะช่วยอาจารย์อธิบาย
พระโอวาทบ้าง
                "ต้องฝืนเพียรเนิ่นนานผันนิสัย"  (ต้องฝึกฝน  ต้องพยายามและต้องใช้เวลานานเพื่อจะเปลี่ยนนิสัยของเรา)  ทำไมความเพียรถึงบอกว่าเป็นการฝืนล่ะ (อย่างมารับธรรมะ  ไม่เคยมานั่งฟังเกือบสองวันเต็ม ก็เป็นการฝืนเหมือนกัน  แต่เป็นการฝืนที่สบาย ๆ )
                "ไป่ผัดวันประกันพรุ่งบำเพ็ญใจ"  (การที่เราจะบำเพ็ญธรรมนี้  ถ้าเรา
ผัดวันไปเรื่อย ๆ  จิตใจเราก็จะไม่เจริญขึ้น"  ไป่ตัวนี้หมายถึงไม่  ไม่ผัดวันประกันพรุ่งบำเพ็ญใจ  แล้วคำตอบก็อยู่ในประโยคต่อไป
                "พ้นนรกานต์นิพพานใกล้ด้วยใจวีรชน"  (พ้นจากความทุกข์ทรมานแล้วเข้านิพพานด้วยใจจริง)  พ้นนรกานต์  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนขณะนี้จริง ๆ  แล้วก็พ้นนรกานต์อยู่แล้ว  แต่ถ้าศิษย์ตัดสายทองเส้นนี้ทิ้ง  นิพพานจะเข้ามาใกล้ศิษย์ได้ไหม  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์บำเพ็ญด้วยใจวีรชน  ถึงแม้จะคนเดียว  โดนครหา  โดนกล่าวว่าก็ไม่เกรงกลัว  บำเพ็ญเรื่อย ๆ  ไปใจนี้ก็เปรียบดังวีรชน
                (พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงความในใจ)  ร่างกายของศิษย์ทุกคนจริง ๆ  แล้วช้ำไปหมดแล้วศิษย์รู้ไหม  พุทธจิตธรรมญาณที่สถิตในร่างกาย
ศิษย์เองก็หม่นหมองเศร้าตรม  แล้วศิษย์รักล่ะพร้อมใจพร้อมกายที่จะประคองขึ้นมาหรือยัง  พร้อมหรือยัง
                (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเมตตาอธิบายพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
คำว่า  "อี้ซิน"                 คำว่า "อี้"  แปลว่า  หนึ่ง  คำว่า "ซิน"  แปลว่า  ใจ  
"อี้ซิน" ก็คือ "ใจที่มีหนึ่งเดียว" )
                "ชราวัยอย่าได้ปิดกั้นหมางเมิน"  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอายุมากแล้ว
ก็อย่าได้ปิดกั้นตัวเองจากธรรมะ
                "หน้าที่ต่างสำคัญช่วยได้"  หน้าที่ต่างสำคัญต่างก็ช่วยกันได้เข้าใจไหม
                "ฝืนเพียรเนิ่นนานผันคุกรุ่นโลภหลง"  ศิษย์รักของอาจารย์เมื่อเพียรไปนาน ๆ  ก็ย่อมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ในทางธรรม  แล้วอย่างนี้ศิษย์รักของอาจารย์จะเรียกว่าบำเพ็ญหรือไม่ (ไม่)   ถึงแม้หน้าที่ทางธรรมหรือหน้าที่
ทางโลกก็เหมือนกัน  ศิษย์รักมีความโลภ  มีความหลงเช่นนี้แล้วจะเรียกว่าบำเพ็ญไหม (ไม่)   ถ้าอย่างนั้นแล้วควรจะสำรวจตัวเอง  ย้อนส่องใจ เข้าใจไหม
                "เหินห่างธรรมยิ่งใกล้ไป่พ้นนรกานต์"  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์ที่อยู่ ณ
ที่นี้เหินห่างจากธรรมะแล้ว  ทางลัดที่ศิษย์จะไปก็ขาดหายไป  อย่างนี้ชื่อศิษย์แม้จะอยู่บนสวรรค์ก็หลุดลงมาข้างล่างได้ใช่ไหม  เพราะฉะนั้นศิษย์รักก็
ไม่พ้นแล้ว   ไม่พ้นอะไร  (นรก)


                อาจารย์อยากบอกศิษย์รักสักอย่างว่า  "สนิม"  ที่ท่านองค์ประธาน-
คุมสอบสามภูมิได้ให้ไว้  "สนิม"  นั้นเกิดจากอะไร  หมายถึงอะไร  ใครบอกอาจารย์ได้บ้าง (สนิมเกิดจากกิเลส)  สนิมเกิดจากตัวสนิมเองเพราะสนิมเป็นเหล็ก  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์ใช้ความศรัทธาที่มีอยู่นั้นเป็นสนิมแล้วอย่างนี้จะเรียกว่าบำเพ็ญหรือไม่ (ไม่)  ศิษย์รักของอาจารย์จะยอมให้จิตญาณของ
ตัวเองเกิดสนิมไหม  (ไม่)
                ดอกไม้เปรียบเหมือนคนที่มีสัจจะ ดอกไม้ก็มีทั้งที่มีกลิ่นและสีที่
ชวนมอง  ศิษย์รักของอาจารย์ใช่มองว่าดอกไม้สวยหรือไม่สวย  มันมี
กลิ่นหอมหรือไม่หอม  ศิษย์รักอยากเป็นดอกไม้ที่ไม่มีสีแล้วก็ไม่หอมหรือเปล่า  อยากเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า  ถ้าศิษย์รักอยากมีทั้งสีและความหอม  ศิษย์รัก
จะต้องรักษาสัจจะ  ศิษย์รักจะได้มีครบทั้งสีและกลิ่น  แต่ว่าการที่จิตของเราเป็นอายตนะ   ถ้ามองกลับอีกแง่หนึ่งไปยึดติดกับมันก็จะหลุดพ้นได้ยากใช่ไหม
                ศิษย์ลองคิดดูว่าบนถนนสายหนึ่งมีอาจารย์คนเดียวเท่านั้นที่เดินอยู่  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน  อาจารย์เดินอยู่ท่ามกลางฝน  ศิษย์รักก็ไม่สนใจ  อย่างนี้แล้วจะไม่ให้อาจารย์เศร้าได้อย่างไร
                ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเวียนว่ายตายเกิดนานแสนนาน  ถ้าหากว่าศิษย์รักของอาจารย์ยังเวียนว่ายอยู่อย่างนี้แล้วจะให้อาจารย์มีความยินดีได้ไหม  มีใครบอกอาจารย์ได้บ้างว่าจริง ๆ  แล้วอาจารย์ควรจะทำอย่างไร  อาจารย์
ขอให้ศิษย์ช่วยตัวเองได้ไหม  ศิษย์เองยังมีบางคนที่เชื่อและไม่เชื่อ  แล้วศิษย์
จะให้อาจารย์มีความสุขได้หรือเปล่า  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์เข้าใจธรรมะ ศรัทธาธรรมะก็สามารถเดินเคียงข้างอาจารย์ได้ใช่ไหม
                คนทั้งชั้นก็คือภาระของศิษย์เข้าใจไหม (พระอาจารย์พูดกับนักเรียน
คนหนึ่ง) ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนรับปากกับอาจารย์ได้ไหมว่าจะ
เพียรพยายาม  ถ้าหากมาคราวหน้าอาจารย์ไม่เห็นหน้าศิษย์แล้วจะให้
อาจารย์ไปตามอย่างไร  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนก็คือดวงใจของอาจารย์
ถ้าศิษย์ไม่เพียรในวันนี้ก็คงเหมือนบทเพลงเมื่อวานที่มันสายเกินไปแล้ว
                มีใครรู้บ้างว่าทำไมอาจารย์ถึงเศร้าสร้อยอย่างนี้  ศิษย์จากอาจารย์มาก็นานแล้ว  ถ้าหากว่าไม่เพียรบำเพ็ญแล้วจะให้อาจารย์รอศิษย์ถึงเมื่อไหร่  อาจารย์เจ็บปวดกับการที่ต้องรอโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ศิษย์รักจะกลับมา  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่พยายามดึงตัวเองแล้ว  อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
                อาจารย์เห็นหน้าศิษย์มีแต่ความยินดี  แต่พอจะกลับไปอาจารย์ก็ห้ามความเศร้าไม่อยู่  อาจารย์ก็รอว่าสักวันหนึ่งคงมีคนที่ทำให้อาจารย์สบายใจได้   ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเข้าใจไหมว่างานที่นี่ยังต้องคอยศิษย์รักอีกมากมาย  ถ้าศิษย์รักไม่พยายามแล้วงานธรรมะจะรุ่งเรืองได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้ามีโอกาส
ขอให้ศิษย์รักทุกคนมาสถานธรรม   มาอยู่กับอาจารย์ดีไหม  (ดี)
                พวกเราได้ร่วมกันร้องเพลง "ความในใจ" , "คำสัญญา" และ "แผลในใจ"  เป็นการส่งพระอาจารย์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2537

2537-06-11 พุทธสถานเจาหยรู จ.เชียงใหม่



PDF 2537-06-11-เจาหยรู #4.pdf

#ลักษณะสี่  #ลักษณะ๔  #เที่ยง  #ทางสายกลาง



วันเสาร์ที่๑๑มิถุนายนพุทธศักราช๒๕๓๗ พุทธสถานเจาหยรูจ.เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
 ไม่วอกแวกหรือลังเลมั่นสมาธิ คุมสติพุทธากลางภูผา
เจริญเร่งบำเพ็ญอริยา เปิดทางธรรมมโนจริยาสำนึกบาปเวร
เราคือ
 องค์ประธานคุมสอบสามภูมิรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
 ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวาฮวา
สะเทือนทั่วหล้าฟ้าแดนมนุษย์ กรรมบาปหยุดมิสานต่อให้จิตช้ำ
องค์มารดาเมตตารอใจระกำ ด้วยลูกถลำลึกดิ่งลงหลงโลกีย์
ประชุมธรรมเพื่อรู้ตื่นรู้แจ้งจิต มารสถิตปัดทิ้งมิให้เหลือ
คุณธรรมเร่งเจริญอย่าคิดเบื่อ ศิษย์น้องเชื่อยึดสายกลางก้าวรุดเร็ว
กาลยุคสามจริมยุคโปรดเก็บงาน ฟ้าดินประสานร่วมมนุษย์เพื่อฉุดช่วย
ระฆังทองอีกฆ้องก้องเสียงช่วย โปรดเวไนยผู้สุมด้วยธุลีบัง
ธรรมญาณเดิมแท้ท่านเคยใส ขอจงได้ขัดเกลาใหม่พยายามหนา
เกิดเป็นมนุษย์ได้สุขทุกข์เกิดดับมา จงรู้ว่าภาพลวงตาเท่านั้นเอง
สิ่งใดคือสัจจาแห่งชีวิต คุณค่าพินิจกายเนื้อเพียงธาตุหนา
พิจารณาสิ่งเที่ยงพิสูจน์คุณค่า อย่าให้กาลเพลาผ่านไร้ค่าไป
คุณสัมพันธ์ทั้งห้าจงรักษา คนบุราณมาต่างมีธรรมมากเหลือหลาย
แต่บัดนี้ด้วยหลงผิดอันตราย กลับตนใหม่ยังมิสายท่านเมธี
สองวันนี้บรรพชนต่างคุกเช่า เพื่อรับฟังธรรมขัดเกลาจิตผ่องใส
เหล่าลูกหลานหากท่านใดแจ้งธรรมได้ ปฏิบัติไปบรรพชนสุขสบาย
ขอจงรู้รักษาระเบียบให้คงมั่น วาจานั้นสงบไว้จิตผ่องใส
มินินทามิต่อว่าเรื่องใดใด รักหลงโกรธโลภละได้สงบจริง
สองวันนี้ขอจิตมิฟุ้งซ่าน เรื่องการงานเรื่องเรียนวางลงหนา
เรื่องครอบครัวละวางลงพิจารณา ให้รู้ค่ารักษาญาณอันแท้จริง
แล้วศิษย์พี่หยุดยืนคุมสถาน หยุดพู่กันจรดวาง ขอศิษย์น้องจงตั้งใจ
ฮวาฮวาหยุด



ก้าวลงสู่พสุธาด้วยปุยเมฆ ฝุ่นโลกคลุ้งทั่วเขตบรรพตสถาน
ถ้ำร้างรกหยากไย่พันเนิ่นนาน พุทธญาณกำแพงกิเลสสานหลงโลกวน
เราคือ
 พระโพธิสัตว์ในชุดขาวแห่งทะเลทักษิณ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แล้วแฝงกายลงบทมาลย์
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ใบไม้ร่วงพลิ้วลงสู่พื้นดิน ชีวิตสิ้นใบไม้แห้งที่อับเฉา
เวลาสั้นดีชั่วตามดั่งกับเงา โลกสุขเศร้าเพียงพริบตาผ่านพ้นไป
สิ่งใดคือดวงจิตอันเที่ยงแท้ สิ่งใดคือการแก้สู่มรรคผล
ใครคนใดชดใช้หนี้ด้วยจิตตน ผู้นั้นผจญอุปสรรคต่างต่างนานา
อารมณ์ร้ายอารมณ์โลภหลงหยุดเสีย จิตอ่อนเปลี้ยไร้กำลังมารโลดโผน
เรื่องทางโลกล่อลวงตาเสริมจิตสูงส่ง หากรู้จักปลงรู้ละแล้วพบแจ้งจริง
อนุตตรธรรมให้มนุษย์รู้แจ้งตื่น ให้หยุดยืนณกลางธรรมอันล้ำค่า
ให้รู้ตนจริงคือคนเยี่ยงไรนา ให้รู้ค่ากตัญญูแปดคุณธรรม
สามสำรวจตนพึ่งพาตนเพื่อชนะ ยึดถือละอัตตาลงอย่าได้หลง
รู้ความว่างเกิดสรรพสิ่งณจิตตน รู้เที่ยงตรงมัชฌิมาทางสายตรง
สร้างกุศลด้วยมิหวังสิ่งตอบแทน แม้นเหนื่อยยากเสริมเรี่ยวแรงท่านแข็งแกร่ง
แม้นวันใดหกล้มลงหมดเรี่ยวแรง มิคลอนแคลนห่างจากธรรมแม้นก้าวเดียว
ประเสริฐจิตพุทธะอยู่กลางใจ เรื่องใดใดในโลกขอปลงเสีย
ย้อนสู่ทางธรรมะแม้นอ่อนเพลีย จงช่วยเกลี้ยกล่อมเวไนยสู่ทางตรง
ขณะนี้หากมิกลับย้อนสู่จิต มิอาจพิชิตจิตสองในใจได้
เร่งตื่นเถิดรู้โลกทุกข์อันตราย เร่งน้อมกายใจปณิธานปฏิบัติงานธรรม

 ฮาฮาหยุด





พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอินเมตตา
กลอนนำโอวาทนี้มีใครเข้าใจว่าอย่างไร  (ญาติธรรมตอบ : เรามาจากเบื้องบนนานแล้ว  จนจิตใจเราสกปรกไม่เหมือนตอนที่เราอยู่เบื้องบน)  จิตใจของท่านเมธีน้อยผู้นี้ยังใสอยู่มาก  จิตใจที่ใสอย่างนี้ขอให้จงรักษาเอาไว้ให้ดี
"ก้าวลงสู่บรรพตด้วยปุยเมฆ"  เมื่อผู้ที่บรรลุธรรมนั้นจะไป ณ ที่แห่งใด  ที่แห่งนั้นก็จะดูเหมือนนุ่มไปหมด นุ่มเหมือนปุยเมฆ  ที่ที่แข็งนั้นสามารถอ่อนนุ่มได้เพราะเหตุใด   คนที่มีธรรมะนั้นต้องเป็นผู้ที่อ่อนน้อมใช่หรือไม่  ถ้าคนที่อยู่ในโลกนี้แข็งกระด้างจิตใจไม่มีธรรมะแล้ว  ท่านผู้นั้นจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็นและสงบได้ไหม  กลอนบทแรกนี้ก็เพียงเพื่อให้ทุกท่านรู้ที่จะมีจิตใจละเอียดอ่อนโยนเหมือนดังปุยเมฆ
"ฝุ่นโลกคลุ้งทั่วเขตบรรพตสถาน"  บรรพตก็คือภูเขา  ภูเขาอยู่ในจิตใจท่านหรือว่าจิตใจท่านอยู่บนภูเขา  หรือว่าภูเขาเป็นที่ตั้งของจิตญาณ  ไม่ว่าใครจะตอบว่าอย่างไรก็ถูกทั้งนั้น  เมื่อภูเขาเป็นที่ตั้งของจิตญาณแต่ภูเขานั้นถูกฝุ่นต่าง ๆ ที่คลุ้งอยู่ในโลกนี้เข้ามาเกาะเคลือบจิตญาณแล้ว  จิตญาณนี้ยังจะใสอยู่หรือไม่   ถ้าถ้ำรกร้างนั้นไม่มีผู้อยู่อาศัย  ฤๅษีผู้ที่เคยอยู่ในที่นั้นก็ออกไปข้างนอกแล้วไปพบกับแสงสีต่าง ๆ    ถ้ำนั้นก็ถูกปล่อยรกร้างเต็มไปด้วยหยากไย่แล้วถ้ำนี้ยังจะเป็นถ้ำที่น่าอยู่อีกไหม   ถ้ำรกร้างยังไม่พอ  กิเลส มาร หยากไย่ต่าง ๆ ของท่านนั้นก็สานกันขึ้นทุก ๆ ปีทุก ๆ ชาติ  จนแข็งแกร่งขึ้นมากลายเป็นกำแพงที่หนาและสูงขึ้นทุก ๆ วินาที   หากวันใดท่านต้องการที่จะกลับไปถ้ำเดิมของท่าน  ท่านจะหาถ้ำนั้นพบได้อย่างไร (ทำความสะอาด)  แล้วจะทำความสะอาดอย่างไร  (ศึกษาการทำความสะอาด  ชำระใจตนเอง)  การที่เราจะตัดสิ่งที่เราเคยทำมานาน ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก  ต้องใช้ความอดทนและกำลังใจที่สูงส่งอย่างยิ่ง  และยังต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง  ถ้าไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ทำการสิ่งใดก็ยากที่จะบรรลุได้
กลอนนำพระโอวาทบทนี้  แสดงให้เห็นถึงจิตใจของทุกท่านที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าวินาทีนี้ท่านไม่สามารถละจิตใจที่ฟุ้งซ่านออกไปได้  ท่านก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เราอธิบายได้เลย  เรามาในวันนี้ก็เพื่อทำให้จิตใจของท่านเปิดกว้างและสว่างขึ้น ทุกท่านในที่นี้ล้วนเคยบำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้น
คนนั้นต่างก็มีเวลาที่เท่ากัน  เวลาที่ให้ในแต่ละวันก็มี ๒๔ ชั่วโมง
เท่ากัน  ขึ้นอยู่ว่าใครจะรักษาเวลาอันมีค่านี้ไว้ได้แค่ไหน  บางคนนั้นใช้เวลาอันมีค่าไปกับการใช้เงิน  บางคนนอนเล่นไม่ทำประโยชน์อะไร  แล้วท่านจะเป็นคนประเภทไหน
ทุกคนขณะนี้มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มขึ้น  ชั่วโมงแรกที่ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจ  บางคนเห็นเราก็ยังมีจิตใจที่สงสัยอยู่ ยังเห็นว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดใช่
หรือไม่  จิตใจเช่นนี้จะตัดออกได้อย่างไร  จิตใจเช่นนี้เป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน  เมื่อมีจิตใจที่สงสัยลังเล  สิ่งที่เราบอกท่านไปนั้นก็ไม่สามารถที่จะได้ยิน  จิตที่มีความสงสัยจะเป็นจิตที่กั้นความเข้าใจในธรรม  เมื่อมีจิตที่สงสัยแล้วธรรมะที่เราพูดไปก็จะเข้าใจได้ยาก  บางคนเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก็เกิดความเชื่อและศรัทธา  คนอีกประภทหนึ่งศรัทธาในคำพูดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และในเมื่อสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นเป็นธรรมะอันเที่ยงแท้  คนที่นำไปปฏิบัติก็จะเกิดผลดีแก่ตนเองใช่ไหม
คนที่อยู่ในโลกนี้อายุต่างกันเพราะอะไร  ตอบง่ายมากก็เพราะมาเกิดในวาระที่ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่  แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นก็คือได้เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน  แต่คนก็มีการแบ่งเป็นชายเป็นหญิง  แบ่งชนชั้น  คนมีความรู้สูงก็ทำหน้าที่ที่ต่างกัน  คนในโลกมนุษย์นี้มองกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก คนต่างกันเพราะมีการศึกษาต่างกันและเป็นเพราะวาสนาที่สั่งสมมาจากชาติก่อน ๆ ต่างกัน  รูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นงามนั้นเรียกว่ากายงาม
ใจงามนั้นเป็นอย่างไร  ผู้มีใจงามก็คือผู้ที่เราพบเขาครั้งแรกแล้วเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนมีน้ำใจ  เราอยากอยู่ใกล้เขา  ถ้าคนนั้นเขาสอนธรรมะให้กับเรา  เราจะรู้สึกซาบซึ้งและเราก็อยากจะปฏิบัติตามใช่ไหม
คนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมเขามีจิตใจดีไหม พวกเขาเหนื่อยมากในขณะที่พวกท่านนั่งสบายอยู่ในห้องแอร์และได้ฟังธรรมะที่ดี ๆ ด้วย  คนอยู่ข้างนอกบางคนเหนื่อยมาก บางคนเหนื่อยน้อย ด้วยภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน  บางคนก็เหนื่อยใจหนักใจว่านักเรียนชั้นนี้จะเข้าใจธรรมะได้แค่ไหน
(พระโพธิสัตว์กวนอินได้เมตตาประทานพระโอวาทต่อจนจบ)
เราให้กลอนที่เข้าใจได้ง่ายแต่ความเข้าใจของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน  บางคนมีความคิดที่จะช่วยงานธรรมเพราะเห็นซึ้งถึงสัจธรรมอันแท้จริง  สำหรับท่านที่ยังไม่เข้าใจถ่องแท้เราขอให้ท่านศึกษาอีกครั้ง
ขอให้ทุกคนหลับตาลงและสำนึกในความผิดที่ได้เคยทำมา  ลองพิจารณาทบทวนดูว่า  ตั้งแต่ท่านเกิดมาท่านได้กระทำสิ่งใดที่มีคุณธรรมบ้างหรือไม่  หรือได้เคยกระทำสิ่งใดที่ไม่บังควร  ท่านคิดกลัวในสิ่งที่ไม่ดีที่เคยกระทำไปหรือไม่  เมื่อคิดกลัวแล้วท่านจะทำสิ่งไม่ดีนั้นอีกไหม  หรือว่าจะทำสิ่งที่ดีเพื่อเป็นการทดแทน  ขอให้ทุกคนน้อมจิตสำนึกในความผิด  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมจะอภัยให้กับผู้ที่มีจิตใจสำนึกผิด  แต่การสำนึกผิดอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ  ขอให้ท่านนึกถึงเจ้ากรรมนายเวร  ต้องตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ทำผิดอีก  และจะสร้างกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร  เพื่อให้เขาทั้งหลายไปสู่ภพที่สงบขึ้น  (ท่านเมตตาให้ทุกคนหลับตาสำรวมจิต)
เมื่อทุกคนได้หลับตาสำรวมจิต ณ จุดนั้น  จะพบจิตที่ว่างและสงบ  ต้นไม้ที่มีรากฐานอันมั่นคงก็จะเจริญเป็นลำต้นที่มั่นคง  ตอนนี้ท่านเป็นต้นกล้าซึ่งจะเจริญเป็นต้นไม้ใหญ่  ทุกท่านจะต้องทำให้ต้นกล้านี้แข็งแกร่ง
เมื่อท่านได้หลับตาแล้วรู้สึกเบาสบายขึ้นใช่ไหม  ไม่เหมือนกับตอนแรกที่จิตฟุ้งซ่าน  ทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยฟุ้งซ่าน  ต่อไปนี้ท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะเอาชนะมันให้ได้  การควบคุมจิตนี้เป็นสิ่งที่ยาก  แต่จิตที่มีสติมั่นคงแล้วทำการใดใดย่อมลุล่วง
การที่เราช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดตลอดเวลา ไม่ใช่ช่วยเฉพาะตอนประชุมธรรม  ต้องช่วยคนทุกวินาทีที่เรายังมีลมหายใจอยู่  ถ้ารอจนไม่มีกายเนื้อนี้แล้ว  ท่านจะช่วยใครได้ไหม  อายุจะมากน้อยนั้นไม่สำคัญ ขอให้ตั้งความมุ่งมั่นว่าเราจะต้องช่วยคนไม่ว่าจะทุกข์ยากแค่ไหน  ต้องช่วยเขาเหล่านั้นให้ตื่นขึ้น  และจะทำอย่างไรจึงจะช่วยเขา ทำให้เมื่อยามที่เขาละกายเนื้อนี้ไปแล้วเขาได้มีความสุขและไม่ทุรนทุราย
เรามาในวันนี้ได้เห็นจิตของทุกคนที่ตั้งมั่นเราก็สบายใจ  พุทธะกล่าวไว้ว่า  การจะทำการงานใดใดให้สำเร็จต้องทำอย่างสม่ำเสมอ  การทำงานถ้าเร่งเร็วเกินไปในตอนต้นอาจจะชะงักได้ในเวลาต่อไป  และย่อมเกิดความสูง ต่ำ ทำให้ไม่อยู่ในทางสายกลาง   วันใดที่ทำได้ไม่สม่ำเสมอก็เหมือนกับวันนั้นตกต่ำลงไป  แต่ความสม่ำเสมอนี้บางคนอาจเห็นว่าเป็นการสอนคนให้อยู่กับที่  แต่ที่จริงแล้วเป็นการก้าวอย่างมีสติตลอดเวลา  ทุกคนจะต้องนำไปปฏิบัติและต้องไม่ยึดในทุกข์หรือสุข  จะต้องให้เหลือเพียงหนึ่งคือความสงบและว่าง  ขอให้ปฏิบัติให้ได้  ลาก่อน


     วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
 จากสิ่งหนึ่งเป็นหมื่นรวมสรรพสิ่ง                 มนุษย์โลกประวิงสิ่งลวงทั้งหลาย
 มนุษย์คือธาตุเกิดรวมเรียกเป็นกาย              ภพเกิดตายบัดนี้แจ้งหยุดวัฏฏะลง
  เราคือ
     พระอาจารย์จี้กงวิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์      แล้วแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
     กายเกิดเจ็บเฒ่าไปตามครรลอง      เพื่อชีพประคองดิ้นรนตนมักใหญ่
ทรัพย์มหาศาลเมื่อม้วยมือเปล่าไป      จิตหากไกลชะละกาผ่านเหวลวง
หนี้กรรมมีแต่โพ้นกระทำมา               ศิษย์ใคร่มีมัชฌิมาเวลาน้อยเร่ง
ได้รับใดใคร่พิจารณาตนเอง                เกรงผลก่อครวญคร่ำยังต้องผจญ
เมล็ดธรรมค่าล้ำเกินประมาณได้         ทุ่งหฤทัยทุกข์ระทมด้วยขาดฝน
ตัดห้วงกิเลสตั้งใจบำเพ็ญตน              มทะพ้นเพื่อต้นธรรมเจริญงาม
                                                                                     ฮา  ฮา  หยุด
     อาจารย์เฝ้ามองดูใจของมวลศิษย์รักเรา บำเพ็ญขัดเกลามองตนหวนดูจิตหรือยัง หรือเห็นผู้อื่นสุขสราญ ล้นทรัพย์เงินกว่าตน กลับไม่สุขใจ
     ชิงดีสู่ตนเพื่อตนสมใจสุขสำราญ  ฤๅชีพยาวนานยืนยั่งคงคู่ฟ้าดิน๓  แยกแยะชั้นบรรดาศักดิ์นานา  แท้ที่จริงญาณจิตเดียว
     ตะเกียกตะกายแข่งขันผลคืออะไร  จะกักกันใจหมดความเสรี  หากศิษย์พ้นข้ามปราการด่านนี้  ทุกข์ที่อยู่ในใจของตนจะปลดเปลื้องลง
                                                         ทำนองเพลง : ฝากฟ้าทะเลฝัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา
"กายเกิดเจ็บเฒ่าไปตามครรลอง" คนเราเกิดมาวันหนึ่งก็ต้องมีการเจ็บ แก่ลง และตายไป  บางคนยังไม่ทันแก่ก็ตายไป  เพราะฉะนั้นโลกนี้
ไม่เที่ยง  เพื่อการครองชีพเราก็ต้องทำงานต่าง ๆ มากมาย  แต่พอทำไปกลายเป็นการงานมาเป็นตัวบงการชีวิตเราแทน ทำให้จิตใจของเรามัวหมองไม่รู้ว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร
"ทรัพย์มหาศาลเมื่อม้วยมือเปล่าไป จิตห่างไกลชะละกาผ่านเหวลวง"  (ญาติธรรมตอบ : มีทรัพย์สมบัติมากมายตายก็เอาไปไม่ได้  เพราะฉะนั้นจงเร่งทำแต่ความดี  ในชีวิตหนึ่งมีสิ่งยั่วยวนให้เราหลง  เพราะฉะนั้นเราควรหลีกห่างจากสิ่งไม่ดี  จึงจะผ่านเหวลวงได้)
"หนี้กรรมมีแต่โพ้นกระทำมา"  (ญาติธรรมตอบ : คนเราแต่ละคนจะมีหนี้กรรมติดตัวกันมา  เพราะในอดีตเคยทำสิ่งที่ไม่ดีไว้  แม้ในชาตินี้ก็ยังทำสิ่งไม่ดีก่อหนี้กรรมเพิ่มขึ้นอีก)
"ศิษย์ใคร่ครวญมัชฌิมาเวลาน้อยเร่ง" (ญาติธรรมตอบ : ทุกคนควรเร่งปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อกลับคืนไปสู่ที่เดิม  เพราะเวลาที่เราจะมีลมหายใจอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร)
ทางสายกลางคืออะไร  คือไม่เอนเอียงไปทางซ้ายและทางขวา  ซึ่งต้องใช้จุด ๆ นั้นเป็นจุดที่ดำเนินไป  เมื่อเราได้รู้สิ่งล้ำค่าต้องรู้จักใช้  ถ้าไม่รู้จักใช้ก็ไม่มีประโยชน์  เหมือนคนได้รับสิ่งล้ำค่ามาก็ไม่ทราบว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน  เมื่อจำเป็นต้องใช้ก็หาไม่พบ  เมื่อหาไม่เจอจะทำอย่างไร  มีบางคนบอกว่าเมื่อหาไม่เจอก็ร้องไห้  บางคนก็พยายามคิดว่าเราเอาไปวางไว้ที่ไหน  คนที่เขารู้ก็สามารถจะบอกเราได้ แต่เมื่อวันใดเราไปคนเดียวแล้วลืมสิ่ง
ล้ำค่าไปจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน  ไม่มีใครบอกแล้วจะทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงปู่อวี๋เกอพร้อมทำท่าประกอบ  แล้วย้อนกลับมาถามว่าเมื่อสักครู่นี้อาจารย์ถามว่าอะไร  ซึ่งคนส่วนมากก็สนุกกับการร้องเพลงและเพลินจนลืมว่าพระอาจารย์ถามคำถามอะไร  มีญาติธรรมท่านหนึ่งตอบว่า  ถ้าเราได้ทำของสิ่งใดของเราที่ล้ำค่าหายไป  อย่ามัวแต่ร้องไห้เสียใจ  ตั้งสติให้มั่นแล้วเราจะพอเข้าใจแล้วลำดับเหตุการณ์ออกมาได้)
วันนี้ศิษย์ยังจำตรัยรัตน์ได้  แต่ถ้าวันข้างหน้าศิษย์ไม่กลับมาศึกษาธรรมอีก  ไม่ช่วยคน ไม่ได้นำเอาตรัยรัตน์ไว้ในใจ  เมื่อจำเป็นต้องใช้โดยฉับพลันก็นึกไม่ออก  เมื่อไม่สามารถใช้ได้  ของมีค่าได้รับไปก็เหมือนไม่ได้รับ ตลอดเวลาต้องคิดเสมอว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไรบ้าง  แล้วเราจะไปไหน
มีคำปราชญ์เมธีบอกว่าอย่างไร (เตี่ยนฉวนซือ:เจาเหวินเต้าซีสื่อเขออี่  เป็นคำกล่าวของท่านขงจื๊อบอกว่า ถ้าเราทราบว่าอนุตตรธรรมเป็นทางหลุดพ้นไปสู่นิพพาน  ถ้าเราได้รับวิถีธรรมในตอนเช้า เย็นตายไปก็ไม่เสียใจ  เพราะนั่นเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่เราได้รับในชีวิตนี้)
พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นลองแต่งกลอนพระโอวาทได้ดังนี้
"ดุจพืชผลรับฝนพรมสุขสมใจ"
"จะหลุดพ้นการเวียนว่ายสู่นิพพาน"
"ฉุดช่วยคนให้พ้นจากห้วงกรรม"
"หยุดดิ้นรนจากโลกนี้สู่ทางธรรม"
"แกะเปลือกพ้นเป็นลำต้นที่งอกงาม"
"เหมือนหยาดฝนหล่นมาชะโลมใจ"
"ให้หลุดพ้นห้วงกรรมที่ทำมา"
"ถึงอาจารย์อยู่ห่างหลายพันลี้           ก็ยังมีเวลามาหาศิษย์"
"เร่งฝึกฝนพ้นห้วงนี้สู่นิพพาน"
"ต้องฝึกฝนจนเป็นต้นธรรมประจำใจ"
พระอาจารย์เมตตาให้กระจายกลอนพระโอวาทที่ให้ในตอนต้นออกมาเป็นวรรคละ ๗ คำและให้นักเรียนออกมาวงรอบคำ  คำที่วงทั้งหมดเมื่อลากเส้นต่อคำตามลำดับแล้วก็ได้คำว่า "เที่ยง" ซึ่งถอดออกมาเป็นโคลงสี่สุภาพดังนี้ :
          ชีพเกิดเจ็บเฒ่าม้วย ลาไกล
หากแต่มิมีใคร ผ่านพ้น
เวลาน้อยเร่งครวญใคร่ ใดก่อ รับผล
ธรรมค่าล้ำตั้งต้น เพื่อพ้นห้วงทุกข์
ชีวิตเราเกิดมา ไม่มีใครผ่านพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อทุกคนมีเวลาน้อย จะทำอะไรก็ให้ไตร่ตรอง ทำสิ่งที่มีคุณธรรมหรือทำสิ่งที่จะได้
พ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท  ทำนองเพลง : ฝากฟ้าทะเลฝัน  และสอนให้พวกเราร้องกัน)
เนื้อเพลงที่อาจารย์ให้มีความหมายของหลักธรรมที่ตรงกับภาษาจีนว่า ซื่อเซี่ยง (          ) การยึดติดในลักษณะสี่
๑. เหยินเซี่ยง "เห็นผู้อื่นสุขสราญ ล้นทรัพย์เงินกว่าตนกลับไม่สุขใจแสดงว่าเรามีจิตอิจฉาเขา  และเราเห็นทรัพย์สินเงินทองสำคัญกว่าชีวิต  มีจิตเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นว่า  ใครจะสวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า เราจะทำให้เหนือกว่าเขาให้ได้  เมื่อทำไม่ได้ก็เกิดความทุกข์
๒. หว่อเซี่ยง "ชิงดีสู่ตนเพื่อตนสมใจสุขสำราญคนในโลกนี้มีจิตใจ
เห็นแก่ตัว  ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง  พยายามหาทางทำให้สิ่งของต่าง ๆ มาเป็นของตน  ไม่สนใจคนอื่นว่าจะเป็นอย่างไร  ตนเองมีความสุขก็พอ  บางคนอาจไม่ถึงขนาดนี้แต่ก็มีความรู้สึกเกี่ยวโยงกับข้อนี้  เช่น ค้ากำไรเกินควร  คนอื่นขาดทุนเราถือว่าได้เปรียบ  แต่ในทางธรรมไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะถ้าเราเอาเปรียบผู้อื่นเราจะเป็นผู้ขาดทุน  ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันที่จิตใจของคนไปยึดว่าจะต้องมีความสุขเท่านั้นจึงจะใช้ได้  ถ้ามีเท่านี้ถือว่าน้อยไป  แต่ความสุขที่แท้จริงไม่มีการแบ่งชั้นหรอกว่าสุขเท่าไร
๓. โซ่วเจ่อเซี่ยง "ฤๅชีพยาวนานยืนยั่งคงคู่ฟ้าดิน" คนที่เกิดมา  ไม่มีใครมีชีวิตอยู่คู่ฟ้าดิน  บางคนรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายหมอบอกว่าอยู่ได้แค่ ๒ เดือน  ถ้าเรารู้ว่าเรามีเวลาน้อยเราต้องใช้เวลาของเราให้มีค่าที่สุดเพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข  แต่บางคนกลับพยายามไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสะเดาะเคราะห์  ตลอดเวลาจิตก็เป็นทุกข์ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย  สุดท้ายก็เสียเวลาเปล่า
๔. จ้งเซิงเซี่ยง"แยกแยะชั้นบรรดาศักดิ์นานา แท้ที่จริงญาณจิตเดียวความจริงจิตญาณล้วนมาจากที่เดียวกัน  แต่ก็ไปแยกแยะว่าเป็นคนชั้น
ต่าง ๆ แยกคนกับคน คนกับสัตว์  แท้จริงจิตญาณนั้นเหมือนกันแต่ที่ต่างกันก็เพราะผลกรรม  เขาทำบาปมากกว่าเราทำให้เขาได้รับความทุกข์  เรากลับไปกดขี่ทำร้ายเขาซ้ำเติมเขา  เพราะฉะนั้นต้องพยายามเพิ่มจิตเมตตาให้มาก ๆ จะได้ไม่เกิดจิตที่แบ่งชนชั้น  ถึงแม้เราจะเห็นเขาเป็นคนไม่ดี  แต่เขาจะต้องมีจุดดีในตัวไม่เช่นนั้นเขาจะมาเกิดเป็นคนไม่ได้  เราต้องนำจุดดีของเขาออกมา ให้เขาได้เห็น ให้เขาได้รู้  เขาจะได้มีกำลังใจที่จะทำดีต่อไป  คนชอบคำชม  ถ้าชมในสิ่งที่รู้ว่าเขาทำได้  บางทีเขาอาจทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ และเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง  มนุษย์มีปากต้องใช้ทำในสิ่งที่ดี
ทั้ง ๔ ข้อนี้เราจะต้องรู้ว่าเรามีข้อไหนบ้างและต้องพยายามขจัดให้หมดไป มนุษย์นี้ตะเกียกตะกายแข่งขันกันมากมาย  สุดท้ายคืออะไร ก็ตายเหมือนกัน
"จะกักกันใจหมดความเสรี"  ศิษย์จะต้องข้ามปราการ ๔ อย่างนี้  ค่อย ๆ ข้ามทีละขั้นวันละนิดวันละหน่อย  เมื่อข้ามไปได้แล้วก็จะรู้ว่าเมื่อปราศจากทุกข์แล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เมื่อร้องเพลงนี้แล้วก็ต้องทำให้ได้ อาจารย์จะดูว่ามีศิษย์คนไหนที่นำสิ่งที่อาจารย์ให้ไปใช้ แม้ว่าอาจารย์จะให้ไปเหมือนกันแต่รับได้ไม่เหมือนกัน  ขึ้นอยู่กับมีความตั้งใจเพียงใดที่จะบำเพ็ญ ถ้าวันนี้ศิษย์ได้เห็นอาจารย์
ได้เห็นตนเอง  ศิษย์จะต้องเห็นทางอันสว่างด้วย
ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดี ๆ ไม่ต้องร้องไห้  เราต้องได้พบกันอีกแน่นอน  หากตั้งใจจริง  ความตั้งใจนี้จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่   ถ้าคน ๆ ไหนมีความตั้งใจที่มุ่งมั่นแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดคือต้องมั่นคงไม่แพ้ แล้วจะมีผลสำเร็จได้  ผลบุญผลกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมดก็จะต้องได้รับผลไป  ชาตินี้แม้จะทุกข์หนัก  ขอให้ศิษย์ค่อย ๆ ปลง ค่อย ๆ ละ   ชาตินี้แม้จะลำบาก ถ้าบำเพ็ญธรรมดี ๆ อีกหน่อยก็ไม่ต้องลำบาก  บางคนกลุ้มใจเรื่องลูกหลานของตนเองขอให้อาจารย์ช่วยทุกวัน  บางคนก็กลุ้มใจมีหนี้มีสินติดตัวมากมาย ต้องการให้อาจารย์ช่วยเพื่อให้มีเงินมาใช้หนี้สักที คนเราก็กลุ้มใจในเรื่องต่างกัน เป็นเด็กกลุ้มใจเรื่องเรียน  เป็นผู้ใหญ่กลุ้มใจเรื่องการงาน  คนมีครอบครัวก็กลุ้มใจเรื่องของคนมีครอบครัว  แล้วเกิดเป็นมนุษย์นี้จะกลุ้มใจกี่เรื่อง นับไม่ถ้วนใช่ไหม  มีอยู่คำเดียวที่จะทำได้ก็คือให้ค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ ปลงทีละนิด  ความทุกข์ที่มีก็ค่อย ๆ หมดไปได้

ทุกคนโบกมือลาอาจารย์ซิ  แล้วสัญญากับอาจารย์ว่าเราจะต้องได้พบกันอีก  (เราได้ร้องเพลง "คำสัญญา" ส่งพระอาจารย์)

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2537

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา