วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2537

2537-06-11 พุทธสถานเจาหยรู จ.เชียงใหม่



PDF 2537-06-11-เจาหยรู #4.pdf

#ลักษณะสี่  #ลักษณะ๔  #เที่ยง  #ทางสายกลาง



วันเสาร์ที่๑๑มิถุนายนพุทธศักราช๒๕๓๗ พุทธสถานเจาหยรูจ.เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
 ไม่วอกแวกหรือลังเลมั่นสมาธิ คุมสติพุทธากลางภูผา
เจริญเร่งบำเพ็ญอริยา เปิดทางธรรมมโนจริยาสำนึกบาปเวร
เราคือ
 องค์ประธานคุมสอบสามภูมิรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
 ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวาฮวา
สะเทือนทั่วหล้าฟ้าแดนมนุษย์ กรรมบาปหยุดมิสานต่อให้จิตช้ำ
องค์มารดาเมตตารอใจระกำ ด้วยลูกถลำลึกดิ่งลงหลงโลกีย์
ประชุมธรรมเพื่อรู้ตื่นรู้แจ้งจิต มารสถิตปัดทิ้งมิให้เหลือ
คุณธรรมเร่งเจริญอย่าคิดเบื่อ ศิษย์น้องเชื่อยึดสายกลางก้าวรุดเร็ว
กาลยุคสามจริมยุคโปรดเก็บงาน ฟ้าดินประสานร่วมมนุษย์เพื่อฉุดช่วย
ระฆังทองอีกฆ้องก้องเสียงช่วย โปรดเวไนยผู้สุมด้วยธุลีบัง
ธรรมญาณเดิมแท้ท่านเคยใส ขอจงได้ขัดเกลาใหม่พยายามหนา
เกิดเป็นมนุษย์ได้สุขทุกข์เกิดดับมา จงรู้ว่าภาพลวงตาเท่านั้นเอง
สิ่งใดคือสัจจาแห่งชีวิต คุณค่าพินิจกายเนื้อเพียงธาตุหนา
พิจารณาสิ่งเที่ยงพิสูจน์คุณค่า อย่าให้กาลเพลาผ่านไร้ค่าไป
คุณสัมพันธ์ทั้งห้าจงรักษา คนบุราณมาต่างมีธรรมมากเหลือหลาย
แต่บัดนี้ด้วยหลงผิดอันตราย กลับตนใหม่ยังมิสายท่านเมธี
สองวันนี้บรรพชนต่างคุกเช่า เพื่อรับฟังธรรมขัดเกลาจิตผ่องใส
เหล่าลูกหลานหากท่านใดแจ้งธรรมได้ ปฏิบัติไปบรรพชนสุขสบาย
ขอจงรู้รักษาระเบียบให้คงมั่น วาจานั้นสงบไว้จิตผ่องใส
มินินทามิต่อว่าเรื่องใดใด รักหลงโกรธโลภละได้สงบจริง
สองวันนี้ขอจิตมิฟุ้งซ่าน เรื่องการงานเรื่องเรียนวางลงหนา
เรื่องครอบครัวละวางลงพิจารณา ให้รู้ค่ารักษาญาณอันแท้จริง
แล้วศิษย์พี่หยุดยืนคุมสถาน หยุดพู่กันจรดวาง ขอศิษย์น้องจงตั้งใจ
ฮวาฮวาหยุด



ก้าวลงสู่พสุธาด้วยปุยเมฆ ฝุ่นโลกคลุ้งทั่วเขตบรรพตสถาน
ถ้ำร้างรกหยากไย่พันเนิ่นนาน พุทธญาณกำแพงกิเลสสานหลงโลกวน
เราคือ
 พระโพธิสัตว์ในชุดขาวแห่งทะเลทักษิณ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แล้วแฝงกายลงบทมาลย์
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ใบไม้ร่วงพลิ้วลงสู่พื้นดิน ชีวิตสิ้นใบไม้แห้งที่อับเฉา
เวลาสั้นดีชั่วตามดั่งกับเงา โลกสุขเศร้าเพียงพริบตาผ่านพ้นไป
สิ่งใดคือดวงจิตอันเที่ยงแท้ สิ่งใดคือการแก้สู่มรรคผล
ใครคนใดชดใช้หนี้ด้วยจิตตน ผู้นั้นผจญอุปสรรคต่างต่างนานา
อารมณ์ร้ายอารมณ์โลภหลงหยุดเสีย จิตอ่อนเปลี้ยไร้กำลังมารโลดโผน
เรื่องทางโลกล่อลวงตาเสริมจิตสูงส่ง หากรู้จักปลงรู้ละแล้วพบแจ้งจริง
อนุตตรธรรมให้มนุษย์รู้แจ้งตื่น ให้หยุดยืนณกลางธรรมอันล้ำค่า
ให้รู้ตนจริงคือคนเยี่ยงไรนา ให้รู้ค่ากตัญญูแปดคุณธรรม
สามสำรวจตนพึ่งพาตนเพื่อชนะ ยึดถือละอัตตาลงอย่าได้หลง
รู้ความว่างเกิดสรรพสิ่งณจิตตน รู้เที่ยงตรงมัชฌิมาทางสายตรง
สร้างกุศลด้วยมิหวังสิ่งตอบแทน แม้นเหนื่อยยากเสริมเรี่ยวแรงท่านแข็งแกร่ง
แม้นวันใดหกล้มลงหมดเรี่ยวแรง มิคลอนแคลนห่างจากธรรมแม้นก้าวเดียว
ประเสริฐจิตพุทธะอยู่กลางใจ เรื่องใดใดในโลกขอปลงเสีย
ย้อนสู่ทางธรรมะแม้นอ่อนเพลีย จงช่วยเกลี้ยกล่อมเวไนยสู่ทางตรง
ขณะนี้หากมิกลับย้อนสู่จิต มิอาจพิชิตจิตสองในใจได้
เร่งตื่นเถิดรู้โลกทุกข์อันตราย เร่งน้อมกายใจปณิธานปฏิบัติงานธรรม

 ฮาฮาหยุด





พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอินเมตตา
กลอนนำโอวาทนี้มีใครเข้าใจว่าอย่างไร  (ญาติธรรมตอบ : เรามาจากเบื้องบนนานแล้ว  จนจิตใจเราสกปรกไม่เหมือนตอนที่เราอยู่เบื้องบน)  จิตใจของท่านเมธีน้อยผู้นี้ยังใสอยู่มาก  จิตใจที่ใสอย่างนี้ขอให้จงรักษาเอาไว้ให้ดี
"ก้าวลงสู่บรรพตด้วยปุยเมฆ"  เมื่อผู้ที่บรรลุธรรมนั้นจะไป ณ ที่แห่งใด  ที่แห่งนั้นก็จะดูเหมือนนุ่มไปหมด นุ่มเหมือนปุยเมฆ  ที่ที่แข็งนั้นสามารถอ่อนนุ่มได้เพราะเหตุใด   คนที่มีธรรมะนั้นต้องเป็นผู้ที่อ่อนน้อมใช่หรือไม่  ถ้าคนที่อยู่ในโลกนี้แข็งกระด้างจิตใจไม่มีธรรมะแล้ว  ท่านผู้นั้นจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็นและสงบได้ไหม  กลอนบทแรกนี้ก็เพียงเพื่อให้ทุกท่านรู้ที่จะมีจิตใจละเอียดอ่อนโยนเหมือนดังปุยเมฆ
"ฝุ่นโลกคลุ้งทั่วเขตบรรพตสถาน"  บรรพตก็คือภูเขา  ภูเขาอยู่ในจิตใจท่านหรือว่าจิตใจท่านอยู่บนภูเขา  หรือว่าภูเขาเป็นที่ตั้งของจิตญาณ  ไม่ว่าใครจะตอบว่าอย่างไรก็ถูกทั้งนั้น  เมื่อภูเขาเป็นที่ตั้งของจิตญาณแต่ภูเขานั้นถูกฝุ่นต่าง ๆ ที่คลุ้งอยู่ในโลกนี้เข้ามาเกาะเคลือบจิตญาณแล้ว  จิตญาณนี้ยังจะใสอยู่หรือไม่   ถ้าถ้ำรกร้างนั้นไม่มีผู้อยู่อาศัย  ฤๅษีผู้ที่เคยอยู่ในที่นั้นก็ออกไปข้างนอกแล้วไปพบกับแสงสีต่าง ๆ    ถ้ำนั้นก็ถูกปล่อยรกร้างเต็มไปด้วยหยากไย่แล้วถ้ำนี้ยังจะเป็นถ้ำที่น่าอยู่อีกไหม   ถ้ำรกร้างยังไม่พอ  กิเลส มาร หยากไย่ต่าง ๆ ของท่านนั้นก็สานกันขึ้นทุก ๆ ปีทุก ๆ ชาติ  จนแข็งแกร่งขึ้นมากลายเป็นกำแพงที่หนาและสูงขึ้นทุก ๆ วินาที   หากวันใดท่านต้องการที่จะกลับไปถ้ำเดิมของท่าน  ท่านจะหาถ้ำนั้นพบได้อย่างไร (ทำความสะอาด)  แล้วจะทำความสะอาดอย่างไร  (ศึกษาการทำความสะอาด  ชำระใจตนเอง)  การที่เราจะตัดสิ่งที่เราเคยทำมานาน ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก  ต้องใช้ความอดทนและกำลังใจที่สูงส่งอย่างยิ่ง  และยังต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง  ถ้าไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ทำการสิ่งใดก็ยากที่จะบรรลุได้
กลอนนำพระโอวาทบทนี้  แสดงให้เห็นถึงจิตใจของทุกท่านที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าวินาทีนี้ท่านไม่สามารถละจิตใจที่ฟุ้งซ่านออกไปได้  ท่านก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เราอธิบายได้เลย  เรามาในวันนี้ก็เพื่อทำให้จิตใจของท่านเปิดกว้างและสว่างขึ้น ทุกท่านในที่นี้ล้วนเคยบำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้น
คนนั้นต่างก็มีเวลาที่เท่ากัน  เวลาที่ให้ในแต่ละวันก็มี ๒๔ ชั่วโมง
เท่ากัน  ขึ้นอยู่ว่าใครจะรักษาเวลาอันมีค่านี้ไว้ได้แค่ไหน  บางคนนั้นใช้เวลาอันมีค่าไปกับการใช้เงิน  บางคนนอนเล่นไม่ทำประโยชน์อะไร  แล้วท่านจะเป็นคนประเภทไหน
ทุกคนขณะนี้มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มขึ้น  ชั่วโมงแรกที่ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจ  บางคนเห็นเราก็ยังมีจิตใจที่สงสัยอยู่ ยังเห็นว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดใช่
หรือไม่  จิตใจเช่นนี้จะตัดออกได้อย่างไร  จิตใจเช่นนี้เป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน  เมื่อมีจิตใจที่สงสัยลังเล  สิ่งที่เราบอกท่านไปนั้นก็ไม่สามารถที่จะได้ยิน  จิตที่มีความสงสัยจะเป็นจิตที่กั้นความเข้าใจในธรรม  เมื่อมีจิตที่สงสัยแล้วธรรมะที่เราพูดไปก็จะเข้าใจได้ยาก  บางคนเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก็เกิดความเชื่อและศรัทธา  คนอีกประภทหนึ่งศรัทธาในคำพูดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และในเมื่อสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นเป็นธรรมะอันเที่ยงแท้  คนที่นำไปปฏิบัติก็จะเกิดผลดีแก่ตนเองใช่ไหม
คนที่อยู่ในโลกนี้อายุต่างกันเพราะอะไร  ตอบง่ายมากก็เพราะมาเกิดในวาระที่ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่  แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นก็คือได้เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน  แต่คนก็มีการแบ่งเป็นชายเป็นหญิง  แบ่งชนชั้น  คนมีความรู้สูงก็ทำหน้าที่ที่ต่างกัน  คนในโลกมนุษย์นี้มองกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก คนต่างกันเพราะมีการศึกษาต่างกันและเป็นเพราะวาสนาที่สั่งสมมาจากชาติก่อน ๆ ต่างกัน  รูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นงามนั้นเรียกว่ากายงาม
ใจงามนั้นเป็นอย่างไร  ผู้มีใจงามก็คือผู้ที่เราพบเขาครั้งแรกแล้วเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนมีน้ำใจ  เราอยากอยู่ใกล้เขา  ถ้าคนนั้นเขาสอนธรรมะให้กับเรา  เราจะรู้สึกซาบซึ้งและเราก็อยากจะปฏิบัติตามใช่ไหม
คนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมเขามีจิตใจดีไหม พวกเขาเหนื่อยมากในขณะที่พวกท่านนั่งสบายอยู่ในห้องแอร์และได้ฟังธรรมะที่ดี ๆ ด้วย  คนอยู่ข้างนอกบางคนเหนื่อยมาก บางคนเหนื่อยน้อย ด้วยภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน  บางคนก็เหนื่อยใจหนักใจว่านักเรียนชั้นนี้จะเข้าใจธรรมะได้แค่ไหน
(พระโพธิสัตว์กวนอินได้เมตตาประทานพระโอวาทต่อจนจบ)
เราให้กลอนที่เข้าใจได้ง่ายแต่ความเข้าใจของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน  บางคนมีความคิดที่จะช่วยงานธรรมเพราะเห็นซึ้งถึงสัจธรรมอันแท้จริง  สำหรับท่านที่ยังไม่เข้าใจถ่องแท้เราขอให้ท่านศึกษาอีกครั้ง
ขอให้ทุกคนหลับตาลงและสำนึกในความผิดที่ได้เคยทำมา  ลองพิจารณาทบทวนดูว่า  ตั้งแต่ท่านเกิดมาท่านได้กระทำสิ่งใดที่มีคุณธรรมบ้างหรือไม่  หรือได้เคยกระทำสิ่งใดที่ไม่บังควร  ท่านคิดกลัวในสิ่งที่ไม่ดีที่เคยกระทำไปหรือไม่  เมื่อคิดกลัวแล้วท่านจะทำสิ่งไม่ดีนั้นอีกไหม  หรือว่าจะทำสิ่งที่ดีเพื่อเป็นการทดแทน  ขอให้ทุกคนน้อมจิตสำนึกในความผิด  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมจะอภัยให้กับผู้ที่มีจิตใจสำนึกผิด  แต่การสำนึกผิดอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ  ขอให้ท่านนึกถึงเจ้ากรรมนายเวร  ต้องตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ทำผิดอีก  และจะสร้างกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร  เพื่อให้เขาทั้งหลายไปสู่ภพที่สงบขึ้น  (ท่านเมตตาให้ทุกคนหลับตาสำรวมจิต)
เมื่อทุกคนได้หลับตาสำรวมจิต ณ จุดนั้น  จะพบจิตที่ว่างและสงบ  ต้นไม้ที่มีรากฐานอันมั่นคงก็จะเจริญเป็นลำต้นที่มั่นคง  ตอนนี้ท่านเป็นต้นกล้าซึ่งจะเจริญเป็นต้นไม้ใหญ่  ทุกท่านจะต้องทำให้ต้นกล้านี้แข็งแกร่ง
เมื่อท่านได้หลับตาแล้วรู้สึกเบาสบายขึ้นใช่ไหม  ไม่เหมือนกับตอนแรกที่จิตฟุ้งซ่าน  ทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยฟุ้งซ่าน  ต่อไปนี้ท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะเอาชนะมันให้ได้  การควบคุมจิตนี้เป็นสิ่งที่ยาก  แต่จิตที่มีสติมั่นคงแล้วทำการใดใดย่อมลุล่วง
การที่เราช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดตลอดเวลา ไม่ใช่ช่วยเฉพาะตอนประชุมธรรม  ต้องช่วยคนทุกวินาทีที่เรายังมีลมหายใจอยู่  ถ้ารอจนไม่มีกายเนื้อนี้แล้ว  ท่านจะช่วยใครได้ไหม  อายุจะมากน้อยนั้นไม่สำคัญ ขอให้ตั้งความมุ่งมั่นว่าเราจะต้องช่วยคนไม่ว่าจะทุกข์ยากแค่ไหน  ต้องช่วยเขาเหล่านั้นให้ตื่นขึ้น  และจะทำอย่างไรจึงจะช่วยเขา ทำให้เมื่อยามที่เขาละกายเนื้อนี้ไปแล้วเขาได้มีความสุขและไม่ทุรนทุราย
เรามาในวันนี้ได้เห็นจิตของทุกคนที่ตั้งมั่นเราก็สบายใจ  พุทธะกล่าวไว้ว่า  การจะทำการงานใดใดให้สำเร็จต้องทำอย่างสม่ำเสมอ  การทำงานถ้าเร่งเร็วเกินไปในตอนต้นอาจจะชะงักได้ในเวลาต่อไป  และย่อมเกิดความสูง ต่ำ ทำให้ไม่อยู่ในทางสายกลาง   วันใดที่ทำได้ไม่สม่ำเสมอก็เหมือนกับวันนั้นตกต่ำลงไป  แต่ความสม่ำเสมอนี้บางคนอาจเห็นว่าเป็นการสอนคนให้อยู่กับที่  แต่ที่จริงแล้วเป็นการก้าวอย่างมีสติตลอดเวลา  ทุกคนจะต้องนำไปปฏิบัติและต้องไม่ยึดในทุกข์หรือสุข  จะต้องให้เหลือเพียงหนึ่งคือความสงบและว่าง  ขอให้ปฏิบัติให้ได้  ลาก่อน


     วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
 จากสิ่งหนึ่งเป็นหมื่นรวมสรรพสิ่ง                 มนุษย์โลกประวิงสิ่งลวงทั้งหลาย
 มนุษย์คือธาตุเกิดรวมเรียกเป็นกาย              ภพเกิดตายบัดนี้แจ้งหยุดวัฏฏะลง
  เราคือ
     พระอาจารย์จี้กงวิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์      แล้วแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
     กายเกิดเจ็บเฒ่าไปตามครรลอง      เพื่อชีพประคองดิ้นรนตนมักใหญ่
ทรัพย์มหาศาลเมื่อม้วยมือเปล่าไป      จิตหากไกลชะละกาผ่านเหวลวง
หนี้กรรมมีแต่โพ้นกระทำมา               ศิษย์ใคร่มีมัชฌิมาเวลาน้อยเร่ง
ได้รับใดใคร่พิจารณาตนเอง                เกรงผลก่อครวญคร่ำยังต้องผจญ
เมล็ดธรรมค่าล้ำเกินประมาณได้         ทุ่งหฤทัยทุกข์ระทมด้วยขาดฝน
ตัดห้วงกิเลสตั้งใจบำเพ็ญตน              มทะพ้นเพื่อต้นธรรมเจริญงาม
                                                                                     ฮา  ฮา  หยุด
     อาจารย์เฝ้ามองดูใจของมวลศิษย์รักเรา บำเพ็ญขัดเกลามองตนหวนดูจิตหรือยัง หรือเห็นผู้อื่นสุขสราญ ล้นทรัพย์เงินกว่าตน กลับไม่สุขใจ
     ชิงดีสู่ตนเพื่อตนสมใจสุขสำราญ  ฤๅชีพยาวนานยืนยั่งคงคู่ฟ้าดิน๓  แยกแยะชั้นบรรดาศักดิ์นานา  แท้ที่จริงญาณจิตเดียว
     ตะเกียกตะกายแข่งขันผลคืออะไร  จะกักกันใจหมดความเสรี  หากศิษย์พ้นข้ามปราการด่านนี้  ทุกข์ที่อยู่ในใจของตนจะปลดเปลื้องลง
                                                         ทำนองเพลง : ฝากฟ้าทะเลฝัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา
"กายเกิดเจ็บเฒ่าไปตามครรลอง" คนเราเกิดมาวันหนึ่งก็ต้องมีการเจ็บ แก่ลง และตายไป  บางคนยังไม่ทันแก่ก็ตายไป  เพราะฉะนั้นโลกนี้
ไม่เที่ยง  เพื่อการครองชีพเราก็ต้องทำงานต่าง ๆ มากมาย  แต่พอทำไปกลายเป็นการงานมาเป็นตัวบงการชีวิตเราแทน ทำให้จิตใจของเรามัวหมองไม่รู้ว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร
"ทรัพย์มหาศาลเมื่อม้วยมือเปล่าไป จิตห่างไกลชะละกาผ่านเหวลวง"  (ญาติธรรมตอบ : มีทรัพย์สมบัติมากมายตายก็เอาไปไม่ได้  เพราะฉะนั้นจงเร่งทำแต่ความดี  ในชีวิตหนึ่งมีสิ่งยั่วยวนให้เราหลง  เพราะฉะนั้นเราควรหลีกห่างจากสิ่งไม่ดี  จึงจะผ่านเหวลวงได้)
"หนี้กรรมมีแต่โพ้นกระทำมา"  (ญาติธรรมตอบ : คนเราแต่ละคนจะมีหนี้กรรมติดตัวกันมา  เพราะในอดีตเคยทำสิ่งที่ไม่ดีไว้  แม้ในชาตินี้ก็ยังทำสิ่งไม่ดีก่อหนี้กรรมเพิ่มขึ้นอีก)
"ศิษย์ใคร่ครวญมัชฌิมาเวลาน้อยเร่ง" (ญาติธรรมตอบ : ทุกคนควรเร่งปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อกลับคืนไปสู่ที่เดิม  เพราะเวลาที่เราจะมีลมหายใจอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร)
ทางสายกลางคืออะไร  คือไม่เอนเอียงไปทางซ้ายและทางขวา  ซึ่งต้องใช้จุด ๆ นั้นเป็นจุดที่ดำเนินไป  เมื่อเราได้รู้สิ่งล้ำค่าต้องรู้จักใช้  ถ้าไม่รู้จักใช้ก็ไม่มีประโยชน์  เหมือนคนได้รับสิ่งล้ำค่ามาก็ไม่ทราบว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน  เมื่อจำเป็นต้องใช้ก็หาไม่พบ  เมื่อหาไม่เจอจะทำอย่างไร  มีบางคนบอกว่าเมื่อหาไม่เจอก็ร้องไห้  บางคนก็พยายามคิดว่าเราเอาไปวางไว้ที่ไหน  คนที่เขารู้ก็สามารถจะบอกเราได้ แต่เมื่อวันใดเราไปคนเดียวแล้วลืมสิ่ง
ล้ำค่าไปจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน  ไม่มีใครบอกแล้วจะทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงปู่อวี๋เกอพร้อมทำท่าประกอบ  แล้วย้อนกลับมาถามว่าเมื่อสักครู่นี้อาจารย์ถามว่าอะไร  ซึ่งคนส่วนมากก็สนุกกับการร้องเพลงและเพลินจนลืมว่าพระอาจารย์ถามคำถามอะไร  มีญาติธรรมท่านหนึ่งตอบว่า  ถ้าเราได้ทำของสิ่งใดของเราที่ล้ำค่าหายไป  อย่ามัวแต่ร้องไห้เสียใจ  ตั้งสติให้มั่นแล้วเราจะพอเข้าใจแล้วลำดับเหตุการณ์ออกมาได้)
วันนี้ศิษย์ยังจำตรัยรัตน์ได้  แต่ถ้าวันข้างหน้าศิษย์ไม่กลับมาศึกษาธรรมอีก  ไม่ช่วยคน ไม่ได้นำเอาตรัยรัตน์ไว้ในใจ  เมื่อจำเป็นต้องใช้โดยฉับพลันก็นึกไม่ออก  เมื่อไม่สามารถใช้ได้  ของมีค่าได้รับไปก็เหมือนไม่ได้รับ ตลอดเวลาต้องคิดเสมอว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไรบ้าง  แล้วเราจะไปไหน
มีคำปราชญ์เมธีบอกว่าอย่างไร (เตี่ยนฉวนซือ:เจาเหวินเต้าซีสื่อเขออี่  เป็นคำกล่าวของท่านขงจื๊อบอกว่า ถ้าเราทราบว่าอนุตตรธรรมเป็นทางหลุดพ้นไปสู่นิพพาน  ถ้าเราได้รับวิถีธรรมในตอนเช้า เย็นตายไปก็ไม่เสียใจ  เพราะนั่นเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่เราได้รับในชีวิตนี้)
พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นลองแต่งกลอนพระโอวาทได้ดังนี้
"ดุจพืชผลรับฝนพรมสุขสมใจ"
"จะหลุดพ้นการเวียนว่ายสู่นิพพาน"
"ฉุดช่วยคนให้พ้นจากห้วงกรรม"
"หยุดดิ้นรนจากโลกนี้สู่ทางธรรม"
"แกะเปลือกพ้นเป็นลำต้นที่งอกงาม"
"เหมือนหยาดฝนหล่นมาชะโลมใจ"
"ให้หลุดพ้นห้วงกรรมที่ทำมา"
"ถึงอาจารย์อยู่ห่างหลายพันลี้           ก็ยังมีเวลามาหาศิษย์"
"เร่งฝึกฝนพ้นห้วงนี้สู่นิพพาน"
"ต้องฝึกฝนจนเป็นต้นธรรมประจำใจ"
พระอาจารย์เมตตาให้กระจายกลอนพระโอวาทที่ให้ในตอนต้นออกมาเป็นวรรคละ ๗ คำและให้นักเรียนออกมาวงรอบคำ  คำที่วงทั้งหมดเมื่อลากเส้นต่อคำตามลำดับแล้วก็ได้คำว่า "เที่ยง" ซึ่งถอดออกมาเป็นโคลงสี่สุภาพดังนี้ :
          ชีพเกิดเจ็บเฒ่าม้วย ลาไกล
หากแต่มิมีใคร ผ่านพ้น
เวลาน้อยเร่งครวญใคร่ ใดก่อ รับผล
ธรรมค่าล้ำตั้งต้น เพื่อพ้นห้วงทุกข์
ชีวิตเราเกิดมา ไม่มีใครผ่านพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อทุกคนมีเวลาน้อย จะทำอะไรก็ให้ไตร่ตรอง ทำสิ่งที่มีคุณธรรมหรือทำสิ่งที่จะได้
พ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท  ทำนองเพลง : ฝากฟ้าทะเลฝัน  และสอนให้พวกเราร้องกัน)
เนื้อเพลงที่อาจารย์ให้มีความหมายของหลักธรรมที่ตรงกับภาษาจีนว่า ซื่อเซี่ยง (          ) การยึดติดในลักษณะสี่
๑. เหยินเซี่ยง "เห็นผู้อื่นสุขสราญ ล้นทรัพย์เงินกว่าตนกลับไม่สุขใจแสดงว่าเรามีจิตอิจฉาเขา  และเราเห็นทรัพย์สินเงินทองสำคัญกว่าชีวิต  มีจิตเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นว่า  ใครจะสวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า เราจะทำให้เหนือกว่าเขาให้ได้  เมื่อทำไม่ได้ก็เกิดความทุกข์
๒. หว่อเซี่ยง "ชิงดีสู่ตนเพื่อตนสมใจสุขสำราญคนในโลกนี้มีจิตใจ
เห็นแก่ตัว  ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง  พยายามหาทางทำให้สิ่งของต่าง ๆ มาเป็นของตน  ไม่สนใจคนอื่นว่าจะเป็นอย่างไร  ตนเองมีความสุขก็พอ  บางคนอาจไม่ถึงขนาดนี้แต่ก็มีความรู้สึกเกี่ยวโยงกับข้อนี้  เช่น ค้ากำไรเกินควร  คนอื่นขาดทุนเราถือว่าได้เปรียบ  แต่ในทางธรรมไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะถ้าเราเอาเปรียบผู้อื่นเราจะเป็นผู้ขาดทุน  ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันที่จิตใจของคนไปยึดว่าจะต้องมีความสุขเท่านั้นจึงจะใช้ได้  ถ้ามีเท่านี้ถือว่าน้อยไป  แต่ความสุขที่แท้จริงไม่มีการแบ่งชั้นหรอกว่าสุขเท่าไร
๓. โซ่วเจ่อเซี่ยง "ฤๅชีพยาวนานยืนยั่งคงคู่ฟ้าดิน" คนที่เกิดมา  ไม่มีใครมีชีวิตอยู่คู่ฟ้าดิน  บางคนรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายหมอบอกว่าอยู่ได้แค่ ๒ เดือน  ถ้าเรารู้ว่าเรามีเวลาน้อยเราต้องใช้เวลาของเราให้มีค่าที่สุดเพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข  แต่บางคนกลับพยายามไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสะเดาะเคราะห์  ตลอดเวลาจิตก็เป็นทุกข์ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย  สุดท้ายก็เสียเวลาเปล่า
๔. จ้งเซิงเซี่ยง"แยกแยะชั้นบรรดาศักดิ์นานา แท้ที่จริงญาณจิตเดียวความจริงจิตญาณล้วนมาจากที่เดียวกัน  แต่ก็ไปแยกแยะว่าเป็นคนชั้น
ต่าง ๆ แยกคนกับคน คนกับสัตว์  แท้จริงจิตญาณนั้นเหมือนกันแต่ที่ต่างกันก็เพราะผลกรรม  เขาทำบาปมากกว่าเราทำให้เขาได้รับความทุกข์  เรากลับไปกดขี่ทำร้ายเขาซ้ำเติมเขา  เพราะฉะนั้นต้องพยายามเพิ่มจิตเมตตาให้มาก ๆ จะได้ไม่เกิดจิตที่แบ่งชนชั้น  ถึงแม้เราจะเห็นเขาเป็นคนไม่ดี  แต่เขาจะต้องมีจุดดีในตัวไม่เช่นนั้นเขาจะมาเกิดเป็นคนไม่ได้  เราต้องนำจุดดีของเขาออกมา ให้เขาได้เห็น ให้เขาได้รู้  เขาจะได้มีกำลังใจที่จะทำดีต่อไป  คนชอบคำชม  ถ้าชมในสิ่งที่รู้ว่าเขาทำได้  บางทีเขาอาจทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ และเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง  มนุษย์มีปากต้องใช้ทำในสิ่งที่ดี
ทั้ง ๔ ข้อนี้เราจะต้องรู้ว่าเรามีข้อไหนบ้างและต้องพยายามขจัดให้หมดไป มนุษย์นี้ตะเกียกตะกายแข่งขันกันมากมาย  สุดท้ายคืออะไร ก็ตายเหมือนกัน
"จะกักกันใจหมดความเสรี"  ศิษย์จะต้องข้ามปราการ ๔ อย่างนี้  ค่อย ๆ ข้ามทีละขั้นวันละนิดวันละหน่อย  เมื่อข้ามไปได้แล้วก็จะรู้ว่าเมื่อปราศจากทุกข์แล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เมื่อร้องเพลงนี้แล้วก็ต้องทำให้ได้ อาจารย์จะดูว่ามีศิษย์คนไหนที่นำสิ่งที่อาจารย์ให้ไปใช้ แม้ว่าอาจารย์จะให้ไปเหมือนกันแต่รับได้ไม่เหมือนกัน  ขึ้นอยู่กับมีความตั้งใจเพียงใดที่จะบำเพ็ญ ถ้าวันนี้ศิษย์ได้เห็นอาจารย์
ได้เห็นตนเอง  ศิษย์จะต้องเห็นทางอันสว่างด้วย
ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดี ๆ ไม่ต้องร้องไห้  เราต้องได้พบกันอีกแน่นอน  หากตั้งใจจริง  ความตั้งใจนี้จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่   ถ้าคน ๆ ไหนมีความตั้งใจที่มุ่งมั่นแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดคือต้องมั่นคงไม่แพ้ แล้วจะมีผลสำเร็จได้  ผลบุญผลกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมดก็จะต้องได้รับผลไป  ชาตินี้แม้จะทุกข์หนัก  ขอให้ศิษย์ค่อย ๆ ปลง ค่อย ๆ ละ   ชาตินี้แม้จะลำบาก ถ้าบำเพ็ญธรรมดี ๆ อีกหน่อยก็ไม่ต้องลำบาก  บางคนกลุ้มใจเรื่องลูกหลานของตนเองขอให้อาจารย์ช่วยทุกวัน  บางคนก็กลุ้มใจมีหนี้มีสินติดตัวมากมาย ต้องการให้อาจารย์ช่วยเพื่อให้มีเงินมาใช้หนี้สักที คนเราก็กลุ้มใจในเรื่องต่างกัน เป็นเด็กกลุ้มใจเรื่องเรียน  เป็นผู้ใหญ่กลุ้มใจเรื่องการงาน  คนมีครอบครัวก็กลุ้มใจเรื่องของคนมีครอบครัว  แล้วเกิดเป็นมนุษย์นี้จะกลุ้มใจกี่เรื่อง นับไม่ถ้วนใช่ไหม  มีอยู่คำเดียวที่จะทำได้ก็คือให้ค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ ปลงทีละนิด  ความทุกข์ที่มีก็ค่อย ๆ หมดไปได้

ทุกคนโบกมือลาอาจารย์ซิ  แล้วสัญญากับอาจารย์ว่าเราจะต้องได้พบกันอีก  (เราได้ร้องเพลง "คำสัญญา" ส่งพระอาจารย์)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา