Skip to content
PDF 2538-05-27-จือเจวี๋ย #6.pdf
#ทางสายกลาง #ความยากสี่
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์ประธานญาณสถิตแสงจรัส คุมเคร่งครัดมิเว้นผู้ใดหนา
สอบทั่วหล้าฟ้านี้พิจารณา สามภูมิฟ้านำคืนได้ถ้าเพียรจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
แดดประกายด้วยเมตตาแห่งฟ้าดิน สกุณาโผผินสำราญหนา
แต่ชีวิตมิอยู่เท่าดินฟ้า ศตายุเหมือนพร่ามัวมิถาวร
จิตสงบจงสยบจิตสงสัย ตัดเยื่อใยที่รักโลภให้สิ้นหนา
เพราะน้องท่านก่อนเคยเป็นพุทธา ลงสู่หล้าญาณนั้นหม่นหมองลง
ผู้มั่นคงประดุจดั่งสิงขร น้ำหยดกร่อนให้หินทะลวงได้
มิมั่นคงพิงหินผายังทลาย ด้วยดวงใจมิมั่นคงจะพึ่งใคร
อากาศร้อนวันนี้จงตั้งใจ จิตเบาใสอย่าได้กลัวอุปสรรค
ทุกทุกคนศรัทธาจริงเดินพร้อมพรัก จึงรู้จักเทพสถิตในปัญญา
เกิดมาแล้วเติบใหญ่ในกรงขัง ต้องระวังกิเลสมิเสาะหา
อย่าดูเบาชีพเรามิก้าวหน้า โชคชะตาในโลกนี้มิแน่นอน
เฝ้าขอพรให้ชีวิตมิมีกุศล เพราะสกนธ์ยังติดรูปทั้งหลาย
เจริญกุศลนำผองชนจนชีพวาย แหล่งสุดท้ายคืนที่นิรพาณ
ต้นไม้ใหญ่เติบโตจากหน่อเล็ก หญ้าเหี่ยวเฉามีหน่อชีวิตแอบแฝงหนา
จงใคร่ครวญแล้วด่วนพิจารณา ปลูกต้นหญ้าจึงได้หญ้ามิผันแปร
นาแห่งจิตน้องคิดปลูกอะไร พันธุ์พุทธาแสงไสวไปสวรรค์
ถ้าปลูกพันธุ์อบายมุขทุกข์ชีวัน ชีพสร้างสรรค์ด้วยหมั่นตรึกตรองดู
มิอยากให้เวไนยวนเวียนว่าย เมตตาเขาเราได้เจริญกุศล
มิลำพองลองลิ้มทิฐิหม่น ด้วยกมลดั่งฟ้าที่ปรานี
แม้ลำบากสองวันอย่าได้ท้อ ผู้อาวุโสนำธรรมให้ท่านนี้
ต่างลำบากเคี่ยวกรำเสี่ยงชีวี สงบฤดีให้กล้าแกร่งวชิรญาณ
จงตั้งใจมิเลิกเสียกลางคัน จงบากบั่นศึกษามิท้อถอย
รู้มารดาเบื้องบนยังเฝ้าคอย หกหมื่นปีจนอาทิตย์คล้อยจะลับลง
เรามิขอกล่าวความให้มากไป จรดพู่กันลงไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
จิตตื่นรู้แจ้งจบดุจสายน้ำ เป็นลำธารรินไหลไม่ขาดสาย
มิหยุดพักมิเก็บงำมิทลาย สถิตแฝงในกายไร้มลทิน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามปราชญ์เมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
ต้นหญ้าพริ้วเป็นระลอกตามคลื่นลม หมู่ปักษาโผผินรื่นรมย์ระงมจิต
ผองใบไผ่เรียวลู่ลมอาจิณ พิศธรณินเพลิดเพลินตามธรรมชาติงาม
ละอองไอโอบอบอุ่นแสงแดดส่อง มิบกพร่องคงด้วยตรงต่อสรรพสิ่ง
เมื่อใจรีบร้อนกิ่งปกติยิ่ง นรสิงห์เลี้ยงต้นใบโล้คงวิถี
บริสุทธิ์ใจคือจิตเดิมมั่นเที่ยง สถิต ณ กลางมิเอียงแสนอิสระ
ต่ำโน้มสูงตรงต้านคดมละ ทวนกระแสตามลมใหญ่อ่อนโยนกระทำ
บำเพ็ญไปไม่หวั่นกล้าหาญฝ่าภยัน ด้วยรากฐานเดียวกันกมลนำ
ด้วยอดทนขวนขวายยามใจระส่ำ อดีตทุกข์งำเงื่อนเผชิญเพื่อบรรเทา
มัชฌิมาจดจำไว้ไม่ละทิ้ง ลำเอียงใดประวิงแก้ตนปัดเป่า
บริบาลตนภายในข้องอัตตาเรา หมั่นขัดเกลาสุขทุกข์ล้วนอนิจจัง
ฮา ฮา หยุด
คลื่นลมทะเล เหมือนใจซัดเซวุ่นวาย เพียงหมายได้คลายทุกข์ถมใจ เพราะมิเข้าใจ หลงเพลินภาพในแดนฝัน กลับยิ่งส่งจิตไป ทะเลวนเวียน แสงเทียนจิตดับ เหมือนราตรีสงัดไร้ดาว ลืมหวนบ้านเดิมจริงนิรันดร์ รู้ทันเตือนตน ที่วนขวักไขว่ไขว่คว้า ตื่นขึ้นท่ามกลางแม้ทะเลคลื่นซัด
* หวนย้อนปลุกพุทธะที่เคยลืมเลือน ฟื้นเร่งคืนใสงาม ฟ้าได้ส่งสายทองงดงาม กลางธราทั่วโลกีย์ ล้มลงบ่มจิต เผลอเคยผิดจนคะนึง ประตูแห่งธรรมคงเบื้องหน้า พร้อมใจบำเพ็ญ ก้าวเดินเยี่ยงปราชญ์ศรัทธา โปรดมุ่งมั่นงานฟ้า เมตตากว้างไกล (ซ้ำ * , )
เพลง : ทะเลทุกข์
ทำนองเพลง : ขีดเส้นใต้
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
การค้นคว้าหาความรู้เป็นเครื่องพัฒนาปัญญาและจิตใจ แต่เมื่อสักครู่ก่อนที่เราจะลงมาได้เห็นบางคนตั้งใจฟังมาก แต่บางคนก็หลับไป การศึกษาธรรม ถ้าใจฟุ้งซ่านก็ไม่สามารถที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจได้ ถ้าเราฟุ้งซ่านไปกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว หนังท้องตึงก็ทำให้ง่วงนอน จึงไม่ได้ตั้งใจฟัง ตอนนี้เมื่อเรามาทุกคนก็เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ตื่นเพื่อมองดูว่าข้างหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อมองข้างหน้าแล้วก็อย่าให้ใจเผลอไป
ทุกคนดำเนินชีวิตมาเคยสังเกตเห็นธรรมชาติบ้างไหม บางครั้งเวลาเราดำเนินชีวิตวุ่นวายสับสน เราอยากพักผ่อน สถานที่ที่เราอยากพักผ่อนนั้นก็คือธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) บางคนก็ไปพักผ่อนตามชายทะเลที่มีหาดทรายสวยๆ มีคลื่นทะเลซัดสาด แต่บางคนไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสก็มองออกไปนอกหน้าต่างชมธรรมชาติ ต้นไม้ นก แม่น้ำ ลำธาร
สิ่งที่ทุกๆคนต้องใช้อยู่เป็นประจำก็คือน้ำ ทุกคนไม่สามารถที่จะขาดแคลนน้ำได้ น้ำในที่นี้ก็มีหลายแบบ แต่น้ำที่อยู่ในจิตใจของเรานั้นก็คือน้ำแห่งไมตรีจิต น้ำแห่งความเมตตากรุณา แม่น้ำลำธารหรือน้ำตกที่เราเห็น ถ้าตกลงมาอย่างรุนแรง แล้วไหลไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ข้างล่างก็ต้องถูกซัดเข้าไปด้วยใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ไร้การเกาะยึดเหนี่ยวก็ย่อมถูกซัดไป แต่ถ้าน้ำตกลงมามากจนเกินไป อีกทั้งยังมีสิ่งปิดกั้นขัดขวางอยู่แล้ว น้ำที่ไหลลงมา ถ้าไหลลงมาแรง สิ่งที่ปิดกั้นนั้นย่อมจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดความต้านทาน) เกิดความต้านทาน กระทบกันอย่างรุนแรงแล้วเกิดอะไรขึ้น (เกิดความเสียหายพังทลาย) สิ่งที่พังทลายนั้นใช่น้ำหรือเปล่า (ไม่ใช่) แต่คือสิ่งที่ถูกปิดกั้นใช่ไหม ถ้าเปรียบกับจิตใจของทุกๆคนก็คือ ถ้าเราเก็บสะสมสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เก็บความไม่ดีของคนอื่นเอาไว้มากมาย สักวันหนึ่งก็จะระเบิดออกมาได้ใช่ไหม (ใช่) ในเมื่อรู้แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นความไม่ดีของคนอื่นแต่เอามาไว้ในใจเราใช่ไหม (ใช่) การกระทำอะไรก็ตาม ถ้าเราคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ แล้วแสดงออกมาด้วยการพูดหรือการกระทำ เมื่อเราคิดใคร่ครวญอย่างถูกต้องแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวผิดพลาด บางทีถ้าเราคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งที่ได้มากลับเป็นผลดีต่อเราเองใช่ไหม (ใช่)
มลทินอะไรที่ร้ายแรงที่สุด (กิเลส ตัณหา ราคะ, หัวใจ) มลทินที่ร้ายแรงที่สุดก็คือความไม่รู้ นั่นก็คือความไม่รู้ว่าตนยังมีกิเลส ไม่รู้ว่าตนมีจิตใจ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเบิกบานเมื่อไหร่ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมเราจึงบอกว่าความไม่รู้เป็นมลทินที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเราไม่รู้จักว่าสิ่งใดคือกิเลส สิ่งใดคือความไม่ดีหรือความดี แล้วทุกคนก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่กลัวเกรงแม้กระทั่งฟ้าและดิน ใช่ไหม แต่ถ้าทุกคนได้ศึกษา ได้มีความรู้แล้ว มลทินนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ สามารถหลุดหายไปจากจิตใจได้ เพราะว่าเรามีสติรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใครเคยสังเกตฟ้าและดินบ้าง เวลาที่อากาศร้อน บางคนก็พูดว่าฟ้าไม่มีความเมตตา ทำให้อากาศร้อน บางทีเราเดินทางไกลหลายพันลี้ แต่ทำไมดินไม่ลดทอนระยะทางให้ดูใกล้บ้าง อันที่จริงฟ้าและดินไม่ได้ไร้ความเมตตา แต่ถ้าเรามองให้ชัดเจน ฟ้าก็ยังคงดำเนินการอย่างสัจธรรม ถูกต้องเที่ยงแท้ มิเอนเอียงให้คนใดมากกว่าหรือน้อยกว่า ยังคงทำตัวเองให้เป็นไปอย่างเดิม เพราะว่าฟ้าว่างเปล่า เมื่อผลักดันจึงก่อเกิดพลังให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วถ้าจิตของเราว่างเปล่า ไร้แล้วซึ่งอารมณ์ สรรพสิ่งก็สามารถจะเกิดได้กับจิตใจของเรา ลองทำจิตให้ว่างเปล่าสงบนิ่ง ถ้าทำได้ จิตที่ขุ่นมัวหรือจิตที่ข้องแวะสิ่งต่างๆ เมื่อว่างลงแล้วไม่ใช่คงอยู่ คำว่าว่างก็คือไม่ยึดติดอยู่กับอะไร ดำเนินชีวิตอย่างมีหลักมีเกณฑ์ ทุกสิ่งก็สามารถกำเนิดได้ตามใจเรา โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีเภทภัยมาคุกคาม
ถ้าทุกท่านครองใจด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มองสิ่งต่างๆเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แม้เขาจะทำผิด จิตใจเราก็ยังคงมั่น เห็นเป็นบทเรียนที่มีค่าให้กับเราได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราอยากถามทุกท่านว่าเวลาท่านเห็นคนอื่นทำผิดแล้ว ทำไมจึงนำสิ่งที่ไม่ดีของคนนั้นเข้ามาสู่ปากเราได้ บางคนไม่กล้าตอบเพราะว่าตัวเองทำอยู่ เราไม่ได้ต้องการจะต่อว่า แต่เราต้องการจะชี้แนะว่าถ้าขาดสติ ปล่อยให้น้ำไหลท่วมแล้ว เราก็หยุดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกไปใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดรีบตัดเสียตั้งแต่ตอนแรก ไม่ปล่อยให้ไหลท่วมเข้ามาในจิตใจแล้ว ทุกท่านก็จะไม่พลั้งเผลอหลุดออกไปได้ใช่ไหม ฉะนั้นตาเป็นสิ่งสำคัญ อายตนะทั้ง ๖ ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย ถ้าเราสงบอายตนะทั้ง ๖ บ้าง หันมามองเพ่งพินิจในจิตใจของเราดูบ้าง การที่เราจะเอาคำพูดหรือการกระทำไปทำร้ายคนอื่นก็จะน้อยลงได้ใช่ไหม
รอยแผลใจทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บช้ำมาก แม้ร่างกายเจ็บปวดไม่เท่าไหร่ แต่ว่าเจ็บใจนั้นเจ็บมากกว่าใช่ไหม แผลที่เราถูกคนอื่นฟาดฟันนั้นยังมีโอกาสรักษาให้หายได้ แต่แผลในจิตใจนั้นถูกฟาดฟันทีหนึ่ง มันก็กระหน่ำลงที่เดียวกันไม่เคยเปลี่ยนที่เลย เพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางที่สุด เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรให้จิตใจที่เปราะบางนี้แข็งแกร่งได้ (วางเฉย) ถ้าทุกคนวางเฉยได้ ก็ต้องวางเฉยให้ถูก ไม่ใช่เขากำลังโมโหโกรธา เรายิ้มให้ทันที สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นอาจจะเป็นการกระทำแทนก็ได้ใช่ไหม (ใช่) ที่เราบอกว่าทำไมรอยแผลใจจึงบาดซ้ำลงไปในที่ๆเดิม ทั้งที่โดนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แต่แผลก็ยังคงซ้ำลงที่เดิม ต้องแยกแยะให้ออกว่าแผลกายกับแผลใจนั้นต่างกันอย่างไร กายเรานั้นมีเพียงใจเดียว แต่ร่างกายนั้นมีหลายส่วน ฉะนั้นถ้าเกิดปัญหา สิ่งแรกที่เราต้องมองคือมองดูตัวเองก่อน บางครั้งเราถามวกไปวนมา แต่ในความเป็นจริงคำตอบก็อยู่ที่ตัวเราเองใช่ไหม เวลาเราตั้งคำถามทุกท่านก็มองเราว่าเราจะตอบอะไร ไม่ได้มองตัวเองใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินทางสายกลางนั้นก็คือมัชฌิมาปฏิปทา เช่นการวาดวงกลม จะวาดวงกลมได้ก็ต้องมีจุดศูนย์กลาง เมื่อมีจุดศูนย์กลางก็พร้อมที่จะสามารถทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างได้ เปรียบเหมือนทุกๆคนถ้าเดินอยู่บนทางที่ติดชิดริมจนเกินไป การเดินนั้นก็อาจพลาดพลั้งได้ แต่ถ้าเดินอยู่ตรงกลาง การพลาดพลั้งนั้นก็มีน้อยใช่ไหม จะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงเรียกว่าทางสายกลาง การดำเนินทางสายกลางนั้นก็คือจิตใจของเราไม่ถูกมัดถูกเกี่ยว ไม่ไปแอบแฝง คือไม่เป็นห่วงเป็นใย ไม่วิตกกังวลมากเกินไป เพราะทุกคนต่างมีชะตาชีวิต หนทางชีวิตของแต่ละคนเอง เหมือนกับตัวเราที่ไม่ไปผูกติดกับกาลเวลา ไม่ไปผูกติดกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดำเนินชีวิตขณะนี้ ตอนนี้ให้ดี ไม่ต้องไปกังวลกับอดีตและอนาคต
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์บรรยายธรรมอธิบายเพลงพระโอวาท (ใจของคนเราวุ่นวาย จิตใจมนุษย์วุ่นวายเหมือนกับคลื่นทะเลที่มีความวุ่นวายตลอดเวลา ถ้าหากว่าตัวเราเองสามารถที่จะลดความวุ่นวายออกไป คลายความทุกข์ได้ จิตใจก็จะสงบขึ้น คนเราเกิดมาในโลกนี้ ชีวิตคนเราเหมือนดั่งความฝันที่เมื่อตื่นขึ้นมาก็หายไป ชีวิตคนเราอยู่ในโลกอย่างมากก็ประมาณ ๑๐๐ ปี เมื่อตัวเราเกิดมาก็หลงเพลินกับสิ่งที่เราได้พบ หลงเพลินหาทรัพย์สินเงินทองหาความสุข หลงเพลินกับภาพในแดนฝัน การที่เราหลงเพลินแบบนี้ก็เหมือนกับจิตเราลงไปว่ายเวียนในทะเลทุกข์ คนเราเกิดมาบนโลกนี้เหมือนเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ เพราะฉะนั้นการที่จิตเราหลงยึดติดสิ่งต่างๆ วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องจากร่างกายนี้ไปแล้ว เสมือนกับว่าแสงเทียนได้ดับลง ทุกอย่างก็จะไม่มีแสงสว่าง หากมัวแต่หลงเพลินอยู่บนโลก เมื่อถึงเวลาที่จะจากร่างนี้ไปแล้ว ลืมที่จะกลับคืนสู่ดินแดนบ้านเดิมของเรา ซึ่งเป็นดินแดนที่เป็นนิรันดร์ ตัวเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไขว่คว้าอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ยังยึดติดในกิเลสต่างๆ บัดนี้เราได้รับวิถีธรรมแล้ว พระอาจารย์ได้ชี้จุดหนึ่งให้เรา เราต้องตื่นขึ้นมา แม้จะอยู่ท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นลมซัดอย่างรุนแรง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้แล้วว่าพวกเราล้วนเป็นพุทธบุตรที่มาจากเบื้องบน มีพุทธจิตอยู่ในตัวตน ตอนนี้เมื่อเรามีโอกาสได้รับวิถีธรรม พวกเราก็ต้องปลุกพุทธะในตัวตนขึ้นมา พวกเรามีพุทธะอยู่ในตัวตนอยู่แล้ว แต่ว่าเราลืมไปว่าตัวเราเองเป็นพุทธะ ตอนนี้รับวิถีธรรมแล้วรู้ว่าพุทธะอยู่ในตัว เราก็ต้องเร่งบำเพ็ญที่จะกลับคืนสู่ดินแดนเบื้องบน ขณะนี้พวกเราซึ่งเป็นพุทธบุตรลงมาอยู่บนโลกนี้นานเกินไปแล้ว หลงลืมทางที่จะกลับบ้าน ฟ้าเบื้องบนได้ส่งสายทองธรรมะนี้ลงมาในดินแดนทั่วโลกนี้ พวกเรามีโอกาสได้รับวิถีธรรมและจับยึดสายทองเพื่อที่จะกลับคืนสู่เบื้องบน ตัวเราเองถึงแม้ว่าจะผิดพลาดไปก็ขอให้พวกเราย้อนคิดถึงสิ่งที่ทำผิดมา แล้วก็ปรับปรุงตัวเองใหม่
เมื่อเรารู้ว่าประตูแห่งธรรมอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว ก็ขอให้พร้อมใจกันที่จะบำเพ็ญธรรม ดำเนินตามปราชญ์ทั้งหลายออกไปโปรดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ เผยแพร่งานธรรมในครั้งนี้ด้วยจิตที่เมตตากว้างไกล)
ตอนนี้จิตใจของทุกคนก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว แต่อยู่ที่ว่าต่อไปทุกคนจะรวมจิตรวมใจและมีใจเบิกบานได้ดั่งเช่นตอนนี้หรือเปล่า การศึกษาธรรมนั้นไม่ใช่ว่าแค่มาศึกษานั่งฟังสองวันเท่านั้น แต่การศึกษาธรรมเราต้องศึกษาไปตลอดชีวิตของเรา บางทีบางคนอาจจะต้องศึกษาไปอีกหลายภพหลายชาติ อยู่ที่ว่าตอนนี้เข้าใจตนเองที่แท้จริงหรือยัง บางคนเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมั่นในพุทธะ เชื่อมั่นในอริยะต่างๆ แต่ทำไมถึงมองข้ามความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าทุกคนมีความเชื่อมั่นในตนเองแล้ว การทำสิ่งใดตัดสินใจพิจารณาอย่างรอบคอบ ตนเองก็นำตนเองได้ ไม่ต้องไปพึ่งพาให้ใครมาช่วยนำเรา เพราะคนที่ชี้นำเรานั้นบางครั้งอาจจะช่วยได้แต่ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ต้องค้นหาตนเอง แล้วต่อไปก็พยายามดูว่าตนเองยังมีอะไรที่บกพร่อง ยังมีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม และมีอะไรที่ต้องคงรักษาไว้ พอเข้าใจไหม
ถ้าวันนี้อาจารย์ของทุกๆท่านได้มาเห็นคงปลาบปลื้มปิติแน่ เพราะว่าความตั้งใจทั้งของผู้ปฏิบัติงานและนักเรียนได้รวมกันเป็นหนึ่ง ศึกษาต่อไปอย่าให้ความวุ่นวายสับสนเข้ามาแทรกแซงได้
เรื่องที่เราได้พูดไปเมื่อสักครู่ก็มีเรื่องสายน้ำ ทางสายกลาง คลื่นลมทะเล คนที่มาทีหลัง เราไม่ต้องการจะกล่าวโทษ เราต้องการเพียงแต่บอกว่าบางครั้งเวลาที่เราสูญเสียไปนั้น เราไม่สามารถที่จะเรียกกลับคืนมาได้ใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ผ่านไปเราไม่สามารถที่จะนำกลับคืนมาได้ เหมือนเช่นการประคองจิตใจ ถ้าปล่อยพลาดพลั้งไปเราก็ไม่สามารถเรียกสิ่งที่พลาดเผลอไปนั้นกลับมาแก้ตัวใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องบำเพ็ญจิตให้ดีๆ
โอกาสของเราที่จะได้พบพวกท่าน ตอนนี้ก็เหลือน้อยลง แต่จริงๆแล้วทุกท่านสามารถรักษาโอกาสนี้ไว้ให้คงอยู่ได้ ขอให้รู้จักน้อมลงมองจิตและรักษาจิตให้ดี ก็จะสามารถมองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในใจของทุกๆคนได้ เวลาหมุนไปไม่หยุด เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ต้องรักษาและประคองให้ดี มีโอกาสเราคงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
เหยียบเมฆแก้วสู่สถานอันศักดิ์สิทธิ์ ปลุกดวงจิตที่อับเฉาฟื้นชุ่มฉ่ำ
ให้มวลศิษย์ทุกทุกคนล้วนจดจำ ให้ได้นำสู่มรรคผลอันแท้จริง
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง พร้อมนำ พระนาจา ร่วมรับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ
เคืองแค้นใครเพราะกมลเฝ้าย้ำ รังแต่จะถลำเกิดอารมณ์ร้าย
อารมณ์เท่าไรมายมากมาทดสอบใจ สติเหลือคืนเพียงไรเมธาศิษย์พิจารณา
โลกีย์มีสถานที่เช่นแดนนิมิต ศิษย์มีชีวิตบำเพ็ญอย่างเกิดปัญญา
ช่วยพี่น้องปรองดองสมานในวิญญา ปรารถนามายมากมนุษย์พร้อมตื่นได้
จิตชิงแย่งมิป้องกันอาจสาย ถ้าชั่งกันว่างวุ่นวายต่างไฉน
หากมิรู้ดูกลับกลางฤทัย ลมพัดทรายดั่งใจปลิวห่าง
ธงปลิวยามลมหวนจุนเจือเกื้อ ฤทัยเมื่อต้องลมสายธารหลั่ง
เลิกสับสนมิวกวนในภวังค์ วิถีกว้างโลกไป่หมุนตามอาสวะ
ความสำเร็จใหญ่ยิ่งเริ่มที่ฤดี เพราะหยุดลง ณ ฤดีแห่งจริยะ
ศิษย์เข้าใจให้แปรตนด้วยวิริยะ ปราชญ์อริยะต้องเคี่ยวกรำจึงสำเร็จจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
พระนาจา : อยากให้ใครมา เรามาคนเดียวไม่ได้ใช่ไหม ต้องมีอีกท่านหนึ่ง เร็วๆอย่าชักช้า ทำอย่างไรถึงจะให้พระอาจารย์มา ไม่มีใครเรียกพระอาจารย์เลย ลูกศิษย์ลืมอาจารย์แล้วหรือ ศิษย์น้องลืมอาจารย์แล้วหรือ
พระอาจารย์ : คิดถึงกันจริงๆหรือเปล่า แล้วรู้จักจริงๆหรือเปล่า อาจารย์เป็นพระไม่เต็มใช่ไหม คนเราเต็มไม่เต็มนั้นอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) แล้วทำไมใจบางคนถึงได้เต็ม บางคนถึงไม่เต็ม คนที่ไม่เต็มใกล้จะเต็มกันหรือยัง (ใกล้แล้ว) คนที่ไม่เต็มก็เป็นพวกเดียวกับอาจารย์ใช่ไหม นั่งกันเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) นั่งกันครบ ๒ วันหรือเปล่า (ครบ) ครบทุกคนหรือ วันนี้หลายคนก็หลายจิตใจใช่ไหม (ใช่) เวลาที่อยู่ด้วยกันนี้รวมใจกันแล้วหรือยัง (รวมแล้ว) รวมกันเป็นใจเดียวนั้นจะรวมกับใคร (พระอาจารย์) นั่งอยู่บนเก้าอี้อะไรรู้ไหม (เก้าอี้เซียน) ถ้านั่งอยู่บนเก้าอี้เซียนต้องนั่งทำสมาธิ แต่ถ้าโงกหลับลงไปก็หล่นจากเก้าอี้เซียนใช่ไหม (ใช่) มรรคผลจริงๆเกิดจากที่ไหน (ใจ) คนที่จะมีมรรคผลจริงๆคือคนที่เข้าใจธรรมะ และมีความศรัทธาจริงใจเชิดชูออกมาให้เป็นเกียรติ หลังจากนั้นต้องนำใจที่เมตตานี้ออกไปพูดธรรมะ ออกไปส่งเสริมคนด้วยวาจาและการปฏิบัติที่เที่ยงตรง เมื่อวาจาที่กล่าวออกไปล้วนเป็นคำที่ดีงาม คนที่อยู่ข้างๆเราก็จะเคารพนับถือ เชื่อมั่นว่าเราคงไม่หลอกเขา เมื่อใจปฏิบัติได้ดีแล้ว การกระทำก็ย่อมทำได้ดี วาจาก็กล่าวได้ดี นี่เป็นหนึ่งในแนวทางการเจริญกุศล การเจริญกุศลเป็นการตอบแทนพระคุณฟ้าดิน ศิษย์อาจจะไม่รู้ว่าการที่เราสามารถได้รับหนึ่งชี้นี้เป็นเรื่องประเภทไหน ตอนนี้เข้าเกณฑ์วาระสามแล้ว ฟ้าดินมีความเร่งรีบอย่างยิ่ง ต้องการโปรดคนในโลกทุกคนให้กลับคืนขึ้นไป ขอเพียงแต่ว่าคนนั้นเป็นคนดี ประตูพุทธะก็จะเปิดออกได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พระนาจา : ใครเคยนั่งรถม้าบ้าง ถ้ามีม้า ๒ ตัวแต่มีคนบังคับหนึ่งคน ถ้าคนบังคับม้าได้ถูกทิศทาง ถึงแม้ม้าจะมี ๒ ตัวก็สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ใช่ไหม เมื่อสักครู่ตอนที่พระอาจารย์ให้โอวาท เราเดินไปเดินมา เราพูดนิดหน่อยทุกคนก็แบ่งใจเป็น ๒ ส่วน แสดงว่าไม่สามารถควบคุมม้า ๒ ตัวนี้ได้ เพราะอีกใจหนึ่งก็อยากดูพระอาจารย์ อีกใจหนึ่งก็อยากดูพระนาจา ทำให้ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินชีวิตเหมือนการควบม้า แล้วอะไรเป็นม้า (ร่างกาย) ถ้าทุกคนบอกว่ากายนี้เหมือนม้า แล้วจิตเหมือนอะไร (เหมือนลิง) เหมือนลิงใช่ไหม ลิงว่องไวใช่หรือเปล่า (ใช่) จริงๆแล้วจิตว่องไวเหมือนลิง กายประดุจม้าใช่ไหม (ใช่)
พระอาจารย์ : รู้ไหมว่าพระนาจาอายุกี่ขวบ (๗ ขวบ)
“เคืองแค้นใครเพราะกมลเฝ้าย้ำ” ใครเคยมีความเคืองแค้นบ้าง มีหรือเปล่า (มี) การที่เราเคืองแค้นใคร ถ้าลองพิจารณาดูนั่นเป็นเพราะว่าใจเราเฝ้าย้ำเสมอว่าเขาทำเราเจ็บ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า (เป็น) แล้วเคยคิดหรือไม่ว่าเราต้องให้อภัยเขา (เคย) กว่าความคิดเหล่านี้จะออกมา บางทีก็สายไปแล้ว ศิษย์ต้องรู้ว่าการที่คนเราจะทำอะไรโดยไม่ผิดพลาดนั้น ตัวเราเองจะต้องมีสติตลอดเวลา เหมือนกับที่อาจารย์บอก ถ้าชิงแต่จะถลำเข้าไปก็จะเกิดแต่อารมณ์ที่ร้ายแรงขึ้นมา แล้วเขาเป็นทุกข์กับเราหรือเปล่า อารมณ์โกรธนี้เป็นอารมณ์ที่รุนแรงใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากว่าโดนอารมณ์พวกนี้ทดสอบใจเรา ศิษย์จะทำอย่างไร (วางเฉย) ทำได้จริงๆหรือเปล่า ต้องค่อยๆทำ ถ้าครั้งแรกทำไม่ได้ ครั้งที่สองก็ย้ำใหม่ว่า “อภัย” ถ้ายังทำไม่ได้อีก ครั้งที่สามก็ย้ำใหม่ว่า “อภัย” อีกดีไหม (ดี) ถ้าเกิดว่าทำได้อย่างนี้แล้ว โลกนี้จะสันติ ทุกคนก็จะยิ้มแย้มเบิกบานกันดีใช่ไหม
ทุกคนมาสถานที่นี้แล้วมีความสุขไหม เกิดเป็นมนุษย์นี้ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนที่ศิษย์ป่วยเป็นหวัด แล้วนอนล้มเจ็บนั้นเป็นทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์) แล้วรู้ไหมว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
คนเรามีทุกข์มากมาย ทุกข์นั้นเกิดจากใคร (ตัวเรา) บำเพ็ญด้วยปัญญาและการพินิจพิจารณา สิ่งใดที่ดีเก็บไปศึกษา สิ่งที่ไม่ดีก็ขอให้ปล่อยวางลง ศิษย์คิดว่าตัวศิษย์มีสิ่งที่ดีและไม่ดีควบคู่กันไป คนอื่นก็เหมือนกัน การมาที่นี่ทุกคนต้องมีการขัดเกลา เพราะว่าชีวิตมนุษย์ทุกๆวันก็มีแต่ทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการที่มีมากเกินไป บางคนมีเงินทอง มีทรัพย์สิน มีลาภยศและมีวาสนาพร้อม มีมากเกินไปจึงเป็นทุกข์ บางคนมีน้อยเกินไปก็ตัดพ้อต่อว่า คนประเภทนี้ก็มีทุกข์ อยู่ที่ว่าทุกข์นั้นขาดๆเกินๆซ่อมให้มันเต็ม แล้วจะซ่อมเต็มเมื่อไหร่ ใกล้หรือยัง (ใกล้แล้ว) หวังว่ารอครั้งนี้คงไม่รอเปล่าใช่ไหม (ใช่)
คนเราเกิดมาแล้วก็ตายไม่ใช่จุดประสงค์แห่งชีวิต เกิดมาต้องรู้ว่าบัดนี้พบธรรมะแท้ ศิษย์อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายจริงๆ ใช่หรือเปล่า เมื่อวานนี้มีอาจารย์บรรยายธรรมได้พูดถึงความยาก ๔ อย่างที่เกิดมาในชีวิต จำกันได้หรือเปล่า ความยาก ๔ อย่างแห่งชีวิตก่อนที่จะรับธรรมะ (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพูดถึงความยาก ๔ อย่างของการเกิดมาเป็นมนุษย์ : ๑.ยากที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ คนเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในหกภูมิ การที่คนเราได้มาเวียนเกิดอยู่ในภูมิมนุษย์ได้นั้นจะต้องมีคนที่มีบุญมีกุศล และได้ทำความดีงามมากมาย ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ๒.ยากที่จะเกิดในแถบเอเซีย โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล เหตุใดเราจึงมีโอกาสมาเกิดอยู่ในใจกลางของโลกทางประเทศจีนและประเทศไทยนี้ ตรงนี้เป็นแหล่งที่พุทธอริยะทั้งหลายได้ทรงจุติเกิดลงมามีกายเนื้อ เพื่อฉุดช่วยมนุษย์ทั่วโลก พระพุทธเจ้าท่านเกิดที่อินเดีย พุทธะหลายๆพระองค์ พระกวนอิน ท่านขงจื้อ ท่านเหลาจื้อ หรือหลายๆพระศาสดาก็เกิดที่ประเทศจีน แล้วก็แพร่มาถึงประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้นการที่เราจะมาเกิดที่ศูนย์กลางของโลกแถบเอเซียก็เป็นเรื่องยาก ๓.ยากที่จะเกิดมาอยู่ในวาระยุคสุดท้ายที่เบื้องบนกำลังโปรดสัจธรรม ยากที่จะพบสัจธรรมแท้นี้ แต่ว่าเราได้เกิดมาอยู่ในยุคนี้แล้ว มีโอกาสรับการถ่ายทอดอนุตตรธรรมจากพระอาจารย์จี้กงและพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้มาจุติในโลกนี้และถ่ายทอดวิถีธรรมแท้ ทำให้เราได้รู้ทางหลุดพ้น ๔.การที่เราจะได้เกิดมาทันพุทธะเกิดเป็นเรื่องยาก แม้พวกเราไม่ได้เกิดมาทันในสมัยพุทธกาลพบพุทธองค์ ได้ฟังธรรมแล้วก็หลุดพ้นไป แต่พวกเราก็ยังโชคดีที่เกิดมาตอนนี้ ได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ซึ่งก็คือพุทธะที่จุติลงมาเกิดเพื่อช่วยชีวิตเวไนยสัตว์ในยุคนี้ คือเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นพุทธะองค์สุดท้ายที่จะมาช่วย ฉะนั้นทั้ง ๔ ประการนี้ พระวิสุทธิอาจารย์ที่เราพบได้ยาก เราก็ได้พบแล้ว และเกิดในที่ๆเกิดได้ยากคือทวีปเอเซีย ตรงศูนย์กลางของโลกนี้ เราก็ได้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ๔ อย่างนี้เราได้ครบหมด เราจะต้องถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี) เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ยากหรือไม่ยาก (ยาก) ตอนนี้เมื่อรู้ว่ายากอย่างนี้ เวลาก็คับขันขนาดนี้แล้วคิดว่าตัวเองจะไปสร้างมรรคผลอย่างจริงจังได้หรือยัง (ได้) การสร้างมรรคผลจริงๆ ต้องลงแรง ต้องลำบาก ศิษย์ทนได้หรือ (ได้) ถ้าศิษย์ทนความลำบากตรงนี้ได้ ทนคำพูดคนอื่นได้ ศิษย์ก็จะสำเร็จมรรคผลได้ มรรคผลตรงส่วนนี้เป็นมรรคผลของศิษย์เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์เลย เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
พระนาจา : รู้สึกว่าศิษย์พี่จะไม่ได้ยินเสียงศิษย์น้องที่เป็นนักเรียนพูดเลย รู้ไหมว่าอาจารย์คิดถึงศิษย์น้องทุกคนขนาดไหน รู้ไหมว่าท่านเหนื่อยยากขนาดไหน ไม่มีใครเคยรับรู้ พออาจารย์มาก็ไม่มีใครรับรู้ถึงความรู้สึกของอาจารย์ ไม่มีใครเข้าใจว่าอาจารย์คิดอย่างไร ทำไมอาจารย์ถึงต้องพูดธรรมะให้ศิษย์น้องทุกคนได้เข้าใจ ทำไมท่านถึงต้องไปไหว้วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ลงมาโปรดช่วยศิษย์น้องทุกๆคน ศิษย์น้องไม่เคยมองเห็นความลำบากของอาจารย์ ได้เห็นแต่ตอนที่อาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใสเท่านั้น
พระอาจารย์ : อย่าไปว่าเขาเลย ถ้าหากว่าตอนนี้มรรคผลเป็นสิ่งที่ศิษย์ตั้งจุดหมายแล้ว มรรคผลนี้แย่งชิงกันหรือเปล่า กุศลนั้นแบ่งให้กันไม่ได้ ถ้าเกิดว่าตอนนี้เราไม่ป้องกันตัวเองให้พ้นจากกิเลสทั้งหลาย เราก็ไม่สามารถที่จะตื่นได้ เพราะว่าหลังจากจบชั้นนี้ไป ศิษย์อาจจะออกไปข้างนอกและคิดว่าตรงนั้นดีกว่า ตรงนี้ใช่แน่ๆ ที่ผ่านมาคงจะเป็นของปลอม หรือไม่ก็ทำไมเธอคนนี้บำเพ็ญธรรมะแล้วเป็นอย่างนี้ ถ้าเจอเรื่องพวกนี้ศิษย์จะท้อหรือเปล่า (ไม่ท้อ) เมื่อใดหาธรรมะจากภายนอกไม่ได้ เมื่อนั้นขอให้ย้อนเข้าในใจตัวเอง ความว่างกับความวุ่นวายมักจะไปด้วยกันเสมอ แยกกันไม่ออก ไม่เว้นที่ไหน เวลาไหน พื้นทรายมีทรายเต็มไปหมด ศิษย์เป็นทรายเหล่านั้น ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงคนนี้เมื่อโดนลมพัดจะเกาะกลุ่มกันเหมือนทรายที่เปียกน้ำหรือว่าจะปลิวไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าหากปล่อยตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้ว หกหมื่นปีที่ผ่านมาศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายมาชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วแน่ใจไหมว่าในชาติหน้าตัวเองจะได้เป็นมนุษย์อีก (ไม่แน่ใจ) เกิดมาชาตินี้กินหมูกินไก่ ชาติหน้าถ้าเกิดเป็นหมูเป็นไก่ให้เขาฆ่าจะทุกข์กว่านี้ไหม (ทุกข์) ศิษย์เชื่อหรือไม่ว่าทั้งหมูทั้งไก่หรือวัวควาย ในชาติก่อนทุกอย่างก็ล้วนเคยเกิดเป็นมนุษย์มาแล้วทั้งสิ้น (เชื่อ) ถ้าเชื่ออย่างนี้แล้วคิดหรือไม่ว่าตัวเองจะบำเพ็ญอย่างไร ลองไปพินิจพิจารณาดูก็แล้วกัน
พระนาจา : ผลไม้ถ้าไม่สุกเต็มที่ก็จะไม่ร่วงหล่นจากต้นใช่ไหม (ใช่) เปรียบเหมือนความดี ถึงแม้จะทำทีละเล็กทีละน้อย แต่สักวันหนึ่งมันก็จะตกผลออกมาได้ ใช่หรือเปล่า แล้วตอนนี้พอที่จะตกหรือยัง (ยัง) การทำความดีพอมีคนบ่นว่า เราก็ท้อไม่ทำแล้ว ถูกหรือไม่ แล้วอย่างนี้มรรคผลจะสมบูรณ์ไหม (ไม่สมบูรณ์)
ศิษย์พี่จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทะเลเหนือคุยกับทะเลใต้ว่าอะไรคือธรรมชาติ ทะเลใต้ก็ตอบว่าม้ามีสี่ขา วัวมีสี่ขา มนุษย์มีสองขา นั่นแหละคือธรรมชาติ แล้วทะเลเหนือก็ถามทะเลใต้ต่อว่าแล้วสิ่งใดที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่ง ใครตอบได้ (จิตปรุงแต่ง, มนุษย์) นั่นก็คือการเอาบังเหียนไปใส่หลังม้า ซึ่งเปรียบเหมือนการเอาสิ่งที่ไม่ดีมาใส่ไว้ในจิตใจ มาปรุงแต่งร่างกายใช่ไหม (ใช่) ศิษย์พี่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ศิษย์น้องใส่เสื้อผ้า แต่ให้รู้จักคำว่า มี พอ หยุด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระอาจารย์ : ทุกๆคนต้องรู้ว่าถ้าหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ตอนนี้นั่งฟังอยู่ที่นี่แต่ว่าใจยังอยู่ที่บ้าน คิดโน่นคิดนี่ อย่างนี้นั่งฟังอยู่ที่นี่ครบสองวันก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม แล้วจะนำใจกลับมาได้หรือยัง ตอนนี้คิดหรือยังว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองนั่งฟังจบสองวัน เมื่อนั่งฟังจบแล้ว ความรู้เราจะต้องเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจบชั้นแล้วแต่ว่ายังไม่เข้าใจ นั่งไปสองวันก็ไม่มีประโยชน์ นั่งฟังธรรมะต้องทำจิตใจให้มีจริยะรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร (ทำจิตใจให้ว่างและตั้งใจฟัง) ยังไม่ถูกทีเดียว (มีจิตใจที่เป็นระเบียบ, สำรวมจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว) มีใครตอบได้อีก ไหนลองดูศิษย์แต่ละคนคิดเป็นอย่างไร (จิตใจสงบ, ฟังแล้วคิดตามไปด้วย, เปิดใจตั้งใจฟังและคิดตามไปด้วย) การที่เรามีจิตใจจริยะ ทุกคนตอบมามีส่วนถูกหมด อยู่ที่ว่าจิตใจแห่งจริยะของเรานั้นจะไปหยุดอยู่ที่ไหน ตอนนี้เมื่อทุกคนพูด จิตใจแห่งจริยะก็เงียบสงบ เมื่อเดินทาง จิตใจแห่งจริยะก็ต้องรู้ที่จะระวังไม่ให้ตัวเราเองผิดพลาดพลั้งไป จิตใจแห่งจริยะที่ว่าก็คือพุทธญาณ ถ้าหากว่าทุกๆวันรู้จักหยุดอยู่ตรงจุดๆนั้น นั่งฟังด้วยความตั้งใจ ทำอะไรก็ขอให้หยุดลงตรงนั้น อย่างนี้แล้วจิตใจแห่งจริยะก็จะเกิดความงอกงาม เพราะว่าบังเกิดแต่สิ่งที่ดี จิตใจแห่งจริยะก็คือจุดๆนั้นที่ได้รับชี้ไป เข้าใจหรือไม่ คำถามของอาจารย์ตอบง่ายๆ แต่ว่าใครจะหยุดลงตรงไหน นั่นเป็นเรื่องของแต่ละคน ถ้าไปหยุดอยู่ที่หู ตา จมูกก็จะบังคับไม่ได้ เหมือนกับม้าพยศที่ไม่สามารถวิ่งไปสู่เส้นชัยได้ เมื่อเข้าใจแล้วตอนนี้ถ้าตัวเองมีอะไรผิดพลาดพลั้งไป ควรจะทำอย่างไร (แก้ไข) เวลาผูกปมเราผูกอย่างไร เวลาเราก่อปัญหาเราก่ออย่างไร เวลาก่อปัญหาก่ออย่างรวดเร็วใช่ไหม แล้วเวลาที่จะแก้ แก้อย่างไร สมมติว่าเวลาแก้ปมมีเงื่อนซ้อนกัน ๕ เงื่อน หรือ ๕ ปัญหา ๕ เรื่องราว เราจะค่อยๆแก้ไปหรือว่าจะแก้อย่างไร (ค่อยๆแก้) เวลาแก้ก็ต้องอดทน อดทนด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น ตอนนี้บางคนยังมีความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ก็ขอให้ใช้จิตพิจารณาให้ดี แล้วค่อยๆแก้ไป อาจารย์เข้าใจดีว่าความสงสัยของคนเรานั้นมักจะงอกงามในใจเสมอๆ ถ้าหากว่าทุกๆวันเจอแต่เรื่องแบบนี้ เจอปัญหา เจอสิ่งใดๆ ก็ขอให้ระลึกและพิจารณาเสมอว่า นั่นเป็นเพราะตัวเราก่อขึ้นมาเองหรือว่าอารมณ์ร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการทดสอบ ถ้าเราชัดเจนในการพิจารณา ชัดเจนในจิตใจของตัวเองแล้ว คงไม่กลัวว่าตัวเองจะเดินไปล้มไป หรือจะเดินไปโดยไม่แน่นอน คนเราไม่ว่าจะทำการงานอะไรก็ต้องมีความหวังว่าจะต้องได้ยศตำแหน่งใช่ไหม แล้วถ้าหากว่าเราตั้งความหวังอย่างนั้นได้ เราควรรู้ว่าสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือลงแรง การที่อาจารย์นำมาเปรียบเทียบแบบนี้เพราะอยากให้ศิษย์รู้ว่าการที่เราจะลงแรงทางด้านธรรมะก็จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าหากว่าเราลงแรงปฏิบัติจริง ลงแรงแก้ไขตัวเองอย่างแท้จริง และเจริญกุศลอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะได้มรรคผลที่แท้จริงด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญธรรมะนั้นง่ายขึ้น แต่จะง่ายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ ถ้าศิษย์รู้จักปรับปรุงก็จะสามารถล่วงพ้นกิเลสที่มาขวางอยู่ได้
พระนาจา : การทำสิ่งใดก็ตาม ถ้าทำแล้วคนอื่นมีความสุขก็เป็นสิ่งดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย อันที่จริงความสุขนั้นทำไม่ยาก แต่เป็นเพราะว่าเราอาย เรากลัว เราไม่อยากยอมใคร จึงทำให้เราไม่กล้าที่จะทำ ไม่กล้าที่จะสู้ แต่ถ้าเราลองทำดู แล้วมองไปที่หน้าของทุกคน เราจะพบว่าทุกคนต่างก็ยิ้มให้เรา แต่ถ้าเราลองทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วให้เราเงยหน้า เราจะกล้าเงยไหม (ไม่กล้า) ถึงแม้จะกล้าเงยแต่จิตใจก็ยังแอบแฝงไปด้วยความเกรงกลัวใช่หรือเปล่า ฉะนั้นทำความดีก็ต้องเงยหน้ายิ้มรับ ถ้าทำความผิดก็ต้องก้มหน้ายอมรับผิด ดูๆแล้วความดีเป็นสิ่งที่ทำไม่ยาก แต่ทำไมถึงไม่ค่อยจะมีคนกล้าทำ
บางคนยังสงสัยว่าการบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไร การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือการซ่อมแซมจิตใจของตัวเองที่เป็นพุทธะ แต่เราทุกคนล้วนมองไม่เห็นความเป็นพุทธะในตัวเอง เช่นนั้นก็เหมือนเครื่องจักรที่ผุพังไป ต้องได้รับการซ่อมแซม แต่ถ้าเราไม่ย้อนมองตัวเองก็จะไม่รู้ว่าข้างในผุพัง ภายในขาดหรือเกิน สิ่งแรกในการบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน เมื่อมองตนเองแล้วก็ต้องดูว่าสิ่งใดตัวเองถูก สิ่งใดตัวเองยังดีอยู่ก็คงสภาพที่ดีไว้ แต่ถ้ามองแล้วสิ่งใดผุกร่อนเสียหายก็ต้องซ่อมแซมปะให้ดี ทำไมเวลากางเกงขาดยังรู้จักปะได้ นั่นเป็นเพราะว่ากางเกงอยู่ข้างนอก เราจึงมองเห็น แต่จิตใจอยู่ภายในทำให้มองไม่เห็นใช่ไหม เมื่อรู้ว่าจิตใจอยู่ภายใน การมองก็ต้องมองภายใน แต่ถ้ามองแล้วยังมองไม่เห็นก็ต้องมองเวลาเราทำ ถ้าเรามีความอยากนั่นก็คือเราเริ่มมองเห็นแล้วว่าจิตใจเรามีความอยาก เช่นเมื่อถึงเวลาเที่ยงเราต้องการกินข้าว นั่นก็คือเรามองเห็นจิตใจของเราแล้ว ไม่ยากเลยที่จะมองเห็นจิตใจของตัวเองใช่ไหม นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาในสองวันนี้มาสำรวจดูว่าจิตใจของเราดีเพียงไร ทำในสิ่งที่ควร คิดแล้วต้องปฏิบัติ เมื่อใช้ใจและปัญญาคิดแล้ว ทุกคนก็จะรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนคิดหรือทำไปถูกหรือผิดอย่างไร นั่นก็คือการบำเพ็ญ
พระอาจารย์ : ตอนนี้จิตเปิดกันครบทุกคนหรือยัง (เปิดแล้ว) ถ้าหากกลับจากชั้นนี้ไปแล้วจะกลับมาศึกษาธรรมะกันอีกหรือเปล่า เมื่อจบไปแล้วจะต้องกลับมาเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ต้องรู้ว่าคนข้างหน้าเขาก็เคยนั่งแบบนี้เช่นกัน ถ้าศิษย์พยายาม ศิษย์เองก็สามารถที่จะเป็นผู้บรรยายได้ บางคนมีความรู้น้อย บางคนมีความรู้มาก แต่ถ้าเกิดความสงสัยแล้วเก็บเอาไว้ ไม่รู้จักถามก็จะไม่เข้าใจ นี่ก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ (เชาฉือ) แล้ว บางคนมาจากที่ไกลๆ รู้ไหมว่าคนที่นั่งข้างๆเรามาจากไหน แล้วเขาเดินทางมาด้วยความลำบากเพียงไร แล้วรู้หรือไม่ว่าเขาชื่ออะไรและอยู่ที่ไหน บางคนก็รู้จักกันบ้าง บางคนก็ไม่รู้จักกันเลย อย่างนั้นก็ขอให้ทุกคนทำความรู้จักกันหลังจากที่อาจารย์กลับไปแล้วนะ
ถ้าหากว่าเรามีเพื่อนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน เวลาเราท้อถอย เขาก็ช่วยเราได้ เป็นเช่นนี้ดีหรือไม่ มีเพื่อนเป็นกัลยาณมิตรที่จะฉุดรั้งกันไว้ได้ เราก็ควรที่จะคบกับเขาใช่ไหม โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมทุกคนถ้าหากมีเพื่อนแล้วก็ต้องรู้จักให้ความเชื่อถือต่อกัน เมื่อเราเชื่อถือเขา เขาเชื่อถือเรา เราไม่โกรธหรือแบ่งแยกกับเขา ไม่ถือว่าเขาต่ำต้อยกว่า หรือสูงส่งกว่าเรา อย่างนี้ดีที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)
นักเรียนในชั้นนี้แบ่งเป็นสามตอน เปรียบเหมือนกับกอไผ่สามกอ แล้วรู้ไหมว่ากอไผ่ดีอย่างไร ต้นไผ่เวลาถูกลมพัดก็จะโยกไปตามลม พอลมสงบกอไผ่ก็ตั้งลำได้ตรง ส่วนใบไผ่ก็ยอมรับแสงอันร้อนแรงเพื่อเอาไว้เลี้ยงตนได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ยอมรับความลำบาก เพื่อที่จะบรรลุได้หรือไม่ พอเราเป็นต้นไผ่แล้ว เวลาคนเขาตัดมาใช้ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปไหนก็ยังคงเป็นไผ่อยู่ใช่ไหม เพราะมีข้อ มีปล้องที่ไม่เปลี่ยนแปลง ต้นไผ่มีทั้งความอ่อนโยนและมีทั้งความกล้าหาญ ถ้าหากชีวิตคนหนึ่งชีวิตสามารถบำเพ็ญได้เช่นนี้ก็จะเป็นเมธา แต่อย่างที่อาจารย์บอกไปแล้ว มีคนอยู่เท่าไหร่ที่จะทำได้แบบต้นไผ่นี้
คนเราเมื่อเกิดปัญหา เกิดการชิงชัง เกิดความวุ่นวาย ถ้าหากว่าโลกที่กว้างขนาดนี้ ศิษย์วนเวียนอยู่ในขณะนี้แต่ว่าศิษย์จะขอหยุดลงจากปัญหา การชิงชัง ความวุ่นวาย ณ ใจจริยะตลอดไปดีหรือเปล่า (ดี) คนที่ทำได้อย่างนี้ก็เป็นก้าวแรกของเมธาแล้ว หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะทำได้ อาจารย์ขอฟังเสียงคนที่แน่ใจ (แน่ใจ) หวังว่าศิษย์คงจะเป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าเกิดว่าต้นไผ่นี้เจริญเติบโตขึ้นในป่าใหญ่ กอไผ่ก็จะทนทั้งลม แดดและฝน เมื่อฝนตกลงมาก็ไม่กลัว เมื่อไม่กลัวก็เติบโตขึ้นอีก ศิษย์จะเป็นกอไผ่อยู่ที่กลางสายฝนได้ไหม ชั้นนี้มีทั้งหมดสามกอ จะดูว่ากอไผ่กอไหนจะเจริญเติบโตได้เร็วกว่ากัน ดีหรือเปล่า หน่อเล็กในแต่ละกอก็สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นลำต้นใหญ่ๆ แล้วต้องเผชิญและฟันฝ่าอะไรอีกมากมาย ถ้าหากว่ามัวแต่กลัวและไม่กล้า ก็จะไม่สามารถบำเพ็ญถึงขั้นเป็นเมธาได้
เพลงที่อาจารย์ให้ไปจะต้องนำมาร้องบ่อยๆ การที่อาจารย์มาพบกับศิษย์ในวันนี้ขอให้อาจารย์อยู่ในความทรงจำของศิษย์ทุกคน อย่าได้ลืมอาจารย์ง่ายๆ ได้หรือเปล่า (ได้) หากยังลังเลสงสัยอะไรก็ขอให้รู้จักที่จะแก้ปัญหาด้วยใจที่อยู่ในจริยะ ถ้าไม่รู้ให้ถามผู้อื่น อาจารย์เองรักศิษย์ทุกคนเสมอ เมื่อศิษย์พบความลำบากก็ขออย่าได้ท้อถอยไปง่ายๆ จับมือต่อๆกันไว้ หวังว่ามาคราวหน้าคงได้พบกับศิษย์ทุกๆคนอีก
พระนาจา : มีใครเข้าใจจิตใจของพระอาจารย์บ้าง รู้ไหมว่าพระอาจารย์ต้องร้องไห้ทุกๆวัน ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ศิษย์น้องได้รับรู้ ศิษย์น้องรู้ไหมว่าอาจารย์รักศิษย์น้องทั้งหลาย รอศิษย์น้องทุกๆวัน แต่ไม่มีใครเข้าใจ ฉะนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจและบำเพ็ญธรรมให้ดี ศิษย์พี่อยากเห็นศิษย์น้องทุกๆคนกลับไป ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าจะช่วยอาจารย์ได้อย่างไร หวังวอนให้พระแม่ผู้เมตตาดลจิตใจให้ศิษย์น้องทุกๆคนเข้าใจถึงความรู้สึกของอาจารย์ ความทุกข์ไม่ได้มีเพียงแค่นิดหน่อย แต่ยังมีอีกมากมาย โลกนี้ถึงแม้จะดูสวยงาม แต่สิ่งที่ศิษย์น้องมองไม่เห็นยังมีอีกมาก ขอให้ตั้งใจให้ดีๆ ลาก่อน
อ่านต่อ...
PDF 2538-05-20-ลำปาง (เหยินเต๋อ ) #5.pdf
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ มูลนิธิพุทธธรรมจีน จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ใจแน่วแน่สม่ำเสมอบำเพ็ญญาณ พุทธบุตรจากบ้านมัวเมาหลง
เสริมคุณธรรมน้อมใจในโลกปลง ธุลีผงกิเลสเร้าติดบ่วงมาร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ
ขอสำรวมจิตเที่ยงตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกล้วนสิ่งสมมติอุบัติมา แต่ชีวายังยึดติดให้เฝ้าหลง
มีความอยากฟุ้งซ่านจิตต่ำลง ดั่งญาณตนถูกขังกรงทรมาน
ชีวิตหนี้ต้องชดใช้มีกฎกรรม เหล่าเวไนยยังกระทำผิดอีกหรือ
ยังมิแก้มิศึกษามิฝึกปรือ เมื่อถึงวันเก็บกาลคือโศกอาลัย
ชีวิตที่เกิดมาสิ่งใดสำคัญ ศิษย์น้องหมั่นรักษาญาณตนได้ไหม
รักโลภโกรธหลงเศร้าอยู่กลางใจ แล้วเมื่อไรจิตพุทธาสถิตคง
มัชฌิมาปฏิปทาเดินรุดหน้า ด้วยไตรรัตน์เวทนาจะหมดสิ้น
ด้วยค่าล้ำสามสิ่งสงบอาจิณ อย่าได้หลงดิ้นรนหาทรัพย์ไป
คุณธรรมบังเกิดดั่งชนบุราณ อย่าได้ใช้อัตตาพาลให้ตนต่ำ
อย่าได้ใช้ความผิดตนติดจองจำ เพียงสำนึกกุศลกระทำพ้นหนี้เวร
ประชุมธรรมยิ่งใหญ่สะเทือนภพ ขอน้อมนบพิจารณารู้เหตุผล
จงตั้งใจศึกษาวิถีพ้นปุถุชน อริยชนสู่แดนนิรพาณ
สองวันนี้ขอรักษาซึ่งระเบียบ เราจะยืนเคียงข้างคุมสถาน
วนพู่กันจรดวาง
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่
ญาณจดจ่อบำเพ็ญด้วยหมั่นเพียร ผืนนาเตียนไถพรวนปลูกต้นกล้า
ญาณซึมซับแล้วแพร่สู่ประชา เจริญทางแห่งฟ้าไร้ทุกข์ตรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดรแล้ว ถามเมธีทุกท่านเกษมสราญฤๅ
เมื่อยามเกิดอารมณ์โกรธขึ้นในจิต สำรวมคิดผู้ใดที่ตนโกรธขึ้ง
มนุษย์ล้วนธาตุทั้งสี่รวมเป็นหนึ่ง ฉะนั้นจึงรำลึกไว้ระวังตน
เมื่อปิดตาภาพนานาล้วนมิต่าง เมื่อปิดหูไร้การฟังสำเนียงสิ้น
ไร้จมูกไร้การรับรู้กลิ่น รสผ่านลิ้นแล้วประหนึ่งรสเดียวกัน
กายานี้จะควบคุมหาได้ไม่ ฉะนั้นจึงมิใช่ตนเป็นเจ้าของ
เป็นสภาวะธรรมชาติตามครรลอง หากใฝ่ปองยึดกายนี้ยากสงบจริง
ฮา ฮา หยุด
โลกช่างดูงดงาม จากน้ำใจ เฝ้ามองเวิ้งฟ้าไกล สดใสตระการตา เมื่อยามใจทุกดวง เปี่ยมความรักและเมตตา ปรารถนาทั่วแดนเป็นสุข
แต่บางคราโลกมอง หม่นหมองไป ขาดไมตรีน้ำใจ ขาดสามัคคี เนื่องจากคนเผลอใจ ลืมแล้วความปรานี ต่างแก่งแย่งชิงดี เศร้าหมอง
หากดูแลบำเพ็ญใจ ได้มั่นคง อยู่แห่งไหนดวงใจยังคงมีสุข โลกจะสวยสะอาดหรือจะสับสน ยังรู้ญาณตนเสมอ
หมั่นดูแลบำเพ็ญใจ ผ่องแผ้วใส จิตหนึ่งรวมสร้างพลังเหนือใด ปราการร้อยพันจะพ้นได้โดยรู้ตน
ทำนองเพลง : หลับตา
พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่
“ญาณจดจ่อบำเพ็ญด้วยหมั่นเพียร ผืนนาเตียนไถพรวนปลูกต้นกล้า” (แพร่ขยายไปสู่ทุกๆ คนที่ได้เข้ามา ณ ที่นี้) เมธีทุกท่านว่าถูกหรือผิด (ถูก) ถูกอย่างไรตอบได้ไหม (เหมือนกับจิตที่ว่างเปล่า ในประโยคแรกจิตใจที่จะบำเพ็ญเพียรคือ มีจิตที่ตั้งมั่นที่จะปลูกผืนแผ่นดินนั้นให้เจริญงอกงามตามประโยคที่สองดังกล่าว) แล้วประโยคที่สามล่ะ “ญาณซึมซับแล้วแพร่สู่ประชา” (เหมือนกับว่าแผ่นดินนั้นเราปลูกต้นพืชเอาไว้ เมื่อเจริญงอกงาม คนอื่นได้เห็นก็ประจักษ์สู่สายตาของประชา) ต้นพืชนั้นคืออะไร เจริญทางแห่งฟ้าคืออะไร “เจริญทางแห่งฟ้าไร้ทุกข์ตรม” (เมื่อทุกคนได้ประจักษ์แล้ว ทุกคนก็พยายามที่จะทำ แล้วความทุกข์หรือความโศก กิเลสทั้งหลายก็จะหายหรือสลายไป เหลือแต่ความสุข)
การมาฟังธรรมะในสถานธรรมนี้ ถ้าฟังด้วยจิตใจที่สงบก็ถือว่าเป็นการไม่สร้างทั้งกุศลและบาป ตั้งแต่เมธีทุกท่านเกิดมาจนมีอายุถึงปัจจุบันนี้ มีกี่ชั่วโมงที่สร้างความดี มีกี่ชั่วโมงที่ไม่ได้ทำอะไรเลย และมีอีกกี่ชั่วโมงที่สร้างบาป เมธีท่านทราบไหม (ไม่ทราบ นับไม่ได้) ยากที่จะนับใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่สามารถทราบได้ว่าขณะนี้ตนเองมีบาปมากกว่าหรือมีบุญมากกว่า และทำอย่างไรถึงจะแน่ใจว่าตนเองจะมีบุญกุศลมากกว่าบาป ต้องเร่งสร้างกุศลต่อใช่ไหม แล้วจะสร้างกุศลได้อย่างไร (ช่วยเหลือคนที่ลำบากและช่วยเหลือในสิ่งที่ตนเองทำได้) ช่วยเหลือทางร่างกายหรือทางจิตญาณดี ถ้ามีโอกาสเราก็ต้องช่วยเหลือทั้งสองทางใช่ไหม (ใช่)
มีเมธีท่านใดบ้างไหมที่ไม่เคยมีอารมณ์โกรธเลย ทุกท่านล้วนเคยมีอารมณ์โกรธจนนับไม่ถ้วนใช่ไหม (ใช่) แสดงว่ามีประสบการณ์เรื่องอารมณ์โกรธเป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นทราบไหมว่าทำอย่างไรจึงจะไม่มีอารมณ์โกรธได้ วิธีง่ายๆ ที่จะละอารมณ์โกรธได้มีอยู่วิธีหนึ่งคือ เมธีทุกท่านคงทราบว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ ฉะนั้นเวลาที่ท่านเกิดอารมณ์โกรธกับใครขึ้นมา ถ้าลองพิจารณาดูดีๆ ก็จะเหมือนเรามีอารมณ์โกรธกับธาตุทั้ง ๔ นั้นใช่ไหม (ใช่) โกรธกับธาตุทั้ง ๔ นี้ถูกต้องตามเหตุผลไหม ถ้าเช่นนั้นเกิดจากอะไรถ้าคิดว่าไม่ได้โกรธกับธาตุทั้ง ๔ ถ้ามองตามรูปลักษณ์ที่เห็นได้แล้วก็คงพาลโกรธกับธาตุทั้ง ๔ ซึ่งเหมือนการโกรธสิ่งของ เราน่าจะโกรธอีกไหม แต่ถ้ามองทางจิตแล้ว การโกรธคนก็คือการโกรธตนเองที่ไม่สามารถจะระงับอารมณ์โกรธของตนเองได้ ถ้าตนเองสามารถระงับอารมณ์โกรธของตนเองได้แล้วก็ย่อมไม่เกิดอารมณ์โกรธใดๆ ถูกไหม (ถูก)
การหลับตา บางครั้งอาจจะเป็นการพักผ่อนหรือบางครั้งอาจจะเป็นการคิดเรื่องต่างๆ เมื่อเวลาปิดตาแล้ว เมธีจะยังมองเห็นภาพภายนอกว่าสวยงามหรือมีตำหนิอยู่ไหม (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นรูปลักษณ์ภายนอกจะสวยงามหรือมีตำหนิก็ไม่เป็นผลอะไร ถ้าหากเป็นผลจริงๆ เมธีทุกท่านก็คงจะไม่ฟังเราพูดธรรมะในวันนี้หรอก เพราะเรามีขาที่พิการ มีตำหนิใช่ไหม
“เมื่อปิดหูไร้การฟังสำเนียงสิ้น” เมื่อเราปิดหูแล้ว เสียงที่ไพเราะหรือคำต่อว่าอะไรก็เหมือนกันใช่ไหม “ไร้จมูกไร้การรับรู้กลิ่น” (โดยปกติจมูกเราก็รับกลิ่นได้ เอาไว้หายใจเพื่อการยังชีพ แต่ถ้าตราบใดมีสิ่งใดเข้ามาอุดจมูกเราไว้ เราหมดลมหายใจ ร่างกายเราจะไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งสิ้น) การขึ้นมาอธิบายพระโอวาทมีประโยชน์อย่างไรรู้ไหม (ทำให้เกิดปัญญา)
“รสผ่านลิ้นแล้วประหนึ่งรสเดียวกัน” (เรากินอะไรเข้าไป เมื่อผ่านลิ้นไปแล้ว ก็เปรียบเหมือนรสเดียวกัน) ไม่ผิด แล้วมีความหมายแฝงว่าอย่างไร รสชาติอะไรผ่านลิ้นไปแล้วก็เหมือนกัน ภาพต่างๆ ที่สวยหรือไม่สวย ผ่านไปแล้วก็เหมือนกัน (ให้ทำใจ เมื่อทำใจได้แล้วเราก็รู้สึกเหมือนกัน) ถูกต้อง นี่คือการตอบที่ถูกประเด็นที่สุดใช่ไหม เมื่อบอกว่าให้ทำใจ เมื่อทำใจได้แล้วทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสของเราก็รู้สึกเหมือนกันทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุข หรือเศร้าหมอง ทุกอย่างก็เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)
เมธีท่านคิดว่าร่างกายนี้เป็นของตนเองหรือเปล่า (ไม่ใช่ของตนเอง เป็นของที่ปรุงแต่ง) เป็นของที่ปรุงแต่งขึ้นแล้วมองเห็นไหม (เห็น) จับต้องได้ แต่ไม่ยั่งยืนใช่ไหม ที่ว่ากายนี้ไม่เป็นของตนเอง เพราะว่าเราควบคุมกายของตนเองไม่ได้ เวลาเราเจ็บป่วยเราไม่สามารถจะบอกร่างกายได้ว่าเลิกเจ็บได้แล้ว จะไปบำเพ็ญธรรมะแล้ว จะไปทำงานแล้ว ถึงเราบอกอย่างนี้ไป ร่างกายก็ไม่อาจจะเลิกเจ็บป่วยได้ใช่ไหม (ใช่) ร่างกายเราก็ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนต่างๆ ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปเรื่อยๆ มนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ เราไม่สามารถควบคุมได้ จึงกล่าวได้ว่าไม่ใช่เป็นของตนเอง ร่างกายไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน แล้วสิ่งไหนที่ยั่งยืน (ความดีที่กระทำ, จิตญาณ, ความดีความชั่ว, ความมีธรรมะของอนุตตรธรรม) จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ยั่งยืนทั้งหลายนั้นล้วนมิใช่สิ่งที่มีรูปลักษณ์ทั้งสิ้นใช่ไหม (ใช่) มีได้หลายคำตอบ ผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกๆ ท่าน เวลาที่ญาติธรรมตอบคำถาม ทุกท่านก็ต้องตั้งใจฟังเช่นกัน เพราะว่าบางครั้งคำตอบที่เขาตอบมานั้นเราอาจจะยังไม่เคยนึกถึงเลยก็ได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วผู้ใดที่เป็นอาจารย์แนะนำรับรอง ถ้าตั้งใจฟังคำตอบของญาติธรรม แล้วรู้ว่าเขาตอบถูกหรือตอบผิด หรือสนใจในเรื่องใดก็สามารถจะนำไปส่งเสริมได้อย่างถูกต้องใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลงหลับตา) เวลาไม่มีกายเนื้อแล้วก็ลำบากใช่ไหม (ใช่) จะมาผูกบุญสัมพันธ์กับเมธีทุกท่านก็ต้องรองานประชุมธรรมถึงจะสามารถมาได้ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนร้องเพลงอีกครั้ง)
ขณะที่ร้องเพลงธรรม ได้พิจารณาเนื้อเพลงหรือเปล่า คำโอวาทที่ให้ไปนั้น แต่ละคนก็เข้าใจไม่เหมือนกันใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงต้องร่วมกันศึกษาธรรมะเพื่อจะได้ทราบว่า คนอื่นเขาสามารถเข้าใจได้มากแค่ไหน และตนเองเข้าใจและสามารถพิจารณาได้แค่ไหน แล้วก็ปรับปรุงกันขึ้นไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก)
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับเมธีทุกท่านนานพอสมควรแล้ว คิดว่าเมธีทุกท่านคงจะได้รับความรู้หรือธรรมะต่างๆ ได้ (ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา) คำขอบคุณเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย ฉะนั้นเราก็หวังว่าวันนี้และวันต่อๆ ไปจะได้เห็นเมธีทุกท่านปฏิบัติได้ตามที่พูดไว้ วันนี้และพรุ่งนี้ก็ขอให้เมธีทุกท่านมีจิตใจที่สงบ ตั้งใจฟังธรรมะต่อไปและรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้เพื่อจะได้ไปเผยแพร่ธรรมะต่อดีไหม (ดี) วันข้างหน้าหากเมธีทุกท่านบำเพ็ญต่อไปก็คงจะมีโอกาสได้พบกับเราอีก มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ลาก่อน
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใจตั้งมั่นบำเพ็ญในกลียุค พบตนพุทธะแจ้งแล้วในตนหนา
จิตสองแยกกังขาในอริยา ปรารถนาตัดมละใจสู่ทารกเดิม
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงวิปลาส รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนจิตสำรวมดีอยู่หรือเปล่า
แม้ฟืนไร้อัคคียังชัชวาลต่อ ชีวิตขอพลีรักษาญาณสุกใส
กายาคนเพลาจำกัดมิคงไว้ สิ้นชีพไปคุณธรรมยังคงชวาลา
กาลผลัดเปลี่ยนเร่งหมายเข้าอุทิศ ประกอบกิจจงรีบใจบำเพ็ญหนา
พุธชนพึงทอนละออกซึ่งอัตตา มรรคาลัดเพลี่ยงเป็นบรรเลงทุกข์โศกา
เดินทางมนุษย์แสนลำบากลมกรรโชก ยามละโลกละชีวาหลงอาสา
ปลงชีวิตกายสมมติในเหลื่อมหล้า ปรารถนาเยื่อใยสิ่งใดในปรีดี
มือสร้างตรวนเที่ยวกรรมกุศลวิบาก ปัจจุบันมากดีชั่วหนี้ทวงถาม
หนี้เร็วช้าต้องใช้พินิจตาม โลกยุคสามคับขันโปรดเร่งมือ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของทุกๆ คน ทุกๆ คนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ใช่ไหม ถ้าเราช่วยคนอื่น เรามีจิตใจเมตตา มีคุณธรรม เราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เดินอยู่ในโลกมนุษย์นี้ถูกไหม (ถูก) แล้วเมื่อสักครู่นี้อาจารย์บรรยายธรรมบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทุกคนมองหาใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) หาพบหรือยัง อยู่ตรงไหน อยู่ที่ตัวเราใช่ไหม (ใช่) เมื่อวานนี้ท่านแปดเซียนมาเยือน มีใครไม่ตอบคำถามท่านบ้าง ต่อไปหากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้พระโอวาท เราต้องทำอย่างไร (ต้องร่วมมือกันตอบคำถาม) จิตใจของทุกคนต้องรู้สำนึกขอบคุณใช่ไหม (ใช่)
สองวันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหนื่อย ง่วง ดีใจ หรือว่าเบิกบานแล้วก็เบื่อบ้างบางครั้ง เพราะฟังไม่ค่อยเข้าใจใช่ไหม อาจารย์รู้สึกว่ามีหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ ให้อาจารย์บรรยายธรรมมาอธิบายกลอนนำก่อนดีไหม
“ใจตั้งมั่นบำเพ็ญในกลียุค” (ยุคนี้เป็นยุคที่สามหรือยุคสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ตั้งใจมั่นหรือบำเพ็ญในยุคนี้ก็อาจจะหมดโอกาส)
“พบตนพุทธะแจ้งแล้วในตนหนา” (พุทธะในดวงจิตของเราหรือจิตญาณของเราที่อาจารย์ชี้ให้ตรงจุดนั้น ก็คือที่ตั้งของพุทธจิตธรรมญาณของเรา ให้เราบำเพ็ญที่จุดนั้น)
“จิตสองแยกกังขาในอริยา” (จิตของเราแบ่งเป็นสองจิตคือจิตที่ดีกับจิตที่ไม่ดี จึงทำให้เราเกิดความสงสัยในอริยะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเรารวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วตั้งใจฟัง สิ่งเดียวที่จะได้รับก็คือสัจธรรมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง)
“ปรารถนาตัดมละใจสู่ทารกเดิม” (เราต้องพยายามขจัดกิเลสต่างๆ ที่อยู่ในจิตใจ และขจัดอารมณ์ที่ไม่ดีนั้นออกไป ให้คงไว้ซึ่งจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็คือจิตใจที่ผ่องใสดั่งทารก)
“แม้ฟืนไร้อัคคียังชัชวาลต่อ” (สิ่งนี้เป็นธรรมะที่อาจารย์ให้กับเรา ขึ้นต้นว่าแม้ฟืนไร้ไฟ หมายความว่าหากเป็นกฎเกณฑ์ทางโลก ฟืนต้องใช้ไฟแน่นอน แต่ในสภาวะจิตของเรานี้เป็นสภาวะที่ไม่มีการจุดดับก็สามารถที่จะชัชวาลได้อยู่แล้ว หมายถึงสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในตัวสามารถสว่างได้)
“ชีวิตขอพลีรักษาญาณสุกใส” (ชีวิตนี้โชคดีได้เกิดกายเป็นมนุษย์ เมื่อได้รับธรรมะแล้ว ก็จะขอสละตนเพื่อฉุดช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเพื่อรักษาจิตญาณของตนให้สว่างสดใสดังเดิม)
“กายาคนเพลาจำกัดมิคงไว้ สิ้นชีพไปคุณธรรมยังคงชวาลา” ชวาลา แปลว่า ตะเกียง (คือชีวิตของคนเรา แต่ก่อนที่เราจะสิ้นชีพไป เราควรที่จะหาสิ่งที่ดีคือคุณธรรม เมื่อมีจิตใจที่ดีพร้อมที่จะเผยแพร่ธรรมและพร้อมที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรม เปรียบเหมือนกับแสงตะเกียงที่เราจุดไว้พร้อมที่จะสว่างไสวตลอด, ชีวิตคนเราสั้น เมื่อเทียบกับอายุของโลกและของจักรวาล เมื่อวันก่อนๆ ยังเป็นเด็กอยู่ วันนี้เข้าสู่วัยกลางคน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่จะเหลือไว้ก็คือคุณธรรม)
“กาลผลัดเปลี่ยนเร่งหมายเข้าอุทิศ” (ตอนนี้เข้ายุคสามแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่คับขันมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็ควรจะรีบๆ ทำในสิ่งที่พระอนุตตรธรรมมารดาท่านหวังที่จะให้พวกเราที่เป็นลูกๆ ทั้งหลายมีโอกาสกลับไปพบท่านอีกครั้งหนึ่ง)
“ประกอบกิจจงรีบใจบำเพ็ญหนา” กาลเวลาผลัดเปลี่ยนไปแล้วต้องรีบบำเพ็ญ เพราะว่าตอนนี้คือยุคสาม กาลคับขันแล้วใช่ไหม (ใช่)
“พุธชนพึงทอนละออกซึ่งอัตตา” พุธชนแปลว่าผู้รู้ (ผู้รู้ทั้งหลายจะต้องละซึ่งความถือตน และไม่ยึดติดกับอัตตาตัวตนที่มีอยู่)
“มรรคาลัดเพลี่ยงเป็นบรรเลงทุกข์โศกา” เพลี่ยงในที่นี่คือเพลี่ยงพล้ำที่แปลว่าพลาด ถ้าศิษย์พลาดทางลัดไปแล้วจะเป็นอย่างไร (จะเป็นทุกข์)
“เดินทางมนุษย์แสนลำบากลมกรรโชก ยามละโลกละชีวาหลงอาสา
ปลงชีวิตกายสมมติในเหลื่อมหล้า ปรารถนาเยื่อใยสิ่งใดในปรีดี”
อาสาแปลว่าความต้องการ ความอยากได้ (นักเรียนหญิง : เกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีอุปสรรคเป็นของธรรมดา ถ้าเรายังหลงในกิเลส เราควรที่จะปลงหรือปลงในกายหยาบและมุ่งในทางที่จะเป็นคนดี ปรีดี ข้าพเจ้าคิดว่าหมายถึงในทางที่ดี ทำดีเช่นไม่พูดปด ทำอะไรให้เราเป็นคนดี) ถูกต้อง ปรีดีแปลว่ายินดี
พุทธะไม่แบ่งแยกชายหญิง เพราะจิตญาณพุทธะนั้นเหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) มีใครหิวบ้าง อาจารย์ให้ทุกคนไปพักทานข้าวก่อน แล้วค่อยกลับมาหาอาจารย์ใหม่ดีไหม (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
(ตอนบ่ายพระอาจารย์เมตตามาประทานพระโอวาทต่อ และให้ออกกำลังกายในเพลงทำนองเซี่ยวเซิ่งโจ่วอี้หุย หลังจากนั้นก็ให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
ทุกคนเขาวงแบบวงกลมใช่ไหม คนนี้วงแบบสี่เหลี่ยมเพราะอะไรรู้ไหม เพราะอยากให้มันชัดเจน บางคนวงแบบวงกลม บางคนวงแบบสี่เหลี่ยม วิถีทางการบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน มีความชอบที่จะบำเพ็ญไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดแล้วผลสำเร็จก็ออกมาเป็นตัวหนังสือได้เหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจอาจารย์จะอธิบายใหม่ บางคนถ้ารู้ว่าธรรมะนี้ดีก็รีบบำเพ็ญ แต่หากคนใดไม่รีบบำเพ็ญ พอถึงสุดท้ายเจ้าหนี้ตามมาทวงแล้ว เราก็ต้องเจ็บตัว ถึงตอนนั้นก็ยังมีบทเรียนใช่ไหม ศิษย์ก็ต้องพิจารณาดูว่าศิษย์อยากได้บทเรียนก่อน หรือว่าศิษย์อยากจะบำเพ็ญก่อนที่บทเรียนนั้นจะมาถึง การเดินทางธรรมก็เหมือนกับคนเรียนหนังสือ บางคนก็เรียนได้ดี บางคนก็เรียนไม่ดี ที่เรียนไม่ดีไม่ใช่เพราะว่าหัวสมองไม่ดี ปัญญาไม่ดี หรือสายตาไม่ดี แต่ที่เรียนไม่ดีก็เพราะไม่ตั้งใจเรียน เพราะไม่รู้ว่าทำไมเราต้องเรียน เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) บางคนก็คิดว่าอยู่เป็นคนธรรมดาดีกว่า มีชีวิตอยู่ไม่ต้องบำเพ็ญธรรมะ เราเป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว ทำไมจึงต้องมาบำเพ็ญธรรมะให้เหนื่อยยาก เพราะอะไรรู้ไหม (เพราะเรากลัวเวียนว่ายตายเกิด) แล้วมีคนไหนบ้างที่ไม่กลัว ก็คงเป็นเด็กๆ เพราะไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรใช่ไหม ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ความทุกข์คือสิ่งที่เราอยากได้แล้วเราไม่ได้ สิ่งที่เราหวังแล้วไม่เป็นดังหวัง คนอื่นทำให้เราทุกข์ใจ เราก็เป็นทุกข์แล้วใช่ไหม วันนี้ถ้าเราไม่มีเงินในกระเป๋า เราทุกข์ไหม สมมติว่าวันนี้เรามีเงินหนึ่งร้อยบาท แต่เราก็ยังทุกข์เพราะว่าเราไม่มีเงินเป็นล้านใช่ไหม (ใช่) และเมื่อมีเงินเป็นล้าน ก็เปรียบเทียบกับคนที่เขามีสิบล้าน เราก็เป็นทุกข์เพราะเราไม่มีสิบล้านเหมือนเขาใช่ไหม (ใช่) นั่นแสดงว่าจิตใจของคนนั้นทะยานอยากไม่สิ้นสุด และการอยากเป็นคนนี้เป็นอย่างไร อยากเป็นคนก็มีความทะยานอยาก ตรงนี้ยากไป อาจารย์ไม่พูดถึง ขอพูดแต่เพียงว่าคนมีความทะยานอยากก็เกิดทุกข์ขึ้น ถูกไหม ดังนั้นเราต้องตัดความอยากให้น้อยลงทีละนิดๆ เพราะตัดทีเดียวทั้งหมดไม่ได้ เนื่องจากเรายังต้องเป็นคนอยู่ใช่ไหม
ชีวิตนี้ใครเป็นคนกำหนด (ตัวเราเอง) สิ่งที่เรากระทำเป็นตัวกำหนดชีวิตของเราในภายภาคหน้าใช่ไหม มีหลายคนยังไม่เข้าใจถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจริงหรือไม่ และมีต้นเหตุ-ผลกรรมจริงไหม ศิษย์อยากรู้ไหมว่าทำไมต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าวันนี้เรารักคนนี้มากๆ แต่ว่าเขาไม่รักเรา และเราก็โกรธแค้นว่าทำไมเขาไม่รักเรา ทำให้เราผูกเวรอาฆาตเขา เมื่อจิตของเราเป็นอย่างนี้ พอเราละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว จิตใจที่คิดอย่างนี้ก็ยังมีอยู่ ทำให้เราต้องเกิดมาเพื่อจะทำให้เขารักเราให้ได้ หรือเมื่อคนอื่นทำร้ายเรา ฆ่าเรา เราก็จะจองเวรกับเขา วันหนึ่งข้างหน้า เราก็ไปฆ่าเขาอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว แสดงว่าวัฏจักรนี้หมุนเวียนไปไม่หยุดสิ้น เพราะไม่มีการให้อภัยกันถูกไหม (ถูก) ถ้าวันนี้พี่น้องทะเลาะกัน ตีกัน และไม่มีคนไหนยอมรับผิดเลย ไม่มีพ่อแม่มาไกล่เกลี่ย สองคนพี่น้องจะหยุดทะเลาะกันได้ไหม จะต้องมีคนหนึ่งที่ยอม หรือไม่ก็ต้องมีพ่อแม่มาห้ามไว้ และรู้ไหมว่าพ่อแม่ที่มาไกล่เกลี่ยนั้นคือใคร คืออาจารย์ใช่ไหม อาจารย์เปรียบเสมือนพ่อของศิษย์ทุกคน ศิษย์หลายคนในที่นี้มีหนี้กรรมมากมาย เพียงแต่ว่าศิษย์มองไม่เห็นเท่านั้นเอง
เมื่อศิษย์ได้รับธรรมะแล้ว หนี้กรรมมากมายของศิษย์ทุกคนนั้น อาจารย์จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่อาจารย์จะไกล่เกลี่ยนั้น อาจารย์จะบอกเจ้าหนี้กรรมว่าเมื่อศิษย์รับธรรมะแล้ว ศิษย์จะรู้จักบำเพ็ญจิต บำเพ็ญใจ สร้างกุศลชดใช้เขาไปในสิ่งที่ได้ทำผิด อาจารย์พูดไปอย่างนี้กับเจ้าหนี้ทุกคน แต่ถ้าศิษย์ไม่ทำตามแล้ว เมื่อรับธรรมะแล้วรู้ว่าดีแต่ไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนกับว่าอาจารย์ผิดคำพูด เหมือนกับว่าอาจารย์ได้โกหกเจ้าหนี้ทุกๆ คน แล้วเจ้าหนี้เขาจะทำอย่างไรกับอาจารย์รู้ไหม เขาก็จะทุบตีอาจารย์ อาจารย์จะต่อว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์เป็นคนค้ำประกันเอง เห็นไหมว่าเสื้อผ้าของอาจารย์นั้นขาดรุ่งริ่ง ร่างกายอาจารย์ที่ผอมโซ เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับคนไร้ความหวัง ศิษย์ทุกคนคือความหวังของอาจารย์ อาจารย์หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์จะตื่นด้วยตนเอง ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ทุกข์จริงๆ ศิษย์จะรู้ว่าหากทำผิดไปแล้ว ต้องเร่งสำนึกแก้ไขตนก่อนที่เจ้าหนี้กรรมจะมาทำร้ายเรา หากวันนี้ศิษย์ทุกคนมีจิตสำนึกขึ้นมาบ้าง ขอให้ทุกคนตั้งจิตให้มั่น แล้วขอโทษเจ้ากรรมนายเวรทุกคน ทั้งที่เรารู้ว่าชาตินี้เราทำอะไรผิดบ้าง หรือว่าทำในชาติที่แล้วมาก็ตาม สำนึกขอขมาเขาและบอกกับเขาว่า ต่อแต่นี้ไปศิษย์ของอาจารย์จะสร้างกุศลชดใช้เขา หลายคนยังไม่รู้ว่าที่อาจารย์บอกให้บำเพ็ญนี้ บำเพ็ญอย่างไรใช่ไหม บำเพ็ญนี้ก็คือขัดเกลาจิตใจของตนเองให้ผ่องใสขึ้น ให้เป็นจิตใจที่ใสสะอาดเหมือนเมื่อก่อน ปัดหยากไย่ออกไปบ้าง ใจของศิษย์นั้นเหมือนคราบดำๆ เคยเห็นน้ำมันที่อยู่ในกระทะไหม หากทิ้งไว้นานหลายสิบปี ไม่ขัดออก จะขัดลำบากไหม (ลำบาก) คราบดำในใจศิษย์ยิ่งขัดยากกว่านั้นอีก กี่หมื่นปีที่เวียนว่ายตายเกิดมา เพราะฉะนั้นจะต้องมีความพยายามอย่างที่สุด จะต้องมีความอดทน ขัดไปทุกวัน ลงมือทุกวัน วันหนึ่งจะต้องสุกใสสว่างขึ้นมาจนได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เร่งมือ”)
“ชีพคนเพลาจำกัด มิผลัดกิจจงรีบเร่ง” ชีวิตคนหนึ่งชีวิตก็ไม่กี่สิบปี ศิษย์อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง ผลัดเปลี่ยนจิตใจของตัวเอง วันนี้โกรธ วันนี้รัก วันนี้โลภ ขอให้ศิษย์มีจิตใจที่มั่นคงแล้วก็รีบเร่งต่อไป
“หายใจเข้าออกบรรเลง เป็นเพลงลดทอนชีวา” ทุกลมหายใจเข้าออกนี้ ชีวิตเราก็ลดลงๆ ทุกวินาที
“ละโลกละกายเยื่อใย สิ่งใดหลงเหลือในหล้า
ดีชั่วที่ตนสร้างมา เร็วช้าต้องใช้หนี้กรรม”
เมื่อศิษย์ละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว ละจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลือในโลกนี้คือกรรมดี-กรรมชั่วที่ศิษย์ทุกคนจะต้องชดใช้ และจะต้องได้รับ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า วันหนึ่งศิษย์ก็จะต้องได้รับหนี้กรรมของตัวเองที่ทำ ถูกไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นสำนึกแล้วก็แก้ไขตนตั้งแต่บัดนี้ ยังไม่สายเกินไป แล้ววันข้างหน้าเราไปพบกัน ณ ผิงซันเบื้องบนดีไหม
ถ้าศิษย์สามารถสัญญาในใจกับอาจารย์ว่า ต่อไปนี้ศิษย์จะประพฤติปฏิบัติธรรม บำเพ็ญตนเป็นคนดี และไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้น ศิษย์จะช่วยให้คนอื่นเป็นคนดี ช่วยให้เขาได้เข้าใจถึงวิถีธรรมทางบำเพ็ญอันแท้จริง วันข้างหน้าศิษย์จะต้องได้พบกันที่เบื้องบนแน่นอนดีไหม (ดี)
ต่อไปนี้เร่งมือ เร่งก้าวเดินด้วยใจที่มั่นคง ทุ่มเทไปช่วยผู้อื่น ช่วยคนที่เขายังทุกข์อยู่ได้ไหม (ได้)
ต่อไปทุกคนจะต้องตั้งใจฟังหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อให้ดี เมื่อประชุมธรรม ๒ วันนี้หมดไป ขอให้เหลือสิ่งดีๆ จดจำเอาไว้ในใจ แล้วก็ช่วยคนอื่นที่เขาไม่ได้ฟังแบบนี้ เขาจะได้ตื่นขึ้นมา
(พวกเราได้ร้องเพลงคำสัญญาส่งพระอาจารย์) อาจารย์อยากจะฝากคำหนึ่งไว้กับศิษย์ทุกคน นั่นก็คือว่าถ้าคนไหนอยากจะบำเพ็ญให้บรรลุเป็นพุทธะจริงๆ การขึ้นฝั่งธรรมอย่างแรกคือละเว้นเนื้อสัตว์ ละเว้นการทำลายเลือดเนื้อของผู้อื่น กัดเนื้อของเขาไปแต่ละคำๆ ลองนึกดูซิว่าเหมือนกับเราได้กินเนื้อพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเรา ถ้าเกิดเราเอาเนื้อเขามา หยิบเขามาแล้วก็กัดลงไป กินไปเรื่อยๆ มีใครกินลงไหม ถ้าคนไหนเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด พ่อแม่ของทุกคน ปู่ ย่า ตา ทวด ก็มีสิทธิ์เวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ เหมือนกัน เข้าใจข้อนี้เอาไว้ให้ดีๆ ลาก่อนศิษย์รักทุกคน หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่
อ่านต่อ...
PDF 2538-05-13-หงเต้า #4.pdf
#บำเพ็ญในครัวเรือน #บำเพ็ญยุคขาว
วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานหงเต้า เชียงราย
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
บิดามารดาอบรมเลี้ยงด้วยเมตตา พระอริยาอบรมท่านหวังบรรลุ
ยืมกายปลอมบำเพ็ญแท้มิมัวเมา ด้วยใจจริงศรัทธาท่านได้กลับคืน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ภุมรินหลงรูปแห่งบุปผา น้องท่านพายังหลงโลกีย์หนา
ด้วยมิรู้เหตุกรรมได้นำพา จิตบริสุทธิ์สิ้นค่าด้วยหลงลืม
ติดบ่วงนั้นร่างแหแห่งมายา ลืมหุบผาแห่งชีวิตท่านลืมหลง
คิดไปว่าในโลกช่างมั่นคง จึงตกลงสู่ห้วงทุกข์ทรมาน
ในยามนี้เข้ายุคสามกาลมิเช้า เร่งกล่อมเกลาจิตนี้ให้คืนใส
สู่โฉมหน้าแท้จริงที่วิไล กลับตนใหม่เร่งไวนะน้องเอย
อันชีวิตเติบใหญ่อายุเยาว์ น้องมัวเมาในโลกห้าสีสัน
มิรู้ตนระคนทุกข์อยู่ทุกวัน มิเว้นวันให้กลับแจ้งปัญญา
รู้ในโลกหลอกลวงจิตแท้จริง จิตแฝงนิ่งน้องท่านได้รับชี้
หรือวันนี้เห็นเป็นเพียงละครดี ทรัพย์มากมีมิต้องการได้รับเลย
วิสุทธิ์อาจารย์นำธรรมาสู่ครัวเรือน กาลคล้อยเคลื่อนจงเร่งเก็บเร่งรักษา
จงเร่งนำเยือนจิตพิจารณา จะเห็นว่าธรรมเท็จจริงหรือกายจริง
ทั้งสองวันประชุมฟ้ามนุษย์ จงเร่งรุดมิปล่อยโอกาสเสีย
อย่าให้มารนำพาจิตน้องเพลีย จึงมิเสียเกิดมาชาติหนึ่งนี้
พุทธสถานกฎระเบียบเคร่งครัดจริง อย่าเห็นเพียงบ้านเล็กเล็กมิเชื่อถือ
ในใต้ฟ้าอนุตตรธรรมโปรดระบือ จงยึดถือสัจธรรมบำเพ็ญจริง
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป บรรพชนอยู่ใกล้มิห่างหาย
จงสำรวมมิมัวเมาทั้งใจกาย จึงมิคล้ายละเมออยู่ในโลกีย์
ทั้งสองวันจงอดทนให้จริงจัง พี่ระวังอยู่เคียงข้างบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน
วิมานแก้วสงบกลางภาพสวรรค์ เทพอำพันจิตพิสุทธิ์รู้ตนหนา
พยับแดดประกายทองสว่างนาวา บุปผชาติพารื่นภิรมย์ทั่วปฐพี
เราคือ
พระโพธิสัตว์ในชุดขาวแห่งทะเลทักษิณ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
ภาพชีวิตหมุนเวียนเช้าจรดค่ำ มิเว้นวันดุจคลำทางมืดสลัว
หลากหนทางไร้แสงนำจิตมืดมัว ยิ่งพันพัวมิรู้ทางหลีกเร้นภัย
ครานี้พบประกายฟ้าพิสุทธิ์ล้ำ ธรรมชี้นำครรลองจิตพิสุทธิ์ใส
ยุคขาวโปรดเวไนยสามภพไกล โปรดพุทธะให้บำเพ็ญในครัวเรือน
ศึกษาธรรมเพียงคัมภีร์มิรู้แก่น วางสับสนตีกรอบหมื่นแสนพินิจใน
ถอยหนึ่งก้าวเพียงหวนคิดแลเปิดใจ สัจธรรมแท้เดิมใสกลางพุทธญาณ
ทุกชีวิตมีลุ่มดอนใดเที่ยงแท้ ดุจพเนจรไร้ทางแก้แบกสัมภาระ
เผชิญทุกข์ยิ่งสับสนยิ่งคลุกคละ เพียงชนะจิตตนทุกข์คลี่คลาย
ปลูกต้นโพธิ์เสริมต้นธรรมครองเคียงคู่ เมตตาอยู่กลางฤดีมีมุ่งหมาย
โปรดช่วยคนนำตนทุกข์มลาย โพธิ์ต้นใหญ่เงาร่มเย็นโอบอุ้มธรรม
สำรวมจิตพินิจสติย้อน กิเลสก่อแคลนคลอนพาใจถวิล
สนิมเกิดจากเหล็กเปรียบชีวิน กิเลสกล้าประทีปสิ้นสว่างมลาย
มั่นคงธรรมมิแปรตามลมพัดพา หากเหนื่อยล้าเร่งฟื้นตนเป็นคนใหม่
ปัญญาดุจศาตรา๒ รู้วิธีใช้ ร้อยปัญหาพันภัยแก้ที่จิตตน
บำเพ็ญตนเคร่งครัดตนจึงถึงฝั่ง ติดวัตถุฤๅได้นั่งเรืองามผ่อง
มิหูเบาศรัทธามั่นพุทธะครอง เพียงอดทนลดอัตตา๓ กระจ่างจริง
ฮา ฮา หยุด
--------------------------------------------------------------
๒ ศาสตรา ของมีคมเป็นเครื่องฟันแทง
๓ อัตตา ตน, ตัวเอง
พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน
“ภาพชีวิตหมุนเวียนเช้าจรดค่ำ มิเว้นวันดุจคลำทางมืดสลัว
หลากหนทางไร้แสงนำจิตมืดมัว ยิ่งพันพัวมิรู้ทางหลีกเร้นภัย”
พอกระจ่างกลอนบทนี้ไหม ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้คุณค่าแห่งชีวิตนั้นอยู่ที่ใด คุณค่าของทุกๆ คนอยู่ที่ว่าเรารู้จักชีวิต เข้าใจชีวิต และรู้ที่จะดำเนินชีวิตอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะถ้าทุกคนลงมายังโลกมนุษย์ มาสู่ร่างกายนี้แล้ว รู้ว่ามีชีวิต มีร่างกาย รู้ว่ามีบุคคลรอบข้าง แต่ถ้าตัวเองไม่รู้ว่าตัวท่านเองจะปฏิบัติอย่างไร จะลงมาสู่โลกมนุษย์นี้เพื่ออะไร บางทีก็วุ่นวายสับสน เหมือนยิ่งเดินยิ่งขมวดปมของชีวิต ขมวดไปขมวดมาจนซัดเซ ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน ชีวิตคืออะไรกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้รู้แล้วว่าทุกๆ ท่านเกิดมาต่างก็มีคุณค่า คุณค่าของทุกคนแตกต่างกันออกไป อยู่ที่ว่าใครจะปฏิบัติตนอย่างไร ตอนนี้พอรู้ว่าสิ่งสำคัญแห่งการปฏิบัติตนนั้นเริ่มต้นที่พุทธจิตใช่หรือไม่ (ใช่) รู้หรือยังว่าพุทธจิตอยู่ที่ใด อยู่ที่จุดที่ทุกท่านได้รับชี้ ถ้าอ่านกลอนนำบทแรกดีๆ ก็จะสังเกตเห็นได้ เป็นปริศนาแฝงถึงจุดญาณ
“ครานี้พบประกายฟ้าพิสุทธิ์ล้ำ ธรรมชี้นำครรลองจิตพิสุทธิ์ใส
ยุคขาวโปรดเวไนยสามภพไกล โปรดพุทธะให้บำเพ็ญในครัวเรือน”
การบำเพ็ญในครัวเรือนนั้นบำเพ็ญอย่างไร การศึกษาธรรมนั้นสิ่งแรกทุกๆ ท่านต้องมีใจก่อน เมื่อมีใจมาศึกษาแล้ว จิตใจก็ต้องสงบนิ่งไม่ฟุ้งซ่านใช่หรือเปล่า (ใช่) ความวิตกกังวลต่างๆ ต้องปล่อยวางก่อนดีไหม (ดี) ทุกคนต่างต้องมีข้อสงสัย แต่หากนำความสงสัยมาปิดกั้นในจิตใจ ทุกท่านก็จะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ใช่ไหม (ใช่) เปรียบเหมือนการเรียนหนังสือ ถ้าเรามีความชิงชังโกรธอาจารย์ผู้สอน จิตใจที่จะมุ่งมั่นใฝ่หาความรู้นั้น ก็ถูกความชิงชังบดบังใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจไหม ต้องเปิดใจก่อนนะ
การบำเพ็ญในครัวเรือนนั้นก็คือการบำเพ็ญท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเป็นอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาข้างนอก แต่แสวงภายในจิตใจ แสวงภายในการดำเนินชีวิต แสวงหาสัจธรรมที่อยู่ในโลกใบนี้ใช่ไหม (ใช่) มีคนเคยกล่าวไว้ว่าบ้านอันแท้จริงนั้นก็คือบ้านที่ประกอบไปด้วยผู้ชรา เด็กน้อยและผู้นำครอบครัวใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็ไม่ค่อยชอบคนชราเพราะหาว่าจู้จี้ ขี้บ่น แต่หากเราพิจารณาดูจะเห็นว่าท่านจู้จี้เพื่อให้เราประพฤติดี ประพฤติชอบ เข้มงวดเพื่อให้เรารู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ ส่วนเด็กทารกน้อยคือประคองจิตใจตัวเองบริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ที่แฝงให้ขุ่นมัว เด็กนั้นเมื่อหิวก็ร้อง เมื่ออิ่มก็หลับ ไร้ความวิตกกังวล ฉะนั้นเมื่อเราเกิดอารมณ์ก็ขอให้ประคองจิตดั่งเด็กทารก นี่คือองค์ประกอบแห่งบ้านข้อที่สองใช่หรือเปล่า (ใช่) องค์ประกอบแห่งบ้านข้อที่สามคือผู้นำแห่งครอบครัว การเป็นผู้นำแห่งครอบครัวนั้นจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร (ต้องพยายามดูแลความสงบภายในบ้าน หรือจัดระเบียบทุกอย่างให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ) ก็คือการเป็นผู้นำแห่งตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ศึกษาธรรมเพียงคัมภีร์มิรู้แก่น วางสับสนตีกรอบหมื่นแสนพินิจใน
ถอยหนึ่งก้าวเพียงหวนคิดแลเปิดใจ สัจธรรมแท้เดิมใสกลางพุทธญาณ”
การศึกษาที่ถูกต้องนั้นเราต้องนำมาปฏิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งที่ทุกท่านได้เรียนรู้นี้เรียกว่าอะไร (ศึกษาธรรมะ) การศึกษาที่ทุกท่านเรียนรู้เป็นเพียงทฤษฎีแนวทาง การจะเข้าใจทฤษฎีและมีความชำนาญนั้น อยู่ที่ว่าทุกท่านจะฝึกฝนลงมือปฏิบัติหรือไม่ ถ้าเราเรียนรู้แต่หลักทฤษฎีนั้นก็เปรียบเหมือนกับคนพูดไม่ได้ เมื่อกินยาขมก็ไม่สามารถจะบอกใครได้ว่ายานี้เป็นอย่างไรใช่ไหม (ใช่) เราไม่สามารถที่จะทำให้ทุกๆ ท่านเชื่อได้ทันที แต่อยู่ที่ว่าทุกๆ ท่านพร้อมที่จะเข้าใจหลักแห่งจิตญาณสัจธรรมเดิมแท้แห่งชีวิตอันเป็นธรรมชาติหรือเปล่า
“ทุกชีวิตมีลุ่มดอนใดเที่ยงแท้ ดุจพเนจรไร้ทางแก้แบกสัมภาระ
เผชิญทุกข์ยิ่งสับสนยิ่งคลุกคละ เพียงชนะจิตตนทุกข์คลี่คลาย
ปลูกต้นโพธิ์เสริมต้นธรรมครองเคียงคู่ เมตตาอยู่กลางฤดีมีมุ่งหมาย
โปรดช่วยคนนำตนทุกข์มลาย โพธิ์ต้นใหญ่เงาร่มเย็นโอบอุ้มธรรม”
ใครจะพออธิบายกลอนสองบทนี้ได้บ้าง ที่เราให้ทุกท่านได้อธิบายเพื่อเป็นการเปิดความเข้าใจกระจ่างแจ้งในพุทธจิต ทุกท่านเข้าใจไหม ทุกๆ ท่านเคยเดินออกไปบนถนนบ้างหรือเปล่า บนถนนนี้ทำไมบางครั้งจึงราบเรียบ บางครั้งจึงขรุขระ ก็เปรียบเหมือนกับชีวิตบางครั้งเราหาสาเหตุไม่พบว่า ทำไมชีวิตถึงต้องพบความทุกข์อยู่เป็นนิจศีล ทำไมความสุขที่เราต้องการจึงไม่มาหาเราบ้าง หรือมาก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ความทุกข์ ความร้อนรุ่มจิตใจก็เข้ามาแทนที่ใช่หรือเปล่า (ใช่) ขอให้ทุกท่านเข้าใจสัจธรรมชีวิตที่ว่าเมื่อมีสูงก็ต้องมีต่ำ เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ ถ้าทุกท่านเข้าใจและปล่อยวางไม่ผูกรัดตนอยู่กับความสุข ไม่เสียใจเมื่อตัวเองทุกข์ ชีวิตนั้นก็จะมองเห็นทุกอย่างราบเรียบเท่ากันหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับดินทำไมทุกๆ ท่านจึงใช้ปัญญาพินิจสร้างให้ราบเรียบได้ เมื่อรู้ว่ามันขรุขระก็ต้องสามารถทำให้ราบเรียบได้ จิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นรากฐานแห่งสรรพสิ่งพอเข้าใจไหม (เข้าใจ) ทุกๆ ท่านมีปัญญาอยู่แล้วเพียงแต่ไขหากุญแจแห่งปัญญาของตนเอง ไขแล้วต้องไขให้ออก
ต้นไม้บางครั้งถ้าเปรียบกับชีวิตคน ทุกคนอาจจะบอกว่าเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ เราไม่สามารถเลือกสภาวะแวดล้อมต่างๆ ได้ แต่ทุกคนสามารถที่จะกำหนดชีวิตของตนเองได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อตัวเองประสบเคราะห์แล้วก็ยิ่งดูถูกซ้ำเติมตัวเอง ถ้าทุกคนประสบเคราะห์ แล้วนำเคราะห์นั้นกลับมาเป็นบทเรียนที่ดี เพื่อสอนตัวเรา เคราะห์นั้นก็เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) การศึกษาธรรม เรียนรู้จิตแห่งชีวิตอันเป็นธรรมชาตินั้น จริงๆ แล้วไม่ยากเกิน อยู่ที่ รู้เข้าใจ ปฏิบัติ และพร้อมที่จะคืนเบื้องบน ไม่ยากเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
“สำรวมจิตพินิจสติย้อน กิเลสก่อแคลนคลอนพาใจถวิล
สนิมเกิดจากเหล็กเปรียบชีวิน กิเลสกล้าประทีปสิ้นสว่างมลาย”
ทุกท่านเคยเห็นเหล็กกล้าไหม (เคย) เมื่อโดนน้ำก็ผุกร่อนไปตามเวลาใช่หรือเปล่า (ใช่) จิตใจของเรานั้นมีคุณค่า มีความหมายมากกว่าเหล็กหลายเท่า เพราะจิตใจนั้นแฝงอยู่ในร่างกายนี้ ไม่ได้อยู่ภายนอกเลย แต่ทำไมทุกๆ ท่านถึงเอาฝุ่นเอากิเลสมาบังจิตใจได้ กิเลสนั้นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ไม่ใช่สิ่งอันตราย แต่อยู่ที่ว่าการที่จะนำกิเลสนั้นมาใส่ในตัวเราหรือเอาออกจากตัวเราต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่) ความสว่างแห่งพุทธะเดิมนั้นก็อยู่ในจิตใจของทุกๆ ท่าน พยายามอย่าให้ความสว่างนั้นเลือนหายไป บำเพ็ญธรรมที่จริงแล้วไม่ยาก เราดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติ เมื่อมีก็รู้จักเพียงพอ เมื่อขาดก็รู้จักหา แต่หานั้นก็ให้คงความพอดีไว้เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครมีข้อสงสัยบ้าง (คนเรามีความต้องการ มีกิเลส จะแก้ไขได้อย่างไร ปัญหาชีวิตของแต่ละครอบครัวมีไม่เหมือนกัน การที่จะดำเนินชีวิตให้ราบรื่น โดยที่เราไม่พลาดพลั้ง ไม่เสียเปรียบ และไม่ตกต่ำเราควรจะทำอย่างไร) พูดง่ายๆ ก็คือจะดำรงชีวิตอย่างไรไม่ให้ลุ่มดอนใช่หรือเปล่า (ใช่ ที่ผ่านมาผมสูญเสียไปเยอะ) การสูญเสียนั้นสิ่งที่เราสูญเสียมากไม่ใช่สูญเสียสิ่งของเลย จิตใจต่างหากที่เราสูญเสียและสูญหายไป ถ้าเราไม่ดูถูกตนเอง เราไม่ยกย่องสิ่งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศล้ำ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัปยศอดสู สูญเสีย เรามองทุกๆ อย่างราบเรียบ เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ประคองจิตของเราให้มั่นคงตรงเที่ยงเสมอ บางอย่างที่สูญเสียไป ถ้าเรามองถึงจิตใจ มองความถูกต้องลึกๆ สิ่งที่สูญเสียนั้นอาจจะไม่เสียเปล่า อาจจะก่อสร้างสิ่งต่างๆ ที่แฝงอยู่ภายในจิตใจให้เราได้รับรู้ว่าโลกนี้มีสิ่งใดบ้างที่อยู่กับเราถาวร เหมือนทรัพย์สินกว่าเราจะหามาได้เลือดตาแทบกระเด็น แต่ทำไมบางคนจึงไม่คิดว่าสิ่งที่เราครอบครองอยู่นั้นกว่าจะหามาได้ลำบากยิ่ง ทำไมเขาถึงเอาไปได้ง่ายดาย บางทีการคิดมากไปทำให้จิตใจเรายิ่งเจ็บช้ำ แต่ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เขาเอาไปนั้นเป็นการช่วยให้เราไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องมีพันธะ มองในแง่ดี มองกลับทุกๆ ด้าน ทุกอย่างนั้นแฝงธรรมะไว้ มีใครมองเห็นบ้างว่า ท้องฟ้านั้นเป็นสีคราม ทุกคนต่างมองเห็นเมฆหมอกที่อยู่บนศีรษะเพราะทุกคนเอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวพัน ผูกพันกับสิ่งต่างๆ แต่ถ้าเราปล่อยวางลงบ้างจิตใจนั้นก็จะเบาสบาย ไร้วิตกกังวล การทำความดีนั้นทำไมบางครั้งดูช่างยากเย็นเหลือเกิน ทำไมความชั่วทำได้ง่าย แต่ถ้าเราลองถามทุกๆ ท่านดูว่า บางครั้งเพียงเราเผลอใจทำสิ่งที่ไม่ดีนิดหนึ่ง สิ่งที่ไม่ดีนั้นก็คอยกินแหนงแทงใจเราอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม ปัญหาบางอย่างเราต้องมองย้อนกลับเข้าไปภายในจิตใจ ปล่อยวางบ้าง โลกนี้ก็จะดูแจ่มใสขึ้น ดีไหม (ดี)
“มั่นคงธรรมมิแปรตามลมพัดพา หากเหนื่อยล้าเร่งฟื้นตนเป็นคนใหม่
ปัญญาดุจศาตรารู้วิธีใช้ ร้อยปัญหาพันภัยแก้ที่จิตตน”
ศาตราวุธใดก็ไม่ร้ายเท่าศาตราวุธที่เกิดจากจิตใจ ถึงแม้เราจะมีดาบอันยาวและแหลมคมอยู่ในมือ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนไม่มีความกล้า ไม่รู้วิธีการใช้ มีดดาบแหลมคมนั้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กท่อนหนึ่ง แต่ถ้าในจิตใจของทุกคนมีมีดดาบ มีดดาบอันนี้ไม่ใช่มีดดาบที่คอยทิ่มแทง แต่เป็นมีดดาบแห่งภูมิปัญญาของพุทธะที่รู้จักนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต รู้จักนำมาใช้ในการดับทุกข์ ก่อเกิดสุขอันนิรันดร์ มีดอันนี้ก็ย่อมมีคุณค่าเหนือสิ่งใดๆ เริ่มจะเข้าใจการดำรงชีวิตด้วยการบำเพ็ญตนหรือยัง ทุกๆ คนมีพุทธจิตอันผ่องใสอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้สิ่งใดมาปกคลุม การดำรงตนให้บริสุทธิ์นั้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เราบริสุทธิ์ได้ อยู่ที่ว่าจิตใจเราจะกระทำตนอย่างไรให้บริสุทธิ์ถาวร เมื่อเราบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครสามารถแย่งเอาความบริสุทธิ์ในจิตใจของเราออกไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“บำเพ็ญตนเคร่งครัดตนจึงถึงฝั่ง ติดวัตถุฤๅได้นั่งเรืองามผ่อง
มิหูเบาศรัทธามั่นพุทธะครอง เพียงอดทนลดอัตตากระจ่างจริง”
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจและพร้อมจะปฏิบัติหรือเปล่า (พร้อม) อัตตาที่เราผูกมัดอยู่นั้นก็คืออัตตาตัวตนครอบครองสิ่งต่างๆ ไว้ เรายิ่งครอบครอง เราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผูกรัดใช่ไหม (ใช่)
การที่เราให้ทุกท่านได้ดื่มน้ำนั้น จริงๆ แล้วอยากให้ทุกคนนึกถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงานธรรมบ้าง บางครั้งทุกคนอาจจะคิดว่าดูน่ารำคาญ ตามเราอยู่ตลอด แต่ถ้าเรานึกถึงจิตใจเขาดีๆ ว่าสิ่งที่เขาต้องการให้เรารู้นั้นเป็นสิ่งใด มีค่าเพียงใด ถ้าทุกคนเข้าใจความหมายและความรู้สึกของผู้ปฏิบัติงานธรรม ทุกคนก็จะรู้ว่าเขามีจิตใจที่บริสุทธิ์มากเพียงใดใช่ไหม (ใช่) บางอย่างนั้นหากไม่ยึดอัตตาตัวตนมากก็จะทำให้เราสบายใจกว่า จิตใจคนนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขอให้พิจารณาไตร่ตรองให้ดี
เวลาของเราก็มีไม่มากแล้ว ขอให้ตั้งใจศึกษาฟังให้เข้าใจ อย่าปล่อยให้ความอ่อนเพลียมารุมรัด ถ้ามีโอกาสเราคงได้มาพบกันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟ้าหลังฝนงดงามเพราะคนมีธรรม ชีพระกำสร่างหายเมื่อผ่านอุปสรรค
ศึกษาธรรมสองวันแท้จิตประจักษ์ เร่งรีบหักเรื่องปุถุชนที่ทรมาน
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ
งงงงงวยงวยจิตสงสัยลังเลหนัก จิตตระหนักมิเห็นความล้ำค่า
ก็ทำไมท่านเป็นใครเดินเข้ามา มิรู้ข้าจี้กงสงฆ์วิปลาส
ตรงเที่ยงแท้จิตศิษย์พิสุทธิ์ใส บำเพ็ญธรรมทางขรุขระยากหนักหนา
มาฟันฝ่าช่วยพี่น้องมิช้ำอุรา ปีนขึ้นเสาชักช้าลำบากจริง
ร่วมสถานจิตเบิกบานมิถูกปิด น้ำอมฤตปัญญานิ่งเป็นรากฐาน
ประชุมนี้งานฟ้าช่วยพุทธญาณ จิตประสานเป็นหนึ่งรู้ตนเอง
ใจมั่นคงมิโลเลสำเร็จได้ ฝนกระหน่ำศิษย์มิคลายศรัทธาหนา
ตุ้มตุ้มต่อมต่อมใจนี้มินิ่งนา หรือจะฝ่าพายุร้ายแห่งชีวิน
คนมากมายสู่สถานบ้านพุทธา นาม
ต่อไปนี้ให้ศิษย์รักจงพยายาม ฝ่าขวากหนามไม่ท้อลงกลางคัน
ฮา ฮา หยุด
ฟ้ามืดครึ้ม เมฆฝนรำไร ให้ใจสงบอยู่ อย่ากลัวฝน เพราะทุกครั้งที่ทุกข์เกินทน ฝนคงเป็นแรงใจที่ดี
* ฟ้ามืดครึ้ม เมฆฝนบังตา ใช้ปัญญายืนหยัดลุก พ้นขมแล้ว ได้หวานใจสุข ไม่เกรงอุปสรรคขวางใจ
ความจริงฝนมีพลัง สุขทุกข์สัจธรรม ให้จิตเราเยือกเย็น ในยามทุกข์ เกินกำลัง จะสอนจิตเติบโต ต้องอดทนรู้ใจตนเอง (ซ้ำ *)
มนุษย์นั้นไม่รู้ทางเดิน เพราะเพลินกิเลสกับมายา จนวันหนึ่งได้พบนาวาที่พาจิตตนสู่นิรันดร์
อาจารย์ต้องนำนาวา สิบทิศก็จะพาให้ศิษย์เราได้ยิน ยามใดคิดจนลังเล ไขว้เขวเจ้าจะคืนแห่งใด ดั่งฟ้าขาดตะวัน จิตขาดธรรมะ เจ้าจะคืนอย่างไร
เพลง : ฟ้าหลังฝน
ทำนองเพลง : กระจกเงา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ในพุทธสถานมีการแบ่งแยกหญิงชายชัดเจน เวลากราบพระทำไมชายหญิงถึงแยกกัน (ไม่ทราบ) มีใครชี้แนะเขาบ้าง (ในพุทธสถานชายหญิงแบ่งแยกอย่างชัดเจน แม้เราไม่ใช่พระสงฆ์ เราเป็นฆราวาส แต่ก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรม จึงต้องแยกชายหญิงให้เป็นระเบียบ นี่เป็นพุทธจริยระเบียบ)
ในการบำเพ็ญธรรม ความกตัญญูมี ๒ แบบ คือ กตัญญูแบบปุถุชนและกตัญญูแบบอริยะ กตัญญูแบบปุถุชนก็คือการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ที่ท่านได้ชุบเลี้ยง จัดงานวันเกิดเลี้ยงดูในยามแก่ชรา ส่วนกตัญญูที่อาจารย์พูดถึงนั้นหมายถึงการกตัญญูที่สูงกว่าการกตัญญูแบบปุถุชน นั่นคือการที่เราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมสูงกว่าตรงไหน การที่เรากตัญญูนั้นถ้าเราเป็นปุถุชนสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ให้ท่านกินอยู่หลับนอนอย่างดี เลี้ยงดูให้สุขสบายทุกอย่าง แต่ว่าไม่สามารถช่วยเหลือให้ท่านหลุดพ้นไปได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าตัวเราเองยังทำให้เราหลุดพ้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วคิดว่าการกตัญญูที่สามารถให้พ่อแม่หลุดพ้นนี้เป็นกตัญญูที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า (ยิ่งใหญ่) รู้ไหมว่าต้องทำอย่างไรพ่อแม่จึงจะหลุดพ้นได้ ในยุคสามนี้อาจารย์บอกได้อย่างหนึ่งว่า การช่วยให้พ่อแม่ของเรารับธรรมะเป็นสิ่งที่เป็นกตัญญูสูงสุด คนที่ไม่มีพ่อแม่แล้วก็ยังกตัญญูได้ด้วยการฉุดช่วยเขา เคยได้ยินไหม ค่อยๆ ศึกษาไปนะ
ทำไมอาจารย์จึงบอกว่าปีนขึ้นเสานั้นช้าและยากลำบาก คนเราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญยากลำบากนัก แต่ว่าพอถดถอยก้าวเดียวก็หล่นลงมาถึงพื้นได้ เช่นนี้ศิษย์รักจะท้อไหมถ้าต้องบำเพ็ญ (ไม่ท้อ) รู้ไหมว่าทำไมเราจึงต้องบำเพ็ญ (ให้ภาวะจิตของเราสูงขึ้น) ภาวะจิตไม่มีสูงไม่มีต่ำแต่ว่าที่เราต้องบำเพ็ญเพราะทุกๆ วันมีทุกข์ เกิดมาเจ็บแก่แล้วก็ตาย ชีวิตคนเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถึงเวลาต้องเวียนว่ายตายเกิด รู้สึกว่าชีวิตนี้ก็ทุกข์ ทุกๆ ชาติก็เป็นอย่างนี้ แล้วศิษย์รักของอาจารย์คิดจะหลุดพ้นหรือไม่ ถ้าศิษย์คิดจะหลุดพ้นนั่นคือจุดประสงค์ของการบำเพ็ญใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ตระกูลวงศ์จันตาทั้งครอบครัวออกมาข้างหน้าชั้น) มีใครคิดขอบคุณเขาบ้าง (พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้) ผลงานนี้ถ้าไม่สร้างเราก็ไม่ได้ ถ้าหากว่าเรารู้ที่จะลงมือปฏิบัติ ก็จะมีผลงานเกิดขึ้น เพราะว่าผลงานย่อมเกิดกับผู้ที่กระทำเสมอ
อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์บำเพ็ญเพื่ออาจารย์ แต่ขอให้ศิษย์บำเพ็ญเพื่อตัวเอง ถ้าหากคิดว่าธรรมะที่อาจารย์ส่งมาให้นี้เป็นของปลอม ไม่เที่ยงแท้ นั่นแสดงว่าปิดปัญญาตัดโอกาสของตนเองไปเสียแล้ว วันนี้ไม่เข้าใจ วันนี้ต้องถาม พรุ่งนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้ต้องถาม ไม่ใช่คิดว่าเราไม่เข้าใจ เราก็ตอบเอง ในที่สุดก็เอาความสงสัยนั่นเป็นขาที่จะเดินห่างธรรมออกไป ถ้าศิษย์ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับปิดโอกาสตนเอง แล้วจะหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้) วันนี้อาจารย์มาสอนศิษย์ทุกคน ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เพราะว่าอาจารย์หวังดี ไม่อยากให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด ชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชาตินี้ไม่ยอมบำเพ็ญแล้วชาติหน้าจะไปไหนรู้ไหม (ไม่รู้) ถ้าอยากรู้ก็ขอให้เริ่มแต่วันนี้ อย่างน้อยมีบุญมีกุศลช่วยเป็นทางให้ตัวเอง ให้ชีวิตนี้ราบเรียบขึ้นไม่ขรุขระ ได้หรือเปล่า (ได้)
ศึกษาธรรม ๒ วันง่ายไหม ศึกษาธรรมะง่ายแต่ว่าบำเพ็ญยาก อนุตตรธรรมเป็นธรรมะแบบไหน แล้วสงสัยไหมว่าทำไมไม่ออกไปตั้งวัดเหมือนอย่างในยุคแดง ธรรมะในยุคขาวนี้เป็นธรรมะที่ซ่อนเร้น แต่ว่าจะรุ่งเรือง แล้วทำไมธรรมะถึงต้องซ่อนเร้นสู่ยุคสามนี้ ตอนนี้ข้างนอกเป็นอย่างไร รู้ไหมว่าทำไมธรรมะต้องลงมา ถ้าหากว่าเมื่อใดโลกวุ่นวายย่อมมีธรรมะมาฉุดช่วย เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์เข้าใจว่า ตอนนี้เป็นยุคสาม เป็นยุคปลาย เพื่อช่วยศิษย์ทุกคนและเพื่อช่วยเวไนยทุกคนแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ต่างลงมาช่วยเก็บงาน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้รับธรรมะก็ไม่รู้ที่ตั้งของจิต จึงหลุดพ้นไม่ได้ ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าจิตอยู่ที่ไหนใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วจึงสามารถที่จะบรรลุได้ แต่ว่ามนุษย์ยังมีกุศลไม่มากพอ จึงจำเป็นต้องบำเพ็ญ ถ้าหากว่าคนบำเพ็ญแล้ว คนรู้แล้ว ก็เป็นอริยาได้ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อพุทธสถานว่า “หงเต้า”)
ตอนนี้คนใหม่ๆ ก็ยังไม่เห็นค่าของชื่อสถานธรรม มีชื่อแล้วแปลกตรงไหนใช่ไหม จะหงเต้าไม่หงเต้าก็อยู่ที่ผู้นำแล้วนะ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : คำว่า “หงเต้า” หมายถึงการแพร่สะพัดธรรม คำว่า “หง” คือการแพร่สะพัด “เต้า” คืออนุตตรธรรม สถานธรรมแห่งนี้ถือว่าห่างไกลพอสมควร คนที่เป็นผู้นำก็ต้องออกไปหาคนทั้งหลาย เอาธรรมะนี้ไปให้คนทั้งหลาย จึงเหมือนภารกิจอันหนึ่งที่อาจารย์ได้มอบหมายให้ด้วย วันนี้พวกเราทั้งหลายต้องช่วยกันนำธรรมะนี้ไปสู่หมู่บ้านที่เราอยู่ จึงจะเรียกว่าเป็นการประกาศให้ธรรมะแพร่สะพัดไปทั่วทุกหมู่บ้านแห่งนี้) เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ในเพลงนั้นทำไมอาจารย์จึงบอกว่าให้ใจสงบอยู่กลางฝน ฝนก็เปรียบได้กับอุปสรรค ทุกคนมีจุดหมายแห่งชีวิต อยู่ที่ว่าจุดหมายนั้นนำพาเราไปสู่อริยะหรือปุถุชนเท่านั้น แม้จะเจอความยากลำบากของชีวิตในเรื่องต่างๆ อย่าเห็นว่าอุปสรรคจะทำให้ศิษย์นั้นล้มไปเลย แต่ว่าอุปสรรคอาจจะทำให้จิตเราดีขึ้น เมื่อผ่านทดสอบแล้วจะเห็นอุปสรรคเป็นแรงใจได้ คนเราถ้าไม่เจออุปสรรคก็ไม่โต ในวรรคต่อไปบอกว่า ถ้ามีอุปสรรคมาบังตา ก็ขอให้ใช้ปัญญาของเราพินิจพิจารณา ทำได้หรือเปล่า ชีวิตมนุษย์ถ้าไม่ท้อก็ไม่มีเรื่องที่เราจะแพ้ตนเอง เข้าใจหรือเปล่า
เพลงบทนี้อาจารย์ให้กำลังใจ สำหรับคนที่ท้อลงแล้วขอให้รู้ว่าในอุปสรรคนั้นมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ ทุกข์แล้วได้สุข สุขแล้วได้ทุกข์ ไม่มีอะไรถาวรเลยใช่ไหม ตอนนี้ชีวิตนี้รู้หรือยังว่าตนเองมุ่งหมายจะไปทำอะไร อยากจะเป็นพระอริยะหรืออยากจะเป็นปุถุชน (พระอริยะ) แต่ว่าอาจารย์อยากจะบอกว่าคิดจะเป็นอริยะไม่ใช่นึกจะเป็นก็เป็นได้ คนที่มีความพยายามเท่านั้นที่จะก้าวไปถึง ถ้าหากว่าตัวเองท้อแท้ไม่ตั้งใจ เราก็จะเดินไปไม่ถึงคำว่าอริยะ การปฏิบัตินั้นขอให้สร้างคุณงามโดยเริ่มจากจิตใจ ทำได้หรือเปล่า (ได้) ขอให้พยายามกันทุกคนเลยนะ อาจารย์หวังว่าวันนี้อาจารย์มาไม่เสียเปล่า อย่างน้อยศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนตื่นขึ้นบ้าง มีกำลังใจขึ้นบ้าง ต่อไปให้หมั่นกลับมาศึกษาอย่างที่อาจารย์บอกไปแล้ว สงสัยสิ่งใดก็ให้ถาม คนที่มีความพร้อมทั้งฐานะการเงิน การงาน อย่าปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกระแสน้ำ อย่าให้ตัวเองทุกข์จนทำอะไรไม่ถูก คนที่ยังเยาว์ก็ต้องรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างไร รู้ไหม (รู้) อีกอย่างที่อาจารย์จะขอ ก็คืออย่าเห็นว่าอาจารย์มาวันนี้เป็นการเล่นละคร อาจารย์หวังดีต่อทุกคน และก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า ละครฉากนี้สนุกนัก คนที่มาที่นี่ถ้าเขาไม่จริงใจ ถ้าเขาไม่ศรัทธา ศิษย์ก็คงไม่มีที่มานั่งฟังธรรม ความพยายามของคนที่นำเราอยู่ข้างหน้านั้น ถ้าเห็นว่าความพยายามของเขาเป็นสิ่งหลอกลวงร่วมไปกับอาจารย์แล้ว อาจารย์จะน้อมรับไว้คนเดียว หากวันนี้ต้องเสียเปล่าไป ศิษย์ก็อย่าเสียใจไปเลย ขอให้ศิษย์ทุกคนเป็นเด็กดี
อ่านต่อ...
PDF 2538-05-05-ผู่ถี #3.pdf
#เมตตาปัญญากล้าหาญ #ฟังธรรม #สายทอง #การฟังธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อากาศเย็นลอยต่ำสู่พิภพ ฟ้าบรรจบดินสงบยิ่งใหญ่เสมอ
ประชุมธรรมเพื่อปลุกผู้ละเมอ สงสัยเธอฉันหรือเขาเฝ้าพิจารณา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนล้วนเกษมฤๅ ฮวา ฮวา
วาระใหญ่ปรกโปรดทั่วสามภพ มนุษย์ฟ้าบรรจบงานสำคัญยิ่ง
เรียกพุทธบุตรที่ยังหลงประวิง พบญาณจริงจงเร่งไปเจริญกุศล
ทั้งบาปบุญเคยสร้างโอกาสช่วย ยุคสามนี้มิงงงวยไปเวียนว่าย
จงรู้ตื่นฉับพลันแจ้งทางเดินไป ด้วยจิตใจมิสงสัยหรือลังเล
ประชุมธรรมเพื่อจิตญาณใสผุดผ่อง อภิลาสแน่มิครองให้โศกศัลย์
ระทมในโลกนี้ทุกคืนวัน ทั้งโลภหลงผูกพันปิดปัญญา
อยู่ในโลกแปดทุกข์เข็ญมาพัวพัน อุปสรรคนานานั้นพาจิตหลง
เมื่อรู้แล้วจงเร่งไปปลดปลง มิยืนงงตัดโอกาสเหล่าเมธี
ผู้บำเพ็ญควรเห็นชัดสัจธรรมชีวิต ชะตาลิขิตของตนควรแยกชัดหนา
อย่าล่องลอยปล่อยตามน้ำเสียเวลา เกิดกายมามิใช่ง่ายอย่างเข้าใจ
เมื่อนาวาลอยผงาดกลางทะเลทุกข์ สายทองฉุดเวไนยจงตื่นหนา
เหล่าพุทธาลงช่วยงานมิชักช้า จงศึกษาแจ้งปัญญาได้เดินจริง
จงเริ่มต้นคุณธรรมแห่งมนุษย์ เป็นคนจริงสมบูรณ์ให้ได้หนา
จิตอับแสงจงแข็งแรงกู้ใจฟ้า แล้วตัวข้าจะคุ้มครองให้บำเพ็ญ
มาวันนี้หน้าที่พี่จดบันทึก น้องตรองตรึกอย่าหวาดหวั่นไปเลยหนา
ผ่านทดสอบเลื่อนชั้นใกล้มารดา รู้ไหมหนาจงศึกษาให้เข้าใจ
ประชุมธรรมสามวันจงอย่าขาด บรรพชนรอโอกาสน้องฉุดช่วย
ลบหนี้กรรมที่ทับถมมานานนัก ด้วยกุศลผลประจักษ์ในชาตินี้
จงรักษาระเบียบให้เคร่งครัดจริง จิตจงนิ่งฟังธรรมาอนุตตรา
รู้บ่อเกิดชีวิตอันมีค่า จึงเปลี่ยนตนเป็นคนใหม่เข้าใจธรรม
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ภาระใหญ่พุทธบุตรอย่าลืมเสีย
เข้าประตูแห่งพระธรรมนำจิตออก แล้วพี่บอกดูแลน้องมิไปไกล
วนพู่กันจรดวาง
ฮวา ฮวา หยุด
วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เชิญมาร่วมสนุกสนานพร้อมกับเรา ด้วยสิ้นแล้วมัวเมามิหลงใหล
ท่านรู้ไหมว่าเรานั้นเป็นใคร แล้วทำไมเราต้องรีบวิ่งลงมา
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกชกร
พระมารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านง่วงหรือเปล่า
สร้างรากฐานของธรรมเอาไว้ในจิต ไม่ขุ่นทึบดั่งน้ำนิ่ง หากมั่นใจ กู้ใจฟ้า แข็งแรงนำแสงยิ่งใหญ่ จะต้องตั้งจุดหมายใจตื่นด้วยกัน
เมื่อเดินกับผู้คนยิ่งขัดเกลาต้องเข้าใจ ไม่พ้นการขัดใจต้องหวนคุมแล้วรวมจิตตน ทุกข์ทนถ้าตนแพ้ใจ
* พุทธาคือชนผู้งามพร้อมเพรียง ได้รับการขัดเกลา ละจนอารมณ์ที่แรงได้เบา ไม่ตามใจเราไป
เมื่อท่านรู้เมตตาที่แท้ซึ้งจิต ชีพซึมซับเนืองนิจไม่เดินหลงทาง ปลดกรรมนั้นที่เคยสร้างสิ้นไกลห่าง จิตกลับใสอีกครั้ง เมื่อกรรมสิ้นไป
หากจิตพินิจดลให้ได้ย้อนมองเมตตา ส่งเสริมเขาให้มา จากถ้อยคำที่หนุนนำสู่ใจ หนุนนำสู่ใจพุทธา (ซ้ำ *)
เพลง : กลับใจ
ทำนองเพลง : ร้อยคน
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เวลามาฟังธรรมะแล้ว ถ้าคิดว่าดีก็ควรจะเก็บเอาไปปฏิบัติ แล้วเข้าใจไหมว่าทำไมเราจึงต้องมานั่ง ๓ วัน (เพราะการที่จะเข้าถึงอนุตตรธรรมนั้นควรจะต้องมีข้อปฏิบัติในหลายๆเรื่อง) ตอนนี้เรากำลังสร้างกุศลโดยการพูดธรรมะให้คนฟัง ปฏิบัติอย่างไร (ก็คงจะต้องเริ่มที่ใจก่อน ใจนั้นจะต้องเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และเมื่อใจคิดดีแล้ว กายก็ปฏิบัติดีตามไปด้วย) ถ้าฟังแล้วว่าดีและนำไปปฏิบัติ แสดงว่าเปิดใจฟังใช่ไหม (ใช่) แล้วทุกคนได้เปิดใจฟังกันครบถ้วนหรือยัง (ครบ)
การสร้างรากฐานของธรรมไว้ในจิตนี้สร้างได้อย่างไร คนเรามีพุทธจิตเป็นพื้นฐาน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ต่างก็มีพุทธจิตเหมือนกัน เพียงแต่ก่อนที่จะลงมาเกิดทำอะไรไว้อย่างไร ผลกรรมที่ออกมาก็เป็นแบบนั้น พวกท่านที่อยู่ที่นี่เป็นผู้มีภูมิธรรม เป็นผู้ที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมา จึงเกิดมาทันยุคสามนี้ ถ้าหากรู้จักว่าเราควรจะบำเพ็ญอย่างไร ต่อไปก็จะมีรากฐานอันมั่นคง การสร้างฐานที่สำคัญก็คือการเจริญจิตใจเมตตา เพราะคนเราส่วนมากจะขาดจิตเมตตากัน จริงหรือเปล่า (จริง) การศึกษาธรรมะไม่จำเป็นต้องมีความรู้ก็ได้
การบำเพ็ญธรรมต้องมีผู้อาวุโสและผู้น้อย ทุกท่านเข้าใจหรือยังว่า ทำไมผู้ปฏิบัติงานธรรมถึงดีกับเรา ใส่เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเรา สงสัยไหม (สงสัย) เป็นเพราะว่าเขามาก่อนเรา เมื่อก่อนเขาก็ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จากนั้นมาเขาบำเพ็ญดีขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่ดีมากมาย แต่ก็มีจิตใจเมตตา การที่จะมองว่าเขามีจิตใจเมตตา ต้องมองให้ลึกซึ้ง แล้วจะรู้ว่าเขามีจิตเมตตาอย่างไร คนมาที่นี่เพื่อบำเพ็ญธรรมให้บรรลุนิพพาน ถ้าหากบอกว่าบำเพ็ญธรรมแล้วบรรลุนิพพาน จะรู้สึกว่าไกล จริงๆแล้วไม่ไกลหรอก เมื่อก่อนนี้กว่าที่ท่านจะได้รับธรรมะนี้ก็ต้องนาน แต่บัดนี้พอมีคนไปชวน บอกว่ามาไหว้พระ ไหว้พระเสร็จแล้วได้มารับธรรมะ รู้ประตูเกิดตาย รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คนสมัยก่อน พอเขารู้ว่าจุดญาณทวารคือประตูเกิดตายอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถบรรลุได้แล้ว แต่คนสมัยนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังงงกันอยู่เลยใช่ไหม ดังนั้นเมื่อได้รับธรรมะแล้วก็ต้องมาศึกษาทีหลัง
เวลาเจอคนไปชวนมารับธรรมะพูดเก่งๆ รู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าเบื่อหรือเปล่า เป็นมนุษย์ต้องรู้จักการพูดให้พอดี บางคนตอนนี้เงียบๆ เหมือนฝนที่แห้งแล้ง แต่พอพูดมากเกินไปกลายเป็นฝนตกท่วมเลย เพราะฉะนั้นก็ควรรู้ว่าเวลาฝนตก ตกให้พอดีก็มีประโยชน์ ต้นกล้างอกงาม ถ้าหากฝนตกไม่ทั่วฟ้า ตกบ้างไม่ตกบ้าง เหมือนคนที่มีจิตใจเมตตาบ้าง ไม่เมตตาบ้าง อย่างนั้นก็ไม่ดีใช่ไหม
เราให้เพลงไป เข้าใจหรือเปล่า จิตที่ไม่ขุ่นทึบแล้วก็เป็นเหมือนน้ำนิ่ง เป็นอย่างไร (จิตที่ไม่ขุ่นทึบก็คือจิตบริสุทธิ์สดใส ปราศจากกิเลสครอบงำ เหมือนน้ำนิ่งก็คือไม่ว่าจะได้รับกิเลสจากภายนอกเข้ามา ก็จะวางตัวเป็นกลาง จะไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคต่างๆ และกิเลสทั้งปวง) ถ้าหากทุกๆคนทำตัวเป็นน้ำนิ่งได้ทุกวัน ก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเรามีความผิดหวัง มีความท้อแท้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า “กู้ใจฟ้าแข็งแรงนำแสงยิ่งใหญ่” คำว่าใจฟ้าต้องกลับไปศึกษาดีๆ ถ้าหากว่าคนเราเหมือนเป็นแสงอาทิตย์ที่อยู่บนฟ้า แล้วเราเป็นเสมือนพระอาทิตย์ที่จะส่องนำคนอื่นได้ดีหรือเปล่า (ดี) แล้วเมื่อไรจะทำได้แบบนั้น
“เมื่อเดินกับผู้คนยิ่งขัดเกลา” ใครเคยทะเลาะกับคนอื่นบ้าง (มีนักเรียนยกมือ) เวลาทะเลาะกับเขา เราโกรธเขาหรือเปล่า (โกรธ) โกรธแล้วควรทำอย่างไร (อดทน) เวลาเราทะเลาะกับเขาก็เหมือนกับว่าเรากำลังไปกับเขา เรากำลังขัดเกลากับเขา ถ้าเวลานั้นเราไม่นำสติออกมา เราก็จะไม่รู้ว่าเราควรที่จะอภัยให้เขา คนมักจะมีอารมณ์โกรธ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่หยาบที่สุด ซึ่งเป็นไปตามเพลงที่เราบอก เวลาโกรธใครก็ร้องเพลงนี้ดังๆ ทำได้หรือเปล่า ถ้าหากเราอยากเป็นพุทธะ พุทธจิตก็คือจิตของพุทธะ ถ้าหากเราได้รับการขัดเกลาเอาอารมณ์ทิ้งไปบ้าง เราก็จะเป็นพุทธะผู้งามเพียบพร้อมใช่ไหม (ใช่) ต่อไปใครจะอธิบาย (เมื่อเรามีจิตใจที่เมตตาอยู่ในใจแล้ว การดำเนินชีวิตต่างๆ ย่อมมีหลักการที่มั่นคง จะไม่หลงทางไปในทางที่ผิด เป็นการมุ่งตรงไปยังอนุตตรธรรม และช่วยปลดหนี้กรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตชาติหรือว่าในปัจจุบันนี้ เป็นการละกรรมเวรที่ปฏิบัติมา ทำให้จิตเราบริสุทธิ์ขึ้นอีกครั้ง)
คนที่จบจากชั้นนี้ไปแล้วจะต้องมีการพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง เวลาเราพูดให้เขาฟังเราก็ต้องรู้จักพูดในสิ่งที่เป็นจริง และพูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น เวลาเราพูดกับคนอื่นๆ สิ่งที่ไม่ดีของเขาเราจะพูดไหม (ไม่พูด) ถ้าเราไม่พูดถึงสิ่งไม่ดีของเขา แสดงว่าเรามีความเมตตา ถ้าหากว่าคนนี้เขามีความดีและไม่ดี เราจะเลือกพูดสิ่งใดของเขา (สิ่งดี) การพูดในสิ่งที่ดีจะทำให้คนนับถือเรา ผู้บำเพ็ญธรรมต้องทำตัวให้คนนับถือ แต่การทำต้องทำออกมาจากใจจริงๆ
ในชีวิตต้องรู้จักปฏิบัติดีทำดี อย่าดูถูกตัวเอง หากคิดว่าเราต้องหาเงิน หาเช้ากินค่ำ แล้วยังต้องเลี้ยงลูกด้วย อย่างนี้แล้วเราจะสำเร็จได้อย่างไร ถ้าหากว่าคิดอย่างนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จได้ เราต้องรู้ว่าธรรมะที่เราศึกษาอยู่นี้ เป็นเพราะวาระแห่งฟ้าดินในยุคสามต้องการให้เรามีหนทางที่จะบรรลุไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากาลนี้คับขันคงยากที่พวกท่านจะรับรู้วิถีธรรมโดยง่าย เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าที่เราได้รับธรรมะได้ง่ายๆเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่มีบุญ ไม่มีภูมิธรรม แล้วคิดว่าธรรมะเป็นของปลอม ถ้าคิดอย่างนี้แล้วพวกท่านคงไม่แน่ใจและก็ลังเลใจ เพราะฉะนั้นต่อแต่นี้ไปต้องตั้งใจฟังธรรม สิ่งที่เก็บไปปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติ แล้วก็ค่อยๆศึกษาธรรมให้มากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราจะไปแล้ว วันหน้าค่อยพบกันใหม่
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว
โคลนตมยากยึดมั่นกำอยู่ ลาภยศยากเคียงคู่คงไว้
จะมากมายเพียงไรย่อมเสื่อมไป ดุจอายุขัยย่อมล่วงไปมิอาจิณ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามปราชญ์ทุกท่านเกษมฤๅ
พุทธะถูกมายาภาพปลูกฝังสลับ ครองสุขกับชีวิตปล่อยตามปรารถนา
คำนึงตนหวาดผวาจิตพลาดอัตตา ตามลักษมี ปล่อยหาใดแท้จริง
ชีพลอยล่องปล่อยตามคลื่นกระแส นานเรื่อยแปรใจพัดกระพือไหว
กร่อนไปเช่นทรายถูกชเล ไซร้ รอลมหวนน้ำลอยใหม่พิจารณา
รู้ขมขื่นปล่อยตามใจใฝ่หา เร่งรุดหน้าเริ่มต้นบัดนี้เถิด
รู้ชีวิตเข้าใจชีวิตพุทธจิตบังเกิด พิสุทธิ์เลิศกว่าใดแล้วในโลกีย์
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง
พระโอวาทท่านแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว
วันนี้ที่ทุกท่านมีใจมา เพื่อมาศึกษาธรรม การศึกษาธรรมนั้น เราต้องรู้ถึงต้นรากเดิมแท้ หลักธรรมอันเดิมแท้นั้นอยู่จิตใจ ถ้าจิตใจเราเป็นได้ดังเช่นนภากว้าง จิตใจเราตอนนั้นก็มีหลักสัจธรรมอยู่ แล้วตอนนี้จิตใจของทุกคนสามารถเป็นได้ดั่งนภาที่กว้างได้ไหม ใครกล้าตอบก็แสดงว่าพร้อมที่จะรับฟังธรรมะ จริงๆแล้วทุกคนมีจิตใจที่เป็นดังเช่นท้องฟ้า แต่เป็นได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพราะบางครั้งความต้องการ ความชอบ ความรัก ความโกรธมาบดบัง ทำให้จิตใจของทุกๆคนต้องเอนเอียงไปบ้าง ต้องถูกห่วงทำให้ไม่สามารถมีจิตใจแจ่มใสได้อย่างท้องฟ้าใช่ไหม
ใครเคยลองจับโคลนบ้าง เมื่อเราพยายามที่จะจับโคลน โคลนนั้นก็เหลว ลื่นไหลลงไป จับเท่าไรก็จับไม่อยู่ แล้วถ้าเกิดเราเปรียบเป็นลาภยศ เงินทองที่ทุกคนใฝ่หา ทุกคนอาจจะแย้งในใจว่าเราสามารถจับมันได้อยู่ แต่ไม่สามารถจับเกียรติยศให้อยู่ได้ใช่ไหม (ใช่) ถ้าทุกคนพูดว่าจับเงินให้อยู่ได้ เราอยากทราบว่าตัวไหนล่ะที่เป็นตัวต้องการเงิน ใช่กายนี้หรือเปล่า หรือว่าจิตใจ (จิตใจ) แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเราสามารถกำเงินให้อยู่ได้หรือเปล่า (ไม่อยู่) เมื่อรู้ว่ากำได้ไม่อยู่ ไม่สามารถยึดครองได้ตลอดเวลา แล้วสิ่งที่เราวุ่นวายกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เราหาไว้เพื่ออะไร บางคนก็พูดว่าเพื่อเลี้ยงชีวิตและร่างกายนี้ แต่เมื่อมีมากเกินไปเราก็รู้สึกหวาดกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เมื่อไม่มีเลยก็รู้สึกกลัวที่ใจเราต้องทุกข์ใช่ไหม (ใช่) เพราะทุกคนเห็นอำนาจของเงินว่าสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อจิตใจของเราได้ จริงๆแล้วทุกคนก็รู้อยู่ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่แท้จริง สิ่งใดเป็นสิ่งที่ปลอม แต่ทุกคนก็ยังมีกิเลส ยังมีตัณหา ยังมีความทะยานอยากอยู่ ก็เลยปล่อยใจไป ทั้งที่ความสำนึกที่อยู่ภายในจิตใจลึกๆนั้นคอยเตือนคอยพร่ำบอกเราอยู่เสมอว่า เราเหนื่อยแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้หยุดสักทีใช่ไหม (ใช่) บางคนอาจจะยังไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะชีวิตยังไม่ถึงค่อนชีวิตเลย ยังรู้สึกสนุกสนานอยู่ ยังรู้สึกว่าชีวิตนั้นยังมีต่อๆไปใช่ไหม (ใช่) ทุกคนรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่ทุกคนจะสามารถรู้ได้ไหมว่าต่อไปเราจะได้อาศัยร่างกายนี้อีกหรือเปล่า ไม่ทราบเลยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคืออะไร เราให้ตอบแล้วคิดอยู่ภายในใจนะ เพราะทุกคนความคิดก็ต่างกันไป แต่อย่าเอาความลังเลสงสัย ความกังขามาบดบังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นการศึกษาธรรมะก็ไม่สามารถก้าวเดินไปลึกถึงภายในจิตใจของตนได้ อย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ที่เราเห็น แต่ให้มองเข้าไปลึกๆถึงภายในจิตใจดีกว่าไหม (ดี)
“พุทธะถูกมายาภาพปลูกฝังสลับ ครองสุขกับชีวิตปล่อยตามปรารถนา
คำนึงตนหวาดผวาจิตพลาดอัตตา ตามลักษมีปล่อยหาใดแท้จริง
ชีพลอยล่องปล่อยตามคลื่นกระแส นานเรื่อยแปรใจพัดกระพือไหว
กร่อนไปเช่นทรายถูกชเลไซร้ รอลมหวนน้ำลอยใหม่พิจารณา”
พอเข้าใจกลอน ๒ บทนี้ไหม (เข้าใจ) ลองให้คนพอเข้าใจอธิบายดีไหม (จิตดั้งเดิมของเราเป็นจิตที่เป็นพุทธะ เมื่อมาเกิดในโลกนี้แล้วก็โดนสิ่งต่างๆ เช่นกิเลสตัณหาครอบงำ ปล่อยไปและหลงไปชั่วขณะหนึ่ง) ทำไมเราถึงบอกว่าพุทธะเมื่อลงมาอยู่ในโลกมนุษย์แล้วถึงได้เกิดการปลูกฝัง แล้วสลับเปลี่ยนอะไรไป เพราะว่าจิตใจเราแบ่งไปตามตา หู ลิ้น จมูก ปาก ใช่หรือไม่ (ใช่) และสิ่งแวดล้อมที่แวดล้อมทุกคนอยู่ เมื่อใจเราถูกแบ่งแยก แล้วไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ก็เกิดความฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่านแล้วกิเลสก็ครอบงำ เมื่อกิเลสครอบงำแล้วความกระหายใคร่อยาก ความหลงผิดไปชั่วครู่ก็สามารถเข้าแทรกแซงได้ แต่ถ้าเมื่อจิตใจรวมเป็นหนึ่ง ใส กว้าง บริสุทธิ์ ไม่มีความลำเอียงแล้ว ตอนนั้นจิตเราก็เป็นหนึ่ง ความรู้สึกต่างๆก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ แต่ว่าทุกคนเมื่อลงมาก็ไม่เคยที่จะย้อนมองดูว่าพุทธจิตหรือจิตใจของเรานั้นอยู่ตรงไหน กลับไปมองในส่วนที่ใจต้องการ ใจปรารถนา ไม่ได้มองว่าใจที่เราต้องการ ใจที่เราปรารถนาอยู่ตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเมื่อเราปรารถนา เราต้องการ เรากลับกลัวใจของเราเอง กลัวว่าใจจะพลาดพลั้งเผลอ ใจจะหยิบสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาไว้ในจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทุกท่านเข้ามาในที่นี้ ทุกๆท่านจะได้ยินว่าโลกนี้เปรียบเหมือนทะเล ทะเลที่มีแต่ความทุกข์ แต่จริงๆแล้วบางคนอาจจะแย้งอยู่ภายในใจว่า เวลาฉันเหนื่อยล้าฉันก็ไปเที่ยวทะเล มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะทุกๆท่านไม่เคยรู้ว่าธรรมชาตินั้นได้แฝงหลักสัจธรรมไว้อย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง เมื่อคลื่นซัดสาดขึ้นมาก็พร้อมที่จะกวาดบางสิ่งบางอย่างลงไปได้ เหมือนต้นไม้ที่เกิดมาจากดินฉันใด ก็ย่อมต้องสูญสลายลงสู่ดินฉันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อรู้ถึงจุดๆนี้ ทะเลทุกข์ที่เป็นมายาเราก็สามารถที่จะแปรหรือผันเปลี่ยนให้ทะเลนี้สงบเงียบได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้ทะเลที่วุ่นวายโหมกระหน่ำนี้สงบเงียบลงได้ (เราต้องควบคุมจิตของเราให้ได้ก่อน จึงจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้) ถูกไหม (ถูก ต้องอดทนอดกลั้น บังคับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก พวกเรากำลังทำอยู่) บางครั้งเราอยากให้ทุกท่านขอบคุณพ่อแม่ดีกว่าใช่ไหม ไม่ใช่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ร่างกายเรานี้ ถ้าพระมารดาไม่ให้จิตวิญญาณเรานี้ เราจะรู้ไหมว่าพุทธจิตที่อยู่กับเรานั้นอยู่ตรงไหน โลกใบนี้วุ่นวายเพียงใด ฉะนั้นถ้าเรานึกขอบคุณ นึกเสียใจก็ขอให้นึกย้อนไปถึงผู้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆแก่เราจะดีไหม สิ่งบางอย่างที่แอบแฝงอยู่นั้น เราไม่สามารถมองเห็นได้ ฉะนั้นถ้าหากเราฟุ้งซ่านไป สิ่งที่แอบแฝงนั้นก็จะสามารถเข้าครอบครองใจเราได้ ใช่ไหม (ใช่) ทุกชีวิตเมื่อมีสูงก็ต้องมีตกต่ำใช่ไหม (ใช่) ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ เก็บจิตเก็บใจ
เราไม่สามารถล่วงรู้ว่าอดีตเราเคยสร้างสิ่งใดไว้บ้าง ปัจจุบันต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าตอนนี้พุทธจิตของทุกคนเริ่มเปิดแล้ว และพร้อมที่จะศึกษา ก็ขอให้ตั้งใจให้ดีๆ อย่าปล่อยให้พลั้งเผลอไปได้ เพราะเมื่อยิ่งพลั้งเผลอแม้เพียงชั่วครู่ สิ่งที่เราคาดไม่ถึงนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ กลัวไหม (กลัว) ถ้าใจเราตั้งมั่นเที่ยงตรงบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งต่างๆก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อสักครู่เราได้พูดว่า เราสามารถที่จะสงบคลื่นที่ซัดสาดได้ เพราะว่าใจนั้นถ้าเปรียบดั่งทะเลก็เป็นใจที่มีคลื่นมากมาย แต่ถ้าเราดับแล้ว ปิดแล้วซึ่งอายตนะต่างๆ คลื่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะเกิดได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้ปิดใจก็ต้องไม่ใฝ่อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)
“รู้ขมขื่นปล่อยตามใจใฝ่หา เร่งรุดหน้าเริ่มต้นบัดนี้เถิด
รู้ชีวิตเข้าใจชีวิตพุทธจิตบังเกิด พิสุทธิ์เลิศกว่าใดแล้วในโลกีย์”
ถ้าตอนนี้ทุกคนมองเห็นแล้วว่าตัวเรามีพุทธจิตตั้งอยู่ที่ใด ขอให้มองดูว่ามีสิ่งสกปรกหรือมีสิ่งใดมาครอบคลุมหรือเปล่า เมื่อรู้ว่ามีก็เร่งรีบทำให้สะอาด ถ้าเราให้ทุกคนทำจิตใจเป็นดังเช่นกระจกใส ที่เมื่อมีสิ่งใดผ่านเข้ามาแล้วก็ให้ผ่านไป ไม่เหลือคั่งค้างไว้ดีไหม (ดี) ไม่ว่าจะผจญทุกข์หรือสุข เมื่อเข้ามาในจิตใจ จิตใจก็ไม่ต้องเหลือไว้ ให้เอาออกไปให้หมดพร้อมกับสิ่งที่ผ่านไปจะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนสามารถทำพุทธจิตได้อย่างนี้แล้ว ทุกคนก็จะมองเห็นว่าตอนนี้เราเผลอไปแล้ว ยังมีส่วนที่คั่งค้างอยู่อีก ต้องรีบเอาออก ถ้าทุกคนหมั่นทำเป็นประจำ หมั่นฝึกตามจิตของตัวเองเป็นประจำแล้ว ก็จะสามารถรักษาจิตให้สงบนิ่งใสบริสุทธิ์ได้ใช่ไหม (ใช่) อย่าปล่อยให้ความลำเอียงเข้ามาครอบครอง อย่าให้เกิดอคติเพราะว่าเราชอบ เราชัง เราโลภหลงไป หรือเพราะว่าเรามีใจใฝ่หา ถ้าเมื่อใดที่จิตใจเราเที่ยงตรงไม่หวั่นไหวเอนเอียง เราก็สามารถที่จะควบคุมจิตใจของเราได้ทุกขณะ เมื่อสงบแล้วก็จะบริสุทธิ์ใส เมื่อบริสุทธิ์ใสแล้วพุทธจิตก็พร้อมที่จะกลับคืน การบำเพ็ญนั้นไม่ยากเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ให้เราตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เรายังมีสิ่งที่เป็นพันธะอยู่ก็ให้ดำเนินไป แต่ให้รู้จักความพอดี รู้จักหยุดใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้พอรู้หยุด ไม่มีความทะยานอยาก เราก็ไม่ต้องสูญเสีย ใครยังสงสัยเรื่องการบำเพ็ญอยู่บ้าง อย่าแฝงบางสิ่งบางอย่างกลับไป เพราะถ้าทุกคนแฝงกลับไปแล้ว ทุกคนก็ไม่สามารถหาใครช่วยขจัดข้อสงสัยได้ เพราะบางทีใจยังติดอยู่ว่าต้องให้คนที่นี่ตอบถึงจะหายสงสัยได้ใช่หรือเปล่า
การร้องเพลงนั้นถ้าจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ทุกๆท่านก็จะสามารถเข้าใจหลักธรรมที่กำลังร้องหรืออ่านอยู่ได้ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะดับความกังขาสงสัย และสามารถไปอธิบายให้คนที่บ้านฟังได้ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนกลับไปด้วยความไม่เข้าใจแล้ว การศึกษาหลักธรรมก็จะสูญเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) การเข้าใจต้องเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง ถ้าเข้าใจแบบผิวเผิน ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงภายในใจได้ อย่าใช้คำตอบแค่เพียงคำพูด แต่ให้เป็นคำตอบที่อยู่ภายในจิตใจ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงกำลังใจ) พอจะเข้าใจความหมายของเพลงไหม (พอเข้าใจ) เพลงนี้ก็เปรียบเหมือนเมื่อเรามีความเชื่อมั่นในพุทธจิตเดิมแท้ เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ก็อยู่ที่ว่าทุกๆท่านพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติหรือเปล่า (พร้อม) เราไม่ต้องการคำพูดตอนนี้ เราเพียงต้องการให้ทุกท่านมีความตั้งมั่นในจิตใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งนั้นย่อมได้กับทุกท่านเอง ไม่ได้ให้กับคนที่อยู่ข้างหน้า หรือคนที่กำลังอธิบายอยู่เลย ถ้าเราทำทุกสิ่งแล้วผลก็ต้องตกเป็นของเรา ไม่มีใครสามารถที่จะทำแล้วตกไปเป็นของคนอื่นได้ จิตสัมมาย่อมเป็นพุทธะ จิตมิจฉาย่อมเป็นมาร เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่คอยเรา อยู่ที่ว่าเราจะตามเวลาหรือจะให้เวลาตามเราเท่านั้น
วันนี้เรามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกๆท่าน ขอให้ประคองรักษาความตั้งใจไว้ให้ดีๆ มีปัญหาหรือสงสัยอะไรก็ให้ถามคนที่อยู่ข้างหน้า อย่าเก็บสิ่งที่ไม่ดีกลับไป บางสิ่งบางอย่างนั้นถ้าเรามองด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งที่ดูเลวร้ายนั้นอาจจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นจะทำให้จิตใจเราเลวร้ายเสมอไป แต่ให้คิดเสียว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นย่อมมีสิ่งสร้างสรรค์แอบแฝงหน่อแห่งสิ่งที่ดีงามเอาไว้ในจิตใจ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ประเทืองปัญญาพินิจรู้ได้ประคอง เมตตาปองสาดส่องมิสับสน
นำปฏิบัติกล้าหาญยิ่งมิอับจน เกิดเป็นคนสมบูรณ์แล้วสู่อริยา
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนสุขสำราญฤๅ
ศิษย์รักเอยรู้จักตนเสียบัดนี้ ทั้งชีวีใดแท้จริงเป็นแก่นสาร
ต่างมีชีพที่เวียนว่ายทรมาน พุทธญาณอยู่ดั่งละครวกเกิดตาย
ทุกเวลาทุกวินาทีพลีเพื่อชน เสมือนตนเมามัวสร่างเมตตาไสว
ทุเลาร้อนทุกข์จะผ่อนช่วยเวไนย ฤทัยในภายหลังเปรียบปานอมฤต
จิตกลับสร่างเมื่อกระจ่างในธรรมา ทางดำเนินกลับคืนหน้าพุทธาใส
อย่าจีรังใดศิษย์คิดลังเลใจ กังวลใจข้าหวังเจ้าฝ่าอุปสรรค
จิตตื่นจริงคงบรรลุปณิธานได้ หากได้ใจเข้าตำราอับจนหนา
จงรีบเร่งหมั่นบำเพ็ญอย่าได้ช้า เดี๋ยวเวลาจะสายไปน่าเสียดาย
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง
หากจิตปล่อยวางแล้วปลง ใจมั่นคงจะพิทักษ์ ปฏิบัติธรรมไม่คลอน ความร้าวรอนจะเลือนหาย
* ทุกข์เมื่อหลงโลกีย์ขุ่นมัว เคว้งคว้างเพราะตัวเองพลาดไป ตนแพ้ใจใฝ่ปองผูกพัน รู้ทันกลับใกล้ใจ
ประคองตนมิล้า รู้มายาย่อมลวงใจ ก้มกายน้อมใจลงเท่าใด สร้างปราการอันแข็งแรง
เหนื่อยเพียงไรมิช้า สายทองมาช่วยเวไนย ทุกข์ภาระยิ่งใหญ่
ขอให้จงช่วยกัน (ซ้ำ *)
เพลง : ใจมั่นคง
ทำนองเพลง : โบกมือลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะมา ๓ วันแล้ว เข้าใจมากน้อยเท่าไร บำเพ็ญธรรมะแล้วจิตส่วนดีออกมาบ้างหรือยัง (ออกมาบ้างแล้ว) ออกมาครบกันทุกคนแล้วหรือยัง (ครบ) จิตส่วนดีเหมือนกับดอกบัวกลางไฟ เหมือนกับไข่มุกในทะเล แม้จะหายากแต่ว่าจิตส่วนนี้ถ้านำออกมาได้ก็เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่อุ้มชูให้เราปฏิบัติงานธรรมได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม (ใช่)
เวลาฟังธรรมะ ฟังแล้วได้ฟื้นฟูพุทธจิตใช่ไหม คนที่บำเพ็ญธรรมะเห็นว่าคนที่นี่ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น ล้วนแต่มีภูมิธรรมสูงส่ง คนที่บำเพ็ญธรรมะจะต้องมีหลักมีขั้นตอน รู้ไหมว่าที่เขาชวนเรามารับธรรมะแล้วเขาบอกว่าเราเป็นคนประเภทไหน (คนดี เป็นคนที่ควรสั่งสอนได้) การเป็นคนดีประกอบด้วยจิตใจที่ดีงามเป็นพื้นฐาน เมื่อมีจิตใจที่ดีงามแล้ว ตอนนี้ก็ฝ่ามาถึงขั้นการประชุมธรรม หลังจากประชุมธรรมแล้วเราควรจะทำอะไรต่อไป (เอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน) คนที่มาศึกษาธรรมะและผ่านประชุมธรรมแล้ว ในคราวต่อไปเมื่อมีการจัดชั้นเรียน ควรจะต้องมาศึกษาให้กระจ่างยิ่งขึ้น เพราะแม้ว่าตอนนี้จะนั่งฟังธรรมะกันไปแล้ว ๓ วัน แต่ไม่ใช่ว่าจะกระจ่างชัดทั้งหมดใช่ไหม (ใช่) การมาศึกษาชั้นเรียนต่างๆ ต่อไปนั้นเป็นเรื่องหรือภาระหน้าที่ที่พวกเราจะต้องปฏิบัติ เมื่อเรารู้แล้ว เราควรมาศึกษาธรรมะให้กระจ่างยิ่งขึ้น ขั้นต่อไปก็ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเอง บางคนมีนิสัยที่ไม่ดี รู้ตัวเองแล้วก็ควรจะแก้ไข ใช่ไหม (ใช่) ต่อจากนี้ไปเราจึงจะสามารถชวนคนรับธรรมะได้อย่างมั่นใจ เพราะการที่เราจะมานั่งประชุมธรรมนั้น เมื่อเราออกไปเราก็ยังรู้สึกว่าเราเองก็ยังไม่รู้อะไร แล้วเราจะไปชวนคนเขามารับธรรมะได้อย่างไร เวลาชวนคนมารับธรรมะ เราก็จะต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อทำได้อย่างนี้แล้วจึงสมกับคำที่คนอื่นเขาเรียกเราว่าเป็นพุทธะ ถ้าทำได้อย่างนี้ ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะไม่สับสนว่าทำไมพอจบชั้นประชุมธรรม ก็บอกให้เราชวนคนมารับธรรมะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระโอวาทนำนั้นอาจารย์ได้กล่าวอยู่ ๓ เรื่อง นั่นก็คือปัญญา เมตตาและกล้าหาญ ถ้าหากว่าปัญญาในตัวเราที่มีอยู่เดิมได้เกิดขึ้น เราก็จะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราค้นหาอยู่ เพราะแม้ว่าศิษย์เองจะศึกษามาพันหมื่นคัมภีร์ศาสน์ แต่ทุกๆอย่างก็เป็นปริศนาธรรมที่บอกให้รู้ประตูเกิดตาย มีใครที่จะรู้เองโดยไม่มีการชี้แนะไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นตอนนี้ประตูเกิดตายของศิษย์ได้ถูกเปิดออกแล้ว เมื่อเปิดออกแล้วเราก็รู้ว่าเราเองควรที่จะมีเมตตา เมตตาในที่นี้ สิ่งง่ายๆที่เราจะกระทำได้อยู่ในกายเนื้อเราคืออะไรรู้ไหม เมื่อวานนี้หัวข้อสุดท้ายฟังเรื่องอะไร (ความหมายของการทานเจ) แล้วรู้สึกว่าเราเหมาะสมกับการกินเจหรือยัง (เหมาะ) ถ้าหากว่าใครเริ่มปฏิบัติได้ ก็ค่อยๆ เริ่ม เรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวก็คือความกล้าหาญ ความกล้าหาญที่จะไปกระทำนี้เป็นอย่างไร (กล้าฉุดช่วยผู้อื่น) ซึ่งถ้าเราไม่สับสนแล้วก็ฉุดช่วยเขาได้อย่างแท้จริง เราก็จะรู้ว่าเราเองมีความกล้าหาญที่จะไปช่วยเขาอย่างไร เพราะถ้าเราไม่รู้จริง เราก็คงไม่กล้าที่จะไปหาเขา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี
คนบำเพ็ญต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหรือว่าเราเป็นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโส ต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่จะระวังตนเสมอ เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถาม เราจะต้องรู้จักตอบ เพราะจะทำให้มีบรรยากาศธรรมที่เป็นพี่น้อง เป็นพ่อลูกกัน ถ้าเกิดว่าอยู่บ้านแล้วก็เงียบๆงันๆแบบนี้จะรู้สึกอึดอัดบ้างไหม (อึดอัด) ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วคงไม่มีใครที่เขาอยากจะมาห้องพระใช่ไหม แล้วเราก็มาเริ่มฝึกกันตั้งแต่บัดนี้ ก็คือการที่มีคนมาทักทาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาต้อนรับดีไหม (ดี) ร้องเพลงกันหน่อยดีกว่านะ (มาร้องเพลงต้อนรับพระอาจารย์กัน) ต้องเสียงดังกว่านี้อีกซักหน่อย ได้ออกเสียงดังๆแล้ว รู้สึกว่าความลังเลสงสัยที่อยู่ข้างในมันหลุดออกมาด้วยหรือเปล่า (หลุด) หลุดไม่จริงนะ อาจารย์ก็ยินดีต้อนรับศิษย์ทุกคนที่มาถึงสถานธรรมแห่งนี้
คนที่มีอารมณ์โกรธจะทำได้อย่างเดียวคือหน้าบึ้งใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลามีอารมณ์โกรธเราควรจะทำอย่างไร บางคนพอถึงเวลาโกรธ สติก็ตามไม่ทัน แล้วก็ยิ้มไม่ออก อาจารย์จะแนะนำวิธีให้ศิษย์วิธีหนึ่งเมื่อศิษย์มีอารมณ์โกรธ คือให้เราโค้งตัวลง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็หันหน้าขึ้นมายิ้ม แต่ว่าอย่าไปทำต่อหน้าคนที่เราโกรธ เขาจะหาว่าเรากวนเขา
เวลาอยู่ที่นี่มีคนส่งผ้า ส่งน้ำไหม (มี) แล้วรู้สึกว่าดีไหม (ดี) อยู่บ้านมีหรือเปล่า (ไม่มี) จะให้ภรรยามาส่งให้ก็ไม่ได้ จะให้สามีมาส่งให้ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน แล้วรู้ไหมว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นจะต้องทำแบบนั้นด้วย (เป็นหน้าที่) นอกจากว่าเป็นหน้าที่แล้วยังมีอะไรอีก (อ่อนน้อม) ฝึกตนให้อ่อนน้อมลงเป็นเรื่องที่ถูก แต่ว่าเขาต้องการให้พวกเรานั่งฟังธรรมะอย่างสบายๆ มีอาหารเจที่ดีทาน มีโอกาสเข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้งขึ้น พวกเขาจึงทำใช่ไหม (ใช่) แล้วรู้สึกขอบคุณเขาหรือเปล่า (ขอบคุณ) การขอบคุณคนนี้ถือว่าเราเองมีจิตบริสุทธิ์ขึ้น เพราะว่าเราฟังธรรมะ ๓ วันนี้ คนส่งผ้า ส่งน้ำที่นี่เป็นเด็กหรือเปล่า (ใช่) แล้วการขอบคุณเด็กนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้) เพราะเราได้ฟื้นฟูพุทธจิตส่วนหนึ่งขึ้นมาแล้ว ถ้าหากว่าฟื้นฟูขึ้นมาจริงๆแล้ว การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือเปล่า (ถูกต้อง) มีบุญคุณอะไรบ้าง (บุญคุณฟ้า, ดิน, พระมหากษัตริย์, บิดามารดา และครูบาอาจารย์)
การบำเพ็ญธรรมะอย่าได้ดูเบาตัวเองเป็นอันขาด เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมะ ถ้าเอาแต่กล่าวโทษตัวเองก็จะทำให้ตัวเราไม่มีกำลังใจ หมดกำลังใจ แล้วก็ท้อแท้ถดถอยในที่สุด หลายๆคนอาจจะคิดว่าอาจารย์เอาจิตวิทยามาพูด แต่จิตวิทยาก็ศึกษามาจากความจริงในจิตมนุษย์ใช่ไหม (ใช่) แล้วคนเราก็มีส่วนนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ถ้าหากมีหลายคนบอกว่าอาจารย์เอาจิตวิทยามาพูด แล้วจิตวิทยาเป็นความจริงที่สามารถจะอุ้มชูเอาใจของศิษย์ขึ้นมาได้ อาจารย์ก็จะเอาส่วนนี้มาพูด ไม่อย่างนั้นคงต้องเหมือนท่านตั๊กม้อที่นั่งเงียบๆ แล้วก็ลุกออกไปจากอาสน์บรรยายเฉยๆ ใช่ไหม ทำอย่างนั้นแล้วศิษย์จะรู้แจ้งหรือเปล่า (ไม่รู้) ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไรก็คงไม่ต้องมีการบรรยายธรรมะ เพราะว่าชี้ธรรมเสร็จแล้วก็กระจ่าง ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าเราเองต้องการผู้ชี้แนะ ต้องการผู้แนะนำและส่งเสริม
คนเรามี ๓ ระดับ คนอย่างแรกพอฟังธรรมะแล้วก็รู้สึกเทิดทูนบูชา อยากจะนำไปปฏิบัติ เพราะว่าได้ลดทิฐิของตนเองจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนคนประเภทที่ ๒ พอฟังธรรมะเสร็จก็อยากที่จะอุ้มชูรักษา อยากที่จะเก็บไว้ ส่วนคนประเภทที่ ๓ พอฟังธรรมะแล้วก็หัวเราะ ข้าไม่รู้เรื่อง แล้วศิษย์คิดว่าเมื่อจบชั้นไปแล้วอยากจะเป็นคนประเภทไหน (ประเภทที่ ๑) ถ้าอยากเป็นคนประเภทที่ ๑ ก็ต้องมีความพยายามและความอดทน ไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นคนประเภทที่ ๑ แต่อีก ๓ วันให้หลังก็หัวเราะ ข้าไม่รู้เรื่อง อย่างนี้แล้วก็ไม่ต่างไปจากการเลือกประเภทที่ ๓ ในวันแรกใช่ไหม (ใช่) แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกคนคงจะไม่เป็นคนประเภทที่ ๓ กัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ประตูแห่งปัญญานั้นเปิดแล้ว ถ้าหากว่านำไปใช้ให้ดีก็มีประโยชน์ ถ้าหากว่าไม่รู้จักนำมาใช้ แล้วปิดลงไปอีกครั้ง ทีนี้จะไปเปิดอย่างไรก็คงเปิดไม่ออก เพราะว่าคนที่เข้าใจธรรมะดีที่สุดมักจะเป็นคนที่มีทิฐิสูงที่สุดเช่นกัน เมื่อบำเพ็ญไปสักช่วงหนึ่งอาจจะลืมตัวลืมตนไปได้ การบำเพ็ญธรรมะนั้นต้องอาศัยความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่บำเพ็ญหยุดๆพักๆ หยุดๆหย่อนๆ ถ้าบำเพ็ญแบบนั้นแล้วทางที่เราเดินก็คงเป็นทางที่ไม่ราบเรียบใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้ผู้นำของศิษย์ทุกคนสิ้นไปแล้ว การทดสอบที่มีขึ้นตอนนี้ก็คือการทดสอบแบบกลับตาลปัตร ออกจากสถานธรรมไปอาจจะประสบกับเรื่องที่ไม่ดี หรือว่าไม่มีกำลังใจ ครอบครัวทะเลาะกันหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ศิษย์เตรียมตัวรับมือและก็อดทนด้วย เข้าใจไหม การที่ทุกคนมานั่งประชุมธรรมนี้ไม่ใช่หมายความว่าตนเองไม่มีเวรกรรม แล้วก็จะสามารถบรรลุได้ แต่ว่าทุกคนยังต้องฝึกฝนอยู่ ถ้าหากว่าไม่รู้จักทำตัวเองให้มีความพยายามศึกษา ให้มีใจอดทนก็คงศึกษาได้ไม่ถึงครึ่ง ธรรมะเป็นเรื่องที่ศึกษาไม่รู้จบ ต้องรู้จักใช้ใจพินิจพิจารณา เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ฟังธรรมะแล้วรู้สึกว่าจิตใจค่อยหายขุ่นมัว หายลังเลหรือเปล่า บางคนก็คิดว่าไหนลองมานั่งดูอีกสักวันหนึ่ง ให้รู้ไปเลยว่าจริงหรือไม่จริง หรือว่านั่งฟังไปอย่างนั้นเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วไม่มีประโยชน์ นั่งฟังให้ครบ ๓ วันหรือจะนั่งอีกสิบวันก็เหมือนกัน คนที่เขามาบรรยายธรรมทุกคนมีใจที่จะทำให้ศิษย์รักทุกคนเข้าใจธรรมะ แต่หากว่าศิษย์ไม่สนใจ นั่งฟังไปแล้วไม่เกิดความตั้งใจอย่างแท้จริง ไม่สามารถทำให้จิตเปิดออกอย่างแท้จริง ต่อไปนี้คงไม่ต้องฟังอะไรอีก เพราะว่าฟังแล้วจิตไม่ได้เปิดออก พอจะเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เข้าใจว่าต่อไปนี้ฟังธรรมะขอให้จิตเปิดออก สงสัยอะไรก็ให้ถามอาจารย์ที่บรรยายหัวข้อนั้น
ตอนนี้เหลือกลอนอีกสองบาท มีศิษย์ผู้กล้าคนใดจะอาสาออกมาต่อกลอนบ้าง เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าคนที่ไม่มีปณิธานไม่สามารถบรรลุได้ ปณิธานหมายถึงความตั้งใจจริง พระโพธิสัตว์พระพุทธะทุกพระองค์จะบรรลุไปได้ก็ต้องมีปณิธานด้วยกันทั้งนั้น เย็นนี้จะได้ฟังเรื่องการตั้งปณิธาน ก็ควรที่จะพิจารณาด้วยจิตตัวเอง ไม่ใช่ตามเขาไป เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) (นักเรียนได้แต่งกลอน “จงรีบเร่งหมั่นบำเพ็ญอย่าได้ช้า เดี๋ยวเวลาจะเสียไปน่าเสียดาย”) กลัวไหมเวลาที่สายไป กลัวแล้วควรจะทำอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์ก็ได้พูดถึงแนวทางปฏิบัติไปแล้วใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงในทำนองโบกมือลาและสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง และให้ช่วยกันตั้งชื่อเพลง) (เพลงใจมั่นคง) แอปเปิ้ลที่ถืออยู่ในมือ จริงๆแล้วเราควรจะรู้ว่าเราหาอะไร หามรรคผลใช่ไหม มรรคผลในมือเป็นของจริงหรือเปล่า แล้วจะหาของจริงกันอย่างไร ไม่ต้องตอบก็ได้เพราะว่าแต่ละคนก็มีวิธีของตัวเอง อย่าลืมว่าคนเรานั้นไม่ใช่เกิดมาง่ายๆ ตายไปง่ายๆ มีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆอย่างนี้ คนทุกคนนั้นมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเองก็จริง แต่ชะตาอยู่ที่ชาติก่อนลิขิต อยู่ในมือเราเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จักไตร่ตรอง ไม่รู้จักพิจารณา ไม่ปฏิบัติให้ดีแล้ว ก็จะเดินไม่ถึงแดนนิพพาน คนที่ปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย ทำหน้าที่ในโลกนี้ให้สมบูรณ์ เมื่อเป็นญาติธรรมก็ขอให้อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส เมื่อเป็นลูกก็ขอให้กตัญญูรักพ่อแม่ เมื่อเป็นนักเรียนก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำได้หรือเปล่า (ได้) นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญที่ทุกคนจะต้องรู้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะทำได้หรือไม่ก็เท่านั้น
ยุคนี้มีเวลาจำกัด ถ้าหากว่าต่อไปไม่มีการยืมร่าง การบำเพ็ญก็ได้แต่ฟังธรรมะ อาจารย์ก็ไม่สามารถมาพบกับศิษย์ได้อีก ศิษย์คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะยังมั่นคงอยู่หรือเปล่า (มั่นคง) การยืมร่างเป็นการทำให้ศิษย์สงสัยมากที่สุด แต่ถ้าวันใดไม่มีการยืมร่างอีก ศิษย์จะตื่นกันได้เองหรือเปล่า อาจารย์ไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำแบบนี้ บางคนคิดว่าในเมื่ออนุตตรธรรมเป็นสิ่งที่สูงสุดแล้ว ทำไมจึงมีการทำแบบนี้ ความจริงก็คือว่าคนที่ตื่นนั้นตื่นได้หลังจากประชุมธรรม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะเราคิดว่าตัวเราไม่มีประจักษ์หลักฐาน ปฏิบัติธรรมะลังเลสงสัยได้ อาจารย์ไม่ห้าม แต่สงสัยแล้วขอให้รู้จักหยุดและวาง ไม่ใช่สงสัยเรื่องนี้แล้วไปต่อเรื่องนั้น ทำอย่างนี้แล้วศิษย์คงมีความสงสัยไม่หยุด และเมื่อสงสัยไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ไม่ได้เริ่มบำเพ็ญธรรมเพราะว่ามัวแต่สงสัย กุศลไม่ได้สร้าง อย่างนี้เท่ากับว่าการเกิดมาชาตินี้ก็สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน
เวลาอาจารย์ก็จะหมดแล้ว เวลาในชีวิตไม่ว่าจะเหลือมากเหลือน้อย ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่ว ศิษย์ก็ยังเป็นศิษย์ของอาจารย์ ในเส้นทางการบำเพ็ญของศิษย์ควรรู้จักพินิจพิจารณา รู้จักช่วยเหลือคนที่อยู่รอบข้างตัวเรา ขอให้ส่งเสริมกัน เป็นกำลังใจให้กัน อย่าให้คนใดคนหนึ่งล้มลงไป แล้วตัวเราก็ล้มตาม อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์คงมีใจที่มั่นคงอย่างชื่อเพลงที่เลือกกันไว้นะ
เวลาของอาจารย์ก็หมดลงเท่านี้แล้ว อาจารย์หวังแต่ว่าศิษย์ทุกคนจะเข้าใจและตื่นได้จริง เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ขอให้ศิษย์ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญธรรม อาจารย์ไม่อยากจากไป แต่ว่าร่างนี้ไม่ใช่ร่างของอาจารย์ ลาก่อนนะ
อ่านต่อ...