วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

2562-04-27 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一九年歲次己亥三月二十三日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒              สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ติดความคิดย่อมยากมองเห็นความจริง   แม้ความจริงนั้นยากเกินจะรับไหว
ละทิฐิหรือยึดมั่นทุกข์ต่อไป              โลกพลันเปลี่ยนยากเท่าใดพลิกใจให้ทัน
                            เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   เกมชีวิตอันวุ่นวายจนเกินทน          สติคนเป็นอย่างไรยังอยู่ไหม
บำเพ็ญเถิดเกิดเป็นทางก็ปลอดภัย      ใจรู้ที่อย่างไรย่อมอยู่เป็น
รู้จักความไม่มีอะไรราบรื่น               รู้ในรู้ช่างตื่นไม่ลำเค็ญ
สติรู้ผู้เฝ้าตามดูเป็น                      อย่าบำเพ็ญหลงให้ใจกิเลสไป
รู้จักวางใจลงให้ถูกที่                     ไม่ถูกที่บางทีทำเสียหาย
ผลักชีวิตส่งผิดทางน่าเสียดาย           ตลอดเส้นใช่ไหมตรงฟ้าเดิม
แสวงนอกพบไม่ปัญญาเยือกเย็น        ในจึงเป็นธงธรรมนำฮึกเหิม
วันหยัดยืนชัยชนะอย่าเคลิบเคลิ้ม       วันลมแรงกำแพงเดิมเสริมวินัย
คนแปลกโลกแห่งเดิมอาศัยอยู่          กระตุ้นให้สู้ใหม่ให้อยากใหม่
แพ้ศัตรูชนะตนเป็นภูมิใจ                บำเพ็ญใจทำเมื่อไรดีกว่าเดิม
                                         ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ



วันนี้ทุกท่านสดชื่นไหม (สดชื่น)  ฟังธรรมะแล้วเป็นอย่างไร ยิ่งฟังยิ่งหมดแรง ใช่หรือไหม (ไม่ใช่)  อย่าลืมนะโกหกนั้นตายตกนรก อยากตกนรกไหม (ไม่อยากตก)  ไม่อยากให้ใครโกหก เราก็อย่าไปโกหกใคร ไม่อยากโดนใครหลอกลวง เราก็อย่าหลอกลวงตัวเราเอง ตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็นยิ่งฟังธรรมะยิ่งสดชื่น ยิ่งกระปรี้กระเปร่า ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรามาขอสนทนาด้วยคงไม่เป็นการรบกวนเวลาท่าน
การแสวงหาเงินทองในโลกทำให้เรามีความสุขไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีความสุขมนุษย์คงเลิกหาเงินทองแล้วจริงไหม มีทั้งสุขและก็มีทั้งทุกข์ปะปนกันไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราสามารถหยุดหาเงินทองได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเห็นสิ่งใดมีค่ามากกว่าเงินทอง เราถึงจะสามารถหยุดหาเงินหาทอง เพื่อไปทำอีกสิ่งหนึ่งที่ดีกว่า คนคนหนึ่งจะสามารถหยุดทำอะไรก็ตามที่ตัวเองชอบได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ตัวเองเคยชอบอยู่นั้น มีสิ่งอื่นที่มีค่าหรือชอบมากกว่า เราจึงหยุดสิ่งนั้นแล้วไปทำอีกสิ่งหนึ่งได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นวันนี้ให้ท่านมาฟังธรรม แต่ถ้าท่านคิดว่าธรรมมีค่าน้อยกว่าเงินทอง ท่านจะมาฟังไหม (ไม่มา)  ธรรมมีค่ามากกว่าไปเที่ยวเล่นข้างนอกท่านจะมาไหม (มา)  ฉะนั้นทำไมคนบางคนจึงมาไม่ได้ ทำไมคนบางคนจึงมาได้ทันที ถามใจเราเองก็ได้ ถ้าเห็นว่าการมาฟังธรรมมีค่ากว่าการไปเที่ยวเล่น การมาฟังธรรมประเสริฐกว่าการหาเงินหาทอง เขาย่อมสละเวลาทั้งหมดแล้วมาได้ทันที แต่เราเคยคิดไหมว่า การมาฟังธรรมมีค่ามากกว่าการหาเงินทอง มาฟังธรรมมีค่ามากกว่าการไปเที่ยวเล่นหาความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ในทางเดียวกันถ้าท่านสามารถมองเห็นว่าธรรมะ
มีค่ามากกว่าเงินทอง ท่านจะสามารถหยุดการหาเงินทอง และมาหาธรรมะได้ ธรรมะให้ความคิด ให้แง่คิด ให้ปัญญา ให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริง และทำให้เรามีปัญญาในการแสวงหาเงินทองได้ ท่านจะหยุดการหาเงินทอง และ
มาหาธรรมะทันที จะไม่ลังเลและไม่ต้องรอให้ใครมาคะยั้นคะยอ แต่ถ้าเมื่อไรที่ท่านยังไม่เห็นว่าธรรมะมีค่ามากกว่าเงินทอง ธรรมะมีค่ามากกว่าการเที่ยวเล่น ท่านก็จะไม่มีวันอยากมาฟังธรรม
ฉะนั้นธรรมะมีค่ามากกว่าเงินทองไหม (มี)  พระพุทธองค์ที่ท่านกราบไหว้ หรือที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ท่านทิ้งราชสมบัติเพื่อแสวงหาธรรม และพอท่านพ้นทุกข์ด้วยธรรม ท่านยังทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างพ้นทุกข์ได้ด้วยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยมีหนึ่งประจักษ์หลักฐานให้เราชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง และสิ่งที่มีค่ามากกว่าความสุขในการแสวงหาเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง นั่นคือธรรมะ และเป็นประจักษ์ให้เราเห็นได้ชัดด้วย แต่
เหตุใดหรือคนที่นับถือพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า จึงลืมข้อนี้ไป ท่านยอมทิ้งเงินทอง ความสุข เพื่อมาหาทางพ้นทุกข์ เพราะท่านรู้แล้วว่าความสุข
ในโลก เงินทองในโลก หาเท่าใดก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ นอกจากหาทาง
ดับทุกข์ในทุกข์ ไม่ใช่หาทางดับทุกข์ในสุข ยิ่งมนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขนั้นตั้งอยู่บนความไม่ถูกต้องชอบธรรม ความสุขนั้นตั้งอยู่ในความผิดศีล ขาดธรรม ความสุขนั้นตั้งอยู่ในความไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ความสุขนั้นก็พร้อมจะกลับมาให้ทุกข์ได้เท่าๆ กัน เหมือนเราอยากมีรัก
ใครก็อยากมีรัก แต่รักนั้นผิดทำนองคลองธรรม เราควรที่จะรักไหม (ไม่)  แต่เราก็ยังมี ใครๆ ก็อยากมีเงิน มีสุข ถ้าเกิดอยากได้เงิน อยากมีความสุข แต่ยืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น และยืนอยู่บนการผิดทำนองคลองธรรม ความสุขนั้นแม้จะได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็พร้อมที่จะกลับมาให้ทุกข์ไม่แตกต่างกัน ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ามัวแต่คำนึงถึงสุข
จนลืมนึกถึงผิดชอบชั่วดี อย่ามัวแต่คำนึงถึงความอยาก จนลืมนึกถึงความละอายเกรงกลัวต่อบาป อย่ามัวแต่สนใจสิ่งที่ตนเองอยากได้ จนลืมนึกถึงคุณธรรมความเป็นคน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านรู้จักสุขแค่ไหนก็ต้องทุกข์มากเท่านั้น ได้สุขแค่ไหนจากเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย เมื่อได้มาแบบร้อนๆ
ก็ไปแบบร้อนๆ หากได้มาแบบร้อน เมื่ออยู่กับคนก็ร้อน ฉันใดก็ฉันนั้น
ความอยากในสุขของโลกใบนี้ ถ้าขาดซึ่งศีลธรรมไม่คำนึงถึงธรรม ก็พร้อมจะให้ความทุกข์ที่เจ็บปวดได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นจะควรหรือไม่ควรที่มนุษย์จะคำนึงถึงธรรมในชีวิตบ้าง และควรมีธรรมใช้ในชีวิตบ้าง ควรหรือไม่ควร (ควร)  ตอนนี้จะบอกว่าเกิดเป็นคนไม่จำเป็นต้องมีธรรม ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้าทำได้ก็จะกลายเป็นคนที่บาปก็ไม่กลัว กฎหมายก็ไม่หวั่นเกรง เราเป็นแบบนั้นไหม ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก หรือทำอะไรถือศีลธรรมเป็นหลัก (ถือศีลธรรมเป็นหลัก)  ฝ่ายชายทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก หรือทำอะไรถือศีลธรรม หิริโอตตัปปะ
มโนธรรมสำนึกเป็นหลัก (ศีลธรรมเป็นหลัก)  ถ้าถือศีลธรรมเป็นหลัก
แล้วศีลห้าถือได้ครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าตอบแบบนี้ขัดกับคำตอบไหม ในเมื่อถือศีลธรรมเป็นหลัก ศีลห้าต้องมีให้ครบ จริงไหม (จริง)
บางคนยังมองเห็นไม่ชัดว่าธรรมะมีค่าอย่างไร เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างเงินกับปัญญา อะไรดีกว่ากัน (ปัญญา)  ปัญญาได้จากการเรียนรู้
ได้จากการมองเห็นโลกได้แจ่มชัด เงินมีวันหมดได้ไหม (ได้)  แต่ปัญญายิ่งเพิ่มเติมก็ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะปัญญาทางธรรม นอกจากจะทำให้เราเห็น
สิ่งต่างๆ ชัดแล้ว เมื่อยามที่เราเงินหมดขึ้นมา เราก็ยังมีพลังที่จะยืนหยัดสู้ต่อไปได้ มนุษย์มักจะพูดว่า เมื่อเจอพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้รีบขอ แล้วเรามักจะขอเงินหรือขอปัญญา ไม่เคยมีท่านใดขอปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะปัญญาขอพุทธะได้ไหม พุทธะก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ จริงๆ แล้วเราต้องขอที่ตัวเราเอง ขอเงินพระพุทธะได้ไหม ถ้าเราไม่ขยันหาเราจะมีเงินไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นปัญญาจะหาได้ก็ต่อเมื่อเราศึกษาเรียนรู้อย่างไม่หน่าย ดั่งที่มนุษย์มักจะพูดว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน แต่เรามักขี้เกียจเรียน” เราจึงด้อยปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไม่ยกค่าอะไรสูง จะรู้จักคำว่าอะไรต่ำไหม (ไม่รู้)  ถ้าเราไม่เปรียบเทียบสิ่งใดมีค่ามากกว่า และสิ่งใดมีค่าน้อยกว่า
เราจะรู้จักอะไรสำคัญไม่สำคัญไหม ก็ไม่รู้ ถ้าเกิดว่าเราไม่เปรียบเทียบ
เราไม่ยกย่อง เราจะรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย อะไรที่เรียกว่าทุกข์ อะไรที่เรียกว่าสุข รู้ไหม (ไม่รู้)  เมื่อไม่รู้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าเรารู้ว่า “คำว่ากล่าวกับคำชม” มีค่าแตกต่างกันไหม (แตกต่าง)  การโดนว่ามีค่าสูงหรือต่ำ (ต่ำ)  การโดนชมมีค่าไหม (มี)  สูงหรือต่ำ (สูง)  ใช่หรือ คิดดีๆ นะ ถ้าเราถามท่านว่า ถ้าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า จะมีสิ่งใดที่ไร้ค่าไหม ถ้าไม่มีสิ่งใดที่สำคัญ จะมีสิ่งใดที่ไม่สำคัญไหม ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุข จะมีสิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ แล้วเรากำลังสุขหรือกำลังทุกข์อะไรหรือ ที่เราสุขและทุกข์ เป็นเพราะเราให้คุณค่าและเปรียบเทียบ ที่เรารู้จักความเจ็บปวด หรือมีความสุขไม่เจ็บปวดนั่นเพราะว่าเราแบ่งแยกใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทั้งสองอย่างนี้มีคุณค่าเท่ากัน เราจะทุกข์และสุขไหม (ไม่)  เราจะรู้สึกยินดี ยินร้ายไหม
ฉะนั้นปัญหาที่ทำให้เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะท่านยึดว่าอะไรสูงอะไรต่ำ ท่านยึดติดและเปรียบเทียบว่าอะไรมีคุณค่าและอะไรที่ไร้ค่า ท่านเจ็บปวดเพราะท่านยึดติดว่าอะไรดี อะไรแย่ แต่ถ้าในใจไม่ยึดติด
ไม่เปรียบเทียบ ไม่ให้ค่าอะไรสำคัญและไม่สำคัญ ทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน
หากเราว่าเขาแย่ แล้วเขาไม่มีดีหรือ ถ้าเราชมเขาว่าดี เขาจะไม่มีสิ่งที่แย่เลยหรือ ถ้าเราถูกเขาว่า เขาว่าเราแย่ แล้วเราจะดีไม่ได้เลยหรือ เราได้รับคำชม เราก็รู้สึกดี แล้วหากเราจะถูกเขาว่า ว่าเราแย่ได้ไหม (ได้)  เราควรจะขึ้นให้สูงและตกลงมาให้เจ็บ ควรจะยกตัวเองให้สูงๆ เพื่อเวลาโดนตำหนิจะได้ถูกเหยียบให้เจ็บๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ความทุกข์ ความสุขไม่ใช่คนอื่นกำหนด ไม่ใช่คนอื่นหยิบยื่นให้ ไม่ใช่อยู่ที่คำต่อว่า แต่อยู่ที่ใจท่านต่างหากว่าท่าน
ยึดติด แบ่งแยก เปรียบเทียบ ให้ค่าหรือไม่ให้ค่า เคยไหมเห็นคนๆ หนึ่งเกลียดจนจับใจ ต่อไปนี้จะไม่ให้ค่าอะไรในชีวิตอีกต่อไป ฉะนั้นมองเห็นเขา
ก็เหมือนไม่เห็น เขาจะพูด เขาจะด่า เราก็ไม่รู้สึก เพราะเราไม่ให้ค่า ไม่ให้ความหมายต่อชีวิตและจิตใจ เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า เกลียดจนไม่อยากให้ค่า ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกนี้ ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากถูกเหยียบย่ำ ไม่อยากถูกยกขึ้นสูงแล้วตกลงมาต้องเจ็บปวด ต้องไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด ไม่เปรียบเทียบ เราก็จะไม่เจ็บ จริงหรือไม่ (จริง)
เราขอถามท่าน อะไรในโลกที่มีคุณค่ามากกว่ากัน เหมือนเราบอกว่า ชีวิตนี้ต้องหาเงิน ชีวิตนี้ต้องมีความรัก แต่ความรักทำให้เราตายทั้งเป็น
ไม่รักได้ไหม ไม่รักเขาแต่ให้รู้จักรักตัวเองให้เป็น ชีวิตนี้ต้องหาเงิน แต่ถ้าหาเงินมาทั้งชีวิต แล้วการหาเงินมาทำให้ชีวิตต้องตายทั้งเป็น เราหยุดหาเงินแล้วใช้เงินให้เป็นดีไหม (ดี)  เพื่อเงินจะได้ไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเรา ฉะนั้นความทุกข์ในโลกนี้ ลองถามใจของตัวเองดูดีๆ บริสุทธิ์ยุติธรรม ใครทำร้ายใคร (เราทำร้ายตัวของเราเอง)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า
“ชีวิตจะดีจะร้ายขึ้นอยู่ที่จิต จิตจะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิด” ชีวิตจะดีจะร้ายขึ้นอยู่ที่จิตเรา จิตเราจะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิด เคยไหมไปนั่งอยู่ที่ริมทะเล ได้ไปเที่ยวน้ำตก คนอื่นเขาสนุกสนานกัน แต่ใจเรากลับไม่สนุก เพราะความคิด จึงมีคำกล่าวว่า “จิตที่ตั้งไว้ถูกที่ ทำให้มีประโยชน์ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดที่ ทำอันตรายยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาต” เขามีความสุขกัน เรากลับเบื่อ เขากำลังฟังธรรมกันอย่างเย็นสบาย เราก็ถอนหายใจ เฮ้อ! เมื่อไรจะจบ เมื่อไรจะหมดวันสักที ใช่ไหม
ฉะนั้นสำคัญที่คนพูด หรือสำคัญที่การวางจิตวางใจ สำคัญที่จิตหรือสำคัญที่ความคิด สำคัญที่จิตและจิตผันแปรไปตามความคิด อยากได้ชีวิตที่สว่างก็ขึ้นอยู่ที่จิตและขึ้นอยู่ที่ความคิด อยากได้จิตมืดมนก็ขึ้นอยู่ที่ความคิด คิดดีหรือคิดร้าย
วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องจิตของเราดีไหม (ดี)  เราเคยรู้จักจิตตัวเองไหม ไม่รู้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้ก่อนว่าโดยธรรมชาติของจิตใจเรานั้นเป็นอย่างไร ชอบเป็นไปตามความคิด และความคิดนี้ชอบไหลไปตามอารมณ์ อารมณ์ไหนเป็นใหญ่ อารมณ์ไหนมาเป็นหนึ่ง อารมณ์นั้นครอบงำจิตครอบงำชีวิต อย่างเช่นตอนนี้นั่งๆ อยู่ มีแต่คำว่า “เบื่อ” ฉะนั้นทั้งชีวิตจึงจมอยู่กับความเบื่อ จิตจะสว่างหรือมืดก็อยู่ที่เราคิดอะไรหรือตามอะไร ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าดีกับคิดว่าเบื่อ อันไหนสว่างอันไหนมืด อันไหนสุขอันไหนทุกข์ จิตของมนุษย์ชอบไหลไปตามกิเลส แล้วเราเคยตามทันกิเลสไหม
มีใครบ้างที่เคยสามารถยับยั้งใจได้ รู้ทันใจตัวเองได้ หยุดกิเลสได้บ้าง (ไม่มี)  ท่านรู้ไหมจิตที่ข่มได้คือจิตที่มีความดี จิตที่ฝึกได้ดีแล้วจะนำมาซึ่งความสุข ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าข่มจิตข่มใจไม่ได้ ฝึกจิตฝึกใจไม่ได้ ชีวิตนี้ก็จะหาความสุขและสวัสดีไม่ได้ เราจะฝึกจิตอย่างไร เราเคยฝึกจิตไหม (เคย)
เคยเฉพาะตอนหลับตาใช่ไหม พอตื่นลืมตาขึ้นมาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ใช่หรือเปล่า หรือหลับตาแล้วพอนึกถึงคนที่ด่าเราทำร้ายเราก็ยังโมโหเหมือนเดิมใช่ไหม อย่างนั้นเราควรจะฝึกจิตอย่างไร อยากรู้ไหม (อยาก)
พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า กิเลสเกิดเมื่อเราไม่รู้เนื้อรู้ตัว กิเลสดับและกลายเป็นปัญญาตื่นรู้ เมื่อเรามีสติและรู้เนื้อรู้ตัว ทุกครั้งที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราง่ายที่จะตกเป็นทาสกิเลส แต่เมื่อไรเรามีสติรู้ตัว เราจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เช่น เคยคิดอยากจะไปทำอะไรสักอย่างไหม เคยคิดวางแผนจะไปเที่ยวไหม เคยคิดวางแผนการทำงานไหม เวลาเราคิดวางแผนไปเที่ยวเราจะมองภาพออกว่า ถ้าไปทะเลจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรามองเห็นทะเลชัด และกำลังมองเห็นความคิดชัด ถ้าเรารู้ทันความคิดชัด และเห็นว่าเราคิดอะไรเป็นอย่างไร อย่างนั้นความคิดนั้นจะไม่มีทุกข์ แต่เมื่อไรคิดชัดแล้ว
เราเริ่มนึกถึงคนที่เราไม่ชอบ ถ้ามีคนนั้นมา ก็หมดสนุกทันทีเลย เบื่อจริงๆ เลย ความสุขจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราเริ่มมองไม่เห็นความคิด เราเริ่มมีกิเลส เริ่มมีคนที่เราไม่ชอบใส่เข้าไป แล้วเราไหลไปตามความคิด
จึงกลายเป็นความทุกข์ไม่ใช่ความสุข เหมือนเราคิดเลข หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สองบวกสองเป็นสี่ เราเห็นชัด นึกภาพออก เมื่อไรที่เรามองเห็นความคิดชัด และความคิดนั้นไม่มีกิเลสเจือปน เราจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรความคิดนั้นเกิดขึ้น และมีกิเลสเจือปน และเราเผลอไหลร่วมลงไปกับความคิด ความคิดนั้นจะทำให้เราเป็นทุกข์ และตกเป็นทาสกิเลส เหมือนเรานึกถึงคนที่เกลียด เราก็ไหลไปตามความคิด เขาเคยด่าฉัน เคยว่าฉัน
เคยสมน้ำหน้าฉัน เคยยืมเงินฉันไปแล้วไม่ยอมคืน คิดแล้วเอาตัวเองไหลร่วมลงไป กลายเป็นทุกข์ แต่อีกทางหนึ่งถ้าเราคิดแล้วเราบอกว่า คิดแบบนี้
ทำแบบนี้ ทำเป็นลำดับขั้นตอนแบบนี้แล้วจะทุกข์ไหม
ฉะนั้นเห็นต่างหรือยังว่า คิดเช่นไรเป็นทุกข์ คิดเช่นไรไม่มีทุกข์ ถ้าคิดแล้วรู้ทันความคิด มีสติและปัญญาคิดได้ออก มองได้ชัด ความคิดนั้นจะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรคิดแล้วมีกิเลส คิดแล้วมีอารมณ์ และคิดแล้ว
มีตัวตนไหลร่วมไปกับความคิด โดยขาดสติ ขาดความรู้เท่าถึงการณ์ ความคิดนั้นก็ง่ายที่จะเป็น (ทุกข์)
เมื่อสักครู่ได้รู้ธรรมชาติของจิตแค่เพียงอย่างเดียวถูกไหม ธรรมชาติของจิตชอบไหลไปตามกิเลส ชอบท่องเที่ยวไปตามกิเลส ฉะนั้นคนที่มีกิเลสบ่อยๆ ก็แปลว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสติรู้ตัวเวลาทำอะไร แต่ถ้าคนที่ไม่ค่อยมีกิเลสก็คือ ทำอะไรรู้จักมีสติยับยั้งชั่งใจ ธรรมชาติของจิตยังมีอีกอย่างคือชอบยึดติด เวลามีปัญหาไม่เคยมองตัวเอง เวลามีเรื่องราวชอบโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง ไม่มีเขาจะมีเราหรือ ไม่เขาผิดเราก็ผิดไม่ต่างกัน ถ้าเขาถูกเราก็ถูกกว่า จริงหรือไม่ (ไม่จริง)  แสดงว่ายังมีสติ
สิ่งที่น่ากลัวของธรรมชาติในจิตมีอีกอย่างก็คือ ชอบที่มองออกไปมากกว่ามองเข้า ชอบที่จะเพ่งโทษมากกว่าที่จะให้โอกาสใคร เหมือนเวลา
มีปัญหาเกิดขึ้น มีไหมที่เราจะโทษตัวเราเอง เรามีไหมที่จะแก้ไขตัวเอง เราจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้ามัวแต่มองออกไปและเพ่งโทษคนอื่น แต่ไม่เคยหันมามองเข้าและตรวจสอบใจตน ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของจิตคือชอบยึดติด และเข้าหาความทุกข์ เหมือนเวลาเขาพูดอะไรมาอย่างหนึ่ง เราคิดดีหรือคิดร้าย สมมติเราให้ผลไม้ท่านชิ้นหนึ่ง ท่านคิดดีหรือคิดร้าย (คิดดี)
จริงหรือ ไม่ใช่คิดในใจว่า ให้เรามาแล้วจะเอาอะไรกลับไหม มักจะยึดติดความคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ เลย เพราะคิดว่าได้ไปเผื่อจะดี
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ จะดี จะร้าย จะทุกข์ จะสุข อยู่ที่ความคิด ความคิดของมนุษย์นอกจากจะชอบมองออก ชอบหลงไปตามกิเลสแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวคือชอบยึดติดความคิด แล้วก็ไหลไปหาความทุกข์มากกว่าความสุข


(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้น และหันหน้าให้ทุกคนดู)
ถามว่าหน้าแบบนี้จะดีหรือจะร้าย (ดี)  อย่ายิ้ม ถ้ายิ้มใครๆ ก็จะว่าดี แต่ถ้าหน้านิ่งๆ แล้วเป็นอย่างไร พูดอะไรระวังด้วยนะ เดี๋ยวเขาฟังแล้วจำไว้ไปล้างแค้น โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักยึดติดความคิดว่า คนผิวดำ ไว้หนวด
ไว้เครา หน้าแบบนี้น่าจะร้าย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตาให้พี่เลี้ยงชายท่านหนึ่งยืนขึ้น)
ถามว่าคนนี้น่าจะร้ายหรือน่าจะดี (ดี)  รีบพูดทันทีเลย สิ่งที่เราต้องระมัดระวังอย่างหนึ่ง ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ เราต้องรู้ให้เท่าทันจิตใจตัวเอง เพราะจิตของมนุษย์แม้ไม่คิด แต่จิตมนุษย์นั้นไวมาก สรุปให้เราทันทีเลยว่า แบบนี้น่าจะดี แบบนั้นน่ากลัว ทั้งที่จริงๆ แล้ว ที่ดีๆ ก็อาจจะร้าย ที่น่ากลัวก็อาจจะดีก็ได้ น่ารักแบบนี้อาจจะไม่มีรักแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าตาน่ากลัวแบบนี้อาจจะมีรักแท้ก็ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของเรา ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นจิตใจของเรา ถ้าเราไม่รู้ธรรมดาของจิต ธรรมดาของจิตมักจะพาให้เราไหลไปตามกิเลสและอารมณ์ เมื่อไรที่จิตใจไหลไปตามความคิด จิตใจไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึก จึงยากที่จะทำได้ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  และเมื่อไรที่จิตใจยึดติดกับความคิดอารมณ์ ก็ยากที่จะทำได้ถูกและเกิดปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือหันกลับมามองจิตของเรา ถ้าตั้งได้ถูก เราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าจิตตั้งผิดเราก็ต้องทุกข์และมีกิเลสได้ทันที
ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญธรรม คือไม่ใช่แค่ทำบุญเป็น ไม่ใช่แค่สวดมนต์เป็น ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเก่ง แต่สิ่งสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือ สามารถฝึกใจตัวเองได้ และเอาธรรมะมาข่มใจตัวเองได้ โดยการ
มีสติ รู้ทัน ยั้งคิด
เพราะชีวิตไม่มีใครอยากมีทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  และทุกข์โดยส่วนใหญ่มักมาจากกิเลสและอารมณ์ และการเข้าข้างตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้สติ รู้ทัน ยั้งคิดในตัวเราเองได้ เราก็หยุดปัญหาได้
ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนคนกำลังชี้หน้าว่าเรา เราวางใจได้ถูก วางใจได้เป็น รู้เท่าทัน
ใจตัวเอง เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ฉะนั้นมีธรรมะข้อหนึ่งที่อยากฝากไว้เตือนใจ ถ้าเมื่อใดมนุษย์เห็นการได้หรือเสีย ดีหรือร้าย มีค่าเท่ากัน มนุษย์จะไม่ต้องทุกข์ใดใดในโลกนี้อีกต่อไป จริงไหม (จริง)  ได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ชมหรือว่า มีค่าเท่ากัน
เราจะเจ็บปวดไหม (ไม่)  โดนชมก็เหมือนโดนว่า โดนว่าก็เหมือนโดนชม ใครว่าเราสวยก็เหมือนไม่สวย จริงไหม (จริง)  ใครว่าเราดี เราก็เหมือนไม่ดี เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเราไม่ขึ้นไม่ลง ใครจะมาทำร้ายใจเราให้เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศึกษาธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ยากตรงที่ไม่เคยข่มใจและไม่เคยฝึกใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถนัดทำแต่เพียงสวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้ทาน
แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานกับจิตใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจะคิดแล้วคิดเป็นกิเลสอารมณ์ ทำไมไม่คิดให้เป็นธรรม ถ้าจะคิดแล้วได้กิเลสอารมณ์และความเจ็บช้ำใจ ทำไมไม่เอาธรรมมาคิดแล้วสอนใจให้ปล่อยวางปลดปลง
ถูกไหม (ถูก)  ถ้าชีวิตขึ้นอยู่กับความคิด ชีวิตขึ้นอยู่กับจิตใจและความคิด ฉะนั้นทำไมไม่คิดอย่างคนมีธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าง่ายก็ไม่ง่าย ใช่หรือไม่ ดังนั้นมีชีวิตก็อย่าประมาทกับความง่าย เพราะบางครั้งสิ่งที่ง่ายอาจจะยากก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่ทำดีที่สุดแล้ว ก็จงภูมิใจคิดไว้เสมอว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล ถ้าทุกขณะที่ทำแล้วคิดเช่นนี้จะไม่มีกิเลสครอบงำจิตใจตนเองเลย แต่คงยากใช่หรือไม่
เราคิดแต่ว่า ต้องได้เท่านั้น หากเมื่อไรที่ท่านคิดได้อย่างธรรมะที่เราบอก ท่านจะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ และกิเลสจะไม่สามารถครอบงำจิตใจของท่านได้เลย ยากไหม ดังนั้น ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)
กุศล คือ เครื่องชำระล้างใจให้ผ่องแพ้ว ชำระล้างตัวตนให้ไม่เหลือ ฉะนั้นทำอะไรก็แล้วแต่ คิดเสมอว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล จะได้ชำระล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ ต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยก็ออกจากปาก หากท่านอยากหยุดเคราะห์ร้าย อยากมีโชคและไม่มีภัยอันตราย ก็ต้องระวังทั้งความคิด และระวังปากของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคุยกับท่านเพียงเท่านี้ เราปรารถนาให้ท่านมีปัญญาที่เข้าถึงธรรม เพราะถ้าท่านเข้าถึงธรรมแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็จะไม่ทุกข์
จงวางใจให้ถูกที่ แม้จะอยู่ท่ามกลางไฟที่ล้อมรอบตัวเรา แต่ถ้าเราวางใจให้ถูกที่ เราก็สามารถสงบเย็นสบายใจได้ ในทางตรงกันข้าม แม้เราจะอยู่ที่เย็น แล้วถ้าเราจุดไฟเผาตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ร้อน จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ วางจิตวางใจให้เป็น ดูแลจิตดูแลใจให้ถูก รู้เท่าทัน กิเลสก็ไม่เกิด มีสติยั้งคิดข่มใจได้ ปัญหาก็ไม่มี แต่ถ้ารู้ไม่ทัน สติคิดไม่ได้ กิเลสปัญหาและทุกข์ก็จะตามมา ในโลกนี้ได้มาล้วนเสียไป มีได้มีเสียเป็นธรรมดา และมีพบก็ต้องมีจากก็เป็นธรรมดา ฉะนั้นจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้
เราทุกข์ หรือเอาสิ่งนั้นมาเกิดปัญญาตื่นรู้และพ้นทุกข์ รักษาชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ด้วยการไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ แต่มีธรรม เอาสิ่งที่สูญเสียมาเป็นปัญญาให้เกิดธรรม เอาสิ่งที่เราพลัดพรากเจ็บปวดมาทำให้เราตื่นรู้ในชีวิต เอาการโดนทำร้าย เอาการโดนต่อว่า มาทำให้เรามีสติเข้าใจความเป็นตัวเองและเข้าใจผู้คน
มนุษย์ทุกคนล้วนฉลาด ธรรมะไม่เคยสอนให้ใครโง่ แต่ธรรมะสอนให้เรากล้ายอมรับเมื่อเราทำผิด ยิ่งผิดมากเท่าไรคนก็อยากชี้แนะให้เราดียิ่งขึ้น แต่ถ้าคิดว่าตัวเองถูกมากเท่าไร ก็ไม่มีใครชี้แนะความผิดพลาดให้เราเจริญขึ้น ฉะนั้นกลัวอะไรที่จะผิด กลัวอะไรที่จะทุกข์ ถ้าเราพึ่งสติปัญญาตัวเอง โลกใบนี้ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ จิตที่ตั้งไว้ผิดและไม่รู้ตัวเองจริงไหม (จริง)  ควรจะสงบแต่ดันคิดให้ตัวเองวุ่นวาย
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ จงเลือกที่จะมีปัญญาในทางธรรม ดีกว่าหาทรัพย์สินเงินทอง แต่ไร้ซึ่งปัญญาในการตื่นรู้ชีวิตจริง

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒          สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อันอ้อยหวานยังต้องคายชาน          มะระขมยังทานกลืนลงได้
คำติซ่อนความจริงไว้ข้างใน                    คำชมนั้นพาให้หลงลำพอง
                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   ทำดีแต่ขี้นินทาไม่ดีหนา                ทำดีแต่มากตัณหาก็หลงผิด
ทำดีแต่ติดอกุศลอยู่ในจิต                บำเพ็ญผิดจิตไม่สว่างขึ้นเลย
ไม่ดีแต่แก้ไขไม่ผิดซ้ำ                     ไม่ดีแต่ละบาปกรรมไม่นิ่งเฉย
ไม่ดีแต่ละนิสัยความชินเคย              ยอมรับแล้วแก้ไขเลยเลยได้ดี
คนบำเพ็ญต้องฝึกทั้งนอกใน             นำธรรมะมาสอนใจเปลี่ยนตนนี้
อย่าสร้างบุญเพื่อล้างบาปอยู่ในที       แต่รู้ที่ละบาปบำเพ็ญบุญ
ทุกสิ่งล้วนได้มาต้องเสียไป               ใดใดล้วนไม่เที่ยงไปผันเปลี่ยนหมุน
บุญกรรมเกิดที่ตนสร้างอันเป็นทุน       หมั่นเกื้อหนุนบำเพ็ญตราบลมหายใจ
                                                                                             ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ก่อนที่จะทำความรู้จักกัน อาจารย์มีเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับศิษย์นะ เป็นเรื่องของใจศิษย์ทุกคน ใจมนุษย์มีสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งศิษย์ว่าไหม คิดว่าจะมีก็มี คิดว่าไม่มีก็ไม่มี ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนมีน้ำใจ อย่างไรก็มีน้ำใจ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนใจจืดใจดำ อย่างไรเราก็ใจจืดใจดำ ถ้าคิดว่าเราใจดีมีเมตตา (เราก็ใจดีมีเมตตา)  แต่ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนแล้งน้ำใจ เราก็จะแล้งน้ำใจอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อมั่นในจิตใจว่าเรามี อย่างไรเราก็มี ถ้าเราไม่เชื่อว่าเรามีน้ำใจ อย่างไรเราก็ไม่มีน้ำใจ
อาจารย์ถามว่าตัวศิษย์เองมีสิ่งดีๆ อยู่ในใจบ้างไหม (มี)  แล้วเคยเอาออกมาใช้ไหม (เคย)  ถี่ถี่หรือนานๆ ที (นานๆ ที)  นานเสียจนเหมือนไม่มีเลยสักที ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็ทำได้ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ แถมไม่คิดจะทำด้วย ถามหัวใจศิษย์ดู ถ้าวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ถ้าศิษย์คิดว่าใจเรามีธรรม ก็มีได้ แต่ถ้าคิดว่าใจเราไม่เคยมีธรรม ก็จะไม่มีเลย เรามักจะอยู่แบบคนชอบที่จะให้ หรือว่าชอบที่จะเอาจากคนอื่น ผู้ปฏิบัติงานธรรมรักการให้หรือรักการเอา (ให้)  ถ้าคนที่รู้จักรักการให้ เขาจะไม่เคยเสียใจหรือผิดหวังกับคนอื่น ฉะนั้นเรารักการให้แล้วเราเสียใจไหม ผิดหวังไหม โดนว่าน้อยใจไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่รักที่จะให้ คนที่รักที่จะให้เขาจะคาดหวังไหมว่า คนที่เราให้เมื่อเขาไม่รักตอบเขาจะเสียใจไหม (ไม่)  เพราะเขามีสุขแล้วที่ได้ให้ และเขาจะคาดหวังไหมว่า คนที่เขาให้จะต้องดีอย่างนั้นต้องดีอย่างนี้ (ไม่)  เพราะเขาให้โดยไม่หวังผล เพราะเขารักที่จะให้ ถามใจศิษย์จริงๆ ว่าศิษย์รักที่จะให้ หรือรักที่จะขอ ถ้ารักที่จะให้จะไม่น้อยใจ จะไม่รู้สึกผิดหวัง แม้คนข้างนอกจะเป็นอย่างไร ถ้ามีสุขที่จะให้จะไม่ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำดีไม่ได้ดี และถ้ารักที่จะให้จะไม่มีคำว่า เหนื่อยเหลือเกิน ทำไมทำดีกับเขาถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ เพราะเรามีสุขที่จะให้แล้ว ยิ่งให้ก็ยิ่งสุข ยิ่งให้เราก็ดีแล้ว
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่ศิษย์บอกว่ายังเหนื่อยอยู่ ยังผิดหวังอยู่ แปลว่าศิษย์ไม่ได้รักที่จะให้จริงๆ ศิษย์ชอบขอมากกว่าให้ หรือให้แล้วหวังผล จริงไหม (จริง)  ให้ไปนิดหนึ่งอย่างน้อยต้องได้กลับมาสักหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบุญที่บริสุทธิ์ บุญที่สะอาดย่อมไม่เคลือบแฝงจิตที่กอปรไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วทำดีเท่าไรแล้วทำไมไม่ได้ดี ก็ต้องถามว่า สิ่งที่ศิษย์ทำนั้นกอปรไปด้วยกิเลส ความโลภ ความหลง หรือไม่ ถ้ายังกอปรไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ บุญนั้นก็หาใช่บุญอันแท้จริง
อันอ้อยหวานยังต้องคายชาน      มะระขมยังทานกลืนลงได้”
มะระขมยิ่งเคี้ยวมากๆ ก็ยิ่งมีรสชาติหวาน ใช่ไหม (ใช่)  ในความขมมีความหวานซ้อนอยู่ เมื่อกลืนลงไปก็มีประโยชน์ แต่อ้อยนั้นมีรสชาติหวาน ยิ่งกินยิ่งหวาน เมื่อหมดหวานแล้วก็ต้องคายชานทิ้ง (กลืนเข้าไปก่อน)  เมื่อกลืนลงไปแล้ว ก็ติดคอ ก็เหมือนความรัก ล้นจนจุกคอเลย แล้วก็ไม่เคยคิดจะวางความรักลงเสียที และผลสุดท้ายก็ตายเพราะรัก เพราะมันจุกอกจริงไหม  (จริง)  บางครั้งสิ่งที่ชีวิตเราเรียกกันว่าหวานอมขมกลืนนั้น บางครั้งมันก็ให้อะไรดีดีกับเราใช่หรือไม่   (ใช่)  เหมือนสามีแย่ไหม (แย่)  ดีขนาดไหนก็รู้สึกว่าสามีก็ยังแย่อยู่ แต่ทิ้งได้ไหม ก็ทิ้งไม่ลงถูกไหม (ถูก)  ภรรยาดีไหม (ดี)  น่ารักไหม  (น่ารัก)  รำคาญไหม (รำคาญ)  ดีไม่พูด น่ารักไม่พูด แต่รำคาญไหม รีบตอบว่ารำคาญทันทีเลยนะ พิจารณาตัวเองนะศิษย์
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ลูกเป็นอย่างไร ก็เลียนแบบมาจากตัวเราถูกหรือไม่ (ถูก)  ลูกเอาแต่ได้ไม่รู้จักให้ เป็นเพราะเราคิดเอาแต่ได้ไม่รู้จักให้หรือเปล่า ลูกรักใครไม่เป็น ก็เพราะเราไม่เคยรักใครจริงหรือไม่ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะไปโทษว่าใคร หันกลับมามองตัวเราดีกว่า
มีทั้งคนที่อยากต้อนรับอาจารย์และไม่อยากต้อนรับนะ ไม่เป็นไรนะศิษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงย่อมมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด ขอเพียงแค่เรารู้ตัวว่าเราทำสิ่งใด เราก้มหน้าไม่อายดิน เงยหน้าไม่อายฟ้า ต่อผู้คนเราไม่ได้ทำผิด คนจะเกลียด จะรัก จะชม เรารู้ตัวเราดี จะทุกข์ทำไมถ้าเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะทุกข์ต่อเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นแหละที่เราควรจะทุกข์ ศิษย์เอ๋ยในโลกใบนี้ สิ่งที่เรามองเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ บางครั้งสิ่งที่เห็นแม้จะจริงขนาดไหน แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราเข้าใจได้ทุกเรื่อง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้นสิ่งที่เห็นแม้ว่าจะจริงขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจเป็นอย่างที่เราคิดและเข้าใจได้เสมอ เหมือนอย่างคำพูดที่เรามักได้ยินว่า ในมายามีมายาซ่อนอยู่ ในความจริงมีมายาแอบแฝงอยู่ เมื่อพูดอย่างนี้แล้วเราเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเห็นสิ่งใดอย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ถ้ามีคนชมว่าเราดีเราควรปักใจเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  เพราะอะไร ถ้าเราไม่หลงตนเอง เราก็จะรู้ว่า จริงๆ แล้วเรายังไม่ดีพอ ถ้าเรารู้อย่างนี้ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกเราหนีไม่พ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  และทุกข์นี้เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนต้องเจอ แล้วในทุกข์นี้ถ้าเราต้องเจอ ขอเพียงอย่างเดียวเราอย่าหาทุกข์เพิ่ม เรามีทุกข์ที่หนีไม่พ้น ทุกข์ที่หนีไม่พ้นเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก มีได้มีเสีย มีพบมีพราก มีสุขมีทุกข์ เป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไม่เจอกับตัวเรา ไม่เจอกับผู้อื่น ก็ต้องเจอกับสิ่งของ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง
ฉะนั้นเราหนีทุกข์ไม่พ้น อาจารย์อยากบอกว่าอย่าหาทุกข์เพิ่ม เพราะถ้าเกิดว่าทุกข์ที่เราเจอ เรายังหนีไม่พ้น แล้วเรากลับสร้างทุกข์เพิ่มอีก เราจะรับไหวไหม ทุกข์มาทีเดียวสองครั้งติดๆ กันจะทนได้ไหม เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นกับตัวเราเอง แล้วเรายังต้องสูญเสียลูกเราอีก สูญเสียครอบครัว สูญเสียญาติอีก มาติดๆ กันสามสี่อย่างเรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นเราไม่ควรเร่งให้ทุกข์มันเกิดเร็ว หรือเพิ่มทุกข์ให้เกิดขึ้น แล้วเราพอรู้ไหมว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีทุกข์เพิ่มขึ้น ความคิด ใช่หรือไม่
ความคิดทำให้เราทุกข์ เพิ่มได้ไหม (ได้)  เมื่อทุกข์แล้ว เรายังคิดซ้ำคิดซ้อนอีก ก็เหมือนนำความทุกข์นั้นมาซ้ำเติมตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ดีนะ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่า กิเลสเป็นต้นเหตุให้เราเกิดทุกข์เพิ่ม ถ้าเราหลงเป็นทาสของกิเลส เราก็จะต้องหลงมีทุกข์เพิ่ม หลงเจ็บเพิ่ม หลงพลัดพรากเพิ่ม หลงผิดหวังเพิ่ม ฉะนั้นเราไม่ควรตกเป็นทาสกิเลส อาจารย์ถามว่า ใครตกเป็นทาสกิเลสครั้งเดียวแล้วไม่เป็นอีกเลย (ไม่มี)
ฉะนั้นความคิดทำให้เราทุกข์เพิ่มอย่างหนึ่ง อันที่สองกิเลสทำให้เรามีทุกข์เพิ่ม จริงไหม (จริง)  บางคนยังนึกภาพไม่ออก แล้วบอกว่า เพียงแค่โลภ โกรธ หลง แล้วจะมีทุกข์เพิ่มมาได้อย่างไร ก็แค่โลภนิดหน่อย โกรธก็นิดหน่อย หลงก็แค่นิดหน่อย แล้วศิษย์เคยไหม หมั่นไส้พวกเขา ก็แค่นิดหน่อย จะเป็นอะไรหนักหนา แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ความคิดที่ว่า “ก็แค่นิดหน่อย” เมื่อไปกระแทกกระทบใจของใครบางคน แต่เขาไม่คิดแค่นิดหน่อยเหมือนอย่างที่ศิษย์คิดนะ แล้วศิษย์ค่อยพูดว่า “ขอโทษ” ทีหลัง อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้นไหม หรือเขาจะหายจากความรู้สึกไม่ดีหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าคิดเพียงว่า ก็แค่สบายๆ เล่นๆ เด็กๆ ก็เท่านั้นเอง จะมาถืออะไร แต่รู้ไหมว่าสำหรับคนบางคนที่ถูกกระทำ เขาจำไม่ลืม เขาไม่ให้อภัย แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์สร้างกรรมนิดๆ หน่อยๆ เท่านี้เอง คงไม่มีผลกระทบซ้อน แล้วศิษย์ก็บอกว่า เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมเรามักเป็นคนแบบนั้นกัน ศิษย์ด่าเขาจนเขาเจ็บใจ โกงเขามาเต็มที่ แล้วเดี๋ยวค่อยทำบุญชดเชย อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น ศิษย์อย่าคิดว่า มันแค่เล่นๆ เพราะถ้าถึงเวลาเมื่อกรรมนั้นย้อนกลับมาหาศิษย์จริงๆ คนเขาอยากเอาคืนจริงๆ เขาก็จะบอกว่า นี่แกช่วยตบกลับเหมือนเดิมได้ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ทำ ไม่ว่าศิษย์จะทำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไร้เมตตาปรานี ความไร้จิตสำนึก ความไร้น้ำใจ ศิษย์รู้ไหมว่าที่ศิษย์บอกว่า แค่นิดเดียวเอง แต่มันไม่นิดสำหรับคนบางคนที่โดน ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อย่าตกเป็นทาสของความคิดชั่ววูบว่าไม่เป็นไร เพราะถ้าเกิดว่าเป็น ต่อให้ศิษย์เอาบุญมาล้าง เอาความดีมาชดเชย มันก็ล้างไม่ได้ ดั่งที่เรารู้ว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ถ้ามีคนๆ หนึ่งบอกอาจารย์ว่า ก็ศิษย์พูดความจริงจะบาปตรงไหน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าวันนี้ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นผู้ชายแต่งงานแล้ว แอบไปเดินคุยกะหนุงกะหนิงกับคนอื่น แล้วศิษย์ไปเห็นเข้าพอดี ศิษย์เห็นเขาแต่เขาไม่เห็นศิษย์ แล้วศิษย์ก็เอาไปเล่าให้ภรรยาเขาฟัง ปรากฏว่าครอบครัวเขาแตกแยก ลูกก็เลยไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ พลัดพรากจากกัน กลายเป็นบ้านเขาแตกแยก ศิษย์รับผลกรรมอันนั้นได้ไหม เพียงเพราะศิษย์พูดว่า ก็ศิษย์พูดความจริง
ฉะนั้นอย่ามองว่าสิ่งที่ศิษย์ทำเล็กๆ มันจะไม่มีผลอะไร เหมือนที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีตั้งมากมาย ทำไมครอบครัวไม่ร่มเย็น ทำไมพูดอะไรใครก็ไม่เชื่อถือ ทำดีมาก็มากทำไมเดี๋ยวก็เจ็บออดๆ แอดๆ มีโรคนั้นมีโรคนี้ มีภัยนั้นมีภัยนี้ เคยเป็นไหม (เคย)  บุญศิษย์ก็ทำสังฆทานก็ทำ โบสถ์วัดวาอารามก็สร้าง กระเบื้องกี่แผ่นกี่แผ่นเขียนชื่อศิษย์หมดเลย แต่ทำไมเรายังเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามว่าสิ่งที่ศิษย์ทำนั้น ทำแล้วได้ไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่นไหม ไปเบียดเบียนจิตใจและพรากชีวิตเขาไหม ถ้าศิษย์อยากได้อย่างหนึ่ง แต่ต้องแลกมาด้วยการพรากชีวิตคนอื่น ผลคือเมื่อศิษย์ทำอะไรก็จะไม่สามารถมีชีวิตที่แข็งแรง มีชีวิตที่ราบรื่นได้ เพราะการกระทำของความอยากได้สักอย่างหนึ่ง อย่างศิษย์ชอบบิดมอเตอร์ไซด์เสียงดังๆ แล้วมีความสุข แต่ผลของการทำเสียงดัง จะทำให้คนเป็นทุกข์
ศิษย์เอ๋ยมนุษย์มีทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ทุกข์แห่งความเป็นจริงที่เรียกว่า สัจธรรม ถ้ายังไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ก็จงอย่าสร้างเคราะห์ภัยให้ตัวเอง โดยการตกเป็นทาสของกิเลส และอย่าผิดศีล ขาดธรรม เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสแล้ว ถามว่ามีใครบ้างเมื่อมีความโลภแต่มีเมตตา มีใครบ้างเมื่อมีความโกรธ แต่มีความกรุณาปราณี มีใครบ้างที่เมื่อหลงแล้วมีปัญญาคิดดี คิดชอบได้ทุกตอน มีไหม (ไม่มี)  แล้วอยากทุกข์ อยากเคราะห์ร้ายไหม อยากมีภัยและศัตรูเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ทำไมถึงขยันเป็นทาสของกิเลสกัน แล้วเคยหยุดกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์เคยไหมการกระทำบางอย่าง ทำให้คนบางคนตายทั้งเป็น แม้เราจะพูดจริงก็ตาม เช่น หน้าตาแบบนี้เป็นโรคอะไรหรือเปล่า คนบางคนไม่ไปหาหมอ ตรอมใจหาว่าเราเป็นโรค ไม่กล้าไปเจอหมอกลัวว่าจะเป็นจริงๆ เพราะถ้าเจอหมอแล้วเป็นจริงๆ ก็จะรับไม่ได้ ฉะนั้นเรารับผิดชอบกับคำพูดเราไหวไหม เราบอกว่าก็แค่ทักทายเฉยๆ จะคิดมากอะไร ดันแก้ตัวอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะคิด พูด หรือทำอะไรจงไตร่ตรองให้ดี ควรทำอย่างไรดีล่ะอาจารย์ที่จะทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่สามารถพูดคิดทำอะไรจงไตร่ตรองให้ดี ทำอย่างไรอาจารย์ที่ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่สามารถพูดคิดทำอยู่ร่วมกับคนอื่น โดยไม่ทุกข์หรือไม่เพิ่มทุกข์ คิดออกกันไหม
(คิดก่อนพูด)  อย่างนั้นเมื่อศิษย์จะพูดอะไร ศิษย์ต้องตรึกตรองดูก่อนว่า สิ่งที่จะพูดนั้นคือเรื่องจริงหรือไม่ สมานสามัคคีหรือไม่ คำพูดไพเราะหรือไม่ ถ้าศิษย์ทำได้เช่นนี้ คำพูดของศิษย์ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถึงแม้เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเรื่องจริงนั้นทำให้คนแตกแยกก็อย่าพูด หรือถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะจริง แต่คำพูดที่จะออกไปไม่มีความไพเราะ เช่น แกมันโง่ คำพูดอย่างนี้คนฟังจะรู้สึกเจ็บไหม (เจ็บ)  ลองเปลี่ยนคำพูดว่า ถ้าแกทำอย่างนั้นอย่างนี้ แกจะฉลาดขึ้นอีกมากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นผู้มีปัญญา ฉะนั้นก่อนที่เราจะคิด จะพูดอะไร หรือก่อนจะทำอะไร ต้องไตร่ตรองให้ดีๆ ก่อนเสมอ
(ไม่โลภ)  ไม่โลภก็แปลว่าไม่อยากได้ใช่ไหม (อยากได้ผลไม้จากพระอาจารย์)
(คิดดี ทำดี พูดดี)  ศิษย์เอ๋ยคิดดีทำดีพูดดี แต่ถ้ายังไม่ละชั่วก็ยังไม่ดี ถ้ากิเลสยังไม่ละ ปัญญายังหลงอยู่ก็ยังไม่ดี ฉะนั้นถึงจะคิดดีพูดดี แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ใจยังแอบแฝงสิ่งที่ไม่ดีอยู่ นั่นแหละที่น่ากลัว (มีความยับยั้งชั่งใจ)  รู้จักยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่ไม่ดี (ดำเนินชีวิตโดยยึดธรรมะประจำใจ)  ธรรมะอะไร (ความพอเพียง ความยุติธรรม)  บางทีถ้าเรียกร้องความยุติธรรมมากเกินไป ก็กลายเป็นทุกข์ได้ จริงๆ แล้วเราเอาอะไรมาวัดว่ายุติธรรม ถ้าใช้สายตาคนมองแล้วมันก็ไม่ยุติธรรม ฉะนั้นเอาสิ่งนี้ดีกว่าไหม มีเมตตา ทำอะไรให้มีเมตตาเป็นหลัก ซื่อตรงก็ได้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดเป็นคนถ้าซื่อตรงเราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ถ้าซื่อตรงเราจะโลภ เราจะทำร้ายใครไหม ถ้ารู้จักพอจริงๆ ศิษย์ก็ทำได้ แต่ไม่เคยรู้จักพอสักทีจริงไหม (จริง)  (ปล่อยวาง)  เจออะไรก็ปล่อย ก่อนที่จะปล่อย ศิษย์ต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุดก่อน และถึงที่สุดแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นถึงจะปล่อย และต้องปล่อยให้ถูก ไม่ใช่เมื่อกลับไปแล้ว อะไรก็ไม่รับผิดชอบ อะไรก็ไม่ดูแล ปล่อยวางหมดแล้วได้ไหม (ไม่สนคำคนยุแยง)
(ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ)  ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ แล้ว เราสามารถมีสติรู้ทันกิเลสไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร จำไว้นะศิษย์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดกิเลสก็คือ เจออะไรแล้วนิ่ง ให้ใจเย็นอย่าเพิ่งใจร้อน ไม่ใช่ด่ามาก็ด่ากลับ เตะมาก็เตะกลับ อย่างนี้เจ๊งใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นใครด่ามาก็ให้นิ่งก่อน แล้วพิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาด่านั้นจริงไหม ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้น้อมรับและขอบคุณ ถ้าไม่จริงเราก็ไม่เป็นไร
(พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ตอบเหมือนหัวหน้าเลยนะ แต่อาจารย์ไม่เคยเห็นใครพอใจได้เลย สิ่งที่จะทำให้ศิษย์พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ได้ คืออะไรรู้ไหม แค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เท่านี้ก็ดีแล้ว เมื่อรู้จักพอจึงพบสุข แต่ถ้าเกิดว่าแค่นี้ไม่พอ เท่านี้ไม่พอ ยังไงมันก็ไม่ ใช่หรือไม่  (ใช่)  (ไม่โกรธไม่เกลียด)  ไม่โกรธไม่เกลียดแน่ใจหรือ ถ้าอยากไม่โกรธไม่เกลียด ก็จงอย่ารักใคร เพราะความรักนั้นทำให้เรารู้จักโกรธ เกลียด  เจ็บ ทุกข์ และอาฆาตแค้น ทำได้แน่หรือ  (แน่)  ฝ่ายชายตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง ทำอย่างไรจะละความอยากในบุหรี่ อยากในเหล้า อยากในการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไม่สร้างทุกข์ให้คนอื่น รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ทำอย่างไรดี
(ไม่ให้คุณค่ากับสิ่งไม่ดี)  แล้วเขาจะไม่มีค่าในสายตาเรา เขาจะทำผิด ทำถูก เราก็ไม่เดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ให้คุณค่ากับสิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าเราไม่ให้คุณค่า สิ่งนั้นก็ไม่มีผลต่อใจเรา แต่ถ้าทุกอย่างเราทำแบบนี้ตลอด เราก็จะไม่มีอะไรมาสอนใจเรา เพราะบางครั้ง สิ่งที่ไม่ดีก็ได้ให้แง่คิดและเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า เหมือนดั่งที่คนเรามักจะพูดว่า คนเราถ้าไม่ทุกข์จนถึงที่สุด ก็จะไม่รู้จักค้นหาความสุขที่แท้จริง ไม่เจ็บถึงที่สุด ก็ไม่คิดที่จะรักษาตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่รู้คุณค่าของคำว่า เข็มแข็ง ว่าคืออะไร ถ้าไม่เคยเจ็บมาก่อน ไม่ให้คุณค่า ใช้ได้ แต่บางครั้งก็ใช้ไม่ได้กับทุกกรณี (ขอให้มีสติ)  มาทีหลังแต่ตอบได้ดี ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้มีสติ ถ้ามีสติแล้วจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่กลัวจะขาดสติ พอไม่มีสติ สตางค์ก็เลยไม่มา ก็เลยเดือดร้อน (ให้ยอมรับความเป็นจริง และเปลี่ยนความอยากให้เป็นเป้าหมาย)  เป้าหมายของเราที่จะต้องเดินไปให้ถึง ศิษย์เอ๋ยเมื่อไรที่เรามีความอยาก เราหนีไม่พ้นและง่ายที่จะไปทำผิด มีความอยากแต่ทำแล้วไม่สมหวัง ก็ไปโกงนิดหน่อย
ถ้าศิษย์จะทำให้ได้ดี จริงๆ ศิษย์ต้องตระหนักไว้ว่า ชีวิตนี้ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ไม่อยากหรืออยากไป ก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอย่างไรคนก็หวังอยากได้เงินมาก่อนเสมอ ถูกหรือไม่
ศิษย์มักคิดว่าผิดนิดผิดหน่อย ทุกข์แล้วตายไปก็จบกัน หมดเคราะห์หมดโศกกับเขาแล้วก็จบกัน จริงไหม (ไม่จริง)  ถ้าไม่จริงก็แปลว่า เรารู้ว่าการที่เราทำบาปกรรมอะไรไว้ แล้วสะสมอยู่ในจิต จิตนี้เหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาป อัตภาพของตัวตนจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจ ถ้าความคิดและจิตใจมีความบริสุทธิ์ เป็นอิสระและศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราจะได้รับก็คือ ความบริสุทธิ์ อิสระ และศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจิตและความคิดเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและความอยาก สิ่งที่ได้มาก็คือ บาป อกุศล และวิบากกรรมที่นำไปสู่การเวียนว่าย แต่ถ้าในอัตภาพของจิตและความคิดมีความเป็นธรรม และตื่นรู้ในธรรมด้วยสติ สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาก็คือ ความพ้นทุกข์และหมดสิ้นอัตตาตัวตน ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ชีวิตจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ที่เราสร้าง ใช่ไหม (ใช่) ไม่ว่าศิษย์จะสร้างมานานแค่ไหนก็ตาม แม้ตอนนี้ศิษย์ไม่ได้สร้างขึ้นแล้ว แต่สิ่งนั้นก็ยังคงอยู่ในจิตใจ แล้วเกิดความกระเพื่อมสะท้อนให้เรารู้ว่า “เราเคยทำผิด เรามีสิ่งผิดติดอยู่ในใจ” ใช่หรือไม่ เรามีสิ่งไม่ดีสะท้อนอยู่ในใจของเรา สิ่งที่ไม่ดียังฝังอยู่ในใจ ถึงแม้เราจะหยุดเขียน หยุดสร้างแล้วก็ตาม แต่รอยของสิ่งนั้น รอยไม่ดีนั้นก็ยังอยู่ ฉะนั้นเราถูกปรุงแต่งไปด้วยกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นมา กรรมของเราจะดีหรือจะร้าย ก็ขึ้นอยู่กับอดีตที่เราเคยทำไว้ หรือปัจจุบันนี้เรากำลังทำอะไร จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ชีวิตและสรรพสัตว์ ล้วนเป็นอยู่ได้ด้วยกรรมที่ตัวเองทำมา” ถูกไหม
ฉะนั้นจะบอกว่าตายแล้วจบกัน ไม่จริง ตายแล้วร่างกายจบ แต่จิตไม่จบ เพราะจิตยังยึดติดบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง และบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง จะนำพาให้เราต้องไปเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น เราจะหยุดกรรมที่ตนเองสร้าง และไม่ทำให้ตนเองทุกข์ได้ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ง่ายๆ เลยนะศิษย์ เรามีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตน หรือเรามีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อคน ความหมายต่างกัน ทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาและความอยาก ผลที่ได้ก็คือ ทุกข์ วิบากกรรม และการเวียนว่าย หากทุกขณะที่ศิษย์ที่มีชีวิตอยู่ ศิษย์ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา เคารพ ซื่อตรง ให้เกียรติ จริงใจ มีน้ำใจ เราจะสร้างกรรมต่อไหม และจะเป็นกรรมต่อไหม แต่ทุกครั้งที่เราปฏิบัติต่อกัน ฉันอยากได้อะไรจากแก ทำไมแกไม่ทำอะไรให้ดีกว่านี้ ดังนั้นสิ่งที่เราปฏิบัติต่อกัน มันจึงไม่ใช่แค่ธรรมกับธรรม แต่มันเป็นกิเลส และกรรม ถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ และอยากบำเพ็ญธรรมให้ถูกต้องก็คือ กับคนที่อายุมาก เราเคารพ ให้เกียรติ กับคนที่อายุน้อย เราเมตตา จริงใจ กับเพื่อน เราซื่อตรง เข้าใจ ไม่เอาเปรียบ ดำเนินชีวิตรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เช่นนี้แล้ว กิเลสจะเกิดหรือไม่ (ไม่)  แต่เวลาอยู่กับลูกกับสามี ปฏิบัติด้วยธรรม หรือว่าปฏิบัติด้วยกรรม กรรมอะไรนี่ต้องมาเจอแม่เธอ พ่อเธอ กรรมอะไรนี่ทำให้ต้องมีเพื่อนอย่างเธอ ฉะนั้นสิ่งที่ได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม ให้เกียรติ เคารพ เมตตา ซื่อตรง จริงใจ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ส่วนเขาไม่ดีเป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่แค่บอกว่าไม่ถูก ถ้าไม่ถูกสามครั้งแล้ว เราก็ต้องปล่อย เพราะว่าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ สิ่งที่เปลี่ยนได้ก็คือตัวเราเอง เราทำได้อย่างนี้ไหม (ได้)  ยากไหม
แต่อาจารย์เคยเห็นความโกรธที่ไม่บาป แต่เป็นโกรธที่น่ารัก เป็นโลภหลงที่ไม่บาป ไม่มีกรรม แต่เป็นโลภหลงที่น่ารัก อาจารย์พูดให้ฟัง มีแม่คนหนึ่งโกรธลูกมาก สอนให้ได้ดีอย่างไรก็ไม่เอา ก็เลยโกรธ แต่ก็ไม่ด่าลูก ลูกมาถึงก็เรียกลูกมานั่งและแม่ก็นั่งตีมือตัวเอง ว่าแม่ไม่ดี แม่แย่ แม่เลว ใช่ไหม ลูกถึงไม่เคยได้ดี ศิษย์คิดว่าลูกนั่งมองแม่นั่งตีมือตัวเอง ลูกจะไม่สำนึกหรือ และเป็นการโกรธที่น่ารักไหม ไม่ลงโทษลูกแต่ลงโทษตัวเอง ถ้าสามีมีชู้ ก็ตบตัวเองเลย แล้วบอกว่าเพราะฉันไม่ดี ฉันเลว ฉันขี้บ่น ใช่ไหม ฉันขอโทษ ถ้าตบเขาแล้วเขาไม่เคยแก้ไข เราก็ตบตัวเองดีกว่า เราเคยเห็นไหม โลภหลงแบบนี้แล้วน่ารัก โลภหลงแล้วไม่เป็นบาป เคยเห็นเวลาซองผ้าป่า ซองบุญมาไหม (เคย)  เอามาเลยชอบทำบุญ ช่วยคนเหรอ ช่วยๆ เพราะชอบ แบบนี้น่ารักไหม ไปไหนก็จะมีแต่คนรัก โลภบุญ โลภกุศล มีอะไรชอบทำหมด ก็เป็นโลภหลงที่ไม่ก่อกรรม เป็นบุญที่น่ารัก ชวนไปไหนขอให้เป็นงานบุญไปหมด ชวนไปเที่ยว ไม่เอา แต่ศิษย์เป็นอย่างไร งานบุญกลับไม่เอา ไปเที่ยวกลับรีบเอา เรียนรู้ธรรมไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่รู้จักโลภ โกรธ หลง แล้วไม่กลายเป็นกรรมที่ก่อให้เกิดความทุกข์ และเกิดการจองเวรจองกรรม ศิษย์ยังต้องไปรับผิดชอบต่อหน้าที่และต้องไปแสวงหาเงินทอง แต่ขอให้ศิษย์หาเงินอย่างมีธรรม และหาเงินอย่างไม่ตกเป็นทาสของกิเลสที่ทำให้เราหนีไม่พ้นกรรม เราไม่อยากมีทุกข์เพิ่มไม่ใช่หรือศิษย์ ทุกข์ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว ผิดหวังครั้งเดียวก็ช้ำมากพอแล้ว แล้วอยากผิดหวังอีกไหม อยากทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะทำอะไรลองไตร่ตรองให้ดี ผิดศีลไหม เบียดเบียนชีวิตคนไหม อยากได้ของคนอื่นเอามาเป็นของตัวเองไหม มันทำให้เรากลายเป็นคนสับปลับปลิ้นปล้อนหลอกลวงหรือเปล่า มันทำให้เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญาหรือไม่ ถ้าทุกขณะที่ทำเรามีเมตตา ความอยากนั้นก็คงไม่ทำร้ายใครใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์หวังดีกับคนอื่น แต่หวังดีมากเกินไปจนไม่มองความจริงมันก็เจ็บ ฉะนั้นเมตตาก็ต้องเมตตาโดยอย่าลืมความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
อาจารย์พูดเริ่มต้นไป เรื่องความทุกข์มี ๒ แบบ
๑. ความทุกข์จากความเป็นจริงที่หลีกไม่พ้น
๒. ความทุกข์ที่เกิดจากกรรมหรือการกระทำของเราเอง
อาจารย์ก็ได้บอกวิธีแก้ให้เราไม่สร้างทุกข์ที่เกิดจากกิเลสไปแล้ว แต่อาจารย์ยังไม่ได้บอกวิธีที่จะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดจากความเป็นจริง
ในชั้นนี้มีใครเกิดมาแล้วไม่ตายบ้าง มีใครไม่เคยพลัดพราก มีใครโชคดีแล้วไม่มีโชคร้ายเลย มีใครสวยแล้วจะไม่น่าเกลียด มีใครหล่อแล้วจะไม่อัปลักษณ์ แล้วมีใครมีเงินแล้วเหมือนไม่มีเงินบ้าง ศิษย์เอ๋ย เมื่อศิษย์จะอยู่กับอะไร ต้องอย่าลืมว่า จะมีกฎอย่างหนึ่งซึ่งเป็นกฎที่ตายตัว ที่อย่างไรก็หนีไม่พ้น เป็นกฎแห่งความเป็นจริงที่จะทำให้เราทุกข์น้อยที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง แล้วเราจะไม่ทุกข์ และอยู่กับมันด้วยความรู้สึกว่าเป็นธรรมดาได้ นั่นคือเราต้องเข้าใจชีวิต
ในสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” นั้นมีกฎอยู่อย่างหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ” ที่ได้ก็เหมือนไม่ได้ ที่มีก็เหมือนไม่มี ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ ถ้าพึงคิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา พิจารณาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เขียนกระดานให้อาจารย์หน่อย เผื่อเอาไปรับมือกับความเป็นจริงในโลกแล้วจะได้ทุกข์น้อยลง วันหนึ่งหน้าตึงๆ นี้เกิดเหี่ยวขึ้นมาก็รับได้ ไม่ต้องไปฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเล่อร์
ถ้าศิษย์อยากจะอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง เราพึงสำนึกไว้ตลอดเวลาว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เช่นตอนแรกอาจารย์ว่าจะให้แอปเปิล แต่ตอนนี้อาจารย์เปลี่ยนใจ ถ้าเรารับความจริงอันเป็นธรรมดาได้ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เราก็คงไม่เกลียดอาจารย์ ฉะนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าจะให้แล้วอาจารย์เปลี่ยนใจบอกว่าไม่ให้ได้ไหม (ไม่ได้)  นี่คือไม่ยอมรับความเป็นจริง ก็โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน นับประสาอะไรกับคน คนแน่นอนไหม วันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาด่าเราไหม (ด่า)  วันนี้เขาด่าเราพรุ่งนี้เขาชมเราไหม (ชม)  แน่นอนไหม (ไม่แน่นอน)   ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) พอถึงเวลาเราโดนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)
ฉะนั้นความไม่แน่นอนจึงทำให้เรารู้ชัดว่า ในความไม่แน่นอนนั้นแปลว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วความไม่แน่นอนก็ทำให้เราแตกออกไปอีกว่า สิ่งที่เราเห็นก็เหมือนไม่เห็น เหมือนเมื่อวานเขานั่งตรงนั้น แต่วันนี้เขานั่งตรงนี้ ศิษย์เอ๋ยความไม่แน่นอนทำให้เราเห็นว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ อย่างที่สองทำให้เราเห็นว่า สิ่งที่เรารู้ก็เหมือนไม่รู้ ตำแหน่งหน้าที่ คนรัก ชีวิต เราว่าเรารู้จักแล้วนะว่าชีวิตเราเป็นอย่างนี้ แต่ถึงเวลาเราก็เหมือนไม่รู้จักตัวเราเอง คนรัก พ่อแม่ เราว่าเรารู้จักดี แต่ถึงเวลาเขาก็ทำอะไรที่เราไม่คาดคิด ไม่รู้จักได้เหมือนกัน ชีวิต เงินทอง ทรัพย์สิน เราว่ากว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา รู้จักแบบเต็มที่ ถึงเวลาดันพลิกโดนไล่ออกจากตำแหน่ง เราก็เหมือนจะรู้ แต่แท้จริงแล้วเราไม่รู้
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอน เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วรู้ก็เหมือนไม่รู้ เมื่อไรเราเข้าใจความไม่แน่นอนอีก เราก็ยังรู้อีกว่ามีสิ่งที่เราคิดว่ามันมี มันก็เหมือนไม่มี คนนี้ของฉัน ฉันมี ฉันได้ แต่มีก็เหมือนไม่มี ดังนั้นคิดไว้ว่าเวลาสามีออกจากบ้าน สามีก็ไม่ใช่ของเรา ออกจากบ้านแล้ว ภรรยาก็ไม่ใช่ของเรา อยู่ในบ้านเดียวกันบางทีก็ไม่ใช่ของเรา เพราะใจไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เงินก็เหมือนกัน เหมือนอยู่ในกระเป๋า แต่ถึงเวลาหายออกไปได้อย่างไร เพราะเอาไปแทงหวยสามตัว ถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต เราก็จะเห็นความกระจ่างในความเป็นจริงว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เราจะอยากได้อะไรไหม เมื่อไม่สมบูรณ์แบบ รู้แล้วเหมือนไม่รู้ เราจะโกรธอะไรไหม มนุษย์จะทุกข์ก็ตรงนี้ ที่คิดว่าตัวเองรู้แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าเราไม่อยากจะทุกข์ ในโลกนี้ศิษย์อย่าลืมความเป็นจริงอันนี้ที่เรารู้ เอามาเตือนใจตลอดเวลา ฉะนั้นจะเจอเรื่องราวอะไร ศิษย์จะได้ไม่ผิดหวัง เพราะสิ่งที่เรารู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่เราคิดว่าเลือกมาดีที่สุด แท้จริงอาจจะไม่ดี เหมือนเราคิดว่าเลือกผลไม้มา ในบรรดาเหล่านี้อันนี้ดีที่สุด แต่ถึงเวลาเราเลือกมา พอเปิดกินดู เปรี้ยว ขม เฝื่อน เมื่อเรารู้ว่าได้มาแล้ว มันไม่เป็นอย่างที่เราคาดคิด โกรธไหม ถ้าโกรธศิษย์ก็ทุกข์เพิ่ม โกรธแล้วไปด่าแม่ค้า ถ้าไปด่าแม่ค้าศิษย์ก็สร้างวิบากกรรม ฉะนั้นถ้าเปลี่ยนใหม่ ได้มาแล้วอร่อยถูกใจ ทุกข์หรือสุข  (สุข)  จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
ฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง ทุกขณะจิตล้วนบ่งบอกว่าเราสร้างกรรมหรือเรามีธรรม เราเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราตื่นรู้ในธรรม หรือเอาสิ่งนั้นมาสร้างเวรสร้างกรรม ธรรมะจึงไม่ใช่อยู่แค่ในวัด แต่ธรรมะอยู่ทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิต เราจะเกิดมามีกรรมต่อกัน หรือเกิดมาเพื่อสิ้นกรรมและพบธรรม
ฉะนั้นประมาทไม่ได้แม้ชั่วขณะที่ศิษย์คิด อร่อยก็มีกรรม ไม่อร่อยก็มีกรรม (อย่าไปคาดหวัง)  ให้มันได้จริงๆ อย่างนั้น แล้วถึงเวลาเราไม่คาดหวังได้ไหม มีลูกก็อดคาดหวังว่าลูกต้องได้ดี แล้วทำอย่างไรดีเพื่อไม่คาดหวัง อย่าไปคิดอะไรเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยไม่คิดอะไรเลยก็ดี แต่บางครั้งก็ต้องคิดอย่างคนมีสติและปัญญา ไตร่ตรองในความเป็นจริง และความจริงจะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เราเกิดมาเพื่อนั่งอมทุกข์หรือศิษย์ (ไม่ใช่)
คนทุกคนเกิดมา ถามว่ามีใครอยากเกิดมาเป็นคนโง่ไหม ฉะนั้นธรรมะทำให้ศิษย์ฉลาดขึ้น และมองเห็นโลกชัดขึ้น มองเห็นมายาในมายา มองเห็นความจริงมีมายาซ้อนอยู่ และเราจะเลือกมายาหรือจะเลือกความจริง ใครๆ ก็อยากได้ความจริง
การศึกษาบำเพ็ญธรรม จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ขอเพียงเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต และเข้าใจตัวตนเองไม่สร้างวิบากกรรมด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วความทุกข์ของเราก็จะไม่มีมาเพิ่ม ฉะนั้นเมื่อพบอะไรที่เกินเลยไป รู้สึกว่าแย่เกินไปบ้าง เราก็จะยอมรับว่า สิ่งนั้นคือความไม่แน่นอน และเมื่อถึงที่สุดในความไม่แน่นอน ก็หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ถึงที่สุดตัวเราเองก็ต้องกลับคืนสู่ดิน เหลือแต่จิตเท่านั้น
ฉะนั้นจิตจะคืนสู่ธรรม หรือจิตจะยึดติดกรรม ก็ต้องถามใจของศิษย์ดูเอง ถ้ายึดติดกรรมดีกรรมชั่ว ศิษย์ก็จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องกลับไปพบ แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรแล้วไม่ยึดติด ทำอะไรแล้วก็ล้วนแต่ทำไปเพื่อธรรมะ เพื่อความเมตตาธรรม เพื่อความซื่อตรงจริงใจต่อกัน เราก็จะไม่มีกรรมต่อไป ดังนั้นเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติธรรมให้ดี ถ้าทำได้ดีก็เรียกได้ว่าเป็นพุทธะบนดิน เป็นคนประเสริฐ อย่างน้อยตายไปก็ไม่เสียชาติเกิด ที่เราทำดีที่สุดแล้ว ถึงแม้ยังไม่พ้นทุกข์ อย่างน้อยก็ยังมีบุญกลับมาบำเพ็ญต่อได้
อยู่ในโลกนี้อย่ายึดติดความคิดของตัวเองจนมองไม่เห็นความจริง อยู่ในโลกนี้จงรู้จักมองความจริงอย่าเอาแต่สิ่งที่เราอยากได้ อยากเจอ แม้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ อยากเจอนั้นจะดีก็ตาม แต่ความเป็นจริงในโลกนี้ มีดีก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ เราเกิดมายืนอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน ไม่ยึดติดอะไร ถ้ามองแล้วรู้สึกทุกข์เหลือเกิน เจ็บเหลือเกิน ศิษย์ลองย้ายมุมมองดู เผื่อจะมีอะไรให้เห็นแล้วรู้สึกสบายตา สบายใจขึ้น เราเลือกได้ เราอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
เราเลือกที่จะเป็นได้ และเราเลือกที่จะวางใจให้พ้นทุกข์ได้ ถ้ารู้สึกว่ายึดแล้วทุกข์ก็ให้ปล่อย แล้วมองมุมอื่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ถ้ามองแล้วรู้สึกเจ็บ แค้น เกลียด อยากด่า อย่างนี้เราเลือกที่จะไม่มองจะดีกว่าไหม
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราทำให้ทุกคนยิ้มให้เราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วให้ทุกคนยิ้มให้เราตลอดได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นเวลาที่คนอื่นเขาหน้าบึ้งก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถูกด่าก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) เมื่อรู้สึกสูญเสียก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) จริงๆ นะ เมื่อเรามองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว เราก็ทำใจให้เข้าใจ แล้วศิษย์ก็จะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้เลย เรื่องที่ไม่ควรคิดศิษย์ก็คิดมากกันจัง แต่เรื่องธรรมะ คิดแล้วทำให้พ้นทุกข์ ทำไมศิษย์จึงไม่คิด คิดแล้วทำให้ปลดปลง โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด รู้ก็เหมือนไม่รู้ ช่างมัน ฝึกคิดอย่างนี้เผื่อว่าจะทำให้ศิษย์ได้ตื่นรู้ในใจขึ้นมาบ้าง ฉะนั้นอย่างที่อาจารย์บอกไว้ว่า อย่าโกรธ ไม่ต้องไปตีเขา ไม่ต้องไปด่าเขา แต่ย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง
เมื่อไรที่เราเผลอยึดขึ้นมา เราจะหนีไม่พ้นความทุกข์ แล้วเราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาที่เห็นแจ้งจริงได้ เราทุกข์เพราะเราคิดว่าเรารู้จักแกดี แกไม่ต้องมาเถียง แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าคิดอะไร แต่จริงๆ รู้ไหม (ไม่รู้)  ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดความทุกข์ก็คืออย่ายึดติดในความคิดจนลืมมองเห็นความ เป็นจริง เหมือนที่ท่านแปดเซียนบอกไว้ว่า “ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากกว่าเราวางใจผิด”  ศัตรูคู่อาฆาตทำร้ายเรายังไม่น่ากลัวเท่าเราวางใจผิด


(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางใจให้ถูกที่”)
ถ้าเขาว่าเราแต่เราวางใจถูก ไม่เป็นไร มีชมก็มีว่า เราไม่ทุกข์ แต่ถ้าเขาชมเรา แต่ในใจเราคิดว่าเขาชมเพราะหวังอะไรในใจ ที่ชมเราก็ทุกข์ เหมือนเราถูกสองตัว ดีใจหรือเสียใจ เสียใจว่าทำไมเราไม่ลงให้มากกว่านี้ ถ้าวางใจผิดแม้จะถูกก็เหมือนไม่ถูก เพราะใจคิดไม่ได้ ฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไรไม่ใช่อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่อยู่ที่ตัวศิษย์ทุกคนคิดและเข้าใจชีวิตอย่างไร ดั่งพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” พึ่งคน อื่นยังมีวันกลับกลาย ยังมีวันเปลี่ยนแปลง แต่พึ่งปัญญาของตนที่สู้ไม่ถอย ล้มแล้วเข้มแข็งได้ ทุกข์แล้วก็จะสุข ไม่ต้องรอใคร เจ็บแล้วก็กลับมายืนใหม่ได้ ด้วยสติปัญญาตัวเองดีกว่าไหม ขอเพียงอย่างเดียว ศิษย์อย่าผิดศีล อย่าขาดธรรม อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถึงตอนนั้นแม้ศิษย์จะเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน ไม่มีใครล้างบาปของใครได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีบาปมีกรรม ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส และอารมณ์ในคำว่าตัวตน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ฉะนั้นถ้าคิดจะบำเพ็ญจงเลือกบำเพ็ญในทางที่ถูกต้อง ถ้าคิดจะปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้ถึงที่สุด ถ้าเลือกที่จะทำก็ต้องทำให้ดี อย่ากอปรไปด้วยกิเลสและความยึดติดหลง ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย
บุญเขาก็มี แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องเขาก็ยังมี ฉะนั้นทำได้ดีหรือยัง อารมณ์ควบคุมได้ไหม ศิษย์จำไว้ สังขารสักวันต้องเสื่อมสลายกลับคืนสู่ดิน จงรักษาจิตที่ศักดิ์สิทธิ์ และดีงามไว้ เพื่อกลับคืนสู่ฟ้า จิตบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ ไม่กอปรไปด้วยอัตตา กิเลส นิสัย และอารมณ์
จิตบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อประกอบไปด้วยศีลธรรมที่งดงามแห่งความเป็นคน สังขารคืนสู่ดิน จิตคืนสู่ฟ้า แล้วจิตจะคืนสู่ฟ้าได้อย่างไร ก็ต้องเป็นจิตที่บริสุทธิ์ใส ไม่กอปรไปด้วย กิเลส ทิฐิ ตัณหา อบายมุข และอารมณ์แห่งตัวตน แต่ถ้าเรายังไม่สามารถทำจิตให้คืนใสได้ จิตยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเวียนว่าย แล้ววิบากกรรมที่ศิษย์สร้างบาปมากกว่า หรือบุญมากกว่า ถ้าบาปมากกว่า ก็หนีไม่พ้นนรกลงดิน แต่ถ้าบุญมากกว่า ก็ขึ้นไปเสวยบุญ พอหมดบุญก็ต้องกลับมาเวียนว่าย แล้วเราต้องเวียนว่ายอีกเท่าไร ทุกข์อีกเท่าไร ถ้าศิษย์ว่าทุกข์ในโลกเจ็บแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่า ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเกิดอีก เจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกมันทุกข์แล้ว แต่ทุกข์ของการที่ต้องไปสนองรับกรรมที่ตัวเองสร้าง เจ็บยิ่งนัก เพราะเราเอาเขามาทั้งชีวิต เราเบียดเบียนคนอื่นทั้งชีวิตและจิตใจ เพราะเวลาเราว่าคน เราเคยรู้จักความเมตตาก่อนว่าไหม เวลาโมโหแล้วว่า เคยมีสติยั้งใจว่า อย่าทำเขาเลยไหม ถ้าไม่มี ศิษย์ก็ต้องรับกรรมที่ศิษย์ทำไว้อย่างหนีไม่พ้น ฉะนั้นปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมดีกว่า อย่าปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตาดีกว่า อย่าปฏิบัติต่อกันด้วยความโกรธ ความหลง มีธรรมในตัว มีธรรมเป็นตัวเป็นตน และมีธรรมครอบงำจิตใจตน และเมื่อนั้นตัวตนจะหายไป เหลือแต่ธรรมที่คงอยู่ไว้
อาจารย์อยากเห็นศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ ไม่ใช่แย่กว่าอาจารย์ อาจารย์อยากเห็นศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็ง ยืนหยัดในวันที่ท้อแท้ วันที่ล้า วันที่เจ็บปวดได้อย่างมั่นคง ถ้าศิษย์รักตัวเองจริงๆ คงไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ถ้าศิษย์รักตัวเองอย่างที่อาจารย์รักศิษย์ ศิษย์ก็คงรีบนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แต่ไยหนอจึงไม่รักตัวเอง เห็นกิเลสเห็นอารมณ์ดีกว่าหัวใจแห่งธรรม
อาจารย์คงต้องไปแล้ว เข็มแข็งหยัดยืนในความถูกต้อง ด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอย รู้จักมีสติยับยั้ง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ แม้ไม่เจออาจารย์แต่ถอดความอาจารย์ ก็เอาใจอาจารย์ไปด้วย รู้จักทำ รู้จักคิด จะได้ไม่ทุกข์ ทุกข์แค่นี้ก็มากแล้ว ถ้าเชื่อว่าจะหมด มันก็มีวันหมด กลับมาช่วยอาจารย์ อย่าลืมสิ่งที่เคยรับปากไว้ เป็นกำลังให้ รักษาหัวใจอันดีงามไว้ เข้มแข็งเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิดเพราะความคิดชั่ววูบ สิ่งมงคลจะเกิดได้เมื่อเรารักษาความดีงาม อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง กำลังใจอาจารย์ให้ศิษย์เสมอ รักษาสิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ มีโอกาสลองมาช่วยอาจารย์ เด็กดีของอาจารย์ มีศิษย์ที่เข้มแข็งอยู่ข้างหลังอาจารย์ อาจารย์ก็ดีใจ มีศิษย์ที่มั่นคงไม่ยอมแพ้ อาจารย์ก็ภูมิใจ มีโอกาสก็กลับมาอีก และตั้งใจบำเพ็ญ รู้จักเลือกดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ ฉะนั้นศิษย์อย่าทิ้งตัวเอง รักษาความถูกต้องและดีงาม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และนำพาให้ตัวเองทุกข์ ลองคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดได้กลั่นออกมาจากใจ หวังให้ศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางใจให้ถูกที่”
    ชีวิตคนเป็นอย่างไร                    วุ่นวายเป็นอย่างที่รู้
ช่างรู้ในความไม่รู้                           ผู้เฝ้าตามดูไม่หลง
วางใจลงให้ถูกที่                            บางทีทำถูกผิดส่ง
ชีวิตไม่ใช่เส้นตรง                           ปัญญาจงเป็นธงชัย
ยืนหยัดในวันลมแรง                       กำแพงแห่งโลกแปลกใหม่
สู้ให้ชนะเมื่อไร                             ทำใจให้เป็นดีกว่า




อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

2562-04-20 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二〇一九年嵗次己亥三月十六日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ใจคนนั้นปราบยากกว่าสิ่งไหน ทั้งดื้อรั้นทิฐิไปมากหลงผิด
ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่าใจคิด ขาดสำนึกไม่รู้ผิดยากเปลี่ยนแปลง

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามทุกท่านเกษมฤา

อารมณ์ร้อนรู้สติมีคุณหนักหนา คอยยั้งเตือนทันเวลาไม่พลาดผิด
หมั่นเตือนตนอยู่เสมอไม่ขาดมิตร ใครหงุดหงิดทาสอารมณ์รีบเตือนตน
ทำปล่อยปล่อยเผลอติดจนเป็นนิสัย ทำอะไรจะได้ดีต้องฝึกฝน
มีอะไรกระทบถูกร้ายแรงเกินทน ไม่สับสนในตัวตนย่อมผ่อนคลาย
ถ้าไม่รู้นิ่งหยุดก็จะรู้ สติกู้ให้ไวรู้สอบตรวจง่าย
สงบว่างวางใจไม่โทษใครใคร มุ่งบำเพ็ญตัวตนใจกายลงแรง
อย่าได้ทำนิ่งแต่เพียงภายนอก น้ำกระฉอกปรุงความคิดจิตดื้อแพ่ง
ปล่อยตัวเองฟุ้งซ่านย่อมติดคาตะแกรง ชนกำแพงจำแต่อภัยจิตไม่ลง
โลกโลกีย์ขุ่นหมองแล้วไม่หลุดพ้น ธรรมเข้มข้นผู้สงบอยู่โล่งโล่ง
ชีวิตวุ่นวางเฉยได้ไม่หมุนโคลง เวหาโล่งกมลเย็นอย่ารู้หาความ
เมื่อจิตตื่นรู้ตนย่อมเกิดปัญญา แปรเปลี่ยนอัตตากลายเป็นทางให้ข้าม
แปรเปลี่ยนทิฐิติดวนเป็นความพยายาม ทางต้องข้ามพยายามจึงถึงเส้นชัย
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เราเป็นคนชอบฟังคนอื่นพูดหรือเราเป็นคนชอบพูดมากกว่า
(พูดมากกว่า) มนุษย์โดยส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟัง จริงไหม
“ใจคนนั้นปราบยากกว่าสิ่งไหน ทั้งดื้อรั้นทิฐิไปมากหลงผิด
ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่าใจคิด ขาดสำนึกไม่รู้ผิดยากเปลี่ยนแปลง”
ใจเรานั้นควบคุมยาก ให้คิดดีก็ชอบคิดร้าย หูฟังแต่ใจปฏิเสธ
ใจเราอยากจะทำดีนะ แต่มือมันก็อดทำไม่ดีไม่ได้
ทำความรู้จักกันก่อนดีหรือไม่ มีหลายท่านคงสงสัยว่าเราคือใคร
เราขอแนะนำตัวก่อนและขอเวลาสนทนาธรรมกับท่านในชั้นนี้สักชั่ว
โมงกว่าๆ หรืออาจจะไม่ถึงชั่วโมง ได้ไหม (ได้)
ไม่ต้องยกว่าเราสูงล้ำกว่าใคร เราก็ไม่ต่างอะไรจากท่าน
ในโลกของความแตกต่าง การกระทำอะไรย่อมมีที่แตกต่างกันไปบ้าง
แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่แตกต่างนั้นจะดูน่ารังเกียจ และก็ใช่ว่าจะดูไม่น่าสนใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ได้มาแบบน่ากลัว
และเราก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นก็คงไม่กลัวเราจริงไหม
เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ทุกสังคมย่อมมีกฎระเบียบ
อย่าอึดอัดกับกฎระเบียบ
บางครั้งกฎระเบียบก็ทำให้เรารู้ว่าการยึดติดในความคิดมากเกินไปก็ทำให้เร
าทุกข์ ปล่อยไปบ้างจึงจะทำให้เราสุข จริงไหม
วันนี้มาฟังธรรม เรามาเพื่อละหรือมาเพื่อยึด (มาเพื่อละ)
ฟังแล้วละหรือฟังแล้วยึด
แล้วเรามาเพื่อเห็นธรรมหรือเรามาเพื่อเห็นแก่ความคิดตัวเอง (เห็นธรรม)
จริงหรือ (จริง) เห็นฟังไปก็เอาแต่บ่นๆ ยังไม่ค่อยเห็นธรรมเลย
มีไหมที่ไม่บ่นตัดพ้อต่อว่า ไม่ต่อว่าใครเลย ถ้าอย่างนั้นเราบอกให้นะ
วันนี้ถึงแม้ใครจะถูกบังคับมาหรือไม่เต็มใจมา
แต่คนที่ชวนมาเขาเห็นว่าทุกท่านมีดี จึงอยากให้มาเจอสิ่งที่ดีๆ
เพราะเขาเห็นว่าเรามีธรรมจึงอยากให้เราค้นหาธรรม
แล้วธรรมก็ไม่ได้อยู่ภายนอก
แต่ถ้าสงบจากภายในจะบังเกิดความเข้าใจในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยทำสิ่งที่ดีๆ ไหม (เคย) เวลาที่เราทำสิ่งที่ดีๆ
มีคนไม่เห็นคุณค่าไหม (มี) เคยได้รับการดูถูกไหม (เคย)
เคยได้รับการต่อว่าต่อขานกลับไหม (เคย)
ถ้าเช่นนั้นก็หัวอกเดียวกับเราเลย เคยทำดีแล้วโดนคนว่าหลอกลวงไหม
(เคย) แล้วเคยถูกว่า ทำดีเอาหน้าไหม (เคย) แล้วยังทำดีอยู่ไหม (ทำ)
ฉะนั้นใครดูถูกคุณค่าเราก็ได้ แต่เราอย่าดูถูกคุณค่าความดีในใจเรา
ใครจะว่าเราใจร้าย ใจดำก็ได้ แต่เราอย่าลืมคุณธรรมในใจเรา
มนุษย์ทุกคนล้วนเคยทำดี แล้วพอทำดีกลับถูกคนตั้งแง่รังเกียจ
ทำเท่าไรก็รังเกียจ ถึงขนาดอยากฆ่าเราให้พ้นๆ เคยเจอแบบนี้ไหม (เคย)
เคย
ทำดีแล้วเจ็บแบบนี้ไหม (เคย)
เราเล่าเรื่องของคนๆ หนึ่งให้ฟัง มีคนๆ
หนึ่งเขาเกิดมาไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร ต้องเลี้ยงตัวเอง
อยากเรียนวิชาก็ต้องดิ้นรนหาเรียนด้วยตนเอง
แต่เมื่อไปเรียนก็ถูกคนรังเกียจเพราะความยากจน
อาจารย์ที่ดูเหมือนน่าจะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้
ก็กลับดูถูกดูแคลนเขา จนบางครั้งเขาอดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
เงยหน้ามองฟ้าถามฟ้าทำไมทำดีไม่ได้ดี บางครั้งก็ถามใจตัวเอง
“เราจะทำดีไปเพื่ออะไร เหนื่อยจัง” เพราะไม่มีใครรัก
เพียงแค่ว่าเราไม่มีพ่อแม่ พ่อแม่เราเป็นใครไม่รู้ ในชั่วขณะที่ทุกข์จนถึงที่สุด
เรากลับคิดได้ว่า เกิดเป็นคน ยืนอยู่กลางฟ้าและดิน มองฟ้ามากๆ
ก็น้อยเนื้อต่ำใจ ก้มหน้ามากๆ ก็ดูถูกดูแคลน แต่ในชั่วขณะนั้น
กลับคิดได้ว่า เราเกิดมากลางฟ้าดิน เราเกิดมาอยู่ระหว่างฟ้าดิน
พูดแบบนี้อยู่ 4-5 ครั้ง จน 10 ครั้ง
ความทุกข์ทั้งหลายมันหลุดโพล่งออกไปทันที ถ้าเราทำตัวหนัก ทำตัวแย่
เราก็คือพื้นดินให้คนเหยียบย่ำ แต่ถ้าเรายกจิตให้สูงให้ดี ให้งาม ให้บริสุทธิ์
ให้ใส เราก็คือฟ้าที่คนแหงนมอง ฉะนั้นเราอยากเป็นฟ้าหรืออยากเป็นดิน
(อยากเป็นฟ้า) แล้วถ้ายิ่งเขาเหยียบ เราจะเป็นดินที่ลอยสู่ฟ้าไม่ได้หรือ
แล้วขณะนั้นเราก็คิดได้อีกว่า เราอยู่ระหว่างฟ้าดิน ฟ้าดินสอนว่า
“แม้เราจะไม่ได้สูงเด่นแต่เราก็หาใช่คนที่ต่ำต้อย
เพราะยังมีคนที่ต่ำกว่าเรา” จริงไหม (จริง)
ไม่เคยมีใครทำเราตกต่ำได้นอกจากตัวเราเอง
ไม่มีใครเหยียบย่ำใจเราได้นอกจากตัวเราเอง
และไม่มีใครทำเราทุกข์ได้นอกจากตัวเราเอง ฉะนั้นเรายืนระหว่างฟ้าดิน
นั่นหมายความว่าฟ้าหรือธรรมชาติต้องการบอกเราว่า
“เรามีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและตรงกลางเสมอ”
เราไม่เคยแย่และเราก็ไม่ได้ดีมากมาย
เพราะถึงที่สุดเราก็อยู่ระหว่างคนที่ดีกว่าและคนที่แย่กว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นทำความดีไม่ต้องไปรอพึ่งใคร ขอเพียงมีสติคิดได้
ตื่นรู้ตนและนำสิ่งนั้นมาสอนใจ เพราะถ้ารอใครมาเตือน รอที่จะพึ่งใคร
เขามีวันเปลี่ยนแปลง จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเรารู้จักตื่นด้วยสติ
ด้วยความคิดที่เข้าใจธรรม ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่ตกต่ำ
เหมือนวันนี้ทำไมเราต้องเข้าใจธรรม
เพราะความเข้าใจธรรมจะทำให้เราไม่เคยเกลียดใครได้ลง
และความเข้าใจธรรมจะไม่ทำให้เรารักใครจนทำร้ายให้เราเจ็บปวด
และความเข้าใจธรรมจะทำให้เรารู้จักพึ่งสติปัญญาและธรรมในใจตน
โดยที่ไม่ต้องไปอ้อนวอนหรือขอใคร
อยากเกิดมาเป็นราชาที่ร่ำรวยคำขอบคุณ
หรืออยากเกิดเป็นยาจกที่ขอคนรักคนเห็นใจ คนเข้าใจและคนไม่รังเกียจ
ถามใจท่านดู
คนที่เป็นราชาได้คือคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กแค่ไหนก็ขอบคุณ
แบบนี้ก็ขอบคุณ แต่คนที่เอาแต่ขอก็คือ “ขออีกนิดสิ ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ
ทำไมทำกับฉันแบบนี้” หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยมีความสุขเพราะขอไม่จบ
ใช่ไหม (ใช่) เราอยากอยู่บนโลก
อยากอยู่อย่างคนที่ขาดทุนหรืออยากอยู่อย่างคนที่มีกำไรในความสุข
(คนที่มีกำไร) ฉะนั้นถ้าคนที่มีกำไรเขาเอาแต่ติ ว่า “ไม่ชอบ” จับผิด
หรือว่า “นั่นก็ดี โน่นก็ใช้ได้ นั่นก็น่ารัก นี่ก็สวยหล่อ”
แต่ชีวิตเราขอบคุณหรือตำหนิติเตียน (ขอบคุณ)
สงสัยเพิ่งจะขอบคุณตอนเราพูดใช่ไหม ฉะนั้นลองถามใจท่านเองนะ
ให้ท่านจำไว้เสมอว่า มนุษย์ทุกคนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
ไม่มีใครแย่และไม่มีใครดีเกิน จริงไหม (จริง)
เราอยู่กลางระหว่างฟ้าดิน เป็นฟ้าดี แต่ถึงเวลาเราก็ต้องเป็น “ดิน”
ได้ด้วย แล้วถึงเวลาเราก็ต้องเป็นกลาง
เพราะธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่าอย่ายึดติดสิ่งใด
เพราะถ้าพยายามยึดติดอยากเป็นฟ้า พอโดนคนกดขี่ทำให้เป็นดิน
เราจะเป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราเป็นอะไร (เป็นกลาง,
เป็นอะไรก็ได้) ตอบได้ดีนะ เป็นอะไรก็ได้
เพราะแม้กระทั่งยึดติดคำว่าเป็นกลาง พอโดนเขาว่าลำเอียงเราก็โกรธอีก
จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเรารู้ตัวเองดีที่สุด
สำคัญแค่เพียงเท่านี้ว่าเรารู้ตัวเองดีที่สุดว่าเรามีกลางอยู่นะ
เราเป็นกลางอยู่นะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลาง ใช่ไหม (ใช่)
เดี๋ยวยึดติดอยากเป็นนั่น ยึดติดอยากเป็นนี่ ทั้งที่จริงแล้วเราเป็นอะไรก็ไม่รู้
ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นธรรมะที่เรานำมายกตัวอย่างเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมไหม (ไม่)
แต่เป็นเรื่องที่เห็นในชีวิตประจำวัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราโดนคนว่า
โกรธไหม (โกรธ) เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม เราถามท่านนะ
สมมติว่าวันนี้เรามีดอกไม้อยากให้ท่าน เอาไหม (เอา)
ย่อมมีคนอยากรับและเฉยๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงมักมีคนสามแบบ
แบบหนึ่งคือเอา แบบหนึ่งคือไม่เอา และอีกแบบคือเฉยๆ
ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรก็ตาม ย่อมมีคนที่ชอบ มีคนที่ไม่ชอบ
และมีคนที่เฉยๆ
ฉะนั้นเราจะเอาเวลาทั้งชีวิตที่เรารู้ว่ามันมีจำกัดไปเสียเวลากับการแก้ตัวกับ
คนที่เฉยๆ หรือไปเสียเวลากับคนที่เกลียดเรา
หรือเอาเวลานั้นมาใส่ใจคนที่เข้าใจเราดีกว่า (ใส่ใจคนที่เข้าใจเรา)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น
โดยให้คนที่หนึ่งและคนที่สองทำหน้ายิ้มและให้คนที่สามทำท่าชี้หน้าว่า)
ส่วนใหญ่ท่านใส่ใจคนไหนมากกว่า (หน้ายิ้ม)
ทั้งที่ในโลกของความเป็นจริง เป็นไปได้ไหมว่าจะมีคนยิ้มให้เราตลอด
ไม่มีคนชี้หน้าว่าเรา (ไม่มี) ถ้าอย่างนั้นเราควรใส่ใจกับคนชี้หน้าว่า
หรือใส่ใจคนที่ยิ้มให้เรา (ยิ้มให้เรา)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้นเพิ่มอีกหนึ่งคนและทำท่าชี้หน้า
ว่า)
เราถามท่านต่ออีกว่าในระหว่างสองคนที่ยิ้ม
กับสองคนที่ชี้หน้าว่าเราใส่ใจใครมากว่ากัน (คนที่ชี้หน้าว่า, คนที่ยิ้ม)
เราควรใส่ใจใครมากกว่ากัน เราควรหันกลับมาใส่ใจตัวเอง
เพราะถ้ามีคนยิ้มมากกว่า คนไม่ชอบน้อยกว่านั่นแปลว่าเรายังไม่ค่อยผิด
แต่ถ้าเกิดมีคนยิ้มเท่ากับคนต่อว่า เราต้องตรวจสอบตัวเอง
แต่ถึงเวลาท่านเอาแต่ (เอาแต่มองคนอื่น) ใช่หรือไม่
เราโกรธเพราะเหตุใดหรือ เราโกรธเพราะเขาชี้หน้าเรา
หรือเราโกรธเพราะเราไม่เห็นตัวเอง เพราะมัวเห็นแต่คนที่ทำร้ายเรา ใช่ไหม
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าคราวนี้มีคนยิ้ม 2 คนและชี้หน้าคนเดียว เราควรใส่ใจใคร
หันกลับมาใส่ใจคนที่ยิ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าได้รังเกียจคนที่โกรธ
เพราะเราจะร่วมกันทำให้คนที่โกรธคลายความโกรธได้ ใช่ไหม
ไม่ใส่ใจก็ไม่ได้แล้วจริงไหม เพราะหนึ่งคนที่คด
ย่อมสามารถทำร้ายร้อยคนเที่ยงตรงได้ ถ้าเป็นเรื่องของตัวเราเอง
เราต้องตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวม เราต้องร่วมกันแก้ไข
เพราะเมื่อมีคนไม่ดีหนึ่งคน
คนไม่ดีหนึ่งคนก็พร้อมจะทำร้ายคนดีร้อยพันคนให้สูญเสียใจได้ จริงไหม
(จริง)  ฉะนั้นควรดูใคร ดูตัวเราใช่ไหม
ผู้ใดมักโกรธ ผู้นั้นย่อมพบทุกข์ ความโกรธครอบงำนรชน อยู่ที่ใด
ที่นั่นย่อมมืดมน  แล้วเรารู้ไหมว่าเราโกรธเพราะอะไร (รู้, ไม่รู้)
แม้ว่าเรามีธรรมแค่ไหน แต่ถ้าโกรธหนึ่งครั้งก็หมดธรรมเลย ใจดีแค่ไหน
แต่ถ้าโกรธหนึ่งครั้งก็ร้ายเลย ใช่ไหม (ใช่)
ใครสามารถยกมือบอกเราได้บ้างว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยโกรธเลย
(ไม่มี) ไม่มีให้ชื่นใจเลยเหรอ อย่างนั้นถามใหม่นะ ใครบ้างที่เคยโกรธแล้ว
ไม่โกรธอีกต่อไปเลย (ไม่มี) ฉะนั้นใครฆ่าความโกรธได้ย่อมอยู่เป็นสุข
ใครฆ่าความโกรธได้ย่อมไม่โศกเศร้า พึงตัดความโกรธได้ด้วยการข่มใจ
หรือที่มนุษย์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าพึงชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
อย่างนั้นเรามารู้สาเหตุของความโกรธก่อน ไม่ว่าอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธะล้วนกล่าวไว้ว่า โกรธคือความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง
เมื่อใดที่รู้สึกยินดี เมื่อนั้นจึงรู้จักโกรธ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยินดีอะไรในโลก
เราก็ไม่โกรธ พูดแบบนี้ไม่เข้าใจใช่ไหม (ใช่)  รู้จักรักเป็นก็โกรธเป็น
รักไม่เป็นก็โกรธไม่เป็น ยิ่งรักมากก็ยิ่งโกรธมาก ยิ่งชอบมากก็ยิ่งเกลียดมาก
ถ้าไม่รักไม่ชอบ ก็จะไม่โกรธไม่เกลียด ทำได้ไหม (ได้)  ทำยากใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
เราจะไม่รักใครและเราจะไม่เกลียดใคร เพราะคนที่เราว่าน่ารัก
ยังมีคนที่น่ารักกว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดยังมีสิ่งที่น่าเกลียดกว่า
เราจะรักไหม (ไม่รัก)  แล้วเราเคยเอามาเข้าใจไหม (ไม่เคย)
ฉะนั้นอย่าให้ธรรมเป็นแค่ธรรม
แต่จงเอาธรรมมาพิจารณาจนบังเกิดความเข้าใจในธรรม
อย่าแค่ฟังธรรมเป็นธรรม
แต่จงเอาธรรมมาพิจารณาจนเกิดสติตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรม
พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่โกรธบ่อย โกรธบ่อยๆ ก็ไม่ดี
โกรธทีเราก็ปิดประตูแห่งความสุข และเชื้อเชิญความทุกข์มาสู่ใจ
เวลาโกรธแล้วเราจะแก้อย่างไร ส่วนใหญ่จะพูดว่าข่มใจหรือให้อภัย
ข่มใจแล้วดีขึ้นไหม (ดี)  ถ้าเห็นหน้าคนที่เกลียดแล้วยังนึกโกรธไหม
อย่างนั้นเรามาดูวิธีแก้กันดีไหม (ดี)  โดยส่วนใหญ่เราไม่อยากมีความโกรธ
เพราะความโกรธเป็นศัตรูกับความเป็นคนดี เป็นศัตรูกับธรรมะ
โกรธเมื่อใดก็หนีไม่พ้นทุกข์ โกรธเมื่อใดก็เหมือนจุดไฟเผาตัวเองให้เจ็บปวด
ฉะนั้นถ้าเราไม่โกรธได้คงดีที่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาเราโกรธ
เราพยายามข่มใจ ฉะนั้นถ้าข่มใจได้จนหมด
เห็นหน้าคนเกลียดจะรู้สึกอะไรไหม (ไม่)  แล้วเวลาใครว่าคนที่เราเกลียด
เราจะแอบหัวเราะในใจหรือไม่ (มี)
 บางครั้งน้ำเสียงในคำพูดของเราที่บอกว่า “อย่าไปว่าเขาเลย”
ก็แอบมีความสะใจอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ท่านรู้ไหมเมื่อไรมีคนหนึ่งที่เราโกรธ
แม้เราจะไม่พูดถึงแต่เมื่อเห็นหน้าเขา สิ่งที่เขาเคยว่าเรา
สิ่งที่เขาเคยทำร้ายเรา เรื่องราวต่างๆ กลับไหลลงสู่ใจหมดเลย
จำได้ไม่ลืมเลย ใช่ไหม (ใช่)  แม้ไม่พูดถึงแต่อย่าให้เห็นหน้า
เห็นแล้วสะกิดใจ ท่านรู้ไหมว่าแม้ปากเราไม่แสดงออก
แม้ตัวเราไม่แสดงออก แต่ใจที่คิดแบบนั้น พระพุทธะกล่าวไว้ว่า
“เป็นผู้ที่พยายามผูกเวร ผูกความโกรธและยังอยากจองเวรอยู่”
ฉะนั้นถ้าเราข่มใจแล้ว แต่ใจยังจำได้ไม่ลืม เราวางเฉยแล้ว
แต่ใจยังจำเก็บไว้ไม่ลืมเลือน แถมบ่อยครั้งนำไปพูดต่อ นำไปนินทาต่อได้
พระพุทธะเรียกคนเช่นนี้ว่า “คนที่พยายามทำเวรให้ยืดเยื้อ”
หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือคนที่ยังอยากผูกความโกรธไว้ในใจ หรือเรียกง่ายๆ
อีกก็คือคนที่อยากจองเวรจองกรรม ฉะนั้น เกลียดแล้วควรจำไหม (ไม่ควร)
แล้วรู้ไหมว่าผู้ที่พยายามผูกเวรผูกความโกรธและจองเวรหรือจำไม่ลืมนั้น
ท่านบอกว่าเมื่อเวลาความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธครอบงำใจ
คนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ทำบาปได้ทุกที่ จริงไหม (จริง)
 แล้วบาปนั้นยังให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นกรรม ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ
อยากเจอเขาอีกไหม ถ้าอยากเจอจำให้แม่นนะ
เดี๋ยวจะกลับมาเจอไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน
ฉะนั้นจงอย่าจำความโกรธและให้มองเป็นธรรมดา
เราอยู่กลางฟ้าดินมีสว่างก็มีมืด มีร้ายก็มีดี ฉะนั้นเราอยู่กลาง เราไม่เคยต้องร้าย
และไม่ต้องดี เพราะเราอยู่กลางเสมอ จริงไหม (จริง)
ถ้าท่านเข้าใจธรรมที่เราพูด ท่านจะไม่ทุกข์ และไม่โกรธ
และไม่เกลียด และไม่ต้องจำให้เจ็บปวดใจ แล้วทำอย่างไรดี
ถ้าเจอคนที่ไม่ชอบ ข่มใจแล้ว ไม่ลืมแล้ว แต่ยังวางเฉยไม่ได้
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า อยากวางเฉยแล้วล้างกรรมกับเขาไหม (อยาก)
ไม่ต้องมาผูกกรรมกันอีก เอาไหม (เอา)
เพราะคนที่เกลียดเราต้องมีกรรมเวรกันมาก่อน ใช่ไหม (ใช่)
คนตั้งเยอะแยะไม่เกลียดแต่มาเกลียดเรา คนเยอะแยะไม่ด่าแต่มาด่าเรา
แปลว่าเราคงเคยทำกับเขาไว้ไม่มากก็น้อย กับอีกอย่างหนึ่งก็คือเราคงแย่ไม่
มากก็น้อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราเคยยอมรับไหม (ไม่เคย)
ถ้ายอมรับไม่ได้มีอีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้หมั่นมีสติครองใจ
เตือนตนเสมอเมื่อเจอคนที่เกลียด เขาไม่เคยดีกว่าเรา
และเราไม่เคยแย่กว่าเขา และเขาก็ไม่เคยแย่กว่าเรา
และเราก็ไม่เคยดีกว่าเขา ไม่รู้สึกว่าเรากับเขาเสมอกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ตลอด จะไม่มีจิตที่ก่อเกิดกิเลสและทำให้เราทุกข์อีกต่อไป
ยากไหม (ไม่ยาก) ลองดูสิ ในขณะที่เราเห็นคนที่เราเกลียด ใจเรามันนิ่ง
ไม่รู้สึกว่าเขาแย่กว่า ไม่รู้สึกว่าเขาดีกว่า
ไม่รู้สึกว่าเรากับเขาเสมอกัน ทั้งเขากับเราล้วนไม่มีใครดีกว่าใครหรือแย่ก
ว่าใคร หรือเสมอใคร เพราะเขากับเราล้วนไม่มี
เมื่อนั้นกิเลสจะไม่เกิดขึ้นในใจอีกต่อไปเลย เมื่อนั้นเรียกว่า
“ผู้สิ้นทุกข์สิ้นกิเลส โดยความเกลียดนำพาให้ท่านพ้นทุกข์ขณะที่เห็น”
ฉะนั้นทุกขณะจิต เราเกิดมาเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นกรรม
หรือเราเกิดมาเพื่อจองเวรจองกรรม และทุกข์ไม่จบสิ้น
แล้วเราเคยสิ้นทุกข์ไหม ไม่ต้องไปจัดการกับคนอื่น จัดการที่ตัวเราเอง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเราเปรียบเทียบ
เรายึดติด ทำไมคนนี้เราชอบ แต่เพื่อนเราไม่ชอบ ทำไมคนนี้เราไม่ชอบ
แต่เพื่อนเรากลับชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีไม่ดี เกลียดหรือไม่น่าเกลียด
อยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่ใคร อย่างที่เราพูดตั้งแต่ต้น อย่าลืมคุณค่าธรรมในใจตน
และอย่าละทิ้งความดีในใจตน ถึงเวลาเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม
รักษาใจให้เฉยๆ ไว้ เราก็ไม่ต้องผูกใจเจ็บกับใคร
เพราะหลักการสำคัญของธรรมะ คือความสงบเย็น
ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราสงบเย็นได้ นั่นก็คือจบ
เจอเขาจบไหม (ไม่จบ)  สิ่งสำคัญคืออยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราทำถูกต้อง
ถ้าเราทำดีแล้ว อย่าไปกังวลว่าใครจะเป็นอย่างไร
เอาตัวเราให้ถูกต้องให้ดีก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีสุข
ที่ใดมีร้ายที่นั่นก็มีดี ขอเพียงไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึก ไม่ยึดมั่นตัวตน
ท่านก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนด้วยสติปัญญาที่หลุดพ้นและแจ่มชัด
ถ้าเราไม่ยึดมั่นความคิดตัวเอง คนต่อว่าเราได้ไหม (ได้)  ถูกโกงได้ไหม (ได้)
ถูกเอาเปรียบได้ไหม (ได้)  ใจจะได้โล่งๆ ใจจะได้เบาๆ ไม่ใช่ใจมีไว้เป็นขยะ
เก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่ในใจ ตอนต้นเราก็พูดว่า ใจโล่งๆ เหมือนจะเป็นฟ้า
ใจหนักๆ ถึงจะเป็นดิน แล้วตอนนี้ใจโล่งหรือใจหนัก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ก็คือ (ใจ)  ใจมีทั้งดีและไม่ดีใช่หรือไม่
(ใช่)  แล้วใจที่ไม่ดีก็คือใจที่ประกอบไปด้วยกิเลส อารมณ์
คือใจที่ตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ และหนีไม่พ้นความทุกข์
ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ก็จงอย่าตกเป็นทาสของอารมณ์
ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ดีไม่ร้าย แค่สติพลันคิดก็พ้น เหมือนโดนเขาว่าปุ๊บ
สติคิดได้ปั๊บ เขาร้ายหรือก็ไม่ร้าย เราดีกว่าเขาหรือ ก็ไม่ได้ดี จริงไหม
(จริง)  ชั่วขณะนั้นพ้นความยึดติด ความโกรธ
เป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดที่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ และอัตตาตัวตน
พ้นทุกข์ได้เลยในขณะนั้น แต่จะมีใครทำได้หนอ (มี)  ทำได้ไหม (ได้)
อยากทดสอบไหม (อยาก)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  ไอ้โง่ (ไม่เป็นไร) ขออภัยนะ
แต่ท่านเป็นคนพูดเองว่าอยากลองดู ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น โง่ไหม เราเองก็โง่
ไม่โง่จะฉลาดไหม ถ้าทำตัวฉลาดถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราโง่
เพราะถึงฉลาดอย่างไรก็มีคนฉลาดกว่า โง่ขนาดไหนก็มีคนโง่กว่า
แล้วเราจะโกรธอะไร ฉะนั้นถ้าเรามีสติ พึงระลึกในธรรมอยู่เสมอ
เราจะไม่เกลียดใคร ไม่โกรธใคร และไม่รักใครจนเกินไป
และสามารถมีสติรู้ตน ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร
เพราะเรามีสติตื่นรู้ในธรรมนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่คนที่มาช่วยเราอธิบายธรรม
อยากได้ดอกไม้จากเราบ้างไหม (อยากได้)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาดึงกลีบดอกไม้ทิ้ง)
ถ้าดอกไม้ที่เราให้เหลือแค่นี้ เอาไหม (เฉยๆ)
จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร
อย่าตีค่าสูง อย่าเหยียบย่ำให้ต่ำ แต่จงรักษาใจ
ประคองใจไว้ว่ามันไม่มีอะไรดีที่สุดและแย่ที่สุด จงรักษาความเฉยไว้
นิ่งไว้ แล้วเมื่อนั้นกิเลสจะไม่เกิดขึ้นในใจ
และท่านจะพบทางที่สว่างอย่างแท้จริงนะ
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาแจกดอกไม้ให้นักเรียน)
เผื่อพรุ่งนี้ดอกไม้จะออกดอกและตกผลได้บ้างนะ
ท่านอื่นอยากได้ไหม (อยาก)  บางทีอย่าอยากเลยนะ
เพราะถึงเวลาเราอยากได้ไป เราก็ดูแลได้ไม่ถึงที่สุด
เพราะสุดจากดอกไม้แล้ว ที่สุดก็คือความว่างเปล่า
ฉะนั้นสุดจากมือเราที่สุดแล้วก็คือความไม่มี แล้วเราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด
จริงหรือไม่ (จริง)
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันเรื่องธรรมะอีก ดีไหม (ดี)
เวลาเจอหน้ากันไม่ว่าใคร ไม่บ่นใคร ไม่มีอะไรเจ็บปวดใจ เพราะเราโล่งแล้ว
วางแล้ว จำไว้นะยิ่งบำเพ็ญยิ่งละ ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อยึด
เพราะความยึดเกิดขึ้นในจิตใจใคร
จิตใจคนนั้นย่อมไม่สามารถใช้สติปัญญาได้สมบูรณ์
ทำความดีแม้โดนคนว่า ทำความดีแม้โดนคนด่า
ทำความดีแม้ไม่มีใครเห็นค่า
ก็จงรักษาความดีโดยไม่ทิ้งธรรม เจออะไรไม่ต้องตัดสินว่าดี
จิตที่วางเฉยได้คือไม่เห็นว่าสิ่งใดดีกว่า แย่กว่าหรือเสมอกัน
เมื่อใดที่สามารถมีสติรักษาจิตนี้ได้ตลอด
เมื่อนั้นสติจะทำให้กิเลสไม่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ต้องใช้ความข่มใจ
แต่ใช้การหันกลับมาดูใจ ไม่เปรียบเทียบ ไม่ยกค่า ไม่กดค่า
เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง


วันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไม่มีใครไม่โดนว่านั้นไม่มี หมั่นเตือนตนให้มีสติหนา
ยอมผิดบ้างแย่บ้างเป็นธรรมดา โลกธรรมหนาเตือนตนอย่าหลงไป

เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

* ศึกษาวิธีเพื่อบำเพ็ญที่จิตใจ  รู้ทุกอย่างดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตน
เริ่มตรงนี้นั่นแหละ เริ่มตรงนั้นนั่นแหละ  ไม่รู้ก็จะรู้ได้ด้วยใจ
* * กี่ร้อยวิธี การบำเพ็ญเข้าสู่ใจ มองหาอะไรในทุกอย่างไม่เห็นมี
ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่ เช่นความจริงยิ่งใหญ่ ไม่ทุกข์บ้างเป็นได้อย่างไร
* * * ที่ศิษย์คิดมีเป็นล้าน  ยังไม่พบว่ามีสุขจริงในตอนนี้
ครองปัญญากี่นาที  ให้นึกดูให้ดี ที่มีอันตรธานไปไหน
ก้าวง่ายง่ายในที่นี้ จะสุขทุกข์ร้ายดี ก็มีหนึ่งความหมาย

ฝึกบำเพ็ญเป็นสวรรค์ คืนวันสงบใจ
พรุ่งนี้แม้ไม่ได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์ใจอะไร  (ซ้ำทั้งเพลง, ***,---)

ทำนองเพลง : ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


คิดถึงกันบ้างไหม (คิดถึง)  พอมีความทุกข์ก็ค่อยนึกถึงอาจารย์
(ไม่ใช่)
“ไม่มีใครไม่โดนว่านั้นไม่มี หมั่นเตือนตนให้มีสติหนา
ยอมผิดบ้างแย่บ้างเป็นธรรมดา โลกธรรมหนาเตือนตนอย่าหลงไป”
มีใครบ้างในโลกไม่เคยโดนว่า ไม่เคยโดนนินทา (ไม่มี)
แล้วโดนว่าโกรธไหม (โกรธ)  ในเมื่อไม่มีใครไม่เคยโดนว่า แล้วโกรธทำไม
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ มีใครบ้างที่จะชมเราตลอด 24 ชั่วโมง (ไม่มี)
 แล้วถ้าเขาชมเราทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ศิษย์โกรธไหม (ไม่โกรธ)
 ไม่จริงหรอก เพราะชมบ่อยๆ เข้าก็คิดว่าเขาจะจริงใจกับเราไหม
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์ยิ้มตลอดทั้งวันได้ไหม
ใครผ่านไปผ่านมาก็ยิ้มให้ (ไม่ได้)
 แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะให้คนที่อยู่ตรงข้ามเราหรือคนที่เรารู้จักต้องยิ้มให้เรา
ตลอดเวลา เป็นไปได้ไหมที่เขาจะต้องพูดดีกับเราตลอดเวลา
เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่โดนว่า (ไม่ได้)
 เมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  พุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
การไม่นินทาในโลกไม่มี ใครไม่ถูกนินทาในโลกไม่มี
ทุกคนล้วนต้องถูกนินทา ถูกต่อว่า ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเป็นธรรมดา
เราจะโกรธไหม (ไม่)
คราวหน้าเวลาโดนใครว่า โดนใครนินทา จำไว้ว่า
พระอาจารย์จี้กงบอกแล้ว มันเป็นธรรมดา เกิดเป็นคนผิดบ้าง แย่บ้าง
ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย หนังกำพร้าจะหายออกไปจากใจไหม
ใจเราจะเว้าแหว่งไปไหม หน้าเราจะมีรอยตีนกาเยอะขึ้นไหม
โดนว่าแล้วเราจะหมดหล่อไหม โดนว่าแล้วเงินของเราจะหมดกระเป๋าไหม
แล้วแย่อะไร แล้วทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)
เขาว่าเราแล้วเงินของเราจะหายไปไหมถ้าเราไม่ให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าใครมายืมเงินอย่าให้เยอะ ให้เท่าที่ให้ไหว ให้เท่าที่คิดว่า
เขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วเราจะได้มองหน้ากันติด ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนธรรมแห่งความเป็นจริงในโลกนี้ มีดีก็มีร้าย มีร้ายก็มีดี
มีสุขก็มีทุกข์ มีคนชมก็มีคนด่าเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาเราจะทุกข์ไหม (ไม่)
 มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนเกลียดเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
 เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
มนุษย์จะทุกข์น้อยลง แต่ถ้าเมื่อใดเราไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก
ความทุกข์ก็ยังสุมแน่นอก ก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ศิษย์อยากอยู่อย่างคนที่เรารักกันเป็นมิตรกัน
หรืออยากอยู่กันอย่างศัตรูคู่อาฆาต (เป็นมิตร)  แล้วเวลาเจอหน้ากัน
พูดดีหรือพูดไม่ดี (ไม่ดี)  อ้าปากก็พูดไม่ดีแล้วใช่หรือไม่ เคยพูดหวานๆ
กันไหม ในเมื่อจริงๆ แล้วทุกคนก็อยากได้มิตรมากกว่าอยากได้ศัตรู
อยากได้คนรักมากกว่าคนเกลียด อย่างนั้นทำไมเราไม่ทำสิ่งที่ดีงาม
โลกนี้น่าอยู่เพราะทุกคนต่างเกื้อกูลกัน เข้าใจกันและเห็นใจกัน
ไม่ใช่แค่ดีเท่านั้น คนบางคนชอบดี ใครทำอะไรต้องดีก่อน ฉันดีก่อน
บางทีถอยให้คนอื่นดีบ้าง ให้เขาได้ดีบ้าง ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)
แล้วเราเป็นแบบไหน ติดดีจนใครว่าเราไม่ดีไม่ได้
บางครั้งถ้าเราไม่ดีแล้วคนอื่นดีขึ้นก็สุขใจเล็กๆ ใช่ไหม
คิดถึงกันบ้างไหม (คิดถึง)  เรายังไม่รู้จักกันเลย
ในวันที่ศิษย์ได้รับธรรมะนั้นก็เป็นวันแรกเริ่มที่เราได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน
ศิษย์จะรับไม่รับไม่เป็นไร แต่อาจารย์รับศิษย์ทุกคน
เอาไม่เอาไม่เป็นไรแต่ถ้าได้รับแล้วอาจารย์รักศิษย์ทุกคน
แต่ขอให้ศิษย์รู้จักดูแลตัวเองให้ถูกก็พอ
อาจารย์ถามง่ายๆ มีอะไรในโลกนี้ที่มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)
ถ้าศิษย์ดำเนินชีวิตแล้วพึงมีสิ่งนี้ตลอด
ไม่ว่าศิษย์จะมีอะไรเพิ่มขึ้นมาหรือมีอะไรอยากได้ขึ้นมาก็จะทำให้ศิษย์ไม่ทุก
ข์ได้ อะไรหรือ (สติ)  ความตื่นรู้ มีสติตื่นรู้ในความจริง
เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร สมมติว่าละครชีวิตของอาจารย์ตั้งแต่เกิดจนตาย
อาจารย์สามารถฉายดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่ออาจารย์ดูจบแล้ว
เมื่อถึงเวลาอาจารย์ไปใช้ชีวิตจริง เวลาอาจารย์เจอทุกข์ เจอความผิดหวัง
อาจารย์จะเสียใจไหม (ไม่)  เพราะอาจารย์รู้ก่อนแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เวลาอาจารย์จะตาย อาจารย์จะเศร้าไหม
เพราะอาจารย์รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะต้องตาย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์พลัดพราก อาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)
เพราะอาจารย์มีสติตื่นรู้แล้วว่าอาจารย์ต้องพลัดพราก
ฉะนั้นมีคนมาด่าอาจารย์ อาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)
มีคนมาโกงอาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  มีคนมาดูถูกอาจารย์
อาจารย์จะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เพราะอาจารย์รู้จนจบแล้ว ใช่หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์กลับ ศิษย์ต้องพลัดพรากไหม
(ต้อง)  ศิษย์ต้องตายไหม (ตาย)  ศิษย์ต้องเจ็บไหม
(เจ็บ)  ศิษย์ต้องทุกข์ไหม (ทุกข์)  ศิษย์ต้องโดนด่าไหม (โดน)
 พระพุทธะสอนธรรมะให้เพื่อ “แค่รู้” เมื่อไม่รู้ชีวิตจึงแสดงออกเป็นกิเลส
กรรม การเวียนว่าย ทุกข์ เมื่อตื่นรู้ด้วยสติและปัญญาเห็นแจ้ง
ชีวิตจึงแสดงออกด้วยปัญญา ฉะนั้นธรรมไม่ได้สอนให้คนโง่
แต่ธรรมสอนให้เราฉลาด อยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์กับมัน
ธรรมสอนให้เรารู้ด้วยสติ แห่งความจริง
แต่มนุษย์ทุกข์เพราะไม่มีสติรู้ยอมรับความจริง ยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองคิด
ถ้าเรามองแล้วคิดทันทีว่าเขาด่าเป็นธรรมดา กรรมก็ไม่เกิด
บาปก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่เอา เขาชมก็เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติอาจารย์เหงา อยากมีใครสักคน ลึกๆ เรารู้ไหมว่า
การมีใครสักคนหนึ่ง มีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์
มีรักก็ต้องมีผิดหวังและรังเกียจ อาจารย์ถามจริงๆ
จะเลือกเขาแล้วไม่รู้หรือว่าวันนี้เขาสวย พรุ่งนี้เขาจะไม่สวย รู้ไหม (รู้)
แล้วรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วเห็นเขาดีแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็ร้ายอยู่ รู้ไหม
(รู้)  แต่ก็เอาไหม (เอา)  ฉะนั้นศึกษาธรรมะ ไม่ได้ศึกษาเพื่อสะสม
การนั่งสมาธิเก่ง สวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง
แต่แก่นหลักของการศึกษาธรรมะคือตื่นรู้ในความเป็นจริงด้วยสติปัญญาที่เ
ห็นชัดในสิ่งที่ตัวเองอยากมี อยากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมี จะเอา
จะได้ ก็จะไม่ทุกข์เพราะทำใจไว้แล้วว่าต่อไปเขาก็จะน่าเกลียด
ทำใจไว้แล้วว่าต่อไปเขาก็หุ่นไม่สวย ใช่ไหม (ใช่)
 คนที่แต่งงานตอนแรกคิดว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ไหม (ไม่)
 แล้วรู้ไหมว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ (รู้)
เหมือนรจนารู้ไหมว่าคนที่เลือกเป็นเงาะป่า (ไม่รู้)
คิดว่าเป็นองค์ชายถอดรูป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บังเอิญเขาไม่ยอมถอดรูปเงาะ
ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์ไม่หลอกตัวเอง ศิษย์จะเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ
เห็นอย่างคนมีสติและอยู่กับทุกสิ่งอย่างไม่ทุกข์
หลักสำคัญของธรรมะสอนให้เราแค่รู้ด้วยสติ
รู้ความจริงอันเป็นแก่นของธรรมะที่เหมือนกันหมดทุกอย่าง มีได้ก็มีเสีย
มีดีก็มีร้าย มีสุขมากก็มีทุกข์มาก มีผิดหวังก็มีสมหวัง
มีสมหวังก็มีผิดหวังเป็นธรรมดา
 เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจหลักอันเป็นธรรมดาแล้ว
เราจะสามารถอยู่อย่างไม่ทุกข์ อยู่อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น
ที่เรียกว่าไม่จำเป็นต้องจับแล้วค่อยปล่อย
แต่รู้จักที่จะปล่อยไปตามความเป็นจริง
หน้าที่ของเราคือดีที่สุดกับเขาหรือยัง ดีที่สุดกับทุกคนหรือยัง
ถ้าดีที่สุดแล้วไม่จำเป็นต้องเสียใจว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะทำเต็มที่
สู้สุดใจ จะกลัวอะไรเมื่อมีปัญญา จริงไหม (จริง)  แต่คนบางคนไม่สู้
หวังจะพึ่งเขาๆ แล้วใครเสียใจ (เรา)
 เพราะเขาอาจมีเปลี่ยนใจและรำคาญเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรแล้วไม่ทุกข์ (มีสติตื่นรู้ความเป็นจริงของชีวิต)  ในโลกนี้มี 2
อย่าง อย่างแรกเรียกว่ารูป อีกอย่างเรียกว่านาม
และในรูปนามมีแก่นเดียวกันคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
“มีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา” และถ้าขยายคำว่า
“ธรรมดา” มีอะไรบ้าง
ทุกสิ่งมันเกิดและมันก็ดับอยู่ทุกขณะ แปลว่าทุกอย่างมันเกิดและดับ
และมันก็จบไปแล้ว แต่คนที่ไม่จบคือตัวเรา ที่ยังยึดถือ ถูกหรือไม่ (ถูก)
สิ่งใดมีความเกิด
สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากจะขยายธรรมดา
นั่นก็คือ มันมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
และถึงที่สุดคือความว่างเปล่า ไม่เที่ยงก็คือ มันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เกิดกิเลสตอนไหน
เกิดตอนที่เขาด่าศิษย์จบแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อไม่จบมันเลยกลายเป็นกิเลส
แต่ถ้าเรามีสติรู้ทันความเป็นธรรมดาของทุกสิ่งว่ามันเกิดแล้วดับ
มีสติรู้ทันความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาว่ามันเกิดแล้วดับ
เราจะลากแล้วเอาตัวเรามาขังอยู่ในความเกลียด เขาด่าเรา เขาแช่งเรา
เขาว่าเราไหม (ไม่)
ฉะนั้นมนุษย์คือผู้ที่สร้างความทุกข์แล้วนำความทุกข์นั้นมาขังตัวเอง
ทั้งที่สิ่งที่เป็นทุกข์นั้นมันจบไปนานแล้ว จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาอันธรรมชาติที่มันมีเกิดมีดับอยู่ทุกขณะ
เราจะทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพรุ่งนี้ (ไม่รู้)
ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเกิดแล้วดับทุกขณะ
แล้วศิษย์จะพยายามปล่อยวางทำไม
ถ้าศิษย์พยายามปล่อยวางแสดงว่าศิษย์ยังเอามายึด ถูกไหม (ถูก)
หรือที่ศิษย์ชอบพูดธรรมะอีกข้อหนึ่งเป็นธรรมดาก็คือ มีแค่ปัจจุบัน
ถ้าเมื่อไรลากอดีต ปัจจุบัน อนาคตมารวมกัน
เรียกว่าสร้างกรงขังคำว่าอัตตาตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรมีแค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้
อัตตาตัวตนก็จะไม่มี
คำว่าชีวิตเกิดขึ้นจากอัตภาพที่เรียกว่าจิตใจ
และจิตใจก็แปรเปลี่ยนไปตามความรู้ความคิดที่เราสั่งสม ฉะนั้นเมื่
อไรที่มีความรู้ความคิดที่เราสั่งสม รวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอัตตาตัวตน
เราคิดอย่างไร นั่นแหละตัวเราเป็นแบบนั้น เรารู้เราสนุกเราชอบอะไร
นั่นคือตัวตนเราเป็นอย่างนั้น
เช่นศิษย์ถามอาจารย์ว่าทำไมต้องศึกษาธรรม ทำไมต้องปฏิบัติธรรม
เราศึกษาธรรมก็เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงที่ทำให้เราไม่ทุกข์และเข้า
ใจตัวตนที่แท้จริง สมมติอาจารย์คือต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อมีเกิดขึ้น ก็มีออกดอก
แล้วก็มีออกผล เป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  สุดท้ายแล้วก็ตายไป ใช่หรือไม่
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีเมล็ดพันธุ์ของความอยาก มันจะขึ้นมาได้ไหม (ไม่)
ไม่มีเมล็ดพันธุ์ของความยึดและหลงชอบ ต้นไม้ต้นนี้จะกลับมาไหม (ไม่)
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าตัวเราเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
สิ้นเมล็ดพันธุ์แห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าฉันชอบแบบนั้น ฉันอยากมีแบบนี้
ฉันอยากเป็นแบบนั้นฉันอยากเป็นแบบนี้
ฉะนั้นเวรกรรมของเราเลยไม่จบไปจากการตาย
เวรกรรมของเราเลยจบไปกับเมล็ดพันธุ์ที่เราเพาะลงไปในจิตใจ เข้าใจไหม
(เข้าใจ)  ฉะนั้นเมล็ดพันธุ์ก็เลยไปตามบุญ บาป และกรรม
อย่างที่เรียกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมดี
กรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำอะไรที่สว่าง เบา ใส ก็เรียกว่าเป็นบุญ
ถ้าเราทำอะไรที่ขุ่นมัว หนักก็เป็น บาป หรือเรียกว่าบาปนี้คือ โลภ โกรธ
หลง ซึ่งเป็นทางมาแห่งบาป ทุกข์และการเวียนว่าย
ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตกลับมาสู่ความคิด
ถ้าทุกขณะจิตที่ศิษย์กระทำตามความรู้ตามความเข้าใจด้วยสติที่ตื่นรู้
ในธรรมไม่ได้ทำตามความอยาก กิเลส อารมณ์
สิ่งที่ทำมันก็เลยไปกลายเป็นธรรมดาอันเป็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วเราก็กลับคืนสู่ธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราไม่ใช่แบบนั้น เรามักจะ
“ขออีกนิดสิ ขออีกหน่อยสิ” ใช่ไหม (ใช่)  “ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น
ทำไมไม่เป็นอย่างนี้” ดังตามหลักพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า อวิชชา ตัณหา
อุปาทาน เพราะไม่รู้จึงอยาก จึงยึด แต่ถ้าเรารู้ชัดเราจะไม่อยากเราจะไม่ยึด
เพราะมีแต่ทุกข์ยึดไม่ได้ เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ายึดก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่วที่เราต้องไปแบกรับ ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราเกิดมาพร้อมกับความอยาก อย่างแรกอยากได้เงิน เงินร้ายไหม (ร้าย)
เงินทุกข์ไหม (ทุกข์)  ผู้ชาย ผู้หญิงร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ผู้หญิง ผู้ชายร้ายไหม
(ไม่ร้าย)  มีเงินแล้วอยากมีผู้ชายไหม (ไม่อยาก)
มีเงินแล้วผู้ชายอยากมีผู้หญิงไหม (อยากมี)  จริงไหม (จริง)
พอมีเงินแล้วเราก็อยากได้บ้าน ได้รถ ทรัพย์สินอยากได้ใช่ไหม (ใช่)
ทรัพย์สินร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ทำเราทุกข์ไหม (ทุกข์)
ศิษย์บอกว่าเงินทำให้ทุกข์ บ้านก็ทำให้ทุกข์ รถก็ทำให้ทุกข์
ทรัพย์สินก็ทำให้ทุกข์ เราสะสมทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  และยังเอาอีกไหม (เอา)
แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมะไม่ต้องไปแก้เหตุแล้วถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้
รู้ว่าทุกข์เอาไหม (เอา)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เข็ดไหม (ไม่เข็ด)
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่รู้อยู่ว่าเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน มีแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)
แล้วสิ่งนี้เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เพราะเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน
ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่คนที่ทุกข์คือคนที่พยายามยึดเงิน ยึดบ้าน ยึดรถ
ยึดทรัพย์สิน ต้องมี ต้องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแล้วขับรถคันเก่ากว่าคนอื่น
อายไหม (อาย)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีทำไม
อาจารย์อยากบอกว่าเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน คนรัก ชีวิต จิตใจ
เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากมีแล้วยึดไว้ทุกสิ่ง แล้วรู้ไหมว่ามีแล้วทุกข์ ศิษย์ก็รู้
แต่ศิษย์ก็ยังยึดติด อย่างนั้นเงินทำให้เราทุกข์หรือตัวเราที่ทำให้ทุกข์
(ตัวเรา)  เงิน บ้าน คนรักไม่ได้ร้าย แต่การมีเงินโดยไม่คำนึงถึงธรรม
การมีเงินโดยเห็นแก่ตัวการมีเงินโดยผิดศีล ผิดธรรม
การมีคนรักโดยคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจความจริง
นั่นทำให้มีจิตใจที่เป็นทุกข์ ฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงิน บ้าน รถ
แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่ออยากจะมีแล้ว มีไม่เป็นก็เลยเกิดทุกข์
แล้วเคยนำธรรมะมาสอนใจไหม ก็ไม่เคย ศิษย์มักจะเป็นกันแบบนี้
แล้วศิษย์รู้ไหมบางครั้งผิดครั้งเดียวทำกับเขาเจ็บครั้งเดียว
ใช้คืนทั้งชาติก็ไม่หมด ถ้าเขาจำแล้วก็ไม่ลืม จริงไหม
(จริง)  ยกตัวอย่างง่ายๆ เราตบหัวเขาแล้วค่อยพูดว่า “ขอโทษ”
ศิษย์ว่าเขาจะลืมไหม โกรธไหม จำได้ไหม แค้นไหม (แค้น)
 แล้วพูดว่าขอโทษ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)
ไปตบหัวเขาแล้วท่องบทแผ่เมตตา เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)
 ถ้าเราจะแก้เราต้องแก้ที่ต้นเหตุ
ฉะนั้นมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ มีโดยไม่ขาดศีล มีโดยไม่ขาดธรรม
มีโดยไม่เห็นแก่ตัว มีโดยที่เมื่อเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มีเงิน
มีรถ เมื่อเจอใครก็ไม่ละอายใจแม้รถจะเก่า แม้จะแต่งตัวใส่เสื้อขาดๆ
แต่ก็ยืนข้างๆ กับคนที่แต่งตัวภูมิฐานได้อย่างภูมิใจว่าฉันก็มีดี
ไม่เห็นต้องอายเลย สิ่งสำคัญของการมีก็คือธรรมแห่งความเป็นคน
เราอยู่ในโลกไม่ว่าหาอะไรก็ตาม ถ้าหาแล้วยืนบนความทุกข์ของคนอื่น
การหาของศิษย์ก็ไม่เรียกว่าธรรมะ
เรียกว่าทำให้พ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราหาเงิน หาบ้าน หาทรัพย์สิน
มีคนรักมีชีวิตจิตใจ และศีลไม่ขาด ธรรมไม่พร่อง ความเป็นคนไม่ด่างพร้อย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำเราทุกข์หรอก แต่สิ่งที่ทำเราทุกข์คือ
ใจเราเองที่โลภจนลืมคุณธรรม ใจเราเองที่มันเห็นแก่ตัว จนลืมเห็นหัวใครๆ
ใจเราเองที่สนใจแต่ตัวเอง แต่ไม่สนใจใคร ทั้งที่อาจารย์ถามจริงๆ
ว่าเรายืนบนโลกนี้ เราสามารถยืนโดยไม่พึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)
เราต้องพึ่งกันใช่หรือไม่ แล้วโลกน่าอยู่เพราะว่าคนต่างเห็นแก่ตัว
หรือโลกน่าอยู่เพราะคนต่างเข้าใจกัน เห็นใจกัน เอื้อเฟื้อกัน ใช่ไม่ใช่ (ใช่)
(นักเรียนขอให้พระอาจารย์ตีหัว เพื่อให้ขาแข็งแรง)
ศิษย์เอ๋ย ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจ ไม่มีใครไม่เจ็บป่วย
ไม่มีใครไม่เป็นโรค แต่สำคัญอยู่ที่ใจสู้ไหม
ถ้าสู้เราก็อยู่กับโรคด้วยความสุขได้ แต่ถ้าไม่สู้แม้ไม่เจ็บป่วยเราก็ทุกข์ได้
เพราะคิดไม่เป็น จริงหรือไม่ (จริง)
 การเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่ให้เราเชื่อแต่ปาฏิหาริย์แล้วไม่ยอมพึ่งตัวเอง
การศึกษาธรรมะเพื่อสอนให้เรารู้จักพึ่งตัวเองและยืนอยู่กับความเป็นจริง
อย่าหลอกใจตัวเอง
ถ้าศิษย์รักตัวเอง เคารพตัวเองศิษย์อย่าหลอกใจตัวเอง
และจะไม่มีใครหลอกเราได้ เหมือนที่อาจารย์คุยกับศิษย์ตั้งแต่ต้น
อาจารย์ถามว่าเงินเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้
แต่เงินไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่อยากได้แล้วไม่รู้จักพอ
เพราะคนที่ไม่รู้จักพอหาเท่าไรก็มีแต่คำว่า “ไม่มี” หามาเยอะๆ
ก็เหมือนไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อยากหาเท่าไรแล้วยิ่งมีไหม
ให้ลดความอยากของตัวเองให้น้อย แล้วสิ่งที่มีมันจะเยอะขึ้นมาทันที
จริงไหม (จริง)  แต่เงินพอมีเท่านี้ก็อยากให้มีเท่าโน้น หาเท่าไรมันก็ไม่พอ
ฉะนั้นลดความอยากให้น้อยที่สุด แล้วเงินที่ศิษย์บอกว่าหนึ่งร้อยมันน้อย
อาจารย์จะบอกว่ามันเยอะ จริงหรือไม่ (จริง)
อีกเรื่องหนึ่งศิษย์หลายคนเหงา อ่อนแอแล้วก็ว้าเหว่ ใช่ไหม (ใช่)
เหงา อ่อนแอ ว้าเหว่ ทั้งหมดซึมเศร้าแปบนึง ใครจะมาทำอะไร เหงา
คนที่เอาแต่รอให้คนอื่นรัก จะรักตัวเองไม่เป็น
ส่วนคนที่รู้จักรักคนอื่นให้เยอะๆ ดีกับคนอื่นให้มากๆ ช่วยคนอื่นให้เต็มที่
จะไม่มีวันเหงา หงอย เศร้า
เพราะความสุขของมนุษย์มีแล้วแต่ถ้ามันไม่มีค่าไม่มีความหมายและไม่มีกา
รยอมรับ ความสุขนั้นไม่ใช่สุขที่แท้จริง จริงไหม (จริง)
 เพราะเราไม่เคยได้การยอมรับจากใคร
เพราะเราไม่มีคุณค่าสำหรับใครและเราไม่มีความหมายเพื่อใคร
ความสุขนั้นมันก็เลยกลายเป็นซึมเศร้า
กับอีกแบบหนึ่งรับเรื่องของชาวบ้านมาเยอะเกินไปคนโน้นก็อยากช่วย
คนนี้ก็อยากช่วย คนนั้นก็อยากช่วย ไม่ไหวแล้ว
อะไรทำไมชีวิตมันเยอะขนาดนี้ เข้าสู่ภาวะความเศร้า
อยากจะช่วยคนอื่นแต่ตัวเองเอาไม่รอด
ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติรู้ความเป็นจริง เราเห็นจริง
ไม่ใช่เอามาให้เราทุกข์ แต่เราเห็นจริงเพื่อเอามาเห็นชัดจนพ้นทุกข์
เหมือนชีวิตนี้เกิดมามือเปล่า ไปมือเปล่า เอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)
สามีเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เงินเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกเอาไปได้ไหม
(ไม่ได้)  ภรรยาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)
แต่ศิษย์ก็บอกอาจารย์ว่าให้ศิษย์รวยก่อน ให้ศิษย์สุขก่อน
เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญ พออาจารย์ให้ศิษย์รวย ศิษย์กลับต่อรองอีกว่า
ขอให้ลูกๆ ของศิษย์รวยก่อน
ขอดูแลเลี้ยงหลานก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปบำเพ็ญ
ถึงเวลาต้องตายแล้วตอนนั้นทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  ปลงทันไหม (ไม่ทัน)
แต่ถ้าเรารู้เห็นชัดว่าถึงที่สุดเราก็เอาอะไรไปไม่ได้
โลกนี้ทุกสิ่งที่เหมือนหาได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้ เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มี
ความจริงมันบอกใจศิษย์ทุกอย่าง ศิษย์มีคนรัก ศิษย์มีรถ ศิษย์มีเงิน
ศิษย์มีบ้าน แต่ถึงเวลาทำไมใจลึกๆ เหมือนไม่มีอะไร
เพราะธรรมชาติต้องการบอกว่า ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ศิษย์หา มันก็คือความไม่มี
แล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิต ศิษย์จะยอมเสียเวลาในชีวิต เพื่อได้มาแค่รถ บ้าน คนรัก
ลูกหลาน หรือศิษย์จะรู้จักที่จะมีบ้าน มีรถ มีลูกหลาน
และรู้จักบำเพ็ญตัวเอง เมื่อเราพ้นได้ ลูกหลานเห็น เขาก็พ้นตาม
เราทุกข์ครอบครัวก็ทุกข์ เราสุขครอบครัวก็สุข
เราพ้นทุกข์ครอบครัวก็จะพ้นทุกข์ แล้วทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
คำว่า “ปรามใจตัวเอง”)
นำไปทำให้ได้ก็พอ ถ้าทำได้นะ ดีกว่าคำขอบคุณอีก เวลาที่เรามีลูก
เราอยากให้ลูกด้อยกว่าหรือเก่งกว่าพ่อแม่ (เก่งกว่า)
 อาจารย์ก็อยากได้ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์นะ
สิ่งไหนเรียกว่าบำเพ็ญ แล้วบำเพ็ญแบบไหน
ยังไปทำบุญตักบาตรได้ไหม (ได้)  ยังจะต้องมีศีลห้าครบถ้วนด้วย
เพราะศีลห้าทำคนให้เป็นคนที่ปกติ คนที่ขาดศีลห้าคือคนผิดปกติ
อาจารย์ถามนะ ใครจะเบียดเบียน เข่นฆ่า
ต่อว่าหรือโกหกคนอื่นทันทีที่เกิดมา แบบนี้ใช่คนปกติไหม (ไม่)
 แค่เราปกติก็คือเราไม่คิดเบียดเบียนใคร เราไม่คิดฆ่าใคร
เราไม่คิดทำร้ายใคร นั่นก็คือการมีศีลห้าครบ ใช่หรือไม่
เราไม่คิดอยากมีชู้มีกิ๊กทางไลน์ ใช่ไหม (ไม่)
เราไม่แอบดูสิ่งที่ไม่น่าดูทางไลน์ ทางเฟซบุค ใช่ไหม
(ใช่)  ศิษย์จำไว้นะว่าถ้าเมื่อไรศิษย์เปิดดู เท่ากับศิษย์เพิ่มยอดไลค์การดู
แปลว่าศิษย์ส่งเสริมให้อันนี้มันโดดเด่น มันเด่นดังขึ้นมาในทางที่ไม่ดี
แปลว่าเราร่วมบาปด้วยนะ จริงไหม (จริง)
ภาพคนแก้ผ้ายอดไลค์ทะลุล้านวิว
แล้วหนึ่งในล้านวิวเราเป็นหนึ่งในนั้นที่แอบดู ควรไหม (ไม่ควร)  ดูไหม (ไม่ดู)
การฝึกปฏิบัติเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีไหม (ดี)
อะไรเรียกว่าบำเพ็ญ เป็นคนดีไหม (ดี)  มีน้ำใจไหม
(มี)  ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนมีน้ำใจไม่นิ่งดูดายใคร ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ
ไม่ข่มเหงใคร ใช่ไหม (ใช่)  ที่ต่ำกว่าไม่เคยกดขี่ ที่สูงกว่าไม่เคยนินทา
ใช่ไหม (ใช่)  สูงก็นินทา ต่ำก็กดขี่ แอบใช้แรงเขา จริงไหม (จริง)
ยอมรับได้ก็แก้ได้เปลาะหนึ่ง ถ้าไม่ยอมรับมันก็ผิดอยู่วันยังค่ำนะศิษย์เอย
ฉะนั้นเริ่มต้นแรก อาจารย์บอกให้ง่ายๆ ในการฝึกฝนบำเพ็ญ
คือไม่ต้องเป็นคนดี ขอแค่เพียงชั่วไม่ทำ บาปไม่ก่อแต่ถ้าดีแทบตาย
ชั่วก็ทำ บาปก็ก่อ อาจารย์ไม่รู้ว่าดีตรงไหน บุญทำไหม (ทำ)
แล้วด่าคนไหม (ด่า)  เบียดเบียนเขาไหม (เบียดเบียน)
 ฉะนั้นละบาปบำเพ็ญบุญเรียกว่าการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรม
และมีโอกาสหมั่นสร้างบารมีเป็นทานด้วยการมอบธรรมให้กับทุกคนโดย
ไม่เจาะจง บางคนบอกวันนี้เคราะห์ไม่ดี ดูดวงแล้วไม่ดี ราหูอมจันทร์ จริงๆ
อาจารย์ว่าปากนี่แหละอมสิ่งที่ไม่ดีนิสัยเป็นหนอง ใช่ไหม (ใช่)
 ถ้าจะแก้ไม่ใช่ไปสะเดาะเคราะห์ ต้องแก้ที่ปากและนิสัย
อยากเปลี่ยนชีวิตต้องเปลี่ยนความคิดและความรู้ความเข้าใจในตัวเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก)
วิธีที่ศิษย์จะสร้างบารมีก็คือ อยู่กับใครให้ธรรมะเป็นทาน ให้เมตตา
ผู้อาวุโสกว่าให้ความเคารพซื่อตรง ซื่อสัตย์
ทำหน้าที่ด้วยความสุจริตใจและจริงใจ บำเพ็ญในโลกยากไหม (ไม่ยาก)
ทุกครั้งที่ทำออกไปคือให้ธรรมเป็นทาน ไม่ได้ทำเพราะยึดติดในตัวตน
แต่ทุกครั้งที่ทำล้วนเป็นธรรมะเมตตาที่สุด
พูดกับเพื่อนพูดด้วยความเมตตา จริงใจ แล้วการว่าคน
ว่าด้วยเมตตาได้ไหม (ได้)  ว่าอย่างไร (ว่ากล่าวตักเตือน)  ตักเตือนอย่างไร
(รู้ว่าทำไม่ดี ก็เตือนว่าทำไม่ดี)  ถึงเวลาใครฟังเรา
ฉะนั้นการตักเตือนที่ดีที่สุดคือ ทำตัวเองให้ถูกต้องที่สุด
และทำให้เขาเห็นความดีที่แท้จริงที่สุดในใจเรา
ด้วยการกระทำให้เขาเห็นเป็นประจำ ประเสริฐกว่าคำพูดใดๆ
อยากได้ลูกดีพ่อแม่ต้องทำให้ถูกต้อง แต่ถ้าอยากได้สามีดีเราต้องทำใจ
ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราสร้างเหตุแล้ว เรารู้วิธีดับทุกข์แล้ว
การบำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  แบบนี้ครอบครัวจะอบอุ่นไหม (อบอุ่น)
เพราะทุกคนต่างรู้ที่จะไม่ทุกข์ ศิษย์จำไว้นะ
ถ้าศิษย์ยิ่งรู้จักทุกข์มากเท่าไรศิษย์จะยิ่งรักทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่น่ากลัว
แต่ใจที่ยึดติดจนทุกข์เกินไปนั้นน่ากลัวกว่า
ชีวิตจะหมดสิ้นทุกข์และกิเลสได้ต่อเมื่อเราไม่ยึดติด
อุทิศตัวตน สิ่งสำคัญก็คือได้ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงามหรือยัง
ถ้ายังทำตัวเองให้ถูกต้องดีงามไม่ได้ ก็ยังบำเพ็ญยากอยู่
ต้องเริ่มต้นที่ความเป็นคนสมบูรณ์แบบ
แล้วต่อไปจะบำเพ็ญเป็นพุทธะก็จะไม่ยากอะไร
แต่ถ้าเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แบบ จะบำเพ็ญเป็นพุทธะไม่มีทางเป็นไปได้
ฉะนั้นการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมจึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่ความเป็นคนมีธรรมให้สมบูรณ์ ธรรมหนึ่งเรียกว่าสัจธรรมความเป็นจริง
ธรรมหนึ่งคือคุณธรรมแห่งความเป็นคน ที่เรียกว่าเมตตา มโนธรรม
จริยธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม ยังมีอีกเยอะเลย
ไม่สามารถพูดหมดได้ในสองวัน
ถ้าศิษย์ศึกษาให้มากกว่านี้ ศิษย์จะรู้ว่า
ธรรมแห่งความเป็นจริงถ้ายิ่งมีสติตื่นรู้มากเท่าไร
ศิษย์ก็จะมองเห็นว่าโลกใบนี้ ตัวเรานี้ คนที่ยืนบนนี้ว่างเปล่า
และสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันทุกข์นี้ เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
มันมาเพื่อให้เราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นกลาง
เหมือนที่เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกไว้ ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง
ทุกข์ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ในทุกข์มันมีสุขอยู่
ถ้ามัวแต่ทุกข์เราก็จะไม่เห็นสุข
แต่ถ้าเรายืนให้เห็นชัดเราจะรู้ว่าในทุกข์มันมีสุข
ในกิเลสมันมีปัญญาที่นำพาให้เราหลุดพ้น
ขอเพียงมองให้เห็นความเป็นกลาง แต่มนุษย์นั้นเห็นอะไรก็ยึดติด จริงไหม
(จริง)  เขาด่าก็ไปยึดติดและลืมมองว่าการด่านั้นก็มีดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เขาเกลียดเรา ก็ไปยึดติดอีก ทั้งที่เราลืมไปว่าคนที่เกลียดก็ยังทำให้เรามีสติ
รู้จักชีวิตตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาน่ารัก เราก็ไปยึดติดอีก
แต่ความน่ารักมันก็ทำให้เรารู้ว่าเขาก็มีอะไรน่าเกลียดไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์มีสติตื่นรู้อยู่ทุกขณะในความเป็นจริง
อะไรในโลกก็ทำศิษย์ทุกข์ไม่ได้ ใครก็บีบใจเราให้เจ็บปวดไม่ได้
เราจะรู้จักรักษาใจเราเอง จริงไหม (จริง)
อย่างไรศิษย์ของอาจารย์ก็น่ารัก มีทั้งที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ถ้าลองได้เข้าใจตัวเอง
แล้วศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนพยายามให้ศิษย์มานั่งฟังตรงนี้
เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเอง
แต่เขาทำเพื่อตัวศิษย์ทั้งนั้น เขาไม่ได้ทำเพราะเขาเห็นว่าตัวเองมีดี
แต่ทำเพราะเขาเห็นว่าศิษย์มีดี
มีธรรมะและหวังว่าเมื่อศิษย์เห็นธรรมะในตัวเองแล้ว
นำธรรมะนั้นไปช่วยคนอื่นต่อ เราอาจมองว่าบางคนทำไมมีบุญจัง
ไปไหนก็มีแต่คนรัก เพราะรู้จักสร้างบารมีด้วยการให้ สร้างบุญด้วยการให้
ให้ความจริงใจ ให้ธรรมะ ให้แง่คิด ให้ความถูกต้อง
ให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนที่ดีคนหนึ่งได้ และเป็นคนดีที่พร้อมจะเสียสละ
แม้ตัวเองจะเจ็บ แม้ตัวเองจะถูกต่อว่า
แม้ตัวเองจะสูญเสียจนหมดเนื้อหมดตัวก็พร้อมจะรักษาความดีได้
คนเช่นนี้สมควรเรียกว่า พุทธะบนดิน
อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าโรคภัยไข้เจ็บและปัญหาไม่น่ากลัว ยิ่งรู้จัก
ยิ่งเข้าใกล้ เราจะยิ่งรู้ว่าจะช่วยทำให้เราปลดปล่อยความยึดมั่น
เข้าสู่ภาวะแห่งการพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ใครจะต่อว่า ใครจะเกลียด
ใครจะโกง ใครจะชิงชัง
เราก็จะรู้สึกขอบคุณที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธ
รรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อาจจะมาแล้วทำให้ศิษย์ไม่สบายใจ
แต่อาจารย์ก็หวังว่าสิ่งที่ทำนี้จะมาย้ำเตือนศิษย์หรือมากระตุ้นเตือนศิษย์ว่า
ศิษย์มีดีอยู่นะ ศิษย์มีธรรมะอยู่นะ เราไม่ได้เกิดมาแล้วทุกข์จนตาย
แต่เราสามารถเกิดมาพ้นทุกข์ได้เพียงแค่เข้าใจความจริง
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว ขอบคุณในความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่ง
ขอบคุณในความเสียสละที่ไม่ยอมแพ้
ขอบคุณจิตใจที่รู้จักทำดีโดยไม่ท้อถอย อาจารย์ดีใจที่อาจารย์มีศิษย์แบบนี้
ดูแลตัวเองให้ดี
หนทางสำคัญในการบำเพ็ญไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
แต่แกนหลักของการศึกษาธรรมคือ ทิ้งตัวตนได้เพื่อกลับคืนสู่ธรรม
เจ็บจนถึงที่สุดแล้วขึ้นสู่ธรรมทำได้ก็น่าภูมิใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ให้จนถึงที่สุดได้โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดนั่นคือพุทธะบนดิน
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือสู้เพื่อช่วยคนนะศิษย์ แม้จะโดนว่า แม้จะโดนคนไม่เข้าใจ
แต่จงอย่าลืมว่าเราทำเพื่อธรรม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
เราทำเพื่อให้เขาเห็นธรรมและทำเพื่อให้เราได้เห็นธรรม
ธรรมที่เมตตาจนถึงที่สุด เสียสละจนถึงที่สุดแม้จะเจ็บปวดบ้างก็ดี
ได้ทิ้งตัวตนบ้าง ได้วางตัวตนลงบ้าง ฉะนั้นอย่าท้อ อย่ายอมแพ้
ไปด้วยกันแล้วต้องไปให้ถึงที่สุดนะ ได้ไหมศิษย์ (ได้)
แม้การบำเพ็ญจะยาวนานแค่ไหนก็อย่าได้ท้อ ล้มบ้าง ผิดหวังบ้างไม่เป็นไร
อาจารย์ยังคงรอ รอวันได้พบศิษย์ที่บริสุทธิ์ที่สุกสกาว

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ปรามใจตัวเอง”
มีสติรู้เตือนตนอยู่เสมอ ไม่ปล่อยเผลอทาสอารมณ์ติดดีร้าย
ถูกกระทบหยุดรู้ตัวนิ่งให้ไว รู้วางใจไม่โทษใครตรวจสอบตน
ทำนิ่งแต่ใจฟุ้งซ่าน ปรุงความคิด ยอมอภัยแต่จำติดจิตขุ่นข้น
ผู้สงบแล้ววางเฉยได้เย็นกมล ตื่นรู้ตนอย่าวนติดทิฐิอัตตา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

2561-12-22 สถานธรรมจื้อเจวี๋ย อ.สิงหนคร จ.สงขลา

西元二〇一八年歲次戊戌十一月十六日                         仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑   สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  ความสุขหายง่ายไปไว                ความทุกข์หายยากหลีกพ้น
มาฝึกดับทุกข์ในตน                      ดีกว่าทุกข์ทนวางวาย
                            เราคือ
   ศิษย์พี่นาจา  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกแฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                        ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับเราไหม
  สรรพสิ่งนั้นหนาล้วนคืนว่าง          อันใดสมบูรณ์บ้างในโลกนี้
ดั่งลมพัดผันผ่านวันวารี                 โลกชั่วคราวทุกข์เปลี่ยนที่ไม่อาทร
ปรารถนาครองสิ่งใดแล้วยึดชิง              ครองครอบสิ่งทุกอย่างตามหลอกหลอน
ปรารถนาใดได้จริงหลงวิ่งวอน          ปลงใจสิ่งที่ร้อนด้วยธรรมะ
อย่ากังวลทุกข์หนักไม่น่ากลัว          จิตตื่นตัวคือยึดแล้วสละ
คนทิฐิมีความคิดความมานะ[1]           อารยะ[2]ถือทุกข์ที่ยื้อคืออนิจจา
หัวใจยึดติดย่อมไม่ผ่อนคลาย          ยึดมั่นหมายเพียงนั้นกั้นเวหา
ทะนงรับความจริงจึงเปิดฟ้า            ทางไปเป็นทางมาหวนศุกล[3]
ทำดีเองไม่ใช่อะไรฉุด                    ดีกว่าฝืนยื้อยุดให้สับสน
ชีวิตสั้นจำไว้ใฝ่หลุดพ้น                  บำเพ็ญตนใจดั่งเพชรตัดกิเลส
                                                                                ฮิ ฮิ หยุด


[1] มานะ:น.ความถือตัว, ความสำคัญตน,ความพยายาม, ความตั้งใจจริง, ความพากเพียร
[2] อารยะ:น.ผู้มีธรรม, อริยบุคคล       ว.เจริญ
[3] ศุกล:ว. สุกใส,สว่าง,ขาว,บริสุทธิ์.


พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
โดยส่วนใหญ่คนมาสถานธรรมก็อดตั้งคำถามสงสัยไม่ได้ว่าธรรมะมีค่าอะไร ธรรมะดีอย่างไรที่ฉันจะต้องมาเสียเวลานั่งฟัง เสียเวลาที่จะไปเที่ยวไปหาเงินดีกว่า บางครั้งเราอดคลางแคลงใจไม่ได้ คิดในใจว่าธรรมะมีค่าขนาดไหน ธรรมะมีประโยชน์อย่างไรที่ยอมเสียเวลามานั่งฟัง และยอมเสียความเป็นตัวเองเพื่อมาอดทนฟังใครก็ไม่รู้พูด ถูกไหม (ถูก)
ธรรมะดีกับเราอย่างไร ชีวิตเราไม่มีธรรมะก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ถ้าเรามาตอบคำถามนี้กับท่าน ท่านอยากจะลองฟังดูไหม (อยาก)  ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม นักเรียนในชั้น หรือคนที่ปฏิบัติธรรมะมานานๆ ก็อดถามใจตัวเองไม่ได้ว่า ธรรมะมีค่าขนาดที่ฉันต้องแลกกับชีวิตเลยหรือ ธรรมะมีค่าขนาดที่ฉันต้องยอมอดทนอดกลั้นขนาดนี้เลยหรือ ธรรมะดีขนาดนี้เลยหรือที่ฉันต้องยอมเสียเวลาชีวิตของฉันมาเพื่อฟัง เพราะธรรมะดีกับจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราฟังธรรมะมาตั้งมาก เรายังไม่เห็นดีเลย ลองฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วหยั่งคิดดูว่าสิ่งที่เราพูดท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร
อย่างนั้นเราถามท่านนะ ข้อหนึ่งที่ส่วนใหญ่เรามาฟังธรรมะ เคยได้ยินไหม คนเราเกิดมาก็ต้อง (ตาย)  และชีวิตนี้สิ่งที่เรากลัวที่สุดก็คือ (ความตาย)  บางคนบอกกลัวตาย บางคนบอกกลัวเจ็บป่วย บางคนบอกกลัวทุกข์ บางคนบอกกลัวพลัดพราก บางคนกลัวล่มจม บางคนกลัวน้ำท่วม ใช่ไหม
แต่ชีวิตอยู่แล้วยึดติดทุกอย่าง กับชีวิตที่อยู่แล้วเข้าใจ รู้จักปล่อยวางด้วยธรรมะ กลับทำให้เรามีชีวิตอย่างไม่กลัวตายไม่กลัวสูญเสียและไม่กลัวแม้กระทั่งความเจ็บปวด ชีวิตที่เข้าใจธรรมทำให้เราปล่อยวางแม้กระทั่งความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมมีค่าพอที่ท่านจะเสียเวลา เสียสละ เพื่อมีธรรมเพราะความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุด เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์หนีไม่พ้น เพราะความพลัดพรากเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ฉะนั้นถ้าใครถามตัวเองว่าทำไมฉันต้องเสียเวลามานั่งฟังธรรม เพราะการฟังธรรมนั้นทำให้เราเข้าใจชีวิตความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่หนีไม่พ้น เกิดมาก็ต้องแก่ ต้องเจ็บและก็ต้องตาย เกิดมาแล้วก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้ววิชาไหนที่จะทำให้เราเข้าใจความแก่แล้วไม่ทุกข์ ความทุกข์แล้วไม่ทุกข์ตาย ความพลัดพรากแล้วไม่เจ็บปวด ความตายแล้วไม่ทรมาน นั่นก็คือวิชาที่ทำให้เราเข้าใจธรรมะ ฉะนั้นถ้าเขาบอกว่ามาฟังธรรมะไหม ท่านเลยบอกว่ามา เพราะมันทำให้เราได้ปลดปลง ปล่อยวาง ทุกข์ที่เราแบกมาตลอดชีวิต แต่มาที่นี่มาแล้วปล่อยหรือมาแล้วยังแบก (ปล่อย)
แล้วมีเหตุผลข้อเดียวไหมที่ทำให้เราอยากมาฟังธรรมะและยอมเสียสละชีวิตเพื่อธรรมะ ไม่ใช่แน่นอน อย่างนั้นถามท่านนะคนเรากลัวเจ็บ กลัวมีเคราะห์ กลัวโชคไม่ดี กลัวถูกทำร้าย อย่างนั้นรู้ไหมว่าถ้าฟังธรรมะแล้วท่านจะสามารถทำให้เคราะห์ร้ายกลายเป็นเคราะห์ดี ดวงร้ายกลายเป็นดวงดีได้ด้วยการดับต้นเหตุแห่งเคราะห์ แห่งทุกข์และแห่งเภทภัยอันตรายทั้งปวง เพราะเวลาเราดวงไม่ดี เคราะห์ไม่ดี เราก็พยายามไปสะเดาะเคราะห์ ฉะนั้นท่านรู้ไหม เคราะห์ เภทภัย ดวงชะตาไม่ดี หรือภัยอันตรายต่างๆ ล้วนมาจากปาก เคยได้ยินไหมว่า ปากพาจน คนจะได้ดีก็เพราะปาก คนจะไม่ดีก็เพราะปาก ฉะนั้นที่เราดวงชะตาไม่ดีก็เพราะ (ปาก)  ถ้าจะแก้ที่ดวงชะตามันแย่ แก้ที่วัดหรือแก้ที่ปาก (แก้ที่ปาก)  แต่พอถึงเวลาเห็นไปแก้ที่วัด ไม่ได้แก้ที่ปากใช่หรือไม่ (ใช่)  เคราะห์ร้าย เคราะห์ไม่ดีล้วนเกิดจากนิสัยเราทั้งสิ้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ โลภ ตระหนี่ บ่น นินทา เล่นลอตเตอรี่ เล่นหวยใต้ดิน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำไมเราต้องศึกษาธรรมะ เพราะธรรมช่วยให้เรารู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลงและความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เพื่อยับยั้งต้นเหตุแห่งเคราะห์ภัยและเวรภัยทั้งปวงได้ จริงไหม โลภ โกรธ หลง ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ล้วนออกมาจากอัตภาพที่ชื่อคำว่า “ตัวตน” ผู้ใดบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ผู้นั้นก็จะสามารถดับทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์และดับเหตุแห่งภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเพิ่มฟังธรรมะจากหนึ่งวันเป็นสองวัน เพื่อให้รู้ว่าการไม่ต้องมีเคราะห์จะได้ทำให้เรารู้จักปลงไม่ตาย ตายไม่ตาย ไม่เจ็บป่วยมาก ไม่อยากฟังหรือ ยังกลับหลงยึดมั่นตัวตนอีก
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม และเมตตาให้นักเรียนในชั้นเต้นเพลงอิปปี้ยา เพื่อคลายความเมื่อยล้าให้แก่นักเรียนในชั้น)
โดยส่วนใหญ่ศิษย์น้องทุกคนมักจะอดคิดไม่ได้ว่าทำไมฉันจะต้องเสียเวลากับธรรมะ ทำไมฉันจะต้องอุทิศชีวิตตัวเองกับธรรมะ ทำไมฉันจะต้องมานั่งฟังธรรมะ ศิษย์น้องจำไว้อย่างหนึ่งนะ เมื่อไรที่เราไม่สามารถเป็นบัวพ้นน้ำ เราก็ไม่มีวันที่จะฟังธรรมะครั้งเดียวแล้วเข้าใจ ฟังครั้งเดียวแล้วดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ใช่บัวพ้นน้ำ เราก็อาจจะเป็นบัวที่อยู่ใต้น้ำหรือติดโคลนตม เราก็อาจจะเป็นประเภทที่ฟังบ่อยๆ ฟังเยอะๆ เพื่อจะได้เอามาใช้ในชีวิต เหมือนตอนแรกที่พูดว่าฟังธรรมะเพื่ออะไร ยอมสละเวลาเพื่ออะไร เพื่อเราจะได้เห็นความเป็นจริงของชีวิต เหมือนศิษย์พี่กับศิษย์น้องทุกคน ใครที่หนีความแก่ หนีความเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริงอันเรียกว่าธรรมดาของทุกชีวิต เขาค้นพบธรรมและไม่ยึดมั่นชีวิต เมื่อชีวิตมาถึงความตายก็สามารถปลดปลงและปล่อยวางได้ แต่ถ้าเป็นคนที่เขายังไม่สามารถมีธรรมในชีวิต คนๆ นั้นก็จะมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า ก็ฉันเป็นอย่างนี้ ก็ฉันมีอย่างนี้ ฉันไม่ชอบอย่างนี้ และก็ติดว่าฉันเป็นคนดี ฉันชอบแบบนั้น ฉันชอบแบบนี้ เมื่อติดคำว่าตัวตนและยึดตัวตนก็หนีไม่พ้นเหตุแห่งการสร้างกรรมและความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใดที่มนุษย์ไม่เข้าใจว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือกลับไปสู่สภาวธรรม แต่มนุษย์กลับสู่การยึดมั่นถือมั่นตัวตน มนุษย์ก็เลยหนีไม่พ้นกรรมดีและกรรมชั่วและหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองยึดติดและหลงสร้าง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถือผลลูกพลับซึ่งเป็นตัวแทนความโชคดี และถือผลแอปเปิลซึ่งเป็นตัวแทนความโชคร้าย)
อย่างนั้นศิษย์พี่ถามนะ ผลนี้ดี ผลนี้ไม่ดี เลือกผลไหน (ผลดี)  แล้วเมื่อสักครู่ใครบอกไม่ยึดติด ศิษย์พี่จะบอกให้ถ้าผลดีเรียกว่าสุข เรียกว่าสมหวัง เรียกว่าโชคดี ถ้าผลไม่ดีเรียกว่า โชคร้าย เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าความตาย ศิษย์พี่ถามว่าความจริงโลกนี้มันมีด้านเดียวหรือมีสองด้าน (สองด้าน)  ชีวิตนี้มีด้านเดียวหรือสองด้าน (สองด้าน)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่ชีวิตจะเลือกแต่ด้านหน้าไม่เอาด้านหลัง (ไม่ได้)  อย่างนั้นผลนี้ดี ผลนี้ไม่ดีเลือกผลไหน (ทั้งสอง)  ถ้าศิษย์น้องเข้าใจชีวิตเมื่อเลือกที่จะอยู่ก็ต้องไม่กลัวที่จะตาย เมื่อเลือกที่จะเข้มแข็ง ก็ต้องไม่กลัวเจ็บปวด เข้มแข็งได้ก็เจ็บปวดได้ เมื่อเจ็บปวดแล้วจะเข้มแข็งไม่ได้หรือ (ได้)
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำไมต้องฟังธรรมะมากๆ  เพราะธรรมะจะตอกย้ำเข้าไปในจิตใจว่า เกิดมาก็หนีความตายไม่พ้น และความเกิดกับความตายไม่เคยอยู่ห่างกัน อยู่ด้วยกันเสมอ เพราะทุกวันที่ศิษย์น้องเกิด ศิษย์น้องกำลังตายใช่ไหม และทุกวันที่ศิษย์น้องมีความสุข ก็มีความทุกข์อยู่ในใจ และทุกวันที่ศิษย์น้องมีความทุกข์ แต่ลึกๆ ก็เหมือนกับมีความสุขจริงไหม และทุกวันที่ศิษย์น้องแข็งแรงก็มีความเจ็บป่วยซ่อนอยู่ใช่ไหม เวลาเจ็บป่วยแล้วกลับมาแข็งแรงไม่ได้หรือ (ได้)  รักษากายได้ แต่อย่าลืมความเข้มแข็งในจิตใจ เพราะหมอรักษาได้เพียงกาย แต่ถ้าใจไม่สู้ ก็ไม่หาย กินยาดีขนาดไหนก็ไม่รอด ฉะนั้นความเข้าใจธรรมอันเป็นธรรมดาของชีวิต มันคุ้มไหมกับการที่เราจะศึกษา แล้วจะทำให้เราเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น คุ้มไหมกับการที่เรายอมเสียสละเพื่อจะมีธรรม (คุ้ม)  อีกอย่างหนึ่งของคนที่มีธรรมะประจำจะปากเสียไหม (ไม่)  จะเป็นคนใจดำอำมหิตไหม จะเป็นคนปากว่าตาขยิบไหม แล้วจะเป็นคนปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  จะเป็นคนพูดอย่างทำอย่างไหม (ไม่)  เมื่อเป็นคนที่พูดอะไรทำได้อย่างนั้น เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนซื่อตรง เขาจะเคราะห์ร้ายไหม (ไม่)  เขาจะดวงชะตาไม่ดีไหม (ไม่)  ถึงมีแต่ก็คงเป็นกรรมเก่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กรรมใหม่เราไม่สร้างถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเกิดเป็นคนที่มีธรรมเสมอ เราจะมีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่มี)  เราจะหมดทุกข์ไหม (หมด)  แล้วเราจะดับทุกข์ได้ไหม (ได้)  แล้วเราจะมีธรรมไหม (มี)  เสียอย่างเดียวเมื่อถึงเวลามนุษย์ไม่เคยเห็นแก่ธรรม แต่มักจะเห็นแก่ตัว จริงไหม เมื่อถึงเวลาให้เลือกธรรมกับเลือกตัวเอง เลือกอะไร ยกตัวอย่างเช่น ถามว่าเป็นคนใจดีไหม ชอบคนใจดีไหม (ชอบ)  เมื่อถึงเวลาใจดีกับตัวเองแต่ใจร้ายกับ (ผู้อื่น)  เมตตาต่อตัวเองแต่ (ไม่เมตตาผู้อื่น)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าถ้าศึกษาธรรมจงเห็นแก่ธรรมไม่ใช่เห็นแก่ตัว และเมื่อไรที่มีธรรมในตัวศิษย์น้องก็จะกลับคืนสู่ธรรมไม่ต้องกลับไปใช้เวรใช้กรรม เราถามง่ายๆ ชอบคนใจดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อถึงเวลาเราใจดีหรือใจร้าย (ใจดี)  อย่างนั้นถามนะ กินเนื้อสัตว์ไหม เนื้อสัตว์อร่อยไหม ถ้าไปกินผักรู้สึกลำบาก ใช่ไหม (ใช่)  เลยยอมสงสารตัวเองแล้วฆ่าสัตว์ทิ้งแล้วตัวเองกิน เคยเป็นแบบนี้ไหม หาผักกินยาก อาหารเจกินยาก สงสารตัวเองที่ต้องกินลำบากเลยกินเนื้อสัตว์ใช่ไหม แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เบียดเบียนคนอื่นเพื่อสงสารตัวเอง อย่างนั้นเราปฏิบัติธรรมเพื่อตัวหรือปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ชอบไหมคนให้อภัย  ชอบไหมคนให้ทาน  ชอบไหมคนที่เมตตา (ชอบ)    แต่เมื่อถึงเวลาเราให้อภัยไหม แต่เมื่อเจอหน้ายังเกลียดเขา ยังพยายามให้อภัยอยู่แต่ยังไม่ลืม อย่างนี้เรียกว่าคนให้อภัยหรือ (ไม่)  ศิษย์น้องถ้าเขาให้อภัยจริงเขาจะลืมและจบมันไปตั้งนานแล้ว แค่ความเมตตาลึกๆ ในใจ ชอบคนเมตตา ชอบคนใจดี ชอบคนมีน้ำใจ แต่ที่ตัวเองเป็นคือเอาแต่เรียกร้องคนอื่นแต่ตัวเองไม่เคยเป็นเลย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าปฏิบัติเพื่อธรรมไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อตัว ถ้ากินแล้วทำลายความมีเมตตาธรรม ถ้าพูดแล้วทำลายความเมตตาในจิตใจ เขายอมไม่พูดยอมไม่กิน เพราะเห็นธรรมเป็นตัว ดีกว่าเห็นตัวเป็นกิเลสอารมณ์และหนีไม่พ้นวิบากกรรม เหมือนเราอดไม่ได้ถ้าเขาด่าเรา เราก็ต้อง (ตบ)  ด่าปุ๊บตบปั๊บเลยหรือแล้วถ้าเราโดนตบ (ตบกลับ)  นักเรียนชั้นนี้มือไวใจเร็วจริงๆ เลยนะ ถ้าเขาด่าแล้วเราด่ากลับ เราน่าจะขอบคุณเขานะเพราะเราได้ใช้กรรมจบสิ้น    จริงไหม เราจะได้ไม่มีเคราะห์ภัย เราอยู่ในโลกนี้เราอยากได้มิตรหรือเราอยากได้ศัตรู (อยากได้มิตร)  แล้วเราสร้างมิตรหรือเราสร้างศัตรู สร้างศัตรูมากกว่าสร้างมิตร สามวันดีสี่วันไข้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพอเข้าใจในเหตุผลที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องศึกษาธรรมไหม แล้วทำไมต้องมีธรรม เพราะทุกชีวิตเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมชาติที่ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้ามนุษย์ไม่สามารถกลับคืนสู่ธรรมได้ มนุษย์ยังยึดติดความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองจะต้องไปแบกรับและยึดถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตายครั้งเดียวเจ็บพอไหม พอแล้วถูกไหม แต่การยึดมั่นถือมั่นโดยที่ถือตัวตนเป็นหลักแล้วไม่สนใจธรรมจะทำให้ศิษย์น้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก จนหาที่สุดไม่ได้ จนกว่าศิษย์น้องจะกลับคืนสู่ธรรม     เรามาจากธรรม และธรรมคือบ้านเดิมแท้ของจิตวิญญาณและสังขาร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราก็ควรกลับคืนสู่ที่เรามาถูกไหม แต่ทำไมเราไม่ถือธรรมเต็มตัว แต่เรากลับถือกิเลส อัตตา นิสัย ความเคยชิน เป็นตัวตน และเป็นสาเหตุให้เราหนีไม่พ้นเคราะห์ภัย เวรกรรม และวิบากกรรม ถูกไหม (ถูก)
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ใครเป็นสายพุทธน่าจะรู้จักคำว่าปัจจัตตัง ปัจจัตตัง แปลว่า ธรรมต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ศิษย์พี่พูด แต่จงเอาสิ่งที่ศิษย์พี่พูดไปปฏิบัติจนตื่นรู้ด้วยตัวเองแล้วจึงเชื่อ ไม่ใช่เห็นยืมร่างแล้วเชื่อ อย่างนั้นเรียกว่างมงาย แต่จงเอาสิ่งที่รู้ไปปฏิบัติ ไตร่ตรองแล้วเกิดความกระจ่างแจ้งด้วยตัวเองถึงจะเชื่อ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทำอะไรด้วยปัญญา ด้วยสติ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่ใช่แค่เห็นเป็นร่างทรงแล้วเขาบอกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้เรียกว่างมงาย ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องเป็นคนฉลาด แล้วทุกอย่างเป็นการคว้าโอกาสหรือเสียโอกาส แล้วทุกอย่างเป็นคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า แล้วทุกอย่างที่มีชีวิตผ่านมามีสุขหรือว่ามีทุกข์ ศิษย์พี่จะบอกอะไรอีกอย่างหนึ่งนะ ในโลกใบนี้มนุษย์ทุกคนไม่มีใครเกิดมาดีพร้อม และก็ไม่มีใครเกิดมาพร้อมสมบูรณ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคนที่รู้จักใช้ชีวิตเป็นคนที่แม้จะเกิดมาไม่สมบูรณ์หรือไม่ดีพร้อม แต่เกิดมาแล้วถ้าเราเข้าใจชีวิต เราคงไม่ใช้ชีวิตเอาแต่ขอคนอื่น ถูกไหม (ถูก)
จริงๆ เราเป็นคนช่างขอ หรือช่างให้ (สองอย่าง)  เกิดมาเอาแต่ขอ เอาแต่วอน เอาแต่ฝันใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดว่าเราเกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์  เราไม่ได้พร้อมเหมือนทุกคน ทุกคนก็เลยเลือกชีวิตด้วยการขอความรักจากใครสักคน ขอรอยยิ้มจากใครสักคน แล้วก็เพ้อฝันไปเป็นวันๆ แล้วก็ปล่อยชีวิตให้เสียโอกาสไปใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือชีวิตของคนที่ไม่สมบูรณ์และไม่ได้เกิดมาพร้อมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ทำอย่างนี้ฉลาดหรือไม่ฉลาด (ไม่ฉลาด)  แล้วเราเป็นอย่างนี้ไหม (ไม่เป็น)  เราเกิดมาวิงวอนขอไหม (ขอ)  ใช่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนเกิดมาขอนั่น ขอนี่ แล้วก็บ่น ตัดพ้อนั่น ตัดพ้อนี่ แล้วก็โทษคนนั้น โทษคนนี้ แล้วก็ปล่อยชีวิตผ่านๆ ไปโดยไม่มีคุณค่า ไม่มีสาระอะไรเลย คุณค่ามากที่สุดก็คือสนองความอยากของตัวเองแค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกวันผ่านไปสนองความอยากของตัวเองก็หนีไม่พ้นการยึดติดตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถ้าศิษย์พี่บอกว่ามีอีกทางหนึ่ง แม้เราไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แต่เราจะทำทุกอย่างให้เป็นโอกาส ทุกอย่างให้เป็นคุณค่า ทุกอย่างทุกเวลาเป็นการเรียนรู้ และทุกอย่างทุกเวลาไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน ฉันก็จะพยายามค้นหาความสุขและทางพ้นทุกข์ให้เจอ ศิษย์พี่ถามหน่อยนะว่า คนเช่นนี้แม้เกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์ แต่ทุกวันเขาก็ทำให้ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาถือว่าทุกวันคือการสร้างโอกาส ไม่ใช่เสียโอกาส ทุกวันคือสิ่งที่มีคุณค่า ไม่ใช่ปล่อยให้ไร้คุณค่า ไร้ความหมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  และทุกวันคือการหาความสุขเพื่อหนทางพ้นทุกข์ แต่ชีวิตนี้เราเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าทำได้อย่างศิษย์พี่พูด จะเป็นคนที่แม้จะเกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์ก็สมบูรณ์ได้ แม้จะเกิดมาไม่ฉลาดแต่ก็เฉลียวได้ แม้เกิดมาจะทุกข์แต่ก็สามารถค้นพบความสุขได้ ท่ามกลางความทุกข์ เพราะทำทุกอย่าง ทำทุกเรื่องเป็นโอกาส เป็นการเรียนรู้และเป็นหนทางพ้นทุกข์ แต่มนุษย์และศิษย์น้องทุกคนไม่ใช่ ศิษย์น้องชอบรอโอกาส ชอบรอเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชอบให้เวลาสถานการณ์บีบคั้นจนทำให้เราต้องเข้มแข็ง บีบคั้นให้เราทุกข์จนถึงที่สุดแล้วเราค่อยหาทางพ้นทุกข์ แต่ศิษย์พี่ถามหน่อย ถึงเวลาตอนนั้นใจเรารับไหวหรือ เมื่อไม่เคยฝึกใจเลย จึงปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยๆ ว่า แค่อกหักก็ฆ่าตัวตาย แค่ล้มละลายก็ผูกคอตาย แม้จะฟังธรรมไปมากเท่าไร เมื่อน้ำท่วมสวนยางก็ฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่เอาไก่ไปชนแล้วแพ้ก็ฆ่าไก่ตาย ไม่เคยฆ่าตัวเองเลยนะ
ฉะนั้นศิษย์พี่ถามนะ ทุกเวลาที่ชีวิตสูญเสียไปคือโอกาสหรือเสียโอกาส คือคุณค่าที่ชีวิตหนึ่งได้เรียนรู้และรู้วิธีดับทุกข์ หรือเกิดมาเพื่อมีแต่ทุกข์ ฉะนั้นรู้แล้วว่าธรรมมีค่า จะเอาธรรมมาให้เกิดค่า หรือจะให้ธรรมก็คือธรรม เราก็คือเรา เพราะถึงเวลาคนที่ทุกข์ คนที่เจ็บ คนที่แย่ก็คือเรา ดังนั้นในบางครั้งที่ศิษย์น้องรัก ศิษย์น้องหวง ศิษย์น้องห่วง มันไม่เคยช่วยเรา ถ้าเราไม่รู้จักช่วยตัวเองด้วยธรรม จริงไหม (จริง)  เรื่องจะร้ายเรื่องจะดีไม่สำคัญเท่ากับใจของตัวเอง ศิษย์พี่ถามถูกลอตเตอรี่ ดีใจไหม (ดีใจ)  สุขไหม (สุข)  แต่ถ้าซื้อแค่ห้าบาท สุขไหม (ไม่สุข)  ทำไมกลายเป็นทุกข์ล่ะ (ซื้อนิดเดียว)  เห็นไหมเรื่องราวในโลกนี้ไม่ใช่ดีหรือร้าย ไม่ใช่ได้หรือเสีย สิ่งที่สำคัญคือใจมันพอหรือไม่พอ ถ้าไม่พอแม้เรื่องดีที่สุดก็กลายเป็นเรื่องร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักพอแม้เรื่องร้ายที่สุดมันก็มีดี จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้สิ่งที่เราต้องดูแลและเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ของธรรมไม่ใช่ภายนอก แต่คือหัวใจเรา ถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ของธรรมที่อยู่ในใจ รู้จักพอบ้าง เจ็บแล้วอย่าเจ็บอีก ทุกข์แล้วอย่าโง่ทุกข์ซ้ำ แย่แล้วอย่าแย่ซ้ำในเรื่องเดิม ต้องรู้จักเข็ด ต้องรู้จักจำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเอาธรรมมาสอนแล้วเราจะเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต หินมันหนักเมื่อเราแบกฉันใด ความทุกข์ ความผิดหวัง ความเสียใจ มันหนักเมื่อเรายึดมั่นไม่ปล่อยวางฉันนั้น
ฉะนั้นเราทุกข์เพราะอะไร ที่เราทุกข์เพราะเราเอาแต่ครุ่นคิดไม่ยอมรับความจริง เขาด่าเราก็ความจริง แม้เขาจะว่าเราเจ็บปวด มันก็ความจริงเพราะความจริงมันคือธรรม และธรรมมันก็คือความจริง ธรรมคือความจริงอันเป็นธรรมดา มีใครไม่โดนด่าบ้าง ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ฉันโดนด่า พรุ่งนี้ฉันโดนชม มันก็ธรรมดา ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเจอเรื่องราวศิษย์น้องจะเอามันมาเป็นโอกาสเพื่อสิ้นทุกข์ หรือศิษย์น้องจะเอาเรื่องนั้นมาทำร้ายให้ทุกข์ คนที่ฉลาด คนมีธรรม จึงเป็นคนฉลาดเอาทุกเรื่องราวมาทำให้พ้นทุกข์ และเอาทุกเรื่องราวมาเป็นโอกาสให้เราค้นพบธรรม แต่มนุษย์ด่ามาแล้วได้กิเลส ได้ความโกรธ ได้ความเกลียดกลับไปใช่หรือไม่ แล้วโกรธ เกลียดก็หนีไม่พ้นความทุกข์ วิบากกรรม แล้วก็ตามมาด้วยอกุศลกรรม พอมีทุกข์มากๆ ก็ไปทำบุญแล้วมันแก้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากจะแก้ได้ ต้องแก้ที่นิสัย ถ้ามือข้างหนึ่งของศิษย์น้องไปทำบุญ แต่มืออีกข้างศิษย์น้องยังละปากตัวเอง ละอารมณ์ ละกิเลสตัวเองไม่ได้ มันจะใช้กันได้หรือ เหมือนด่าคนนี้แต่ไปทำบุญที่ตรงโน้น ชดใช้กันได้ไหม กรวดน้ำให้ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์พี่ว่าไม่ได้ จริงไหม สู้ทำบุญทั้งตรงโน้น ตรงนั้นและคนที่เราด่าเขา  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดมามีชีวิต อย่าบอกว่าไม่มีทางเลือก มันเลือกได้อยู่ที่เรารู้จักคิดอย่างคนมีสติปัญญา อย่าบอกว่าชีวิตอับจนหนทาง มันไม่มีวันอับจน อยู่ที่ศิษย์น้องสู้หรือไม่สู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขอเพียงอย่างเดียว อย่าทำผิด อย่าคิดร้าย อย่าขาดธรรม เพราะถึงจะสู้ขนาดไหนแต่ถ้าทำผิด คิดร้าย ขาดคุณธรรม มันไม่มีวันเจริญ จำไว้นะศิษย์น้อง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นมีโอกาสสูบบุหรี่ต่อดีไหม (ไม่ดี)  แล้วแต่ศิษย์น้องแล้วกันนะ เพราะเหมือนที่ศิษย์พี่บอก ทุกอย่างมีทางเดิน แต่เราจะเอามาเป็นโอกาสหรือเสียโอกาส เอามาสร้างบุญสร้างกุศล หรือเอามาผูกใจเจ็บด่าทอให้เขาเจ็บปวด วันนี้อยากสร้างบุญกับศิษย์พี่ไหม ง่ายๆ ฟังธรรมแล้วยิ้ม เชื่อไหมว่าคนพูดเขาจะมีกำลังใจถึงแม้เราจะไม่รู้เรื่องก็ตามแต่เราก็ยิ้ม พอเดินลงไปเจอพี่เลี้ยงก็ยิ้ม เป็นบุญที่สร้างง่ายๆ มาก เพราะโลกใบนี้ขาดคนมีความสุขและรู้จักส่งความสุขให้กับผู้อื่น ใกล้ปีใหม่แล้ว ส่งสุขกันหน่อย เจอใครก็ยิ้ม เพราะมันเป็นความสุขที่เราให้ได้โดยไม่มีวันหมด และยิ่งให้เหมือนยิ่งมีพลัง จริงไหม (จริง)  และไม่ต้องเสียเงินเสียทองด้วย ไม่เป็นไรเขาไม่ยิ้มแต่เราก็จะยิ้ม ดีไหม (ดี)  คนบนโลกนี้นอกจากขาดความสุขแล้ว ยังขาดความสุขที่ไม่มีวันหมดด้วย ฉะนั้นเราจะเป็นคนที่มีความสุขไม่มีวันหมด ยิ่งเขาว่าอย่างไร ฉันก็จะยิ้ม สามีบ่น ภรรยาก็จะยิ้ม ภรรยาบ่นทำไมกลับมาบ้านดึกสามีก็ยิ้ม แต่ไม่ได้ไปมีใครนะ เราไปฟังธรรมะ ต้องอธิบายด้วยเพราะบางคนเขาอยากฟังคำอธิบาย แต่ถ้าบางคนพูดมากแล้วไม่ต้องพูด ยิ้มเข้าไว้ ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นศิษย์พี่ก็อยากส่งความสุขให้ศิษย์น้อง ไปล่ะนะ มีโอกาสยิ้มให้มากๆ นะ ส่งความสุขอย่าส่งแค่วันปีใหม่ ส่งความสุขทุกๆวันเพราะเราอยากได้ความสุขในชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ไปล่ะนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

      สำรวมตนเมื่อยึดมั่นในสิ่งใด        ย่อมหลงไปในทางมายาได้ง่าย
เมื่อใดยอมรับความจริงที่ปรากฏ       ด้วยหัวใจสงบนั่นเรียกว่าธรรม
สิ่งที่ปรากฏล้วนเป็นภาพสะท้อน      ที่ออกมาจากใจตน
จิตที่อิสระแค่รู้แต่ไม่เอาเรื่องราว              

                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนยังคงยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม 

* ถ้าคิดด้วยธรรมะ ชีวิตมีอะไร วันนี้ยังไม่ใช่ คนรู้จึงบำเพ็ญ โลกไม่มีเหตุผล คนทุกข์มีจิตใจ อย่าเพิ่งคิดมากมาย ปลงให้หายเศร้าเซ็ง
** คิดว่าได้อะไร คิดว่าของใครดีกว่ากัน คิดในทางกลับกัน สิ่งนั้นมิเคยมีอยู่
*** ศิษย์เอ๋ยเจ้าบำเพ็ญได้ไหม กำกับความคิดด้วยปัญญา ไม่รู้ไม่เป็นไรหรอกหนา ผู้มีธรรมะ ผิดถูกอย่างไร สุขได้ทุกข์ได้ หันไปหันมา
(ซ้ำ * , ** , *** , ***)
 สุขได้ทุกข์ได้ ล้วนธรรมดา
ทำนองเพลง : กอดฉัน
ชื่อเพลง : คิดด้วยธรรมะ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนเราจะยิ้มให้สวย ยิ้มให้หล่อ ยิ้มนั้นต้องมีความจริงใจ ถามใจทุกท่าน ชอบคนแทงข้างหลัง,คนนินทาไหม พูดกับเราดีแต่แอบไปนินทาเรา เราชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเป็นไหม (ไม่เป็น)  โกหกนั้นตายตกนรกนะ ขอดูหน้าให้ชื่นใจหน่อยดีไหม (ดี)  จะได้เห็นหน้าตาว่ายิ้มจริงๆ หรือเปล่า เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ดีใจที่ได้เจอ มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า  “อยู่ในโลกนี้ เราสามารถทำให้โลกนี้เป็นสวรรค์บนดินได้” อย่างนั้นถ้าเป็นสวรรค์บนดินก็ด้วยการทำอะไร ทำความดี ทำให้โลกเป็นสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่ทำความดีไม่ละชั่วจะเป็นสวรรค์ไหม (ไม่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  เราสามารถทำให้แดนโลกนี้กลายเป็นสวรรค์บนดิน คิดและทำในสิ่งที่ดีงาม มนุษย์เราด้านหนึ่งดีแต่อีกด้านหนึ่งก็ยังไม่สามารถละชั่วได้เราจะทำให้โลกนี้เป็นสวรรค์บนดินได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะทำชีวิตให้มีความสุขได้ไหม (ได้)  ศิษย์เอ๋ยทำดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ยังมีนิสัยและกิเลสอัตตาตัวตนพอกหนามันก็ไม่อาจเรียกว่าดี ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากทำโลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินก็แค่ละชั่ว นั่นก็เรียกดีที่หนึ่งแล้ว
แต่มนุษย์ปัจจุบันนี้ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนอาจารย์ก็เห็นมานักต่อนักแล้ว ดีก็ทำแต่ชั่วไม่ละ มันก็เรียกว่าดีได้อย่างถ่องแท้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันถ้าศิษย์ทำดีขนาดไหนแต่ถ้าศิษย์ยังชั่วละไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบนดินจึงเป็นได้ทั้งสวรรค์และนรก อยู่ที่เรากระทำและอยู่ที่เราคิดถูกหรือไม่ อย่างที่เรามักรู้กันว่าคิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วลงนรก  แล้วเราคิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เมื่อคิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วลงนรก แล้วธรรมะอยู่ตรงไหน ตอบได้อาจารย์อยู่ต่อ ตอบไม่ได้อาจารย์กลับดีไหม ลองทดสอบภูมิปัญญาของศิษย์ ในเมื่อคิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วลงนรก
แล้วถ้าพ้นจากความคิด ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่การปฏิบัติธรรม ธรรมะอยู่ในใจ ธรรมะอยู่ในทุกๆ ที่ ที่เราเข้าใจโลกนี้)  ใช่หรือไม่ เราก็เป็นธรรม เขาก็เป็นธรรม คิดดีขึ้นสวรรค์ก็เป็นธรรมะ คิดชั่วลงนรกก็เป็นธรรมะ แต่ธรรมะแท้มีหนึ่งเดียวที่นำพาพ้นทุกข์ นั่นคือ (อยู่ที่การกระทำความดีเรียกว่าธรรมะ)  คนที่ปฏิบัติไม่ดีเขาเรียกว่าอธรรม (ธรรมะอยู่ในตัวเราเอง)  ตอบแค่นั้นถูกไหม
ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมอยู่ทุกๆ ที่ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ธรรมะที่ปฏิบัติดียังไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ ธรรมะที่ปฏิบัติไม่ดียังทำให้เราต้องทุกข์แล้วทุกข์เล่า แต่ธรรมะทางสายกลางที่เป็นหนึ่งเดียวแล้วทำให้เราพ้นทุกข์คือ คิดดีไปสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดไม่ยึดติดสิ่งใดเรียกว่า “สภาวธรรมอันเป็นกลาง” จริงไหม ทำดีก็ยังมีทุกข์ของคนดี ทำชั่วก็ยังมีทุกข์ของคนชั่ว หากพ้นจากความคิดดีคิดชั่ว เข้าใจความเป็นจริงและเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวในสิ่งที่มากระทบและไม่เกิดอารมณ์ดีร้ายได้เสีย แต่สามารถรักษาความสงบเย็นอันเป็นกลางได้ นั้นไม่เรียกว่า “สภาวธรรม” (ธรรมะคือความว่างเปล่า)  แต่หากยังยึดมั่นถือมั่นก็ยังไม่มีธรรมะ (ธรรมะคือศีล สมาธิ ปัญญา)  ธรรมะคือศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหม (ใช่,ไม่ใช่)  ธรรมะสามารถพูดได้หลายอย่างเช่น ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือกฎเกณฑ์ ธรรมะคือความจริง ธรรมะคือสรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นธรรม และเราจะเจอธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราต้องประพฤติปฏิบัติแล้วเจอกับตัวเอง
อาจารย์ถามหน่อยนะ คุณค่าของชีวิตมนุษย์ที่สูงที่สุดคืออะไร (การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)  ตอบได้ดี แต่ถึงเวลาเราก็มักจะมองว่าสิ่งนั้นไกลเกินเอื้อม วาสนาเราคงไปไม่ถึง แต่อย่างน้อยถ้าอาจารย์บอกว่าไปไม่ถึงแต่พยายามหาทางดับทุกข์และพ้นทุกข์ด้วยหัวใจที่สงบบ้างก็คงจะดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่าสงสารที่สุดและน่าเสียดายที่สุดในการเกิดเป็นคนคืออะไร (การไม่ปล่อยวาง, การชดใช้กรรม)  แค่น่าสงสารแต่ไม่น่าเสียดาย เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม คุณค่าของมนุษย์ที่สูงสุดคือการหาทางดับทุกข์
เกิดเป็นคนเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเศร้าใจที่สุดคือ การตกเป็นทาสของอบายมุข ตัณหา กิเลส และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองก่อ ฉะนั้นถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอๆ เราก็คงรู้แล้วว่า ทำไมเราถึงจะต้องศึกษาธรรมและเรียนรู้ธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยคิดเลยจริงไหม (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม และเมตตาให้นักเรียนเล่นเกมยืนนั่ง)
นั่งแล้วชอบหลับถูกไหม (ถูก)  ยืนเป็นเพื่อนกันดีไหม ใครขาไม่ดีอาจารย์อนุญาตให้นั่ง แต่ใครขาดียืนเป็นเพื่อนอาจารย์ดีไหม (ดี)  มาเล่นเกมสักเกมหนึ่ง ถ้าอาจารย์บอกให้ยืน ก็ยืน อาจารย์บอกให้นั่งก็นั่ง ถ้ากลุ่มไหนทำช้าสักคนหนึ่งต้องรับผิดชอบยืนทั้งกลุ่มดีไหม (ดี)  บางครั้งคนที่มีปัญหาในสังคมเพียงคนเดียว ถ้าเราไม่ร่วมรับผิดชอบ เราเองจะสร้างปัญหาที่กลายมาเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้  ฉะนั้นถ้าใครเป็นปัญหา อย่าเพิ่งกดขี่ อย่าเพิ่งทับถมเขา แต่ควรให้กำลังใจและให้โอกาส ปัญหานั้นจะไม่กลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ถูกไหม (ถูก)  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น)  สมมติอาจารย์บอกว่า เขาเตี้ย แก่ หง่อม แล้วทุกคนก็ดูถูก ดูหมิ่นเขา อย่างนี้เขาจะกลายเป็นคนดีในสังคมไหม (ไม่)  แต่ถ้ามีคนหนึ่งว่า แต่คนหนึ่งบอก เขาไม่เตี้ย ไม่แก่ ไม่หง่อม เราคือคนที่ให้โอกาสใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ามีใครผิดสักคนอย่าว่าเขานะ ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะเราคือคนให้โอกาสและจะไม่สร้างปัญหาเพิ่มในสังคม ด้วยน้ำมือเราเองถูกไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่มเกมนั่งลง ยืนขึ้น)
ถ้าใครพลาดหนึ่งคนทั้งกลุ่มต้องยืนเป็นเพื่อนพระอาจารย์ ครึ่งชั่วโมงเอาไหม (เอา)  นั่งลง, ยืนขึ้น  ผิดไหม (ไม่ผิด) อาจารย์บอกแล้วอย่าปกป้องคนผิด ผิดแต่ผิดไม่หมด เพราะเขายังไม่ยืนเต็มที่ จำไว้นะศิษย์เมื่อไหร่ที่เราพบคนผิดพลาด ไม่ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราต้องยอมรับว่าเขาผิดอย่าไปปกป้อง แต่ฉันจะให้โอกาส ไม่ใช่ทับถม นินทา ว่าร้าย แล้วโลกจะมีคนดีไหม แต่กลายเป็นว่ามีแต่คนไม่ดีเพิ่มขึ้น เพราะว่าทุกคนไม่ให้โอกาส  ฉะนั้น สวรรค์บนดินจะเกิดได้ ไม่ใช่คนที่เอาธรรมะ ไปยึดติดดี แล้วต้องดีอย่างเดียว  ชั่วไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง สวรรค์บนดินจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับ ไม่ว่าเขาจะดี หรือร้าย ไม่ใช่ว่าร้ายแล้วไม่มีดี  ฉะนั้นแม้เราเจอคนดี ถ้าหากเกิดวันหนึ่งเขาร้าย เราก็อย่าไปโกรธเคืองเขา
ศิษย์จำไว้นะ เมื่อใดที่เรากล้าให้โอกาสคนผิดแล้ววันหนึ่งถ้าเราทำผิดคนจะให้โอกาสเรา แต่ถ้าศิษย์ไม่เคยให้โอกาสคนผิด เมื่อถึงเวลาศิษย์ผิด เขาก็จะไม่ให้โอกาสศิษย์เลย แล้วเราเคยให้โอกาสคนผิดบ้างไหม แล้วเราเป็นคนที่คอยเหยียบย่ำซ้ำเติมคนผิดไหม (เคย)  ต่อไปไม่ทำแล้วดีไหม ไม่นินทาไม่ว่า ไม่เขียนลงในเฟสบุ๊ก ไม่ด่าลงไปในไลน์ ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์ขาดไปในชีวิตคือบางครั้งต้องรู้จักเงียบบ้าง การรู้จักนิ่งเฉยบ้าง ไม่รู้ ไม่ตอบ ไม่พูด มันก็ไม่ผิดอะไร  รู้แล้วตอบแล้วพูดบางทีมันก็ไม่ถูกจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกแล้วให้ปัญหามันน้อยๆ บางครั้งไม่พูดก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถึงเวลาเราพูดหรือไม่พูด (พูด)
ในห้องนี้ทุกคนล้วนมีความรัก โลภ โกรธ หลง ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนใหญ่มีทุกคนใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า ความโกรธ ความเกลียดดีไหม (ไม่ดี)  ควรมีไว้ในจิตใจไหม (ไม่ควร)  แต่เรามีไหม (มี)  สมมติว่ามีคนๆ หนึ่งหรือตัวศิษย์เองถูกเพื่อนที่รักที่สุดแทงศิษย์ข้างหลัง ทำร้ายศิษย์จนเกือบยืนไม่ได้ โกรธ แค้นไหม เพื่อนที่ศิษย์รักมากที่สุดทำร้ายศิษย์ด้วยการแทงข้างหลัง และเอาสิ่งที่ศิษย์หามาด้วยกันเอาไปเป็นของตัวเองหมด และทำให้ศิษย์เหมือนกลายไปเป็นคนล่มจมและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โกรธไหม เกลียดไหม แค้นไหม ศิษย์เอย มันเป็นธรรมดาของใจเรา มันต้องแค้น มันต้องโกรธ มันต้องโมโห และมันต้องเอาให้ถึงที่สุด เขาทำกับชีวิตเราได้ลงคอแล้วสิ้นศรัทธาความเชื่อถือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วเวลาศิษย์แค้นจะแค่ยิงปังเดียวแล้วจบไหม (ไม่จบ)  ต้องยิงอีกเท่าไร ยิงรัวๆ พอหายโกรธก็คิดได้สำนึกได้ แล้วหากมีใครเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์จะยิงเขาไหม (ยิง)  อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่าความโกรธที่เรามีอยู่ในใจ เราไม่เคยฝึก เราไม่เคยควบคุม เราไม่เคยดูแล ปล่อยให้มีอยู่ในใจตลอด แล้วหากวันหนึ่งความโกรธที่ครอบงำจิตใจแล้วปล่อยให้ชีวิตศิษย์พังแล้วตายทั้งเป็น ศิษย์อยากมีไหม (ไม่อยาก)  อยากคิดจะควบคุมบ้างไหม (อยาก)  ศิษย์จะพยายามไม่โกรธ ศิษย์เป็นคนที่รักคนง่าย ดีไหม (ดี)  เจอใครหนูก็รัก ไม่โกรธใครเลย จะได้ไม่สร้างบาปไม่สร้างกรรม ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นแปลว่ารักเกินก็ไม่ดี โกรธเกินก็ไม่ดี แล้วศิษย์เคยเห็นไหม  รักมากก็แค้นมากแล้วต้องเอาคืนให้มาก  ในเมื่อเอาคืนกับเขาไม่ได้ ก็เอาคืนกับลูกเขาเลย จริงไหม (จริง)
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ศิษย์เคยทำร้ายใครข้างหลังไหม ศิษย์เคยรักใครมากแล้วทอดทิ้งเขาไหม แล้วก็ฆ่าเขาอย่างไม่ใยดี ถามใจลึกๆ นะ มีทุกคน อย่างเช่นเลี้ยงวัวมารักไหม (รัก)  เอาเขาไปชนแล้วแพ้โมโหไหม ชนแล้วแพ้ฆ่าเขาเลย แล้วเขาจะแค้นเราไหม (แค้น)  แล้วเขาจะเอาคืนกลับไหม (เอาคืนกลับ)  แล้วคนที่ศิษย์รักมาก เขาทำศิษย์ได้ลงคอ เขาโกหก เขาไปมีใหม่ เขาทำร้ายศิษย์ เขาหลอกลวงเอาเงินศิษย์ ศิษย์ทำใจได้ไหม     (ได้ให้เขาไปเลย)  ตอนนี้ศิษย์พูดได้เพราะยังไม่เจอกับตัว ถ้าศิษย์เจอกับตัวศิษย์จะไม่พูดกับอาจารย์แบบนี้
อาจารย์จึงอยากบอกว่า โลภ โกรธ หลงเป็นทางมาแห่งกรรม ซึ่งเรียกว่ากรรมดี กรรมชั่วและผลสุดท้ายก็กลายเป็นชะตากรรม แล้วก็กลายเป็นวิบากกรรม แล้วก็กลายเป็นเวียนว่ายตายเกิดชดใช้กรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโลภ โกรธ หลง เกิดจากอะไร ฉะนั้นการที่เราสามารถดับทุกข์ได้เราต้องรู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ ถ้าเรารู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ การจะดับทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยากถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์โดยส่วนใหญ่ทุกข์เพราะ กิเลสที่ตัวเองสร้าง หนีไม่พ้นโลภ โกรธ หลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์มีวิธีที่จะทำให้เราเห็นโลภ โกรธ หลง และหยุดโลภโกรธ หลง ได้ด้วยตัวเราเอง และจะทำให้เราสิ้นกรรม สิ้นวิบากกรรม ศิษย์สนใจจะฟังอาจารย์ไหม (สนใจ)  และอยากลองไปทำดูบ้างไหม (อยาก)  มาดูนิสัยของความโลภก่อน เวลาเราจะโลภ เราจะอยากได้ ความโลภจะทำให้รู้สึกว่า อยากเอามันเข้าหาตัวใช่ไหม (ใช่)  อะไรก็ได้ขอให้มากๆ แล้วเข้ามาหาตัวเรียกว่า โลภ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไรที่คิดอยากได้อะไร โอบกอดรัดเข้ามาหาตัวนั้นเรียกว่า โลภ โกรธเป็นอย่างไร อยากผลักไปไกลๆ เกลียด ไปเสีย หนีมันให้ไกลเรียกว่าโกรธ ส่วนหลง หลงตนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราหลงตัวเอง บ่นแล้ว บ่นอีกถูกไหม (ถูก)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเมื่อไรมีอารมณ์อยากผลักไส นั่นแหละเรียกว่า โกรธ อยากได้เอามาเข้าหาตัว เรียกว่า โลภ ถ้าเมื่อไรวนเวียนไม่ไปไหน อยู่อย่างนั้นเรียกว่า หลง พอรู้จัก โลภ โกรธ หลงหรือยัง พอเห็นชัดแล้วนะ อาจารย์ถามหน่อยว่า โลภ โกรธ หลง มาจากไหน โดยส่วนใหญ่ก็บอกว่ามาจากใจเรา อะไรๆ ก็ใจหมดใช่ไหม (มาจากความคิด)  ตอบได้ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโลภ โกรธ หลง เริ่มต้นมาจาก การเห็นอะไร แล้วรู้สึก แล้วคิด แล้วยึดติดถูกไหม (ถูก)  เห็นอะไรแล้วตัดสิน โลภ โกรธ หลงมันเริ่มต้นมาจากความรู้สึกดี พอรู้ดีก็เริ่มรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเริ่มรู้สึกชอบก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถหยุดโลภ โกรธ หลง ด้วยความรู้สึกเท่าทัน เราจะตกเป็นทาสของมันไหม (ไม่)  พอเห็นดี ดีแล้วไง หล่อแล้วไงใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยโดนคนตำหนิแล้วเผอิญมีงานด่วน แล้วบอกเขาว่า เดี๋ยวก่อนๆ เคยไหม เห็นแล้วไม่คิดมันก็ไม่อยู่ในใจ แต่ไม่เห็นแล้วเอามาคิดมันก็อยู่ในใจ ฉะนั้นเห็นว่าหล่อขนาดไหนแต่ถ้าเราไม่คิด ไม่สนใจ ไม่ตัดสิน ไม่ยึดติด มันจะมีอารมณ์ขึ้นมาไหม (ไม่มี)  และถ้าเรายับยั้งได้ โลภ โกรธ หลง จะเกิดไหม (ไม่เกิด)  เมื่อโลภ โกรธ หลง ไม่เกิด กิเลสไม่เกิด กรรมไม่มี วิบากกรมไม่ต้องไปรับ จบไหม แล้วเราเหลือแต่ใช้กรรมเก่า นี่คือการปฏิบัติธรรม แล้วทำได้ไหม ฉะนั้นเมื่อเห็นใครด่าเรา อย่าเพิ่งตัดสิน อย่าเพิ่งโกรธ อย่าเพิ่งยึดติด อย่าเพิ่งคิด ช่างมันดีไหม (ดี)  เพราะว่าโกรธ ผลที่สุดก็คือนรกเผาใจ เพราะว่าหลงถึงที่สุดก็คืออบายภูมิ สัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าโลภถึงที่สุดก็คือภพภูมิแห่งเปรต พญามาร ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา)  เมื่อตัวตนเกิดขึ้น เอาง่ายๆ สมมติว่าเราเห็นแล้วถูกใจ คิดต่อไหม ไปต่อไหมต่อศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่เรียกว่าตัวตน เมื่อมีความรู้สึกก็จะก่อเกิดเป็นตัวตน แล้วก่อเป็นภพ ชาติ ชรา มรณา พอเริ่มมีความรู้สึก แล้วความรู้สึกนั่นแหละเป็นตัวเราตัดสิน ฉะนั้นถ้ารู้สึกแล้วเราไปต่อ ก็จะก่อเกิดเป็นการกระทำที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าไม่ไปต่อ ก็จะไม่มีกรรมต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ก็จะไม่มีเพราะว่าเจ็บแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์สามารถหยุดยั้งโลภ โกรธ หลงได้ ถ้าเรารู้แก่นแท้ความเป็นจริงแห่งใจตน เขาไม่ได้ยั่วยวน แต่ใจเราหวั่นไหว เขาไม่ได้เซ็กซี่บาดใจ ฉะนั้นเหมือนคนกินเหล้า เหล้ามันตั้งอยู่ไม่เคยกินจะเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  ปกติมันตั้งอยู่มันจะน้ำลายไหลไหม (ไม่)  ก็เพราะมันไม่เคยมีความรู้สึกสิ่งนั้นอยู่ในใจถูกหรือไม่ เหมือนกันถ้าเราไม่มีตัณหา ไม่มีกิเลส ไม่มีความใคร่ ไม่มีความรัก ฉะนั้นยากไหมแต่อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์ไม่รู้สึกไม่รู้สา แต่รู้สึกจนเห็นชัดแล้วไม่เอาอีกแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ลองถามคนที่แต่งงานถามสิ มีใครกวักมือให้มาแต่งงานไหม (ไม่มี)  คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถหยุดยั้งได้ทันเราก็สามารถตัดกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งการสร้างวิบากกรรมได้ ไม่ยากใช่หรือไม่ แต่จะทำอย่างไรให้เราเห็นชัดจนอะไรๆ ก็ไม่อยากโลภ โกรธ หลง อีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิง 1 ท่านออกมายืนหน้าห้อง)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามนะ คนๆ นี้สวยไหม แล้วคนๆ นี้ขี้เหร่ไหม คนๆ นี้ดีไหม แล้วคนๆ นี้ไม่ดีได้ไหม (ได้)  แล้วคนๆ นี้เป็นโชคดีใช่ไหม (ใช่)  แต่บางทีก็คือโชคร้ายใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้เราอยากเสี่ยงโชคไหม เราอยากลองขึ้นสวรรค์แล้วตกนรกไหม (ไม่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมประเด็นหลักของการศึกษาธรรมคือเรียนรู้ธรรมเพื่อนำทางให้เราพ้นทุกข์ ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมเพียงเพื่อเป็นคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วเรียนความดีแล้วเอาความดีไปตีกรอบว่าคนอื่นไม่ดี ไม่ใช่ เราเรียนรู้ธรรมเพื่อสำรวจตรวจสอบใจตัวเองดูแลใจตัวเองเมื่อเราถูกใครๆ ก็ถูก ใช่หรือไม่ แต่เมื่อไรที่เรามองเขาผิด ใครๆ ก็ผิดได้ในสายตาเรา จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดว่าเราเห็นเขาแล้วเราคิดแค่ว่าก็สวยดี ก็น่ารักดี แต่ก็ไม่เอา เหมือนสาลี่นี้อาจารย์ถามนะ กินแล้วจะแข็งแรงไม่ตายไม่จนเอาไหม ไหนใครเอายกมือขึ้น เอานะ เดี๋ยวอาจารย์ให้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามนะ มีอะไรบ้างที่กินแล้วแข็งแรงแล้วไม่เจ็บป่วยมีไหม (ไม่มี)  กินแล้วมีแต่รวยไม่จนมีไหม (ไม่มี) ฉะนั้นถ้าไม่อยากโลภก็จงมองความจริง อย่ามองเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนจนลืมความจริง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะจะมีจะจนจะแข็งแรงจะอ่อนแอ ไม่ได้อยู่ที่สามีแต่อยู่ที่ (ใจ)  ตัวเราเอง ใช่ไหม อย่างนั้นถามใหม่ กินแล้วสามีจะรักสามีจะหลง เอาไหม (ไม่เอา)
ฟังอาจารย์พูดยากไหม (ไม่ยาก)  พอทำได้ไหม (ได้)  แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อศิษย์ต้องมีสติและปัญญารู้เท่าทัน อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ความพลัดพรากเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  พรใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับรู้จักประพฤติปฏิบัติตนให้ดีงามใช่ไหม (ใช่)  เดี๋ยวปีใหม่พระอาจารย์จะให้พรศิษย์ดีไหม (ดี)  ยังไม่ถึงเลย ให้ก่อนได้ไหม ศิษย์เอยดีหรือไม่ดีอยู่ที่เรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราไม่เป็นทุกข์ เราต้องพยายามเรียนรู้ทุกอย่าง เข้าใจก่อน จริงไหม ความเจ็บปวดเป็นทุกข์ไหม แล้วเราสามารถพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  ทุกคนล้วนกลัวความเจ็บ แต่เราจะสามารถเอาชนะความเจ็บได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นความเจ็บแล้วเราสามารถเอาชนะได้ ถ้าเราเอาแต่ตั้งแง่รังเกียจเราจะแก้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะเห็นคุณค่ามันไหม เราจะกลัวมันถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่ถ้าเราสามารถเห็นคุณค่าได้ เข้าใจมันได้ เราจะอยู่กับมันอย่าง (มีความสุข)
แล้วความเจ็บดีอย่างไร ความพลัดพรากดีอย่างไร และถ้าเกิดว่าวันไหนเราต้องพลัดพราก วันไหนเราต้องเจ็บ และวันไหนเราต้องตาย เราก็จะได้ไม่ทุกข์กับมันเพราะเราเข้าใจแล้ว จริงไหม (จริง)  ศิษย์สามารถหาเจอไหม ความเจ็บป่วยดีอย่างไร ความเจ็บป่วยเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าเรากำลังดำเนินชีวิตมีความผิดปกติในร่างกาย เจ็บก่อนแล้วค่อยตาย ดีกว่ายังไม่ทันเจ็บแล้วก็ตาย จริงไหม (จริง)  เพราะเมื่อไรที่เจ็บแปลว่าในร่างกายเรามีสิ่งผิดปกติ ในร่างกายเรากำลังดำเนินอะไรผิดปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราเจ็บป่วยเราจึงต้องพึงสังวรไว้สองอย่างคือ สำนึกขอขมา เพราะเราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรมา เราจึงต้องเป็นโรคนี้ โรคมีตั้งเยอะไม่เป็น ดันมาเป็นโรคนี้ ใช่ไม่ใช่กรรมที่เราสร้าง อย่างแรก ขอบคุณสำนึกแก้ไข อย่างที่สองดีใจยังไม่ตาย ถูกไหม ยังมีเวลาสั่งเสีย ยังมีเวลาเตรียมตัว ยังมีเวลาทำให้ดีที่สุด เรายังมีเวลาไม่เสียใจก่อนที่ตัวเองจะตาย ก่อนที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไร ฉะนั้นควรกลัวความเจ็บป่วยไหม ควรจะดีใจที่ได้ป่วย จริงๆ ศิษย์ อย่าไปรู้สึกเกลียดยิ่งเรารักความแข็งแรงเท่าไหร่ ก็รับไม่ได้เมื่อเราเจ็บป่วย ทำให้เราได้เข้าใจความเป็นจริง อันเป็นธรรมดา และเมื่อเราเจ็บป่วย เราไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวข้าวถึง แกงถึง แล้วเราจะรู้เลยว่าใครรักเราจริง เราจะรู้เลยว่าเวลามาเยี่ยมเขา มาสมน้ำหน้าหรือมาเห็นใจ ถ้าอย่างนั้นจะทุกข์กับความเจ็บป่วยไหม (ไม่ทุกข์)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ความพลัดพรากกับความสูญเสีย ดีไหม (ไม่ดี, ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่ไม่ดี)  ตอบอย่างนี้ช่วยให้เราชื่นใจและรับกับความพลัดพรากได้ไหม (ไม่ได้)  จำไว้ความพลัดพรากทำให้เรารู้จักรักษาเวลา ถนอมเวลาและรักษาคุณค่ากับคนที่เรารักให้มากที่สุด และถนอมเวลากับคนที่ชิดใกล้กับเราให้ดีที่สุด จริงไหม ฉะนั้นความพลัดพรากไม่ใช่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่าคิดคือเราทำดีที่สุดกับเขาหรือยัง เมื่อพลัดพรากเราจะไม่เสียใจ จะไม่เศร้าใจ ความพลัดพรากก็ดีอีกอย่าง คือทำให้เรารู้จักถนอมเวลากับคนใกล้ชิดให้ดีที่สุดจริงไหม ฉะนั้นเมื่อเจอความพลัดพรากดีไหม (ดี) จะทำให้เราย้อนไปได้ว่าเราจะต้องดูแลคนที่เหลือให้ดีที่สุด และทำเวลาวันนี้ให้กับเขาให้ดีที่สุด จริงไหม (จริง)  เพราะเมื่อไรที่เราพลัดพรากแล้วเราต้องเสียใจ แปลว่าเรายังทำไม่ถึงที่สุด ฉะนั้นจะมีอะไรไม่ดีถ้าจะต้องพลัดพรากในเมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว เมื่อชีวิตทำดีที่สุดแล้วความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ความตายจะสอนให้เรารู้ว่าสักวันหนึ่งฉันมาจากดินฉันต้องกลับคืนสู่ดิน สักวันหนึ่งจิตฉันมาจากฟ้าฉันก็ขอกลับคืนสู่ฟ้า ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาจะตายฉันก็ปลดปลงได้เพราะทุกวันฉันทำดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะพลัดพราก ไม่ว่าจะเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความตายเราก็จะเข้าถึงธรรมได้ เพราะชีวิตเราปลดปลงและเราทำถึงที่สุดแล้ว
อาจารย์จะถามว่าความทุกข์ดีไม่ดี (เพราะเจอความทุกข์แล้วเราจะได้รู้จักความสุข) แล้วถึงเวลาเอาทุกข์ไหม (ไม่เอา)  พูดได้แต่ทำไมทำไม่ได้ล่ะศิษย์เอย เหมือนเวลาเราอยู่กับแฟนเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์แต่ก็มีความสุข แต่ก็สุขไม่เต็มปาก เหมือนจะดีแต่มันอีกนิดหนึ่งก็จะดีกว่านะแต่ก็ไม่เคยผ่านสักที ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เรียกว่าสุข แท้จริงแล้วอาจจะสุขไม่จริง ทุกข์ไม่แท้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงโลกใบนี้ไม่เคยมีสุขจริง ไม่เคยมีทุกข์แท้ นี่คือธรรมะ ฉะนั้นเราจะยึดอะไรกับความสุขและเราจะเกลียดอะไรกับความทุกข์ ในเมื่อก็ไม่เคยสุขจริงและก็ไม่เคยทุกข์จริง เหมือนเขาชมเราว่าสวยมีความสุขไหม (มีความสุข)  แต่สักพักหนึ่งกลับคิดว่า เขาชมหรือเขาประชดกันแน่ พอสักพักหนึ่งเขาด่าเรา ไม่เห็นสวยตรงไหนเลย ทุกข์ไหม แต่ถ้าเราคิดว่าฉันสวยเสียอย่าง เธอจะว่าอย่างไรฉันก็ไม่สนใจ ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นโลกนี้จริงๆ อะไรเรียกว่าทุกข์แท้ อะไรเรียกว่าสุขจริง ถ้าเข้าใจเราจะยึดติดสุขไหมและถ้าเข้าใจเราจะหลงอยู่กับความทุกข์ไหม โลกนี้สุขไม่จริง ทุกข์ไม่แท้ใช่หรือไม่(ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ให้ธรรมะสามข้อไว้เตือนใจศิษย์เวลาเจอเรื่องราวจะได้ย้ำเตือนใจ
๑. โลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม
๒. ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง
๓. ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรเป็นของเรา
ถ้าเตือนเสมอๆ ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม เมื่อวานนี้เขาด่า วันนี้เขาชม วันนี้เราได้กำไร พรุ่งนี้เราขาดทุน  มีสิ่งใดเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ถ้าคิดอย่างนี้เสมอเราจะเข้าใจธรรม แล้วเราจะปลดปลงได้ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้บทเพลงพระโอวาท  ทำนองเพลง กอดฉัน   ชื่อเพลง คิดด้วยธรรมะ) 
ฉะนั้นเวลาท้อใจ เวลาทุกข์ใจจำบทเพลงนี้ไว้เตือนใจตัวเอง
 (นักเรียนในชั้นร่วมฝึกร้องเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาประทานให้)
อาจารย์รบกวนหน่อยนะ ก่อนกลับให้ทุกคนเตรียมแก้วน้ำใส่น้ำในแก้วทุกคน จะให้ทุกคนเอาแก้วน้ำนั้นมา อวยพร ขอให้ทุกคนแข็งแรง ขอให้มีสุข มีสวัสดิภาพ แล้วเอาคำนั้นมารวมกัน คำอวยพรของอาจารย์คนเดียวไม่มีค่าเท่ากับคำอวยพรของทุกคนรวมกัน แล้วเอาน้ำที่เป็นคำอวยพรของทุกคนเทรวมกัน เราก็จะได้คำอวยพรของทุกคน เช่น ขอให้ทุกคนแข็งแรง ขอให้บ้านเมืองสงบสุข ขอให้ทุกคนคิดดีอย่าคิดร้าย ดีไหม และได้นำคำอวยพรของอาจารย์รวมไปด้วยดีไหม แล้วเอามาเทรวมกัน
ศิษย์เอ๋ยเราเกิดมามีบุญวาสนาไหม (มี)  อาจารย์จะบอกว่าคนที่เกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์ คนที่เกิดมาไม่มีบุญวาสนา อาจารย์จะบอกวิธีแก้ง่ายๆ เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ คนที่เกิดมาไม่มีพร้อมสมบูรณ์ ไม่มีบุญวาสนาเยอะ สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ ถึงแม้เราจะเกิดมาไม่มั่งมี แต่รู้จักขยันหมั่นเพียร รู้จักอดทนอดกลั้น ชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ แม้เราเกิดมาไม่มีบุญวาสนา ไปอยู่ที่ไหนใครก็ไม่รัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำชู แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการรู้จักขยัน ซื่อตรง มีน้ำใจและสุภาพอ่อนน้อม ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีคนรังเกียจ แล้วปัจจุบันนี้ถ้าเราไม่มั่งมี แล้วก็ไม่มีบุญ นั้นก็แปลว่าเราขี้เกียจ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอยากเป็นคนมั่งมี แล้วมีบุญวาสนาเป็นที่รัก จงรู้จักสุภาพอ่อนน้อม มีน้ำใจ
ศิษย์รู้ไหม สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือพลังมุ่งมั่น พลังแห่งความศรัทธาถูกต้องและดีงามมันจะก่อเกิดปาฏิหารย์ได้ ใช่หรือไม่ ขอเพียงศรัทธาเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงามและปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้ออะไรๆ ก็เปลี่ยนได้จริงหรือไม่ แต่กลัวอย่างเดียวมนุษย์ความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์และหวังจะมีความเป็นธรรมคงเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่
ขออวยพรด้วยพลังแห่งความดี พลังแห่งความศรัทธา พลังแห่งความเชื่อมั่นว่าขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง แม้แข็งแรงแล้วก็ขอให้หายเจ็บหายป่วย ขอให้การงานราบรื่นแม้ไม่ราบรื่นก็ขอให้ฟันฝ่าไปได้ด้วยความสงบร่มเย็น แม้จะมีทุกข์บ้างก็ขอให้พบเจอความสุข แม้ชีวิตจะเจ็บปวดบ้างแต่ก็ขอให้รู้จักเข้มแข็ง ฉะนั้นจงเชื่อมั่นในพลังที่ตัวเองตั้งใจและเอาพลังนั้นใส่เข้าไปในแก้วเยอะๆ อธิษฐานเยอะๆ เผื่อพรนั้นมันจะย้อนกลับมาที่ตัวเรานั้น ใช่ไหม สิ่งที่ตั้งใจให้ผู้อื่นนั่นแหละยิ่งให้เราก็จะยิ่งได้รับ แต่สิ่งที่เราหวังจากผู้อื่นแต่เราไม่เคยให้ เราจะไม่มีวันได้รับ ใช่หรือไม่ ใครตั้งจิตเสร็จแล้วก็ส่งคืน พี่เลี้ยงเทน้ำแล้วถือแก้วรวมกันแล้วจะได้ถือน้ำได้เยอะขึ้น ผู้ปฏิบัติงานธรรมใครยังไม่ทำก็กลับไปทำด้วยนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทซ้อน)
อาจารย์ถามใครตอบได้ก็ตอบ แล้วอาจารย์จะให้รางวัลได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามง่ายๆ โลกนี้หมุนตามใจเราหรือตามความเป็นจริง (ตามความเป็นจริง, ตามใจเรา)  ตามใจเราแน่ใจหรือ อยากให้เขายิ้ม เขายังไม่ยิ้มเลยจริงไหม (จริง)  อยากให้เขารัก เขายังไม่รักเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้พ่อแม่เข้าใจ เขายังไม่ค่อยเข้าใจเราเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโลกหมุนตามจริงหรือหมุนตามใจ (หมุนตามความเป็นจริง)  แล้วเรามักจะไปตามความจริงหรือไปตามใจ (ตามใจ)  เราอยากให้โลกหมุนตามใจหรือหมุนตามจริง (หมุนตามใจ)  แล้วชีวิตเราอยู่กับความจริงหรืออยู่กับการตามใจ (ตามจริง)  ศิษย์เอยโลกหมุนตามจริงแต่ตอนนี้พระอาจารย์กำลังตามใจศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  คนมีบุญวาสนาเหมือนโลกหมุนตามใจ แต่ถ้าคนไร้บุญวาสนาโลกเหมือนหมุนตามจริง จริงไหม แล้วเรามีบุญพอไหม ถ้าอยากมีบุญจงรู้จักมีน้ำใจและรู้จักมีสัมมาคารวะ ใช่หรือไม่ (ใช่, อยากให้โลกหมุนตามใจ)  ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าพยายามให้โลกหมุนตามใจ แต่จงกล้ามองโลกหมุนตามจริงแล้วเราจะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง, โลกหมุนตามจริง)  แล้วเรายืนอยู่บนความจริงไหม ตามใจมากก็ทุกข์มากจริงไหม (โลกหมุนตามจริง)  แล้วเราเคยเห็นความจริงของโลกบ้างไหม เห็นว่าวันนี้เช้า วันนี้มืด วันนี้ได้ วันนี้เสีย อยู่ที่เวลาเราเห็น เราจะเห็นแบบธรรมหรือเห็นเป็นกิเลสสร้างกรรม บางครั้งโลกหมุนตามจริงแต่บางครั้งเราก็สามารถหมุนตามใจได้ ฝืนได้ แต่จำไว้นะ มันฝืนได้ไม่นาน ฝืนอย่างไรก็ต้องกลับมาสู่ความจริง จริงไหม แล้วเราเรียนรู้ที่จะรับความจริงได้ไหม ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้รับความจริงได้เราจะไม่กลัวความแก่ ไม่กลัวความเจ็บ ใช่หรือไม่
ความจริงไม่เคยลวงตาแต่เรามักจะตาบอดกับความจริง เพราะมัวแต่หลงติดในสิ่งที่ตัวเองคิด (โลกแห่งความเป็นจริง)  แล้วเรายอมรับความจริงได้ไหม แม้ลูกกับสามีไม่ได้ดั่งใจนะ (พยายามทำให้ได้)  จะพยายามได้ก็ต่อเมื่อเราวางความคิดของตนและยอมรับความเป็นจริง ทำอะไรเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (ทำดีก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องยอมรับเช่นกัน)  มันก็คือความเป็นจริง (มีทั้งสุขและทุกข์เราก็ต้องยอมรับทั้งสองอย่าง)  แต่อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้นศิษย์เอาความคิดตัดสินว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี แต่ถึงที่สุดอะไรดีไม่ดีจริง (ไม่มี แต่เราต้องพยายามยอมรับให้ได้)  ถ้ายังพยายามแปลว่าเรายังยึดติด แต่ถ้าเข้าใจความเป็นจริงจะไม่ยึดติด เพราะทุกสิ่งธรรมดาล้วนเป็นเช่นนั้นเอง แต่ที่ยังยึดติดก็เพราะว่า เมื่อเรายึดติดเราก็ตัดสิน เมื่อตัดสินก็จะมีดีมีร้ายมีทุกข์มีสุข จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์เห็นอะไรแล้วไม่ตัดสิน ยอมรับความเป็นจริง ว่าเขาจะแย่ขนาดไหนก็ไม่ใช่ไม่มีดี เขาจะดีขนาดไหนก็ไม่ใช่ไม่มีแย่ ฉะนั้นเมื่อเข้าใจทั้งดีและแย่ เราจะรู้สึกอะไรก็เฉย ไม่ใช่อยู่เฉยๆ นะ แต่เห็นชัดเจนจนไม่ได้ยึดติดว่าเขาจะต้องดีหรือไม่ดี ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวัง เพราะเห็นชัดแล้ว (อย่ายึดติดยึดมั่น) ใช่ อย่ายึดติดยึดมั่นไม่น่ากลัวเท่ากับอย่าพยายามเห็นอะไรแล้วชอบตัดสิน เชื่อไหมว่าเราเห็นอะไรปุ๊บใจเราคิดแล้ว แบบนี้ไม่เอา แบบนี้เอา จริงไหม แล้วเราสามารถรู้ทันแล้วสามารถหยุดได้ไหม ว่าแบบนี้เอาก็ได้ แบบนี้เอาก็ดี หรือแบบนี้ไม่เอาก็ได้ ไม่เอาก็ดี นี้ล่ะเรียกว่ารู้ทันใจจนสามารถหยุดกิเลสและไม่ก่อกรรมใหม่
อาจารย์บอกตั้งแต่แรก กิเลสมามันก็มาจากดี ใช่ไหม แล้วเมื่อดี ตัณหามันก็เกิดแล้ว เมื่อตัณหาเกิดมันก็ตามมาด้วย โลภ โกรธ หลง และเราก็ไม่จบสิ้นคือวิบากกรรม ถ้าชั่วขณะ เห็นอะไรเราก็ เข้าใจ รู้ทันมันจะมีกรรมต่อไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่คนอื่น แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเรารู้ทันใจเราและเราหยุดใจเราได้ไหม หยุดใจได้ศิษย์จะได้ไม่ต้องสร้างกรรมใหม่ เมื่อกิเลสไม่เกิด กรรมไม่มี เมื่อกรรมไม่มีเราก็ใช้แค่กรรมเก่า แต่กรรมมันจะหมุนไปตามอะไร อาจารย์อยากจะบอกกรรมมันจะหมุนไปตามความเป็นคน ถ้าความเป็นคนขาดคุณธรรมกรรมมันจะมาไว ถ้าความเป็นคนดำรงคุณธรรมได้เที่ยงตรงกรรมมันจะไม่มี จริงไหม เหมือนง่ายๆ ถ้าเราเมตตาเรามีมโนธรรม เรามีสัตยธรรม ความเป็นคนเรามีครบจะมีกรรมไหม เมื่อความเป็นคนพร้อมสมบูรณ์กรรมที่เหลือก็คงจะเป็นอดีตแต่คงไม่ใช่ชาตินี้แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์มันไม่ใช่ความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า แต่สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์คือว่าเราไม่เคยรู้เท่าทันใจและหยุดยั้งมันให้ได้ จริงหรือไม่ เหมือนที่เวลาเรามองอะไร เราไม่เคยมองตามจริง เรามองตามใจ รักษาระยะให้มันดีเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้เหรอ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงเราจะมองตามความจริงไม่มองตามใจ เมื่อเห็นตามจริงก็เห็นธรรม แต่ถ้าเห็นตามใจก็เห็นกิเลสและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (หมุนตามจริงและตามใจ)
จริงๆ อาจารย์จะบอกว่าโลกนี้บางครั้งเหมือนหมุนตามจริง แต่บางครั้งบางคนมันทำไมมันประจวบเหมาะจะทำอะไรมันก็ได้ แต่ทำไมฉันไม่ได้ จริงไหม เหมือนที่อาจารย์บอก คนบางคนเกิดมาพร้อมบุญวาสนาแต่คนบางคนเกิดมาไร้บุญไร้วาสนา คนบางคนเกิดมาทำอะไรมันก็ขึ้น ทำอะไรมันก็รวย แต่พอเราทำมันจนๆ ขาดทุน ป่นปี้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเพราะอะไรก็ต้องหันกลับไปที่ตัวเราแม้เราไม่มีขอให้ขยัน แม้เราไม่ได้ก็ขอให้อดทนมีน้ำใจ รู้จักอ่อนน้อม รู้จักให้อภัย เดี๋ยวมันก็มีเดี๋ยวมันก็ได้ (ความเป็นจริงของเรา)  แล้วความเป็นจริงของเราคือตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยตอนนี้เราโชคดีหรือเราโชคไม่ดี เพราะอายุปูนนี้แล้วยังแข็งแรงอีก  ใช่ไหม ดีมาก โชคดีแล้วนะ รักษาบุญวาสนา ยิ้มเก่งๆ ทำบุญเยอะๆ มีน้ำใจกับคนเยอะๆ ศิษย์เอย อาจารย์ถามคนที่นั่งกระซิบ อาจารย์ถามหน่อย โลกหมุนตามจริงหรือโลกหมุนตามใจ (หมุนตามจริง)  แต่บางครั้งก็เหมือนหมุนตามใจใคร ถ้าอยากเรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมะ จงกล้าที่จะวางความคิดตนและยอมรับความคิดผู้อื่นหรือจงกล้าที่จะวางความคิดตนและยอมรับความจริง ใช่ไหม
มีใครอยากตอบอาจารย์บ้างไหมฝ่ายชาย (เห็นตามความเป็นจริง)  ความเป็นจริงก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ ความจริงบางครั้งไม่ตามใจ ฉะนั้นเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ตามใจเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ,ความจริงหมุนไปตามโลก)  อาจารย์บอกว่า โลกหมุนไปตามจริง แต่ศิษย์ท่านนี้บอกว่า ความจริงหมุนไปตามโลก ศิษย์ช่วยอาจารย์คิดหน่อยว่า เขาพูดถูกหรือพูดผิด (ถูก)  ความจริงหมุนไปตามโลกถูกไหม (สัจธรรมของโลกคือเกิดแก่เจ็บตาย คุณความดี แต่ละคนมีความทุกข์ ความสุขเกิดจากตา หู ลิ้น กายใจ คนเราจะปล่อยวางได้ก็คือเมตตา มุทิตา อุเบกขา)  ศิษย์เอ๋ยพยายามเมตตา มุทิตา อุเบกขาก็ไม่พอ วางไม่ลง (แล้วต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา)  ศีล สมาธิ ปัญญา มีทั้งสามอย่าง เมตตา มุทิตา อุเบกขา บางทีก็วางไม่ลงถ้าไม่รู้จักพอ มันไม่ยากหรอกถ้ารู้จักพอสักที ไม่พอก็ไม่เคยได้ดี ถ้าชีวิตเจออย่างนี้ ศิษย์จะทนไหวไหมหนอ
(โลกหมุนไปตามใจ)  ตามใจได้ใช่ไหม แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์จะฝืนตามใจตัวเองได้นานแค่ไหน สักวันหนึ่งมันต้องกลับมาพบความจริง        ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เรามีแรงหมุนตามใจได้ แต่สักวันหนึ่งศิษย์ก็หนีไม่พ้นความเป็นจริง ฉะนั้นอย่าลืมนะ ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ เราจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร เราจะฟันฝ่ากิเลสได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่เคยคิดจะมีธรรมะอยู่ในใจจริงไหม (จริง,ถ้าเราเข้าใจความจริง โลกก็จะหมุนตามใจเราได้)  ตอบได้ดี ปรบมือหน่อย เหมือนอากาศร้อนแต่ศิษย์ดันใส่เสื้อหนาวอย่างนี้เรียกว่าอะไร (ไม่เข้าใจความจริง)
ศิษย์เอยศิษย์คนที่กำลังจะไปเป็นคนที่รับราชการ อาจารย์ขอฝากเตือนไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์เอย เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ศิษย์ได้มันคือของประชาชน ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่สามารถรักษาหน้าที่ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่เป็นขี้ข้าประชาชน และติดหนี้ประชาชน เงินหนึ่งบาทของศิษย์เท่ากับภาษีของประชาชนประเทศไทยทั้งประเทศ แต่บาปกรรมจะหนักกว่าคนอื่นเพราะจะเท่ากับจำนวนของประชาชนทั้งประเทศ แต่ถ้าศิษย์ถือความซื่อตรงรับผิดชอบ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดดูแลทุกข์สุขประชาชนได้ดี ศิษย์จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเพราะเขาถือว่าเป็นคนของประเทศ คนจีนโบราณใครที่ทำงานให้ข้าราชการ ใครที่ทำงานให้ประชาชน เขาถือว่าเป็นคนที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเทพคุ้มครอง ฉะนั้นเทพอยู่ห่างไม่เท่าไหร่ มารก็อยู่ห่างไม่เท่าไหร่เหมือนกัน ศิษย์อยากเอาเทพหรือเอามาร (เทพ)  ตัวอย่างที่ดีและตัวอย่างที่ไม่ดี มีให้เห็นอยู่ที่ศิษย์เลือกเอา ฉะนั้นจะเป็นขี้ข้าประชาชน หรือจะเป็นคนของประชาชนที่ประชาชนรักหรือจะเป็นหนี้ประชาชนอยู่ที่ตัวศิษย์ดำเนินชีวิต จริงไหม คนอื่นเขาหาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เขาจะทำอะไรมันก็แค่บุญบาปของเขาแค่นั้นแต่ศิษย์หาด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงคนทั้งประเทศ ฉะนั้นผิดนิดหนึ่งมันไม่ใช่บาปแค่หนึ่งเดียวแต่มันบาปเท่ากับคนทั้งประเทศ จริงไหม อาจารย์พูดเกินไปไหม อาจารย์พูดโกหกไหม ฉะนั้นอยากมีเทพคุ้มครองก็จงรักษาความซื่อตรงให้ศักดิ์สิทธิ์ จริงไหม
 (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “วางได้ใจเบา”)
ศิษย์เอย เราทุกข์เพราะความคิดยึดติดแต่เราสามารถวางความคิดได้ใจเราก็โล่งโปร่งเบา จริงไหม แต่ถ้าวางความคิดไม่ได้เราก็หนักอึ้ง จริงไหม อาจารย์มานานแล้วเบื่อไหม อาจารย์ขอกลับได้ไหม
ร้องเพลงส่งอาจารย์ดีไหม (ดี)  จริงๆ อาจารย์ยังมีธรรมะมากมายอยากจะพูดกับศิษย์ ธรรมะไม่ใช่สอนให้ศิษย์แค่เป็นคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว แต่ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้จักนำพาตัวเอง เอาความดีไปช่วยผู้อื่น แล้วไม่เอาความชั่วไปตัดสินว่าใคร ธรรมะสอนให้เรารู้จักย้อนมองส่องตน ตรวจสอบตัวเองก่อนที่จะไปว่าคนอื่น เพราะเมื่อไรที่ว่าคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า   ผีเห็นผีไหม (เคย)  ว่าเขาน่าเกลียดแปลว่าเรานั่นล่ะน่าเกลียด ใช่ไหม ว่าเขาร้ายแปลว่าเรานั่นเองร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจึงรู้จักย้อนมองส่องตน ไม่ตรวจสอบไม่ว่าใคร ได้หรือไม่ (ได้)
จำไว้อีกอย่างหนึ่งนะศิษย์ ชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่อย่าเลือกเอาแต่ตามใจตัวเอง จงเลือกที่จะวางความคิดตัวเอง แล้วมองความจริง และเราจะพบความสุข เพราะถ้าทุกคนตามใจตัวเองเราจะไม่มีวันพบสุข จริงไหม (จริง)  เพราะคนในโลกนี้ไม่ขาดก็เกิน ใช่ไหม (ใช่)  อยากให้พอดีมีไหม (ไม่มี)  อยากให้ก้าวหน้าดีอีกนิดหนึ่งเขาก็ย่ำอยู่กับที่ จริงไหม (จริง)  อยากให้เขาย่ำอยู่กับที่เขาก็เอาแต่ถอยหลังลงคลอง      จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำอย่างไรได้ เราก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วทำใจ จริงไหม เหมือนทำแล้วอยากได้กำไรแต่ดันขาดทุน เราก็ได้แต่ทำใจ ศิษย์จำไว้นะปัจจุบันนี้ เรื่องราวในโลกล้วนน่ากลัวยิ่งขึ้น ฉะนั้นอย่าขายของหรือทำอะไรเพียงเพื่อหาเงิน แต่จงขายของเพียงเพื่ออยู่ได้ ปลูกต้นไม้ทำอะไรก็ตามจงปลูกเพื่ออยู่ได้ ไม่ใช่ปลูกเพื่อหาเงิน เพราะไม่เช่นนั้นศิษย์จะตาย เป็นสิ่งที่อาจารย์อยากบอก เพราะอนาคตไม่มีใครเดาได้ ฉะนั้นอย่าหวังเพียงเพื่อหาเงิน แต่จงหวังเพียงแค่อยู่
 (นักเรียนในชั้นร้องเพลงส่งพระอาจารย์ พระอาจารย์เสด็จลงมาเมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์อยากให้กำลังใจ อยากให้รู้จักพูด อยากให้รู้จักคิด เหนื่อยไหม ไม่เหนื่อยนะ ศิษย์เอย ให้อาจารย์ตบหัวแต่ถึงเวลาก็ลืมอาจารย์      ให้อาจารย์ให้พรแต่ถึงเวลาก็ทำนิสัยดื้อเหมือนเดิมแล้วอย่างนี้มันจะช่วยอะไรได้ จริงไหม สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์คือนิสัยความเคยชินที่ไม่ยอมแก้ ใช่ไหม ศิษย์เอยเวลามีน้อยแล้วนะ ถึงเวลาบอกกับตัวเองสังขารคืนสู่ดินจิตขอคืนสู่ฟ้าอะไรๆ ก็ไม่เอาแล้วเพราะทำได้ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้ายังทำไม่ดีที่สุดจงรู้จักปลดปลงปล่อยวาง ยึดบุญมันก็ทำให้เรากลับต้องไปเสวยบุญแล้วเราก็ต้องกลับมาเวียนว่าย แต่ถ้าบาปไม่ยึดเลย บาปไม่ทำ บุญสร้างแต่ไม่ยึดมันก็จะทำให้กลายเป็นกุศล กุศลช่วยชำระล้างกิเลสและความเป็นอัตตาตัวตน จะชำระล้างได้อย่างไรล่ะ ก็เมื่อทำแล้วสามารถกระชากตัวตนออกไปได้ กระชากนิสัยความเคยชินออกไปได้ ฉะนั้นศิษย์จงรู้จักควบคุมตัวเองให้ดี ถ้าทำอะไรแล้วสามารถปลดปลงตัวเองได้ ทำอะไรแล้วสามารถละลายกิเลสได้ สิ่งนั้นเรียกว่ากุศล สิ่งนั้นเรียกว่าทางบุญ แต่ถ้าทำแล้วยังยึดติดยังยึดมั่นยังหลง อย่างนั้นเรียกว่าบุญอันไม่บริสุทธิ์
ฟังอาจารย์เยอะแล้วจริงๆ คงไม่อยากได้ยินอาจารย์พูดหรอก คงอยากให้อาจารย์ตบหัวแล้วหายทุกข์หายโศกแล้วแข็งแรงๆ ใช่ไหม ตบแล้วตบอีกแต่ถึงเวลาก็ลืมอาจารย์ได้ลงคอ ถ้าไม่รู้จักปลดปลงไม่รู้จักปล่อยวาง แล้วจะวางโลกใบนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้จักเสียสละมาฟังธรรมแล้วศิษย์จะสร้างกุศลอะไร ชีวิตถึงที่สุดต้องคืนสู่ธรรม ทำให้ศิษย์คืนสู่ธรรมได้ จงรู้จักสละให้ จงรู้จักที่จะช่วยเหลือ จงรู้จักที่จะไม่กลัวลำบาก ถูกไหม ความทุกข์ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว จริงไหม
มัวแต่ติดโทรศัพท์จนลืมยิ้มไปหรือไม่ในชีวิต ติดโทรศัพท์จนลืมพูดคำว่าขอบคุณ หรือยิ้มแย้มให้กับคนที่ดีกับเราหรือเปล่า ตั้งใจช่วยเหลือคนให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตหนึ่งเราจะทำได้ เมื่อถึงวันหนึ่งเราต้องจากไป เราก็จะไม่กลัวความเจ็บ ไม่กลัวความตาย เพราะทำดีที่สุดแล้ว เพราะเต็มที่แล้ว แม้ใครจะว่า แม้ใครจะด่าทอให้เจ็บปวด แต่จิตใจที่ดีงามยังรักษาเอาไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จิตใจที่อยากช่วยคนมั่นคงอยู่อย่างนั้น ต้องลงแรงให้เยอะหน่อย ลงแรงไม่อยากเลยใช่ไหม แค่ให้โอกาสตัวเองในการยื่นมือช่วยคน แค่ไม่นิ่งดูดายเมื่อคนเดือดร้อน
ในจิตใจตั้งใจบำเพ็ญนะ บางครั้งมันก็คือกรรมที่เราสร้างชดใช้ไป มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีแม้อะไรจะเกิดขึ้น ศิษย์เอยอาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ขอเพียงศิษย์ศรัทธาในความถูกต้อง ศรัทธาเชื่อมั่นในความดี ความศรัทธานั้นแหละจะคุ้มครองศิษย์ แต่กลัวศิษย์เจอปัญหานิด ก็สิ้นศรัทธา เจอเรื่องนิดหน่อยก็หมดศรัทธาแล้วอะไรจะช่วยศิษย์ได้ ในเมื่อความดีศิษย์ยังสิ้นศรัทธา ฉะนั้นเชื่อมั่น ศรัทธาในความดีของตัวเอง ทำเพื่อลดละกิเลส ทำเพื่อช่วยผู้คน ถ้าทำแล้วช่วยคน ทำแล้ววางกิเลส ตัดกิเลสได้ ช่วยไปเถิด จริงไหม เพราะกิเลสทำให้เรามีกรรม เพราะมีกรรมจึงทำให้เกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าสิ่งไหนทำให้เราสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ทำไมไม่ทำกัน แค่ยั้งใจตัวเองให้ได้ หยุดใจตัวเองให้ได้ เสียสละให้มากๆ ลดอัตตาตัวตนให้เยอะๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ได้ไหม
เข้มแข็งนะ ทำให้ได้นะ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีเพื่อคนข้างหลัง ดีสมกับที่อาจารย์ควรจะให้กำลังใจหรือยัง (ยัง)  คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ รักษาความเป็นคนให้มีคุณธรรมพร้อมสมบูรณ์ การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่าไปผิดทางนะ ศิษย์เอยอาจารย์คงต้องไปแล้ว ทางมีให้เลือกเดินนะศิษย์ ทางที่นำพาให้พ้นทุกข์ ขอแค่เพียงศิษย์ทำดีไม่ยึดติด ความชั่วไม่ทำเลยดีที่สุด ไม่ต้องเป็นคนดีที่สุด แต่เป็นคนไม่เคยทำชั่วที่สุด นั่นแหละลูกศิษย์อาจารย์จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องดีที่สุด ขอเพียงอะไรที่ชั่วศิษย์ก็ไม่ทำ นั่นแหละลูกศิษย์อาจารย์ ดีแค่ไหน แต่ชั่วยังละไม่ได้มันไม่มีหรอกศิษย์จริงหรือไม่ (จริง)  ความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แล้วศิษย์จะบำเพ็ญธรรมได้อย่างไร เมตตาก็ยังไม่มี มโนธรรมสำนึกที่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปก็ยังไม่มี มีสัมมาคารวะต่อผู้อื่นก็ไม่มี แล้วเราจะเป็นคนที่ดีได้อย่างไร ฉะนั้นปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ตัวเรา เมตตาคนไหม เมตตาผู้อื่นไหม รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม เป็นคนที่พูดแล้วทำได้อย่างที่พูดได้ไหม เป็นคนที่รู้จักทำ รู้จักคิดอย่างคนที่ใช้ธรรม มีปัญญาไหม ถ้าทำได้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์ ศิษย์ไม่มีทางมีธรรมได้สมบูรณ์จริงหรือไม่
ศิษย์ทุกคนมีหน้าที่ อาจารย์ไม่เคยบอกว่าบำเพ็ญธรรมให้ทิ้งหน้าที่ขอให้ทำหน้าทีตัวเองได้สมบูรณ์ จะปฏิบัติธรรมมันก็ไม่น่าละอายใจจริงไหม ปฏิบัติความเป็นคนได้ดีพร้อม แล้วจะไปปฏิบัติธรรม มีหรือคนจะไม่เดินตาม ฉะนั้นถ้ามุ่งปฏิบัติธรรม จำคำอาจารย์สุดท้ายก่อนจาก “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน สมบูรณ์ในคุณธรรม ไม่รู้สึกผิดนั่นแหละสมควรแล้วกับการเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีเวลาที่เหลือฉุดช่วยคนด้วยหัวใจที่มีแต่ให้” จริงไหม คงไม่ยากนะ อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลรักษากายใจตัวเองให้ดี อาจารย์ไม่อยากร้องไห้ เพราะมันไม่มีประโยชน์ แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์เข้มแข็ง กล้ารับความจริง เพราะชีวิตข้างหน้าอยู่ที่วันนี้ศิษย์เลือกทำ ฉะนั้นอะไรจะเกิดอย่าโทษคนอื่น แต่จงหันกลับมามองตัวเองว่า ใช่ไม่ใช่เพราะตัวเองทำตัวเอง ขอฟ้า ขอดิน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่สู้ขอใจตัวเองให้ซื่อตรง ยุติธรรมจริงหรือไม่ (จริง)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางได้ใจเบา”

    สิ่งใดสมบูรณ์บ้างหนา ผันเปลี่ยนทุกคราทุกสิ่ง
ครอบครองสิ่งใดได้จริง หลงวิ่งตามยึดทุกข์ใจ

    สิ่งที่หนักคือตัวตนยึดถือ ทุกข์ที่ยื้อคือความคิดติดมั่นหมาย
เพียงยอมรับความจริงทางเป็นไป ดีกว่าฝืนยื้อไว้ดั่งใจตน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา