วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2560-06-02 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร




西元二○一八年歲次戊戌四月十九日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑         ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  จิตสับสนเพราะความคิดไร้ทิศทาง     จิตสว่างเพราะปัญญาเป็นเข็มทิศ
เรื่องวุ่นวายมาจากคนชอบยึดติด              คอยจับผิดมาติดขัดให้ทุกข์ใจ
                                เราคือ
  หลันไฉ่เหอต้าเซียน                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  อันว่ากิเลสเกิดจากความคิดอยากมี    จิตที่ไม่ตื่นข้องคิดพันกันวุ่น
ไร้ความเห็นแต่วนมาคิดหมกมุ่น          มีเยอะก็วุ่นได้เลยก็วุ่นเลย
ถึงมองเห็นแต่ไม่คิดว่างไปทันใด          ในเมื่อทุกข์ไร้ใจเมื่อแจ้งแสร้งเฉย
เมื่อนั้นสิ่งก็ว่างโดยพลันเทียวเอย        ทุกข์หมื่นเท่าสติเกิดพลันเผยหมื่นพุทธา
เมื่อความคิดไม่ขาดสายใจต้องนิ่ง        จงรู้เท่าทันความจริงที่ยิ่งกว่า
รู้ชัดเจนไม่ใช่ใช้แค่หูตา                   ใช้ปัญญามาไถ่จิตเป็นไทเร็ววัน
เพราะหมกมุ่นคิดลบจึงไม่หายขาด       เลิกอคติใจไม่เป็นทาสเป็นเช่นนั้น
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนกิเลสทุกข์แปรผัน   เปลี่ยนความประพฤติความความนั้นทั้งนอกใน
เลือกประพฤติจะกลายเป็นสร้างสุขไม่สิ้น   ความเคยความชินจะพาล้วนเลวร้าย
ความชินความเคยกลายต่างคนต่างใจ   เสียนิสัยนิสัยจะกลายไม่หลงไม่มี
                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



วันนี้มาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับท่านช่วงเวลาหนึ่งได้ไหม (ได้)  จากที่นั่งฟังเฉยๆ เปลี่ยนเป็นการคุยโต้ตอบกันดีหรือเปล่า (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือ หลันไฉ่เหอ การคุยกันได้นานๆ ไม่ต้องมียศไม่มีตำเเหน่ง จะคุยกันง่ายกว่า ถ้าบอกว่ามาจากไหน เก่งอย่างไร บางทีจะคุยก็คุยไม่ออกจริงไหม (จริง)  ถ้ายกตัวเองสูงว่าเรียนจบอะไรมา แล้ววันนี้จะมาคุยกัน บางทีได้ฟังว่าเรียนจบอะไรมา เราก็ไม่อยากคุยด้วยแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะรู้สึกว่าเขาจบสูงเกินไป เรามีความรู้น้อย
เราแนะนำตัวเองแล้ว เราคือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบถือตะกร้าดอกไม้ ถ้าเป็นผู้ชายถือดอกไม้แปลกไหมในยุคปัจจุบัน (แปลก)  บางท่านบอกว่าดูอบอุ่นดีนะ ดูน่ารักดีออก ใช่หรือไม่ คิดดีก็เป็นสุข คิดร้ายก็เป็นทุกข์ คิดดีก็เหมือนอยู่สวรรค์ชั้นฟ้า แต่ถ้าคิดร้ายต่อกันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้คิดร้ายหรือคิดดี (คิดดี)  แปลว่าที่นั่งฟังมา คิดดีตลอดเหมือนอยู่สวรรค์ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวเรานั้นมีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร (ความคิด)  ความคิดที่ดีหรือ
ไม่ดีที่น่ากลัว (ความคิดที่จิตสับสน)  หรือบางครั้ง ความคิดที่หยุดคิดไม่ได้ หรือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้กระทั่งความดีที่เราติดก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายึดติดดีมากเกินไป ความคิดที่พยายามจะต้องเป็นคนดี และต้องดีให้ได้ก็น่ากลัว ยิ่งถ้าพยายามเป็นคนดีแล้วใครว่าไม่ได้นั่นก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  คนเลวบางครั้งดูเหมือนน่ากลัว แต่ถ้าเราคิดอะไรเลวร้ายสักอย่างหนึ่ง แต่เราหยุดได้ทัน บางครั้งการคิดเลวร้ายแล้วหยุดได้ทัน ก็อาจจะดีกว่าความคิดดีที่ยึดติด จริงไหม (จริง)
มนุษย์มักพูดว่าคนนั้นน่ากลัว คนนี้ไม่น่ากลัว คนนั้นน่าคบ คนนี้
ไม่น่าคบ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราทำให้เขาน่ากลัว หรือเราทำให้เขากลายเป็นคนน่ากลัวไม่น่าคบหรือเปล่า เหมือนกับที่เรามองว่าโลกน่ากลัว สังคมเลวร้าย หาคนดีไม่เจอ แล้วท่านดีหรือยัง แล้วเป็นคนดีที่ยึดติดดี
จนกลายเป็นคนเลวร้ายหรือเปล่า
วันนี้เรามาคุยเรื่องธรรมะ ธรรมะที่เป็นกลางๆ ที่ใช้สำหรับการดำเนินชีวิต เเละนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ หรืออยู่กับทุกข์แล้วไม่ทุกข์ เราอยู่ในโลกนี้อย่าหลงในสิ่งที่เห็นจนลืมความเป็นจริงแท้ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้เราเห็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ได้)  ถึงเราจะบอกว่าเรารู้ เเต่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่รู้ คนโบราณจึงสอนไว้ว่า “รู้แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็อย่าบอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง” เพราะถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเก่ง ก็เปลี่ยนแปลงได้ เเละทำให้เราไม่รู้ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ก็เเปลว่าอย่ามั่นใจในสิ่งที่เราคิดว่าใช่และไม่ใช่ และอย่าตัดสินอะไรในทันทีว่าจริงหรือไม่จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้
จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านว่า ท่านเป็นคนดีไหม คนที่บอกว่าฉันก็ยังไม่แน่ใจเลย
ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เพราะเรายังไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะคิดดีหรือคิดร้าย หรือตอนนี้เราจะอารมณ์ดีหรือเราจะอารมณ์ร้าย ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อเป็นคนดีแล้วไม่ชอบคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  หรือเราศึกษาธรรมเพื่อเป็นคนดีแล้วยึดมั่นในความดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร (เพื่อกล่อมเกลาจิตใจตัวเอง)  ถ้าอยากเป็นคนมีธรรมก็ต้องปฏิบัติดี แต่การจะเข้าถึงธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่ธรรมอยู่ที่ความเป็นจริงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เรียกว่า “ธรรม” นอกเหนือจากนี้เป็นความคิด เป็นความหวัง เป็นความยึด ถ้าอยากเข้าถึงธรรมต้องมองตรงนี้ เดี๋ยวนี้
เรายกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเราได้ดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทีแรกเราก็เกิดความดีใจ แต่เมื่อไรที่เราเห็นดอกไม้ดอกนี้ แล้วไปเปรียบเทียบกับดอกไม้ดอกอื่นที่สวยกว่า เราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายอมรับได้แค่ตรงนี้ก็คือ ธรรม แต่ถ้าบอกว่าดอกนี้เล็กไป ไม่สวย ราคาน้อย ดอกนั้นใหญ่กว่า สวยกว่า ดีกว่า ก็กลายเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตของท่านล่ะ ถ้าพบธรรมก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าไม่พบธรรมตรงนี้ หวังตรงนั้น หวังตรงนี้ นั่นแหละ ทุกข์นักแล
ชีวิตเรามีตรงนี้ มีเท่านี้ ได้เห็นธรรม ได้เห็นสุข แต่เรากลับยึดว่าต้องมีอย่างนั้น ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมคือสิ่งตรงนี้ แค่นี้ สุขได้ไหม (ได้)  พอได้ไหม (ได้)  แล้วทุกข์คืออะไร ธรรมคืออะไร
ถ้าท่านยังไม่เห็นธรรมตรงนี้ ท่านก็จะพบทุกข์ตรงนั้น เเละพยายามหาทางดับทุกข์ตรงนั้นด้วยธรรม แต่ถ้าท่านพอตรงนี้ ดีตรงนี้ สุขตรงนี้ ธรรมตรงนี้เราต้องทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มนุษย์พยายามใช้ธรรมเพื่อดับทุกข์เพราะเราไม่เคยพอตรงนี้ เราไม่เคยยินดีกับแค่นี้ เเต่เราหวังว่าต้องเป็นดอกไม้ดอกนั้น ต้องเป็นดอกไม้ช่อนั้น
ตอนนี้เรามีทุกข์เรามีความสูญเสีย มีความเจ็บป่วย ถ้าเราพอใจเข้าใจในธรรมเราก็ไม่ทุกข์ แค่สู้กับสิ่งที่เป็นให้ได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่ตรงนี้แต่คิดถึงตรงโน้น อยู่ตรงนี้แต่อยากเป็นตรงนั้น เราไม่เคยพบธรรมตรงนี้ เราก็เลยไปทุกข์ตรงนั้นก่อนแล้วค่อยมีธรรม เราไม่พบธรรม ไม่พบความจริงตรงนี้ก่อนเราก็เลยไปทุกข์กับข้างหลังและพยายามเห็นธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเห็นตรงนี้ พอใจตรงนี้ อย่ามัวคิดว่าเราเจ็บ อย่ามัวคิดว่าเราสูญเสีย อย่ามัวคิดว่าเราชราวัย แต่สิ่งที่เจ็บ สิ่งที่ทุกข์ตอนนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตท่านยังมีอะไรดีๆ อีกมาก ถ้าวันหนึ่งเราต้องล้มเจ็บ ต้องพลัดพราก ถ้าใครทำให้ทุกข์ อย่าเอาแผลเล็กๆ อย่าเอาความทุกข์เล็กน้อยมาทำร้ายลมหายใจทั้งชีวิต มัวจมอยู่กับความทุกข์ว่าทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ มาทำร้ายชีวิตตัวเองทั้งชีวิต ในเมื่อจริงๆ แล้วธรรมไม่ใช่ตัวหนังสือหรืออิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่อยู่ตรงนี้
เห็นก็มีธรรม ก็เป็นสุข แต่ถ้าไม่เห็นไม่ยอมรับ ก็ต้องทุกข์ทั้งสิ่งที่มีและก็ต้องทุกข์กับความพยายามจะมี แล้วก็ต้องพยายามไปหาธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมไม่ได้อยู่ภายนอก แต่ธรรมอยู่ภายใน ถ้าท่านศึกษาปฏิบัติธรรมจริง อย่ามัวแต่มองออก ถ้าปัญหาทุกปัญหาเริ่มที่นี่ เกิดที่นี่ ก็ต้องจบที่นี่ ผู้ที่เข้าถึงการบำเพ็ญที่แท้จริง จะไม่พยายามไปดับร้อนดับไฟใคร แต่จะหันกลับมาย้อนมองส่องตนเองว่าเขาร้อนแล้วเราจะเย็น เขาไร้ธรรมแต่เราจะมีธรรม ดังที่พระพุทธะบอกไว้ว่า “ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีมาร ที่นั่นมีพุทธะ” เมื่อใดเจออะไรก็ตาม แค่นี้เท่านี้ก็คือธรรม มันเป็นธรรมดาที่เราต้องเจอ ถ้ายอมรับตรงนี้สุขไหม (สุข)  แล้วถ้าสุขตรงนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุขอยู่ทุกๆ วัน เพราะธรรมคือความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์มักหวังและฝันจนลืมธรรมอันเรียกว่า “ความจริง”
ฉะนั้นอยากพบธรรม ก็แค่พบความจริง ยอมรับความจริง เพราะความจริงจะดีหรือร้ายก็ไม่น่ากลัว เพราะคนที่จะทำให้ท่านดีหรือร้าย อยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา เขาทำเราร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  ดีหรือร้ายเขากำหนดหรือเรากำหนด (เรากำหนด)  แต่ถ้าเกิดเขาร้ายแล้วเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วถ้าเขาร้ายแล้วทำให้เราดี ทำให้เราเห็นธรรม ไม่เอาหรือ (เอา)  มนุษย์กำลังกลุ้มอยู่กับความทุกข์ แต่เหล่าพระพุทธะเอาทุกข์มาค้นพบเห็นธรรม สิ่งที่มนุษย์กำลังวนเวียนอยู่กับความทุกข์ พระพุทธะกลับตื่นรู้แจ้ง แล้วค้นพบทางดับทุกข์
มนุษย์ชอบตัดสินและชอบคิดนึกไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้ เราจึงอยู่กับคนแล้ววิพากษ์วิจารณ์ พอวิพากษ์วิจารณ์เราก็อดยึดติดในความคิดเราไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นแหละทุกข์ จริงๆ แล้วเราอยู่ในโลก อยู่กับทุกๆ สิ่ง
อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับใครก็ตาม เราอดที่จะคาดหวังหรือ ยึดติดไม่ได้ เราคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เพราะเราคิดว่าเพื่อนน่าจะพูดแบบนี้ แต่ทำไมเพื่อนพูดแบบนั้น อยู่กับสามีอยู่กับภรรยา เราไม่เคยคุยกันได้จบความ เพราะเธอพูดอีกอย่างแต่ฉันคิดอีกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุข สามารถเป็นธรรมไม่เป็นทุกข์ได้นั้น ก็อย่าเพิ่งตัดสินอะไรว่าเตี้ยหรือสูง เพราะเวลาที่เราอยู่กับคนที่เตี้ยกว่าเราอาจจะสูง แต่พอถึงเวลาเจอคนที่สูงกว่า เราก็อาจจะเตี้ย นี่คือหลักธรรมของความเป็นจริง เมื่อเจออะไรเราสามารถยอมรับในสิ่งที่เราได้แค่นั้นเท่านั้น ก็คือธรรม ก็คือความจริง แต่ถ้าเราไม่เคยยอมรับในสิ่งที่เรียกว่าแค่นั้น เท่านั้น แต่เราหวังว่าต้องเป็นอย่างที่
เราคิด เราเข้าใจ ก็คือทุกข์
อยู่ในโลกทุกข์หรือสุขมากกว่ากัน (ทุกข์)  ทุกข์มากกว่าสุขเพราะเราไม่ยอมรับความจริงที่เรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากค้นพบความจริง อยากพบธรรมแล้วไม่ทุกข์ แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นก็แค่นี้ ก็เท่านี้ แต่ถ้าไม่ยอมรับเราก็มีทุกข์ แล้วก็ต้องพยายามหาธรรมไปดับทุกข์ เมื่อท่านได้มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ระหว่างทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม หรือมีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์ แบบไหนดีกว่ากัน (มีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์)  แล้วปัจจุบันท่านเป็นเช่นไร (มีทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม)
หลายๆ ท่าน มักจะเรียนรู้ธรรมและเข้าใจว่า การเรียนรู้ธรรม ปฏิบัติธรรม ก็คือ การทำความดี เมื่อใดที่เราทำดีเรากำลังปฏิบัติธรรม บางครั้งทำดีแล้วไม่ได้ดีน้อยใจไหม (น้อยใจ)  การปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อละหรือเพื่อยึด (เพื่อละ)  การปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ดีเป็นละหรือเป็นยึด (ยึด)  อย่างนั้นแปลว่าท่านปฏิบัติธรรมถูกหรือปฏิบัติธรรมผิด เราปฏิบัติธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อหลงยึด ถ้าทำแล้วไม่ได้ดี น้อยใจแล้วเลิกทำ ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำดีเพื่อละ แต่เรากำลังทำดีเพื่อยึด ถูกหรือไม่ (ถูก)
รู้หรือไม่ว่าทำดีละชั่วเพื่ออะไร การปฏิบัติสอนให้เราทำความดีละความชั่ว แล้วเราทำดีไหม (ทำดี) แล้วชั่วเราละไหม (ละ, ไม่ละ)  คนปฏิบัติธรรม ถ้าเขาทำดีจริงๆ เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ตกเป็นทาสอบายมุข ไม่ผิดศีล แล้วท่านทำดีไหม (ทำดี)  ถ้าปฏิบัติธรรมต้องละชั่วบำเพ็ญดี
ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าชั่วไม่ละ บุญก็ยังสร้างเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วยังบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ถ้ามือหนึ่งท่านก็ทำดี แต่อีกมือหนึ่งท่าน
ก็ยังไม่ละชั่ว จะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงไหม (ไม่)
ถ้าความชั่วไม่ทำเลยนั่นเรียกว่ายอดบุญ ถ้าความชั่วไม่ปฏิบัติเลยนั่นเรียกว่าคนดี ถ้าความชั่วไม่กระทำเลยเรียกว่ามีธรรม การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือไม่กระทำผิดเลยเรียกว่ายอดบุญ ถ้ายังทำบุญแล้วทำชั่วด้วย เรียกว่าบุญที่อิงแอบไปด้วยบาปกรรม
ธรรมคือการปฏิบัติดีละชั่ว บำเพ็ญบุญ เมื่อใดที่ท่านไม่กระทำผิด เรียกว่ายอดบุญ เรียกว่าผู้มีธรรม แต่คนปัจจุบันเข้าใจความหมายการปฏิบัติธรรมผิด คือดีก็ทำ ไม่ดีก็ทำ แล้วท่านก็อดบ่นไม่ได้ว่า ทำแทบแย่ไม่เห็นได้ดีเลย จะได้ดีได้อย่างไร ในเมื่อความไม่ดีท่านยังไม่ละเลิก ถูกหรือไม่ (ถูก)  รากเหง้าแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความเวียนว่าย ความเจ็บปวดและทุกข์ทั้งมวล ล้วนหนีไม่พ้นการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง และอบายมุขทั้งหลาย ฉะนั้นทำดีแค่ไหนแต่ถ้าความชั่วไม่ละ ท่านก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์ยังคงนอนเนื่องอยู่ในใจที่ยังสร้างบุญและสร้างบาป ฉะนั้นถ้าอยากทำดีก็แค่ (ละชั่ว)  แล้วตอนนี้ท่านดีหรือยัง (ยัง)  ธรรมะสอนให้เราเกลียดทุกข์ หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วตอนนี้มีทุกข์ หนีหรือสู้ (สู้)  เวลาเจอคนไม่ดีสู้หรือยอม (ยอม)  การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นว่าเขาร้อนเขาเย็นอย่างไร แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหันกลับมาจัดการใจตัวเอง ย้อนมองส่องตนเองก่อน เหมือนเราบอกแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังเห็นเป็นทุกข์ พระพุทธะกลับเห็นเป็นธรรม สิ่งที่มนุษย์เห็นเป็นกิเลสมาร พระพุทธะกลับเห็นเป็นหนทางดับทุกข์
ชีวิตนี้มีอะไรครอบครองได้บ้าง (ไม่มี)  ชีวิตนี้สูญเสียไปกี่อย่างแล้ว (หลายอย่าง)  แล้วสิ่งที่สูญเสียทำท่านทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วยังอยากได้อีกไหม (ไม่อยากได้)  อย่างนั้นจะนำสิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์หรือจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของสรรพชีวิตในโลก แล้วเกิดการปลดปลงแล้วปล่อยวาง (ปลดปลงปล่อยวาง)  ตอบได้แต่เมื่อกลับไปเจอหน้าคนที่เกลียดแล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์)
มีอะไรในโลกบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนทุกครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมันเปลี่ยนเเล้วยึดได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อยึดไม่ได้แล้วควรจะทุกข์ไหม (ไม่ควร)  เมื่อไม่ทุกข์แล้วจะปลดปลงหรือแช่งชักหักกระดูกต่อไป (ปลดปลง)  จะให้เขามาเป็นกรรมกับเราหรือจะให้เขามาเป็นธรรมสอนใจเรา (ธรรมสอนใจ)  สิ่งที่เรียกว่าความจริงล้วนคือธรรม เเละธรรมนั้นสอนให้เรารู้ว่า ใดๆ ในโลกก็ยึดไม่ได้ ใดๆ ในโลกก็ปักใจเชื่อว่าอะไรเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่ได้ และใดๆ ในโลกก็ไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริง ธรรมสอนเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราเคยเห็นธรรมไหม เห็นแต่ทุกข์ ทำไมไม่ “เเปรพบทุกข์เป็นพบธรรม” ลองสู้ดูสักตั้ง ไม่ได้สู้กับใครแต่สู้กับตัวเอง วางได้ ปลงได้ เห็นแจ่มชัดได้ นั่นคือหนทางธรรม วางไม่ได้ ปลงไม่ได้ จบไม่ได้ นั่นคือหนทางทุกข์
อย่ามัวจมกับความไม่ดีของผู้อื่น จนลืมคุณค่าสิ่งที่ดีในตัวเขา อย่าเอาแต่จ้องจับผิดจนลืมมองคุณค่าดีๆ ที่เราอาจลืมเลือนและดูถูกดูแคลนไปก็เป็นได้ ในทุกข์ก็มีสุขได้เหมือนกัน และในทางทุกข์ก็มีทางพ้นทุกข์ได้เฉกเช่นเดียวกัน ขอเพียงอย่าดูถูกดูเบาปัญญาตัวเองก็พอ นั่งตรงนี้เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อย่ามัวจมกับความเมื่อยจนมองไม่เห็นคุณค่าต่างๆ ที่เราควรมี อย่ามัวจมอยู่กับความคิดจนลืมคุณค่าของการมานั่งฟังวันนี้นะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ท่านมาศึกษาปฏิบัติธรรม แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกคนทำงานไหม (ทำ)  ถ้าทำงานเพื่อเงินเรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ปฏิบัติธรรมคือแค่ทำบุญใส่บาตรแค่นั้นไหม (ไม่ใช่)  แต่คือการกระทำใดๆ ที่ทำให้เราสามารถนำธรรมมาปฏิบัติต่อกัน ทานแบบใดประเสริฐที่สุด ให้ธรรมะเป็นทานถูกไหม (ถูก)  ท่านสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ไหม (ได้)  ถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติงานเพื่อเงิน แต่ปฏิบัติงานเพื่อธรรม ท่านจะอยู่ที่ไหนท่านก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติด้วยความซื่อตรง รับผิดชอบเต็มกำลังในหนึ่งวันที่ทำงาน แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ทำเพียงแค่เงินเดือน ทำไปวันๆ ให้จบ แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความซื่อตรงที่สุด ดีที่สุด และจริงใจที่สุด ท่านก็กำลังปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบในหน้าที่ให้ดีที่สุด ซื่อตรงที่สุด เช่นนี้ก็เรียกว่าการให้ธรรมะต่อกัน แล้วปัจจุบันนี้เราให้ธรรมตอนไหน เราให้ตอนที่เขาน่าสงสารเราจึงปฏิบัติ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราไม่ปฏิบัติกับทุกคนและทุกขณะ เราไปเอาของเขามาก่อน ไปโกงเขามาก่อน ไปโกหกเขามาก่อน ไปเอาเปรียบเขามาก่อน แล้วเราค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
การปฏิบัติธรรมคือการทำทุกวันให้เป็นธรรม ซื่อตรงต่อหน้าที่ รับผิดชอบและจริงใจต่อภาระที่ตัวเองทำ นั่นแหละให้ธรรมเป็นทาน ถ้าทุกคนต่างรับผิดชอบ ซื่อตรง ไม่ทำผิดต่อกัน สังคมนี้จะมีคนเลวร้ายไหม (ไม่มี)  แต่มนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่ แก่งแย่งกันเต็มที่แล้วค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำทุกที่ ทุกคน ให้มีธรรม นี่คือหลักแท้ของการปฏิบัติธรรม วันนี้เราอาจจะพูดแล้วทำให้ท่านได้ยั้งคิดบ้างสักนิดก็ยังดี
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญอีกนะ รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี อย่าประพฤติผิด อย่าผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน รู้จักสงสารตัวเองก็ต้องรู้จักสงสารผู้อื่น รู้จักเห็นใจตัวเองก็ต้องรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้ว่าเรามีทุกข์ เขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ถ้าเข้าใจหัวอกคนมีทุกข์เหมือนกันจะไม่ทำใครให้ทุกข์ใจ ไม่มีสิ่งใดมงคลเท่ากับการปฏิบัติตนละบาปบำเพ็ญบุญ และปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คน มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญดีกว่าสร้างกรรม ใช่หรือไม่

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑     ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ฝึกใจเป็นกลายสวรรค์                              ประกันสว่างกว่านี้
ใช้กรรมชะตาเป็นปี                                      ฉันทาคติก็ระวังตัว
ดึงตัวภายในธุระ                          ตัวธรรมดาความพ้น
ฝึกใจฝึกกายอุบล                         จงกลสัทธรรมคิดตรอง
จำได้หมายรู้ลิขิต                         ความคิดชีวิตสมอง
ชาตินี้เป็นโอกาสทอง                     เพราะจะประลองปัญญา
อนาคตที่มองไม่เห็น                      จำเป็นกลายเป็นปัญหา
ทัศนคติคุมโชคชะตา                      อนิจจายึดติดทันใด
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม
การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ
หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น
ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกรรมบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทันรวดเดียว)
ทำนองเพลง : พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง : ทำตนสายกลาง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถรักษาใจเดิมได้ ศิษย์ก็ย่อมต้องพลาดและตกหล่นไปอีก คิดให้ดีเลือกว่าจะทำอะไร จะก้าวต้องก้าวให้ถึงที่สุด ก้าวให้ยิ่งใหญ่ให้คุ้มค่าที่เลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญ อย่าพลาดแล้วต้องกลับมาใช้กรรม ก้มหน้าพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ตัวเองผิด อย่าทำเช่นนั้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้น แม้อาจารย์อยู่ข้างๆ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ จงจำไว้เลือกแล้วจงเลือกให้ดีที่สุดเพราะเมื่อถึงวันที่เลือกไม่ได้ ศิษย์จะโทษใครไม่ได้ มีแต่ต้องก้มหน้ารับกรรมเท่านั้น ซึ่งอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ตอนนั้น จงอย่าทำผิด ประคองใจให้ดี เข้มแข็ง ช่วยเหลือผู้คนด้วยใจที่อุทิศเสียสละ ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ เมื่อว่างจากตัวตนแล้ว ใครด่าก็ไม่เจ็บ ใครทำอย่างไรก็ไม่ทุกข์ เพราะตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีตัวตนแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยึดตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เจ็บทุกขณะ ไม่ว่าเจออะไรห้ามใจร้อนวู่วาม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
ทานข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมะอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มแล้วก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วรอย่อยอย่างเดียว ทำไมไม่มีใครตอบอาจารย์ว่าอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  ไม่อิ่มอย่างนี้ก็แปลว่ายังโลภอยู่
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวว่า “ไหว้พระพุทธะพันรูป ไม่สู้ไหว้พระพุทธะไร้ใจ” ถ้าใครสามารถตีธรรมข้อนี้ได้แตก ศิษย์จะอยู่บนโลกอย่างผู้พ้นทุกข์ มีใครตอบได้ไหม
มนุษย์ในแต่ละวันชอบคิดนินทา คิดกังวล หรือไม่ก็คิดไปว่าใครด่าเราบ้าง เมื่อเราเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เวลาที่เจอข้อธรรมแปลกๆ เราลองหย่อนเมล็ดธรรมลงไปในเนื้อนาบุญแห่งจิตใจดูบ้าง เผื่อว่าเนื้อนาบุญนี้จะตอบคำถามด้วยปัญญาอันตื่นรู้ เอาเวลาที่คิดฟุ้งซ่านมาเป็นเวลาหาธรรมะ และหย่อนลงในจิตใจแล้วเกิดความตื่นรู้ที่นำพาให้พ้นทุกข์ เอาเวลาที่คิดกลัวกังวลในภายหน้า เปลี่ยนเป็นเอาข้อธรรมมาคิดแล้วทำให้เราแจ่มแจ้งในวันนี้ แล้วเข้าใจอนาคต เหมือนที่เรียกว่า ถ้าเข้าใจชีวิต รู้จักชีวิตการเรียนรู้ธรรมก็ไม่ยาก ถ้าเข้าใจธรรมรู้จักธรรม การเข้าใจชีวิตก็ไม่ยากเช่นกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายึดตั้งแต่หัวจรดเท้า เท่ากับเราก็ทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าง ใครจะทำให้เราทุกข์ ก็ไม่มี ใครจะว่าเราให้เจ็บ แท้จริงก็ว่าง เมื่อเราเห็นตัวว่าง แล้วใครกำลังทำอะไรกับใคร มันไม่มี มีแต่ธรรมที่เคลื่อนคล้อยไป ศิษย์ลองมองจนถึงที่สุด มองตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนมี เหมือนอยู่ เหมือนใช่ แต่บางครั้งก็ไม่มี ไม่ใช่ ไม่อยู่ ฉะนั้นไหว้พระพุทธะร้อยรูป ก็ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ
มีตัวตน ยึดตัวตน โดนตรงไหนก็เจ็บ แม้ไม่โดนก็เจ็บเพราะยึดชื่อ ยึดคำว่าตัวตน แต่เมื่อไรศิษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งสัทธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าธรรมแท้ที่อยู่ในตัวเรานั้น มีแก่นอันหนึ่งที่เรียกว่า ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ความว่าง ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วเราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่มี)  มีแต่ความหลงผิด ที่สร้างเป็นตัวตนให้เราทุกข์และเจ็บช้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ตีศิษย์แล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  ก็ถ้ายึดมันก็เจ็บ ใช่ไหม ถ้าอาจารย์ตีอีกๆ (ไม่เจ็บเพราะไม่ยึด)  ไม่ใช่หรอกศิษย์ หลังจากอาจารย์ตีเสร็จมันจบแล้ว ถ้ามันว่างมันก็ไม่มี แต่ถ้าศิษย์เอาสิ่งที่มันจบแล้วมาเกี่ยวและขังตัวเอง ว่าเจ็บ มันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทั้งที่ชีวิตเรามีแต่ปัจจุบัน แต่มนุษย์ชอบคิดอดีตแล้วลากมาเจ็บปวดในปัจจุบันและอนาคต ถ้าโดนตีแล้วจบ ก็พบธรรมและสงบ เพราะธรรมคือความสงบ แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นเกี่ยวกรรม แล้วพอเกี่ยวกรรมเสร็จก็ต่อด้วยการจองเวรจองกรรม ฉะนั้น “กราบไหว้พระพุทธะร้อยรูป ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ”
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม เศร้าไหม ที่เป็นแบบนี้เพราะเรายึดไม่ปล่อย เราหวงไม่วาง ทั้งที่จริงๆ แล้วมีอะไรที่เป็นของเรา (ไม่มี)  เหมือนจะได้เหมือนจะมี แต่ถึงเวลาก็ไม่มี เวลาศิษย์สอนลูกว่า “อย่าเล่นกับไฟ เดี๋ยวมันไหม้มือ” ห้ามเท่าไรก็ยังอยากเล่น วิธีของอาจารย์คือให้เล่นไปเลย แต่เราต้องอยู่ควบคุมด้วย
ถ้าเรายึดติดตัวตนสังขารทุกอย่างที่เป็นตัวเรา ไม่ว่าใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาทำอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราก็จะทุกข์กับทุกสิ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงว่าตัวตนที่แท้จริง ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถึงที่สุดแล้วว่างจากตัวตนที่แท้จริง เราจะทุกข์เพราะอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์สามารถทำทุกสิ่งให้จบภายในขณะนี้ ก็จะไม่เกิดอดีตและอนาคต จะไม่เกิดสามกาล เพราะจบลงได้ในตอนนี้ คำว่าตัวตนก่อเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่สามารถจบ ไม่สามารถวางในขณะนี้ได้จนเกิดเป็นอัตตาขังตัวตน ก่อเกิดเป็นชะตากรรม ฉะนั้นเรียนรู้เข้าใจธรรมมีหรือจะไม่เข้าใจชีวิต แต่น้อยคนนักที่สนใจธรรมะ รักชีวิตแต่ไม่สนใจธรรม ทั้งที่จริงแล้วธรรมก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นแก่นแท้ของใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)
ความทุกข์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ารัก อาจารย์พูดเสมอเพราะทุกข์จึงรู้จักปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นก็จะยึดติดไม่จบสิ้น เพราะทุกข์จากการยืนจึงรู้จักความสุขของการนั่ง ฉะนั้นความทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เพราะมีทุกข์ทำให้เราเจ็บปวด เราจึงต้องรู้จักดำรงชีวิตให้เข้มแข็ง เพราะมีทุกข์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความอ่อนแอ เราจึงรู้ว่าชีวิตตอนนี้ต้องรักษาและดูแลใจ ความทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า
อาจารย์จะบอกอะไรอย่างหนึ่งนะ อย่าทำให้ใครทุกข์ เพราะเมื่อไรที่ศิษย์ทำใครคนใดทุกข์ คนที่ทุกข์จะย้อนกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ยิ่งกว่า อย่าทำให้ใครเจ็บ เพราะคนที่ศิษย์ทำให้เขาเจ็บ เขาจะทำให้ศิษย์เจ็บจนลืมไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอใครไม่ดีอย่าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น แต่จงเห็นใจและให้โอกาส อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติม เพราะว่าคนที่ศิษย์ทำลายเขา เขาจะมาป่วนให้เราไม่มีวันมีความสุข ฉะนั้นเวลาเราเจอคนมีความทุกข์ เราจึงต้องรีบช่วยเหลือ เวลาเราเจอคนที่มีความทุกข์ ศิษย์จะช่วยเขาดับทุกข์เป็นครั้งๆ หรือจะสอนให้เขารู้วิธีดับทุกข์ อย่างไหนดีกว่ากัน (สอนให้รู้วิธีดับทุกข์)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์เจอคนประเภทหนึ่ง ที่ฟ้าทำอะไรเขาไม่ได้ และอาจารย์ก็อยากเอาชะตาของคนๆ นี้ มาเล่าให้ศิษย์ฟัง แม้ความทุกข์หรือนรกก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ศิษย์สนใจไหม (สนใจ)  คนประเภทนี้เป็นคนที่ แม้ชะตาทำให้เขาอดอยาก เขาก็ไม่อด แม้ชะตาจะทำให้เขาโดดเดี่ยว เขาก็ไม่เคยโดดเดี่ยว แม้ชะตาจะทำให้เขาสูญเสีย เขาก็ไม่เคยสูญเสีย สนใจชะตากรรมคนนี้ไหมศิษย์ (สนใจ)  คนนี้ๆ ตกนรกไม่กลัว กล้าที่จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ไม่เอา สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ทุกข์ที่สุด เขายังกล้าแบกรับ เขายังกล้ายืนหยัด ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะผ่านไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดเขาก็ไม่รับ เพราะเขาไม่มีตัวตนให้ยึดถือแล้ว
ฉะนั้นจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อะไรก็ไม่หวาดหวั่นไม่หวั่นกลัว ถ้าศิษย์อยากรู้ชะตาคนนี้ ศิษย์ต้องกล้าไปนรก เพราะถ้านรกศิษย์ผ่านได้ สวรรค์ยิ่งกว่าสวรรค์เราก็ไปได้ สวรรค์เขาไม่เอาเพราะเขาอยากเข้าถึงธรรมที่เรียกว่าแม้สวรรค์เขาก็ไม่ยึดถือ แต่เขาขอกลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ทำให้เขาเป็นทุกสิ่ง ไม่ต้องเป็นอะไรเลยที่แท้จริง ถ้าวันหนึ่งศิษย์รู้จักคำว่านรกที่อยู่ในใจ ถ้าต้องเจอทุกข์ขอให้มุ่งมั่นรักษาความดีและก้มหน้ายินดีชดใช้มันจนจบ แต่ถ้าเจอนรกแล้วศิษย์บอกว่า “ทำไมๆ “ มันจะไม่มีวันจบและนรกจะยิ่งเผาไหม้ใจศิษย์ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ต้องเจอกับนรกและความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตศิษย์จงบอกว่า “ขอบคุณๆ” และนรกจะจบได้ คำว่านรกก็คือ ผิดก็กล้ายอมรับ ถูกก็ไม่ยึดมั่นแบ่งปันให้ผู้คน แล้วใครจะกดขี่ข่มเหงเราได้ ความทุกข์ลืมไปบ้างเถอะ จำมันก็มีแต่เจ็บ ยึดมันก็มีแต่ทุกข์
ศิษย์เอยรู้ไหม คนที่ฟ้าก็ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของคนๆ นั้นได้ ก็คือ คนที่แม้ฟ้าจะเล่นตลกให้เขาอับจน ให้เขาโดดเดี่ยว ให้เขาสูญเสีย ให้เขาทุกข์ แต่เขาก็จะไม่อับจน ไม่สูญเสีย และไม่ทุกข์ แล้วศิษย์ทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ถามนะลึกๆ แล้วศิษย์เหงาไหม (ไม่เหงา)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  คนที่มีคู่ก็ตอบได้สิว่าไม่เบื่อ เพราะไม่มีเวลามานั่งเหงา แต่คนที่ไม่มีคู่ก็จะรู้สึกว่าเหงาจังเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเพียงศิษย์สามารถอยู่อย่างเข้มแข็งได้ ความเหงาก็มาเล่นตลกกับศิษย์ไม่ได้ ใครที่ไหนก็มาทำให้ศิษย์โดดเดี่ยวไม่ได้ ศิษย์เหงาเพราะศิษย์รอให้ใครมารัก รอเมื่อไรเนื้อคู่จะมาหนอ เมื่อไรจะมีคนมารักหนอ ศิษย์เป็นอย่างนี้แทบทุกคน การที่ศิษย์เอาแต่รอ ก็เลยได้แต่รอ เราก็เลยกลายเป็นคนที่ใจห่อเหี่ยว เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครมารักเราเลย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีรักที่แท้จริง รักทุกคน รักทุกสิ่ง รักด้วยความจริง รักด้วยใจที่ให้ อย่างนี้จะเหงาไหม โดดเดี่ยวไหม เพื่อนไม่จริงใจ เราจริงใจ เพื่อนไม่ซื่อตรงเราซื่อตรง คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนจะไม่มีใครรักหรือ จริงไหม (จริง) อย่ามัวแต่รอ คนที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต คือคนไม่รอฟ้า สร้างทุกอย่างเองกับมือ ไม่ต้องรอให้ใครมารักแต่เราจะรักทุกคน ไม่ต้องรอใครจริงใจกับเราแต่เราจะจริงใจกับทุกคน ไม่ต้องรอใครเมตตากับเราแต่เราจะเมตตากับทุกคน ดูสิใครจะไม่รักบ้าง จริงไหม (จริง)
คนที่สามารถยึดกุมชะตาได้ ฟ้าจะมาเล่นตลกกับเขาไม่ได้ ฟ้าจะทำให้โดดเดี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อเขาจริงใจ รักทุกคน และเมื่อจริงใจรักแล้วจะมีเวลาจับผิดใครไหม จะมีเวลาตำหนิใครไหม แต่คนที่ไม่เคยจริงใจกับใคร เห็นคนรักกันก็คิดไปว่าคงไปกันไม่รอด เดี๋ยวก็เลิกคบกัน พอเวลาหัวใจว่างไม่เคยจริงใจกับใคร แทนที่จะสร้างบุญแก่กันกลายเป็นแอบแช่งชักกันอีก และก็มีเวลาจับผิดกัน สุดท้ายก็กลับมาอยู่กับตัวเองพร้อมกับความรู้สึกเหงา เดียวดาย
ฉะนั้นถ้าอยากกุมชะตาชีวิตให้อยู่ รักทุกคน เห็นใครก็รัก และเป็นความรักที่แท้จริง เราจะมีเวลาไปจับผิดใครไหม เราจะมีเวลาไปต่อว่าใครไหม มีแต่พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด ฉันต้องจริงใจให้มากขึ้น ฉันต้องรักคนรอบข้างยิ่งขึ้น แล้วคนแบบนี้เหงาไหม (ไม่เหงา)  จะมีเวลาเดียวดาย อาดูร สิ้นสูญแล้วทุกสิ่งไหม ถ้าศิษย์รู้จักคุมชะตาชีวิตให้เป็น ชีวิตนี้จะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย ทั่วทั้งสี่ทิศก็เป็นมิตร เป็นญาติ เป็นคนรักเรา
ศิษย์กลัวสูญเสียไหม (กลัว, ไม่กลัว)  เสียมาเยอะแล้ว เจ็บจนจำแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีเกิดต้องมีดับ เมื่อเจอเรื่องที่สูญเสีย ศิษย์จงอย่าเสียศูนย์ มีใครบ้างไม่สูญเสีย (ไม่มี)  เมื่อคนอื่นสูญเสียก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมเมื่อตัวเองสูญเสียถึงรู้สึกว่าไม่ธรรมดา ทั้งที่เรารู้ว่าความสูญเสียล้วนเป็นสิ่งธรรมดา ตั้งแต่เล็กจนโตมีใครไม่เสียอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้การได้มาล้วนเป็นเรื่องที่ต้องเสียไปทั้งสิ้น มีอะไรบ้างที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี)  แล้วมีอะไรบ้างที่เคยเสียไปแล้วได้กลับมา (ไม่มี)  คนที่ถึงเวลาต้องสูญเสียเขาจะจำไว้ว่าเขาจะไม่เสียศูนย์ ถึงเวลาที่ฟ้าจะให้เขาอับจน เขาจะไม่จนปัญญาและไม่จนใจ ศิษย์จำไว้ว่าทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่าง ฉะนั้นเราเคยเสียไหม (ไม่เสีย)  เรามาจากความว่างเเละกลับสู่ความว่าง ฉะนั้นฟ้าเเค่ให้เรากลับมายืนที่เดิม ที่ๆ เราเคยไม่มี ในความเป็นจริงของทุกชีวิตเเม้จะมีเเค่ไหนถึงที่สุดก็ต้องไม่มี เเล้วจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ถ้ากลัวการสูญเสียก็สู้รักษาโอกาสเมื่อยังมีเเละอยู่กับทุกๆ สิ่งให้มีค่าที่สุด เมื่อถึงเวลาต้องจากกันจะได้ไม่เสียใจ รักเขาที่สุดก็ดูเเลเขาที่สุดเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงวันหนึ่งต้องจากลากันก็ไม่เสียใจ เมื่อวันหนึ่งเราต้องจากกับเขาเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)
กลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถึงแม้ว่าชะตาจะทำให้เราต้องเจ็บ ถึงแม้ชะตาจะทำให้เราต้องทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ความเจ็บเป็นเรื่องน่ารัก ถ้าไม่เจ็บศิษย์จะรู้หรือว่าตอนนี้ร่างกายศิษย์ผิดปกติ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่อยู่แล้วประพฤติผิด ขาดศีลขาดธรรม ขาดความเป็นคน มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายดีกว่า จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความดีเหมือนน้ำ ตายเพราะน้ำ ตายเพราะความดี ยังประเสริฐกว่าเกิดเป็นคนแล้วตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ตายเพราะไฟกิเลส จะทำให้ศิษย์แม้ตายแล้ว ไม่ว่ากี่ภพ กี่ชาติ ศิษย์ก็ต้องกลับไปชดใช้กรรมของกิเลสที่ศิษย์สร้าง
ถ้าศิษย์บอกว่าไม่กลัวตายเพราะศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าศิษย์บอกว่ากลัวตาย แปลว่าศิษย์ยัง (ไม่ทำความดี)  เมื่อเข้าใจว่า ไม่เหงา ไม่กลัวสูญเสีย ไม่กลัวตาย แล้วทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ฉะนั้นพอรอดหรือยัง (รอด)  แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะรอดแต่ไปไม่รอดก็คือ มันอดใจไม่ได้ สิ่งดีก็รู้ แต่สิ่งไม่ดีก็ยังหวั่นไหว ใช่ไหม เมื่อเรายังไม่สามารถห้ามใจเราได้ ถ้าเราเลือกทางที่ผิด ชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตทางที่ผิดก็คือการตกเป็นทาสของความหลงผิด ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์จงรู้ว่า ทุกข์มีสองอย่าง ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความเป็นจริง คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้าง โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล เราไม่สร้างเหตุ เราก็ไม่ต้องมารับผล ถ้าศิษย์สร้างเหตุแห่งกรรมชั่ว ศิษย์ก็ต้องรับผลกรรมชั่ว
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีโอกาสเลือก ถ้าศิษย์ไม่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งที่ดีงาม วันหนึ่งเมื่อกรรมตกผล ศิษย์จะไม่สามารถเลือกอะไรได้นอกจากใช้กรรม
ฉะนั้นถ้ามีโอกาสเลือกระหว่างดีกับไม่ดี ศิษย์เลือกอะไร (ดี)  ระหว่างธรรมะกับอธรรม ศิษย์เลือกอะไร (ธรรมะ)  ถึงเวลาจริงๆ อธรรมล้วนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เทียบง่ายๆ เขาด่ามา ลองเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาก่อน อย่าเพิ่งปล่อย ดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงไหม แล้วเราเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหม ถ้าเป็นจริงให้รีบขอโทษ เพราะตอนนี้เขากำลังทุกข์เพราะเรา แล้วเขาเจ็บมากๆ จนทนไม่ไหว ต้องระเบิดออกมาให้ได้รับรู้ เราไม่ต้องยิ้ม ทำหน้าเศร้าไว้แล้วบอกขอโทษ เพราะถ้ายิ่งยิ้มจะเหมือนยิ่งยั่วเขา เหมือนไม่มีความสำนึก ฉะนั้นเมื่อเขาด่ามา ขอโทษจากใจ รู้สึกผิดจากใจเพราะมันเป็นโอกาสที่ดีที่ศิษย์จะได้ยอมรับกรรม ยอมรับสิ่งที่ศิษย์กระทำ เหมือนที่อาจารย์บอกกับศิษย์ว่า เมื่อเจอนรก ศิษย์อย่ากลัวนรก แต่จงยินดีที่จะชดใช้แล้วกรรมมันจะได้จบ คนตั้งเยอะแยะไม่ด่า มาด่าเรา แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกรรมกันมา คนตั้งเยอะไม่เกลียด แต่เกลียดเรา คนตั้งเยอะแยะไม่ไปใช้แต่มาใช้เรา “คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก” ธรรมะสอนให้เราเลือกทางสายกลาง ถ้าพ้นจากความคิดดีคิดชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกอีกอย่างว่าธรรมแท้แห่งความสงบ ธรรมที่ทำให้เราจบ ว่าง สงบ เย็น
สังขารถูกสร้างขึ้นมาจากพ่อและแม่ แต่ความเป็นตัวตนของเราถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สิ่งที่โกรธ สิ่งที่พอใจ กิเลสก็คือความคิดที่กำลังนึกคิดของตัวตน เมื่อไรที่มนุษย์ว่างจากตัวตนก็จะว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าเมื่อไรศิษย์โดนด่าและว่างจากความคิด สงบ จบ ขอโทษ ธรรมะอยู่ตรงนี้เอง สงบ จบ ก็คือธรรม ถ้าไม่ยอมจบ ไม่ยอมสงบก็ก่อเกิดเป็นกรรมและก็เรียกว่าทุกข์
แอปเปิลผลนี้กินแล้วมีความสุขที่สุดแล้วก็ทุกข์ที่สุด จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  แล้วชีวิตศิษย์ยึดหรือไม่ยึด (ไม่ยึด)  เรายึดเราเอาทั้งนั้น ในเมื่อเอามาแล้วก็เลยหนีไม่พ้นกรรม เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ศิษย์ว่างจากความคิดปรุงแต่ง ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ ว่างจากความคิดแบ่งแยกชอบชัง ศิษย์จะพบกับความว่างบริสุทธิ์ ว่างจากความคิดปรุงแต่งยึดติดรูปลักษณ์จำได้หมายรู้ ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้อันเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่าธรรม เมื่อโดนกระทบเเล้วพ้นจากการคิดเเละการปรุงเเต่งจะกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่าง ตัวตนไม่มี เมื่อตัวตนไม่มีศิษย์จะเป็นอิสระจากภาวะคู่ ไม่มีอุปาทาน ไม่มีกิเลสเเละพ้นจากเวรกรรม เหมือนไม่ยากแต่ทำยาก วิธีเเก้ก็คือให้มีสติ สติจะเป็นกำลังที่ดีของปัญญาเเละของจิตใจ มีสติรู้เท่าทันต่อเนื่องไม่ขาดสายจะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ภัยเเละพ้นอบายภูมิทั้งหลาย เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบแล้วยึดติดดีก็ขึ้นสวรรค์ ยึดติดชั่วก็ตกนรก แต่ถ้าพ้นจากการยึดติดดีหรือชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกว่าธรรมะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง: พูดไม่ค่อยเก่ง ชื่อเพลง: ทำตนสายกลาง)
ศิษย์ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ในใจกันเยอะแยะไปหมด ถ้าสมมติเราเจอเรื่องอะไร ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อารมณ์ก่อเกิดขึ้นมาทันที พร้อมสร้างกรรมขึ้น แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร รีบวางให้ไวที่สุดหรือระเบิดอารมณ์ ศิษย์จำไว้นะ เขาทำศิษย์ ศิษย์ให้อภัย ศิษย์จบได้ แต่เวลาศิษย์ทำเขา กรวดน้ำก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว บางทีเขาไม่ยอมจบ และไม่ยอมลืมง่ายๆ ในโลกนี้มีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา ถ้าเขาทำเรา แล้วเราก็ต้องรู้จัก (ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธ)  แต่สำหรับอาจารย์ถ้าเรายังมีคำว่าให้อภัยแปลว่า เรายังทำใจไม่ได้ ถ้ามันจบเป็นกลาง ศิษย์ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ให้อภัย มันก็แค่นั้นเท่านั้น ถ้าศิษย์ยังต้องพยายามใช้ธรรมะข่มใจ นั่นแปลว่าเรายังทำใจไม่ได้ เรายังยึดติดความคิดอยู่
ท่ามกลางความสับสนขอให้รักษาจิตให้มีสติ เวลาที่เกิดเรื่องราวอะไรก็ตาม ศิษย์จะจัดการเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยการตั้งสติ เมื่อตั้งสติแล้วเรายอมจบยอมวางได้ไหม เมื่อไรที่ต้องคิดให้อภัย แปลว่าศิษย์ยังไม่ยอมจบ และเมื่อไรที่ศิษย์ยังจำได้ไม่ลืม แปลว่าศิษย์ยังผูกใจเจ็บ จบก็แปลว่าจบตรงนั้น เมื่อศิษย์ไม่ยอมจบ ยังจำ มันก็ก่อเกิดเป็นกรรม ที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว เมื่อทำกรรมชั่วมากๆ ศิษย์ก็พยายามทำกรรมดีชดใช้ ศิษย์ด่าเขาไปแล้ว แต่ไปสวดมนต์ แผ่บุญกุศล กรวดน้ำให้ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  เขาจะลืมไหม (ไม่ลืม)
เรามาตัวเปล่า มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว สามีกลับด้วยไหม ภรรยากลับด้วยไหม ลูกกลับด้วยไหม (ไม่กลับ)  จริงไหม (จริง)  คำว่าตัวตนของเราเกิดขึ้นจากความคิดเเละความเข้าใจ ความโกรธ ความรักก็เพราะนึกคิด กิเลสทั้งหลายที่มาจากตัวเรา ก็เพราะเราคิดนึกเเล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ชอบ สิ่งนี้ไม่ชอบ ศิษย์จำไว้ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ารัก ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าเกลียด เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่ชอบ ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าชัง ทำดีที่สุดเเต่ไม่ได้ยึดติด เรารักเขาแต่เขาจะรักหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว เขาต้องรักเราตอบนั่นเเปลว่า เรากำลังสร้างกรรมที่เรียกว่ากรรมร่วม เเต่ถ้าเป็นกรรมด้านเดียวคือทำกรรมแล้วจบไม่เอาอีก จะมีผลตอบโต้ไหม (ไม่มี)  พระพุทธะจึงสอนว่า “การปฏิบัติธรรมเพื่อวาง ไม่ใช่เพื่อยึดถือ” ถ้าศิษย์ยังละกรรมไม่ได้ ยังอดที่จะยึดไม่ได้ว่าคนนี้รัก คนนี้เกลียด คนนี้ชม คนนี้ด่า ศิษย์จึงหนีไม่พ้นกรรมดีเเละกรรมชั่ว เเต่ถ้าเมื่อไรเข้าใจความเป็นจริงแล้วปรับเปลี่ยนความคิดชีวิตศิษย์ก็เปลี่ยน ถูกไหม (ถูก)  ความรู้ ความเข้าใจก่อเกิดเป็นความคิด ความคิดก่อเกิดเป็นนิสัย นิสัยก่อเกิดเป็นความประพฤติเเละความประพฤติก่อเกิดเป็นชะตากรรมที่เรียกว่าเกิดมาใช้กรรม ถ้าเราทำอะไรตามความคิดก็คือเราทำอะไรตามกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมดีเเละกรรมชั่ว ถ้าเราจะเปลี่ยนชะตากรรมเราก็ต้องเปลี่ยนที่ความรู้ ความเข้าใจ เพราะมันมาก่อนความคิด ศิษย์จะรู้เเละเข้าใจจึงมาเป็นความคิดมีใครดีที่สุด มีใครชมเราเเละไม่ด่าเราเลย มีใครบ้างที่สมบูรณ์แบบ (ไม่มี)  เมื่อไม่มีแล้วใครที่น่ารัก ใครที่น่าเกลียด (ไม่มี)  ใครที่เราต้องโมโห ต้องโกรธ ต้องหลง (ไม่มี)  แล้วจบไหม (จบ)  เเล้วเราต้องพยายามเอาอะไรไปข่มความโลภ ความโกรธ ความหลงไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นก็ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจ ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจในธรรม ซึ่งเป็นรากความเป็นจริงของทุกชีวิต
เมื่อเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง หาแก่นแท้ไม่ได้ เราจะปรับเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนนิสัย เราจะเปลี่ยนชะตากรรม อะไรในโลกก็ไม่น่ายึด ไม่มีอะไรที่ยึดได้เลย เพราะเป็นแก่นของทุกชีวิตที่เรียกว่า
สัจธรรม คนพบธรรมก็ค้นพบทางพ้นทุกข์ แต่ถ้ามองไม่เห็นธรรมก็ทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  เพราะทุกชีวิตตายไปก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ศิษย์จะโลภ ศิษย์จะโกรธ ศิษย์จะหลงอะไร ความไม่เที่ยงของโลกทำให้เราไม่อยากโลภ ความทุกข์ของโลก ทำให้เราไม่อยากโกรธ ความไม่มีตัวตนในโลกทำให้เราไม่อยากหลง ฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคือทางดับโลภ โกรธ หลง ได้ด้วยการรู้แจ้งในใจตนที่เรียกว่าสัจธรรม เราอยู่บนโลกอย่าอยู่แบบคนมีกรรมเลย อยู่แบบคนเกิดมาสิ้นกรรมไม่ดีกว่าหรือ
ศิษย์ทำบุญเยอะและหวังว่าจะไปรับผลบุญ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าขอแปลว่ายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับผลบุญ แต่ถ้าศีลห้าไม่ครบศิษย์ไม่สามารถเกิดเป็นคนได้ ใครที่ทำบุญแล้วขอว่า “ขอให้สบายๆ” ระวังจะเกิดมาแล้วสบายจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดเป็นคน ไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถูกต้องในทำนองคลองธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ต่อผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อความเป็นคนต้องสมบูรณ์ก่อน ถ้าความเป็นคนไม่สมบูรณ์ ไม่ประเสริฐอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ต้องปฏิบัติความเป็นคนให้ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องการปฏิบัติต่อผู้คนศิษย์ก็จะสิ้นทุกข์ได้ ระหว่างขอเขาจุดไฟไม่สู้สอนวิธีจุดไฟ สอนวิธีดับทุกข์ไม่สู้ศิษย์รู้จักดับทุกข์ด้วยตนเอง ขอแค่เพียงมีสติ ระมัดระวังตัวเองให้มากๆ
“อะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์” (กิเลส)  กิเลสเป็นความนึกคิดแห่งตัวตน เมื่อว่างจากตัวตนกิเลสก็ไม่มี
(ความยึดมั่นยึดติด)  ที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม แล้วตอนนี้ล่ะ (ยังยึดอยู่)  เมื่อถึงเวลาก็ต้องวางนะศิษย์  รู้จักวางเสียก่อน เรียนรู้แล้วต้องเอาไปฝึกจิต
(ยึดติดในความดีและความไม่ดี)  ต้นเหตุและรากเหง้าของความทุกข์มาจากอะไรรู้ไหม มาจากการไม่ยอมรับความไม่มีแล้วอยากจะมี จริงไหม
(ความทุกข์ความอยาก)  อยากมากก็ทุกข์มาก เกิดมากี่ทีก็ทุกข์ทุกที ฉะนั้นถ้ารู้จักพอมันก็ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ รู้จักสุขกับสิ่งที่มี
(ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ อาจารย์อยากให้ศิษย์ รู้ว่าในโลกนี้ไม่ว่าอยู่กับสิ่งที่รักหรือต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมดาก็เข้าใจชีวิต
(ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกวิธีแก้โลภโกรธหลงไปหรือยัง (ความรู้ความเข้าใจ) ถ้าเรารู้เข้าใจความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เราก็จะไม่มีอะไรในโลกที่น่าโลภน่าโกรธน่าหลง จริงไหม
(ไม่ยอมรับความจริง)  ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ยากรับ แต่ก็ต้องเรียนรู้ เพราะความจริงล้วนเป็นธรรมดา ใช่ไหม
(การยึดติดอยู่กับความสุข)  การนั่งสมาธิบางทีทำให้เรามีสุข แต่ติดอยู่กับความสุขจะทำให้เราไม่พ้น ใช่ไหม เพราะธรรมแท้คือความว่าง ว่างคือสงบเย็น ไม่มีอะไร เหมือนเรานั่งให้สงบไม่จำเป็นจะต้องมีอะไร เพราะการพยายามมี ก็คือการละรูปลักษณ์หนึ่งเพื่อไปยึดรูปลักษณ์อีกหนึ่งนั้นก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่
ฉะนั้นต้องฝึกให้มีสติทุกขณะที่เรารู้ ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ให้ขาดหาย ถ้าเวลาความคิดมา ไม่ต้องไปกดห้ามความคิด แค่อยู่กับความคิดนั้นให้ได้ แต่ไม่ให้ค่า ไม่สนใจ แล้วความคิดเหล่านั้นจะจางหายไป
(การไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ได้ตรงนี้แต่ไปคิดตรงนั้น ฉะนั้นต่อไปตรงนี้ก็ดีแล้ว แล้วความสุขจะอยู่ในใจ จริงไหม (จริง)
สังขารคือความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ใจพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นสังขารเจ็บก็รักษา ถ้าทุกข์ที่รักษาไม่หายจงพิจารณายอมรับว่าเป็นการชดใช้กรรม อย่าทำผิดบาปอีก
(ความรัก รักมากก็ทุกข์มาก)  ต่อไปจะรักใครรักได้ แต่ไม่หวังผลตอบแทน รักแบบไม่คาดหวังผล รักในสิ่งที่เขาเป็น และยินดีรับให้ได้เมื่อเขาเป็นแบบไหน รักให้เป็นแล้วจะไม่ทุกข์ ยินดีรับได้ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน ไม่เช่นนั้นรักใครก็เป็นทุกข์ อย่าเอาอดีตมาทำให้ปัจจุบันทุกข์หรือจะให้แล้วก็ผ่านเลยไป จะได้ชดใช้กันให้หมดสักที (อยากได้ อยากมี อยากเป็น)  เพราะไม่พอจึงเป็นทุกข์ แค่นี้ดีแล้ว แค่นี้สุขแล้ว ได้ไม่ได้ไม่เป็นไร
(การยึดในอัตตาเมื่อไม่ได้ดั่งใจ)  จริง ๆ อัตตาคือรากเหง้าแห่งทุกข์ทั้งมวล ถ้าศิษย์แก้ที่ต้นเหตุได้ ศิษย์ก็ดับทุกข์ทั้งมวลได้ แล้วอัตตาจริง ๆ มีไหม แล้วอัตตาใดที่ใหญ่ที่สุด อารมณ์ไหนมาแรงอารมณ์นั้นจะครอบงำตัวเรา ทั้งที่จริงแล้วอารมณ์นั้นไม่ใช่ตัวตนเรา
เราจะสามารถดับความโกรธได้ ก็ต่อเมื่อเรามองเห็นตามความเป็นจริงว่า แท้จริงสิ่งที่เราโกรธก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ (ความไม่รู้ทำให้ไม่เข้าใจความทุกข์)  จริงๆ แล้วทุกข์มาจากไหนศิษย์ก็รู้ ดับทุกข์ที่ไหนศิษย์ก็รู้ แต่ศิษย์ไม่เคยคิดที่จะรู้จริงๆ สักที รู้แต่ไม่ทำก็เหมือนไม่รู้ อย่าบอกว่าศิษย์ไม่รู้ รู้ไหมว่ากำลังคิดไม่ดี แต่ก็ยังไม่หยุดคิด อย่าแค่รู้แต่จงรู้แล้วกระจ่างแจ้ง
จนสามารถเห็นแล้วไม่ต้องทำอะไร มันจบได้เลย เห็นมันเที่ยงไหม มันทุกข์ไหม ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์จะโกรธทำไม ถ้ารู้ว่าไม่เที่ยงจะรักทำไม ถ้ารู้ว่าหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้จะหลงอะไร  (ความทุกข์เกิดจากการยึดติดในอำนาจลาภยศสรรเสริญ)  ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า แม้แต่อำนาจสูงสุดก็ยังต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แล้วควรหรือที่จะไปยึด
(ความคาดหวัง)  ตัวศิษย์ทุกคนในที่นี้โดนคนอื่นด่า ที่ทุกข์เพราะว่าคาดหวังว่าเขาไม่น่าด่าเรา เขาแค่พูดอะไรธรรมดาไม่ได้ด่า แต่ศิษย์ก็ทุกข์เพราะคิดในใจว่าทำไมเขาพูดกับเราแบบนี้ ฉะนั้นความคาดหวังคือสิ่งที่น่ากลัว เรายึดติดจำได้หมายรู้ว่าถ้าเป็นเพื่อนฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าคุยกับอาจารย์ฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าเป็นแฟนฉันต้องพูดหวานแบบนี้ก็เลยทุกข์
(การให้แล้วไม่ยึด)  นั่นเพราะศิษย์ไม่ได้ละ ศิษย์ให้แล้วศิษย์ยึด เราบำเพ็ญธรรมการให้เป็นสิ่งที่ดี การให้เป็นรากเหง้าของมูลเหตุของการสร้างคุณธรรมเเละกุศลธรรมทั้งมวล ให้ได้เราก็สร้างกุศลได้ ถ้าให้ไม่ได้เราก็สร้างอะไรไม่ได้ เเล้วเราก็ดีไม่ได้ เเต่จงให้เพื่อละ ไม่ใช่ให้เพื่อยึด ไม่อย่างนั้นการทำบุญของศิษย์ก็ยังอิงแอบไปด้วยความทุกข์เเละความหมองเศร้า
(การคาดหวังเเละพะวงกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น)  ถ้าทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็กล้าหาญไว้ ถ้ากล้าจะกลัวอะไร ล้มเหลวก็สำเร็จได้ เเพ้ก็ชนะได้ เเต่บางครั้งเเพ้บ่อยๆ เพื่อให้คนอื่นชนะก็เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ยอมให้คนอื่นก้าวหน้าเเต่ตัวเองไม่ก้าวหน้าแต่มีความสุขก็คือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งคนในโลกไม่มี ไม่ต้องเเก่งแย่ง เเค่รับผิดชอบให้ดีที่สุด ใครก้าวหน้าก็ก้าวไปแต่ฉันขอก้าวหน้าในทางธรรม
(ความเจ็บป่วยของร่างกาย)  ความเจ็บปวดเพียงเสี้ยวเดียวตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ค่าของชีวิตยังมีอีกมาก อย่าให้ความเจ็บปวดแค่เสี้ยวเดียวมาฆ่าชีวิต เพราะความเจ็บปวดเป็นแค่สัญญาณเตือน ถ้าไม่มีสัญญาณ ศิษย์จะไม่มายืนหายใจแบบนี้แล้ว ฉะนั้นความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดีอย่ากลัว แต่จงหาทางสู้อย่ายอมเเพ้
(การตัดสินคนอื่น)  เมื่อเจอใครอย่าเพิ่งตีค่าหรือตัดสินเพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดเเละเขาอาจจะมีค่าอะไรมากกว่าที่เราคาดคิดก็ได้ รักมากก็เกลียดมากแต่ถ้าไม่รักก็ไม่เกลียดใคร ฉะนั้นทำให้เสมอกัน ศิษย์จะได้ไม่รู้สึกว่าต้องเกลียดใครมากหรือรักใครมากเเล้วเจ็บเพราะรักเจ็บเพราะเกลียด
ในโลกนี้ไม่มีใครแย่กว่าใคร ถ้าศิษย์มองคนที่แย่กว่าเรา เราก็คือคนโชคดี แต่ถ้าศิษย์เอาแต่มองคนที่สูงกว่าศิษย์ก็มีแต่ช้ำใจ เรายืนกลางฟ้าดิน ฟ้าสอนเสมอว่าเราเป็นกลาง เราไม่ได้แย่กว่าใครและเราก็ไม่ได้เหนือกว่าใคร มีสิ่งที่สูงกว่าก็คือฟ้า มีสิ่งที่เตี้ยกว่าก็คือดิน เราคือภาวะที่ดีที่สุดที่เรียกว่ากลาง แต่เรามักอดไม่ได้เอาแต่มองฟ้าจนลืมมองดิน
(กิเลสตัณหา)  ถ้าเราอยากดับกิเลสและตัณหาให้ได้เราต้องรู้จักควบคุมใจตัวเอง จงฝึกให้มีพระพุทธะอยู่กับใจเพราะพระพุทธะเป็นผู้ไม่มีกิเลส



 


เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน ชีวิตของศิษย์มักถูกความคิดครอบงำ เราเป็นอะไร ดูที่ความคิด ชีวิตเป็นอย่างไร ดูที่ความคิด ความคิดที่ไม่ดี มันมีปัญหาเราก็ต้องเปลี่ยน การจะเปลี่ยนชีวิตได้ ต้องรู้ทันความคิดแล้วเราถึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าโลกใบนี้หรือความเป็นจริงของโลกใบนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทุกข์ แต่มีเพื่อให้เราตื่นรู้เข้าใจและเท่านั้นเอง เช่นนั้นเอง เราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม”
ใครที่บอกว่ามีเคราะห์มีกรรม จะเปลี่ยนตรงไหนก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิด กิเลสเกิดจากความคิด ถ้าเกิดว่าเห็นแต่เราไม่คิด มันจะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่เห็นแต่เราคิด มันมีไหม (มี)  เหมือนเขาไม่ได้ด่า แต่เราคิดว่าเขาด่า ไม่มีก็เหมือนมี เขาด่าแต่เราไม่คิด มันมีก็เหมือนไม่มี ถ้าเขาทำเราเจ็บปวด มีมันก็เหมือนไม่มี ยังทุกข์อะไรอยู่หรือ
วันนี้อาจารย์ก็ต้องกลับแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา มีพบก็มีพรากจาก ขอให้รู้จักรักษาบุญ รักษาโอกาสให้ดี เจออะไรจงแปรกรรมให้เป็นธรรม แปรทุกข์ให้เป็นทางพ้นทุกข์ เขาพ้นทุกข์แล้วจะคิดทำไมให้ทุกข์ เข้าใจที่อาจารย์พูดหรือยัง เขาพ้นทุกข์แล้วอย่าคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะไม่อย่างนั้นจะลากคนที่เขาไปแล้วให้กลับมาทุกข์ด้วย เข้าใจนะ
บำเพ็ญธรรมอย่าท้อ อย่าล้า ช่วยคนไม่มีคำว่าเหนื่อย มีแต่เดินหน้าสู้ต่อไปทำให้ดีที่สุด เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้ศิษย์มีลมหายใจยังเลือกได้ อย่ารอจนกระทั่งเลือกไม่ได้ แล้วต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่เรียกว่ากรรมของตัวเองเลย อาจารย์เห็นมาเยอะ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตอนมีโอกาสไม่ทำความดี พอเจอกรรมได้แต่เงยหน้าถามอาจารย์ว่าทำไมต้องเจอแบบนี้ อาจารย์ก็จะบอกว่า ตอนศิษย์มีโอกาสเลือกให้ทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ศิษย์ไม่ทำ ศิษย์เคยเห็นคนที่ทุกข์มากๆ ไหม เคยเห็นคนที่แย่ไหม เพราะอะไรศิษย์ เพราะเงยหน้าว่าใครไม่ได้ต้องหันกลับมาแก้ไขตัวเอง อะไรที่ทำให้ฉันเจอคนแบบนี้ อาจารย์ก็พูดได้แค่คำเดียวเพราะศิษย์ทำเขามา
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์โชคดีทำไมไม่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์เลยเพราะกิเลสอารมณ์ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ วิบากกรรมและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ศิษย์คิดว่าทุกข์ในโลกน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่าทุกข์แห่งการต้องกลับไปใช้กรรมที่ศิษย์สร้างไม่จบสิ้นน่ากลัวยิ่งกว่า แล้วไยเกิดมาเป็นคนจึงไม่ทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ทำไมต้องรอชาติหน้า ตอนนี้เขามาจะจบกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจะพบธรรม พ้นทุกข์อยู่ที่เรา ทำดีกับเขา ทำไปเถอะ ทำแล้วสิ้นตัวตนได้นั่นคือกุศล ทำแล้วจิตสว่าง ทำแล้วบริสุทธิ์นั่นคือยอดของบุญ คิดให้ดีๆ นะ เราไม่รู้วันตายของชีวิต ฉะนั้นตอนนี้ทำไมไม่สร้างสรรค์สิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิต ทำให้ดีงาม ทำให้มีค่าสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่หาคุณธรรมไม่ได้ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่ความเป็นคนกลับบกพร่อง ความทุกข์น่ากลัว เชื่ออาจารย์เถอะ แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง จงพากเพียรมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ให้เป็นคนที่ดีจริง ปฏิบัติจริงและพ้นทุกข์ได้จริง เมื่อเราพ้นได้เราก็ช่วยคนรอบข้างได้ จริงไหม (จริง)
ลองไตร่ตรองให้ดี ลองคิดพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อใคร เพื่ออะไร เพื่อให้ศิษย์ทั้งนั้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เวลาทำอะไรต้องระมัดระวังให้มากๆ ผิดแล้วมันแก้ไม่ได้ ผิดแล้วทำดีล้างไม่ได้ ฉะนั้น อย่าทำผิดเลย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นให้ยินดีชดใช้ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ นรกก็ไม่กลัว สวรรค์ก็ไม่เอา ขอกลับคืนสู่สภาวธรรมอันไร้ตัวตน ดูแลตัวเองดีๆ นะศิษย์



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปลี่ยน           ” (เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน)
    กิเลสเกิดจากความคิดของตน          ไม่เห็นแต่วนมาคิดก็วุ่นได้
เห็นแต่ไม่คิดเลยก็ว่างไป                    เมื่อใจไร้ทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน
เกิดสติเท่าทันคิดไม่ขาดสาย                จึงเป็นไทไม่เป็นทาสกิเลสนั้น
ทั้งทุกข์สุขล้วนพาหลงไม่ต่างกัน           วางตัวฉันก็ธรรมดาสัทธรรม

    จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม


(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม)
สถานธรรมหมิงเอิน  วันที่ ๑๒ - ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
แก้ไขเพลงพระโอวาทหน้า ๑๒
เดิม
หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
แก้ไขเป็น

หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงดับไป ว่างไปที่นั่นเลย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-19 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一八年歲次戊戌四月初五日                                           仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑          สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ทางสายหนึ่งเพียรมานานผ่านมาเยอะ    เนื้อตัวเลอะชำระด้วยปัญญาสาง
บำเพ็ญด้วยการลงเรือลำเดียวกัน        ร่วมมือกันเรื่องยากจะง่ายดาย
                                เราคือ
  นาจาน้อย                                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

  หดหู่เพราะใจสุมประเดประดัง         หูตาสว่างมั่นคงธรรมไสว
ชีวิตคนไม่หมายมุ่งแสวงไป               อะไรไม่ปัญญาได้ไม่ยากเย็น
วางอำนาจใช้เพราะขาดอำนาจนัก       จับยึดเกิดจากบรรดาที่เห็น
เสพติดกิเลสอัตตาเราที่เป็น              คนชอบคิดจะบำเพ็ญยากลำบากลำบน
มัวนึกทางคอยสบายไม่ขยับ              เพียรสดับธรรมอยู่ทุกแห่งหน
สุญญตาคือดับสิ้นไร้ตัวตน                คุ้ยเชื้อไฟอย่าฉงนทำไมมี
พูดทำซึ่งยึดเป็นปัญหาเด่น               ชินกลายเจนเดียดฉันท์รังเกียจเพราะอคติ
ปราศจากยึดอย่าทุกข์ทุกข์อย่าหนี       มีสุขอย่ากลัวมีเผื่อแผ่ประจำ
บำเพ็ญจนกลายเป็นนักธรรมดี           ขอให้มีสามัคคีพาเมตตาค้ำ
การสอนธรรมใหญ่หลักทวงพฤติกรรม   เฝ้าตามรู้สติธรรมชัยชนะ
เป็นคนจริงนิสัยใช่แค่ตรง                 โมหะหลงไม่ไปปรุงแต่งธรรมะ
ความสุภาพผ่อนกิเลสมารกลายพระ     พายุอารมณ์ก่อให้จะต้องควบคุม
                                    ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา



ท่านเป็นคนที่ชอบให้ เป็นคนที่มีน้ำใจ เมื่อให้เขามากๆ แต่เขาไม่เคยพอ ยังจะให้เขาอีกไหม (ให้)  ถ้าท่านพยายามที่จะให้อะไรกับใครสักคนด้วยความหวังดี แต่พอให้ไปแล้วเขาไม่เห็นคุณค่า ให้แล้วก็ยังโดนต่อว่าอีก ท่านยังจะให้อีกไหม (ให้)  หลักใหญ่ของการศึกษาบำเพ็ญ ไม่ใช่แค่เพียงเป็นคนดี แต่ต้องเป็นคนดีที่รู้จักแก้ไขตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพราะไม่มีใครเปลี่ยนเราได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครแก้ไขตัวเราได้ นอกจากตัวเราเอง จะยอมรับไหมว่าตัวเราเองยังดีไม่พอ (ยอมรับ)
โดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเราเป็นคนดีแล้ว ยังต้องมาฟังธรรมะอะไรอีก ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติอยู่บ้างแล้ว ทำไมยังต้องมาฟังธรรมอีก อดคิดไม่ได้ ถ้าท่านคือคนหนึ่งที่เป็นคนดีปฏิบัติดีมาก่อน คนดีสามารถโดนว่าได้ไหม (ได้)  คนดีเมื่อโดนว่าแล้วยังสามารถรักษาความดีได้อยู่ใช่ไหม คนดีโดนว่าแล้วไม่เสียความดีไปใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนดีแล้วต้องไม่ประพฤติผิดศีลและไม่ขาดคุณธรรมของความเป็นคน แล้วเราเป็นคนดีที่ประพฤติผิดไหม เราเป็นคนดีที่ยึดติดว่าเราดีใช่ไหม (ใช่)  การศึกษาธรรมข้อสำคัญคือ การย้อนมองส่องตน ขัดเกลาแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดียิ่งขึ้นไป เพราะในโลกปัจจุบันนี้ทุกคนต่างก็พูดว่าตัวเองเป็นคนดี ใครว่าเราไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  ใครจะแก้ไขเราได้ ในเมื่อใครๆ ก็ว่าเรา แต่ตัวเราก็ไม่ยอมรับ ข้อสำคัญหลักใหญ่ของการศึกษาบำเพ็ญคือ ย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด แม้ว่าใครมาว่าเรานั้นไม่ดี ตัวเราก็ไม่เชื่อ แม้ว่าใครจะมาเปลี่ยนแปลงตัวเรา ตัวเราก็ไม่คิดจะเปลี่ยน จนกว่าตัวเราจะยอมรับตัวเราเองว่าไม่ดี เราถึงจะเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้เราคิดว่าตัวเราเป็นคนดี เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม (ไม่เปลี่ยน)  เป็นคนดีแล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ไม่ดี แต่คนดีเคยยอมรับไหมว่าตัวเองไม่ดี (ไม่ยอมรับ)  วันนี้เราจะมาคุยและพิจารณาที่ละเรื่องว่า ท่านเป็นคนดีจริงๆ ไหม
ฟังธรรมะแล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  เวลาเราตั้งใจทำสิ่งใดก็ตาม เพื่อเป็นการให้ด้วยจิตใจที่อยากให้ แม้ว่าการให้นั้นจะทำให้คนที่เขารับไม่เห็นคุณค่า แต่จงมุ่งมั่นตั้งใจให้ต่อไป อย่าได้เสียใจ อย่าได้ท้อแท้ แม้สิ่งที่เราให้เป็นสิ่งที่ดีและมีค่า แต่เขาไม่เห็นคุณค่า เขาไม่เข้าใจ ถ้าศิษย์น้องคือคนหนึ่งที่มุ่งมั่นทำความดีเพื่อช่วยคน ขอจงอย่าท้อ เพราะคนดีย่อมไม่เปลี่ยนแปลง และเราขอเป็นคนดีคนหนึ่งเมื่อมีโอกาสจะทำให้เต็มที่ และเมื่อมีโอกาสเป็นผู้รับ จะเป็นคนหนึ่งที่รู้สำนึกคุณคนที่ให้ เราจะไม่ยอมผิดพลาดเหมือนคนที่เราเคยเจอ เราจะไม่ยอมทำให้ใครที่ให้เราแล้วรู้สึกแย่เหมือนที่เรารู้สึก ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องคือคนหนึ่งที่อยากมุ่งมั่นทำความดี เมื่อคิดจะให้ ก็ให้จนถึงที่สุด แม้เขาจะไม่เห็นคุณค่าก็ตาม นั่นเป็นประจักษ์หลักฐานว่าเราก็คือคนดีที่แท้จริง อย่างไรเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง และเราจะเป็นคนดีที่เห็นคุณค่าของการให้ และรู้คุณคนของการที่เมื่อเรารับอะไรของใครมาแล้ว เราไม่ลืมคุณคน ดีไหม (ดี)  เพราะในโลกนี้มีคนที่ให้และมีคนที่รับ
ศิษย์พี่พูดเพื่อให้ศิษย์น้องเข้มแข็งในความดี เข้มแข็งในจิตใจที่งดงาม ถ้าเมื่อใดตั้งใจจะทำ จงทำให้เต็มที่สุดๆ ใครจะไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร มีฟ้ารู้ ดินรู้ เรารู้ก็พอ เขาจะพูดอย่างไรไม่เป็นไร เราเข้าใจตัวเราดีพอว่าเราให้สิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิดว่าเราอยากให้ เขาไม่เห็นคุณค่าก็ไม่เป็นไร ศิษย์น้องรู้ไหม โลกน่าอยู่เพราะเรารู้จักขอบคุณ และโลกไม่น่าอยู่เพราะเราเอาแต่ชอบตำหนิต่อว่า เรามีสุขได้เพราะเรารู้จักขอบคุณคนให้ แต่เรามีทุกข์ได้เพราะเราคิดแต่จะจับผิดต่อว่า และก็มองแต่เรื่องที่ไม่ดี ฉะนั้นเราอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุขหรือเราอยากอยู่บนโลกอย่างมีความทุกข์  (อยากมีความสุข)  และเราเอาแต่ขอบคุณหรือจับผิดต่อว่า (ขอบคุณ)  จริงหรือ ถ้าเราขอบคุณรอยยิ้มก็จะเกิดบนใบหน้า ถ้าเรารู้จักสำนึกคุณ คนที่ให้ก็จะชื่นใจ มอบสุขดีกว่ามอบทุกข์ มอบความขอบคุณ มอบใจที่ยินดี ดีกว่ามอบใจที่เอาแต่จับผิด จ้องต่อว่า และวันนี้มาด้วยใจขอบคุณหรือมาด้วยใจที่ต่อว่าด่าทอ
ถ้าอยากมีความสุข เราควรยื่นความสุขให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องทุกคนอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  แล้วสิ่งที่เรายื่นนั้นคือสุขหรือทุกข์ (สุข)  สุขทั้งนั้นเลยใช่ไหม สิ่งที่เรายื่นให้ไม่ใช่ความทุกข์เลย ถูกหรือเปล่า อยากมีความสุขแล้วทำไมไม่ยื่นความสุขให้เขา ทำไมเรายื่นความทุกข์ให้กับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่ถามหน่อย ศิษย์น้องอายุเท่าไรแล้ว ไม่กล้าบอกหรือ อย่างนั้นศิษย์พี่ถามใหม่ ศิษย์น้องใช้เวลาอยู่ในโลกนี้มากี่ปีแล้ว ไม่ถามอายุก็ได้ รู้สึกว่าหลายสิบปีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยโดนคนว่า โดนคนทำอะไรให้ไม่พอใจ และโดนคนพูดผิดหูไหม (เคย)  เคยมาเยอะไหม (เยอะ)  บ่อยไหม (บ่อย)  ชินหรือไม่ (ไม่ชิน)  เมื่อบ่อยก็น่าจะชินแล้วนะ จริงไหม (จริง)  แล้วชินนานๆ เข้าก็จะกลายเป็นตายด้านใช่ไหม (ใช่)  แต่ก็แปลกนะ เราอยู่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว เรื่องที่เราโดนว่า บางทีใช่เรื่องเดิมไหม (เรื่องเดิม)  ถ้าเรื่องโดนว่าเป็นเรื่องเดิม ก็ต้องพิจารณาแล้ว เรื่องที่โดนว่า เรื่องที่รู้สึกขัดใจ ใช่เป็นเรื่องเดิมไหม เหมือนจะคล้ายๆ เรื่องเดิมตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า คนเรานี้เกิดเป็นคน อย่าให้เมื่อมีอายุมากแล้วก็แค่มีชีวิตอยู่มากขึ้น แค่นั้นไม่มีประโยชน์ อายุมากแล้ว ใช้ชีวิตมามากแล้ว ก็ต้องเข้าใจโลกมากขึ้น ถูกไหม (ถูก)  เมื่อเข้าใจโลกมากขึ้น ก็ต้องทุกข์น้อยลงใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมมีชีวิตมาก็มาก อายุก็มาก แต่ความทุกข์ก็ยังเท่าเดิม แสดงว่าเราไม่ได้เข้าใจชีวิตเลยใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์พี่พูดว่าวันหนึ่งเราต้องโดนว่า ต้องโดนดูถูก ต้องโดนเข้าใจผิด น้อยเนื้อต่ำใจ หดหู่ท้อแท้ และหมดอะไรตายอยากไหม เวลาโดนว่าก็ท้อแท้ไม่อยากทำ เวลาโดนเข้าใจผิดก็จะหนีไปให้พ้นๆ ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แปลกอายุก็มากขึ้น เรื่องราวเจอมาก็มากขึ้น น่าจะทำใจได้ดีขึ้น แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ศิษย์น้องเคยไหมเวลาเราเจอเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องนั้นจะทำให้เราทุกข์เจ็บปวดขนาดไหน ศิษย์น้องก็เคยได้ยินว่าความอ่อนแอที่ปราศจากความอดทน อดกลั้น ไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย เวลาเจอคนว่า เจอคนดูถูก หรือเจอชีวิตที่มีปัญหา ความอ่อนแอ ความท้อแท้ ความคิดฟุ้งซ่าน การคิดทำลายตัวเอง ไม่ช่วยให้เราดีขึ้นเลย มีแต่จิตใจที่เข้มแข็งอดทนและสู้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องรู้ไหมใจที่รู้จักมีขันติ ใจที่รู้จักอดทนอดกลั้น เป็นใจที่สามารถตัดภัยทั้งปวงในโลก รวมถึงภัยที่เกิดในชีวิตได้ และจิตที่รู้จักอดทนอดกลั้นสู้ไม่ถอยและมุ่งมั่นในความดียังสามารถบังเกิดหนทางที่เรียกว่า คุณประโยชน์หรือคุณธรรมอันงดงามด้วย
ฉะนั้นถึงเวลาอายุก็มากแล้ว เรื่องที่เจอก็มักจะเป็นเรื่องเดิมๆ เรายังจะสู้หรือเราเอาแต่ท้อแท้ เราจะรู้จักอดทนอดกลั้นหรือตำหนิต่อว่า
ศิษย์น้องรู้ไหม คนที่ดีจริงจะไม่ว่าใครให้ตัวเองดูดียิ่งขึ้นไป มีที่ไหนบอกว่าตัวเองดี ว่าคนอื่นแย่ เพื่อตัวเองจะได้ดูดีขึ้น แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ท้อแท้ หดหู่ ทนไม่ไหวก็ด่าไปเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ยอมรับก็ดีไม่ได้ ไม่ยอมรับก็แก้ไขไม่ได้ ศิษย์พี่ถามหน่อย ถ้าคนหนึ่งเขาว่าเราไม่ดี เราไปนินทาเขาแล้วเขาจะดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  แล้วถ้าหากคนหนึ่งเขาไม่ดีจริงๆ แล้วเราไปใส่ความ พูดให้เขาไม่เหลือดีเลย เขาจะดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  เราจะนินทาและแอบว่า จะซ้ำเติมเขาอีกไหม เราจะประจานจนทำให้เขาไม่มีที่อยู่ไหม (ไม่)  ศิษย์พี่ขอถาม ถ้ามีคนหนึ่งเขาไม่ดี คนหนึ่งเขาทำผิด เรานินทาว่าเขา เขาจะดีขึ้นไหม เขาจะแก้ตัวไหม (ไม่)  ทางที่ดีที่สุดคือศิษย์น้องต้องเห็นใจคนที่กำลังรู้สึกแย่ เหมือนศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า เคยทำผิดไหม (เคย) เคยทำเรื่องเลวร้ายไหม อยากได้คนซ้ำเติม หรืออยากได้คนเห็นใจ (คนเห็นใจ)  แต่ถึงเวลาทำไมจึงไปซ้ำเติมเขา พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า “เห็นโทษของคนอื่น เพื่อมาย้อนดูตัวเอง และเมื่อเห็นโทษตัวเอง เพื่อเห็นใจผู้อื่น”  นี่จึงจะเรียกว่าคนดี เห็นใครทำผิดเอามาย้อนดูตัวเอง ว่าเราเคยทำผิดไหม เราอยากได้คนที่ซ้ำเติมแบบนั้นไหม เมื่อไม่อยากก็ขอให้เห็นใจ แล้วเราผิดเป็นไหม เราก็ทำผิดเป็น ศิษย์น้องอยากได้มิตรเพิ่มหรืออยากได้ศัตรูเพิ่ม
อยู่ในโลกอยากมีมิตรหรืออยากมีศัตรู (อยากมีมิตร)  เขาเกลียดเราแล้วเราก็เกลียดตอบดีไหม (ไม่ดี)  เมื่อเขาด่ามาเราจะสร้างศัตรูหรือสร้างมิตร (สร้างมิตร)  ในเมื่ออยากได้มิตรแต่กลับไปด่ากันให้เกิดศัตรู ดีชั่วเขาเป็นคนชี้นำ เป็นคนกำหนดศิษย์น้อง ร้ายดีเขาเป็นคนจี้เป็นคนผลักดันให้ศิษย์น้องเป็น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา เราเลือกได้ ถ้าเข้าใจเขา ไม่ว่าเขาจะด่าให้เราชั่วอย่างไร เราจะต้องชั่วไหม (ไม่ชั่ว)  เขาจะด่าเราให้เราเลว เราจะเลวไหม (ไม่เลว)  นอกจากเราอยากเลวเอง จึงมีคำสอนคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “กล้วยไม้ป่าแม้ไม่มีคนพานพบเห็น ก็ไม่หยุดส่งกลิ่นหอม คนมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี แม้เจอเรื่องยากลำบากก็ไม่เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นในการเป็นคนดี”  ฉะนั้นคนที่พบความสำเร็จล้วนต้องผ่านความยากลำบากบนหนทางนี้ ถ้าศิษย์น้องคิดว่าศิษย์น้องเป็นคนดีจริง ทำได้อย่างที่ศิษย์พี่พูดหรือเปล่า
พอเข้าใจการมุ่งมั่นเป็นคนดีกันบ้างแล้วนะ ศิษย์น้องเป็นคนดีที่มือหนึ่งยังทำดี แต่อีกมือหนึ่งก็ยังทำบาป (ใช่)  อย่างนั้นจะเรียกว่าคนดีหรือ บอกว่าฉันเป็นคนดี แต่ฉันอดนินทาไม่ได้ ฉันยังชอบว่าคนอื่นอยู่เลย ยังเป็นคนคดโกงพูดไม่จริงอยู่เลย ศิษย์น้องรู้ไหม หนทางการบำเพ็ญคือ มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม พอเจออะไรที่ทำให้เราทุกข์ เราก็จะนำธรรมะมาข่ม เจอคนด่าเรา เราก็เมตตา อดทน อภัย สัพเพสัพตาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ ทำอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือหนทางของคนดี ถ้าเกิดว่าคนที่เขาเป็นคนดีจริงๆ เขาก็น่าจะละชั่ว บำเพ็ญบุญ เมื่อความชั่วไม่ทำนั่นก็คือยอดบุญ เมื่อความผิดไม่ก่อนั่นก็เรียกว่าสร้างบุญ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ บาปก็ก่อ บุญก็ทำ
ฉะนั้นหนทางของการศึกษาบำเพ็ญธรรมที่แท้จริงคือ ไม่ทำบาปนั่นคือยอดบุญ ไม่ทำชั่วนั่นคือยอดของศีล ไม่ประพฤติผิดนั่นคือยอดของคุณธรรม แต่มนุษย์ปัจจุบันชั่วก็ทำ ดีก็ทำ แล้วชั่วกับดีหักล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วศิษย์น้องจะบอกว่าทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี ก็ความชั่วศิษย์น้องไม่เคยละเลย แล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร แล้วผลดีจะตกผลหรือ
ฉะนั้นถ้าอยากมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ชั่ว ผิด บาป ตกเป็นธาตุของกิเลสตัณหาและอารมณ์ จะต้องไม่มี อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นยอดบุญ ไม่ผิดศีลถึงจะเรียกว่าคุณธรรม แต่ตอนนี้ศิษย์น้องศีลก็ผิด บาปก็มี แล้วยังบอกว่าตัวเองเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นหนทางปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ถ้าศิษย์น้องเมตตา ถ้าศิษย์น้องมีใจซื่อตรง ถ้าศิษย์น้องรู้จักมโนธรรมสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาป ศิษย์น้องจะผิดศีลไหม (ไม่ผิด)  ศิษย์น้องจะทำบาปไหม (ไม่ทำ)  อย่างนั้นเราควรมีธรรมตั้งแต่ก่อนที่จะก่อทุกข์ ก่อกรรมแล้วค่อยมาสร้างธรรมทีหลังใช่ไหม (ใช่)  แล้วปัจจุบันนี้เรามีทุกข์ก่อนแล้วเราค่อยพยายามมีธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องปล่อยให้ตัวเองมีทุกข์ สร้างเหตุแห่งทุกข์ สร้างกรรม แล้วค่อยพยายามมีธรรมะไว้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นหนทางที่ถูกต้องก็คือควรมีธรรมเพื่อไม่ให้ต้องเจอทุกข์ แต่ศิษย์น้องกลายเป็นมีทุกข์ แล้วค่อยพยายามใช้ธรรมดับ แล้วจะแก้กันได้ไหม ข่มได้ไหม หายไหม สวดมนต์ก็แล้ว อดทนก็แล้ว ขันติก็แล้ว
ฉะนั้นถ้าเกิดกับทุกคนศิษย์น้องก็มีเมตตา กับทุกคนศิษย์น้องก็จริงใจ กับทุกคนศิษย์น้องก็ซื่อตรงไม่หวั่นไหว เราจะทำผิดหรือ จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ความจริงเรียกว่าทุกข์” เมื่อใดที่เรามองเห็นความจริง เมื่อนั้นเราก็สามารถดับทุกข์ได้ถูกไหม (ถูก)  ถ้าศิษย์น้องไม่อยากทุกข์ก็จงรู้จักที่จะเรียนรู้ตามความเป็นจริงมากกว่าเรียนรู้ที่จะเอาแต่ใจ และเอาแต่อารมณ์ ทางหนึ่งคือทางที่มีคุณธรรม ยิ่งเดินต้องยิ่งสว่าง อีกทางหนึ่งคือทางที่เรียกว่ากิเลสอารมณ์ ยิ่งเดินตามยิ่งหดหู่หม่นหมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตเราเดินตามธรรมหรือเดินตามอารมณ์ ศิษย์พี่เห็นอารมณ์มาก่อนแล้วค่อยเลี้ยวเข้าหาธรรม ไปมืดก่อนแล้วค่อยมาสว่าง สู้สว่างแล้วก็สว่าง อย่างไหนดีกว่ากัน (สว่าง)  ถึงเวลาเราตามธรรมหรือตามอารมณ์ (อารมณ์, ธรรม)  สิ่งที่มนุษย์มัวจมอยู่กับทุกข์ พระพุทธะนำมาให้เห็นธรรม สิ่งที่ศิษย์น้องกำลังเผชิญเรียกว่า “ทุกข์” พระพุทธะนำก่อเกิดความเป็นธรรมแท้ที่สอนใจตน แล้วตอนนี้เราเอาสิ่งนั้นมาเป็นทางพ้นทุกข์ หรือเราเอาสิ่งนั้นมาทำให้ตัวเองยิ่งทุกข์ คนดีควรเอาสิ่งนั้นมาพบธรรมหรือพบทุกข์ แล้วปัจจุบันนี้พบธรรมหรือพบทุกข์
ศิษย์น้องเป็นคนดีใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนดีที่ถูกว่าไม่ดีได้ไหม เป็นคนดีที่ถูกว่าเลวได้ไหม เป็นคนดีที่ถูกว่าไม่ได้เรื่องได้ไหม เป็นคนดีที่ถูกว่าได้และเป็นคนดีที่ไม่ยึดดีใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่ถามหน่อย คนดีส่วนใหญ่มีนิสัยชอบคิดหวังดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็ชอบคิดดี เมื่อไรที่เราคิดหวังดีก็หวังว่าเราอยากให้คนที่เราคิดนั้นต้องเป็นคนดี และเมื่อไรที่เราคิดหวังดีก็หวังว่าคนที่อยู่รอบข้างจะต้องทำดีใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์พี่ถามหน่อย คนดีเป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะต้องทำดีตอบกลับเราเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
คนที่มุ่งมั่นอยากจะเป็นคนดี และหวังให้คนในโลกเป็นคนดี บางครั้งก็อดไม่ได้ว่า เธอต้องดีกว่านี้ ลูกต้องดีกว่านี้ เราคาดหวังมาก เวลาคิดเรามักจะเรียกร้องไหม (เรียกร้อง)  พูดและตักเตือน บ่นมากๆ ไม่ดีสักที ก็ด่าเลย เพราะหวังดี เราหวังให้เขาดี แล้วไม่ได้ดั่งใจหวัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)  การเป็นคนดีเป็นสิ่งที่ดี แล้วหวังให้คนอื่นดีก็ดี แต่อย่างหนึ่งที่ศิษย์น้องต้องจำไว้ว่า การคาดหวังว่าทุกคนต้องปฏิบัติดีกับเรา ทุกคนที่อยู่รอบตัวเราต้องดีด้วยนั้นเป็นเรื่องยาก ศิษย์น้องรู้ไหม การหวังดีเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรียกร้องมากเกินไป จะก่อเกิดปัญหา ความขัดแย้งและรับไม่ได้ ทำให้ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นคนดีคือทำตัวเองให้ดีที่สุด เขาจะเป็นอย่างไรอย่าไปคาดหวังเลย เหมือนศิษย์น้องไม่คิดหวังศิษย์พี่ ศิษย์พี่ก็ไม่ได้คิดหวังศิษย์น้อง ตัวใครตัวมันดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเราทำได้ถูกต้อง การกระทำของเราจะเป็นบทพิสูจน์และบทเรียนที่ดีที่สุดให้กับคนที่อยู่รอบข้างเราเอง โดยที่บางครั้งไม่ต้องพูดจา พูดคำไหนเป็นคำนั้น พูดจริงทำได้จริง มีเมตตาเป็นหลัก มีหรือเขาจะไม่เลียนแบบ ดีจนสุดจิตสุดใจ มีหรือเขาจะไม่อยากเอาเยี่ยงอย่าง กลัวแต่ศิษย์น้อง บอกให้เขาดี แต่ตัวเองยังดีไม่ได้เลย
ศิษย์พี่ถามหน่อย เต่ากับกระต่ายอะไรดีกว่ากัน ใครว่ากระต่ายดีกว่า ใครว่าไม่ดีทั้งสองแบบ หรือใครว่าดีทั้ง ๒ แบบ ศิษย์พี่จะบอกให้นะศิษย์น้อง ไม่ว่าเต่าหรือกระต่ายก็มีดีและมีไม่ดี แต่ที่เป็นปัญหาก็คือใจของตัวศิษย์น้องเอง ถ้าเอาแต่รีบร้อน ก็ว่าเต่าช้า ถ้าเป็นคนใจร้อนมุทะลุทำอะไร ก็จะมองว่าเต่านั้นช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเป็นคนใจเย็นทำอะไรค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำก็จะบอกว่ากระต่ายนั้น (ไม่ดี)  แต่จริงๆ กระต่ายมันวิ่งเร็วจริงหรือ ศิษย์พี่เห็นมันกระโดด มันไม่ได้วิ่งเลยนะ เหมือนกันศิษย์น้อง บางครั้งคนที่ศิษย์น้องเห็นแล้วบอกว่าเขาไม่ดี แล้วศิษย์น้องคาดหวังให้เขาต้องดี ศิษย์น้องเอาอะไรวัด เอาอะไรมอง เอาอะไรตัดสิน และเอาอะไรคิดว่าเขาไม่ดี แล้วเป็ดกับไก่อะไรดีกว่ากัน (ดีทั้งสองอย่าง)  แต่จริงๆ ศิษย์พี่อยากจะบอกว่า เป็ดก็ดีนะ มันสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก แถมเวลาตกใจก็ยังบินได้ด้วย แต่ไก่ว่ายน้ำไม่ได้
ศิษย์พี่ต้องการจะบอกว่าบางครั้งสิ่งที่เรายึด สิ่งที่เราคิดว่าคือดีที่สุด แต่ก็ไม่แน่ ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง และทุกสิ่งล้วนมีนิสัยพื้นเพเดิมไม่เหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  เหมือนศิษย์น้องเห็นนิ้วเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ให้นิ้วโป้งไปอยู่ตรงนิ้วก้อย แล้วเอานิ้วก้อยมาอยู่ตรงนิ้วโป้งได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง เมื่อฟ้าให้กำเนิดชีวิต ทุกชีวิตย่อมมีคุณค่า เมื่อฟ้าให้เขามาอยู่กับเรา มาเกี่ยวข้องกันแปลว่าต้องมีบุญกรรมกันมา ฉะนั้นอยากจบกรรม หรืออยากก่อเวรกรรมไม่จบสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์น้อง ถึงแม้จะหวังดีแต่ถ้าการหวังดีนั้น ก่อเกิดเป็นกรรมก็ควรจะหยุด ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะดูไม่ถูกต้องในสายตาเรา แต่ไม่แน่เมื่อถึงที่สุดเขาอาจจะดีก็ได้ ฉะนั้นตราบที่เรายังไม่หมดลมหายใจ อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าใครสวยใครเก่งใครแน่จริง และก็อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองไร้คุณค่า ถ้าเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเอง เราก็เป็นคนดีที่สุดได้ และก็เป็นคนดีที่เจริญรอยตามพุทธะเบื้องบนได้ จำไว้นะ ฟ้าดินไม่ให้คนเกิดมาไร้ค่า ดินยังก่อเกิดต้นไม้ ฉะนั้นมนุษย์อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง ศิษย์น้องอย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง แต่ในทางกลับกัน ก็อย่ายกตัวเองสูงจนคิดว่า โลกนี้ถ้าไม่มีฉันอยู่พวกเธอจะอยู่อย่างไร ซึ่งเป็นนิสัยของคนที่คิดว่าตัวเองดี เพราะถึงที่สุดเมื่อโลกไม่มีเรา โลกก็ยังหมุนเวียนต่อไปได้
หนทางการฝึกฝนบำเพ็ญคือ ฟื้นฟูใจอันดีงามให้กลับคืนสู่ตัวเราเอง ด้วยการหมั่นตรวจสอบความไม่ดีและประพฤติดีให้ตลอดรอดฝั่ง บำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ยากอย่างเดียวตรงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะลงมือทำและแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี ศิษย์น้องทุกคนมีนิสัยที่ไม่ดีไหม (มี)  อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่เราต้องพยายามแก้ไข นิสัยอะไรที่ควรจะแก้ไขเป็นการด่วนและไม่ควรมีไว้ในใจ เพราะมีแล้วทำให้เราหนีไม่พ้นวิบากกรรมและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย
(ไม่มีความเมตตา)  เมื่อมีเมตตาแล้วจะเบียดเบียนใครไหม อยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม จะขี้นินทาไหม ฉะนั้นเมื่อไรที่มีการนินทา แสดงว่าไม่มีความเมตตา เมื่อไรโมโหโทโส แสดงว่ายังไม่มีความเมตตา ทำให้ได้เหมือนกินกล้วยเข้าปาก การแก้เรื่องขี้โมโห ต้องแก้ด้วยการใจเย็น มีขันติความอดทน (ความโลภ)  อยากได้แล้วอยากได้อีก ถ้าพอแล้วจึงดี แต่มนุษย์เสียนิสัยอย่างหนึ่งคือ ดีเท่าไรก็ไม่เคยพอ ไม่ว่าใครจะทำดีเท่าไร เราเคยรู้จักพอไหม ต้องให้ดีกว่านี้อีก แต่ตัวเองกลับไม่เคยดีขึ้นเลย
(เป็นคนโมโหใจร้อน ต่อไปจะพยายามใจเย็น) อย่าพยายาม ต้องเย็นได้แล้ว เพราะพิษภัยที่น่ากลัวที่สุดก็คือโมโห เพราะเมื่อเห็นเขา ไม่ถูกใจก็โมโหเขา เท่ากับจุดไฟเผาตัวเอง เขารู้เรื่องไหม ก็ไม่รู้ ยังหัวเราะสนุก
นิสัยอะไรที่เราอยากขจัดทิ้งและการกระทำอะไรที่เราพยายามอยากจะมีในชีวิต เพื่อที่เราจะได้เป็นคนดีมีสุข
(ความโลภ)  เวลาความโลภเข้าครอบงำแล้วอะไรก็ทำได้ ความอยากครอบงำแล้วอะไรเราก็ผิดได้ ต่อไปนี้อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำจนขาดศีลขาดธรรม นึกถึงศีลธรรมก่อน เภทภัยที่น่ากลัวที่สุดล้วนมาจากความโลภที่ไม่รู้พอ
(ขี้บ่น)  ฉะนั้นต่อไปอะไรก็จะไม่บ่น ถ้าไม่อยากบ่นก็ต้องรู้จักทำใจยอมรับวางใจให้เป็น อะไรก็ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว สามีขี้เหล้าก็ดีแล้ว บ่นไปก็เหนื่อย ถ้ายอมรับได้ ทำใจได้ก็จะไม่บ่น
(ขี้โมโหขี้น้อยใจ)  ขี้โมโหขี้น้อยใจ ขี้น้อยใจน่าจะเยอะกว่าขี้โมโห เพราะว่าน้อยใจก่อน เลยโมโห ไม่เห็นมาดูดำดูดีเราเลย ไม่เคยสนใจเราเลยว่าเราเหนื่อยแค่ไหนใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมองเห็นแต่ตัวเอง เราก็จะมองไม่เห็นใคร แต่เมื่อไรที่เราเปิดกว้าง เราก็เหนื่อยเขาก็เหนื่อย แต่เราอาจจะมองไม่เห็น เมื่อเห็นใจ เราจะไม่เคืองโกรธ แต่ต้องเห็นใจคนอื่นมากๆ ด้วย อย่ามัวแต่เห็นใจตนเองอย่างเดียว
(มีเมตตา)  จงมีเมตตาธรรมให้ได้ เมตตาต้องเมตตาให้ได้ ทั้งคนที่เรารักและคนที่เราไม่รัก จึงจะประเสริฐสุด
(รู้บุญคุณคน)  คนทุกคนล้วนมีคุณ (มองโลกในแง่บวก)  มองโลกในแง่ดีและถึงแม้จะเจอแง่ลบก็ต้องยอมรับให้ได้ เพราะนั่นคือความจริงที่เรียกว่าธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่ทำให้เราไม่ทุกข์แต่เข้าใจ  (เอาแต่ใจ) ต่อไปนี้จะรู้จักคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรา
ศิษย์น้องอย่าลืมว่ามีศิษย์น้องวันนี้ได้เพราะมีคนยอมเหนื่อย มีคนยอมเสียสละ ฉะนั้นอย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง ถ้าวันหนึ่งคนที่เหนื่อยและเสียสละไม่อยู่ ศิษย์น้องก็จะต้องรู้จักชีวิตที่แท้จริง ฉะนั้นรักษาคนที่ดูแลเราให้ดี อย่ามัวแต่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่มัวเอาแต่ใจตัวเอง
(ความใจร้อน)  ทำอะไรต้องสำเร็จจะล้มเหลวไม่ได้และแพ้ไม่ได้ใช่ไหม (ไม่)  ศิษย์น้องรู้ไหม จิตที่รู้จักชื่นชมยินดีจะเป็นจิตที่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ยินดีในสิ่งที่เขามีเขาเป็น เราก็เป็นสุข เขาก็เป็นสุข แต่เวลาใครดีแล้วเราอดบ่นอดนินทาได้ไหม ศิษย์พี่เคยได้ยินว่ามนุษย์ในโลก มีสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ที่ชอบเป็นอันดับหนึ่งคือ อิจฉา แต่ไม่ค่อยยอบรับว่าตัวเองอิจฉา ได้แต่บ่นในใจว่าจะดีอะไรนักหนาเชียวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องระวังให้จงหนักนะ จงแปรบาปให้เป็นบุญ จิตใจที่คิดอิจฉา จิตใจที่คิดมองเขาในแง่ไม่ดี ล้วนก่อเกิดเป็นบาปทั้งสิ้น แต่เมื่อไรที่จะคิดไม่ดี แปรบาปเป็นบุญดีกว่าไหม แปรบุญเป็นกุศลจะประเสริฐกว่าไหม เห็นใครไม่ดีแล้วไม่ด่า เราก็ไม่สร้างบาป ในใจให้คิดขอให้เขาดี ขอให้เขาคิดได้ จากบาปก็กลายเป็นบุญ แล้วจิตเรายังสงบไม่เอาเขาไปนินทา ไปว่าต่อ บุญก็จะกลายเป็นกุศล เพราะโดนด่าแล้วเราไม่คั่งค้าง เราไม่ติดยึด เราสามารถชำระล้างตัวตนได้ และเห็นเขาแล้วใจ เรายังสงบและสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ผิดอีกแล้ว เราจะไม่เป็นแบบนั้น แต่เราจะเข้าใจเขาให้มากขึ้น กุศลก็จะกลายเป็นหนทางนำพาให้เราพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น เจอเขาเมื่อไหร่ก็ด่า ผูกกรรมจองเวรจองกรรม แช่งชักหักกระดูกกัน และก็เวียนกลับมาเจอกันไม่จบสิ้นเอาไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นก็คิดให้ดีนะ เพราะชีวิตไม่เหมือนกล้วยที่พอปอกแล้วก็กินได้ทันที กล้วยถ้ากินแล้วทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง ก็อาจจะทำร้ายคนให้เป็นทุกข์ได้เหมือนกันการกระทำอะไรก็ตามของศิษย์น้อง ถ้าไม่รู้จักระมัดระวัง เลือกง่ายๆ ไม่ค่อยไตร่ตรองให้ดี ไม่คิดพิจารณาให้ดีๆ ไม่แน่อาจจะส่งผลกรรมให้เราทุกข์ไม่จบสิ้นก็เป็นได้
มีโอกาสลองตั้งใจศึกษาให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจว่าสิ่งที่มีค่าในชีวิต ไม่ใช่ทรัพย์สิน ไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่คือการพ้นทุกข์และพบธรรม ที่นำพาให้ชีวิตไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ลองศึกษาให้ดีๆ  วันนี้เพิ่งเริ่มต้นแต่วันพรุ่งนี้อาจจะยากยิ่งขึ้น ขอให้เราตั้งใจ ลองทำอะไรเพื่อธรรมในใจตนบ้าง ชีวิตนี้สนองกิเลส สนองร่างกายมาเยอะแล้ว วันนี้เรามีชีวิตเพื่อธรรมในใจตนบ้าง เพื่อค้นหาธรรมในใจตนบ้าง มัวแต่มองออกข้างนอก แต่วันนี้จะหันกลับมามองข้างใน และหาธรรมในตนให้เจอ และธรรมอันนี้ที่จะนำพาให้ศิษย์น้องทุกคนพ้นทุกข์ เพราะทุกชีวิตมาจากธรรม ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่อะไรที่มาจากธรรม แต่ก่อเกิดกลายเป็นกรรม และไม่พบธรรม ใช่ไม่ใช่การยึดติด และเราจะแก้ความยึดติดและหลงผิดได้อย่างไร ถ้าอยากรู้ต้องรอดูต่อไป
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑       สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ทางสายตรงจุดหมายอยู่ตรงหน้า      แต่ทว่าไขว้เขวไปนิดนิดหน่อย
กว่ารู้ตัวก็เฉไปไม่ใช่น้อย                  ตั้งใจหน่อยชีวิตคนไม่ยืดยาว
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

ธรรมต้องทำต้องทำ อย่างเข้าหาเข้าใจ คนตั้งใจทั้งใจ ทำให้ดีเท่านั้น
อย่าลดละเฝ้าตาม บำเพ็ญธรรมด้วยธรรม ชีวิตเจียนพลบค่ำ จงตั้งใจตั้งใจ
* จากแค่คนมีใจ ศรัทธายิ่งใหญ่ ตั้งใจบำเพ็ญทุกวัน นับตั้งแต่นั้น ขอเพียงไม่ผิดสัญญา บุญเบ่งบานเก้าชั้น ใช้ธรรมะสร้างหลักแห่งใจ บุญเบ่งบานเก้าชั้น ใช้ชีวิตจริงใจ ตั้งใจบำเพ็ญวันนี้ เพื่อทุกวัน
เจ้ามีภาวะธรรม อยู่ในลมหายใจ จงตั้งใจทั้งใจ คว้าฐานบัวเก้าชั้น
ทำนองเพลง : เพียงสบตา
ชื่อเพลง : ธรรมต้องทำต้องทำ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ศิษย์เคยอยู่ในโลกโดยทำอะไรมีหลักในการคิดหรือไม่ หรือนึกจะคิดก็คิดไปเรื่อยๆ จนบางครั้งทำให้ตัวเองทุกข์ ไม่รู้จะคิดมากไปถึงไหน ไม่รู้จะให้ความคิดทำร้ายตัวเองไปทำไม ธรรมะสอนให้เรารู้และจงมีสติ ธรรมะสอนให้เรารู้หลักในการยึด หลักในการครองชีวิต ไม่ให้ชีวิตสาดส่ายไปจนหาหลักยึดอะไรไม่ได้ การเรียนรู้ธรรมจึงเป็นเหมือนตัวกรองความคิด ตัวตรวจสอบจิตให้มีสติเวลาที่จะทำสิ่งใด เพราะโดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะทำอะไรตามใจตัวเอง การทำอะไรตามใจตัวเองก็ง่ายที่จะหลงไปกับอารมณ์ความคิด ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมก็จึงเป็นเหมือนตัวที่คอยยั้งเตือนเรา คอยดึงเราให้อยู่ในหนทางที่ถูกต้องและดีงาม และคอยกรองความคิดเราด้วยสติปัญญาที่ถูกต้อง ฉะนั้นการมีธรรมบ่อยๆ จะช่วยทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกอย่างมีสติ รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ ให้อยู่ในทำนองครองธรรม
เราเข้าใจในช่วงเริ่มต้นเหมือนกันว่า วันนี้เรามาศึกษาธรรม ธรรมที่เอาไว้ใช้ในชีวิต และนำพาชีวิตให้ดี ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ถามหน่อย ถ้ามนุษย์เราใจกว้าง เราจะทุกข์ง่ายไหม (ไม่)  เราทุกข์เพราะเราใจแคบ เราเจ็บปวดเพราะเรายึดติดความคิด แบ่งกั้นใจว่าอย่างนี้ได้อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เอาอย่างนี้ไม่เอา แต่ถ้าเราใจกว้างเราจะทุกข์ไหม (ไม่)  เหมือนท้องฟ้ากว้างไหม (กว้าง)  แล้วใจศิษย์ล่ะกว้างไหม (กว้าง)  อาจารย์เห็นใจศิษย์เหมือนท้องฟ้ากว้างก็จริง แต่บางครั้งกว้างก็มีเมฆหมอก บางทีก็มีฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อย ท้องฟ้าบางครั้งมีฝนบ้างมีครึ้มบ้างมีฟ้าผ่าบ้าง แต่จริงๆ แล้วนั้นเป็นใจเดิมของศิษย์ไหม (ไม่ใช่)  จิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคน หรือใจเดิมแท้ของศิษย์ทุกคนจริงๆ เหมือนฟ้ากว้าง แต่บางครั้งคับแคบไปก็เพระว่าเมฆหมอก หรือเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ทำให้อารมณ์เสียอารมณ์บูด หรือไม่ก็เศร้า หรือไม่ก็โกรธเคือง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะไปโทษเมฆหมอกหรือโทษฟ้าดี อย่าบอกนะว่าเราร้าย จริงๆ เราร้ายไม่จริงหรอก ถ้าร้ายจริงเราต้องมีอารมณ์ อย่างตอนนี้ให้ว่าคน ศิษย์กล้าว่าไหม มันต้องอารมณ์ขึ้นขึ้นขึ้น พอขึ้นได้ที่แล้วก็เปรี้ยงทันทีใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ ศิษย์จะฟ้าผ่าใครหรือไม่ (ไม่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญง่ายๆ พูดอย่างง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ลองฝึกให้เหมือนคนใจฟ้า กว้าง กว้างแล้วก็กว้างอีก ใหญ่แล้วก็ใหญ่อีก ได้ไหม เมื่อกว้างจนถึงที่สุด ใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ เราจะทุกข์ตรงไหน จริงไหม (จริง)  ตรงไหนจะทำให้เราเจ็บ แต่เรายึดว่าได้แค่นี้ เราเป็นแบบนี้ ฉันทำได้อย่างนี้ มันก็เลยทำให้เราเจ็บง่าย ทุกข์ง่าย จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราไม่เป็นอะไรเลย เป็นคนใจกว้าง จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จริงหรือ เหมือนคนอยู่ท่ามกลางฟ้าและดิน ถ้าเราสามารถเลียนแบบใจฟ้าดินได้ก็จะดี
ใจหนึ่งคือกว้างให้ถึงที่สุด อีกใจหนึ่งคือหนักแน่นและรองรับทุกสิ่งได้โดยไม่หวั่นไหว ไม่แตกแยก ยังรักษาใจหนึ่งเดียวนี้ได้ รองรับและโอบอุ้มผู้คนได้ นั่นคือใจธรรม ถ้าทำได้เราก็เป็นมนุษย์ที่อยู่กลางฟ้าดินและรักษาความเป็นธรรมได้ แต่ปัจจุบันนี้ใจเรากว้างหรือแคบ แล้วแต่อารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  อารมณ์ดีก็ใจกว้าง อารมณ์ไม่ดีก็ใจแคบ อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ใช่เป็นคนจริง คนจริงตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด อยากรวยไหม (อยากรวย)  อยากรวยแต่ขี้เกียจ เอาแต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยจะรวยไหม วันวันเอาแต่เล่นหวยไม่เก็บเงินจะรวยไหม รอแต่โชคใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะมีโชคไหม หน้าตาแบบนี้มัวแต่รอโชค ไม่สู้สร้างโชคด้วยน้ำมือตัวเอง มัวแต่รอบุญวาสนาไม่สู้สร้างบุญวาสนาด้วยน้ำมือตัวเองถูกหรือไม่ อยากรวยทำไมไม่ขยัน อยากมีกินทำไมไม่รู้จักประหยัดอดออม ถ้ารู้จักขยันจะอดไหม (ไม่อด)  ถ้ารู้จักประหยัดแล้วยังมีน้ำใจให้ผู้อื่นด้วยจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  แต่ปัจจุบันนี้ขยัน ฟุ่มเฟือย เป็นหนี้ไหม (เป็น)  ชอบเอาเงินอนาคตมาใช้ แล้วก็ต้องเป็นทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) 

ฉะนั้นถ้าอยากรวย ก็จงรู้จักซื่อตรง ขยันทำมาหากิน จริงใจในการค้าขาย มีหรือจะไม่รวยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วมีน้ำใจกอบเกื้อช่วยเหลือผู้อื่น มีหรือที่จะไม่มีบุญบารมีที่จะได้มีกินกับเขาบ้าง แต่อาจารย์ถามหน่อย เราอยู่ในโลกนี้มีสิ่งใดบ้างที่แสวงหาแล้วเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ที่แสวงหาแล้วไม่ทำให้เราเจ็บและทุกข์ ที่แสวงหาแล้วไม่ทำให้เราผิดพลาดแล้วกลายเป็นคนขาดคุณธรรมความเป็นคน ไม่ค่อยมี มีอะไรบ้างที่ชีวิตนี้ศิษย์แสวงหาแล้วไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ มีสิ่งใดบ้างที่เราแสวงหาแล้วไม่กลายเป็นคนผิดศีลขาดธรรม มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์แสวงหาแล้วไม่เคยทำให้ศิษย์เจ็บช้ำและพ้นทุกข์ มีแต่ยิ่งแสวงก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งหาก็ผิดศีลธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามศิษย์ว่าการเกิดความอยากนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องมีในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็จงอย่าอยากจนทำให้เสียความเป็นคนถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ไม่ได้ห้ามที่ศิษย์จะต้องไปแสวงหาเงินทอง ไม่ได้ห้ามที่ศิษย์จะต้องมีเงินมีทอง  แต่ขอให้การมีเงินทองการแสวงหานั้นไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึกในใจตัวเอง ไม่ผิดต่อศีลธรรมคุณธรรมความเป็นคน และต้องไม่มากจนทำให้อารมณ์เข้าครอบงำ จนทำร้ายผู้คนได้เพียงเพราะสมอยาก
อาจารย์ถามหน่อย ในโลกนี้กว่าจะได้อะไรมาสักอย่างหนึ่ง คุ้มไหมที่เราจะต้องเสียอะไรไปอีกอย่างหนึ่ง ตลอดชีวิตที่ศิษย์หามาศิษย์เสียมูลค่าของชีวิตเพื่อเงินทองไปเท่าไร ได้เงินมาแต่ชีวิตที่หายไปคุ้มไหม ได้ทรัพย์สินมา แต่ความเป็นเพื่อน ความเป็นมิตรหายไป คุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  แล้วเราได้หรือเสีย (เสีย)  แล้วเรายังอยากได้ในทางเดิมไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นก่อนที่เราจะกลับไปหาเหมือนเดิม อาจารย์ขอแค่เพียงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ผิดศีลธรรมแห่งความเป็นคน แล้วถึงที่สุด ได้ไม่ได้ก็ช่าง อย่างนี้ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  ดีกว่าได้มาแล้วเราเสียความเป็นคน อย่างนี้เอาไหม (ไม่เอา)  ดีกว่าได้มาแล้วมีอารมณ์ครอบงำจนทำร้ายผู้คน อย่างนี้เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นก่อนจะอยากอะไร ควรคิดให้ดีๆ ดีไหมศิษย์ (ดี)  อาจารย์ไม่ได้ห้าม ไม่ให้ศิษย์อยาก แต่อาจารย์ถามจริงๆ อยากมากก็ (ทุกข์มาก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า เกิดกี่ทีก็เป็นทุกข์ทุกทีไหม (เคย)  แล้วเรายังอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แล้วถ้าเงินตกอยู่ของใครก็ไม่รู้ อย่างนี้เอาไหม (ไม่เอา)
ศิษย์ก็รู้ว่า การเกิดนั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่แค่การเกิดของการมีสังขาร แต่เกิดอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากสวย อยากรวย อยากเก่ง อยากยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นความอยากที่ก่อให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น แต่อาจารย์ไม่เห็นว่าจะมีใครหยุดอยากได้สักคน จริงหรือเปล่า (จริง)  ทั้งที่รู้ว่าความอยากเป็นทุกข์ แต่ก็ยังอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อการเกิดเป็นทุกข์ แล้วการเกิดก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมที่เรียกว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ศิษย์ก็ยังอดที่จะอยากอีกไม่ได้ แล้วขอให้การเกิดนั้นมีแต่กรรมดี อย่างนี้เป็นไปได้ไหม (ได้)  มีแต่กรรมดีไม่มีกรรมชั่วได้ไหม (ได้)
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมชั่วและกรรมดีเกิดจากอะไร และให้ผลเป็นอะไร ชีวิตนี้เราสามารถพ้นจากกรรมได้ไหม เรามาคุยกันเรื่องนี้ดีไหม สมมติว่าพัดอันนี้เกิดแตกหักเสียหายขึ้นมา ศิษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา พัดจะเสื่อมสลายไป ศิษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา โต๊ะพระเกิดเสียหายแตกหัก ศิษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แก้วน้ำตั้งอยู่ล้มไป ศิษย์ก็มองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเมื่อไรที่บอกว่า โต๊ะพระเป็นของศิษย์ที่ต้องรับผิดชอบ ห้ามแตกหัก แต่โต๊ะพระเกิดแตกหักเสียหาย ตอนนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  แก้วน้ำถ้าศิษย์เป็นคนซื้อเอง แล้วเกิดตกแตกเสียหาย จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  เพราะเหตุใดล่ะ (เพราะเราต้องดูแลรับผิดชอบ)  ถ้าอาจารย์บอกว่าต้นไม้ล้มลงมา ศิษย์ก็รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าต้นไม้ล้มทับรถใครก็ไม่รู้ (วิ่งไปดูทันที)  คนที่มีรถรีบวิ่งไปดูทันที ศิษย์สังเกตไหมอะไรที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายไป ถ้าไม่มีคำว่าของศิษย์ ศิษย์ก็จะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เวลามีคนอื่นที่เขาเสียชีวิต เราก็บอกคนอื่นเขาว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ต้องตายอย่าไปคิดมาก แต่พอถึงเวลาที่ตัวเราเองต้องสูญเสียเป็นอย่างไร รู้สึกธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  เราก็จะบอกว่า ไม่เป็นตัวเองไม่รู้สึกหรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อไรที่มีคำว่าของๆ เรา สิ่งที่ศิษย์เคยพูดว่าเป็นเรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ทำไมเมื่อสิ่งนั้นไม่ใช่ของๆ เรา ศิษย์ยังพูดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาและไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่ทุกข์อะไรทั้งนั้น ทำไมศิษย์ยังตัดใจได้ อาจารย์ขอถามหน่อย สิ่งที่ศิษย์ทุกข์ใจอยู่ทุกวันนี้ ใช่ของๆ ศิษย์ไหม (ไม่ใช่)  เงินผ่านมากี่เจ้าของ บ้านและที่ดินเป็นของใคร ใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  สามีและภรรยาเป็นของเราไหม เมื่อก้าวพ้นประตูบ้านเขาก็ไม่ใช่ของเราแล้ว
ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ อยากไม่ทุกข์ แค่ง่ายๆ เอง ลองถอนตัวเองออกมาจากสิ่งนั้น แล้วศิษย์ก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องธรรมดา และก็เป็นเช่นนั้นเอง เหมือนตามีหน้าที่มองเห็น เมื่อไม่มีตัวเรามันก็แค่เห็น หูมีหน้าที่ฟังหรือได้ยิน ถ้าไม่มีตัวเรามันก็แค่ได้ยิน ปากมีหน้าที่ลิ้มรส กินอะไรลงไปถ้าไม่มีตัวเรา มันจะรู้ไหมว่าอร่อยหรือไม่อร่อย พอถอนตัวเราออกจากการมองการเห็น การได้ยินและการสัมผัส ทุกสิ่งมันก็แค่นั้น แต่เมื่อเอาตัวเราใส่เข้าไปในตา ทำไมเราแบ่งสวยไม่สวย ดีไม่ดี พอเอาตัวเราใส่เข้าไปในหู เราเริ่มอยากฟังอันโน้น ไม่อยากฟังอันนี้ เกลียดเสียงแบบนั้น ชอบเสียงแบบนี้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เราสามารถถอนตัวเอง ออกจากการยึดติดครอบครองสรรพสิ่ง เราจะทุกข์เพราะเหตุใดเล่า ในเมื่อทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา แล้วใครเป็นของใครจริง แล้วอะไรเป็นของเราจริง มีไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นเรากำลังทุกข์กับอะไร ทุกข์เพราะความหลงที่พยายามไปยึด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  ถ้าไม่ยึดก็ผลักมันไปเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  รังเกียจมันเลยได้ไหม ฉะนั้นถึงเวลาศิษย์ไม่ต้องผลักไม่ต้องยึด มันเกิดแล้วมันก็จบ ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นและจบไป แต่เราไม่ยอมจบเลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวเป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ก็ถอนตัวเองออกมา เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นและก็จบในทุกขณะอยู่แล้ว แต่เมื่อไม่จบมันจึงก่อเกิดกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ธรรมคือทางสายกลางที่พ้นจากกรรมดีและกรรมชั่ว นั่นคือจบ
ศิษย์เอ๋ยถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็คิดถึงตัวเองให้น้อยๆ และคิดถึงคนอื่นมากๆ แล้วศิษย์จะทุกข์น้อย คนในโลกนี้ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้และทุกข์ไม่จบสิ้นก็เพราะมัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมนึกถึงคนอื่น ลองเปลี่ยนเป็นนึกถึงคนอื่นเยอะๆ แล้วตัวเองน้อยๆ เมื่อนั้นศิษย์จะมีความสุขที่สุดเลยเชื่อไหม
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนว่าฟังเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง แต่นักเรียนจำไม่ได้)
ลืมง่ายจริงๆ เลย อาจารย์อยากให้เวลาที่ศิษย์เจอทุกข์ เจอใครทำร้าย ขอให้ลืมง่ายๆ อย่างนี้นะ ใครด่าปุ๊บก็ลืมเลย จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ใครว่าปุ๊บลืมเลยจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ใครชิงชัง ใครโกหกเรา เราลืมเลยเราจะช้ำใจไหม (ไม่ช้ำ)  ให้มันลืมได้อย่างนี้สิ แล้วเวลาเจอทุกข์ศิษย์ชอบผัดวันประกันพรุ่ง บอกพรุ่งนี้ค่อยทุกข์ พอถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยทุกข์ เพราะพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นวันมะรืน ทีอย่างนี้ทำไมศิษย์จึงไม่รู้จักใช้ เรื่องดีๆ ล่ะไม่ผัดวัน ใช่หรือเปล่า หรือว่าเรื่องดีๆ ขยันผัดวัน เดี๋ยวค่อยทำใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง “เพียงสบตา”)
ตั้งแต่ฟังธรรมะมาสองวัน สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือการร้องเพลงธรรมะ รู้สึกว่ามีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า แต่พอเพลงจบก็หลับ
สิ่งที่อยู่กับเรามายี่สิบปี สามสิบปี อยู่ในชีวิตเราแต่เราไม่เคยรู้จักอย่างแท้จริงเลยคืออะไรรู้ไหม อยู่ใกล้เราที่สุด แต่เราไม่เข้าใจเลยคืออะไร (ตัวตน, วิญญาณ)  สิ่งที่เราไม่เคยรู้ก็คือ ตัวของเราเอง หรือใจเราเอง ศิษย์เคยรู้ไหมว่าตัวเรามาจากไหน มาจากพ่อมาจากแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราที่มาจากพ่อแม่นั่นเรียกว่าสังขาร หรือเรียกว่าร่างกาย ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ความคิด นิสัย จิตใจ อารมณ์ มาจากที่ไหน (มาจากตัวเราเอง)  แล้วตัวเราเป็นแบบไหน อย่างนี้เรามารู้จักตัวของเราเองที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ดีไหม (ดี)  สังขารนี้พ่อแม่ให้เรามา ถูกไหม (ถูก)  แต่ชีวิต จิตใจ นิสัย อารมณ์ ความเคยชิน ความประพฤติ ล้วนเป็นการสั่งสมมาจากเราเป็นผู้ค่อยๆ เก็บเกี่ยว ค่อยๆ สั่งสม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ก่อนที่เราจะรู้จักตัวของเราเอง ตัวเรามาจากความรู้ความเข้าใจ ถูกไหม (ถูก)  เรารู้เราเข้าใจอะไร เราคิดอะไร เราไปเรียนรู้อะไรมา แล้วก่อเกิดมาเป็นความคิด แล้วความคิดก็สร้างตัวเราขึ้นมา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นตัวเราก็คือส่วนหนึ่งของความคิด ความคิดก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่เขาพูดกันว่า เราคิดอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราคิดดีเราก็ดี ถ้าเราคิดร้ายเราก็ร้าย ฉะนั้นหากเราอยากแก้ไขตัวตนของเรา เราก็ต้องเปลี่ยนที่ (ตัวเรา)
สมมติว่า ตรงนั้นเป็นตัวตน ก่อนที่จะมีตัวตนนั้น ย่อมมาจากความรู้ความเข้าใจ แล้วความรู้ความเข้าใจ ก็ก่อเกิดเป็นความคิด แล้วความคิดก็ก่อเกิดเป็นนิสัยความเคยชิน แล้วนิสัยความเคยชินก็ก่อเกิดเป็นความประพฤติ แล้วความประพฤติเมื่อทำบ่อยๆ ก็กลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นชะตากรรมของใครดี หรือไม่ดี ต้องรู้จักแก้ไขที่ไหน (ความคิด, จิตใจ, ตัวเราเอง)
เรามีสังขาร เรายังไม่รู้จักตัวของเราเอง แต่เมื่อเราได้เรียนรู้จากพ่อแม่ จากครูบาอาจารย์ จากเพื่อน เมื่อเรารู้แล้วจึงเข้าใจ จนก่อเกิดเป็นความคิดแล้วฝังอยู่ในใจว่า ฉันชอบแบบนี้ ฉันไม่ชอบแบบนี้ แบบนี้ฉันเกลียด แบบนี้ฉันรัก แบบนี้ฉันไม่รัก แล้วสิ่งที่เราปลูกฝังอยู่บ่อยๆ ในความคิด จนก่อเกิดเป็นนิสัย นิสัยเกิดเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมก่อเกิดเป็นชะตากรรม ใช่หรือไม่ มีคนบอกว่าตอนนี้ชะตากรรมเราไม่ดี เราจะเปลี่ยนตรงไหน ต้องเปลี่ยนที่ความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความคิดใช่ที่สุดของจุดเริ่มต้นไหม (ไม่ใช่)  ต้องเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจ เข้าใจมาอย่างไรศิษย์ก็คิดอย่างนั้น เข้าใจมาอย่างไรศิษย์ก็ทำแบบนั้น ถ้าเกิดไม่เข้าใจอย่างไรศิษย์ก็ไปปฏิบัติแบบไม่เข้าใจอย่างนั้น แล้วเราก็มักจะเข้าใจว่าเราเข้าใจ เรารู้ ฉะนั้นตัวตนจึงเกิดจากความรู้ความเข้าใจ และตัวตนความรู้ความเข้าใจนี้ก็ก่อเกิดเป็นความคิด ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าอัตตาคือความคิด ความคิดคือตัวตน ถ้าอยากจะเปลี่ยนตัวตนต้องเปลี่ยนที่ความคิด และความเข้าใจที่ตัวเองบอกว่าตัวเองรู้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรารู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  ศิษย์รู้อีกไหมว่า ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากความคิด แล้วศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่เรียกว่า กิเลสหรือกรรมชั่วนั้นมาจากความนึกคิดแห่งตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้และศิษย์ใช้ความคิด และศิษย์ตัดสินใจความคิดมาเป็นนิสัยตัวตน แล้วกำหนดเป็นชะตากรรม ถ้าศิษย์อยากจะเปลี่ยนไม่ให้เกิดกรรมชั่ว ให้มีแต่กรรมดี หรือพ้นกรรม ศิษย์ก็ต้องแก้ที่ความคิด แต่ความคิดของศิษย์ต้องอย่าลืมอย่างหนึ่งว่า ทุกครั้งที่ศิษย์มีกิเลสไม่ว่าจะเป็นกิเลสดีหรือกิเลสร้าย ล้วนเกิดมาจากความคิด คิดแบบนี้แล้วชอบจึงหลงจึงรัก จึงเกิดความโลภหลง คิดแบบนี้ไม่ชอบจึงก่อเกิดความเกลียดโกรธา โมโหโทโส
ฉะนั้นต้นเหตุของการดับ ถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ที่เกิดจากกรรมชั่ว ศิษย์ก็ต้องควบคุมกิเลส และกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือความคิด ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากสิ้นทุกข์ก็จงสิ้นกิเลส เพราะกิเลสเป็นทางแห่งกรรมชั่ว และกรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ ศิษย์บอกว่า อาจารย์ศิษย์ไม่เคยทำกรรมชั่ว  แต่ศิษย์เอย ถ้าศิษย์ยังหยุดยั้งกรรมชั่วไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นทุกข์ และบาปกรรมที่ศิษย์ต้องไปรับ ถ้าศิษย์ยังหนีกิเลสไม่ได้ ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นกรรมชั่วและวิบากกรรมแห่งความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครไม่ทำกรรมชั่วบ้าง ผู้ปฏิบัติงานธรรมยังทำกรรมชั่วอีกหรือ ใครไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยุงไม่เคยตบ มดไม่เคยขยี้ แมงสาบไม่เคยขยำ ไม่เคยกินเนื้อสัตว์อะไรเลย
ความรู้ความเข้าใจ                  ก่อเกิดเป็นความคิด
ความคิด                             ก่อเกิดเป็นตัวตน
และตัวตนถ้าทำตามความคิด ก็จะกลายเป็นนิสัย ความประพฤติ แล้วกลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นศิษย์ต้องอย่าลืมว่า ความคิดนี้มีอยู่ ๒ แบบ คือคิดดีคือกรรมดี คิดชั่วคือกรรมชั่ว และกรรมชั่วก็มีรากฐานมาจากกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์จะหยุดกิเลส ศิษย์จะต้องหยุดตั้งแต่ที่ความคิด ศิษย์จะหยุดความคิดได้ ศิษย์ต้องหยุดที่ความรู้ความเข้าใจ
ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้เท่าทันความคิด จนสามารถสยบตัวตนจนไม่เหลือกรรม เราจะรู้อะไรโดยที่เราควบคุมความคิดและการกระทำไม่ให้ก่อเกิดกรรมชั่วนั้นยาก ไม่อยากจะบอกเลยว่าทำไม่ได้สักคน อารมณ์ดีหน้ายิ้ม อารมณ์ไม่ดีหน้าบึ้ง แล้วศิษย์เคยเห็นไหมเวลาศิษย์หน้าบึ้งครั้งหนึ่ง แล้วไปทำใส่คนอื่น เขาจะจำไปจนตายเลยว่าคนนี้หน้าบึ้งทำท่ารังเกียจใส่ฉัน ฉันจะจำไว้ไม่ลืม แค่ศิษย์ทำหน้าบึ้งก็สร้างกรรมชั่วแล้ว ศิษย์เคยเห็นไหมคนบางคนไม่รู้ว่าเราเคยไปทำอะไรกับเขามา แต่ทำไมเขาเกลียดชังเราจังเลย ไม่รู้จะจองล้างจองผลาญกันไปถึงไหน บางทีแค่ส่งสายตาไม่ดีด้วยความไม่ตั้งใจ ไม่คาดคิด แต่คนเขากลับจำไม่ลืม เก็บไปจองล้างจองผลาญ เหมือนกับใจศิษย์ มักเก็บร้ายมากกว่าเรื่องดี ลองถามตัวเองใครมาทำดีกับเรา เราจำไม่ได้ แต่พอใครว่าเรา ส่งสายตาไม่ดีกับเรา เราจำได้แม่นเลย ผ่านไปสิบปี ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรให้ แต่รู้ว่าเกลียดเขา ไม่ยอมรับความจริงก็จะแก้ไขไม่ได้นะ ศิษย์ต้องแก้ที่ความคิด และยังต้องมีความสำรวมระมัดระวัง
ปราชญ์โบราณท่านสอนไว้ว่า “เมื่อดำเนินชีวิตท่านเหมือนคนที่เดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ทุกก้าวพลาดนิดเดียวคือกรรมเวร และเกี่ยวกรรม” เหมือนที่พระพุทธะองค์สอนไว้ว่า “อย่าประมาท จงมีสติ” เพราะทุกขณะที่ผิดพลาด ศิษย์ต้องชดใช้กรรม ศิษย์มักมีความประมาท พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ไม่ดี กรรมอะไรที่ทำให้เราต้องเจอกัน ก็กรรมตัวเองที่ไปทำเขานั่นแหละ แต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง อย่างน้อยคนอื่นที่เขามาทำเรา ถือว่าเราได้ชดใช้กรรม จะได้จบ แต่ถ้าเราไปทำคนอื่น ก็จะเป็นสิ่งที่แก้ยากนะศิษย์ ศิษย์จะพ้นกรรมได้ก็ต่อเมื่อศิษย์สิ้นกรรมแล้วศิษย์ไม่สร้างกรรมอีก ฉะนั้นใครทำอะไรเราก็ดีจะได้หมดเวรหมดกรรม แต่คนในโลกใครทำอะไรกับเราไม่ดี เราก็ทำไม่ดีกลับ แต่พุทธะคิดตรงข้าม ใครทำเราก็ดีแต่เราอย่าไปทำใครนั่นแหละดีที่สุด ถ้าเราศึกษาบำเพ็ญยอมได้ก็ยอม
อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ที่ยึดมั่นถือมั่นยอมไม่ได้ จะทำให้ศิษย์ไม่สามารถอยู่บนโลกด้วยสติปัญญาที่แท้จริงและมองเห็นความจริงในโลก ฉะนั้นจิตที่รู้จักยอม จิตที่ไม่ยึดจึงจะสามารถทำอะไรด้วยสติปัญญาอันแจ่มชัด ยอมไหมถ้าเขาเอาเงินไปไม่คืน (ยอม)  ฉะนั้นก่อนจะให้ใครไปคิดเสียว่าถ้าเขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร การให้ของเราจะได้ไม่ผูกกรรมและจะได้จบกันแค่นี้ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นจึงบอกว่าถ้าเมื่อไรหลงยึดมั่น ศิษย์จะไม่สามารถทำอะไรด้วยสติปัญญาที่มองเห็นโลกอย่างแจ่มชัด ฉะนั้นถ้าเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต จงรู้จักยั้งคิดก่อนจะลงมือทำ เพราะมีบางสิ่งบางที่เราไม่รู้และไม่เข้าใจ แล้วเรากลับมารู้ อะไรที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต อาจารย์ถามหน่อยคำว่า “รู้” เรารู้จักตัวเราดีไหม
วันนี้เรารู้แล้วว่าตัวตนมาจากไหน คำว่าตัวตนนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตญาณ เรามีสังขาร เรามีจิต เรามีญาณ ใครคิดว่าตายแล้วจบกัน ศิษย์ว่าจบไหม (ไม่จบ)  ทำไมไม่จบ เพราะเราไม่เคยยอมจบอะไรสักเรื่อง อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า สังขารมีวันเสื่อมสลาย แต่จิตถ้ายังยึดมั่นถือมั่นกับความมีตัวตนก็จะหนีไม่พ้นการเวียนว่าย ที่ตัวเองยึดเรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว สังขารมีวันเสื่อมสลาย แต่ถ้าจิตยังเข้าไม่ถึงธรรม ยังยึดติดอยู่กับความมีตัวตน ก็จะหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว เหมือนที่ศิษย์ทำดีแล้วศิษย์บอกว่าขอให้ชาติหน้าเกิดมาสวย ขอให้รวย ขอให้ร่มเย็น นั่นหมายความว่า ศิษย์ทำเพื่ออยากจะกลับมาเกิดอีกใช่ไหม (ใช่)  แต่ศีลธรรมของศิษย์มีไม่ครบจะได้เกิดมาเป็นคนไหม จะเอาแต่บุญบารมีก็เลยได้มาเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมศิษย์จะรู้ว่าอยากเกิดเป็นคนต้องศีลห้าครบ ถ้าศีลห้าไม่ครบศิษย์ไม่สามารถเกิดเป็นคนได้ แม้ศิษย์จะสั่งสมบุญมากแค่ไหน บุญนั้นอาจจะทำให้ศิษย์ขึ้นไปเสวยสุข แต่หมดบุญเมื่อไร ศิษย์ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคน แล้วก็ต้องใช้กรรมชั่วที่ศิษย์ทำ
ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราทำไปแล้วไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทำความรู้ให้ถึงแจ้ง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเฝ้าเพียรทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าถึงทุกข์จนค้นพบธรรม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเพียรดับทุกข์แล้วดับทุกข์อีก แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าถึงทุกข์และค้นพบธรรม แต่มนุษย์เอาธรรมมาใช้เพียงแค่ดับทุกข์แล้วดับทุกข์อีกแต่ไม่เคยสิ้นทุกข์ ปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วก็ยุบหนอพองหนอ ทำใจทำใจ ใจเย็นใจเย็น เมตตาเมตตา ไม่เคยได้สิ้นทุกข์สักที แต่ธรรมที่แท้จริงนั้นคือเข้าถึงทุกข์จนพบธรรม
แล้วทำอย่างไรเราจึงจะเข้าถึงทุกข์ นั่นก็คือมีตัวรู้  รู้ทันความคิด รู้ความเป็นจริงของโลก สรุปง่ายๆ ถ้าศิษย์ยังยึดติดในตัวตน ก็จะเกิดกรรมดีกับกรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงว่า ตัวตนจริงๆ นั้นก็ไม่มี เมื่อเราทำอะไร เราก็จะทำแบบไม่ยึดติด ศิษย์ก็จะสิ้นกรรมหมดกรรม แต่ส่วนใหญ่เมื่อเราทำแล้ว เราก็มักจะจำและไม่ลืม อันนี้ก็เกลียดไม่ลืม อันนี้ก็รักจนวางไม่ลง อย่างนี้จึงกลายเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริง แล้วศิษย์จะรู้ว่ารักแค่ไหนก็ต้องวาง เกลียดแค่ไหนก็ต้องปลง หนทางธรรมคือทางสายตรงที่สงบ จบไม่ก่อเกิดเรื่องราว เห็นอะไร วาง จบ แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วยังคิดว่าต้องทำบุญมากๆ แสดงว่าศิษย์ยังยึดติดตัวตน แล้วพยายามนำธรรมมาดับทุกข์ สุดท้ายแล้วศิษย์ก็จะยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์รู้จักความว่างไหม แล้วศิษย์เคยเห็นความว่างไหม ไม่เคยเห็น แล้วความว่างมีรูปลักษณ์ที่แท้จริงหรือไม่ (ไม่)  แต่เรารู้ว่านั่นคือว่าง เหมือนในห้องนี้มีคนอยู่ แต่ก็มีความว่างอยู่ ในเมื่อความว่างไม่มีรูปลักษณ์ เหมือนเห็นแต่ก็มองไม่เห็น แล้วความว่างหาขอบเขตไม่ได้ อาจารย์จะบอกให้ว่า ใจของเราหรือจิตเดิมแท้ หรือสภาวธรรมแท้ ไม่ต่างอะไรกับความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามสร้างให้ตัวเองมี และก็มีแบบนั้นมีแบบนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วที่มีก็คือไม่มี ที่พยายามยึดว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็คือไม่มี ที่บอกว่าหน้าตาอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดมันเปลี่ยน เหี่ยว แก่และตาย เงินก็แก่เงินก็ตายได้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  เงินเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  สามีเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ทุกสิ่งย่อมมีวันเปลี่ยน
ฉะนั้นเมื่อเรายอมรับความว่างและเข้าสู่กระแสแห่งความว่างนั่นแหละคือค้นพบธรรม แต่มนุษย์ไม่มีสักคนหนึ่งยอมกลับสู่กระแสแห่งความว่าง เมื่อยังยึดว่าตัวเองมีก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว และวิบากกรรมที่ต้องไปรับ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์กลับสู่ความว่าง เราจะคืนสู่กระแสธรรมที่เราจากมา โดยต้องไม่พยายามใช้อะไรมาข่มอะไรเลย ขอแค่เพียงรู้แจ้งความเป็นจริง ว่าสิ่งที่มันคงอยู่มันก็อยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง ศิษย์เห็นอาจารย์ อาจารย์มีวันเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  อาจารย์จะอยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่)  และที่ตรงนี้ศิษย์อยู่ตลอดไหม (ไม่)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเปลี่ยนแปรผัน ศิษย์จะหมุนเปลี่ยนแปรผันเพื่อกลับสู่ธรรม หรือศิษย์จะหมุนเปลี่ยนแปรผัน แล้วยึดติดในกรรมดีกรรมชั่วที่ศิษย์สร้าง ถ้าอยากกลับสู่ธรรมก็ต้องว่างๆ บ้าง เคลียร์ใจให้สะอาดบ้าง เห็นอะไรก็จบบ้าง ไม่ใช่อันนั้นก็ไม่จบอันนี้ก็ไม่จบ นั่นก็เกลียดนี่ก็ด่า เมื่อไม่จบก็กลายเป็นกระแสวิบากกรรม
ศิษย์อย่าทำให้อาจารย์ใจหาย เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม
เพลงที่อาจารย์ให้ เป็นเพลงประจำของศิษย์ในชั้นนี้ ดีไหม (ดี)  เราศึกษาธรรม สิ่งสำคัญคือต้องลงแรงจริง ปฏิบัติธรรมจริง และเพียรทำจริง อย่าแค่ฟัง การฟังไม่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ นอกจากศิษย์ต้องลงมือปฏิบัติด้วยใจ ทุ่มเทด้วยหัวใจ ถ้าศิษย์ไม่ทำ ศิษย์ก็ไม่มีวันเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริง จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วปฏิบัติธรรมตอนไหน (ตอนนี้)  เราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรม หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างคนที่มีกรรมต่อกัน (ด้วยธรรม)  คนที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยธรรมไม่ใช่กรรม เราควรเอาธรรมอะไรมาช่วยยับยั้ง ไม่ให้ก่อเกิดกรรม (ทำดีกับเขา)  บางครั้งบอกให้ทำดีแต่เรานึกไม่ออก ทำดีอย่างไรที่เรียกว่าทำดี (เวลามีคนว่าเรามาเราต้องไม่โกรธ)  และต้องรู้จักขอโทษเขาด้วย ถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร แต่เราก็รู้จักขอโทษไว้ก่อน อย่างน้อยจะได้ช่วยดับร้อนในใจเขาได้ คนกำลังโมโห แต่ศิษย์ไปยิ้มใส่เขา ยิ่งทำให้เขาโมโหมากขึ้น บอกเขาว่าใจเย็นๆ แต่หน้าเราไปยิ้มแบบเบิกบานใส่เขา ทำให้เขาโมโหมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นเราบอกว่า เราขอโทษ เราผิดไปแล้ว ทำอะไรที่ช่วยยับยั้งให้เราอยู่บนโลก ไม่ก่อเกิดกรรมและสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยมีกระแสแห่งธรรมอยู่ในใจ (แบ่งปัน ไม่จำกัดในการที่จะแบ่งปัน ถ้าใจเรารู้จักที่จะแบ่งปัน)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ แค่ศิษย์ไปเอาของเขาให้น้อยลง ก็เท่ากับคือการให้แล้ว จริงไหม คิดอยากได้ของคนอื่นให้น้อยๆ ก็เท่ากับศิษย์ลดการสร้างบาปแล้ว ดีกว่าแบ่งปันเยอะ เพราะไปเอาของเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาให้ จะช้าเกินไปนะ (เราให้ในสิ่งที่เราพอจะมี)  ศิษย์เอ๋ยสิ่งที่สามารถให้ง่ายที่สุดคือความซื่อตรง จริงใจ (จริงใจกับทุกคน)
(บอกลูกหลานให้ทำความดี ซื่อสัตย์)  ขายของ ปลูกอะไรก็ต้องซื่อสัตย์ ซื่อตรง ห้ามเอาของไม่ดีไปให้คนอื่นกิน (อยากส่งต่อความดีที่เราเข้าใจให้)  อย่ามัวแต่หาเงินจนลืมส่งต่อความดีนะ อาจารย์จะบอกให้ เราหาเงินเราสามารถส่งต่อความดีง่ายๆ ของที่ขายเป็นของที่ดีที่สุดไหม ของที่เราขายเราเลือกมาอย่างดีที่สุดไหม ดีที่สุดเราขายให้เขา ไม่ใช่ดีไม่ดีเอามารวมกันแล้วบอกว่าดีที่สุด อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่จริงใจ ไม่ซื่อตรง มีใจที่จะรักในสิ่งที่เราทำและทำด้วยใจที่ดีที่สุด (บอกลูกหลานขอให้เข้าถึงธรรมะจริงๆ)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ยิ้ม (ธรรมะดี)  ศิษย์ชวนคนอื่นไม่เท่ากับปฏิบัติให้ได้จริงอย่างที่ศิษย์รับรู้ เพราะถ้าศิษย์ปฏิบัติได้จริง พ้นทุกข์ได้จริง ไม่ต้องชวน เขาก็เดินตาม ขอให้ศิษย์ทำให้ได้นะ
(เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจกว้าง)  ทำให้ได้นะ อาจารย์อยากขอแค่เราอยากให้น้อยๆ แล้วให้เยอะๆ ดีกว่าไปอยากเยอะๆ แล้วค่อยมาให้คน มันสายไปนะ (โลภให้น้อยเอาธรรมะให้คนอื่นเยอะๆ, ทำความเข้าใจผู้อื่นให้มากจะได้ไม่ทุกข์กับเขา, เป็นผู้ให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้โดยไม่คิดว่าเขาจะคิดดีหรือไม่ดีกับเรา)  รากฐานของความดีงามทั้งมวลล้วนเกิดจากการให้มากกว่ารับ แต่มนุษย์โลกในวันนี้มักจะรับก่อนแล้วค่อยให้ (ปรับเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีและเรียนรู้สิ่งที่ดีให้กับชีวิตตัวเองมากยิ่งขึ้น) สิ่งที่ต้องมีให้มากยิ่งขึ้นคือ พยายามมีศีลและมีธรรมประจำใจ เป็นคนเมตตาเป็นคนจริงใจ
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ประพฤติปฏิบัติ เพื่อช่วยลดละบาปเวรกรรมนั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติชอบ มีศีลครองใจมีธรรมครองกาย มีศีลครองใจคือ ไม่ผิดศีลห้า เราจะไม่เบียดเบียนเขาทั้งกายวาจาใจ และไม่เบียดเบียนทั้งสายตาและการกระทำ แม้ทางสายตาเราก็จะไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แม้ความคิดเราก็จะไม่อิจฉาใคร ไม่แช่งชักหักกระดูกใคร แต่เราทำมาหมดแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นศิษย์จำไว้ อดีตนั้นแก้ไม่ได้ ตอนนี้ศิษย์ต้องใช้กรรมในสิ่งที่เคยก่อ แต่อนาคตและปัจจุบันศิษย์แก้ไขให้ดีขึ้นได้ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นการชดใช้กรรม ดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วคุณธรรมการประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันก็ไม่ยาก นั่นก็คือ อยู่กับผู้อื่นต้องมีความเมตตา เมตตาแล้วจะฆ่าเขาไหม เมตตาแล้วจะนินทาเขาไหม เมตตาแล้วจะไปแย่งของเขาไหม เมตตาแล้วจะผิดศีลไหม มีเมตตา มีมโนธรรมสำนึก มีสัตยธรรม มีจริยธรรมที่ดีงาม และมีปัญญาที่ถูกต้อง เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เอาแต่สิ่งที่ตัวเองคิดตามใจ ยากไหม (ไม่ยาก) (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่ผู้ตอบคำถาม)  ฉะนั้นการดำเนินชีวิต อย่าเอาคุณธรรมมาดับทุกข์ แต่ให้เอาคุณธรรมนำพาเพื่อไม่ก่อให้เกิดทุกข์ นี่คือการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าศิษย์มีเมตตา ศิษย์มีความซื่อตรง ศิษย์จะโลภ จะโกรธ จะหลง จะเกลียด จะโกรธด่าใครไหม แต่ปัจจุบันนี้ศิษย์ไปโลภ ไปโกรธ ไปหลง ไปเกลียด แล้วค่อยมีปัญญาธรรม มีเมตตาธรรม มีสัตยธรรม สายไปไหม (สาย)  แล้วเป็นอย่างนั้นใช่ไหม(ใช่)  แล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วยังทำอีกไหม (ไม่ทำ)  อย่าทำ ได้หรือไม่ (ได้)  ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่งก่อนจะจากกัน
มนุษย์มีความทุกข์มากมาย แล้วมีทุกข์หลายๆ อย่างที่เราพยายามแก้แล้วแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ต้นเหตุหลักที่ทำให้เราทุกข์คือความคิดที่อยู่ในจิต สิ่งที่ไม่ควรคิดก็คิด คิดมากเหลือเกิน สิ่งที่ควรรู้จักยั้งคิดก็ไม่ยั้งคิด ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็คือความคิด แล้วก็มักจะคิดให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจคิด แล้วก็ทุกข์เพราะความคิด ศิษย์เชื่อไหมว่า ศิษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ชอบบงการ และควบคุมให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นอยู่ในมือของศิษย์ บงการแม้กระทั่งไส้เดือนยันเครื่องบิน จริงไหม (จริง)
ศิษย์เอ๋ย อยู่กับพ่อแม่ ศิษย์ก็บงการว่า พ่อต้องเป็นอย่างนี้ แม่ต้องเป็นอย่างนี้ เมื่ออยู่กับเพื่อน ศิษย์ก็หวังว่าเพื่อนต้องเป็นแบบนี้ อยู่กับภรรยา ก็หวังว่าภรรยาน่าจะเป็นแบบนี้ ภรรยาอยู่กับสามี ภรรยาก็หวังว่าสามีน่าจะเป็นแบบนี้ จริงไหม (จริง)  แล้วศิษย์เชื่อไหม บงการพ่อแม่อย่างเดียวยังไม่พอ ยังบงการครูบาอาจารย์ด้วย อาจารย์ว่าศิษย์เป็นแบบนี้ทุกคน อย่างเช่น ใครมีครูบาอาจารย์ ใครมีพี่ ก็บอกว่า อาจารย์ทำไมไม่พูดดีกว่านี้ ถ้าอาจารย์พูดดีกว่านี้ อาจารย์จะเป็นคนพูดนิ่มนวล ศิษย์จะรักมากๆ เลย ทำไมอาจารย์ต้องเสียงดังโวยวายด้วย ศิษย์บงการหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ และทำให้มนุษย์ทุกข์และหนีไม่พ้นทุกข์นั่นก็คือ ชอบยึดติดความคิดและควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจคิด ทั้งที่จริงๆ แล้วมองไปลึกๆ ถึงอาจารย์จะเอะอะโวยวายกระโตกกระตาก อาจารย์ใจดีไหม (ใจดี)  แต่ในความใจดีอาจารย์ใจร้ายไหม ร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความร้ายและความดีอะไรคือตัวตนที่แท้จริงของอาจารย์ (ความดี)  ไม่มี ศิษย์เอ๋ยมองสิ่งใดอย่ายึดติด ถ้ายึดติดจะหนีไม่พ้นดีชั่ว ชอบชัง แต่ถ้าไม่ยึดติดมันคือความว่าง ที่ทำให้ศิษย์ค้นพบธรรม และคือหนทางอันสงบ ฉะนั้นถ้าเราไม่มีอะไรในความคิด เห็นอะไรไม่ตัดสิน เห็นอะไรไม่ยึดติด เขาจะเอะอะหรือนุ่นนวลชวนฝัน ศิษย์ก็ไม่ยึดติด แล้วจะเกิดกรรม เกิดความโลภ เกิดความหลงไหม (ไม่) เห็นเขาเอะอะจะโมโหโกรธาไหม ในเมื่อเราไม่ยึดติดความคิดแห่งตัวตน เพราะสิ่งที่ศิษย์รู้แท้จริงแล้วศิษย์ไม่รู้ เพราะความเป็นจริงแห่งสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน และถึงที่สุดก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าที่หาตัวตนจริงไม่ได้เลย
ฉะนั้นผู้ที่อยากตื่นรู้ต้องมีความคิดเห็นอย่างถูกต้อง ถ้าเห็นอย่างถูกต้องก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่เรามักไม่เป็นเช่นนั้น เราคิดว่าเรารู้เราเห็น มันต้องเป็นอย่างที่รู้ที่เห็น แต่จริงๆ แล้วเป็นดั่งที่เห็นเป็นดั่งที่รู้ไหม ฉะนั้นความรู้ที่แท้จริงคือ ไม่มีอะไรเลยที่เราเห็นจริง และไม่มีอะไรเลยที่เรารู้จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ทุกข์ ถามว่าศิษย์พยายามให้เขาเป็นดั่งใจคิดหรือไม่ ศิษย์กำลังกระวนกระวาย เพราะเขาไม่ได้เป็นดั่งที่คิด และอีกสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์คือ ชอบจำฝังใจ เมื่อไม่เป็นดั่งใจคิดก็เอามาเก็บ ตัดพ้อต่อว่า ผูกใจเจ็บ พอเจออะไรอีกก็ไม่ชอบ ผลสุดท้ายพอทนไม่ได้ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นทุกข์อีกอันหนึ่งคือ เมื่อไม่ยอมรับความจริงแล้ว เอาสิ่งนั้นมาเก็บไว้ในใจ จนบังเกิดทุกข์เป็นรอบที่สอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เวรกรรมผูกพัน”  แล้วมันจบไหม มันยังยืดเยื้อต่อ แล้วเราจะตัดกระแสเวรกรรมได้อย่างไร
(ไม่ยึดติด ปล่อยวาง)  ศิษย์เคยเห็นอะไรที่ทะลุปรุโปร่ง เคยเห็นจนเหมือนมองไม่เห็นไหม เคยมองเห็นชัดจนไม่มีอะไรมาลวงหลอกไหม ศิษย์ดูหนังจบแล้วมาดูอีกรอบหนึ่ง ความตื่นเต้นความสนุกนั้นน้อยลง ถ้าศิษย์อยากเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต จงมองชีวิตให้จบม้วน จงมองชีวิตให้ถึงที่สุด เมื่อหนังจบแล้วจะมาฉายใหม่อีกกี่รอบ ศิษย์ก็จะมองเห็นชัดไม่สามารถมาลวงใจศิษย์ได้ เขาจะชมเราขนาดไหน เราต้องไม่หลง เพราะเดี๋ยวก็โดนคำด่า เขาจะหล่อขนาดไหน เราต้องมองให้ชัดไม่นานก็ต้องเหี่ยว เขาจะดีขนาดไหน เราต้องมองให้ชัดไม่นานเขาก็ต้องตาย ไม่เขาตาย เราก็ตาย เหมือนกับการเห็นทุกอย่างชัดเจน อะไรก็ไม่สามารถมาลวงให้เราหลงจนก่อเกิดกิเลส ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าทุกอย่างใดๆ ในโลก ศิษย์ไม่ควรยึดเอาไว้เลย แล้วศิษย์จะกลับสู่กระแสแห่งสภาวธรรมที่เรียกว่า มาว่างๆ ก็กลับไปอย่างว่างๆ มาจากธรรมก็กลับไปสู่ธรรม ที่ไม่ต้องพยายามจะสงบ แต่ก็จบลงทุกขณะที่มีชีวิต เห็นใครหรือเห็นอะไรก็จบ ดีแล้วที่ทำให้เราจบ และขอบคุณที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต ถึงจะด่าเรา โกงเรา เอาเปรียบเรา แช่งชักหักกระดูกเรา แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้เราเห็นวงจรชีวิตจบในม้วนเดียวและขอในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
เกิดมาเพื่อมาใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่อีกต่อไป อย่ารอชาติหน้าเลยนะ ทำเดี๋ยวนี้ตอนนี้ เห็นอะไรถ้ามันอยากแล้วผิดศีลธรรม อย่าอยากเลย เห็นอะไรถ้ามันอยากแล้วมันทำร้ายคุณธรรมความเป็นคน อย่าอยากเลย กินน้อย กินง่าย แต่ไม่ก่อทุกข์ไม่ก่อกรรม ดีกว่ามีเยอะๆ เรียนสูงๆ แล้วเหนื่อยแทบขาดใจ บ่นใครไม่ได้เพราะตัวเองหาเอง แล้วใครทำให้เราเจ็บก็เราเองทั้งสิ้น ฉะนั้นเป็นอย่างอาจารย์ดีกว่า ใส่เสื้อเหม็นๆ รองเท้าเก่าๆ อยู่ง่ายๆ นอนง่ายๆ เพราะถึงที่สุดศิษย์ก็เอาอะไรไปไม่ได้ ถ้าศิษย์ยังไม่เข้าถึงธรรม สิ่งที่ติดตัวไปได้คือ กรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์เข้าถึงธรรมเราก็แค่สิ้นกรรมคืนสู่ภาวะธรรม แล้วเมื่อศิษย์เข้าใจศิษย์จะรู้เลยว่า ในโลกนี้อย่าเกลียดใครเลยและอยู่ในโลกนี้อย่ารักใครให้เจ็บปวดใจเลย รักมากก็เจ็บมาก แค้นมากก็ทุกข์มาก ห่วงมากก็กังวลมาก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมต้องทำ”)
ศิษย์เอ๋ย หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย ถ้าใจยังยึดติดอยู่กับความคิดเวลามองอะไรก็ไม่เห็นชัด ถ้าใจยังยึดติดกับความคาดหวังฟังอะไรก็จะฟังไม่รู้เรื่อง และอีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากทิ้งท้ายลองเอาไปพิจารณา ปฏิบัติธรรมต้องทำนะศิษย์
ลองนำไปพิจารณาดูนะ สิ่งที่ศิษย์วงนี้ได้มาเป็นกลอนสองบท อย่าอ่านแค่จบเดียวแล้วผ่านแล้วผ่านเลย ลองอ่านแล้วไตร่ตรองในสิ่งที่อาจารย์พยายามเน้นย้ำให้ศิษย์รับรู้แล้วเข้าถึงธรรมให้ได้
ธรรมต้องทำ อย่าแค่ธรรมแต่ไม่ทำนะศิษย์ ได้หรือไม่ (ได้) และสิ่งสุดท้ายที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือ มนุษย์หนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งชีวิต คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่ากลัวแก่ อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย ความตายไม่น่ากลัวนะศิษย์ ความเจ็บก็ไม่น่ากลัว แต่การไม่ยอมรับความเจ็บแล้วดิ้นทุรนทุรายเพื่อจะให้ตัวเองไม่ต้องเจ็บนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกชีวิตล้วนต้องเจ็บ ล้วนต้องแก่ ล้วนต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ยืดอกยอมรับความจริง ศิษย์ของอาจารย์เป็นศิษย์ที่เข้มแข็งไหม (เข้มแข็ง) กล้าหาญไหม (กล้าหาญ) เมื่ออ่อนแอได้ ก็กลับมาเข้มแข็งได้ แต่ถ้าร่างกายไม่ไหว ใจก็ต้อง (สู้)  ได้ไหม (ได้) เข้าใจนะ เพราะไม่มีใครห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายได้นะศิษย์เอ๋ย เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องกลับ กลับอย่างคนที่เข้าใจธรรม ภาคภูมิใจในความดีที่ตัวเองทำถึงที่สุดแล้ว ส่วนสังขารจะเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของสังขาร ขอเพียงจิตกลับคืนสู่ธรรม นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ก็เชื่อและหวังอยู่เล็กๆ ว่าศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้จะมีคนที่ไปถึงได้ และมีคนที่เข้าถึงธรรมได้ แม้จะไม่ถึงที่สุดแต่ก็ขอให้กลับไปบำเพ็ญต่อดีไหม แม้จะยังไม่ถึงที่สุด แม้อะไรจะไม่เป็นดั่งหวังก็ขอให้เดินหน้าก้าวต่อไปนะ ได้ไหมศิษย์ (ได้)  ชีวิตนี้มันไม่เป็นดั่งที่ใจคิดหรอก เมื่อไม่เป็นดั่งใจคิด จะล้มคว่ำกับมันหรือจะลุกขึ้นสู้แล้วก้าวต่อไป หาทางพ้นทุกข์และค้นพบธรรมให้เจอ อย่าเป็นคนที่เพียรดับทุกข์ แต่จงมองให้เห็นว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เราพ้นทุกข์ได้ เราผ่านมันได้ จริงไหม (จริง) อาจารย์ถามว่าทุกข์น่ากลัวไหม ไม่น่ากลัว ทุกข์นั้นทำให้อาจารย์ได้มาเจอศิษย์ เพราะถ้าศิษย์ไม่ทุกข์ อาจารย์จะมาไหม (ไม่มา)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเพราะศิษย์เข้าใจทุกข์ ศิษย์จึงสามารถกลับไปเจออาจารย์
ฉะนั้นอาจารย์จึงไม่รังเกียจทุกข์ แต่อาจารย์ขอบคุณทุกข์ที่ทำให้ศิษย์กับอาจารย์ได้เจอกัน เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เข้าใจนะ ฉะนั้นขอให้ศิษย์เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต รู้จักคิด รู้จักทำด้วยสติ อย่าสร้างบาปเวรกรรมเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่าทำผิดคิดร้ายเพียงเพราะไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าประกอบกรรมชั่วเพียงเพราะตกเป็นทาสของอบายมุข อย่าทิ้งธรรมไปเพียงเพราะใจท้อ หนทางธรรมเป็นหนทางที่กลับสู่ความสงบ และอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะกลับสู่หนทางนี้ ทางที่แท้จริงที่นำพาทุกชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ และค้นพบธรรมในใจตัวเอง สงบได้ไหม เย็นได้ไหม อดทนได้ไหม อภัยได้ไหม หนทางธรรมไม่ยาก แต่ยากตรงที่ถ้าอดทนไม่ได้ ใจเย็นต่อไปไม่ได้ ศิษย์ก็จะไม่ได้เจออาจารย์อีก เพราะศิษย์รู้แล้ว จริงไหม แล้วถ้ารู้แล้วยังไม่ทำ ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรู้แล้วทำให้ได้ ไปให้ถึง ดีไหม (ดี)  เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างกรรม แต่เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมและจบกรรมนะ ใช่ไหม (ใช่)  เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจทุกข์ สิ้นทุกข์ และคืนสู่ธรรม
ให้อาจารย์หมดห่วงได้หรือยัง อาจารย์รักศิษย์ทุกคน แม้ศิษย์จะไม่รักอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไร อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคน แม้ศิษย์จะไม่ห่วงตัวเอง ไม่รู้ค่าของตัวเองเลยก็ตาม ศิษย์สามารถเป็นพุทธะน้อยๆ ศิษย์สามารถเป็นคนดีที่สุดได้ และศิษย์ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่มันอยู่ที่ตัวศิษย์เอง
ขอให้ไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ให้ดี ขอเพียงศิษย์ศรัทธาเชื่อมั่นในธรรมของตัวเองและปฏิบัติตัวเองให้ถึงที่สุด อย่าให้ชีวิตนั้นทุกข์แล้วทุกข์อีกเลยนะศิษย์เอ๋ย ความทุกข์มันไม่น่าล้อเล่นเลยจริงไหม ฉะนั้นตั้งสติเวลาทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าตกเป็นธาตุของอารมณ์ง่ายๆ อายุมากแล้ว สังขารร่วงโรยไปเป็นธรรมดา ขอรักษาจิตหนึ่งกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าได้กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย รักษาจิตหนึ่งเดียวกลับคืนหาอาจารย์นะศิษย์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมต้องทำ”
    หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย      ไม่อาจใช้ปัญญาได้เพราะยึดติด
กิเลสเกิดจากอัตตาคอยนึกคิด              ทางธรรมคือดับสิ้นซึ่งเชื้อไฟ
อย่ายึดดีจนกลายเป็นรังเกียจทุกข์         อย่ายึดสุขจนกลายเป็นกลัวทุกข์ใหญ่
ธรรมสอนให้มีสติรู้ตามจริงไป              ไม่หลงปรุงกิเลสให้ก่ออารมณ์



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมผูถี จ.พิษณุโลก
(วันที่ ๕-๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑)

เพลงพระโอวาท หน้า ๑๗
เดิม
บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย รู้ชาติเดียวเท่าที่เป็น ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญอีกหนาก็คือทุกอย่าง ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน พร้อมจะเดินก็ไม่ยาก หากรอมีใครจะพร้อม ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้
แก้ไขเป็น
บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย รู้ชาติเดียวดังที่เป็น ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญแหละหนาก็คือทุกอย่าง ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน พร้อมจะทำก็ไม่ยาก หากรอมีใครจะพร้อม ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา