วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

2551-06-22 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา ( ๑ วัน )


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ใจสูงค่าเพราะเป้าหมายเพื่อเวไนย จิตยิ่งใหญ่สละอุทิศมิหวังผล
ประทีปน้อยจุดต่อเพื่อมวลชน การเริ่มต้นหนทางไกลใจหนึ่งเดียว
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ ความร่วมแรงร่วมใจประสานหนึ่งเดียว
ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยจึงกลมเกลียว ร้อนอารมณ์ทิฐิหยุดเดี๋ยวบำเพ็ญไว
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านสบายดีไหม

เรียนรู้ธรรมนำชีวิตสู่ทางแท้ ความผันแปรเตือนคนหลงให้รู้ตื่น
สรรพสิ่งทั้งดีร้ายสู้กล้ำกลืน ทุกสิ่งคืนธรรมดาและสามัญ
ใช้ธรรมคอยหล่อเลี้ยงเตือนสติ ยั้งอารมณ์กิเลสที่คอยหลงนั่น
ใจรู้พอดีกว่าฟุ้งเฟ้อทุกวัน ถือทิฐิอกุศลนั้นใครได้ดี
คุณค่าคนอยู่ที่ผลของงาน รู้สร้างสรรค์เพื่อผู้อื่นลดตระหนี่
ฝึกใจกว้างหมั่นอภัยอดทนมี ยิ่งยากดียิ่งทดสอบคนแกร่งจริง
ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน หมั่นสร้างบุญมิหวังผลอุทิศยิ่ง
แม้ต้องรับผลกรรมสนองตน จงเข้มแข็งสู้อดทนรับความจริง
ฮิ   ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เราอยู่ในโลกนี้ถึงจะเก่งขนาดไหน ถึงจะมีความรู้ความสามารถมากขนาดไหน แต่ทุกเรื่องที่สำเร็จได้ หาได้เกิดจากคนที่เก่งคนเดียวไม่ ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนหลายๆ คน ย่อมมีทั้งคนที่เก่งและคนไม่เก่งประสานกัน จึงเกิดเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่
เรื่องราวในโลกนี้ย่อมมีคนที่ทำได้และก็ทำไม่ได้ ย่อมมีทั้งคนที่เป็นงานและคนที่ไม่เป็นงานอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นเวลาคนที่เป็นงานอย่างหนึ่ง เราจะดูถูกคนเป็นงานแบบเดียวกับเราไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะเขาเป็นแบบหนึ่ง แต่เขาอาจจะไม่เป็นอีกแบบหนึ่ง สิ่งที่เขาเป็นอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่เป็นก็ได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าตนเองฉลาดไปเสียหมด และอย่าคิดว่าตนเองสำคัญไปเสียหมด เพราะในโลกนี้ทุกคนล้วนสำคัญ  วันนี้มีแต่ผู้ปฏิบัติงานธรรมเต็มไปหมด  แต่ไม่มีเราสักคนหนึ่งงานจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  ใช่ไหม ฉะนั้นก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ยกตัวเองจนข่มคนอื่นว่า “แหมเธอต้องเอาใจฉันสิ”  “ถ้าฉันไม่มานั่งเธอก็ทำงานไม่สำเร็จหรอก” ได้ไหม  (ไม่ได้)  

ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ยกตัวเองได้ก็ต้องข่มตัวเองเป็น ข่มตัวเองเป็นก็ต้องยกตัวเองได้ แต่อย่ายกให้มันสูงเกินไป คนจะมองแบบเหม็นขี้หน้าเอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอก ใจก็เหมือนกัน อย่ามองแค่ตัวเรา บางครั้งใจเราตกบางครั้งใจเรารู้สึกดีขึ้นเพราะอะไร (อารมณ์) ใช่ไหม ชีวิตของมนุษย์ทุกคนผันแปรเปลี่ยนตามอารมณ์ ถ้าชีวิตใช้อารมณ์เป็นผู้นำ อารมณ์ก็พาให้คำพูดและการกระทำเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย พออารมณ์ดีก็ (ดี)  อารมณ์ร้ายพูดก็ (ร้าย)  ทำก็ (ร้าย)  
ชีวิตที่ผันแปรไปตามอารมณ์ เป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนง่าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นเราควรมีชีวิตโดยเอาอารมณ์เป็นตัวนำดีหรือไม่ (ไม่ดี)   วันนี้มีคนชวน “มาฟังธรรมไหม” เราก็บอกว่า “เดี๋ยว!  ขอดูอารมณ์ก่อน”  ใช่ไหม  “อยากมากๆ ก็มา”  “ ไม่อยากก็ไม่มา”   ทำอย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ก็ยังเชื่ออารมณ์ของตัวเองไม่เชื่อใครหรอก แต่พอใช้อารมณ์นำชีวิตทีไร พังมากกว่าดี หรือดีมากกว่าพัง (พังมากกว่าดี)  แล้วยังเชื่ออีกไหม (เชื่อ) จบเลยไม่ต้องพูดต่อแล้ว ใช่หรือเปล่า
ชีวิตคนเรามีลุกขึ้นได้ก็ต้องมีล้มได้เป็นธรรมดา โทษใครไม่ได้  บางคนซุ่มซ่ามเองแท้ ๆ ไปชนโน่นชนนี่แล้วก็ด่าป้าย ด่าโน่น ด่านี่ ทั้งที่น่าจะหันมาว่าตัวเอง ว่าตัวเองนั่นแหล่ะ เซ่อซ่า ถูกไหม เช่นเดียวกัน ความทุกข์ที่ทำให้เราเจ็บปวด แท้จริงแล้วโทษคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เขาว่าเราเจ็บ เขาว่าเราร้าย แต่เราจำเป็นต้องเจ็บต้องร้ายตามเขาหรือไม่ (ไม่จำเป็น)  ขึ้นอยู่กับหัวใจเราเองต่างหาก ใช่หรือไม่  
ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบกายใช่ว่าใจต้องถูกกระทบไปด้วย สิ่งที่ทำให้กายเจ็บปวดใช่ว่าใจต้องเจ็บปวดตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เพราะมนุษย์เคยชินกับกายใจสัมผัสกัน กายปวดใจเลยต้องปวด แต่แท้จริงแล้ว กายปวดใจไม่ต้องปวดก็ได้ จริงไหม  ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมใจเราให้เป็น มนุษย์ควบคุมคนอื่นให้อยู่ในกำมือได้ อยู่ในอำนาจเราได้ แต่ทำไมเราควบคุมใจของเราให้อยู่ในอำนาจของตัวเราเองไม่ได้  อย่าลืมนะว่าตัวเจ็บใช่ต้องใจเจ็บ  เขาว่าให้เราทุกข์ ใช่ว่าใจเราต้องทุกข์ ทำอย่างไรให้ตัวเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ สิ่งที่มากระทบเป็นเพียงกระทบกายแต่หาได้กระทบใจ ความทุกข์ที่มาสัมผัสตัวหาได้สัมผัสใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ ความร่วมแรงร่วมใจประสานหนึ่งเดียว
ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยจึงกลมเกลียว   ร้อนอารมณ์ทิฐิหยุดเดี๋ยวบำเพ็ญไว
ทำงานร่วมกันเป็นธรรมดาที่ต้องทนกันบ้าง กระแทกกันบ้าง  ให้เราลืมมันไปก่อน เพราะถ้าเอามาเก็บไว้ในใจ เดี๋ยวมันจะยิ่งกัดใจให้เจ็บปวด พอกัดใจตัวเองทุกข์แล้ว ต้องพลอยให้คนอื่นทุกข์ไปกับเราด้วย  ฉะนั้นพอมีอารมณ์กระทบกระทั่งกัน บอกอารมณ์ในใจไว้
“หยุดเดี๋ยว!”   “ฉันขอไปช่วยคนก่อน”  “ฉันขอทำงานให้เสร็จก่อน”  พอลืมแล้ว ครู่เดียวเราก็กลายเป็นอีกคนที่ ฉันต้องโกรธหรือโกรธอย่างไรล่ะ แล้วทำไมต้องโกรธ ลืมไปเลย ใช่ไหม  ฉะนั้นอะไรที่ไม่ดีลืมให้มันง่ายๆ   อารมณ์เสียๆ ไม่ดีๆ ทำไมมาปุ๊บต้องทำปั๊บ เราบอก “เดี๋ยวก่อนๆ”  ไม่ได้หรือ พอผลัดไปบ่อยๆ ก็ลืมแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบกระทั่งใจทำให้เราโกรธ เราก็บอกว่า “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวค่อยโกรธ  ตอนนี้ขอใจเย็นก่อน”  เอาสิ่งที่ดีนำหน้าเอาสิ่งที่ไม่ดีทิ้งท้ายไว้ข้างหลัง ดีหรือไม่ (ดี)




กะร่องกะรอยได้ไหม จัดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คับแคบ ความกว้างความลึกนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใจของมนุษย์ถ้ากว้างเหมือนแม่น้ำ แม้จะถูกใครตัก แม้จะถูกใครถมสิ่งสกปรก ถ้ากว้างอย่างถึงที่สุด ใครมาตักเท่าไร สักวันหนึ่งก็เต็มขึ้นมาได้ ใครจะเทสิ่งสกปรกใส่ร้ายป้ายสีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าสักวันหนึ่งน้ำรู้จักถ่ายเท ความสะอาดก็กลับคืนขึ้นมาได้  

ชอบฟังธรรมะไหม ฟังก็บ่อยศึกษาก็มาก ใช่ไหม ๆ แต่แปลกนะ พอถึงเวลาแล้วก็ยังเป็นคนที่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม ไม่เคยเบาบางลงสักที  เราบอกว่าชอบฟังธรรมะ เราบอกว่าศึกษาธรรมะเข้าใจ แต่ทำไมเรากลับไม่สามารถตัดโลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ให้มันเบาบางลงได้ บางทีก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลยด้วยซ้ำไป ยังมีอารมณ์ ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธเท่า ๆ กับคนที่ไม่คิดจะมีธรรมก็มี แปลว่าเราได้เข้าถึงธรรมจริง ๆ  หรือไม่ ได้แต่รู้แต่เข้าไม่ถึง ได้แต่รู้แต่ไม่สามารถเอาสิ่งที่รู้นั้นไปตัดความไม่ดีออกไปจากใจได้ ใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เรารู้และเข้าใจนั้น สามารถตัดความไม่ดีในใจให้ออกไปจากตัวเราได้
เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์นั้นถนัดที่จะรู้ทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติกลับไม่ถนัดกระทำ ฉะนั้นสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเข้าใจ จึงเป็นแค่สัญญากับเวทนา สิ่งที่เป็นสัญญากับเวทนาสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการไตร่ตรอง ศึกษา เรียนรู้ จึงเกิดเป็นความจำและความเข้าใจ ที่มนุษย์ชอบฟังชอบศึกษา ก็คือทำให้เราเกิดสัญญาและเวทนา คือ ความจำและความเข้าใจ แต่ความจำและความเข้าใจไม่สามารถทำให้เราตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ สิ่งที่จะสามารถตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ก็คือ ปัญญา แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ฉะนั้นศึกษาแล้ว แต่ไร้การลงมือปฏิบัติ สิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจก็จะเป็นเพียงแค่สัญญากับเวทนา หาใช่เกิดปัญญาไม่  ฉะนั้นเรารู้มาก เข้าใจมาก แต่ถ้าเราไม่เอาสิ่งที่รู้และเข้าใจมาลงมือปฏิบัติ เราก็เป็นแค่เพียงพวกหนอนหนังสือ หนอนพระธรรมแค่นั้นเอง ได้แต่อ่านแต่ถึงเวลากลับทำไม่ได้ ฉะนั้นอย่าเป็นพวกคงแก่เรียนในการศึกษาธรรม แต่ถึงเวลาลงมือปฏิบัติกลับทำไม่ได้  ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์เราเคยเอาไปปฏิบัติไหม (ไม่เคย)
มนุษย์บอกว่า “คนเราทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว”  แต่ถึงเวลาเราเชื่ออย่างนั้นไหม (ไม่เชื่อ)  มนุษย์กลับบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่ทำชั่วแล้วได้ดี เราจึงล้มเลิกความคิดที่ทำดีแล้วได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี กลายเป็นมิจฉาทิฐิ เกิดความเห็นผิดเรื่องกรรมเวร ไหนใครล้าเรื่องทำดีแล้วได้ดี ยกมือขึ้น ไม่มีเลยหรือ แปลว่าเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่เคยล้าไม่เคยท้อ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้ยังทำดีอยู่ไหม (ทำ)  ความดีที่เราท่านทำเป็นดีแบบหวังผล ดีแบบถนัดเป็นแม่ค้ากับพ่อค้า ทำหนึ่งหน่วยต้องได้ผลสองหน่วย อย่างนี้เขาเรียกทำดีไหม (ไม่)  เอาการทำดีมาเป็นการค้าขาย พอทำเสร็จแล้วต้องได้กำไรนะ เราไม่ได้กำไรเราจะไม่ทำ   อย่างนี้หาใช่การทำดีที่แท้ไม่  การทำทานอันบริสุทธิ์ต้องเป็นทานที่ไม่หวังผลใดๆ ทั้งสิ้น

เรายกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับบุญและบาป  คนบางคนโชคดีก็มีบุญมากกว่า บาปน้อยหน่อย คนบางคนเกิดมาโชคร้ายหน่อยก็มีทั้งบุญและบาปพอๆ กัน เราถามหน่อยว่า คนสองคนนี้คนๆ หนึ่งเกิดมาพร้อมบุญเยอะบาปน้อย อีกคนเกิดมาบุญและบาปพอๆ กัน เวลาเขาทำชั่วพร้อมๆ กัน ใครตกผลไวกว่ากัน

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปแก้วน้ำสองใบ)

สมมติคนดีคือคนที่มีแก้วเปล่ามีแต่บุญไม่มีบาป คนไม่ดีคือคนที่เป็นแก้วที่มีทั้งน้ำขุ่นๆ อยู่  เพราะฉะนั้นสองคนนี้เวลาทำบาปเท่าๆ กัน  ใครเต็มไวกว่ากัน (คนที่สอง)  และใครได้รับผลไวกว่ากัน (คนที่สอง)
เพราะฉะนั้นเราทำดีอย่าให้ต้องตกผลเป็นวัตถุเป็นชื่อเสียง เพราะบางครั้งคนเรามีเหตุปัจจัยแตกต่างกัน ทำไมคนนี้มีเงินมีหน้ามีตา แต่เขาทำชั่วกลับได้ดี ก็เพราะว่าบุญเก่าเขายังเยอะอยู่ แต่เราสิ หน้าดำคร่ำเครียดกว่าจะหาเงินได้ เพราะบุญเรามันน้อย กรรมเรามันเยอะ  ฉะนั้นเวลาเราทำกรรมนิดเดียวมันก็เลยตกผลไว
ฉะนั้นเวลามองบุญมองบาป มองคนทำดีมองคนทำชั่วต้องมองด้วยตาที่กว้างไกล ใจที่เปิดกว้าง แล้วเราจะสามารถเห็นดีเห็นชั่วได้อย่างชัดเจน  แต่ถึงที่สุดแล้วเราทำดีเพื่อหวังผลอันเป็นรูปนามหรือ ก็ไม่ใช่ ที่สุดของการทำดีก็เพื่อลดการยึดมั่น และให้รู้จักปล่อยวางและเดินไปสู่ความสงบสุขอันแท้จริงในหัวใจ สิ่งที่ทำให้เราสงบสุขที่แท้จริง มิใช่สิ่งที่มีรูปมีวัตถุ ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ แต่ความสุขที่แท้จริงคือความสุขอันสงบ ทำดีแล้วอิ่มใจไหม (อิ่มใจ)  ทำบุญแล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  แล้วทำไมยังต้องโลภหวังเป็นวัตถุ หวังเป็นชื่อเสียงอีกล่ะ ทำบุญหนึ่งหน่วยแต่หวังเกือบสิบหน่วย เอาเปรียบจริงๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้นเวลาทำบุญจึงต้องรู้จักทำด้วยทานอันบริสุทธิ์  คือการทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เวลาเราทำโดยไม่หวังผล ยิ่งเราทำมาก บาปที่มีอยู่ก็จะค่อยๆ ลดหายไป ลดหายไป ลดหายไป  เขาบอกว่าอยากล้างใจให้สะอาดทำอย่างไรล่ะ ไม่ต้องเอาสิ่งสกปรกออก แค่เติมน้ำสะอาดเข้าไปมากๆ แล้วสิ่งสกปรกก็จะถูกชะล้างออกไป
มนุษย์ทุกคนมีทั้งความดีและความไม่ดี มีทั้งสิ่งที่งดงามและสิ่งที่เลวร้าย เราอยากกำจัดสิ่งเลวร้ายในใจ ทำอย่างไรล่ะ  ไม่ต้องกด ไม่ต้องเขี่ย ไม่ต้องไปผลักดัน แค่พยายามเติมความดีในใจของเราให้มากขึ้น หรือขยายสิ่งดีในใจของเราให้เบ่งบานมากๆ พอมันบานมากๆ แล้วความชั่วจะมีอิทธิพลในใจเราไหม  เช่นเวลาใครชมว่าเราดี เราอยากจะเอาสิ่งที่ร้ายออกมาให้เขาเห็นไหมล่ะ ไม่มีหรอก  ถูกหรือไม่ (ถูก)  และถ้าทุกวันเราทำดีบ่อยๆ  เราจะร้ายต่อหน้าคนที่ชมว่าเราดีไหมล่ะ มันก็ร้ายไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากกำจัดความเลวร้ายก็สู้พยายามขยายสิ่งดีๆ ออกไปให้มากๆ ความร้ายก็จะทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นวันนี้ลืมตาให้กว้างๆ ความง่วงมันจะได้ทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ลืมตาโตๆ ไว้อย่างนี้ดูสิ “แกจะทำอะไรฉัน”  “ไอ้ขี้เกียจ ไอ้ง่วงนอน”  ว่ามันไปเลย ไม่ต้องหันไปว่าใครๆ นะ เพราะเธอทำท่าง่วงนอนฉันเลยง่วงนอนไปด้วย ได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนพอเขาหาวเลยหาวตาม พอเขาง่วงฉันก็เลยหลับตาม จริงหรือเปล่า (จริง)   เพราะว่าฟังก็มาก แต่พอให้ปฏิบัติไม่ค่อยยอมปฏิบัติสักเท่าไหร่ ใช่ไหม (ใช่)  
บางครั้งเราเห็นใครชอบเอาเปรียบเราก็รู้สึกขัดใจ เห็นใครควรจะพูดเพราะๆ กลับพูดคำหยาบๆ ควรพูดนิ่มๆ กลับพูดโผงผาง เอะอะโวยวาย เราเห็นแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ขัดตาแล้วก็เหนื่อยใจ ทำไมสังคมเป็นอย่างนี้นะ คนเราเอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบใหญ่ ใครยอมก็ยิ่งถูกข่มใหญ่เลย  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอย่างไร ทำให้สิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ กลายเป็นสิ่งที่เราเข้าใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเมตตา แปรเปลี่ยนใจเป็นกลาง ไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธ  เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มากระทบใจเราบ่อยที่สุด ทุกเวลาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่น คนเอาเปรียบ รักสบาย โกงงาน พูดดีๆ ไม่เป็นชอบเอะอะโวยวาย พูดดีๆ ก็ได้ แต่ไม่ค่อยชอบพูดดี ขอบเสียงดัง จู้จี้ ขี้บ่น เราอยู่กับคนพวกนี้แล้วเราเป็นอย่างไร เจอบ่อยๆ ก็เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยข้างนอกมาแล้ว พอเจอคนในบ้านเป็นอย่างนี้กลับมาถึงก็เลยเหนื่อยใจ
แต่เราถามท่านหน่อยว่า คนที่เราเห็นแล้วขัดใจขัดหูนั้น ตัวเราเคยเป็นเองไหม บางทีควรจะพูดดีกลับพูดร้าย บางทีควรจะใจเย็นแต่ใจร้อน ฉะนั้นเวลาเห็นเขา แล้วเห็นเราไหม เห็นเขาเป็นเขา เห็นเขาผิดเป็นเขาผิด แต่พอเห็นเราผิดกลับบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อไหร่สิ่งที่เราเห็นเขาผิดจะกลายเป็นสะท้อนว่าเราผิดบ้าง
เคยไหมตอนเด็กๆ แม่มีขนม เรามีพี่น้อง ถึงเวลาเราเลือกก่อน เราเอาอันนี้ดีกว่า พอถึงเวลากิน ให้ใครกินก่อน เราก็บอกว่า “พี่ขอกินบ้างสิ”  แต่พอถึงเวลาเรากิน เราบอกว่า “อย่ามาแย่งฉันนะ”  ใจแบบนี้เราก็เคยมี ฉะนั้นเวลาอยู่ในสังคมเห็นใครที่ถึงเวลาเอาหน้าก่อน แล้วเอาโทษทีหลัง ก็ถือเสียว่าเขาเหมือนเด็กที่ยังไม่โต เขายังไม่ประสีประสา เดี๋ยวพอเขาโตอีกหน่อย เขาก็จะรู้ว่า อย่างนี้มันนิสัยเด็ก
ฉะนั้นเวลามีเรื่องใดมากระทบ โดยเฉพาะคนที่ชอบขัดใจ เราเคยเป็นไหม ถึงเวลาเราเชื่อตัวเอง เขาบอกว่าซ้ายถูก เราก็ยังยืนยันว่า ขวาถูก  เราสมมตินะ เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ พอใครมาพูดว่ามันไม่ใช่ มันต้องเป็นอีกด้านหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม แล้วของเรามันเป็นสิ่งที่ผิด เรารับได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราโกรธไหม (โกรธ)  เราเคืองไหม (เคือง)  เราเคืองถ้ามีคนมาบอกว่าเราผิดและให้เราแก้ไข แต่ท่านรู้ไหม ถ้าเขาบอกว่าซ้าย แม้เราจะคิดว่าขวา แล้วเราบอกว่าซ้ายก็ได้ เราตามตามเขาไป พอเขาผิดแล้วเราเป็นอย่างไร “รอดตัวเพราะเขารับไป” แต่ถ้าเกิดว่าเขาบอกว่าซ้าย แล้วเรายังบอกว่าขวา ถึงเวลาผิดเราก็ต้องรับเอง
ฉะนั้นเวลาทำอะไรร่วมกันลองปล่อยความยึดมั่นของตัวเอง แล้วลองเชื่อเขาดู พอเชื่อเขาแล้ว ผลที่เกิดขึ้นเขาก็จะประจักษ์ด้วยตาตัวเองแล้วว่า เขาต้องรับผิดชอบนะ แต่ถึงเวลาเราอย่าโทษเขา เพื่อทำให้เราดูดี  เราต้องเป็นนางฟ้า เราต้องเป็นเทวดา  ถ้าผิดแล้วทำอย่างไร ไม่ใช่บอก “เห็นไหม เชื่อแกเลยได้ดีเลย”  แทนที่เขาจะสำนึก เขากลับย้อนว่า  “อ้าวแล้วทำเธอไม่ยืนยันล่ะว่าสิ่งที่เธอพูดมันถูก”   กลายเป็นทะเลาะกันไปอีก ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบเราต้องย้อนมองตัวองแล้วพยายามทำใจให้เป็นกลาง ให้เกิดความเมตตาเข้าไว้ แล้วสิ่งที่มากระทบแม้จะแย้งกับเรา แม้จะตรงข้ามกับเรา เราจะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจและความเข้าใจได้ และสิ่งที่จะทำให้เราเคืองโกรธ ก็จะกลายเป็นโกรธน้อยลง และเห็นใจเข้าใจมากขึ้น
ในโลกนี้เราทุกข์กับคนมากกว่าทุกข์กับเรื่องราวอื่นใดในโลก ใช่หรือไม่  เรื่องที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดคือเรื่องของคน คนนั้นคนนี้และตัวเรา  ต่างก็คือคนมิใช่หรือ มองผู้อื่นแล้วอย่าลืมหันมาสะท้อนมองตัวเรา ตัวเราก็เป็นอย่างคนๆ นั้นที่เราเกลียดหรือเปล่า ถ้าเป็นเหมือนกันเราก็จะเริ่มเข้าใจเห็นใจและโกรธน้อยลง ถูกหรือไม่  เหมือนเวลาคนบางคนไม่ศรัทธาพ่อแม่ตัวเอง ไม่ศรัทธารักพี่น้องตัวเอง กลับศรัทธารักผู้อื่นมากกว่า พ่อแม่ตัวเองไม่ค่อยรัก แต่มองพ่อแม่คนอื่นน่ารักกว่าพ่อแม่ตัวเอง  แล้วพอถึงเวลาตัวเองก็มีนิสัยไม่ต่างกับพ่อแม่เลย เราเกลียดสิ่งไหนตัวเองก็มักจะเป็นสิ่งนั้น ไม่อยากเจอสิ่งไหนก็เจอสิ่งนั้น จริงไหม   
ฉะนั้นเรื่องในโลกที่มากระทบกายกระทบใจจะสลายได้ด้วยการที่ พออะไรมากระทบปุ๊บหันกลับมามองเรา เราเคยเป็นไหม พออะไรมองเห็นไม่พอใจปุ๊บ หันกลับมามองตัวเรา ตัวเราเคยมีนิสัยอย่างนั้นไหม พอเราหันมามองเรา เราจะเริ่มเปลี่ยนใจและเข้าใจว่าเรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อเห็นใจตนเองเราก็จะเห็นใจผู้อื่น  เมื่อเราเข้าใจตัวเองเราก็จะเริ่มเข้าใจผู้อื่น ตอนนั้นอารมณ์โกรธคืออะไร ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้สิ โกรธไม่เป็น” พอโกรธเขาเมื่อไรก็เหมือนโกรธตัวเอง ถ้าด่าเขาเมื่อไหร่ก็เหมือนด่าตัวเอง จริงไหม (จริง)  
ลองคิดให้ดีๆ นะ ทุกเรื่องที่มากระทบใจ ทุกเรื่องที่ขัดตา ขัดหู ขัดใจ ถามว่าที่เขาขัดตา ขัดหู ขัดใจน่ะ เราเคยเป็นคนหนึ่งที่ทำขัดหู ขัดตาคนอื่นไหม ฉะนั้นตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง กิเลสเป็นตัวนำ ก็เป็นธรรมดาที่จะผันแปรเปลี่ยนและถูกผิดได้ง่ายเป็นธรรมดา  ฉะนั้นถ้ารู้จักเอาธรรมเป็นที่ตั้งบ้าง เอาความเห็นใจเป็นที่ตั้งบ้าง เอาความเข้าอกเข้าใจ เมตตามาเป็นที่ตั้งบ้าง เราจะไม่มีใครในโลกที่ควรโกรธเลย เราจะไม่มีใครในโลกที่จะทำให้เรารักจนหลงเลย เพราะแต่ละคนสวยอย่างไร หล่ออย่างไรก็น่าเกลียดได้เหมือนกันถูกไหม  และเมื่อนั้นเวลาที่อะไรมากระทบแล้วเรารู้จักย้อนมอง อะไรมากระทบแล้วรู้จักตรวจสอบว่าตัวเองเป็นไหม รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ขอเพียงทุกครั้งที่มีอะไรมากระทบ นิ่งเข้าไว้ก่อน  อย่าเพิ่งหุนหันพันแล่น  โกรธตามโมโหตาม อย่างที่เราบอก ใจเย็นไว้ก่อนอย่าเพิ่งโมโห เพราะความใจเย็นและความนิ่งจะทำให้เรานั้นมีพลังและเกิดปัญญาในการมองทุกสิ่งได้อย่างเป็นกลาง ไม่เอียง ไม่เอน แต่จะสามารถมองได้อย่างตรง และวางเป็นกลาง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวางเก้าอี้อย่างเกะกะไว้ และให้อาจารย์บรรยายธรรมชายยืนเป็นตัวอย่าง โดยทำให้แต่งตัวไม่เรียบร้อย ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง  เนกไทผูกไม่เสร็จ ผมไม่เรียบร้อย แว่นตาคาดที่ศีรษะ)
ถามท่านนะ ฟังจนจบแล้วเดี๋ยวจะดูภาคปฏิบัติ  ท่านว่าอะไรควรจัดก่อนกันระหว่างเก้าอี้ที่เกะกะ กับคนที่แต่งตัวดูไม่เรียบร้อย จัดอะไรก่อนดี  (จัดคนก่อน)  เพราะอะไรถึงจัดคนก่อน  เขาบอกว่าเกะกะตา ที่ฟังไปนะเอาไปคิดด้วยนะ อย่าฟังแล้วฟังเลย
เรายังไม่บอกว่าใครถูกใครผิด มีใครมีความคิดเห็นอีก จัดอะไรก่อนดี (จัดเก้าอี้)  ทำไมถึงจัดเก้าอี้ (เก้าอี้พูดไม่ได้, จัดคนให้เรียบร้อยก่อน)  (จัดคนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปจัดเก้าอี้)  มีใครมีความคิดเห็นอีก จะตอบอย่างไรก็ตอบไปเลยนะ ดูสิว่าเราจะจัดอะไรกันก่อนดี
(จัดคนก่อน)  จัดคนก่อนเพราะอะไร (จัดตนเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยไปจัดคนอื่น)  จัดคนนั้นที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยหรือจัดตัวเรา (จัดคนนั้น)  จัดคนก่อนเพราะอะไรล่ะ (จัดคนก่อนแล้วค่อยมาจัดเก้าอี้)  
ระหว่างเก้าอี้ที่เกะกะกับคนที่แต่งตัวดูไม่เรียบร้อยจะไปช่วยใครก่อนดี (ช่วยคนก่อน)
ท่านอื่นล่ะ (กิเลสคน)  กิเลสใคร กิเลสเขาหรือกิเลสท่าน (กิเลสเรา)  ตอบได้ดีเหมือนกันนะ ทำไมเห็นเขาอย่างนี้แล้วมีกิเลสในใจล่ะ (เพราะทำไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้ารูปเข้ารอย) ใครไม่ถูกไม่ควร เขาไม่ถูก หรือเราไม่ถูก (ตัวเราไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้ารูปเข้ารอย)  ไม่ถูกไม่ควรตรงที่ (เห็นเขาไม่ดี จะว่าเขาไม่ดีก็ไม่ใช่ จะสะท้อนตัวเราเอง จะไปว่าเขาไม่ถูกไม่ควรไม่ได้ ต้องกำจัดตัวเราก่อน)  กำจัดตัวเราก่อนหรือ กำจัดอย่างไรดี (กำจัดกิเลสจะได้พ้นทุกข์)  ตบมือให้ท่านนี้นะ เข้าใจตอบ เขามาไกลแต่ตอบได้ดีเหมือนกันนะ
ท่านอื่นล่ะ (ย้อนมองส่องตนว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า และหาหนทางแก้ไข)  
คนโคราชทำอย่างไร (จัดคนก่อนเพราะคนยังไม่เรียบร้อยอย่างอื่นก็ยังเรียบร้อยไม่ได้)  
เราอยากบอกว่าพอถึงเวลาเราเห็นอะไรไม่เรียบร้อยแล้ว อะไรที่เราควรจัด อย่างแรกเราต้องจัดใจเราก่อน เพราะถ้าเราเกิดเห็นอะไรไม่เรียบร้อย ใจเราวู่วาม ใจเราร้อน ไปพูดกับเขาถ้าเราไม่เตรียมใจให้ดี คำพูดนั้นอาจจะไม่สุภาพ ไม่น่าฟัง และคำพูดที่ไม่ได้กล่อมเกลาให้ดีเวลาเราพูดอาจจะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย ฉะนั้นก่อนจะไปพูดอะไร หรือจะไปจัดอะไรที่เราเห็นแล้วไม่เข้าตา ควรจัดใจเราก่อน “เราจะพูดอะไรดีนะ”  เราจะเตรียมใจอย่างไรดี และเราควรจะจัดอะไรก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เก้าอี้นะจัดง่าย แต่คนนะจัดยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  และบางอย่างเขาพอใจที่จะงามอย่างนี้ บางที่เราไม่ควรจะไปจัดอะไรด้วยซ้ำ  จริงไหม พ่อแม่สมัยนี้แต่งตัวเรียบร้อย แต่ลูกสมัยนี้ทำอย่างไรให้อยู่
ฉะนั้นฺสิ่งที่เราจะจัดเป็นอย่างแรก อย่าลืมจัดตัวเราเองให้รับสภาพกับความเป็นจริงที่มากระทบใจ แม้ความเป็นจริงนั้นจะเป็นบทเรียนที่ไม่น่ารักก็ตามถูกไหม (ถูก)  แม้ความเป็นจริงจะเป็นบทเรียนที่เกะกะหูเกะกะตาก็ตาม   แต่เราต้องเตรียมใจเราให้นิ่งก่อนทำใจเราให้พร้อมก่อนจะไปรับมือกับจิตใจ เมื่อทำใจพร้อมมีสติ  ปัญญาย่อมเกิด คิดให้ดีว่าควรทำไหมหรือปล่อยไปดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อุตส่าห์ฟังแล้วพอถึงภาคทฤษฏีกลับบอกว่าจัดเขาก่อนเลย เป็นธรรมดา นี่คือความเป็นจริงของมนุษย์ทุกคน เห็นอะไรขัดปุ๊บจัดมันเลย (เกะกะตา)
ฉะนั้นจำไว้นะ จำเรื่องของเรานี้เป็นตัวอย่าง ถึงเวลาเห็นอะไรขัดหูขัดตา อย่างเพิ่งไปจัดเขา จัดใจเราก่อน นิ่งพอหรือยัง มีสติรู้จักเกลาคำพูดให้ดีก่อนจะไปพูดหรือไปรับสภาพเป็นไหม เพราะว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีสติ ปัญญาก็ย่อมเกิด เมื่อใจเรานิ่งพลังย่อมมี ความเข้มแข็งของหัวใจในการก้าวไปเผชิญในโลกภายนอกจะมีพลังมากกว่า ฉะนั้นอย่ามีเพียงแต่สิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจ แล้วไม่เคยลงมือปฏิบัติสักที ไม่อย่างนั้นความรู้ความเข้าใจก็จะกลายเป็นแค่สัญญา เวทนา ปัญญาไม่เกิดเสียที ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราก็มาแค่นี้ล่ะนะ สิ่งที่เราอยากจะพูดให้ท่านรู้ก็พูดเกือบหมดแล้ว ฟังธรรมะวันเดียวไม่สามารถที่จะรู้ตื่น รู้แจ้งได้ทั้งหมด สิ่งที่เราชี้อาจจะไปไม่ถึง ถ้าท่านไม่ยอมลงมือกระทำหรือปฏิบัติ ฉะนั้นถึงแม้เราจะพูดได้กว้างและลึกขนาดไหน แต่ถ้าหัวใจท่านกลับ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วจะเป็นคนดีหรือคนร้าย จะเป็นคนประเสริฐหรือคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดคน ไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวที่กระทบ แต่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราต่างหาก ชีวิตอยู่ในกำมือเรานะ อย่าปล่อยให้ผันแปรไปกับสิ่งที่กระทบ แต่เราต้องรู้จักเอาสิ่งที่กระทบมาอยู่ในมือเรา และเราต้องควบคุมให้ได้ อย่าปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้มา แต่จงทำทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับชีวิตเราเอง ใช่ว่าเขาพูดร้ายแล้วเราต้องร้าย ใช่ว่าเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเราจะดีไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  
ฉะนั้นจำไว้นะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา อย่าโทษฟ้าอย่าโทษดิน อย่าโทษคนอื่น ชะตาชีวิตเราเป็นผู้กำหนดได้ จะดีหรือจะชั่วหาใช่ผู้อื่นกำหนดนะ  ล้วนเกิดจากตัวเองกำหนดตัวเอง   
วันนี้ที่นี่กว่าจะเสร็จได้ก็ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ จากคนหลายๆ ฝ่าย จากคนที่เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก แต่เราอยากบอกว่า เมื่อทำงานร่วมกันแล้ว การกระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา ยอมได้ต้องยอม ถอยได้ต้องถอย  อภัยได้ต้องอภัย ถ้ามัวแต่ถือตัวเองเป็นใหญ่ โดยที่ไม่สนใจคำพูดคนอื่น คนเช่นนี้ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญนะ  ผู้ที่บำเพ็ญแท้จริงคือ ถอยได้เป็นถอย ยอมได้เป็นยอม อภัยได้เป็นอภัย ยิ่งมีอุปสรรคมากเท่าไรยิ่งทำให้ใจเราแข็งแกร่งและก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อย่ากลัวความยากลำบาก  อย่ากลัวการทดสอบ เพราะบททดสอบและความยากลำบากคือตัวพิสูจน์ว่าคนเก่งหรือไม่เก่ง บททดสอบและความยากลำบากคือสิ่งพิสูจน์คนดีหรือไม่ดีอย่างแท้จริง  ฉะนั้นใครจะว่าอย่างไร ฉันจะดีให้ได้ อย่าหวั่นไหวเข้มแข็งไว้ ใครทำดีต้องได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดีเท่านั้น ที่สุดของความดี เคยทำให้ผู้อื่นได้ดีบ้างไหม ที่สุดของการเป็นคนดีคือ เคยสละให้ผู้อื่นเป็นคนดีถึงที่สุดได้ไหม แม้เราจะผิดบ้างให้เขาเป็นผู้ถูก แม้เราจะกลายเป็นร้ายบ้าง แต่ให้เขาเป็นคนดี นั่นแหละคือดีเหนือดี แต่คนในโลก ฉันต้องดีไว้ก่อน ฉันต้องถูกไว้ก่อน เธอผิดเธอร้าย นั่นคือดีสามัญ ดีทางโลกเท่านั้น แต่ดีทางธรรมยังไม่ถึงนะ คนดีทางธรรมคือคนที่ยอมแบกรับความอับอายหวานอมขมกลืนเพื่อผู้อื่นได้
เหนื่อยหน่อยนะ งานธรรมะยังอีกยาวไกล นี่แค่เริ่มต้นเหนื่อยเท่านั้นนะ พยายามเข้านะ หนทางยังอีกยาวไกล ขอให้มีพลังใจสู้ไม่ถอย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551

2551-06-14 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา


西元二○○八年 歲次戊子 月十一日                             仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑             สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

ถึงทุกข์ก็ยังยิ้มได้ เจอร้ายหมั่นอภัยข่ม
ทางโลกแม้ดูน่าชม แต่ซ้อนข่มไว้ภายใน
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านตั้งใจฟังธรรมะหรือเปล่า

วัดค่าคนที่สิ่งภายนอกกาย ลืมเนื้อแท้เห็นในใจด้อยค่า ลืมเนื้อแท้เห็นในใจ ด้อยค่า
เน้นผิดอาจไม่ได้มิตรแท้นา มองออกเป็นเข้าใจว่าอะไรสำคัญ
ปล่อยอารมณ์เหมือนเช่นเปิดปิดไม่เป็น สร้างปมจึงเข็ญใจรับปมนั้น
มองต่างมุมต่างรู้ไยโมโหกัน รับฟังกันมองได้กว้างสุขุมพอ
ชีวิตคือไปที่สุดดังใจไหม แสวงมีแต่ไร้ว่างในรู้พอ
ถมยากเต็มใจเอ๋ยกว่าจะพอ ชีวิตหนออย่ามีติดอะไรมากเกิน
โลภโกรธหลงใช้กันอย่างน่ากลัว ได้คราวยึดคราวเท่าตัวจิตสะเทิ้น
อย่าถือมั่นชั่วทันใครใช่เจริญ บาปมิดใจปลอมสร้างเงินต้องวุ่นวาย

การทิ้งหนี้ยืมจริงมาฝึกนำ สร้างดีหมั่นดีทำเป็นประจำไว้
สามทานช่วยคนดีมีธรรมไป เรื่องโลกีย์นอกใจสู่อย่าหลงเลย
ซื่อตรงในมีดุลเอียงได้ยาก ตรงเกินวุ่นขวานผ่าซากสำรวมเอย
ชอบรักหลงคุ้นเพราะความชินเคย ท้ายเจ็บทั้งใจเพราะเผยนิสัยมา
บำเพ็ญเพื่อกะเทาะเปลือกแห่งกิเลสแห่งธรรม  ทั้งเปลือกและแก่นต่างลำเดียวหนา
อวิชชาอันแฝงรู้ว่างอยู่ตรงหน้า วางปัญญาธรรมในรู้ตนในตน
ฮิ ฮิ หยุด



พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกเสียงพูดตามร่วมกัน เพื่อผ่อนคลายความง่วงนอน)
ตื่นหรือยัง ทำไมยิ่งฟังธรรมะยิ่งหลับล่ะ เขาพูดนิ่มๆ ก็หลับ เขาพูดดังๆ ก็หลับ อาหารอร่อยใช่ไหม (ใช่)  ฟังธรรมเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  โกหกทั้งนั้นเลย ไม่ชอบคนหลอกลวงแล้วทำไมตัวเองยังหลอกลวงอยู่ล่ะ บางทีถ้าง่วงมาก เบื่อมาก ก็ต้องรู้จักปลุกเร้าจิตใจของตัวเองให้กระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  อยากรู้จักชีวิต อยากเข้าใจชีวิต ไม่ใช่หันไปมองคนอื่น ให้หันมามองตัวเองดีกว่า ใครจะทำให้เราสุข ใครจะทำให้เราทุกข์ ใช่คนอื่นไหม (ไม่ใช่)  แต่อยู่ที่ตัวเรา เขายิ้มให้แต่เราไม่ยิ้มก็มีใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาร้องไห้แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องร้องไห้ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าใครยิ้มเราก็ยิ้ม ถ้าใครร้องไห้ เราก็ยิ้ม อย่างนี้เขาเรียกว่าเอาแต่ได้หรือเปล่า เราบอกว่าการอยู่ในโลกนี้ ถ้าเรายิ้มก็มีผลสะเทือนทำให้คนในห้องยิ้มด้วย ถ้าเราร้องไห้ ก็มีผลสะเทือนทำให้คนในห้องร้องไห้ไปด้วย ฉะนั้นถ้าเกิดเรายิ้ม เราก็อาจจะทำให้คนรอบข้างยิ้มได้โดยไม่รู้ตัวถูกหรือไม่ (ถูก)  ถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจหรือเข้าใจก็ตาม ยิ้มเอาไว้ก่อน ก็ทำให้บรรยากาศดูดีขึ้น  แต่ถ้าบรรยากาศแย่แล้วเราก็ยิ่งแย่ มีแต่แย่ลงใช่หรือไม่ ฉะนั้นสู้ยิ้มไว้ดีกว่าไหม
เราอยู่ในโลกนี้ทำอะไรคนเดียวแล้วไม่เดือดร้อนใคร แน่ใจไหมว่าเมื่อเราทำอะไรแล้วไม่เดือดร้อนชาวบ้านชาวเมืองเขา ไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องมีผลกระทบไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าจะเข้าใจชีวิตไม่ต้องมองไกลให้มองนิ้วมือเรา เห็นมือเราไหม  ท่านว่ามือมีอะไร มีนิ้ว ในมือนั้นมีนิ้วที่เท่ากันไหม ในนิ้วห้านิ้ว ท่านคิดว่าเรารักนิ้วทั้งห้าเท่ากันไหม มีทั้งเท่าไม่เท่า แม้แต่ในห้านิ้วตัวเราเองยังให้ความสำคัญไม่เท่ากัน แปลว่าในความต่างของคนในโลกที่เรามองเห็น ย่อมมีทั้งคนที่เรารู้สึกดีและไม่ดี
ฉะนั้น เจอคนในโลกปฏิบัติต่อคนที่สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่เท่ากัน ก็อย่าโกรธ ก็เหมือนกับตัวเราที่ยังรักนิ้วเราไม่เท่ากันเลย ถูกหรือไม่  (ถูก)  แล้วในคนที่ต่างกันนี้ยังมีสิ่งที่เอื้อกันอยู่  ในนิ้วทั้งห้านิ้วนี้ก็ยังอยู่กันเป็นหนึ่งมือ ถึงแม้เราจะมีความรักที่ต่างกัน แต่ว่าเรามองเห็นทุกคนเหมือนๆ  กันไหม ถึงจะรักต่างกันถ้าอารมณ์ดี เราก็มองเป็นหน้ามือ เมื่ออารมณ์ไม่ดีเราก็มองเป็นเหมือนหลังมือ ถึงเราจะชอบต่างกันแต่ในความต่างกันนั้น บางทีอารมณ์ดีก็เป็นหน้ามือ อารมณ์ไม่ดีก็เป็นหลังมือ แล้วในความต่างของคนที่แตกต่างกันนั้นท่านอย่าลืมนะว่าในความต่างมีเหมือนกันคือมีส่วนที่เปิดเผยและส่วนที่ซ่อนเร้น มีสิ่งที่เรียกว่าดีและสิ่งที่เรียกว่าไม่ดี ใช่หรือไม่
อยากจะเข้าใจโลก อยากจะเข้าใจคน อยากจะเข้าใจชีวิตต้องรู้จักมองเห็นตน เข้าใจตนก่อน แล้วเราจะสามารถเห็นผู้อื่นเข้าใจผู้อื่น และรักผู้อื่นได้เชื่อไหม (เชื่อ)  
มองดูมือก็ได้ ถ้าเราเข้าใจมือของเราและมองมือสะท้อนใจในตัวเรา เราจะสามารถสะท้อนเห็นใจผู้อื่นได้ นิ้วห้านิ้วรักเท่ากันไหม ทั้งที่มาจากต้นตระกูลเดียวกันในหนึ่งมือก็ยังรักไม่เท่ากัน ลูกมีกี่คนสองคน สามคน ถามว่ารักเท่ากันไหม รักเท่ากัน แต่จริงๆ แล้วรักเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  อารมณ์ดีก็บอกว่ารักเท่ากัน อารมณ์ไม่ดีก็บอกว่ารักไม่เท่ากัน  ฉะนั้นในตัวคนเราบางทีเราชอบเปรียบว่า ทำไมเขาไม่ยุติธรรมเลย ทำไมสังคมไม่ยุติธรรมเลย ฉะนั้นถามเรากลับว่าตัวเรายุติธรรมไหม ว่าเขาแล้วตัวเรายุติธรรมไหม บางทียังอดลำเอียง บางทีเรายังอดอคติไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะไปว่าคนอื่น โกรธคนอื่น หันมาถามตัวเองก่อนว่าตัวเองเป็นอย่างเขาหรือไม่  ไม่งั้นก็กลายเป็นว่าเขาก็คือว่าตัวเรา เห็นเขาก็คือเห็นตัวเราจริงไหม การศึกษาหลักธรรมเราเรียนรู้เพื่ออะไร เรียนรู้เพื่อเข้าใจชีวิตและนำพาชีวิตตนเองให้ถูกต้อง โดยนำธรรมะมายับยั้งชั่งใจ หรือมาเพื่อประคับประคองหัวใจไม่ให้เลื่อนไถลไปทำสิ่งที่ผิดๆ วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อแค่เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาแล้วก็หลับในหรือเปล่า อย่างนั้นไหม ให้ซึมเข้าไปในใจบ้างนะ แล้วให้ธรรมะเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นตัวเรายิ่งขึ้น เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจตัวเองเราก็จะมองเห็นเข้าใจผู้อื่นได้ เมื่อไรที่เราเห็นตัวเองเข้าใจชีวิตตัวเองแล้วเราก็จะสามารถรักผู้อื่นและเข้าใจผู้อื่นได้ถูกหรือไม่
แล้วในโลกนี้เรามีมือข้างเดียวไหม เรามีมือกี่ข้าง (สองข้าง)  เราอยู่ในโลกเรามีตัวคนเดียวไหม เรายังมีผู้อื่นที่ต้องอยู่รอบข้างไหม ยามที่เขายังเป็นปกติดีเราคิดทำดีกับเขาไหม ตอนปกติเราไม่เคยพูดคำหวานๆ ทำอะไรดีๆ ใช่หรือไม่ จนกระทั่งเขาเป็นอะไรขึ้นมา เราก็รู้สึกว่าเขาดี เขามีค่าแล้วต้องรีบทำดีกับเขา ถามว่าท่านเคยไหมที่มือซ้ายนวดมือขวา
มือซ้ายจะมานวดมือขวาหรือมือขวาจะมานวดมือซ้ายก็ต่อเมื่อมืออีกข้างหนึ่งเจ็บแล้วทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกัน เราอยู่ในโลกกับคนมากมายเต็มไปหมด คิดทำดีหรือไม่ (ไม่) จนกระทั่งเขาจะแย่แล้วเราจึงจะอยากดีกับเขา
ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อไหร่ที่ท่านนวดมือ  ตอนที่มันเจ็บแล้วต้องรีบประคบประหงมมันไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อท่านทำดีกับพ่อแม่ตอนที่ท่านอายุมากแล้ววัยใกล้ร่วงโรยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเมื่อเราคิดอยากทำดีก็ตอนที่เราเหมือนคนที่ใกล้จะตายแล้วต้องทำดีไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) หรือเมื่อโดนเขาว่าหรือกลัวว่าฉันไม่มีดีเลย ก็เลยต้องรีบทำดีให้เขาเห็นว่าฉันก็มีดีนะ ถูกหรือไม่ (ถูก) ทำไมต้องรอให้ใกล้ๆ จะสูญเสีย ทำไมต้องรอให้ใกล้ๆ จะหมดแล้ว เราจึงคิดสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในชีวิต ทำไมเราไม่เอามือซ้ายนวดมือขวา ตอนที่มือขวายังไม่เป็นอะไรแต่มือซ้ายก็มีใจอยากช่วยเคยไหม (ไม่เคย) เคยไหมเราไม่เมื่อยแต่เราอยากนวดให้กำลังใจอย่างเช่นมือซ้ายนี่ทำงานหนักไหม (ไม่หนัก) แต่ถ้ามือขวาที่ทำงานหนักแต่รู้จักเอาใจมือซ้าย มือซ้ายจะเป็นอย่างไร  (เจ็บ) ทำไมต้องรอเจ็บแล้วค่อยนวด นวดตอนไม่เจ็บได้ไหม (ได้) ทำไมเราต้องทำดีตอนที่เราใกล้จะลาแล้ว ทำไมเราจะต้องช่วยเหลือคนตอนที่แย่แล้ว ทำไมตอนที่เขาดีๆ เราไม่รีบให้กำลังใจรีบทำดีส่งเสริมเขา
ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลกหรืออยู่ในสังคมอย่าให้ตัวเราสูญเสียสิ่งที่มีค่าไปก่อนถึงจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้บังเกิด ลองเอามือซ้ายนวดมือขวาซิ  แล้วกลับกันเอามือขวานวดมือซ้ายซิ เป็นอย่างไร ดีไหม (ดี) คนเราเวลาไม่ปวดแต่รู้จักนวดตัวเองก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมต้องรอให้ปวดเมื่อยแล้วจึงนวด ไม่ช้าไปหรือ ตอนเห็นกันดีๆ ทำไมไม่รู้จักทำดีต่อกัน พอเวลาเขาจะแย่แล้ว เราจึงจะคิดทำดีให้เขา สายไปหรือเปล่า ถ้าเรามาแล้วเราก็ยิ้มๆ ท่านก็ยังอดยิ้มตอบเราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้ตอนนี้จะยังไม่ยิ้ม แต่สักวันหนึ่ง หากมีคนยิ้มให้มากๆ เราจะยังไม่ยิ้มเลยหรือ เห็นคนยิ้มมากๆ  จะหน้าบึ้งได้ท่านก็เก่งเหมือนกันนะ  เป็นธรรมดาเรามาอย่างนี้ท่านต้องสงสัยแน่ว่าเป็นเด็กหรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เราจะรู้จักกันได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่มอง แล้วเราไม่คิด หรือเอาแต่คิด โดยไม่มองหรือหลับตาไม่ต้องมอง ใช้ความคิดอย่างเดียวได้ไหม  ในเมื่อเรามีตาก็ต้องมอง  มองแล้วก็ต้องมองให้เห็น มองแล้วก็ต้องมองให้ชัด มองแล้วก็ต้องมองให้รอบคอบ  อย่าเอาแต่มองโดยที่ไม่คิด   
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม “ต้าเซี่ยวฝอถง”) ต้าเซี่ยว แปลว่า ยิ้มใหญ่ๆ  ยิ้มกว้างๆ  
ตอนนี้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร  แต่ตอนนี้เราใหญ่ที่สุด ถ้าเราว่านั่ง ท่านก็ได้นั่ง แต่ถ้าเราว่ายืน ท่านก็ต้องยืน ท่านอยากนั่งหรืออยากยืน ไม่ตอบ แปลว่ายังไม่อยากนั่ง  เสียงเบาๆ  แปลว่ายังไม่เต็มใจอยากนั่ง ตอนบอกให้นั่ง อยากนั่งไหม ถามว่าตอนจะขึ้นมาห้องนี้ คิดแล้วคิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าห้องนี้ไม่เย็นคงจะนั่งอยู่ข้างล่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)   งั้นตอนนี้คิดถึงเก้าอี้ไหม (คิดถึง)
ในโลกนี้ชีวิตไม่แน่ไม่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงต้นไม้จะสูงใหญ่ขนาดไหน ก็ยังมีวันล้มได้ หญ้าถึงจะต่ำเตี้ยขนาดไหน ก็ยังมีคนถอนทิ้งหรือเหยียบย่ำได้  ชีวิตถึงมีเงินทองมากมายหรือน้อยก็ตาม สักวันหนึ่งก็คงมีวันสูญเสีย ใช่หรือเปล่า  ขึ้นไปสู่ที่สูงอย่างไร สักวันก็ต้องลงต่ำ  ลงต่ำขนาดไหน เราว่าต่ำแล้ว ยังต่ำเตี้ยได้อีกใช่หรือไม่ (ใช่)  
ในชะตาชีวิตที่ไม่แน่นอน มนุษย์ที่รู้จักไม่ยอมแพ้ มนุษย์ที่รู้จักปรับปรุงตัว มนุษย์ที่รู้จักยืดหยุ่นชีวิตตัวเองได้เป็น อยู่ที่ใดก็ไม่มีวันทุกข์  แม้ที่นั่นจะเป็นที่ลำบากที่สุดเขาก็ยังแปลเป็นที่ๆ มีความสุขได้ ด้วยสติปัญญาเป็นผู้กำกับควบคุม ท่านเคยเห็นไหม สิ่งที่เรียกว่าปุ๋ยเกิดจากของเน่าๆ  เสียๆ  มารวมตัวกัน ใช่หรือไม่  (ใช่)  ต้นไม้ยังแปลสิ่งที่เน่าเสียให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงาม ผลไม้ที่หอมหวาน และผลเก็บเกี่ยวที่มั่งมีได้  อะไรในตัวเราที่สามารถแปลความทุกข์ให้เป็นความสุข ถ้าไม่ใช่สติปัญญาที่รู้จักควบคุมชีวิต ใช่หรือไม่  สติปัญญาที่รู้จัก อดทนได้ สู้ได้ ลำบากได้ เมื่อยได้ ยืนนานได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ลำบากขนาดไหนก็มีสุขได้ใช่หรือไม่  แม้ยืนเป็นชั่วโมงก็ยังยืนอย่างยิ้มได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ในสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นที่สุด ต้นไม้ยังแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้อันสวยงาม ผลไม้อันหอมหวาน แต่ในทางกลับกัน ดอกไม้อันสวยงาม และผลไม้อันหอมหวาน ก็สามารถกลับกลายเป็นปฏิกูลอันเน่าเหม็นที่สุดได้
ฉะนั้นเมื่อเรายืนอยู่ตรงนี้ เราคิดว่าสู้ไหว เราสู้ได้ แต่บางครั้งมันก็กลายเป็นความทุกข์ที่เจ็บปวดได้เหมือนกัน เหมือนกันเราเคยมีความสุขเพราะเงินทอง แต่ในทางกลับกัน เงินทองก็กลับทำให้เราทุกข์ที่สุด เราเคยมีความสุขกับความมั่งมี แต่ความมั่งมีก็ทำให้เราทุกข์ได้เหมือนกัน เราเคยมีความสุขกับการมีคนรัก แต่บางครั้งคนรักก็ทำให้เราเจ็บสาหัสสากรรจ์ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยอิ่มอร่อยกับเหล้า บุหรี่ แต่นานๆ ไป เหล้า บุหรี่ก็ทำให้เราตายได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น เราเคยมีความสุขกับเก้าอี้ แต่เก้าอี้ก็ทำให้เราเจ็บเมื่อยขาได้เหมือนกัน ตัวเองสบายแล้วก็อย่าลืมหันไปมองคนอื่นที่กำลังลำบากด้วย
ไม่ว่ามนุษย์จะสูงต่ำดำขาวก็ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกหรือวัดค่าแค่เพียงภายนอกใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะฉะนั้นใครๆ ก็ไม่อยากให้คนอื่นมาดูถูกหรือวัดค่าเราเพียงแค่มองดูภายนอก แล้วตีค่าเราอย่างผิดๆ มองอะไรก็ต้องมองให้ลึกซึ้ง มองอะไรก็ต้องมองให้หมด แต่ความเป็นจริงของมนุษย์เราสามารถเก็บรายละเอียด หรือสามารถรู้ชัดชีวิตของคนๆ หนึ่งได้ไหม บางทีท่านบอกว่ามีกล้องถ่ายรูปไว้เพื่ออะไรนะ เพื่อเก็บภาพที่ดีๆ ไว้เป็นที่ระลึก ภาพนั้นสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เราถ่ายทอดตรงนั้นหมดไหม (ไม่หมด)  แล้วถ้าเกิดเราเอาวีดีโอไปถ่าย  ถ่ายความรู้สึกได้หมดไหม (ไม่หมด)  เพราะว่ายังมีบางส่วนที่เราไม่สามารถเก็บได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์ที่พูดว่าฉันรู้จักเขาดี ฉันเห็นเขาดีพอ ฉันมองเห็นหน้าเขาก็เห็นไปถึงไส้ถึงพุงถึงตับ เห็นจริงๆ ไหม (ไม่)  แล้วทำไมถึงพูดฉันเดาได้เลยนิสัยยังไง เดาได้ไหม (ไม่ได้)  
ฉะนั้นชีวิตคนมีต่อไปไม่จบสิ้น วันนี้เรามองเห็นเขา แต่ก็อย่าเอาสิ่งที่เราเห็นมาตีวัดค่าเขาทั้งชีวิตไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราเห็นเขาแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แล้วอย่าลืมนะว่าในอารมณ์ของมนุษย์ทุกคนมีอารมณ์ชั่วแล่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่เป็นชั่วแล่นที่มีมาบ่อยๆ พอมันชั่วไปทีมันก็แล่นไปทีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปล่อยให้ชั่วแล่นบ่อยไหม ฉะนั้นอย่าเอาอารมณ์ชั่วแล่นมาตีค่าว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราจะมองว่าคนในโลกเลวไปทั้งหมดได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เขาทำผิดทีหนึ่งแล้ววัดค่าเขาเลวทั้งชีวิตได้ไหม เขาหลอกท่านทีหนึ่งแล้วท่านก็เลยกลัวเขาหลอกตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  ก็อดกลัวไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในสังคมด้วยกัน อยู่ด้วยความระวังได้ แต่อย่าอยู่ด้วยความระแวง เพราะถ้าเราอยู่กันอย่างระแวงแล้วเราจะมีแต่คอยจับผิด ไม่มีความสุขถูกหรือไม่ (ถูก)  
เวลาเราโกรธทีหนึ่งเราปิดก๊อกโกรธทันไหม มันโกรธแล้วทำลายคนอื่นไปทั่วถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาเราหลงทีหนึ่งเราหยุดหลงด้วยการยั้งสติให้เป็น เวลารักทีหนึ่งเราจะหยุดรักหรือรักให้พอประมาณได้ไหม  ไม่ค่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดคิดจะมีอะไรที่จะเป็นอารมณ์ เราจึงต้องรู้จักระมัดระวังและควบคุมให้ดี ก่อนที่จะปล่อยออกไป  มิฉะนั้นแล้วโทษที่เกิดขึ้นจะแก้ไม่ทันการณ์ แล้วชีวิตเราจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะอารมณ์ชั่วแล่น ชื่อก็บอกแล้วว่ามันชั่วแล้วก็แล่น ใครได้ไปก็ชั่วแล่น  ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่
 มนุษย์เวลาที่โดนคนอื่นใส่อารมณ์  โดนคนอื่นกระทำด้วยความรุนแรง  เรามักจะบอกว่าตัวเราเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราโดนคนอื่นต่อว่า  เวลาที่เราโดนคนอื่นโมโหใส่  เวลาที่เราโดนคนอื่นดูถูกเหยียดหยามด้วยถ้อยคำเจ็บปวด  เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ที่น่าสงสารใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็คิดว่าเราเป็นผู้ที่ได้รับความทุกข์อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การศึกษาธรรมไม่ใช่แค่ให้มองว่าเราเป็นผู้รับทุกข์  แต่ให้มองเปิดกว้างใช้สติปัญญา เราจะบอกท่านว่า ถ้าเรามีสุข คนรอบข้างย่อมมีสุข แต่เมื่อไหร่เรามีทุกข์  เราย่อมอยากจะระบายความทุกข์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เขาระบายอารมณ์ใส่เราหรือทำนิสัยไม่ดีใส่เรา แปลว่าเขากำลังมีทุกข์ไม่ต่างจากเรา เรามักคิดว่าเขาไม่ทุกข์ แต่คนที่รับนั้นกำลังทุกข์ ใช่หรือเปล่า
ถามจริงๆ นะ เวลาที่ท่านจะโมโหหรือบ่นคนนั้น ใช่หรือไม่เพราะท่านนั้นทุกข์อยู่ภายในแล้วระบายออกมา ถ้าเรายิ้มคนรอบข้างก็ต้องอยากยิ้ม แต่ถ้าตอนนี้เราทุกข์คนรอบข้างก็ทุกข์ แล้วสิ่งที่เราปล่อยออกมาก็น่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเราเป็นผู้รับทุกข์อย่างเดียว คนที่กำลังพ่นออกมาก็มีทุกข์ไม่ต่างจากเราเหมือนกัน แต่เพราะอะไรนะ เราถึงมองเห็นแต่ตัวเอง จึงไม่เห็นใจเขา
ยกตัวอย่างง่ายๆ  มนุษย์เรานั้นมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข มีสิทธิ์ที่จะแปลทุกข์ให้เป็นสุข แต่สิทธิ์ที่เรามีนั้น บางทีใช้ไปในทางที่ผิด ควรจะสุขแต่กลายเป็นทุกข์ ควรจะทุกข์ กลายเป็นยิ่งทุกข์หนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราดำเนินชีวิตผิดไปจากนี้หรือเปล่า   ยกตัวอย่างเช่น เรามีมือสองมือ แล้วเรามีสุขกับมือสองมือนี้ไหม (มี)  เราแค่บอกว่ามีมือสองมือก็มีสุขแล้ว  งั้นใครบอกว่ามีมือสองมือมีสุขแล้ว ก็ห้ามทาเล็บ คนที่บอกว่ามีมือสองมือเปล่าๆ ก็มีสุขแล้วก็ไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องทา ไม่ต้องเสริมอะไร ก็มีสุขใช่หรือไม่ แต่โดยปกติ เรามักลืมคุณค่าของสิ่งที่เรามี แล้วไปฝันหวานกับสิ่งที่เราไม่มี แล้วบดขยี้สิ่งที่เรามีอย่างไร้คุณค่า ทำไมเราจึงพูดอย่างง่ายๆ
ถามว่ามีสองมือมีสุขไหม ถ้าทาเล็บสักหน่อยฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ฉันจะมีความสุขได้ถ้าเล็บมันยาวมากกว่านี้หน่อยนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้พอใจไหม (ไม่)  เกลียดจังเลยได้เล็บสั้นๆ ถ้ามันยาวกว่านี้คงจะสวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เลยพยายามทำอย่างไรก็ได้ให้เล็บมันยาว ให้สวยๆ  แล้วเราก็วิ่งไปทำงาน โดยใช้มือนี้แหละ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้เล็บนั้นสวย ทาเล็บแล้ว เล็บยาวแล้ว พอไหม (ไม่พอ)  ต้องมีอะไรอีก ต้องมีแหวน คนอื่นเขามีระยิบระยับเรามีมือเปล่าไม่สวยเลย ต้องมีแหวน สักนิ้วหนึ่ง นิ้วไหนที่ฉันชอบมากที่สุด ฉันก็ต้องใส่นิ้วนั้น แล้วเราก็เหนื่อยกับการเอามือไปทำงานๆ  เพื่อจะได้มีแหวนสักหนึ่งวง มีความสุขหรือยัง (ยัง) แต่ก่อนบอกว่าเล็บยาว เล็บสีสวยก็สุขแล้ว  พอมีแหวนวงหนึ่งเราก็อยากได้แหวนอีกวงหนึ่ง ก็เพราะว่าแหวนหนึ่งวงใครๆ เขาก็มี เราก็ต้องมีเป็นสองวง  ส่วนผู้ชายแหวนวงเดียวพอไหม  ข้อมือต้องมีอะไร (นาฬิกา) ราคาร้อยเก้าสิบเก้าเอาไหม ทำไมไม่เอา (ยี่ห้อไม่รู้จัก)  ต้องมียี่ห้อใช่ไหม มือก็ต้องเหนื่อยทำงานหนักอีก เพื่อไปหาเงินมาให้มีแหวนมาใส่ หานาฬิกามาใส่ พอไหม (ไม่พอ)  มีแหวนแล้ว นาฬิกาแล้ว พอไหม มันตกยุคแล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่ พอมีครบแล้วมือเป็นอย่างไร  ตอนนั้นจะใส่อะไรก็ใส่ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร เพราะมือทำงานหนักจนนิ้วมันล็อกขยับไม่ได้ ไม่สามารถจะใส่อะไรให้มันสวยได้ ต้องมานั่งนวด  เพราะเราลืมคุณค่าของนิ้วมือธรรมดาที่เราควรมี กลับไปหลงสิ่งที่แต่งเติมจนลืมสาระอันเป็นแก่นแท้ของมือใช่ไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนมีความสุขที่สุดแล้ว ขอให้มีเงินมีทอง แต่เราจะบอกท่านไว้ มีเงินมีทองไม่สู้มีสุขภาพแข็งแรง มีเงินมากมาย แต่หากว่าร่างกายไม่แข็งแรงหาเงินมารักษาก็หมด ฉะนั้นเราอย่าลืมคุณค่าที่เราควรมี  ที่เราพอใจพื้นฐานด้วย  สุขภาพแข็งแรงดีแล้ว มีมือสั้นๆ ไม่เป็นไรน่ารักแล้วที่มันยังขยับได้ ดีกว่าไปโลภมาก จนนิ้วมันล็อกแข็ง  แหวนสวยแล้วใส่ได้ไหม นาฬิกาหลายเรือนใส่ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะไม่มีประโยชน์มือมันแข็งแล้ว เพราะตอนนี้เรากำลังหาเงินเพื่อรักษาชีวิตใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่าลืมคุณค่าที่เราควรมี ความพอใจพื้นฐานอันเป็นสุข ก็คือ มีร่างกายที่แข็งแรง ฉะนั้นถามว่าชีวิตนี้อะไรสำคัญที่สุด ใช่เงินไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นอย่าหาเงินจนลืมดูแลร่างกายและหัวใจตัวเอง บางทีมีของทุกอย่างที่เราอยากจะมี แต่ใจไม่เป็นสุข เพราะเติมเท่าไหร่มันก็ไม่เต็ม  สู้พอใจง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ ยิ่งพอใจยากๆ ยิ่งมัวฝันกลางวัน ฝันแล้วไปถึงฝั่งหรือเปล่า (ไม่ถึง)  กว่าจะไปถึงก็ทุกข์ทรมานด้วยซ้ำไป
ใช่ไหม ตอนเด็กๆ  ติดเกม พอโตก็ติดผู้หญิง พอแก่ก็ติดอะไร (ติดลูกหลาน)  ชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีเลย ชีวิตนี้อย่าติดอะไรจนลืมยับยั้งชั่งใจตัวเอง เมื่อสักครู่นวดแขนซ้าย แขนขวาแล้ว ต่อไปก็ให้นวดให้คนข้างๆ ดูบ้าง ทำให้คนอื่นสบายดีไหม หายเมื่อยไหม หายง่วงหรือยัง (หายแล้ว)  การทำให้ผู้อื่นมีสุขตัวเองก็กลายเป็นคนมีสุขด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  การทำให้ผู้อื่นยิ้มทำให้ตัวเองก็ยิ้มด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ้มคนเดียวไม่สนุกหรอกสู้ทำให้ผู้อื่นยิ้ม สู้ทำให้ผู้อื่นสุขดีกว่า เราจะได้ยิ้มกลับมาที่ใหญ่กว่าที่เคยรับรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก อยู่ที่ว่าเรารู้จักที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่นหรือเปล่าใช่ไหม แต่ความสุขอย่างหนึ่งที่หาได้ยากสำหรับมนุษย์ก็คืออะไร มนุษย์เวลาอยู่ร่วมกันมักชอบจับผิดมากกว่าจับถูก  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนเล่นจับผิดจับถูก)  เวลาเราจับผิดจับง่ายไหม เวลาเราจับตัวเราจับถูกจับยากไหม (ง่าย)  นี่แหละนิสัยมนุษย์ที่ทำให้เรามีสุขยาก  เพราะเราถนัดจับผิดมากกว่าจับถูก  ฉะนั้นการที่เราอยู่ในสังคมด้วยกันทำไมเราไม่มีสุข เพราะว่าเราเห็นคนอื่นขัดหูขัดตาใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครทำผิดนอกลู่นอกทางเราก็เลยรับไม่ได้ พอเรารับไม่ได้เราก็หน้าบึ้ง แล้วก็ระแวง พอระแวงแล้วก็เกลียด เลยอยู่กับเขามีความสุขไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นการอยู่ด้วยกันนั้นสิ่งที่เราควรกระทำแล้วทำให้เรามีความสุขก็คือ ขยายสิ่งที่ดี แล้วพยายามมองไม่เห็นสิ่งที่ร้าย ถามท่านนะ พอเห็นคนเดินมาหัวเถิก หัวล้าน อยากคบไหม บางทีเจอหน้ากันยังไม่ทันรู้จักทักว่า คุณยายแก่แล้ว คุณยายก็โกรธเด็กคนนี้แล้วใช่ไหม แต่ถ้าทักว่า คุณยายหน้าใสจัง ก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ด้วยกันแม้เราจะเห็นเขาไม่ถูก อย่าพยายามขยาย เพราะยิ่งขยายแล้วไม่มีใครชอบถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็เหมือนเวลาเรายิ้ม ใครๆ ก็อยากได้คนยิ้ม ไม่ใช่เดินเข้ามาทำหน้าบึ้งถูกไหม (ถูก)  เหมือนกันเวลาเราอยู่ร่วมกันเราก็อย่าพยายามจับผิดกัน พยายามขยายสิ่งที่ดี  
กลับมาดูในมือเรา หน้ามือกับหลังมือเป็นสิ่งที่ขาดจากกันได้ไหม (ไม่ได้)  มีหน้ามือก็ต้องมีหลังมือ  มีส่วนดีก็ต้องมีส่วนเสีย แต่ทำไมหลังมือจึงไม่มีอิทธิพลเหมือนกับหน้ามือ เพราะมนุษย์รู้จักใช้หน้ามือมากกว่า แล้วขยายบทบาทของหน้ามือจนทำให้หลังมือนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรมากมายเท่าไหร่ เราจะบอกว่า ถึงเขาจะมีส่วนร้าย หรือแม้แต่ตัวเราล้วนมีส่วนที่ดี แล้วก็ส่วนที่ไม่ดี แต่ถ้าเรารู้จักขยายส่วนดีของเขา แล้วพยายามชมส่วนที่ดีของเขาบ่อยๆ เขาจะร้ายให้เราเห็นไหม
เคยเจอไหมเวลาเขาร้ายมาแล้วเราร้ายกว่าเขาเข้าไปอีก เรายิ่งร้ายมันเลยไม่ต้องกลายเป็นดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ด้วยกันต่างคนต่างปล่อยร้ายใส่กันดีหรือเปล่า (ไม่ดี) แล้วมีความสุขไหม ฉะนั้นอยู่ด้วยกันใช้หน้ามือให้เป็นประโยชน์ ใช้ส่วนที่ดีให้เป็นประโยชน์ แล้วส่วนที่ร้ายถึงแม้จะมีอยู่ในใจก็ทำอันตรายอะไรใครไม่ได้เพราะเราขยายแต่สิ่งที่ดีที่อยู่ในใจไม่ใช่ขยายของเราแต่ยังรู้จักขยายสิ่งที่อยู่ในใจของเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ด้วยกันพยายามพูดดีๆ และพยายามเปิดทางให้เขาทำแต่สิ่งที่ดี
แต่เราต้องพยายามปิดตาข้างหนึ่งให้ลงนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตาเรานี้บางครั้งเปิด บางครั้งปิด หูเราก็เหมือนกันไม่มีใครอุดหูเราได้ แต่เราอุดใจไม่ฟังได้ ฉะนั้นเห็นเขาทำอะไรที่มันเกินไปบ้าง ผิดไปบ้าง ก็ให้อภัยได้ไหม (ได้) ยอมกันได้อดทนได้ก็มีสุข    
เรายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีอาจารย์คนหนึ่งมีลูกศิษย์สองคน อาจารย์จะทำอย่างไรดีล่ะที่จะให้ลูกศิษย์ช่วยดูแลรับผิดชอบ อาจารย์ก็เลยบอกว่า เอาลูกศิษย์คนนี้ดูแลขาข้างขวาและร่างกายของอาจารย์ข้างขวา เธอเป็นเหมือนมือข้างขวาของอาจารย์ อีกคนเป็นเหมือนมือข้างซ้าย ถ้าอาจารย์ปวดด้านนี้ศิษย์ต้องช่วยอาจารย์ด้านนี้นะและเขาเป็นอย่างไรต่างคนต่างช่วยประคบประหงม คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาใช่หรือไม่ (ใช่) วันไหนอาจารย์บอกว่ามือขวาสบายจริงๆ มือซ้ายก็ต้องรีบทำให้สบายด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เป็นอย่างไรอดไม่ได้ อิจฉา ข้างซ้ายเห็นข้างขวาดีกว่าเวลาข้างขวาไม่อยู่ทำอย่างไร แอบเอาไม้มาตีขาอาจารย์ แอบเอามีดมากรีดแขนอาจารย์ อาจารย์ร้องโอ้ยๆ และถามว่าทำทำไมล่ะ  ก็มันไม่ใช่ของผมนี่อาจารย์ต้องโทษมันสิ มันดูแลไม่ดี ข้างขวามาเห็นยอมได้ไหมทำสิ่งที่ฉันดูแลอยู่ เอาไม้กระบองมาตี เอามีดมากรีด ใช่ไหม (ใช่) เราก็เหมือนกันอยู่ในครอบครัวเดียวกัน พูดให้เขาเจ็บก็เหมือนทำให้เราเจ็บด้วยคนในบ้านก็ทุกข์ด้วยจริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นตัวอาจารย์ก็เหมือนครอบครัว แขนซ้ายแขนขวาก็เหมือนสามีภรรยาพูดให้เขาเจ็บแล้วเราไม่เจ็บหรือแล้วครอบครัวไม่แย่หรือ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ลูกไม่ฟังพ่อแม่ก็ไม่ต่างจากคนที่ทำร้ายอาจารย์ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่างเผลอเป็นแบบนั้นนะ
มนุษย์ที่ไม่มีความสุขอีกแบบหนึ่งคือมนุษย์ที่เกลียดตัวเอง  ใครรักตัวเองบ้าง ไม่มีใครเกลียดตัวเองเลยหรือ  เราจะพูดเรื่องรักก่อน มาดูซิว่าเรารักตัวเองเป็นไหม ถ้ารักตัวเองไม่เป็นก็คือคนที่เกลียดตัวเองนั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามหน่อยว่าเคยอยู่กับตัวเองเฉยๆ  ถึงห้านาทีไหม  อยู่เฉยๆ  แล้วไม่วุ่นวาย ไม่กระสับกระส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน เราก็มีสุขได้ คนที่รักตัวเองจริง ต้องอยู่เฉยๆ  กับตัวเองแล้วอยู่ได้ แม้ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรอยู่เฉยๆ ไม่ต้องดูทีวี ไม่ต้องฟังวิทยุ ไม่ต้องอ่านหนังสือ ก็มีสุขได้
คนที่อยู่เฉยๆ ก็มีความสุขได้ แต่มนุษย์ที่พูดว่ารักตัวเอง แท้จริงแล้วไม่ได้รักตัวเอง เพราะพอถึงเวลาแล้วก็บอกว่าฉันไปโน่นดีกว่า ไปนี่ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอออกไปจนเหนื่อยแล้ว กลับมานั่งเฉยๆ ไม่ได้ ต้องกดดูทีวี ถนัดที่จะอยู่ข้างนอกมากกว่าที่จะอยู่กับตัวเอง พออยู่กับตัวเองก็เหงา เบื่อ ซึม เศร้า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่ารักตัวเองหรือ คนที่รักตัวเองแม้เขาจะนั่งเฉยๆ ก็มีความสุขได้ เคยเห็นคนที่นั่งเฉยๆ แล้วฮำเพลงได้ทั้งวันไหม (เคย)  แต่เราจะบอกว่าคนที่มีความสุขและรักตัวเองได้คือคนที่อยู่เฉยๆ ก็มีความสุขได้ คนที่ไม่รักตัวเองก็คือคนที่วิ่งไปหาสิ่งโน้นสิ่งนี้มาปรนเปรอชีวิต พอวิ่งหากลับมีความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเวลาก็ต้องวิ่งออกไปใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เขาไม่เรียกว่ารักตัวเอง เขาเรียกว่าถนัดที่จะทำร้ายตัวเองมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่รักตัวเองอย่างแท้จริงก็คือคนที่สามารถอยู่กับความสงบก็พึงพอใจและมีความสุขได้ แต่มนุษย์เราในโลกกลับเป็นคนที่เมื่ออยู่กับตัวเองแล้วรู้สึกเหงา หงอย ซึม เบื่อจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่แสวงหามานั้นใช่ความสุขที่แท้จริงไหม ความสุขที่แท้จริงของชีวิตคือความสุขอันสงบ ความสุขอันว่างเปล่า เป็นความว่างที่ไม่ทำให้เรากลุ้ม เป็นความว่างที่ทำให้เราเดินไปสู่ความร่มเย็น ไม่มีความวิตกทุกข์ร้อน นี่คือความสุขอันแท้จริง
มนุษย์ถนัดหาแต่ความสุขอย่างหยาบ แต่ไม่ถนัดหาความสุขอันละเอียด ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์ชอบปลอบประโลมใจทางด้านหยาบมากกว่าปลอบประโลมใจในเรื่องละเอียดละออ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่รักตัวเองแท้จริงแล้วยังรักตัวเองไม่เป็น เมื่อรักตัวเองไม่เป็นก็พลอยที่จะเกลียดตัวเองและเบื่อที่ตัวเองปล่อยชีวิตไปวันๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอปล่อยไปมากๆ ก็เริ่มบอกว่าไปเที่ยวก็เบื่อแล้ว เจอคนนั้น คนนี้ก็เบื่อแล้ว เลยมีชีวิตที่เกลียดไปหมด เบื่อไปหมด ฉะนั้นคนที่มีสติปัญญาในการดำเนินชีวิต เขาจะไม่ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า แต่เขาจะรู้จักสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เกิดคุณประโยชน์อันมีความสุขที่แท้จริง
มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแล้ว ก็ขอให้ดีตลอดไปนะ  ฉะนั้นวันนี้ท่านมาศึกษาหลักธรรม ไม่ใช่มาเพื่อกลับมาเป็นคนเดิมที่เบื่ออะไรง่าย ทนอะไรไม่เป็น แต่การมาศึกษาหลักธรรมวันนี้ ที่ท่านต้องเอาไปใช้ให้ได้ดีที่สุดคือ เป็นคนอดทนได้ อดทนเป็น ถ้าชีวิตนี้เรื่องง่ายๆ ยังอดทนไม่ได้อดทนไม่เป็นชีวิตนี้ก็หาความสุขยากแล้วนะใช่ไหม (ใช่)  เรื่องลำบากมารุมเร้าในชีวิตยังใช้สติปัญญาแก้ไขยืดหยุ่นพลิกแพลงให้กลายเป็นความสุขไม่ได้ แล้วชีวิตนี้เมื่อเจอทุกข์แล้วจะแก้ได้ไหม  
มีวันหนึ่งเราเห็นนักเรียนในนี้เป็นแบบนี้  ใครมีรถมอเตอร์ไซค์  แล้วคนมีรถมอเตอร์ไซค์เคยเดินถนนไหม  ใครมีรถยนต์  คนมีรถยนต์เคยเดินถนนไหม (เคย)  ท่านเคยไหม วันนี้ไม่ขับรถไปข้างนอก แต่วันนี้ตั้งใจว่าจะไปซื้อของ พออารมณ์ดีคิดว่าเดี๋ยวจะทำโน้นทำนี่ไปซื้อของเพื่อเอามาใช้ในบ้าน  ก็เลยออกจากบ้านแต่เช้า แล้วก็คิดว่าต้องซื้อนั่นซื้อนี่ แต่ช่วงที่เดินไปนั้นกำลังข้ามถนนไม่ทันระวัง เสียงแตรรถก็ดังขึ้น ทำให้สะดุ้งตกใจว่ารถเกือบจะชนแล้ว บางครั้งคนขับรถมองด้วยตาเขียว แล้วบางทีก็พูดคำหยาบว่า อยากตายหรือ  ไม่ระวังเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนั้นท่านรู้สึกอย่างไร (ตกใจ, เสียใจ) แค่นั้นไหม โกรธคนขับรถไหม (โกรธ)  ทำไมต้องมาว่าเราด้วยนะ พูดดีๆ ก็ได้ เราก็รู้สึกว่าเราไม่ทันตั้งตัว รู้สึกไม่ดีเลย พอไปขึ้นรถปุ๊บคนก็แน่น เบียดก็เบียด มาเที่ยวอะไรกันหนักหนา  วันว่างๆ ทำไมไม่อยู่บ้านนะ เที่ยวอะไรกัน ออกมาทำไม ว่าเขาแต่ทำไมลืมมองตัวเองว่าไม่ต่างกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอจะลงจากรถก็กดกริ่ง ทำไมคนไม่ยอมหลีกทางให้เราบ้างเลย รู้อยู่ว่าเราจะลง  พอลงมาได้ปุ๊ป ร้อนก็ร้อน ซื้อของเสร็จกลับมาได้ความสุขไหม (ไม่ได้)  ได้ความหงุดหงิดใจกลับมา แล้วบ่นอีกว่า ไม่รู้เที่ยวอะไรกันหนักหนา ออกไปเต็มเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นถ้าหันกลับมาย้อนดู เราว่าเขา เราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยใช่ไหม อยู่บ้านว่างๆ ไม่อยู่ แต่เราอยากออกไปข้างนอก ไปเบียดกับผู้คนแล้วเราก็ไปว่าผู้คน แล้วเราก็ว่าตัวเราเอง ถูกไหม เหมือนกันมีบางครั้งที่เราเป็นคนเดินถนน มีบางครั้งที่เราเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์หรือขับรถยนต์ เคยเป็นไหม คนกำลังเดินมาอย่างนี้ เห็นอยู่ว่ารถมา แต่เขายังเผลอเดินตัดหน้ารถเราอีก เราโมโหไหม (โมโห)  ทำไมโมโห เพราะว่าถ้าเราชนเขา เราต้องเกิดเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนั้นเราอยากจะว่าเขาไหม (ว่า)  บางทีบอกว่าไม่อยากจะว่าแต่ปากว่าไปแล้ว เหมือนกันถ้าเราคิดย้อนกลับ เราจะเข้าใจคน คนที่เดินถนน เราก็เคยเป็นคนเดินถนน เราก็เป็นคนที่เคยขับรถยนต์ ขับรถมอเตอร์ไซค์ ฉะนั้นเราต้องหัดเข้าใจคนอื่น และมองเห็นตัวเรา แล้วเราจะสามารถเห็นใจผู้อื่น  
ทำไมออกมาเที่ยวกันเยอะไปหมด ร้อนก็ร้อน  ยังออกมาเที่ยวอีก แล้วตัวเองออกมาเที่ยวไหม  (ออก)  เราขับรถของเราดีๆ มาขับปาดหน้าเรา แล้วเราเคยปาดหน้าเขาไหม เราเคยเดินถนนแล้วไม่ระวังไหม (เคย) คนที่เดินถนนไม่ระวังเราเคยว่าเขาไหม  ฉะนั้นถ้ามองมุมกลับเวลาเจอเรื่องอะไรที่มันเป็นปัญหาหรือเรื่องอะไรที่ไม่สบอารมณ์ อย่าเพิ่งมองออกไปข้างนอกให้หันกลับมาถามตัวเองก่อนว่าเราเคยเป็นอย่างเขาไหม แล้วเราเคยทำอย่างเขาไหม  ฉะนั้นถ้าเราทำอย่างเขา เป็นอย่างเขา  เราจะด่าโทษคนผู้อื่นบ่อยไหม ไม่ด่า ไม่โทษ  แต่เราจะแปลจากความโมโหเป็นความเข้าใจ แปลจากไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจยิ่งขึ้น และจากความไม่เข้าใจ กลายเป็นเห็นใจ และเมตตาเขา เราก็เคยขับรถแล้วคนปาดหน้า แล้วเราก็เคยว่าเขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่
ก่อนที่จะสบอารมณ์ไม่สบอารมณ์ ก็ขอให้ย้อนกลับมามองตัวเราก่อนว่า เราเคยเป็นอย่างนั้นไหม เมื่อเข้าใจเรา เราก็พร้อมที่จะเข้าใจผู้อื่น เมื่อเราสามารถเห็นใจตัวเองได้ เราก็พร้อมที่จะเห็นใจผู้อื่นได้จริงไหม (จริง)  
เขาบอกว่า โทษของเขาเห็นเท่าภูเขา  โทษของเราเห็นเท่าเส้นผม  เจ็บของเขานั้นเบาเหลือทน แต่เจ็บของเราหนักเหลือใจ  ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรมากระทบ มาทำให้เราไม่สบอารมณ์  มาทำให้เราไม่พอใจ ขอให้ย้อนกลับมา แล้วมองว่าเราเคยเป็นอย่างเขาไหม  เคยทำแบบเขาไหม  ถ้าเราคิดได้เราจะเกิดจิตเมตตา  จากโกรธก็มาเปลี่ยนเป็นให้อภัย  เมื่อให้อภัยได้เราก็จะเห็นใจเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความทุกข์ที่จะบังเกิดข้างหน้าก็จะแปรเปลี่ยนสลายให้เกิดเป็นความเข้าใจชีวิตให้มากยิ่งขึ้น  แล้วการที่จะรู้จักย้อนมองส่องตนก็จะทำให้ตัวเองรักคนอื่นได้มากยิ่งขึ้นจริงไหม (จริง)  แล้วเราจะอยู่ในโลกอย่างไม่โกรธใครได้ลง เพราะทุกคนต่างก็เคยผิดพลาด เหมือนเราก็เคยผิดพลาดไม่ต่างจากทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราอยากให้ท่านฟังแล้วคิดด้วย  ไม่ใช่แค่ฟังแล้วไม่คิด ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นจริงได้ไหม และเป็นไปได้ไหม มนุษย์ทุกคนนั้นมีศักยภาพในการเป็นคนดีได้ และนอกจากเป็นคนดีเพื่อตัวเองแล้ว ต้องรู้จักเป็นคนดีเพื่อผู้อื่นด้วย เพราะการที่เราทำดีได้นั้นไม่ใช่ได้ดีแค่ตัวเองเพียงคนเดียว แต่จะทำให้ครอบครัวเรารู้สึกเป็นสุขด้วยและเมื่อไหร่ที่เราร้ายนั้น เราก็ทำให้ครอบครัวนั้นพลอยแย่และร้ายด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อไหร่ที่ท่านมีความสุขคนรอบข้างย่อมได้รับผลสุขของท่าน  เมื่อไรที่ท่านนำพาความทุกข์มาให้ คนรอบข้างก็ย่อมได้รับผลของความทุกข์นั้นเหมือนกันจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์ทำไมอยู่ร่วมกันเราจึงไม่รู้จักสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆ ให้แก่กัน  ทำไมมัวแต่นั่งจับผิดโทษกันไปโทษกันมา ไม่มีวันจบหรอกถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นพยายามขยายสิ่งที่ดีเพื่อบดบังสิ่งที่ร้ายในการอยู่ร่วมกันดีกว่าไหม (ดีกว่า)  
 ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรมเพื่อบ่มเพาะคุณธรรมให้บังเกิดและชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีให้หมดไปจากใจ  มนุษย์ทุกคนมีทั้งหน้ามือและหลังมือ แต่ถ้ารู้จักใช้หน้ามือให้เป็นหลังมือก็ยากที่จะมีอิทธิพลต่อจิตใจได้  มนุษย์มีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่ร้าย  ถ้ารู้จักขยายส่วนที่ดีให้อยู่กับเราบ่อยๆ ให้มีอิทธิพลมีความสัมพันธ์กับเรามากๆ ส่วนที่ร้ายที่อยู่ในใจก็ทำอะไรเราไม่ได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ขอเพียงมนุษย์มีความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะทำอะไรถ้าไร้ความมุ่งมั่น แม้มีดีก็ไม่บังเกิดถูกหรือไม่ (ถูก) เกิดเป็นคนมีทั้งดีและร้าย แต่ถ้าเรามุ่งมั่นจะสร้างแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ร้ายถึงแม้จะมีอยู่แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ จำไว้นะ  และเราก็เชื่อว่าทุกท่านในที่นี่เป็นคนดี แต่อยู่ที่ว่าจะทำดีหรือทำไม่ดีมากกว่ากันใช่ไหม (ใช่)  
อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นทำแต่สิ่งที่ดีๆ ให้แก่กัน อย่ารอให้แขนเมื่อยแล้วจึงคิดอยากจะนวดแขน ไม่เมื่อยไม่เจ็บก็รีบนวดได้ อย่ารอให้สูญเสียสิ่งที่มีค่าแล้วถึงที่จะสร้างสรรค์คุณค่าในชีวิตตัวเอง มันจะช้าไปหรือเปล่า
วันนี้ก็แค่นี้นานพอสมควรแล้วนะ  ฉะนั้นเราไม่ได้มาให้หวย ไม่ให้เล่นหวย ไม่ให้มางมงาย แต่ให้มาเชื่อในความเป็นจริงของชีวิตว่ามนุษย์เรามีสิ่งที่มีค่าและประเสริฐสุดคืออะไร คือส่วนที่อยู่หน้ามือนี่แหละ นั่นก็คือความดีงาม แล้วคนเราจะดีงามได้อย่างไรถ้าปราศจากคุณธรรมของความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)  แล้วคุณธรรมของความเป็นคนคือ ต้องมีเมตตา รู้จักรักผู้อื่น แล้วเราจะรักผู้อื่นได้อย่างไร ถ้าเรายังชอบจับผิดมากกว่าจับถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ชอบปล่อยอารมณ์มากกว่าที่จะยับยั้งชั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ก็แค่นี้แล้วกันไปแล้วนะ  






วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ

ความทุกข์ร้อนเผาใจทุกหย่อมหญ้า ความสงบเย็นพลิกคืนมาชีวิตสดใส
แบกความทุกข์จนเต็มบ่าวางได้ไหม ทุกข์หรือสุขในใจท่านล้วนกำหนดเอง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ทุกเรื่องในชีวิตใช้สติเรียนรู้ อนิจจังผู้แปรเปลี่ยนโลกตามเหตุผล
ทุกข์สุขคือจุดต่างที่ต้องผจญ รู้ที่เริ่มต้นและจบตรงสามัญ
เรื่องอบายมุขชีวิตข้องสุดทางยากดี คนทำดีนั้นอย่าข้องเกี่ยวพัน
คนตั้งใจที่อยู่ในธรรมอนันต์ ใต้ตะวันรู้แท้จิตให้เป็นนาย
ฟังให้เท่าจริงเดิมอันไร้อคติ คิดไม่ทันเห็นไม่ติเขลาไฉน
แม่น้ำมีเพิ่มลดคนมีใจ พูดดีหรือไม่กุญแจอยู่ปัญญาเธอ
เรื่องที่ผันแปรพบเหนือคาดหมาย แม้ความจริงในโลกใช่ดีเสมอ
เรื่องมิวายวุ่นอันตรายอย่าได้เผลอ ประมาทต้องเจอปัญหาที่ตนสร้างเอง
ฮา ฮา หยุด

โลกคงออกตามหา ฉันซึ่งดูแปลกไป หลายคำที่ก้าวร้าวก็เริ่มบ่อย พูดคำที่ทำร้าย ไม่แคร์ใคร อย่างใจร้าย ทำหัวใจเด็กจำเดิมไปไหน
*เงาแห่งวัยเยาว์ยังชัดเจน กฎเกณฑ์อันแข็งขัน ไม่พบสักวันชอบกฎเหล่านี้ ไม่มีใครคอยดึง เคร่งครัดให้เต็มที่ ฉันคงไม่ดีอยู่อย่างนี้
คิดดูจะซาบซึ้ง เมื่อยามคนเราเติบโต ไม่ได้ด้วยตัวเองเท่านั้นพอ อุ้มชูอยู่เบื้องหลัง พ่อเอาใจใส่เพียงนั้น แม่ทุกวันโอบอุ้มเราเพียงไหน
** ตอบแทนบุญคุณกันทุกวัน กล่าวคำที่หวานๆ หวังว่าต้องดีกันขึ้นกว่านี้ สนุกไปวันๆ ทะเลาะแล้วใครดี รู้ตนเองไม่มีสายเกิน (ชีวิตใช่แต่เป็นของตน)
ทำนองเพลง:  ดอกไม้ในหัวใจ
ชื่อเพลง: ชีวิตใช่เป็นของตน








พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ตัวเราก็ยังเป็นตัวเรา เพราะว่าเราไม่เคยย้อนมองเพื่อย้อนมาประพฤติปฏิบัติเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟังธรรมะแล้วต้องได้ธรรมะ กลับไปประพฤติปฏิบัติด้วย การที่จะประพฤติปฏิบัติได้จะต้องยอมแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง การปฏิบัติธรรมคือการยอมที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปจากตัวเรา และสิ่งที่ดีนั้นให้กล้าทำบ่อยๆ ยิ่งขึ้น
จิตใจที่ร้อนรุ่มไปอยู่ที่ใด ก็เผาคนข้างๆ ให้รู้สึกย่ำแย่ไปด้วย แตกต่างกับจิตที่สงบเย็น ใจเย็น สุขุม ไปอยู่ที่ใดคนก็รู้สึกเย็นสบาย และอบอุ่น ถูกหรือไม่ แล้วมนุษย์เราใจเย็นบ่อยหรือใจร้อนบ่อย (ใจร้อน) น่าจะใจร้อนบ่อยมากกว่าใจเย็น ความร้อนนอกจากเผาผู้อื่นแล้วยังเผาและกัดกินใจเราด้วย แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนที่เลือกจะใจร้อนมากกว่าใจเย็นอยู่ดี ถูกหรือเปล่า
“ทุกข์หรือสุขในใจท่านล้วนกำหนดเอง”
“มีสุขเพื่อมีทุกข์ กับมีทุกข์เพื่อมีสุข” ท่านอยากได้อย่างไหนมากกว่ากัน
 ระหว่างมีสุขเพื่อมีทุกข์ กับมีทุกข์เพื่อมีสุข ใครๆ ก็ต้องเลือกอยากที่จะมีทุกข์เพื่อมีสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ลำบากก่อนแล้วค่อยสบาย ทุกข์ก่อนแล้วค่อยสุข แต่ความเป็นจริงสบายกับลำบากต้องเลือกอันไหนก่อน (สบายก่อน)  ทำไมสิ่งที่เลือกกับสิ่งที่กระทำต้องตรงข้ามกัน ระหว่างเสียเพื่อได้ กับได้เพื่อเสีย ท่านเลือกอะไร (เสียเพื่อได้)  ถ้าบอกว่าให้ถูกรางวัลลอตเตอรี่เอาไหม (เอา)  ไหนบอกว่ายอมเสียเพื่อได้ แต่พอมีเรื่องที่ได้ขึ้นมาคว้าทันที อย่างนี้แล้วเรียกว่าอะไร เป็นพวกปากกับใจไม่ตรงกันหรือเปล่า  เสียเพื่อได้ไม่เป็นไร  เสียเพื่อได้  กับได้เพื่อได้ถามว่าเอาอันไหน (เสียเพื่อได้)  แต่ในความเป็นจริงมนุษย์กลับเลือก (ได้เพื่อเสีย)  แล้วก็กลับไปเสียเพื่อได้ แล้วกลับไปได้เพื่อเสีย ก็วนอยู่กับเรื่องพวกนี้ตลอดชีวิต วันนี้ย่อมเสียเวลาเพื่อที่จะได้ฟังธรรมะ แต่พอได้ฟังธรรมะก็ต้องยอมเสียเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะมัวเศร้ากับเรื่องเสียเรื่องได้ทำไม เราเคยคิดที่จะตัดวังวนของเรื่องนี้บ้างไหม
เราเหมือนคนที่กำลังวิ่งวนอยู่ในวัฏฏะของอารมณ์ วัฏฏะของกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)  และเมื่อไหร่ที่ความสุขความทุกข์จะไม่ทำให้ใจเราสั่นไหว เมื่อไหร่ที่กิเลสตัณหาจะไม่ครอบงำใจ และเมื่อไหร่ที่อำนาจของการเกิดการตายจะไม่มีอิทธิพลต่อชีวิต ก็ต่อเมื่อ (บรรลุ, ปล่อยวาง)  เมื่อเราปล่อยวาง ปล่อยวางอะไร (อารมณ์)  ปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางจิตใจ เราเคยคิดหรือเปล่าว่าเรากำลังวิ่งอยู่กับสิ่งที่ไม่มีเพื่อเข้าไปสู่ความมี มีเพื่อมาสู่ความไม่มี ดีใจเพื่อวิ่งเข้าไปสู่ความเสียใจ ให้เป็นเสียใจ เพื่อจะได้วิ่งเข้าไปสู่ความ (ดีใจ)  เราอยากวิ่งกลับไปกลับมาแบบนี้ไหม และเรารู้ไหมว่าเรากำลังวิ่งกลับไปกลับมาในวัฏฏะของความรู้สึกนี้ (รู้)  รู้แล้วทำไมยังต้องเสียใจ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดา เรากำลังจะเสียใจกับสิ่งที่เป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  มีใครในโลกที่ได้แล้วไม่มีเสีย การได้มาต้องมีอะไรเสียไปเสมอ มีใครในโลกบ้างที่มีแต่ความสุขไม่เคยมีความทุกข์ แล้วมีใครในโลกบ้างที่มีแต่ความทุกข์ไม่มีวันมีความสุข (ไม่มี)  มีไหมในชีวิตนี้ ที่เราจะยิ้มได้ทั้งวันโดยที่เราไม่รู้จักคำว่าร้องไห้ ก็ไม่มี บางทีวันนี้ยิ้มเพื่อที่จะได้รู้จักร้องไห้และเข้มแข็งให้เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้ร้องไห้เพื่อพรุ่งนี้จะได้อดทนยิ้มให้ได้
ฉะนั้นเราเกิดมามีชีวิตเพื่อเดินไปสู่ความประจักษ์แจ้งแห่งความเป็นจริงแท้ของการเป็นมนุษย์ในธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยู่ในสังคมต้องมีกฎเกณฑ์ของสังคม กฎระเบียบของบ้านเมือง แล้วตอนนี้เราอยู่กับชีวิต เราคิดว่าชีวิตไม่มีกฎเกณฑ์หรือไม่ มีไหม (มี)  แล้วกฎเกณฑ์ของชีวิตคืออะไร ความตายถูกหรือไม่ ความตายคือกฎเกณฑ์ของทุกชีวิตที่จะต้องเจอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เกิดมาแล้วก็ต้องตาย มีเพื่อไปสู่ความไม่มี นี่คือกฎเกณฑ์หนึ่งของชีวิตที่มนุษย์ทุกคนจะต้องพึงตั้งสติไว้ว่าอย่าประมาท เกิดมาต้องตายไป ความมีเดินไปสู่ความไร้ แต่จริงๆ แล้วเรามาจากความมี หรือมาจากความไร้ (เปล่า ไร้)  แท้จริงเรามาจากความไร้ เพื่อกลับไปสู่ความไร้เหมือนเดิม ฉะนั้นกฎของธรรมชาติที่ท่านต้องรู้ไว้มีไม่กี่ข้อ
หน้าของคนสบายดีเป็นแบบนี้หรือ  หน้าเหมือนคนอมทุกข์มากกว่าเต็มไปด้วยความสบายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้นและนั่งลง ขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่ใช่ยืนตลอดแต่ต้องมีทั้งยืนและนั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  กฎเกณฑ์ของธรรมชาติชีวิตคืออะไรเมื่อสักครู่มีคนตอบว่าความเกิด ความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) (เกิดแล้วก็ตาย) นั้นก็คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านรู้หรือไม่ว่ายังมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นอีก
อีกท่านที่ตอบว่าอะไรนะ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย, อะไรจะเกิดก็เกิด ไม่สามารถบังคับได้ตามกรรมที่เราสร้าง ) ถ้าพูดให้สละสลวยคือ “ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง” นี่คือฟังให้เพราะหน่อย พูดให้น่าเข้าใจหน่อย คือบางทีเราถามว่า ทำไมคนนั้นเป็นแบบนี้ ทำไมเรื่องจึงต้องเกิดกับคนเช่นนี้ จริงๆ คนแบบนี้ไม่น่าเป็นแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ เพราะอะไร เป็นเช่นนั้น เพราะอะไรเป็นเช่นนี้ นั่นคือความเป็นจริงของชีวิต ทำไมพ่อแม่ดี แต่ลูกกลับไม่ได้ดี ทำไมเราทำดีแต่กลับได้สิ่งที่ไม่ดีตอบแทน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีเราพยายามควบคุมบอกทิศทางให้เขารู้แค่ไหน แต่ถ้าหากเขาไม่เอา  เขาก็เป็นเช่นนั้นของเขาเอง เหมือนทุกคนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง ไม่มีใครที่จะควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงเขาได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) ในความเกิดแก่เจ็บตาย นั้นคือความไม่มีอะไร  (ความไม่มีโลภ เป็นลาภอันประเสริฐ) ทำไมกลายเป็นความไม่มีโลภ เป็นลาภอันประเสริฐล่ะ  ท่านตอบว่า คือ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต) ความไม่แน่นอน ถูกหรือไม่ (ถูก)  สัจจธรรมอีกอย่างหนึ่งที่เป็นกฏเกณฑ์ของทุกชีวิตที่ต้องเจอคือ ความไม่แน่นอน สิ่งที่วันนี้เราบอกว่าแอ๊ปเปิ้ลเป็นของเรา แต่ต่อไปถ้าตอบผิดก็กลายเป็นของอื่น
อย่าลืมนะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนก็คือความแน่นอน  (ทุกชีวิตมีสุขก็ต้องมีทุกข์, สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)  มนุษย์ทุกคนชอบทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่) การให้ที่บริสุทธิ์และความดีที่แท้จริงคือ ทำโดยไม่หวังผล ถ้าเมื่อไหร่ทำแล้วหวังผลการกระทำนั้นเป็นการค้าขายถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเราทำดีแล้วอยากให้ความดีนั้นเป็นดีอันบริสุทธิ์ ต้องเป็นความดีที่ไม่หวังผล ถ้าเมื่อไหร่ยังหวังผลนั้นก็คือเรากำลังเอาความดีมาค้าขาย เพราะหวังผลกำไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากดีให้ถ่องแท้  อยากดีให้ถึงที่สุด ต้องทำดีไม่หวังผล ทำดีโดยไม่ยึดมั่นในตัวตนถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่มนุษย์เราทำดีแล้วอดไม่หวังผลไม่ได้ (ความโกรธ ความโลภ ความหลง, สังขารไม่เที่ยงหนอ)  นั้นก็คือทุกสิ่งในโลกล้วนไร้ตัวตน
เมื่อไรที่เรายึดมั่นเมื่อนั้นความทุกข์ย่อมบังเกิด ทั้งที่แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าตัวตน ลองเปรียบเทียบง่ายๆ คนที่มนุษย์เรียกว่าตัวตน คือร่างกายนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไหร่แขนและขาแยกจากกัน ตัวไปทาง แขนไปทาง ขาไปทาง เรียกว่าตัวตนไหม (ไม่)  และเป็นสิ่งที่เป็นของเราไหม ถึงเวลาเราต้องคืน กลับสู่ความเป็นธรรมชาติใช่หรือไม่ แล้วมนุษย์เฝ้ายึดเฝ้าห่วงอะไรกันในความว่างเปล่า ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ยึดแม้กระทั่งความคิดใช่หรือไม่ ยึดแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองพูด ยึดทั้งสิ่งที่มองเห็นและไม่มองเห็น ทั้งที่เรารู้ว่าถึงที่สุดแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่า ไร้ตัวตน ใช่ไหม (ใช่)  และกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่ท่านต้องรู้คือ  คือเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ฉะนั้นชีวิตนี้เรามีแค่ปัจจุบัน อนาคตใช่ของเราไม่ (ไม่ใช่ เพราะเราไม่อยู่)  แต่ถ้าคนที่อยู่ปัจจุบันนี้ทำชีวิตอย่างประมาท พลั้งเผลอ อนาคตก็ไม่มี  ฉะนั้นกฎเกณฑ์ของมนุษย์ที่ต้องจำไว้ของชีวิตอย่างหนึ่งคือ เรามีเวลาอยู่แค่ปัจจุบันเท่านั้น อย่ามัวจมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว ถ้ามัวจมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว  ปัจจุบันก็จะกลายเป็นอดีตที่น่าเสียใจมากยิ่งขึ้น อนาคตก็จะไม่มีอีกต่อไป ถูกหรือไม่ ฉะนั้นเวลาของชีวิตมนุษย์ก็มีเพียงเวลาเดียวคือ เวลาปัจจุบัน ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตย่อมสดใส ถ้าวันนี้ทำได้ดี แล้วอดีตที่ผ่านมาเราก็จะภาคภูมิใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ฉะนั้นกฎเกณฑ์ของความเป็นคนหรือกฎเกณฑ์ของชีวิตมนุษย์มีอะไรบ้าง  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความไม่เที่ยง ความไร้ตัวตน มีแค่ปัจจุบันเท่านั้น  ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง  ถ้าจำอันนี้ได้ เราจะปลงได้ แล้วเราจะทุกข์ได้น้อย ถูกไหม (ถูก) เหมือนบางทีเราถามว่าทำไมคนนี้จึงทำร้ายให้เราเจ็บปวดขนาดนี้ ทำไมชีวิตเราต้องเจอแบบนี้ แต่ถ้าเราจำได้ว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนี้เองจะเข้าใจชีวิตได้ดียิ่งขึ้น หรือสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์มักจะบอกว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นยังดีไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งหนึ่งที่ต้องตอกย้ำกับชีวิตนั้นก็คือ อย่าประมาทใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทำอย่างไรได้ขึ้นชื่อว่าชีวิต มนุษย์ทุกคนก็อยากที่จะดิ้นรนไปให้ได้ดีที่สุด ให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะไขว่ขว้าและปรารถนาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ายังอยากที่จะไขว่ขว้า อยากที่จะปรารถนาก็ต้องยอมรับความเสี่ยงในชีวิตถูกหรือเปล่า (ถูก)  เสี่ยงกับอะไร เหมือนเรารู้จักคนหนึ่งที่เราคิดว่าดี ในใจลึกๆ ก็ต้องเสี่ยงกับคำว่าเขาอาจจะร้ายก็ได้ เมื่อเรารู้จักคนๆ หนึ่งที่เรารู้สึกชอบ รู้สึกดี รู้สึกรัก เราอย่าลืมว่าชีวิตนั้นเราต้องเสี่ยงกับคำว่า เจ็บปวดและทุกข์ก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราคิดอยากจะทำอะไรที่ประสบผลสำเร็จ อย่าลืมว่าเราอาจจะต้องเสี่ยงกับความล้มเหลวและความผิดพลาดอันใหญ่หลวงถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าชีวิตปรารถนาสิ่งใดก็ตาม อย่ามองแต่แง่ดีจนลืมแง่ร้าย อย่ามองด้านบวกจนลืมด้านลบ ต้องรู้จักเผื่อใจไว้บ้าง เตรียมใจไว้บ้างกับความเจ็บปวด เพราะในโลกนี้ไม่ใช่มีด้านเดียวเสมอไป มีสุขก็มีทุกข์ มีคนที่น่ารักก็ต้องมีคนที่น่าเกลียดในตัวคนเดียวกันถูกหรือไม่ (ถูก)  เขามีความดี เขาก็มีความไม่ดี เหมือนตัวเรามีดีก็ต้องมีไม่ดี ถ้าถามว่า แล้วอะไรในตัวมนุษย์ที่น่ากลัวที่สุด (อารมณ์ที่เห็นแก่ตัว,ความโลภ ความโกรธ ความหลง,กิเลส ตัณหาต่างๆ ,ความโกรธ)  แล้วโกรธบ่อยไหม โกรธทีน่ากลัวไหม (อยู่คนเดียวไม่โกรธใคร)  แต่พออยู่ร่วมกับคนอื่นโกรธใครไหม อะไรที่น่ากลัวทีสุดในตัวเรา (ความรัก)  เขาบอกว่าความรักเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตัวเขา เพราะ รักแล้ว หน้ามืดตามัวใช่ไหม (ความคิด) ตอบได้ดีนะ คิดดีก็เป็นกุศล คิดชั่วก็เป็นอัปมงคล (คำพูด) ให้รู้จักระมัดระวังนะ คิดก่อนพูด  (ความอยาก) อยากได้แอปเปิ้ลหรือเปล่า อะไรที่น่ากลัวที่สุด (บาป)  จิตใจที่คิดไม่ดีใช่ไหม เป็นสิ่งที่บาป  (จิตใจ)  จิตใจเป็นสิ่งที่น่ากลัวทีสุดใช่ไหม ทำไมล่ะ(เพราะคิดได้หลายอย่าง)  จิตใจที่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่ควบคุมไม่ได้ ใช่หรือไม่  งั้นก็ต้องรู้จักควบคุมความคิด ควบคุมจิตใจให้ดี (การกระทำ)  แต่ถ้ารู้จักคิดให้ดี การกระทำนั้นก็อาจจะดี ใช่หรือไม่ งั้นไตร่ตรองก่อนที่จะกระทำดีไหม ตอบว่า มีอะไรอีกที่อยู่ในใจเราแล้วกลายเป็นคนน่ารัก น่ารักกลายเป็นคนน่ากลัว คนที่แสนดีกลายเป็นคนที่แสนร้ายในทันที (ความไม่จริงใจ)  อย่างเช่นพูดอีกอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  เราชอบเป็นกันใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรอีก (ปากอย่างใจอย่าง) ปากว่าตาขยิบ ใช่หรือไม่ (ใช่) (ความเจ็บป่วย) ความเจ็บป่วย คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตมนุษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบได้ดีเหมือนกันนะ ถ้าเรารู้จักรักษาตัวเองให้ดี ความเจ็บป่วยกลับสอนให้เรารู้จักเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  (หัวใจมืดมน) มืดมนเพราะว่าวิตกกังวล ถ้าทำให้ดีที่สุดถึงเวลาแล้วอะไรจะเกิดเราต้องกล้าที่จะสู้อย่าไปกลุ้มเพราะกลุ้มแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น (ความเห็นแก่ตัว) (ความขี้เกียจ) อย่างนั้นต้องขยันไว้ (ความหวัง) จริงๆ แล้วมนุษย์ถ้าไม่มีความหวังบางทีชีวิตก็ดูหม่นหมองไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  หวังในสิ่งที่เป็นไปได้แล้วเราจะได้ไม่ผิดหวัง (ความลำบาก) (ความเสียใจ) เป็นธรรมดาในโลกมีเรื่องดีใจต้องมีเรื่องเสียใจ ถึงเวลาต้องเข้มแข็ง ความลำบากทำไมถึงกลัวความลำบาก (เพราะลำบากแล้วไม่มีความสุข) มนุษย์บอกว่าพอลำบากแล้วไม่มีความสุข แต่ถ้าชีวิตนี้ไม่รู้จักลำบากเลยแล้วเราจะรู้หรือว่าสิ่งนั้นมีค่าแค่ไหน ถ้าทุกอย่างได้มาง่ายๆ ท่านก็จะใช้อย่างฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือยแต่ถ้าเกิดได้มายากๆ ท่านกลับเห็นสิ่งนั้นมีค่าและจำเป็นมีความหมาย  ฉะนั้นอย่ามองว่าความลำบากนั้นไร้ค่า  แต่ความลำบากกลับให้คุณค่าที่ธรรมดากลายเป็นมากคุณค่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  สิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุดคือ (ความหิว) ขยันก็ไม่ต้องกลัวหิวนะ (ความไม่แน่นอน, ริษยา,ความตาย,ความหวังที่ไม่สมหวัง) ถ้าทำได้ดีแล้วจะกลัวตายทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ตัวของตัวเอง)  ควบคุมตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่(ใช่)
จึงน่ากลัวและอะไรที่ทำให้เราควบคุมใจตัวเองไม่อยู่บ่อยที่สุด อะไรที่เป็นน้ำ กินเข้าไปทีไรทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที อย่ากินดีไหม (ดี)  ท่านนี้ตอบว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือตัวเราเอง และอะไรที่เข้าสู่ตัวเราแล้วทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้บ่อยที่สุด (อารมณ์) อารมณ์อย่างเดียวไหม (น้ำเปลี่ยนนิสัย) น้ำเปลี่ยนนิสัย เข้าไปทีไรแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที เคยเห็นคนกินเหล้าเมาไหม (เคย)  คนที่กินเหล้าเมา ควบคุมตัวเองไม่ได้ มองอย่างไรก็ดูไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่อย่ามองแค่คนกินเหล้าดูไม่ดี คนที่เมาในอารมณ์ก็มองแล้วไม่ดีเหมือนกัน คนที่เมาในอารมณ์รัก คนที่เมาในอารมณ์โลภ คนที่เมาในอารมณ์โกรธ คนที่เมาในอารมณ์หลง พอมีมากๆ แล้วไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เลือดตกยางออกก็ยังปล่อยให้ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิตใจจนแยกไม่ออกระหว่างผิดชอบชั่วดี ยับยั้งใจตัวเองไม่ได้ คนเช่นนี้ล้วนน่ากลัวทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นไหม เมื่อไหร่ที่เราเห็นคนเมาเหล้าเป็นคนน่าเกลียด คนที่เมาในรักก็ (น่ากลัว)  น่ากลัวหรือ สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือความหลง ฉะนั้นเกิดเป็นคน เราต้องรู้จักมีสติอยู่กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่เราลืมสติก็จะทำให้เราลืมตัวเองได้บ่อย ยิ่งเราไม่มีสติ เราก็กลายเป็นคนที่หลงลืมตัวเองได้ง่ายและบ่อยยิ่งขึ้น การศึกษาธรรมสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิดและรู้จักควบคุมตัวเองให้เป็นให้ได้และให้ดี อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวที่มนุษย์ไม่อยากเจอ คือ ความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามา เราอยากจะบอกท่านว่าสิ่งที่มนุษย์กลัวกันที่สุด ไม่ว่าอายุมาก อายุน้อย นั่นก็คือความทุกข์
   เมื่อความทุกข์มากระทบกายทำไมเราให้ไหลไปสู่กระแสใจ หรือเป็นเพราะว่ากายกับใจสัมพันธ์กัน  เมื่อมีความทุกข์มากระทบกาย ใจจำเป็นต้องทุกข์ด้วยไหม ไม่จำเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่ากายกับใจจะสัมพันธ์กันก็ตาม ใช่ว่าใจจะต้องตกเป็นทาสของกายเสมอไป ใจสามารถเป็นอิสระนอกเหนือจากการควบคุมของกายก็ได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบจะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ ถ้าเรารู้จักวางใจให้เป็น รักษาใจให้ปกติ ทุกข์สุขเกิดที่ใจ แต่สิ่งที่มากระทบเพียงภายนอก ถ้าเราวางใจให้เป็น ปลงให้ตก คิดให้ได้ ความทุกข์นั้นก็ยากที่จะมาทำร้ายหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเคยเห็นไหมว่าคนจนบางคนมีความสุขได้ (เคย)  ท่านเคยเห็นคนเจ็บป่วยที่ยิ้มได้ไหม แล้วท่านเคยเห็นคนที่สูญเสียหรือพลัดพรากจากสิ่งที่รัก แล้วยังสามารถมีสิทธิ์ที่จะชื่นบานได้ เพราะเขาปล่อยให้ทุกข์นั้นมาแค่กระทบกาย แต่ไม่สามารถมากระทบใจ กระทบแค่กายเท่านั้น แต่ใจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  ถ้ามนุษย์เรารู้จักวางใจให้เป็น รักษาใจให้ปกติ ทุกข์นั้นก็อยู่แค่เพียงกาย แต่ไม่สามารถทำอะไรหัวใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนที่เป็นบุตรสิ่งที่ปรารถนาให้พ่อแม่เป็นก็คืออะไร (ให้พ่อแม่มีความสุข, ความสบายกาย, สบายใจ, สุขภาพแข็งแรง, สุขใจ, ร่างกายแข็งแรง, ความรักของพ่อแม่, อยากให้พ่อแม่จิตใจดี)
คนที่เป็นลูกสิ่งที่ปรารถนาให้พ่อแม่เป็นก็คือ อยากให้พ่อแม่มีความสุข (อยากดูแลเอาอกเอาใจพ่อแม่ให้มากที่สุด) ทำไมมาคิดได้เอาตอนที่เกือบสายเสียแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท  ทำนองเพลง“ดอกไม้ในหัวใจ”)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลง)  มีหลายคนที่อยู่ในครอบครัวแต่ไม่ค่อยภูมิใจในพ่อแม่ของตัวเอง ไม่ค่อยศรัทธายอมรับหรือเชื่อมั่นในพ่อแม่ของตัวเอง เพราะคิดว่าพ่อแม่ของตัวเองนั้นไม่น่ารัก ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
แต่เราเคยรู้ไหมว่า สิ่งที่เป็นพ่อแม่นั้น โดยเฉพาะในส่วนที่เราไม่ชอบ บางครั้งเราก็เผลอเรียน และติดนิสัยในสิ่งที่พ่อแม่มีนั้นมาอยู่ในตัวเราด้วย เคยเป็นไหม ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เกลียดสิ่งไหนจากพ่อแม่ แต่ไม่ช้าไม่นานพอเราเติบโตแล้วได้เป็นพ่อแม่คน เราก็กลายเป็นคนที่ไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่เรา” จริงไหม  (จริง)  เราไม่ชอบพ่อแม่ที่พูดตะคอก โวยวาย หรือดุด่าใส่เรา ถูกหรือไม่ แต่พอเราเติบโต ได้มีคนที่เรารัก คนที่เราห่วง เราจึงรู้ว่าเพราะอะไรเราจึงตะคอกและโวยวายใส่คนที่เรารัก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่เราเลย แล้วตอนนั้นถ้ากลับหันมาย้อนมองว่า สิ่งที่พ่อแม่เป็นคือสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่กลายมาเป็นสิ่งที่เราเป็นเหมือนกัน แล้วไม่ต่างกับที่พ่อแม่เป็นเลย เราจะเริ่มเห็นใจและโกรธพ่อแม่ไม่ลง ถูกไหม(ถูก)  แล้วเราเคยเป็นไหม “เกลียดสิ่งไหนก็ได้เป็นสิ่งนั้น” ฉะนั้นเมื่อเราเจอความทุกข์ เจอสิ่งที่ไม่ชอบ อย่าเกลียดอย่าผลักไส แต่จงพยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจ เมื่อเราเรียนรู้และทำความเข้าใจได้ เราก็จะควบคุมสิ่งที่เราเกลียด สิ่งที่เราผลักไสให้อยู่ในน้ำมือ และหัวใจที่เราควบคุมได้เป็น   แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเกลียดและเราผลักไส สิ่งนั้นก็จะยิ่งทำให้เราเรียนรู้ เข้าใจ และสามารถควบคุมได้  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราอยากให้สิ่งที่เกลียดเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ และเข้าใจได้ดี เราต้องพยายามชิดใกล้ และเรียนรู้อย่างเข้าใจ เมื่อเราชิดใกล้ เรียนรู้อย่างเข้าใจแล้ว เราก็จะสามารถควบคุมได้ ถูกหรือเปล่า การเอาแต่หนีและผลักไสนั้น ไม่สามารถทำให้เราโตขึ้น และดีขึ้นมาได้หรอก  
ขอบคุณคนที่มาช่วยนำร้องหน่อยดีไหม แล้วเราได้ขอบคุณคนที่ได้มาช่วยทำอาหารให้เรากินบ้างแล้วหรือยัง แล้วขอบคุณคนที่ช่วยดูแลเราบ้างหรือยัง (ขอบคุณแล้ว)  โลกใบนี้ยังคงอยู่ได้เพราะมีผู้ที่รู้จักช่วยเหลือจุนเจือผู้อื่น หล่อเลี้ยงผู้อื่นโดยที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และก็มีผู้รู้จักตอบแทนบุญคุณที่หล่อเลี้ยงเรามาให้เติบโต มนุษย์ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้  จะต้องประกอบไปด้วยครอบครัวและคนรอบข้าง ฉะนั้นได้รับความดี ความอุปการะจากใคร อย่าลืมรู้จักตอบแทนบุญคุณคนๆ นั้นด้วย ดีหรือไม่ (ดี)
คำว่า “พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า”เข้าใจความหมายนี้ไหม คำว่าพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้านั่นก็คืออย่าปล่อยให้รูปสวยขององค์พระบังความเป็นแก่นแท้ของหลักธรรมที่ท่านต้องการสื่อ  มนุษย์เรารู้จักกราบไหว้พระแต่เราไม่รู้จักศึกษาปฏิบัติเลียนแบบพระพุทธองค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้แค่เพียงกราบไหว้รูปลักษณ์ภายนอกแต่เราลืมที่จะลงมือปฏิบัติให้ถึงแก่นแท้ของธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์ติดในรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมมองเห็นแก่นแท้ของความเป็นจริงในชีวิต มนุษย์มองกันแค่เพียงรูปนอกแต่ลืมหารูปแท้ภายใน มนุษย์หลงแต่สวยรูปนอกแต่ลืมหลงความเป็นจริงแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน  เรากราบองค์พระเพื่ออะไร เรากราบเพื่อกราบเท่านั้นหรือ  แต่เรากราบเพื่อเรียนรู้และเจริญรอยการเป็นพระพุทธะบนแดนโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้รูปลักษณ์บังเนื้อแท้อันแท้จริงในตัวตน อย่าปล่อยให้องค์พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า  ที่ท่านควรจะเจริญรอยและเลียนแบบในการเป็นมนุษย์อันประเสริฐ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่ามองว่าการบรรลุหรือการหลุดพ้น หรือการพ้นทุกข์เป็นเรื่องยาก  ยังไม่ต้องบรรลุก็ได้แต่ขอให้พ้นทุกข์ให้จงได้  เป็นเรื่องที่ไม่ยากแต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาชนะใจตัวเองได้หรือไม่
(“สิ่งที่คนเห็นอาจไม่ได้เป็นเหมือนเช่นเข้าใจเปิดใจจึงรู้ต่างมุมมองไปที่สุดคือไร้แต่ใจติดมี”)   คำว่าว่างวงเล็บไว้ “อย่าหลงยึดมั่นชั่วคราวใช้กันเท่าทันใจนี้” เหมือนร่างกายนี้เราก็เป็นแค่พระพุทธรูปองค์หนึ่งที่เราจะต้องพยายามค้นหาให้พบว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อสนองตัณหาหรือกิเลสแค่นั้นหรือ เราเกิดมาใช้ร่างกายนี้เพื่อสนองความอยากแค่นั้นหรือ แท้จริงแล้วเราเกิดมาเพื่อรู้จักทุกข์และค้นพบทุกข์แล้วหาทางดับทุกข์ให้เจอไม่ใช่มาเพื่อใช้ร่างกายนี้ถึงเวลาก็ทิ้งกายนี้เรารู้แค่เกิดมาใช้ชีวิตไปวันๆ มีอารมณ์ไปอย่างนั้น
เราเกิดมาเพื่อทุกข์และหาทางดับทุกข์ ช่วงที่ทุกข์อยู่นั้นถ้ารู้จักเสียสละเอาธรรมะนี้ไปเผยแผ่ให้ผู้อื่นได้รู้ เราก็คือคนที่เจริญรอยแบบพระโพธิสัตว์ แม้ตัวเองยังไม่พ้นทุกข์แต่มีใจที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์เฉกเช่นตัวเอง หรือขอให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ก่อน ตัวเองพ้นทุกข์ทีหลังก็ไม่เป็นไร นี่คือจิตใจของพระโพธิสัตว์
ฉะนั้น  อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง มนุษย์นั้นจริงๆ มีความสามารถไม่จำกัด  แต่เพราะมนุษย์เกียจคร้านการศึกษาและเรียนรู้ จึงทำให้สิ่งที่รู้แม้จะยากขนาดไหนก็ไม่มีวันเข้าใจ  ในโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ท่านควรจะเรียนรู้  แต่เพราะเราไม่คิดจะศึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศึกษาภายนอกไม่เท่าศึกษาภายในหัวใจ เข้าใจตัวเองก็จะเข้าใจผู้อื่น แต่ถ้าวันนี้ไม่เข้าใจตัวเองแต่ไปเข้าใจผู้อื่นก็เปล่าประโยชน์ อย่าให้รูปตัวนี้บังความจริงแท้อันประเสริฐในหัวใจ มนุษย์มีจิตใจอันประเสริฐคือจิตใจที่กอปรด้วยคุณธรรมความดีอย่างมุ่นมั่นตั้งใจและไม่ย่อท้อ และเอาความดีนั้นไปช่วยผู้อื่น พุทธะช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง จำไว้นะ พรอะไรที่ประเสริฐก็ไม่เท่ากับพรที่ทำให้มนุษย์รู้จักเข้มแข็ง กล้าหาญ มีชีวิตอยู่บนโลกอย่างมีสติปัญญากำกับและควบคุม เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มนุษย์ก็จะกราบไหว้และขอพรใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้มีความสุข ขอให้แข็งแรง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่ให้หรอกถ้ามนุษย์ไม่รู้จักกล้าหาญและเข้มแข็ง อดทนพอที่จะรับความเป็นจริงในโลกใบนี้ จะมีความสุขได้อย่างไรถ้าอดทนไม่เป็น จะมีชีวิตที่ดีงามเข้มแข็งได้อย่างไรถ้าไม่รู้จักกล้าหาญขึ้นมาบ้าง ฉะนั้นพรที่ประเสริฐที่สุดที่เราอยากให้นั่นก็คือ จิตใจที่เข้มแข็งอดทน กล้าต่อสู้กับความเป็นจริงในโลกนี้ แม้บทเรียนในโลกนี้จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม
เหมือนเช่นเข้าใจ การศึกษาบำเพ็ญธรรมสอนให้มนุษย์กล้าหาญอดทนสู้กับความเป็นจริง แม้ความเป็นจริงนั้นจะเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดก็ตาม ขอให้ยิ้มได้เมื่อภัยมา เป็นสุขได้แม้มีทุกข์รายล้อม ด้วยหัวใจที่รู้จักวางใจให้เป็น เข้มแข็งให้ได้  ชีวิตนี้อยู่ที่มือเราเองเป็นผู้สร้างนะใช่หรือไม่ (ใช่)  



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า”
สิ่งที่คนเห็น
อาจไม่ได้เป็น เหมือนเช่นเข้าใจ
เปิดใจจึงรู้ ต่างมุมมองไป
ที่สุดคือ(ว่าง)ไร้ แต่ใจติดมี
อย่าหลงยึดมั่น
ชั่วคราวใช้กัน เท่าทันใจนี้
ยืมปลอมสร้างจริง มิทิ้งทำดี
หมั่นช่วยทำดี มีธรรมสู่ใจ
นอกในมีดุล
อย่าเอียงเพราะคุ้น หลงวุ่นเพราะใจ
ทั้งเปลือกและแก่น ต่างแฝงธรรมใน
รู้วางรู้ใช้ ในโลกเปลี่ยนแปร

 จุดเริ่มต้นและที่สุดของชีวิตนั้น อยู่ที่ใจรู้เท่าทันเห็นจริงแท้
จิตเดิมไม่มีเพิ่มลดไม่ผันแปร พบกุญแจอยู่เหนือโลกอันวุ่นวาย







อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา