วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

2551-06-22 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา ( ๑ วัน )


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ใจสูงค่าเพราะเป้าหมายเพื่อเวไนย จิตยิ่งใหญ่สละอุทิศมิหวังผล
ประทีปน้อยจุดต่อเพื่อมวลชน การเริ่มต้นหนทางไกลใจหนึ่งเดียว
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ ความร่วมแรงร่วมใจประสานหนึ่งเดียว
ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยจึงกลมเกลียว ร้อนอารมณ์ทิฐิหยุดเดี๋ยวบำเพ็ญไว
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านสบายดีไหม

เรียนรู้ธรรมนำชีวิตสู่ทางแท้ ความผันแปรเตือนคนหลงให้รู้ตื่น
สรรพสิ่งทั้งดีร้ายสู้กล้ำกลืน ทุกสิ่งคืนธรรมดาและสามัญ
ใช้ธรรมคอยหล่อเลี้ยงเตือนสติ ยั้งอารมณ์กิเลสที่คอยหลงนั่น
ใจรู้พอดีกว่าฟุ้งเฟ้อทุกวัน ถือทิฐิอกุศลนั้นใครได้ดี
คุณค่าคนอยู่ที่ผลของงาน รู้สร้างสรรค์เพื่อผู้อื่นลดตระหนี่
ฝึกใจกว้างหมั่นอภัยอดทนมี ยิ่งยากดียิ่งทดสอบคนแกร่งจริง
ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน หมั่นสร้างบุญมิหวังผลอุทิศยิ่ง
แม้ต้องรับผลกรรมสนองตน จงเข้มแข็งสู้อดทนรับความจริง
ฮิ   ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เราอยู่ในโลกนี้ถึงจะเก่งขนาดไหน ถึงจะมีความรู้ความสามารถมากขนาดไหน แต่ทุกเรื่องที่สำเร็จได้ หาได้เกิดจากคนที่เก่งคนเดียวไม่ ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนหลายๆ คน ย่อมมีทั้งคนที่เก่งและคนไม่เก่งประสานกัน จึงเกิดเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่
เรื่องราวในโลกนี้ย่อมมีคนที่ทำได้และก็ทำไม่ได้ ย่อมมีทั้งคนที่เป็นงานและคนที่ไม่เป็นงานอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นเวลาคนที่เป็นงานอย่างหนึ่ง เราจะดูถูกคนเป็นงานแบบเดียวกับเราไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะเขาเป็นแบบหนึ่ง แต่เขาอาจจะไม่เป็นอีกแบบหนึ่ง สิ่งที่เขาเป็นอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่เป็นก็ได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าตนเองฉลาดไปเสียหมด และอย่าคิดว่าตนเองสำคัญไปเสียหมด เพราะในโลกนี้ทุกคนล้วนสำคัญ  วันนี้มีแต่ผู้ปฏิบัติงานธรรมเต็มไปหมด  แต่ไม่มีเราสักคนหนึ่งงานจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  ใช่ไหม ฉะนั้นก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ยกตัวเองจนข่มคนอื่นว่า “แหมเธอต้องเอาใจฉันสิ”  “ถ้าฉันไม่มานั่งเธอก็ทำงานไม่สำเร็จหรอก” ได้ไหม  (ไม่ได้)  

ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ยกตัวเองได้ก็ต้องข่มตัวเองเป็น ข่มตัวเองเป็นก็ต้องยกตัวเองได้ แต่อย่ายกให้มันสูงเกินไป คนจะมองแบบเหม็นขี้หน้าเอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอก ใจก็เหมือนกัน อย่ามองแค่ตัวเรา บางครั้งใจเราตกบางครั้งใจเรารู้สึกดีขึ้นเพราะอะไร (อารมณ์) ใช่ไหม ชีวิตของมนุษย์ทุกคนผันแปรเปลี่ยนตามอารมณ์ ถ้าชีวิตใช้อารมณ์เป็นผู้นำ อารมณ์ก็พาให้คำพูดและการกระทำเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย พออารมณ์ดีก็ (ดี)  อารมณ์ร้ายพูดก็ (ร้าย)  ทำก็ (ร้าย)  
ชีวิตที่ผันแปรไปตามอารมณ์ เป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนง่าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นเราควรมีชีวิตโดยเอาอารมณ์เป็นตัวนำดีหรือไม่ (ไม่ดี)   วันนี้มีคนชวน “มาฟังธรรมไหม” เราก็บอกว่า “เดี๋ยว!  ขอดูอารมณ์ก่อน”  ใช่ไหม  “อยากมากๆ ก็มา”  “ ไม่อยากก็ไม่มา”   ทำอย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ก็ยังเชื่ออารมณ์ของตัวเองไม่เชื่อใครหรอก แต่พอใช้อารมณ์นำชีวิตทีไร พังมากกว่าดี หรือดีมากกว่าพัง (พังมากกว่าดี)  แล้วยังเชื่ออีกไหม (เชื่อ) จบเลยไม่ต้องพูดต่อแล้ว ใช่หรือเปล่า
ชีวิตคนเรามีลุกขึ้นได้ก็ต้องมีล้มได้เป็นธรรมดา โทษใครไม่ได้  บางคนซุ่มซ่ามเองแท้ ๆ ไปชนโน่นชนนี่แล้วก็ด่าป้าย ด่าโน่น ด่านี่ ทั้งที่น่าจะหันมาว่าตัวเอง ว่าตัวเองนั่นแหล่ะ เซ่อซ่า ถูกไหม เช่นเดียวกัน ความทุกข์ที่ทำให้เราเจ็บปวด แท้จริงแล้วโทษคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เขาว่าเราเจ็บ เขาว่าเราร้าย แต่เราจำเป็นต้องเจ็บต้องร้ายตามเขาหรือไม่ (ไม่จำเป็น)  ขึ้นอยู่กับหัวใจเราเองต่างหาก ใช่หรือไม่  
ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบกายใช่ว่าใจต้องถูกกระทบไปด้วย สิ่งที่ทำให้กายเจ็บปวดใช่ว่าใจต้องเจ็บปวดตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เพราะมนุษย์เคยชินกับกายใจสัมผัสกัน กายปวดใจเลยต้องปวด แต่แท้จริงแล้ว กายปวดใจไม่ต้องปวดก็ได้ จริงไหม  ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมใจเราให้เป็น มนุษย์ควบคุมคนอื่นให้อยู่ในกำมือได้ อยู่ในอำนาจเราได้ แต่ทำไมเราควบคุมใจของเราให้อยู่ในอำนาจของตัวเราเองไม่ได้  อย่าลืมนะว่าตัวเจ็บใช่ต้องใจเจ็บ  เขาว่าให้เราทุกข์ ใช่ว่าใจเราต้องทุกข์ ทำอย่างไรให้ตัวเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ สิ่งที่มากระทบเป็นเพียงกระทบกายแต่หาได้กระทบใจ ความทุกข์ที่มาสัมผัสตัวหาได้สัมผัสใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ ความร่วมแรงร่วมใจประสานหนึ่งเดียว
ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยจึงกลมเกลียว   ร้อนอารมณ์ทิฐิหยุดเดี๋ยวบำเพ็ญไว
ทำงานร่วมกันเป็นธรรมดาที่ต้องทนกันบ้าง กระแทกกันบ้าง  ให้เราลืมมันไปก่อน เพราะถ้าเอามาเก็บไว้ในใจ เดี๋ยวมันจะยิ่งกัดใจให้เจ็บปวด พอกัดใจตัวเองทุกข์แล้ว ต้องพลอยให้คนอื่นทุกข์ไปกับเราด้วย  ฉะนั้นพอมีอารมณ์กระทบกระทั่งกัน บอกอารมณ์ในใจไว้
“หยุดเดี๋ยว!”   “ฉันขอไปช่วยคนก่อน”  “ฉันขอทำงานให้เสร็จก่อน”  พอลืมแล้ว ครู่เดียวเราก็กลายเป็นอีกคนที่ ฉันต้องโกรธหรือโกรธอย่างไรล่ะ แล้วทำไมต้องโกรธ ลืมไปเลย ใช่ไหม  ฉะนั้นอะไรที่ไม่ดีลืมให้มันง่ายๆ   อารมณ์เสียๆ ไม่ดีๆ ทำไมมาปุ๊บต้องทำปั๊บ เราบอก “เดี๋ยวก่อนๆ”  ไม่ได้หรือ พอผลัดไปบ่อยๆ ก็ลืมแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบกระทั่งใจทำให้เราโกรธ เราก็บอกว่า “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวค่อยโกรธ  ตอนนี้ขอใจเย็นก่อน”  เอาสิ่งที่ดีนำหน้าเอาสิ่งที่ไม่ดีทิ้งท้ายไว้ข้างหลัง ดีหรือไม่ (ดี)




กะร่องกะรอยได้ไหม จัดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คับแคบ ความกว้างความลึกนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใจของมนุษย์ถ้ากว้างเหมือนแม่น้ำ แม้จะถูกใครตัก แม้จะถูกใครถมสิ่งสกปรก ถ้ากว้างอย่างถึงที่สุด ใครมาตักเท่าไร สักวันหนึ่งก็เต็มขึ้นมาได้ ใครจะเทสิ่งสกปรกใส่ร้ายป้ายสีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าสักวันหนึ่งน้ำรู้จักถ่ายเท ความสะอาดก็กลับคืนขึ้นมาได้  

ชอบฟังธรรมะไหม ฟังก็บ่อยศึกษาก็มาก ใช่ไหม ๆ แต่แปลกนะ พอถึงเวลาแล้วก็ยังเป็นคนที่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม ไม่เคยเบาบางลงสักที  เราบอกว่าชอบฟังธรรมะ เราบอกว่าศึกษาธรรมะเข้าใจ แต่ทำไมเรากลับไม่สามารถตัดโลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ให้มันเบาบางลงได้ บางทีก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลยด้วยซ้ำไป ยังมีอารมณ์ ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธเท่า ๆ กับคนที่ไม่คิดจะมีธรรมก็มี แปลว่าเราได้เข้าถึงธรรมจริง ๆ  หรือไม่ ได้แต่รู้แต่เข้าไม่ถึง ได้แต่รู้แต่ไม่สามารถเอาสิ่งที่รู้นั้นไปตัดความไม่ดีออกไปจากใจได้ ใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เรารู้และเข้าใจนั้น สามารถตัดความไม่ดีในใจให้ออกไปจากตัวเราได้
เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์นั้นถนัดที่จะรู้ทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติกลับไม่ถนัดกระทำ ฉะนั้นสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเข้าใจ จึงเป็นแค่สัญญากับเวทนา สิ่งที่เป็นสัญญากับเวทนาสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการไตร่ตรอง ศึกษา เรียนรู้ จึงเกิดเป็นความจำและความเข้าใจ ที่มนุษย์ชอบฟังชอบศึกษา ก็คือทำให้เราเกิดสัญญาและเวทนา คือ ความจำและความเข้าใจ แต่ความจำและความเข้าใจไม่สามารถทำให้เราตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ สิ่งที่จะสามารถตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ก็คือ ปัญญา แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ฉะนั้นศึกษาแล้ว แต่ไร้การลงมือปฏิบัติ สิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจก็จะเป็นเพียงแค่สัญญากับเวทนา หาใช่เกิดปัญญาไม่  ฉะนั้นเรารู้มาก เข้าใจมาก แต่ถ้าเราไม่เอาสิ่งที่รู้และเข้าใจมาลงมือปฏิบัติ เราก็เป็นแค่เพียงพวกหนอนหนังสือ หนอนพระธรรมแค่นั้นเอง ได้แต่อ่านแต่ถึงเวลากลับทำไม่ได้ ฉะนั้นอย่าเป็นพวกคงแก่เรียนในการศึกษาธรรม แต่ถึงเวลาลงมือปฏิบัติกลับทำไม่ได้  ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์เราเคยเอาไปปฏิบัติไหม (ไม่เคย)
มนุษย์บอกว่า “คนเราทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว”  แต่ถึงเวลาเราเชื่ออย่างนั้นไหม (ไม่เชื่อ)  มนุษย์กลับบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่ทำชั่วแล้วได้ดี เราจึงล้มเลิกความคิดที่ทำดีแล้วได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี กลายเป็นมิจฉาทิฐิ เกิดความเห็นผิดเรื่องกรรมเวร ไหนใครล้าเรื่องทำดีแล้วได้ดี ยกมือขึ้น ไม่มีเลยหรือ แปลว่าเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่เคยล้าไม่เคยท้อ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้ยังทำดีอยู่ไหม (ทำ)  ความดีที่เราท่านทำเป็นดีแบบหวังผล ดีแบบถนัดเป็นแม่ค้ากับพ่อค้า ทำหนึ่งหน่วยต้องได้ผลสองหน่วย อย่างนี้เขาเรียกทำดีไหม (ไม่)  เอาการทำดีมาเป็นการค้าขาย พอทำเสร็จแล้วต้องได้กำไรนะ เราไม่ได้กำไรเราจะไม่ทำ   อย่างนี้หาใช่การทำดีที่แท้ไม่  การทำทานอันบริสุทธิ์ต้องเป็นทานที่ไม่หวังผลใดๆ ทั้งสิ้น

เรายกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับบุญและบาป  คนบางคนโชคดีก็มีบุญมากกว่า บาปน้อยหน่อย คนบางคนเกิดมาโชคร้ายหน่อยก็มีทั้งบุญและบาปพอๆ กัน เราถามหน่อยว่า คนสองคนนี้คนๆ หนึ่งเกิดมาพร้อมบุญเยอะบาปน้อย อีกคนเกิดมาบุญและบาปพอๆ กัน เวลาเขาทำชั่วพร้อมๆ กัน ใครตกผลไวกว่ากัน

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปแก้วน้ำสองใบ)

สมมติคนดีคือคนที่มีแก้วเปล่ามีแต่บุญไม่มีบาป คนไม่ดีคือคนที่เป็นแก้วที่มีทั้งน้ำขุ่นๆ อยู่  เพราะฉะนั้นสองคนนี้เวลาทำบาปเท่าๆ กัน  ใครเต็มไวกว่ากัน (คนที่สอง)  และใครได้รับผลไวกว่ากัน (คนที่สอง)
เพราะฉะนั้นเราทำดีอย่าให้ต้องตกผลเป็นวัตถุเป็นชื่อเสียง เพราะบางครั้งคนเรามีเหตุปัจจัยแตกต่างกัน ทำไมคนนี้มีเงินมีหน้ามีตา แต่เขาทำชั่วกลับได้ดี ก็เพราะว่าบุญเก่าเขายังเยอะอยู่ แต่เราสิ หน้าดำคร่ำเครียดกว่าจะหาเงินได้ เพราะบุญเรามันน้อย กรรมเรามันเยอะ  ฉะนั้นเวลาเราทำกรรมนิดเดียวมันก็เลยตกผลไว
ฉะนั้นเวลามองบุญมองบาป มองคนทำดีมองคนทำชั่วต้องมองด้วยตาที่กว้างไกล ใจที่เปิดกว้าง แล้วเราจะสามารถเห็นดีเห็นชั่วได้อย่างชัดเจน  แต่ถึงที่สุดแล้วเราทำดีเพื่อหวังผลอันเป็นรูปนามหรือ ก็ไม่ใช่ ที่สุดของการทำดีก็เพื่อลดการยึดมั่น และให้รู้จักปล่อยวางและเดินไปสู่ความสงบสุขอันแท้จริงในหัวใจ สิ่งที่ทำให้เราสงบสุขที่แท้จริง มิใช่สิ่งที่มีรูปมีวัตถุ ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ แต่ความสุขที่แท้จริงคือความสุขอันสงบ ทำดีแล้วอิ่มใจไหม (อิ่มใจ)  ทำบุญแล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  แล้วทำไมยังต้องโลภหวังเป็นวัตถุ หวังเป็นชื่อเสียงอีกล่ะ ทำบุญหนึ่งหน่วยแต่หวังเกือบสิบหน่วย เอาเปรียบจริงๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้นเวลาทำบุญจึงต้องรู้จักทำด้วยทานอันบริสุทธิ์  คือการทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เวลาเราทำโดยไม่หวังผล ยิ่งเราทำมาก บาปที่มีอยู่ก็จะค่อยๆ ลดหายไป ลดหายไป ลดหายไป  เขาบอกว่าอยากล้างใจให้สะอาดทำอย่างไรล่ะ ไม่ต้องเอาสิ่งสกปรกออก แค่เติมน้ำสะอาดเข้าไปมากๆ แล้วสิ่งสกปรกก็จะถูกชะล้างออกไป
มนุษย์ทุกคนมีทั้งความดีและความไม่ดี มีทั้งสิ่งที่งดงามและสิ่งที่เลวร้าย เราอยากกำจัดสิ่งเลวร้ายในใจ ทำอย่างไรล่ะ  ไม่ต้องกด ไม่ต้องเขี่ย ไม่ต้องไปผลักดัน แค่พยายามเติมความดีในใจของเราให้มากขึ้น หรือขยายสิ่งดีในใจของเราให้เบ่งบานมากๆ พอมันบานมากๆ แล้วความชั่วจะมีอิทธิพลในใจเราไหม  เช่นเวลาใครชมว่าเราดี เราอยากจะเอาสิ่งที่ร้ายออกมาให้เขาเห็นไหมล่ะ ไม่มีหรอก  ถูกหรือไม่ (ถูก)  และถ้าทุกวันเราทำดีบ่อยๆ  เราจะร้ายต่อหน้าคนที่ชมว่าเราดีไหมล่ะ มันก็ร้ายไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากกำจัดความเลวร้ายก็สู้พยายามขยายสิ่งดีๆ ออกไปให้มากๆ ความร้ายก็จะทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นวันนี้ลืมตาให้กว้างๆ ความง่วงมันจะได้ทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ลืมตาโตๆ ไว้อย่างนี้ดูสิ “แกจะทำอะไรฉัน”  “ไอ้ขี้เกียจ ไอ้ง่วงนอน”  ว่ามันไปเลย ไม่ต้องหันไปว่าใครๆ นะ เพราะเธอทำท่าง่วงนอนฉันเลยง่วงนอนไปด้วย ได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนพอเขาหาวเลยหาวตาม พอเขาง่วงฉันก็เลยหลับตาม จริงหรือเปล่า (จริง)   เพราะว่าฟังก็มาก แต่พอให้ปฏิบัติไม่ค่อยยอมปฏิบัติสักเท่าไหร่ ใช่ไหม (ใช่)  
บางครั้งเราเห็นใครชอบเอาเปรียบเราก็รู้สึกขัดใจ เห็นใครควรจะพูดเพราะๆ กลับพูดคำหยาบๆ ควรพูดนิ่มๆ กลับพูดโผงผาง เอะอะโวยวาย เราเห็นแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ขัดตาแล้วก็เหนื่อยใจ ทำไมสังคมเป็นอย่างนี้นะ คนเราเอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบใหญ่ ใครยอมก็ยิ่งถูกข่มใหญ่เลย  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอย่างไร ทำให้สิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ กลายเป็นสิ่งที่เราเข้าใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเมตตา แปรเปลี่ยนใจเป็นกลาง ไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธ  เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มากระทบใจเราบ่อยที่สุด ทุกเวลาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่น คนเอาเปรียบ รักสบาย โกงงาน พูดดีๆ ไม่เป็นชอบเอะอะโวยวาย พูดดีๆ ก็ได้ แต่ไม่ค่อยชอบพูดดี ขอบเสียงดัง จู้จี้ ขี้บ่น เราอยู่กับคนพวกนี้แล้วเราเป็นอย่างไร เจอบ่อยๆ ก็เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยข้างนอกมาแล้ว พอเจอคนในบ้านเป็นอย่างนี้กลับมาถึงก็เลยเหนื่อยใจ
แต่เราถามท่านหน่อยว่า คนที่เราเห็นแล้วขัดใจขัดหูนั้น ตัวเราเคยเป็นเองไหม บางทีควรจะพูดดีกลับพูดร้าย บางทีควรจะใจเย็นแต่ใจร้อน ฉะนั้นเวลาเห็นเขา แล้วเห็นเราไหม เห็นเขาเป็นเขา เห็นเขาผิดเป็นเขาผิด แต่พอเห็นเราผิดกลับบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อไหร่สิ่งที่เราเห็นเขาผิดจะกลายเป็นสะท้อนว่าเราผิดบ้าง
เคยไหมตอนเด็กๆ แม่มีขนม เรามีพี่น้อง ถึงเวลาเราเลือกก่อน เราเอาอันนี้ดีกว่า พอถึงเวลากิน ให้ใครกินก่อน เราก็บอกว่า “พี่ขอกินบ้างสิ”  แต่พอถึงเวลาเรากิน เราบอกว่า “อย่ามาแย่งฉันนะ”  ใจแบบนี้เราก็เคยมี ฉะนั้นเวลาอยู่ในสังคมเห็นใครที่ถึงเวลาเอาหน้าก่อน แล้วเอาโทษทีหลัง ก็ถือเสียว่าเขาเหมือนเด็กที่ยังไม่โต เขายังไม่ประสีประสา เดี๋ยวพอเขาโตอีกหน่อย เขาก็จะรู้ว่า อย่างนี้มันนิสัยเด็ก
ฉะนั้นเวลามีเรื่องใดมากระทบ โดยเฉพาะคนที่ชอบขัดใจ เราเคยเป็นไหม ถึงเวลาเราเชื่อตัวเอง เขาบอกว่าซ้ายถูก เราก็ยังยืนยันว่า ขวาถูก  เราสมมตินะ เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ พอใครมาพูดว่ามันไม่ใช่ มันต้องเป็นอีกด้านหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม แล้วของเรามันเป็นสิ่งที่ผิด เรารับได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราโกรธไหม (โกรธ)  เราเคืองไหม (เคือง)  เราเคืองถ้ามีคนมาบอกว่าเราผิดและให้เราแก้ไข แต่ท่านรู้ไหม ถ้าเขาบอกว่าซ้าย แม้เราจะคิดว่าขวา แล้วเราบอกว่าซ้ายก็ได้ เราตามตามเขาไป พอเขาผิดแล้วเราเป็นอย่างไร “รอดตัวเพราะเขารับไป” แต่ถ้าเกิดว่าเขาบอกว่าซ้าย แล้วเรายังบอกว่าขวา ถึงเวลาผิดเราก็ต้องรับเอง
ฉะนั้นเวลาทำอะไรร่วมกันลองปล่อยความยึดมั่นของตัวเอง แล้วลองเชื่อเขาดู พอเชื่อเขาแล้ว ผลที่เกิดขึ้นเขาก็จะประจักษ์ด้วยตาตัวเองแล้วว่า เขาต้องรับผิดชอบนะ แต่ถึงเวลาเราอย่าโทษเขา เพื่อทำให้เราดูดี  เราต้องเป็นนางฟ้า เราต้องเป็นเทวดา  ถ้าผิดแล้วทำอย่างไร ไม่ใช่บอก “เห็นไหม เชื่อแกเลยได้ดีเลย”  แทนที่เขาจะสำนึก เขากลับย้อนว่า  “อ้าวแล้วทำเธอไม่ยืนยันล่ะว่าสิ่งที่เธอพูดมันถูก”   กลายเป็นทะเลาะกันไปอีก ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบเราต้องย้อนมองตัวองแล้วพยายามทำใจให้เป็นกลาง ให้เกิดความเมตตาเข้าไว้ แล้วสิ่งที่มากระทบแม้จะแย้งกับเรา แม้จะตรงข้ามกับเรา เราจะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจและความเข้าใจได้ และสิ่งที่จะทำให้เราเคืองโกรธ ก็จะกลายเป็นโกรธน้อยลง และเห็นใจเข้าใจมากขึ้น
ในโลกนี้เราทุกข์กับคนมากกว่าทุกข์กับเรื่องราวอื่นใดในโลก ใช่หรือไม่  เรื่องที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดคือเรื่องของคน คนนั้นคนนี้และตัวเรา  ต่างก็คือคนมิใช่หรือ มองผู้อื่นแล้วอย่าลืมหันมาสะท้อนมองตัวเรา ตัวเราก็เป็นอย่างคนๆ นั้นที่เราเกลียดหรือเปล่า ถ้าเป็นเหมือนกันเราก็จะเริ่มเข้าใจเห็นใจและโกรธน้อยลง ถูกหรือไม่  เหมือนเวลาคนบางคนไม่ศรัทธาพ่อแม่ตัวเอง ไม่ศรัทธารักพี่น้องตัวเอง กลับศรัทธารักผู้อื่นมากกว่า พ่อแม่ตัวเองไม่ค่อยรัก แต่มองพ่อแม่คนอื่นน่ารักกว่าพ่อแม่ตัวเอง  แล้วพอถึงเวลาตัวเองก็มีนิสัยไม่ต่างกับพ่อแม่เลย เราเกลียดสิ่งไหนตัวเองก็มักจะเป็นสิ่งนั้น ไม่อยากเจอสิ่งไหนก็เจอสิ่งนั้น จริงไหม   
ฉะนั้นเรื่องในโลกที่มากระทบกายกระทบใจจะสลายได้ด้วยการที่ พออะไรมากระทบปุ๊บหันกลับมามองเรา เราเคยเป็นไหม พออะไรมองเห็นไม่พอใจปุ๊บ หันกลับมามองตัวเรา ตัวเราเคยมีนิสัยอย่างนั้นไหม พอเราหันมามองเรา เราจะเริ่มเปลี่ยนใจและเข้าใจว่าเรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อเห็นใจตนเองเราก็จะเห็นใจผู้อื่น  เมื่อเราเข้าใจตัวเองเราก็จะเริ่มเข้าใจผู้อื่น ตอนนั้นอารมณ์โกรธคืออะไร ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้สิ โกรธไม่เป็น” พอโกรธเขาเมื่อไรก็เหมือนโกรธตัวเอง ถ้าด่าเขาเมื่อไหร่ก็เหมือนด่าตัวเอง จริงไหม (จริง)  
ลองคิดให้ดีๆ นะ ทุกเรื่องที่มากระทบใจ ทุกเรื่องที่ขัดตา ขัดหู ขัดใจ ถามว่าที่เขาขัดตา ขัดหู ขัดใจน่ะ เราเคยเป็นคนหนึ่งที่ทำขัดหู ขัดตาคนอื่นไหม ฉะนั้นตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง กิเลสเป็นตัวนำ ก็เป็นธรรมดาที่จะผันแปรเปลี่ยนและถูกผิดได้ง่ายเป็นธรรมดา  ฉะนั้นถ้ารู้จักเอาธรรมเป็นที่ตั้งบ้าง เอาความเห็นใจเป็นที่ตั้งบ้าง เอาความเข้าอกเข้าใจ เมตตามาเป็นที่ตั้งบ้าง เราจะไม่มีใครในโลกที่ควรโกรธเลย เราจะไม่มีใครในโลกที่จะทำให้เรารักจนหลงเลย เพราะแต่ละคนสวยอย่างไร หล่ออย่างไรก็น่าเกลียดได้เหมือนกันถูกไหม  และเมื่อนั้นเวลาที่อะไรมากระทบแล้วเรารู้จักย้อนมอง อะไรมากระทบแล้วรู้จักตรวจสอบว่าตัวเองเป็นไหม รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ขอเพียงทุกครั้งที่มีอะไรมากระทบ นิ่งเข้าไว้ก่อน  อย่าเพิ่งหุนหันพันแล่น  โกรธตามโมโหตาม อย่างที่เราบอก ใจเย็นไว้ก่อนอย่าเพิ่งโมโห เพราะความใจเย็นและความนิ่งจะทำให้เรานั้นมีพลังและเกิดปัญญาในการมองทุกสิ่งได้อย่างเป็นกลาง ไม่เอียง ไม่เอน แต่จะสามารถมองได้อย่างตรง และวางเป็นกลาง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวางเก้าอี้อย่างเกะกะไว้ และให้อาจารย์บรรยายธรรมชายยืนเป็นตัวอย่าง โดยทำให้แต่งตัวไม่เรียบร้อย ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง  เนกไทผูกไม่เสร็จ ผมไม่เรียบร้อย แว่นตาคาดที่ศีรษะ)
ถามท่านนะ ฟังจนจบแล้วเดี๋ยวจะดูภาคปฏิบัติ  ท่านว่าอะไรควรจัดก่อนกันระหว่างเก้าอี้ที่เกะกะ กับคนที่แต่งตัวดูไม่เรียบร้อย จัดอะไรก่อนดี  (จัดคนก่อน)  เพราะอะไรถึงจัดคนก่อน  เขาบอกว่าเกะกะตา ที่ฟังไปนะเอาไปคิดด้วยนะ อย่าฟังแล้วฟังเลย
เรายังไม่บอกว่าใครถูกใครผิด มีใครมีความคิดเห็นอีก จัดอะไรก่อนดี (จัดเก้าอี้)  ทำไมถึงจัดเก้าอี้ (เก้าอี้พูดไม่ได้, จัดคนให้เรียบร้อยก่อน)  (จัดคนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปจัดเก้าอี้)  มีใครมีความคิดเห็นอีก จะตอบอย่างไรก็ตอบไปเลยนะ ดูสิว่าเราจะจัดอะไรกันก่อนดี
(จัดคนก่อน)  จัดคนก่อนเพราะอะไร (จัดตนเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยไปจัดคนอื่น)  จัดคนนั้นที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยหรือจัดตัวเรา (จัดคนนั้น)  จัดคนก่อนเพราะอะไรล่ะ (จัดคนก่อนแล้วค่อยมาจัดเก้าอี้)  
ระหว่างเก้าอี้ที่เกะกะกับคนที่แต่งตัวดูไม่เรียบร้อยจะไปช่วยใครก่อนดี (ช่วยคนก่อน)
ท่านอื่นล่ะ (กิเลสคน)  กิเลสใคร กิเลสเขาหรือกิเลสท่าน (กิเลสเรา)  ตอบได้ดีเหมือนกันนะ ทำไมเห็นเขาอย่างนี้แล้วมีกิเลสในใจล่ะ (เพราะทำไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้ารูปเข้ารอย) ใครไม่ถูกไม่ควร เขาไม่ถูก หรือเราไม่ถูก (ตัวเราไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้ารูปเข้ารอย)  ไม่ถูกไม่ควรตรงที่ (เห็นเขาไม่ดี จะว่าเขาไม่ดีก็ไม่ใช่ จะสะท้อนตัวเราเอง จะไปว่าเขาไม่ถูกไม่ควรไม่ได้ ต้องกำจัดตัวเราก่อน)  กำจัดตัวเราก่อนหรือ กำจัดอย่างไรดี (กำจัดกิเลสจะได้พ้นทุกข์)  ตบมือให้ท่านนี้นะ เข้าใจตอบ เขามาไกลแต่ตอบได้ดีเหมือนกันนะ
ท่านอื่นล่ะ (ย้อนมองส่องตนว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า และหาหนทางแก้ไข)  
คนโคราชทำอย่างไร (จัดคนก่อนเพราะคนยังไม่เรียบร้อยอย่างอื่นก็ยังเรียบร้อยไม่ได้)  
เราอยากบอกว่าพอถึงเวลาเราเห็นอะไรไม่เรียบร้อยแล้ว อะไรที่เราควรจัด อย่างแรกเราต้องจัดใจเราก่อน เพราะถ้าเราเกิดเห็นอะไรไม่เรียบร้อย ใจเราวู่วาม ใจเราร้อน ไปพูดกับเขาถ้าเราไม่เตรียมใจให้ดี คำพูดนั้นอาจจะไม่สุภาพ ไม่น่าฟัง และคำพูดที่ไม่ได้กล่อมเกลาให้ดีเวลาเราพูดอาจจะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย ฉะนั้นก่อนจะไปพูดอะไร หรือจะไปจัดอะไรที่เราเห็นแล้วไม่เข้าตา ควรจัดใจเราก่อน “เราจะพูดอะไรดีนะ”  เราจะเตรียมใจอย่างไรดี และเราควรจะจัดอะไรก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เก้าอี้นะจัดง่าย แต่คนนะจัดยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  และบางอย่างเขาพอใจที่จะงามอย่างนี้ บางที่เราไม่ควรจะไปจัดอะไรด้วยซ้ำ  จริงไหม พ่อแม่สมัยนี้แต่งตัวเรียบร้อย แต่ลูกสมัยนี้ทำอย่างไรให้อยู่
ฉะนั้นฺสิ่งที่เราจะจัดเป็นอย่างแรก อย่าลืมจัดตัวเราเองให้รับสภาพกับความเป็นจริงที่มากระทบใจ แม้ความเป็นจริงนั้นจะเป็นบทเรียนที่ไม่น่ารักก็ตามถูกไหม (ถูก)  แม้ความเป็นจริงจะเป็นบทเรียนที่เกะกะหูเกะกะตาก็ตาม   แต่เราต้องเตรียมใจเราให้นิ่งก่อนทำใจเราให้พร้อมก่อนจะไปรับมือกับจิตใจ เมื่อทำใจพร้อมมีสติ  ปัญญาย่อมเกิด คิดให้ดีว่าควรทำไหมหรือปล่อยไปดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อุตส่าห์ฟังแล้วพอถึงภาคทฤษฏีกลับบอกว่าจัดเขาก่อนเลย เป็นธรรมดา นี่คือความเป็นจริงของมนุษย์ทุกคน เห็นอะไรขัดปุ๊บจัดมันเลย (เกะกะตา)
ฉะนั้นจำไว้นะ จำเรื่องของเรานี้เป็นตัวอย่าง ถึงเวลาเห็นอะไรขัดหูขัดตา อย่างเพิ่งไปจัดเขา จัดใจเราก่อน นิ่งพอหรือยัง มีสติรู้จักเกลาคำพูดให้ดีก่อนจะไปพูดหรือไปรับสภาพเป็นไหม เพราะว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีสติ ปัญญาก็ย่อมเกิด เมื่อใจเรานิ่งพลังย่อมมี ความเข้มแข็งของหัวใจในการก้าวไปเผชิญในโลกภายนอกจะมีพลังมากกว่า ฉะนั้นอย่ามีเพียงแต่สิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจ แล้วไม่เคยลงมือปฏิบัติสักที ไม่อย่างนั้นความรู้ความเข้าใจก็จะกลายเป็นแค่สัญญา เวทนา ปัญญาไม่เกิดเสียที ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราก็มาแค่นี้ล่ะนะ สิ่งที่เราอยากจะพูดให้ท่านรู้ก็พูดเกือบหมดแล้ว ฟังธรรมะวันเดียวไม่สามารถที่จะรู้ตื่น รู้แจ้งได้ทั้งหมด สิ่งที่เราชี้อาจจะไปไม่ถึง ถ้าท่านไม่ยอมลงมือกระทำหรือปฏิบัติ ฉะนั้นถึงแม้เราจะพูดได้กว้างและลึกขนาดไหน แต่ถ้าหัวใจท่านกลับ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วจะเป็นคนดีหรือคนร้าย จะเป็นคนประเสริฐหรือคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดคน ไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวที่กระทบ แต่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราต่างหาก ชีวิตอยู่ในกำมือเรานะ อย่าปล่อยให้ผันแปรไปกับสิ่งที่กระทบ แต่เราต้องรู้จักเอาสิ่งที่กระทบมาอยู่ในมือเรา และเราต้องควบคุมให้ได้ อย่าปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้มา แต่จงทำทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับชีวิตเราเอง ใช่ว่าเขาพูดร้ายแล้วเราต้องร้าย ใช่ว่าเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเราจะดีไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  
ฉะนั้นจำไว้นะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา อย่าโทษฟ้าอย่าโทษดิน อย่าโทษคนอื่น ชะตาชีวิตเราเป็นผู้กำหนดได้ จะดีหรือจะชั่วหาใช่ผู้อื่นกำหนดนะ  ล้วนเกิดจากตัวเองกำหนดตัวเอง   
วันนี้ที่นี่กว่าจะเสร็จได้ก็ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ จากคนหลายๆ ฝ่าย จากคนที่เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก แต่เราอยากบอกว่า เมื่อทำงานร่วมกันแล้ว การกระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา ยอมได้ต้องยอม ถอยได้ต้องถอย  อภัยได้ต้องอภัย ถ้ามัวแต่ถือตัวเองเป็นใหญ่ โดยที่ไม่สนใจคำพูดคนอื่น คนเช่นนี้ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญนะ  ผู้ที่บำเพ็ญแท้จริงคือ ถอยได้เป็นถอย ยอมได้เป็นยอม อภัยได้เป็นอภัย ยิ่งมีอุปสรรคมากเท่าไรยิ่งทำให้ใจเราแข็งแกร่งและก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อย่ากลัวความยากลำบาก  อย่ากลัวการทดสอบ เพราะบททดสอบและความยากลำบากคือตัวพิสูจน์ว่าคนเก่งหรือไม่เก่ง บททดสอบและความยากลำบากคือสิ่งพิสูจน์คนดีหรือไม่ดีอย่างแท้จริง  ฉะนั้นใครจะว่าอย่างไร ฉันจะดีให้ได้ อย่าหวั่นไหวเข้มแข็งไว้ ใครทำดีต้องได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดีเท่านั้น ที่สุดของความดี เคยทำให้ผู้อื่นได้ดีบ้างไหม ที่สุดของการเป็นคนดีคือ เคยสละให้ผู้อื่นเป็นคนดีถึงที่สุดได้ไหม แม้เราจะผิดบ้างให้เขาเป็นผู้ถูก แม้เราจะกลายเป็นร้ายบ้าง แต่ให้เขาเป็นคนดี นั่นแหละคือดีเหนือดี แต่คนในโลก ฉันต้องดีไว้ก่อน ฉันต้องถูกไว้ก่อน เธอผิดเธอร้าย นั่นคือดีสามัญ ดีทางโลกเท่านั้น แต่ดีทางธรรมยังไม่ถึงนะ คนดีทางธรรมคือคนที่ยอมแบกรับความอับอายหวานอมขมกลืนเพื่อผู้อื่นได้
เหนื่อยหน่อยนะ งานธรรมะยังอีกยาวไกล นี่แค่เริ่มต้นเหนื่อยเท่านั้นนะ พยายามเข้านะ หนทางยังอีกยาวไกล ขอให้มีพลังใจสู้ไม่ถอย

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา