วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2549

2549-06-17 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก


西元二〇〇六年嵗次丙戌 五月二十二日     大衆恭求仙佛慈悲指示
วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙        สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

 อันพรานป่าล่ากวางไม่เห็นขุนเขา           ประมงเล่าจับปลาไม่เห็นสายน้ำ
รักประโยชน์เฉพาะหน้าทั้งเช้าค่ำ            ไม่อาจนำค้นพบญาณแท้จริง
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธี น้องชายหญิง   เกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

                มองผ่านจากความทุกข์อ่านชีวิต          ทุกความคิดบังเกิดเป็นทุกข์ได้
ความทุกข์ไม่อาจสิ้นดั่งปลิดขั้วไป      แต่คนที่ทำใจหายทุกข์เอง
ปัญหาแห่งชีวิตไม่หยุดหย่อน              คนใจร้อนจะยิ่งคิดไม่ออก
อันคำตอบไม่ใช่อยู่ปลายทางออก       ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอกแห่งตนเอง
เจริญธรรมในชีวิตแห่งตนนี้ เปลี่ยนแปลงตนทำความดีสม่ำเสมอเป็นมนุษย์อย่าได้บ่อยพลั้งเผลอ              สิ่งที่เจอทุกสิ่งย่อมแฝงคุณ
ในทางที่ตีบตันใจกลับกว้าง เพราะหนทางอยู่ที่ใจใช่ไหมท่าน
การไม่ยึดติดไปเรื่องสำคัญ  ให้ของขวัญกับตนด้วยการคิดเป็น
น้องชายหญิงในวันนี้มาพร้อมหน้า     สามวันก่อคุณค่าให้ชีวิต
จงฟังธรรมด้วยจิตใจที่มิปิด จงลิขิตชีวิตนี้ด้วยตนเอง
ฟื้นฟูจิตดวงเดิมให้สว่าง       ดำเนินทางธรรมก็เดินอยู่บนโลก
แต่แยกแยะด้วยปัญญาไม่เศร้าโศก      คนเบื่อโลกรู้ทันโลกจักสบาย
ในวันนี้เป็นวันแรกฟังธรรมะ              การลดละกิเลสจงมีตามขึ้น
อย่าปล่อยให้ชีวิตดั่งฉุดไม่ขึ้น             ใจเมามึนตั้งสติธรรมนำทาง
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                 และเคารพระเบียบแห่งสถาน
จงสำรวมกายใจให้ชื่นบาน   นั่งนานนานก็ต้องมีความอดทน
ธรรมแยบยลอยู่ที่คนปฏิบัติ เดินทางลัดแต่จิตใจต้องซื่อตรง
จงซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นมั่นคง             สำรวจตรงกายใจแก้ไขเป็น
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน        หวังน้องเปลี่ยนตนเองเป็นคนใหม่
คนมีบุญอย่าทำดั่งคนบุญไร้ ขยับใกล้แสงสว่างบำเพ็ญเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป          ความสงสัยจงแปรเป็นศรัทธาเถิด
ศิษย์น้องต่างเป็นผู้ที่ประเสริฐ              ขอจงเกิดความมานะชำระญาณ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

                                                ฮวา ฮวา หยุด

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระนาจา

                กินบุญเก่าหลงเพลินจนน่ากลัว            เงาสลัวแห่งกรรมคอยจ้องทวงถาม
รอเวลาประจวบเหมาะเข้าคุกคาม        ถึงยามหามหวังสร้างบุญสายเกินไป
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานผู่ถี   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคน อิ่มไหม

                บำเพ็ญตัวจากเริ่มต้นเสมอปลาย          รู้สึกเองทำให้ดีมากกว่า
แต่ลำเอียงแฝงทุกข์ใจหลายเวลา          ยากมั่นหากวันกว่าวันลำเอียง
รู้สติเป็นบุญญาแห่งผู้บำเพ็ญ                อจิตติ[๑]คลุ้งนับโดยเห็นกิริยาเพลี่ยง
คิดต่อคิดไร้สิ่งใดลำเลียง      คนแข็งเข้มใจเจรียง[๒]ทบทวนตน
หนุนเนื่องธรรมสู่คนด้วยเมตตา          อัตถะ[๓]หนาบำรุงปวงใจเบื้องต้น
เสียงจะสามารถชวนคนแทบกมล        ชีวิตบนดีงามธรรมชั้นดี

รักษาจิตที่มีก่อนจะสาย        คนเรียงรายแต่ธรรมเป็นหน้าที่
เวียนอยู่ทุกข์ไยไม่ปลงชีวี    สายวารี[๔]ไม่ไหลกลับน้ำตาปน
พยายามดั่งเคยทำไมท้อใจ    ไม่รู้ตนชาญอย่างไรทำลายผล
ตระหนักเชาวน์[๕]นั้นยอมผิดสะกิดตน              คนอาจฝึกฝนรับบ่มปัญญา
บุคคลคิดดีหนึ่งใจดีหนึ่ง      บำเพ็ญถึงปราชญ์ถ้าเพียรก้าวหน้า
อาภัพไม่ธารสายทองพ้องศรัทธา         ถดถอยเพราะไปเนื่องมาด้วยโลกีย์
บำเพ็ญขาดช่วงไปใจไม่อยู่  ปฏิบัติดูธรรมในตนขยาดหนี
จึงไม่สู้ปฏิบัติตนให้ดี           พัฒนาจากจิตที่ไม่มีเรา

                                                ฮิ  ฮิ  หยุด





พระโอวาทพระนาจา
กินข้าวอิ่ม อยากเล่นหรืออยากฟังธรรมะ (อยากฟังธรรมะ,อยากเล่น) วันนี้มาเล่นหรือมาฟังธรรมะ (มาฟังธรรมะ)  มาฟังธรรมะแล้วได้ธรรมะอะไรไปบ้างแล้ว (ความกตัญญู, กฎแห่งกรรม, ไม่เบียดเบียนสัตว์, ความหมายของการกินเจ) อยากฟังธรรมะกับเราไหม อยากรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร (อยากรู้)  อยากรู้อะไร (รู้ธรรมะ) ในตัวคนทุกคนมีธรรมะไหม ในตัวเราที่นั่งอยู่นี้มีธรรมะไหม (มี)  เรามีธรรมอะไรในหัวใจ (เป็นคนดีในหัวใจ)  ในหัวใจเรามีอะไรที่สามารถเรียกว่าเป็นธรรมะได้บ้าง ในความเป็นตัวตนเรา มีอะไรที่สามารถเรียกว่า เป็นธรรมะที่ดี ที่เป็นคนดีคนหนึ่งได้บ้าง (ช่วยเหลือผู้อื่น, มีคุณธรรมประจำใจ, มีความเมตตา, มีความกตัญญู, มีใจเมตตาบริสุทธิ์, กรุณา, มุฑิตา, อุเบกขา)  มีหมดเลยหรือ มีจริงหรือ มีความเป็นกลางจริงนะ ถ้าลูกเรากับลูกเขาทะเลาะกัน เข้าข้างลูกใคร (ให้ความยุติธรรม) จริงหรือ ถ้าเงินเราไปอยู่กระเป๋าคนอื่นแล้วเขาบอกเป็นเงินเขา เราจะบอกว่า (มันเป็นธรรมชาติ)  กระเป๋าก็เป็นกระเป๋าเขาแล้วใช่ไหม ในโลกนี้คุณธรรมพูดเท่าไรก็พูดได้  แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
เอาแค่ง่ายๆ ทุกคนอยากเป็นคนดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วทุกคนถ้ามีโอกาสก็อยากเลือกทำสิ่งที่ดีมากกว่าทำสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แต่จนแล้วจนรอดถามสิดีแค่ไหน เพราะว่าบางทีดีกับชั่วห่างกันแค่นิดเดียวเอง จริงไหม (จริง)  สมมุติมีคนมาทำร้ายเรา  เราคิดเสียว่าไม่เป็นไรคงเป็นกรรมของเรา แต่ถ้าเราคิดว่ามาตีเราทำไม ความอดทนเราหายไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าตาที่ผ่องใสเปลี่ยนไปทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าวันนี้ฟ้าสวย เป็นเพราะว่าฟ้าสวยหรือว่าใจเราดี (ใจเราดี)  วันนี้ฟ้าไม่สวยเป็นเพราะจริงๆ แล้วฟ้าไม่สวยหรือใจเราไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  จริงไหม (จริง) ฉะนั้นภาวะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับใจของเราต่างหากว่ากำลังคิดอย่างไรอยู่ และตอนนั้นหัวใจเราถูกอะไรครอบงำอยู่ทำให้เราคิดดีไม่ขึ้น  มีแต่ดึงให้ตัวเองต่ำลง
ฉะนั้นเราอยากจะบอกว่าโบราณสอนไว้ว่า เวลาเราพบเรื่องราวที่ดี จงพยายามมอบสิ่งที่ดีให้กับคน แต่เมื่อใดที่ใจเราย่ำแย่ หรือพบเรื่องที่ไม่ดี จงพยายามรักษาความดีให้อยู่คู่กับตน ทำได้ไหม (ได้)  ชีวิตจริงๆ มีอยู่สองเรื่องเอง  ฉะนั้นเมื่อไรที่รู้สึกดีจงแจกจ่ายความดีให้เขาไป รู้สึกดีอย่างไร ก็แบ่งปัน รู้สึกวันนี้มีความสุขยิ้มให้เต็มที่ ใครเห็นจะได้ยิ้มตาม หากวันไหนที่มีความทุกข์หรือพบเรื่องแย่ พยายามรักษาความดีให้อยู่กับตัว อย่าให้ความดีหายไป ทำได้ไหม (ทำได้)  ยากไหม (ไม่ยาก)
เหมือนคำว่า เวลาเรามั่งมีให้รู้จักแบ่งปัน แต่เวลาเรายากจนต้องอย่าสูญเสียความเป็นคน ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้ในโลกนี้ความดีความชั่วไม่ใช่เรื่องยาก อย่างนั้นพูดจบแค่นี้เอาไหม (ไม่เอา)
ถ้ารักษาสองสิ่งที่เราบอกได้ การเป็นคนดีในโลกก็ไม่ใช่เรื่องยาก และการทำดีในโลกก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราจะต้องอดทนได้ ถ้าสมมติว่ามีคนๆ หนึ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินมาว่าเราว่า ไอ้โง่ อดทนได้ไหม โกรธไหม เพราะเรื่องราวในโลกนี้อะไรเกิดก็เกิดทันที บางทีเราตั้งสติไม่ทันด้วยซ้ำ ชั่วครู่หนึ่งอะไรที่อยู่กับเราล่ะ  แล้วเราจะรักษาอะไรหรือจะปล่อยอะไรทิ้ง เราจะเอาแต่อารมณ์อยู่หรือจะเอาความดีเก็บไว้ ถ้าตอนนั้นถูกว่านิดหนึ่งก็เอาอารมณ์มาก่อน ความดีช่างมัน เราดีไม่ได้แน่ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าช่วงที่ถูกว่านั้น เรานึกว่าเราต้องดี ต้องสูงส่ง ต้องยิ่งใหญ่ เมื่อมีสิ่งใดมากระทบใจ ให้จำไว้ว่าต้องเป็นเหมือนบันไดที่ทำให้เราต้องสูงขึ้น  ไม่ใช่เป็นหุบเหวที่ทำให้เราตกไปในนรก  ถ้าทำได้เช่นนี้การมีชีวิตของการเป็นคนจะทำให้เรายิ่งดีขึ้น ยิ่งสูงขึ้น  แต่ถ้าถูกคนว่าจนลากเราไปลงเหว เราก็ลงเหว ว่าให้เจ็บช้ำเราก็เจ็บช้ำลงไปด้วย แปลว่าการดำเนินชีวิตมีแต่ทำให้เราแย่ลงๆ  อย่างนั้นตอนนี้ท่านอยากจะคิดสูงขึ้นหรือคิดแย่ลง แล้วอยากให้เราเป็นบันไดหรืออยากให้เราเป็นลูกถีบ
ฉะนั้นเมื่อถูกคนว่าก็คิดเสียว่าเขาเป็นบันไดให้เราอดทนยิ่งขึ้นเป็นคนดียิ่งขึ้นดีไหม (ดี)  แต่ว่าในความเป็นจริงของมนุษย์นั้นมีเรื่องราวมากกว่านี้มากมายอย่างที่เราได้ยินบ่อยๆ คิดดีก็เป็นกุศล คิดชั่วก็เป็นอัปมงคล
ใครที่มีชีวิตที่สบายไม่ต้องลำบาก แปลว่าชาติก่อนนั้นได้สร้างผลบุญผลกรรมที่ดีไว้  แต่อย่าลืมว่าผลบุญก็มีวันหมดได้  แล้วเวลาผลบุญหมดไม่มีอะไรมาบอกนะ พอบุญหมดกรรมมาแทนที่ทันที ฉะนั้นคนที่จะทำให้รู้ได้ว่าบุญหมดเมื่อไร ก็คือตัวเราเอง จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราไม่มีสติทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิดหรือทบทวน ต้องรอให้กรรมมาถึงที่ก่อน แล้วตอนนั้นคิดสร้างบุญทันไหม  (ไม่ทัน)
ฉะนั้นก่อนที่กรรมจะมา เราจงรู้จักสร้างบุญเข้าไว้มากๆ เราพูดแบบนี้ไม่ใช่ให้ท่านเกิดมาเป็นคนแล้วเอาแต่หนีกรรม  กรรมมาจงยินดีรับแล้วก็แผ่เมตตาจิตไป เพราะเราไม่รู้ว่าชาติปางก่อนหรือกี่ชาติเราได้ทำร้ายเขามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้เขามาทวงท่าน ฉะนั้นกรรมมี เราใช้คืนด้วยใจที่ยินดีและไม่ผูกใจเจ็บ พอเขามาทวงก็จบสิ้นกัน  แต่ถ้าเขามาทวง เราให้เขาด้วยความรู้สึกที่เจ็บแค้นเคืองโกรธ กรรมนั้นก็จะไม่หมดสิ้น ก็จะตามทบไปอีกเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่ถูกใครทำร้าย ขอให้ใจแผ่ความเมตตาไว้มากๆ  ถูกคนเข้าใจผิด ถูกว่ากล่าว ขอให้คิดเสียว่าดีแล้วเราจะได้ชดใช้กรรมไป ไม่อย่างนั้นกรรมไม่หมด เราจะต้องกลับมาเวียนเกิดอีกกี่ครั้ง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตขอให้วันนี้จบแล้ว ไม่เป็นการผูกต่อไปทุกวันๆ  ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็จะเป็นเหตุให้ ผูกต่อไปชาติหน้า ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถูกไหม (ถูก)  และจงก่อแต่กรรมดีอย่าก่อกรรมชั่ว ดีหรือไม่ (ดี)  แล้วทำให้คนโกรธนี้เรียกว่ากรรมชั่วไหม อาจจะไม่ชั่วแต่เป็นการเกี่ยวกรรมกันต่อ ฉะนั้นจงทำให้ทุกคนมีความสุข เราจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวกรรมทะเลาะกันอีก ดีหรือเปล่า อะไรยอมได้ก็ยอม อะไรอภัยได้ก็อภัย ได้ไหม (ได้)  ทำแบบนี้ให้ตลอดนะ
เรานึกอะไรสนุกๆ ได้อย่างหนึ่ง บางครั้งสิ่งที่เรารู้ เราคิด เราเข้าใจ ก็ไม่เป็นอย่างที่เรารู้ เราคิด เราเข้าใจเสมอใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะโลกกลมๆ ใบนี้ มีเรื่องหลายเรื่องที่เรายากจะคาดเดาได้ เคยเห็นไหม ฟ้าแม้จะสูงขนาดไหนแต่เราก็ไม่กล้าจะเชิดหน้าชูคอ ดินแม้จะหนาขนาดไหนแต่เราก็ไม่กล้าประมาท มนุษย์บางทีระวังภัยอันตรายข้างนอกมากมาย ระมัดระวังเต็มที่แล้ว แต่ผลสุดท้ายก็ยังเกิดความผิดพลาด และเกิดอันตรายต่อชีวิตได้เสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ความหมายคืออะไร ทำไมฟ้าสูงขนาดไหนก็ไม่กล้าเชิดหน้าชูคอ หมายความว่าแม้ฟ้าจะสูงขนาดไหนก็ไม่กล้าเย่อหยิ่งทะนงตนอวดตน แม้ดินที่เรายืนจะหนาขนาดไหนก็ไม่กล้าที่จะดำรงชีวิตอย่างประมาท เพราะอันตรายเกิดได้รอบด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดไหมว่าเราระวังภัยภายนอกมากมายแต่เราลืมระวังภัยที่อยู่ใกล้ตัว ดั่งคำว่า ปราบโจรข้างนอกนั้นปราบง่าย แต่ปราบโจรที่อยู่ในใจนั้นปราบยาก และโจรอะไรในใจที่น่ากลัวที่สุด ให้คิดก่อนนะ
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตา แล้วทายว่าผู้ปฏิบัติงานธรรม 4 คน ที่ออกมานั่งย่อตัวบนเก้าอี้ คนไหนสูงที่สุด)
เรื่องราวในโลกไม่ได้มองง่ายเสมอไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งการที่เราใช้แต่ตาดูแล้วเราพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นจริง เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ลองดูซิว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะเดาถูกไหม (พระนาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนขึ้นพร้อมกันเพื่อเฉลย)  มีทั้งถูก มีทั้งผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันนี้แค่เกมแรก ให้เดาเฉยๆ นะ  ฉะนั้นคนที่ถูกตอนนี้อย่าเพิ่งย่ามใจ นับคะแนนไปก่อนว่าเล่นเกมกับศิษย์พี่นี่เล่นเดาผิด เดาถูกไปกี่ครั้ง
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนออกมา 3 คน ยืนหันหลังให้ชั้นเรียน แล้วให้แต่ละคนถือผลไม้คนละชนิด คนที่หนึ่งถือแอปเปิล คนที่สองถือลิ้นจี่ คนที่สามถือแก้วมังกร แล้วให้นักเรียนที่เหลือในชั้นทายว่าใครถือผลแก้วมังกร โดยให้นักเรียนที่ยืนอยู่หน้าชั้นให้แค่บอกลักษณะ)
เดาได้หรือยังว่าคนไหนมีผลแก้วมังกรเหมือนที่เราถือ  ท่านถืออะไรให้บอกแค่เพียงลักษณะด้วยคำๆ เดียว  เพราะเขาไม่รู้ว่าท่านถืออะไร  (ท่านที่ 1 กลมๆ  ท่านที่ 2 แดง  ท่านที่ 3 แหลม)  เดาได้หรือยังว่าท่านไหนมี  คนไหนมีสิ่งนี้  ท่านทั้งสามหันกลับมาเฉลยหน่อยนะ (ท่านที่สาม)  บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ใช้แค่เดาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะการเดาอาจจะผิดพลาดได้ หรือบางครั้งใช้แค่สิ่งที่เรารู้เล็กๆ น้อยๆ แล้วไปเดาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บางทีก็ไม่แน่ว่าจะถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวนี้หลับตาอีก
(พระนาจาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนำผ้ามาบังผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกสามคนที่ยืนอยู่หลังผ้า)  ลืมตา คราวนี้ให้เดาอายุ  ให้สามคนที่อยู่หลังผ้าบอกลักษณะรูปร่างตอนนี้ของตนเป็นอย่างไร แล้วให้นักเรียนที่นั่งอยู่เดาว่าในสามท่านนี้ใครอายุมากที่สุด (ท่านที่ 1 ผอม มีลูกสามคน ท่านที่ 2 อ้วน มีลูก 2 คน ท่านที่ 3 สูง ของปลอมทั้งนั้นเลย)  ท่านนี้บอกของปลอมทั้งนั้นเลย ท่านนี้ลงพุง  ท่านนี้บอกว่ามีลูก 3 คน ใครเดาอายุได้บ้าง  (52 ,เกิน 60, 55 ,60กว่า)  ไหนใครที่เดาข้อแรกถูก ลองเดาข้อนี้ซิ ดูซิจะถูกอีกไหม (30 กว่า)  ไหนเมื่อกี้ใครเดา 30 กว่า อย่าพึ่งเดาอายุดีกว่า เดาว่าใน สามคนนี้ใครอายุมากที่สุด  เฉลย เอาผ้าลง (ท่านแรกอายุ 80 ท่านที่ 2อายุ 59 ท่านที่ 3อายุ 73)  ตบมือให้ 3 ท่านหน่อย  ไหนใครยังถูกอีก แต่โชคมาบ่อยๆ ไหม (ไม่บ่อย)  ไม่บ่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราจะเสี่ยงโชคอีกหรือไม่ (เสี่ยง)  เสี่ยงหรือ
ศิษย์พี่อุตส่าห์ให้เล่นเกมส์เช่นนี้ เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องเล่นเสี่ยงโชค เพราะว่าบางทีมันผิดมากกว่าที่จะถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะจริงๆ แล้วตัวเลือกในการเสี่ยงจะมีให้น้อยขนาดนี้ไหม แล้วใครจะบอกใบ้ซื่อๆ ตรงๆ ขนาดนี้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรื่องราวที่ศิษย์พี่จะเอามาคุยในวันนี้นั้น มีอะไรมากกว่านั้นตรงที่ว่า เรื่องราวบนโลกใบนี้เราเฝ้าระแวดระวังภัยจากภายนอก ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่เกิดจากภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะภัยภายในที่เกิดจากความคิด ใช่ไหม (ใช่)
ความคิดอะไรที่สามารถก่อภัยให้มนุษย์บ่อยมากที่สุด (ความโลภ)  จริงไหม เมื่อความโลภเกิดขึ้นกับตัวเรา เราก็จะต้องวิ่งวนไปดิ้นรนแสวงหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะของมีจำกัดแต่ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่จำกัด จึงเกิดการแก่งแย่งและชิงดีชิงเด่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาที่เกิดจากความรัก โลภ โกรธ หลง อันนี้เรารู้กันอยู่ทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่วันนี้สิ่งที่ศิษย์พี่จะมาพูดนั้นไม่ใช่แค่รัก โลภ โกรธ หลง แต่ยังมีจิตใจอีกอย่างหนึ่งสามารถทำร้ายตัวเองและคนอื่นได้ คือความคิดอะไร  เคยได้ยินนิทานเรื่อง กบในบ่อ ไหม (ไม่เคย)  คนที่ไม่เคยฟังก็ลองฟังดูนะ
กบตัวหนึ่งรู้สึกว่าในบ่อที่ตัวเองอยู่ช่างกว้าง ว่ายน้ำไปทางไหนก็สบาย แล้วตัวเองก็เป็นเจ้าอยู่ในบ่อนี้อยู่ตัวเดียว ไม่มีกบตัวอื่นมา จนกระทั่งมีเต่าทะเลเดินทางผ่านมาพบบ่อน้ำ จึงคุยกับกบ กบก็บอกว่ามาอยู่กับเราไหม บ่อเรากว้างนะ พอเต่าทะเลเอาเท้าซ้ายแหย่เข้าไปก็ติดขอบบ่อด้านซ้าย เอาขาข้างขวาแหย่ไปก็ติดขอบบ่ออีก พอเอาเท้าหน้าแหย่ลงไปอีก มันลงไม่ได้ เต่าทะเลก็เลยถอยออกมา แล้วถามว่าบ่อนี่กว้างแล้วหรือ กบก็บอกว่ากว้าง เต่าก็บอกว่าฉันลงไปไม่ได้  กบก็ยังยืนยันว่าบ่อนั้นทั้งกว้างทั้งลึกและแสนสบาย เต่าทะเลถามกบว่า กบเคยได้ยินไหมว่าทะเลนั้นกว้างสุดลูกหูลูกตา  เมื่อเอาเท้าหลังแหย่ลงไปก็ยังหาที่สุดไม่เจอ เอาเท้าหน้าแหย่ลงไปก็ยังหาที่สุดของมันไม่พบ แล้วเต่าก็ถามกบว่าจะไปทะเลไหม กบบอกว่าไม่ไป เพราะบ่อนี้กว้างที่สุดแล้ว ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว ความคิดที่น่ากลัวของกบ เหมือนกับเราอย่างหนึ่งคือ ความเชื่อมั่น ใช่ไหม (ใช่)  ความรู้สึกที่ว่าสุขแค่นี้ของชีวิตพอแล้ว มีเงินมีเกียรติยศ เคยรู้ไหมว่าที่ยิ่งใหญ่กว่าการมีเงิน ที่ยิ่งใหญ่กว่าการมีคนหนึ่งคนรักแทบเป็นแทบตายคืออะไร  เราเคยคิดไหมว่ายังมีอะไรที่ถูกต้องกว่านี้อีก
แล้วบางครั้งเราเถียงกับคนอื่นแทบเป็นแทบตายเพื่อให้เขาบอกว่า เราถูกเขาผิด เขาผิดเราถูก เราจริงเขาปลอม เราเหมือนกบหรือเหมือนเต่าทะเล ศิษย์พี่แค่ยกตัวอย่างให้ดูนะ  ถ้าความคิดเหล่านี้อยู่ในใจของคน อย่างเช่นเชื่อมั่นว่าฉันเก่งแล้ว ฉันแน่แล้ว คนอื่นเป็นไปได้ไหม ที่จะเก่งกว่า ไม่มีทางหรอก โลกใบนี้ฉันรู้มาหมดแล้ว อย่ามาพูดเลย พูดแล้วก็เหมือนเดิม ธรรมะไม่ฟังแล้ว รู้มาหมดแล้ว จริงหรือ (ไม่จริง)  เหมือนศิษย์น้องท่านนี้ ถ้าเรามั่นใจว่าชีวิตนี้ฉันสูงแล้ว ฉันสวยแล้ว ฉันแน่แล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  มีคนสูงกว่าเขาไหม (มี)  มีคนสวยกว่าเขาไหม (มี)  แต่ก็ไม่ใช่คิดว่า ฉันแย่แล้ว ฉันเตี้ยแล้ว ฉันไม่สวยแล้ว คิดอย่างนั้นได้ไหม อยู่ในโลกถ้ากดตัวเองต่ำเกินไปก็พยายามดึงขึ้นมาบ้างเพื่อให้มีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าหลงตัวเองสูงเกินไปก็กดลงมาบ้าง เพื่อตัวเองจะได้ไม่เหมือนกบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกขาดไม่ได้ซึ่งการหมั่นทบทวนตัวเองและการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  โดยเฉพาะการว่าหรือด่ารับให้มากๆ จะทำให้เราเห็นจริง คำชมจะเอาไปทำไม  ชมว่าสวย เก่ง ดี กลับยิ่งหลง ฉะนั้นต้องรู้จักรับฟังนะ จะได้ไม่ทำให้เราประมาทใช่หรือไม่ (ใช่)
มีเพียงความคิดยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวไหม ที่ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตผิดพลาดได้ ยังมีอย่างอื่นไหม (มี)  อะไรบ้าง (ความทะนงตัว, ความหลง, ความทะเยอทะยาน, ความไม่รู้จักพอ, ความโง่เขลา, รูปลักษณ์ภายนอก, ความมีทิฐิ) ความดื้อรั้นของเราก็เป็นเหมือนกบในกะลา เหมือนกันใช่หรือไม่ เป็นเหมือนกบในบ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอะไรอีก (แพ้ใจตัวเอง, ไม่มีธรรมะในใจ, ลืมตัวตั้งสติไม่อยู่)  วันนี้เราจะพูดถึงความคิดล้วนๆ เลยนะเพราะชั่วขณะเดียวก็อาจขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบว่า (หลงตัวเอง, ความงมงาย, ความไม่รู้ทันอารมณ์ตน,ความอิจฉาริษยา) เรื่องนี้น่าคิดใช่ไหมอย่างเช่นเห็นเขาได้ดีแล้วเราไม่ได้ เราไม่ยอมใช่หรือเปล่า เห็นครูชมแต่คนโน้น ครูไม่ชมเราเลย เราก็คิดว่าครูลำเอียงแน่ๆ เลยใช่หรือเปล่า แม่รักคนโน้นไม่รักหนูเลย  แต่ก็อดคิดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
(เพราะมีมารอยู่ในตัว) แล้วตัวนั้นใช่เราไหม (ไม่ใช่) ขจัดมารด้วยการเพิ่มพลังความดีมากๆ แล้วพลังแห่งมารจะได้อ่อนแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หลงอำนาจ, แก่งแย่งชิงดีกัน, การไม่รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น, ความพลั้งเผลอ)
นอกจากความยึดมั่นถือมั่นที่เราชอบมีแล้วยังมีความกลัว ทำให้เราไม่สามารถเอาชนะทุกข์ ความกลัวไม่สามารถทำให้เราเอาชนะตัวเองได้จริงไหม (จริง)  อย่างเช่นมีหญิงคนหนึ่งต้องจากบ้านจากเมืองเพื่อไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่ตอนที่กำลังจะไป รู้ข่าวว่าตัวเองต้องไป เขาร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด จนกระทั่งไปถึงแล้ววันแรกก็ยังร้อง วันที่สองวันที่สามเขากลับหัวเราะ ฉันไม่น่าร้องไห้เลย ใครจะไปรู้ว่าที่กลัวตอนนั้น แต่จริงๆ แล้วตอนนี้สบาย สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ หรือเอาชนะความทุกข์ในโลกได้ เป็นเพราะกลัวอะไรบ้าง ที่พบเมื่อไรแพ้ทุกที (กลัวตาย) หัวหน้าตอบได้ดี จริงๆ แล้วใครๆ ก็กลัวตายจริงไหม (จริง)
แต่ใครจะรู้ว่าถ้าปัจจุบันเราทำดีที่สุดการตายอาจจะไปสู่ที่ๆ ดีกว่าก็เป็นได้ แล้วเคยได้ยินไหมว่าการตายคือการหลับพักผ่อนที่ไม่ต้องรับรู้อะไรแล้วในโลกนี้ โลกนี้วุ่นวายได้ยินก็ยังปวดหัว ได้เห็นก็น่ากลัวไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการตายอาจจะดีกว่าการอยู่ก็เป็นได้ ถ้าตอนมีชีวิตอยู่ทำดีที่สุดและรักษาความดีจนถึงที่สุดแล้ว ถูกไหม (ถูก) เรากลัวอะไรอีกนอกจากกลัวตาย (ความจริง, กลัวตัวเองกลับมาเกิดอีก) อย่างนั้นก็จงตายก่อนตาย ดับก่อนดับ เคยได้ยินไหม ฉะนั้นเราจงรู้จักมีชีวิตอยู่ ยิ่งมีชีวิตต้องรู้จักลดละอารมณ์ให้มากๆ  อยากให้น้องๆ สมถะและครองชีวิตให้เรียบง่าย  นั่นก็คือเรารู้จักดับอารมณ์ ดับกิเลสได้ก่อนที่เราจะตาย
กลัวความจริงใช่ไหม (ใช่)  ความจริงอะไรที่เรากลัว การพลัดพราก การสูญเสีย การผิดหวัง การล้มเหลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวไหม (กลัว)  แต่เราอยากจะบอกว่าตั้งแต่สมัยก่อนเขาก็สอนกันว่า เกิดเป็นคนจงอย่าเลือกสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่าสิ่งที่เป็นจริง ไม่อย่างนั้นความรักจะทำร้ายเรามากกว่าความเป็นจริง แต่มนุษย์ส่วนใหญ่พอถึงเวลาเลือก มักเลือกสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่าเลือกสิ่งที่เป็นจริง แล้วประสบการณ์ชีวิตก็สอนให้เรารู้ว่ายอมเลือกสิ่งที่เป็นจริงดีกว่า แล้วจงรับสิ่งที่เป็นจริงให้มีความสุข แต่เราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ก็ต้องพยายาม
โลกนี้มีสิ่งน่ากลัวมากมาย แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราเอง กลัวไม่มีเงินเลยหาเงินมากๆ แต่ยิ่งงกยิ่งหาก็ยิ่งไม่มี ฉะนั้นอย่าได้กลัว เมื่อใดที่มีความกลัวมาอยู่ตรงหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมีสติ สุขุมและใจเย็น บางครั้งสิ่งที่กลัวที่สุดอาจจะทำร้ายเราไม่ได้ แต่เป็นแรงผลักดันให้เราเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริงบนโลกนี้ได้มากกว่า คนเรานั้นอยู่บนโลกต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ต้องกล้ามองเห็นทั้งโลกขาวและดำ คนดีและคนไม่ดี อยากจะรู้จักโลกใบนี้แท้ๆ ต้องเปิดตามองโลกให้ชัด ต้องยอมรับด้านหน้าและด้านหลังของทุกๆ อย่างให้จงได้ เมื่อเข้าใจทั้งสองด้านก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว จริงไหม (จริง)
หากว่าผลไม้ด้านหนึ่งสวยแต่ด้านหนึ่งเน่า จะเอาไหม (ไม่เอา) ทุกๆ สิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรไม่มีข้อด่างพร้อย ถ้าวันนี้กล้าปฏิเสธแค่ผลไม้ลูกนี้ได้ วันหน้าก็ทุกข์เพราะการเลือกหาลูกที่สมบูรณ์เป็นแน่แท้นะศิษย์น้อง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้กล้าเลือก กล้ารับ กล้าสู้ ต่อไปเมื่อพบเรื่องหนักกว่านี้จะกลัวอะไร แต่ถ้าแค่ผลไม้ใบเดียวยังไม่เอา กลับไปทุกข์อย่าโทษกันนะ
ตัวท่านเองยังมีสิ่งที่เรียกว่าดีและไม่ดี ถ้ามัวแต่กังวลสิ่งที่ไม่ดีแล้วทำลายสิ่งที่ดีในตัวตนเสียหมดก็น่าเสียดาย บ่อยครั้งที่มนุษย์ทำผิดนิดหนึ่งแล้วบอกว่าฉันคงดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว อย่าทำให้รอยเน่ารอยผิดพลาดในชีวิตหนึ่งรอยทำให้เราไม่สามารถเป็นคนดีได้ตลอดชีวิต อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ดีไปครั้งหนึ่งก็จงทำดีเพิ่มขึ้น ให้ความรู้สึกดีนั้นลบล้างให้จงได้ ดีกว่าหรือเปล่า (ดี)  อย่าปล่อยให้รอยเน่านิดหนึ่งแล้วเน่าไปทั้งลูก น่าเสียดายจริงๆ
เคยฟังเรื่องคนขโมยขวานไหม (ไม่เคย) เรื่องมีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งไปตัดไม้แล้วทิ้งขวานไว้พอจะกลับไปเอาปรากฏว่าหาขวานไม่พบ แล้วก็ไปเห็นเด็กข้างบ้านคนหนึ่งใช้ขวานถากไม้อยู่ เขาก็คิดว่าขวานนั้นเหมือนของเขาเลยทั้งด้ามทั้งเหล็ก จากนั้นเขาก็เดินไปถามเด็กว่าขวานนั้นของหนูหรือ เด็กตอบว่า ใช่ของหนู อยู่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเขาขอขวานมาดูพบว่าเหมือนของเขามากๆและคิดว่าเด็กคนนี้ขโมย แต่จะไปว่าได้อย่างไร ก็เลยปล่อยไป นับจากนั้นมาทุกครั้งที่เห็นเด็กคนนี้เดินไปไหน ก็คิดว่า เด็กจะต้องขโมยของแน่เลย หน้าตาก็ให้ ท่าทางก็เหมือน พูดจาฟังไม่ขึ้นเลย ดูไม่ดี แต่พอวันหนึ่งที่เขาต้องเข้าป่าเพื่อไปเอากิ่งไม้ ปรากฏว่าเขาเห็นขวานของเขาที่หายไป เมื่อเขาเดินถือขวานกลับมาก็สบายใจที่ได้ขวานคืนแล้ว  เมื่อเห็นเด็กคนนั้น ก็มองเห็นว่าเด็กก็ดูดี น่ารักดีเหมือนกันนะ ความคิดเปลี่ยนไปทันที เหมือนพวกเราไหม (เหมือน)  ความคิดอะไรในใจเราที่เกิดขึ้นมาแล้วจะทำให้มองคนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย (ความคิดไม่ดี, อคติ, ความเห็นแก่ตัว, เห็นผิดเป็นถูก, ความเข้าใจผิด)
เราเกิดความเข้าใจผิดกับคนในโลกมากไหม อะไรในชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้เรามองผิดเป็นถูกได้ ความรักได้ไหม (ได้)  (ความคิดไม่รอบคอบ, อกุศล, เข้าข้างตัวเอง)  ฉะนั้นคิดอะไรต้องคิดให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะมองสิ่งถูกเป็นสิ่งที่ผิด และมองสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก (ความคิดของตนเอง, อารมณ์ชั่ววูบ, ความเกลียด)  บางทีรักก็ทำให้เรามองเห็นอะไรดีไปหมด แต่เมื่อเกลียดก็ทำให้เรามองเห็นความไม่ดีของเขาใช่ไหม (ใช่)  อย่างที่ศิษย์พี่บอกไว้ ตอนแรกมองอะไรขอให้มองให้ดี มองให้ชัดและมองให้ถึงที่สุด คนที่เราเกลียดก็อาจมีบางมุมที่ดี และคนที่เรารักก็อาจมีบางมุมที่ไม่น่ารักก็เป็นได้ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความคิดรักหรือเกลียดครอบงำจนเรามองไม่เห็นสิ่งที่ดีที่เราควรจะเห็น ทำได้ไหม (ได้)
(พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นจับหัว ไหล่ เอว เข่า)
แล้วความคิดอะไรอีกที่ทำให้เราคิดร้ายมากกว่าคิดดี สามารถทำร้ายเราได้ เช่น ความประหยัด ถ้ามีพอดีก็เป็นผลดีต่อเรา แต่ถ้ามีมากเกินไปก็กลายเป็นคนใจคอคับแคบตระหนี่ถี่เหนียว ความใจกว้างดีไหม (ดี) แต่เมื่อให้กับคนที่มีเหลือเฟือก็เรียกว่าประจบเอาใจ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นคนใจกว้าง
ใครๆ ก็อยากขึ้นสวรรค์ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์น้องไม่เริ่มต้นตั้งแต่ตัวเอง จิตใจยังคิดร้ายจะขึ้นสวรรค์ก็ไปไม่ถึง ฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีได้ต้องเริ่มจากรากเหง้าในตัว ซึ่งก็คือจิตใจ
การปฏิบัติภายนอกนั้นไม่ยาก รักษาศีลห้าให้ครบ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่ยุให้เขาฆ่า พูดดีคิดดีทำดี อย่าบอกว่าอายุมากค่อยบำเพ็ญ จะบำเพ็ญไหวไหม แก้อารมณ์นิสัยทันไหม ยากนะ เคยได้ยินไหมว่า น้ำเน่าทำให้สิ่งของเปลี่ยนธาตุแปรสี ความเคยชินเปลี่ยนแปลงความเป็นคนของเราทุกวันคิดอย่างนี้ ทุกวันทำแบบนี้ความเป็นคนดีจะเปลี่ยนไป ทำไมไม่หัดยอมรับ จะได้ไม่เหมือนกบ ยิ่งเกลียดเราก็ไม่ต่างอะไรกับกบ ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าใจผิดที่ว่าเด็กคนนั้นขโมย ทำไมไม่เปิดใจกว้าง อยากอยู่ในโลกให้มีความสุขและเอาชนะทุกข์ในใจของตัวเองให้ได้ก็คือ รับได้ทุกเรื่องราว ด้วยจิตใจที่สุขุมอดทน และรับฟังสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะโลกใบนี้ เป็นอย่างที่ศิษย์น้องต้องการทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีบทเรียนที่เราไม่ชอบเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้เห็นและเข้าใจให้ได้ จะมีอะไรในโลกที่น่ารังเกียจบ้าง  ง่ายๆ นะศิษย์น้อง ถ้าทุกคนตัวเท่ากันหมด สิบคนก็เท่านี้เหมือนกันหมด สวยไหม (ไม่สวย)  แต่ถ้าในสิบคนมีสูง มีต่ำ มีสูงกว่าเป็นอย่างไร  มนุษย์นี้แปลก เหมือนกันเกินก็ว่าน่าเบื่อ ต่างกันเกินก็รับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ดีเกินก็รำคาญ  ฉะนั้นถ้าในสามอย่างนี้ เมื่อเห็นแล้วก็ควรคิดว่าเหมือนกันเกินก็ดี มองก็เพลินตา ต่างกันเกินก็ได้อรรถรส ดีกับเราเกินก็ภูมิใจที่เขารักเรา  แล้วในโลกนี้จะมีอะไรยากเกิน จะมีอะไรทำให้เราทุกข์ไหม พอเขาสุดขั้ว ความคิดต่างก็รับไม่ได้และเกลียด ใช่ไหม  พอเขาทำอะไรเป็นตัวของตัวเองไม่เป็น ตามเราต้อยๆ เราก็รำคาญ หัดคิดเองบ้างสิ  แต่พอเขาดีกับเราเกินไป เห็นแล้วก็หงุดหงิดทุกที แล้วเราก็ผ่านสามเรื่องนี้ไม่ได้ทุกที  แต่ถ้ารู้จักคิดและทำความเข้าใจให้ได้ มันจะทุกข์ตรงไหน ใช่ไหม (ใช่)  ฟ้ายังมีฟ้ากับดิน ถ้าฟ้ารังเกียจดิน ฟ้าคงหนีดินไปแล้วใช่ไหม โลกยังมีขาวมีดำ แปลว่าโลกจะสอนให้เรารู้ว่าความเป็นจริงของชีวิตต้องรับให้ได้ในมุมมองที่แตกต่าง และต้องอยู่ให้ได้กับความเหมือน ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ นะศิษย์น้อง ถ้าอยากจะหมดทุกข์และเอาชนะทุกข์ในโลกนี้ให้ได้ แล้วเดินไปสู่ความสุข  สาเหตุของทุกข์ก็คือการมีตัวตน บางครั้งถ้าเราลืมตัวตนได้ ทุกข์ก็คงน้อยลง  เพราะมีใจให้คิด เพราะมีตัวตนแห่งใจ ทุกข์จึงมาสถิตอยู่  แต่ถ้าเมื่อใด เราบำเพ็ญเหมือนคนที่ไร้ตัวตน ทำตัวลืมตนบ้างก็ดี จะได้ทุกข์น้อยลง ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาทั้งหมดนี้ก็คือสาเหตุแห่งทุกข์ และหนทางที่เราจะดับทุกข์
ฉะนั้นอยากอยู่ในโลกนี้แล้วผิดพลาดน้อย และทุกข์น้อย  ง่ายๆ จงเป็นคนที่รู้จักมีน้ำใจ รู้จักยอม คนที่มีน้ำใจแม้ทำผิด คนอื่นก็ยังรู้สึกให้อภัย ใช่ไหม  ฉะนั้นอยู่กับใคร เอาความมีน้ำใจในตัวเราไปเติมให้เขา อย่าบอกว่าตนเองไม่มีน้ำใจ เป็นไปได้ไหมที่น้ำใจจะแห้งแล้ง (ไม่ได้)  น้ำใจมีอยู่ในตัวของศิษย์น้องทุกคน ขอเพียงมีใจที่ดี น้ำใจจะเต็มทุกครั้งที่เรารู้สึกดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าวันหนึ่งแม้ใจเรารู้สึกไม่ดี น้ำใจก็ยังให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงใจเราสู้ เคยไหมคนที่ยากไร้ขนาดไหน แต่ยังรู้จักให้ กลับประทับใจเรามากกว่าคนที่มั่งมีแล้วจึงให้ ถูกหรือไม่  ฉะนั้นอย่าคิดว่าต้องมีก่อนถึงให้เป็น ไม่จำเป็น  ยิ่งไม่มีแล้วยิ่งให้เป็น กลับยิ่งน่ารักน่าประทับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์ในโลกไม่สามารถทำร้ายเราได้ถ้าใจเราไม่คิดตาม ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เคยเห็นคนป่วยไหม แต่ไม่ได้ตายเพราะป่วย แต่ตายเพราะใจคิดมาก ปลงไม่ตก ถูกหรือไม่  ฉะนั้นสำคัญที่ใจ ถ้าใจเราสู้ อะไรก็ไหว ถ้าใจเราไม่กลัวอะไรเราก็เอาชนะได้ แต่ขอเพียงใช้ปัญญาแล้วมองอะไรให้ดี ให้รอบคอบ ชะตาชีวิตก็อยู่ในมือเรานี้เอง
บางครั้งที่ทุกข์ก็เพราะว่ามีตัวมีตน บางทีต้องลืมตัวตนบ้างจะได้ไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่ศิษย์น้องมักจะเป็นกันก็คือความใจร้อน วู่วามและก็ดื้อรั้น ใช่ไหม (ใช่)  เคยได้ยินไหมว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้า ฉะนั้นฝึกความใจเย็นให้อยู่กับตัว ฝึกจิตเมตตาให้มากๆ จะได้ไม่โกรธใคร ดีไหม (ดี)  แล้วเชื่อไหมว่าความเมตตาของเราถ้าหยั่งลงสู่ที่ใดจะสามารถแปรเปลี่ยนคนร้ายให้กลายเป็นคนดี ด้วยจิตใจของท่านนั่นเอง ดังคำกล่าวว่า หนึ่งความซื่อตรงจริงใจสามารถเอาชนะร้อยพันความคดของคนแต่ในทางกลับกัน หนึ่งความคดของคนก็สามารถทำลายหมื่นพันซื่อตรงในใจของคนได้แล้วเราจะเลือกตรงหรือคดละ (ตรง) ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ขอให้เลือกสิ่งที่ดีและมีคุณค่า นำพาใจให้สูงส่งไม่ใช่นำพาใจให้ตกต่ำ คิดให้ดีนะ ชีวิตอยู่แค่ชั่วขณะคิด จะทำดีหรือทำชั่ว ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ศิษย์พี่ก็มาเพียงแค่นี้ งานนี้ห้องพระนี้กว่าจะสำเร็จได้ต้องมีคนเตรียมงานก่อน ศิษย์พี่ฝากแอปเปิลให้คนที่มาช่วยก่อนวันงานนะ
อย่าให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยมาแก้ จงเตรียมตัวรับให้ดี เรากลัวอะไรชอบคิดอะไรที่ร้าย แก้เสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นกับเราแล้วค่อยหาทางแก้ สายไปใช่หรือไม่ (ใช่) เอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะความทุกข์ ศิษย์พี่พอแค่นี้นะ
ไม่ใช่ว่าฟังจบแค่วันนี้ก็พอนะ ธรรมะต้องเติมบ่อยๆ นะ เติมวันเดียวไม่เข้าใจหรอก มีโอกาสหลังจากสามวันก็ต้องหมั่นมาเติมนะ ธรรมะเหมือนพลังในการปฏิบัติบำเพ็ญตัวเอง ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดี วันนี้ศิษย์พี่พูดเพียงส่วนหนึ่งไม่สามารถพูดได้หมดนะ มีโอกาสกลับมาศึกษามากๆ อย่าคิดว่ามาหลอกนะไม่สนุกเลย

วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

                มาขัดเกลาตัวเองอย่างละเอียด             ทั้งโกรธเกลียดรักโลภขจัดหนา
จงตามทันจิตใจใช้ปัญญา     ศิษย์เดินมาถึงยามนี้ก้าวต่อไป
                            เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา           ลงสู่ สถานธรรม แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคน หิวข้าวหรือเปล่า

                เคยทำไม่สู้คนทำอยู่              บุรุษรู้จริงก็ทำจริงเข้า
อารมณ์ตัวเก็บอย่าทอดเป็นเงา             เชาว์ไปเชาวน์สู่ในงานสรรพางค์
ชีวิตที่มีงานเปี่ยมคุณค่า         จิตปรีดาด้านรอบรายฉายสว่าง
อยากแก้ไขปูมหลังวันนี้ฟัง  คนกล้าหวังผลักดันตนวัฒนา
ก้าวเป็นก้าวตนต้องมีมานะ  จิตรัตนะถะมัดถะแมงดุจเอ็นแขนขา
รู้จังหวะสามารถพางานเดินหน้า          การล้าล้าฝึกจับกำลังใจ
ละก็ไม่ลำบากคิดเหตุผล       พื้นฐานคนกิเลสซะที่ไหน
ปลูกรากใจสู่ธรรมอย่างขวนขวาย       ยามสบายจะคงมั่นแสนลำเค็ญ
สำทับผู้ในมั่นคงอย่าสำรวย  อุปสรรคได้ช่วยบำเพ็ญกว่าที่เห็น
ทัศนะหลายกลมเกลียวด้วยหลีกเป็น  หลากบำเพ็ญหลากวิธีหลักเดียวกัน


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
การนั่งฟังธรรมะเป็นเรื่องง่ายไหม ไหนใครว่าไม่ง่ายยกมือขึ้น นั่งฟังธรรมะเป็นเรื่องไม่ง่ายเพราะว่ามันเมื่อย ที่จริงแล้วการนั่งฟังธรรมะเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปฏิบัติ จริงหรือเปล่า (จริง) การที่เราไปปฏิบัตินั้นย่อมยากกว่าที่เรานั่งฟัง  ถึงแม้ตอนนี้เราบอกว่าเรานั่งฟังอยู่นี่  เรารู้สึกว่าเราเมื่อย เราเหนื่อย แต่ว่าการให้ไปทำนั้น เมื่อยและเหนื่อยกว่านี้ เมื่อยที่ใจแล้วก็เหนื่อยที่ใจด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นการที่พูดว่าเกิดเป็นคนเป็นเรื่องลำบากจริงหรือเปล่า (จริง)  การเป็นคนนั้นลำบาก แต่เราสามารถทำให้ชีวิตของเราสบายยิ่งกว่านี้ได้ไหม (ได้)  การที่เรานั้นตามใจตัวเองในทุกเรื่องที่เรารู้สึกพึงพอใจนั้น ทำให้เราสบายขึ้น การที่เราได้ในสิ่งที่เรานั้นอยากจะได้มาก อยากจะได้เงินไปหาเงิน อยากจะได้ทองไปหาทอง อยากจะได้ความสบายไปหาความสบาย  เมื่อเราสนองตอบในสิ่งที่เราต้องการทั้งหมดแล้ว เราสบายยิ่งขึ้น จริงหรือเปล่า (จริง)  การที่เราได้สนองตอบในกิเลสทำให้เรานั้นสบายขึ้นจริงหรือไม่ (ไม่จริง)  แต่ว่าทุกวันนี้เราก็เพียรพยายามที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างมากจริงหรือไม่ (จริง)  ทำอย่างไรให้เรานั้นรู้ว่า ทำอย่างไรเราจะสบายขึ้นจริงๆ
วันนี้อาจารย์มาพูดเรื่องที่อยากให้ศิษย์ขัดใจตัวเองมากขึ้น  เราไม่ต้องไปขัดใจใครแต่ให้ขัดใจตัวเองมากขึ้น  เวลาที่เราเดิน ถ้าเดินโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเลย ทางราบรื่นตลอด  เราก็เดินได้เร็วจริงหรือไม่ (จริง)  แต่ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นเดินบนทางโลกีย์  และเดินไปตามความต้องการของตัวเองอย่างไม่มีอะไรมาขัดขวางเลย แล้วก็เดินอย่างรื่นไหล  แต่ใจนั้นก็ตกต่ำลงมาก
จิตใจนั้นตกต่ำลงไปเพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้จักขัดใจตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  เราจะขัดใจตัวเองทำไม เราชอบให้คนอื่นมาขัดใจเราไหม (ไม่ชอบ)  ทุกวันนี้เราไปขัดใจคนอื่นหรือไม่  เวลาที่เราขัดใจคนอื่นแล้ว เรามีความสุขมากขึ้นไหม (ไม่มี)  เวลาที่ขัดใจคนอื่น  จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีความสุขมากขึ้นเลยจริงหรือไม่ (จริง)  การขัดใจคนอื่นคือ การที่เราอยากให้คนอื่นทำตามในสิ่งที่เราคิด แล้วเราสามารถที่จะควบคุมคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใครได้เลย เพราะฉะนั้นจึงต้องหันมาเปลี่ยนในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือ การเปลี่ยนตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)  การเปลี่ยนตัวเองนั้นทำให้เราก้าวขึ้นไป มีจิตใจที่สูงส่งมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องใช้การขัดเช่นเดียวกัน  เพราะว่าการตอบสนองความต้องการทุกๆ อย่างที่เราต้องการ  การได้มาซึ่งสิ่งที่ทำให้ต้องการทั้งสิ้น ทำให้เรานั้นรื่นไหลและเอาแต่ใจ ดื้อรั้นในการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้  โดยที่ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองนั้นยังทุกข์ แต่เรานั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้ดีกว่านี้ เพราะฉะนั้นวันนี้มาพูดถึงเรื่องที่เรานั้นต้องมาขัดใจตัวเองบ้าง
คนหลายๆ คนนั้นเป็นคนที่มีธรรมะ ชอบธรรมะ บำเพ็ญธรรมะ แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ  การที่เรานั้นมีใจให้ธรรมะ รู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงการที่เราขัดตัวเอง  สมมุติว่าวันนี้เห็นสามีไม่ค่อยชอบมาพากล แล้วปกติเราก็แสดงความรู้เท่าทัน  ถ้าหากวันนี้เราจะทำตัวแกล้งโง่บ้างเป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)  แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้แกล้งโง่แล้วพรุ่งนี้ฉลาดผิดปกติ  การที่เรานั้นบางทีรู้ไม่ทันคนอื่นบ้าง เพื่ออะไร  เพื่อโง่ลงบ้าง ยอมถอยลงบ้าง ปกติเวลาพบเรื่องราวอะไรก็ลุยอย่างเดียวเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคนสู้ไม่ถอย เป็นคนอารมณ์ดี  แต่ถ้ามีอะไรขัดใจ ก็สู้ไม่ถอย จริงหรือไม่ (จริง)  ตอนที่เราสู้ไม่ถอย ตอนนั้นเราเป็นคนอารมณ์ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แล้วเราบอกว่าเราเป็นคนอารมณ์ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หลายๆ คนเป็นคนที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เราชมตัวเองมาก แต่เวลาชมคนอื่นชมจริงใจหรือเปล่า
วันนี้มาพบกันต้องมาด้วยความสุขใจ จริงหรือไม่ (จริง)  แม้ว่าชีวิตของคนเรานั้น ยังมีหลายๆ เรื่องที่ยังมีความทุกข์อยู่ แต่เราต้องอยู่ด้วยความสุข จริงหรือเปล่า (จริง)  สมมุติว่าจิตใจของเรานั้นมีความทุกข์อยู่แต่เวลาพบเจอคนอื่น เรายิ้มให้ เราทำท่ามีความสุข  แสดงว่าเราเป็นคนที่หน้าไหว้หลังหลอก    เสแสร้งแกล้งทำหรือเปล่า (ไม่ใช่)  การที่เรามีความทุกข์ แต่ว่าเรายิ้มให้ผู้อื่นก็ไม่ได้เป็นการเสแสร้งแต่อย่างใด จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ใช่หมายความว่าเมื่อยามเรามีทุกข์ เราต้องแสดงออกอย่างคนที่ทุกข์ใจเสมอ  เมื่อยามเรามีทุกข์เราต้องรู้จักขจัดความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้จักว่าควรเอาความทุกข์ไว้ตรงไหน แล้วเอาความสุขไว้ตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าความทุกข์ทำให้เราตื่นตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าหากว่าเราไม่เคยป่วย เราจะหันมาดูแลสุขภาพตัวเองไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่เคยเจ็บจากการถูกมีดบาด เราจะระวังมีดไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่เคยทุกข์จากการถูกคนอื่นทำร้าย เราจะรู้จักที่จะไม่ทำร้ายคนอื่นหรือไม่ (ไม่รู้จัก)
วันนี้ถ้าสิ่งที่เราเจอทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ  เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่ต้องการสิ่งใด เราต้องไม่ให้สิ่งนั้นกับคนที่อยู่รอบตัวเรา จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ได้เราก็เป็นคนที่ดีมากขึ้น  แต่การที่เราจะปฏิบัติธรรมนั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำบ่อยๆ ทำทุกวัน  อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นว่าการปฏิบัติธรรมคือการที่เราต้องขัดใจตัวเอง เพราะถ้าเลือกได้ เชื่อแน่ว่าไม่มีใครเลือกขัดใจตัวเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ไม่มีใครเลือกที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองไม่ปรารถนา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ทำไมเราจึงยังต้องทำในสิ่งนี้ ทำไมเราต้องขัดตัวเอง ทำไมเราต้องมาขัดเกลาตัวเอง (เพื่อลดกิเลสตันหา)  ทุกๆ ที่ที่มีบันไดคือที่ๆ พาไปในที่สูงขึ้น  บันไดที่ต่อเป็นเนินขึ้นสูงมากขึ้น คือที่ๆ พาเราสูงมากขึ้น สมมุติว่าทุกคนมีบันไดขาขึ้น ถ้าเปรียบไปแล้ว บันไดที่อยู่ตรงหน้าศิษย์มีความชัน เราต้องออกแรงก้าวขึ้นมา จริงหรือไม่ (จริง) บางคนเป็นก้าวที่สูง บางคนเป็นก้าวที่เตี้ย ไม่เท่ากัน
ฉะนั้นการที่เราจะก้าวขึ้นไปสู่ที่ๆ ดีกว่าจึงจำเป็นต้องมีอะไรมาขัด แล้วให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ก็เหมือนเอาความสูงนั้นมาขัดเราไว้ แล้วเราจำเป็นต้องออกแรงมากกว่าเดิมจริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเราออกแรงมากกว่าเดิม เราก็จะได้ในสิ่งที่ดีกว่าเดิม  เมื่อเราออกแรงในการที่จะไปแก้ไขตัวเอง เราก็จะได้ในสิ่งที่ดีขึ้น  ถ้าเราออกแรงในการที่จะตามใจตัวเองทุกเรื่องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ถ้าเราออกแรงในการตามใจตัวเองทุกเรื่องเราก็จะไม่ได้สิ่งที่ดีมากขึ้น
เพราะฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะ อาจารย์ถึงบอกว่าการฟังเป็นเรื่องง่าย แต่การกลับไปทำเป็นเรื่องยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนมีชีวิตที่เปรียบเสมือนสนามสอบตัวเองอยู่แล้ว  เราแพ้ชนะทุกๆ วันเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ส่วนใหญ่ก็จะแพ้ด้วยซ้ำ เราแพ้นี่แพ้อะไร (แพ้ใจตัวเอง)  เราแพ้นี้ให้กับจิตใจของตัวเอง เราโกรธจนไปว่าคนอื่น เราก็แพ้ตัวเอง  เราเกิดความรู้สึกเกลียดเขา ไม่ชอบเขาเราก็แพ้ตัวเอง  เรารู้สึกรักคนนี้มากเลย รู้สึกชอบใจมาก ทุกอย่างดีไปหมด เราก็แพ้ใจตัวเอง  มิได้แพ้สิ่งอื่นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคิดว่าเราควรที่จะเอาชนะจิตใจตัวเองไหม (ควร)  เอาชนะเพื่ออะไร (เพื่อความสุขในใจ, เพื่อลดละกิเลส, เพื่อให้จิตใจสะอาด)  สังเกตว่าทุกๆ คนก็ตอบเหมือนๆ กันคือเอาชนะจิตใจตัวเองเพื่อจิตใจตัวเอง แสดงว่าใจของเรามีอยู่สองใจ คือใจที่ตามใจตัวเอง ใจที่เห็นแก่ตน ใจที่ดื้อรั้น ใจที่มีอารมณ์  อันนี้เป็นใจหยาบใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นใจอย่างหยาบ คือเกิดขึ้นทันใดแล้วก็เป็นใจดวงนั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในโอวาทกลอนนำอาจารย์ให้ไว้ว่า
มาขัดเกลาตัวเองอย่างละเอียด
แสดงว่าในคนทุกคนนั้นมีความละเอียดอยู่ อันที่จริงแล้วหลายๆ คนที่บำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี่เป็นคนที่บำเพ็ญธรรมได้ดี เป็นคนที่รู้จักตัวเอง และเป็นคนที่รู้จักแก้ไขตัวเองอยู่เสมอ  เพียงแต่ว่ากิเลสอย่างหยาบก็ขัดไปแล้ว แต่ยังมีกิเลสอย่างละเอียดอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เอาชนะยากมาก  การจะเอาชนะกิเลสอย่างละเอียดก็ต้องมีจิตใจที่ละเอียดมากขึ้น  ถามว่าตอนนี้จิตใจเราละเอียดหรือยัง (ยัง)  แต่เวลาคิดมาก ก็คิดจนละเอียดยิบเลย  ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากว่าวันนี้อาจารย์อยู่เลยเที่ยงไปถึงบ่าย หิวข้าวหน่อยได้หรือเปล่า (ได้)  อยู่กับอาจารย์ดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วอาจารย์อยู่กับศิษย์ดีหรือเปล่า (ดี)  แต่อาจารย์มีลูกศิษย์เป็นปุถุชน สามร้อยหกสิบห้าวันไม่มีวันไหนไม่มีอารมณ์ ไม่มีวันไหนที่รู้สึกว่าพอใจในตัวเอง ไม่มีวันไหนที่มีความสุขอย่างแท้จริง  ที่เป็นอย่างนี้เพราะใคร (เพราะตัวเอง)  เราขัดเกลากิเลสนั้นเพื่ออะไร เราเอาชนะตัวเองเพื่อตัวเอง
เราต้องมาขัดเกลากิเลสที่มีอยู่อย่างละเอียดในตัวของเรา ในบางคนที่บำเพ็ญธรรมแต่ยังไม่ปฏิบัติธรรม การขัดกิเลสก็คงจะต้องมากเพียงพอ แต่ในบางคนที่บำเพ็ญธรรมและปฏิบัติธรรมแล้วแต่ยังมีกิเลสอยู่ ต้องหัดที่จะมาเอาชนะกิเลสอย่างละเอียดของตัวเอง
อารมณ์ที่อาจารย์เขียนไว้บนกระดานมีอยู่สี่อย่างก็คือ โกรธ เกลียด โลภ รัก ทั้งสี่อย่างนี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เกือบทุกวันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  โกรธ เกลียด โลภ รักเป็นอารมณ์ที่หยาบ แต่บางคนนั้นก็ตัดไปพอประมาณแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดไป
ก่อนที่จะเกิดเป็นอารมณ์โกรธคืออะไร คือความหงุดหงิด ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่บำเพ็ญผ่านไปสิบปีแล้ว แต่ตัวเองยังชอบหงุดหงิดบ้าง  แล้วก่อนที่จะมาเป็นอารมณ์เกลียดคืออะไร เมื่อสักครู่บอกว่าก่อนอารมณ์โกรธคือหงุดหงิด  ก่อนอารมณ์เกลียดคือรำคาญ เป็นหรือไม่เป็น (เป็น)
วันนี้อาจารย์จะพูดกลับตาลปัตร ปกติแล้วอาจารย์มักบอกศิษย์ว่าให้ศิษย์นั้นตัด รัก โลภ โกรธ เกลียด อันนี้ศิษย์ได้ยินประจำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้พูดย้อนกลับมาหน่อยหนึ่ง คือก่อนที่จะเป็นโกรธ ก่อนที่จะเป็นเกลียด  เพราะว่าศิษย์อาจารย์หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่รู้จักตัด ตัดแต่อารมณ์อย่างหยาบไปแล้ว แต่อารมณ์อย่างละเอียดที่เกิดก่อนหน้าไม่ตัด  คือตัดแล้วเหลือราก ถอนหญ้าเหลือรากไว้ ในที่สุดแล้วความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเกลียดก็กลับเข้ามาแทนที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในยามที่ศิษย์จิตตก ยามใดที่ท้อแท้ เจอเรื่องที่หนักกว่าที่เจออยู่ทุกวัน อารมณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์เรียกร้องศิษย์มากกว่าเดิมไหม อาจารย์เรียกร้องศิษย์มากกว่าเดิมว่า ถ้าหากว่าศิษย์ยังเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดขี้รำคาญ  วันหนึ่งเมื่อการบำเพ็ญของศิษย์นั้นหย่อนลง ในที่สุดศิษย์ก็จะกลายเป็นคนที่มีความโกรธและมีความเกลียดจริงหรือไม่ (จริง)
แต่เราชอบให้ใครมาเตือนไหม มนุษย์โลกไม่ชอบให้ใครมาเตือน ไม่ชอบให้ใครมาเป็นกระจกเงาส่องตัวเอง  เราทนฟังคำที่คนอื่นนั้นบอกว่าเราผิดไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อไรที่คนอื่นบอกเราว่าเราผิด เราจะมีความรู้สึกว่าดิ้นรนและทุรนทุราย เราจะมีความไม่ชอบใจ และเราจะมีความคิดเข้าข้างตัวเองและปฏิเสธจริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถามศิษย์เอ๋ย ผิดมากกว่านี้นิดหนึ่ง คนอื่นเข้าใจผิดเรามากขึ้นหน่อยหนึ่ง ถูกคนอื่นว่ามากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่เราดีขึ้นได้ไหม (ได้)  การถูกคนอื่นว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่การที่ศิษย์นั้นไปว่าคนอื่น (ไม่ดี)  การที่เราไปว่าคนอื่นไม่ดี แต่การที่ถูกคนอื่นว่าเป็นสิ่งที่ (ดี)  การที่เราถูกคนอื่นว่านั้นมีอะไรให้เราฟัง มีอะไรให้เราแก้  แต่การที่เราไปว่าคนอื่นมีอะไรให้เราแก้ไหม (ไม่มี)  สิ่งที่เราไปว่าคนอื่นส่วนใหญ่ไม่ได้ไปว่าคนอื่นเพื่อมาแก้ตัวเอง แต่ว่าคนอื่นเพื่อแก้คนอื่น ที่นี้มาย้อนคำถามว่า ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี้มีใครไม่เคยว่าคนอื่นไหม (ไม่มี)  ทุกคนเคยว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นคนอื่นว่าเราเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า (ปกติ)  ทุกคนที่อยู่ที่นี้เคยถูกคนอื่นเข้าใจผิด  วันนี้เราถูกเข้าใจผิดเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  หากคิดได้อย่างนี้แล้วจะเกิดความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจหรือเปล่า (ไม่)  การถูกเข้าใจผิดก็เป็นธรรมดาของโลก ขอเพียงแต่ว่าวันนี้ศิษย์ถูกคนอื่นเกลียด แล้ววันหลังถูกคนอื่นรักเพราะว่าเราดีขึ้น แต่ถ้าวันนี้เราถูกคนอื่นรักแล้ววันหลังเราถูกคนอื่นเกลียดดีไหม (ไม่ดี)  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะได้มาก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติจริงไหม (จริง)  ทุกวันนี้ทุกคนนั้นรักเราไหม ทุกวันนี้มีคนที่รักเราและเกลียดเราจริงหรือไม่ (จริง)  เป็นธรรมดาของชีวิตหรือเปล่า (เป็น)  แล้วชีวิตนี้มีทุกข์เป็นธรรมดาหรือเปล่า ความทุกข์เป็นของดีหรือไม่ (ไม่)  แสดงว่ายังไม่แจ้งใจในอนิจจัง ถึงบอกว่าความทุกข์เป็นของไม่ดี
คนหนึ่งคนมีชีวิตที่สมหวังมาก มีครอบครัวที่ดีพร้อม มีลูก มีภรรยา มีสามี มีทรัพย์สมบัติพร้อมมูล  คนๆ นี้โชคดีไหม เราอยากเป็นอย่างนั้นไหม  แต่วงกลมนั้นวาดเป็นวง เมื่อมีดีย่อมมีไม่ดี  เมื่อวันหนึ่งเขาสูญเสียทุกอย่าง  ลูกที่เคยดี สามีที่เคยดี อาจจะจากกันไปด้วยโรคภัย อาจจะจากกันไปด้วยการที่ไม่มีเงินทอง หรืออาจจะจากกันไปด้วยมีใครสักคนหนึ่งหลงผิด  แล้วความสมบูรณ์แบบนี้กลายเป็นลมไป ถามว่าคนๆ นี้รับได้ไหม (ไม่ได้)  คนๆ นี้รับไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  แต่อีกคนหนึ่งบ้านลำบาก ทุกอย่างที่ต้องใช้ ต้องขวนขวาย ต้องออกแรง แล้วจึงได้ทุกอย่างมา  ลูกได้เรียนก็เพราะเรายังทำงาน ภรรยาและสามียังมีข้าวกินก็เพราะเรานั้นยังทำงาน ทุกคนยังมีความสุขก็เพราะว่ารู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน  แล้ววันหนึ่งค่อยๆ รวยขึ้นมา หรือค่อยๆ มีฐานะ ค่อยๆ มีความสมบูรณ์แบบขึ้นมา ถามว่าคนๆ นี้เกิดความรู้สึกหยิ่งผยองกับสิ่งที่ได้มาหรือไม่ (ไม่)  เขาก็คงไม่หยิ่งผยองเพราะว่าเขาค่อยๆ สั่งสมมาใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในวันนี้สิ่งที่ทุกคนคาดหวังก็คืออยากที่จะได้สิ่งที่เป็นความสุขอย่างสมบูรณ์  แต่ถามว่าความสุขอย่างสมบูรณ์แบบที่อยากจะได้นั้นเป็นความสุข  แต่ความสุขเมื่อพังทลายลงกลายเป็นอะไร (ความทุกข์)  แต่ความทุกข์เมื่อพังทลายลงไปกลายเป็นอะไร (ความสุข)  ถามว่าเอาอะไรดี ไหนใครเลือกความทุกข์ยกมือขึ้น ไหนใครเลือกความสุขยกมือขึ้น (ให้ปล่อยวางให้วางเฉย)  เวลามีคนมาตบหน้าเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ไหม  ถึงบอกว่าพูดง่ายทำยาก คนที่เลือกความทุกข์อาจารย์บอกให้ ทุกวันนี้ทุกข์อยู่หรือเปล่า (ทุกข์)  นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์เลือกแล้ว แปลว่าอะไร อาจารย์กำลังจะบอกว่าชีวิตของศิษย์ทุกวันนี้เป็นชีวิตที่ดีอยู่แล้ว เป็นชีวิตที่เหมาะสมกับการเริ่มต้น เพราะว่าทุกคนไม่ได้เกิดมา บนกองความสุข เพียงแต่ว่าอย่ามองความทุกข์เป็นความทุกข์  อย่ามองความทุกข์มันขมใจ อย่ามองความทุกข์มันเหนื่อยใจ อย่ามองความทุกข์แล้วหนักใจ อย่ามองความทุกข์เป็นยาขม ให้มองความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีที่มีอยู่  แค่มองเท่านี้ศิษย์ก็มีความสุขมากขึ้นจริงหรือไม่ (จริง)  เป็นความสุขที่ดียิ่งกว่าตอนที่ศิษย์สุขอีก จริงหรือเปล่า (จริง)
ถามว่าตอนนี้เรามีชีวิตที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราไม่ได้เจ็บป่วยจนอาการหนักลุกไม่ไหว วันนี้เราไม่ได้กินข้าวไม่ลง วันนี้เราไม่ได้เป็นคนที่นอนไม่หลับ วันนี้เราไม่ได้เป็นคนที่เจ็บป่วย  วันนี้เราเป็นคนที่มีอาการครบบริบูรณ์ วันนี้ยังพูดได้ ยังฟังได้ ยังมองเห็น วันนี้ดีที่สุดหรือยัง (ดี)  สมบัตินอกกายเป็นสิ่งที่หาเมื่อไรก็ได้ แต่สมบัติภายในที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง คือความรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้ เพื่อต้องการให้ทุกคนพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใครแม้แต่คนเดียว  แม้เราโง่ เราก็โง่อย่างคนที่มีความสุข  เราจน ก็จนอย่างคนที่มีความสุข เราหิว ก็หิวอย่างคนที่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องพอใจในชีวิตของตนเองที่มีอยู่ เราจึงจะสามารถที่จะยืนอยู่  ทุกวันนี้เวลาลุกขึ้นยืนก็ยืนอยู่ แต่ใจยืนอยู่หรือเปล่า  ใจถูกคนว่าหน่อยก็โยก ใจถูกทำให้ทุกข์หน่อยก็โยก จริงหรือเปล่า (จริง)
พื้นที่ใต้เท้าเราที่มีประโยชน์ที่สุดคือพื้นที่อยู่ตรงไหน  พื้นดินที่เหยียบอยู่ตรงไหนมีค่าที่สุด พื้นที่อยู่ใต้เท้าเรามีประโยชน์ที่สุด  แต่จะบอกว่าขุดพื้นตรงที่ไม่มีประโยชน์ทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  ในที่สุดแล้วเราจะยืนไม่อยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นในการที่เกิดเป็นคน หลายๆ เรื่องทำลงไปอย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไร บางที่การที่เราอยู่กับบ้าน อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนรอบข้าง การพูดคำว่า ขอบคุณ  ทั้งๆ ที่เขาทำให้เรานิดเดียว มีประโยชน์ไหม (มี)  การพูดว่า เหนื่อยไหม หิวไหม  คำบางคำเราพูดไม่ใช่พูดเพราะเราเสแสร้ง แต่คำบางคำนั้นจำเป็นต้องพูด เพื่อเติมเต็มในสภาพจิตใจของทุกคน  ต้องพูดคำที่ไม่มีประโยชน์เพื่อให้เกิดประโยชน์  แม้ตัวเราเองก็เหมือนกัน วันนี้เราอาจจะมองว่าเราเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เราตายไปก็ไม่มีอะไร เรามักจะเห็นตนเองไม่มีคุณค่า ชอบประณามและต่อว่าตนเอง  แต่อาจารย์มองศิษย์ว่าเป็นคนไม่มีประโยชน์ที่มีประโยชน์ที่สุด
การทำงานธรรมะ บำเพ็ญธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ไม่มีแรงก็เดินหน้าไม่ได้  การบำเพ็ญนั้นบำเพ็ญที่ใจ การปฏิบัติธรรมนั้นปฏิบัติที่บ้าน ลองนึกไปซิว่าบ้านของเราเป็นที่ปฏิบัติธรรมหรือเปล่า หรือว่าบ้านของเราเป็นสนามรบ  ทำอย่างไรดีจึงจะเปลี่ยนสนามรบมาเป็นสนามหญ้าไว้สำหรับการนั่งสนทนาธรรม (ทำเป็นสนามรัก) สนามรักก็ไม่ดี รักกันมากๆ ก็ทะเลาะกันจริงหรือไม่ (จริง)  ทุกวันนี้ทะเลาะกันก็เพราะว่าบางทีรักมากไปจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนได้ เราไม่ได้เกิดมาลำพังในโลกนี้แต่เพียงผู้เดียว ทุกๆ วันทุกๆ เวลาเราต้องออกไปเผชิญผู้คน  ถ้าหากเป็นคนที่แต่งงานแล้ว เราต้องเจอหน้าคนอื่นตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาเลย ทุกๆ วันเราต้องเจอหน้าคนไม่ต่ำกว่าสองคนขึ้นไป จริงหรือไม่ (จริง)  คนสองคนเมื่ออยู่ด้วยกันถามว่าเราให้เขายอมหรือเรายอม (เรายอม)
มีคำอยู่สามคำเป็นคำใกล้ๆ กัน แต่ความหมายต่างกันมาก คือ หลบ หลีก เลี่ยง
หลบ หมายถึงอะไร ทุกๆ วันเราต้องเจอคนมากกว่าหนึ่งคน แต่ส่วนใหญ่มักมีอย่างน้อยหนึ่งคน ถ้าเราอยู่กับคนอื่นจะให้เขายอมหรือให้เรายอม  ถ้าหากว่าให้เขายอม เราก็ต้องไปคุมเขา ในขณะที่เราก็ยังคุมตัวเองไม่ได้เลยจริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นการที่เราคิดที่จะไปคุมคนอื่นจึงเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก  ถ้าอยากมีชีวิตที่เหนื่อยน้อยกว่านี้ต้องหัดที่จะไปคุมคนอื่นน้อยๆ แม้กระทั่งการคิดแทนคนอื่น  บางทีเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเปลี่ยนเขา บอกให้เขาทำเขาก็ไม่ยอมทำตาม แม้กระทั่งคิดแทนคนอื่นยังเหนื่อย  ถ้าต้องพูด ต้องทำแทนคนอื่นยิ่งเหนื่อย จริงหรือไม่ (จริง)  คำสามคำนี้ การหลบเป็นเรื่องทำได้ง่ายมาก แต่ไม่สามารถหลบตัวเองพ้น  เมื่อไรที่เราเจอสิ่งที่เราหลบ อารมณ์ของเราก็จะเหมือนกับระเบิดลง เพราะฉะนั้นการหลบจึงเป็นการที่เรายังเป็นผู้ที่ทำใจไม่ได้ จึงใช้คำว่าหลบ
คำว่า หลีก นี้ อาจารย์จะยกนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีคนอยู่คนหนึ่งเดินไปเก็บน้ำผึ้งป่ามาจากในป่า แล้วเขาต้องการเดินไปขายน้ำผึ้งป่าในเมือง  ส่วนผู้ชายอีกคน บ้านอยู่แถวๆ ชานเมือง ต้องการจะไปเก็บฟืนในป่า ในระหว่างทาง ทั้งสองคนเดินไปเจอกันที่สะพาน  ทำอย่างไร จะให้ใครยอมก่อน (ให้คนเก็บน้ำผึ้ง, ให้คนเก็บฟืน)  ที่ศิษย์ตอบมานี้แปลว่าเรากำลังคิดแทนคนอื่น  จริงๆ แล้วในนิทานเรื่องนี้ใครจะเป็นคนยอมก่อนเราก็ไม่รู้  แต่อาจารย์แค่สมมุติให้ฟังว่า เมื่อปะทะเจอหน้ากันต้องมีการหลีก หลีกคือเจอกันแต่ต้องรู้จักที่จะหลีกตัวเองออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่ามนุษย์มักมีความคิดซับซ้อนกว่านั้น เรามักมีความคิดว่าคนขายน้ำผึ้งต้องรีบไปก่อนที่ตลาดจะวายใช่ไหม หรืออาจจะคิดแทนคนตัดฟืนว่า คนตัดฟืนต้องรีบไปก่อนที่ฟ้าจะมืดเสียก่อน เพื่อให้เขาไปตัดฟืนได้มากๆ เขาจะได้หาเงินได้มากๆ  อันนี้คือการที่เราใช้ความคิดมากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนอยู่ในภาวะที่ใช้ความคิดมากเกินจำเป็น บางทีบางเรื่องไม่ต้องคิดแต่เราก็คิด อันนี้เรียกว่าคิดมาก  แล้วคิดมากดีไหม (ไม่ดี)  คำพูดบอกว่า คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ  ถ้าหากว่าใครเป็นคนที่ชอบคิดมากแล้วเข้าเนื้อก็แสดงว่าเป็นคนฉลาด แต่คำว่าฉลาดในประโยคนี้มักจะเป็นคนที่เสียเปรียบ
อีกคำหนึ่งคือคำว่า เลี่ยง เป็นอย่างไร  เมื่อเราต้องเจอกับบุคคลอื่น สมมุติว่า เรามีความไม่ชอบใจในตัวเขาอยู่ เวลาที่เราเจอหน้าเขา เราจะทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เราอาจจะทำใจไม่ได้ จึงสอนคำว่าเลี่ยงไว้ด้วย เลี่ยงนี้ก็คือการไม่เจอ คล้ายกันกับคำว่าหลบ แต่คำว่าเลี่ยงเป็นการได้เจอแต่เราไม่อยากเจอ
ไหนใครว่า หลีก หลบ เลี่ยง การยอมให้คนอื่นทำได้ยาก ยกมือขึ้น  ถามว่าที่บอกว่ายากลองทำหรือยัง ส่วนใหญ่คนมักยอมคนเพราะว่าถูกบังคับให้จำยอม ถูกหรือไม่ (ถูก)  คนจะเลี่ยง คนจะหลีก ก็ต่อเมื่อสุดวิสัยเท่านั้นเอง  แต่ว่าถ้าหากว่าเลี่ยงหลบหลีกตั้งแต่ก่อนที่เกิดปัญหาขึ้น โดยส่วนใหญ่นั้นเราไม่ยอม จริงหรือไม่ (จริง)  การที่เราไม่เคยทำ แล้วเราบอกว่าเราทำไม่ได้ เป็นการขาดทุนไหม เป็นการขาดทุนตั้งแต่คิดเลย
เพราะฉะนั้นศิษย์ลองทำดู ถ้าหากว่าสิ่งที่เป็นการเรียกร้องให้ศิษย์ปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องยากเกินไป  อาจารย์จะบอกให้ว่า ปุถุชนในโลกนี้มีเยอะ คนที่เป็นพุทธะในคราบปุถุชนนั้นมีน้อย และอาจารย์ก็หวังว่าจะเพิ่มผู้ที่มีจิตใจเมตตาและเป็นพุทธะในโลกนี้ให้มีมากยิ่งขึ้น  อย่างน้อยศิษย์ก็เป็นคนที่รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดียิ่งกว่าคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเป็นคนที่รู้มากกว่าคนอื่นแต่ทำน้อยกว่าคนอื่น คนๆ นี้ไม่ได้เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้มากกว่าคนอื่นและทำมากกว่าคนอื่น คนอื่นเขาไม่รู้ เขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่า เรารู้แต่เราไม่ทำ แสดงว่าเราใช้ไม่ได้  เรารู้มากกว่าแต่เราอดทนน้อยกว่า เรารู้มากกว่าแต่เรายอมคนอื่นน้อยกว่า อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะรู้มากกว่าคนอื่น จริงหรือไม่ (จริง)
โลกนี้ดำเนินไป ทุกๆ วันเวลาเท่าเดิม แต่เราเหมือนมีเวลาน้อยลงจริงไหม (จริง)  เราเหมือนมีงานมากขึ้นทำงานมากขึ้นแต่ไม่ค่อยมีคุณภาพ ทำงานมากคุณภาพน้อยลงความสุขทางใจน้อยลงจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าเวลาน้อย เราจงใช้เวลาทุกๆ เสี้ยวนาทีให้มีค่า ให้เวลามีค่ามากกว่าเดิม  เมื่อเรามีเวลากินข้าวแค่นี้ ก็ขอให้กินข้าวอย่างมีความสุข เมื่อเรามีเวลาที่จะทำอะไรเท่านี้ ก็ขอให้ทุกๆ อย่างที่เราทำ ทำด้วยความตั้งใจ ดีหรือไม่ (ดี)  ทำให้ชีวิตของตนเองมีคุณค่ามากขึ้น ทำจิตใจของตัวเองนั้นให้มีค่ามากขึ้น ทำได้ไหม (ได้)  อาจารย์รับประกันว่าทุกๆ อย่างที่พูดไม่ได้พูดเรียกร้องเกินกำลัง แต่ทุกๆ อย่างที่พูดเรียกร้องศิษย์ในสิ่งที่ศิษย์นั้นทำได้ ปัญหาคือมีคนที่รู้แต่ไม่ทำอยู่มากมาย ซึ่งหวังว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่รู้แล้วทำ
เราต้องเป็นคนที่มีความหยุมหยิมกับคนอื่นให้น้อยลง เราต้องเป็นคนที่จู้จี้น้อยลง  ถ้าหากว่าเรานั้นไปหยุมหยิมกับคนอื่น เราจะหาเรื่องใส่ตัว เราจะเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวมาก  เพราะฉะนั้นอย่าหยุมหยิมกับคนอื่น  แต่ให้รู้จักหันมาเอาใจใส่ในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของชีวิตตัวเอง เพราะว่าการที่เราไปหยุมหยิมกับคนอื่นทำให้คนอื่นรำคาญและหาเรื่องเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักที่จะหยุมหยิมกับตัวเอง เรื่องใหญ่จะกลายเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าเราหยุมหยิมกับคนอื่นเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่  อยากให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายต้องหันมาหยุมหยิมกับตัวเองสักหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)
บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยที่อยู่ในชีวิตของเรา ความเคยชินบางเรื่องของเรา  ความเคยชินนั้นสามารถกำหนดอนาคตของเราด้วย เพราะว่าเราทำสิ่งใดจนเป็นนิสัยความเคยชินจะทำให้เราเป็นคนที่มีชะตาชีวิตอย่างนั้น อย่างเช่น เราบ่นคนอื่นจนเป็นเรื่องความเคยชินปกติ  ศิษย์คิดว่าคนขี้บ่นชะตาชีวิตเป็นอย่างไร มีคนอยากเข้าใกล้ไหม (ไม่มี)  มีคนชอบฟังไหม (ไม่ชอบ)  คนๆ นี้โดดเดี่ยวหรือไม่ (โดดเดี่ยว)  แล้วตอนนี้เราโดดเดี่ยวไหม
ความขี้บ่นตอนนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะคนที่เป็นคนแก่ แต่เดี๋ยวนี้ทุกเพศทุกวัยก็เป็น ความจู้จี้ทุกคนเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงหัดที่จะจู้จี้กับใคร (ตัวเราเอง)  เรามาสังเกตตัวเอง จู้จี้กับตัวเองสักนิดว่าทำไมเราต้องไปบ่นเขา แทนที่จะมาคิดว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น  ชีวิตของตนตนต้องกำหนด ต้องกำหนดด้วยความเข้มแข็ง อย่าเป็นคนที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล  อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่อ่อนไหวมาก  เคลื่อนไหวไม่มีทิศทาง หาหลักการไม่ได้ เราควบคุมไม่ได้  แต่ถ้าหากว่าเรามีสติมากขึ้นเราก็จะควบคุมชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น เราชอบที่จะชี้ขาดคนอื่น  บางคนไม่ชอบใช้นิ้วชี้ก็ใช้ตา ไม่ชอบใช้ตาก็ใช้ปาก เราชอบที่จะชี้ขาดคนอื่น ชอบที่จะติและชมคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมุติว่าวันนี้มีคนฉลาดมากๆ เป็นคนของเรา คนนี้ชอบติและก็ชมเรา  บอกว่าเราทำสิ่งนี้ผิดสิ่งนั้นผิด ดีหรือไม่ดี (ดี)  ถ้าหากว่าศิษย์คิดได้ ย่อมเป็นคุณ แต่โดยส่วนใหญ่คนนั้นคิดไม่ได้  เพราะฉะนั้นอาจารย์จะสอนว่าอย่าเป็นคนที่ไปชี้ขาดใคร  หากว่าศิษย์มีลูกมีหลาน มีคนที่บำเพ็ญร่วมกัน อย่าเที่ยวไปชี้ขาดใครบ่อยๆ เพราะว่าการชี้ขาดคน ทำให้คนนั้นไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความสร้างสรรค์ ทำให้เป็นคนที่คิดอะไรไม่ออก ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกอยากให้ลูกโตก็ต้องปล่อยให้ผิดบ้างถูกบ้าง ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยพูดว่าผิดหรือถูก เพราะว่าผิดหรือถูกนั้นขึ้นอยู่กับการมองของคนเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไว้ใจ หู ตาสองข้างของเรามาก เราไว้ใจอายตนะของเรามากว่า  ทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  แต่แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดถูกและไม่มีสิ่งใดผิดตลอดเวลา
บนโลกอันหลากหลาย บนจิตใจอันซับซ้อนของมนุษย์ ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นในทุกที่  หากว่าบางวันศิษย์มีเรื่องที่สมปรารถนา อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่านั่นเป็นเรื่องวาสนา  คนนั้นไม่สามารถที่จะสมหวังได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ผู้บำเพ็ญธรรมต้องหัดทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เนื่องด้วยทุกคนมีบุญและกรรมไม่เท่ากัน ธรรมะมีหลายรูปแบบ ธรรมะสามารถให้วิธีการมากมาย  ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ธรรมะก็ให้ประโยชน์แก่ศิษย์ได้  ขอเพียงแต่ว่าต้องมองเป็น ต้องรู้จักคิด รู้จักมอง  ด้านกลับของสัจธรรมก็ยังเป็นสัจธรรมอยู่  ขอให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองให้มาก อย่าเสียทีที่เกิดมาหนึ่งชาตินี้ แล้วใช้ชีวิตวันๆ ไปอย่างเปล่าประโยชน์  คนหลายคนเกิดมาอย่างไม่ธรรมดา มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ คนหลายๆ คนเกิดมาอย่างคนที่พร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่มาทำลายสิ่งที่เป็นบุญในชาตินี้ บางคนเกิดมาพร้อมกับกรรมมากมาย  แต่อาจสร้างบุญได้ในชาตินี้  อย่าหมดหวัง อย่าท้อแท้ อย่าทุกข์ใจ
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท บำรุงธรรมสู่คน เชาวน์สู่งาน
อันนี้เป็นโอวาทที่ศิษย์วงไปเมื่อครู่นี้  ทำไมอาจารย์ให้คำนี้  บำรุงแปลว่าอะไร บำรุงแปลว่าต้องเพิ่ม อาจารย์มองเห็นศิษย์ที่นี่ทุกๆ คนเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมีธรรมะ แต่ศิษย์ยังรู้จักธรรมะที่มีอยู่ในตัวเท่านั้น การที่จะนำธรรมะไปให้ผู้อื่น ยังต้องเสียสละมากกว่านี้ ยอมเหนื่อยมากกว่านี้ ธรรมจึงจะสามารถออกจากจิตของเราไปสู่จิตคนอื่นได้  ธรรมะจึงจะสามารถมองเห็นได้ในตัวเราด้วย การมอบธรรมะให้ผู้อื่นเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด  แต่การที่เราจะไปให้ผู้อื่นได้ ศิษย์คิดว่าสิ่งที่ดึงมาจากข้างในแล้วนำไปให้ผู้อื่นยากไหม  คนรู้หน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นการที่เราจะนำสิ่งที่ดีๆ ที่อยู่ในใจของเราออกไปให้ผู้อื่นจึงเป็นเรื่องลำบากมาก  ในขณะที่เรานำสิ่งที่ดีๆ ของเราไปให้ผู้อื่นอย่าได้ติดในสิ่งที่ไม่ดีออกไปด้วย  อย่าขยันใช้กิเลสอย่างละเอียดของตัวเองให้มันหลุดออกไปด้วย
เชาวน์สู่งาน อาจารย์มองว่าศิษย์มีใจ แต่ศิษย์ทำงานไม่ค่อยเป็น  งานธรรมะก็เหมือนกับงานหลายๆ งาน ต้องคิด ต้องวางแผน ต้องบริหาร ฉะนั้นคำว่า เชาวน์ นี้หมายถึงอะไร  หมายถึงปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ มีเชาว์อีกตัวหนึ่งที่ชอบใช้ผิดบ่อยๆ หมายถึงว่าเร็ว หมายถึงว่าไว แล้วศิษย์ก็ชอบใช้แต่ไวด้วย แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ใช้เชาวน์อันหมายถึงปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ  เพราะฉะนั้นในโอวาทซ้อนโอวาทนี้มีอยู่สองเรื่อง หนึ่งเรื่องคน สองเรื่องงาน  อาจารย์อยากให้สามารถที่จะบำรุงธรรมไปสู่คนด้วย และในงานที่ตัวเองทำก็ให้มีเชาวน์ด้วย
อาจารย์บอกแล้วว่าศิษย์หลายๆ คนนั้นมีใจ แต่ยังทำงานไม่เป็น  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นพิจารณาให้มากกว่านี้ ตั้งแต่สมัยก่อน กษัตริย์ในสมัยโบราณ หากว่ากษัตริย์องค์ใดมีคนที่อยู่ข้างกายเป็นผู้ที่ตักเตือนพูดถึงข้อบกพร่องของท่านอยู่บ่อยๆ กษัตริย์องค์นี้จะประสบความสำเร็จง่ายขึ้น  ฉะนั้นในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์หากว่าศิษย์อยู่ข้างหน้าแล้วไม่มีใครบอกศิษย์เลยว่าศิษย์นั้นไม่ดีตรงไหน แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่ไม่รับฟังผู้อื่น แล้วเราจะก้าวหน้าได้อย่างไร  การทำงานธรรมะให้เดินไปข้างหน้า ศิษย์ต้องออกแรงทั้งภายใน ออกแรงทั้งภายนอก คิดพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ริ้วรอย ตีนกา ความเครียด เกาะกินจิตใจศิษย์ทุกคน แต่อย่ามึน อย่าเมา อย่างง
วันนี้อาจารย์อยากจะพูดอีกสักนิดหนึ่งก็กลัวว่าศิษย์นั้นจะหิวข้าว สังขารของมนุษย์นั้นมีความจำกัดมาก  รักษาสังขารนี้ให้ดีและรักษาใจนี้ให้ดีด้วย วันนี้เราศิษย์อาจารย์ในที่สุดก็ต้องจากกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นให้โอกาสตัวเอง ไม่ว่าศิษย์จะเคยทำผิดมามากมายแค่ไหน ให้อภัยตัวเอง ไม่ว่าชีวิตศิษย์จะทุกข์ยากแค่ไหนต้องสู้  ทุกๆ ช่วงจังหวะในชีวิตที่ดำเนินไปอย่างยืดยาว ทุกๆ ช่วงของศิษย์ขอให้ศิษย์มีกำลังกับทุกๆ ช่วงที่ผ่านไป และทุกๆ ช่วงที่ยังมาไม่ถึง  ฝนไม่ได้ตกอยู่ทั้งวัน ไม่ได้ตกอยู่ทุกวัน คนไม่ได้มีทุกข์อยู่ทุกวัน  เวลาที่ทุกข์ก็คิดถึงอะไรดีๆ เวลา ที่มีความสุขก็ขอให้เผื่อแผ่ความสุขนั้นให้กับผู้อื่น  คนที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ คนที่ยิ่งคิดได้ก็ยิ่งมีความสุข
ศิษย์เป็นคนที่มีบุญทุกๆ คน ขอให้ความมีบุญของศิษย์ส่งผลให้ศิษย์ได้บำเพ็ญราบรื่น  ศึกษาธรรมะให้มากๆ อย่าพูดว่าเรารู้แล้วหรือที่ใครๆ พูดก็รู้แล้ว  คนรู้แล้วทำไม่ได้ น่าสงสารกว่าคนที่ไม่รู้  อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคนมาก อยากให้บำเพ็ญได้อย่างธรรมชาติ อยากให้บำเพ็ญได้อย่างสบายใจ แต่ศิษย์เอ๋ยต้องเพิ่มความสบายใจให้กับตัวเองก่อน อย่าได้เป็นคนที่หน้าอมทุกข์เหมือนอาจารย์ รักษาตัวเองให้ดีทุกๆ คนนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  บำรุงธรรมสู่คน  เชาวน์สู่งาน

          เริ่มจากตัวเองทำให้ดีทุกวัน  หากมั่นคงนับเป็นบุญญา  โดยจิตใจเข้มแข็งต่อเนื่องหนา  จะสามารถบำรุงธรรมสู่ปวงชน
          จิตที่ดีงามมีอยู่ทุกราย  แต่ไยทำดังไม่เคยรู้ตน  ชาญเชาวน์นั้นอาจฝึกฝน  ยอมรับผิดตน  คนปราชญ์คิดดีหนึ่ง 
* ถ้าสายธารไม่เนื่องไป  พระธรรมขาดช่วงไป  รู้จริงก็อย่าเก็บตัวไป  เชาวน์สู่ในงานรอบด้านปรีดา
          **กล้าหวังผลักหลังตนก้าวเป็น  สารัตถะดุจเอ็นล้าล้าก็ไม่ลา  ฝึกคิดการละจับสู่ใจ  รากฐานคงมั่นใน ผู้บำเพ็ญช่วยได้หลากหลายกลมเกลียว (ซ้ำ *,**)


ชื่อเพลง : บำรุงธรรมสู่คน เชาวน์สู่งาน
ทำนองเพลง : เชื่อฉัน

 








[๑] อจิตติ                  ความขาดสติ, ความมัวเมา
[๒] เจรียง                  ขับลำ, ขับกล่อม, ร้องเพลง
[๓] อัตถะ                  เนื้อความ, ประโยชน์, ความต้องการ
[๔] วารี                      น้ำ
[๕] เชาวน์                  ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2549

2549-06-10 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช


西元二○○六年 歲次丙戌 五月十五日       大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
                                           สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

รักษาซึ่งประเพณีอันดีงาม          วัฒนธรรมสืบทอดความมีแบบแผน
ความเป็นไทยอิสระอย่างเหนียวแน่น   แต่อย่าแทนที่ไทด้วยใจไร้ทิศทาง
            เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา             ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

ใช้ธรรมะชำระใจสะอาดเกลี้ยง      นำเอาเสียงที่ได้ยินลงสู่จิต
อย่าฟังธรรมด้วยจิตใจที่ปกปิด        อย่ายึดติดทำให้ฟังความเพี้ยนไป
ทำชีวิตตนเองให้สมคุณค่า           ในชาตินี้ได้เกิดมาคือบุญใหญ่
อย่าได้เสียโอกาสดีบำเพ็ญไว         จงทำได้แต่ในสิ่งที่ดีงาม
มาค้นคว้าชีวิตจิตใจตน              มาฝึกฝนความลำบากรู้จักชีวิต
อย่ามองข้ามแม้สิ่งอันน้อยนิด        ทั้งความคิดอย่าปล่อยให้เตลิดไป
มาศึกษาสองวันเพื่อเข้าใจขึ้น         ความเมามึนจะกลายเป็นความกระจ่าง
คนฟังธรรมต้องปฏิบัติเป็นแนวทาง     จงรู้วางในอัตตาบังเกิดคุณ
คนฉลาดอันตรายยามมีความโลภ     สองมือโอบจะได้มากสักเพียงไหน
คนบำเพ็ญต้องตัดละโลภโกรธไป      คนเปิดเผยจริงใจเป็นสุขดี
จงปล่อยให้จิตใจตนพ้นพันธนาการ    เรื่องวันวานไม่สำคัญเท่าวันนี้
เรื่องพรุ่งนี้ดีขึ้นเพราะทำวันนี้         ขอน้องใช้ชีวีให้เต็มที่เทอญ
อย่าประสบความสำเร็จอย่างเกียจคร้าน อันการงานทำให้คนมีค่าขึ้น
จงอย่าคิดเอาเปรียบใครใจเป็นอื่น     คนสามารถกลืนขมได้ปราชญ์แห่งโลก
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม       ขอน้องนำศรัทธากว่าสงสัย
มีปัญญาอย่ามีอวิชชาใด             คนตั้งใจได้ดีเสมอมา
จงรักษาระเบียบแห่งพุทธะ           เอาชนะตนเองที่ง่วงหงาว
อยู่แดนดินแต่มีใจจะเอื้อมดาว        ศิษย์น้องคราวนี้โอกาสมารอคอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป       จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                               ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระนาจา

อยากประสานรอยแตกแยกให้เหมือนเดิม สู้ยอมรับและหมั่นเติมอภัยไว้
สีขาวดำอย่างเหมาะสมยังงามได้        นับอะไรกับมนุษย์ที่ต่างกัน
            เราคือ
ศิษย์พี่นาจา           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

มนุษย์มักมีความคิดยึดติด          กลางใหม่คิดอะไรมักเผลอผิวเผิน
กลางเก่าคิดความเดิมแอบประเมิน     เพื่อมาปรุงความเจริญให้สถาพร
หัวใหม่คิดทว่าอย่าขาดกฎ           โลกเหมือนเปลี่ยนไปหมดอย่างซับซ้อน
ทำอะไรยังคงไว้ซึ่งขั้นตอน           เพ่งใจอยู่หัวก่อนพบแยบยล
คนสร้างแนวทางทางสร้างเมธี        ใจอันที่ไม่การุณหดหู่หม่น
อัตตามาแต่รู้มั่นในตน              ชนะยากจึงอยู่ทนประลองชัย
สดับเห็นตามความอยากให้เป็น       ชีวิตจริงความเศร้าเป็นจนสลาย
ความโศกซุกซ่อนก็ไม่มลาย          แฝงรอยแตกแยกใจในวิญญา
เคยชินในดวงชีวิตติดกับดัก           เป็นการแบกใจหนักดำเนินหนา
คนไม่เข้ากันยากสังคมนา            พิศหลายสิ่งทุกปัญหาแก้ไขตน

วาจาแย้งพาสูญเสียสาวไส้           วาจาใหญ่ขัดเสียจิตต่างหม่น
วาจาคนยิ่งพลังกล่าวสมตน          วาจาดลคนนิ่งได้บางวาจา
มีอารมณ์เหนือพิจารณาเพราะห้าวหาญ ตรองเหมือนกันทว่าน้อยความกล้า
รักษาความห่างจงใช้คู่ปัญญา         ดับไฟมาใจแม้ยังวู่วาม
การอภัยคนแจ้งลำบากต้องทำ        สติอยู่ท่ามกลางเรื่องตรงข้าม
แม้ขมขื่นไม่ทนหน่ายพยายาม        รู้กลางความแตกต่างอย่างเข้าใจ
                                                  ฮิ  ฮิ   หยุด

                        พระโอวาทพระนาจา
วันนี้มาทำอะไรกัน (ฟังธรรมะ)  ฟังธรรมะก็ต้องได้ธรรมะไม่ใช่มาฟังธรรมะแล้วหลับจนเต็มอิ่มเลย ทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องไม่ลืมว่าตัวเองตั้งใจจะทำอะไรอยู่ เกิดเป็นคนเหมือนๆ กันแต่บางครั้งคนเราก็ลืมตัวได้ เคยไหมเดินออกจากบ้านไป แล้วลืมว่าเราจะไปไหน ออกมาจากห้องแล้ว ลืมไปว่าเราจะหยิบอะไร ลืมของลืมได้แต่อย่าลืมตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนบางคนในหนึ่งชีวิต เรามีสถานะความเป็นคนหลายสถานะ บางคนมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ บางคนเป็นทั้งพ่อ แม่ เจ้านาย ลูก น้องสาว ฉะนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมสถานะที่ตนเองเป็นอยู่ ถูกไหม (ถูก) เคยไหมพ่อทำตัวเป็นเด็กๆ เอาแต่ใจ น้อยๆ ก็น่ารักแต่ถ้ามากเกินไปก็น่ารำคาญใช่ไหม (ใช่) ภรรยาบางคนมีสามีเหมือนมีลูก หรือบางคนมีภรรยาเหมือนมีน้องสาว  ฉะนั้นเกิดเป็นคนเราอย่าลืมสำนึกในความเป็นตัวตนของเราว่าในหนึ่งชีวิตเรามีฐานะอะไรบ้าง และจงดำรงตำแหน่งฐานะตรงนั้นให้มีความรับผิดชอบสูงสุด แค่นี้ความผิดพลาดในโลกก็ยากจะเกิดขึ้นจริงไหม (จริง) แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ชอบรักสบาย เอาเปรียบผู้อื่น กินแรงผู้อื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)
อย่างนั้นเราจะเป็นที่รักของคนอื่นทำอย่างไร ไม่ต้องเอาโซ่ล่ามก็ได้นะเขาก็จะรักเราตลอดไป อะไรที่จะทำให้คนเขารักเรา ใช้การแต่งตัวสวยๆ อย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ความสวยอย่างไรมันก็มีวันร่วงโรย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใช้ความดีอย่างไรที่จะมัดใจเขาให้อยู่หมัดไม่ไปไหน ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายความคิดจะต้องไม่เหมือนกัน ฝ่ายหญิงต้องมีแบบหนึ่ง ฝ่ายชายต้องมีแบบหนึ่ง ถูกหรือเปล่า (ถูก) จะมัดใจหญิงอย่างไรให้อยู่หมัด คนโบราณเขาบอกว่า อย่ามัวไปมัดใจผู้อื่นข้างนอกจนลืมมัดใจคนในบ้านรักคนอื่นเป็นแต่ไม่สามารถรักคนในบ้านเป็น อย่างนี้ก็เรียกว่าเหลวไหลสิ้นดี อดทนกับคนข้างนอกบ้านได้ แต่อดทนกับคนในบ้านไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอะไรที่จะทำให้เราสามารถมัดใจเขาได้ (ความจริง) บางทีจริงใจอย่างเดียวแต่ถ้าจริงใจไม่ถูกคน เขาก็ไม่รักตอบก็มี ขอให้เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน รักโดยไม่หวังผล รักโดยไม่ครอบครอง ความรักนั้นจะสามารถยืนยงคงกระพันได้ จริงไหม (จริง)
ลองรักแล้วบอกว่าเขาต้องตอบ พอเขาไม่ตอบเราก็ปฏิบัติต่อเขาไม่ดี แล้วอย่างนี้เราจะผูกให้เขารักเรานานๆ ได้ไหม (ไม่ได้) อยากให้เขารักเรา เราต้องขยัน มีความรับผิดชอบ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รับได้ทุกสภาวะไม่ว่าเราจะสวยหรือแก่แล้ว รักเราได้แม้ตอนเราเข้มแข็งและอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยากรักใครจริง ต้องเริ่มต้นที่ตัวเรานั้นต้องรักคนอื่นเป็นก่อน
เคยไหมด้วยความรัก ด้วยความหวังดี แต่พอเขาไม่ดีอย่างที่เราคิด ไม่ดีอย่างที่เราหวังเราก็เลยระเบิดอารมณ์ออกมา พอระเบิดอารมณ์ออกมา ตอนนี้เข้าหน้าติดไหม (ไม่ติด) คุยได้อย่างไม่สนิท แม้จะเคยรักกันขนาดไหนแต่ถ้าทะเลาะกันหนึ่งครั้ง ต่อไปเวลามองหน้ากันก็มองไม่เต็มตา จริงไหม (จริง) จะพูดว่าหวังดีเขาก็ไม่เชื่อเราแล้ว ฉะนั้นรักใครมากอย่างไร ถ้าเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด อดทนหน่อย ให้อภัยมากๆ หน่อย อย่าปล่อยอารมณ์ออกมา ถ้าปล่อยอารมณ์ออกมามีสิบอย่างพูดสิบอย่าง ไม่มีใครคบหรอก เคยได้ยินไหมมีความรู้สึกสิบอย่างต้องพูดสักสามพอ เก็บไว้เจ็ด เห็นอะไรที่ไม่ชอบบางครั้งก็ต้องรู้จักเก็บอารมณ์ แล้วก็ให้อภัย เพราะว่าแก้วแตกประสานอย่างไรให้สวยเหมือนเดิมก็ไม่ได้ ความรู้สึกที่สูญเสียไปแล้วเรียกให้กลับมาเหมือนเดิมก็เรียกได้ยาก แล้วเราจะยอมรับความแตกต่างของคนได้อย่างไรล่ะ ถ้าเขาเป็นไม่ได้อย่างที่เราคิด เราจะยอมรับเขาอย่างไร บางทีก็เป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าหากเขาทำในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงและไม่ควรจะทำด้วย ถูกหรือเปล่า (ถูก)
เรามาเรียนรู้วิธียอมรับความแตกต่าง เพื่อไม่ให้เกิดใจที่แตกแยกดีไหม (ดี) เหมือนใจเราถ้าใจเรารวมกันเป็นหนึ่งทำอะไรก็ต้องมีพลัง แต่ถ้าหากใจมันแตกเป็นสอง ทำอะไรก็จะเกิดความละล้าละลัง แรงที่จะทำมันก็ไม่เต็มที่ จริงไหม (จริง) เหมือนกันถ้าครอบครัวมีความกลมเกลียวสมัครสมาน พ่อว่าซ้าย แม่ก็ว่าซ้าย พ่อว่าขวา แม่ก็ว่าขวา เวลาทำอะไรก็ย่อมสำเร็จ แต่ถ้าหากว่าครอบครัวหนึ่ง พ่อว่าซ้าย แม่ว่าขวา ก็ย่อมเป็นอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันลืมไม่ได้คือคำว่า ถ้อยทีถ้อยอาศัยและรู้จักเคารพเขาเคารพเรา อยากให้เขาเคารพเราแต่เราทำตัวไม่น่าเคารพ ใครจะเชื่อถือ
ฉะนั้นการอยู่ในโลกจึงไม่ใช่เรื่องยาก สามารถมีความสุขได้ สามารถเป็นที่รักได้ สามารถเป็นที่น่าเชื่อถือได้ แล้วก็สามารถอยู่อย่างคนพ้นทุกข์ได้ เอาไหม (เอา)
เหมือนเราอายุน้อยๆ มีกำลังวังชา พอเดินไปไหนกับคนแก่แล้วต้องพาคนแก่เดิน เรารู้สึกว่าทำไมเดินช้าอย่างนี้ น่ารำคาญ อย่างนี้ถูกไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายสูงอายุออกมาเดินแข่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
เห็นไหมว่าในความแตกแยก บางทีก็มีความน่ารักได้ถ้าเรารู้จักใช้ เราจะใช้อะไรเป็นตัวประสานความสัมพันธ์ ใช้ความสนุกสนาน หรือใช้อารมณ์ที่น่าเบื่อน่ารำคาญ เคยไหมอยู่กับผู้ใหญ่ถ้าใจเรารู้สึกน่าเบื่อน่ารำคาญ อยู่กับท่านก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าเราอยู่กับท่านด้วยจิตใจที่รัก อยากให้ท่านมีความสุขมีความสดชื่น เอาตัวนี้เป็นตัวประสานอยู่ด้วยกันก็เป็นสุขได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ารำคาญคนแก่นะ จำไว้ว่าวันนี้เรายังหนุ่มแต่ต่อไปเราก็แก่ ถ้าตอนนี้เรารำคาญเดี๋ยวลูกหลานก็จะทำกลับกับเราบ้าง และจะรำคาญมากกว่าเราเป็นเท่าตัว เพราะคนสมัยนี้อดทนได้แค่นี้ คนรุ่นหลังก็ยิ่งอดทนได้นิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งดีๆ พยายามขยายให้มาก สิ่งที่ไม่ดีรีบหดให้น้อย เพื่อจะได้ไม่ส่งต่อรุ่นหลัง และในทางกลับกันคนอายุมากก็อย่าดูถูกเด็กรุ่นหลัง เพราะบางครั้งเด็กรุ่นหลังก็แซงคลื่นลูกหน้าได้เหมือนกัน
ฉะนั้นเด็กพูดอะไร ก็บอกว่ารำคาญ คบเด็กสร้างบ้านไม่คบหรอก อยู่กันอย่างนี้มีความสุขไหม (ไม่มี) กลายเป็นเด็กก็เบื่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็รำคาญเด็ก ครอบครัวจะประสานกันได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักฟังเด็กบ้างและเด็กจะขาดไม่ได้เลย อยากเป็นเด็กที่น่ารักต้องมีมารยาทและรู้จักเคารพนบนอบ ส่วนผู้ใหญ่อยากจะอยู่กับใครให้มีความสุข ต่อเด็กต้องมีเมตตามากๆ ใช่ไหม อยู่กับใครเขาก็จะรักเรา ฉะนั้น อยากอยู่กับเราอย่างมีความสุขก็ต้องคิดในทางที่ดี
เรากับท่านมีอะไรต่างกันไหมศิษย์น้อง มองภายนอกเราไม่ต่างกัน มีผม มีตา มีจมูกเหมือนกับท่านไหม หูเราก็มีครบสองข้าง ปากเราก็มีปากเดียวใช่ไหม เราก็เหมือนกัน คนทุกคนเหมือนกัน แต่ในความเหมือนก็มีความต่าง ในความต่างก็มีความเหมือน อยู่ที่เราจะเลือกมองสิ่งไหน ถ้าเรามองว่าเป็นคนเหมือนๆ กัน ก็คุยกันได้ แต่ถ้ามองว่าเป็นคนไม่เหมือนกัน บางทีก็คุยไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนในโลกนี้แม้จะยิ่งใหญ่ปานใด แม้จะร่ำรวยขนาดไหน แต่คนทุกคนล้วนมาจากเล็กๆ ก่อนทั้งนั้น แม้จะมีความรู้มากมายขนาดไหน แต่ก่อนก็เคยโง่มาก่อนทั้งนั้น เราอยากจะบอกว่าเล็กกับใหญ่ต่างกันตรงไหน ท่านก็เคยเล็กมาก่อน จึงยิ่งใหญ่และเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นเราอยากอยู่ร่วมโลกกัน จึงอย่าดูหมิ่นดูเบากัน เพราะเกิดเป็นคนถ้าดูถูกใครแล้ว คนนั้นยากจะเจริญ และคนนั้นยากจะอยู่ร่วมกับใครได้อย่างมีความสุข
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงเล็กๆ ใหญ่ๆ โดยใช้มือทำท่าประกอบ)
ไม่ใช่ว่าเราจะใหญ่เสมอไป บางครั้งเราก็ต้องกลายเป็นเล็กได้ และบางครั้งเล็กก็กลายเป็นใหญ่ได้ อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง เห็นเล็กๆ อย่างนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีค่ามีความสำคัญต่อโลกได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติอะไร ถูกหรือเปล่า (ถูก)
(สิ่งศักดิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่าใครทำท่าผิดบ้างให้ยกมือ)
เก่งมากกล้ายอมรับ เราอยู่ในโลกนี้ บางทีถ้าเราผิดว่าไปตามผิด อย่าผิดแล้วทำกลมกลืนว่าตัวเองถูก คนอย่างนี้ไม่ดีเลย ทำให้คนที่ตั้งใจทำพลอยหมดกำลังใจไม่อยากทำ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่ง นำกระดาษไปเช็ดที่โถส้วม และอีกท่านหนึ่งนำก้านธูปไปจิ้มมูลสัตว์)
กระดาษนี้หนักไหม (ไม่หนัก) กล้าจับไหม เขาเช็ดด้านนี้ กล้าโดนไหม เห็นไหมว่ากระดาษใบเดียว จากที่ตอนแรกเราว่ามันเบา มันกลายเป็นหนักทันที เพราะว่าสกปรก ใช่หรือไม่ แล้วถ้าหากว่ากระดาษใบเดียวกัน ขออาสาสมัครหนึ่งคน ใครจะยอมจับหนึ่งใบ จับมือซ้ายหรือขวาดี แต่มืออันหนึ่งต้องเปื้อนใช่ไหม แต่ถ้าหากเราบอกว่ามันเปื้อนทั้งสองอันล่ะ หนักไหม (หนักขึ้นหน่อย) หนักที่ไหน (หนักที่ใจ) เห็นไหมว่าหลายเรื่องในโลกนี้ จะหนักหรือเบาอยู่ที่อะไร (ใจ)  ถามจริงๆ กระดาษเปื้อนโถส้วมมันหนักไหม (ไม่) แต่ทำไมเรารู้สึกหนัก เพราะใจเรารู้สึกรังเกียจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วในโลกนี้มีอะไรบ้างที่เรารังเกียจ มีอะไรบ้างที่เราพบเราปฏิเสธรับไม่ได้
ถ้าก้านธูปนี้ตกอยู่กับพื้น เราเก็บขึ้นมาทันที เราก็ว่ามันเบาถูกไหม แต่ถ้าก้านธูปนี้มันตกอยู่กับพื้น แล้วเรารู้ว่ามันเปื้อนมูลสัตว์มา ไม่รู้ว่าเปื้อนด้านไหน มันหนักขึ้นทันทีใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเราเดินมาจากไหนไม่รู้ หยิบมันไปทิ้ง ก็ไม่หนักใช่ไหม
เรื่องราวในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นทุกข์ทั้งแปด ความพลัดพราก ความตาย การเจ็บป่วย และอีกหลายอย่างในทุกข์ทั้งแปด พอเราพบเจอเราก็รู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะรับไหว และพอเจอกับตัวเอง เราก็ตั้งป้อมปฏิเสธไม่เอา แล้วเราก็ทุกข์ แต่ถามว่าใช่ความเจ็บปวดหรือไม่ที่ทำให้เราทุกข์ การป่วยเป็นโรคทำให้เราทุกข์มากไหม แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าความคิดฟุ้งซ่าน ทำให้เรายิ่งทุกข์หนักมากกว่าเดิมจริงไหม
เหมือนตัวอย่างง่ายๆ มีชายคนหนึ่งป่วย นอนปวดท้องอยู่โรงพยาบาล อีกคนหนึ่งก็ปวดท้องเหมือนกัน ปรากฏผลตรวจออกมา คนหนึ่งเป็นมะเร็ง อีกคนเป็นโรคกระเพาะ แต่พยาบาลวางผลตรวจสลับเตียงกัน เอาผลตรวจของคนที่เป็นมะเร็งไปให้คนที่เป็นโรคกระเพาะ แล้วคนเป็นโรคกระเพาะนั้นเกิดอยากรู้ว่าปวดมานานแล้วไม่หายสักที ก็ถามหมอว่าเป็นอะไร พอหมอหยิบผลตรวจขึ้นมาดู ก็บอกว่าเสียใจด้วยคุณเป็นมะเร็งในกระเพาะ ถ้าหมอบอกว่าท่าทางท่านคงจะอยู่ได้ไม่นาน นอนหลับไหม พอวันรุ่งขึ้นชายคนนี้ก็กลับมาถามหมออีกว่า ผมเป็นโรคมะเร็งจริงหรือ ผมนอนไม่หลับทั้งคืนเลย หมอบอกว่าไม่ใช่ คุณเป็นโรคกระเพาะ หายเป็นปลิดทิ้งเลยไหม
บางทีมนุษย์ไม่ได้ตายเพราะความทุกข์หรอก แต่ตายเพราะความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ได้ตายเพราะโรคมะเร็งหรอก แต่ตายเพราะทำใจไม่ได้ ใช่ไหม  ไม่ได้ตายเพราะอกหักหรอก แต่รับไม่ไหวเพราะถูกหักอก ไม่ตายเพราะหมดตัวหรอก แต่เพราะใหญ่แล้วเล็กไม่เป็น เราอยู่ในโลกนี้อย่าให้ความคิดนั้นฆ่าเรา เหมือนคนอื่นว่าเราก็ไม่เจ็บปวดเท่าเราว่าซ้ำตัวเอง แต่ถ้าคนอื่นว่าเราโง่ แต่ฉันบอกว่าฉันน่ะฉลาด เราเจ็บไหม ฉะนั้นเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ตัวเรา อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเราไม่ฟุ้งซ่าน เราก็ดับทุกข์ได้เป็นร้อยๆ  เรื่องแล้วจริงไหม
เวลาที่เราได้รับเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด หรือเจอปัญหา ขอให้ตั้งสติแล้ววางใจให้สงบ เอาใจที่สงบนี้กล้าไปเผชิญรับกับเรื่องราวที่มากระทบด้วยความเข้มแข็ง เมื่อเรามีสติยั้งคิด อะไรที่มากระทบเราก็จะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่ถ้าหากว่ามีเรื่องมากระทบแล้วใจเราวุ่นวายสับสน เราจะมองเห็นอะไรได้แจ่มชัดไหม ถ้าหากว่าบางครั้งมีเรื่องมากระทบ เราขอร้องไห้ก่อน เดี๋ยวค่อยทำใจ ร้องไปเลย ร้องให้เต็มที่ ร้องเสร็จแล้วตั้งสติ มองให้ดี แล้วสู้ต่อไป อย่าร้องอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง อย่าไปจมอยู่กับอารมณ์ เพราะอารมณ์นั้นไม่เคยทำให้ใครได้ดี ให้เรียกสติปัญญาคืนมา เราถึงจะสามารถรับแล้วเดินต่อไปได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้น มนุษย์เกิดมาต้องก้าวต่อไป อย่าให้อารมณ์อะไรมาชักพาทำให้เราจิตใจหดหู่เลย ท่านเกิดมาพร้อมกับใจที่ว่างเปล่า แต่วันไหนที่รับเรื่องไม่ดีใจรู้สึกเป็นทุกข์ ฉะนั้น ก็เอาออกสิ ในเมื่อเก็บไว้แล้วทำให้เราทุกข์ใจ ทำไมไม่เทมันทิ้ง แล้วเก็บแต่เรื่องดีๆ ไว้สบายใจกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ เคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม มีพระและเณรสององค์กำลังจะเดินข้ามแม่น้ำ แต่ปรากฏว่ามีหญิงคนหนึ่งกำลังจะเดินข้ามแม่น้ำเหมือนกัน แต่เผอิญไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำ ผู้หญิงเวลาข้ามแม่น้ำจะดูไม่งาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าถกกระโปรงก็จะดูไม่สวย พระก็เลยบอกว่าโยมมานี่ อาตมาจะช่วยอุ้มข้ามแม่น้ำ พออุ้มข้ามเสร็จแล้วก็วาง วางเสร็จแล้วก็เดินกลับวัดไป เณรคนนั้นก็เดินตามด้วยความรู้สึกว่า ทำไมหลวงพ่อทำแบบนี้ ไปจนถึงวัดแล้วก็อดรนทนไม่ได้ ก็ถามหลวงพ่อว่า อุ้มสีกามันบาปไม่ใช่หรือ หลวงพ่อบอกว่า เจ้ายังถือสีกามาจนถึงวัดอีกหรือ หลวงพ่อวางสีกาไว้ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว  เช่นเดียวกันถ้าเราเห็นใครทำผิด นิสัยไม่ดีเลย เชื่อไหมตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้เรายังจำได้ เขากลายเป็นคนดีไปแล้ว แต่เรายังลากความไม่ดีของเขามาจนตัวเราไม่ดีใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น ความไม่ดีของคนอื่นเห็นแล้ววางซะ อย่าลากมาเก็บไว้ในใจเลย เก็บแต่สิ่งดีๆ ไว้ไม่ดีกว่าหรือ อยู่ร่วมกันจะได้มองกันได้อย่างเต็มตา
เมื่อสักครู่เราบอกวิธีอยู่ร่วมกันทำอย่างไรจะได้ไม่ทุกข์ เราจะเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากเราอยู่ร่วมกัน ภายในใจเรารู้สึกไม่ทุกข์ตลอดเวลา เชื่อไหมว่าในโลกนี้จะมีแต่เรื่องที่มีความสุข
เรื่องอะไรในโลกที่ทำให้เรารู้สึกต้องขอบคุณ และต้องขอโทษบ้าง แล้วถ้าหากว่าเราอยู่ในโลกนี้ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรา เรารู้สึกขอบคุณตลอดเวลา ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณกาลเวลาที่ทำให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคนต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความดับเป็นธรรมดา ขอบคุณความทุกข์ที่สอนให้เรารู้ว่าชีวิตนี้ไม่ใช่แค่สุขอย่างเดียว แต่ยังมีทุกข์ที่เป็นเพื่อนอยู่กับเราไม่ไปไหน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าในใจเรารู้สึกขอบคุณตลอดเวลา เราจะโกรธอะไรลงไหม เราจะว่าฟ้าว่าดิน เราจะว่าคนที่เรารัก และเราจะว่าใครไหม
จิตที่รู้จักขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่ทุกๆ ขณะ จะทำให้เรามีความสุขและพ้นทุกข์ได้ แม้ไม่มีเราก็ขอบคุณ เพราะความไม่มีจึงทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งในโลกไม่ใช่ของฉัน ถึงเวลาก็ต้องไปใช่ไหม (ใช่) แล้วโดยปกติเราจะขอบคุณต่อเมื่ออะไรล่ะ ใครตอบได้
(ขอบคุณเมื่อเราสมหวัง) แล้วถ้าหากผิดหวังจะขอบคุณไหม (ไม่ขอบคุณ) ทำไมไม่ขอบคุณล่ะ ไม่เคยคิดหรือว่า ไม่ใช่เพราะว่าผิดหวังร้อยครั้ง จึงมีสมหวังหนึ่งครั้งจริงไหม (จริง) ถามจริงๆ ชีวิตท่านสมหวังทั้งสิบครั้งไหม (ส่วนมากผิดหวัง) หรือไม่ใช่เพราะผิดหวังสิบครั้ง พอมีสมหวังเราจึงรู้ค่าของความสมหวังว่ามีค่าขนาดไหน เพราะผิดหวังมาเยอะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้รู้จักความสมหวังเป็นสุขอย่างนี้นี่เอง
(ขอบคุณเมื่อเห็นทุกคนในโลกนี้มีความสุข) น่าจะบอกว่ารู้สึกขอบคุณถ้าในโลกนี้มีสันติสุข คนไม่ทำร้ายกัน แต่ถ้าหากว่าขอบคุณที่โลกนี้ไม่สันติสุข ได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเปลี่ยนเป็นขอโทษจริงๆ ที่ทำให้โลกนี้ไม่มีสันติสุข อย่าคิดว่าเป็นเฉพาะคนกลุ่มนั้นทำให้โลกวุ่นวาย ตัวเราก็สามารถเป็นภัยและทำให้สังคมวุ่นวายได้ ถ้าเราคิดแบบยึดติด คิดแบบไม่เปิดใจกว้างถูกไหม (ถูก) คนที่คิดแบบยึดติดและรักพวกพ้องตัวเองไม่รักพวกพ้องใคร คนนั้นสามารถทำอันตรายสังคมได้ แล้วเราเป็นไหม บางทีมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาห้ามใครแย้งนะ แม่ว่าอย่างนี้ลูกก็ต้องว่าอย่างนี้ ฉันว่าอย่างนี้เธอก็ต้องตามอย่างนี้ แล้วเคยไหมเวลาทำงานมีสองกลุ่ม รักกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มโน้นเป็นไหม (เป็น) ฉะนั้นเราก็สามารถเป็นตัวก่อภัยย่อมๆ ได้เหมือนกัน ถ้าเราทุกคนมีความยึดติดและรักเฉพาะพวกพ้องตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
เล่านิทานให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งเอาไหม (เอา) คนที่มีความรักมากๆ สามารถก่อภัยได้ เป็นไปได้ไหม (ได้) และคนที่มีความรักก็สามารถฆ่าตัวเองตายได้ จริงไหม (จริง) เหมือนง่ายๆ มีพระองค์หนึ่ง จำวัดอยู่ในกุฏิ ปรากฏว่ามีขโมยย่องเข้ามา แล้วก็เปิดลิ้นชักเห็นเงินเต็มเลย พอจะหยิบเงินหันมาเจอพระพอดี ขโมยตกใจ พระบอกว่า โยมจะเอาไปก็ได้ แต่เหลือให้อาตมาไว้ใช้พรุ่งนี้หน่อยนะ ขโมยพอเอาเงินไปแล้ว ก็เดินย่องออกไป พระก็บอกว่า โยมเอาเงินของเขาไปไม่ขอบคุณหน่อยหรือ จริงๆ แล้วถ้าหลวงพ่อไม่ยอมตั้งแต่แรก หลวงพ่อรักเงิน ป่านนี้หลวงพ่อคงไม่อยู่แล้วใช่ไหม (ใช่) พอขโมยไปเรียบร้อย รุ่งเช้าตำรวจจับขโมยได้ ก็มาถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อขโมยคนนี้ได้มาขโมยของในวัดไหม หลวงพ่อก็บอกว่าเปล่า ขโมยก็นั่งเงียบ หลวงพ่อบอกต่อว่า ก็ตอนมาเอาไปยังขอบคุณหลวงพ่อเลย หลวงพ่อจะว่าเขาเป็นขโมยได้อย่างไร พอขโมยคนนี้พ้นโทษ คนแรกที่เขาอยากหาคือใคร (หลวงพ่อ) เพราะอะไร เพราะความไม่ยึดติด เห็นของๆ ตัวเองก็เหมือนของทุกๆ คน ถ้าอยากจะหมดทุกข์ให้ถึงที่สุดแล้วไม่มีทุกข์เลย นั่นก็คือไม่มีอะไรในโลกเป็นของตน เมื่อนั้นท่านจะหมดทุกข์ได้นะศิษย์น้อง แม้กระทั่งสิ่งที่รักที่สุด ทำได้ไหม
จำไว้นะเราทุกข์เพราะว่า อันนี้ของๆ เรา อันนี้ไม่ใช่ของๆ เรา จริงไหม (จริง) คนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าหากวันนี้มีเด็กคนหนึ่งเดินแล้วก็ล้มไป เรารู้สึกว่าน่ารัก แต่ถ้าเมื่อไหร่เป็นลูกเรา ก็บอกว่าระวังลูก มีแต่ความกังวลใช่ไหม (ใช่)
เหมือนกับชายคนหนึ่ง เป็นนักรบ รบกี่ครั้งก็ชนะ คนกี่หมื่นกี่แสนก็ไม่เคยกลัว เอาชนะได้หมด แต่เขามีจุดอ่อนอยู่ข้อหนึ่งคือ เขามีแก้วเจียระไนใบหนึ่ง เป็นแก้วที่บางที่สุดเท่าที่ช่างใดๆ ในโลกนี้จะทำได้ กลับมาจากรบเมื่อไหร่ เขาจะต้องมาเปิดดูว่ายังอยู่ไหม ปรากฏว่า พอวันนั้นเขากลับมาจากรบเสร็จ ภูมิใจรบชนะ ได้เกียรติยศ ได้เงินทอง ก็มาเปิดดูแก้ว แล้วก็เอามาชื่นชม แต่ในขณะชื่นชมอยู่นั้น มือเกิดลื่น แก้วก็กลิ้งตกลงมาแต่รับทัน ยังไม่แตก แต่เชื่อไหมว่าตอนนั้น ใจมันหายไปเลย ใช่ไหม (ใช่) แล้วเขาก็คิดได้ว่า เราเป็นชายอกสามศอก รบกี่ศึกไม่เคยกลัว แต่เพียงแค่แก้วใบเดียวเท่านั้น พอคิดได้ก็เขวี้ยงแก้วทิ้งเลย ไม่เอาแล้ว แล้วเราล่ะทำใจได้ไหม สิ่งที่รักที่สุด คือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด ของที่หวงที่สุดคือของที่ทำให้เจ็บช้ำที่สุด
อยากพ้นทุกข์ อยากมีสุขในชีวิตคิดเสียว่าลูกเขาก็คือลูกเรา ลูกเราก็คือลูกเขาดีไหม คิดได้จะได้ปล่อยบ้างนะ ไม่อย่างนั้นก็ห่วงลูกไม่จบไม่สิ้น ถ้าทำได้แบบนี้ ศิษย์น้องคงมีความทุกข์น้อยและก็คงมีสุขมากขึ้น ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้น วันพรุ่งนี้จะหายทุกข์ได้อย่างไร ถ้าวันนี้ยังตัดทุกข์ไม่เป็นเลย ถูกหรือไม่ (ถูก) ทำวันนี้เป็นเรื่องที่ยากไหม (ยาก) ยากตรงที่ทำอย่างไร ให้คิดว่านี่ไม่ใช่ของเรา นี่ไม่ใช่ลูกเราเพราะตอนแรกยังคิดว่าเขาคือลูกเรา แต่จำไว้ว่าถึงเวลาลูกก็ต้องมีทางของลูก เราสอนให้เขาดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาไม่เอาดี เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้) ก็คิดเสียว่าปล่อยไปตามเวรตามกรรมแล้วกัน
เงินวันนี้อยู่กระเป๋าเรา พรุ่งนี้มันหายไป เงินสิบบาทหายไปร้องไหม (ไม่ร้อง) ทองหนึ่งบาทร้องไหม (ร้อง) แต่ร้องเสร็จแล้วกลับมาตั้งสติ มันไปแล้วต่อไปฉันต้องหาให้ได้สองบาทเลย ดีไหม (ดี) แต่ไม่ใช่ว่าไปโทษคนอื่นขโมยเอาไปนะ เพราะของในโลกนี้มีมาแล้วก็มีไป วันนี้ได้วันต่อไปก็อาจเสีย ถ้าอย่างนั้นไปเล่นลอตเตอรี่ดีไหม (ไม่ดี) ชีวิตนี้ยังไม่รู้เลย ยังเอาเงินที่มั่นคงอยู่ ไปเสี่ยงกับเงินที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า เหมือนสติสามารถทำให้เรารู้เนื้อรู้ตัว แต่อารมณ์เป็นอะไรที่ทำให้เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะฉะนั้นอย่าเชื่ออารมณ์มาก เชื่อสติดีกว่า เพราะบ่อยครั้งมนุษย์เราฟังอารมณ์มากกว่าสติ และเพราะคบอารมณ์บ่อยๆ เราเลยกลายเป็นคนต้องเสียใจวันละหลายร้อยหน ถูกไหม (ถูก)
วาจาแย้งพาสูญเสียสาวไส้
คำพูดของคนถ้าหากใครพูดอะไรแล้ว เราเอาแต่แย้งตลอด ทำงานก็ร่วมกันยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งก็ต้องรู้จักยอมให้เขาพูดก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่าต้องเป็นอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่ายังพูดไม่จบ แล้วก็แย้งก่อน อย่างนี้ก็ทำให้อยู่ร่วมกันยาก บางทีเวลาเราไม่พอใจคำพูดของเขา แล้วเราจะเอาเหตุผลมาแย้งก็มักจะว่าเขาในทางเสียๆ หายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจำไว้นะ พูดผิดครั้งหนึ่งต่อให้เป็นม้าดีขนาดไหน ก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ฉะนั้นพูดอะไรต้องรู้จักระมัดระวัง ดีไหม (ดี)
วาจาใหญ่ขัดเสียจิตต่างหม่น
ถ้าหากเสียงส่วนใหญ่เขาบอกแบบนี้ แต่เราหนึ่งคนไม่เห็นด้วย ก็ทำให้สังคมที่อยู่ร่วมกัน อาจจะเกิดความบาดหมางได้ ฉะนั้นอยู่ร่วมกันบางครั้งต้องลดความเป็นตัวตน ฟังเสียงส่วนรวมบ้าง ได้หรือเปล่า (ได้)
สรุปคือ เราอยากหมดความทุกข์ได้ อย่างแรกก็คือ (ไม่ยึดติด, มีใจขอบคุณ, มีความรักให้กัน) รักแบบไม่ครอบครองนะ (ให้รู้จักปล่อยวาง, ไม่เก็บมาคิดฟุ้งซ่าน, รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน, ไม่เอาความคิดของผู้อื่นมายึดติดให้ตัวเองทุกข์ใจ, ไม่ยึดติดกับสิ่งของ) ถ้าหายไปแล้วก็แล้วไป อย่าไปทุกข์กับมัน ใช่ไหม (ใช่)
บางครั้งถ้าชีวิตต้องเจอเรื่อง เจอปัญหา เจอคนว่า ขอให้ศิษย์น้องเอาไปคิดนะ ถ้าในใจเรารู้สึกขอบคุณตลอดเวลา เราก็จะโกรธเขาไม่ลง  ถ้าในใจรู้จักปล่อยวางไม่ยึดมั่นตัวเขาตัวเรา หากเขากำลังว่าเรา คิดเสียว่าเขาหวังดี เขาก็เหมือนเรา เขาก็เหมือนกระจก เขาเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น เราก็จะไม่โกรธเขา แล้วถ้าหากว่าใครมาทำให้เราเจ็บปวด ก็รู้จักใช้ความเมตตากับเขาให้มากเราจะได้ไม่โกรธไม่แค้นเขา แล้วการอยู่ในโลกนี้ ความสุขจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่มีธรรมประจำใจ เลือกเอาก็ได้ ศิษย์น้องอยากเลือกเอาอะไรเป็นธรรมประจำใจ รู้จักขอบคุณอยู่ตลอดเวลาก็ได้ รู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่ตัวเขา นี่ตัวเราก็ได้ รู้จักเมตตา รักทุกๆ คนอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เลือกเอานะ ชีวิตนี้ไม่มีใครชี้ทางพ้นทุกข์และทำให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าคนนั้นไม่เดินตามทางที่ชี้ ถูกไหม (ถูก)
เราศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อความหลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องหลุดพ้นเป็นถึงพระอรหันต์ เป็นพระพุทธะหรอก หลุดพ้นจากความทุกข์ที่มันเกาะกินใจ ที่เวลามันมากระทบทีไรแล้วเราปล่อยไม่ได้สักที เอาแค่นี้ก่อน ยากไหม (ไม่ยาก) อยากเป็นที่รักของใครๆ ก็จงรู้จักมีน้ำใจแล้วก็ให้แต่สิ่งที่ดีๆ เรารักใครก็ตามแต่เราไม่เคยให้อะไรใครเลย เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าเรารักเขาจริง แต่ให้แล้วต้องไม่ให้จนทำให้เขาเสียคน เหมือนลูกให้มากเกินก็เสียนิสัย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นตอนไหนควรให้ ตอนไหนไม่ควรให้ ต้องรู้จักด้วย สุดท้ายเป็นคนในโลกยืดได้ก็หดได้ บางครั้งใหญ่ได้ก็เล็กได้ เราจะได้เป็นคนที่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาเป็น
อย่างนั้นวันนี้ก็แค่นี้ล่ะนะ มีโอกาสคงได้พบกันอีกนะ การศึกษาธรรมะไม่ใช่มีแค่สองวัน ชีวิตเรายังมีเรื่องให้ต้องศึกษาอีกเยอะ แต่การจะเข้าใจชีวิตได้อย่างแท้จริงต้องลงมือปฏิบัติ เราถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆ เอาแต่ฟังแต่ไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ เอาแต่ทำแต่ไม่เคยมาฟังเลยก็ไม่ดี ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นฟังกับทำต้องประสานกันให้กลมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ศิษย์พี่ก็แค่นี้ล่ะนะ อย่าคิดว่ามาเล่นละครเลยนะ มีโอกาสเข้ามาผูกบุญสัมพันธ์กันนะ ขอให้ตั้งใจฟัง ศึกษาบำเพ็ญธรรม อย่าได้เบื่อหน่าย อย่าได้ท้อนะ อยู่บนโลกนี้ถึงเวลาเรายืมเขามาใช้ สักวันเราก็ต้องคืนไป ฉะนั้นทำร่างกายนี้ให้ดี สร้างแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์กับผู้อื่นด้วยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือเหริน นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถึงตัวดำแต่ใจต้องไม่ดำ            ถึงเสียงดังแต่ทำตัวยิ้มง่าย
ถึงพูดตรงจริงใจแต่ก็เกรงใจ          ศิษย์คนใต้น่ารักรู้จักใจเย็น
            เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่สถานธรรมฉือเหริน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า

จิตกลมเกลี้ยงด้วยบำเพ็ญและขัดเกลา ฝึกใจกลมชมเชาว์ฉลาดง่าย
สุขเพราะยอมรับดับทุกข์วุ่นวาย       เคยทุกข์ไปมีสัมปชัญญะละอาวรณ์
ศึกษาธรรมในเบื้องแรกเปิดกว้าง      ในท่ามกลางเหลาะแหละต้องใจร้อน
จงตั้งต้นที่ใจไม่พเนจร              กระแท่นและกระท่อนสุดที่จะบำเพ็ญ
ก่อนหลังสมมติมีธรรมขานไข         ปริศนาไขขานธรรมดั่งภาพเห็น
โลกดำรงอยู่ด้วยไม่ต้องเป็น          ภาวะธรรมเป็นสิ่งเร้นสถิตใน
ยากได้ดีที่โลภจนพะวักพะวน         รอแต่สุดท้ายผลคืออะไร
เคลือบแคลงแม้แต่ธรรมอันใดใด      ปล่อยวางต้องยังใจเป็นสำคัญ
                                            ฮา  ฮา   หยุด

               พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มาฟังธรรมะเป็นวันที่สองแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้นหรือยัง  มีมุมมองที่หลากหลาย ที่สามารถบันดาลสร้างสุขให้ตัวเองได้หรือยัง ชีวิตเป็นทุกข์ใช่หรือไม่  แล้วหามุมมองที่ทำให้ตัวเองเป็นสุขได้บ้างหรือยัง
ความสุขหรือความทุกข์นั้นอยู่ที่ไหน หากเราทำใจของตัวเราให้เบิกบานเป็นคนยิ้มง่ายมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี คิดดีทำดี เราย่อมมีความสุขมากยิ่งขึ้น  อาจารย์ถามว่า  รู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้นหรือยัง  ทุกวันนี้รู้จักอะไรในชีวิตของตัวเองบ้าง รู้จักคนรอบข้างของเรา เรารู้จักอุปนิสัยใจคอของเราและเราก็รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี  แต่ว่ายังมีข้อจำกัด ก็คือว่า มักไม่กล้าในสิ่งที่เรารู้  เมื่อเราไม่กล้าจึงไม่อาจดีขึ้นได้  ชีวิตไม่ใช่การเล่นลอตเตอรี่หรือการเล่นหวย ไม่มีการถูกรางวัลที่หนึ่ง  ถ้าหากว่าเรานั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขตัวเองได้ เราย่อมไม่มีความสุขมากขึ้น ถ้าอยากมีความสุขมากขึ้น ต้องทำอย่างไร
ข้อที่ ๑ ทำตัวเหมือนเดิมทุกประการ
ข้อที่ ๒  ทำบ้างไม่ทำบ้าง
ข้อที่ ๓ ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้ว่าไม่ดีให้ดีขึ้น
เลือกข้อไหน  (ข้อที่สาม)  เลือกทำส่วนนั้นจริงหรือเปล่า ทุกวันนี้ปัญหาที่มีอยู่ก็คือว่า รู้ว่าอะไรดีแต่ว่าทำไม่ทำ (ไม่ทำ)  หรือทำบ้างไม่ทำบ้าง ถึงแม้ว่าศิษย์จะรู้ว่าข้อที่สามเป็นสิ่งที่ศิษย์ควรเลือก แต่พอถึงเวลา ก็เลือกข้อหนึ่งและข้อสอง เพราะว่าปัจจัยในชีวิตต่างๆ หนุนนำหนุนเนื่องให้ชีวิตไม่สามารถดีขึ้นได้จริงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บ้านเรานั้นใครเลือก แฟนเราใครเลือก จะมีลูกกับแฟนคนนี้ใครเลือก แล้วบอกว่าไม่ได้เลือก เลือกหรือเปล่า งานที่ทำอยู่ใครเลือก ทุกอย่างที่เลือกมานั้น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้น  ถ้าหากว่าเราไม่ทำงานชิ้นนี้อาจไม่มีเงินใช้ เพราะฉะนั้นทำงานชิ้นนี้ไปก่อน แต่ทำงานแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่  งานทุกชิ้นมีความสำเร็จ เราไปถึงจุดสูงสุดของงานนั้นหรือไม่ เราไม่อาจถึงเพราะว่าเรานั้น เราไม่พอใจ ไม่ยินดี ไม่เต็ม ไม่เข้าใจ ไม่ตั้งใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงไปสู่จุดที่ดีที่สุดไม่ได้ ถ้าอยากไปถึงสิ่งที่ดีที่สุดต้องใช้อะไร (พยายาม)  เราจึงต้องลงแรง  เอาใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น ถ้าหากคนคิดอะไรก็ได้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น สมหวังดังปรารถนา มันจะดีขึ้นไหม  แน่ใจหรือเปล่าว่าเราจะไม่ทำสิ่งที่ดีๆ  นั้นให้แย่ลงไปอีก  สมมติว่าเราได้เงินอย่างที่ต้องการแล้ว  แต่ไม่มีวันใช้เงินนี้ไปจนถึงความจน  เพราะว่าเหตุการณ์ในชีวิตปัจจัยต่างๆ   หนุนเนื่องให้เรานั้นแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ   เริ่มจากสิ่งที่เรารู้สึกว่า ดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วเปลี่ยนให้มันดียิ่งขึ้น  จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี  เริ่มตั้งแต่วันนี้     ที่เรารู้สึกว่าทำแล้วให้มันดีขึ้น  กับการที่ไปฝันเฟื่องว่าเรานั้น พอมีสิ่งที่ดีมากกว่านี้แล้วเราให้มันดีขึ้นไป สิ่งที่ดีๆ  ที่เราอยากได้นั้น ถามว่าบางคนนั้นทั้งชีวิตยังไม่ได้เลย แล้วศิษย์อยากได้นั้นเป็นการฝันเฟื่องมากไปหรือเปล่า  ตอนนี้ตื่นอยู่หรือหลับอยู่  ตื่นอยู่แล้วใจหลับหรือใจตื่น  (ตื่น)  ถ้าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งได้ก็ดีใช่ไหม อย่างนี้ใจหลับหรือใจตื่น
ในชีวิตนี้ ชาตินี้ มีคนที่เรานั้นชอบบ่นเขาอยู่ แล้วเราก็มักจะบ่นคนไม่กี่คน จริงหรือเปล่า (จริง)  ใครที่ถูกเราบ่นก็ถูกเราบ่นเรื่อยไป การขี้บ่นนั้นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนแก่ แต่เป็นเรื่องของคนรู้มาก เพราะว่าเรารู้มากกว่าเขา เราเลยบ่นเยอะ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการรู้มากๆ ทำให้มีความสุขไหม
เวลาคนที่นินทากันเราแอบฟังหรือเปล่า (ฟัง)  ฟังทำไม ความอยากรู้ไม่ใช่คุณธรรมของผู้บำเพ็ญ ความอยากรู้อยากเห็นมิใช่คุณสมบัติที่สตรีนั้นพึงประพฤติ เพราะว่าคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นจะหลุกหลิก เป็นผู้หญิงนั้นต้องสุภาพและนุ่มนวล จริงหรือเปล่า (จริง) ใครที่คิดว่าทุกวันนี้เราเป็นคนสุภาพนุ่มนวลสุภาพสตรี ยกมือขึ้น ผู้ชายนั้นจะต้องทำเป็นเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง จึงจะสามารถทนไหว จริงหรือไม่ (จริง)
การเป็นคนนั้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ยากพอสมควรทีเดียว แต่เราก็เป็นคนอยู่ทุกวัน ทุกวันลืมตามาก็ยังเป็นคน ตั้งอยู่บนความยากต่างๆ นานา มีความสมใจและไม่สมใจอยู่ตลอดเวลา มีสิ่งที่สมหวังและไม่สมหวังตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นอย่างนี้มีแต่ความทุกข์ขมระทมใจ แต่ว่าเราอยากมีความสุขมากขึ้นไหม (อยาก)  การที่เรานั้นอยากมีความสุขมากขึ้นจึงมีแต่เรานั้นเป็นผู้มอบให้ตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ไม่ใช่อยากจะได้อะไรก็ไปหาซื้อมา อยากได้เงิน ไม่มีเงินก็ไปกู้มา อย่างนี้เป็นความสุขหรือไม่ (ไม่)  เราต้องหาความสุขใส่ให้ถูกที่ ความสุขเกิดที่ไหน (ใจ)  ทุกคนตอบได้ความสุขอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอก ความสุขไม่ได้อยู่สังขาร จริงหรือไม่ (จริง)  คนอื่นนั่งโซฟา เรานั่งพื้นมีความสุขเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  คนอื่นเขาขับรถไป เราเดินไป มีความสุขเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  คนอื่นกินข้าวได้เยอะแยะ เราเป็นพวกกินข้าวไม่ค่อยลง มีความสุขเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  คนอื่นมีสุขภาพแข็งแรง ส่วนเรานั้นเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มีความสุขเหมือนกันไหม เริ่มตอบเบาลงเรื่อยๆ จงมีความสุขให้เหมือนกัน เพราะความสุขนั้นอยู่ที่ใจ ใจอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้นความสุขอยู่ที่ตัวเรานั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในปัจจุบัน ตอนนี้เหตุการณ์ทางใต้ไม่สงบสุข แต่ว่าเรานั้นมีจิตใจที่สงบสุขดี เรามีความสุขไหม (มี)  ทุกคนกลัวตายใช่ไหม (ใช่)  ความตายเป็นที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  อยู่แล้วทุกข์ทุกวัน เพราะฉะนั้นตายดีไหม (ไม่ดี)  อยู่แล้วมีความทุกข์ ตายก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นอยู่ให้มี(ความสุข)  อยู่ให้มีความสุข
อาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีคุณยายอยู่คนหนึ่งชื่อว่าคุณยายเจ้าน้ำตา คุณยายคนนี้วันที่ฝนตกเขาก็ร้องไห้ วันที่แดดออกก็ร้องไห้ ร้องทำไม ก็มีคนถามว่าร้องทำไม ยายบอกว่ามีลูกสาวอยู่สองคน ลูกสาวคนแรกแต่งงานไปกับเจ้าของร้านรองเท้า อีกคนหนึ่งแต่งงานไปกับเจ้าของร้านร่ม วันที่แดดออกก็กลัวว่าลูกสาวขายร่มจะขายไม่ดี ก็ร้องไห้ ส่วนวันที่ฝนตกก็กลัวไม่มีใครไปซื้อรองเท้าของลูกสาวอีกคนหนึ่ง ก็ร้องไห้ ร้องไห้ทุกวันเลย คนที่เป็นนักบำเพ็ญพรตคนนี้จึงแนะนำคุณยายเจ้าน้ำตาบอกว่าให้คิดอย่างนี้ วันไหนฝนตกลูกสาวคนสาวคนขายร่มก็ขายดี  วันไหนแดดออก ลูกสาวคนที่ขายรองเท้าก็ขายดี  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณยายเจ้าน้ำตาก็หัวเราะทุกวันเลย นิทานเรื่องนี้เป็นมุมมองความคิด ว่าคิดอย่างไรกับชีวิตนี้ หากว่าเราคิดไปในทางที่ดีชีวิตเราก็ดีขึ้น  ถ้าหากว่าเราคิดไปในทางที่ไม่ดี ชีวิตก็ไม่อาจจะดีขึ้นได้ ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ของอาจารย์คิดดีกับชีวิตหรือยัง  พอใจกับความจนของตัวเอง พอใจในครอบครัวของตัวเอง พอใจในร่างกายของตัวเอง พอใจกับวัตถุของตัวเองที่มีอยู่หรือยัง (พอใจ)  แต่ยังไม่มีความสุข เพราะว่าเรานั้นไม่ได้เกิดความพอใจจริงๆ ใช่หรือไม่
วันนี้มาที่นี่ไม่ได้ให้มานั่งฟังธรรมะเพื่อผ่านไปสองวัน แต่การมานั่งที่นี่เพื่อมาชุบชีวิตใหม่ ชุบชีวิตจากคนที่เคยมีแต่ความทุกข์ ชุบชีวิตจากคนที่ไม่เคยรู้จักตัวเอง ให้กำหนดทิศทางของตัวเองได้ดีมากขึ้น เมื่อเราเดิน เราต้องมีเป้าหมายว่าจะเดินไปที่ไหน  ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ที่ไหน จะทำอะไรก็ดี เราต้องมีเป้าหมายเราถึงจะไม่ลอยเคว้งคว้าง แต่ศิษย์ลองมองภาพใหญ่ ชีวิตของศิษย์เดินไปทางไหน ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ศิษย์ระบุได้ว่าศิษย์จะไปตลาด ศิษย์จะไปทำงาน จะเดินไปที่แห่งไหนศิษย์ย่อมรู้ แต่ในชีวิตของศิษย์ทั้งชีวิตที่เป็นภาพใหญ่ ศิษย์ลองมองสิว่าที่ใช้ชีวิตทุกวันนี้เพื่ออะไร เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น เจอใครที่ต้องตาต้องใจก็แต่งงานมีลูก เลี้ยงลูก และมีหลาน และมีชีวิตอย่างนี้ไปทุกวัน
เป้าหมายอยู่ตรงไหน เป้าหมายที่เป็นภาพรวมอยู่ที่ใด เพื่อใช้ชีวิตนั้นให้ครบ แล้วศิษย์นั้นก็ถึงเวลาก็ต้องลาชีวิตนี้ไป ใช่อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าหากใครมีชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายจึงเป็นเรื่องน่าเศร้า ถ้าหากว่าเกิดมามีชีวิตเพื่อลูกหลาน มีชีวิตเพื่อคนรอบตัวทำให้เรานั้นมีความสุขมากขึ้นไหม (มี)  การที่เรานั้นมีใครสักคนหนึ่งให้เราหวังดีแล้วเขาดีขึ้นมาตามที่เราหวัง ทำให้เรามีความสุข แต่นี่เป็นความสุขของปุถุชน คือหวังดีกับคนที่เป็นคนของเราเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติเพื่อนสนิทมิตรสหาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าการที่เรานั้นมีคนอยู่แค่นี้ให้เรานั้นหวังดีปรารถนาดีทำให้ชีวิตของเรานั้นก็ยังเป็นชีวิตที่เล็กๆ อยู่ แต่หากว่าเรานั้น ลองปรารถนาดีกับคนที่เรานั้นไม่รู้จักเลยทำได้ไหม (ทำได้)
สมมติว่าในกระเป๋าเรามีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง แล้วเราเกิดเห็นว่าคนๆ นั้นไม่มีเงินใช้ เราเอาไปให้เขาได้หรือเปล่า (ได้)  หมดตัวเลย  ถึงมีสุภาษิตคำหนึ่งบอกว่า คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ คนโง่คิดมากหน่อยมีประโยชน์ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนฉลาดหรือคนโง่ (คนโง่)  ตอนนี้อาจารย์เห็นตอบเบาลงเพราะว่ากลัวเข้าเนื้อ เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นคนฉลาดจริงหรือไม่ (จริง)  จะช่วยใครก็ไม่ทุ่มเท แต่ว่าจริงๆ  แล้วการช่วยเป็นการใช้เงินหรือเปล่า (ไม่)  การช่วยของอาจารย์นั้นแค่เอาจุดอ่อนของศิษย์มาพูดเท่านั้น เพราะว่าศิษย์ในยุคปัจจุบัน เห็นเงินเป็นเรื่องใหญ่มาก จริงหรือไม่ (จริง) ไม่มีเงินเหมือนไม่มีชีวิตเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถามว่าทุกวันนี้มีเงินหรือเปล่า (ไม่มี)  ก็ยังไม่มี  แต่ว่าไม่มีเงินเหมือนไม่มีชีวิตเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วตอนนี้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นศิษย์ต้องมองให้ชัดว่า เวลาที่เรานั้นช่วยแต่คนในบ้าน ความดีของเราก็เป็นความดีเล็กๆ  เป็นความดีในบ้าน แต่หากว่าเรานั้นไปช่วยผู้อื่นบ้าง ใครก็ได้ คนที่ชีวิตนี้ศิษย์อาจจะเจอเขาเพียงรอบเดียว ศิษย์อาจจะมีโอกาสที่จะทำดีกับเขาเพียงครั้งเดียว เป็นคนประเภทไหน คนแปลกหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่กับคนในบ้าน มีโอกาสทำความดีกับเขาทุกวันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าหากทำอยู่ทุกวัน วันหนึ่งไม่ทำโดนด่าไหม (โดน,ไม่โดน) มีคนบอกโดน มีคนบอกไม่โดน
คนในบ้านเราจำเป็นที่จะต้องเอ็นดู คนในบ้านเราจำเป็นที่จะต้องถามเขาบ่อยๆ ว่าเหนื่อยไหม เคยถามคนในบ้านไหม (ไม่เคย)  คำถามที่เราควรจะถามเขาอีกเพิ่มขึ้นสักคำถามหนึ่ง คืออะไร (หิวไหม,สบายดีไหม)  ไปถามเขาว่าสบายดีไหมเดี๋ยวเขาบอกว่า ไม่มีตาหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนในบ้านเป็นโรคประหลาดพูดดีด้วยไม่ได้ พูดไม่ดีก็ทำไม่ได้  ไม่พูดก็ไม่ได้ พูดมากก็ไม่ได้  ใครเอาใจยากที่สุด (คนในบ้าน)  คนในบ้านเอาใจยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเอาใจคนในบ้านได้ คนนอกบ้านก็สบายเลย เพราะฉะนั้นบ้านเราเป็นสนามฝึกใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เขาว่าเราทุกวันเป็นครูฝึกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เขาอยากให้เราอดทน แล้วเราทนได้ไหม (ได้) ไหนใครทนคนในบ้านได้ยกมือขึ้น ปรบมือให้ตัวเองหน่อย แต่เวลาเราทำความดีนั้น เรามักมองไม่เห็นความดีของคนในบ้าน คนที่อยู่ในบ้านเรามักจะบอกว่าไม่ค่อยดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนดีอยู่ไหน (นอกบ้าน) อยู่เชียงราย คนในบ้านเราที่นครฯ นี่ไม่ค่อยดี แต่คนดีไปอยู่เชียงราย  แล้วต้องรอคนเชียงรายนานๆ มาทีหนึ่งไหวไม่ไหว (ไม่ไหว)  เพราะฉะนั้นเราอยากให้คนอื่นดีกับเรา เราต้องดีตอบ อยากให้คนในกระจกยิ้มกับเรา เราต้องยิ้มตอบ เพราะฉะนั้นถามว่าเหนื่อยไหม พอไหม (ไม่พอ)
ถามอะไรได้อีก คำถามของผู้ชายมักจะแข็งกระด้าง เพราะฉะนั้นผู้หญิงต้องรู้จักนิสัยของผู้ชาย ถ้าเขาถามก็ดีหนักหนาแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นถามไม่ดีเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้างต้องทำอะไร (ต้องอดทน, ต้องใจเย็น)  ก็เพราะใช้แต่คำว่าใจเย็นกับอดทน ก็เลยต้องทนและก็เย็นอยู่เสมอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจน่ะมันเย็น แต่หน้าน่ะแดงไปหมดแล้ว (ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส,สู้ต่อไป) เขาพูดกับเราถึงแม้ว่าบางทีฟังแล้วเรารู้สึกไม่ค่อยสบายหู หรือไม่ค่อยสบายใจ แต่ศิษย์เอ๋ยยิ้มเป็นเรื่องง่ายใช่หรือเปล่า การจะทำให้ใบหน้ายิ้ม ตายิ้ม ใจยิ้ม เป็นเรื่องที่ทำยากใช่หรือไม่ เพราะว่าเรานั้นมีจิตใจที่ยังไม่เบิกบานพอ ถ้าหากว่าจิตใจไม่เบิกบานเพราะเราไม่มองโลกในแง่ดี การจะมองโลกในแง่ดีมองจากสายตาของใคร ไหนลองหลับตา แล้วลืมตา  นี่คือตาใคร นี่คือตาเราเอง ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ต้องมองจากตาเราเอง ถ้าเราลืมตาแล้วยังเห็นสิ่งที่ไม่ดี ใจของเราดีไม่ดี เราต้องแก้ที่ไหน แก้ที่ใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าใจของเราแก้แล้ว ในโลกนี้จะกลายเป็นเรื่องง่าย ถ้าหากว่าใจของเราแก้แล้วทุกอย่างในโลกนี้จะมีความสุข ถ้าหากแก้แล้วทั้งตัวเราและคนรอบข้างจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อไม่เชื่อ  ทุกวันนี้อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นใช่หรือไม่ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทุกวันนี้ ทำตัวเราให้แย่ลงใช่หรือไม่  ถามว่าหนึ่งวันจะมีความสุขได้หนึ่งเรื่องไหม ถ้าใครเริ่มหาไม่ได้ เพราะอะไรเริ่มหาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ แสดงว่าคนนั้นเป็นคนที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทำตัวเองให้แย่ลง แม้จะอยู่ท่ามกลางความทุกข์ แต่ก็ยังสุขใจได้ใช่หรือเปล่า มีหนี้มาก  ลูกไม่ฟัง สามีไม่ดี กับข้าวอาหารไม่พอกิน ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เราคิด แต่ว่าในท่ามกลางความทุกข์นี้เรามีความสุขได้ไหม (ได้)  ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่มีวันได้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์บอกว่าได้ มันก็ได้ เพราะว่ามันอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าตัวเราพูดว่าไม่ได้ แล้วใครจะช่วยให้ศิษย์ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์มาเพื่อพูด บอก พอกลับไปทำต้องใครทำ  ไม่รู้ฟังอาจารย์จบไปแล้ว ทำตัวเหมือนเดิม เลือกข้อ  ก ทำตัวเหมือนเดิมจะมีอะไรดีขึ้นไหม  เลือกข้อ ข  ดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่  เลือกข้อ ค ทำตัวให้ดีขึ้น ทุกอย่าง ดีไหม ฉะนั้นจงเลือกเงื่อนไขที่ดี   คำถามคำตอบของอาจารย์ง่าย ทุกครั้งที่ศิษย์พบความทุกข์ ทั้งที่ศิษย์ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าทำให้ดีที่สุด แต่เวลาศิษย์ไปทำมักจะเลือกดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช่หรือไม่  ผลทุกวันนี้ในชีวิต ดีบ้างไม่ดีบ้างโทษใครได้ไหม ก็โทษใครไม่ได้ ต้องทำตัวเราเท่านั้นจริงหรือเปล่า
วิธีการใช้ชีวิตของคนก็เหมือนกับการเขียนหนังสือ ตัวหนังสือต้องกว้างแล้วต้องพยายามเบียดเข้าไปในที่แคบๆ ในรอบข้างศิษย์นั้นมักจะพบพื้นดินและต้นไม้อยู่เสมอ พื้นดินและต้นไม้ที่อยู่รอบข้างนั้น เป็นตัวอย่างให้ศิษย์นั้นได้มองเห็น ลองมองไปข้างๆ ต้นไม้ที่เรามองเห็นชัดนี้เป็นต้นไม้ต้นใหญ่หรือต้นหญ้า คือต้นไม้ต้นใหญ่ ใช่หรือไม่เปรียบเสมือนมนุษย์เกิดมาท่ามกลาง เหมือนกับมีดินหรือมีธรรม เป็นผู้ให้ศิษย์นั้นเจริญเติบโต หากศิษย์นั้นรักแต่ตัวเอง ศิษย์ก็เปรียบเสมือนแค่ต้นหญ้า หากว่าศิษย์รักคนอื่น รักที่จะเติบโตขึ้นมาแผ่กิ่งก้านสาขาก็เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เหลือร่มเงาให้แก่ผู้อื่น ทุกวันนี้เราลองดูว่าเรานั้นอยู่บ้านแล้ว ถ้าหากวันหนึ่งเราไม่อยู่บ้านจะมีใคร เอะใจไหมว่าเราอยู่หรือไม่อยู่ นอกจากคนในบ้านมีคนอื่นรู้ไหม เพราะว่าเรานั้นไม่ค่อยที่จะให้ร่มเงากับผู้อื่น  เราอาจจะยังเป็นผู้ที่ไม่ได้เสียสละให้กับผู้อื่นมาก  ทำไมในการเสียสละจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่ายิ่งเสียสละไปก็ยิ่งได้ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้มา ในที่นี้คืออะไร  เช่น สิ่งที่ไม่มีรูป  ความอิ่มอกอิ่มใจ ยิ่งให้ก็เลยยิ่งได้กลับเข้ามา แต่เราไม่ให้ใจเราอิ่มได้ไหม (ไม่ได้)  อิ่มอกอิ่มใจกับอิ่มท้องเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  ถ้าหากว่าเราอยากอิ่มใจ เราต้องเป็นผู้ให้คนอื่น ถ้าเราอยากอิ่มท้องก็ให้ตัวเอง อยากอิ่มท้องหรืออยากอิ่มใจ (อิ่มใจ)  บางครั้งเราก็ต้องเลือกเสียสละในส่วนของเรานั้นให้ผู้อื่นบ้าง เรียนรู้การให้แล้วจิตใจของเรานั้นจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าไม่ให้ใคร ให้แต่ตัวเองแล้วศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาผู้ที่เขียนกระดาน)
เห็นไหมว่าคำกว้างๆ ก็เขียนตัวเล็กลงไปได้ ส่วนที่แคบๆ ก็เขียนตัวกว้างๆ ลงไปได้ ใช่หรือเปล่า  มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ บางทีความผิดพลาดในชีวิตของเรามาก แต่เวลาเราแก้ๆ เฉพาะตรงที่มันผิดจริง แต่ถามว่าเมื่อผิดพลาดยาวหนึ่งเมตร แล้วเราแก้แค่สิบเซ็นติเมตร สามารถสมดุลกันได้ไหม (ไม่ได้)   ตัวหนังสือเป็นสิ่งที่สามารถจะเบียดเข้าเบียดออกได้ แต่ชีวิตไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้เวลาเราแก้สิ่งใดไป แล้วเราบอกว่าทำไมเรายังไม่ดีขึ้น ต้องถามว่าจริงๆ แล้วเราพลาดมากแค่ไหนกับในช่วงนั้นๆ ของชีวิต แล้วเราแก้ได้อย่างสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เราผิดหรือเปล่า เราอย่าเพิ่งเหนื่อย หมดกำลังใจ อย่าเพิ่งบอกว่าเราแก้แล้วทำไมไม่ดีขึ้น จริงๆ แล้วเราแก้ไม่สมกับสิ่งที่เราผิดไป แต่การที่จะบอกว่า อย่างนั้นแก้ให้หมดเลย ก็ดูจะเป็นการเหนื่อยมากเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอเพียงแต่ศิษย์นั้นไม่ท้อใจที่จะแก้ ขอให้แก้ไปเรื่อยๆ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ขอให้ศิษย์นั้นแก้ไขมากกว่าเวลา อย่าถูกจำกัดด้วยเวลา อย่าได้ถูกจำกัดด้วยกำลังใจของตัวเอง ไม่ใช่เมื่อมีกำลังใจก็แก้ เมื่อไม่มีกำลังใจก็ไม่ยอมทำอะไรเลย ขอให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเวลา ผ่านไปแล้วเรายังแก้อยู่ ขอให้ทำทุกอย่างให้เสมอต้นเสมอปลาย
ชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ชีวิตนี้คือความเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกับคนอีกหลายๆ คน โดยเฉพาะคนในบ้านที่เรานั้นรู้ว่าเขาเป็นคนดี แต่ว่าเรานั้นยังไม่เคยดีกับเขา อะไรที่มากกว่าคนหนึ่งคนเป็นเรื่องยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ยากหรือไม่ (ยาก)  เราแก้ของเรา เขาอาจจะไม่แก้ แต่ว่าการที่คนอื่นไม่แก้ แล้วเราบอกว่าถ้าอย่างนั้นทำชีวิตของเราให้แย่ลงไปด้วยได้หรือเปล่า
ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า แล้วเราบอกว่างั้นเราทำชีวิตของเรา ตัวเราเอง เรารักตัวเองหรือไม่ ไม่ใช่รักตัวเองแล้วทำทุกอย่างให้ตัวเองพอใจ อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่ารักตัวเอง เรียกว่า วางยาพิษตัวเอง บางทีเรายอมฝืนใจตัวเองบ้าง อาจารย์จะสอนศิษย์เรื่องๆ หนึ่ง ต้องยกนิทานขึ้นมาก่อน นกอีกากับนกนางนวล นกสองตัวนี้มีสีที่ต่างกันหรือเปล่า อีกาสีดำ นางนวลสีขาว อีกานั้นเขาไปย้อมสีทุกวันถึงดำ แล้วนกนางนวลไปอาบน้ำทุกวันถึงขาว เพราะฉะนั้นสีขาวและสีดำเป็นธรรมชาติ สมมติว่าโลกนี้บอกว่าสีขาวคือความสะอาด แล้ววันนี้อีกาเป็นสีดำเขาสกปรกหรือเปล่า ถ้าสีดำคือความสกปรก แล้วนกนางนวลสีขาวนั้นเขาสะอาดเกินไปหรือเปล่า ฉะนั้นในหลายๆ  เรื่อง เวลาที่มองเรื่องใดๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเรามอง ความคิดของตัวเราเอง เรื่องนั้นอาจจะไม่ถูกใช่หรือไม่ เพราะมาตรฐานในใจเราอาจจะบอกว่าความสกปรกคืออะไร ความสะอาดคืออะไร แต่เรื่องที่ศิษย์เจอปัญหาในชีวิตนั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนสีขาวและสีดำของอีกา แต่มันสีขาวๆ  ดำๆ  เลยใช่หรือไม่   หลายๆ  เรื่องในชีวิตของเรานั้น เหมือนกับเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เหมือนกับว่าเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเลย  ทีนี้เราจะ
ดิ้นรนเปลี่ยนแปลงนั้นเราต้องเริ่มที่ตัวเอง เราไม่สามารถเปลี่ยนผู้อื่นได้ มีแต่เปลี่ยนตัวเองได้ ทุกวันนี้สิ่งที่เราเจออยู่ทุกวันเรียกว่าชะตากรรม หรือบางคนไปดูหมอดูดวง ชะตากรรมของเราเกิดจากอะไร  เกิดจากนิสัยของเรา นิสัยของเราแก้ได้ไหม แล้วเราแก้หรือเปล่า แก้ไม่แก้ ไหนใครว่าจะแก้ยกมือขึ้น เวลาเจอสนามทดสอบเป็นคนใกล้ตัว  เวลาเจอเขามายั่วโมโห เวลาเจอเขาพูดไม่ถูกหู อดทนไว้ ชะตากรรมของเราเนั้นเกิดมาจากนิสัย นิสัยของเรานั้นก็เกิดมาจากความเคยชินของเรา  ความเคยชินที่ทำอยู่ทุกวัน ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนที่มัดผม ผู้หญิงที่ผมยาว มัดผมทุกวัน ถ้าหากมัดทรงนี้ทุกวันๆ ปล่อยผมออกมา ผมมันก็จะเป็นร่องรอยของการถูกมัด อันนั้นเรียกว่าความเคยชิน ความเคยชินเกิดจากอะไร พฤติกรรม ก็คือการกระทำของเรา ถ้าการกระทำของเราเป็นอย่างนี้ทุกๆ วันมันกลายเป็นความเคยชิน ความเคยชินกลายเป็นนิสัย นิสัยกลายเป็นชะตากรรม  เพราะฉะนั้น พฤติกรรมมาจากอะไร มาจากความคิด ความคิดอยู่ที่ไหน ความคิดก็อยู่ในตัวของเรา  ถ้าจะแก้ชะตากรรมต้องแก้ที่ไหน ต้องแก้ที่ความคิดของตัวเอง  ขงจื่อพูดไว้ให้ปราศจากสี่ประการ
      หนึ่ง   อย่าเดา
      สอง    อย่าตัดสินโดยพลการ
      สาม   อย่าถือตนเป็นใหญ่
      สี่      อย่าเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ขงจื่อได้พูดสี่ประการนี้คือ ไม่ให้เราทำสี่ประการนี้เนื่องด้วยอะไรทุกวันนี้ถ้าหากว่าเรามองไปในชีวิตของตัวเราเอง หลายๆ เรื่องเราเห็นแค่หัวแล้วเราก็เดาหาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเดายิ่งวุ่นวาย ไม่รู้สักเรื่องหนึ่งมีความสุขมากขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะฉะนั้น การเดาทำให้เป็นเรื่อง การเดาทำให้เรามีปัญหามากขึ้นจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นอย่าเดาดีไหม(ดี)
ข้อสอง อย่าตัดสินโดยพลการเราอยู่ด้วยกันหลายๆ คน การที่เราคิดอยู่คนเดียว ถูกอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าเราบอกว่าถูกคนอื่นอาจจะบอกผิด เหมือนกับเรื่องอีกากับนกนางนวล มันขึ้นอยู่กับว่าคนจะมองโลกแบบไหน คนหนึ่งบอกว่าสีขาวคือความสะอาด เพราะฉะนั้นเขาบอกว่านกนางนวลสะอาด อีกคนบอกว่าถึงแม้อีกาจะสีดำแต่ว่าก็สะอาดแบบอีกา เพราะว่ามันเป็นสีดำตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นสองคนนี้มีความคิดเหมือนกันไหม (ไม่ เหมือนกัน)  สองคนนี้มีความคิดไม่เหมือนกันเรื่องนี้พูดออกมาค่อนข้างชัดเจน ว่าสีขาวและสีดำเป็นความคิดที่แตกต่าง แต่ในชีวิตของคนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่ามาก อะไรที่บอกว่าถูก อะไรที่บอกว่าผิด ผิดในความคิดของอีกคนก็ผิดอยู่วันยังค่ำ ถูกในความคิดของอีกคนก็ถูกอยู่วันยังค่ำ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใครได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดใครได้ เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันให้คุยกันปรึกษาหารือกัน อย่าตัดสินโดยพลการ ดีหรือไม่ (ดี)
ข้อสาม อย่าถือตนเป็นใหญ่
(สิ่งศักดิ์เมตตาให้นักเรียนหมายเลข ๑๕  อธิบาย)
(บางครั้งการทำงานเราอาจจะมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โต เราก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นใหญ่ในการทำงาน  ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาอยู่ในที่ทำงานเราเป็นใหญ่ หากกลับมาที่บ้านทำตัวเป็นใหญ่ จะทำให้เราอยู่กับครอบครัวไม่ได้) แล้วเมื่อไหร่จะเป็นเซียน
(สิ่งศักดิ์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมาอธิบายข้อสี่)
(อย่าเอาความคิดตนเป็นใหญ่ เนื่องจากผมเป็นพ่อบ้านทั้งลูกทั้งเมียต้องฟังผมตลอดเพราะฉะนั้นต้องเอาความคิดผมเป็นใหญ่ ความคิดของผู้อื่นนั้นไม่ถูกต้องก็ต้องเป็นความคิดของผม ซึ่งไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
สี่ข้อนี้ทำให้เรานั้นอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เราเดาก็แย่แล้ว ถ้าหากว่าเรายังถือตัวเองเป็นใหญ่ แล้วถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ลำบากไม่ลำบาก (ลำบาก)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของศิษย์ได้หรือไม่ เพราะว่าเรานั้นตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองทั้งสิ้น ในวันนี้ตั้งแต่อาจารย์มา อาจารย์ไม่พูดอะไรที่นอกตัวศิษย์เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่พูดอะไรที่ศิษย์ทำไม่ได้เลย มีแต่พูดสิ่งที่ศิษย์นั้นยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นเรากลับไปทำทุกอย่างก็จะดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ตั้งใจที่จะแก้ไขตัวเองนี้ คือผู้ที่ได้รับชื่อว่าเป็น ผู้บำเพ็ญธรรมหากว่าใครไม่ตั้งใจที่จะแก้ไขตัวเองคนๆ นั้นก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจึงเป็นผู้ที่ตั้งใจแก้ไขตนเองเท่านั้น หากว่ามาสถานธรรมบ่อยๆ แล้วไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ยอมรับในความผิดของตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง มองไม่เห็นตัวเองและโทษผู้อื่นผิดอยู่ร่ำไป คนๆ นั้นจึงไม่ใช่ผู้ที่จะบำเพ็ญธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอื่นอาจจะมองว่าก้าวหน้ามากขึ้น แต่ก้าวหน้ามากแค่ไหนต้องอยู่ที่ว่าจิตใจของเรานั้นได้ถูกยกระดับมากขึ้นหรือไม่ การยกระดับจิตใจนั้นไม่ใช่เอาอะไรมาค้ำไว้ให้อยู่ แต่เป็นการเอาคุณธรรมนั้นมาใส่ใจและยกให้มันสูงขึ้น จริงหรือเปล่า (จริง)  จะบอกว่าผู้อื่นนั้นคุณธรรมเป็นแบบนี้ทำสิ แล้วตัวเองไม่ทำ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร จริงหรือไม่ (จริง)  หรือบอกว่าคนโน้น คนนี้ ทำผิดคุณธรรมแล้วตัวเองนั้นไม่รู้จักทบทวนตัวเองได้ หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะทบทวนตัวเอง ใช้คุณธรรมไปประณามผู้อื่น เราจะเสียเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทางใต้นี้เป็นวงการธรรมที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนนั้นยิ่งใหญ่ให้สมกับที่มีพลังร่วมกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
การฟังธรรมะและการปฏิบัติต้องคู่กัน หากฟังแล้วไม่แก้ หรือแก้เฉพาะตรงที่ตัวเองเห็นว่าควรแก้ โดยไม่สนใจคนอื่นพูดว่าเรานั้นควรแก้ที่ไหน ย่อมไม่อาจที่จะก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น เวลาคนอื่นบอกให้เราแก้อะไร ลองดูว่าเรานั้นแก้ได้ไหม พอทำไหวไหม อย่าคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง หรือเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกว่าศิษย์เอ๋ย แก้ตรงนี้ ศิษย์ก็แก้เฉพาะตรงที่ศิษย์นั้นคิดว่าโดนใจ อย่างนี้ไม่ย่อมก้าวหน้า จงทำให้ตัวเองนั้นมีสง่าราศีอย่างผู้บำเพ็ญ ทำให้ตัวเองนั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอให้มีความเป็นผู้บำเพ็ญทุกที่ อยู่ในบ้านก็เป็นผู้บำเพ็ญ ออกนอกบ้านก็เป็นผู้บำเพ็ญ ทำได้ไหม (ได้)  เป็นคนเก่าแล้ว สามัคคีร่วมมือ ให้เมฆดำผ่านไป ให้ฟ้าที่สดใสตะวันที่เฉิดฉายเข้ามาแทนที่ เข้าใจไหม ร่วมมือกันให้ดี
เบื่อแล้วหรือยัง (ยัง)  พูดจริงหรือเปล่า เป็นคนอย่าเบื่อง่าย เพราะคนที่เบื่อง่ายแสดงว่าไม่มีความอดทน ถ้าหากไม่อดทนอยู่ในโลกนี้ยากไหม ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้ให้ง่ายขึ้นก็ต้องทนให้เป็น ร้อนก็ต้องทน หนาวก็ต้องทน หิวก็ต้องทน
บำเพ็ญธรรมศิษย์เอ๋ย ต้องเป็นคนติดดิน เป็นคนสมถะ เรียบง่าย แล้วอย่าหวังว่าจะอยากได้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อย่าได้คิดฟุ้งซ่านไปนอกเรื่องนอกราวใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมคือการแก้ไขจิตใจ ไม่มีอะไรที่เป็นปาฏิหาริย์กับชีวิตถ้าศิษย์ไม่ทำใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อศิษย์ทำจนถึงที่สุด เมื่อศิษย์ลำบากจนไม่รู้จะหาใครช่วย ยามนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยศิษย์เอง โดยที่ศิษย์นั้นไม่ต้องขอ แต่หากว่าศิษย์ไม่ทำ ทำไม่เต็มที่แล้วอยากจะได้ให้คนช่วย ศิษย์อยากช่วยไหมคนประเภทนี้
รู้สึกว่าเราอยู่กันนานแล้ว ศิษย์รู้สึกว่ามีความคุ้นเคยมากขึ้นไหม อยู่กับอาจารย์ไม่ต้องกลัว เพราะว่าสิ่งน่ากลัวบนโลกนี้ไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นตัวของศิษย์เอง ยามที่ศิษย์ดีก็ดีใจหาย ยามเวลาเราร้าย ก็ร้ายเหลือเชื่อจริงหรือเปล่า (จริง)  อาจารย์ไม่ได้ว่าเรา แต่เราเป็นอย่างนี้ แล้วไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น ต้องทำสม่ำเสมอทุกวันทุกเวลา ในขณะที่เรามีความโมโหขึ้น เราสามารถระงับได้ไหม ตอนที่เราโมโห หากไม่เคยฝึกฝน ก็จะระงับไม่ได้ จนเมื่อเรื่องผ่านไป เราถึงระงับความโมโหนั้นได้ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ขยับเวลา ที่จะระงับความโมโห ให้เร็วขึ้นทุกครั้ง จนกระทั่งเราสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้เราโมโหแล้ว และสามารถระงับได้ทันทีถ้าหากว่าเรามีอารมณ์โมโหแล้วเราระงับได้เลย เรียกว่ามีสติตามทัน การที่เราโมโหบ่อยๆ  ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  คนที่มีอารมณ์โมโหบ่อยๆ  ผิวหน้าจะเหี่ยวย่น เป็นโรค ไม่มีราศรี ไม่มีน้ำมีนวล แต่ทำให้มีราศรีแห่งผีร้ายอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นการโมโหจึงเป็นเรื่องที่ไม่ดี แล้วเวลาที่คนอื่นเขาทำให้เราไม่ถูกใจเราควรทำอย่างไรดี คำพูดง่ายๆ ที่ได้ยินกันมานาน เขียนง่ายมากแต่ทำได้ยาก คือคำว่าอภัย ฉะนั้นจงอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง อย่าอภัยให้แก่คนบางคนหรืออภัยให้เฉพาะคนที่เดินมาขอโทษเราเท่านั้น แต่จงอภัยให้คนทุกคน เพราะเราเองก็ทำผิดเช่นกัน และเมื่อเราทำผิดก็หวังให้ผู้อื่นอภัยให้ ถ้าเราทำถูกก็หวังให้ผู้อื่นชื่นชม แต่หากว่าคนไม่ชมเรานั่นก็ปากเขา และถ้าหากว่าเราเห็นคนอื่นผิดแล้วเราไม่ให้อภัยนั่นก็ใจเรา ฉะนั้นหากว่าเราไม่ยอมอภัยให้ผู้อื่น ก็เป็นเหมือนไฟที่อยู่ในใจเรา ซึ่งร้อนกว่าไฟที่อยู่ข้างนอก เวลาที่เรามีอารมณ์โมโห ก็เหมือนกับเราจุดไฟหนึ่งกองสุมใจไว้ ใจเราคงรับไม่ไหว เพราะฉะนั้นการให้อภัยผู้อื่น ก็เป็นการให้อภัยตัวเองด้วยเช่นกัน อย่าไปให้คนอื่นให้อภัยเรา แต่จงให้อภัยผู้อื่น
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ยอมรับแตกต่างจึงไม่แตกแยก”)
ในการที่เราออกไปไหน หนทางก็มีความแตกต่างกันอยู่ แม้กระทั่งในสถานธรรมเอง ก็ยังมีความแตกต่าง คนกินข้าวหม้อเดียวกันคิดไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องยอมรับในความแตกต่าง ในวิธีคิดของแต่ละคน ในสิ่งที่เป็นตัวตนเองของเขา เพื่อที่เราจะไม่แตกแยกกับใคร โดยเฉพาะในตอนนี้ อาจารย์ให้โอวาทอย่างนี้ เพราะที่นี่เป็นภาคใต้ อาจารย์อยากให้ศิษย์อยู่ท่ามกลางความแตกต่างได้อย่างไม่แตกแยก และมีความสุขท่ามกลางความวุ่นวาย ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ ความสุขเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่อยู่ได้นาน ฉะนั้นจงอยู่กับความสุขให้มีความสุข เพราะว่าความสุขนั้นแค่พริบตาเดียว แต่อยู่กับความทุกข์ก็ให้มีความสุขใจ เพราะนั่นคือความสุขที่แท้จริง ทุกวันนี้ใครยังมีความทุกข์อยู่ ศิษย์เอ๋ยแสดงว่าศิษย์มีขุมพลังอันมหาศาล ที่สามารถเอามาเป็นความสุขได้ แต่หากทุกวันนี้ ศิษย์ของอาจารย์มีความสุขอยู่บนกองวัตถุนั้นย่อมไม่จีรัง  ยอมรับความแตกต่าง ในตัวเรามีความแตกต่างมากมาย ในสังคม บ้านเมือง แต่ทุกคนมีอิสระในตัวเอง จงอย่าให้อิสระนั้นหวนมาทำร้ายเรา เพราะว่าเรานั้นอยากจะได้ความเสรีมากเกินไป กฎมีไว้ก็เพื่อคุมให้ทุกคนเดินตามกันเป็นลู่เป็นทางไม่แตกกระสานซ่านเซ็น แต่กฎนั้นไม่ได้มีไว้บังคับใคร
อาจารย์ขอทิ้งท้ายไว้กับศิษย์ที่น่ารักทั้งหลายที่อยู่ในการบำเพ็ญธรรมในภาคใต้นี้ แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ถึงแม้ว่าท่าทีภายนอกจะมีความอ่อนน้อม แต่ภายในก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทุกคนมีพลังเป็นของตัวเอง แต่อย่าให้มันแข็งเกินไป เราจะอ่อนได้ก็ต่อเมื่อวาจาของเรานั้นอ่อนลง สีหน้าแววตาท่าทางนั้นอ่อนลง และที่สำคัญที่สุดศิษย์จะอ่อนลงได้อย่างมีความสุข เมื่อจิตใจของศิษย์นั้นอ่อนโยนลง ขอมีความอ่อนโยนให้มากขึ้น เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อาจารย์ไม่มุ่งหวังให้ทุกคนนั้นเชื่อที่อาจารย์มา แต่อาจารย์มุ่งหวังอยากให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาธรรม และหาทางปฏิบัติให้เข้ากับตัวเองให้มาก เป็นเด็กดี เห็นศิษย์มากๆ อย่างนี้  ในใจลึกๆ อาจารย์รู้สึกว่าปลื้มปิติในตัวศิษย์ทุกคน ที่รู้จักที่จะเสียสละเวลารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำงานธรรมะ ทุกๆ คนก็ยังอยู่ในท่ามกลางการบำเพ็ญ ทุกๆ คนก็ยังเผชิญอุปสรรค ใจอาจารย์ทั้งรักและสงสารศิษย์ ใจอาจารย์ทั้งห่วงและพะวงในตัวศิษย์ อย่าใช้อารมณ์ในการที่จะสู้รบประหัตประหารกัน ขอให้ใช้สิ่งดีๆ สร้างสิ่งดีๆ ขอให้อยู่ร่วมกัน การบำเพ็ญธรรมเป็นธรรมชาติ แท้จริงแล้วไม่มีการบังคับ ไม่มีการเคี่ยวเข็ญ แต่ศิษย์เอ๋ยเจ้าเป็นปุถุชน เป็นคนอ่อนแอ ไม่กระตุ้น ไม่เตือน ไม่บังคับ เมื่อเจออุปสรรคศิษย์ก็ไม่ดีขึ้น หรือว่าดีขึ้นก็มักจะดีแค่ช่วงหนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ทำอย่างไรล่ะ ศิษย์ลองเป็นอาจารย์ ลองคิดดูสิว่าชาตินี้ที่ทุกข์อย่างนี้ มันพอแล้วหรือยัง ชาตินี้ที่เป็นอยู่อย่างนี้ มันจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลยหรือ ช่วยตัวเองหน่อยนะศิษย์นะ ดูแลและรักตัวเองเหมือนที่อาจารย์นั้นรักพวกเจ้า และมุ่งหวังให้พวกเจ้านั้นดีขึ้น ใช้ศรัทธาใช้ปัญญาในการบำเพ็ญ อย่าใช้อวิชชาในการบำเพ็ญ อย่าได้เป็นคนที่สุกเอาเผากิน หนักไม่เอาเบาไม่สู้
เรื่องในโลกนี้มันเป็นเรื่องซับซ้อน ธรรมะสามารถแก้ไขได้ ธรรมะสามารถทำให้ศิษย์นั้นดีขึ้นได้ แต่ศิษย์นั้นต้องใช้ปัญญามากๆ บางทีเวลาเราพูดบอกว่าได้ จริงๆ การพูดว่าได้ก็อาจจะไม่ได้ บางทีเราคิดว่าเราควรจะพูดว่าไม่ได้ แต่การพูดว่าไม่ได้ ปฏิเสธทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ อย่ารอให้ชีวิตนี้มันสายเกินไป แล้วค่อยมาคิดได้ อย่ารอให้อะไรๆ มันแก้ไม่ได้แล้วศิษย์ค่อยมาคิดแก้ อย่ารอให้อะไรมันแย่กว่านี้แล้วศิษย์ค่อยมีกำลังมาเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนตอนนี้อาจจะไม่เหนื่อยมาก เปลี่ยนวันหน้ายิ่งศิษย์ดึงเวลาไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้น อาจารย์หวังให้ศิษย์ที่นี่รักและกลมเกลียวกัน อาจารย์หวังให้ทุกๆ คนบำเพ็ญธรรมให้ดี ยกระดับจิตใจของตัวเองให้สูงมากขึ้น ทำได้ไหม (ได้)
ลาศิษย์ทุกคนด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ยอมรับแตกต่างจึงไม่แตกแยก

    ความคิดเก่ามาปรุงความคิดใหม่         เหมือนเปลี่ยนไปทว่าหัวใจยังอยู่
สร้างแนวทางอันมาแต่ที่ไม่รู้                 การมั่นอยู่จึงยากเห็นตามความจริง
ความเศร้าโศกซุกซ่อนในรอยแตกแยก        ดวงใจแบกการไม่เข้ากันทุกสิ่ง
หลายขัดแย้งพาสูญเสียพลังยิ่ง              คนจิตนิ่งพิจารณาเหนืออารมณ์
จงหาความเหมือนกันมาอภัย                คนแจ้งใจแม้ลำบากไม่ขื่นขม
อยู่ท่ามกลางความแตกต่างอย่างน่าชม      ใจเกลี้ยงกลมเพราะยอมรับดับทุกข์ไป
มีความธรรมในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด  ก่อนและหลังสมมุติมีธรรมขานไข
ดำรงอยู่ด้วยธรรมเป็นสิ่งที่ดีได้              แต่สุดท้ายแม้แต่ธรรมยังต้องวาง



รายละเอียดการแก้ไขข้อมูล
------------------------
v.1.1 10 พ.ค. 49
------------------------
- เปลี่ยนรูปแบบของเอกสาร
- แก้ไขคำผิด และแก้ไขคำเพิ่ม

[แก้]

หน้า 3  บรรทัด 2 (จากล่าง)
จาก คนคุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจด้วย
แก้เป็น คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย

หน้า 5  บรรทัด 10
จาก เราก็หลงไหลไปตามความชั่ว
แก้เป็น เราก็หลงใหลไปตามความชั่ว

หน้า 15  บรรทัด 3
จาก คงอยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความยากอยู่
แก้เป็น คงยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความอยากอยู่

หน้า 29  บรรทัด 2
จาก วันนี้เราคบกับเรา
แก้เป็น วันนี้เขาคบกับเรา

หน้า 29  บรรทัด 11
จาก เสร็จสร้างความเดือนร้อน
แก้เป็น เสร็จสร้างความเดือดร้อน

หน้า 30  บรรทัด 10
จาก นั้นคือพ่อแม่ใช่ไหม
แก้เป็น นั่นคือพ่อแม่ใช่ไหม

------------------------
v.1.2 15 มิ.ย. 49
------------------------
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท ณ เซิ่งเต๋อ วันที่ 21 พ.ค. 49
[แก้]
หน้า 19  บรรทัด 5
จาก สุดจะเปลี่ยนใคร
แก้เป็น สุดจะเปลี่ยนใจ

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท ณ ฉือเหยิน วันที่ 11 มิ.ย. 49
[แก้]
หน้า 18  บรรทัด 3 (จากล่าง)
จาก อย่าหลงภาพมายาติดโลกีย์
แก้เป็น อย่าหลงภาพมายาจนติดโลกีย์


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา