วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2547

2547-04-17 สถานธรรมหมิงฮุย, ลพบุรี





西元二○○四年岁次甲申闰二月廿八日 大众恭求仙佛慈悲指示训

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เปิดจิตใจแห่งศรัทธาให้มั่งมี เป็นคนดีดูกระทำกว่าคำพูด
อยู่บนโลกท่ามกลางสิ่งสมมติ แต่จงหยุดพิจารณาตนค้นความจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ดวงปัญญาอยู่ภายในคนทุกคน ความอดทนอย่าให้หมดลงง่ายง่าย
ความรู้นั้นต้องรู้จริงไม่วุ่นวาย ขั้นสุดท้ายก็ใช่ว่าหละหลวมได้
ระวังตนแท้จริงต้องระวังจิต ทำความผิดอยู่เป็นนิจสร้างเคราะห์ใหญ่
ทำความดีอยู่เป็นนิจสร้างบุญไป ไม่มีใครช่วงชิงความดีจากเราได้
ชีวิตนี้ใช่ยืนยงเร่งบำเพ็ญ ฝึกตนเป็นพุทธะอยู่ในโลก
จงมั่นคงอยู่กลางความวิปโยค อย่าได้โศกเพราะทำใจกันไม่เป็น
ใช้เวลาให้มีประโยชน์สุด อย่าสะดุดอัตตาตนที่หลากหลาย
มีทิฐิทำให้หูตาลาย เรื่องมากมายล้วนคลายได้แก้ถูกปม
ฟ้าร้องในหุบเขาดังกึกก้อง ฟ้าร้องในพื้นราบไม่น่ากลัว
ความแตกต่างไม่อยู่ที่ฟ้าร้องระรัว อยู่ที่ตัวใจคนบาปมากเพียงไร
จงรู้ทันตนเองมากกว่าผู้อื่น จงเร่งตื่นจากกิเลสที่รอบกาย
คนเกิดมาล้วนแล้วต้องตายไป ทำสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อโลกงาม
สองวันนี้จงตั้งใจฟังธรรมะ เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด
ก้าวเรียบง่ายใจสูงส่งอย่าประมาท คนฉลาดเหนือฟ้ายังมีฟ้า
การฝึกฝนไม่อาจง่ายแต่ไม่ยาก น้ำไหลหลากเชี่ยวหรือไม่อยู่ที่ทางน้ำ
ชีวิตคนอย่าปล่อยให้ใจตกต่ำ จงเตือนย้ำย้อนมองตนอยู่เป็นนิจ
สองวันนี้ต้องตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
ฟื้นฟูจิตฝึกฝนตนฟื้นฟูญาณ สำเร็จงานแห่งฟ้านี้ร่วมกัน
ในวันนี้น้องชายหญิงต่างมีบุญ อยู่ร่วมกันจงนำหนุนอย่าปล่อยทิ้ง
ความจริงใจมีให้กันอย่างแท้จริง อย่าประวิงเรื่องทางโลกที่เฝ้าเปลี่ยนแปลง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระนาจา

ศีลธรรมเริ่มอ่อนบางในจิตใจ คนส่วนใหญ่เห็นแก่ตนเอาแต่ได้
ทำร้ายกันอย่างฉ้อฉลจนใจหาย น่าเสียดายความเป็นคนดูบางเบา
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

ก้าวแห่งการบำเพ็ญด้วยมั่นคง ศรัทธาส่งพลังไม่ขาดดุจน้ำ
ก้าวแห่งความคิดบนทางคุณธรรม ปัญญาธรรมพลังที่ฐาปนาหนุนคน
ชีวิตอยู่สรรค์สร้างความดีงาม มีขอบเขตห้ามใจอย่างเหมาะสม
กิเลสมีต้องถูกให้ใช้อารมณ์ ด่านที่คืนวันบ่มสอนวินัย
คนบำเพ็ญมุ่งมั่นใจนักสู้ เพียรไปสู่ความสะอาดเป็นนิสัย
ละสำเร็จฝ่ากิเลสจากภายใน ย่อมไม่เสร็จเพราะภายนอกโลกีย์
ไม่ต้องลงแรงทว่ายินดีผล กิเลสที่บางในตนทว่ามี
ทำอะไรถูกมากแต่ผิดมี ถูกให้เวลาเมื่อนี้พิจารณาตน
มีบางปัญหาต้องใช้เวลาแก้ รุ่มร้อนแต่อย่าปล่อยให้สับสน
มุ่งแก้ไขจึงวางจิตเพื่ออดทน บำเพ็ญตนเมื่อทำใจรู้จบ
โลภรักสิ่งที่ตนหวงแหน พาใจแขวนอยู่ด้วยไม่จบ
ดวงใจขื่นไม่อาจนับคำรบ ไร้ความสงบให้เศร้าเมาวิญญา
อย่าสิ้นไร้พลังเนื่องไม่หยุด วิจิตรสุดเมื่อมังกรโผล่ขึ้นฟ้า
ว่ายแหวกขึ้นทะยานเด็ดเดี่ยวหนา ปณิธานมุ่งสู่เวหาแกร่งในจิต
เหวดิ่งดำจะพ้นเมื่อสำนึก มายาหล้าสุดลึกเล่ห์ระวังจิต
คลื่นมหาสมุทรการเสียทำหงุดหงิด อย่ายึดติดบรรดาสิ่งสมมติไป
เพียงจิตหยุดให้เป็นไม่ฟุ้งซ่าน เบิกบานที่ภายในไม่หลงใหล
สำแดงความเสรีออกมาจากใจ ความอิสระไม่ไกลจากในตน
ฮิ  ฮิ   หยุด

พระโอวาทพระนาจา
เวลาเราอยู่ในบ้านหรือในสังคม ถ้าทุกคนหัวเราะมีแต่เรานั่งร้องไห้ คนในสังคมจะรู้สึกเป็นอย่างไร คนนี้พิลึก  แปลกประหลาดไม่ร่วมกับสังคม ใช่หรือเปล่า  เหมือนกลับมาบ้านที เราอยากยิ้มแย้มปรีดา คนอื่นยิ้มหมด แต่มีตัวถ่วงคือเราคนเดียว เสียเลยไหม (เสีย)  เสียนะ ถึงแม้เราจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ แม่ก็ดี พ่อก็ยังดีอยู่  แต่ยิ้มไม่ออก เหมือนกัน วันนี้เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก อยู่ร่วมกับคนในสังคม บางครั้งการแสดงออกของตัวเอง โดยที่ไม่กังวลกับคนรอบข้างเลยนั้นไม่ได้  ถ้าสังคมส่วนใหญ่เขาอยู่เฉย เราอยู่เฉยเป็นตัวของตัวเองไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดสังคมส่วนใหญ่เขากำลังสนุกสนานเฮฮา เรานั่งนิ่งหน้าบึ้ง ใครๆ ก็ไม่อยากให้เราอยู่ในกลุ่มด้วย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดสังคมเขาสนุกลองสนุกไปด้วย ดีไหม (ดี)  ถ้าสังคมเขาเศร้าเราจะ (ไม่เศร้า)  เพราะอะไรถึงไม่เศร้าไปกับเขาด้วย เพราะความเศร้าทำให้หม่นหมอง ถ้าเราไปเพิ่มอีกมันก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ ถ้ากำลังเศร้าอยู่ แต่เราสงบนิ่ง แล้วค่อยๆ ไปปลอบประโลม  จากเศร้าก็อาจดีขึ้น  แล้วจากเศร้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นสนุกสนานขึ้น ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงครอบครัวได้ อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองไม่สามารถแก้ไขจิตใจตัวเองเวลาเศร้าได้  อยู่ที่ว่าภาวะเศร้าเราจะเศร้าหรือเราจะสุข  เช่นเดียวกันเวลามีทุกข์คนอื่นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ทุกข์ แต่เรายืนอยู่อย่างมั่นคงสงบนิ่ง แล้วมองให้ออก นอกจากเราไม่ทุกข์แล้ว ยังช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้
เหมือนในนิทานเรื่องนี้ มีเรือแล่นมาลำหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อเรือเริ่มโคลงเคลงพายุเริ่มถาโถม ทุกคนต่างก็แตกตื่น ว่าทำอย่างไรดีๆ  มีสิบคนอยู่ในเรือ เรือยิ่งโคลงเคลงใหญ่ เพราะทุกคนต่างวิ่งไปมาเพื่อจะเอาตัวรอด  แต่ถ้าหากมีคนมีสติคิดได้ ว่าเขาวุ่นอยู่เราต้องสงบ เขากำลังสับสนเราต้องช่วยกันยึดกุมไม่ให้วุ่นวาย  ถ้ามีแค่เพียงหนึ่งคน มีสติแล้วรู้จักคิดได้ เขาก็จะนำพาเรือทั้งลำให้ปลอดภัยได้
ชีวิตเราก็เหมือนกับเรือลำหนึ่งที่แล่นอยู่ในสังคมที่มีทั้งดีและร้าย มีทั้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยา แต่เราเอาอะไรมาใส่ไว้ในใจ แล้วเรากำลังพายเรือไปแบบไหน หรือเรากำลังปล่อยเรือไปตามคลื่นกระแสลม ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่คนข้างนอกเลย แต่อยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก  วันนี้ก็เช่นเดียวกัน อยากจะให้มีความสุข หรือมีความทุกข์ดี (มีความสุข)  เราเป็นคนทำหรือท่านเป็นคนทำ คิดเองนะ
ท่านเคยเห็นมังกรก็แต่ในรูป  ถ้ามังกรโผล่มาจริงๆ เราคงตื่นเต้นตกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนโบราณเปรียบเทียบมังกรว่าเป็นปราชญ์ หรือวีรชน หรือวีรบุรุษที่ไม่ได้หาง่ายๆ ในสังคม นานๆ จะโผล่ทะยานขึ้นฟ้าสักหนึ่งตัว นั่นหมายความว่าคนธรรมดาสามัญ ถ้าไม่ได้มีจิตใจที่สูงเด่น ไม่ได้ทำอะไรที่เลิศล้ำ เขาก็เป็นแค่งูตัวหนึ่ง แต่ถ้าวันใดเขามีจิตใจที่งดงาม มีการกระทำที่ยิ่งใหญ่  จากงูก็กลายเป็นมังกรได้ นี่เป็นคำเปรียบเทียบ มนุษย์ก็เหมือนกันหากไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง แล้วนำคุณค่าของตัวเองมาใช้ให้ถูกต้อง เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้ามนุษย์สามารถหาตัวตนที่แท้จริง ความสามารถที่แท้จริง  แล้วนำตัวตนที่แท้จริงนี้ ความสามารถที่แท้จริงนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และสรรค์สร้างให้มีคุณค่าแก่สังคม คนๆ นี้ก็ยิ่งใหญ่กว่าคนธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  อยู่ที่ว่าเราเคยรู้จักตัวเองบ้างไหม เราเคยรู้ไหมว่าตัวเองมีความสามารถอะไร เรารู้แต่ว่าคนอื่นเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ แต่ตัวเองไม่รู้เลย  ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม นอกจากเพื่อฟื้นฟูคุณธรรมในจิตใจแล้ว ยังศึกษาเพื่อค้นหาคุณค่าที่แท้จริงในตัวตนให้พบ แล้วนำไปก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่รู้จักทำเพื่อผู้อื่นบ้าง
ในโลกนี้มีทั้งของจริงและของเท็จ มีทั้งของแท้และของเทียม  คนฉลาดต้องรู้จักแบ่งแยกให้เป็น แต่คนฉลาดยิ่งกว่าฉลาด ก็คือคนที่สามารถใช้ทั้งจริงและเท็จได้เป็น แล้วรู้จักดึงคุณค่าของจริงและเท็จมาก่อประโยชน์ให้ตัวเองสูงสุด  วันนี้เราจริงหรือเท็จ ไม่รู้ แต่ตัวท่านจะเป็นคนฉลาดที่รู้จักแบ่งแยกแค่นั้น หรือจะเป็นคนฉลาดที่เหนือฉลาด ที่ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็สามารถดึงประโยชน์มาใช้กับตัวเอง เลือกเอานะ ว่าท่านจะเป็นคนแบบไหนในโลกนี้  ทำไมดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริง เราแยกออกว่านี่ปลอมนี่จริง แต่คนฉลาดเขาจะไม่เลือกว่าปลอมว่าจริง แต่จะใช้ปลอมกับจริงให้เหมาะสมในชีวิต ตอนไหนควรใช้ของปลอม ตอนไหนควรใช้ของจริง
จิตใจที่ปิดกั้นมักจะทำให้เราไม่สามารถฟังหรือเห็นอะไรได้แจ่มชัดความเกียจคร้านก็เป็นกิเลสที่ทำให้เราไม่สามารถศึกษาหลักธรรมได้ ความกังขาลังเลก็เป็นเกราะบังทำให้เราไม่สามารถฟังหลักธรรมได้เข้าใจ
จิตใจของศิษย์น้องก็เหมือนน้ำทะเล มีขึ้นมีลง พอใครมากระทบใจแล้ว เราไม่พอใจเราก็หงุดหงิด  แต่พอใครมาทำให้มีความสุขเราก็รู้สึกชื่นชอบ  ใจเราจึงเหมือนกับคลื่นทะเลเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะควบคุมจิตใจ รู้จักดูจิตดูใจอย่าให้เคลื่อนกระเพื่อมไปกับแรงที่มากระทบ อย่างเช่นเขามาตีเรา ถ้าเราอยู่นิ่ง สงบ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้สึกอะไร มันจะเป็นอิสระกับอารมณ์ทั้งปวง แต่ถ้าเมื่อไรใจเราเหมือนคลื่น พอใครมากระทบก็ดีใจ พอใครมากระทบอีกก็เศร้าใจ เมื่อนั้นเราก็จะมีได้มีเสียมีทุกข์มีสุข รู้หรือยังว่าทุกข์สุขเกิดจากอะไร เกิดจากใจที่หวั่นไหว ไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งได้ จริงไหม (จริง)  ใครอยากทดสอบใจบ้าง ใครจะรักษาจิตนิ่งได้ ศิษย์พี่จะให้ยืน 15 นาที เอาไหม
วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม ธรรมที่อยู่ในใจของศิษย์น้อง ไม่ใช่ธรรมที่อยู่ในใจของศิษย์พี่ ธรรมะต่างจากทรัพย์สินเงินทอง แค่นึกถึงมันก็มาหา แต่ถ้าเมื่อไรลืมคิดถึงมัน มันก็จากหายเราไป วันนี้เราคิดถึงพ่อแม่ไหม ถ้าเราคิดถึงเราจะรู้สึกว่าเริ่มเป็นห่วง เริ่มกังวล  แล้วความห่วงกังวลก็ทำให้เรารู้จักว่าเราต้องรู้จักกตัญญู จริงไหม (จริง)  ธรรมะจะไม่เกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย ถ้าคนผู้นั้นไม่มีจิตสำนึกคุณ เหมือนคนที่เราเกลียดมากที่สุด เหมือนศิษย์พี่มาวันนี้เห็นหน้าศิษย์น้องคนนี้ แค่หางตาเห็นก็เกลียดเข้าไส้ แต่ถ้าเกิดสำนึกคุณอย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นคนๆ หนึ่ง มีเขาที่อ้วนจึงมีเราที่ตัวเล็ก สำนึกคุณแค่นี้เราก็รู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็มีคุณค่าที่อยู่ร่วมกันจริงไหม (จริง)  เหมือนกันเราอยู่ในสังคมเราจะไม่รู้สึกรังเกียจใครเลยถ้าเรารู้จักสำนึกคุณของความเป็นคนของเขา จริงไหม (จริง)  คนทุกคนมีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ดังคำที่ฟ้าประทานไว้ว่า “ฟ้าให้กำเนิดสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่า”  ลองดูต้นไม้ มีพันธุ์ไม้ไหนที่ไม่มีประโยชน์ ทุกพันธุ์ไม้ล้วนมีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้นคนในโลกมีใครบ้างไร้คุณค่า ไม่มีหรอก เขาอาจจะไร้ประโยชน์กับเราแต่อาจมีประโยชน์กับครอบครัวเขาก็ได้ จริงไหม (จริง)  เกลียดเขามาก แต่พอเขาตายไปเราก็รู้สึกเสียใจ คิดถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกจะผิดพลาดอย่างไร แม่บอกอยู่ไปก็ทำให้ช้ำใจ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายดีกว่า มีประโยชน์ ไม่เคยทำให้ช้ำใจ  แต่พอลูกออกไปจริงๆ แม่ร้องไห้ให้ลูกกลับมาเถอะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนในโลกมีคุณค่ามีประโยชน์ แต่อยู่ที่ว่าเราทำคุณค่าประโยชน์นั้นเพื่อคนอื่นบ้างหรือไม่ แล้วเวลาเราอยู่ในสังคมบางทีเราเกลียดเขา เราทนไม่ได้ เราไม่อยากทำงานร่วมกับเขานั้นเพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นค่าเขาเพราะเราไม่เห็นประโยชน์เขา แต่ถ้าเมื่อใดเราเปลี่ยนความคิด เห็นค่าเขา เห็นประโยชน์เขา เราจะรู้สึกว่าเราอยู่กับเขาได้  ฉะนั้นตอนนี้เกลียดใครมากๆ กลับไปมองให้เห็นค่าเห็นประโยชน์ของเขาบ้าง   ดีไหม (ดี)  อย่างน้อยมีประโยชน์อย่างหนึ่งคือทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีความเกลียด  เรานั้นเมตตาใจดีกับทุกคน แต่มาถึงคนนี้เรารู้สึกว่าเราเป็นปีศาจทันที อย่างน้อยคนนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าเรารักษาความเป็นคนดีได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่าทุกสิ่งในโลกล้วนมีประโยชน์และคุณค่า
ท่านว่านิ้วหนึ่งนิ้วมีประโยชน์ไหม มีประโยชน์ตรงที่มันมีชีวิต มันกระดิกได้ แต่ถ้าเมื่อใดนิ้วมันแข็งมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  แต่จริงๆ แล้วแม้นิ้วมันจะแข็งแต่ก็มีประโยชน์  ฉะนั้นบางทีนิ้วหนึ่งนิ้วเรามองไม่เห็นคุณค่าแต่เมื่อมันรวมกันอยู่ในมือหนึ่งมือ มันกลับบังเกิดคุณค่านานัปการ บางครั้งเราอยู่ตัวคนเดียวเรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ไม่มีคนยกย่องเชิดชู  แต่อย่างน้อยเราก็เป็นหนึ่งในลูกแม่ที่ทำให้แม่นั้นมีมือที่เคลื่อนไหวได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเป็นคนอย่าคิดสั้นเด็ดขาด พอนิ้วแข็งแล้วจะตัดมันทิ้งเลยได้ไหม (ไม่ได้)
คนเราก็เหมือนกันบางครั้งผิดพลาดไป น้ำมันไหลไปแล้วไม่กลับมา ผมมันขาวแล้วไม่มีวันดำ แต่ใช่ว่าความขาวจะไม่มีประโยชน์ ความร่วงโรยใช่จะไร้คุณค่าถูกหรือเปล่า (ถูก)  จึงมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “ความร่วงหล่น ความสูญเสีย แฝงไปด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม แต่ความเต็มเปี่ยมแฝงไปด้วยพลังอันเสื่อมถอยและเกียจคร้าน”  อย่างเช่นกินอิ่มแล้วใครมีแรงกระปรี้กระเปร่ามีไหม (ไม่มี)  มีแต่กินอิ่มแล้วง่วง แต่เวลาหิวมีแรงจริงไหม (จริง)  อาหารอยู่ไกลแค่ไหนเราก็สรรหาไปกินจนได้ แพงแค่ไหนเราก็ยอมควักจ่ายเพราะเราหิว  ฉะนั้นอย่าดูถูกความเสื่อมถอยเพราะบางครั้งความเสื่อมถอยกลับให้พลังอันยิ่งใหญ่ แล้วก็อย่าเอาแต่ใจความเต็มเปี่ยม เพราะความเต็มเปี่ยมนั้นทำให้เราเกิดความล้าและเกียจคร้าน ค่อยๆ คิดตามเรานะ อย่าเพิ่งต่อต้าน ถ้าต่อต้านแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เราเปรียบเทียบง่ายๆ ท่านไม่ต้องเห็นว่าเราเป็นอะไรก็ได้ แต่เห็นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งมี หนังสือวางอยู่ตรงหน้า จะดูแค่หน้าปกเท่านั้นพอหรือ ทำไมเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีหนังสือแล้วไม่ลองเปิดอ่านดูสักนิดล่ะ จะได้รู้ว่าหนังสือนี้มันคืออะไรใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อเปิดอ่านแล้วให้เปิดใจด้วย ทุกหน้าที่เปิดอ่านคือทุกหน้าที่พร้อมจะเปิดใจดู แล้วค่อยๆ กลั่นกรองว่าจริงหรือเท็จ อย่าวัดคนเพียงแค่สมุดด้านหน้าและด้านหลัง หนังสือแค่ปกหน้าและปกหลัง แต่ต้องมองให้ถึงซึ่งจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากรู้ไหมว่าเราจะพูดเรื่องอะไรต่อ (อยากรู้)  แล้วเมื่อสักครู่เราพูดเรื่องอะไรไว้ (ความทุกข์) อะไรทำให้เกิดทุกข์ จำง่ายๆ ยกตัวอย่าง เสียงดังมักไม่เปล่งบ่อย คนปรบมือดังย่อมดังแค่ทีเดียวถึงจะเรียกว่าดัง  ถ้าปรบมือรัวๆ เราก็รู้สึกว่าธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันคนสวยงามจะสวยได้ ก็ต้องแต่งเติมให้มากที่สุด ตัวเองว่าตัวเองสวย พอทำให้ตัวเองเด่นขึ้นมา ความอัปลักษณ์ก็จะเกิดขึ้น ถ้าคนสวยไม่มีใครแต่งตัวสวยก็จะรู้สึกว่าทุกคนธรรมดา แต่ถ้าวันนี้ศิษย์พี่มาศิษย์พี่พอกหน้ามาเต็มที่ ดูสวยเด่น ศิษย์น้องจะรู้สึกเลยว่าความอัปลักษณ์เริ่มเวียนวนอยู่แถวๆ นี้ ศิษย์น้องจริงไหม (จริง)
จุดเด่นของความสวยก็คือทำให้รู้จักความอัปลักษณ์ได้ทันที แต่ถ้าศิษย์พี่มาหน้าปุๆ ปากย้อยๆ เดินมาถามว่าเป็นยังไงบ้างศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะรู้สึกเด่นขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ในความโดดเด่นนั้นมีข้อดีคือ ทำให้เรารู้จักด้านตรงข้าม และยังสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนอย่าอวดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถ อย่าอวดว่าตัวเองสวย เมื่อไรที่เราอวดว่าตัวเราสวย วันหนึ่งถ้าเราลบสิ่งที่พอกหน้าออกก็จะมีคนถามว่าวันนี้ทำไมเธออัปลักษณ์จัง จริงไหม (จริง) และถ้ายิ่งอวดว่าตัวเองสวย คนก็ยิ่งดูถูกว่าขี้เหร่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ก็เหมือนกัน สรรหาอยากมีเงินเยอะๆ พอมีเงินทองขึ้นคนเขาก็ไม่บอกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองหรอก แต่บอกว่าโธ่เอ๋ย! ใส่ทองก็ปลอม เพชรก็เก๊ ทำตัวเป็นคุณหญิงคุณนาย จริงไหม (จริง)  ถ้าเราอวดว่าตัวเราเก่งสอบได้ที่หนึ่งก็ย่อมมีคนอิจฉาตามมา และก็มีคำพูดตามมาอีกเป็นสิบๆ ร้อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เราพยายามทำแบบนั้นเพื่ออะไร มนุษย์เราทำไมต้องแสวงหามาเยอะๆ ทำไมต้องดึงหน้า ดึงแขน ดึงขาให้ตัวเองสวยๆ เพื่ออะไรล่ะ จริงๆ เราทำเพราะอยากให้คนที่อยู่รอบข้างรักเรา อยากเป็นที่สนใจ มีเงินเยอะๆ อยากให้คนนับหน้าถือตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนเขานับถือศิษย์น้องเพราะหน้าตึงๆ หรือมีเกียรติ หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ คนเขานับถือเราก็เพราะเราเป็นคนไม่ถือเขาไม่ถือเรา ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจกว้างขวาง เขานับถือเราก็เพราะว่าเราเป็นคนธรรมดาแต่อยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่เราเป็นคนที่โดดเด่นจนคนอื่นไม่อยากอยู่ใกล้  แล้วทำไมถึงหาเงินกันใหญ่ แล้วทำไมอยากสวยแล้วสวยอีก มีใครบ้างที่สวยแล้วไม่หยิ่ง แล้วมีใครบ้างที่รวยแล้วไม่จองหอง ยิ่งรวยยิ่งสวยคนก็รังเกียจเป็นทุนอยู่แล้ว ยังเพิ่มนิสัยแย่ๆ เข้าไปอีก ใครจะชอบเรา การทำให้คนรัก นับหน้าถือตามันอยู่ที่การทำตัวเองต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่การมีเงิน ไม่ได้อยู่ที่ความสวย ความหล่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่) จนแล้วจนรอดก็ตอบว่า ใช่ๆ แต่ถึงเวลาก่อนออกจากบ้านก็ขอปะแป้งก่อน ขอแต่งตัวให้สวยๆ หล่อๆ ก่อนออกจากบ้านใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่จะสรุปให้ฟังว่า เสียงดังมักจะไม่พูดบ่อยๆ ถ้าคนเรายิ่งอวดตัวเองว่าเก่งสามารถ คนยิ่งว่าโง่เขลาเบาปัญญา จำหลักธรรมนี้ไว้นะ  คนที่แท้จริง คือคนที่ทำตัวธรรมดาสามัญ ไม่ถือเขา ไม่ถือเรา มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความใจกว้าง คนๆ นี้ถึงจะเป็นที่รักของทุกคน คนๆ นี้ถ้ามีเมตตากรุณาย่อมแผ่ความอบอุ่นไปยังหมู่ชนด้วย เราเคยบ้างไหม ที่รู้สึกว่าอยู่ใกล้คนๆ นี้แล้วรู้สึกร่มเย็นมากๆ (เคย) แล้วลูก สามีหรือภรรยาอยู่ใกล้เราแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ร่มเย็นหรือร้อนเป็นไฟ  สลับกันเป็นเหมือนฤดูกาลใช่ไหม แต่ฤดูของเราไม่มีวันแน่นอน ชั่วโมงหนึ่งร้อน ชั่วโมงหนึ่งเย็น ต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้เป็น แล้วตัวท่านจะไม่สร้างทุกข์ให้กับชีวิตเราและคนรอบข้าง ดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม ใช้สัจธรรมสอนชีวิต อย่าแบ่งภายนอกภายใน อย่าแบ่งแยกตัวเขาตัวเรา เมื่อนั้นเขากับเราก็ไม่ต่างกัน เข้าใจไหม (เข้าใจ)

อะไรที่ทำให้เราร้อนเป็นไฟ ทำให้เราเย็นสงบเป็นน้ำแข็ง ตอบได้ไหม  (สิ่งที่ทำให้ร้อนคืออารมณ์ของเรา ที่จะแปรให้เรามีความร้อนออกมา ระงับสติไม่อยู่  สิ่งที่ทำให้เราเย็น เราก็ยึดธรรมะของพระพุทธองค์ท่านเป็นแนวทางให้เราสงบ)  และอะไรทำให้เราดับร้อนได้ ใช้ธรรมะข้อไหนที่สามารถทำให้ร้อนแล้วกลายเป็นเย็นได้ (ขันติ, ให้อภัย, อดกลั้น, ทำใจเย็น)  สิ่งที่ทำให้เราร้อนมีแค่ความโกรธอย่างเดียวหรือเปล่า  มีสิ่งอื่นไหม (ความโลภ) โลภทำให้เราร้อนได้ไหม ความสมหวังทำให้เราร้อนได้ไหม (ไม่ เพราะผมคิดว่าสมหวังต้องดีใจ)  เหมือนท่านได้ตำแหน่งขึ้นมาหนึ่งตำแหน่ง  สมหวังอยู่ใกล้กับคำว่าผิดหวัง ความสมหวังทำให้เราร้อนใจได้ ถ้าเราไม่ได้มา  ความสมหวังทำให้ดีใจ แต่พอได้ครอบครองความสมหวังแล้ว เราเริ่มวิตกกังวลใจ จริงไหม (จริง)  เวลาร้อนแล้วน่ากลัว แต่อย่างน้อยในความร้อนมีประโยชน์อย่างหนึ่ง คือทำให้มนุษย์รู้จักปล่อยวาง สมหวังมากๆ รู้จักปล่อยมันทิ้งบ้างไหม รู้จักปลงมันเป็นไหม  ไม่เป็นหรอก จนกว่าศิษย์น้องจะผิดหวัง ศิษย์น้องถึงจะรู้สึกว่าเราไม่น่าจับ ไม่น่ากุมมัน แล้วเราก็ไม่น่ารับมันเลย แต่ก็ยังรับอยู่อีก จริงหรือเปล่า (จริง)
เมื่อพูดถึงความร้อนแล้ว แล้วความเย็นมีอะไรบ้าง (บุญ)  ไม่แน่นะ บุญอาจทำให้คนร้อนเหมือนกัน มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งศิษย์พี่อยากเล่าให้ฟัง ในนิทานเขาเล่าว่า แม่กำลังสวดมนต์อยู่ ลูกก็เรียกแม่ แม่ก็ยังสวดมนต์อยู่ ลูกก็ยังเรียกแม่ซ้ำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งแม่หยุดสวดมนต์ แล้วพูดว่ากำลังสวดมนต์อยู่โว้ย  ลูกก็เลยย้อนกลับมา หนูเรียกแม่สิบหนแม่ยังโมโหขนาดนี้ แม่เรียกพระเป็นร้อยๆ หน ท่านไม่โมโหบ้างเหรอ จริงไหม (จริง)  อย่าให้ลูกย้อนเอานะ กำลังทำบุญอยู่อย่าร้อน ต้องใจเย็นๆ ให้พระเข้าไปอยู่ในใจบ้าง ไม่ใช่พระอยู่แค่ปาก ท่องอยู่แค่ปาก แต่ใจไม่เย็นเลย ไม่ไหวนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การดำรงชีวิตอยู่ให้เป็นสุข ใช้คุณธรรมแค่สองข้อ คือ  อย่าบีบคนให้จนตรอก  อย่าเห็นแก่ตัวจนมากเกินไป  ถ้าเรามีสองข้อนี้ เราก็จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข แต่มนุษย์เราโมโหเพราะอะไร  พออยู่ในทางแคบมักจะวางก้ามใหญ่ ไม่เหลือทางให้ใครไว้เดินสักหนึ่งทาง พอมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ตัวเองไม่ให้ใครสักส่วนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออยู่ในสังคมกับคน เมื่อต้องเจอทางแคบ จงเหลือทางให้ผู้อื่นเดินหนึ่งทาง อย่าบีบให้เขาจนตรอก ไม่อย่างนั้น เขาจะกัดไม่เลือกที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำกล่าวว่าในผลประโยชน์เราเอาไว้หนึ่งส่วน แบ่งให้คนอื่นสามส่วน แล้วเขาจะไม่ทำร้ายเรา แต่คนในโลก ผลประโยชน์มีเท่าไร เก็บให้ตัวเองหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเองอยู่เหนือคนอื่นได้ก็พร้อมจะเหยียบย่ำบนหัวให้เขาเจ็บปวดใจ หรือฆ่าให้ตายไปในวงการเลยแล้วเราเด่นอยู่คนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าบีบให้หมาจนตรอก หรืออย่าบีบให้คนจนตรอก ไม่อย่างนั้นคนจะกลายเป็นเสือ พร้อมที่จะแว้งกัดหรือเป็นงูฉกเราได้ทันที เหมือนกันเราอยู่ในสังคม อย่าเพราะผลประโยชน์ จึงทำให้เราไม่รักเพื่อน จึงทำให้เราเห็นแก่ได้ อย่าเพราะว่าถูกบีบคั้น จึงเอาแต่ตัวเองรอด แต่คนอื่นรอดหรือไม่รอดช่างเขา คนเช่นนี้ยากที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แล้วเราเผลอทำหรือเปล่า (ไม่เผลอ)  แล้วคิดว่าเราอยู่ในโลกเป็นคนดีหรือคนร้าย (คนดี)  เราชมว่าเราดี หรือคนอื่นชมว่าเราดี ถ้าเป็นเราชมตัวเองไม่นับนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่เขาชมว่าเราดี ต้องดูด้วยว่าเขาดีจริงไหม ต้องให้คนดีที่ดีที่สุดชมว่าเราดี ถึงจะเรียกว่าเราดีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังมาตั้งเยอะแล้ว บำเพ็ญธรรมคืออะไรล่ะ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การฟื้นฟูจิตใจที่ดีงาม และนำความดีงามนั้นเผื่อแผ่ไปช่วยเหลือผู้อื่น หรือไม่ก็นำความดีงามนั้น มาธำรงรักษาให้เราเป็นคนดีคนหนึ่งให้จงได้ แต่มนุษย์เราไม่สามารถดีได้เพราะมีสองสาเหตุ ใครตอบได้บ้าง (ความเห็นแก่ตัว, กิเลสและตัณหา, ความโลภ, ไม่คบเพื่อนฝูง, ไม่มีธรรมะ)
เป็นคนไม่มีธรรมะเลยดีไม่ได้จริงๆ หรือ  อาจจะเป็นเพราะว่าที่ดีไม่ได้เพราะว่าไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีธรรมะแต่ไม่รู้จักนำธรรมะในตัวตนมาใช้แล้วก็บอกว่าตัวเองเลว เลยไม่อยากดี จริงไหม (จริง) (เป็นคนมักง่าย)  คนมักง่ายทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้คนเป็นคนไม่ดีได้ไหม (ได้)   อย่างเช่นเวลาเข้าห้องน้ำที่คนไม่ราดไว้ ทำให้เราลืมไม่ลง เรากลับหนีเลย แทนที่จะช่วยกันราด กลบๆ ไป กลับหนี  ถึงว่าทำไมศิษย์น้องถึงทำบุญกับห้องน้ำไม่ขึ้น เพราะเห็นสกปรกแล้วหนีเลย มีแต่เมื่อเห็นสกปรกแล้วเราต้องช่วยกันกลบ อย่างน้อยเราพบสิ่งไม่น่าดูคนเดียวอย่าให้คนอื่นเจอด้วย  คิดได้อย่างนี้เขาเรียกเป็นกุศลจิต ใหญ่กว่าทำบุญปิดทองอีก เพราะสิ่งที่เหม็นๆ เราเลือกทำ กุศลยิ่งใหญ่ไม่มีใครรู้ด้วย  ถ้ามนุษย์เรารู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วทำอะไรแล้วทำให้สะอาดไม่ทิ้งเกะกะ ก็จะไม่มีคนมาตามเก็บตามเช็ด  แล้วเราแอบทิ้งให้เกะกะหรือเปล่า ใครกินข้าวแล้วล้างจานบ้างยกมือขึ้น ใครใส่เสื้อผ้าแล้วซักเองยกมือขึ้น ใครอาบน้ำไม่เคยถูขี้ไคลเลยยกมือขึ้น เห็นไหม ตัวเองสกปรกตัวเองยังรู้จักทำความสะอาด แล้วรอบข้างสกปรก ทำไมเราไม่รู้จักหยิบคนละไม้คนละมือ สังคมก็คงไม่วุ่นวายถ้าทุกคนรู้จักรับผิดชอบในความเป็นคน จริงไหม (จริง)
มีอยู่สองสาเหตุที่ทำให้เราทำดีไม่ขึ้นคือ  สาเหตุแรกคือ ไม่เห็นว่าคนที่เราทำดีด้วยมีค่าคู่ควรที่เราจะทำดี  แม้เราจะมีดีขนาดไหน เราอยากเมตตาขนาดไหน พอเห็นเขาไร้ค่า เห็นเขาไม่ดีเราก็ไม่อยากทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเห็นที่สกปรกเราไม่อยากทำ อะไรที่เราทำดีไม่ขึ้น (ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป) จริงหรือไม่ ทำให้บางครั้งคนทำดีมาหนึ่งครั้งแล้วไม่อยากทำดีอีกเป็นครั้งที่สอง ใช่หรือไม่ แต่ศิษย์น้องบางครั้งทำก็ต้องอดทนหน่อย แล้วทำดีอย่าได้หวังผลเลย เพราะหวังผลมักจะผิดหวังในผลทุกครั้งเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงทำดีเพื่อความดี  อย่าทำดีเพื่อหวังผล และความดีนั้นจะไม่ทำร้ายตัวเราเอง
อีกสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์ไม่อยากทำดี ก็เพราะว่าความดีนั้นเติบโตให้ผลช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมพอศิษย์พี่อ้าปากศิษย์น้องรู้ทันทีเลย อย่าปล่อยให้ศิษย์พี่ต้องนำตลอดนะ บางครั้งศิษย์น้องต้องนำตัวเองบ้าง เพราะถึงเวลามีแต่ตัวเราเป็นผู้ตัดสิน แล้วตัวเราเองเป็นผู้ชี้นำตัวเราเองทั้งนั้น วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดก็ให้แสงสว่างเพียงวูบหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเราเองต้องทำให้แสงสว่างนี้จงอยู่นิจนิรันดร์ และความทุกข์ความมืดมนความชั่วร้ายของคนและสังคมจะไม่มาครอบงำใจเราให้เป็นคนเลวเลย จำไว้นะศิษย์น้อง ความดีแม้จะเติบโตช้า แต่ความชั่วนั้นสูญหายยาก  ศิษย์น้องทำดีมาสิบปี แต่แค่ความชั่ววินาทีเดียวคนก็เหม็นไม่ลืมเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำดีให้จงได้ แต่การเป็นคนดีจนถึงที่สุดแล้วเราจะสามารถค้นพบความเป็นพุทธะได้ ขอเพียงตอนนี้ให้ศิษย์น้องดีให้ได้ก่อน ความเป็นพุทธะเดี๋ยวค่อยมาเรียนรู้กันก็ได้ แต่ตอนนี้ธรรมะยังไม่เอา ดียังไม่แน่นอน แล้วจะศึกษาอะไรได้ล่ะ แล้วจะบำเพ็ญอะไรล่ะ แล้วจะพูดถึงนิพพานไปไยเล่า ในเมื่อความทุกข์ยังดับไม่ได้ ความดียังทำไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงจำไว้ว่า ตัวมนุษย์ไม่ใช่ที่สิงสถิตแห่งความว่าง แต่เป็นที่ให้น้ำหรืออะไรต่างๆ มันไหลผ่านมา แล้วก็ผ่านไป อย่าบอกว่าบำเพ็ญต้องทำตัวว่าง อย่าบีบตัวเองให้ว่างๆ ไม่มีวันสำเร็จหรอก แต่จงทำตัวให้เหมือนสายน้ำ ที่ผ่านมาก็ผ่านไป ไม่เหลืออะไรคั่งค้าง แม้อะไรตกหล่นมา ก็มองเห็นได้ชัดเจน เพราะใจเราใสบริสุทธิ์ เอาแค่นี้ทำให้ได้ ได้ไหม (ได้)  อย่าคิดว่ามาหลอกเลยนะ ไม่คุ้มหรอก หลอกให้เขาเหม็นขี้หน้าหลอกทำไม ใช่ไหม  สู้ทำให้เขารัก ทำให้เขายินดีไม่ดีกว่าหรือ ศิษย์น้องเป็นคนมีทิฐิ แล้วถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ลงมาเพื่อให้คนเกลียด ไม่มีประโยชน์นะ มีแต่ลงมาเพื่อปลุกให้มนุษย์ตื่น แล้วรู้ว่าชีวิตนี้ทุกข์จะแย่แล้ว ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะเอาชนะทุกข์ แล้วเอาความทุกข์นี้ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
คิดถึงศิษย์พี่ไหม (คิดถึง)  ให้ศิษย์พี่มาหาศิษย์น้องบ่อยๆ  เมื่อไรศิษย์น้องจะกลับมาหาศิษย์พี่สักที นิสัยที่ไม่ดี เมื่อไรจะแก้กันได้สักที เจอปัญหาก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ไม่เบื่อบ้างหรือ เรามักจะเจอกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ที่เราไม่เคยผ่านได้สักที ใช่ไหม (ใช่)  ต้องรู้ตัวเองได้แล้ว ไม่ผ่านเรื่องอะไรก็แปลว่าเราบกพร่องเรื่องนั้น  อย่าปล่อยให้กิเลสที่มันนอนเนื่องในจิตใจ อย่าปล่อยให้นิสัยความเคยชินที่รู้อยู่แก่ใจมาทำร้ายตัวเราเอง อะไรล่ะที่เป็นนิสัยที่เราแก้ไม่ได้ นั่นแหละคือต้นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อรั้น เกียจคร้าน มักจะทำให้เราต้องผิดหวังไปหลายๆ ครั้งแล้ว ฉะนั้นตอนนี้เราศึกษาบำเพ็ญธรรมจงรู้จักนำธรรมะมาใช้ในชีวิตให้เกิดประโยชน์ อย่าเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง อย่าเป็นเด็กที่เห็นแต่ตัวเองแต่ไม่เคยเห็นจิตใจพ่อแม่ตัวเองเลย อย่าเป็นเด็กที่เถียงแม่เก่ง ไม่ดีเลยนะ  ฟังธรรมะมาตั้งเยอะแล้ว บางครั้งอาจไม่เกิดประโยชน์เลย ถ้าไร้คำว่า “สำนึก”  เกิดเป็นคนจงทำตัวเองให้ดีที่สุด ได้ไหม (ได้)
ถึงเวลาศิษย์พี่ก็ต้องกลับ คนทุกคนเมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปนะ ศิษย์น้องก็เหมือนกัน  อย่าถามว่าศิษย์พี่มาจากไหนแล้วกลับไปที่ไหน แต่น่าจะถามตัวเองว่ามาจากไหนแล้วจะไปที่ไหนต่างหาก กายก็กลับบ้านของกาย แต่กรรมเวรที่เราก่อล่ะอย่าคิดว่าหนีได้พ้น จำไว้นะ ใครทำอะไรก็ต้องได้รับอย่างนั้น อยากจะพ้นนรกแล้วขึ้นสวรรค์ ถ้าไม่เป็นคนดีตั้งแต่วันนี้ ไม่สำนึกแก้ไขตั้งแต่วันนี้ก็สายเกินไป ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไปล่ะนะ รักษาตัวให้ดีนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนประสบความสำเร็จใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจเหตุและผลจุดประสาน
คนต่างวัยความคิดย่อมต่างกัน คนต่างกันไม่ต่างคนต่างไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอาหารอร่อยไหม

จะชนะปัญหาทั้งหลายนั้น ที่สำคัญอย่าได้แพ้ใจตน
อย่าปล่อยให้ปัญหามาเหนือใจตน ให้กังวลเวลาที่คืบคลานมา
เปิดมุมมองให้กว้างกว้างเพื่อชีวิต บำเพ็ญจิตเดินไปสู่วันข้างหน้า
ไม่มีใครคนไหนไม่มีปัญหา แต่ปัญญาศิษย์ทุกคนก็ยังมี
ความเห็นแก่ตนเองทำให้คนเสื่อมเสีย เร่งไกล่เกลี่ยปัญหาอย่าคิดหนี
อันความทุกข์ทำให้ศิษย์เป็นคนดี ความนานปีจะพิสูจน์ถึงบุคคล
การบำเพ็ญก็คือการแก้ไข อย่าเหนื่อยใจในเรื่องการฝึกฝน
บาปหรือบุญอยู่ที่การกระทำตน ความอดทนทำให้ศิษย์ไม่แพ้ใคร
ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนที่มีความสุขคือคนที่คิดในเรื่องที่สมควรคิดเท่านั้น บางทีใจของเรานั้นก็คิดมากไป คิดเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้ ใช่หรือไม่  บางทีคนรอบข้างของเราเป็นอย่างไร เราแก้ได้หรือไม่ แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็เหมือนตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อถ้าหากเรามองคนอื่นแล้วเราแก้ไม่ได้  สู้รวบรวมพลังความคิดทั้งหมดกลับมาแก้ไขตัวเราเอง ดีหรือไม่ (ดี)  ทีนี้จิตใจที่มีความสงสัย จิตใจที่มีความคิดว้าวุ่นสับสนตัดทิ้งไปก่อน ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ก็เป็นวันที่สองแล้วถ้าหากวันนี้ฟังแล้วยังไม่ได้อะไรกลับไปก็ถือว่าไม่ได้ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาแล้วคิดตาม)
การบำเพ็ญธรรมแท้จริงแล้ว คือการแก้ไขซ่อมแซมตัวเราเอง ซ่อมแซมจิตใจ เพราะฉะนั้นอยากให้เราคิดไปถึงสิ่งที่เราทำผิดพลาดต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  มีไหม สามอย่างนี้ถ้าหากใครทำ เป็นเรื่องใหญ่มาก  คิดต่อไปเคยผิดพลาดต่อพ่อแม่ไหม  ทำความผิดต่อความกตัญญู คุณธรรมแห่งตนไหม หากมีความผิดพลาดในเรื่องของความกตัญญูนี้ จะทำให้เราไม่สามารถเป็นคนได้อย่างเต็มคน คิดต่อไปถึงความปรองดองในพี่น้องกับคนรอบข้าง เราเคยทำผิดต่อผู้อื่นไหม คิดต่อไปถึงตัวของเรา นิสัย อารมณ์ของเราเองที่เกิดขึ้นวันหนึ่งไม่รู้กี่หน เราผิดต่อตัวของเราเองไหม คิดด้วยความรู้สึกสำนึก ด้วยความรู้สึกที่อยากจะแก้ไขและอยากจะดีขึ้น ไม่ใช่หลับตาเฉยๆ นะ 
(พระอาจารย์ให้นักเรียนลืมตาขึ้น)
รู้สึกอย่างไรกับการนั่งมอง คิดอย่างไรบ้างกับการนั่งพิจารณาตัวเอง เวลาเปิดตาเรามักจะไม่เคยคิดถึงตัวเราเองเลย  มองไม่เห็นตัวของเราเอง ถ้าอยากให้มองก็ต้องเอากระจกบานหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า แล้วก็มองเห็นแต่ผิวหนัง คิ้ว ตา จมูก หน้าตา รูปร่างของตนเอง เราไม่เห็นเลยว่าตัวของเราแท้จริงเป็นอย่างไร ตัวของเราแท้จริงแล้วเป็นคนดีหรือยัง (ยัง)  ยังไม่ดีหรือ ตอนมารับธรรมะบอกว่าชวนคนดีมารับธรรมะ แสดงว่ามีคนเห็นเราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์นั้นดีตรงไหน ดีตรงที่เห็นว่าตัวเองยังไม่ดีอยู่  อย่างนี้จึงจะเยียวยาแก้ไขได้ เวลามีเรื่องกับคนอื่นใครผิด (เขาผิด)  แต่หลังจากที่นั่งหลับตาแล้วใครผิด (เราผิด)  ทำไมเราถึงผิดล่ะ ถ้าหากเราทะเลาะกับไม้กระดาน ไม้กระดานทำอย่างไรกับเรา (เฉย)  เผอิญเราไปทะเลาะกับศัตรูเกิดอะไรขึ้น สมมติว่าคนนี้เรามองเขาว่าเขาคิดไม่ดีกับเราแน่นนอน ถ้าเราทะเลาะกับเขา เราก็หาเรื่องกับเขาให้ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้ถามต่อไป คนที่เราหาเรื่องกับเขานี้ เพราะว่าเรามองว่าเขาคิดอะไร แต่จริงๆ แล้วเรามองเห็นไหมว่าเขาคิดอะไร
เคยดุลูกทั้งจิตใจรักแสนรักไหม  (เคย)  แล้วทำไมถึงดุ (อยากให้เขาเป็นคนดี)  ลูกฟังแต่เสียงของเรา ไม่เข้าใจถึงความคิดของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่มีความต่างวัย จึงมีความคิดแตกต่างกัน คนที่เติบโตขึ้นมากับคนที่เป็นเด็กอยู่จึงมีความคิดไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทุกๆ ที่ ทุกๆ เวลา จะเจอความแตกต่างอย่างนี้เสมอๆ ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับความแตกต่างนี้ได้อย่างกลมกลืน
อาจารย์ไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนไม่มีเหตุผล  ทุกคนมีเหตุผลเหมือนกันหมดเลย เหตุผลของแต่ละคนก็ดีในสายตาของตัวเอง แม้กระทั่งเด็กอยากจะหนีเที่ยว อยากจะขโมยเงิน เขาก็มีเหตุผลของเขา ความผิดย่อมไม่ตกอยู่ที่ตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะอยู่ด้วยกันในความแตกต่าง จึงต้องหัดที่จะยอมรับความผิดของตัวเอง และต้องหัดยอมถอยเป็นด้วย ถอยนั้นง่ายไหม หากว่าเรายืนอยู่ให้เราถอยไปหนึ่งก้าวทำง่ายไหม (ง่าย)  แต่ความรู้สึกของเราถอยไหม  (ไม่ถอย)  สิ่งที่มีความยากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการทำให้ความรู้สึกของเราถอยตามก้าวที่เราถอยมา หากว่าความรู้สึกของเรานั้นไม่เปลี่ยน ย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเปลี่ยนเราได้
ฉะนั้นการจะเปลี่ยนความรู้สึกของเราทำยากไหม (ยาก)   ดินที่ต้นหญ้าจะแทงขึ้น แข็งหรืออ่อน (แข็ง)  ต้นหญ้าต้องการจะแทงถึงพื้น ใช้ความอดทนสูงไหม (สูง)  ต้นหญ้ามีความอดทนสูงไหม เราเป็นคนแพ้ต้นหญ้าไหม  หากเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ให้ได้ ทำได้ไหม (ได้)  ธรรมชาติความค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ก็สอนให้เรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่ว่าเราต้องมีความคิดจะเปลี่ยนเสียก่อน คำว่าเปลี่ยนอยู่ในจิตใจของเราหรือเปล่า หากว่าเราบำเพ็ญธรรมมานานแล้วเราไม่เคยคิดว่าเราจะเปลี่ยน คำว่าเปลี่ยนไม่เคยอยู่ในจิตใจของเรา ต่อให้บำเพ็ญไปอีกสิบปี ก็เป็นแค่การบำเพ็ญสิบปีแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในนั้น  นิสัยไม่ได้ดีขึ้น อารมณ์ไม่ดีขึ้น อัตตาไม่ลดลง ใครจะเปลี่ยนเราได้ หากเราไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง เมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น เมื่ออยู่ร่วมกันในความแตกต่างกัน กลายเป็นที่เบื่อระอากับคนรอบข้างเท่านั้นเอง แต่เมื่ออยู่ร่วมกับคนบำเพ็ญด้วยกัน แตกต่างกันกับทางโลก เพราะไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมต่อให้มีความแตกต่างกันมากที่สุด ศิษย์ยังต้องทนให้ได้ ทนแล้วเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนให้ดีขึ้นนะ ไม่ได้เปลี่ยนให้แย่ลง
อายุมากแล้ว คนอายุยิ่งมาก  ความมีอัตตานั้นจะยิ่งสูงขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความเป็นตัวตน มีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาก  ฉะนั้นการกระทำของเราจึงต้องหัดที่จะปรับให้ดีขึ้น   หากว่าการกระทำของเราไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี   วันนี้เราตายไปเราจะไปอยู่ที่ไหน เคยคิดถึงเรื่องตายไปไหม  คนที่ยังรุ่งโรจน์ในชีวิตอยู่มักจะไม่คิด  แต่คนที่ชีวิตตกอับมักจะคิดถึงเรื่องของความตาย  ฉะนั้นความทุกข์จึงให้สติแก่คนที่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  พูดอย่างนี้เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ  และเพราะอยากชี้ให้เห็นว่าความทุกข์ที่เราได้รับนั้นเป็นเรื่องที่ดี ความทุกข์นั้นมีอยู่มากมาย  ไม่ต้องหาก็มาเอง  ส่วนความสุขเหนื่อยแทบตายก็มีเพียงหน่อยหนึ่ง ใช่ไม่ใช่ (ใช่)   อย่างนี้อยากมีความสุขหรืออยากมีความทุกข์  เปรียบไปก็เหมือนน้ำสายหนึ่งที่ไหลไปๆ หากว่าสายธารนั้นราบเรียบตลอดเวลา   น้ำก็จะไหลแรง  แต่หากว่าเอาหินมาขวางไว้สักก้อนหนึ่ง  สายน้ำอันนี้ก็จะไหลช้าลง  ดูเหมือนคนที่มีสติใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าหินนี้ขวางอยู่จนทึบ ขวางอยู่มากมายเต็มไปหมดเลย ขวางไว้เป็นสิบเป็นร้อยก้อน  จนกลายเป็นกำแพง   ถามว่าน้ำจะไหลไปได้ไหม  (ไม่ได้)  ก็ยังไหลได้ เพราะน้ำสามารถทะลุทะลวงไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขยังมีไหม (มี)  น้อยหรือมาก (น้อย)  แต่ความสุขที่มีมาน้อยๆ เราจะเห็นคุณค่าได้อย่างมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตนี้ใครคิดว่ามีความทุกข์แล้วดี หรือมีความสุขดีกว่า  ยังมีบางคนตอบไม่ถูก ยังรักพี่เสียดายน้องอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือน้องไม่อยากได้ อยากได้แต่พี่เอาแต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้น  ถามจริงๆ ว่าเวลาที่เรามีปัญหาในชีวิต สิ่งใดที่ทำให้เราคิดได้ ความสุขหรือเปล่า (ความทุกข์)  เวลาที่มีปัญหาในชีวิตสิ่งที่ทำให้เราคิดได้นั้นคือความทุกข์  เพราะว่าความทุกข์เฝ้าบอกเรา ให้เราหยุดอย่าได้ไปเตลิดมากมาย  ฉะนั้นตอนนี้ถือว่าเป็นคนมีโชคดี  โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์มากเป็นคนโชคดีมาก แต่คนที่มีความสุขตลอดเวลาเป็นคนที่ไม่มีโชค เพราะว่าความสุขไม่ได้ให้บทเรียนแก่เราเลย  เชื่อตามนี้หรือเปล่า  (เชื่อ)  ทีนี้อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์  เพราะว่าอาจารย์ตั้งแต่สมัยเป็นคนก็บ้าๆ บ๊องๆ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็สอนให้ศิษย์มองมุมกลับของชีวิต เห็นมุมกลับหรือยัง อยากไปมุมเดียวกับอาจารย์ไหม
หากว่าอยากจะดูดีก็ต้องใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วใส่เสื้อผ้าดีๆ ต้องทำงานหนักเพื่อจะได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วทำอย่างไรล่ะ อย่างนี้เราต้องกลับมามองว่าเราจะดูดีที่ไหน (ที่ใจ) อะไรที่อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่เคยแยกจากตัวเราไปเลย แม้เราจะอาบน้ำอยู่ก็อยู่กับเราตลอดเลย (จิตใจ)  แล้วเราเคยตกแต่งจิตใจของเราให้ดูดีไหม  ตลอดชีวิตสมมติว่ามีชีวิตอยู่ห้าสิบปี ใช้เวลาตกแต่งไปสี่สิบปียกมือขึ้น ให้สิบขวบแรกเป็นตอนที่คิดได้บ้างไม่ได้บ้าง เดี๋ยวนี้เด็กห้าขวบก็คิดได้แล้วใช่ไหม ตั้งแต่สิบขวบไป สี่สิบปีใช้เวลาตกแต่งตลอดมีไหม (ไม่มี)  สามสิบปีมีไหม ยี่สิบปี สิบปี หนึ่งปี (มี) รวมรวมๆ กันได้สักหนึ่งปีได้ไหม (ได้)  บางคนบอกว่าวันเดียวยังไม่ได้เลย ตอนนี้เราเลิกตกแต่งภายนอกร่างกายของเรา เลิกตกแต่งให้นิ้วมีแหวนทอง เลิกตกแต่งให้คอมีสร้อยทอง เลิกตกแต่งให้กระเป๋ามีเงินเต็มๆ เลิกตกแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยหรู เลิกตกแต่งสิ่งที่อยู่นอกกายทั้งหมด แต่เรามาตกแต่งจิตใจ เพราะหากว่าคนๆ นี้ใส่เสื้อผ้ามอซอแต่เป็นคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็มีคนรักได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามจริงๆ ว่าเรารักคนประเภทไหน เรารักคนที่มีเงิน หรือเรารักคนที่จนแต่ว่าเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่ดี เราก็รักคนที่มีมารยาทที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่สำคัญเขาจะต้องดีกว่าเราด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเราต้องมาตกแต่งจิตใจ ให้จิตใจของเรานั้นมีสภาพที่ดีมากขึ้น อย่าให้วิวัฒนาการของโลกที่ทันสมัยก้าวล้ำนำไปทั่ว แต่ว่าจิตใจของเรานั้นมันเสื่อมโทรมยิ่ง เราต้องหันกลับมามองจิตใจของเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราใช้ตาของเรานั้นมองภายนอกมาก ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์หลับตาลงมองใจของตนเอง เพ่งให้เห็นสภาพจิตใจของเราที่ทำผิดพลาดไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว พ่อแม่ เรื่องเกี่ยวกับคนในบ้าน เรื่องเกี่ยวกับนิสัยและอารมณ์ของตนเอง มองให้เห็นถึงความผิดพลาดของตัวเอง สำนึกด้วยจิตใจอันแท้จริง เชิญลืมตาขึ้นได้ ความผิดมีไหม (มี)  เรื่องใดแก้ได้แก้ง่ายกลับไปแก้ก่อน เรื่องใดแก้ยากแก้ลำบากก็ให้เวลาตัวเองอีกนิดหนึ่ง เวลาทะเลาะกันจะมีจิตใจที่สำนึกได้ ว่าตัวเราผิด คนอื่นผิดไหม (ไม่ผิด)  คนอื่นในจิตใจลึกๆ ของเราเขาก็ยังผิดอยู่ แต่ว่าความผิดของเขานั้นมีคำว่าอภัยไหม (มี)  การจะทำให้เขานั้นรู้สำนึกได้ใช้อารมณ์ไหม (ไม่ใช้)  แม้คนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเราเอง เราต้องการให้เขาสำนึก เขาก็สำนึกเพราะกลัวเราผู้มีตำแหน่งสูงกว่า แต่หาได้สำนึกจริงๆ ไม่ ฉะนั้นการที่จะทำให้ผู้อื่นนั้นยอมเราโดยศิโรราบ จึงต้องทำตัวของเรานั้นให้ดี ไม่ใช่เป็นคนที่เข้าข้างตัวเองอยู่เสมอๆ อยากมีความสุขในบ้าน เราต้องเป็นภรรยาที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนบอกว่าเป็นปู่ย่าที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรทำให้คนขาดสติที่สุด คืออารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  มีอารมณ์ไหม (มี)  อารมณ์อะไรเกิดบ่อยที่สุด (โกรธ)  ความโกรธเป็นอารมณ์ที่ทำลายคนบ่อยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความโลภเป็นสิ่งที่อยู่ได้นานที่สุด ความหลง ความรักเป็นอารมณ์ที่ชั่ววูบมากที่สุด ฉะนั้นจะต้องหัดที่จะล้างอารมณ์ของตัวเราเองดีหรือไม่ (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  ได้นานแค่ไหน จากนี้ไปถึงไหน ไหนใครกล้าตอบตลอดชีวิตลุกขึ้นยืนเลย พูดได้ทำให้ได้นะ (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ลุกขึ้นยืน)
เปลี่ยนแปลงตัวเองยากที่สุดคืออดทนกับใคร (ตัวเราเอง)  ยากที่สุดคืออดทนกับอารมณ์ของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นคำว่า “ตัวเอง” มิได้ให้ไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น มิได้ให้ไปทำสิ่งใดกับผู้อื่น แต่ให้กลับมามองตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  ยากก็ต่อเมื่อทำได้บ้างไม่ได้บ้าง คนที่ไม่เคยลงมือทำก็มักจะไม่รู้ แต่คนที่เคยลงมือแล้วมักจะรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ตีกัน ลูกของเราออกจากบ้านไปตีคนอื่น เราจะเข้าข้างลูกตัวเองไหม (เข้าข้าง)  ในความเป็นจริงคือเข้าข้างลูกตัวก็ไม่สมควร  ส่วนไม่เข้าข้างลูกตัวเองก็ไม่ได้ ถึงตอนนั้นทำอย่างไร (เป็นกลาง)  มีใครบอกว่าเราใจเป็นกลางมีไหม เราบอกว่าเราใจเป็นกลางส่วนคนอื่นบอกว่าเราใจเป็นกลางไหม ไม่เห็นมีคนดีคนไหนที่ไม่เคยถูกนินทาใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เคยเห็นคนยุติธรรมคนไหนแล้วคนอื่นมองว่าใจนั้นเป็นกลาง เพราะฉะนั้นทุกคนนั้นถูกนินทาเท่าๆ กันหมด ถูกหรือไม่ (ถูก)  หาใจกลางของตัวเองให้เจอแล้วบอกว่าตัวเองมีใจเที่ยงไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้ ยกมือขึ้น  แสดงว่าเมื่อวานนี้ไม่ยอมลุกขึ้นตอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเยอะไหม (เยอะ)  อาจารย์บอกว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่มีบังเอิญว่าเราถูกตีหัว ไม่มีบังเอิญขโมยขึ้นบ้าน ไม่มีบังเอิญไปรู้จักไปเห็นหน้าคนที่เราเคยรู้จักมานาน ทุกๆ อย่างเป็นเรื่องของสิ่งที่ทำ สิ่งที่ได้รับทั้งสิ้น  คนที่เจอกันบ่อยๆ เราต้องทำดีด้วยไหม (ทำ)  คนที่นานๆ เจอกันทีเราต้องทำดีด้วยไหม (ทำ) คนที่เราเจอกันบ่อยกับคนที่นานๆ เจอกันที  เราควรที่จะทำดีกับคนไหนมากกว่ากัน คนที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นานๆ เจอกันทีเราทะเลาะกับเขาไหม (ไม่ทะเลาะ)  ทำไมล่ะ (นานๆ เจอกันที)  แล้วคนที่อยู่ด้วยกันทุกวันๆ ทะเลาะกับเขาไหม (ทะเลาะ)  เพราะว่าอะไรล่ะ  เพราะว่าเราเห็นเขาเป็นของกล้วยๆ เจอกันทุกวัน ทะเลาะกันเท่าไหร่ก็ต้องกลับมาเจอกัน   แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร คนที่เราอยู่ด้วยกันคือคนที่เราเลือกเขามาอยู่กับเราแล้ว คนที่เราเคยทำบุญกับเขามา คนที่เราเลือกเขามาเป็นคู่ แล้วเราทะเลาะกับเขาทำไม เพราะเราเห็นเขาว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยกับเรา เราไม่มีที่ลงจึงไปลงที่เขาหรือ   แล้วเขาจึงเห็นเราเป็นที่อะไร (ที่ระบาย)  เพราะเราเห็นเขาเป็นที่ระบายเขาก็เห็นเราเป็น (ที่ระบาย)  ระบายกันไประบายกันมาแล้วมีความสุขไหม  ไหนบอกว่าอยากมีความสุข ตกลงอยากมีไหม (อยาก)  บางคนโมโหร้าย ตอนไม่โมโหอย่างกับพระเดินมา แต่ตอนโมโหนี่เป็นอย่างไร เป็นนักเลงหัวไม้วิ่งมา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอย่างนี้กลัวไหม (ไม่กลัว)  ผู้ชายบอกว่าไม่กลัวเห็นนักเลงหัวไม้วิ่งมาก็รับ ทีนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ นานๆ เจอกับเขาทีก็ต้องดีด้วย  ส่วนคนที่อยู่กับเราทุกๆ วัน คนที่สนิทกับเรา คนที่เป็นคู่เรา เรายิ่งต้องดีกับเขา ต้องดีกับเขาเป็นเท่าทวีคูณ  คนที่เป็นพ่อแม่เรา เรายิ่งต้องดีกับเขามากกว่าคนที่เป็นลูกของเราอีก  เพราะคนที่เป็นลูกเรานั้นยังเด็ก เขามีเวลาอีกเยอะ ส่วนพ่อแม่ของเรายิ่งมีเวลาให้กับเราน้อย ถ้าหากว่าเราทำดีกับเขาเหมือนกับทำบุญไหม (เหมือน)  ถ้าหากพ่อแม่อดข้าวเป็นอะไรไหม (เป็น)  ลูกอดข้าวเป็นอะไรไหม ลูกอดข้าวอาจอดได้หลายมื้อ แต่พ่อแม่อดข้าวอาจจะตายในมื้อนี้ก็ได้   เพราะฉะนั้นความคิดของเรานั้นจึงต้องกลับมุม เพราะ บางทีเรารักลูกของเรา พ่อแม่ของเรานั้นก็รักเราใช่หรือเปล่า (ใช่) มุมมองที่ออกมาจากช่องหน้าต่างแคบไหม ให้ศิษย์ยืนอยู่ที่ช่องหน้าต่างแคบๆ แล้วมองออกไปมุมมองแคบไหม (แคบ)  ถ้าให้ศิษย์ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งๆ มุมมองกว้างไหม (กว้าง) ทำไมมุมมองของเราถึงได้แคบลง เพราะว่าเรานั้นมีจิตใจที่แคบ ทุกวันก็เห็นแต่ตัวเอง ทำให้เราไม่สามารถสร้างสรรค์พลังที่สร้างทุกสิ่งได้ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ทุกๆ สิ่งที่อาจารย์พูดมาตั้งแต่ต้นไม่พ้นตัวเอง คือหมายความว่า โลกทั้งโลกจะเปลี่ยนได้ ก็คือเปลี่ยนตัวของเราเอง สิ่งที่ร้ายจะเปลี่ยนเป็นดีก็คือเปลี่ยนใคร (ตัวเอง)  เหมือนคนเล่นการพนัน เขาเรียกผีพนัน หรือนักพนัน  (ผีพนัน)  พอเล่นพนันมากๆ ก็กลายเป็นผี ใช่ไหม คนกินเหล้ามากๆ เรียกว่าอะไร นักเลงสุรา นักเลงสุราก็เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่สุดโต่งในทางไม่ดีก็มักจะมีชื่อใหม่ให้ เราจะต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ตั้งแต่เรื่องภายนอกมาถึงภายใน มองภายนอกเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด แล้วซึมซับมาเป็นพลังเก็บไว้ภายใน ซึมซับในสิ่งที่ดีแล้วปล่อยพลังที่อยู่ภายในออกไปหาทุกสิ่ง พลังที่มาจากภายในโดยแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เวลาเราหลับตาเรารู้สึกถึงคนอีกคนที่อยู่ข้างในไหม คนๆ นั้นก็คือความคิดของเราที่คอยบอกถึงความผิดพลาดของตัวเอง เป็นคนที่พร้อมจะแก้ไขตนเอง คนๆ นั้นมีพลังขึ้นอยู่ที่ศิษย์จะยอมให้คนๆ นั้นมาแสดงบทบาทหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นคนๆ นั้นจะเป็นคนที่คิดดีอยู่ข้างใน พลังภายในมาจากไหน บางทีมาจากภายนอก มาจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากว่าเราเฝ้าแต่ทะเลาะกับคนในครอบครัว สามี ภรรยา ลูก หากว่าเราเฝ้าแต่อารมณ์เสียหงุดหงิด หากว่าเราเฝ้าแต่เป็นคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง แสดงว่าคนๆ นี้ไม่มีพลังที่ดี ฉะนั้นเราต้องสร้างสภาวะแวดล้อมตัวเองให้ดีเสียก่อน ต้องกลับไปมีความอดทนมีขันติในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ต้องเห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในมือของเรา อย่าคิดว่าสิ่งที่ดีกว่าคือสิ่งที่คนอื่นมี ต้องคิดว่าสิ่งที่เรามีนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเราจะกำแอปเปิลเน่าอยู่ผลหนึ่ง คนอื่นจะถือแอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดมาจากต้น แต่แอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดลงมานั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา แอปเปิลที่กำลังจะเน่าในมือของเราต่างหากของเรา อย่าได้โลภอยากได้ของคนอื่น เราจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับตนเอง ดีหรือไม่ (ดี) หากว่าผลๆ นี้ที่กำลังจะเน่า เราก็เอาผลที่เน่านี้ไปปลูกใหม่ให้ขึ้นเป็นต้นใหม่ แต่ต้องใช้ความอดทนรอวันเวลาหรือถ้าหากว่ายังกินได้ เราก็เลือกหั่นเอาส่วนที่ดีมากินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นส่วนที่อยู่ในมือของเราก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่ได้เป็นของๆ เรา เราจึงต้องหัดพอใจในสิ่งที่เรามี มนุษย์มากมายมีปัญหารุนแรงก็เพราะไม่รู้จักพอ ยามใดรู้จักพอยามนั้นปัญหาก็จบลง ปัญหาของคนก็คือความไม่รู้จักพอ จิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเพราะว่าเราไม่รู้จักพอ ฉะนั้นถ้าหากเรารู้จักพอเมื่อไร เราก็คือคนที่มีความสุข มีสติมากที่สุด และก็เป็นคนที่มีธรรมะมากที่สุด พลังที่ออกมาจากภายในก็คือพลังที่เรารู้จักพอได้นั่นเอง พลังที่ออกมาจากภายในก็คือความอดทนที่ส่งออกมาให้คนรอบข้างได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรามี ให้คนรอบข้างรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนของพลังของเราที่จะผลักดันสิ่งต่างๆ แต่ไม่ใช่เฝ้าอวดอ้าง โอ้อวด เหมือนคนทำชั่วพอทำดีเข้าสักนิดหนึ่งก็อวดโอ้ไปใหญ่โต อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ให้เอาพลังที่อยู่ภายใน เอาความสุขุมคัมภีรภาพ เอาความเรียบร้อย   เอามารยาทอันดีงามไปโน้มน้าวชักจูงผู้อื่น  ดียิ่งกว่าคำพูดเพราะ
หากว่าเขาประทับใจในกิริยามารยาทอันดีงามของเรา เขาจะสามารถนำสิ่งที่พบเห็นจากเราไปเปลี่ยนแปลงตัวของเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างที่บอกในโลกนี้ไม่มีใครที่บังคับใครได้ แม้แต่ศิษย์ยังไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ฉะนั้นอย่าได้คิดไปบังคับคนอื่น ตอนนี้มีพลังจากข้างในหรือยัง รู้จักพลังข้างในของตัวเองหรือยัง ดึงพลังของตัวเองออกมาใช้ อาจารย์เชื่อว่าคนเก่าจะเข้าใจคำพูดของอาจารย์ได้มากกว่า เวลาที่เราท้อ หมดแรง ผิดหวัง เวลาที่เราเจอปัญหา พลังที่จะเติมเต็มให้เรานั้นไม่ใช่มาจากการไปผ่อนคลาย เพราะเมื่อผ่อนคลายเสร็จอาจารย์เห็นก็ยังหมดแรงเหมือนเดิม เพราะว่าพลังนั้นไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ที่ข้างในของเรา การทำใจได้ ทำใจเป็นของเราเท่านั้นที่จะสามารถคืนพลังให้กับเราได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเป็นคนดี แม้อาจารย์จะสอนศิษย์ให้ศิษย์เป็นคนดีแต่ศิษย์ก็วางสิ่งที่อาจารย์พูดอยู่ดี พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากจะมายืมร่างให้ศิษย์เกิดความยึดติด มัวแต่สงสัยจนไม่สามารถฟังธรรมะรู้เรื่อง แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด และก็รวดเร็วที่สุดที่สามารถทำได้ ไม่ต้องตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ต้องเอาอาจารย์เข้าไปอยู่ในใจของตนจนไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมะนี้คืออะไร ให้ศิษย์ของอาจารย์สนใจธรรมะที่ได้รับมา ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ให้เวลาในการฟังธรรมะ ศึกษาเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นไป ทำจิตใจให้เป็นจิตใจที่ดีงาม ใสสะอาดเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ดึงอาจารย์ไว้อย่างนี้เวลาที่ศิษย์ท้อหรืออยากจะห่าง แต่ถึงเวลานั้นอาจารย์ไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนมีจิตใจมาดึงอาจารย์ไว้แบบนี้ เวลาท้ออยากจะเลิก นึกจะพูดอะไรก็พูด คนเราต้องมีความสำนึกให้มาก คิดจะเปลี่ยนต้องให้จริงจังนะ ทำตัวให้อาจารย์ช่วยได้นะศิษย์นะ รู้ไหม
มองไปวันนี้ศิษย์บางคนที่เป็นคนเก่ากำลังถูกปัญหารุมเร้า ปัญหาที่มาจากภายนอก ปัญหาที่มาจากภายในใจ ปัญหาที่มาจากสารพัดทิศสารพัดทาง แต่อาจารย์ขออย่างเดียว ปัญหาใดๆ อย่าให้ศิษย์นั้นแพ้ใจตัวเอง ให้รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราพูดอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรเสมอๆ เป็นการย้ำเตือนให้สติตัวเอง คนที่บำเพ็ญมานานจึงมีความลำบากกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญ เพราะว่าคนที่บำเพ็ญนาน หากบำเพ็ญนานแล้วยังไม่ก้าวหน้า ก็ดูเสียเวลาที่จะบำเพ็ญ แต่หากศิษย์ไม่บำเพ็ญชาตินี้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
รู้จักระงับอารมณ์มีสติให้มาก อย่าทำเสียเรื่องเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบ โลกนี้มีคนปรารถนาดีต่อเรามากมาย คนที่ปรารถนาดีต่อเรานั้นยังอยู่ใกล้ตัวเราอยู่ อย่ารอให้เสียเขาไป อย่าพูดคำที่เจ็บช้ำน้ำใจลงไปแล้วมาเสียใจทีหลัง หนำซ้ำยังเป็นคนที่พูดขอโทษไม่เป็น พาลจะเสียเรื่องไปใหญ่ ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที มีสติกับสิ่งที่ทำลงไป ปัญหาหนักจะได้กลายเป็นเบา ปัญหาเบาจะได้กลายเป็นไม่มี ทำให้ดีที่สุด คำนี้พูดง่ายแต่ทำยาก แต่หวังว่าศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์ทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์ยังพยายามและยังทำได้อยู่
ยามท้อคิดถึงอาจารย์ให้มากนะศิษย์นะ ดึงอาจารย์ไว้เหมือนวันนี้ที่ศิษย์ดึง ใช้ใจของศิษย์ดึงใจอาจารย์ไว้ ให้อาจารย์นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งอยู่กับศิษย์ในเวลาที่ศิษย์ท้อแท้มากที่สุดนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “ดึงพลังมาจากภายใน”
พลังแห่งความคิดที่สร้างสรรค์ อยู่บนฐานความถูกต้องมีขอบเขต
วันคืนที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จ ฝ่าไม่เสร็จเพราะกิเลสจากภายใน
บางทีต้องลงมือให้ถูกเวลา บางปัญหาต้องปล่อยวางจึงแก้ไข
เมื่อรักสิ่งที่ทำอยู่ไม่ขื่นใจ ความสงบให้พลังไร้สิ้นสุด
เมื่อมังกรทะยานขึ้นแหวกเวหา จะดำดิ่งลึกสุดหล้ามหาสมุทร
การยึดติดบรรดาสิ่งสมมติ ทำให้หยุดจิตเสรีที่ภายใน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2547

2547-03-27 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二00四年  歲次甲申  閏二月初七日       大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗   สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

วันเวลาไหลล่วงผ่านไม่รอคน วัยหนุ่มสาวล่วงพ้นบำเพ็ญไหม
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่พ้นไป จงใส่ใจชีวิตใช่ยืนถาวร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

สถานการณ์สร้างวีรชนอันเข้มแข็ง การเหนื่อยแรงย่อมดีกว่าการเหนื่อยใจ
การไม่คิดทำให้ทำพลาดไป จงอดใจสู้กิเลสด้วยอดทน
อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันวัน เรื่องสำคัญเร่งลงมือจึงสัมฤทธิ์ผล
งานสำเร็จเร็วขึ้นวันย่อมดีล้น การเป็นคนจงทำแต่สิ่งประเสริฐ
เกิดเป็นคนประเสริฐสุดกว่าภพใด จงตั้งใจนำชะตามาสูงส่ง
อย่าได้เป็นคนมัวเมาเฝ้าจิตหลง ใจนี้ตรงต้องฝึกฝนทุกเวลา
ต่างเป็นคนมีบุญแต่ก็มีกรรม บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยากหรือง่ายนั้น
อยู่ที่ตนจะเห็นความสำคัญ การปฏิบัติจะยืนยันทิศแห่งธรรม

ในวันนี้หลายพื้นที่มาร่วมใจ จงเปิดใจให้โอกาสตนเองเถิด
การฟังธรรมต้องอยู่ในใจล้ำเลิศ พ้นเวียนเกิดเร่งบำเพ็ญเร็วขึ้นอีกวัน
อย่าปล่อยให้ความสงสัยบังปัญญา ชีวิตคนมีค่ากว่าที่เป็นอยู่
จงเข้าใจหลักสัจธรรมด้วยใฝ่รู้ ความรู้ตื่นจะเป็นครูแห่งการเพียร
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบอย่างยิ่งยวด
ยิ่งน้อยคนคุณภาพมาขันกวด การผนวชรักษาวินัยขึ้นกับตน
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นย้อนมองตน การมองคนไม่มีประโยชน์หนา
จงทบทวนตนเองให้ดีนา เสียเวลาได้คุณธรรมมากลับคืน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจให้จงดีทั้งชายหญิง
เรื่องทางบ้านปล่อยวางใจอย่าประวิง ใจนิ่งนิ่งฟังธรรมะให้เข้าใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด

 
 

วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
มะระขมแสนขมยังกลืนลงได้ แต่อ้อยหวานเพียงใดยังต้องคายทิ้ง
อย่าได้กลัวทุกข์ยากสอนคนจริง แต่สุขยิ่งทำคนหลงตายทั้งเป็น
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ตามใจตนบ่อนทำลายกำลังพล ตามส่วนคนความยุ่งขยับเพิ่ม
กลุ่มใหญ่ยังขาดสามัคคีเรื่องเดิม รู้จักความอับจนเริ่มขึ้นได้อย่างไร
รู้จักความลำบากทำให้คนแข็งแกร่งยิ่ง รับความจริงต้องย้อนมองตนให้ได้
รู้อะไรเก่งแต่พูดทำไม่ได้ น่าเสียดายศึกษาไปก็ไร้ค่า
อย่าปล่อยวันเวลาผ่านผ่านไป โดยไม่ทำอะไรให้เกิดค่า
เพราะมัวหลงไม่ตื่นจากอวิชชา เสียเวลาทั้งชีวิตน่าเสียดาย
ศึกษาธรรมต้องเปิดใจคลายลังเล เมื่อมุ่งมั่นไม่หันเหไปทางไหน
เรียนรู้ธรรมมีเป้าหมายด้วยเข้าใจ อย่าปล่อยให้สิ่งใดมาคลอนแคลน
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

 
ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างกว่าจะได้มาก็ต้องผ่านความยากลำบาก และก็ต้องมีจิตใจอันเข้มแข็ง อดทน และมุ่งมั่น เราจึงจะสามารถทำสิ่งใดๆ ได้สำเร็จ เหมือนเวลาทำนาปลูกข้าว ถ้าเราจะทำนา ถ้าเราจะปลูกข้าว อย่างแรกก่อนที่เราจะเริ่มทำเราต้องทำอย่างไร ก่อนที่เราจะคิดปลูกข้าว ทำนา อย่างน้อยเราต้องมีความรู้เรื่องนั้นเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และก่อนที่เราจะมีความรู้ หรือศึกษาเรื่องนั้นจนรู้ถ่องแท้นั้น ทำให้เราต้องมีใจรัก รักที่อยากจะทำ รักที่อยากจะปลูก
วันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน เราจะมาอยู่ศึกษาธรรมะจนจบได้ เราจะผ่านความยากลำบาก มุ่งมั่นไปถึงที่สุดได้นั้นก็คือใจเราต้องมีใจรัก มีใจที่จะสนใจ มีใจที่จะศึกษา ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้มีใจรักธรรมะกันมากน้อยแค่ไหน รักธรรมะไหม (รัก)  แล้วธรรมะเป็นอย่างไรล่ะ ก็ไม่รู้ ใช่หรือเปล่า รู้แต่ว่าธรรมะคือสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารักที่จะเป็นคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้เท่านี้ก็พอแล้วใช่ไหม พอไหม (ไม่พอ)  เป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่ศึกษาจนจบสองวันได้ไหม (ได้)  ได้หรือ ยังไม่รู้เลยว่ารักธรรมะ ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้ แล้วอย่างนี้จะมีแรงศึกษาต่อจนจบไหม (มี)
ยังไม่ต้องรักก็ได้นะ อย่างน้อยมีใจที่อยากจะศึกษาว่าธรรมะนี้คืออะไร แล้วธรรมะนี้เป็นอย่างไร ทำไมคนถึงเรียกร้องอยากให้เราศึกษา ความใคร่รู้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอยู่ติดตาม ตั้งแต่ต้นจนจบได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนเราดูหนัง เราใคร่อยากรู้ไหมว่าหนังเป็นอย่างไร เราดูที่เขามีโฆษณาให้นิดๆ เราก็อยากรู้ไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีตอนดุ มีตอนอิจฉา มีตอนตบตี แค่ความใคร่รู้เท่านั้นเองก็ทำให้เราดูตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างนั้นวันนี้แค่มีใจใคร่ศึกษา บางครั้งก็อาจจะทำให้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ศึกษาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมบางคนถึงเลิกดูกลางคันได้ เพราะไม่สบอารมณ์ จริงไหม (จริง)  ทำไมนางเอกถูกรังแกอยู่เรื่อยเลย ไม่สบอารมณ์เลย ไม่ดูแล้ว
วันนี้มาศึกษาหลักธรรม ปรากฏว่าต้องนั่งอย่างเดียวเลย ไม่สบอารมณ์แล้ว ไม่นั่งแล้ว พรุ่งนี้ไม่มาเลยใช่หรือไม่ เริ่มหัวเราะแล้ว เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วใช่หรือไม่ ว่าเรียนอะไรก็ต้องเรียนให้จบ ได้อะไรไปก็น่าจะได้ให้ครบสมบูรณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ศึกษาไปแล้วเกือบครึ่ง ฉะนั้นเอาอีกครึ่งหนึ่งให้จบดีหรือไม่ (ดี)
ใครเคยกินมะระมาบ้างแล้วยกมือขึ้น ขมอย่างไรมีใครคายทิ้งบ้าง (ไม่มี)  ทำไมล่ะ มีคนบอกว่าอร่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อ้อยหวานอย่างไร ใครกลืนลงได้บ้าง กลืนไหม (ไม่กลืน)  ดูดน้ำเสร็จแล้วต้องคายทิ้ง เฉกเช่นเดียวกัน ชีวิตของเรามีทั้งทุกข์มีทั้งสุข บางครั้งทุกข์ทำให้เราเจ็บ ทุกข์ทำให้เรามีน้ำตา ทุกข์ทำให้เรารู้จักคน แต่ทุกข์ก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเรียนรู้ชีวิตได้จากทุกข์ แต่ความสุขสิ กลับทำให้เราเป็นอย่างไร ไม่ยอมตื่นจากความฝัน (สุขทำให้สบายใจ)  สบายใจหรือ เวลาเรามีความสุขใช่จะทำให้เราสบาย แต่ความสุขทำให้เราหลง ไม่อยากไปไหน อยากอยู่แค่วันนี้ นาทีนี้ เท่านี้ก็พอแล้วจริงไหม (จริง)  ความสุขเหมือนทำให้เราติดตา ติดหู ไม่ยอมฟังใคร และไม่ยอมก้าวหน้าไปไหน เวลาเรามีเงินห้าร้อย แต่ก่อนเราไม่มี เรารู้สึกสุขไหม (สุข)  รู้สึกว่าวันนี้ดีใจ มองแต่ห้าร้อยพลิกไปพลิกมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ห้าร้อยนี้แค่เจอข้างถนนเราก็รู้สึกเป็นอย่างไร (ดีใจ)  ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อยากจะเดินไป ไม่อยากจะเจอใคร เพราะเดี๋ยวเดินไปเจอใครก็บอกว่าเงินของเขา สุขทำให้เราถูกปิดตา ความสุขทำให้เรานั้นหลง แล้วก็ไม่ยอมก้าว หลงแล้วทำให้เราไม่กล้าเผชิญความจริง
ดูคนต้องดูให้ถึงข้างใน ดูให้ถึงจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าดูคนเพียงภายนอก ไม่อย่างนั้นจะโดนหน้าหวานๆ คำพูดเพราะๆ หลอกเอาได้ แล้ววันนี้ใครจะหลอกใครกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เราคงไม่คิดมาหลอกท่านหรอกนะ ท่านไม่รู้ แต่เราบอกได้แน่นอนว่าตัวเราไม่คิดมาหลอกท่านหรอก อยู่ด้วยความเสแสร้ง อยู่กันด้วยความหลอกลวง หาความจริงใจไม่ได้ไม่มีความสุขหรอก มีแต่อยู่กันด้วยน้ำใสใจจริง พูดกันด้วยความซื่อตรง ย่อมผูกสัมพันธ์ได้ยั่งยืนนานกว่าจริงหรือไม่ (จริง)  แม้จะเจอกันครู่เดียวแต่ใครเล่าอยากให้ชื่อถูกเกลียดไปนาน เราก็คงไม่อยากเอาชื่อของเรามาให้ท่านเกลียดไปตลอดชีวิตหรอก ชีวิตมนุษย์มีเรื่องไม่กี่เรื่องหรอกที่เราต้องพบเจอ ที่เราต้องประสบเจอ เรื่องแรกที่คนทุกๆ คนไม่อยากจะเจอ ก็คือความทุกข์ แล้วเราเคยรู้ไหมว่า ความทุกข์ที่แท้จริงมาจากไหน (มาจากใจ)  ใจเป็นอย่างไรล่ะจึงทุกข์ (ใจที่ยึดมั่น)  ตอบได้ดี เป็นอย่างไรอีกล่ะที่ทำให้ทุกข์ (มาจากใจ)  ใจเป็นอย่างไรล่ะจึงทุกข์ (ใจที่ยึดมั่น)  ตอบได้ดี เป็นอย่างไรอีกที่ทำให้ทุกข์ (ทุกข์มาจากความคิด)  คิดอย่างไรล่ะที่ทำให้เราทุกข์ เขาตอบได้ถูกต้องเลยนะ (คิดแบบอยาก)  คิดแบบอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เลยทำให้เป็นทุกข์ แล้วเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เราเคยคิดไหม (เคย)  แล้วอยากหรือเปล่า (ไม่อยาก)  แล้วคิดอย่างไรเราถึงจะสามารถพ้นทุกข์ได้ ลองดูง่ายๆ เรายกตัวอย่าง คนเราพอมีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ ทำไมจึงทุกข์ เพราะว่ามีแล้วไม่พอจึงทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  แถมมีแล้วน้อยเกินไปก็หงุดหงิดก็เป็นทุกข์ ไม่มีทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่มีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ คิดใหญ่เลยว่าจะทำอย่างไรให้มี ไม่อย่างนั้นตายแน่เลยถูกหรือไม่ (ถูก)
คนฉลาดทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมจึงทุกข์ล่ะ เราจะบอกให้ เขาทุกข์เหมือนกัน เพราะเขาคิดอะไรก็เป็นเงินเป็นทองหมดถูกไหม (ถูก)  วันนี้น่าจะทำอย่างนี้แล้วก็ทำอันนี้ แล้วก็ทำอันนี้ แต่เวลาไม่พอให้ทำเลยรู้สึกเป็นทุกข์ที่คิดได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่คิดได้แล้ว แต่ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนโง่ล่ะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ เพราะคิดไม่ออกว่าทำอย่างไรถึงจะคิดให้มันมีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่สวยทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนขี้เหร่ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ล่ะ (อยากสวย)  อยากสวย อยากขี้เหร่ อย่างนั้นถามอีก คนสวยคนหล่อทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมจึงทุกข์ (มีแฟนเยอะ)  มีแฟนเยอะ แต่บางคนก็อาจคิดว่าสวยแล้ว หล่อแล้ว กลัวจะสวย หล่อนี้ไม่นานจริงไหม (จริง)  พอหน้าโดนชกเป็นอย่างไร ทุกข์แล้วเพราะไม่หล่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครพูดอะไรก็ต้องระวังรักษาหน้าไว้เดี๋ยวไม่หล่อเดี๋ยวไม่สวยจริงไหม (จริง)  อย่างนั้นเราหนีทุกข์พ้นไหม (ไม่พ้น)  ไม่พ้นเลย บางทีเราบอกว่าไม่มี ถ้ามีแล้วเราจะได้สุข แต่กลับไม่สุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความทุกข์ใช่หนีจากฝั่งหนึ่งไปหาอีกฝั่งหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีหนีจากความไม่มีไปมีแล้วจะสุขแต่สุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์อยู่ที่ใด ทุกข์อยู่ที่ใจ ใจที่ไม่รู้จักพอและใจที่ไม่รู้จักคิดให้เป็น คิดให้ได้จริงไหม (จริง)  คนเราจะหมดทุกข์ได้ อยู่ที่ใจเรา คิดเป็นไหม คิดออกไหม ถ้าคิดออก คิดได้ คิดเป็น ทุกข์จะกลายเป็นสุข แล้วสุขนั้นจะไม่กลับเป็นทุกข์ ไม่ใช่ไปหาทางแก้สุข หาทางแก้ทุกข์โดยการวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง อย่างเช่นไม่มีแล้ววิ่งไปให้ฝั่งมี แต่พอมีแล้วก็กลับทุกข์อีกถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นเราจะแก้ทุกข์ต้องหาที่ต้นเหตุของเรา เหตุที่ใจเราคิด คิดอย่างไรล่ะ บางคนคิดเปรียบเทียบจริงไหม (จริง)  ทำไมเราจึงรู้ว่าตัวเองไม่มี เพราะเราไปมองเห็นคนที่มี ทำไมเราจึงบอกว่าตัวเองไม่สวยไม่หล่อ เพราะเราไปเห็นคนที่หล่อกว่า สวยกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราจึงทุกข์อีกล่ะ เพราะเราไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี รับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเป็น เราจึงทุกข์  ฉะนั้นทุกข์จะกำจัดได้นอกจากคิดให้เป็น คิดให้ได้ ไม่คิดเปรียบเทียบแล้ว นั่นก็คือต้องรู้จัก (พอ) แต่มนุษย์นั้นหยุดคิดไม่เป็นจริงหรือไม่ (จริง)
การจะแก้ทุกข์โดยเวลาที่เรารู้สึกอยากนั้น นั่นก็คือขอให้เรารู้จักสมถะเรียบง่าย ความสมถะเรียบง่ายนั้นอยู่ใกล้ชิดสภาวธรรม แต่ความฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิมหลงลำพองบ้าในชื่อเสียงเกียรติยศ ทำให้คนเรานั้นห่างไกลสภาวธรรม  แท้ที่จริงแล้วเราหาจนถึงที่สุด มีทุกๆ อย่างเท่าที่แรงเราพอจะหาได้ แรงเราจะดิ้นรนเอาไปได้ แต่จนแล้วจนรอดเราก็รู้สึกว่าขอเพียงชีวิตไม่ป่วยเป็นโรคก็สุขแล้วจริงไหม (จริง)  เวลาป่วยเป็นโรค สามีช่วยได้ไหม (ไม่ได้) ภรรยาช่วยได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีอาจจะช่วยได้ช่วยให้เราอุ่นใจ แต่ถ้าใจเรากลุ้มกังวลใครล่ะจะช่วยผ่อนคลาย ถูกไหม (ถูก)  เหมือนวันนี้อาการปกติสามสิบสองครบ แต่พรุ่งนี้คิดถึงหมอไปหาหมอหน่อยดีไหม ถ้าหมอมาเคาะประตูบ้านไหน บ้านนั้นน่ากลัวใช่หรือไม่ใช่ (ใช่)  คนเป็นหมอจึงไม่เคยมาเยี่ยมใครใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าวันหนึ่งเราคิดอยากไปเยี่ยมหมอแล้วจู่ๆ เราก็ได้โรคกลับมา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เงินก็มีเต็มบ้าน แฟนก็นั่งอยู่ไม่เคยไปไหน ลูกก็น่ารักเอาอกเอาใจ แต่ทำไมทุกข์ในใจมันกลับไม่หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าความทุกข์เหมือนความมืด ความสุขเหมือนความสว่าง อย่ารอให้ฟ้ามืดแล้วค่อยจุดความสว่างขึ้นในใจ บางครั้งเราไม่รู้ว่าวันใดใจเราจะมืดบอด ฉะนั้นจงรู้จักจุดแสงสว่างในจิตใจด้วยคุณธรรมในเรื่องความไม่ประมาท แล้วก็จุดแสงสว่างในจิตใจที่คอยย้ำเตือนใจอย่างหนึ่งว่า คนเราเกิดมาต้องเจ็บ หนีไม่พ้นความเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บแล้ววันหนึ่งก็ต้องตาย นั่นก็คือให้เราจุดแสงสว่างในใจอย่างหนึ่งว่า ให้รู้จักปลงบ้าง วันนี้อยู่พรุ่งนี้อาจจะตายก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้แข็งแรงพรุ่งอาจจะเจ็บป่วย เจ็บแล้ววันหนึ่งก็ต้องตาย นั่นก็คือให้เราจุดแสงสว่างในใจอย่างหนึ่งว่าให้รู้จักปลงบ้าง วันนี้อยู่พรุ่งนี้อาจจะตายก็เป็นได้ วันนี้แข็งแรงพรุ่งนี้อาจจะเจ็บป่วยก็เป็นได้ คิดอยู่อย่างนี้ตรึกตรองอยู่อย่างนี้เราจะได้ไม่ต้องตกใจเมื่อถึงคราวเจียนตาย  เตรียมใจพร้อมไว้ก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเรายังทุกข์อะไรอีกล่ะ ไหนเล่าให้เราฟังบ้างสิ  ว่ายังทุกข์เรื่องอะไรกันอีก
เมื่อสักครู่ก็บอกไม่ใช่หรือ ไปตัดความโลภความหลง ก็คือต้องรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วทุกข์ตรงนี้ก็จะหายไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มนุษย์เราถ้ารู้จักกินอิ่ม สวมอุ่น  มีที่พักพิง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เท่านี้ก็สุขกายแล้ว แต่ทำไมมนุษย์เรากินอิ่ม สวมอุ่น มีที่ให้พักพิง ร่างกายไม่เจ็บป่วยแต่ยังทุกข์ใจอยู่  มีทุกข์อย่างอื่นอีกหรือไม่ ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์นั่นก็คือความหวังดี  คิดออกหรือไม่ว่าทำไมความหวังดีจึงเป็นทุกข์ได้ (ความอยากให้เขาสุขแต่แล้วเขาก็ไม่ได้สุข)  ความอยากให้เขาเป็นแต่เขาไม่เป็นอย่างที่เราหวังใช่ไหม (ใช่)  
เคยฟังนิทานเรื่องหนึ่งไหม เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ มีชายคนหนึ่งเขาไปเจอนกประหลาดตัวหนึ่ง แล้วรู้สึกอยากเอามาเลี้ยงก็เลยเลี้ยงนกในแบบที่ตัวเองชอบ ตัวเองชอบกินอะไรก็ให้นกกินอย่างนั้น ตัวเองฟังอะไรเพราะก็ให้นกฟังอย่างนั้น ตัวเองต้องอาบน้ำแต่งตัวอย่างไรก็ให้นกอาบน้ำแต่งตัวอย่างนั้น นกอยู่ถึงวันไหม (ไม่ถึง)  มันอยู่ไม่ถึงวันมันก็ตาย เพราะอะไรล่ะ (เพราะคนเลี้ยง) นกตายเพราะคนเลี้ยงใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมคนเลี้ยงจึงทำนกตายได้ เพราะเขาเลี้ยงแบบไหน (เอาใจตนเอง)  เลี้ยงนกแบบเอาใจตนเอง ไม่ได้เลี้ยงนกแบบเพื่อนก แต่เลี้ยงนกแบบเพื่อตัวเอง เหมือนกันความหวังดีของคน บางครั้งเราให้สิ่งที่ดีที่สุด เราให้ความห่วงใยที่มากที่สุด เราให้ความดูแลเอาใจที่สุดเท่าที่ชีวิตเราชีวิตหนึ่งจะหาได้ให้เขาเต็มที่ที่สุด แต่มันกลับไม่สมบูรณ์สำหรับตัวเขา เพราะเราไม่ได้เลี้ยงเขาในแบบที่เป็นเขา เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากให้เราทำ แต่เราทำในสิ่งที่เราอยากได้ และเราชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงเลี้ยงแล้วไปไม่รอดเหมือนกัน
ความหวังดีของมนุษย์สามารถทำให้เกิดทุกข์ได้ เพราะความหวังดีนั้นคือความที่เราชอบแต่เขาไม่ชอบ ความหวังดีนั้นเลยไปไม่รอด ความห่วงนั้นเลยกลายเป็นทุกข์กลุ้มกังวล จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เลี้ยงลูกแบบที่เป็นเราหรือเลี้ยงลูกแบบที่เขาจะเป็น ความทุกข์เลยเกิดได้เพราะความห่วง  ห่วงดีด้วยนะ หวังดีด้วยนะ แต่ทำไมทุกข์ใจล่ะ
วันนี้รู้วิธีแก้ทุกข์สองอย่างแล้วจริงไหม (จริง)  ถ้าโลภให้รู้จักพอแล้วก็ให้รู้จักสมถะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนอกจากแก้ทุกข์เรื่องนี้แล้วแก้ทุกข์เรื่องอะไรอีก เรื่องความห่วงใช่หรือไม่ แล้วเรายังเกิดทุกข์ได้อีกไหม
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดในหมู่คณะใดแล้วมักจะทำให้เกิดความขัดแย้ง นั่นก็คือทุกข์เพราะความแตกต่างจริงไหม (จริง)  คนเรามีความแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเกิดความขัดแย้งขึ้นมา แต่ความขัดแย้งนั้น จะไม่ตกผลเป็นความแตกแยกเพราะไม่เป็นที่อยู่อาศัยของความเศร้าโศกได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับความแตกต่างระหว่างกัน  ที่เราเป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่งเวลาทำงาน อยู่ร่วมกับใคร หรือเราอยู่ในครอบครัว แล้วเราเป็นทุกข์นั่นคือความแตกต่างระหว่างความคิด  พ่อแม่คิดอย่างหนึ่ง เราคิดอย่างหนึ่ง พี่น้องคิดอย่างหนึ่ง แต่ตัวเราคิดอย่างหนึ่ง  เราทะเลาะกับสามีทุกๆ วัน เพราะอะไร  เพราะความคิดไปคนละเรื่องคนละมุม เราไปซ้ายเขาไปขวา เราเดินหน้าเขายอมถอยหลัง  แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ
เคยเห็นฟ้ากับดินไหม (เคย)  ฟ้ากับดินแตกต่างกันไหม (แตกต่าง)  แต่ทำไมถึงอยู่ร่วมกันได้ล่ะ นั่นก็เพราะมีมนุษย์อยู่ตรงกลาง  เพราะมีมนุษย์ที่รู้จักสามารถนำฟ้ากับดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์   ตัวเราก็เหมือนกัน สามีคิดอย่างหนึ่งเราคิดอย่างหนึ่ง เรายอมรับความแตกต่างได้ไหม แล้วเราสามารถยืนตรงกลางและสามารถอาศัยความแตกต่างนั้นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าเรายังยืนตรงกลางได้เราก็ยังเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราพบความแตกต่างแล้วเรายืนตรงกลางได้และไม่สามารถใช้ชีวิตได้  เราหาใช่มนุษย์ไม่  ถูกไหม (ถูก)  อาจจะไปเป็นนกที่อยู่บนฟ้า หรืออาจจะไปเป็นปลาที่อยู่ในน้ำ  แต่ตอนนี้เราเป็นสองขาที่อยู่บนดิน เรามองเห็นทุกวัน ฟ้าก็คือฟ้า ดินก็คือดิน เราเปลี่ยนให้ดินเป็นฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  เปลี่ยนฟ้าให้เป็นดินได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกันเราก็คิดแบบเราเขาก็คิดแบบเขา จะให้คิดเหมือนกันได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ตัวเราเองจะทำอย่างไรให้ฟ้ากับดินนี้มีอยู่ร่วมกันได้ แล้วเราก็จะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ  ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราชอบเป็นนกที่ขึ้นไปบนฟ้าหรือไม่ก็เป็นหนอนที่ไชดินไม่ยอมฟังเหตุผล ปิดหูปิดตามุดอยู่ในดินลงไปเรื่อยๆ สามีพูดอะไรไม่สนฉันมีเหตุผล ถูกไหม (ถูก)  ลูกพูดอะไรแม่ไม่สน แม่ดำน้ำลงไปบุ๋งๆ จริงไหม ลูกก็บินบนฟ้าไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันไหนจะโคจรเจอกันไหม (ไม่เจอ)  ก็เป็นทุกข์ไหม (เป็น)  เมื่อนกกับปลาคุยกันไม่รู้เรื่อง ถูกไหม (ถูก)  แต่เราคือมนุษย์ผู้ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาถึงบอกว่าย้ายเขาเคลื่อนแผ่นดินเรายังทำได้ แต่เปลี่ยนใจคนเปลี่ยนไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ยังยอมมุดดินกันอยู่หรือ (ไม่ยอม)  ไม่ยอมมุดดินก็ต้องทำการบ้านดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเรารับความแตกต่างของคนได้ เราจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข ความขัดแย้งจะไม่เป็นที่อยู่อาศัยของความโศกเศร้าเสียใจ รอยแตกร้าวจะไม่บังเกิดขึ้นที่ใด ถ้าที่นั้นรู้จักรับความแตกต่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรารับไหม (รับ)  เหมือนกับเพลงที่ว่า “ยอมรับสิ่งที่เป็นไม่ลำเค็ญที่ใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับเหมือนกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยอมรับสิ่งที่ตัวเราเป็น คนอื่นเป็นไม่ฟังได้ไหม (ไม่ได้)  และยังมีเรื่องใดที่เป็นทุกข์อีกไหม ถ้าแก้ได้เรื่องความโลภ ถ้าแก้ได้เรื่องความห่วง ห่วงหาวิตกกังวล และถ้าแก้ได้ในเรื่องความแตกต่าง ทุกข์ในชีวิตจะน้อยลง จริงไหม (จริง)  ตอนนี้เรามาพูดเรื่องสุขดีไหม (ดี)  อะไรทำให้มนุษย์มีความสุข  (จิตใจ)  ความสุขเกิดได้จากใดบ้าง มาได้จากใดบ้าง (ได้จากความเป็นธรรม)  ได้จากความเป็นธรรม ความยุติธรรม แล้วความยุติธรรมหาในโลกได้ไหม (ได้)  หาได้จากที่ใด (ที่ใจ)  ที่ใจตนเองก่อนนะ  ความสุขเกิดขึ้นได้อย่างไร (จิตใจเราไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์, รู้วิธีกำจัดกิเลสกำจัดความทุกข์)  
“อย่าปล่อยวันเวลาผ่านผ่านไป โดยไม่ทำอะไรให้เกิดค่า
เพราะมัวหลงไม่ตื่นจากอวิชชา เสียเวลาทั้งชีวิตน่าเสียดาย”
(เสียดายชีวิตก็จะกลับคืนแล้ว) เสียดายชีวิตเหลืออีกแค่นี้เองใช่หรือเปล่า เวลาเพียงแค่ชั่ววูบอย่าได้เสียดาย หากชั่ววูบคิดได้ รู้แล้ว แล้วทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่แรงกำลังตนจะทำไหว คุณค่านั้นก็มีประโยชน์จริงไหม (จริง) เคยเห็นไหมว่า เทียนหากสว่างในเวลาที่ควรสว่าง เล่มเล็กๆ เหลือแค่นิดหน่อยก็มีประโยชน์ ชีวิตของเราก็เฉกเช่นเดียวกัน ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า หากชีวิตเรามืดมาแต่ขอให้สว่างไป แล้วอะไรล่ะที่จะจุดความสว่างในจิตใจถ้าไม่ใช่คุณงามความดี การประพฤติ ปฏิบัติตน คำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนถ้าคดในข้องอในกระดูก ก็ไม่มีใครเขาอยากคบใช่หรือไม่ (ใช่) สู้ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นานไม่ได้
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนต่างจังหวัด หรือคนที่ไม่ใช่อยู่ในเมืองหลวง นั่นคืออะไรล่ะ นั่นคือความซื่อตรง มีความจริงใจ  เล่ห์เหลี่ยมไม่มี พูดจาแม้จะสวยๆ ไม่เป็น แต่งกายแม้จะเนี้ยบโก้หรูไม่ได้ แต่มีจิตใจที่งดงาม  ขอเพียงว่าเราเกิดเป็นคน มีจิตใจที่ซื่อตรง ค้าขายไม่เอาเปรียบ ไม่กินแรง ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักทำบุญตักบาตร รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ แค่นี้ก็เป็นคนดีได้ แต่ข้อสำคัญคืออย่าพูดมาก อย่าเล่นหวย ทั้งใต้ดินบนดิน อย่าเล่น หวยไม่เคยทำให้คนเป็นคนดี หวยทำให้คนหลง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  โชคมาบ่อยไหม (ไม่บ่อย)  นับไปสิ ที่ถูกกินเอามาเก็บเป็นเงินได้ตั้งหลายบาทแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วอันไหน โชคมันจะมาตกที่เราล่ะ (ไม่รู้)  รู้อย่างเดียว รู้ว่าเสียไปเกือบทุกงวด เก็บเงินไว้ดีกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจ เรารู้จักรักษาศีลให้ครบไหม เกิดเป็นคนดี สิ่งพื้นฐานอย่างหนึ่งก็คือขอให้มีศีลธรรมครบ เมื่อศีลธรรมครบแล้วอย่างอื่นไม่ต้องกังวล กลัวก็แต่ศีลห้ายังถือไม่ครบ เหล้าก็เหน็บ มือก็หนีบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวก็เบี้ยวๆ ไปมาอย่างนี้ ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเหล้าไม่เคยทำให้คนเป็นคนดี บุหรี่ไม่ทำให้คนเป็นคนดีได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  บุหรี่นอกจากทำให้ตัวเองไม่ดีแล้วยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
อบายมุขทำให้เราเสีย ทำให้ครอบครัวนั้นล่มจมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้อย่างนี้แล้วเอาไหม (ไม่เอา) มีไหม (ไม่มี)  เป็นไหม (ไม่เป็น)  ต่อไปมีสองตัวเอาไหม เดี๋ยวก่อนไปเราให้สองตัวเอาไหม (ไม่เอา, เอา)  ไม่แน่จริงนี่นา เป็นคนดีต้องมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้เขาเรียกว่าดีไม่จริง คดในข้อ งอในกระดูก มีช่องทางได้ก็เอาทุกทาง ยกตัวอย่างง่ายๆ มีลูกห้าคน เวลาพ่อแม่อยู่ขยันมาก แต่พอพ่อแม่ไม่อยู่ นอนตีพุง ไม่ทำเลย จนกระทั่งพอถึงเวลาแม่จะมาพ่อจะมา รดน้ำหน่อย ตบต้นไม้ให้มันสวยๆ หน่อย อย่างนี้เอาไหมลูก (ไม่เอา)  ฟ้าเบื้องบนก็ไม่เอาคนแบบนี้ขึ้นฟ้านะ จะตายแล้วค่อยทำดีเข้าไว้ สายไปไหม ความดีไม่ใช่ดีได้แค่วันเดียว ความดีต้องมีสิ่งสะสม แต่สะสมแล้วต้องไม่ยึดติด แต่คนในโลกคนดีก็ดี คนชั่วก็ชั่ว เรารังเกียจคนชั่วได้ไหม (ไม่ได้)  เราอุปถัมภ์ค้ำชูคนชั่วดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเจอคนชั่วควรจะ (ชักชวนให้ทำดี)  ตอบได้ดี การชักชวนคนชั่วให้ทำดีต้องระวังอย่างหนึ่ง เคยเห็นอีกาในฝูงหงส์ไหม (เคย) เข้าไปใครตายก่อนใคร หงส์ตายก่อน ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงคนชั่ว เหมือนเราจะไปถอดเขี้ยวเสือเล็บเสือ ต้องรู้จักนิสัยใจคอเขาก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นอีกาในฝูงหงส์ กามันจะตีหงส์ตาย เราต้องรู้จักทำอย่างไร อ่อนน้อมเข้าไปก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว เรานั้นจะกลายเป็น (อีกา)  อีกาเลยหรือ ชวนเขาดีไม่ได้เลยเลวกับเขาเลย ไม่ได้นะ
แม้ฟ้าจะโหดร้าย สังคมจะเปลี่ยนแปลง คนเราจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน เขาชั่วเรื่องของเขา แต่อย่าลากให้เราไปชั่วตามเขาถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเรื่องง่ายๆ ถูกคนอื่นเข้าใจผิด เราไปต่อว่าเขาได้ไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไปชี้บอกเขาว่าไม่ใช่ๆ แก้ไขไปมีประโยชน์ไหม (ไม่มีประโยชน์)  จึงมีคำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า ถูกคนอื่นเข้าใจผิดแม้จะเป็นทุกข์ แต่ให้คนอื่นให้อภัยที่ตัวเองไปต่อว่าเขาก็หาใช่สุขไม่ เข้าใจคำนี้ไหม ไหนรองหัวหน้าตอบให้ฟังหน่อย (เขาใส่ร้ายเรา เราไปต่อว่าเขายังไง ก็ไม่ทำให้ดีขึ้น ยิ่งจะทำให้ขัดแย้งกันยิ่งขึ้น คือการโต้แย้ง ขัดแย้ง อาจจะเกิดการทะเลาะวิวาท จนถึงขั้นตีกันทะเลาะกัน กลายเป็นจากสองสามคนสี่คนจนเป็นกลุ่มก็ได้)  ถ้าเช่นนั้นเราควรใช้อะไร (ก็คือใช้ความนิ่ง ความมั่นใจในตัวเอง อย่างที่เราได้ศึกษาธรรมะตรงนี้เราก็ไม่ควรยึดมั่น ควรปล่อยวางในทุกสิ่งให้ว่าง ไม่ให้อยู่ในความคิด ไม่ให้อยู่ในใจเรา ทุกอย่างก็จะไม่เกิด ทุกอย่างก็สงบ)
บางครั้งถูกคนเข้าใจผิด เป็นธรรมดาเราอยู่ร่วมกับคนในสังคม อยู่ร่วมกันในครอบครัว การเข้าใจผิดเป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเข้าใจผิดแล้ว เราจะใช้วิธีการอย่างไร ถ้าเราโวยวายเอะอะ  ต่อล้อต่อเถียงไป ไม่มีประโยชน์ จริงไหม พอเถียงไปปุ๊บเข้าใจผิดไปใหญ่เลย ตอนนี้มาขอโทษ อภัยให้ฉันเถอะ ผิดไปแล้ว  เราก็รู้สึกเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อสักครู่มีทุกข์เพราะเขาเข้าใจผิด ก็ยิ่งทุกข์มากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งเป็นเรื่องเป็นราว บางทีเขาอาจไม่คิดอะไรมาก เขาก็กลับมาบอก อ้อ นี่เธอคิดมากเหรอ ใช่ไหม (ใช่)  บางทีให้คนอื่นให้อภัยก็ไม่ใช่ความสุข ถูกไหม (ถูก)  คนอื่นเข้าใจผิดบางทีก็อาจไม่ใช่ทุกข์เสมอไปก็เป็นได้ ขอเพียงเรามีความอดทน แล้วเวลาจะช่วยพิสูจน์ความเป็นคนในตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราเป็นคนอย่างไรในสายตาเขา คำพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับการกระทำของตัวเราเอง ฉะนั้นเกิดเป็นคนสำคัญอย่างหนึ่ง เชื่อมั่นในตัวเองได้ แต่อย่ามากจนเกินไป มากจนขนาดไม่ฟังใคร ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คำพูดโบราณจึงกล่าวไว้ว่า เมื่ออยู่ร่วมกันอย่าเห็นแต่จิตใจตัวเอง แต่ต้องมองเห็นจิตใจผู้อื่นด้วย แต่ถ้าทำงานร่วมกัน อย่าเห็นแค่ความคิดเห็นของตัวเอง  แต่ต้องมองเห็นความคิดเห็นของส่วนรวมด้วย เหตุผลและหลักใหญ่ของการอยู่ร่วมกัน หรือการทำงานร่วมกันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราสามารถอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข และรักษาใจเราให้เป็นปกติไม่เป็นทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านสั้นๆ ง่ายๆ แค่นี้ดีไหม อย่างน้อยเรามา เราช่วยให้ท่านได้รู้วิธีแก้ความทุกข์ และให้รู้จักคิดอย่างเป็นสุขในการอยู่ร่วมกัน แค่นี้เอง นี่คือปัญหาของชีวิตที่เราทุกคนต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้ว่า ทุกข์อยู่ที่ความคิดของเรา ถ้าคิดเป็นคิดได้ ความทุกข์ในโลกจะไม่สามารถมาทำอะไรจิตใจเราได้ เหมือนอย่างเวลาเราเห็น โค กระบือ  ถ้าเราจับมันก้มหัว ถ้ามันไม่อยากก้มเอง ใครก็กดให้มันก้มไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ความทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน มันไม่สามารถมีอิทธิพลหรือทำร้ายใจของตัวท่านได้ ถ้าตัวท่านไม่ตั้งใจไปเอามันมาจริงไหม (จริง) ถ้าตัวเราไม่คิดร้าย ไม่คิดชั่ว ความชั่วหรือความร้ายก็ทำอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงคิดให้เป็นคิดให้ได้ แล้วชีวิตนี้จะมีสุข จริงไหม (จริง) อย่าคิดแบบคนเอาแต่ได้ อย่าคิดแบบคนมองแต่ตนแต่ไม่เคยเห็นใคร คนเช่นนี้หาความสุขในโลกไม่ได้หรอก จริงไหม (จริง) คนที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ คนที่มองแต่ตัวเองทุกข์ แต่ไม่เคยเห็นคนอื่นทุกข์ คนเช่นนี้ไม่มีวันพบความสุขที่นิรันดร์จำให้ดีนะ วันนี้ก็คงแค่นี้ มีโอกาสก็ค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ดีไหม (ดี)


วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง
คนบำเพ็ญฝึกตนเป็นสุภาพชน อย่าโหวกเหวกโวยวายจนไม่น่านับถือ
คนบำเพ็ญไม่หัวแข็งและดึงดื้อ อย่ายึดมั่นถือมั่นมากอัตตา
เราคือ
หนันจี๋เซียนอง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบเบื้องหน้า
องค์มารดา ถามหลานน้อยน้อยที่น่ารักตั้งใจบำเพ็ญหรือยัง
คนทนเป็นทนมากสบายมาก ทนลำบากสู้ชีวิตไม่หวั่นไหว
คนรอบคอบยากล้มเหลวในบั้นปลาย ชีวิตจิตเข้มแข็งทำใจรู้จักวาง
ชำนาญการยื้อแย่งให้หัวปั่น อย่ามองเป็นเรื่องขันแก้ไขบ้าง
ทบทวนย้อนการเย็นใจไม่ระวัง ผิดแนวทางทุกข์ทำช้ำฤทัย
ในการบำเพ็ญการเป็นผู้บำเพ็ญ อย่าลืมตัวจงเป็นคนอัชฌาศัย
เวลาไม่คืนให้คนสำนึกได้ ทำสิ่งใดพิจารณาทำให้ดี
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง
 
สิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราได้ฟัง สิ่งที่คิดว่าดีก็จำเป็นที่จะต้องคิดตามและปฏิบัติตามด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อชราเฒ่าก็เดินช้าเป็นธรรมดา ใช่หรือเปล่า คนที่อายุมากๆ แล้ว (ใช่)  สังขารเดินช้าแต่จิตใจช้าด้วยหรือเปล่า สังขารไม่ดี จิตใจต้องดีใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเป็นไม้ใกล้ฝั่ง จะใกล้ไปฝั่งไหน จะใกล้ไปฝั่งเวียนว่ายตายเกิด หรือใกล้ไปฝั่งหลุดพ้นนิพพาน เราผู้เฒ่าคิดว่า ไม่มีใครอยากจะเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดแน่นอนใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าเราไม่ได้ปรับตัวของเราให้ดีขึ้น เมื่อไม่ปรับปรุงตัว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เมื่อไม่มีอะไรดีขึ้นย่ำอยู่กับที่ ไม่แก้ไขตัวเอง ก็ย่อมที่จะเหมือนเดิม ย่อมที่จะเวียนว่ายไปเช่นเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชาตินี้เกิดมามีทุกข์หรือไม่ (มี)  ชาตินี้เกิดมารู้สึกไหมว่า ทำไมเราถึงได้มีบางอย่างไม่เหมือนกับคนที่เรามองแล้วคิดว่าเขาโชคดี ทำไมเรายังขาดแคลนสิ่งนั้นที่เรายังเปรียบเทียบกับคนๆ นั้น ว่าเขาดีกว่า ทำไมเราถึงยังขาดแคลนสิ่งนี้ ทำไมโชคชะตาของเราถึงได้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้โชคดีเหมือนกับคนอื่นเล่า ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น (เราไม่ได้ทำบุญไว้)  เพราะคิดว่าเราไม่ได้ทำบุญไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันนั้นเป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบให้เห็นว่า เรานั้นยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย ที่เป็นข้อบกพร่องที่เกิดจากชะตากรรมทีเดียว แก้เท่าไรก็แก้ไม่หมด แต่ในตอนนี้ชะตากรรมของเราโชคดี ถึงได้ธรรมะแท้ โชคดีถึงบำเพ็ญแล้วหลุดพ้นได้ แต่เรากลับยังเฉยๆ อยู่ คือร่วงโรยไปแต่สังขาร จิตใจนั้นไม่ได้ร้อนรนอยากที่จะหลุดพ้นเลย เฉื่อยๆ ไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ย่อมไม่มีอะไรได้กลับมา มิบำเพ็ญ มิหลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะหลุดพ้นต้องทำอย่างไร  (ทำความดี)  อยากจะหลุดพ้นต้องทำให้ดีกว่านี้อีกใช่หรือเปล่า เราต้องเป็นคนดี เราต้องเป็นคนที่เสียสละให้ผู้อื่นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การเสียสละให้ผู้อื่นนั้นยากไหม (ยาก)  เรามักจะเสียสละให้กับคนที่เป็นลูก เป็นญาติ เป็นวงศาคณาญาติ คนใกล้ชิดของเราเท่านั้น อย่างนี้ที่เราสละให้นั้นเป็นความเมตตาหรือเปล่า เมตตาใช่ไหม (ใช่)  เป็นเมตตาวงเล็กๆ เพราะถ้าหากว่าไม่สนิทกัน ไม่รักกัน ไม่มีความสัมพันธ์กัน ก็ไม่อยากจะให้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นความเมตตาเล็กๆ เหมือนดวงไฟเล็กๆ ดวงหนึ่ง จะสว่างไปได้สักมากน้อยเพียงไหน ถ้าหากว่าในห้องที่มีความสว่างอยู่มากพอ เราจุดไฟขึ้นมาดวงหนึ่ง ไฟดวงนี้สว่างมากไหม (ไม่มาก)
ตอนนี้อยู่ในสังคมโลกนี้ สังคมโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราแสดงความเป็นผู้บำเพ็ญเพียงเล็กน้อย จะให้แสงสว่างแก่ผู้อื่นได้มากไหม (ไม่มาก)  แล้วถามว่า สามารถให้สว่างกว่านี้ได้ไหม จิตเมตตานี้ (ได้)  ทำอย่างไร (ต้องพยายามทำความดีให้มากๆ บำเพ็ญให้มากๆ )  
“คนบำเพ็ญฝึกตนเป็นสุภาพชน”
ได้ยินไหม นึกว่ามีแต่คนแก่ที่หูตึง เด็กๆ ก็หูตึงแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีความแก่อยู่ในความวัยเยาว์เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต้องดำเนินไปสู่ความแก่เฒ่าใช่ไหม (ใช่)  สักวันหนึ่งแรงที่มีเยอะแยะก็จะหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำอะไรได้ก็ต้องทำใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเราอยากรีบๆ เดินมา รีบเดินเท่าไรก็ยิ่งช้าไปเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้ยังทำอะไรได้อย่างใจก็ยังไม่ยอมทำ อีกหน่อยพอแรงไม่มีอยากจะทำอะไรเยอะแยะยิ่งไม่ได้ทำใหญ่เลย ใช่ไหม (ใช่)  
“อย่าโหวกเหวกโวยวายจนไม่น่านับถือ
เห็นเป็นคนเฉื่อยๆ เรื่อยๆ อย่างนี้ แต่พอเวลามีเรื่องขึ้นมาทีก็เอาเรื่องเหมือนกันใช่ไหม เอาเรื่องกับใคร (เอาเรื่องกันตัวเอง)  คนไหนเอาเรื่องกับตัวเองบ้างมีไหม ส่วนใหญ่ไปเอาเรื่องกับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาก็เห็นเราไปหาเรื่องเขา เขาก็มาเอาเรื่องกับเรา พ้นหรือไม่พ้น เป็นเวียนว่ายตายเกิดแห่งอารมณ์วงเล็กๆ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้อยากรู้ว่าหลุดพ้นจากการเวียนว่ายอย่างไร ก็ลองหลุดพ้นจากอารมณ์แห่งตัวเองดีไหม (ดี)  อย่างนี้ก็ต้องเลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกแค้น ใช่ไหม (ใช่)  ต้องอภัยให้คนด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอยู่ใกล้ตัวอภัยง่ายไหม คนยิ่งอยู่ใกล้ตัวยิ่งอภัยยากใหญ่เลยใช่ไหม (ใช่)  อภัยแต่คนไกลๆ ใช่ไหม เพราะอะไรล่ะ รักมากก็ต้องตีให้เจ็บหน่อยใช่หรือเปล่า เพราะความห่วงมันอยู่ที่มือ แล้วแรงมันออกมาจากใจใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้แล้วจะรักกันทำไมล่ะ รักหรือไม่รัก ว่ากันจริงๆ แล้ว รักกันนั้นรักใครที่สุด (ตัวเอง)  รักตัวเองก็อย่าไปโกรธ รักตัวเองก็อย่าไปเกลียด รักตัวเองก็อย่าไปชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักตัวเองก็อภัยเขาเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในอารมณ์ของตัวเองไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น คนเราโกรธ มีความสุขหรือเปล่า อยู่นรกขุมที่เท่าไร ยิ่งโกรธมาก นรกขุมนั้นก็ยิ่งลึกใหญ่เลยใช่ไหม (ใช่)  อยากจะดิ่งไปสู่ขุมที่เท่าไรดี หรืออยากขึ้นสวรรค์ไป (อยากขึ้นสวรรค์)  อยากขึ้นสวรรค์ก็ต้องทำตัวเป็นเซียน เซียนก็ต้องเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เซียนเป็นคนที่มีความสุข เซียนเป็นคนที่ไม่เรียกร้องผู้อื่นแต่เรียกร้องตัวเอง เซียนเป็นผู้ที่ยอมให้ผู้อื่น มิได้เอาเปรียบคนอื่นเพื่อตัวเอง ทำได้ไหม (ได้)  อันนี้เป็นแค่เซียนตำแหน่งเล็กๆ เองนะ หากอยากเป็นเซียนใหญ่นี่ ยิ่งเหนื่อยกว่านี้อีกเป็นหลายเท่าตัวนะ ทำได้ไหม (ทำได้)  
คนบำเพ็ญไม่หัวแข็งและดึงดื้อ”  ใครหัวแข็งบ้าง แข็งไม่แข็งลองเอามือเขกหัวตัวเองซิ มีใครในนี้หัวไม่แข็งบ้าง แสดงว่าหลานเป็นคนที่หัวแข็งทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  หัวแข็งทำอย่างไร และดึงดื้อ ถ้าหากว่าเราอ่อนน้อมถ่อมตนก็เบาความหัวแข็งไปได้หน่อยหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)   เพราะเวลาหัวแข็ง หัวแข็งให้ใคร (หัวแข็งให้คนใกล้ตัว)  เวลาหัวแข็งก็ให้คนใกล้ตัวเห็นใช่หรือเปล่า คนไกลตัวมองออกไหม คนไกลตัวเขาก็มองออกเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะออกมากออกน้อย ออกหัวออกก้อยเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนนั้นพอยิ่งมองออกกันมากเท่าไร ก็ยิ่งเกลียดกันมากเท่านั้นใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นมองออกดีไหม (ไม่ดี)  มองออกดีไหม (ดี)  คนที่เป็นคนจิตใจใสๆ ก็มักจะยอมที่จะมองไม่ออก แต่คนที่มีความชาญฉลาดสูงก็ยังอยากมองคนออกอยู่ร่ำไป ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากเป็นคนโง่ แต่ก็ถูกความหัวแข็งของคนข้างๆ มาปั่นหัวเล่น อย่างนี้โง่หรือฉลาด (โง่)  ฉะนั้นการอยากจะมองคนอื่นออกหรือไม่ออกอันนี้เราไม่ติเตียน ไม่จูงใจ ไม่เปลี่ยนความคิดใคร แต่อยากจะสุขหรืออยากจะทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเอง ตรงความคิดชั่ววูบชั่วขณะนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเป็นคนฉลาดอยากมองคนออก เราก็จะต้องหัดที่จะกำราบจิตใจตนเอง อย่าได้มีความเกลียดมาก เราเป็นคนจิตใจใสซื่อ มองคนไม่ออกก็อย่าได้รู้สึกว่าท้อแท้เสียใจตามคนไม่ทัน มิต้องเสียใจในจุดนี้ แต่หากว่าเราควรที่จะรู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร หัดฟังคนอื่นให้มาก จะได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นนั้นเขามองเรา ดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อคนอื่นมองย่อมไม่เหมือนเรามอง เมื่อเรามองย่อมไม่เหมือนเขามอง การฟังคนอื่นพูดช่วยได้มากเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานกลอนโอวาท)
จะทนคนหรือทนคนเป็นดีล่ะ สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ คนที่มีความอดทนก็ต้องทนคนอื่นได้ด้วยนะ อันที่จริงเขาเขียนก็ไม่ค่อยผิดเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ความอดทนเป็นสิ่งที่รู้จักกันมานานแล้ว เขียนก็เขียนได้ใช้เวลาไม่นานเท่าไรแต่เวลาจะทำความอดทนสักครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ทำยากมากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยเฉพาะคนแก่คนเฒ่านั้นเป็นคนที่ขี้น้อยใจอยู่มากๆ ยิ่งเราขี้น้อยใจมากเท่าไร คนที่อยู่รอบๆ ข้างก็ยิ่งต้องใช้ความอดทนมากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากเราปรับสภาพจิตใจของเราได้ เราก็ควรปรับสภาพจิตใจของเรานั้นให้เป็นคนที่มีความร่าเริงกว่านี้ดีหรือไม่ (ดี)
บางคนนั้นหงุดหงิดในเรื่องสุขภาพร่างกายของเราเอง ว่าร่างกายไม่ดี จึงมีอารมณ์ไม่ดีอยู่เนืองนิจ อันนี้คนในวัยหนุ่มสาวก็จำเป็นจะต้องเข้าใจ  เหมือนกับเรา ถ้าหากไม่ได้ลงมาใช้ร่างนี้ก็สบายๆ แต่ถ้าหากลงมาใช้ร่างนี้เมื่อไรก็จะรู้สึกถึงความลำบากเมื่อครั้งนู้นมาแล้ว ได้อย่างดีทีเดียว เพราะว่าเมื่อจะขึ้นบันไดถ้าหากเป็นคนสูงวัยก็ขึ้นลำบาก แม้แต่บันไดธรรมดาก็ยากแล้ว หากบันไดยิ่งสูงชันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การปล่อยหินลงมาจากภูเขาเป็นเรื่องง่ายหรือยาก การที่ต้องออกแรงผลักหินก้อนใหญ่ๆ ลงมาเป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากแบกก้อนหินที่มีน้ำหนักเบากว่าขึ้นภูเขาไปอันไหนยากกว่า คนตอบได้อย่านั่งยิ้มเฉยๆ นะใช้ความกล้าลุกขึ้นมาตอบดีหรือไม่ (ดี)  คนที่อายุมากแล้วก็ให้เหมือนกับการผลักหินลงมาจากภูเขา แม้การผลักจะง่ายกว่าการแบกหินขึ้นมาแต่ก็เป็นงานหนักแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนในวัยหนุ่มสาวย่อมมีเรี่ยวแรงอยู่ แต่ให้แบกหินที่เบากว่า ให้เบากว่าสิบเท่า เดินแบกขึ้นมาก็ใช่ว่าจะแบกขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของคนย่อมมีขาขึ้นขาลงไม่เท่ากัน ฉะนั้นการบำเพ็ญของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน การที่แต่ละคนจะคิดอะไร ทำอะไรก็ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้เหมือนอยู่ภูเขาลูกเดียวกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นหรือใครจะลง ก็ยังต้องช่วยเหลือกัน หากเราเห็นเขาต้องการจะผลักหินลงจากภูเขาแต่เราไม่เข้ามาช่วย เราทำได้ไหม (ไม่ได้) หากเราเห็นเขาแบกหินขึ้นภูเขา เห็นว่าเขาหนัก หินมันจะทับตัวอยู่แล้ว แต่เราไม่ช่วย ทำได้ไหม (ไม่ได้) อันนี้เป็นการอุปมาอุปไมย เปรียบเทียบในการที่อยู่ร่วมกัน การอยู่ร่วมกันจึงต้องอาศัยความอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่างคนต่างต้องมีความอดทนต่อกัน อดทนออกแรงแบกหินก้อนหนึ่งบนบ่า อดทนผลักหินก้อนหนึ่งลงจากภูเขาก็ต้องมีความอดทนด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนใช้ความอดทนแล้วแต่ขีดความอดทนของแต่ละคนนั้น ย่อมไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญร่วมกันอย่างผาสุกได้ จะต้องเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา การที่เราพูดเช่นนี้ไม่ใช่ให้ใช้ในการอยู่ร่วมกันในสถานธรรมเท่านั้น แม้แต่ที่บ้าน ที่ทำงาน ที่โรงเรียน กับญาติมิตรสหายก็ยังต้องรู้จักอะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การใจดี เป็นเพราะมนุษย์เป็นผู้ที่ได้คืบเอาศอก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักตามทันนิสัยมนุษย์ด้วย ทำอย่างไรถึงจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงโดยที่เขาไม่โมโห
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังมีคนอยู่คนหนึ่งนิสัยประหลาดมักจะมองเห็นความผิดของผู้อื่นมากกว่าความผิดตนเอง มักจะอยากให้ผู้อื่นช่วยตัวแต่ตัวเองไม่อยากช่วยใคร เป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โหดร้ายเป็นเนืองนิจ คนๆ นี้เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอยู่คนหนึ่งเป็นคนดีอยากตักเตือนเขา แต่ถ้าหากเขาไปตักเตือนซึ่งซึ่งหน้าจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดการไม่พอใจขึ้น) แต่เวลาเราเตือนคนอื่นเราก็มักจะทำแบบนี้ใช่ไหม (ใช่) ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วก็เข้าไปตักเตือนยิ่งสนิทกันก็ยิ่งจะตักเตือนกันแรงขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่จะเข้าไปเตือนซึ่งซึ่งหน้านั้นทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องทำอย่างไรดี (หว่านล้อม)  นักเรียนชั้นนี้ เป็นคนที่ให้ความร่วมมือมากนะ ทำอย่างนี้ถึงน่ารักใช่ไหม คนที่ยังไม่ได้ผลไม้เลย แม้กระทั่งอยู่ข้างหน้านี่ก็ต้องรีบๆ หน่อยใช่ไหม เล่าต่อนะ อยากฟังไหม (อยาก)  เขาก็ไปขอคำชี้แนะจากคนๆ หนึ่ง คนๆ นั้นบอกว่า ให้ตักเตือนเขาด้วยความสุภาพ เขาเป็นคนเช่นไร ให้ทำตัวให้เข้ากับเขาให้ได้ ทำยากไหม ถ้าเป็นคนสมัยก่อนคงไม่ยากเท่าคนสมัยนี้ คนสมัยนี้เห็นเขาโง่ๆ คนฉลาดจะทำตัวโง่ๆ ตามเขาได้ไหม มันฝืนใจ ไม่ได้ทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  มันตัดไม่ได้ มันข้ามผ่านไม่ได้ คือข้ามผ่านตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นเขาไม่ฉลาดเราจะทำตัวแกล้งโง่ตามเขาก็ทำไม่ได้ เห็นเขาเป็นคนอย่างไร เราก็ยังที่จะอะลุ้มอล่วยกับเขาไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นในปัจจุบันนี้จึงเตือนกันไม่ได้ถูกไหม (ถูก)  แก้ไขให้ถูกจุดนะ แก้เชือกให้แก้ตรงปม มิใช่ไปแก้เชือกที่ฟั่นเกลียวกันอยู่ มองปัญหาต้องมองให้ชัด ให้รู้จริง จึงจะสามารถที่จะแก้ได้ตรงที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเป็นนิสัยคน จิตใจคน ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนหลายปม จนไม่รู้ว่าจะแก้ตรงไหนก่อน เพราะฉะนั้นอย่าเป็นผู้ที่พูดให้คนอื่นฟัง จะต้องพูดให้ตัวเองฟังให้รู้เรื่องก่อนนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าหากว่าพูดให้ตัวเองฟังไม่รู้เรื่อง พูดให้คนอื่นฟังรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  ทุกวันนี้พูดให้ตัวเองฟัง รู้เรื่องหรือยัง (ยังเลย)
ฉะนั้นคนๆ นี้เขาก็เปรียบไว้กับสิ่งๆ หนึ่ง คือตั๊กแตน เคยเห็นไหม (เคย)  ตั๊กแตน เวลาเห็นคนจะเข้ามา อยู่ตรงหน้า เขาทำอย่างไร เขาก็ยกหมัดขึ้นมาเตรียมชกเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเห็นรถวิ่งมา ล้อรถใหญ่กว่าตั๊กแตนเยอะไหม ทับทีตั๊กแตนแบนไหม (แบน)  แต่ถามว่าตั๊กแตนกลัวหรือไม่กลัว (ไม่กลัว)  ตั๊กแตนทำอย่างไร เคยเห็นตั๊กแตนถูกทับตายอยู่บนถนนไหม (ไม่เคย)  แล้วคิดว่ามีไหม แมววิ่งหลบเร็วกว่าตั๊กแตนอีก เคยเห็นแมวถูกรถทับตายอยู่บนถนนไหม (เคย)  คิดว่าทำไมมันถูกทับตายล่ะ วันนี้ใครที่เป็นคนแก่แล้ว เอาความแก่มาให้เรา แล้วเป็นสาวๆ กันดีไหม วันนี้มีคนแก่กว่า เพราะฉะนั้นตอบแล้วให้เดินมาเอาดีไหม (ดี)  ถือว่าเรายังสาวอยู่นะ ผมขาวๆ ก็ยังสาวอยู่ ถึงผมขาวๆ แล้วโกรกทิ้งก็ยังสาวอยู่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอบเราแล้วเดินมาเอานะ ตั๊กแตนตัวนี้ก็ต้องถูกรถทับแน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดาสิว่าตั๊กแตนตัวนี้เหมือนใคร (เหมือนคนแก่)  เหมือนแม่ๆ เลย คนแก่ข้ามถนนไม่ค่อยพ้นใช่ไหม มีคนคิดไหมว่า คนที่เป็นตั๊กแตนนั้น ก็เหมือนคนที่เรานั้นพยายามไปเตือน เพราะว่าเขาตั้งการ์ดรอไว้เลยไม่ยอมให้ใครเตือน เหมือนหรือไม่เหมือน พอเห็นเราตั้งท่าจริงจัง ขึงขัง จะไปเตือนหน่อย เขาก็ตั้งการ์ดรอไว้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาตาย ตั๊กแตนตัวนี้ตายเหมือนใคร เหมือนคนที่เข้าไปเตือนใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั๊กแตนตัวนี้คือใคร (ตัวเราเอง)  คือตัวคนเตือน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราควรจะประมาณตน ประมาณตนว่าเรานั้นเตือนเขาได้ไหม ท่าทีของเรานั้นสุภาพอ่อนโยนพอหรือไม่ เรานั้นเป็นคนที่ เขานั้นเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ใช่ไหม (ใช่)  การที่เรานั้นจะพูดปุ๊บ คนฟังปั๊บ ถ้าหากว่าเราทำได้เช่นนี้ แสดงว่าเรานั้นต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บารมีนั้นมีอะไรบ้าง บารมีนั้นมีอยู่ตั้งหกประเภท หากว่าเราทำได้เพียงหนึ่งในหกประเภทเท่านั้น เราก็จะเป็นคนที่เวลาพูดแล้ว อย่างน้อยต่อให้เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ยังจะต้องหยุดฟัง
การบำเพ็ญบารมีนั้นหมายถึงอะไร การบำเพ็ญบารมีนั้นหมายถึงการทำในสิ่งนั้นๆ เป็นเวลานานๆ ทำสิ่งดีนั้นๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ อาจจะใช้เวลาถึงสิบปี หรืออาจจะมากกว่านั้น ถ้าหากว่าเราทำไม่จริงจัง การได้บารมีมา หมายถึงการทำในสิ่งนั้นๆ ในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสแสดงบารมีในเรื่องนี้ พูดเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าหลานๆ คิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้มีบารมีได้หรือไม่ มีได้ไหม มีทั้งคนคิดว่ายังไม่มี และมีทั้งคนคิดว่าทำไม่ได้ มีทั้งคนคิดว่ายากเกินไป ย้อนถามกลับไปที่ความเดิม สมัยก่อนพระโพธิสัตว์กวนอิน พระพุทธองค์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์นั้น ล้วนแต่เคยเกิดเป็นกายมนุษย์ใช่หรือไม่  (ใช่)  เหมือนกับหลานๆ ตอนนี้ไหม (เหมือน)  ต่างกันตรงไหน
(มุ่งมั่นที่จะทำความดี, ต่างกันตรงที่บำเพ็ญภาวนาต่างกัน, ต่างกันที่คุณธรรม, ต่างกันตรงความมุ่งมั่น )  
ใบไม้เวลาไหลร่วงลงไปในลำธาร แม้ใบไม้หลาย ๆ ใบจะร่วงลงไปเหมือนๆ กัน แต่ใบไม้ทุกใบร่วงได้ใบละหนเดียวใช่ไหม (ใช่)  ใบนี้ก็ไม่ใช่ใบที่เราเห็นเมื่อวันก่อน เราเดินผ่านไม่กี่รอบไม่คิดตอบโอกาสก็ผ่านไปหนึ่งครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  (แตกต่างที่การกระทำ) เราก็อาจจะคิดว่ามันต่างกันไปทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ไม่ว่าจะเป็นจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ทั้งหลายทั้งแหล่ เราก็คิดว่าต่างกันไปหมดเลยแต่จริงๆ แล้วต่างกันหรือไม่ (ต่างกัน)  ดูตรงไหนว่าไม่ต่างกัน ดูตรงที่ตอนพระพุทธองค์นั้นดับขันธ์ ตอนองค์หญิงเมี่ยวซ่านดับขันธ์ตายไป มีฐานะตำแหน่งไหม (ไม่มี)  มีจิตใจและมีความมุ่งมั่นไหม (มี)  จิตใจและความมุ่งมั่นนั้นก็ยังทิ้งไว้ในโลกใบนี้  ชื่อเสียง ลาภยศ บารมีต่างๆ ก็ยังทิ้งไว้ในโลกใบนี้
ตอนนี้ชั้นนี้ที่มีคนอายุมากเป็นส่วนใหญ่เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ไปฝั่งไหนไม่รู้จริงๆ แล้วเมื่อตายไปแล้วย่อมไม่มีอะไรต่างกัน ทั้งชื่อเสียงตอนนี้ที่เราจะมีอยู่ หน้าที่การงานที่ตอนนี้เรามีอยู่ ลาภยศที่เรามีอยู่ จิตใจที่เรามีอยู่ บารมีที่เรามีอยู่ แม้จะเทียบไม่ได้แต่ทว่าเมื่อตายไปแล้วก็ย่อมไม่เหลือ
ฉะนั้นสิ่งที่แตกต่างกัน กลับย้อนมาที่จิตใจและความมุ่งมั่นของหลานๆ มิได้เทียบเท่ากับองค์อริยเจ้า ฉะนั้นถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญตอนนี้ไปบำเพ็ญตอนไม่มีกายสังขารนั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)   เพราะเมื่อตายไปแล้ว หลานจะต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ในโลก จะต้องทิ้งทั้งหมด ชื่อเสียง บารมี วาสนา ตำแหน่ง ทุกอย่างจะต้องทิ้งไว้ในโลกใบนี้ จะทำสิ่งใดทิ้งไว้ จะทิ้งไว้เป็นชื่อเสียงอันดีงาม จะทิ้งไว้เป็นชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ จะทิ้งไว้เป็นคนไม่มีชื่อเสียง และมิให้ใครยอมรับเราได้ไม่ถูกยอมรับด้วยใครทั้งสิ้น อย่างนั้นหรือถ้าหากว่าตอนนี้อายุมากแล้วมิฉวยโอกาสเร็วไว หากว่าแก่เฒ่า หง่อมยิ่งกว่านี้แล้วก็คงจะไม่ต้องพูดถึงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจิตใจที่ควรจะเป็นจิตใจที่มุ่งมั่น ยังเอามาห่วงโน่น ห่วงนี่ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงตัว ห่วงครอบครัว ห่วงในสิ่งที่เรื่องราวทุกๆ วันไม่มีซ้ำกันเลย แล้วจิตใจของเราก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งอยู่บนพื้นฐานอันเดียวกันคือครอบครัว เช่นนั้นหรือที่อยากจะเอาใจไปใส่ไว้ เช่นนั้นหรือที่อยากฟุ่มเฟือยใจไปทำ
งานเหล่านี้หรือเป็นงานที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรที่จะเอาใจใส่ดูแล้วชีวิตก็เป็นดวงแคบลง แคบลง เหมือนมีเมตตาวงเล็ก มิใช่เมตตาวงใหญ่ เหมือนมีการบำเพ็ญธรรมเพื่อชดเชยเวลาว่างเท่านั้น มิใช่เพื่อที่จะบรรลุหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้จะคุ้มแล้วหรือที่ได้เกิดมาอย่างนี้ มองหมู หมา กา ไก่ ที่อยู่ข้างนอกถ้าหากว่าชาติหน้าเราต้องเกิดมาเป็นเขาเพราะว่ากรรมของเรานำชักให้เราไปเกิดเป็นเหมือนหมาในบ้านที่เรานั้นเลี้ยงไว้ ชาติหน้าให้เราไปเกิดเป็นหมาแล้วให้คนอื่นเขาเลี้ยง ไม่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจะต้องคิดเอาเองแล้วว่าชีวิตนี้ทำแค่นี้คุ้มกับชีวิตหรือเปล่า อันนี้เราพูดจริงจังพูดอย่างจริงใจและเปิดเผยที่สุด เราว่าไม่คุ้ม ชีวิตที่มีสติครบถ้วน ชีวิตที่มีทั้งความฉลาดเฉลียว ชีวิตที่แสนจะยากเย็นฝ่าฟันมามากมาย แต่ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่คุ้มเลยนะ คิดให้ดีๆ พิจารณาให้ดีๆ อย่าเป็นคนที่ใจร้อน แต่เวลาที่ผ่านไปนอกจากความใจร้อนก็มีแต่ความเรื่อยๆ เฉื่อยแฉะ ปล่อยไปวันๆ อย่างนี้ชีวิตไม่มีประโยชน์เลย
มีใครชอบแย่งกับคนอื่นไหม แย่งโน่นแย่งนี่มาเป็นของตัวเป็นไหม จริงๆ แล้วทุกคนได้ชื่อว่าเป็นคนดี ตั้งใจแย่งคงไม่มี มีแต่ทำไปโดยคิดไม่ถึง จริงไหม (จริง) งั้นเราผู้เฒ่าถามหน่อย คิดไม่ถึงหรือไม่คิด เราไม่ได้คิดเลยจริงหรือไม่ (จริง) แต่ว่าในความไม่เจตนานั้นเราก็แย่งเขามาหรือเปล่า ไม่เจตนาแย่งเขามาบาปไหม มีคนชอบพูดบอกว่าไม่ได้ตั้งใจไม่บาป ใช่หรือเปล่า ได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อยครั้งมิได้ตั้งใจไม่บาปหรอก แต่ว่าถ้าทำให้คนเขาเคืองแค้น แก้แค้นกลับไปกลับมา อันนี้ก็เป็นกรรมใช่ไหม (ใช่) ไม่เป็นบาปแต่เป็นกรรมเอาไหม (ไม่เอา) บาปคือผลแห่งความผิดที่เกิดจากการกระทำ ส่วนกรรมคือการกระทำ บาปและกรรมเหมือนกันหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนเขาคงไม่พูดติดกัน ถ้าไม่เหมือนคงไม่ได้พูดคู่กันไปเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้น ถามใหม่ ถ้าหากไปทำคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ บาปหรือไม่บาป (บาป) บาปหรือไม่นั้นอยู่ที่คนที่เราไปแย่งเขามา ว่าเขาติดอกติดใจหรือเจ็บแค้นหรือไม่  ถ้าหากเขาติดอกติดใจ เจ็บแค้นก็แปลว่าไม่ใช่มีเพียงเราเพียงวงเดียว แต่มีวงอีกวงมาผูกติดกับเราเหมือนกับลูกโซ่ ถ้าหากเราคือวงๆ หนึ่งในลูกโซ่ หากเราต้องการที่จะดึงตัวเราขึ้นไปสูงๆ วงๆ เดียวเราดึงง่ายไหม (ง่าย) หากเราไปทำคนอื่นให้เจ็บแค้นโดยไม่เจตนาจนเขาเอาวงอีกวงมาเกี่ยวกับเราแล้วเขาก็ล็อคเอาไว้เลยขึ้นได้ไหม (ไม่ได้)   
เพราะฉะนั้นบางทีไม่เจตนาก็ไม่ดี เราจะต้องรู้จักคิด ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่คิด ไม่เจตนาไม่เป็นไร เราไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นเป็นไร แล้วเขาเอาห่วงมาล็อคเราไว้ แล้วก็คนๆ นี้ก็ยังมีกรรมของเขาเป็นอีกห่วงหนึ่งมาล็อคเอาไว้ ล็อคกันไปล็อคกันมาก็กลายเป็นบ่วงกรรมใช่ไหม แล้วต้องทำอย่างไร ก็สมมติว่าจะได้บำเพ็ญบรรลุเป็นพุทธะในชาติหน้า ก็ต้องกลับมาปลดก่อนใช่หรือไม่ ยืดออกไปอีกหนึ่งชาติเลยใช่หรือไม่ ยืดไปอีกหนึ่งชาติ แล้วพอชาตินี้ทำบาปก็ยืดไปอีกหนึ่งชาติ แล้วก็ยืดออกไป ยืดออกไปเรื่อยๆ ดีไหม (ไม่ดี)  
เราจะสังเกตว่า เราเป็นคนที่มีบุญ มีบุญมาก บางทีก็ได้โชคได้ลาภ แต่ว่าเรานั้น ก็ยังเป็นคนที่ยังต้องมีกรรม เป็นของตัว คนข้างๆ คนใกล้ๆ มาทำให้เราไม่พอใจ มาขัดใจเราทั้งๆ ที่ไม่น่าขัด เพราะว่าอะไร เพราะเรานั้นเป็นคนที่เกี่ยวกับเขามา จึงต้องมาปลดกับเขาในชาตินี้ใช่หรือไม่ หากว่าต่างคนต่างถือมีดกันคนละเล่ม ก็จะต้องเลือดโชกไปทั้งสองฝ่าย เสร็จแล้วการชำระหนี้ครั้งนี้ก็ยังไม่จบ เพราะว่าหนี้ที่มาในชาติเก่าจบแล้ว แต่หนี้บาดแผลนี้ยังไม่จบเลย ก็เวียนกันไปเรื่อยๆ น่าสนุกหรือเปล่า น่าทุกข์ใจ น่าทุกข์ใจมากๆ ฉะนั้นระงับอารมณ์ดีหรือไม่ ระงับอารมณ์และให้อภัย มีสติ มีชีวิตอยู่อย่างคนที่รอบคอบหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  
หิวข้าวหรือยัง วันนี้เป็นเซียนแล้วนะ ไม่หิวข้าวแล้วนะ ไม่หิวอย่างนี้ แล้วแม่ครัวทำให้ใครกิน มีใครหิวข้าวไหม ยังไม่หิวเลยนะ ดีๆ
เล่านิทานให้ฟังอีกเรื่องดีไหม (ดี)  เป็นคนสูงวัยแล้วก็ชอบฟังนิทานเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอยู่คนหนึ่งเขาเลี้ยงม้า ม้าของเขาตัวนี้ เขารักมากเลย เขาจะเอาตะกร้าไผ่สานรองรับมูลของม้า แล้วเอาเปลือกหอยขนาดใหญ่รองรับปัสสาวะของม้า คนนี้รักม้ามากไหม (มาก)  รักม้ามากเลย แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ม้าตัวนี้ก็มีเหลือบตัวหนึ่งไปกินเลือดของม้า คนๆ นี้ทำอย่างไร เขาจะทนปล่อยไปได้ไหม ทนไม่ได้ ไม่อยากจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้เลย ทำอย่างไรหลานๆ คิดว่าเขาทำอย่างไร ไหนคนที่ยังไม่มีผลไม้ ลุกขึ้นตอบหน่อยสิ (ตี)  เวลาที่เรารักลูกมากๆ หรือรักใครมากๆ รักแฟน รักภรรยา รักสามีมากๆ เวลาเห็นเขาทำผิดปุ๊บ เราจะทำอย่างไร เราจะหยุดคิดสักนิดหนึ่งไหมที่จะว่าเขา หยุดสืบสาวราวเรื่องสักนิดหนึ่งไหม ก่อนที่จะว่าเขา หรือว่ามองสักนิดหนึ่งไหม ว่าเขาเหนื่อยไหม แล้วค่อยว่าเขา เคยหยุดไหม (หยุด)  หยุดอยู่สองครั้ง ที่เหลือแปดครั้งไม่หยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนๆ นี้ก็รักม้ามากเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นเหลือบมาดูดเลือดม้า อันที่จริงแล้วเขาก็รู้เหมือนกันว่าม้าห้ามตี เพราะว่าจะตกใจใช่ไหม แต่ว่าตีหรือไม่ตี (ตี)  อันนี้ไม่ใช่ตีทิ้ง ไม่ใช่ปัด แต่ตีเลย
ม้าทำอย่างไร ม้าก็ดีด ใช้ขาหลังดีด ดีดแล้วคนเลี้ยงม้าคนนี้ก็ตายเลย จบนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่ว่ายังไม่จบในความรู้สึกของคนที่เป็นหลานๆ ทั้งหลาย เพราะยังต้องเก็บไปคิดว่าเวลารักใคร เวลาชอบพอใคร เวลาปรารถนาดีกับใครจะต้องมีสติให้มากๆ คนตีเองก็ต้องดูตาม้าตาเรือ ส่วนม้าเองได้รับความรักจากคนนั้นๆ เวลาโดนเขาตีเข้าอย่าเพิ่งโกรธ ให้รู้จักตั้งสติ และคิดถึงความรักและความปรารถนาดีของเขาให้มาก เหมือนพ่อแม่ต่อให้ตีลูกก็ตีด้วยความรักความห่วงใย ลูกเวลาที่ถูกพ่อแม่ตีก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าพ่อแม่คิดอะไร ไม่ใช่โต้ตอบกันไปมา เหมือนตั้งน้ำมันเดือดๆ แล้วสาดกันไปสาดกันมาก็คงจะต้องเละเทะทั้งคู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ตอนนี้เป็นคนเลี้ยงม้าก็มีอยู่มากมายในห้องนี้ คนที่เป็นม้าในห้องนี้ก็อาจเป็นคนเดียวกับคนเลี้ยงม้าในชีวิตจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรออกไปที จะยื่นมือออกไปทำอะไรสักที จะอ้าปากพูดอะไรออกไปสักที ต้องจำไว้ ต้องมีความสุภาพ ต้องมีความสุขุม ต้องมีความเรียบร้อย ต้องมีความนิ่มนวล แล้วชีวิตจะได้ไม่ต้องถูกคนที่เลี้ยงม้าไปตีม้า หรือไม่ต้องถูกการดีดจากม้าดีหรือไม่ (ดี)  
ให้กำลังใจแก่ทุกคน ทำสิ่งใดหากทำสิ่งดีก็จงทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อทำเป็นนิสัยก็กลายเป็นผู้ที่เป็นคนดี เมื่อเป็นคนดีมากๆ เข้า ทำสิ่งใดรอบคอบมากขึ้นก็กลายเป็นบารมีได้เหมือนกัน เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เวลากินข้าวหากว่ากินข้าวติดคอแล้วเนี่ยจะเลิกกินข้าวไหม (ไม่เลิก)  ทำความดีก็เช่นเดียวกัน หากว่าความดีติดคอจะเลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)  ทำดีแล้วไม่ได้ดีเลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)  อย่างนั้นก็แสดงว่าหลานๆ ก็เป็นคนดีทุกคนนะ แต่ว่าอย่าอดข้าวไปเสียหลายมื้อแล้วค่อยมาทำดีทีนึง ไม่ใช่ว่าข้าวมันติดคอแล้วก็เลยคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี กว่าจะกลับมาทำดีอีกทีหนึ่งก็คงจะสายเกินไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
หลายๆ คนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเซียนมาเกิดนะ ตอนอยู่ข้างบนก็ดีอยู่แล้วบอกว่ามาช่วยงานธรรมะ พอลงมาช่วยงานธรรมะบอกว่าไม่สบาย ไม่มีเวลา เดี๋ยวก่อน ไม่ว่าง แล้วก็ไม่ทำงาน อย่างนี้อยู่ในโลกแล้วไม่ดีนะ อยู่ในโลกแล้วลืมตัวหมด
การคิดเป็นทำให้คนไม่ลืมตัว ในตอนนี้ทุกๆ คนก็มีความทุกข์กันคนละแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความทุกข์กันคนละอย่าง มีความทุกข์กันคนละเรื่อง ทุกๆ ความทุกข์ในทุกข์แต่ละคน ในจิตใจของแต่ละคนนั้นก็เป็นทุกข์ที่หนักหนาสาหัสทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะเทียบกับคนข้างๆ แล้วทุกข์ของเรานั้นยังเป็นทุกข์ที่เล็กๆ หรือเป็นทุกข์ที่แก้ง่ายๆ แต่ว่าในจิตใจของเราแล้วมันใหญ่โตมหาศาลทีเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางความทุกข์นั้นปลดปลงได้ด้วยการปล่อยวาง ปล่อยวางจิตใจของตัวเองลงทำได้ไหม (ได้)  ฟังไปเรื่อยๆ ใครมีความทุกข์ที่เหมาะกับคำไหนก็เก็บคำนั้นไปใช้ บางความทุกข์นั้น ถ้าเพียงแค่ปล่อยวางก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์นั้นเพียงแค่ทำใจก็จะปลดทุกข์ บางความทุกข์นั้นเพียงแค่ปรับปรุงตัวก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์เปลี่ยนแปลงตนเองได้ก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์นั้นขอเพียงแค่เรานั้นจำกัดนิสัยของเรา ไม่พูดมากก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์นั้นถ้าหากว่ารู้ว่าเราเป็นคนที่ฟังแล้วอดไม่ได้ หยุดไม่ได้ ก็ฟังให้มันน้อยๆ หน่อยจะได้ไม่มีอคติต่อคนอื่น เมื่อไม่มีอคติต่อคนอื่น ไม่เห็นคนอื่นเป็นคนไม่ดีก็ไม่มีทุกข์ เช่นเดียวกัน บางความทุกข์นั้นขอเพียงแค่เรานั้น เข้าอกเข้าใจคนอื่นก็จะหมดทุกข์ เพราะว่าบางคนนั้นเวลาที่เขาเรียกร้องเรามากๆ เรียกร้องจนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกันแน่ แต่จริงๆ แล้วเขาเพียงอยากให้เรานั้นสนอกสนใจเท่านั้นเอง ให้เราแก้ปัญหาให้ถูกจุด เราก็จะไม่มีทุกข์เช่นเดียวกัน
หลายๆ ปัญหาในชีวิตคนนั้นเป็นปัญหาประเภทหาทางออกไม่ได้ เพราะว่าหลายๆ เรื่อง มารวมๆ กัน ทำให้มันเป็นอย่างนี้บอกไม่ถูกว่าอะไรคือหัว บอกไม่ถูกว่าอะไรคือหาง ความทุกข์ประเภทนี้ย้อนกลับมาที่การปลดทุกข์แบบแรกคือ การทำใจปล่อยวาง ทำได้ไหม (ได้)  บำเพ็ญธรรมต้องมีความมุ่งมั่น ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่มิใช่อัตตาต้องมีการเสียสละและให้ผู้อื่น แต่มิใช่ทำให้คนอื่นเหลิง และเคยตัว ต้องมีความศรัทธาเป็นที่ตั้ง เพราะว่าความศรัทธานั้นคือพื้นฐาน คือเหมือนฐานบ้าน คือที่ๆ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเกิดในอนาคตข้างหน้า
บารมีต่างๆ นั้นสามารถที่จะอยู่ได้หากว่าเราเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ ไม่มีความซื่อสัตย์ เราย่อมเรียกร้องให้ผู้อื่นนั้นเคารพกันไม่ได้ ฉะนั้นทุกๆ อย่างมีความสำคัญ ทุกๆ สิ่งจะต้องไปฝึกฝน บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิต ยิ่งถูกทดสอบ ยิ่งลำบากเท่าไหร่ แสดงว่าเรานั้นก็จะได้ก้าวหน้าขึ้นเร็วเท่านั้น อยู่ที่เรานั้นคิดออกหรือยังว่าจะทำอย่างไร รู้ไหม สามีภรรยาบางคู่ ก็เป็นคู่อริในชาติที่แล้ว เมื่อเกิดมาคู่กันก็ย่อมทำให้ทะเลาะกันเป็นธรรมดา แต่ชาตินี้หากไม่ปลดให้หมด ชาติหน้าก็มาอีก ฉะนั้นอดทนให้มากๆ อภัยกันให้มากๆ
คราวนี้คนน้อยไหม เพราะอะไร เพราะว่าช่วงนี้ไม่มีเวลาเท่าไหร่นะ  เป็นคนฉลาดแต่อย่าขาดเฉลียว เฉลียวใจเกิดอะไรขึ้น ต้องแก้ให้ตรง และแก้ให้หมดปัญหาเพราะว่าเราเป็นผู้นำ ผู้นำไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ใครทำอะไรไม่ได้ก็ไม่รู้แต่เราต้องทำให้ได้ใช่ไหม  
บางทีอ่อนเข้าว่าบางทีแข็งเข้าว่า ฉลาดไม่ขาดเฉลียว แต่อย่าเหลียวไปเดาอย่างเดียวนะ เพราะว่ายิ่งเดาก็ยิ่งยุ่ง ใช่ไหม (ใช่)  เดี๋ยวเอาขนมฟูๆ ไปให้แม่ครัวหน่อยนะ บอกว่าทำจิตใจให้ฟูๆ หน่อยนะ อย่าเหี่ยวๆ มาก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “   สูงส่ง”)
อ่านว่าอะไร (สูงส่ง)  คำว่าสูงส่งนั้นคืออะไรนั้น สูงส่งด้วยอะไร เป็นคนนั้นสูงส่งไหม (สูงส่ง)  เป็นคนนั้นจริงๆ แล้วมีความสูงส่งอยู่มากอยู่แล้ว ไม่มีคนๆ ไหนที่ไม่สูงส่งในตนเอง แต่หากว่าจะต่ำเตี้ยเสื่อมโทรมลงมาก็ด้วยเหตุว่า จิตใจนั้นมิได้เป็นคนที่ทำให้สูงส่งตามสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ ฉะนั้นต้องทำจิตใจนี้ให้สูงส่ง
กำแพงสีทึบ ให้เห็นว่าคนเดิมทีนั้นมีความสูงส่งอยู่แล้ว แต่กำแพงกั้นความสูงส่งเอาไว้ กำแพงนี้ทลายลงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความอดทนของทุกคน หากใช้อัตตาหากใช้ทิฐิ หากใช้ความคิดที่มัวเฝ้าแต่คิดวกไปวนมา หากใช้อวิชชาความไม่รู้เข้ามาครอบงำ หากใช้การพูดแรงๆ การฟังแค่หางเสียงชักสีหน้าเข้าใส่กัน ความสูงส่งอันนี้ก็ย่อมที่จะถูกกำแพงกั้นไว้ กั้นแล้วจะอยู่ข้างในหรือว่าอยู่ข้างนอกก็คือขังตัวเองอยู่ในความสูงส่ง คิดว่าเราสูงพอแล้ว มันก็มีแต่อยู่ข้างในถูกกักขัง อยู่ข้างนอกหมายถึงอะไร อยู่ข้างนอกก็คือเราสูงส่งอยู่แล้ว แต่ว่ารอให้คนอื่นทำก่อน แล้วเราทำทีหลัง อันนี้มันก็ไปไม่ถึงความสูงส่ง ถูกกำแพงกั้นไว้ ไม่ทำอะไรก็ย่อมสูงส่งอยู่แล้ว
เหมือนกับคำที่พูดว่า “พูดง่ายกว่าทำ”  คนทำก็ย่อมที่จะถูกความไม่สูงส่ง คือถูกคนว่าคนติเป็นร่ำไป เป็นเรื่องธรรมดานะ ให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครที่คนเขาไม่เคยติ ไม่เคยว่ามองดูตัวเองอีกทีหนึ่ง เขาว่าเราไม่ได้หรือเปล่า เขากลัวว่าเขาจะเป็นตั๊กแตนหรือเปล่า เขากลัวว่าล้อความโกรธของเราจะมาทับหรือเปล่า ดูดีๆ นะ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีที่ให้ผู้อื่นเขาติ ไม่เคยถูกคนอื่นเขาว่า หมายความว่าเรานั้นสูงส่งอยู่แล้วนั้นไม่ถูกต้อง คนเกิดมาปีทุกปีผ่านไปไม่มีคนไหนที่หมดเรื่องให้แก้ ทุกคนยังต้องแก้ แก้ไปเรื่อยๆ ยังไม่เคยเห็นคนไหนที่ก่อนตายไปหมดเรื่องแก้ ทุกคนยังมีเรื่องให้แก้อยู่  แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ทำได้ไหม (ได้)  เราไม่ได้ให้กำแพงอันนี้แต่ต้น เพราะว่าอยากให้ทุกคนนั้นสูงส่ง ขอให้ความสูงส่งอันนี้อยู่ในจิตใจและสูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยการบำเพ็ญขัดเกลาตนนะ สามคำนี้อยู่ข้างหน้า ลำบากสู้ชีวิตจิตเข้มแข็ง
วันนี้มีโอกาสมาพบหลานๆ เพราะพระอาจารย์ของหลานๆ นั้น หลีกทางให้ อยากจะมาพูดเล็กๆ น้อยๆ ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ต่อหลานหรือเปล่า ไม่รู้ว่าหลานนั้นจะฟังเข้าใจมากน้อยเพียงใด อันที่จริงแล้ว สองวันมานั่งประชุมธรรมได้อะไรกลับไปเพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่หลังจากสองวันนี้ หากมีโอกาสให้กลับมาสถานธรรมอีก ศึกษาเพิ่มเติมให้มากๆ ให้รู้แน่ๆ ว่าธรรมะที่นั่งฟังตั้งสองวันนี้คืออะไร อย่ามั่นใจเพราะว่าเรานั่งฟังแค่สองวัน แต่หลังจากสองวันนี้เสียเวลาศึกษาไปอีกนานเป็นปี หากว่าตอนนั้นมั่นใจว่าไม่ดี หรือไม่ใช่ ค่อยถอยออกดีไหม (ดี)  อย่าตัดสินใจง่ายๆ คนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก็ต้องรู้ให้แน่ก่อนถึงจะตัดสินใจได้ มิใช่รู้เพียงนิดๆ หน่อยๆ เข้าข้างตัวเองไป แล้วก็ตัดสินใจไป ทำได้ไหม
วันหลังเราไปเจอกันเบื้องบนดีไหม (ดี) ตอนนี้ใช้ร่างนี้บอกว่าติดรูปงมงาย แต่หากว่าไม่ให้ใช้ ก็ไม่รู้จะสื่ออย่างไร ฝากไว้แต่ว่า ความไม่ยึดติด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากยึดติดจงยึดติดในสิ่งที่ดี อยากให้หลานๆ บำเพ็ญให้ดีๆ ให้ก้าวหน้าขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอารมณ์และจิตใจนั้น ขอให้มีความเป็นธรรม มีความเป็นพุทธะมากขึ้น
เราจะกลับแล้ว เรามิใช่อาจารย์ของหลาน ไม่ต้องร้องไห้ หัวใจที่แฟบๆ อยู่นั้น ขอให้ใช้ความสงบไปนำพาให้หัวใจนั้นพองโต ฮึกเหิม ต่อสู้ต่ออุปสรรคนานา คนมีชีวิตทุกคนมีความทุกข์ คนมีชีวิตทุกคนมีอุปสรรค ขอเพียงแต่อย่าเป็นอุปสรรคประเภทที่หาเรื่องใส่ตัวก็พอแล้ว อย่าไปสู้อุปสรรคด้วยหัวใจแฟบๆ มันจะไม่ชนะ ตั้งสติให้ดีๆ สู้ทุกอย่างที่มารุมเร้าด้วยจิตใจอย่างวีรชนผู้กล้า มีปัญญาเป็นผู้นำ มีความเมตตาอยู่เนืองนิตย์ จะสวยงามทั้งจิตใจ งามทั้งรอยยิ้มที่ประพรมอยู่ตรงหน้า ขอให้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นนำชีวิตของตัวเองไปให้ดี ดีไหม (ดี)  
ไหนยิ้มให้เราหน่อยสิ ทุกๆ คนเลยนะ ให้หน้าตาเบิกบานให้สมกับเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ให้สมกับที่เราเรียกเป็นหลานน้อยๆ เพราะว่าเด็กๆ ที่ล้อมรอบตัวเราบ่อยๆ นั้น ไม่เคยมีใครร้องไห้ ทุกครั้งเราก็จะเคยชินกับเสียงหัวเราะ แต่ว่าหลานๆ ที่อยู่ในโลกนี้ ทำไมถึงมีทุกข์นักก็ไม่รู้นะ อยู่กับเราแล้วยังจะมาร้องไห้อีก เอาล่ะ ยิ้มๆ ให้สวยๆ ไปก่อนนะ
คนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก็ต้องรู้ให้แน่ก่อนถึงจะตัดสินใจได้ มิใช่รู้เพียงนิดๆ หน่อยๆ เข้าข้างตัวเองไป แล้วก็ตัดสินใจไป ทำได้ไหม
วันหลังเราไปเจอกันเบื้องบนดีไหม (ดี) ตอนนี้ใช้ร่างนี้บอกว่าติดรูปงมงาย แต่หากว่าไม่ให้ใช้ ก็ไม่รู้จะสื่ออย่างไร ฝากไว้แต่ว่า ความไม่ยึดติด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากยึดติดจงยึดติดในสิ่งที่ดี อยากให้หลานๆ บำเพ็ญให้ดีๆ ให้ก้าวหน้าขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอารมณ์และจิตใจนั้น ขอให้มีความเป็นธรรม มีความเป็นพุทธะมากขึ้น
เราจะกลับแล้ว เรามิใช่อาจารย์ของหลาน ไม่ต้องร้องไห้ หัวใจที่แฟบๆ อยู่นั้น ขอให้ใช้ความสงบไปนำพาให้หัวใจนั้นพองโต ฮึกเหิม ต่อสู้ต่ออุปสรรคนานา คนมีชีวิตทุกคนมีความทุกข์ คนมีชีวิตทุกคนมีอุปสรรค ขอเพียงแต่อย่าเป็นอุปสรรคประเภทที่หาเรื่องใส่ตัวก็พอแล้ว อย่าไปสู้อุปสรรคด้วยหัวใจแฟบๆ มันจะไม่ชนะ ตั้งสติให้ดีๆ สู้ทุกอย่างที่มารุมเร้าด้วยจิตใจอย่างวีรชนผู้กล้า มีปัญญาเป็นผู้นำ มีความเมตตาอยู่เนืองนิตย์ จะสวยงามทั้งจิตใจ งามทั้งรอยยิ้มที่ประพรมอยู่ตรงหน้า ขอให้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นนำชีวิตของตัวเองไปให้ดี ดีไหม (ดี)  
ไหนยิ้มให้เราหน่อยสิ ทุกๆ คนเลยนะ ให้หน้าตาเบิกบานให้สมกับเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ให้สมกับที่เราเรียกเป็นหลานน้อยๆ เพราะว่าเด็กๆ ที่ล้อมรอบตัวเราบ่อยๆ นั้น ไม่เคยมีใครร้องไห้ ทุกครั้งเราก็จะเคยชินกับเสียงหัวเราะ แต่ว่าหลานๆ ที่อยู่ในโลกนี้ ทำไมถึงมีทุกข์นักก็ไม่รู้นะ อยู่กับเราแล้วยังจะมาร้องไห้อีก เอาล่ะ ยิ้มๆ ให้สวยๆ ไปก่อนนะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา