วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2547

2547-04-17 สถานธรรมหมิงฮุย, ลพบุรี





西元二○○四年岁次甲申闰二月廿八日 大众恭求仙佛慈悲指示训

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เปิดจิตใจแห่งศรัทธาให้มั่งมี เป็นคนดีดูกระทำกว่าคำพูด
อยู่บนโลกท่ามกลางสิ่งสมมติ แต่จงหยุดพิจารณาตนค้นความจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ดวงปัญญาอยู่ภายในคนทุกคน ความอดทนอย่าให้หมดลงง่ายง่าย
ความรู้นั้นต้องรู้จริงไม่วุ่นวาย ขั้นสุดท้ายก็ใช่ว่าหละหลวมได้
ระวังตนแท้จริงต้องระวังจิต ทำความผิดอยู่เป็นนิจสร้างเคราะห์ใหญ่
ทำความดีอยู่เป็นนิจสร้างบุญไป ไม่มีใครช่วงชิงความดีจากเราได้
ชีวิตนี้ใช่ยืนยงเร่งบำเพ็ญ ฝึกตนเป็นพุทธะอยู่ในโลก
จงมั่นคงอยู่กลางความวิปโยค อย่าได้โศกเพราะทำใจกันไม่เป็น
ใช้เวลาให้มีประโยชน์สุด อย่าสะดุดอัตตาตนที่หลากหลาย
มีทิฐิทำให้หูตาลาย เรื่องมากมายล้วนคลายได้แก้ถูกปม
ฟ้าร้องในหุบเขาดังกึกก้อง ฟ้าร้องในพื้นราบไม่น่ากลัว
ความแตกต่างไม่อยู่ที่ฟ้าร้องระรัว อยู่ที่ตัวใจคนบาปมากเพียงไร
จงรู้ทันตนเองมากกว่าผู้อื่น จงเร่งตื่นจากกิเลสที่รอบกาย
คนเกิดมาล้วนแล้วต้องตายไป ทำสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อโลกงาม
สองวันนี้จงตั้งใจฟังธรรมะ เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด
ก้าวเรียบง่ายใจสูงส่งอย่าประมาท คนฉลาดเหนือฟ้ายังมีฟ้า
การฝึกฝนไม่อาจง่ายแต่ไม่ยาก น้ำไหลหลากเชี่ยวหรือไม่อยู่ที่ทางน้ำ
ชีวิตคนอย่าปล่อยให้ใจตกต่ำ จงเตือนย้ำย้อนมองตนอยู่เป็นนิจ
สองวันนี้ต้องตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
ฟื้นฟูจิตฝึกฝนตนฟื้นฟูญาณ สำเร็จงานแห่งฟ้านี้ร่วมกัน
ในวันนี้น้องชายหญิงต่างมีบุญ อยู่ร่วมกันจงนำหนุนอย่าปล่อยทิ้ง
ความจริงใจมีให้กันอย่างแท้จริง อย่าประวิงเรื่องทางโลกที่เฝ้าเปลี่ยนแปลง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระนาจา

ศีลธรรมเริ่มอ่อนบางในจิตใจ คนส่วนใหญ่เห็นแก่ตนเอาแต่ได้
ทำร้ายกันอย่างฉ้อฉลจนใจหาย น่าเสียดายความเป็นคนดูบางเบา
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

ก้าวแห่งการบำเพ็ญด้วยมั่นคง ศรัทธาส่งพลังไม่ขาดดุจน้ำ
ก้าวแห่งความคิดบนทางคุณธรรม ปัญญาธรรมพลังที่ฐาปนาหนุนคน
ชีวิตอยู่สรรค์สร้างความดีงาม มีขอบเขตห้ามใจอย่างเหมาะสม
กิเลสมีต้องถูกให้ใช้อารมณ์ ด่านที่คืนวันบ่มสอนวินัย
คนบำเพ็ญมุ่งมั่นใจนักสู้ เพียรไปสู่ความสะอาดเป็นนิสัย
ละสำเร็จฝ่ากิเลสจากภายใน ย่อมไม่เสร็จเพราะภายนอกโลกีย์
ไม่ต้องลงแรงทว่ายินดีผล กิเลสที่บางในตนทว่ามี
ทำอะไรถูกมากแต่ผิดมี ถูกให้เวลาเมื่อนี้พิจารณาตน
มีบางปัญหาต้องใช้เวลาแก้ รุ่มร้อนแต่อย่าปล่อยให้สับสน
มุ่งแก้ไขจึงวางจิตเพื่ออดทน บำเพ็ญตนเมื่อทำใจรู้จบ
โลภรักสิ่งที่ตนหวงแหน พาใจแขวนอยู่ด้วยไม่จบ
ดวงใจขื่นไม่อาจนับคำรบ ไร้ความสงบให้เศร้าเมาวิญญา
อย่าสิ้นไร้พลังเนื่องไม่หยุด วิจิตรสุดเมื่อมังกรโผล่ขึ้นฟ้า
ว่ายแหวกขึ้นทะยานเด็ดเดี่ยวหนา ปณิธานมุ่งสู่เวหาแกร่งในจิต
เหวดิ่งดำจะพ้นเมื่อสำนึก มายาหล้าสุดลึกเล่ห์ระวังจิต
คลื่นมหาสมุทรการเสียทำหงุดหงิด อย่ายึดติดบรรดาสิ่งสมมติไป
เพียงจิตหยุดให้เป็นไม่ฟุ้งซ่าน เบิกบานที่ภายในไม่หลงใหล
สำแดงความเสรีออกมาจากใจ ความอิสระไม่ไกลจากในตน
ฮิ  ฮิ   หยุด

พระโอวาทพระนาจา
เวลาเราอยู่ในบ้านหรือในสังคม ถ้าทุกคนหัวเราะมีแต่เรานั่งร้องไห้ คนในสังคมจะรู้สึกเป็นอย่างไร คนนี้พิลึก  แปลกประหลาดไม่ร่วมกับสังคม ใช่หรือเปล่า  เหมือนกลับมาบ้านที เราอยากยิ้มแย้มปรีดา คนอื่นยิ้มหมด แต่มีตัวถ่วงคือเราคนเดียว เสียเลยไหม (เสีย)  เสียนะ ถึงแม้เราจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ แม่ก็ดี พ่อก็ยังดีอยู่  แต่ยิ้มไม่ออก เหมือนกัน วันนี้เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก อยู่ร่วมกับคนในสังคม บางครั้งการแสดงออกของตัวเอง โดยที่ไม่กังวลกับคนรอบข้างเลยนั้นไม่ได้  ถ้าสังคมส่วนใหญ่เขาอยู่เฉย เราอยู่เฉยเป็นตัวของตัวเองไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดสังคมส่วนใหญ่เขากำลังสนุกสนานเฮฮา เรานั่งนิ่งหน้าบึ้ง ใครๆ ก็ไม่อยากให้เราอยู่ในกลุ่มด้วย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดสังคมเขาสนุกลองสนุกไปด้วย ดีไหม (ดี)  ถ้าสังคมเขาเศร้าเราจะ (ไม่เศร้า)  เพราะอะไรถึงไม่เศร้าไปกับเขาด้วย เพราะความเศร้าทำให้หม่นหมอง ถ้าเราไปเพิ่มอีกมันก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ ถ้ากำลังเศร้าอยู่ แต่เราสงบนิ่ง แล้วค่อยๆ ไปปลอบประโลม  จากเศร้าก็อาจดีขึ้น  แล้วจากเศร้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นสนุกสนานขึ้น ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงครอบครัวได้ อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองไม่สามารถแก้ไขจิตใจตัวเองเวลาเศร้าได้  อยู่ที่ว่าภาวะเศร้าเราจะเศร้าหรือเราจะสุข  เช่นเดียวกันเวลามีทุกข์คนอื่นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ทุกข์ แต่เรายืนอยู่อย่างมั่นคงสงบนิ่ง แล้วมองให้ออก นอกจากเราไม่ทุกข์แล้ว ยังช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้
เหมือนในนิทานเรื่องนี้ มีเรือแล่นมาลำหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อเรือเริ่มโคลงเคลงพายุเริ่มถาโถม ทุกคนต่างก็แตกตื่น ว่าทำอย่างไรดีๆ  มีสิบคนอยู่ในเรือ เรือยิ่งโคลงเคลงใหญ่ เพราะทุกคนต่างวิ่งไปมาเพื่อจะเอาตัวรอด  แต่ถ้าหากมีคนมีสติคิดได้ ว่าเขาวุ่นอยู่เราต้องสงบ เขากำลังสับสนเราต้องช่วยกันยึดกุมไม่ให้วุ่นวาย  ถ้ามีแค่เพียงหนึ่งคน มีสติแล้วรู้จักคิดได้ เขาก็จะนำพาเรือทั้งลำให้ปลอดภัยได้
ชีวิตเราก็เหมือนกับเรือลำหนึ่งที่แล่นอยู่ในสังคมที่มีทั้งดีและร้าย มีทั้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยา แต่เราเอาอะไรมาใส่ไว้ในใจ แล้วเรากำลังพายเรือไปแบบไหน หรือเรากำลังปล่อยเรือไปตามคลื่นกระแสลม ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่คนข้างนอกเลย แต่อยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก  วันนี้ก็เช่นเดียวกัน อยากจะให้มีความสุข หรือมีความทุกข์ดี (มีความสุข)  เราเป็นคนทำหรือท่านเป็นคนทำ คิดเองนะ
ท่านเคยเห็นมังกรก็แต่ในรูป  ถ้ามังกรโผล่มาจริงๆ เราคงตื่นเต้นตกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนโบราณเปรียบเทียบมังกรว่าเป็นปราชญ์ หรือวีรชน หรือวีรบุรุษที่ไม่ได้หาง่ายๆ ในสังคม นานๆ จะโผล่ทะยานขึ้นฟ้าสักหนึ่งตัว นั่นหมายความว่าคนธรรมดาสามัญ ถ้าไม่ได้มีจิตใจที่สูงเด่น ไม่ได้ทำอะไรที่เลิศล้ำ เขาก็เป็นแค่งูตัวหนึ่ง แต่ถ้าวันใดเขามีจิตใจที่งดงาม มีการกระทำที่ยิ่งใหญ่  จากงูก็กลายเป็นมังกรได้ นี่เป็นคำเปรียบเทียบ มนุษย์ก็เหมือนกันหากไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง แล้วนำคุณค่าของตัวเองมาใช้ให้ถูกต้อง เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้ามนุษย์สามารถหาตัวตนที่แท้จริง ความสามารถที่แท้จริง  แล้วนำตัวตนที่แท้จริงนี้ ความสามารถที่แท้จริงนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และสรรค์สร้างให้มีคุณค่าแก่สังคม คนๆ นี้ก็ยิ่งใหญ่กว่าคนธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  อยู่ที่ว่าเราเคยรู้จักตัวเองบ้างไหม เราเคยรู้ไหมว่าตัวเองมีความสามารถอะไร เรารู้แต่ว่าคนอื่นเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ แต่ตัวเองไม่รู้เลย  ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม นอกจากเพื่อฟื้นฟูคุณธรรมในจิตใจแล้ว ยังศึกษาเพื่อค้นหาคุณค่าที่แท้จริงในตัวตนให้พบ แล้วนำไปก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่รู้จักทำเพื่อผู้อื่นบ้าง
ในโลกนี้มีทั้งของจริงและของเท็จ มีทั้งของแท้และของเทียม  คนฉลาดต้องรู้จักแบ่งแยกให้เป็น แต่คนฉลาดยิ่งกว่าฉลาด ก็คือคนที่สามารถใช้ทั้งจริงและเท็จได้เป็น แล้วรู้จักดึงคุณค่าของจริงและเท็จมาก่อประโยชน์ให้ตัวเองสูงสุด  วันนี้เราจริงหรือเท็จ ไม่รู้ แต่ตัวท่านจะเป็นคนฉลาดที่รู้จักแบ่งแยกแค่นั้น หรือจะเป็นคนฉลาดที่เหนือฉลาด ที่ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็สามารถดึงประโยชน์มาใช้กับตัวเอง เลือกเอานะ ว่าท่านจะเป็นคนแบบไหนในโลกนี้  ทำไมดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริง เราแยกออกว่านี่ปลอมนี่จริง แต่คนฉลาดเขาจะไม่เลือกว่าปลอมว่าจริง แต่จะใช้ปลอมกับจริงให้เหมาะสมในชีวิต ตอนไหนควรใช้ของปลอม ตอนไหนควรใช้ของจริง
จิตใจที่ปิดกั้นมักจะทำให้เราไม่สามารถฟังหรือเห็นอะไรได้แจ่มชัดความเกียจคร้านก็เป็นกิเลสที่ทำให้เราไม่สามารถศึกษาหลักธรรมได้ ความกังขาลังเลก็เป็นเกราะบังทำให้เราไม่สามารถฟังหลักธรรมได้เข้าใจ
จิตใจของศิษย์น้องก็เหมือนน้ำทะเล มีขึ้นมีลง พอใครมากระทบใจแล้ว เราไม่พอใจเราก็หงุดหงิด  แต่พอใครมาทำให้มีความสุขเราก็รู้สึกชื่นชอบ  ใจเราจึงเหมือนกับคลื่นทะเลเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะควบคุมจิตใจ รู้จักดูจิตดูใจอย่าให้เคลื่อนกระเพื่อมไปกับแรงที่มากระทบ อย่างเช่นเขามาตีเรา ถ้าเราอยู่นิ่ง สงบ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้สึกอะไร มันจะเป็นอิสระกับอารมณ์ทั้งปวง แต่ถ้าเมื่อไรใจเราเหมือนคลื่น พอใครมากระทบก็ดีใจ พอใครมากระทบอีกก็เศร้าใจ เมื่อนั้นเราก็จะมีได้มีเสียมีทุกข์มีสุข รู้หรือยังว่าทุกข์สุขเกิดจากอะไร เกิดจากใจที่หวั่นไหว ไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งได้ จริงไหม (จริง)  ใครอยากทดสอบใจบ้าง ใครจะรักษาจิตนิ่งได้ ศิษย์พี่จะให้ยืน 15 นาที เอาไหม
วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม ธรรมที่อยู่ในใจของศิษย์น้อง ไม่ใช่ธรรมที่อยู่ในใจของศิษย์พี่ ธรรมะต่างจากทรัพย์สินเงินทอง แค่นึกถึงมันก็มาหา แต่ถ้าเมื่อไรลืมคิดถึงมัน มันก็จากหายเราไป วันนี้เราคิดถึงพ่อแม่ไหม ถ้าเราคิดถึงเราจะรู้สึกว่าเริ่มเป็นห่วง เริ่มกังวล  แล้วความห่วงกังวลก็ทำให้เรารู้จักว่าเราต้องรู้จักกตัญญู จริงไหม (จริง)  ธรรมะจะไม่เกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย ถ้าคนผู้นั้นไม่มีจิตสำนึกคุณ เหมือนคนที่เราเกลียดมากที่สุด เหมือนศิษย์พี่มาวันนี้เห็นหน้าศิษย์น้องคนนี้ แค่หางตาเห็นก็เกลียดเข้าไส้ แต่ถ้าเกิดสำนึกคุณอย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นคนๆ หนึ่ง มีเขาที่อ้วนจึงมีเราที่ตัวเล็ก สำนึกคุณแค่นี้เราก็รู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็มีคุณค่าที่อยู่ร่วมกันจริงไหม (จริง)  เหมือนกันเราอยู่ในสังคมเราจะไม่รู้สึกรังเกียจใครเลยถ้าเรารู้จักสำนึกคุณของความเป็นคนของเขา จริงไหม (จริง)  คนทุกคนมีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ดังคำที่ฟ้าประทานไว้ว่า “ฟ้าให้กำเนิดสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่า”  ลองดูต้นไม้ มีพันธุ์ไม้ไหนที่ไม่มีประโยชน์ ทุกพันธุ์ไม้ล้วนมีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้นคนในโลกมีใครบ้างไร้คุณค่า ไม่มีหรอก เขาอาจจะไร้ประโยชน์กับเราแต่อาจมีประโยชน์กับครอบครัวเขาก็ได้ จริงไหม (จริง)  เกลียดเขามาก แต่พอเขาตายไปเราก็รู้สึกเสียใจ คิดถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกจะผิดพลาดอย่างไร แม่บอกอยู่ไปก็ทำให้ช้ำใจ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายดีกว่า มีประโยชน์ ไม่เคยทำให้ช้ำใจ  แต่พอลูกออกไปจริงๆ แม่ร้องไห้ให้ลูกกลับมาเถอะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนในโลกมีคุณค่ามีประโยชน์ แต่อยู่ที่ว่าเราทำคุณค่าประโยชน์นั้นเพื่อคนอื่นบ้างหรือไม่ แล้วเวลาเราอยู่ในสังคมบางทีเราเกลียดเขา เราทนไม่ได้ เราไม่อยากทำงานร่วมกับเขานั้นเพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นค่าเขาเพราะเราไม่เห็นประโยชน์เขา แต่ถ้าเมื่อใดเราเปลี่ยนความคิด เห็นค่าเขา เห็นประโยชน์เขา เราจะรู้สึกว่าเราอยู่กับเขาได้  ฉะนั้นตอนนี้เกลียดใครมากๆ กลับไปมองให้เห็นค่าเห็นประโยชน์ของเขาบ้าง   ดีไหม (ดี)  อย่างน้อยมีประโยชน์อย่างหนึ่งคือทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีความเกลียด  เรานั้นเมตตาใจดีกับทุกคน แต่มาถึงคนนี้เรารู้สึกว่าเราเป็นปีศาจทันที อย่างน้อยคนนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าเรารักษาความเป็นคนดีได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่าทุกสิ่งในโลกล้วนมีประโยชน์และคุณค่า
ท่านว่านิ้วหนึ่งนิ้วมีประโยชน์ไหม มีประโยชน์ตรงที่มันมีชีวิต มันกระดิกได้ แต่ถ้าเมื่อใดนิ้วมันแข็งมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  แต่จริงๆ แล้วแม้นิ้วมันจะแข็งแต่ก็มีประโยชน์  ฉะนั้นบางทีนิ้วหนึ่งนิ้วเรามองไม่เห็นคุณค่าแต่เมื่อมันรวมกันอยู่ในมือหนึ่งมือ มันกลับบังเกิดคุณค่านานัปการ บางครั้งเราอยู่ตัวคนเดียวเรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ไม่มีคนยกย่องเชิดชู  แต่อย่างน้อยเราก็เป็นหนึ่งในลูกแม่ที่ทำให้แม่นั้นมีมือที่เคลื่อนไหวได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเป็นคนอย่าคิดสั้นเด็ดขาด พอนิ้วแข็งแล้วจะตัดมันทิ้งเลยได้ไหม (ไม่ได้)
คนเราก็เหมือนกันบางครั้งผิดพลาดไป น้ำมันไหลไปแล้วไม่กลับมา ผมมันขาวแล้วไม่มีวันดำ แต่ใช่ว่าความขาวจะไม่มีประโยชน์ ความร่วงโรยใช่จะไร้คุณค่าถูกหรือเปล่า (ถูก)  จึงมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “ความร่วงหล่น ความสูญเสีย แฝงไปด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม แต่ความเต็มเปี่ยมแฝงไปด้วยพลังอันเสื่อมถอยและเกียจคร้าน”  อย่างเช่นกินอิ่มแล้วใครมีแรงกระปรี้กระเปร่ามีไหม (ไม่มี)  มีแต่กินอิ่มแล้วง่วง แต่เวลาหิวมีแรงจริงไหม (จริง)  อาหารอยู่ไกลแค่ไหนเราก็สรรหาไปกินจนได้ แพงแค่ไหนเราก็ยอมควักจ่ายเพราะเราหิว  ฉะนั้นอย่าดูถูกความเสื่อมถอยเพราะบางครั้งความเสื่อมถอยกลับให้พลังอันยิ่งใหญ่ แล้วก็อย่าเอาแต่ใจความเต็มเปี่ยม เพราะความเต็มเปี่ยมนั้นทำให้เราเกิดความล้าและเกียจคร้าน ค่อยๆ คิดตามเรานะ อย่าเพิ่งต่อต้าน ถ้าต่อต้านแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เราเปรียบเทียบง่ายๆ ท่านไม่ต้องเห็นว่าเราเป็นอะไรก็ได้ แต่เห็นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งมี หนังสือวางอยู่ตรงหน้า จะดูแค่หน้าปกเท่านั้นพอหรือ ทำไมเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีหนังสือแล้วไม่ลองเปิดอ่านดูสักนิดล่ะ จะได้รู้ว่าหนังสือนี้มันคืออะไรใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อเปิดอ่านแล้วให้เปิดใจด้วย ทุกหน้าที่เปิดอ่านคือทุกหน้าที่พร้อมจะเปิดใจดู แล้วค่อยๆ กลั่นกรองว่าจริงหรือเท็จ อย่าวัดคนเพียงแค่สมุดด้านหน้าและด้านหลัง หนังสือแค่ปกหน้าและปกหลัง แต่ต้องมองให้ถึงซึ่งจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากรู้ไหมว่าเราจะพูดเรื่องอะไรต่อ (อยากรู้)  แล้วเมื่อสักครู่เราพูดเรื่องอะไรไว้ (ความทุกข์) อะไรทำให้เกิดทุกข์ จำง่ายๆ ยกตัวอย่าง เสียงดังมักไม่เปล่งบ่อย คนปรบมือดังย่อมดังแค่ทีเดียวถึงจะเรียกว่าดัง  ถ้าปรบมือรัวๆ เราก็รู้สึกว่าธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันคนสวยงามจะสวยได้ ก็ต้องแต่งเติมให้มากที่สุด ตัวเองว่าตัวเองสวย พอทำให้ตัวเองเด่นขึ้นมา ความอัปลักษณ์ก็จะเกิดขึ้น ถ้าคนสวยไม่มีใครแต่งตัวสวยก็จะรู้สึกว่าทุกคนธรรมดา แต่ถ้าวันนี้ศิษย์พี่มาศิษย์พี่พอกหน้ามาเต็มที่ ดูสวยเด่น ศิษย์น้องจะรู้สึกเลยว่าความอัปลักษณ์เริ่มเวียนวนอยู่แถวๆ นี้ ศิษย์น้องจริงไหม (จริง)
จุดเด่นของความสวยก็คือทำให้รู้จักความอัปลักษณ์ได้ทันที แต่ถ้าศิษย์พี่มาหน้าปุๆ ปากย้อยๆ เดินมาถามว่าเป็นยังไงบ้างศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะรู้สึกเด่นขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ในความโดดเด่นนั้นมีข้อดีคือ ทำให้เรารู้จักด้านตรงข้าม และยังสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนอย่าอวดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถ อย่าอวดว่าตัวเองสวย เมื่อไรที่เราอวดว่าตัวเราสวย วันหนึ่งถ้าเราลบสิ่งที่พอกหน้าออกก็จะมีคนถามว่าวันนี้ทำไมเธออัปลักษณ์จัง จริงไหม (จริง) และถ้ายิ่งอวดว่าตัวเองสวย คนก็ยิ่งดูถูกว่าขี้เหร่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ก็เหมือนกัน สรรหาอยากมีเงินเยอะๆ พอมีเงินทองขึ้นคนเขาก็ไม่บอกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองหรอก แต่บอกว่าโธ่เอ๋ย! ใส่ทองก็ปลอม เพชรก็เก๊ ทำตัวเป็นคุณหญิงคุณนาย จริงไหม (จริง)  ถ้าเราอวดว่าตัวเราเก่งสอบได้ที่หนึ่งก็ย่อมมีคนอิจฉาตามมา และก็มีคำพูดตามมาอีกเป็นสิบๆ ร้อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เราพยายามทำแบบนั้นเพื่ออะไร มนุษย์เราทำไมต้องแสวงหามาเยอะๆ ทำไมต้องดึงหน้า ดึงแขน ดึงขาให้ตัวเองสวยๆ เพื่ออะไรล่ะ จริงๆ เราทำเพราะอยากให้คนที่อยู่รอบข้างรักเรา อยากเป็นที่สนใจ มีเงินเยอะๆ อยากให้คนนับหน้าถือตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนเขานับถือศิษย์น้องเพราะหน้าตึงๆ หรือมีเกียรติ หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ คนเขานับถือเราก็เพราะเราเป็นคนไม่ถือเขาไม่ถือเรา ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจกว้างขวาง เขานับถือเราก็เพราะว่าเราเป็นคนธรรมดาแต่อยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่เราเป็นคนที่โดดเด่นจนคนอื่นไม่อยากอยู่ใกล้  แล้วทำไมถึงหาเงินกันใหญ่ แล้วทำไมอยากสวยแล้วสวยอีก มีใครบ้างที่สวยแล้วไม่หยิ่ง แล้วมีใครบ้างที่รวยแล้วไม่จองหอง ยิ่งรวยยิ่งสวยคนก็รังเกียจเป็นทุนอยู่แล้ว ยังเพิ่มนิสัยแย่ๆ เข้าไปอีก ใครจะชอบเรา การทำให้คนรัก นับหน้าถือตามันอยู่ที่การทำตัวเองต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่การมีเงิน ไม่ได้อยู่ที่ความสวย ความหล่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่) จนแล้วจนรอดก็ตอบว่า ใช่ๆ แต่ถึงเวลาก่อนออกจากบ้านก็ขอปะแป้งก่อน ขอแต่งตัวให้สวยๆ หล่อๆ ก่อนออกจากบ้านใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่จะสรุปให้ฟังว่า เสียงดังมักจะไม่พูดบ่อยๆ ถ้าคนเรายิ่งอวดตัวเองว่าเก่งสามารถ คนยิ่งว่าโง่เขลาเบาปัญญา จำหลักธรรมนี้ไว้นะ  คนที่แท้จริง คือคนที่ทำตัวธรรมดาสามัญ ไม่ถือเขา ไม่ถือเรา มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความใจกว้าง คนๆ นี้ถึงจะเป็นที่รักของทุกคน คนๆ นี้ถ้ามีเมตตากรุณาย่อมแผ่ความอบอุ่นไปยังหมู่ชนด้วย เราเคยบ้างไหม ที่รู้สึกว่าอยู่ใกล้คนๆ นี้แล้วรู้สึกร่มเย็นมากๆ (เคย) แล้วลูก สามีหรือภรรยาอยู่ใกล้เราแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ร่มเย็นหรือร้อนเป็นไฟ  สลับกันเป็นเหมือนฤดูกาลใช่ไหม แต่ฤดูของเราไม่มีวันแน่นอน ชั่วโมงหนึ่งร้อน ชั่วโมงหนึ่งเย็น ต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้เป็น แล้วตัวท่านจะไม่สร้างทุกข์ให้กับชีวิตเราและคนรอบข้าง ดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม ใช้สัจธรรมสอนชีวิต อย่าแบ่งภายนอกภายใน อย่าแบ่งแยกตัวเขาตัวเรา เมื่อนั้นเขากับเราก็ไม่ต่างกัน เข้าใจไหม (เข้าใจ)

อะไรที่ทำให้เราร้อนเป็นไฟ ทำให้เราเย็นสงบเป็นน้ำแข็ง ตอบได้ไหม  (สิ่งที่ทำให้ร้อนคืออารมณ์ของเรา ที่จะแปรให้เรามีความร้อนออกมา ระงับสติไม่อยู่  สิ่งที่ทำให้เราเย็น เราก็ยึดธรรมะของพระพุทธองค์ท่านเป็นแนวทางให้เราสงบ)  และอะไรทำให้เราดับร้อนได้ ใช้ธรรมะข้อไหนที่สามารถทำให้ร้อนแล้วกลายเป็นเย็นได้ (ขันติ, ให้อภัย, อดกลั้น, ทำใจเย็น)  สิ่งที่ทำให้เราร้อนมีแค่ความโกรธอย่างเดียวหรือเปล่า  มีสิ่งอื่นไหม (ความโลภ) โลภทำให้เราร้อนได้ไหม ความสมหวังทำให้เราร้อนได้ไหม (ไม่ เพราะผมคิดว่าสมหวังต้องดีใจ)  เหมือนท่านได้ตำแหน่งขึ้นมาหนึ่งตำแหน่ง  สมหวังอยู่ใกล้กับคำว่าผิดหวัง ความสมหวังทำให้เราร้อนใจได้ ถ้าเราไม่ได้มา  ความสมหวังทำให้ดีใจ แต่พอได้ครอบครองความสมหวังแล้ว เราเริ่มวิตกกังวลใจ จริงไหม (จริง)  เวลาร้อนแล้วน่ากลัว แต่อย่างน้อยในความร้อนมีประโยชน์อย่างหนึ่ง คือทำให้มนุษย์รู้จักปล่อยวาง สมหวังมากๆ รู้จักปล่อยมันทิ้งบ้างไหม รู้จักปลงมันเป็นไหม  ไม่เป็นหรอก จนกว่าศิษย์น้องจะผิดหวัง ศิษย์น้องถึงจะรู้สึกว่าเราไม่น่าจับ ไม่น่ากุมมัน แล้วเราก็ไม่น่ารับมันเลย แต่ก็ยังรับอยู่อีก จริงหรือเปล่า (จริง)
เมื่อพูดถึงความร้อนแล้ว แล้วความเย็นมีอะไรบ้าง (บุญ)  ไม่แน่นะ บุญอาจทำให้คนร้อนเหมือนกัน มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งศิษย์พี่อยากเล่าให้ฟัง ในนิทานเขาเล่าว่า แม่กำลังสวดมนต์อยู่ ลูกก็เรียกแม่ แม่ก็ยังสวดมนต์อยู่ ลูกก็ยังเรียกแม่ซ้ำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งแม่หยุดสวดมนต์ แล้วพูดว่ากำลังสวดมนต์อยู่โว้ย  ลูกก็เลยย้อนกลับมา หนูเรียกแม่สิบหนแม่ยังโมโหขนาดนี้ แม่เรียกพระเป็นร้อยๆ หน ท่านไม่โมโหบ้างเหรอ จริงไหม (จริง)  อย่าให้ลูกย้อนเอานะ กำลังทำบุญอยู่อย่าร้อน ต้องใจเย็นๆ ให้พระเข้าไปอยู่ในใจบ้าง ไม่ใช่พระอยู่แค่ปาก ท่องอยู่แค่ปาก แต่ใจไม่เย็นเลย ไม่ไหวนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การดำรงชีวิตอยู่ให้เป็นสุข ใช้คุณธรรมแค่สองข้อ คือ  อย่าบีบคนให้จนตรอก  อย่าเห็นแก่ตัวจนมากเกินไป  ถ้าเรามีสองข้อนี้ เราก็จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข แต่มนุษย์เราโมโหเพราะอะไร  พออยู่ในทางแคบมักจะวางก้ามใหญ่ ไม่เหลือทางให้ใครไว้เดินสักหนึ่งทาง พอมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ตัวเองไม่ให้ใครสักส่วนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออยู่ในสังคมกับคน เมื่อต้องเจอทางแคบ จงเหลือทางให้ผู้อื่นเดินหนึ่งทาง อย่าบีบให้เขาจนตรอก ไม่อย่างนั้น เขาจะกัดไม่เลือกที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำกล่าวว่าในผลประโยชน์เราเอาไว้หนึ่งส่วน แบ่งให้คนอื่นสามส่วน แล้วเขาจะไม่ทำร้ายเรา แต่คนในโลก ผลประโยชน์มีเท่าไร เก็บให้ตัวเองหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเองอยู่เหนือคนอื่นได้ก็พร้อมจะเหยียบย่ำบนหัวให้เขาเจ็บปวดใจ หรือฆ่าให้ตายไปในวงการเลยแล้วเราเด่นอยู่คนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าบีบให้หมาจนตรอก หรืออย่าบีบให้คนจนตรอก ไม่อย่างนั้นคนจะกลายเป็นเสือ พร้อมที่จะแว้งกัดหรือเป็นงูฉกเราได้ทันที เหมือนกันเราอยู่ในสังคม อย่าเพราะผลประโยชน์ จึงทำให้เราไม่รักเพื่อน จึงทำให้เราเห็นแก่ได้ อย่าเพราะว่าถูกบีบคั้น จึงเอาแต่ตัวเองรอด แต่คนอื่นรอดหรือไม่รอดช่างเขา คนเช่นนี้ยากที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แล้วเราเผลอทำหรือเปล่า (ไม่เผลอ)  แล้วคิดว่าเราอยู่ในโลกเป็นคนดีหรือคนร้าย (คนดี)  เราชมว่าเราดี หรือคนอื่นชมว่าเราดี ถ้าเป็นเราชมตัวเองไม่นับนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่เขาชมว่าเราดี ต้องดูด้วยว่าเขาดีจริงไหม ต้องให้คนดีที่ดีที่สุดชมว่าเราดี ถึงจะเรียกว่าเราดีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังมาตั้งเยอะแล้ว บำเพ็ญธรรมคืออะไรล่ะ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การฟื้นฟูจิตใจที่ดีงาม และนำความดีงามนั้นเผื่อแผ่ไปช่วยเหลือผู้อื่น หรือไม่ก็นำความดีงามนั้น มาธำรงรักษาให้เราเป็นคนดีคนหนึ่งให้จงได้ แต่มนุษย์เราไม่สามารถดีได้เพราะมีสองสาเหตุ ใครตอบได้บ้าง (ความเห็นแก่ตัว, กิเลสและตัณหา, ความโลภ, ไม่คบเพื่อนฝูง, ไม่มีธรรมะ)
เป็นคนไม่มีธรรมะเลยดีไม่ได้จริงๆ หรือ  อาจจะเป็นเพราะว่าที่ดีไม่ได้เพราะว่าไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีธรรมะแต่ไม่รู้จักนำธรรมะในตัวตนมาใช้แล้วก็บอกว่าตัวเองเลว เลยไม่อยากดี จริงไหม (จริง) (เป็นคนมักง่าย)  คนมักง่ายทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้คนเป็นคนไม่ดีได้ไหม (ได้)   อย่างเช่นเวลาเข้าห้องน้ำที่คนไม่ราดไว้ ทำให้เราลืมไม่ลง เรากลับหนีเลย แทนที่จะช่วยกันราด กลบๆ ไป กลับหนี  ถึงว่าทำไมศิษย์น้องถึงทำบุญกับห้องน้ำไม่ขึ้น เพราะเห็นสกปรกแล้วหนีเลย มีแต่เมื่อเห็นสกปรกแล้วเราต้องช่วยกันกลบ อย่างน้อยเราพบสิ่งไม่น่าดูคนเดียวอย่าให้คนอื่นเจอด้วย  คิดได้อย่างนี้เขาเรียกเป็นกุศลจิต ใหญ่กว่าทำบุญปิดทองอีก เพราะสิ่งที่เหม็นๆ เราเลือกทำ กุศลยิ่งใหญ่ไม่มีใครรู้ด้วย  ถ้ามนุษย์เรารู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วทำอะไรแล้วทำให้สะอาดไม่ทิ้งเกะกะ ก็จะไม่มีคนมาตามเก็บตามเช็ด  แล้วเราแอบทิ้งให้เกะกะหรือเปล่า ใครกินข้าวแล้วล้างจานบ้างยกมือขึ้น ใครใส่เสื้อผ้าแล้วซักเองยกมือขึ้น ใครอาบน้ำไม่เคยถูขี้ไคลเลยยกมือขึ้น เห็นไหม ตัวเองสกปรกตัวเองยังรู้จักทำความสะอาด แล้วรอบข้างสกปรก ทำไมเราไม่รู้จักหยิบคนละไม้คนละมือ สังคมก็คงไม่วุ่นวายถ้าทุกคนรู้จักรับผิดชอบในความเป็นคน จริงไหม (จริง)
มีอยู่สองสาเหตุที่ทำให้เราทำดีไม่ขึ้นคือ  สาเหตุแรกคือ ไม่เห็นว่าคนที่เราทำดีด้วยมีค่าคู่ควรที่เราจะทำดี  แม้เราจะมีดีขนาดไหน เราอยากเมตตาขนาดไหน พอเห็นเขาไร้ค่า เห็นเขาไม่ดีเราก็ไม่อยากทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเห็นที่สกปรกเราไม่อยากทำ อะไรที่เราทำดีไม่ขึ้น (ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป) จริงหรือไม่ ทำให้บางครั้งคนทำดีมาหนึ่งครั้งแล้วไม่อยากทำดีอีกเป็นครั้งที่สอง ใช่หรือไม่ แต่ศิษย์น้องบางครั้งทำก็ต้องอดทนหน่อย แล้วทำดีอย่าได้หวังผลเลย เพราะหวังผลมักจะผิดหวังในผลทุกครั้งเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงทำดีเพื่อความดี  อย่าทำดีเพื่อหวังผล และความดีนั้นจะไม่ทำร้ายตัวเราเอง
อีกสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์ไม่อยากทำดี ก็เพราะว่าความดีนั้นเติบโตให้ผลช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมพอศิษย์พี่อ้าปากศิษย์น้องรู้ทันทีเลย อย่าปล่อยให้ศิษย์พี่ต้องนำตลอดนะ บางครั้งศิษย์น้องต้องนำตัวเองบ้าง เพราะถึงเวลามีแต่ตัวเราเป็นผู้ตัดสิน แล้วตัวเราเองเป็นผู้ชี้นำตัวเราเองทั้งนั้น วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดก็ให้แสงสว่างเพียงวูบหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเราเองต้องทำให้แสงสว่างนี้จงอยู่นิจนิรันดร์ และความทุกข์ความมืดมนความชั่วร้ายของคนและสังคมจะไม่มาครอบงำใจเราให้เป็นคนเลวเลย จำไว้นะศิษย์น้อง ความดีแม้จะเติบโตช้า แต่ความชั่วนั้นสูญหายยาก  ศิษย์น้องทำดีมาสิบปี แต่แค่ความชั่ววินาทีเดียวคนก็เหม็นไม่ลืมเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำดีให้จงได้ แต่การเป็นคนดีจนถึงที่สุดแล้วเราจะสามารถค้นพบความเป็นพุทธะได้ ขอเพียงตอนนี้ให้ศิษย์น้องดีให้ได้ก่อน ความเป็นพุทธะเดี๋ยวค่อยมาเรียนรู้กันก็ได้ แต่ตอนนี้ธรรมะยังไม่เอา ดียังไม่แน่นอน แล้วจะศึกษาอะไรได้ล่ะ แล้วจะบำเพ็ญอะไรล่ะ แล้วจะพูดถึงนิพพานไปไยเล่า ในเมื่อความทุกข์ยังดับไม่ได้ ความดียังทำไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงจำไว้ว่า ตัวมนุษย์ไม่ใช่ที่สิงสถิตแห่งความว่าง แต่เป็นที่ให้น้ำหรืออะไรต่างๆ มันไหลผ่านมา แล้วก็ผ่านไป อย่าบอกว่าบำเพ็ญต้องทำตัวว่าง อย่าบีบตัวเองให้ว่างๆ ไม่มีวันสำเร็จหรอก แต่จงทำตัวให้เหมือนสายน้ำ ที่ผ่านมาก็ผ่านไป ไม่เหลืออะไรคั่งค้าง แม้อะไรตกหล่นมา ก็มองเห็นได้ชัดเจน เพราะใจเราใสบริสุทธิ์ เอาแค่นี้ทำให้ได้ ได้ไหม (ได้)  อย่าคิดว่ามาหลอกเลยนะ ไม่คุ้มหรอก หลอกให้เขาเหม็นขี้หน้าหลอกทำไม ใช่ไหม  สู้ทำให้เขารัก ทำให้เขายินดีไม่ดีกว่าหรือ ศิษย์น้องเป็นคนมีทิฐิ แล้วถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ลงมาเพื่อให้คนเกลียด ไม่มีประโยชน์นะ มีแต่ลงมาเพื่อปลุกให้มนุษย์ตื่น แล้วรู้ว่าชีวิตนี้ทุกข์จะแย่แล้ว ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะเอาชนะทุกข์ แล้วเอาความทุกข์นี้ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
คิดถึงศิษย์พี่ไหม (คิดถึง)  ให้ศิษย์พี่มาหาศิษย์น้องบ่อยๆ  เมื่อไรศิษย์น้องจะกลับมาหาศิษย์พี่สักที นิสัยที่ไม่ดี เมื่อไรจะแก้กันได้สักที เจอปัญหาก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ไม่เบื่อบ้างหรือ เรามักจะเจอกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ที่เราไม่เคยผ่านได้สักที ใช่ไหม (ใช่)  ต้องรู้ตัวเองได้แล้ว ไม่ผ่านเรื่องอะไรก็แปลว่าเราบกพร่องเรื่องนั้น  อย่าปล่อยให้กิเลสที่มันนอนเนื่องในจิตใจ อย่าปล่อยให้นิสัยความเคยชินที่รู้อยู่แก่ใจมาทำร้ายตัวเราเอง อะไรล่ะที่เป็นนิสัยที่เราแก้ไม่ได้ นั่นแหละคือต้นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อรั้น เกียจคร้าน มักจะทำให้เราต้องผิดหวังไปหลายๆ ครั้งแล้ว ฉะนั้นตอนนี้เราศึกษาบำเพ็ญธรรมจงรู้จักนำธรรมะมาใช้ในชีวิตให้เกิดประโยชน์ อย่าเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง อย่าเป็นเด็กที่เห็นแต่ตัวเองแต่ไม่เคยเห็นจิตใจพ่อแม่ตัวเองเลย อย่าเป็นเด็กที่เถียงแม่เก่ง ไม่ดีเลยนะ  ฟังธรรมะมาตั้งเยอะแล้ว บางครั้งอาจไม่เกิดประโยชน์เลย ถ้าไร้คำว่า “สำนึก”  เกิดเป็นคนจงทำตัวเองให้ดีที่สุด ได้ไหม (ได้)
ถึงเวลาศิษย์พี่ก็ต้องกลับ คนทุกคนเมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปนะ ศิษย์น้องก็เหมือนกัน  อย่าถามว่าศิษย์พี่มาจากไหนแล้วกลับไปที่ไหน แต่น่าจะถามตัวเองว่ามาจากไหนแล้วจะไปที่ไหนต่างหาก กายก็กลับบ้านของกาย แต่กรรมเวรที่เราก่อล่ะอย่าคิดว่าหนีได้พ้น จำไว้นะ ใครทำอะไรก็ต้องได้รับอย่างนั้น อยากจะพ้นนรกแล้วขึ้นสวรรค์ ถ้าไม่เป็นคนดีตั้งแต่วันนี้ ไม่สำนึกแก้ไขตั้งแต่วันนี้ก็สายเกินไป ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไปล่ะนะ รักษาตัวให้ดีนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนประสบความสำเร็จใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจเหตุและผลจุดประสาน
คนต่างวัยความคิดย่อมต่างกัน คนต่างกันไม่ต่างคนต่างไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอาหารอร่อยไหม

จะชนะปัญหาทั้งหลายนั้น ที่สำคัญอย่าได้แพ้ใจตน
อย่าปล่อยให้ปัญหามาเหนือใจตน ให้กังวลเวลาที่คืบคลานมา
เปิดมุมมองให้กว้างกว้างเพื่อชีวิต บำเพ็ญจิตเดินไปสู่วันข้างหน้า
ไม่มีใครคนไหนไม่มีปัญหา แต่ปัญญาศิษย์ทุกคนก็ยังมี
ความเห็นแก่ตนเองทำให้คนเสื่อมเสีย เร่งไกล่เกลี่ยปัญหาอย่าคิดหนี
อันความทุกข์ทำให้ศิษย์เป็นคนดี ความนานปีจะพิสูจน์ถึงบุคคล
การบำเพ็ญก็คือการแก้ไข อย่าเหนื่อยใจในเรื่องการฝึกฝน
บาปหรือบุญอยู่ที่การกระทำตน ความอดทนทำให้ศิษย์ไม่แพ้ใคร
ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนที่มีความสุขคือคนที่คิดในเรื่องที่สมควรคิดเท่านั้น บางทีใจของเรานั้นก็คิดมากไป คิดเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้ ใช่หรือไม่  บางทีคนรอบข้างของเราเป็นอย่างไร เราแก้ได้หรือไม่ แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็เหมือนตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อถ้าหากเรามองคนอื่นแล้วเราแก้ไม่ได้  สู้รวบรวมพลังความคิดทั้งหมดกลับมาแก้ไขตัวเราเอง ดีหรือไม่ (ดี)  ทีนี้จิตใจที่มีความสงสัย จิตใจที่มีความคิดว้าวุ่นสับสนตัดทิ้งไปก่อน ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ก็เป็นวันที่สองแล้วถ้าหากวันนี้ฟังแล้วยังไม่ได้อะไรกลับไปก็ถือว่าไม่ได้ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาแล้วคิดตาม)
การบำเพ็ญธรรมแท้จริงแล้ว คือการแก้ไขซ่อมแซมตัวเราเอง ซ่อมแซมจิตใจ เพราะฉะนั้นอยากให้เราคิดไปถึงสิ่งที่เราทำผิดพลาดต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  มีไหม สามอย่างนี้ถ้าหากใครทำ เป็นเรื่องใหญ่มาก  คิดต่อไปเคยผิดพลาดต่อพ่อแม่ไหม  ทำความผิดต่อความกตัญญู คุณธรรมแห่งตนไหม หากมีความผิดพลาดในเรื่องของความกตัญญูนี้ จะทำให้เราไม่สามารถเป็นคนได้อย่างเต็มคน คิดต่อไปถึงความปรองดองในพี่น้องกับคนรอบข้าง เราเคยทำผิดต่อผู้อื่นไหม คิดต่อไปถึงตัวของเรา นิสัย อารมณ์ของเราเองที่เกิดขึ้นวันหนึ่งไม่รู้กี่หน เราผิดต่อตัวของเราเองไหม คิดด้วยความรู้สึกสำนึก ด้วยความรู้สึกที่อยากจะแก้ไขและอยากจะดีขึ้น ไม่ใช่หลับตาเฉยๆ นะ 
(พระอาจารย์ให้นักเรียนลืมตาขึ้น)
รู้สึกอย่างไรกับการนั่งมอง คิดอย่างไรบ้างกับการนั่งพิจารณาตัวเอง เวลาเปิดตาเรามักจะไม่เคยคิดถึงตัวเราเองเลย  มองไม่เห็นตัวของเราเอง ถ้าอยากให้มองก็ต้องเอากระจกบานหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า แล้วก็มองเห็นแต่ผิวหนัง คิ้ว ตา จมูก หน้าตา รูปร่างของตนเอง เราไม่เห็นเลยว่าตัวของเราแท้จริงเป็นอย่างไร ตัวของเราแท้จริงแล้วเป็นคนดีหรือยัง (ยัง)  ยังไม่ดีหรือ ตอนมารับธรรมะบอกว่าชวนคนดีมารับธรรมะ แสดงว่ามีคนเห็นเราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์นั้นดีตรงไหน ดีตรงที่เห็นว่าตัวเองยังไม่ดีอยู่  อย่างนี้จึงจะเยียวยาแก้ไขได้ เวลามีเรื่องกับคนอื่นใครผิด (เขาผิด)  แต่หลังจากที่นั่งหลับตาแล้วใครผิด (เราผิด)  ทำไมเราถึงผิดล่ะ ถ้าหากเราทะเลาะกับไม้กระดาน ไม้กระดานทำอย่างไรกับเรา (เฉย)  เผอิญเราไปทะเลาะกับศัตรูเกิดอะไรขึ้น สมมติว่าคนนี้เรามองเขาว่าเขาคิดไม่ดีกับเราแน่นนอน ถ้าเราทะเลาะกับเขา เราก็หาเรื่องกับเขาให้ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้ถามต่อไป คนที่เราหาเรื่องกับเขานี้ เพราะว่าเรามองว่าเขาคิดอะไร แต่จริงๆ แล้วเรามองเห็นไหมว่าเขาคิดอะไร
เคยดุลูกทั้งจิตใจรักแสนรักไหม  (เคย)  แล้วทำไมถึงดุ (อยากให้เขาเป็นคนดี)  ลูกฟังแต่เสียงของเรา ไม่เข้าใจถึงความคิดของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่มีความต่างวัย จึงมีความคิดแตกต่างกัน คนที่เติบโตขึ้นมากับคนที่เป็นเด็กอยู่จึงมีความคิดไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทุกๆ ที่ ทุกๆ เวลา จะเจอความแตกต่างอย่างนี้เสมอๆ ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับความแตกต่างนี้ได้อย่างกลมกลืน
อาจารย์ไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนไม่มีเหตุผล  ทุกคนมีเหตุผลเหมือนกันหมดเลย เหตุผลของแต่ละคนก็ดีในสายตาของตัวเอง แม้กระทั่งเด็กอยากจะหนีเที่ยว อยากจะขโมยเงิน เขาก็มีเหตุผลของเขา ความผิดย่อมไม่ตกอยู่ที่ตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะอยู่ด้วยกันในความแตกต่าง จึงต้องหัดที่จะยอมรับความผิดของตัวเอง และต้องหัดยอมถอยเป็นด้วย ถอยนั้นง่ายไหม หากว่าเรายืนอยู่ให้เราถอยไปหนึ่งก้าวทำง่ายไหม (ง่าย)  แต่ความรู้สึกของเราถอยไหม  (ไม่ถอย)  สิ่งที่มีความยากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการทำให้ความรู้สึกของเราถอยตามก้าวที่เราถอยมา หากว่าความรู้สึกของเรานั้นไม่เปลี่ยน ย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเปลี่ยนเราได้
ฉะนั้นการจะเปลี่ยนความรู้สึกของเราทำยากไหม (ยาก)   ดินที่ต้นหญ้าจะแทงขึ้น แข็งหรืออ่อน (แข็ง)  ต้นหญ้าต้องการจะแทงถึงพื้น ใช้ความอดทนสูงไหม (สูง)  ต้นหญ้ามีความอดทนสูงไหม เราเป็นคนแพ้ต้นหญ้าไหม  หากเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ให้ได้ ทำได้ไหม (ได้)  ธรรมชาติความค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ก็สอนให้เรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่ว่าเราต้องมีความคิดจะเปลี่ยนเสียก่อน คำว่าเปลี่ยนอยู่ในจิตใจของเราหรือเปล่า หากว่าเราบำเพ็ญธรรมมานานแล้วเราไม่เคยคิดว่าเราจะเปลี่ยน คำว่าเปลี่ยนไม่เคยอยู่ในจิตใจของเรา ต่อให้บำเพ็ญไปอีกสิบปี ก็เป็นแค่การบำเพ็ญสิบปีแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในนั้น  นิสัยไม่ได้ดีขึ้น อารมณ์ไม่ดีขึ้น อัตตาไม่ลดลง ใครจะเปลี่ยนเราได้ หากเราไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง เมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น เมื่ออยู่ร่วมกันในความแตกต่างกัน กลายเป็นที่เบื่อระอากับคนรอบข้างเท่านั้นเอง แต่เมื่ออยู่ร่วมกับคนบำเพ็ญด้วยกัน แตกต่างกันกับทางโลก เพราะไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมต่อให้มีความแตกต่างกันมากที่สุด ศิษย์ยังต้องทนให้ได้ ทนแล้วเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนให้ดีขึ้นนะ ไม่ได้เปลี่ยนให้แย่ลง
อายุมากแล้ว คนอายุยิ่งมาก  ความมีอัตตานั้นจะยิ่งสูงขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความเป็นตัวตน มีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาก  ฉะนั้นการกระทำของเราจึงต้องหัดที่จะปรับให้ดีขึ้น   หากว่าการกระทำของเราไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี   วันนี้เราตายไปเราจะไปอยู่ที่ไหน เคยคิดถึงเรื่องตายไปไหม  คนที่ยังรุ่งโรจน์ในชีวิตอยู่มักจะไม่คิด  แต่คนที่ชีวิตตกอับมักจะคิดถึงเรื่องของความตาย  ฉะนั้นความทุกข์จึงให้สติแก่คนที่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  พูดอย่างนี้เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ  และเพราะอยากชี้ให้เห็นว่าความทุกข์ที่เราได้รับนั้นเป็นเรื่องที่ดี ความทุกข์นั้นมีอยู่มากมาย  ไม่ต้องหาก็มาเอง  ส่วนความสุขเหนื่อยแทบตายก็มีเพียงหน่อยหนึ่ง ใช่ไม่ใช่ (ใช่)   อย่างนี้อยากมีความสุขหรืออยากมีความทุกข์  เปรียบไปก็เหมือนน้ำสายหนึ่งที่ไหลไปๆ หากว่าสายธารนั้นราบเรียบตลอดเวลา   น้ำก็จะไหลแรง  แต่หากว่าเอาหินมาขวางไว้สักก้อนหนึ่ง  สายน้ำอันนี้ก็จะไหลช้าลง  ดูเหมือนคนที่มีสติใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าหินนี้ขวางอยู่จนทึบ ขวางอยู่มากมายเต็มไปหมดเลย ขวางไว้เป็นสิบเป็นร้อยก้อน  จนกลายเป็นกำแพง   ถามว่าน้ำจะไหลไปได้ไหม  (ไม่ได้)  ก็ยังไหลได้ เพราะน้ำสามารถทะลุทะลวงไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขยังมีไหม (มี)  น้อยหรือมาก (น้อย)  แต่ความสุขที่มีมาน้อยๆ เราจะเห็นคุณค่าได้อย่างมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตนี้ใครคิดว่ามีความทุกข์แล้วดี หรือมีความสุขดีกว่า  ยังมีบางคนตอบไม่ถูก ยังรักพี่เสียดายน้องอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือน้องไม่อยากได้ อยากได้แต่พี่เอาแต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้น  ถามจริงๆ ว่าเวลาที่เรามีปัญหาในชีวิต สิ่งใดที่ทำให้เราคิดได้ ความสุขหรือเปล่า (ความทุกข์)  เวลาที่มีปัญหาในชีวิตสิ่งที่ทำให้เราคิดได้นั้นคือความทุกข์  เพราะว่าความทุกข์เฝ้าบอกเรา ให้เราหยุดอย่าได้ไปเตลิดมากมาย  ฉะนั้นตอนนี้ถือว่าเป็นคนมีโชคดี  โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์มากเป็นคนโชคดีมาก แต่คนที่มีความสุขตลอดเวลาเป็นคนที่ไม่มีโชค เพราะว่าความสุขไม่ได้ให้บทเรียนแก่เราเลย  เชื่อตามนี้หรือเปล่า  (เชื่อ)  ทีนี้อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์  เพราะว่าอาจารย์ตั้งแต่สมัยเป็นคนก็บ้าๆ บ๊องๆ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็สอนให้ศิษย์มองมุมกลับของชีวิต เห็นมุมกลับหรือยัง อยากไปมุมเดียวกับอาจารย์ไหม
หากว่าอยากจะดูดีก็ต้องใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วใส่เสื้อผ้าดีๆ ต้องทำงานหนักเพื่อจะได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วทำอย่างไรล่ะ อย่างนี้เราต้องกลับมามองว่าเราจะดูดีที่ไหน (ที่ใจ) อะไรที่อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่เคยแยกจากตัวเราไปเลย แม้เราจะอาบน้ำอยู่ก็อยู่กับเราตลอดเลย (จิตใจ)  แล้วเราเคยตกแต่งจิตใจของเราให้ดูดีไหม  ตลอดชีวิตสมมติว่ามีชีวิตอยู่ห้าสิบปี ใช้เวลาตกแต่งไปสี่สิบปียกมือขึ้น ให้สิบขวบแรกเป็นตอนที่คิดได้บ้างไม่ได้บ้าง เดี๋ยวนี้เด็กห้าขวบก็คิดได้แล้วใช่ไหม ตั้งแต่สิบขวบไป สี่สิบปีใช้เวลาตกแต่งตลอดมีไหม (ไม่มี)  สามสิบปีมีไหม ยี่สิบปี สิบปี หนึ่งปี (มี) รวมรวมๆ กันได้สักหนึ่งปีได้ไหม (ได้)  บางคนบอกว่าวันเดียวยังไม่ได้เลย ตอนนี้เราเลิกตกแต่งภายนอกร่างกายของเรา เลิกตกแต่งให้นิ้วมีแหวนทอง เลิกตกแต่งให้คอมีสร้อยทอง เลิกตกแต่งให้กระเป๋ามีเงินเต็มๆ เลิกตกแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยหรู เลิกตกแต่งสิ่งที่อยู่นอกกายทั้งหมด แต่เรามาตกแต่งจิตใจ เพราะหากว่าคนๆ นี้ใส่เสื้อผ้ามอซอแต่เป็นคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็มีคนรักได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามจริงๆ ว่าเรารักคนประเภทไหน เรารักคนที่มีเงิน หรือเรารักคนที่จนแต่ว่าเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่ดี เราก็รักคนที่มีมารยาทที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่สำคัญเขาจะต้องดีกว่าเราด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเราต้องมาตกแต่งจิตใจ ให้จิตใจของเรานั้นมีสภาพที่ดีมากขึ้น อย่าให้วิวัฒนาการของโลกที่ทันสมัยก้าวล้ำนำไปทั่ว แต่ว่าจิตใจของเรานั้นมันเสื่อมโทรมยิ่ง เราต้องหันกลับมามองจิตใจของเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราใช้ตาของเรานั้นมองภายนอกมาก ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์หลับตาลงมองใจของตนเอง เพ่งให้เห็นสภาพจิตใจของเราที่ทำผิดพลาดไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว พ่อแม่ เรื่องเกี่ยวกับคนในบ้าน เรื่องเกี่ยวกับนิสัยและอารมณ์ของตนเอง มองให้เห็นถึงความผิดพลาดของตัวเอง สำนึกด้วยจิตใจอันแท้จริง เชิญลืมตาขึ้นได้ ความผิดมีไหม (มี)  เรื่องใดแก้ได้แก้ง่ายกลับไปแก้ก่อน เรื่องใดแก้ยากแก้ลำบากก็ให้เวลาตัวเองอีกนิดหนึ่ง เวลาทะเลาะกันจะมีจิตใจที่สำนึกได้ ว่าตัวเราผิด คนอื่นผิดไหม (ไม่ผิด)  คนอื่นในจิตใจลึกๆ ของเราเขาก็ยังผิดอยู่ แต่ว่าความผิดของเขานั้นมีคำว่าอภัยไหม (มี)  การจะทำให้เขานั้นรู้สำนึกได้ใช้อารมณ์ไหม (ไม่ใช้)  แม้คนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเราเอง เราต้องการให้เขาสำนึก เขาก็สำนึกเพราะกลัวเราผู้มีตำแหน่งสูงกว่า แต่หาได้สำนึกจริงๆ ไม่ ฉะนั้นการที่จะทำให้ผู้อื่นนั้นยอมเราโดยศิโรราบ จึงต้องทำตัวของเรานั้นให้ดี ไม่ใช่เป็นคนที่เข้าข้างตัวเองอยู่เสมอๆ อยากมีความสุขในบ้าน เราต้องเป็นภรรยาที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนบอกว่าเป็นปู่ย่าที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรทำให้คนขาดสติที่สุด คืออารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  มีอารมณ์ไหม (มี)  อารมณ์อะไรเกิดบ่อยที่สุด (โกรธ)  ความโกรธเป็นอารมณ์ที่ทำลายคนบ่อยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความโลภเป็นสิ่งที่อยู่ได้นานที่สุด ความหลง ความรักเป็นอารมณ์ที่ชั่ววูบมากที่สุด ฉะนั้นจะต้องหัดที่จะล้างอารมณ์ของตัวเราเองดีหรือไม่ (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  ได้นานแค่ไหน จากนี้ไปถึงไหน ไหนใครกล้าตอบตลอดชีวิตลุกขึ้นยืนเลย พูดได้ทำให้ได้นะ (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ลุกขึ้นยืน)
เปลี่ยนแปลงตัวเองยากที่สุดคืออดทนกับใคร (ตัวเราเอง)  ยากที่สุดคืออดทนกับอารมณ์ของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นคำว่า “ตัวเอง” มิได้ให้ไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น มิได้ให้ไปทำสิ่งใดกับผู้อื่น แต่ให้กลับมามองตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  ยากก็ต่อเมื่อทำได้บ้างไม่ได้บ้าง คนที่ไม่เคยลงมือทำก็มักจะไม่รู้ แต่คนที่เคยลงมือแล้วมักจะรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ตีกัน ลูกของเราออกจากบ้านไปตีคนอื่น เราจะเข้าข้างลูกตัวเองไหม (เข้าข้าง)  ในความเป็นจริงคือเข้าข้างลูกตัวก็ไม่สมควร  ส่วนไม่เข้าข้างลูกตัวเองก็ไม่ได้ ถึงตอนนั้นทำอย่างไร (เป็นกลาง)  มีใครบอกว่าเราใจเป็นกลางมีไหม เราบอกว่าเราใจเป็นกลางส่วนคนอื่นบอกว่าเราใจเป็นกลางไหม ไม่เห็นมีคนดีคนไหนที่ไม่เคยถูกนินทาใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เคยเห็นคนยุติธรรมคนไหนแล้วคนอื่นมองว่าใจนั้นเป็นกลาง เพราะฉะนั้นทุกคนนั้นถูกนินทาเท่าๆ กันหมด ถูกหรือไม่ (ถูก)  หาใจกลางของตัวเองให้เจอแล้วบอกว่าตัวเองมีใจเที่ยงไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้ ยกมือขึ้น  แสดงว่าเมื่อวานนี้ไม่ยอมลุกขึ้นตอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเยอะไหม (เยอะ)  อาจารย์บอกว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่มีบังเอิญว่าเราถูกตีหัว ไม่มีบังเอิญขโมยขึ้นบ้าน ไม่มีบังเอิญไปรู้จักไปเห็นหน้าคนที่เราเคยรู้จักมานาน ทุกๆ อย่างเป็นเรื่องของสิ่งที่ทำ สิ่งที่ได้รับทั้งสิ้น  คนที่เจอกันบ่อยๆ เราต้องทำดีด้วยไหม (ทำ)  คนที่นานๆ เจอกันทีเราต้องทำดีด้วยไหม (ทำ) คนที่เราเจอกันบ่อยกับคนที่นานๆ เจอกันที  เราควรที่จะทำดีกับคนไหนมากกว่ากัน คนที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นานๆ เจอกันทีเราทะเลาะกับเขาไหม (ไม่ทะเลาะ)  ทำไมล่ะ (นานๆ เจอกันที)  แล้วคนที่อยู่ด้วยกันทุกวันๆ ทะเลาะกับเขาไหม (ทะเลาะ)  เพราะว่าอะไรล่ะ  เพราะว่าเราเห็นเขาเป็นของกล้วยๆ เจอกันทุกวัน ทะเลาะกันเท่าไหร่ก็ต้องกลับมาเจอกัน   แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร คนที่เราอยู่ด้วยกันคือคนที่เราเลือกเขามาอยู่กับเราแล้ว คนที่เราเคยทำบุญกับเขามา คนที่เราเลือกเขามาเป็นคู่ แล้วเราทะเลาะกับเขาทำไม เพราะเราเห็นเขาว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยกับเรา เราไม่มีที่ลงจึงไปลงที่เขาหรือ   แล้วเขาจึงเห็นเราเป็นที่อะไร (ที่ระบาย)  เพราะเราเห็นเขาเป็นที่ระบายเขาก็เห็นเราเป็น (ที่ระบาย)  ระบายกันไประบายกันมาแล้วมีความสุขไหม  ไหนบอกว่าอยากมีความสุข ตกลงอยากมีไหม (อยาก)  บางคนโมโหร้าย ตอนไม่โมโหอย่างกับพระเดินมา แต่ตอนโมโหนี่เป็นอย่างไร เป็นนักเลงหัวไม้วิ่งมา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอย่างนี้กลัวไหม (ไม่กลัว)  ผู้ชายบอกว่าไม่กลัวเห็นนักเลงหัวไม้วิ่งมาก็รับ ทีนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ นานๆ เจอกับเขาทีก็ต้องดีด้วย  ส่วนคนที่อยู่กับเราทุกๆ วัน คนที่สนิทกับเรา คนที่เป็นคู่เรา เรายิ่งต้องดีกับเขา ต้องดีกับเขาเป็นเท่าทวีคูณ  คนที่เป็นพ่อแม่เรา เรายิ่งต้องดีกับเขามากกว่าคนที่เป็นลูกของเราอีก  เพราะคนที่เป็นลูกเรานั้นยังเด็ก เขามีเวลาอีกเยอะ ส่วนพ่อแม่ของเรายิ่งมีเวลาให้กับเราน้อย ถ้าหากว่าเราทำดีกับเขาเหมือนกับทำบุญไหม (เหมือน)  ถ้าหากพ่อแม่อดข้าวเป็นอะไรไหม (เป็น)  ลูกอดข้าวเป็นอะไรไหม ลูกอดข้าวอาจอดได้หลายมื้อ แต่พ่อแม่อดข้าวอาจจะตายในมื้อนี้ก็ได้   เพราะฉะนั้นความคิดของเรานั้นจึงต้องกลับมุม เพราะ บางทีเรารักลูกของเรา พ่อแม่ของเรานั้นก็รักเราใช่หรือเปล่า (ใช่) มุมมองที่ออกมาจากช่องหน้าต่างแคบไหม ให้ศิษย์ยืนอยู่ที่ช่องหน้าต่างแคบๆ แล้วมองออกไปมุมมองแคบไหม (แคบ)  ถ้าให้ศิษย์ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งๆ มุมมองกว้างไหม (กว้าง) ทำไมมุมมองของเราถึงได้แคบลง เพราะว่าเรานั้นมีจิตใจที่แคบ ทุกวันก็เห็นแต่ตัวเอง ทำให้เราไม่สามารถสร้างสรรค์พลังที่สร้างทุกสิ่งได้ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ทุกๆ สิ่งที่อาจารย์พูดมาตั้งแต่ต้นไม่พ้นตัวเอง คือหมายความว่า โลกทั้งโลกจะเปลี่ยนได้ ก็คือเปลี่ยนตัวของเราเอง สิ่งที่ร้ายจะเปลี่ยนเป็นดีก็คือเปลี่ยนใคร (ตัวเอง)  เหมือนคนเล่นการพนัน เขาเรียกผีพนัน หรือนักพนัน  (ผีพนัน)  พอเล่นพนันมากๆ ก็กลายเป็นผี ใช่ไหม คนกินเหล้ามากๆ เรียกว่าอะไร นักเลงสุรา นักเลงสุราก็เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่สุดโต่งในทางไม่ดีก็มักจะมีชื่อใหม่ให้ เราจะต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ตั้งแต่เรื่องภายนอกมาถึงภายใน มองภายนอกเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด แล้วซึมซับมาเป็นพลังเก็บไว้ภายใน ซึมซับในสิ่งที่ดีแล้วปล่อยพลังที่อยู่ภายในออกไปหาทุกสิ่ง พลังที่มาจากภายในโดยแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เวลาเราหลับตาเรารู้สึกถึงคนอีกคนที่อยู่ข้างในไหม คนๆ นั้นก็คือความคิดของเราที่คอยบอกถึงความผิดพลาดของตัวเอง เป็นคนที่พร้อมจะแก้ไขตนเอง คนๆ นั้นมีพลังขึ้นอยู่ที่ศิษย์จะยอมให้คนๆ นั้นมาแสดงบทบาทหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นคนๆ นั้นจะเป็นคนที่คิดดีอยู่ข้างใน พลังภายในมาจากไหน บางทีมาจากภายนอก มาจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากว่าเราเฝ้าแต่ทะเลาะกับคนในครอบครัว สามี ภรรยา ลูก หากว่าเราเฝ้าแต่อารมณ์เสียหงุดหงิด หากว่าเราเฝ้าแต่เป็นคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง แสดงว่าคนๆ นี้ไม่มีพลังที่ดี ฉะนั้นเราต้องสร้างสภาวะแวดล้อมตัวเองให้ดีเสียก่อน ต้องกลับไปมีความอดทนมีขันติในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ต้องเห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในมือของเรา อย่าคิดว่าสิ่งที่ดีกว่าคือสิ่งที่คนอื่นมี ต้องคิดว่าสิ่งที่เรามีนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเราจะกำแอปเปิลเน่าอยู่ผลหนึ่ง คนอื่นจะถือแอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดมาจากต้น แต่แอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดลงมานั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา แอปเปิลที่กำลังจะเน่าในมือของเราต่างหากของเรา อย่าได้โลภอยากได้ของคนอื่น เราจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับตนเอง ดีหรือไม่ (ดี) หากว่าผลๆ นี้ที่กำลังจะเน่า เราก็เอาผลที่เน่านี้ไปปลูกใหม่ให้ขึ้นเป็นต้นใหม่ แต่ต้องใช้ความอดทนรอวันเวลาหรือถ้าหากว่ายังกินได้ เราก็เลือกหั่นเอาส่วนที่ดีมากินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นส่วนที่อยู่ในมือของเราก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่ได้เป็นของๆ เรา เราจึงต้องหัดพอใจในสิ่งที่เรามี มนุษย์มากมายมีปัญหารุนแรงก็เพราะไม่รู้จักพอ ยามใดรู้จักพอยามนั้นปัญหาก็จบลง ปัญหาของคนก็คือความไม่รู้จักพอ จิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเพราะว่าเราไม่รู้จักพอ ฉะนั้นถ้าหากเรารู้จักพอเมื่อไร เราก็คือคนที่มีความสุข มีสติมากที่สุด และก็เป็นคนที่มีธรรมะมากที่สุด พลังที่ออกมาจากภายในก็คือพลังที่เรารู้จักพอได้นั่นเอง พลังที่ออกมาจากภายในก็คือความอดทนที่ส่งออกมาให้คนรอบข้างได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรามี ให้คนรอบข้างรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนของพลังของเราที่จะผลักดันสิ่งต่างๆ แต่ไม่ใช่เฝ้าอวดอ้าง โอ้อวด เหมือนคนทำชั่วพอทำดีเข้าสักนิดหนึ่งก็อวดโอ้ไปใหญ่โต อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ให้เอาพลังที่อยู่ภายใน เอาความสุขุมคัมภีรภาพ เอาความเรียบร้อย   เอามารยาทอันดีงามไปโน้มน้าวชักจูงผู้อื่น  ดียิ่งกว่าคำพูดเพราะ
หากว่าเขาประทับใจในกิริยามารยาทอันดีงามของเรา เขาจะสามารถนำสิ่งที่พบเห็นจากเราไปเปลี่ยนแปลงตัวของเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างที่บอกในโลกนี้ไม่มีใครที่บังคับใครได้ แม้แต่ศิษย์ยังไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ฉะนั้นอย่าได้คิดไปบังคับคนอื่น ตอนนี้มีพลังจากข้างในหรือยัง รู้จักพลังข้างในของตัวเองหรือยัง ดึงพลังของตัวเองออกมาใช้ อาจารย์เชื่อว่าคนเก่าจะเข้าใจคำพูดของอาจารย์ได้มากกว่า เวลาที่เราท้อ หมดแรง ผิดหวัง เวลาที่เราเจอปัญหา พลังที่จะเติมเต็มให้เรานั้นไม่ใช่มาจากการไปผ่อนคลาย เพราะเมื่อผ่อนคลายเสร็จอาจารย์เห็นก็ยังหมดแรงเหมือนเดิม เพราะว่าพลังนั้นไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ที่ข้างในของเรา การทำใจได้ ทำใจเป็นของเราเท่านั้นที่จะสามารถคืนพลังให้กับเราได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเป็นคนดี แม้อาจารย์จะสอนศิษย์ให้ศิษย์เป็นคนดีแต่ศิษย์ก็วางสิ่งที่อาจารย์พูดอยู่ดี พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากจะมายืมร่างให้ศิษย์เกิดความยึดติด มัวแต่สงสัยจนไม่สามารถฟังธรรมะรู้เรื่อง แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด และก็รวดเร็วที่สุดที่สามารถทำได้ ไม่ต้องตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ต้องเอาอาจารย์เข้าไปอยู่ในใจของตนจนไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมะนี้คืออะไร ให้ศิษย์ของอาจารย์สนใจธรรมะที่ได้รับมา ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ให้เวลาในการฟังธรรมะ ศึกษาเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นไป ทำจิตใจให้เป็นจิตใจที่ดีงาม ใสสะอาดเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ดึงอาจารย์ไว้อย่างนี้เวลาที่ศิษย์ท้อหรืออยากจะห่าง แต่ถึงเวลานั้นอาจารย์ไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนมีจิตใจมาดึงอาจารย์ไว้แบบนี้ เวลาท้ออยากจะเลิก นึกจะพูดอะไรก็พูด คนเราต้องมีความสำนึกให้มาก คิดจะเปลี่ยนต้องให้จริงจังนะ ทำตัวให้อาจารย์ช่วยได้นะศิษย์นะ รู้ไหม
มองไปวันนี้ศิษย์บางคนที่เป็นคนเก่ากำลังถูกปัญหารุมเร้า ปัญหาที่มาจากภายนอก ปัญหาที่มาจากภายในใจ ปัญหาที่มาจากสารพัดทิศสารพัดทาง แต่อาจารย์ขออย่างเดียว ปัญหาใดๆ อย่าให้ศิษย์นั้นแพ้ใจตัวเอง ให้รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราพูดอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรเสมอๆ เป็นการย้ำเตือนให้สติตัวเอง คนที่บำเพ็ญมานานจึงมีความลำบากกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญ เพราะว่าคนที่บำเพ็ญนาน หากบำเพ็ญนานแล้วยังไม่ก้าวหน้า ก็ดูเสียเวลาที่จะบำเพ็ญ แต่หากศิษย์ไม่บำเพ็ญชาตินี้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
รู้จักระงับอารมณ์มีสติให้มาก อย่าทำเสียเรื่องเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบ โลกนี้มีคนปรารถนาดีต่อเรามากมาย คนที่ปรารถนาดีต่อเรานั้นยังอยู่ใกล้ตัวเราอยู่ อย่ารอให้เสียเขาไป อย่าพูดคำที่เจ็บช้ำน้ำใจลงไปแล้วมาเสียใจทีหลัง หนำซ้ำยังเป็นคนที่พูดขอโทษไม่เป็น พาลจะเสียเรื่องไปใหญ่ ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที มีสติกับสิ่งที่ทำลงไป ปัญหาหนักจะได้กลายเป็นเบา ปัญหาเบาจะได้กลายเป็นไม่มี ทำให้ดีที่สุด คำนี้พูดง่ายแต่ทำยาก แต่หวังว่าศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์ทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์ยังพยายามและยังทำได้อยู่
ยามท้อคิดถึงอาจารย์ให้มากนะศิษย์นะ ดึงอาจารย์ไว้เหมือนวันนี้ที่ศิษย์ดึง ใช้ใจของศิษย์ดึงใจอาจารย์ไว้ ให้อาจารย์นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งอยู่กับศิษย์ในเวลาที่ศิษย์ท้อแท้มากที่สุดนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “ดึงพลังมาจากภายใน”
พลังแห่งความคิดที่สร้างสรรค์ อยู่บนฐานความถูกต้องมีขอบเขต
วันคืนที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จ ฝ่าไม่เสร็จเพราะกิเลสจากภายใน
บางทีต้องลงมือให้ถูกเวลา บางปัญหาต้องปล่อยวางจึงแก้ไข
เมื่อรักสิ่งที่ทำอยู่ไม่ขื่นใจ ความสงบให้พลังไร้สิ้นสุด
เมื่อมังกรทะยานขึ้นแหวกเวหา จะดำดิ่งลึกสุดหล้ามหาสมุทร
การยึดติดบรรดาสิ่งสมมติ ทำให้หยุดจิตเสรีที่ภายใน
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา