วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-09 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2543-12-9-ผู่ถี #23.pdf

วันเสาร์ที่  ๙  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓ พุทธสถานผู่ถี  จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ศึกษาธรรมด้วยจิตใจอันใฝ่รู้ ตรวจทานดูเคยผิดเร่งแก้ไข
วันเวลาผ่านไปไม่คอยใคร คนยิ่งใหญ่เพราะสละเพื่อประชา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา

แต่เดิมคนล้วนมีจิตใจดีงาม แต่หลงตามโลกมายาจนลุ่มหลง
ในบัดนี้ฟ้าส่งมอบทางสายตรง คนมั่นคงบำเพ็ญดีพ้นคืนไป
จะได้รู้ว่ายากเมื่อเคยลำบาก การพลัดพรากไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
ต้องขมก่อนจึงหวานเย็นชื่นใจ เมื่อเข้าใจจะปฏิบัติได้ยิ่งดี
ลงแรงจิตบำเพ็ญธรรมให้ถึงแจ้ง อย่าหน่ายแหนงเพราะคนหรือว่านิสัย
ด้วยชีวิตมีจำกัดไม่เท่าไร อย่าใส่ใจกับเรื่องไร้สาระเลย
สามัคคีกันเถิดเหล่าพี่น้อง จิตประคองจิตกันให้ถึงฝั่ง
ควรพูดจะต้องพูดรู้หรือยัง ควรฟังจะต้องฟังราบรื่นดี
ในเมื่อมีบุญสามชาติเจอธรรมแท้ อย่าเปลี่ยนแปรเพราะอุปสรรคบั่นทอนจิต
ตกนรกเพราะชั่ววูบแห่งความคิด จงพินิจด้วยปัญญาเสมอไป
กลางทะเลแห่งทุกข์ยากพ้นทุกข์ แต่จงปลุกเพื่อนเวไนยเพียรคืนฝั่ง
หมั่นปัดกวาดในจิตที่รกรุงรัง แลศรัทธาเป็นที่ตั้งเดินทางไกล
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม ขอให้นำความตั้งใจเป็นหลักใหญ่
ขออย่าได้สงสัยจนปิดบังใจ พุทธะได้สำเร็จจากมนุษย์เอย
จงรักษาพุทธระเบียบด้วยมุ่งมั่น สิ่งสำคัญนำกลับไปปฏิบัติ
จะมีใจที่จะเดินทางลัด ต้องเคร่งครัดกับตนเองมากกว่าใคร
ตนทำดีต้องดูอย่าเปรียบเทียบ น้ำราบเรียบอย่ามีคลื่นจึงส่องได้
แผ่นฟ้าดูดั่งไกลก็ดั่งใกล้ ขอจงใช้ความพยายามอย่าท้อนา
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องคงอยู่ครบ
คนอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพ จึงจะจบเรื่องทะเลาะเสียงนินทา
เสมอต้นเสมอปลายเพียรไม่พ่าย พ้นเวียนว่ายมาด้วยมั่นคงหนา
สัจธรรมคือธรรมะธรรมดา แต่ทว่าแฝงอยู่ในทุกทุกวัน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา   หยุด


วันอาทิตย์ที่  ๑๐  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ประกาศธรรมแทนฟ้าต้องระวัง อย่าพูดอย่างทำอย่างให้มัวหมอง
ประกาศธรรมแทนฟ้าตามครรลอง แม้รู้จริงยังตรองรู้รับฟัง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

การบำเพ็ญเน้นใจเป็นพื้นฐาน เหม่อทำการมักพบแต่อุปสรรค
ถ้าบำเพ็ญเน้นนอกข้องขัดนัก ใจจะหนักภยันตรายบุกคืบคลาน
กำลังใจพร่องแฝงจิตกลัดกลุ้ม ไฟสุขุมบำเพ็ญต้องดีมีขวัญ
รวมกันอยู่การยอมเรื่องสำคัญ มิตรสัมพันธ์ในลักษณะให้ก่อนรับ
อารมณ์คนเนื้อแท้ไม่ร้อนรน รู้ทันตนเรื่องเคืองโกรธระงับ
ปัญญาทำการชนะความยึดจับ จงประดับดีภายในสิ่งเจริญ
ทำบาปคละอยู่ทุกข์ไปเสมอ สิ้นละเมอเลือกอยู่และละสรรเสริญ
ฟ้าย่อมให้ทางเลือกมนุษย์เดิน ช่วยคนเดินหลังตนด้วยน้ำใจ
ชีวิตคนอย่าให้เงินเป็นเจ้า วัตถุเข้าตรึงตรามาอย่าหวั่นไหว
สติมั่นยิ่งผู้เป็นผู้ใหญ่ ทำอะไรให้อย่าใหญ่เกินงาม
ในจิตมีอคติอยู่เป็นมายา ทุกข์ใจมาเสี้ยมสอนคนบุ่มบ่าม
แยกแยะเป็นอาจใหม่ให้พยายาม เข้าใจตามการสร้างโอกาสรู้สำแดง
น้อยคนจักรู้จักตนเอง บรรดาเก่งรุกและถอยพลังแกร่ง
ปัญญาดีไม่ครั่นคร้ามพลิกแพลง ฝ่ากำแพงสำเร็จมุ่งเข็ดต้องจำ
ทำใจดีสู้เสือเถิดเมธี ท้อฤดีดั่งคนที่ตกน้ำ
ทุกเวลาไม่ประมาทธรรมเตือนย้ำ อนาคตธรรมมีผู้รักษาคือเรา
ปัญหาคู่ผู้ไม่อาจคลายสงสัย รักษาใจให้สะอาดทำตามก้าว
ทำดีไปได้ดีกรรมบรรเทา ทำดีเท่าทำได้งามบังควร
ฮา  ฮา   หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน  ท่านว่าอย่างไร (อยู่ทุกๆ หนทุกๆ แห่ง, อยู่ในใจของตัวเอง)  หาได้ยากที่คนอายุมากเช่นนี้แล้วกล้าลุกขึ้นตอบ ตบมือให้หน่อยนะ  เราเคยลงมายังเมืองมนุษย์หลายครั้ง ในโลกมนุษย์นี้หลายต่อหลายครั้งที่ผู้อาวุโสอายุมากจะไม่ค่อยกล้าลุกขึ้นตอบ  จะลุกขึ้นตอบสักทีหนึ่งก็ต้องเคี่ยวเข็ญเสียหลายครั้ง  แต่ท่านผู้นี้ต้องยกย่องให้แล้วว่าเป็นผู้ที่กล้ามาก  แล้วความศักดิ์สิทธิ์ความเป็นพุทธะแท้จริงนั้นอยู่ที่ใดกัน หากจะบอกว่าอยู่ที่ใจของท่านก็เรียกว่าถูก  หากจะบอกว่าอยู่ทุกๆ ที่ก็เรียกว่าใช่  หากจะบอกว่าอยู่ข้างหน้าหรืออยู่ข้างหลังก็ถือว่าใช่อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเถียงไหม  ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างหรือแม้กระทั่งตัวท่านเองนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็เป็นพุทธะให้คนกราบไหว้ได้เหมือนกัน  แต่ขึ้นอยู่ที่ไหนล่ะ ขึ้นอยู่ที่การกระทำ ถ้าท่านกระทำดี ปฏิบัติดี พูดจริง ทำจริง อย่างนี้เรียกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแดนโลก  แต่ถ้าท่านปฏิบัติได้ดี แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างขาดตกบกพร่อง ยังมีบางสิ่งบางอย่างทำได้แล้วไม่เต็มสมบูรณ์ คนก็ไม่อาจเรียกท่านว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สรรพสิ่งในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากเราเพ่งพินิจดูให้ดีๆ เราจะรู้ว่า  แต่ละสิ่ง แต่ละอย่างที่กำเนิดเกิดมาอยู่บนพื้นพสุธา อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเสกสรร หรือใครจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่ายๆ ตามอำเภอใจ จะทำได้   แต่ละอย่างนั้นต้องล้วนผ่านการศึกษาค้นคว้า แล้วเราถึงจะค้นพบว่าธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรานั้นช่างศักดิ์สิทธิ์เสียนี่กระไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะมีใครได้คิด นึกถึงอย่างถ่องแท้  ทุกชีวิตตื่นขึ้นมา สิ่งที่เราคิด นึกถึงกันก็เพียงแต่ว่า ทำอย่างไรตัวเราจะได้เงินได้ทอง ทำอย่างไรเราจะเลี้ยงชีวิตให้อิ่มหมีพีมัน ทำอย่างไร ตัวเราจะเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดได้หนึ่งวัน  โอกาสที่เราจะนึกถึงสิ่งรอบตัวนั้น    บางครั้งก็น้อย  โอกาสที่เราจะนึกถึงเรื่องธรรมะ บางครั้งก็ยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกวันเราคิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรให้เรารอด ทำอย่างไรให้เรามีชีวิตรอด แล้วมีชีวิตนั้นต้องเป็นรอดแล้วมีชีวิตที่เป็นสุข  ไม่ใช่รอดแล้วมีชีวิตอย่างทุกข์ หวานอมขมกลืน ท่านคงไม่อยากรอดแล้วมีชีวิตเช่นนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรกัน  ทำอย่างที่ทำทุกๆ วัน ที่บางครั้งก็ได้บางครั้งก็ไม่ได้หรือ ก็ไม่ใช่
เราเกิดมามีชีวิต เราต้องมีแนวทางของชีวิตที่ถูกต้องและดีงาม อย่าได้เกิดมาสักแต่ว่ามีชีวิตผ่านไปวันๆ หนึ่ง คุณค่าไม่สนใจ จะตายวันตายพรุ่งช่างประไร เช่นนี้เกิดมาก็เสียเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดมาทั้งทีขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าจะทำอะไร ไปทำแล้วดีหรือไม่ หากทำไปแล้วต้องมา   ทุกข์ทนเสียใจภายหลัง ใครล่ะจะช่วยท่านได้ จริงหรือไม่ (จริง)  หลายต่อหลายคนเกิดมาอยู่บนโลกนี้มีเรื่องเสียใจกี่ครั้ง มีเรื่องดีใจกี่ครั้ง หากลองนับดูแล้วมีเสียใจมากกว่าดีใจ หากนับดูแล้วยังไม่เริ่มต้นทำอะไรก็มีทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เราทุกข์ และอะไรที่จะช่วยทำให้เราดับทุกข์ได้ แล้วค้นพบความสุขที่แท้จริง
มีหลายต่อหลายคนพอเจอหน้าเราก็สงสัยแล้วว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า หรือว่ามาเล่นละครตบตากัน ความรู้จะเกิดได้ด้วยใฝ่ศึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัญญาจะเกิดได้ด้วยการทำเช่นไร  สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตเราใช่ทรัพย์สินเงินทองไหม (ไม่ใช่)  ทำไมเราเห็นหลายต่อหลายคน พอเงินหาย ทองหายร้องไห้อย่างกับจะเป็นจะตาย เคยไหม (เคย)  เคยใช่หรือไม่ แต่พอปัญญาความรู้ ความสามารถของเราหาย มีใครร้องไห้อย่างจะเป็นจะตายบ้างไหม มีไหม (ไม่มี)  คุณธรรมของเราหายไป กลายเป็นคนไม่มีความกตัญญู กลายเป็นคนคดในข้องอในกระดูก กลายเป็นคนไม่ซื่อตรง กลายเป็นคนไม่มีน้ำใจ เราเคยร้องไห้จะเป็นจะตายไหม (ไม่เคย)  ถ้าไม่เคยอย่างนั้นท่านก็สู้คนโบราณอย่างเราไม่ได้เลยนะ  คนโบราณเสียชีพอย่าเสียสัตย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ชีวิตจะตายก็ขอให้ความซื่อสัตย์คงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้แม้ตัวจะตายก็ขอให้มีเงินอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ตัวจะตายก็ขอให้รักษาหน้านี้ไว้ก่อนใช่ไหม  เป็นสิ่งที่เราพึงเห็นได้เลยว่าสังคมปัจจุบันกับสังคมบุคคลในอดีตนั้นแตกต่างกัน  ถ้าท่านเคยได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของบุคคลในสมัยก่อน รักษาคำพูดยิ่งกว่าชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  บอกว่าจะขายให้กับคนๆ นี้ แม้อีกคนจะมาเสนอให้ราคาที่สูงกว่า ยอมขายไหม (ไม่ยอม)  แต่ถ้าเป็นตัวเราล่ะ ยอมใช่หรือเปล่า (ใช่)  แถมโกหกอย่างหน้าเศร้ากับคนๆ แรกที่บอกว่าจะขายให้ว่าเสียใจด้วยจริงๆ เผอิญมีญาติมาซื้อไปแล้ว  หรือไม่ก็ปิดประตูลั่นกลอนเลย พอคนๆ นี้มาแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก โมโหโกรธาใส่เขาอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าเรามีชีวิตอยู่นั้น ทุกคนยอมทิ้งคุณธรรมความดีงามของตัวตนเองไปกับทรัพย์สินเงินทอง หน้าตา ชื่อเสียง ใช่หรือไม่ เช่นนี้เป็นการถูกต้องหรอกหรือ  แล้วลูกหลานเห็นท่าน เคารพไหม ก็ยากที่จะเจริญรอยตามได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หัวข้อก่อนที่ท่านจะลงไปทานข้าวก็คือหัวข้อกตัญญุตา เกิดเป็นคนนั้นหากพ่อแม่ของเรา แม้จะดีจะชั่วอย่างไรก็ตาม  เราซึ่งเป็นลูกของพ่อแม่ หรือเป็นบุคคลในครอบครัว หากรับคนในครอบครัวไม่ได้ หากรับพ่อแม่ที่สามวันดีสี่วันไข้ไม่ได้ แล้วจะให้ใครรักคนในครอบครัวเรา แล้วจะให้ใครรักพ่อแม่เรา แล้วจะให้ใครรักตัวเรา ในเมื่อครอบครัวเดียวกันเองยังรักกันไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันนี้ที่เรามา เราต้องการเรียกร้องสิ่งที่ได้จางหายไปจากจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนในสังคมปัจจุบันให้กลับคืนมาอยู่เหมือนเดิม  อยู่ให้เป็นแสงสว่างแห่งชีวิต อยู่ให้เป็นประทีปส่องทาง นำทางสู่ความสว่างไสว ไม่ใช่มืดมน  แล้วอะไรคือแสงสว่าง แล้วอะไรคือประทีปส่องทางสู่ชีวิต นั่นก็คือคุณธรรมในจิตใจของทุกๆ ท่าน  ความดีงามที่สิงสถิตอยู่ในใจของทุกๆ คน
มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครที่อยากทำความชั่วตั้งแต่เกิด   ตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่เด็ก สิ่งแรกที่ทุกคนอยากได้ก็คือความรัก ความอบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เกิดมาสิ่งแรกที่ท่านต้องการคือ เข่นฆ่า ดูถูกเหยียดหยาม ใช่หรือไม่  ไม่ใช่เลย  สิ่งแรกที่ท่านเกิดมาตั้งแต่เด็ก แม้จะจำความไม่ได้ แม้จะไม่รู้เรื่องอะไร แต่สิ่งแรกที่ท่านต้องการจากทุกๆ คน นั่นก็คืออ้อมกอดที่อบอุ่น  ความจริงใจที่ควรมีให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพื้นฐานของจิตใจท่านล้วนมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว  แต่เพราะสภาพแวดล้อม แต่เพราะความง่ายที่จะเผลอตามใจตัวเอง แต่เพราะมาตรฐานชีวิตของเราที่เอนเอียง ไม่ค่อยยุติธรรมจึงทำให้เราง่ายและเบี่ยงเบนที่จะไหลลงสู่ที่ต่ำ  แต่เพราะจิตใจของเราที่บางครั้งเห็นตัวเองมากเกินไป เข้าข้างตัวเองมากเกินไป จึงทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ตัดสินผิดพลาด ชอบทำเรื่องผิดๆ ถูกๆ สลับกันไป สลับกันมา ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แม้รู้จริงยังตรองรู้รับฟัง” ท่านนั่งอยู่ในที่นี้ถ้าไม่มีใจใฝ่ศึกษา การฟังก็จะไม่รู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อฟังไม่รู้เรื่องจะเรียนรู้ได้เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ)  การฟังเป็นพื้นฐานของความรู้  ความรู้เป็นพื้นฐานของการกระทำ การกระทำเป็นพื้นฐานของ         ภูมิปัญญา  ปัญญาจะเกิดได้ด้วยการลงมือกระทำ ใฝ่รู้อย่างเต็มที่   วันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกันจะเกิดปัญญาแห่งคุณธรรมได้หรือไม่ต้องอยู่ที่ว่าหูรับฟังหรือเปล่า ใจนี้เปิดรับหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าวันนี้นั่งอยู่ตรงนี้  หูรับฟังแต่ใจไม่พึงต้องการก็จะไม่ได้ความรู้ แล้วก็จะไม่เกิดปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญญาที่ท่านเรียนรู้มามีค่ายิ่งกว่าทรัพย์  แม้เงินจะหมด แต่ถ้ายังคงปัญญาอยู่  ปัญญาจะทำให้เราหาเงินได้ ปัญญาจะทำให้เรามีชีวิตต่อได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ชะตาใกล้จะขาด ไม่มีอาวุธอะไร ไม่มีความรู้อะไร  แต่ถ้ามีไหวพริบอยู่ชั่วขณะหนึ่งอาจต่อชีวิตให้ท่านอยู่ต่อได้จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ปัญญาต้องรู้จักใช้  หากมีปัญญามีความสามารถแต่ขาดซึ่งคุณธรรม คนนั้นคือบุคคลที่อันตรายของสังคม จริงไหม (จริง)   ทำไมจริงล่ะ อย่าเชื่อเรามากนะ (เพราะคนฉลาดใช้ปัญญาในทางที่ผิด)  เพราะหลายๆ คนพอมีความรู้ มีปัญญา มีความสามารถ แต่ขาดซึ่งคุณธรรมแล้วมักจะหลงตน จริงไหม (จริง)  เหมือนวันนี้ที่เรามา เราคิดว่าตัวเราคือพุทธะ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร  แต่เราใช้สายตาที่ดูถูกท่าน ใช้ภูมิปัญญาที่เหนือกว่าท่าน ข่มท่านทุกคำพูด อย่างนี้เรียกว่าใช้ถูกไหม (ไม่ถูก)  อย่างนี้จะเรียกว่าพุทธะไหม ไม่เรียก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา มีความสามารถ และเป็นที่ต้องการของผู้อื่นไหม (ไม่ต้องการ)  แม้เรายืนอยู่ตรงนี้ท่านก็อยากจะเชิญออก จริงหรือไม่ (จริง)
วางความสงสัยลงสักครู่ แล้วลองมาอยู่ร่วมกัน สนทนาธรรมกันดูบ้างจะเป็นอะไร  ชีวิตนี้ปรกติสิ่งที่ท่านพูดคุยกันไม่เรื่องคนโน้นก็เรื่องคนนี้ใช่ไหม ไม่ว่าคนนั้นก็ว่าคนนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้เรามาพูดคุยกันแบบมีธรรมะบ้างดีไหม  เปิดรับเราบ้างหรือเปล่าในใจดวงนี้  เราไม่ใช่บุคคลที่น่ากลัว และไม่ใช่บุคคลที่จะมาขออะไรท่าน จึงไม่ต้องกลัว เรามาพร้อมมีแต่จะให้ ให้เท่าที่เราจะให้ได้  แต่ยกเว้นเลขเด็ดๆ เท่านั้นที่เราไม่ให้
ฟังธรรมะไปวันครึ่งแล้วรู้สึกว่ามีอะไรพัฒนาในใจไปบ้างแล้วหรือไม่  (มี)
“การบำเพ็ญเน้นใจเป็นพื้นฐาน” วันนี้สิ่งที่เรามาศึกษากัน นั่นก็คือการนำธรรมะไปใช้ในการดำเนินชีวิต
หากสามารถนำไปใช้ได้ทุกขณะจิต ทุกขณะเวลา  แล้วสามารถเอาธรรมะนี้ไปขัดเกลาจิตใจ อบรมบ่มนิสัยให้ดีขึ้น นี่เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม  เมื่ออบรมบ่มนิสัยได้ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถนำธรรมะนี้ไปฉุดช่วยผู้อื่นด้วย นี่เรียกว่าการบำเพ็ญธรรมแล้วก้าวย่างอย่างการเป็นพุทธะ  ฟังง่ายๆ แบบนี้พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  การบำเพ็ญธรรมก็คือการลงแรงที่ตัวเอง ขัดเกลาที่ตนเอง รักษาจิต รักษาใจ รักษากายตนเองนี้ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม มีโอกาสฉุดช่วยเหลือ   ผู้อื่น โดยใช้หลักธรรมเป็นแนวในการนำพาชีวิตตนเองและชีวิตผู้อื่น นี่คือความหมายของการบำเพ็ญธรรม นี่คือความหมายของการมานั่งฟังธรรมะสามวันนี้ นี่คือจุดประสงค์หลัก  ส่วนจุดประสงค์ย่อยๆ เอาไว้เราค่อยพูดกันตอนอยู่    ร่วมกันในวันนี้ดีไหม (ดี)  เจาะลึกกันเป็นเรื่องๆ ไปดีหรือเปล่า (ดี)  เหมือนที่ท่านดูในทีวี เรื่องใดที่เป็นเรื่องของคนอื่น ยิ่งเจาะลึกเท่าไรยิ่งชอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดยเฉพาะเรื่องของคนที่กำลังเหม็นด้วย  เรื่องของคนที่หอมๆ ไม่เห็นมีใครสนใจเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“เหม่อทำการมักพบแต่อุปสรรค” วันนี้ท่านมานั่งฟังธรรมะ แต่ถ้าใจไม่มากับตัวด้วย  นั่งไปคิดเรื่องโน้น  คิดเรื่องนี้ แม้จะฟังอยู่ตรงนี้ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง จริงหรือไม่ (ใช่)
“ถ้าบำเพ็ญเน้นนอกข้องขัดนัก” ถ้าเกิดว่ามานั่งฟังธรรมะนี้ เราสนใจแต่เปลือกนอก  ตัวท่านมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกของคนบรรยาย ของสถานที่ ของนิสัยคน  เช่นนี้ย่อมไม่มีวันพบถึงแก่นแท้แห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะศึกษาสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนรู้นิสัยใจคอใครก็ตาม  อย่าได้มองแค่เครื่องแบบภายนอก อย่าได้มองแค่ตำแหน่งความรู้ที่เราได้ยิน  แต่จงมองให้ลึกๆ ถึงจิตใจและจุดมุ่งหมายที่เขาพูดกับเรา ที่เขาต้องการสื่อให้ท่านเข้าใจ ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร และเขาต้องการให้อะไรกับตัวท่าน  นี่คือการที่เราศึกษาเรียนรู้คนๆ หนึ่ง หรือรู้จักคนๆ หนึ่งโดยไม่ยึดติดเปลือกนอก  หากมองอะไรมองแค่เปลือกนอก ท่านจะไม่มีวันพบแก่นแท้ มองเห็นตัวตนหรือมองเห็นธาตุแท้ของคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น  ไม่ว่าจะทำอะไรอย่ายึดแค่ตาดูหูฟัง แต่ใจต้องพินิจคิดตามด้วยปัญญา ก็จะเกิด ความสว่างที่จะมองเห็นก็จะเห็นได้ เห็นแบบไม่ต้องมอง ฟังแบบไม่ต้องได้ยิน  นี่แหละเรียกว่าใช้ปัญญาแห่งธรรมะ ทำได้ไหม (ได้)  แต่ยากสักนิดหนึ่ง  เพราะเราอดจะติดตาดูหูฟังไม่ได้ ตาต้องเห็นสวยๆ  ถ้าเกิดคนขึ้นมาพูดแต่งตัวขาด  รุ่งริ่งท่านอยากฟังเขาไหม (ไม่อยาก)  แต่งตัวขาดรุ่งริ่งอย่างเดียวไม่พอ ยังถือขันมาวางไว้หนึ่งใบแล้วเตรียมจะพูด ท่านอยากฟังไหม ไม่ฟังหรอก  แถมยังมีซองกฐินมาหนึ่งซอง ฟังไหม (ไม่ฟัง)  เพราะกลัวโดนเขาขอเสียแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่ทันให้อะไรก็มาขอเสียแล้ว นี่คือจุดหนึ่งที่มนุษย์มักจะกลัวกันในการอยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เธอยังไม่ให้อะไรฉัน แล้วเธอจะมาขออะไรฉันอีก จริงไหม (จริง)
ในการอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มาก โดยเฉพาะกับคนที่ท่านยังไม่รู้จัก  หากเขามาแล้วขอท่านทันที ท่านคงไม่อยากจะรู้จักผู้นี้ และท่านคงไม่อยากร่วมกลุ่มกับบุคคลในกลุ่มนี้  แต่ถ้าเกิดว่าอยู่ร่วมกัน พอมาถึงมีแต่จะให้ มาถึงมีแต่จะส่งสิ่งที่ดีให้ ท่านย่อมอยากอยู่ร่วมด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นจุดเริ่มต้นในการ    อยู่ร่วมกับคนหมู่มาก  ฉะนั้นท่านต้องจำไว้อย่างหนึ่ง เวลาท่านลงไปอยู่ในสังคมที่มีคนหมู่มาก จงอย่าได้เรียกร้องในใจจากเขา  เราจงเป็นผู้เรียกร้องตัวตนเองว่าได้ให้อะไรแก่เขา แล้วเราจะเป็นผู้ถูกต้อนรับจากคนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกัน จงให้ก่อนแล้วค่อยรับ อย่าขอก่อน ยิ่งขอมากจะเป็นคนที่น่ารังเกียจ  คนขอมาก ท่านเกลียดเขาไหม (เกลียด, ไม่เกลียด)  ใครชอบบ้างยกมือขึ้น ใครไม่ชอบยกมือขึ้น  ใครชอบนิดหน่อยไม่ชอบเยอะยกมือขึ้น  ใครชอบเยอะไม่ชอบนิดหน่อยยกมือขึ้น  แปลว่าไม่ชอบมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเป็นเรา เราจะชอบ  เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรามีดีคนเขาจึงขอ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าท่านไม่ดี ใครจะมาขอจากท่าน จริงไหม (จริง)  คนไม่ขอท่านแปลว่าท่านไม่มีอะไรน่าให้ขอใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก้าวผิดเสียแล้วนะ
ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ อย่าให้ปัญญาหายไป อย่ามีแต่ความฉลาดมองตัวตนมาก  บ่อยครั้งที่เวลาเราอยู่ร่วมกันเราจะชั่งว่าเราได้หรือเราเสีย พอเราชั่งว่าเสียก็จะไม่คิดถึงปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งแรกที่เรานึกถึงเวลาเราอยู่ร่วมกันคือใครรักเรามากกว่าใคร ใครพูดดีมากกว่าใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครพูดดีกับเราใครพูดไม่ดีกับเรา ใครมีน้ำใจใครแล้งน้ำใจ ใครให้เงินใครขอเงิน ใครเคารพใครไม่เคารพ  สรุปแล้วเวลาเราอยู่ร่วมกัน สิ่งที่เรานึกกันเป็นเสียส่วนใหญ่คือผลได้ ผลเสีย  ไม่ได้อยู่กันด้วยน้ำใจ ไม่ได้อยู่กันด้วยคุณธรรม  แต่อยู่กันด้วยผลได้ ผลเสีย คนนี้ให้ประโยชน์เรามากคบไว้ไม่เสียหลาย คนนี้จริงใจพูดดีน่าฟังอยู่ใกล้ๆ ไว้ไม่ต้องเสียใจ  คนนี้พูดแต่ละคำล้วนทิ่มแทงหัวใจอย่าอยู่ใกล้ต้องนินทาเข้าไว้  ใช่หรือไม่
อย่างนี้เรียกว่าผู้บำเพ็ญ ผู้มีธรรมหรือก็ไม่ใช่  ปราชญ์เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นความว่างเปล่า  ชอบแล้วมีอะไรดีขึ้น ไม่ชอบแล้วมีอะไรสูญเสีย  ตั้งแต่โลกอนาคต ปัจจุบัน และอดีต หนีพ้นไหม เรื่องโลภ เรื่องชอบ เรื่องชัง หนีไม่พ้น  อยู่เฉยๆ  ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ นั่งเฉยๆ ก็มีทั้งเกลียดและชัง แล้วเวลาพูดก็เหมือนกัน ห้ามปากคนไม่ให้นินทาท่านได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทำก็นินทา ไม่ทำก็นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเพิ่มชอบเพิ่มชัง เพิ่มน่ารักไม่น่ารักลงไป  เหมือนความว่างเปล่าไหม  มองให้ดีๆ คือความว่างเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านทำดีที่สุดแล้ว ยังไงก็ต้องมีคนทั้งชอบและไม่ชอบ แล้วจะวัดกันทำไม แล้ว จะมาเลือกทำไมว่าอยู่กับคนที่พูดเพราะดีกว่า  คนที่พูดไม่เพราะอย่าไปอยู่ด้วย ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่  ถ้าท่านทำแบบนั้นแปลว่าตัวท่านนั่นแหละไม่ถูกต้องก่อนใช่หรือไม่  ตัวท่านยังหวังผลกับเขา แล้วตัวเขาละ  หากเขาพูดด้วยความหวังดี แม้เราจะเจ็บปวดบ้าง แม้จะทิ่มแทงบ้าง ทำไมต้องเสียใจ ต้องดีใจ เขาอยากพูดร้ายไม่เป็นไร แต่เราไม่ร้ายตามเขา  เขาอยากไม่มีน้ำใจไม่เป็นไร เราจะอยู่กับเขา ให้เขาเห็นว่าเรามีน้ำใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาคดโกงไม่เป็นไร   เราจะอยู่จนให้เห็นว่าเรานี่แหละคือคนไม่คดโกงในโลกคนหนึ่ง  นี่แหละคือคนที่รู้จักเอาธรรมมาใช้เป็นปัญญา เป็นแสงสว่างสู่ชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาเรื่องความรัก  ความชอบ  ความชัง  พูดเพราะ พูดไม่เพราะ  เคารพ ไม่เคารพมาวัด  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความว่างเปล่า  แล้วท่านจะหาอะไรในความว่างเปล่านี้ คว้าไปได้อะไรกลับมาไหม (ไม่ได้)  วิ่งไปแทบตาย จะทำให้เขารักได้อย่างไร เมื่อไม่รักก็ต้องไม่รัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากว่าท่านจะทำดีให้ถึงที่สุด คนที่ไม่รักอาจรักได้  คนที่เคยว่าร้ายไม่เคารพอาจจะเคารพได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือคุณธรรมง่ายๆในการอยู่ร่วมกัน เขาไม่มีเราต้องมี เขาทำไม่ได้เราต้องทำได้ นี่แหละคือ ยอดคน นี่แหละคือภูมิปัญญาของตัวมนุษย์ที่จะสามารถหาได้ ใช่หรือไม่  ผู้บำเพ็ญธรรม  ตอนนี้ยังอยากจะเกี่ยงฟังคำพูดเพราะพูดไม่เพราะอีกหรือเปล่า จงคิดให้ดีๆ  ยิ่งบำเพ็ญธรรมแล้ว เราบำเพ็ญเพื่อความว่างเปล่า เราบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้น ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อให้เขาเคารพ เขารัก เขามีน้ำใจ  อย่างนี้ยังเรียกว่าผู้บำเพ็ญหรือ  ในท่ามกลางความมีรูปลักษณ์  เราต้องค้นพบความว่างเปล่า  เราต้องไม่ยึดติด จริงหรือไม่ (จริง)  ยิ่งยึดยิ่งผูกมัด คนที่เจ็บก็คือ คนยึดคนผูกมัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้จงอยู่อย่างมีสติ และมีปัญญาแห่งธรรม
“อารมณ์คนเนื้อแท้ไม่ร้อนรน” ใครใจร้อนบ้าง ใครขี้โมโหบ้าง ผู้ปฏิบัติงานธรรมมีไหม  แต่เดิมมานั้น  เรามีนิสัยแบบนี้หรือไม่ จู้จี้จุกจิกมีหรือเปล่า ฉุนเฉียวง่ายมีหรือไม่ (ไม่มี)  ทำไมเราจึงบอกว่าไม่มี  โดยธรรมชาติของเราแล้ว เราเป็นคนที่โมโหทั้ง ๒๔ ชั่วโมงหรือไม่ (ไม่)  ถ้ามีโมโหทั้ง ๒๔ ชั่วโมง เราเชื่อแล้วว่าท่านเป็นคนขี้โมโหจริงๆ   อย่าได้ยอมรับว่าตัวท่านเป็นคนขี้โมโห เมื่อไรที่กล้ายกมือยอมรับ เมื่อนั้นต้องกล้ารักษาไม่ยอมล้างออกถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อใดไม่กล้ายกมือยอมรับแต่ในใจรู้อยู่พยายามล้างอยู่ นั่นก็คือเราพร้อมที่จะชะล้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ายกมือด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ไม่มีวันล้างทิ้งได้แน่ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเวลาเรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นในการมีชีวิต  มีแล้วเป็นทุกข์ มีแล้วเจ็บปวดใจ มีแล้วพอโมโหทีหนึ่งต้องมาเสียใจภายหลัง  ก่อนที่จะมีจงคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
รวมกันอยู่ดีกว่าแยกกันอยู่ใช่หรือไม่  แม้จะมาจากต่างที่ต่างแดนกัน  แต่ถ้าสามารถมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เดินไปไหนเราไม่ต้องกลัวเหงาเปล่าเปลี่ยวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องตรวจสอบใจของเราด้วยว่า ใจของเรานั้นเป็นหนึ่งร่วมกับคนในนี้หรือไม่  ใจเรานั้นสามารถรักษาความเป็นหนึ่งได้อยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า หากรักษาความเป็นหนึ่งได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดย่อมสำเร็จได้ง่าย  แต่ถ้าเกิดว่าทำอะไรก็ตาม แม้กระทั่งนั่งฟังตรงนี้ หากใจแตกแยกเป็นสอง สาม สี่  แม้จะฟังข้างหน้าด้วยสมาธิ  ด้วยสติ ก็ฟังได้ไม่รู้เรื่อง  ใช่หรือไม่  (ใช่)
“ทำบาปคละอยู่ทุกข์ไปเสมอ” คนที่ทำผิดมากๆ เข้า จิตใจเหมือนจมอยู่ในความทุกข์มืดมน  ชีวิตของมนุษย์นั้น  หากนับสิบส่วน มีกี่ส่วนที่ทุกข์ (สองส่วน, ห้าส่วน, แปดส่วน, เก้าส่วน, สิบส่วน)  ท่านมีสิบส่วนเพราะตัวใหญ่หรือ (เพราะมีทุกข์สิบส่วน จึงต้องใฝ่หาธรรมจึงจะละลายทุกข์ไปได้ทั้งหมด)  เรามารู้วิธีละลายทุกข์กันดีหรือไม่  (ดี)  ถ้าท่านจะละลายได้ เราแนะวิธีให้ทุกมื้อเย็นอย่ากินข้าวละลายได้ครึ่งหนึ่งเลยนะ เราไม่ได้พูดเล่น ของมัน ของทอดตัดทิ้ง อย่าเพิ่งหัวเราะนะ เราพูดจริงๆ  หลายต่อหลายคนพูดกันเรื่องปากเรื่องท้องมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจปากตามใจท้องมาก บำรุงเลี้ยงร่างกายมาก ก็เลยต้องทุกข์มากหน่อย  ชีวิตของมนุษย์เราที่ต้องทุกข์ก็เพราะรักตัวตนนี้มากเกินไป ถ้าปล่อยวางบ้างไม่รักบ้างจะทุกข์น้อยลง  เหมือนตัดอาหารสักมื้อหนึ่งให้กับชีวิตได้บ้าง จะทุกข์น้อยลงไปอีกใช่หรือไม่  อะไรที่ไม่ดีตัดลงไปบ้างจะทุกข์น้อยลงใช่หรือไม่
มีคำๆ หนึ่งที่มนุษย์บนโลกนั้นพูดถึงนั้น ก็คือ “ใฝ่สูงเกินความเป็นจริง” ใช่ไหม (ใช่)  เราลองมาคิดคำนี้ให้ดี ท่านช่วยเขียนคำนี้ให้เราหน่อยนะ แล้วลองนึกให้ดีๆ ว่าคำว่าใฝ่สูงเกินความเป็นจริงนั้นหมายความว่าอะไร (ทะเยอทะยาน)  ถูกต้องตามความหมายที่มีกันในมนุษย์โลก แต่ถ้าคิดถึงความนัยแล้วลองมองให้ดีๆ  ปกติท่านใช้เงินรับประทานอาหารทั้งวันเท่าใด เคยคำนวณไหม ประมาณเท่าไร (สามร้อยบาท)  สามร้อยสำหรับคนร่ำรวยใช่หรือเปล่า ตกมื้อละร้อยเลยนะ คนฐานะปานกลางประมาณเท่าใด หนึ่งร้อย คนฐานะที่ยากจนหน่อยประมาณห้าสิบ สามสิบ  คงไม่ถึงสิบบาท ถ้าอย่างนั้นท่านต้องอดสักมื้อหรือสองมื้อแล้วใช่หรือไม่ เสื้อผ้าท่านใส่วันหนึ่งกี่ชุด อย่างมากที่สุดสองชุดใช่หรือไม่ บ้านท่านอยู่กี่หลัง อยู่ได้ครั้งหนึ่งวันหนึ่งต่อชีวิตก็หลังเดียวใช่หรือไม่ หรือตลอดชีวิตก็หลังเดียวใช่หรือไม่ ถ้าเพิ่มรถจะขับได้กี่คัน (คันเดียว)  คันเดียวใช่ไหม แม้จะมีสิบคัน วันนี้ก็ขับได้คันเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความจำเป็นของทุกๆ วันที่ต้องใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่เหลือท่านโยนทิ้งเสีย ถูกหรือไม่ เพราะว่าอะไร (เกินความเป็นจริง)  จริงหรือไม่ (จริง)  เกินไหม (เกิน) แล้วท่านใฝ่สูงไหม ใฝ่สูงด้วยใช่หรือไม่ ถ้าลบสองคำว่า "ใฝ่สูง" ทิ้ง  ทุกวันที่ท่านหา เกินความเป็นจริงไหม (เกิน)  แล้วสิ่งที่เกินความจำเป็นต้องขึ้นที่สูง เหนื่อยไหม  แล้วขึ้นไปแล้วใช้หมดไหม (ไม่หมด) จริงหรือไม่ (จริง)  หาไปเพื่ออะไร  เพื่อใฝ่สูงเกินความเป็นจริงใช่หรือไม่  แต่พอเราบอกว่าให้ทุกท่านลองฝึกฝนความเป็นพุทธะ  ให้ทุกท่านรู้ตัวตนเองว่าตัวเองมีความเป็นพุทธะอยู่ในใจตน   ให้ฝึกฝนเป็นพุทธะ ให้ลองฝึกเป็นอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทุกคนมักจะพูดว่าใฝ่สูงเกินความเป็นจริง  คิดให้ดีๆ แล้วไม่ใช่ เพราะพุทธะล้วนเกิดได้จากกายมนุษย์นี้   พุทธองค์ก่อนที่ท่านจะสำเร็จ ท่านล้วนเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระโพธิสัตว์กวนอิม ก่อนที่ท่านจะสำเร็จก็เป็นคน ท่านทิ้งทรัพย์สิน  ชื่อเสียง  เพื่อไปแสวงหาธรรม  แต่การบำเพ็ญธรรมยุคนี้ไม่ต้องทิ้งทรัพย์สิน ชื่อเสียง แต่เราจะทำอย่างไร  เราจะพูดให้ท่านฟัง  แต่อยากให้ท่านเชื่อมั่นก่อนว่า การฝึกฝนความเป็นพุทธะไม่ใช่เรื่องใฝ่สูงเกินความเป็นจริง ขอเพียงท่านมีใจเชื่อมั่น และมีปณิธานความตั้งมั่น หรืออุดมคติอย่างมุ่งมั่นไม่ลังเล  ไม่ใช่เรื่องใฝ่สูงเลย  ทำไปเถิด  แม้วันนี้ แม้ชีวิตนี้ยังไม่เป็น ยังไม่สำเร็จ  แต่ท่านจะสามารถบำเพ็ญต่อได้  อาจจะไม่ใช่ชาตินี้สำเร็จ แต่อาจจะมีโอกาสกลับมาเกิดในชาติใหม่ เพราะได้บำเพ็ญดีจึงมีโอกาสได้บำเพ็ญต่อ  แต่ถ้าชีวิตนี้เอาแต่หาเงินทอง ไม่เคยทำดี  โอกาสที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์  เราบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สภาวะธรรมหาได้ที่ใด  ในเมื่อเราจะฝึกฝนความเป็นพุทธะ เราต้องหา สภาวะธรรมก่อนว่าธรรมะค้นหาได้ที่ใดหรือสภาวะธรรมมีอยู่ที่ใด  เราถึงจะบำเพ็ญธรรมได้  สภาวะธรรมแท้ที่จริงแล้วไม่ได้อยู่ไกลเกินตัวเลย  อยู่บนโลก ใบนี้ อยู่ในโลกที่เป็นมายา โลกที่โสมมแห่งนี้  แล้วก็อยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนนี้ ที่วันหนึ่งดีวันหนึ่งไม่ดีนี่แหละ มีสภาวะธรรมอยู่ มีธรรมอยู่ ดังคำกล่าวที่ว่า  บัวเกิดได้ในโคลนตม  พุทธะก็ย่อมเกิดได้ในแดนมนุษย์ ใช่หรือไม่  ท่านดูง่ายๆ  ทำไมเราจึงบอกว่าในโลกนี้มีสภาวะธรรม  เมื่อไรที่ท่านเห็นคนฉ้อฉล ท่านจะรู้ว่าต้องซื่อสัตย์  จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อไรที่ท่านเห็นคนแล้งน้ำใจ ไร้ความกรุณาปรานี  ท่านจึงเรียกความกรุณาปรานีออกมาจากใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน  ต้นไม้ที่เติบโต สรรพชีวิตที่เติบใหญ่ล้วนมีรากฐานอยู่บนพื้นดินอันโสมมนี้
ความเป็นพุทธะก็เฉกเช่นเดียวกันท่านจะหาได้จากที่ใด  สภาวะธรรมจะค้นหาได้จากที่ใด  ก็ค้นได้จากบนโลกใบนี้  ท่านมองดูนะ ตัวเราเท้าเหยียบดิน  ศีรษะอยู่บนฟ้า นั่นแสดงความนัยว่า แม้พื้นดินหรือบนโลกใบนี้จะโสมมเพียงใด  แต่ชีวิตจิตใจจะต้องมีหนึ่ง มุ่งตรงสู่เบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เท้าจะโสมมเพียงใด แต่หัวหรือศีรษะนี้จะต้องขึ้นสู่ความสว่างใส  นี่คือนัยที่พุทธะหรือผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตต้องการบอกมวลมนุษย์ สังเกตว่าไม่ว่าต้นไม้ สรรพชีวิตทุกชนิดล้วนมีต้นกำเนิดจากดินใช่หรือไม่  แล้วจากดินกลั่นกรองสิ่งที่ดีเติบโตขึ้นสู่เบื้องฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความนัยนี้ คือธรรมะที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ และนี่คือธรรมที่แฝงอยู่ในตัวตนที่ท่านต้องเป็นผู้ค้นพบ
จุดมุ่งหมายในการศึกษาหลักธรรมนั้น  ก็คือให้เรารู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในรูปลักษณ์ที่อายตนะสัมผัสลงบ้าง แล้วใช้จิตใจอันบริสุทธิ์เที่ยงธรรมมองสรรพชีวิต มองทุกๆ ชีวิต ด้วยความเที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ ใจกว้าง หากทำได้เช่นนี้ ปัญญาของท่านจะทำให้ท่านหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง หลุดพ้นจากตัวตนแห่งตน และสามารถชำระล้างความสกปรกโสมมในชีวิต กลายเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สะอาด ใส อยู่บนโลกนี้อย่างมีคุณค่า และเป็นพุทธะผู้ประเสริฐ ฟังเราแล้วเข้าใจไหม  เราอยากพูดง่ายๆ นะ เพราะถ้าเราพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ท่านก็จะเบื่อ
เป็นมนุษย์ง่ายแต่เป็นพุทธะยากเหลือเกิน แม้จะสำเร็จแล้วก็อดเป็นห่วงเวไนยสัตว์ไม่ได้ หลายต่อหลายคนยังหลงในโลก ยังหลงในแสงสี ยังหลงในรูปลักษณ์ ยังหลงในสิ่งที่ได้ยิน ยังหลงในสิ่งที่ตามองเห็น  แต่ท่านลองคิดดูวันนี้ได้เห็นเขาสวย แต่พรุ่งนี้ความสวยของเขาจะยังคงอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แล้วจะเห็นไปเพื่ออะไร ล้วนคือความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้วันนี้จะมีรถขับ แม้วันนี้จะมีเงินเต็มกระเป๋า แม้วันนี้จะมีเกียรติยศชื่อเสียง มีความสุขมากมาย  แต่พรุ่งนี้จะทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นขอให้ท่านรู้จักนำธรรมไปปฏิบัติกับตนไปรักษาตน  เมื่อใดที่สามารถเอาธรรมมารักษาชีวิต เมื่อนั้นธรรมจะคุ้มครองชีวิต แต่จงเชื่อมั่นในธรรมก่อน หากไม่เชื่อมั่นในธรรม ธรรมก็จะไม่รักษาชีวิตของใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะช่วยแม้มีชีวิตและไร้ชีวิต มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะช่วยท่านแม้จะมีเงินหรือไม่มีเงิน มีเพื่อนหรือไม่มีเพื่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะอยู่คู่ใจท่านแม้จะมีใครหรือไม่มีใคร ฉะนั้นจงบำเพ็ญธรรม  เสียเถิดวันนี้ ทำได้ไหม (ทำได้)
 “ฟ้าย่อมให้ทางเลือกมนุษย์เดิน” ฉะนั้นตอนนี้ท่านเหมือนคนที่เดินมาถึงทางแพร่ง ทางแพร่งนี้มีทางให้ท่านเลือกเดิน หนึ่งกลับไปเป็นเหมือนเดิม สองเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ท่านเลือกเอานะว่าหลังจากฟังวันนี้ไปท่านจะเลือกเดินทางไหนกับตัวตนเอง แม้ตัวเราเองก็บังคับท่านไม่ได้  แม้ฟ้ากำหนดชะตาชีวิตท่านมา แต่ก็บังคับให้ท่านเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เหมือนกัน  พุทธะมีอยู่อย่างหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือชี้นำทางสว่าง ส่วนจะเดินหรือไม่เดินคือตัวท่านเอง จริงหรือไม่ (จริง)
 “ช่วยคนเดินหลังตนด้วยน้ำใจ” วันนี้ท่านได้รู้แล้วว่าชีวิตเรามีทางเลือกทางหนึ่งที่เป็นทางสว่าง ทางเลือกทางหนึ่งที่เป็นทางประเสริฐแห่งชีวิต  เมื่อรู้แล้วจงบอกต่อได้หรือไม่ (ได้)  อย่างนั้นเราขออย่างหนึ่ง ขอให้ท่านมีโอกาสนำสิ่งนี้ไปบอกต่อ อย่าได้เป็นคนที่อยู่บนโลก แล้วมองไม่เห็นโลก  เคยได้ยินหรือไม่  “อยู่บนฟ้าไม่รู้จักฟ้า อยู่ในน้ำไม่รู้จักน้ำ อยู่บนดินไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง”  นี่คือความเศร้าใจของการเกิดเป็นคน ใช่หรือไม่
ทำไมใจถึงไม่อยู่นิ่งเลย นั่งฟังเราได้แต่ต้นประโยค ท้ายประโยคก็ฟังไม่รู้เรื่อง นั่งฟังเราต้นประโยครู้เรื่อง กลางประโยครู้เรื่อง แต่สุดท้ายไม่เข้าใจ เป็นเพราะอะไรกัน  มัวแต่ห่วงกังวลร่างกาย มัวแต่ห่วงกังวลชีวิต มัวแต่ห่วงกังวลอนาคตกันหรือ  ตอนนี้ทำให้ดี อนาคตจะห่วงอะไร  ตอนนี้ไม่คิดให้ถูกต้องแล้ว จะไปคิดได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงเรียบเรียงความคิดให้ถูกต้องก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะช้า แม้ถ้าเกิดว่าไปแล้วไม่ถูกต้อง สู้ถอยหลังกลับมาคิดไม่ดีกว่าหรือ
ท่านที่ตอบเราลุกขึ้น ท่านอยากได้อะไรบนโต๊ะพระ (ส้ม, แอปเปิ้ล,อะไรก็ได้แล้วแต่ท่านจะเมตตา) เอาอะไรดี (เอาสิ่งที่ดีที่สุดหรือไม่ก็แย่ที่สุด)  ทำไมต้องแบ่งแยกด้วยล่ะ (เอาความดี)  อะไรที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด  นั่นก็คือชีวิตของตัวเราเอง อยู่ที่เราจะมอง มองแล้วทำได้หรือเปล่า หากมองแล้วว่าชีวิตนี้แย่ที่สุดจงเปลี่ยนให้ดีที่สุด จากดีที่สุดก็ต้องรักษาให้ดีเรื่อยๆ ไป การทำดีทำง่าย แต่รักษาดีให้คงอยู่นั้นยากยิ่งนัก ใช่หรือไม่
เกิดเป็นคนหากไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้  จะรู้ไปหมดเสียเลยก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำตัวอย่างไรดีล่ะ  กับคนที่รู้ต้องทำตัวเหมือนไม่รู้ กับคนที่ไม่รู้จงช่วยแนะนำให้เขาได้รู้ นี่คือการทำตัวที่ถูกต้อง  กับคนที่ดีจงทำตัวเซ่อๆ ซ่าๆ ไว้จะปลอดภัย กับคนที่คดในข้องอในกระดูกจะทำอย่างไรดี (มีสัจจะ ซื่อสัตย์ รักษาสัญญา)  มีคำพูดว่ากับคนที่ดีจงดีตอบ กับคนที่ร้ายจง (ร้ายตอบ) กับคนที่ร้ายจง (ดีตอบ) นึกแล้วว่าท่านจะต้องเปลี่ยนคำตอบ  ขณะนี้ใจท่านยังไม่พร้อมใช่หรือไม่ ย่อมเปลี่ยนสักวันหนึ่งจนได้  กับคนที่ร้ายจงใช้ความเที่ยงธรรมตอบ กับคนที่ร้ายท่านอย่าร้ายตอบ  เพราะไม่เช่นนั้นทำดีมาสิบปี ก็เสียไปแล้ววันหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าทำเสียเพราะคนที่ไม่ดี และเวลาทำดีอย่าได้ขี้น้อยใจจริงไหม (จริง)  ทำดีแล้วทำไมขี้น้อยใจกันจริงก็ไม่รู้ ผู้บำเพ็ญว่าอย่างไร  พอทำดีไม่ได้ดี เราก็น้อยใจ ไม่ได้ดีก็ไม่ทำ  ไม่ได้ดีก็จงทำ นี่แหละเป็นการพิสูจน์ว่าเราดีจริงหรือไม่  เขาร้ายอย่างไร เราก็จงทำดีกับเขา แต่ดีแบบไหน ดีแบบอะลุ่มอล่วย นอบน้อม  ไม่ใช่ดีแบบเอาความดีไปสาดให้เขาเห็น เช่นนั้นเรียกว่าประชดประชัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่จะสามารถฉุดช่วยคนในโลกนี้ได้ มีตัวท่านเท่านั้นแหละที่จะเป็นพุทธะบนโลกนี้ได้ และมีแต่คนร้ายเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านได้เป็นพุทธะบนแดนดินนี้ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นจงดีใจที่เจอคนขัดแย้ง จงดีใจที่เจออุปสรรค และจงดีใจเมื่อยืนอยู่บนความยากลำบากเมื่อทำดี เพราะความลำบากทำให้เราเรียนรู้จากความดีที่   แท้จริง  ความสบายทำให้เราหลงตนและขาดความระมัดระวัง ฉะนั้นยิ่ง       เจอคนร้ายจงรักษาดีให้มั่นคง   ยิ่งเจอคนดียิ่งต้องรักษาความดีให้อยู่ตลอดไป นี่แหละคือการบำเพ็ญตน นี่แหละคือการที่รู้จักเอาปัญญาแห่งธรรมมาใช้      จุดความสว่างให้กับชีวิต
ฟังแล้วทำไมยังง่วงนอนกันอีก  พุทธะเคยกล่าวว่าเมื่อใดที่ได้รับฟังธรรมะ ความเป็นพุทธะย่อมชุ่มชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่เมื่อใดมารได้ฟังธรรมย่อมหดหู่หมดแรง หมดอิทธิฤทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ท่านกำลังเป็น  อย่างไรกัน กระปรี้กระเปร่าหรือหมดอิทธิฤทธิ์  ก็ขอให้กระปรี้กระเปร่า ไม่ใช่  หดหู่ห่อเหี่ยวนะ
“ชีวิตคนอย่าให้เงินเป็นเจ้า วัตถุเข้าตรึงตรามาอย่าหวั่นไหว”
หากมีอีกเส้นทางหนึ่งก่อนที่จะถึงห้องพระ  ทางนั้นมองไปแล้วเห็นทองสว่างไสว ท่านจะไปไหนก่อน รองหัวหน้าลองตอบบ้างสิ (ส่วนใหญ่ก็จะเดินไปหาทองก่อน)  เอาจากใจท่านไม่เอาส่วนใหญ่
(จากใจถ้าหนทางที่เดินไปพบทองก็จะเดินไปหาทองก่อน) ท่านอื่นล่ะ เราจะดูเสียงส่วนใหญ่นะ  ไหนผู้ร่วมฟังไปด้านทองดีหรือไปด้านห้องพระดี (ห้องพระ)  ห้องพระหรือ อย่างนั้นรองหัวหน้านำผิดแล้วนะ  จริงๆ รองหัวหน้าพูดถูกแล้วนะ  คนส่วนใหญ่เลือกไป (หาทอง)  จึงทำให้น้อยคนนักแม้ห้องพระจะกว้าง ประตูจะเปิดอ้าก็ไร้คนเดินเข้าหา  เพราะหลายต่อหลายคนเมื่อเริ่มต้นมีชีวิตมักเดินไปหาทองมากกว่าหาธรรม ใช่ไหม (ใช่ )  หากินมากกว่าหาการมีชีวิตอยู่อย่างมีค่าใช่ไหม (ใช่)  จึงทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินทางมาถึงห้องพระอย่างสง่าผ่าเผย  แม้จะเดินมาในใจก็คิดว่าน่าจะเดินกลับไปใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี  นั่นก็คือตัวท่านนั้นต้องเอาชนะความเคยชิน  เอาชนะความเป็นตัวตนในอดีต แล้วเดินอย่างกล้าหาญฝ่าความเคยชินนี้เพื่อมาค้นหาธรรม  หากว่าหลังจากฟังวันนี้ไปหรือหลังจากฟังจากเราไปจนจบแล้ว แต่ถ้าท่านไม่มีความกล้าหาญที่จะฝ่าความเคยชิน ไม่กล้าหาญที่จะกล้าฝ่าความปรารถนาในใจตน ท่านจะไม่มีวันเดินมาถึงห้องพระอีกเลยนับจากหมดสามวันนี้ไปจริงไหม (จริง)  เพราะเราเห็นมาหลายชั้นแล้วนะ เห็นมนุษย์มามากหน้าหลายตา ตาใสๆ อย่างนี้แหละหน้าตาบ้องแบ๊วอย่างนี้แหละ ปากก็พูดว่ามาธรรม แต่เอาเข้าจริงๆ เป็นอย่างไร หายไปทั้งตัวและหัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าฝืนความรู้สึกตัวเอง  ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝืนความเคยชินที่ตั้งแต่เกิดมามีชีวิตจนถึงปัจจุบันไม่เป็น แต่ถ้าฝืนได้หนึ่งครั้ง ท่านจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย และไม่ใช่เรื่องที่ไร้คุณค่าเลย เป็นเรื่องที่มีค่ายิ่งนัก เกิดเป็นคนไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง ตายอยู่บนกองเงินกองทองกับตายอยู่บนมหาธรรมอันยิ่งใหญ่หรือธรรมที่ได้ปฏิบัติดีแล้ว ตายอย่างไรมีค่ามากกว่ากัน ไม่ต้องตอบ ให้ไปคิดเองแล้วกัน  ตอนนี้เปลี่ยนจากฟังเรามาดูเนื้อหากลอนบ้าง  เราให้ไปแล้วให้ท่านลองคิดว่าแต่ละวรรคๆ ที่เราให้ไม่ใช่สักแต่จะให้ แต่ล้วนมีความหมายแฝงอยู่ภายใน
“ในจิตมีอคติเป็นมายา” ตอนต้นเราได้กล่าวไว้ว่ามาตรฐานความเที่ยงธรรมในจิตใจมนุษย์นั้นจะมีความเอนเอียงและเข้าข้างตนเป็นส่วนใหญ่  ทำให้เวลาอยู่ร่วมกันแม้จะพูดว่ามีเหตุผล แม้จะพูดว่ามีความคิด มีความเข้าใจ แต่ละเหตุผล แต่ละความเข้าใจของแต่ละคนเมื่อมาอยู่ร่วมกันในสังคมแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่ามาตรฐานไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไร แต่ละคนเหตุผลล้วนเข้าข้างตน แต่ละเหตุผล แต่ละความเข้าใจล้วนมีภูมิที่ไม่เท่าเทียมกัน ใช่ไหม (ใช่)  แม้จะอยู่ร่วมกันอย่างมี เหตุผล แต่ถ้าเกิดต่างคนต่างเหตุผล ต่างคนต่างยึดมั่น  เหตุผลและความยึดมั่นนั้นจะไม่สามารถทำให้อยู่ร่วมกันแล้วดำเนินงานได้อย่างสำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้  ฉะนั้นสิ่งใดที่จะมาคอยใช้ในการตรวจสอบจิตใจของเรา  นั่นก็คือในโลกมนุษย์มีสองสิ่งที่แย้งกันอยู่เสมอ ก็คือน้ำกับไฟ  น้ำมีลักษณะเป็นเช่นไร (เหลว, เย็น, สามารถเปลี่ยนรูปได้ตามสภาวะที่อยู่)  น้ำหากมองตามลำธารก็จะไหลไม่หยุดนิ่ง ไปเรื่อยๆ ไม่สามารถตัดขาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะตัดขาดได้ น้ำก็สามารถทะลุทลวงผ่านวันใดวันหนึ่งจนได้  แล้วไฟมีลักษณะเป็นเช่นไร (สามารถที่จะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างได้, มีความร้อน, ทำให้ร้อนรุ่ม)  ทำไมเราถามเรื่องง่ายๆ เพราะอยากให้ท่านได้ตอบแล้วเราจะได้ประทานผลไม้ได้
ไฟมีความร้อน น้ำมีความเย็น  ไฟเผาสิ่งใดก็ทำให้ร้อนรุ่ม  แล้วชีวิตนี้การแสดงออกอะไรที่เหมือนไฟ อะไรที่เหมือนน้ำ (ไฟก็คือความโมโหโกรธง่าย, ไฟคือความชั่ว น้ำคือความดี)  หลายต่อหลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้  แต่เราจะอธิบายเพิ่มเติมว่า ในไฟนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้ชั่วไปเสียทั้งหมด (ไฟเหมือนใจที่ร้อน, ไฟคือสิ่งที่ให้แสงสว่างยามกลางคืน, ไฟสามารถนำไปหุงหาอาหารได้, ไฟสามารถเผาผลาญสิ่งต่างๆ ได้)  แล้วไฟกับน้ำเหมือนอะไรในชีวิตเรา (ไฟจะให้ประโยชน์ถ้าเราใช้ให้ถูกต้อง, ไฟมีความร้อน แต่น้ำมีความเย็นอย่างสดชื่น, มีไฟกับน้ำเท่ากัน)  ควรจะมีไฟกับน้ำให้เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีแต่น้ำก็ไม่ดี หากมีแต่ไฟก็ไม่ดีเช่นกัน
ทำไมเราจึงบอกว่าไฟกับน้ำคือสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตเรา  สิ่งที่เรียกว่าผ่อนปรน อะลุ่มอล่วยตามใจเปรียบเหมือนน้ำ ในใจเรามักชอบผ่อนปรนตัวเอง อะลุ่มอล่วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งที่เข้มงวดกวดขันลงแรงจริงจังนั่นคือไฟ  หลายต่อหลายคนมักชอบเล่นน้ำ แต่กลัวไฟใช่ไหม (ใช่)  อย่างที่เราบอกว่า น้ำทำให้คนตายมาเยอะแล้ว แต่ไฟนับจำนวนได้น้อยเต็มที  ถ้าไม่ประมาท ไฟก็จะไม่ทำร้ายเขา จริงหรือไม่ (จริง)
อย่างนั้นเรามาพูดกันต่อว่าสองเรื่องที่เราต้องการจะพูดกับท่าน นั่นก็คือ ความเข้มงวดกับความอะลุ่มอล่วยผ่อนปรน  มนุษย์ทุกคนมักจะเข้มงวดผู้อื่น ผ่อนปรนตัวเอง คำโบราณกล่าวไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องเข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น”  แล้วคำว่าเข้มงวดคือการทำสิ่งใด ผ่อนปรนคือการทำสิ่งใด  ท่านผู้นี้กล่าวไว้ก็มีส่วนถูกต้อง  เข้มงวดก็คือเข้มงวดกวดขันตนเอง รู้จักระมัดระวังควบคุมตนเอง ผ่อนปรนนั่นก็คือไม่เอาสิ่งที่เข้มงวดของตนเองไปเข้มงวดคนอื่น รู้จักผ่อนปรนให้แก่เขา  แต่การผ่อนปรนนั้นบางครั้งต้องดูด้วย  หลายต่อหลายคนเริ่มต้น   ตั้งแต่เด็กค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่  ถ้าเด็กเกิดมาถูกพ่อแม่ตามใจเสียทุกอย่าง ผ่อนปรนอะลุ่มอล่วย เด็กเกิดมาจะเป็นคนเสียคน จริงหรือไม่ (จริง)  จะไม่สามารถเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างเข้มแข็งได้  การปล่อยตามใจจึงไม่ใช่สิ่ง  ที่ดี  การเลี้ยงลูกด้วยน้ำอย่างเดียวจึงไม่ถูกต้อง  เมื่อไรที่เลี้ยงลูกด้วยพระคุณ แต่ไม่เลี้ยงลูกด้วยพระเดช ความผิดพลาดของลูกจะเกิดขึ้น  นั่นก็คือเมื่อไรที่ชีวิตเราปล่อยตัวปล่อยใจตามอิสระตามความเคยชิน ไม่รู้จักเข้มงวดกวดขัน ความสำเร็จจะไม่มีในชีวิต  ชีวิตของตนเองจะเอาแน่นอนไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจะง่ายที่จะไหลลงสู่เบื้องต่ำ  เพราะการทำอะไรก็ได้ เอาอะไรก็ได้ ง่ายๆ ก็ได้ สบายไว้ก่อนดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย  นี่คือคนที่รักแต่น้ำแล้วใช้ไฟไม่เป็น  แต่คนบางคนเข้มงวดคนอื่นและเข้มงวดตนเองด้วย แต่ขาดซึ่งน้ำ  จะเป็นคนที่ไม่มีใครชิดใกล้ถูกไหม (ถูก)  แม้ตนเองจะเข้มงวดตนเองมากเท่าไร แล้วก็เข้มงวด  ผู้อื่นด้วย แต่จะเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวตลอดชีวิต ไม่มีใครกล้าชิดใกล้ และเป็นคนที่แท้จริงแล้ว ในใจลึกๆ ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ขี้เหงา  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคน ไม่ว่าน้ำกับไฟ ถ้าเมื่อใดสันทัดและใช้ให้ถูกต้องจะเกิดคุณอย่างมหาศาล  แต่ถ้าเมื่อใดเราเห็นแต่คุณของน้ำ ไม่รู้ค่าของไฟ เมื่อนั้นจะเสียเปล่าและอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือความหลงตน  ฉะนั้นไม่ว่าน้ำหรือไฟ จงใช้ให้ถูกทาง  หากมีแต่น้ำจะไม่สามารถตัดทิ้งความชั่วร้ายได้ และไม่สามารถรักษาความดีในตัวตนได้  แต่หากมีแต่ไฟ จะไม่สามารถที่จะโน้มนำและนำพามหาชนได้  ฉะนั้นจงรู้จักใช้น้ำและไฟให้ถูกต้อง  เข้มงวด ผ่อนปรนจงรู้จักใช้ให้ถูกทาง  แล้วจะเกิดคุณยิ่งนัก
“น้อยคนจักรู้จักตนเอง บรรดาเก่งรุกและถอยพลังแกร่ง
ปัญญาดีไม่ครั่นคร้ามพลิกแพลง ฝ่ากำแพงสำเร็จมุ่งเข็ดต้องจำ”
วันนี้สิ่งที่เราพูดมาเป็นเรื่องที่ยากเกินที่ท่านจะกระทำไหม (ไม่ยาก)  เป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันหรือเปล่า (เป็น)  ฉะนั้นขอให้เอาไปคิดพิจารณาให้ดีว่าชีวิตนั้นสามารถเลือกที่จะทำสิ่งใดก็ได้  แต่เมื่อมีหนทางที่ดี หนทางที่สว่างก็จงเลือกเดินด้วยการฉุกคิดอย่างคนมีธรรม ฉุกคิดอย่างผู้มีปัญญาแห่งธรรม  อย่าได้เอาแต่อารมณ์และอย่าได้ตามใจตนจนเกินไป  ท่านนั้นแม้จะเติบโตอายุมากเท่าไร แต่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเห็นเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เพราะเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ถูกไหม (ถูก)  ดื้อรั้นไหม เป็นเด็กไหม (เด็ก)  เด็กทั้งนั้นเลย นิสัยอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรแล้วเก็บเรียบร้อยไหม (ไม่)  ลุกไปแล้วเศษอะไรตกเต็มไปหมดเลย ทำงานอยู่ร่วมกับคนอื่นทิ้งปัญหาให้เขาบ้าง ทิ้งความไม่ดีของตัวเราไว้ในจิตใจเขาบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาสิ่งที่สอนเด็กๆ มาสอนเราบ้างก็ได้ ทำอะไรเก็บเป็นที่เป็นทาง  ตอนเด็กๆ เราสอนเด็กว่าอย่างไรบ้าง ใครพอจำได้บ้าง หนึ่งเก็บของให้เป็นระเบียบ สองอย่าดื้อ พูดต้องพูดง่ายฟังง่าย  หรือเรียกง่ายๆ ว่าเชื่อฟัง รู้จักเชื่อฟังบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมพอโตแล้วทิ้งนิสัยเด็กๆ ทิ้งหรือไม่ สอนลูกแล้วอย่าลืมสอนตัวเองด้วยนะว่าเราดื้อหรือไม่ พูดง่ายหรือไม่ ฟังหรือเปล่า ไม่ค่อยฟังด้วยใช่หรือไม่  แถมชอบเล่น เล่นแล้วไปก่อปัญหาตรงโน้น เล่นไปก่อปัญหาตรงนี้  แล้วก็ตามไปเก็บแทบไม่ไหว  แล้วให้ใครเก็บจริงหรือไม่  โตได้แล้วนะ
“ทำใจดีสู้เสือไว้เถิดเมธี ท้อฤดีดั่งคนที่ตกน้ำ”
หลายต่อหลายคนพอตั้งใจจะบำเพ็ญธรรม  ตั้งใจจะสร้างสิ่งที่ดี  ไปช่วยเหลือผู้อื่น บางครั้งก็พ่ายแพ้ใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) พ่ายแพ้อุปสรรค พ่ายแพ้คนที่จะไปช่วย  อุตส่าห์ช่วยแทบแย่แล้วยังไม่เห็นความดีของเราอีก  ใช่หรือไม่  หวังดีก็แล้ว ให้แต่สิ่งที่ดีก็แล้ว ทำไมไม่ยอมเชื่อสักที  อย่าได้ยอมแพ้  ถ้าทำดีแล้วจงสู้ อย่าเป็นคนแพ้ง่าย  ถ้าท่านแพ้ง่ายแล้วคนที่ไม่ดีเมื่อไรจะเปลี่ยนใจตามท่านมาสักทีใช่หรือไม่ ฉะนั้นตัวท่านต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดให้ผู้อื่นเห็นว่า  ทำดีได้ดีมีจริงบนโลกนี้ และพิสูจน์ให้เห็นได้ที่ไหน  พิสูจน์ได้ที่ตัวท่านเอง  เมื่อทำผิดจงยอมรับผิด  แล้วทำให้เขาเห็นว่าผิดแล้วไม่ดีนะ  ตัวท่านเองนั่นแหละเป็นแบบอย่าง แล้วเขาจะเคารพท่าน เพราะดีท่านก็ทำ ไม่ดีท่านก็ยอมรับและพร้อมจะแก้ไข และท่านจะเป็นคนหนึ่งที่พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าบำเพ็ญธรรมแล้วได้ดี  ทำผิดแล้วรับผล  แล้วคนจะคิดทำตาม จริงหรือไม่  แต่ปัจจุบันนี้หาคนทำดีแล้วได้ดีเจอไหม  ไม่เจอเพราะหลายคนทำแล้วยอมแพ้เสียก่อน คนทำชั่วกลับได้ใจอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เต็มห้องนี้ด้วยใช่ไหม ไม่ใช่นะ  ห้องนี้เหมือนห้องชำระล้าง  ในความหมายเราต้องการที่จะให้ท่านลงแรงกระทำจริงๆ แล้วพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น  เพราะถ้าท่านทำได้โลกปัจจุบันจะมีคนยิ่งกระทำดีตาม  แต่ปัจจุบันนี้คนชั่วยังลอยนวล  คนดีถูกต่อต้าน จริงหรือไม่ (จริง )  นั่นเป็นสิ่งประจักษ์ให้เห็นได้ว่าโลกปัจจุบันไม่มีใครอยากทำดี  แต่ทุกคนหันไปทำชั่ว ใช่หรือไม่  ไหนวันนี้ใครต่อต้านธรรมะนี้บ้าง
 “ปัญหาคู่ผู้ไม่อาจคลายสงสัย” หลายคนมักจะถามว่าตัวเรามาได้อย่างไร  ทำไมอยากรู้ว่าเรามาล่ะ  ทำไมไม่อยากรู้ว่าตัวเองจะกลับไปอย่างไร  หลายต่อหลายคนอยากรู้เรื่องคนโน้น อยากรู้เรื่องคนนี้ แต่ทำไมไม่อยากรู้ตัวตนเองบ้างว่าชีวิตเราจะกลับไปอย่างไร  ทำไมต้องมาอยากรู้เรื่องของเราด้วยใช่ไหม  อยากรู้ว่าเราจะมาอย่างไร  แล้วเราเข้ามาได้อย่างไรในร่างนี้ แล้วเดี๋ยวเราจะไปอย่างไรในร่างนี้  อยากรู้กันจริงๆ แต่รู้ไปมีประโยชน์ไหม  ก็มีเหมือนกันแต่ใครล่ะจะทำตามเรา  เดี๋ยวเราจะบอกให้ว่าเรามาอย่างไร  แล้วไปอย่างไร  เรามาด้วยความว่างเปล่า  เข้ามาสู่ความว่างเปล่า  แล้วจึงบังเกิดความมี  เข้าใจไหม  แล้วในความมีเราจะกลับไปสู่ความว่างเปล่า  และคืนสู่ความไม่มี  นี่แหละคือหนทางของพุทธะที่เดินและกลับได้อย่างสบายและอิสระ  แต่หนทางของมนุษย์มาด้วยความว่างเปล่า  อยู่ด้วยความมี  กลับไปด้วยความมี กลับไม่ถึงต้นเดิม ใช่หรือไม่  แถมบางทีมาด้วยความมี  อยู่ด้วยความมี  กลับไปด้วยความมั่งมี  และก็กลับไปไม่ถึงบ้านเดิม   อยากกลับแบบไหนล่ะ  คิดเอานะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ล้างจานและล้างห้องน้ำ)
สังเกตว่ารอบข้างตัวท่านล้วนมีผู้เสียสละไม่ว่าอายุมากอายุน้อย ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ใช่หรือไม่  แปลว่าผู้บำเพ็ญธรรมในยุคนี้ไม่ได้เลือกว่าต้องอาวุโส  ต้องผมขาว  แต่อยู่ที่ว่าท่านปล่อยวางได้หรือยัง  ท่านเสียสละที่จะช่วยผู้อื่นได้บ้างหรือไม่  เกิดเป็นคน ค่าของคนไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว  แต่เกิดเป็นคน ค่าของเขาจะประเสริฐก็คือได้ทำเพื่อผู้อื่นบ้าง  ได้อุทิศช่วยเหลือผู้อื่น  ใช่หรือไม่ (ใช่) หลายต่อหลายคนเลือกงานที่จะทำ รังเกียจการล้างจาน รังเกียจการขัดห้องน้ำใช่ไหม ทุกท่านในที่นี้ใครมากินข้าวแล้วได้ล้างจานของตัวเองบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มี) แล้วใครเข้าห้องน้ำแล้วทำรกสกปรกบ้าง เมื่อเราต้องอยู่ในสถานที่ที่เป็นของส่วนรวมจงพยายามรักษาความสะอาดให้มาก อย่างนี้หน้าที่ล้างห้องน้ำ ล้างจานคงไม่ต้องบังเกิด เพราะทุกคนรู้จักทำแล้วรักษาความสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำแล้วรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำหน้าที่ก็จะไม่มีมาก
ตั้งใจบำเพ็ญกันนะ  จริง ๆ เราอยากจะเรียกทุก ๆ คนออกมารับผลไม้  เพราะเรารู้ว่าผู้ปฏิบัติงานธรรมต่างเหนื่อยกันคนละแบบ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่าซือมาก็เรียกแต่แม่ครัว  ฉันก็ทำอย่างอื่นด้วยทำไมไม่เห็นเรียก เหนื่อยด้วย หนักด้วย อย่าได้น้อยใจนะ  ขอให้รู้ว่าทุกอย่างที่ทุกๆ  ท่านได้ทำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็น  แม้วันนี้จะไม่ได้ออกมาอยู่ข้างหน้าแล้วรับผล ก็อย่าได้น้อยใจ  เพราะว่าผลงานนั้นปิดทองหลังพระย่อมมีค่าสูงส่งยิ่งกว่ากุศลใดๆ ใช่หรือไม่  ทำดีแบบไม่หวังผลตอบแทนย่อมมีคุณประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด  ฉะนั้นทำดีไปเถอะนะ อย่าได้เหนื่อย อย่าได้ยอมแพ้ อย่าได้ขี้ใจน้อย และอย่าได้คิดว่าคนอื่นมองไม่เห็นความสำคัญ  ใครไม่เห็นไม่เป็นไร  พุทธะเห็น  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นก็น่าจะดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีไปเถอะถ้ายังทำไหว  ทำดีไปเถอะถ้ายังไม่ยอมแพ้ใจ
วันนี้เราคงต้องจากอำลาท่านไป มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ในใจคงไม่ถามอีกแล้วนะว่าไปอย่างไร  คนทุกคนในโลกนี้ถึงเวลาก็ต้องมา  ถึงเวลาก็ต้องไป  แต่ใครจะหยั่งรู้ว่าเวลาไหนคือถึงเวลาที่ของเรา  ฉะนั้นจงทำดี อย่ามัวห่วงอะไรมากเกินไป อย่ามัวห่วงรูปลักษณ์ในโลกนี้  อย่ามัวห่วงมายาในโลกนี้  อย่ามัวห่วงตัวตนนี้จนเกินไป ปล่อยวางเสียบ้าง  อยู่บนโลกอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม  ไร้ซึ่งอัตตาตัวตน  ไร้ซึ่งรูปลักษณ์หน้าตา  แล้วเราจะอยู่อย่างว่างเปล่า  และก็ไปอย่างว่างเปล่า

วันจันทร์ที่  ๑๑  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

จากคนหนึ่งที่ใครเขาก็เกลียด ทุกกระเบียดตรวจสอบให้ถ้วนถี่
ดีคงไว้ร้ายขจัดแค่หนึ่งปี จากคนที่ใครใครเกลียดกลายรักแทน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขดีฤๅ

ออกตามหาศิษย์คนดีมาหวนคืนฝั่ง ใกล้ออกเรืออาจารย์นี้ยิ่งห่วงหา  กลัวความทุกข์ทำลายศิษย์เรา
นำธรรมะมาเป็นเพื่อนใจจะบำเพ็ญได้ดี  จิตหนึ่งใจเดียวยึดมั่นความดี  ไยมีน้อยคนเข้าใจ
เพราะอะไรศิษย์คอยจะลืม  เสียงจากใจดั่งคลื่นซัดฝั่ง  บางครั้งดีใจได้พักหนึ่ง พลันศิษย์ก็กลายเป็นดั่งเดิม
จากกันป่านสุดสายคงเหลือใจผูกพัน  ขอแต่เพียงศิษย์ถึงฝั่ง  อาจารย์ทำไปไม่เคยเหนื่อยเลย

ทำนองเพลง  :  โอหลัน
ชื่อเพลง  :  อาจารย์ไม่เหนื่อยเลย


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อกลางวันนี้กินอะไรกัน (ก๋วยเตี๋ยว)  กินก๋วยเตี๋ยวอร่อยไหม (อร่อย)  เวลาที่เรากินก๋วยเตี๋ยว เราต้องปรุงหรือเปล่า (ปรุง)  ใครไม่ปรุงยกมือขึ้น  เดิมทีที่แม่ครัวเขาทำนั้น เขาก็กะว่าที่เขาปรุงมาให้อร่อยที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเวลาเรากินเราก็ยังต้องปรุง แสดงว่าเราก็ยังคิดว่ามันยังไม่อร่อยที่สุดใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าเราชอบแบบนี้ ส่วนเขาชอบแบบนั้น  เราชอบไม่เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์ลองพิจารณาดูดีๆ ว่า ปัญหาในชีวิตของเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละ  ปัญหาในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ อย่าง การที่เราอยู่ร่วมกับคนหลายคน บางทีศิษย์อาจจะเป็นคนกิน  บางครั้งศิษย์อาจจะเป็นแม่ครัว  ปัญหาที่เรากำลังปรุงอยู่ เราก็กะว่าปรุงให้มันดีที่สุด  ให้มีทางออกและสิ่งที่ดีที่สุดรออยู่ข้างหน้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่สุดท้ายคนที่มาร่วมปัญหากับเราเขาคิดว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดไหม (ไม่)  เขาก็ยังเอาปัญหาของเราไปปรุงอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่ศิษย์รับก๋วยเตี๋ยวมาในมือ ชิมหรือยังว่าอร่อยไหม  นิสัยบางคนก็ปรุงเลยไม่ต้องชิม บางคนก็ชิมก่อนแล้วค่อยปรุงมันก็ยังไม่ถูกใจ ก็ต้องปรุงใหม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่าในโลกนี้คนหลายคนเข้ามาอยู่ร่วมกัน  มันเป็นเรื่องของความแตกต่างบนความเหมือนกัน  ปัญหาก็คือก๋วยเตี๋ยวชามเดียว  ถ้าหากว่าเรานั้นมีทางออกที่ดีที่สุดก็คืออะไร  คนมีปัญหาเพราะว่าต้องกิน เมื่อต้องกินก็ต้องปรุง  ฉะนั้นถ้าจะไม่มีปัญหาก็คือไม่ต้องกิน ใช่หรือไม่  (ใช่)  ยังใช่อยู่หรือ ไม่กินตายไหม ยอมตายหรือไม่ยอมตาย
บางคนบอกว่าฉันมีปัญหามาก ชีวิตมีปัญหาเยอะแยะ ฉันยอมตายเลย  เหมือนกับคนที่ไม่ยอมกินข้าวแล้วก็ยอมตายไปเลยได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีปัญหาก็จบลงง่ายๆ ด้วยการที่ฝ่ายแม่ครัวก็ต้องทำใจ  ฝ่ายคนกินก็ต้องทำใจเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่างคนต่างยอมให้กัน มีปัญหาไหม (ไม่มี)  อภัยให้กันปัญหาลดน้อยลงหรือเปล่า (ลดน้อยลง)  ถามว่าในชีวิตของเรานั้น เราเคยยอมหรือไม่  โดยส่วนใหญ่ยอมหรือไม่ยอม (ไม่ยอม)  โดยส่วนใหญ่เรายอมให้กับสิ่งที่เรานั้นอภัยให้ได้  ไหนใครคิดว่าบางทีตนเองก็ยอมบ้าง ไม่ยอมบ้าง ยกมือขึ้น  เกือบทุกคนเลยนะ
ทุกคนก็มีทั้งยอมบ้างและไม่ยอมบ้าง แต่ตอนไม่ยอมอาจารย์เห็นไม่ยอมจริงๆ เลย เวลายอมก็ยอมจริงๆ เลย  มันก็ยังไม่พอดิบพอดี  เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับปัญหา  มีทั้งปัญหาชีวิต มีทั้งปัญหาครอบครัว มีทั้งปัญหาการงาน มีทั้งปัญหาส่วนตัว และมีปัญหาหัวใจอีก  มีปัญหาอยู่เยอะแยะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำไมจะต้องสร้างปัญหาให้กับตัวเอง  ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือใช้ธรรมะที่ถูกต้องมารับมือกับปัญหาของตัวเอง อย่าศึกษาธรรมะเพียงเพื่อศึกษา แต่ศึกษาธรรมะเพื่อการที่เรานั้นจะได้บำเพ็ญธรรม เพื่อจะให้มีปัญหาลดน้อยลง  ถ้าหากว่าใครยิ่งบำเพ็ญธรรม ยิ่งมีปัญหาต้องพิจารณาตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราเป็นตัวต้นเหตุ เป็นตัวปัญหา แต่ไม่รู้ว่าเรานั้นคือปัญหา เรายังใช้สายตาของเรามองไปข้างนอก มองไปเรื่อย มองไปเรื่อย สุดท้ายปัญหานั้นก็ไม่จบเพราะว่าเรานั้นไม่ยอมเลิก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ทุกๆ คนต้องคิดและพิจารณาให้ดี  ทุกคนมีสิทธิ์เป็นต้นเหตุของปัญหา ทุกคนเลยนะ มีสิทธิ์เป็นต้นเหตุของปัญหาในทุกๆ เรื่อง  เพราะว่าก๋วยเตี๋ยวชามเดียวนี่ปรุงกันหลายคน ถ้าหากว่าเปลี่ยนคนกิน ต่อให้คนนี้กินไม่หมดแล้วส่งให้อีกคนหนึ่งกิน อีกคนหนึ่งจะปรุงไหม (ปรุง)  เขาก็ปรุงอีกเหมือนกัน  แล้วปัญหาของศิษย์นั้น หลายๆ คนก็เป็นปัญหาเรื่องเดียวกัน  แล้วก็ส่งต่อกันกิน กินไม่หมดแล้วก็ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วก็ปรุงกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายเป็นอย่างไร  รสชาติในก๋วยเตี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง กินได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามีคนปรุงหลายๆ คนกินต่อกันไปเรื่อยๆ ถามว่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้รสชาติได้เรื่องไหม (ไม่ได้เรื่อง)  คนยิ่งกินต่อไป ยิ่งคนหลังๆ เท่าไรก็ยิ่งกินไม่ลงเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้ว่า จนกว่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้จะหมดชามไป เราก็จะต้องเจอปัญหาไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้นถ้าให้ดี ก่อนที่จะเกิดปัญหาก็ควรจะช่วยกันแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างคนต่างยอม ต่างคนต่างถอย  เสียงดังๆ ช่วยให้ปัญหาคลายไม่ได้ เข้าใจไหม
“จากคนหนึ่งที่ใครเขาก็เกลียด ทุกกระเบียดตรวจสอบให้ถ้วนถี่
ดีคงไว้ร้ายขจัดแค่หนึ่งปี จากคนที่ใครใครเกลียดกลายรักแทน”
หนึ่งปีนี่พอให้ต้นไม้โตไหม (ไม่พอ)  ไม่ถามอาจารย์หรือว่าปลูกต้นอะไร อย่าเพิ่งด่วนสรุป ต้นไม้ก็มีตั้งหลายชนิดใช่หรือไม่  อาจารย์อาจจะอยากปลูกต้นถั่วงอกขึ้นมาก็ได้ ถั่วงอกใช้เวลากี่วัน (สามวัน)  ใช้เวลาสามวันก็แก่หมดแล้ว  อาจารย์บอกว่า อาจารย์ให้กลอนบทนี้เปรียบเสมือนอาจารย์ให้ศิษย์ปลูกต้นไม้หนึ่งต้น  ต้นไม้ต้นนี้เรียกว่าต้นไม้แห่งความดี เจริญเติบโตพอๆ กับต้นไม้บนโลกมนุษย์นี้  หนึ่งปีที่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมา ถ้าหากว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ดี พอเราปลูกลงไป รดน้ำพรวนดิน ขยันใส่ใจแล้วก็ให้สภาวะที่ดีกับต้นไม้ต้นนี้ ถามว่าต้นไม้ต้นนี้จะงอกขึ้นมาไหม (งอก)  ต่อให้งอกขึ้นมาหนึ่งคืบ เรียกว่างอกหรือไม่ (งอก)  งอกขึ้นมาหนึ่งเมตร เรียกว่างอกหรือไม่งอก (งอก)  งอกขึ้นมาเท่ากับหลังคาบ้านนี่งอกหรือไม่งอก (งอก)  แต่เวลาหนึ่งปีจะให้ต้นไม้ต้นนี้งอกเท่าไร ต้นไม้ต้นนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในใจของเราเอง  เพราะฉะนั้นเราก็จงไปกำหนดเองว่าเราจะให้ต้นไม้ของเราเติบโตมากเท่าไร
“จากคนที่ใครใครเกลียดกลายรักแทน” มันก็เป็นผลสรุปของบรรทัดแรก บรรทัดที่สอง และบรรทัดที่สาม  อาจารย์เชื่อว่าทุกๆ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่ว่าเป็นคนที่ใครๆ เขาก็รักเราไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ที่ว่าเราจะอยู่กับคนๆ ไหน ถ้าหากว่าสมมติว่าศิษย์อยู่กับคนๆ นี้ ศิษย์ก็จำเป็นจะต้องรู้จักนิสัยของคนๆ นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนเป็นอยู่กับคนๆ นี้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักนิสัยของคนๆ นี้  เปลี่ยนมาอยู่กับศิษย์คนนี้ ศิษย์ก็ต้องรู้ว่า คนๆ นี้เป็นอย่างไร ถึงจะเข้ากันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หมายความว่าเราต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเสมอ  ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับในสถานที่ที่เราเข้าไปสู่ นั่นเรียกว่า "รู้จักกาละเทศะ" จะเอาแบบของเราแบบเดียว ถ้าหากสมมติว่าศิษย์เป็นสีเขียว  ศิษย์จะเข้าไปอยู่ในวงสีแดงจะเข้ากันไหม (ไม่เข้ากัน)  ถ้าหากว่าศิษย์เป็นสีเขียว จะเข้าไปอยู่วงสีเหลืองจะเข้ากันไหม (ไม่เข้ากัน)  นอกจากว่าสีเขียวจะอยู่กับสีเขียว แล้วสีเหลืองจะอยู่กับสีเหลืองตลอดไป เป็นไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเรียกว่า “รู้จักเขารู้จักเรา”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเป็นคนที่รู้จักแต่ตนเองคนเดียวไม่รู้จักคนอื่น  หรือบางคนเป็นคนที่รู้จักคนอื่นแต่ไม่รู้จักตนเองเลย  บางคนเวลาพูดถึงคนนั้นที พูดได้เป็นฉากๆ แต่พอพูดถึงตัวเองก็จมน้ำตาย ไม่รู้จักตนเองเลยอย่างนี้ไหวหรือไม่ไหว (ไม่ไหว)
การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีความยาก ไม่สลับซับซ้อนอะไรมากมาย  แต่มีสิ่งที่เราจะต้องเริ่มต้นทำเยอะ  เพราะว่าทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้น ถึงแม้ว่าจะบอกว่าตนเองเป็นคนดีแล้ว แต่เป็นคนดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม (ไม่)  ก็ยังไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์  ฉะนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนตนเองเยอะ  อย่างเช่นนิสัยทุกๆ วันก็ต้องปรับเปลี่ยนใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นอารมณ์ของเราก็ต้องปรับเปลี่ยน  ปรับเปลี่ยนจากร้ายเป็นร้ายที่สุดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ปรับเปลี่ยนจากอะไรเป็นอะไร (ร้ายเป็นดี)  ปรับเปลี่ยนจากดีเป็นอะไร (ดียิ่งขึ้น)  ดียิ่งขึ้นแล้วเป็นอะไร (ดีที่สุด)  แต่ว่าอย่าได้ติดกับความเป็นที่สุด  หลายคนติดกับความเป็นที่สุดของตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ว่ามีคำพูดบอกว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า”  คำพูดนี้จริงหรือไม่ (จริง)  ในวัยนี้ ในตอนนี้ของเรา เรานั้นเป็นที่สุดของตอนนี้  แต่ว่าในคนแก่นั้นเรียกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน  ย่อมจะมีประสบการณ์มากกว่า  ฉะนั้นมาตรฐานนั้นจึงปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ให้เรานั้นพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ เรียนรู้ด้วยความกระตือรือร้น  ฟังธรรมะบ่อยๆ ก็อย่าได้เบื่อหน่าย อย่าได้ท้อ  ถ้าหากว่าตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่สำเร็จ เราท้อใจง่ายๆ ไหม (ไม่ท้อ)  ถ้าหากว่าเราอยากจะเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่สมมุติว่ามีคนว่าเราเป็นคนไม่ดีอยู่วันยังค่ำ  อย่างไรก็ยังติดกับความไม่ดีของเราอยู่อย่างนั้น  ต่อให้เราปรับเปลี่ยนไปเท่าไรเขาก็ไม่มอง  มองก็มองแต่อดีตของคนๆ นั้นอยู่เรื่อยเลย ศิษย์คิดว่าอย่างไร  ถ้าหากว่ามีคนๆ หนึ่งอยากจะปรับเปลี่ยนตนเองให้ดียิ่งขึ้น ดียิ่งขึ้น  แต่สุดท้าย คนฝ่ายตรงข้ามก็ยังมองแต่สิ่งเก่าๆ ของเขา  มองไม่ยอมเลิก อย่างไรก็มองว่าเขาเป็นคนไม่ดีอยู่ อย่างนี้ยุติธรรมไหม (ไม่ยุติธรรม)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงอยากสอนให้ศิษย์นั้น ลืมตาให้กว้างๆ เพื่อเป็นการมองให้เห็นชัด  ตาของเรานั้นมองได้แต่ข้างหน้า  มองข้างหลังได้ไหม (ไม่ได้)  มองข้างบนทีแล้วจะมองเห็นข้างล่างได้ไหม (ไม่เห็น)  ฉะนั้นเมื่อตาเรามีองศาอยู่แค่นี้ ก็จำเป็นที่จะต้องลืมตาให้กว้างๆ กว้างนี้มองอะไร มองหน้าให้ถึงหลัง มองบนให้ถึงล่างด้วยตาเล็กๆ ของเรานี้แหละ  ถ้าหากว่าเรามัวแต่มองอย่างคนที่จิตใจคับแคบก็จะไม่เป็นผลประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คงไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน ที่ท่านมาชี้ให้ศิษย์ มาว่าศิษย์ตรงๆ อย่างนี้ นอกจากว่าต้องเป็นศิษย์อาจารย์กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ขนาดอาจารย์ว่าตรงๆ ขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครคิดจะแก้ไขเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมุติว่าต้องแก้ไปเมตรหนึ่ง แต่เพิ่งจะแก้ไปแค่คืบเดียว แล้วบอกว่าตนเองแก้ไขแล้ว  อย่างนี้นับว่าแก้ไขหรือไม่ (ไม่แก้ไข)  ถ้าหากว่าศิษย์จำเป็นต้องแก้ตัวเองสักเมตรหนึ่ง แต่เพิ่งจะแก้ไปหนึ่งคืบ คนๆ นี้จะถือว่าแก้ไขได้หรือไม่ (ยังไม่ได้)  อาจารย์บอกไว้ในกลอนว่า “ขอแค่หนึ่งปี” เท่านั้น ต้นไม้แห่งความดีนี้ การเปลี่ยนแปลงจากร้ายเป็นดีของนิสัย ขอแค่หนึ่งปี  ในหนึ่งปีนี้เราได้ทำอะไรบ้าง “ดีคงไว้ร้ายขจัด”  แค่นี้เอง  ในหนึ่งปีให้หลังนี้ ถ้าเราทำได้อย่างจริงๆ ถ้าเราทำได้อย่างจริงจัง  คนที่เคยเกลียดเราก็จะเปลี่ยนมารักเรา  แต่อย่ารู้สึกท้อใจหากว่าคนที่เราต้องการให้เขาหันมาเห็นใจเรา ชอบเรา  สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมที่จะมองเห็นสิ่งดีของเรา สักทีหนึ่ง  ก็แสดงว่าความไม่ดีที่เราทำไว้กับคนๆ นั้นอาจจะมากเกินไป  จากหนึ่งปีก็อาจจะต้องเลื่อนเป็นปีกว่าหรือสองปีก็แล้วแต่ว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นเคยทำกับคนๆ นั้นไว้อย่างไร  เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ชีวิตนี้ที่ผ่านมาเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขหรือไม่ (ไม่)  ไม่ใช่เป็นชีวิตที่มีความสุขแล้วเต็มไปด้วยความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ไม่เชิง เรามีชีวิตที่มีผ่านมานั้น ถ้าหากว่าเราอยากได้ความสุขก็จะต้องหมั่นที่จะมอบความสุขให้ผู้อื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อเรามีให้ไป ถึงจะมีส่งมา  จะรอให้เขาส่งมาโดยที่เราไม่ให้ไป ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าจะให้ดีใครส่งให้ก่อน (เราส่งก่อน)  ตอนนี้อาจารย์ก็ส่งอยู่เหมือนกัน  ตอนนี้อาจารย์ส่งธรรมะหนึ่งมาให้ศิษย์ของอาจารย์  เพื่อให้ศิษย์นั้นได้บำเพ็ญธรรม  เพราะว่าชีวิตของศิษย์นั้น ถามว่าตอนนี้มีความทุกข์ไหม ก็มี  มีความทุกข์เพราะอะไร  เป็นเพราะเกิดเองตามธรรมชาติไหม  (ไม่ใช่)  แต่เป็นผลกรรมที่เราได้ก่อไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราต้องชดใช้กรรมของเรา เราจึงมีความทุกข์  แล้วเราอยากพ้นทุกข์นี้เราทำอย่างไร  จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ไหม (บำเพ็ญธรรม)  บำเพ็ญธรรมนี้บำเพ็ญแค่ไหน  บางคนบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญอยู่ครึ่งๆ กลางๆ  บำเพ็ญแค่พอให้ตนเองรู้ว่าธรรมะคืออะไร  ส่วนบางคนนั้นบำเพ็ญธรรมเพื่อให้หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด
ศิษย์ของอาจารย์ถ้าอยากให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ที่เราผ่านมานี้เป็นความทุกข์เพียงเล็กๆ น้อยๆ  แต่ว่าความทุกข์ที่จะเจอในวันข้างหน้านั้นเป็นความทุกข์ที่หนักยิ่งกว่า  แต่ยังมีความทุกข์ท่ามกลางการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นควรจะเลือกแบบไหน  ถ้าหากว่าอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปๆ  หากไม่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กันในวันนี้ ศิษย์คิดว่าสุดท้ายปลายชีวิตของเรานั้นจะจบที่ว่าเรานั้นกลับไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่  เราจะได้เกิดมาเป็นคนอีกชาติหนึ่งไหม เคยคิดหรือเปล่า  เราทำอย่างที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ จะกลับมาเป็นคนอีกครั้งหนึ่งไหม (ไม่แน่ใจ, ไม่ได้)  แค่ที่บอกว่าทำบุญตักบาตรนั้น ทำทุกวันนั้น มีคนทำจริงๆ อยู่กี่คน  เราก็ลองคิดดูว่าถ้าหากเราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกรอบหนึ่ง เราจะไปเกิดเป็นอะไร  หรือคิดว่าตายไปแล้วดับสูญ ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า (เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน, ไม่ทราบ, เป็นมนุษย์แล้วเกิดมาคงจะเวียนว่ายตายเกิด)  ไม่มีใครบอกว่าฉันจะพ้นทุกข์เลย  เป็นเพราะไม่เคยมั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำลงไป ว่าสิ่งที่เราเองทำลงไปนั้นจะทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิด  ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นความดีแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือว่าไม่มีความมั่นใจในความดี แล้วศิษย์ทำอะไรลงไปทุกวันทุกวัน  เราทำอะไรผ่านไปวันๆ หนึ่งจนชีวิตของเราผ่านไปตั้งหลายสิบปีอย่างนี้  ในเมื่อไม่มั่นใจว่าตนเองสามารถหลุดพ้น เวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่มั่นใจในความดีที่ทำอยู่แล้วศิษย์ทำอะไร  เรียกว่าปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามกระแสกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเทียบเป็นปลา    ตัวหนึ่งในแม่น้ำ ถ้าปลาเป็นเป็นอย่างไร หรือเคยแต่กินไม่เคยดู  ปลาเป็นว่ายทวนหรือว่ายสวนกระแสน้ำ  (ทวนน้ำ)  ปลาตายว่ายตามน้ำ  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าศิษย์นั้นว่ายทวนกระแสกรรมหรือตามกระแสกรรม  เราจึงต้องคิดว่าธรรมชาติสอนอะไรให้เราบ้าง  ถ้าหากว่าเรานั้นเป็นผู้ที่พร้อมที่จะทำความดี  ยึดมั่นที่จะทำความดีและจะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ได้นั้น ก็คือต้องรู้จักว่ายทวนกระแสกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนปลาที่ว่ายทวนน้ำจึงเรียกว่าปลาไม่ตาย  ถ้าหากว่าวันใดที่ตามน้ำก็คือวันที่ตาย ถูกหรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าเขามีความพยายามถึงที่สุดที่เขาจะว่ายไปสู่ต้นน้ำ  ต้นน้ำของการเวียนว่ายตายเกิดของคนนั้นก็คือนิพพาน  เพราะนิพพานนั้นคือความดับ ดับเสียซึ่งความทุกข์  อยากไปหรือไม่ (อยากไป)  แค่นี้เท่านั้นเองหรือ หนึ่งคนพกกล่องเสียงมาแค่นี้เองหรืออยากไปไม่อยากไป (อยากไป)  ถ้าอยู่เฉยๆ เหมือนทุกวันนี้ไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องทำอะไร  ต้องพยายามที่จะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาละบำเพ็ญธรรมทำอะไรบ้าง (ประพฤติตนเป็นคนดี) ตอนนี้ดีหรือยัง (ตอนนี้ยังดี ไม่พอ)  ยังดีไม่พอ (มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป) แล้วละอายหรือยัง  ละอายอะไร (ละอายการทำความไม่ดี)  ละอายจริงหรือ ละอายสามวันพอไหม(ต้องละอายตลอดไป, อดทนต่อความยากลำบาก) มีความยากลำบากด้วยหรือ (มี) แน่ใจไหม  ความยากลำบากนั้นมีหลายอย่าง บางทียากลำบากที่เกิดจากตัวเอง บางที่ยากลำบากที่เกิดจากคนอื่นให้  อันไหนต้องอดทนมากกว่ากัน ว่าอย่างไร (ฝึกจิตให้สะอาด)
จริงๆ แล้วพูดถึงการบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องของตัวแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ เพราะว่าการบำเพ็ญก็คือการบำเพ็ญจิตใจของตัวเอง การขัดเกลาจิตใจของตัวเองเหมือนกับเราปล่อยให้จิตใจของเรานั้นโดนฝุ่นก็คือกิเลสต่างๆ นั้นครอบคลุมเกาะกุมไว้จนมิดทีเดียว  การที่จะขัดจิตใจของตัวเองนั้น จำเป็นที่จะต้องให้ตนเองเป็นคนขัดเอง เพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นเป็นคนที่รู้จักตัวของเราดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนนั้นปล่อยให้ตัวเองไม่รู้จักตัวเองมาเสียนาน บางทีก็รู้ว่านั้นคือกิเลสและนั้นคือสิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่ทำไมเราก็ยังทำลงไป ก็คือการไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปอย่างที่ศิษย์คนนี้ตอบ  แต่ว่าการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นคงไม่ได้ใช้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ธรรมะนั้นก็เปรียบเสมือนกับฟ้าผืนหนึ่งที่ศิษย์เงยหน้าขึ้นไปมอง บนฟ้านั้นมีอะไรบ้างละ มองให้ว่างมันก็ว่างใช่หรือไม่ (ใช่) มองให้มีมันก็มีเมฆใช่หรือเปล่า มองอีกทีก็มีดวงอาทิตย์ มองอีกทีก็มีดวงจันทร์ มองอีกทีก็มีดวงดาว มองอีกทีก็มีฝน มองอีกทีก็มีแดด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าจิตใจของศิษย์นั้นมันเย็นชา ไม่มีน้ำใจก็คงต้องใช้แสงแดดส่องถูกหรือไม่ ถ้าหากว่าจิตใจของศิษย์นั้นร้อน ต้องใช้สายฝนนั้นช่วยระงับถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าหากว่าจิตใจของเรานั้นมันปลิวกระจัดกระจาย ชอบฟุ้งซ่านเป็นเนืองนิจต้องใช้อะไร ก็ต้องใช้สายลมพัดจิตใจของเรานั้นให้มาเป็นกองเดียวกัน แต่บางคนนั้นก็ไม่รู้จักจะใช้อย่างไร บางคนใช้สายลมนั้นพาให้  จิตใจนั้นยิ่งกระจัดกระจายออกไปใหญ่ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าศิษย์นั้นรู้จักใช้แง่ไหนของสิ่งไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเข้าบ้านก็ต้องเข้าทางหน้าบ้านใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าจะเข้าทางหลังบ้านจะเป็นการเหมาะสมไหม (ไม่) ธรรมะก็เป็นอย่างนี้ ธรรมะคือเรื่องของความเหมาะสมและมีเหตุผลที่ถูกต้องในการทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าอยากให้ลมเข้าก็ต้องเข้าทางหน้าต่างถูกหรือไม่ (ถูก)  มันก็เป็นเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องง่ายๆ
เวลาเราเห็นคนเดือดร้อนก็ต้องรู้จักที่จะช่วย เวลาเราเห็นคนที่เขาไม่  ชอบใจ เราก็อย่าเพิ่งไปพูดใส่ๆ ให้เขาได้โมโหยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของคนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายหรือยาก อาจารย์สมมติให้ศิษย์นั้นมองให้เห็นต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง  ต้นไม้ต้นนี้มีกิ่งก้านสาขามากมาย ใบนั้นก็แตกออกเป็นกิ่งก้าน กิ่งก้านนั้น ยิ่งแตกยิ่งแตกยิ่งดกใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าศิษย์นั้นอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้ใบไม้กิ่งนี้ ใบไม้นี้ก็คือปัญหาในชีวิตของเราหลายๆ อย่าง ถ้าหากว่าศิษย์นั้นจะตัดใบไม้ทีละใบได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากว่าอยากตัดปัญหาก็ตัดใบไม้ทีละใบได้  ถ้าหากศิษย์มีความอดทนพอในการที่จะปลิดใบไม้ทีละใบก็ย่อมได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนอย่างไร เป็นคนใจร้อนถูกหรือเปล่า นั่งอยู่ที่นี้มีกี่คนที่ไม่เป็นคนใจร้อน กว่าเราจะรอให้ปลิดใบไม้ไปทีละใบเราก็เป็นอย่างไรแล้ว เราก็โมโหไปไม่รู้กี่รอบแล้วใช่หรือไม่ แล้วโมโหหนึ่งรอบนั้น ผลที่ได้จากการโมโหนั้นคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ไม่คุ้มเลย  ถ้าหากว่ามีความอดทนพอจะปลิดใบไม้ทีละใบก็ย่อมได้ ใบไม้นั้นก็จะหมดไปเช่นเดียวกัน แต่หากว่าศิษย์นั้นไม่อาจจะรอได้ จิตใจเป็นคนใจร้อน ก็ต้องรีบลุกหาว่าใบนี้มาจากไหน ใบมาจากกิ่ง กิ่งมาจากก้านใช่หรือไม่ ก้านมาจากที่ไหน มาจากลำต้น และลำต้นมาจากรากถูกหรือเปล่า ถ้าเราสามารถที่จะเข้าไปปลิดตรงกิ่งมัน เราก็จะขจัดปัญหาไปได้เยอะแยะแล้ว ใช่หรือไม่  แล้วพอเราคลำลงไปจนถึงราก รากของปัญหาคืออะไร (จิต, กิเลส)  คนหนึ่งตอบจิต คนหนึ่งตอบกิเลส กิเลสก็อยู่ในจิตใจเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) รากของปัญหานั้นก็คือตัวของเราเอง แล้วกิเลสที่อยู่ในตัวของเราเอง จิตใจที่อยู่ในตัวของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าทุกคนมอง ทุกคนจะรู้ว่าปัญหาหลายๆ อย่างนั้นเกิดขึ้นกับตัวเราเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยมากที่เกิดขึ้นจากผู้อื่นเป็นผู้มอบให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่บำเพ็ญธรรมนั้นก็คือการย้อนมองส่องตนและก็อ่อนน้อมถ่อมตน ทำได้ไหม (ได้) ถ้าหากว่าเราไม่ได้เป็นคนผิดเลย เราไม่ได้ทำผิดในเรื่องนี้ แต่คนมาโทษเราว่าเราผิด เราจะยอมไหม  ผู้ชายยอมหรือไม่ยอม (ไม่ยอม) อย่าคิดนาน ยิ่งคิดนานยิ่งไม่ยอม ใช่หรือไม่ ยิ่งคิดหาเหตุผลยิ่งไม่มี ใช่หรือเปล่า แต่ว่าต้องรู้ไว้ว่า ถ้าหากว่าเรายอมไม่ได้ ก็จะทำให้หนึ่งมาเกิดสอง สองมาเกิดสาม จากตอนแรกถ้าเรายอม ปัญหาก็อาจจะจบได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) หรืออาจจะเปลี่ยนจากหนักให้กลายเป็นเบาได้ใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากว่าเราทนไม่ได้ ปัญหานั้นก็จะย้อนกลับมาสู่ตัวเรา แล้วก็ดึงเราเข้ามาอยู่กับส่วนร่วมของปัญหานั้น สมควรหรือไม่สมควร (ไม่สมควร) ไม่สมควร จึงต้องคิดพิจารณาให้ดี
 บางที่การยอมก็คือการทำให้จบได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าอะไร เพราะว่าความจริงนั้นมันอยู่เหนือการเวลาใช่หรือไม่ แม้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ถ้าว่าเราเป็นคนที่ถูกต้อง ก็ถูกต้องอยู่ทุกเมื่อใช่หรือเปล่า เรียกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า ส่วนกาลเวลาพิสูจน์คน ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ถูกต้อง ก็จะเป็นคนที่ถูกต้องอยู่เสมอใช่หรือไม่ แต่หากว่าถ้าเราไม่ยอมรับ แม้เราจะถูกต้องแต่เราก็มีข้อหาอะไร มีข้อหาโมโห โมโหที่ยอมคนอื่นไม่เป็นใช่หรือเปล่า กิเลสของเราก็เพิ่มขึ้นมาเป็นความโมหะ
ผู้หญิงชอบใส่รองเท้าสูงๆ ใช่หรือเปล่า  เสร็จแล้วเวลาล้มลงมา ก็ข้อขาเคล็ดใช่ไหม เสียเงินหาหมอโดยใช่เหตุหรือเปล่า (ใช่)  หรือว่ามีความสามารถดียืนบนที่สูง ยืนบนที่สูงตกลงมาเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วศิษย์ของอาจารย์ชอบไปยืนบนที่สูงไหม (ชอบ)  ลาภ ยศ เงินทอง สรรเสริญ ชอบหรือไม่ชอบ (ชอบ)  เขายิ่งยกยอเราให้ยิ่งสูง เราชอบหรือไม่ชอบ (ชอบ)  คนมาติเตียนเราชอบหรือเปล่า (ไม่ชอบ)  คนว่าเราชอบไหม (ไม่ชอบ)  ส่วนคนชมว่าเราดี ชอบหรือไม่ชอบ (ชอบ)  ทำไมชอบล่ะ คำพูดประเภทไหนมีประโยชน์ต่อเรามากกว่ากัน  (คำพูดติเตียน)  คนติดีกว่าคนชมใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าเขายังติเราได้ เราก็ยังมีข้อเสีย เราต้องหัดแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่จะให้คนอื่นติ ต้องใครติก่อน (ตัวเราเอง)  ตัวเราต้องหัดว่าตัวเราเองด้วยใช่หรือไม่ เวลาทะเลาะกัน เราไม่เคยผิดทำไมเราถึงไม่เคยผิดเลย เพราะเราคิดว่าตัวเราถูกใช่หรือเปล่า  อาจารย์ถามกลับนะ โลกนี้มีใครถูกไม่เคยผิดบ้าง มีไหม ทุกคนเคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเราทะเลาะกับคนอื่น เราก็ถูกเสมอ แล้วคราวไหนเราผิด  เมื่อสองคนทะเลาะกัน คนหนึ่งย่อมผิดเป็นธรรมดา แต่ถ้าหากว่าคนผิดแล้วรู้จักแก้ไข คนนี้น่าอภัยไหม (น่าอภัย)  น่าอภัย  ถ้าหากว่าหัดอภัยคนได้ ก็เป็นมงคลกับชีวิต ถ้าหากว่ารู้จักที่จะยอมคนอื่นได้ ก็เป็นวาสนาของเราเอง
บางคนอยากจะได้วัตถุมงคลคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งหลาย บางคนอยากได้วาสนา แต่ไม่รู้ว่าวาสนาหรือวัตถุมงคลนั้น  มันไม่สามารถที่จะไปอยู่ที่วัตถุนั้นได้ แต่มันย่อมขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าตัวเรานั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเรานั้นรู้จักที่จะทำความดีเสมอๆ  ตัวเราก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีคนมายกย่องนับถือ  ตัวเรานั้นถ้าหากว่าเราทำความดีตั้งแต่วันนี้ เป็นความดีแท้ด้วยความจริงใจ คนอื่นก็นับถือเราเหมือนกัน เราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อยๆ เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยากเป็น)
 การจะบรรลุนิพพานนั้น ไม่ใช่บรรลุเมื่อตายไปหรือว่าเมื่อไม่มีร่างกายอันนี้  แต่ศิษย์สามารถทำได้ตั้งแต่ศิษย์นั้นมีลมหายใจอยู่ในขณะนี้ เพียงแต่ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่เสียดายเรื่องที่ไม่ดีที่เราเคยทำ เราก็ทิ้งไปให้หมด ขจัดๆ ไปให้หมด เราย่อมเป็นผู้รู้ตัวเราเองดี ว่าเรานั้นยังบกพร่องอะไรบ้าง  ยังต้องทำอะไรบ้างเป็นการเพิ่มเติมต่อเติมให้กับตัวเรานั้นพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
ศิษย์อย่ารักแต่ความก้าวหน้าทางชีวิต อย่ารักแต่ความก้าวหน้าทาง  การเรียนหนังสือ อย่ารักแต่ความก้าวหน้าทางการงาน อย่ารักแต่ความก้าวหน้าในเงินทอง แต่จงรักความก้าวหน้าของจิตตัวเองด้วย ให้จิตของเรานั้น ได้ยกระดับสูงขึ้น ถ้าหากว่าจิตนั้น เป็นจิตที่สูง จริงๆแล้ว ต่อให้เรานั้นไม่ไหว้พระ พระก็ยังคุ้มครองเรา แต่ว่าคนทั่วไปนั้นไม่ใช่อย่างนั้น คนทั่วไปนั้นอยากให้พระนั้นมาคุ้มครองตน ขอให้ตนนั้นโชคดีมีลาภ แต่ว่าไม่เคยสร้างลาภให้กับตัวเองเลย พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่รู้จะเอาลาภที่ไหนมาให้ ศิษย์เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ไหว้พระไป ต่อให้พระศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังช่วยศิษย์ไม่ได้  เพราะว่าตัวเรานั้นเป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนนั้นเกิดมานั้นมีบุญและกรรมนำพามา  อย่าสร้างกรรมมากเพิ่มขึ้นในชีวิตนี้ แต่จงสร้างความดีให้มากขึ้น  ความดีและความชั่วนั้นบางทีก็สามารถที่จะลบล้างกันได้  อย่าคิดว่าลบล้างไม่ได้เสมอไป
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำครอบพระโอวาท)
“พบ” ศิษย์อาจารย์พบหรือยัง พบอะไร (พบธรรมะ) วันนี้มาที่นี่พบธรรมะ อาจารย์รู้ว่าศิษย์เป็นคนที่ฉลาด แต่อาจารย์จะบอกว่าการพบธรรมะนั้นคงไม่สำคัญเท่ากับศิษย์นั้นได้พบตัวเอง เพราะถ้าหากศิษย์พบตัวเองเมื่อไร ศิษย์ก็จะรู้สึกอยากจะบำเพ็ญธรรมะเมื่อนั้น
“อยู่” ใจอยู่ที่นี่ได้ไหม บำเพ็ญคืออะไร  (คือการปฏิบัติธรรม) แสดงว่ากลับ ออกไปต้องปฏิบัติธรรมใช่ไหม การปฏิบัตินั้นเริ่มต้นได้ด้วยใจของเรา ไม่ใช่กลับไปสามวันห้าวันแล้วเลิก อย่างนี้ไม่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม
“อย่าให้อคติมาเสี้ยมสอนจิตใจ”  ทุกคนมีอคติใช่ไหม (มี)  เวลาเราไม่พอใจคนนั้น เพราะว่าเราได้ยินเรื่องจากคนนี้มา แล้วเราก็รวบรวมเป็นอคติในจิตใจของเรา  หากว่าเราไม่สามารถขจัดได้จะกลายเป็นความลำเอียง ซึ่งเป็นเรื่องที่รักษายาก  โดยเฉพาะผู้ที่เป็น   ผู้ที่นำผู้อื่น เป็นผู้ใหญ่  ถ้าเรามีอคตินั้น เราจะไม่สามารถที่จะนำใครคนหนึ่งได้เพราะว่าเรานั้นมีอคติมากินจิตใจของเรา  อาจารย์จึงหวังว่าทุกคน ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งของผู้น้อยหรืออยู่ในตำแหน่งของผู้ใหญ่  อย่าได้มีอคติ  สิ่งนี้จะเป็นบ่อนทำลาย สร้างความหายนะให้กับความสามัคคีทีเดียวเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงโอวาท ชื่อเพลง : อาจารย์ไม่เหนื่อยเลย)
ไม่รู้ว่าที่อาจารย์ให้เพลงไป ความหมายในเพลงจะมีกี่คนที่เข้าใจ  ศิษย์คนเก่า ทำตัวให้เหมือนคนเก่าด้วยคุณธรรมที่มีมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เก่าด้วยนิสัยที่ดื้อดึงมากขึ้น  คนเรานั้นเกิดมาเพียงไม่กี่ปีก็ลาจาก  หากไม่รู้จักทำประโยชน์ไว้ในโลกบ้าง ก็ดูเหมือนเป็นการไร้ค่าที่เกิดมาในหนึ่งชีวิตนี้  การเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ แล้วก็เหมือนการที่ศิษย์นั้นเดินข้ามประตู เดินข้ามประตูนี้ออกประตูโน้น จากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง ความหมายของการเกิดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ จะมีประโยชน์อะไรถ้าศิษย์เดินเข้าห้องนี้ เดินออกห้องโน้น เดินจนครบทุกห้องได้ลาภ ยศ เกียรติ สรรเสริญ เงินทองมากมาย แต่ศิษย์ไม่รู้จักใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่า และคิดว่าตัวเรามีทุกข์ มีความทุกข์มากมาย  และศิษย์เคยคิดไหมว่าคนอื่นนั้นก็มีความทุกข์  หากว่าศิษย์ไม่เป็นผู้ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์  แล้วจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้อย่างไร  จะมาอ้างว่าตัวเรานั้นยังมีความทุกข์มากมาย แต่หากไม่มีคนไหนสละจิตใจ สละแรงกาย สละกำลังออกมาเพื่อช่วยผู้อื่น โลกนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักแต่ห่วงใยตนเอง ส่องกระจกไปก็มองเห็นแต่ตัวเอง  สาเหตุอย่างนี้ที่ทำให้ในโลกนี้มีแต่การรบราฆ่าฟัน มีแต่น้ำตาที่นองหน้าไม่รู้จักพอ  เพราะว่าอะไร เพราะทุกคนนั้นคิดถึงแต่ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ผู้มีสติ ที่มีปัญญา ก็เป็นศิษย์อาจารย์  หากว่าได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พระอรหันต์ที่อนุเคราะห์ชาวโลก  แต่ศิษย์ก็ยังอนุเคราะห์แต่ตัวเอง  แล้วจะให้ใครมาช่วยกัน ทุกคนมีเวลาเท่าๆ กันยี่สิบสี่ชั่วโมง  ศิษย์ใช้เวลาไปทำอะไรหมด  สละเวลามาช่วยเหลือคนอื่นสักสองสามชั่วโมง  ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนกว่าเรา  ศิษย์รู้ไหม จะเชื่ออาจารย์ไหมว่าศิษย์นั้นยังเป็นคนที่โชคดียิ่งกว่าคนอีกตั้งหลายคนในโลกนี้  ความทุกข์ที่เรามีนั้นยังไม่มากมายพอ ยังไม่มากเท่ากับคนอื่นมี  ในเมื่อเราเป็นผู้มีโชคมีวาสนาเช่นนี้ เราก็ส่งเสริมโชควาสนาของเราให้มากขึ้น มากขึ้นด้วยการรู้จักช่วยคนอื่นไม่ดีหรือ
ในโลกนี้ไม่มีใครคิดเป็นผู้เริ่มต้นที่จะเป็นผู้ให้คนอื่น แต่อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น จะเป็นผู้เริ่มต้นในการให้คนอื่น ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้เขาโดยไม่ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว ให้โดยไม่ต้องคิดถึงผลประโยชน์ใดๆ หากว่าเราทำได้อย่างนี้ โลกนี้ก็เหมือนกับมีต้นไม้ที่เป็นร่มเงา ปลูกมากเพิ่มขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้น บางคนบำเพ็ญธรรมมะ บำเพ็ญจนเหนื่อย บำเพ็ญจนไม่มีแรงบำเพ็ญเลยทีเดียว แต่ศิษย์ลองมองดูว่า ศิษย์ที่บำเพ็ญจนเหนื่อยนั้น ในจิตใจของเราได้รับการขัดเกลาได้ไหม ขัดเกลาบางอย่างที่มันไม่ดีทิ้งไปบ้างหรือเปล่า ถ้าหากว่าศิษย์นั้นขัดเกลาบางอย่างทิ้งไป จิตใจสะอาดสะอ้านมากยิ่งขึ้นพร้อมๆ กับความเหนื่อยล้าที่เราบำเพ็ญมาเสียนาน อาจารย์เชื่อว่าศิษย์นั้นก็เหนื่อยอย่างสมควรแล้ว สมควรที่จะเหนื่อย เพราะว่าเรานั้นได้ขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาดสะอ้าน มีการออกแรงก็ย่อมมีความเหนื่อย แต่หากว่าเรานั้นเหนื่อยโดยใช่ที่ เหนื่อยโดยใช่เหตุ จิตใจของเราไม่ได้ดีมากยิ่งขึ้น กลับจะเลวร้ายลงทุกวัน นั่นก็เป็นการเหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้น อาจารย์เห็นศิษย์บางคนบำเพ็ญธรรมะ เหนื่อยแล้วกับการที่จะต้องบำเพ็ญต่อไป อาจารย์ก็มีความรู้สึกอยู่สองอย่าง ความรู้สึกแรกคือดีใจที่ศิษย์เหนื่อย แต่ศิษย์ได้ผล กับความรู้สึกที่สองคือเสียใจ เสียใจที่ศิษย์นั้นลงแรงเปล่า แถมไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย
พระโอวาทซ้อนพระโอวาทนี้  เป็นสุภาษิตในพุทธศาสนาประโยคหนึ่ง ที่อาจารย์อยากจะยกมาเตือนใจศิษย์  ไม่ใช่ให้แก่ผู้มาฟังธรรมะใหม่วันนี้เท่านั้น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนที่เป็นคนพิษณุโลก ที่เป็นคนเหนือ เพราะอะไร ธรรมะรักษาผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติคนนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ถูกรักษา ใครที่ไม่ปฏิบัติย่อมเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาคุ้มครอง ฉะนั้นธรรมะนั้นไม่ได้เน้นหนักที่การศึกษา แต่ธรรมะนั้นเน้นหนักเรื่องการปฏิบัติ ปฏิบัติลงแรงเท่าที่เจ้ามี เต็มความสามารถของเจ้า ลงแรงที่ไหนเป็นสำคัญ ลงแรงที่จิตใจของตัวเองนั้นให้ดียิ่งขึ้น สะอาดยิ่งขึ้น แล้วธรรมะก็จะคุ้มครองเรารักษาเราผู้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัตินั้น  คนเก่าๆ ที่ดูพระโอวาทแผ่นนี้ก็จะต้องคิดถึงอะไร คิดถึงว่าใครทำอย่างไร ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้ผลอย่างนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครคนหนึ่งมาเป็นผู้จ้ำจี้จ้ำไชให้เขาเปลี่ยน ยิ่งบางทียิ่งจ้ำจี้จ้ำไชยิ่งไปสังเกตคนอื่นจนลืมสังเกตตนเอง ในที่สุดแล้วคนอื่น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขากำลังรักษากำลังขัดเกลาจิตใจของตัวเองอยู่ กับอีกคนหนึ่งที่กำลังจดๆ จ้องๆ มองว่าคนนั้นทำอะไร เป็นอย่างไร อยู่ระดับไหนแล้ว สุดท้ายลืมมาสังเกตจิตใจของตนเองว่าเป็นอย่างไร  เพ็ญมานานปีก็ไม่มีผลอะไร  ขอให้เรานั้นเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม และขอให้ธรรมะนั้นได้มีโอกาสรักษาศิษย์ทุกคน  คำว่า “ธรรมะ” นั้น ก็หมายถึง ความดี ความงาม สิ่งชอบธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อาจารย์ขอเน้นว่า  การบำเพ็ญธรรมะ คือ การปฏิบัติ  แม้ว่าบางคนบำเพ็ญมานาน แต่ไม่เคยปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของตนเอง แม้จะได้ชื่อว่าผู้บำเพ็ญ แต่ศิษย์ยังไม่ได้บำเพ็ญ
หัวหน้าชั้นบำเพ็ญดีๆ นะ นักเรียนหมายเลขสองก็มีบุญมากแต่ต้องรู้จักเชื่อมบุญต่อบุญให้ยาวๆ  บำเพ็ญธรรมะเป็นทางเดียวที่ทำให้หลุดพ้น  ถ้าหากว่าไม่หันหลังให้กับกิเลสบ้างเราจะลำบากนะ  บำเพ็ญธรรมะให้ดีๆ  ได้ไหม
ทุกๆ คนนั้นมีโอกาสแต่เราต้องเปิดโอกาสของตนเองให้กว้างกว่าที่มีอยู่ด้วย เข้าใจไหม  อายุนั้นยังน้อยตั้งใจบำเพ็ญธรรมะให้ดีๆ  ถ้าหากว่ามีคนเขาเรียกให้มาฟังธรรมะก็ต้องพยายามเสียสละเวลามา  อายุมากแล้วบำเพ็ญธรรมะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว  บำเพ็ญดีๆ  อย่าเป็นเด็กดื้อ  อายุน้อยๆ บำเพ็ญตามอาจารย์มานะ  ชีวิตนี้มีความทุกข์สลัดทุกข์ได้  สละเวลามาสถานธรรมบ้าง  มาสถานธรรมให้บ่อยๆ
อาจารย์จะไปแล้ว  แต่ศิษย์นั้นขอให้บำเพ็ญอยู่บ่อยๆ จะได้กลับมาเจออาจารย์อีกนะ  มาสถานธรรมก็เหมือนอยู่บนสวรรค์  ขึ้นสวรรค์บ่อยๆ นะ  อย่าใจแข็งมากนะศิษย์อาจารย์รู้ไหม  เราต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญ  คนนำเรามาดีแล้ว  เราต้องรู้จักรักษาตัวเราให้อยู่รอดปลอดภัย จิตใจแบบสามวันดีสี่วันไข้นั้นไม่เอา
อาจารย์อยากพูดอะไรเล็กน้อยก่อนที่อาจารย์นั้นจะจากไป  ตอนนี้การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้ยากเย็นอย่างสมัยก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญยาก คืออุปสรรคที่ตนเองนั้นเฝ้าสร้าง คือกิเลสในใจ และทิฐิของตนเองทั้งนั้น
การบำเพ็ญตอนนี้เหมือนยุคใบไม้ร่วง  คนที่มีจิตใจที่ท้อแท้จะทำให้ต้องปลิดปลิวลงไปอย่างง่ายดาย  อันว่าลมพัดพาใบไม้ไม่ร่วงหล่นนั้นเป็นการยาก  แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเกี่ยวยึดกิ่งนี้ให้แน่นๆ จับสายทองให้มั่นบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ  ทำในสิ่งที่เราทำได้  โอกาสนั้นบางทียังไม่เปิดให้ใครบางคนในการบำเพ็ญได้ดีๆ  แต่ศิษย์ยึดมั่นความดีพอไหม  สร้างความดีเพิ่มเติมจากที่มันสั้นๆ ให้ยาวๆ ได้ไหม  อย่าท้อใจ อย่าเบื่อหน่ายการบำเพ็ญ  เพราะว่าเรานั้นบำเพ็ญอย่างคนมีจุดหมาย  เราคิดอย่างพิจารณาไม่ได้คิดอย่างคนฟุ้งซ่าน  ดำเนินตนอย่างผู้มีธรรมไม่ได้ดำเนินตนอย่างผู้ไร้ธรรม  อาจารย์นั้นเศร้าใจที่สุดในตอนนี้ ข้างหน้าบ้านต้อนรับญาติธรรมใหม่  หลังบ้านทะเลาะกันเอง  อย่างนี้จะให้งานธรรมะไปตลอดรอดฝั่งได้หรือ  อันว่าสวรรค์ คนที่อยู่บนสวรรค์ก็คือเทพ  ศิษย์ทั้งหลายก็คือเทพของอาจารย์  อย่าเป็นเทพที่มีกิเลสหนา อย่าเป็นเทพที่ชวนทะเลาะ การบำเพ็ญธรรมก็คือการฝึกตนเป็นผู้ดี พูดจาดี ทำตนดี มีความคิดที่ดี อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์บำเพ็ญราบรื่นเหมือนสายน้ำ  ไม่ได้อยากให้ศิษย์นั้นเดินบนทางลูกรัง  ต่างคนต่างสร้างความราบรื่นให้กัน สุดท้ายทางก็ราบรื่นเอง  สวรรค์นั้นก็เบิกบานขึ้นเรื่อยๆ  ผู้น้อยทั้งหลายมิได้เป็นปัญหาของอาจารย์  ผู้น้อยทั้งหลายเป็นผู้ที่เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์  อาจารย์อยากให้ผู้นำที่อยู่ข้างหน้าสามัคคีกัน  ร่วมแรงร่วมใจมีความคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียว  ไม่คอยทะเลาะกัน  ถ้าหากว่าพ่อแม่ทะเลาะกันลูกๆ หรือจะมีอนาคตที่ดีได้ เข้าใจคำพูดของอาจารย์ไหม  (เข้าใจ)  ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหน  เวลาไหน  ก็จงทำตนให้ดี  เป็นผู้นำมีอารมณ์ไม่ได้  คิดถึงแต่ตัวเองก็ ไม่ได้  ไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ  ศิษย์รักษาตัวดีๆ  วันหลังเรามาเจอกันใหม่


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  "ธรรมรักษาผู้ประพฤติ"

การเน้นหนักภายนอกมักพบข้อบกพร่อง บำเพ็ญต้องแฝงจิตดีอยู่ในลักษณะ
การยอมให้คือตนแท้เรื่องการชนะ ความดีคละอยู่ภายในทุกสิ่งไป
เลือกอยู่และเลือกทางให้ตนลงเดิน อย่าให้เงินตรามาเป็นผู้ยิ่งใหญ่
อย่าให้อคติมาเสี้ยมสอนจิตใจ เป็นคนใหม่อาจเป็นการสร้างโอกาส
รู้จักรุกและรู้จักถอยคร้ามไม่เข็ด มุ่งสำเร็จสู้ดั่งคนที่ไม่ประมาท
ธรรมรักษาผู้มีธรรมสะอาด ผู้ไม่อาจทำดีได้ไปตามกรรม

อ่านต่อ...

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-05 สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพฯ


วันอังคารที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพฯ
   สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ทะเลทุกข์แสนกว้างใหญ่ไพศาล กลับหลังหันคืนฝั่งธรรมจิตสันติ
รอต้นไม้ต้นเดิมออกดอกผลิ จงดำริดูแลตนบำเพ็ญจริง
เราคือ
ศิษย์ผู้พี่ม่าเถียน องค์ประธานคุมชั้นเรียน รับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉือหัง  เคียมคัล
องค์มารดา   ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา   ฮวา

สละเวลาสลัดใจแห่งกิเลส ความเทวษไม่กล้ำกรายสู่จิตใส
การบำเพ็ญหากเกียจคร้านไม่ตั้งใจ จะก้าวไปยิ่งถอยหลังเข้าทุกที
ฟ้าสอนใจเลื่อนลำดับปราชญ์อริยะ มีมานะแต่อย่าทิฐิยึดถือ
หูต้องหนักยามฟังคำร่ำลือ ให้ยึดถือสัจธรรมมาบำเพ็ญ
ปกติเราพี่น้องเจอกันประจำ ประชุมธรรมอันทรงค่าปลุกใจตื่น
แต่ทว่าใครเฉื่อยแฉะทุกข์มากลืน น้องยากยืนกลางโอกาสอันดีนี้
เมื่อตนรู้ไม่ปฏิบัติคอยผัดวัน จิตขยันถดถอยไปตามเวลา
ยิ่งบำเพ็ญยิ่งหลงแดนมายา สร้างคุณค่าไปแกนแกนกุศลพร่อง
เมื่อได้เกิดกายมาเป็นคนแล้ว ขอคล่องแคล่วไม่ชักช้าสติใกล้
ปัญญาเรืองดวงอาทิตย์อันแสนไกล กลับส่องให้ทุกชีวิตอบอุ่นทั่ว
เมื่อทุ่มเทใจบำเพ็ญพี่อยากเตือน อย่าเลอะเลือนไม่เอาจริงใจตนนั่น
วัตถุภายนอกสิ่งใดหรือสำคัญ ปัญหาสารพันไร้ทางออกเพราะตนเอง
ย้อนมองตนเห็นค่าแห่งใจกว้าง ทุกแนวทางเป็นเพียงแนวอย่ายึดมั่น
การบำเพ็ญตรงจากใจใสจากญาณ รูปถ่ายผ่านกุศลพูนเพราะลงแรง
ทุกคนต่างมีส่วนในงานธรรมฟ้า อย่าอ่อนล้าจนกว่าถึงจุดหมาย
ร่วมปกป้องงานธรรมยามอันตราย ตนทั้งหลายคือตัวแทนแห่งธรรมา
จงช่วยคนช่วยโลกดั่งพุทธะ คนมานะช่วยคนก็คือพุทธะ
ถึงคราวที่ต้องสละให้สละ การชนะตนเองดีคนเหนือคน
รู้แยกแยะผิดถูกให้ดีเลิศ ธรรมประเสริฐเฝ้าห่างไกลใจจะเปลี่ยน
นำความผิดต่างต่างมาเป็นบทเรียน อย่าว่ายเวียนโลกีย์นี้อย่างเต็มใจ
กระตือรือร้นศึกษาให้แจ้งจิต อันความคิดชั่ววูบที่ยังกังขา
ขอขจัดให้หมดด้วยตนเองนา ใช้ความกล้าควบคุมตัดสิ้นไป
ขจัดใจฟุ้งซ่านให้บริสุทธิ์ ในที่สุดเดินธรรมอย่างสง่าผ่าเผย
อย่าปลูกนิสัยให้กลายเป็นความชินเคย อย่าเปรียบเปรยซึ่งกันให้ช้ำใจ
อันว่าผู้ปฏิบัติงานธรรมสำคัญยิ่ง ขอพึ่งพิงซึ่งกันด้วยเข้าใจ
คนมีทรัพย์ท่านคือทรัพย์ของธรรมใหญ่ รู้จักใช้ทรัพยากรตนเถิดผู้นำ
พุทธระเบียบฝึกฝนให้จงหนัก อย่าได้ผลักภาระให้คนอื่น
ต้องไปลามาไหว้จิตจึงตื่น บางครั้งฝืนเรื่องโลกีย์ก็ควรทำ
จิตพุทธะและจิตมารเฝ้าต่อสู้ ใจตื่นรู้ไม่ว่ายามหลับตื่น
มีความทุกข์ความลำบากทนกล้ำกลืน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใจชื้นเห็นเด็ดเดี่ยวพอ
ในวันนี้น้องชายหญิงมาฟังธรรม เก็บเกี่ยวจำสิ่งดีไปปฏิบัติ
ต่อตนเองจะต้องรู้เคร่งครัด เดินทางลัดอาจไม่ง่ายขออดทน
ไม่ว่าอยู่นอกหรือในสถานธรรม จะต้องทำแต่ความดีทุกแห่งหน
ตะแกรงฟ้าละเอียดถี่กลั่นกรองคน แม้อับจนอย่าเผลอทำความผิดเลย
หากยังมีสิ่งไม่เข้าใจเร่งศึกษา ไต่ถามอาวุโสเบื้องหน้าย่อมรู้ได้
อมพะนำจำต้องหนักจนวันตาย สิ่งนั้นกลายเป็นอุปสรรคเราสร้างเอง
บำเพ็ญธรรมอย่ากลัวการทดสอบ อยู่ในกรอบจริยธรรมใจมีศีล
ต้องก้มลงบรรพตเมื่อป่ายปีน อุปสรรคหินใจคือน้ำเซาะลงเทอญ
ขอให้มีใจเสมอซึ่งต้นปลาย หากต้นร้ายปลายดีฟ้าสรรเสริญ
หากต้นดีปลายร้ายใจมัวเพลิน จักต้องเดินสู่แดนที่น่ากลัว
บำเพ็ญธรรมต้องฝึกฝนไม่กลัวโดนว่า คำครหาหากไม่จริงก็สิ้นเอง
ขอให้รู้สามควรต้องยำเกรง เป็นคนเก่งไม่กลัวใครว่าเราโง่  จริงไหม
ในวันนี้โอกาสดีมาพบน้อง ขอปรองดองน้องพี่สมัครสมาน
ทำสิ่งใดขอให้วางแผนงาน แต่อย่าให้งานมาวางแผนเรา
รายละเอียดอีกเล็กน้อยนั้นก็คือ สำรวมตนใบหน้าอีกน้ำเสียง
กิริยามารยาทให้พร้อมเพรียง อย่าหลีกเลี่ยงทำแต่ง่ายยากไม่ทำ
อย่าเลือกมาช่วยงานเฉพาะงานใหญ่ใหญ่ สิ่งใดใดเริ่มจากน้อยไปหามาก
จะรับงานภาระที่เบื้องบนฝาก ต้องฝึกหนักเริ่มจากเล็กไปหาใหญ่
ดูแลใจตนเองให้งามดี อันศักดิ์ศรีเป็นสิ่งกินไม่ได้
ใช้เมตตายืนหยัดตลอดไป ใช้ปัญญากว้างไกลในที่แคบ
ขอให้คิดแต่สิ่งดีอย่ามองคนอื่นผิด หากยังติดทรัพย์ยศถาให้ขจัด
ทำงานธรรมอย่าเลือกแต่ถนัด หมุนเวียนผลัดให้ชำนาญทุกสิ่งไป
หากยังไม่ได้กินเจต้องรีบเร่ง น่ากลัวเกรงคือใจตนไม่ยอมเริ่ม
นับนาทีนับวันกรรมคอยเพิ่ม น้องจะเติมเชื้อไฟไว้เผาตนฤๅ
ในวันนี้พี่ขอกล่าวเพียงเท่านี้ เพราะน้องมีสุขภาพรับไม่ไหว
การบำเพ็ญหนทางอีกยาวไกล แยกแยะเป็นไม่งมงายก็พอถึงฝั่ง
กราบลา องค์มารดาผู้เมตตา ขอน้องทุกคนตั้งใจจริง
ฮวา   ฮวา  หยุด

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-02 สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


PDF 2543-12-02-ฉงเต๋อ #22.pdf

#ไตรรัตน์


วันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

น้ำตาคงรินไหลไปไม่เคยสิ้น หนึ่งชีวินมีปัญหาอยู่มากมาย
อยู่ที่ใครจะรู้ตื่นก่อนจะสาย จิตวุ่นวายพอสงบพบนิพพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฉงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟังคำ     ฮวา  ฮวา
ในวันนี้พบหน้ากันใช่บังเอิญ พุทธะเชิญจิตศรัทธาให้ปรากฏ
อันใดฟังพยายามเข้าใจหมด ขอให้ลดทิฐิลงบำเพ็ญธรรม
แต่กาลก่อนรองเท้าเหล็กสึกยากพบได้ วิสุทธิอาจารย์บัดนี้ไขประตูแท้
เกณฑ์ยุคสามธรรมะลงโปรดแผ่ สู่ปุถุชนคนแท้ด้วยความดี
ประชุมธรรมอบรมจิตขัดเกลาใจ ฟื้นฟูให้คืนใสดุจทารกน้อย
ทุกวันนี้โลกเสื่อมลงคนรอคอย ให้คนอื่นทำดีก่อนค่อยตาเราทำตาม
ขอให้ช่วยคนละไม้คนละมือ อย่ายึดถือความคิดตนเป็นหลักใหญ่
ทุกคนต่างอาจทำผิดอย่ามั่นใจ มากเกินไปใช้สติลดให้พอดี
ในใจน้องอย่าเคลือบแคลงสงสัยมาก อาจกลายเป็นอุปสรรคที่ยากฝ่า
อันโลกนี้ก็คือภาพมายา แสวงหาเมื่อไหร่จึงครบถ้วนนา 
พิจารณาด้วยปัญญามีเหตุผล เกิดเป็นคนเพื่ออะไรน้องทั้งหลาย
หากเกิดมาไร้คุณค่าจนสิ้นกาย น่าเสียดายเวลาแห่งตนเอง
สองวันนี้ตั้งใจฟังให้ถ่องแท้ ผิดต้องแก้แปรตนนั้นเป็นคนใหม่
อย่าได้มีชีวิตอยู่อย่างได้ใจ คนทุกคนแพ้ได้ในสักวัน
ขอให้ใช้เมตตาความอดทน การช่วยคนอย่ากลัวเรื่องเปลี่ยนแปลง
อมฤตธรรมชำระฝุ่นธุลีแดง คนเสแสร้งย่อมไม่อาจแสร้งยืนนาน
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนหวังว่าน้องตั้งใจยิ่ง
รักษาซึ่งพุทธะระเบียบอันแท้จริง ซึ่งแท้จริงระเบียบมีมาจากใจ
ด้วยเวลาชีพมนุษย์มีจำกัด เดินทางลัดต้องมั่นคงปัญญาใหญ่
ยังไม่เคยสุขุมเร่งสุขุมไว รับก่อนบำเพ็ญหลังให้รู้จริงจัง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจจิตกุศลมองคิดเดิน
แดนโลกีย์มากสีสันอย่าเพลิดเพลิน เร่งเจริญรอยอริยาอย่าคลาดกัน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านเหอเซียนกู

ทิวาสาดทอแสงทั่วปฐพี มวลมาลีเบ่งบานขับขานโลกสดใส
ผลิแล้วร่วงร้อนแล้วหนาวย้ำเตือนใจ โอ้ชีวิตมนุษย์ใยมิตื่นจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกู รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
สละความสุขของตนเองไม่กังวล มีเมตตาเป็นเบื้องต้นคอยประสาน
ฝึกโพธิสัตว์บำเพ็ญช่วยเวไนยนั่น พลีออกหมั่นเมตตาไม่จำกัดใจ
เพลิงมอดแม้เหมือนม้วยไม่อำลา อวิชชาลมมาช่วยสุขคลายไหว
จิตกล้าแข็งปณิธานดั่งทะเลใหญ่ แม้ตกต่ำไม่ทิ้งบันไดทอง
อภัยกันแม้ใครผิดเป็นมั่นคง ตัณหาวายดำรงด้วยความดีผอง
พูนปัญญากิริยางามยิ่งชวนมอง เพราะสอดคล้องด้วยสำนึกเป็นกุญแจ
บำเพ็ญธรรมกลับฟ้าไม่ขาดทบทวน จงมีใคร่ครวญโดยผ่านสติแท้
ดั่งออกจากบ้านไม่ลืมกุญแจ จงดูแลก้าวสู่มรรคโดยสมบูรณ์
หนึ่งประตูก้าวเดินเข้าออกกรัชกาย แสวงหมายจุดหนึ่งคืนกลับสูญ
ทรงคุณธรรมไม่ใช่แต่เทิดทูน กุศลคูณด้วยทั้งหลายรู้อดทน
อันชีวิตสังขารระวังคือความหลง ฝ่ายึดติดการปลงอย่างถนน
วิวัฒนาการมานำคนให้อับจน เจตนากระทำการจะพ้นกรรมลำเค็ญ
โลกสันติต้องตนก่อนเป็นประเดิม ใครอื่นเริ่มผู้กลัวจากอุปสรรค
ผิดจากตนเองให้ใครตระหนัก การประจักษ์ทั้งนั้นต้องประจักษ์เอง
ฮา  ฮา  หยุด

 กรัชกาย ร่างกาย

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านเหอเซียนกู

ชีวิตนี้มีแต่ความไม่แน่นอน แต่ความไม่แน่นอนก็แฝงความเที่ยงแท้แน่นอนอยู่ นั่นก็คือ ทุกชีวิตต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ในการเกิด แก่ เจ็บ ตายเรียกว่า ไม่แน่นอน  แต่ทุกชีวิตต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเรียกว่าแน่นอน  จึงกล่าวเป็นสัจธรรมว่า ในความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากจะเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  แต่เราก็เดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์เป็นแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรียกความสุขให้กับชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องยาก เรียกความทุกข์ให้กับชีวิตเป็นเรื่องยากกว่า จริงหรือไม่ (จริง)  เรียกความสุขให้กับชีวิตเป็นเรื่องง่ายกว่าเรียกความทุกข์ให้กับชีวิต  อะไรเรียกง่ายกว่ากัน (ความสุข)  จริงๆ แล้วชีวิตนั้นจะทุกข์หรือจะสุข  จะนิ่งเฉยหรือสงบเงียบ จะวุ่นวายหรือสงบนิ่งไม่มีใครกำหนดหรือยัดเยียดให้ท่านได้  มีแต่ตัวท่านเองกำหนดตัวท่านเอง แม้สภาวะแวดล้อมจะย่ำแย่เพียงใด  แต่ถ้าจิตใจเรามีความสุข  อาบอิ่มในความสุขอย่างไม่รู้หาย  ใครก็ทำให้ท่านทุกข์ไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าในใจท่านกลัดกลุ้มวุ่นวายยากวางใจหรือเชื่อใจใครได้ มีแต่ความระแวงสงสัย  แม้ในใจจะบอกว่าไม่อยากทุกข์ แต่ความทุกข์ต้องมาสู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันหรืออยู่ตัวคนเดียว จะสุขจะทุกข์ไม่ใช่ใครเป็นผู้สร้าง  แต่ตัวตนเองเป็นผู้กำหนด เป็นผู้สร้างให้ตัวตนว่าทุกข์หรือสุข คิดให้ดีๆ วันนี้นั่งอยู่ตรงนี้  อุตส่าห์มาได้นั่งฟังแล้ว หาความสุขให้กับตนเอง ฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ยินดีรับฟัง ใช้ปัญญาขบคิด  ท่านอาจจะได้พบความสุขในการขบคิด อาจจะได้พบความสุขในการนั่งฟังอยู่ตรงนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้านั่งอยู่ตรงนี้แล้วทำอย่างไรก็ไม่สุข มีแต่ความกลุ้มกังวล ระแวง สงสัย  คนที่กลุ้มก่อนใครคือคนที่กังวล สงสัย นั่นเอง มนุษย์เราหลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ หลับแล้วต้องตื่นขึ้น แต่ตื่นแล้วจะไม่หลับอีกต่อไป  หลับกับตื่นต่างกันเช่นใด หลับกับตื่นก็คือ การรู้ว่าชีวิตนี้คือความฝัน ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแท้แน่นอน  แต่ในความไม่เที่ยง ท่านต้องหาแก่นสารที่แท้จริงให้พบ หาคุณค่าชีวิตที่แท้จริงให้ปรากฏ แล้วยึดคุณค่านั้นมุ่งสู่หนทางสว่างไสวมุ่งสู่บ้านเดิม กายมนุษย์นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องทิ้งไป เหลือแต่
จิตญาณ จะขุ่นหรือจะใส จะหนักหรือจะเบาขึ้นอยู่กับการกระทำบนโลกนี้ ทำเช่นใดย่อมได้เช่นนั้น สร้างแต่สิ่งที่ดีคุณความดีย่อมปรากฏ ใจย่อมโปร่งเบาแจ่มใส สร้างความชั่วร้ายจิตใจย่อมขุ่นมัว นำมาซึ่งความหม่นหมองหดหู่ จิตใจย่อมลงสู่เบื้องต่ำ นี่คือความเป็นจริงที่ทุกๆ ท่านในที่นี้รู้อยู่แก่ใจ  สำนึกมีไหม ล้วนต่างมี คุณธรรมเหือดหายไปหรือเปล่า ไม่เคยได้เหือดหาย แต่เพราะอะไรไม่สามารถทำดีให้ถึงซึ่งความดีอันแท้จริง ทำดีแล้วสามารถหลุดพ้นโลกมายาใบนี้ กลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ  นี่คือปัญหาที่มนุษย์ไม่เคยที่จะคิดถึง คิดแต่ว่าวันนี้ต้องได้อะไร วันนี้ต้องมีอะไรเลี้ยงชีพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดแบบนี้ย่อมได้แบบนี้ แสวงหาแบบไหนย่อมได้แบบนั้น สิ่งที่แสวงหาล้วนบำรุงเลี้ยงชีวิตอย่างเดียว หาได้บำรุงเลี้ยงจิตญาณให้กลับคืนความใสไม่
ปัจจุบันจะหาใครสละซึ่งความสุขของตัวเองแล้วมาสร้างความเมตตา เผื่อแผ่อุทิศช่วยเหลือเวไนยเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ทุกคนต่างมุ่งแสวงหาเพื่อช่วยเหลือตนเอง ชีวิตนี้มีแค่ตนเองและมากสุดก็คือครอบครัวเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะคิดเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น  ก็ต้องรอให้เขาเดือดร้อน แล้วเราถึงจะไปช่วยใช่หรือไม่(ใช่)  แต่ทุกๆ คนหรือในใจของท่านที่นั่งที่นี้ต้องทราบอยู่อย่างหนึ่งว่า  ผู้อื่นไม่สามารถช่วยเราได้อย่างแท้จริง มีแต่ตัวตนเองเท่านั้นที่ช่วยตนเองได้ ดังสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “อย่าได้ยืมจมูกคนอื่นหายใจ”  อย่าได้รอให้คนอื่นมาช่วยอยู่เสมอ  ไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ตลอดเวลา มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตแห่งโพธิสัตว์หรือจิตแห่งพุทธะ จะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นรู้จักสร้างความเมตตา เห็นความทุกข์ของผู้อื่นมากกว่าความทุกข์ของตนเอง เป็นห่วงเป็นใยสนใจว่าผู้อื่นจะมีความสุขมากน้อยเพียงใด มากกว่าที่จะเป็นห่วงเป็นใยสนใจความสุขของตนเอง นี่แหละจึงเป็นจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งโพธิสัตว์  ถามว่าให้ขณะนี้เดินออกมาแล้ววางความสุขของตนเองลง รีบไปช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขก็คงหาได้น้อยยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าถามว่าทำอย่างไรให้ตัวเองสุขได้มากที่สุด ทุกคนคงรู้วิถีทางมากกว่าที่จะถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ผู้อื่นเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  ก็เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาจนมีชีวิตถึงปัจจุบัน เรารู้แต่ว่าทำอย่างไรให้ตนเองสุข แต่เราไม่เคยคิดดูว่าทำอย่างไร  จะให้ผู้อื่นเป็นสุข เมื่ออยู่ร่วมกับเราใช่ไหม (ใช่)  และเราจะทำอย่างไรให้เราเป็นสุขเมื่อเราต้องไปอยู่กับคนอื่น คำพูดที่เอื้อนเอ่ยความคิดที่ผุดออกมาจากใจล้วนคิดถึงแต่ตนเอง เมื่อทุกขณะคิดถึงแต่ตนเอง ใจเรานั้นก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะจิตใจใครได้ แม้จะใช้พละกำลังรุนแรงมากแค่ไหน ชนะใจผู้อื่นได้แต่ไม่อาจชนะใจเขาได้ ด้วยความรู้จักละซึ่งความเห็นแก่ตัว  เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ในโลกแล้วสามารถลดความเห็นแก่ตัวของตัวเองให้เหลือน้อยที่สุดหรือแทบไม่มี เมื่อนั้นท่านจะสามารถชนะใจคนทั้งโลกได้โดยไม่ต้องใช้กำลังใช้อาวุธ หรือใช้เงินทองซื้อแต่อย่างใด นี่คือคุณธรรมข้อแรก หากมนุษย์รู้จักดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันมีความเห็นแก่ตัวน้อย ทุกขณะจะทำสิ่งใดต้องย้ำเตือนถามตัวเองอยู่เสมอว่าเห็นแก่ตัวหรือเปล่า นึกถึงแต่ตนเองหรือไม่  หากทุกขณะทำได้เช่นนี้ท่านจะสามารถผูกใจประชาได้ และน้อมนำจิตใจของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้เงินทอง ใช้อำนาจ และไม่ต้องใช้กำลังวังชาใดๆ ความสุขในการอยู่ร่วมกัน เขารักเรา  เรารักเขา เขาเชื่อใจเรา เราเชื่อใจเขา นั่นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะเชื่อใจได้อย่างไรล่ะ ถ้าละความเห็นแก่ตนแล้วยังไม่มีความจริงใจ แสดงออกบางครั้งก็เปิดเผย บางครั้งก็ซ่อนเร้น ความเชื่อถือย่อมยากจะบังเกิดได้ ถ้าคนเช่นนี้ยังหลบๆ ซ่อนๆ ในการกระทำอยู่ การกระทำยังแอบแฝงไม่จริงใจ ก็ยากที่จะให้ใครเชื่อถือใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาเราหวังเพียงเพื่อให้ท่านรู้ตื่นจากชีวิต โดยใช้คุณธรรมเป็นกุญแจไข ไขให้ชีวิตนั้นรู้ตื่น โดยการใช้คุณธรรมที่อยู่ในจิตใจ มากำราบความชั่วร้ายในตัวตน  อยากชนะใจใครก็ต้องละความเห็นแก่ตน อยากเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อถือ มีคนไว้วางใจต้องมีความจริงใจ อยากทำอะไรสำเร็จสมปรารถนาดังที่มุ่งหวัง ต้องมีสิ่งใด  ชีวิตนี้มีใครเคยประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง เรียนหนังสือจนจบเคยไหม (เคย)  ทำงานจนได้ตำแหน่งมีขั้นเคยไหม( เคย)  สามารถตั้งตัวยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้เคยหรือเปล่า (เคย)  แล้วสำเร็จได้ด้วยอะไร(ความพยายาม)  ความพยายามอย่างเดียวสำเร็จไหม (ความมุมานะ)  ทุกคนมีความพยายาม มีความขยัน มีความมุมานะ แต่ถ้าขาดซึ่งความอดทนก็ไปไม่ถึงซึ่งความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในความพยายามนั้นย่อมมีความลำบาก หากมีความลำบากนั้น  แต่ไม่อดทน ไม่ขยัน ไม่มานะบากบั่น ท่านก็ยากที่จะพบความสำเร็จได้ และอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องสามารถชนะใจตัวเองได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขั้นตอนที่จะเดินไปถึงความสำเร็จ  หากเราไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ แม้จะขยันมากเท่าใดก็แพ้ใจตัวเอง เมื่อมีความเกียจคร้าน แม้จะอดทนเท่าใดก็แพ้ใจตัวเองได้ถ้ามีความท้อและเหนื่อยล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตใจทั้งหลายทั้งมวลนั้น จะไม่สามารถสู้ได้ถ้าไม่มีความมุมานะและใจชนะใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากเรารู้จักยึดกุมสิ่งนี้ไว้ ไม่ว่าทำสิ่งใดย่อมเป็นอันสำเร็จได้แน่นอน แต่หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แม้จะขยันแต่ชนะใจได้แค่ครั้งเดียวก็ไม่สามารถชนะได้ตลอดลอดฝั่ง  ย่อมพ่ายแพ้ และย่อมยากสำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความสงบนั้นก็มีความสุขหรือความมืดที่มีคุณค่าแฝงอยู่ อย่ามองความสงบเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย  หลายต่อหลายคนเห็นความสงบกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเกียจคร้าน ในความสงบนั้นก็ต้องค้นพบความว่างเปล่าและความสุขอันแท้จริงให้ได้  หลายต่อหลายคนมักพบความสุขในความวุ่นวาย ความสุขในการแสวงหา กับความสุขที่ท่านได้มาหาเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ ความสุขที่แท้จริงคือ ความสุขที่ไร้รูปไร้นามสงบว่าง จริงไหม (จริง)  ก่อนที่จะฝึกฝนการเป็นพุทธะ ต้องรู้จักฝึกฝนการเป็นคนให้ประเสริฐก่อน อย่างแรกสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ สามารถเอาชนะจิตใจทุกผู้ทุกคนได้ แต่หากว่า มีความเย่อหยิ่งจองหอง อวดในความรู้ อวดในความสามารถ แม้จะชนะใจหรือสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ ก็ไม่อาจยั่งยืนนาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรในการอยู่ร่วมกันให้ชนะใจได้ สร้างความเชื่อใจได้ต้องใช้ท่าทีที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้องในการที่จะสามารถอยู่กับเขาได้ นั่นคือต้องมีความสุภาพอ่อนโยน อย่าแข็งกร้าว อย่าเห็นว่าตนเองสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีความสำคัญใดๆ ให้คนอื่นเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเห็นว่าตนเองยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นแล้วในความยิ่งใหญ่จะไม่มีเลย จะกลายเป็นผู้ที่เล็กกะจ่อยร่อย ถ้าไม่อยากตกต่ำ ต้องวางตนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะไม่มีใครดูถูก ไม่มีใครเหยียดหยาม  แต่ถ้าวางตัวเองเหนือผู้อื่น อวดผวา ย่อมมีแต่คนอยากเหยียบย่ำให้ตกต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความดีนั้น บางครั้งเมื่อทำไปก็มีตกทุกข์ได้ยากเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรามีความจริงใจ ไม่เห็นแก่ตน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เมื่อทำไปแล้วทำไมจึงตกต่ำ เมื่อทำดีแล้วทำไมจึงต้องยากจนข้นแค้น ทำไมไม่ร่ำรวย ทำไมไม่มีอำนาจ  ทำดีนั้นหากสร้างความดี ไม่ยอมมั่งมี รู้จักแบ่งปันความดี รู้จักแบ่งปันสิ่งที่มีให้คนอื่น ไม่ยอมตกต่ำ จะไม่รู้สึกว่าตนเองลำบากยากจน  แต่หากว่าในยามที่ตนเองมีทั้งความดี ไม่เห็นแก่ตน มีความจริงใจ มีความอ่อนน้อม แต่ไม่เคยส่งมอบให้กับผู้อื่น และไม่เคยยื่นไปช่วยเหลือใคร บางครั้งเราก็ยากลำบากได้ แล้วพอยากลำบากเราก็รู้สึกท้อแท้ในการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ภักดีนั้นไม่ใช่ดีอย่างเดียว แต่ดีแค่ตัวเองรอด ไม่สามารถช่วยใครได้ การจะดีที่แท้จริงได้นั้น ความซื่อสัตย์ จริงใจ อ่อนน้อม ต้องสามารถส่งมอบและเผื่อแผ่ช่วยเหลือคนได้ สามารถนำไปใช้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วจะพบว่าท่านไม่ได้สุขในความทุกข์ นั่นคือความดีที่สามารถนำพาจิตใจคนได้ นำพาจิตใจตนเองได้ ไม่ต้องกลัวลำบาก แม้ตอนลำบากก็ไม่รู้สึกลำบากอะไร กลับมีความสุขในยามลำบาก มีความอิ่มเอมเมื่อตัวเองมีความสุข แต่ไม่ได้แบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น นี่แหละเรียกว่า มีแล้วรู้จักให้ ยามไร้จึงมั่งมี เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ธรรมะเปรียบเหมือนกุญแจไขสู่ประตูของพุทธะ เมื่อไม่สามารถค้นพบการเป็นพุทธะในตัวตนได้ เพราะว่าอะไร ๑.ตัวเองไม่ดีพอ  ๒.สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้ตนเองทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าตนเองดีพอจะฝึกฝนพุทธะกันไหม (คิด)  เมื่อเราสามารถเห็นคุณค่าสิ่งที่ใกล้ตัว ก็สามารถจะฝึกฝนความเป็นพุทธะได้ คุณค่าที่ใกล้ตัวก็คือตัวตนเอง จิตญาณอันเดิมแท้ มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ว่า "พุทธะสำเร็จได้ในกายคน"  ทุกคนมีร่างกายไหม (มี)  สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ได้)  คนไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไรก็คือ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วขึ้นชื่อว่าเป็นคน คนนั้นมีกายหรือเปล่า (มี)  มีจิตญาณหรือไม่ (มี)  เมื่อมีกายมีจิตญาณ ย่อมมีความเป็นพุทธะได้เหมือนกัน ความดีความชั่วหาได้แตกต่างกันไม่ จะแตกต่างก็ตรงที่ว่า คนดีรู้จักละแล้วซึ่งความผิดบาปทั้งมวล ละแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัวเบียดเบียนผู้อื่น ท่านทำได้ไหม ลดละกันได้หรือเปล่า (ได้)  ท่านสามารถลดละได้ นั่นคือก้าวแรกของการเป็นฝึกฝนตนเองเป็นพุทธะ ใจท่านยังมีมโนธรรมสำนึก ละอายเกรงกลัวต่อบาป มีไหม (มี)  ทำชั่วร้ายกลัวไหม (กลัว)  กังวลหรือเปล่า (กังวล)  ว่าคน นินทาคนแล้วรู้สึกผิดบ้างไหม (รู้สึก)  ขโมย ฉ้อฉล เจ้าเล่ห์เพทุบาย รู้สึกละอายบ้างหรือเปล่า (ละอาย)  หากผู้ใดทำผิดก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายเบื้องฟ้า นี่แหละคือจุดของการเป็นพุทธะยังมีอยู่  แต่หากทำผิดก้มหน้าไม่กลัว เงยหน้าก็ไม่กลัว ก็หาใช่จะไม่มีความเป็นพุทธะไม่ ก็ยังมีอยู่ แต่มีแล้วจะลดไหม จะละไหม หากมีแล้วไม่ลดไม่ละก็ยังเป็นมนุษย์  แต่หากมีแล้วรู้จักลดละแก้ไข นี่แหละคือการก้าวที่ฝึกฝนเป็นพุทธะ เริ่มต้นง่ายๆ คือรู้จักขัดเกลาตนเอง อะไรดีอะไรชั่ว แยกแยะให้ออก เมื่อแยกแยะออกแล้วจงรักษาสิ่งที่ดี จงเอาชนะความชั่วร้ายในตัวตนให้หมดสิ้น เมื่อทำได้คือการก้าวสู่การเป็นพุทธะ แต่จะไขประตูเปิดแล้วก้าวเดินไปอย่างมั่นคงได้  ต้องรู้จักใช้ดวงปัญญาและความสว่างไสวแห่งคุณธรรมในจิตใจอันมั่นคง  หลายต่อหลายคนที่ในจิตใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความเคืองแค้น ไม่พอใจ รัก ชอบ โลภ หลง สุมไว้ในใจจนเต็มอก ทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่า ตัวเรานั้นมีความทุกข์ที่ยังแก้ไม่ได้ เราจะต้องสุมทุกข์ให้เต็มอกเต็มใจ  ใช้สิ่งใดที่เราเจอความกลัดกลุ้ม จงใช้ปัญญาเป็นกุญแจไขให้ค้นพบทางออก เมื่อไรที่เราเจอปัญหามืดแปดด้าน จงใช้ปัญญานี้ใคร่ครวญพินิจพิจารณาหาทางออก ในมืดแปดด้านนั้นแหละจะมีอีกด้านหนึ่งที่มืดอย่างไรก็กลายเป็นความสว่างได้ เมื่อไรที่เราสับสน ยากค้นพบความสงบ ความสุข เราใช้คำว่า "รู้พอ สมถะ"  ไขให้ค้นพบ แล้วเราก็จะสงบรู้พอได้ ในความเคืองแค้น อิจฉา ริษยา ไม่เข้าใจทะเลาะเบาะแว้งกัน จะใช้อะไรที่ช่วยไขประตูแห่งใจนี้ ให้ค้นพบความสว่างแห่งแท้จริง ก็ใช้จิตใจที่ให้อภัย เมตตา เอาความเป็นตัวเขาตัวเราวางทิ้ง ก็จะพบปัญหาที่ทำให้เราทะเลาะเบาะแว้ง  เคืองแค้นและชิงชัง ปล่อยลงได้และระงับลงด้วยความเมตตา ในความรัก หลง โลภ และอารมณ์นานาที่พันผูกใจ ไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้ จะใช้ความรู้แจ้งแห่งชีวิต ความรู้แจ้งแห่งสัจธรรมและรู้อย่างปลงตกเท่านี้เอง ชีวิตก็จะก้าวพ้นความทุกข์ยาก เดินเข้าไปสู่ประตูแห่งพุทธะ โดยตัวท่านนั้นมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มทางใจ มีธรรมเป็นอาวุธป้องกันความผิดร้ายที่จะเกิดขึ้น ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากจะพูดอะไรก็ได้ ที่ทำให้ท่านเข้าใจชีวิตและรู้ว่าในชีวิตที่มีทุกข์สุขมากมายนี้ ยังมีความจริงแท้ที่สว่างไสวที่รอท่านไปค้นพบอยู่ แต่หลายต่อหลายคนยังอดติดและวางในโลกนี้ไม่ได้ ยังเห็นโลกเหมือนบุปผางาม ที่ไม่มีวันจะร่วงหล่น แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์เรายึดติด ยึดมั่น อารมณ์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้อยู่กับตนอย่างไม่ปล่อยวางแล้วไม่ยึดติดสิ่งใด ไม่ยึดติดว่าตัวตนนี้จะมีสิ่งใด เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องได้อย่างนี้ หากทำได้เช่นนี้ไม่ยึดติด มองเห็นสรรพชีวิตอย่างเข้าใจถ่องแท้ นั่นแหละคือการดำเนินชีวิตอย่างถูกทาง  ความสว่างจะบังเกิดในใจตน ทำได้ไหม (ทำได้)
ในคัมภีร์ที่ปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์นี้ มีคำกล่าวไว้ว่า "เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม และก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งมวลกลับคืนไปสู่ความเป็นหนึ่ง"  หากวันนี้เราเอาบทนี้มาพูด เต๋าที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คือจิตญาณของตัวเรานั่นเอง เมื่อเรามีตัวตนอยู่หนึ่งก็เริ่มแสวงหาสอง ในคำว่าสองนั้นเคยรู้พอไหม (ไม่)  เมื่อเรามีตัวตนเราก็มีของของตน เมื่อมีของของตน ในของของตนนั้นก็มีของของเขา และของของเรา ของของญาติเขาและของของญาติเรา และของญาติคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตัวเรานี้เองก็สามารถก่อเกิดสองสามและนานาสรรพสิ่งได้อย่างไม่รู้จบ และเราจะหยุดนานาสรรพสิ่งได้ด้วยการทำสิ่งใด ก็แค่กลับคืนมาสู่ที่หนึ่งเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราเกิด หนึ่งตัวเรา สองตัวเราที่โกรธ ชอบ เกลียด ชัง โลภและหลง แต่ในเกลียด ชัง รัก โลภ โกรธ หลง ก็มาจากหนึ่งคือตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  จะกลับบ้านได้ไม่ใช่แบกสรรพสิ่งมาที่ตัวเองแสวงหา แต่จะกลับบ้านได้ จะกลับคืนสู่ความเป็นตัวตนที่เริ่มต้นมา แล้วเริ่มต้นจะกลับได้ก็คือ ต้องกลับจากหมื่นมาสู่หนึ่ง แต่จากหมื่นมาสู่หนึ่งยากไหม (ยาก) แต่จากแสนเหลือเป็นหมื่น จากหมื่นเหลือเป็นพัน จากพันเหลือเป็นร้อย จากร้อยเหลือเป็นสิบ จากสิบเหลือเป็นหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำได้ไหม ถ้าท่านไม่ทิ้งวันนี้ สักวันหนึ่งท่านก็ต้องทิ้งจริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้เรามาเพียงตัวคนเดียว กลับไปตัวคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่ามกลางตัวคนเดียวที่ท่านมา ท่านแสวงหาจนเป็นหมื่นแสน อยู่ๆ จะให้ทิ้งในวันเดียว ท่านบอกเราว่าไม่ได้ ต้องจากแสนเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นพัน จากพันเป็นร้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องอาศัยเวลาทีละขั้นทีละตอน แต่หากว่าวันหนึ่งชีวิตท่านต้องดับสิ้นไป ท่านจะทำใจทันหรือ จากหมื่นให้เหลือหนึ่งทำใจได้ไหม แล้วไปด้วยความเป็นห่วง ไปด้วยความวิตกกังวล จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ก็ต้องลงนรกด้วยความห่วง ด้วยความกลุ้มกังวลใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากเบาใสได้
วันนี้การบำเพ็ญธรรมก็คือ การรู้จักทุกขณะจิตทุกวัน แม้จะเคยมีหมื่นแสน ในวันนี้ต้องดับให้เหลือหนึ่งได้ พรุ่งนี้จะเป็นหมื่นแสนต่อไปได้แต่ก็ต้องคิดว่าสักวันหนึ่งต้องเหลือหนึ่งได้ ท่ามกลางที่มีหนึ่งอยู่นั้น ต้องคิดว่าไม่มีได้ นี่คือมีชีวิตอยู่ทุกขณะและเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะจิต หากเดินออกไปฝนตกลำบากไหม (ลำบาก)  แต่ถ้าหากเดินออกไปถือร่มตลอดเวลาจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน หากทุกขณะจิตมีชีวิตคิดถึงความดับ จะกลัวอะไรกับการสิ้นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทุกชีวิตกระทำแต่สิ่งที่ดีจะกลัวอะไรกับบทลงโทษ เพราะได้ทำดีมาแต่เนิ่นๆ แล้ว ทำดีมาก่อนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราจึงกลัวบทลงโทษ เพราะอะไรเราจึงกลัวตกนรก ก็เพราะว่าเราไม่เคยคิดที่จะทำดีกันอย่างจริงจังและมั่นคงใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการทำดีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ทำบุญทำทานเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมตตาจริงใจเป็นสิ่งที่ควรมี ไม่เห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ควรกระทำ คิดถึงผู้อื่นให้มากหน่อย แม้ชีวิตจบสิ้นไป เพลิงจะไหม้มอดแล้วก็ไม่เคยมอดไปจากใจของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ายังจุดไฟอันดีงามให้คงอยู่สะเทือนใจผู้อื่นเป็นนิจ นี่แหละชีวิตที่แม้ตายไปแล้วก็ไม่ตายอย่างแท้จริง ชื่อยังคงปรากฏก้องในใจผู้อื่นอยู่ร่ำไป
"ทรงคุณธรรมมิใช่แต่เทิดทูน"  เมื่อคิดจะมีคุณธรรมอย่าได้เอาแต่เทิดทูนและกราบไหว้ เมื่อคิดจะมีหลักธรรมหรือบำเพ็ญธรรมอย่าได้เอาแต่เคารพศรัทธา แต่ขาดซึ่งการปฏิบัติ เช่นนี้ก็เสียเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องลงมือลงแรงกระทำด้วย
"กุศลคูณด้วยทั้งหลายรู้อดทน"  จะทำสิ่งใดก็ตาม หนึ่งต้องมีความกล้า หากไม่กล้าไม่มั่นใจในตัวเองก็ยากจะมุ่งมั่นให้สำเร็จได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้เราบอกท่านว่า ตัวของมนุษย์ทุกคนนั้นมีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวตน ท่านกล้ายอมรับไหมว่าตัวท่านนั้นคือพุทธะ หากกล้ายอมรับ จงรักษาให้ดีแล้วดำเนินให้ถูกทาง ความเป็นพุทธะนั้นจะค่อยฉายปรากฏให้ท่านเห็น แต่หากท่านไม่เชื่อ ไม่มั่นใจว่าตัวเองคือพุทธะ อย่างน้อยให้เชื่อ ให้มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดีได้ ตัวเองสามารถเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐได้ ด้วยการปฏิบัติลงมือกระทำอย่างจริงจัง เชื่อมั่นในตัวเองดังที่พุทธองค์กล่าวไว้ว่า "วางดาบเพชรฆาตลงเมื่อใด ก็สามารถสำเร็จอรหันต์ได้ทันที"  เมื่อใดที่มนุษย์เราลด ละ เลิกความผิดบาปทั้งมวลได้ ความเป็นพุทธะก็จะปรากฏได้ในจิตใจตน  เมื่อใดที่เราไม่คิดเดินสู่ความมืดมนแห่งอวิชชาความลุ่มหลง กิเลสธุลีนานา ความสว่างย่อมฉายปรากฏได้ในใจตน แต่เมื่อคิดจะมีแล้ว จงมุ่งมั่นด้วยปณิธานอันกล้าแกร่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วมุ่งมั่นเดินไปให้ถึง
แต่ก่อนนั้นเราก็ไม่ต่างจากท่าน คือมนุษย์คนหนึ่งธรรมดาที่เดินดินอยู่ แต่เพราะอะไรเราถึงสามารถกลับสู่แดนนิพพาน กลับสู่อนุตตรภูมิได้อย่างเป็นสุข ก็เพราะว่าเราคิดว่าเกิดเป็นมนุษย์แท้ที่จริงแล้วมีทุกข์มากมาย การที่จะเอาชนะทุกข์ได้ แท้จริงแล้วก็คือ วางทุกข์ของตนเองแล้วรีบไปช่วยผู้อื่นที่ตกทุกข์ เอาชนะความชั่วร้ายในตัวตนเองก่อนที่จะไปว่าผู้อื่นชั่วร้าย  ชนะที่ใจตัวเองก่อนที่จะคิดไปชนะใคร เมื่อทุกครั้งเราจะทำสิ่งใด เราเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน เมื่อเราเริ่มต้นและช่วงขณะที่เรากำลังทำอยู่นั้น กลับมีผู้อื่นเห็นพ้องและดีงามอยากเดินตามด้วย ช่วงที่เราคิดจะช่วยเหลือผู้อื่น กลับเป็นช่วงที่เราไม่ต้องมีทุกข์ แต่เป็นสุขที่เป็นสุขเหนือคำบรรยายใดๆ เพราะได้ช่วยเขา เขายิ้มเหมือนกับรอยยิ้มนั้นได้มาฉายอยู่ในใจของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าสุขใดไม่เท่ากับทำให้ผู้อื่นสุข สุขที่ตัวเองคิดว่าสุขก็ไม่เท่ากับที่สร้างให้คนอื่นสุข ยิ้มและยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างกล้าแข็ง เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ เพียงเท่านี้เอง ด้วยจิตใจที่ไม่คิดหวังอะไร ทุกขณะที่ทำไปกลัวแต่เพียงว่าทำไปยังไม่เต็มที่ ทำไปยังไม่ลงแรงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เคยกลัวเลยว่าทำแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ กลัวแต่ว่าทำแล้วเขาจะรู้ไหม เขาจะหายจากความทุกข์หรือเปล่า  คิดอยู่เสมอว่าทุกขณะที่ทำเต็มที่แล้ว ดีที่สุด ไม่เคยคิดถึงตัวเอง เท่านี้ทุกท่านก็สามารถทำได้ บำเพ็ญได้ มิใช่เรื่องไกลเกินตัวเลย  จงเห็นค่าของจิตใจตนเอง อย่าเห็นค่าเงินทองเกียรติยศมากกว่าค่าในใจตน
"อันชีวิตสังขารระวังคือความหลง"  หากเราคิดว่าตัวเราดีพอแล้ว เมื่อมีคนว่า ในใจท่านนั้นรู้สึกยินดีปรีดาหรือว่ารู้สึกโกรธา (ยินดีที่เขาได้สั่งสอนเรา แต่ก็โกรธาเพราะขัดต่อใจเรา)  แปลว่าในใจของท่านนั้นยังมีดีบ้างและไม่ดีบ้างหรือยังมีคุณธรรมไม่ค่อยมากพอ ต้องไปสร้างเสริมเพิ่มอีก ผู้ที่มีคุณธรรม แม้จะถูกคนตำหนิต่อว่า เขาจะไม่มีความเคืองแค้นโกรธในใจ กลับยิ่งรู้สึกพึงพอใจ เพราะทำให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริง ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องหมดไหม หากมีคนตำหนิต่อว่า แสดงว่าเขายังทำได้ไม่เต็มที่ ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าคนเราทำดีแล้วมีคนต่อว่าเรารู้สึกโมโหโกรธา นั่นไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริงได้ คนดีที่แท้จริงแม้โดนตำหนิต่อว่าร้ายแรงขนาดไหน ก็ยังรู้สึกขอบคุณเขาลึกๆ อยู่ในใจ แม้ใบหน้าจะยิ้มได้ไม่ออกก็ตาม  แต่อย่างนี้ก็เรียกได้ว่ามีคุณธรรม เป็นคนที่ดีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำดีแล้วใครว่าอย่างไรก็ไม่โกรธ พร้อมที่จะเอามาสำรวจตรวจตราตนเองว่าผิดจริงไหม นั่นแหละคือสามารถมีความดี และนำความดีนั้นมากล่อมเกลาน้อมนำจิตใจตนได้อย่างถูกทาง หลายต่อหลายคนนั้นมักจะพูดว่าตัวเองเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโดนคนว่าก็อดโกรธเคืองเขาไม่ได้ อดโต้แย้งเขาไม่ได้ แต่คนดีที่แท้จริงย่อมไม่โต้แย้งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนดีที่แท้จริงย่อมไม่โต้แย้งธรรมะ คนโต้แย้งไม่อาจเรียกว่าคนดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่คือความจริงต้องกล้าที่จะยอมรับ ซื่อสัตย์ตรวจสอบตนเอง เมื่อไรกล้ายอมรับ ซื่อสัตย์ต่อตนเองอย่างเที่ยงธรรม เราจะรู้ได้ว่าเราดีหรือไม่ดี เรามีธรรมหรือไร้คุณธรรม
ความเป็นปุถุชน สามัญชน กับความเป็นพุทธะ ท่านคิดว่าสิ่งใดใกล้กับตัวท่านมากที่สุด (ปุถุชน เพราะเราไม่สามารถรู้จิตโพธิสัตว์)  จริงๆ แล้วความเป็นโพธิสัตว์ก็มีอยู่ในตัวท่าน ความเป็นพุทธะหรืออรหันต์ก็มีอยู่ที่ตัวท่าน  แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นส่งผลอะไร  มนุษย์เราเมื่อเริ่มต้นกระทำกรรม กรรมดีก็ส่งผลนำมาซึ่งกุศลผลบุญ กรรมชั่วก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากโศกเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรารู้ไหมว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี (รู้)  สิ่งใดเป็นการกระทำและเรียกว่าดี (ทำแล้วทำให้เราสบายใจ ไม่เป็นทุกข์กับผู้อื่น)  การทำแล้วสบายใจบางครั้งต้องระวัง เพราะบางทีอาจจะเป็นทุกข์กับผู้อื่นก็เป็นได้ เพราะทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตอยู่ มีตัวเราที่สบายใจ  แต่อดได้ไหมที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็เผลอที่จะทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  คงยากที่จะทำสิ่งใดโดยที่ไม่นึกถึงตัวเองเลย  แต่เมื่อมีใจคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว สิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีและสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี หากเริ่มก้าวแรกแล้วแยกไม่ออก จะไปทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  แต่หากเมื่อเริ่มต้นจะก้าวยังคิดไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี จะไปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้เช่นกัน แม้จะรู้ว่าตนเองเป็นพุทธะ แต่ก็ยังย้ำว่าตัวเองเป็นปุถุชนอยู่แล้วเช่นนี้จึงมีคำว่า "พุทธะ"  ใช่หรือไม่ (ใช่)   มีคำว่า   "พุทธะ"  มีคำว่า "ผู้ประเสริฐ"  ก็เพราะว่ามีคนเคยปูทางให้ท่านเดินแล้ว มีแนวทางให้ท่านเจริญรอยตาม แต่อยู่ที่ท่านว่าจะก้าวเดินหรือไม่ ท่านจะไปหรือเปล่า ท่านจะลองหรือไม่ ชนะตัวเองไม่ยากเลย   เราคิดว่าการเอาชนะใจคนอื่นยากยิ่งกว่า เพราะชนะคนอื่นเดี๋ยวเขาก็กลับมาเปลี่ยนไม่รักเราแล้ว วันนี้เรามั่นใจว่าเราชนะเขาได้ เขารักเรา แต่พรุ่งนี้อยู่ๆ เขาอาจเปลี่ยนใจ เรายากจะควบคุมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจเราเองนั้นอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่กับใคร ยังไม่มีใครควบคุมได้นอกจากตัวท่านเอง ท่านสร้างความแน่นอนในตัวเอง ท่านสร้างความมั่นคงและความเป็นพุทธะในตัวตนเองนี้ และไปให้ถึงความเป็นพุทธะยากกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าให้สละความสุขของตนเองมาฟังธรรมะ ๒ วัน วันนี้มา ๑ วัน คิดแล้วคิดอีกว่าพรุ่งนี้มาหรือไม่มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ฟังวันนี้ก็คิดแล้วคิดอีก ตัวท่านเองอยากได้คนที่ดีอยู่รอบข้าง ไม่อยากได้เพื่อนฉ้อฉล ไม่อยากได้ภรรยาโป้ปด ไม่อยากได้สามีใจไม่ซื่อ อยากได้ลูกกตัญญู ภรรยาที่ดีไม่ขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้สามีซื่อสัตย์ ไม่ติดอบายมุข ไม่ติดการพนันสุราเมรัย แต่ถ้าตัวท่านไม่เริ่มทำดีก่อน เรียกร้องใครก็ไม่ได้ ตัวท่านไม่ดีก่อนใครจะดี ตัวท่านไม่เริ่มก่อนแล้วใครจะเริ่ม ตัวท่านไม่เรียกร้องตัวเองก่อน แล้วใครจะช่วยเรียกร้อง ให้พุทธะมาปรากฏเสกกายท่านเป็นเงินเป็นทอง แต่หากท่านไม่เป็นเงินเป็นทองด้วย วันนี้เป็นพรุ่งนี้กลับเป็นเช่นเดิม พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนใจอยากเป็นอย่างอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีแต่ตัวท่านเองเท่านั้นที่จะเสกตัวเองเป็นมนุษย์หรือเป็นพุทธะ เป็นปุถุชนหรือเป็นโพธิสัตว์ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เอาชนะใจตนเองไม่ได้หรือ ชนะผู้อื่นเรียกว่า คนฉลาด แต่หากเอาชนะใจตนเองได้เมื่อใด นั่นคือผู้รู้แจ้งเห็นจริง และถ้าหากเสกให้กิเลสหรืออบายมุขในโลกนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว เมื่อไรที่ท่านทำ ก็จะกลายเป็นเพื่อนสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวแบบนั้นได้ คงไม่มีใครอยากทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในโลกนี้คนที่ทำผิดกลายเป็นเทวดา คนที่ทำถูกกลายเป็นกิ้งกือ ไส้เดือน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าท่านเห็นดีด้วย ต้องไม่ใช่ ใช่หรือไม่ ปัจจุบันนี้คนทำดีกลับมีแต่คนหนีไม่อยากเข้าใกล้ คนทำชั่วมีแต่คนอยากชิดใกล้และปฏิบัติตาม เพราะน้ำไหลสู่ที่ต่ำง่าย  จิตใจมนุษย์
ยอมตกต่ำง่ายกว่าป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าลืมว่าเมื่อไรที่เราก้าวขึ้นไป ผลสำเร็จย่อมงดงามและน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน แต่ถ้าเมื่อไรพลาดตกลงต่ำ ผลที่ได้รับนั้นทุกข์ยิ่งนัก เจ็บปวดยิ่งนัก  แต่วันนี้ยังไม่ทุกข์ยังไม่เจ็บปวด เลยไม่คิดอยากเป็นพุทธะ วันนี้ยังไม่สิ้นกายยังไม่ถูกตัดสินลงโทษด้วยความดีความชั่ว ด้วยบาปบุญ จึงไม่คิดที่จะกระทำ  ทำไมต้องรอให้เหตุเกิดก่อน ผลตามมาแล้วจึงค่อยดับ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  วันนี้เรามาเตือนเพราะอยากให้ท่านเป็นพุทธะจริงๆ เป็นพุทธะที่มีคนกราบไหว้ เป็นคนที่ตายไปแล้วมีแต่คำชื่นชมยินดีสรรเสริญ เป็นคนที่อยู่บนโลกนี้แล้วมีแต่ความน่าชื่นชมยินดี มีแต่ความสุขใจ สุขที่ใดละ สุขในการบำเพ็ญตนเป็นพุทธะ เป็นคนที่ดี
"ใครอื่นเริ่มผู้กลัวจากอุปสรรค"  แม้จะรู้ว่ามีเส้นทางๆ หนึ่งอัน
สว่างไสว การได้ก้าวเดินกลับไปสู่ความเป็นพุทธะ กลัวแต่ใจท่านพอเจอความยากลำบาก ก็ท้อแท้เสียแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่ทันมีปณิธานความมุ่งมั่น พอเจอความยากลำบากก็ยอมแพ้กันเสียแล้ว เช่นนี้ยากจะทำอะไรได้สำเร็จ จริงไหม (จริง)  เกิดเป็นคนหากมุ่งมั่นจะทำสิ่งใด อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ายอมแพ้หากไม่ได้มา หากมีใจเช่นนี้ความลำบากหรืออุปสรรคไม่ใช่ปัญหาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราก็คงมาแค่นี้ละนะ อยู่กับท่านนานก็กลัวท่านจะเบื่อเสียก่อน เราอาจจะไม่ได้นำความสุขอะไรมาให้ท่านมากมาย แต่เราต้องการให้ท่านเห็นซึ่งชีวิตอันแท้จริง และก้าวเดินไปสู่ชีวิตอันจริงแท้ด้วยแสงสว่างแห่งตัวเอง  แสงสว่างแห่งตัวเองจะบังเกิดได้ด้วยใจของผู้มีธรรม ความเป็นพุทธะจะฉายปรากฏได้ด้วยคนที่รู้จักปฏิบัติยึดมั่นในคุณธรรมโดยไม่หวังผล และไม่ยอมแพ้ใจตน  วันนี้คงเท่านี้ละนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก หากมีใครในที่นี้สักคนหนึ่งตั้งใจมุ่งมั่นแล้วไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวแม้จะไม่สำเร็จ แต่กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่เต็มที่ ไม่กลัวแม้ใครจะยกย่องหรือไม่ยกย่อง แต่กลัวว่าตัวเองนั้นไม่ได้ทำ หากทำได้เท่านี้ก็เรียกได้ว่าเริ่มมีใจที่จะบำเพ็ญตนเองแล้ว เราพูดวันนี้ไม่สามารถที่จะทำให้ท่านรู้แจ้งเห็นจริงได้ทั้งหมดทั้งสิ้น ขอเพียงตื่นแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งได้ ก็ดีไม่น้อย ตื่นจากชีวิต ชีวิตที่ไม่เที่ยง ชีวิตที่ไม่ใช่อยู่ในมือของตัวเอง  แต่เป็นชีวิตที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าตัวเองจะควบคุมตัวเองได้ไหม แต่ถ้าเมื่อไรรู้จักบำเพ็ญตน ชีวิตจะอยู่ในมือท่าน ไม่ต้องกลัวเลย  แต่ถ้าเมื่อไรไม่คิดจะบำเพ็ญตน ไม่เลิกละสิ่งที่เลวร้าย แม้วันนี้บัญชีหรือชื่อของท่านจะถอนจากยมโลกแล้ว แต่ท่านก็ยากกำหนดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยมากมายสุดท้ายก็ต้องจากอำลา  ขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดีให้กับชีวิตเห็นคุณค่าชีวิตที่แท้จริง ด้วยการรู้ตื่น ตื่นจากความเป็นผู้หลง ตื่นจากความเป็นผู้โลภ ตื่นจากตัวตน และตื่นจากโลกใบนี้


วันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๓ สถานธรรมฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจต้องแลกสิ่งหนึ่งด้วยสิ่งหนึ่ง ให้คำนึงว่าสิ่งใดสำคัญกว่า
มองการณ์ไกลไปข้างหน้าด้วยปัญญา และมาสร้างคุณค่าให้แก่ตน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   กราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
บำเพ็ญธรรมต้องไม่กลัวลำบากใจ ลำบากกายดั่งฝันร้ายชั่วข้ามคืน
แต่ไม่นานศิษย์รักก็ต้องตื่น แม้ดึกดื่นจิตปัญญายังร่วมเคียง
แสวงความก้าวหน้าดั่งม้าฝีเท้าจัด ปรมัตถ์ ไม่จำต้องถกเถียง
ธรรมะแท้ไม่อาจสื่อได้ด้วยเสียง "เพียงสำเนียงเปล่งให้มีความหมาย"
นำความหมายไปปฏิบัติจึงแจ้งทั่ว "ไม่หวาดกลัวอุปสรรค" จะท้าทาย
หมั่นไตร่ตรองตามเหตุผลอย่างมงาย บำเพ็ญใช้สัจธรรมนำทางตน
หลังจากวันนี้ให้กลับมาศึกษา เพิ่มเวลาก็เปรียบดังเพิ่มมรรคผล
เพิ่มกิเลสก็เหมือนเพิ่มความอับจน ศิษย์ทุกคนต้องจำคำอาจารย์ให้ดี
เหลือเวลาอีกไม่มากข้าอยู่ร่วม ศิษย์จงรวมใจกับข้าอย่าหลีกหนี
อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นคนดี และจงมีปณิธานเดียวกับอาจารย์
ฮา  ฮา  หยุด

 ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ความจริงอันเป็นที่สุด, ลึกซึ้งยากปุถุชนจะเข้าใจได้

(หมายเหตุ  กลอนที่อยู่ในเครื่องหมาย " "  พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง)

กำแพงอัตตาคอยกีดขวางตนเอง  เก่งกาจเพียงใดทุกข์เป็น  หวาดลำเค็ญจึงยิ่งทำลาย  ขอเปิดใจยอมรับ  น้อยไปมากด้วยใจระวังเช่นนี้  สง่าเพราะชีวียืนอยู่บนความดี  สุขด้วยจิตปลงอยู่ตัว
อันความเข้าใจพาศิษย์ถึงปัญญา  นานมิท้อเหนื่อยมิลา  ผิดกันแต่บุญกรรมสิ่งยึดถือ  แม้ความรู้มีเต็มเปี่ยม  เผลอก็ท้อเพราะอันใดฤๅ  เพราะรู้แต่มิคิดลงมือ  ชีวิตคนนั้นสุดยื้อ  เร่งขยันบำเพ็ญจริง  (ซ้ำอีกรอบ)

เพลง  อย่าทำลายกัน
ทำนองเพลง  เรือนแพ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กลัวอะไรชีวิตนี้ กลัวที่ตัวเองนั้นยังตัดกิเลสไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นบุหรี่ก็เลิกสูบไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะตัวเราน่ากลัว ใครคิดว่าตัวเองน่ากลัว ใครคิดว่าคนอื่นน่ากลัว ตัวเองกับคนอื่นใครน่ากลัวกว่ากัน (ตัวเอง)  ตัวเราน่ากลัวกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เวลาเรากลัวคนอื่นจำเป็นหรือไม่จำเป็น (ไม่จำเป็น)  ไม่จำเป็นต้องกลัวคนอื่น แต่ว่ากลัวตัวเอง ต้องถามตัวเองด้วย ว่ากลัวอะไรที่อยู่ในตัวเอง ไม่ใช่สักแต่กลัวๆ  สิ่งที่มนุษย์ตัดยากที่สุดก็คือกิเลส เป็นพันธนาการของจิตใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าถ้าเราไม่ตัดกิเลส เราจะหายจากความกลัวแห่งตัวเรานี้ไหม (ไม่)  ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะให้เกิดความเข้าใจ เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญธรรม  การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อตัดกิเลสโดยเฉพาะ จะใช้อะไรตัด ถ้าหากเราคิดว่าตัวเราทำไม่ได้ ทำไม่ได้และทำไม่ได้ คิดว่าทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากเราคิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็ให้โอกาสตัวเองเรื่องใด เรื่องนั้นจะเกิดความง่ายขึ้นหรือเปล่า (ง่ายขึ้น)  การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  เทียบกับการทำงานหาเงิน เรื่องไหนยากกว่ากัน (ทำงานหาเงิน)  เพราะอะไร ทำไมศิษย์จึงคิดว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นยากกว่าการทำมาหากิน (เพราะการบำเพ็ญต้องทำด้วยใจ แต่ทำงานหาเงินทำด้วยแรงไม่ต้องคิดมาก)   ในโลกนี้มีสัตว์หลายๆ ประเภทที่เกิดมาพร้อมกับศิษย์ วัว ควายใช้แรงเป็นประจำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใช้หัวสมองคิดเป็นประจำหรือพูดอีกทีในด้านปรัชญา คือใช้ใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  การที่บอกว่าเราใช้แรงถนัดกว่า เราไม่ใช้หัวสมองหรือไม่ใช้หัวใจของเรา แสดงว่าเราไม่ได้ใช้ความประเสริฐของตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าเป็นมนุษย์มีความประเสริฐที่สุดคือมีปัญญา มีปัญญาอันแตกต่าง คือ พูดภาษาคนได้ สามารถอยากทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ เพียงแต่เราขี้เกียจ ขี้เกียจที่จะเอาชนะใจตนเอง แต่อยากจะเอาชนะผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะบำเพ็ญยากตรงที่เราไม่กล้าที่จะเริ่มต้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ยลองดูสักครั้ง  การที่เราเริ่มต้น มันง่ายยิ่งกว่าการทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่แล้วๆ มา  การเอาชนะกิเลสในจิตใจของเรา ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้แรง ไม่ต้องเสียเวลา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยากที่จะเอาชนะไม่ต้องทุ่มเทอะไรเลย เพียงแต่เรานั้นต้องจับใจเราให้ได้  ถึงตอนนี้ยังมีความคิดผิดๆ ว่าบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการยากอีกหรือไม่ (ไม่)  คนจะเริ่มบำเพ็ญธรรม อย่างแรกต้องทำอะไร (ทำใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะปฏิบัติธรรม)  แล้วตอนนี้จิตใจเราบริสุทธิ์หรือยัง (ยังไม่ถึง ๑๐๐%)  อาจารย์จะบอกให้ มนุษย์นั้นจะมีความเรียกร้องตัวเองสูงมาก บางคนต้องเรียกตัวเองถึง ๑๐๐% เป็นคนเรียกร้องตัวเองสูงที่สุด บางคนเรียกร้องตัวเอง ๗๐% บางคนเรียกร้องตัวเอง ๕๐% บางคนเรียกร้อง ๓๐% บางคนเรียกร้องตัวเอง ๕% เท่านั้น  คนที่สติไม่เต็มไม่เรียกร้องตัวเองเลย เป็นธรรมดาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้น เวลาจะทำอะไรก็คิดว่าจะต้องทำให้ดีๆ  แต่พอทำไม่ได้ดี เลิกทำไม่เลิกทำ (ไม่เลิกทำ)  ตอนนี้บอกว่าไม่เลิก แต่พอเกิดเหตุการณ์เข้าจริงๆ เลิกทำไม่เลิกทำ (ไม่เลิก)  อย่างนี้ต้องไปดูกันเอาเองว่า เลิกทำหรือไม่เลิกทำสิ่งที่เราไม่สมหวัง
เส้นทางการบำเพ็ญธรรม สิ่งที่เป็นคู่มือการบำเพ็ญธรรมนั้นอยู่ในใจของเรา เรียกว่าจิตสำนึก เป็นคู่มือที่อยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว เพียงแต่ตลอดมาเราไม่เคยเปิดอ่านและเราก็ไม่เคยสนใจคู่มือเล่มนี้ ไปดูแต่หนังสือธรรมะข้างนอก หนังสือธรรมะที่มีตัวหนังสือสีขาวตัดตัวสีดำอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เคยสนใจสิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นคุณต่อโลก สนใจแต่ตนเอง จึงเป็นการยากที่เรานั้นจะบำเพ็ญธรรมได้  การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนเส้นทางเส้นหนึ่ง ศิษย์จะเอาขาซ้ายหรือขาขวาก้าวไปก่อนก็ได้ ศิษย์จะเริ่มทำตรงไหนก็ได้ ที่เป็นจุดบกพร่องที่ตัวเองสามารถแก้ไขได้ เพื่อเป็นกำลังใจของตนเอง  อย่างคนที่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่ เราก็อาจจะเลิกจากการที่เคยสูบห้ามวน เป็นวันละหนึ่งมวน มีนิสัยขี้โมโห เราก็เริ่มจากโมโหมากเป็นโมโหน้อย แต่ไม่ใช่น้อยอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ต้องน้อยลงเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละที่อาจารย์จะบอก  หนทางการบำเพ็ญธรรม ศิษย์จะเริ่มต้นด้วยความเมตตา กรุณา อุเบกขา การเสียสละ  การเข้าใจตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น  การลดอารมณ์หรือทำอะไรก็ได้ ขอให้ศิษย์ได้เริ่มต้น  เริ่มต้นจากตรงนี้ ความดีเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน โยงกันไปโยงกันมา เหมือนกับเงิน ๑ บาทโยงกับเงิน ๑,๐๐๐ บาทที่อยู่ในกระเป๋าศิษย์  เงิน ๕๐๐ บาทก็โยงกับเงินของศิษย์เหมือนกัน ทุกคนมีเงินที่เชื่อมโยงกัน ควักแบงค์ในกระเป๋าของเราออกมาดู เงินเราเพิ่งออกมาจากคลังใหม่ๆ ยิ่งควักเหรียญบาทออกมายิ่งจะชัดเจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหรียญบาท เหรียญสิบไม่ใช่เงินที่ศิษย์ได้มาชนิดที่ว่าใหม่เอี่ยม แต่กลับเป็นเงินที่มีรอยขูดขีด ถูกข่วนหรือภาพนั้นก็เลือนไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เลือนไปพร้อมกับการใช้ผ่านมือคนนั้น ผ่านมือคนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ดูเงินในกระเป๋าของศิษย์ ก็จะรู้แล้วว่า ความดีที่จะทำนั้นไม่ได้เริ่มต้นที่อย่างนี้แล้วก็อย่างนี้ตายตัว  หากศิษย์เริ่มจากตรงไหนก็ได้ ให้เริ่มช่วยเหลือคนหนึ่งคนก่อน วันถัดไปศิษย์อาจเริ่มลดอารมณ์ตัวเอง หรือว่าเริ่มตรงไหนก็ได้ ที่ศิษย์คิดจะเริ่ม  แก้ไขตัวเองจากสิ่งที่แก้ยาก แต่ถ้าหากทำไม่ได้ แก้ไขตนเองจากสิ่งที่แก้ง่าย เมื่อศิษย์แก้ไขได้สักเรื่องหนึ่ง ศิษย์ทำความดีได้สักเรื่องหนึ่ง เรามีกำลังใจไหม (มี)  เหมือนคนที่ทำงาน เมื่อหาเงินก้อนแรกได้ก้อนหนึ่ง ดีใจหรือไม่ดีใจ (ดีใจ)  แล้วมีกำลังที่จะหาเงินก้อนต่อๆ ไหม (มี)  แต่พอหาไปได้นานๆ หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป เงินก้อนแรกที่เคยได้มาน้อยไหม (น้อย)  เงินตอนนี้ที่เรามุ่งหวังหาอยู่มากไม่มาก (มาก)  นั่นคือเป็นจุดหักเหในใจของเราที่ว่า คนเมื่อเดินนานๆ ไปก็มักจะลืมไปว่า ตนเองนั้นบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร  พอเริ่มทำมาหากินไปนานๆ ก็ไม่รู้เงินน้อยเป็นอย่างไร รู้จักแต่เงินมาก จิตใจของเราที่เคยบริสุทธิ์ก็เปื้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  จนในที่สุดถ้าเปรียบจิตใจเราเป็นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง จิตใจของเราก็ไม่รู้ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีอะไรบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะหาสีขาวสักที่นั้นยากไม่ยาก (ยาก)  ตอนนี้อาจารย์มองจิตใจของศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี้ เหมือนกับทุกคนมีกระดาษสีขาวอยู่ในมือหนึ่งใบ  กระดาษที่ศิษย์ถืออยู่ในมือ เดิมทีเคยมีสีขาวที่สะอาดมาก แต่ตอนนี้อาจารย์จะหาสีขาวสักที่หนึ่งที่อยู่ในจิตใจของศิษย์ บางคนอาจารย์มองแล้วยังเจออยู่บ้าง บางคนอาจารย์ไม่เจอแล้ว และใครกันแน่ที่ทำให้กระดาษของเราเปอะเปื้อน คงไม่มีคนอื่นนอกจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมง่ายที่สุด ที่อาจารย์บอกคือเริ่มต้นที่ไหน (ตัวเอง)  เริ่มต้นที่ตัวเอง นี่เป็นคำนิยามที่กว้างๆ ให้ศิษย์รู้ว่า ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นที่ผู้อื่นได้ ไม่สามารถที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำสิ่งใดได้  แต่เรียกร้องให้ตัวเองทำเท่านั้น ทำให้ดีขึ้นถ้าหากว่าไม่สำเร็จ อย่าเป็นคนที่ขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาแรง แต่จงเป็นคนที่ขึ้นที่สูงด้วยความระมัดระวัง แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้ไม่เป็นคนที่ร่วงหล่นลงมา ดีหรือไม่ (ดี)
ชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา แต่ละคนมีเรื่องราวที่ต้องตัดสินใจอยู่มากมาย มีเรื่องเล็ก เล็กมาก มีเรื่องใหญ่ ใหญ่มาก  ชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา ผ่านการตัดสินใจมาไม่รู้กี่รอบ แต่ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ คงเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่ชีวิตของศิษย์เคยมีมา เพราะเราจะตัดสินใจเลือกระหว่างการบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นพุทธะ กับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้  ศิษย์ของอาจารย์ต้องตัดสินใจดีๆ ว่าเราจะเลือกอะไร  หากว่าศิษย์คิดว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ธรรมะแท้ ธรรมะนี้ฟังแล้วก็ดูดีเท่านั้น หรือคิดว่าเรานั้นอาจจะทำไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แต่หากศิษย์ไม่เคยลงมือ ศิษย์จะรู้อนาคตของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อไม่สามารถจะรู้ว่าตัวเองจะตายวันไหน เมื่อไม่สามารถรู้ว่าเรานั้นจะบำเพ็ญเป็นพุทธะสำเร็จหรือไม่ มีเพียงการลงแรงทำเท่านั้น การเวียนว่ายตายเกิดมีความทุกข์ทรมานเท่าไร อาจารย์ยังไม่พูดถึง นรกที่ศิษย์รู้จักว่าทุกข์ทรมาน และคงรู้ว่าทุกวันนี้ตัวเองมีความทุกข์มากมายเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือนรก แต่เป็นนรกที่ศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นเท่านั้นเอง  อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นความทุกข์  ส่วนการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็คือการหมดทุกข์ หมดไปจากความทุกข์ที่ศิษย์นั้นมีอยู่ แม้ความทุกข์ที่ศิษย์รู้อยู่จะเป็นความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ แต่ลองคิดดู วันนี้เราอายุเท่านี้ เรามีความทุกข์เท่านี้ วันหน้าแก่ชราไป ความทุกข์ของเราจะเพิ่มทวีหรือจะลดลง แล้วคิดต่อไปว่าชาตินี้กับชาติต่อๆ ไปทบกับชาติที่ผ่านมาศิษย์มีทุกข์เท่าไร  อาจารย์ผู้เป็นพุทธะจึงอยากบอกให้ศิษย์นั้นตัดสินใจให้ถูก เพื่อตัดสินใจบำเพ็ญธรรม หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด วันนี้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม การหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด การหลุดพ้นศิษย์ยังไม่ต้องคิดไปไกล คิดถึงแค่ข้างหน้าว่าเราจะบำเพ็ญธรรม เราต้องเริ่มทำอะไรก่อน  อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ทีแรก ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร อาจารย์ขอเรียกร้องให้ศิษย์แค่ทำเท่าที่มีกำลัง  ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เท่านั้น ศิษย์ก็ได้ผลเท่านั้น  ศิษย์ทำเท่านี้ ก็ได้ผลเท่านี้  ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้คิดถึงแค่การบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญธรรมได้แค่ไหน ถ้าหากคนที่บำเพ็ญจริงๆ ก็ได้แค่หลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด คนไม่บำเพ็ญจริงก็ได้แค่หลุดพ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น
บางคนบำเพ็ญธรรมจิตใจเป็นสุขขึ้นได้บ้าง ไม่ต้องทุกข์อย่างในอดีต แต่ว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นลงแรงจริงจังกว่านี้  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์แค่หมดทุกข์เฉพาะในชาตินี้ แล้วต่อๆ ไปเราก็ทุกข์ใหม่  แต่อยากจะให้เราบำเพ็ญให้จริงจัง เป้าหมายเราอยู่ไกล แต่อย่ามองเป้าหมายบ่อย เพราะจะพลาดพลั้ง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  บางคนเดินไปตามทางก็ชอบมองไปข้างทาง ชอบมองคนนั้นที คนนี้ที ในที่สุดแล้วมองไม่เห็นตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  มองเห็นว่าคนอื่นนั้นแต่งตัวสวยอย่างไร มองเห็นว่าทางนั้นดีไม่ดี แต่มองไม่เห็นว่าทางในใจของเรานั้นมันดีหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ไปจึงต้องหัดย้อนมองส่องตน ยิ่งคนบำเพ็ญยิ่งนาน ยิ่งต้องมองตัวเอง ยิ่งต้องไม่เผลอใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือมองใจตนเองน้อยมาก ต้องกลับไปมองใจตัวเองให้มากๆ ให้ลึกซึ้งเหมือนลมหายใจที่สูดเข้ายาวๆ ผ่อนออกยาวๆ อย่างนั้นเข้าใจไหม
อาจารย์เห็นบางคนถอดรองเท้า บางคนใส่รองเท้า ถ้าหากว่าธรรมเนียมจีนก็ชอบใส่รองเท้าเข้ามาในบ้าน ถ้าหากว่าธรรมเนียมไทยก็ชอบถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน เคยได้ยินไหม (เคย)  ฉะนั้นศิษย์จะเลือกเป็นคนจีนหรือคนไทยอาจารย์ไม่ว่า ถ้าใส่รองเท้าเข้ามาก็ต้องใส่ให้ตลอด  แต่หากจะถอดก็ต้องถอดไว้ข้างนอกใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะมีพิธีระเบียบแบบจีน แต่ว่าเราเป็นคนไทยก็เอามาประยุกต์ไว้หน่อยดีไหม (ดี)  เป็นคนจีนก็ชอบทานอาหารจืดๆ เป็นคนไทยก็ชอบทานอาหารรสจัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อันนี้ศิษย์คงเลือกเป็นชาติไหนสักชาติหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าอาจารย์อยากจะสอนศิษย์ว่าคนที่ทานอาหารรสจัดเกินไป อวัยวะภายในนั้นก็จะไม่ปกติ ทานน้ำเย็นบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะดี มีแต่ว่าจะชื่นใจ ชื่นคอ แต่ว่าไม่ชื่นสุขภาพ  ฉะนั้นหากว่าศิษย์ทำได้ หากว่าเป็นคนทานเผ็ดมากเกินไปก็ลดเผ็ดลงหน่อย  ทานเค็มมากเกินไป ก็ลดเค็มลงหน่อย  ทานเปรี้ยวมากเกินไป ก็ต้องลดเปรี้ยวลงหน่อย  ทานหวานมากเกินไป ก็ต้องลดหวานลงหน่อย เดินทางสายกลางดีไม่ดี (ดี)  นอกจากว่าจะทานอาหารให้อิ่มแล้ว สุขภาพเราก็จะต้องดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าร่างกายของเรานั้นมีความสำคัญ เป็นคนบำเพ็ญธรรมร่างกายสำคัญอย่างไร ถ้าไม่มีร่างกายอันนี้บำเพ็ญธรรมได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้)  เป็นคนบำเพ็ญธรรมหน้าตาซีดเซียวได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม เราก็ต้องรู้จักรักษาสุขภาพของเราให้ดี เพื่อให้เรามีเวลาบำเพ็ญไปนานๆ เคยเห็นไหมพอแก่ตัวก็เริ่มจะไม่ไหว ทำนั่นทำนี่ไม่ไหว สุขภาพอ่อนแอ  แล้วศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมไปถึงกี่ปี เราก็ต้องบำเพ็ญไปจนแก่ จนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าตอนอายุมาก เราบำเพ็ญธรรมไม่ไหว น่ามองไม่น่ามอง (ไม่น่ามอง)  อาจารย์จะบอกว่าน่ามองไม่น่ามองไม่รู้ แต่อาจารย์เห็นศิษย์ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  หากตอนสาวๆ หนุ่มๆ ไม่รักษาสุขภาพ  ตอนที่อายุมาก แล้วจะให้คนอื่นมาแบกไปบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  คนอื่นเขาก็ไม่มาแบกเราไปสถานธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  นอกจากเราจะมีลูกหลานมาช่วย แต่ต่อให้ลูกหลานเขาห่วงเราเท่าไรเขาก็มีการงานหน้าที่ ถึงเวลาแล้วใครช่วยเราดีที่สุด (ตัวเรา)  เพราะฉะนั้นความสุขทางด้านการกินต้องลดลงหน่อยไหม (ลด)  ต่อให้คิดว่าไม่บำเพ็ญ หรือไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญหรือไม่ รักษาสุขภาพไว้ก็ไม่เสียหายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ผมขาวนั้นยังน่ามอง แต่หากว่าร่างกายไม่ดีนั้น ไม่รู้นะ
ศิษย์แต่ละคนมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน อาจารย์ถึงแม้จะนั่งตามที่ศิษย์เชิญในวันนี้ แต่หมดจากวันนี้หรือชั่วโมงนี้ไป อาจารย์ก็เดินไม่ได้หยุด เพราะฉะนั้นนั่งตอนนี้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งตอนที่อาจารย์ไม่อยู่กับศิษย์แล้วอาจารย์ได้แต่เฝ้ามอง ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์เหมือนกัน
  กรรมเวรที่เราสร้างไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านพ้นมาได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราไม่อยากจะโดนเจ้าหนี้เวรกรรมรุม ก็ต้องรู้จักที่จะสร้างกุศลให้เขาเห็นใจใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วจะบอกว่าคนที่มีกุศลมีอยู่มากมาย แต่เจ้ากรรมนายเวรของเราจะยอมให้เราใช้คืนหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง  เพราะอะไรรู้ไหม สมมติง่ายๆ หากศิษย์เคยไปฆ่าคนๆ นี้ไว้ เสร็จแล้วศิษย์ก็นำเงินมาจ่ายให้กับครอบครัวเขา หรือจ่ายให้เจ้าตัวที่เราฆ่าเขาไป เขายอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ทำไมล่ะ เงินตั้งมากมายล้นฟ้า ทำไมเขาจึงไม่เอา แล้วเขาอยากได้อะไร (ชีวิต)  ฉะนั้นจึงบอกว่าต่อให้เรามีกุศลมากมายก็ไม่แน่ว่าจะใช้คืนเขาได้ ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมพร้อมใจของเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้เขายินยอมพร้อมใจเอาเงินก้อนนี้ของเราล่ะ (สร้างกุศล)  หากว่าใช้คืนด้วยเงินแล้วเขาไม่เอาทำอย่างไร หากว่าในทางกลับกันศิษย์เป็นคนที่โดนฆ่า ศิษย์อยากได้ชีวิตของเขา แต่ทำอย่างไรเขาถึงจะทำให้ศิษย์ยินยอมให้ศิษย์อนุโมทนาเขา ในการที่เราจะให้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเรายอม เมื่อเราเป็นลูกหนี้เขาก็มีแต่ต้องยอมก้มหัวให้ และสำนึกผิดจริงๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เขาถึงจะยอมยกเว้นเราหนึ่งครั้ง  ฉะนั้นคนที่พูดเก่งไม่ได้หมายความว่าจะชนะคนอื่นเสมอไป คนที่มีเงินมากก็ไม่ใช่จะชนะคนอื่นเสมอไป แต่สิ่งที่ชนะใจกันได้จริงๆ ก็คือคนที่มีความสำนึก ถูกหรือไม่ (ถูก)  โดยเฉพาะเรื่องกรรมเวรนั้นอาจารย์บอกให้อย่างหมดพุง ที่เขายอมให้ศิษย์เพราะเห็นศิษย์เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงตนเองได้สำเร็จ  ศิษย์ทำให้เขาเห็นใจ ศิษย์ช่วยคนอื่น นั่นแหละเขาจึงเห็นใจเรา เพราะคนที่ช่วยคนอื่นก็คงจะไม่ทำร้ายคนอื่นอีกต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาก็คิดว่าที่ศิษย์ยอมช่วยคนอื่น ก็แสดงว่าวันหลังศิษย์คงไม่ทำร้ายใคร เขาจึงยอมอนุโมทนาให้ เขาจึงยอมยกเว้นกรรมครั้งนี้ให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราทำตัวน่าสงสารไหม ศิษย์แต่ละคนดูแล้วเป็นคนที่น่าสงสารไหม (น่าสงสาร)  ที่ผ่านมายังไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร บางคนเคยเตะสุนัข ตอนนี้ยังเตะหรือเปล่า เคยโดนคนอื่นเตะแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บ)  แล้วเราเตะสุนัขๆ เจ็บไหม (เจ็บ)  มีเจ้ากรรมนายเวรเป็นสุนัขน่าชมหรือไม่น่าชม เดี๋ยวเขากัดน่องเราก็มาปวดขา ดีไม่ดี (ไม่ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง)  นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า ความไวของคนไม่เท่ากันใช่หรือไม่ เราไวเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องใช้ความไวให้ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไวในการโกงคน เอาเปรียบคนจะเป็นการดีมาก แต่ไวในการช่วยคน ไวในการที่เราจะเข้าไปทำความดี เป็นความไวที่ดีไหม (ดี)  อาจารย์เห็นพอถึงเวลาต้องทำความดี เห็นคนเดือนร้อนอยู่ตรงหน้า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม  พอถึงเวลาต้องไปเอาเปรียบเขา ทำการค้าก็เร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาอันสมควรก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อตัวเราเอง
เวลาที่นี่เช้าๆ มีหมอก อากาศเย็น ศิษย์เห็นหมอกแล้วสวยงามไหม (สวยงาม)  เราเอามือไปจับหมอกจับควันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทุกวันนี้มนุษย์ลุ่มหลงที่สุดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง  ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองนั้นมีวิธีการเข้ามาหาศิษย์ต่างกัน มีลาภ มียศ ก็คือมีคนอาจจะเอาดาวมาติดให้บนบ่า เอาเกียรติและศักดิ์ศรีอันเป็นวัตถุมามอบให้เรา สรรเสริญเป็นอย่างไร สรรเสริญลอยลมมาใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้ามาแบบไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีวัตถุ พอถึงเราได้ยินแล้วเป็นอย่างไร (ตัวลอย)  มีแรงยิ่งกว่าช้างม้าอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินทองเป็นอย่างไร เงินทองให้ความสะดวกสบาย เงินทองปิดหูปิดตา ทำให้เราตาบอดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มีค่าจริงๆ หรือเปล่า เหมือนกับหมอกในยามเช้า ที่ศิษย์จับต้องแล้วไม่อยู่ในมือ สิ่งเหล่านี้ให้ความสวยงามบันเทิงใจ แต่ไม่สามารถที่จะจับต้องได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ต่อให้ศิษย์ยืนอยู่ท่ามกลางสายหมอก ต่อให้ศิษย์ยืนอยู่ในท่ามกลางความสวยงามเหล่านั้น แต่ไม่มีสิ่งไหนที่ศิษย์จับยึดได้จริงๆ เพราะว่าแดดมาหมอกก็จางใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้ศิษย์มีเงินทองจนล้นฟ้า กอดเงินเข้าโลงศพไปด้วยแต่ถามว่าเอาไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ติดดาวลงโลงไปด้วย เอาไปด้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต่อให้คนสรรเสริญศิษย์จนศิษย์เผาไป เอาไปได้หรือไม่ได้ (ไม่ได้)  สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าเงินทองจะมาปิดตา เราก็เปิดตาให้สว่าง หูของเราก็ทำให้หนักๆ อย่าไปหลงมากมาย เงินทองก็ให้รู้จักที่จะพอ จึงเป็นคนที่ร่ำรวย เป็นคนที่มีความสุขที่สุด  หากเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราก็ต้องทำให้ได้อย่างนี้ ความรวยความจนนั้นขึ้นอยู่กับดวงชะตาไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ คนที่รวยมาก็คือคนที่รวยมา คนที่จนมาก็คือคนที่จนมา มีแต่คนที่บำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนได้  แล้วเราจะเปลี่ยนอย่างไร จะบำเพ็ญเหมือนกันแต่วงเล็บว่าไม่ดี คือบำเพ็ญได้ไม่ค่อยดีเท่าไร  แล้วก็เรียกร้องให้ชีวิตของเรานั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์บำเพ็ญ วงเล็บบำเพ็ญดี ศิษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองได้หรือไม่ (ได้)  นั้นแหละเป็นสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ คำว่าพระอาทิตย์เข้ามา แสงแดดกระทบหมอกแล้วหมอกจางไป ก็เปรียบเสมือนปัญญา พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือปัญญา ถ้าหากว่าเรามีปัญญา เราสามารถมองทะลุปรุโปร่ง แล้วอยู่ในโลกของความจริงไม่ใช่ความฝันดีหรือไม่ (ดี)  ความสวยงาม ยามมีหมอกก็อย่างหนึ่ง สวยงามยามมีแดดก็อย่างหนึ่ง สิ่งใดเป็นสิ่งที่จริงมากกว่ากัน ศิษย์ลองมองไปข้างหลังต้นไม้ยามมีหมอกมาบังก็ดูมัวๆ แต่ต้นไม้ยามที่แดดส่องมาให้ต้นไม้ก็มีความสวยงาม เป็นความสวยงามที่คมชัดและจริงแท้  ศิษย์เลือกอยู่ในโลกแบบไหน ในโลกแห่งความฝันหรือในโลกแห่งความจริง (ความจริง)  ตอนนี้พูดได้แต่กลับไปต้องระมัดระวัง เพราะว่านั้นมักจะเผลออยู่บ่อยๆ ทีเดียว
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
อาจารย์เห็นคนในโลกไม่ค่อยกลัวความผิดกันเลย กลัวแต่บาปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วผิดกับบาปใช่ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน (ใช่เรื่องเดียวกัน)  ทำไมถึงเป็นบาปรู้ไหม อะไรที่ทำขึ้นมาแล้วถึงเป็นบาป แล้วอะไรที่เรียกว่าบาป คำว่า 
"บาป"  ก็คือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)
ปกติเวลาที่อาจารย์ให้ผลไม้ อาจารย์จะให้แค่ลูกเดียว เพราะถ้าให้สองลูกก็เหมือนกับจับปลาสองมือ เรามีมือสองมือแล้วเราใช้หมด หากว่าเราจำเป็นจะต้องทำอีกเรื่องหนึ่งแล้วเราจะทำอย่างไร จะทิ้งส้มลูกซ้ายหรือจะทิ้งส้มลูกขวาก็ส้มเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงบอกว่าการทำอะไร ทำมือหนึ่งและเหลือไว้อีกมือหนึ่งไว้ทำอย่างอื่น ตอนนี้บำเพ็ญธรรม มือหนึ่งบำเพ็ญธรรมแสวงหามรรคผล อีกมือหนึ่งก็ทำตนเป็นคนอยู่ในโลก ทำมาหากินได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงให้ผลไม้ทีละลูก
ตอนนี้ศิษย์อาจารย์ทุกคนที่นี่ก็เป็นคนที่มือหนึ่งมีผลไม้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็เป็นมือที่ว่าง เป็นมือที่ใช้บำเพ็ญธรรม สมมติเราถือส้มไว้ในมือคนละลูก ถ้าหากว่าเราออกแรงบีบข้างนี้มากเกินไปได้ไหม (ไม่ได้)  หมายความว่าเราต้องระวังเรื่องของคำพูดก็ดี ความคิดก็ดี การกระทำก็ดี ไม่ให้ออกแรงในการที่จะลุ้นคนอื่นให้ถึงความดีมากเกินไป ไม่อย่างนั้นส้มในมือนี้ก็จะเละคามือ ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ บีบเท่าไรก็หายหมด และที่เราอยู่ในโลกนี้ อาจารย์ให้ศิษย์ทำตนเป็นคนดีในสังคมก็เพื่อ ทำตามหน้าที่อันถูกต้อง อย่างเช่น ถ้าหากว่าเราเป็นลูก เราก็ต้องเป็นลูกที่กตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราติดหนี้บุญคุณใคร เราก็ต้องใช้ให้หมดใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราเป็นลูกศิษย์ ก็ควรที่จะเคารพในครูบาอาจารย์ เราควรจะซื่อสัตย์ในหน้าที่ หากเรามีอาชีพเป็นหมอ พยาบาล เป็นชาวไร่ ชาวสวน ชาวนาก็เหมือนกัน จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่นั้นให้จบให้สิ้น มีไม่กี่คนที่สามารถจะหลุดพ้นจากวงเวียนกรรมของสัตว์โลก คือ ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีพันธะ มีคนที่ยอมให้เราบำเพ็ญธรรม อันว่าเราเกิดมาในบ้านที่มีบุญ แล้วเรามีหน้าที่บำเพ็ญธรรม มีไม่กี่คนที่เป็นอย่างนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถอุทิศตนออกมาเพื่อทำงานธรรมะได้ หากว่าใครที่อุทิศออกมาแล้วก็อย่าได้ไขว้เขว วันหนึ่งเปลี่ยนใจสามรอบสี่รอบ ยิ่งนานยิ่งเปลี่ยนใจ อย่างนี้จะทำให้เราบำเพ็ญธรรมยิ่งยากลำบาก เพราะในการที่เราเดินทางก็เหมือนกับนักเดินเท้า เดินทางไปสู่จุดหมาย  ตอนเริ่มเดินใหม่ๆ  แรงเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินทีเดียวไปครึ่งทางเลย แต่ถามที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เหมือนกับเติมไปอีกสองสามเท่าเลย ครึ่งทางเท่าเดิมกับที่เราเคยเดินมาแล้วยาวไกลยิ่งกว่าครึ่งทางที่ผ่านมา พอเดินยิ่งใกล้ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งหยุดบ่อย ยิ่งหยุดบ่อยถึงไม่ถึง (ไม่ถึง)  ถึงมีเคล็ดลับของคนเดินเท้าบอกว่า "หากว่าเดินต่อให้เหนื่อยก็อย่าพัก ต่อให้พักก็อย่าหยุด"  เพราะถ้าหยุดหนหนึ่ง จะมีหนที่สองไหม (มี)  ถ้าหยุดก็จะหยุดเรื่อยๆ  แล้วยิ่งหยุดก็ยิ่งไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราได้รู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว ก็มีประโยชน์สำหรับการบำเพ็ญธรรม ที่อาจารย์สอนศิษย์อยู่นี้ ไม่ใช้หลักธรรมะ  แต่เป็นหลักปรัชญาให้ศิษย์คิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์นั้นมักไม่สนใจว่าจะหลักอะไรที่ทำให้ศิษย์อาจารย์รู้คิด รู้ตื่น แต่ขอให้ศิษย์ได้เอะใจ ได้รู้สึกตื่นขึ้นมา  อาจารย์ก็ใช้วิธีนั้น ขอให้เราเรียกร้องตัวเองในการที่เราจะเดินหน้า หากว่าเราเคยหยุดแล้ว ไม่เป็นไร  ขอให้ครึ่งที่เหลืออยู่นี้ ทำอย่างที่อาจารย์ว่า เดินต่อไปต่อให้เหนื่อยก็อย่าหยุด ต่อให้ต้องหยุดก็อย่าหยุดนานเกิน  อาจารย์นั้นอภัยในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมาแล้วเป็นความผิดเสมอ
อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นเดินหน้าต่อไปให้ถึงนิพพาน เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดของศิษย์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จะเป็นเสมือนความฝันครั้งสุดท้าย แล้วศิษย์ไม่คิดจะไปสู่ความจริงอันนั้นหรือ จะแบกความทุกข์ไว้เต็มอก แบกความกลุ้มใจไว้เต็มเหนี่ยว วางไม่เป็นปล่อยไม่ได้ วันนี้ปล่อยไม่ได้คิดหรือว่าพรุ่งนี้ปล่อยได้ ฉะนั้นในยามที่เรามีสติ ให้เรานั้นปล่อยวาง ไม่ใช่มีสติรู้ว่า ฉันรู้ว่ามันผิด แต่ฉันจะทำ หลายคนเป็นอย่างนี้ รู้ว่าผิดแต่ทำ สุดท้ายต่อให้เป็นพุทธะอย่างอาจารย์ก็ช่วยศิษย์ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่รู้ว่าผิดแล้วยังทำเป็นคนที่ตรงข้ามกับคนที่มีความสำนึก แล้วเจ้ากรรมนายเวรจะยอมให้อาจารย์ช่วยศิษย์ คนที่ไม่มีจิตสำนึกคนนี้ไหม (ไม่ให้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอนพระโอวาท)
ไม่เสียหลายนะ นั่งติดๆ กันก็กล้าพอกัน เรียกว่าความกล้าของคนข้างๆ ส่งผลให้คนข้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางทีเวลาเราบำเพ็ญธรรม เราจะบอกเขาว่าเธอไปสิๆ เขาไปไม่ไป (ไม่ไป)  แต่ถ้าเราไปมาแล้วเขาก็กล้าไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราต้องเรียกเขาด้วยเสียงไหม (ไม่ต้อง)  ไม่ต้องใช้คำพูดในการที่จะเรียกให้เขาทำอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ขอให้เรานั้นมีความกล้า เขาก็มีความกล้าเหมือนกัน
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)
"โพธิ"  แปลว่าอะไร (การตรัสรู้, การรู้แจ้ง)  "โพธิสัตว์"  แปลว่าอะไร (สัตว์ที่รู้แจ้ง)  อาจารย์ก็เป็นอาจารย์  ศิษย์ก็เป็นศิษย์ ทำไมไม่รู้วิธีการเอาของจากอาจารย์หรือ เด็ดผลไม้ต้องทำอย่างไร  จะเอาได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ในตัวของเขา  การแย่งผู้อื่นจะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร  อาจารย์อุตส่าห์ใส่กระเป๋าให้แล้ว ยังไม่เอาอีกหรือ  บำเพ็ญธรรมต้องมีความมั่นใจ อยากจะเริ่มต้นต้องเริ่มต้น เหมือนการจะคว้าก็ต้องคว้า ไม่ใช่มัวแต่ฟังคนอื่น ไม่มั่นใจในตนเองไม่ได้รู้ไหม (รู้)  คำว่า "โพธิ"  แปลว่าปัญญาที่ให้เกิดความรู้แจ้ง  "โพธิสัตว์"  หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญในลักษณะของคนที่คลุกคลีอยู่กับมนุษย์เวไนยนี้ แต่สามารถที่จะช่วยเหลือเขา  คนๆ นี้เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นเต็มที่จึงได้ชื่อว่า “โพธิสัตว์”  ไม่ใช่หลีกหรือปลีกตัวเองไปบำเพ็ญเดี่ยวๆ  บำเพ็ญร่วมกับโลก ร่วมกับผู้อื่น ช่วยผู้อื่นได้ เริ่มจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่ เราก็คือ โพธิสัตว์องค์น้อยๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  การที่อาจารย์บอกว่าอาจารย์ใส่ไว้ตรงนั้น ศิษย์จะเอาไหม  แม้เป็นของๆ ศิษย์แต่ไปอยู่ที่คนนั้น แล้วตกลงเป็นของใคร เราต้องตัดสินใจให้เขาไป เพราะว่ามีเรื่องยากๆ มากมายปัญหาเยอะแยะ เราต้องตัดสินใจอย่างคนมีปัญญา มีเรื่องมากมายที่เป็นความลำบากใจเช่นนี้ ศิษย์ทำถูกแล้ว  แต่พออาจารย์พูดเข้าหน่อย ตอนนั้นอาจารย์ก็เปรียบเสมือนมารที่คอยเป่าหูศิษย์ คอยบอกว่านี่ของๆ เรา ศิษย์จะเอาอย่างไร ทำอย่างนี้คือแย่งเขา ถึงแม้เป็นของๆ เราแต่อยู่ที่คนอื่น ของนี้ต้องได้รับการอนุญาตก่อน ถึงจะกลับมาเป็นของเรา
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)
"บำเพ็ญธรรม"  แปลว่าอะไร  (เพิ่มพูนความรู้)  หลังจากวันนี้มีโอกาสต้องบำเพ็ญธรรมมากๆ มาบำเพ็ญธรรมด้วยการศึกษา และจะเข้าใจการบำเพ็ญธรรมที่สุดก็ตอนลงมือทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
"ออก"  แปลว่า (เคลื่อนที่ให้พ้นจากสิ่งกีดกั้น)  เคลื่อนที่จากอะไร เคลื่อนที่ในจิตใจของเรา ต้องออกจากอะไร สิ่งที่ปิดกั้นจากใจของเราคืออะไร (กิเลส)  เราต้องเคลื่อนที่ไป
"ม้วย"  แปลว่าอะไร (ตาย)  ตายจากความเป็นปุถุชนแล้วไปเกิดเป็นพุทธะดีไหม ตายเกิดนี้อยู่ที่ใจ เกิดดับก็อยู่ที่ใจ
"ไม่มีใครออกจากบ้านโดยไม่ผ่านประตู"  ทุกคนออกจากบ้านก็ต้องผ่านประตูทั้งสิ้น  บ้านหลังหนึ่งก็เหมือนกายสังขารตัวนี้ ผ่านเข้าผ่านออกประตู  มีประตูตา จมูก ปาก สะดือ กระหม่อม มีหลายประตู แต่มีประตูที่ถูกอยู่ประตูหนึ่ง ซึ่งอาจารย์นั้นได้ชี้ไว้ให้ อาจารย์ต้องการให้ศิษย์นั้นเลิกเข้าออกประตูเหล่านี้ และก็ออกทางประตูตรงเพื่อกลับคืนขึ้นเบื้องบนได้
อันว่าการที่เราชวนคนมารับธรรมะเป็นเรื่องง่าย แต่การจะส่งเสริมคนสักคนหนึ่งมาประชุมธรรมเป็นเรื่องที่ยากกว่า  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ หลักสำคัญก็คือพูดให้เขาเข้าใจตั้งแต่เขามารับธรรมะ ถึงเวลาศิษย์ไปชวนเขามาประชุมธรรมก็จะไม่มีปัญหา  คนใดที่ปฏิเสธด้วยวาจาอันแข็งกร้าว แสดงว่าใจของเขาไม่พร้อมจะเปิดรับ  ศิษย์อาจารย์ก็อาจจะต้องหยุดพูดไปก่อน ถ้าหากว่าไฟกำลังร้อน แล้วเราก็เป็นไฟเหมือนกัน ไฟสองกองรวมกันก็จะยิ่งมากขึ้นไปใหญ่  การประชุมธรรม คนที่มาช่วยงานก็ต้องพยายามช่วยงานให้เต็มที่  ส่วนคนที่มานั่งฟังเป็นนักเรียนก็พยายามที่จะตักตวงในสิ่งที่เป็นความหมาย เป็นสิ่งที่ดีกลับบ้านนำไปปฏิบัติ มีเวลาก็ต้องมาสถานธรรม มาศึกษาเพิ่มเติม  ศิษย์อย่ามั่นใจในตัวเองมากว่าเรารู้ไปหมดดีไปหมด เพราะว่าทุกคนก็มั่นใจอย่างนี้ แต่สุดท้ายคนที่กลับคืนขึ้นนิพพานกลับมีอยู่น้อยนิด แสดงว่าความฉลาดหรือความรอบรู้ของเราไม่ได้ช่วยให้เราไปถึงไหนได้ กับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนสามารถที่จะมองเห็นตนเองได้มากกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะฉะนั้นต้องเลือกดูว่าเราพร้อมที่จะเป็นคนแบบไหน หากว่าเมื่อถูกเอาเปรียบแล้วได้รู้อะไรมากขึ้น ก็เหมือนกับศิษย์จ่ายค่าเรียนหนังสือให้กับคนนั้นไป ไม่ได้เป็นการเสียหน้าหรือเสียเกียรติอะไรมากมาย
การบำเพ็ญนั้นต่อด้วยคำหลายคำ บางทีก็ต่อด้วยคำว่า "บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจริง บำเพ็ญดี"  แต่ว่าเราเคยคิดไหมว่าการบำเพ็ญของเราจะต่อด้วยคำว่าอะไร เราอาจจะต่อด้วยคำว่า "บำเพ็ญเล่นๆ"  หรืออาจจะต่อด้วยคำว่า 
"บำเพ็ญแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้"  หรืออาจจะต่อด้วยคำว่า  "บำเพ็ญจริง"  อาจารย์ไม่สนใจว่าศิษย์จะต่อด้วยคำว่าบำเพ็ญในวิถีทางของตนเองว่าอย่างไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ต่อว่า ”บำเพ็ญอย่างไรให้ถึงฝั่ง”  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เบื่อไหมมีแต่เด็กๆ ถึงจะมีนิสัยเบื่อง่าย บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องธรรมดาพื้นๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเรื่องที่เป็นอย่างนี้เสมอไป ไม่มีรูปแบบเยอะแยะ ไม่มีเรื่องใหม่ แปลกประหลาด ให้ศิษย์นั้นตื่นเต้น  แต่หากว่าใครอยู่กับสิ่งที่น่าเบื่ออย่างนี้ได้ ผลลัพธ์ของศิษย์ก็คือ เราได้ชำนาญในสิ่งที่เราได้เรียนรู้อยู่ซ้ำๆ
อันว่าเรื่องความรัก โลภ โกรธ หลง สิ่งที่บันเทิงใจ การละกิเลสทั้งหลายมันก็เป็นเรื่องซ้ำๆ เดิมนั่นเอง รู้ก็รู้หมดแล้ว แต่ว่าทำไม่ได้  อาจารย์จึงบอกว่า แม้ว่าจะต้องเหมือนกับยืน เดิน ย่ำอยู่กับที่ตลอดเวลา แต่ว่าถ้าย่ำบ่อยๆ พื้นนั้นก็มีความหนาแน่นมากขึ้น  เหมือนกันเราบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าเราย้ำในสิ่งที่เราควรจะแก้ไขบ่อยๆ ผลลัพธ์ก็คือศิษย์แก้ไขได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้เรื่องน่าเบื่ออย่างนี้ไม่น่าจะนำมาปฏิบัติหรือ เรื่องน่าเบื่ออันนี้ไม่น่าติดตามหรือ เพราะว่าเป็นการพัฒนาในจิตใจของตัวเราเอง สนุกยิ่งกว่าดูละครอีก
(พระอาจารย์เมตตาให้เรียกแม่ครัว)  คนเรานั้นมักจะทะเลาะกัน ถ้าหากว่าเราเห็นความคิดเราสำคัญกว่าความคิดของคนอื่น เราก็จะทะเลาะกันทันที การฟังเสียงคนอื่นบ้าง เป็นสิ่งที่ควรจะทำ เหมือนกับเวลาที่เรามองดูนาฬิกา เราก็ต้องดูอะไรให้ชัดๆ (เข็มนาฬิกา)  แต่จำเป็นจะต้องมองเข็มนาทีให้ชัดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถึงจะรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง และกี่นาที  หากว่าอย่างตอนนี้อีก ๑๐ นาที ๓ โมง เราจะบอกว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง เราก็ต้องบอกว่าจะ ๓ โมงใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากเรามองไม่ดี อาจไม่คิดว่ามันจะ ๓ โมง แล้วก็ได้  อาจคิดว่าเป็น ๒ โมงกว่าๆ เท่านั้น  เหมือนกันเวลาเรามองนาฬิกา ก็ต้องมองให้ชัด มองรายละเอียดให้ชัด เวลาฟังก็ต้องฟังให้ชัด เวลาดูก็ต้องดูให้ชัด เวลาเราทำอะไรร่วมกัน เราจึงไม่ทะเลาะกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราฟังความคิดเห็นของอื่นเป็นส่วนใหญ่ แล้วเอาความคิดเราสอดแทรกเข้าไปบ้าง มีใครกันที่ไม่ชอบให้คนอื่นฟังความคิดของตนเอง  ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญธรรมนั้น ก็ขอให้เราบำเพ็ญจากภายนอกอย่างนี้  บำเพ็ญจากภายนอก ทำด้วยอาการที่ยอมคนอื่น ทำไปเรื่อยๆ จิตใจก็ยอมมากขึ้น  ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราจะให้คนอื่นยอม เราก็ต้องยอมคนอื่นก่อน  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าหากว่าเรามีอัตตามากเกินไป ก็จะเป็นเหมือนยอมคนอื่นแต่จิตใจไม่ยอม นานวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ศิษย์เลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง
อาจารย์พูดในเพลงนี้บอกว่า "กำแพงอัตตาคอยกีดขวางตนเอง"  เรามาบำเพ็ญธรรมศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมาที่นี่ ทุกคนต่างมีอัตตาของตัวเองทั้งนั้น จะเรียกร้องให้คนใดคนหนึ่งหมดอัตตา แล้วให้อีกคนหนึ่งไม่หมดเป็นไปไม่ได้ เราต้องอยู่กันอย่างยุติธรรมคือ ทุกคนต้องไม่มีอัตตาเป็นของตนเองมากเกินไป สิ่งที่กีดขวางศิษย์ไม่ให้บำเพ็ญธรรมคงไม่ใช่สิ่งอื่นใด คงไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่ยอมให้มาหรือว่าไม่มีเวลา  แต่สิ่งที่กีดขวางเราจริงๆ ก็คือ เป็นคนที่อัตตาสูงมากเกินไป เชื่อมั่นในความคิดของตนเองมากเกินไป แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่มีเวลา ยิ่งบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา ก็ยิ่งไม่มีเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
"เก่งกาจเพียงใดทุกข์เป็น หวาดลำเค็ญจึงยิ่งทำลาย"  ทุกคนก็มีความทุกข์ คนที่มีความทุกข์ มีปมด้อย ยิ่งจะปิดบังตัวเองด้วยการใช้เสียงอันดังไม่ยอมคนอื่น ใช้ความเด่นมาปิดบังปมด้อยของตัวเองนั้นไม่เป็นผล สู้ศิษย์ยอมรับตนเอง เผชิญหน้ากับสิ่งนั้นๆ ไม่ได้บอกว่ากลัวว่าตัวเองจะลำบาก จึงยิ่งทำลายผู้อื่น ยิ่งเป็นบาปหนักเข้าไปใหญ่
ถ้าหากว่าเรายิ่งมีคำพูดที่ดีๆ คนก็ยิ่งรักใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราจะน่าดู ไม่ได้ดูที่หน้าตา แต่ดูที่จิตใจและก็ความดีงามใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้เราเป็นสาวๆ อยู่ ต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง วันหน้าจะได้แข็งแรงมากกว่านี้  ศิษย์รู้ไหมว่าสภาวะพุทธะนั้นไม่ได้แบ่งความยากดีมีจน ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งว่าศิษย์นั้นจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ผิวสีขาวหรือว่าผิวสีดำ ความรู้จะมีหรือว่าไม่มี  สภาวะพุทธะที่อยู่ในตัวทุกคนนั้นเหมือนๆ กัน  ฉะนั้นการมาในสถานธรรม การศึกษาและการบำเพ็ญเมื่อไม่มีอุปสรรคเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้น ที่จะบงการให้ขาเราก้าวไป มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้เราขึ้นสวรรค์หรือทำให้เราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  ทุกๆ วันที่ศิษย์อยู่ในโลกแห่งสีสันนี้ มีความทุกข์ สุข เศร้าหรือร้องไห้ก็ดี อาจารย์ก็มีความสุขไปกับศิษย์ด้วยในยามที่ศิษย์สุข และก็มีความทุกข์ไปกับศิษย์ในยามที่ศิษย์ทุกข์ แต่ศิษย์รู้ไหมมีคนจำนวนมากที่มีความทุกข์มากกว่าศิษย์ ขอให้ศิษย์หันไปมองรอบๆ ตัวเองให้มากๆ อย่ามัวพูดว่ากันไม่เป็นอันบำเพ็ญ อย่ามัวฟังเสียงนกเสียงกา อย่ามัวบ่นท้อแท้ใจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตคนที่ว่ายาวจริงๆ ก็สั้นนัก สิบปีที่แล้วก็เหมือนผ่านไปดังสายลม  หากไม่รู้จักเก็บเกี่ยวเวลา สร้างคุณค่าให้กับตนเอง อีกไม่กี่วันก็อาจจะตายไม่รู้ตัว แล้วก่อนวันที่ศิษย์จะสิ้นลม ศิษย์ทำอะไรให้มีประโยชน์กับตัวเองบ้าง คนที่ว่าอายุยืนยาวที่สุดก็เพียง ๑๐๐ ปี  ๑๐๐ ปีนี้ก็เพื่อทำความดี เพื่อหลุดพ้นยังน้อยนัก แม้จะสำเร็จเป็นพุทธะ พุทธะก็มีหลายแบบ หลายอย่าง จะว่าไปแล้วในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าระดับ  หากคิดว่าศิษย์ทำดีแล้ว ทำดีให้มากกว่านี้ ศิษย์จะไต่ระดับขึ้นไปสูงขึ้น ขึ้นไปให้สูงกว่าอาจารย์ อาจารย์ยิ่งดีใจ  ตอนนี้ศิษย์มีอาจารย์เป็นพุทธะ แต่ในวันหน้าอาจารย์ก็หวังว่าอาจารย์จะมีศิษย์ที่เป็นพุทธะ เชื่อมั่นในธรรมะ บำเพ็ญให้จริง ทำได้ไหม (ได้)  รักษาตัวให้ดีๆ บำเพ็ญให้จริงๆ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “เห็นแก่ส่วนรวม”

โพธิสัตว์บำเพ็ญเมตตาหมั่นออกช่วย แม้มอดม้วยไม่คลายปณิธานแข็งกล้า
แม้ตกต่ำไม่วายดำรงด้วยปัญญา กิริยางามสอดคล้องด้วยฟ้ากับธรรม
ไม่มีใครออกจากบ้านโดยไม่ผ่านประตู ก้าวเดินสู่หนึ่งจุดหมายด้วยคุณธรรม
ไม่ยึดติดสังขารระวังการกระทำ การจะนำผู้อื่นต้องเริ่มจากตนเอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา