วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2543

2543-08-19 พุทธสถานสกุลอู๋ Cypress, California (ไม่สมบูรณ์)


วันเสาร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลอู๋ Cypress, California

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิด  แต่กลัวผิดแล้วไม่แก้นะศิษย์เอ๋ย
หากอยากได้ไม่ไขว่คว้ากระไรเลย   จะได้เชยชิดชมช่ืนอย่างไรกัน
               เราคือถ
  จี้กงอรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมสกุลอู๋ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพรุ่งนี้จะมาหรือเปล่า

สำเนียงหวานเป็นลมขมเป็นยา  ถูกครหาอย่าถือสรรพวาจาตำหนิ
จงคงมั่นในสิ่งให้สติ   บุปผาผลิเคยไหมที่คงนิรันตร์
พิจารณาเกิดปัญญาเกิดทางจะเกิด   ดั่งฟ้าเปิดรู้เวลากับสังขาร
ฝึกฝนใจดูให้จิตเบิกบาน   ว่างปการนี้รูปแท้ชีวิตจริง
อย่าถือมั่นตนในยามบำเพ็ญ   ความลำเค็ญนี้แดนโลกธรรมดายิ่ง
ทุกข์ที่เคยมีถึงสลายจริง   อย่าคอยชิงหายคราโอกาสใกล้
คิดก่อนทำควรที่พร้อมเสมอ   อย่าได้เผลอรู้อะไรคือจุดหมาย
หากต้องทำรีบไปทำขวนขวาย   ความเข้าใจซึ่งตรงกันอุปถัมภ์งาน

  ฮา ฮา หยุด


พระอาจารย์จี้กง เมตตาประทานพระโอวาท

วันนี้อาจารย์มาดูคนมาวันเสาร์โดยเฉพาะ  (สำหรับคนที่นี่)  การมาวันเสาร์นี่แปลกนะ ใครบ้างที่ลางานมา (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้ (คนที่มาในวันหยุดได้ผลไม้ด้วยไหม) คนขยันพูดก็มีข้อดีอย่างนี้ เพราะว่าเราจะบำเพ็ญธรรมะ  ธรรมะ ออกมาจากไหนของเรา (จากจิตใจ)  เรารับธรรมะใช่หรือไม่  แล้วธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  แต่คนมองเห็นใจของเราไหม ไม่เห็นเลย เราจะเป็นคนที่จิตใจดี จะเป็น คนที่จิตใจไม่ดี ไม่มีใครมองเห็นใจเรา  เพราะฉะน้ันอยากให้คนได้รู้ธรรมะ อยากให้คนยึดมั่นในความดีต้องทำอย่างไร  เราต้องพูดคนถึงรู้   อาจารย์จึงบอกว่าคนที่รู้จักพูดก็ดีอย่างนี้ หลายคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนเงียบ    ยิ่งชีวิตที่ผ่านมาเจออุปสรรคมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเงียบ  แล้วกดลึกจิตใจของตนเองไว้  แต่คราวนี้อาจารย์รับประกันว่า ไม่มีอะไรผิดพลาด ขอให้เรารู้จักพูดในสิ่งที่เป็นธรรมะ  ไม่ต้องกลัวคนอื่นเขาจะว่า ถ้าเขาว่า เราต้องทำอย่างไร   สมมุติว่ามหาสมุทรแห่งหนึ่งมีนำ้สีดำหยดลงไปหนึ่งหยด ถามว่านำ้ในมหาสมุทรจะเปลี่ยนเป็นสีดำไหม  หยดลงไปสองหยดล่ะ(ไม่) เทลงไปทั้งกะละมังเลยล่ะ(ไม่ดำ)  การที่คนเขาว่าร้ายเรา หรือการที่คนเขาว่าเราพูดอะไรก็ไม่รู้ พูดอยู่ได้แต่สิ่งดีดีที่เดี๋ยวนี้คนเขาไม่พูดกันแล้ว  คนมักจะชอบพูดอย่างนี้ใช่ไหม  แต่ว่าเรามั่นใจไหมว่าสิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่ดี  มั่นใจไหม ถ้าเรามั่นใจทำใจให้เหมือนมหาสมุทร แล้วเวลาที่คนเขาว่าร้าย เวลาที่คนเขานินทาลับหลังอาจจะเหมือนใส่นำ้ลงไปสักสามหยด     เวลาเขาว่าต่อหน้าอาจจะเหมือนเทนำ้ลงไปทั้งกะละมัง  แต่ถ้าใจของเรากว้างอย่างนั้น ใหญ่อย่างนั้น ใจกว้างเสมอๆ ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นเขาจะว่าอะไร   อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ กับคนในปีที่ แล้วก็ไม่ใช่คนๆ เดียวกัน คนที่มานั่งที่นี่อีกรอบหนึ่ง อาจจะมีสิ่งที่ดีขึ้น หรืออาจจะมีสิ่งที่แย่ลง แต่ว่าที่แน่ๆก็คือว่าเรานั้นต้องรู้จักที่จะกลับมาศึกษา เพราะถ้าหากว่าคราวนี้เรายังไม่มา  คนโทรไปชวนแล้วเราเกิดไม่มา  ไม่อยากมา พอเวลาเคลื่อนคล้อยถึงสิ้นปีนี้ ใจเรายังมีธรรมะอยู่ไหม มีธรรมะอนุตตรธรรมอยู่ในใจไหม สงสัยจะหาย ไปแล้ว  นี่คือทำไมอาจารย์ถึงเน้นให้ศิษย์นั้นเสมอต้นและเสมอปลาย   หมายความ ว่าตั้งแต่ต้นจนปลายก็เหมือนกัน   เหมือนธูปอันนี้ที่ตรงๆ  ต้นและปลายต้องเสมอกัน แม้ว่ากาลเวลาผ่านไป กาลเวลาเผาส่วนข้างบนนี้ไปแล้วจนเหลือเพียงก้านก็ยังตรงอยู่ แม้ชีวิตของเรานั้นจะหาไม่ โดนเวลาเผาไปเผาไป เราก็ยังเหลือจิตใจที่ตรงๆ และถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ เราจะมาพูดเรื่องการบำเพ็ญธรรมกัน  และถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ชั่วชีวิต เราจะมาพูดเรื่องการหลุดพ้นกัน ดีไหม ถ้าเราทำไม่ได้ หลุดพ้นได้ไหม  ที่เรามาที่นี่มาพูดกันว่าเกิดมาเป็นทุกข์.. เกิดมาเป็นทุกข์.. หลุดพ้นดีกว่า หลุดพ้นดีกว่า ถ้าเราอยากหลุดพ้น นั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ คนเรียกก็ไม่อยากมา แล้วจะไปพ้นได้อย่างไร น้อยเสียสละไม่ได้ สิ่งที่เป็นผลดีย่อมไม่ได้กลับมา ถ้าเราเสียสละไปก็ย่อมจะมีสิ่งที่ดีกลับมา สิ่งที่ดีนั้นอาจจะกลับมาในรูปวัตถุที่เห็นได้ หรืออาจจะกลับมาในรูปของความว่างเปล่า แล้วเราจะทำอย่างไร มีความเชื่อไหม  ดูแอปเปิ้ลในมือของเรา อย่าดูเหมือนทุกครั้งที่ดู ทุกครั้งที่เราดูเป็นอย่างไร เราก็ดูแต่ลูกที่สวยๆ ผลไม้ลูกนี้ถูกคัดเลือกมาแล้วก่อนที่จะมาถึงโต๊ะพระ ก่อนที่คนเขาจะนำมาไหว้พระ ดูซิว่ายังมีรอยไหม พลิกดูซิ นับดูว่ามีกี่แห่ง ดูให้ดีๆ มีกี่แผล(เยอะแยะไปหมด,มีหนึ่ง,ไม่มีเลย) บนแอปเปิ้ลลูกนี้มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่เท่าไหร่ มีสิ่งที่ดีอยู่เท่าไหร่ สิ่งที่ไม่ดีนั้นใครทำ สิ่งที่ดีใครทำ  แล้วแต่ใครจะนับ แล้วแต่ใครจะเห็น   คนที่ตอบสามสี่แผลแต่ให้อีกคนหนึ่งไปมองอาจจะไม่มีแผลเลย แอปเปิ้ลลูกเดียวกันแล้วแต่ใครจะมอง ธรรมะ ที่ศิษย์รับไปก็เหมือนกัน รับธรรมะไปแล้ว สมมุติว่านี่(แอปเปิ้ล)  คือธรรมะให้รับไป แล้ว ศิษย์เอากลับไปวางไว้เฉยๆ รู้ไหมว่าธรรมะเป็นอย่างไร อีกคนหนึ่งรับธรรมะ ไปแล้ว เอาไปดูหน่อยแล้ววางไว้เหมือนเดิม เห็นไหม ทันเห็นอะไรไหม  ส่วนคนนี้ รับมา(กิน) เห็นไหม(เห็นชัดเจน)  ส่วนคนนี้ไม่คิดอะไรเฉยๆ  มีอะไรไหม ไม่รู้ซิ แอปเปิ้ลมีไว้กินใช่ไหม กินเลย   แสดงว่าคนที่เข้าถึงที่สุดคือคนไหน (คนที่กิน)  เพราะว่าแอปเปิ้ลมีไว้สำหรับกิน การกินนั้นถ้าเทียบเป็นธรรมะคืออะไร การกินก็คือ การปฏิบัติ ถ้าหากว่าไม่กินจะรู้ไหมว่าแอปเปิ้ลลูกนี้รสชาดนั้นเป็นอย่างไร (ไม่รู้) ถ้า หากไม่ปฏิบัติย่อมไม่รู้ว่าธรรมะที่ตนเองรับไปนั้นเป็นอย่างไร  ตราบต่อเมื่อพยายาม ลงมือชวนคนถึงได้รู้ว่าการชวนคนยากเท่าไหร่   ตราบใดที่เราฟังว่าธรรมะต้อง ทำอย่างนี้ แล้วเราไปทำตาม เราถึงรู้ว่าอะไรที่เราทำได้และอะไรคือปัญหา อะไรที่เราต้องแก้ไขเพิ่ม และอะไรที่เราดีอยู่แล้ว  ตอนนี้ถามตัวเองว่าเรารู้จักอะไรในตัวเอง  นอกจากชื่อเสียงเรียงนาม ความเป็นมาและเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าเราอาจจะไม่รู้อะไรนอกจากนี้เลย  ถ้าถามเราว่าเรามีข้อดีไหมเราก็ตอบอย่างไม่ค่อยกล้าตอบ อย่างอายๆ พอถามถึงข้อเสียของเรา เป็นอย่างไร ยิ้มๆ น่ารักจริงๆ ถามข้อดีก็อายๆ ถามข้อเสียก็ยิ้มๆ น่ารักมาก แต่จริงๆแล้วเป็นอย่างไร  เราอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนอื่นรู้จักเรา แต่เราจำเป็นต้องรู้จักตัวเราเองให้ดีที่สุด  สมมุติว่าอาจารย์หลินมาปีละหนึ่งหน เวลาที่เหลืออยู่นี้ไม่ใช่เวลาที่จะไหลตามนำ้  ไม่ใช่เป็นเวลาที่ปลาจะอยู่กับที่เพื่อคอยน้ำ แต่เป็นเวลาที่เรานั้นสมควรที่จะปฏิบัติ เราอาจจะไปปฏิบัติจนเจอปัญหาต่างๆ นาๆ เมื่อมาเจออาจารย์เราก็ถามไถ่ นี่เป็นหลักการเป็นแนวทางที่เราควรจะทำ สำหรับคนที่รับธรรมะมาหลายปีแล้ว   ส่วนคนที่เพิ่งเริ่มต้นเราก็มีเวลาที่จะพิจารณา แต่อย่ามัวแต่มอง..มอง..มอง   มองทีเดียวให้ละเอียด แล้วเริ่มกินมันชะที  ถ้าศิษย์ของอาจารย์กินไปแล้ว รสชาดไม่ถูกปากอยากจะวางทิ้ง อาจารย์ก็ไม่ว่า  เพราะว่าทางที่อาจารย์ให้  ให้แล้วเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องของเรา สมมุติว่ามีทางอยู่เส้นหนึ่งทอดยาวออกไป ถ้าหากมีคนบอกว่าเดินไปทางนี้มีแต่ดีเราจะเดินไหม ถ้าไม่เดินเราเป็นคนฉลาดไหม(ไม่)  แต่หากเราลองเดินแล้วไม่ดีเราก็เลิกเดินได้  ในโลกนี้มีทางแยกเยอะแยะ  หนทางเส้นหนึ่งเป็นทางมนุษย์โลกเส้นหนึ่งเป็นทางสวรรค์ เส้นหนึ่งเป็นทางไปนรก   ทางไปสวรรค์และนรกและโลกมนุษย์นั้นต่อกันโดยมีทางแยกต่างๆนานา เส้นทางนี้มีทางแยกอีกมากมายนับไม่ถ้วนถ้าเผลอไปลงทางแยก..ไปลงทางแยก ลงไปลงมาอาจแยกไปนรกก็ได้  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าเรากำลังเดินทางเส้นไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน  และกำลังจะทำอะไรทำไมตอนมาถึงอาจารย์ถึงบอกให้ร้องเพลงสามัคคีชุมนุม  เพราะว่าเรามาวันนี้ด้วยความที่มีความศรัทธา มีความสามัคคีมารวมตัวกัน  เพลงบอกว่าถ้าสามัคคีทำสิ่งใดก็ จะสำเร็จ แม้แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็จะสำเร็จเหมือนกัน  สถานธรรมนี้มีคุณอ้อยที่เรารู้จัก แต่หากว่าเขาสามัคคีมือซ้ายและมือขวาของตัวเองเท่านั้นพอไหม มือซ้ายและมือขวา สามัคคีกันก็ยังทำงานได้จำกัด..จำกัดเหลือเกิน มือซ้ายและมือขวาถึงจะขยันขันแข็งอย่างไรก็ยังไม่พอ ถ้าหากว่ามีซักสองสามมือ สี่ห้ามือ สี่ห้าคนขึ้นมางานเสร็จเร็วขึ้นไหม ดีขึ้นไหม อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์เห็นธรรมะเป็นของของตัว เป็นสิ่งที่ตัวเรานั้นเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งเช่นกัน  แล้วเราก็จะมีใจศึกษาเพิ่มขึ้น บำเพ็ญมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราเห็นธรรมะบ้านคุณอ้อย ก็เป็นของใคร(ของคุณอ้อย)เราบำเพ็ญ ไปอีกนานเท่าไหร่ก็เป็นของใคร(ของคุณอ้อย) ไม่เป็นของเราซักที
คนไทยเต็มประเทศ อยู่ที่นี่เราเป็นคนไทยกลุ่มเดียวในประเทศของเขา  เราก็ต้องถือว่าเมื่อเราอยู่เมืองไทย โอกาสเยอะแยะมากมาย จะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ แต่อยู่ ที่นี่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากและจำนวนของเราที่น้อยลง อุปสรรคของเราที่มาก ขึ้น  เราต้องรู้จักทำให้สมดุลย์กัน   แม้จะยากลำบากซักนิดนึงแต่ก็คงจำเป็นต้องทำ เพราะอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า เส้นทางการเป็นพุทธะนั้นยากกว่านี้อีกหลายเท่า ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้อีกหลายปี   ทองสักแท่งเราอยากทำให้บริสุทธิ์ เรา ก็ต้องเอาไฟเผา ตอนนี้เราอยู่ในโลกนี้เราเป็นทองที่ถึงเราจะบอกว่า เราเป็นทอง บริสุทธิ์อย่างไรก็ยังเหมือนกับแอปเปิ้ลที่ถูกเลือกมาแล้วก็ยังมีแผล ทองของเราอยาก จะให้บริสุทธิ์ก็จำเป็นต้องเผา แล้วมันจะลำบากไหม   เปรียบจิตใจของเราเหมือน ทอง แล้วต้องเอาไฟมาเผา เอาอุปสรรคความยากลำบากมาเผา  ถ้้าหากว่าตอนนี้ เราบอกตัวเองว่าทนไม่ได้โดยที่ไม่ได้ลอง  เราก็เหมือนกับคนที่อาจารย์ให้ทางแล้ว ไม่รู้จักเดิน เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องลองดู  ลองดูซักระยะหนึ่ง แต่อย่าปล่อยให้จิตใจ ของเรามันไหลลื่นตามกาลเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้จิตใจของเรามันไปเรื่อยๆ  คนมา ดึงไปทางโน้นทีก็ไป ดึงไปทางนี้ทีก็ไป ทำอย่างนั้นได้ไหม  เราต้องมีหลักมีเสาที่อยู่ ในใจของเรา ที่ให้เราเกาะยึด   เราต้องปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นโพธิ์ในใจของเราให้เรายึดได้ ให้เรามีร่มเงา ตั้งใจกลับไปปลูก ปลูกให้ขึ้น แล้วเรายึดต้นไม้ต้นนี้ไว้ถ
ไม่อย่างนั้นถ้าในใจของเราเป็นที่ราบโล่งเตียน ถึงเวลาลมมาเกาะอะไร อุปสรรคมาจะเกาะอะไร ไม่มีเลย เวลาโดนลมปากเป่าพรวดเดียวเป็นอย่างไร  กระเด็นไปห้าเมตรเลยใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนอธิบายพระโอวาท) ใครในที่นี้คิดว่าตนเองได้ผ่านการบำเพ็ญมาแล้วแม้ว่าจะในแบบต่างๆ ก็ลุกขึ้นยืนอธิบาย เราอาจจะมีปัญญามากขึ้นก็ได้   ให้เป็นอีกมุมมองหนึ่งในคนที่ได้บำเพ็ญแล้ว   จะมีความต่างกันขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างคนที่หนึ่ง..สอง..สาม ส่วนใครนำ มาเป็นคนที่หนึ่ง สอง สามไม่ต้่องตัดสิน เพราะว่าธรรมะนั้นบอกไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วใครจะไปถึงก่อนกัน   ใครจะแจ้งกว่ากันคงไม่มี  แต่อาจารย์จะวิจารณ์คำอธิบายของศิษย์ให้ฟัง  การที่บอกว่า เอาธรรมะมาประดับกายนั้นผิด  เพราะกายนั้นเป็นเครื่องประดับของจิต  รู้ไหมจิตของเรานั้น มีพลังและมีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่   ไม่ผิดหรอก ที่คนสมัยนี้บางคนจะเรียนรู้วิธีสะกดจิต ไม่ผิดที่คนสมัยนี้จะมีพลังอันลึกลับมากมาย นั่นเป็นพลังส่วนหนึ่งที่ออกมาจากจิต ไม่ผิดที่เขาสามารถถอดจิตไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวนรก  และไม่ผิดที่เขาสามารถจะหยั่งรู้เหตุการณ์อนาคตและปัจจุบันได้ เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น   แต่ทว่าเป็นการใช้ชีวิตใช้จิตเป็นทาส  เราไม่รู้เลยว่าเราสามารถที่จะดึงจิตของเราให้อยู่เหนือกายของเราได้ เมื่อเราบำเพ็ญจิตใจของเรา การบำเพ็ญในยุคขาวอนุตตรธรรมนี้ไม่ต้องการให้ศิษย์เหาะเหินเดินอากาศ  ไม่ต้องการให้ศิษย์สะกดจิตได้   ไม่ต้องการให้ศิษย์มีลาภยศ สักการะที่มาจากการบำเพ็ญธรรม  แต่่ต้องการบำเพ็ญเพื่อให้จิตของเรานั้นสามารถที่จะหลุดพ้นจากวงโคจรของการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้  เพราะชีวิตนี้ต่อให้ศิษย์จะเจอเรื่องเศร้าที่สุดเรื่องสมหวังมากที่สุดอย่างที่ใครๆไม่เคยเจอ  แต่ศิษย์ไม่สามารถรับประกันได้หรอกว่าในชาตินี้ที่เราเจอความสมหวังและความผิดหวังสุดๆ นั้น  ในชาติหน้าตราบใดที่เราไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด   เราก็จะทุกข์สุข..ทุกข์สุข..ทุกข์สุขอยู่อย่างนี้    ฉะนั้นในวันนี้ที่อาจารย์มาเพื่อเน้นเตือนให้ ศิษย์ของอาจารย์บำเพ็ญธรรมเพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่เห็นได้ทันที ทันทีในธรรมะนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นในวันสองวัน ทันทีนั้นใช้เวลาหลายปี นั่นคือการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเรา     คนเราเกิดมาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว รำ่รวยเท่าไหร่ ยากจนเท่าไหร่ เจอเหตุการณ์อะไรบ้าง มาเจอใครบ้าง ทุกอย่าง ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น  ถูกกำหนดโดยใคร  ไม่ได้กำหนดโดยพระพรหม  แต่ถูกกำหนดโดยตัวเองในชาติก่อนๆนั่นเอง  เพราะฉะนั้นคนที่จะเปลี่ยนสิ่งร้ายๆที่ผ่านมา ในชีวิตที่เราเจออยู่นี้ให้ดีขึ้น ก็ต้องเป็นใคร ไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่พระพรหม   แต่เป็น ตัวเราเอง  ตัวเราที่จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น      ฉะนั้น การบำเพ็ญธรรมอาจารย์อยากให้ศิษย์มีชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ มีความสุขเราก็รู้จักที่จะถนอมรักษาไว้  มีความทุกข์ก็ไม่เสียใจ แล้วเราจะใช้ชีวิตของเราบำเพ็ญธรรมทำความดี อย่าบอกว่าความดีในโลกนี้ไม่มีจริง ฉันทำดีแต่ไม่เคยมีใครดีตอบฉัน อย่าคิดอย่างนั้น  เราอาจ จะชดใช้หนี้เขาก็ได้ อาจจะเป็นโอกาสอย่างหน่ึ่งที่เราให้แก่เขา เขาแกล้งเราเขา ก็จะละอายใจ แล้วเขาก็จะรู้สึกอยากที่จะแก้ไขตัวเองก็เป็นไปได้   ถ้ามองโลกในแง่ดี ทุกอย่างก็จะดีขึ้น  เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อบุญของเราส่งผลมา ทุกอย่างก็จะดี ขึ้นเอง ในวันที่ทุกอย่างดีขึ้นนั้น  อย่าลืมความตั้งใจเดิมๆของเรา  เข้าใจใหม
กลอนที่อาจารย์ให้นี้  จริงๆ แล้วอาจารย์ให้ง่ายมากพอที่ศิษย์อ่านแล้วจะเข้าใจ ได้เลย  ก็คือทุกคนทำผิด ทุกคนมีความผิดติดตัว   แต่เมื่อผิดแล้วต้องรู้จักที่จะแก้ไขเพราะพุทธะนั้นไม่กลัวคนทำผิดแต่กลัวคนที่ผิดแล้วไม่ยอมแก้ไข  รู้แล้วยังทำประเภทนี้กลัวที่สุด  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิดแต่ผิดแล้วต้องแก้ หากอยากได้อะไรมา อย่างเช่นอยากจะได้เงินสักสิบดอลลาร์ก็จำเป็นที่จะต้องไปหาทาง ให้ได้มา อยากจะได้บันไดฟ้าอีกสิบขั้นทำอย่างไร อยู่เฉยๆอยู่กับบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  หากอยากได้แต่ไม่รู้จักที่จะไขว่คว้าก็จะไม่ได้อะไรเลย   หากไม่พยายามก็จะไม่ได้อะไรมาให้ชื่นชม
(พระอาจารย์ใส่เสื้อที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมถวาย) ใส่ดีไม่ใส่ดี ใส่ก็แล้ว กันนะ  เสื้อนี้เป็นรูปลักษณ์  แต่ธรรมะไม่มีรูปลักษณ์อะไรที่ศิษย์สามารถเกาะยึดได้ เตรียมกระดาษแผ่นใหญ่ด้วย อย่ามัวยืนหัวเราะ เดี๋ยวมีสี่มือก็จะไม่ทันนะ
ไปจอดรถที่ของเขาก็ไม่ได้ใช่ไหม ฐานบัวที่เบื้องบนถ้าหากว่าตอนนี้ไม่ลงแรง เวลาขึ้นไปเบื้องบนอาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้นะ   ถ้าหากขึ้นไปข้างบนแล้วต้องยืนตลอด เมื่อยไหม  เคยเห็นรูปของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม  พระกวนอิมรูปนี้เหยียบมังกรอยู่  พระกวนอิมรูปนี้นั่งอยู่บนฐานบัว  พระศรีอารย์รูปนี้ไม่ได้นั่งบนฐานบัว  อาจารย์ก็มีฐานบัว  แต่ฐานบัวของอาจารย์บางทีก็เป็นบัว บางทีก็เป็นหิน เพราะอะไร บางทีเป็นหินเพราะร้อนใจที่ศิษย์ของอาจารย์มีเรื่องร้อนใจ  เรียกให้อาจารย์ลงมาช่วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหินมากกว่าบัว เพราะศิษย์ของอาจารย์ร้อนใจตลอด    ไม่ร้อน เรื่องลูกก็ร้อนเรื่องหลาน ร้อนเรื่องสามีภรรยา เรื่องร้อนเต็มไปหมดมีอยู่ประมาณล้านแปด แล้วแต่เราจะไปร้อนเรื่องอะไร บางทีก็หาเรื่องร้อนใส่ตัวก็มี บางทีเรา ร้อนวิชาก็ออกไปลองของ  เพราะฉะนั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสอนศิษย์ให้จำไว้ไม่รู้ลืม เป็นคำง่ายๆ ที่ศิษย์รู้จักอยู่แล้ว   คำนี้เขียน ป ข้างหลังเป็น ง เว้นไว้ตรงกลาง คือคำว่า ปลง ต้องปลง คำๆ นี้ต่อให้ศิษย์จะอยู่ที่ไหนก็ใช้ได้ทุกๆเวลา  คำนี้อยาก ให้ศิษย์เก็บไว้ใช้ เพราะว่าบางปัญหาต้องอาศัยเวลาแก้   แต่บางปัญหานั้นสอนให้ เราทำใจได้ แต่ว่าเราทำใจได้ไหม    เพราะฉะนั้น ต่อให้มีเงินมาสำรองอีกสัก เท่าไหร่ ต่อให้มีเวลาอีกมากเท่าไหร่ ต่อให้มีคนเห็นอกเห็นใจเราอีกมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถแก้ได้  เพราะว่าเราทำอะไรไม่ได้(ทำใจไม่ได้) รู้อยู่แล้วนะเรื่องนี้ รู้อยู่แล้วแต่ทำไม่ได้  ถ
เอาคำที่อาจารย์ให้แบ่งเจ็ดเป็นไหม    คนที่อยู่ข้างหน้าบางเรื่องเขาก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ แต่สถานการณ์บังคับ ตอนนี้อาจารย์ก็มาแล้ว อยากให้อาจารย์มาตอนนี้ก็ ต้องมานั่งบอก จะต้องมานั่งทำในสิ่งที่ตัวเองก็แทบจะไม่รู้เลย      บางทีการมา สถานธรรม มาศึกษาธรรมะก็เป็นอย่างนี้ เราอย่าคิดว่าทุกๆคนต้องรู้ในทุกๆอย่างที่ถ
เราอยากรู้คำตอบ  ไม่ใช่  ทุกคนมาศึกษาและเรียนรู้กันเดี๋ยวนี้  มองอีกทีจะเป็นถ
ความเปิดใจส่วนตัว มองอีกทีจะเป็นความจริงใจมากๆ  ธรรมะนี้เป็นธรรมะง่ายๆถ
ไม่มีอะไร อาจารย์มาในวันนี้  ก็ไม่ใช่ว่าอยากมา   แต่อาจารย์อยากจะสอนศิษย์ ได้เห็นหน้าศิษย์ ให้ศิษย์ได้รู้ว่าอาจารย์นั้นอยู่กับศิษย์   ถ
ชั้นนี้ชื่อว่าชั้นกันเอง  ที่นี่่ใครไม่ชอบร้องเพลงบ้างมีไหม ชอบร้องทุกคนไหม (ชอบ)ถึงได้ร้องเพลงล่มแล้วๆ ถ
อาจารย์อยากจะถามว่ามาสถานธรรม มาบำเพ็ญธรรมมีอะไรสงสัยอยากจะถ
ถามไหม  อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ได้ขุดเอาความที่ไม่เข้่าใจ  ความที่ยังติดค้างถ
อยู่ในใจออกมาจริงๆ ออกมาเร็วๆ เพราะว่าเมื่อทำการชำระล้างจิตใจของเราถ
ได้สะอาด ความสะอาดจะเป็นพื้นฐานของปัญญาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่หากถ
ว่าศิษย์ชำระล้างจิตใจของตัวเองให้สะอาดไม่ได้  ในปัญญาของศิษย์นั้นก็จะทึบไปถ
ด้วยฝุ่น ทึบไปด้วยความสงสัยไม่เข้าใจต่างๆนาๆและพร้อมที่จะถอยในวันข้างหน้าถ
ผลจะต่างกันลิบลับ    เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงเน้นให้ศิษย์ทุกคนของอาจารย์ฟังถ
เสมอๆว่า เวลาที่เราจะบำเพ็ญธรรม  เราต้องใช้ความศรัทธา ไม่ใช่ใช้ความถ
สงสัยเคลือบแคลง อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนหัวใจว่างเปล่าแทบจะไม่มีความสงสัย อะไรเลย ว่างเปล่าจนกระทั่งเปล่าจนไม่มีอะไรที่จะบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญธรรมถ
อย่างไร เปล่าไม่รู้  ทำไมไม่มาสถานธรรม เปล่าไม่มีอะไร    เราชอบพูดว่าถ
เปล่าไม่มีอะไร มันเปล่าจริงๆ  แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ มันถูกทับถมไปด้วยสิ่งที่ศิษย์ก็ถ
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นเราจะต้องพยายามทำความสะอาดจิตใจของเรา เพื่อจะได้มีปัญญาจริงๆที่จะมาบำเพ็ญธรรม ถ้าจิตใจของเราไม่สะอาดเราบำเพ็ญ ธรรมไป บำเพ็ญเพื่อที่จะถอยในวันข้างหน้านั้นเอง    สังเกตไหมว่า ปีผ่านปีไปถ
จิตใจของเราถึงได้ถอยลงเรื่อยๆ ถอยต่อความดีก็ดี ถอยต่อสิ่งที่คอยเอาชนะมารถ
ก็ดี มันถอยลงไปเรื่อยๆ เพราะอะไรเราเองก็ยังไม่รู้เลย  สิ่งเหล่านี้ก็คือจิตใจถ
ที่ไม่เข้มแข็งมากพอ เราควรจะรู้จักตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้  เมื่อปีหน้าอาจารย์ถ
มาก็ดี  สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆมาก็ดี   จะได้พบศิษย์ของอาจารย์อีกครั้งและเจอกันถ
อย่างนี้จนตลอดไปถ
อย่า ถือ วันหลังมาสถานธรรมถ้ามีอะไรขัดหู ขัดตา ขัดใจ อย่าถือนะ เพราะถ
ว่าทุกคนนั้นมาบำเพ็ญธรรม  ทุกคนนั้นเป็นมนุษย์  มีธรรมะอย่างเดียวที่ถูกส่งมาถ
จากฟ้า นอกนั้นก็ให้คนเป็นผู้เผยแพร่ไป ให้คนเป็นผู้บำเพ็ญไป  บำเพ็ญบางทีก็มีีถ
อะไรดีบ้าง ไม่ดีบ้างอยู่ในนี้แหละ  ขอให้เราเลือกแต่สิ่งที่ดีดีไป    เหมือนกับถ
เวลาต้มหม่ี เราจะเลือกเอาเส้นหรือเอานำ้ขึ้นมา เลือกให้ถูก  อย่าเอาแต่นำ้ถ
กลับบ้าน  นำ้เต็มหัวใจ เลยโหรงเหรง ไปไหนก็มีแต่นำ้     บางคนเป็นคนที่ถ
ค่อนข้างจะละเอียด รอบคอบ เป็นคนที่ไม่ง่ายกับทุกอย่าง มีความละเอียดละออถ
อยู่ในใจ แต่ความละเอียดนั้นต้องเก็บไว้ใช้ให้ถูกกับเราถ
มั่่น ใน คนๆนี้ก็ไม่ง่ายนะ แม้ในกระเป๋าจะไม่มีสตางค์     แต่ว่าในวาสนา ของเรามีเยอะแยะ  ถ้าเราบำเพ็ญธรรมก็คือการถนอมวาสนาไปเรื่อยๆ  ให้มี ความมั่นคงอยู่ในใจ รวยทรัพย์นั้นมีมากไปก็หมด รวยนำ้ใจรวยวาสนาใช้ไม่หมดถ
สิ่ง สรรพ เวลาที่เรากราบพระนั้น การบำเพ็ญธรรมก็มีท่าที่ถูกต้อง   มีความถ
ยากลำบากบ้าง มีความง่ายบ้าง เรามาสถานธรรมอะไรๆก็แปลกไปหมด   ไม่ถ
ค่อยจะคุ้นเคย แต่ว่าเรายิ่งมาบ่อยเราก็ยิ่งคุ้นเคย  หลายปีมาแล้ว   แต่เราก็ถ
ยังไม่คุ้นเคยสักที   สรรพสิ่งแปลว่าทุกสิ่ง   ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ควรจะวางถ
ให้มากๆ ไม่งั้นเราก็ไม่มีเวลามาสถานธรรม   อยากจะให้อาจารย์รักษาอะไรถ
(รักษาตา) เราใช้เขามาตั้งเยอะแยะ  ตอนนี้จะมาเรียกหาหมอก็ช้าไป จะให้ อาจารย์ช่วย อาจารย์ช่วยไปแล้ว ศิษย์หายแล้ว   ยังอยากจะบำเพ็ญธรรมไหมถ
(อยาก) แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาที่มีโอกาสดีๆอยู่ในมือเราทำไมถึงไม่รีบบำเพ็ญ   อาจารย์จะบอกให้นะว่า    อาจารย์มักจะช่วยศิษย์ทุกๆคนเท่าที่อาจารย์ช่วยได้ แต่ศิษย์อย่าลืมว่าทุกๆคนนั้นมีเจ้ากรรมนายเวรมากเป็นพรวนๆ    ศิษย์คนเดียว หางอาจจะต่อยาวไปถึงห้าเมตร สิบเมตรหรืออาจจะมากกว่านั้น อยู่ที่ทำความดี ทำความไม่ดีมากเท่าไหร่  ตอนที่เรามีธรรมะไปถึงบ้าน  ตอนที่เรายังสามารถ จะบำเพ็ญได้เราไม่ทุ่มเทให้เต็มที่  ตอนนี้เป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่อาจารย์ถ
ไม่ปฏิเสธ ให้พระกวนอิมเมตตาช่วยเหลือแล้วกันนะ    ดูซิว่าความศรัทธาของ ศิษย์จะสามารถทำให้ท่านปกป้องศิษย์ได้หรือเปล่า        ได้ไหว้ท่านบ่อยไหม อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรค   อาจารย์ไม่รับประกันว่าหายไหม    มัันขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาของคน    จิตเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน และจิตเป็นสิ่งที่มีพลานุภาพเหนือถ
ร่างกายนี้  เมื่อจิตของเรามีศรัทธา   เมื่อเราสามารถจะเจริญกุศลเพื่อชดใช้ เจ้ากรรมนายเวรได้  จิตของเราจะส่งพลานุภาพไปยังท่านและท่านจะช่วยเราถ
ได้  แต่ต้องเปิดใจให้กว้างๆ เมื่อช่วยแล้วศิษย์จะไปทำเหมือนเดิมไม่ได้  แล้วถ
จะรอให้ท่านช่วยศิษย์ก่อนไม่ได้  ศิษย์ต้องเจริญกุศลก่อน  ไปกราบท่าน  ทุกคน ช่วยกันกราบก็ได้นะ   ต้องเข้าใจนะว่า อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรค   บางคน แม้ไม่ได้ขอส่ิงศักดิ์สิทธิ์ๆก็ช่วย   แม้ไม่พูด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รู้ว่าศิษย์ป่วยเป็นอะไร  แต่ทุกคนในโลกป่วยเป็นโรคใจ   มีใจเป็นต้นเหตุ   เมื่อใจมีปัญหาจิตก็มีปัญหา เมื่อจิตมีปัญหาร่างกายของศิษย์ก็มีปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยใจและอาจจะ หายได้ด้วยใจ บางคนใช้พลังจิตในการสะกดคนอื่น แต่เราจะใช้พลังจิตนี้ในการ สะกดตัวเองนะ สะกดให้เราหายจากโรคไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่า จะดีไม่ว่าจะไม่ดี เราก็ถือว่าเราส่งจิตใจอันศรัทธานี้ไปถึงเบื้องบนนะ  ศิษย์คิดถ
ว่าต้องใช้แรงส่งเท่าไหร่จึงจะสามารถไปถึงเบื้องบนถ
ที่ เคย รู้ ถ
เปิด ใจ ดู อาจารย์อยากจะขอเวลาให้ศิษย์นั้นได้บำเพ็ญธรรมด้วย ขอให้เราถ
ได้บำเพ็ญธรรมในยามทำงาน ไม่ใช่อาจารย์กลับก็กลับไปด้วย ขอให้เปิดใจให้ถ
กว้างๆ ใจที่กว้างอยู่แล้วให้กว้างมากขึ้น การบำเพ็ญธรรมะนั้นเป็นเรื่องง่ายๆถ
พื้นๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองรู้มาแต่เก่าก่อนนั้น ในส่วนที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วเมื่อถ
เราทำได้หมด หาสิ่งศึกษาเพิ่มเข้าไป เพิ่มความพยายามให้มากขึ้นจึงจะเรียกถ
ว่าคนบำเพ็ญ ทำในสิ่งที่เรารู้ให้หมดสิ่งที่เรียกว่าดีทั้งหมด คนทั่วไปไม่สามารถ ทำสิ่งที่รู้ให้แจ่มแจ้งได้ ฉะนั้นจึงยังยากที่จะมาบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่งถ
ให้ เวลา กับ  อาจารย์ขอเวลาของศิษย์ทุกคนที่จะเสียสละมาบำเพ็ญ เพราะถ
ว่าการบำเพ็ญในพื้นฐานชีวิตของเราก็ไม่ใช่จะมีรากมีฐานตั้งแต่ต้น ต่อไปนี้ต้องถ
ให้เวลากับการบำเพ็ญจริงๆ อย่างน้อยถ้าเราไม่มีเวลามาสถานธรรม  เราก็ถ
ต้องมีเวลาที่จะมองดูตัวเอง  มีเวลาที่จะดูว่าเราเอาธรรมะไปไว้ตรงไหนในถ
จิตใจของเรา มีความเชื่อมั่นกับธรรมะมากแค่ไหน  และมีความเชื่อมั่นพอที่จะถ
บอกคนอื่นว่าเราบำเพ็ญธรรมอยู่     คำว่าเวลานี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอีกถ
หลายสิ่งในชีวิต ถ
จิต ตน นี้ เห็นไหมว่าอาจจะมีธรรมะเหมือนๆกัน แต่อาจจะมีความแตกต่างอยู่ถ
ได้ด้วย บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไรถ
รูป แท้  ตลอดมาศิษย์ของอาจารย์ก็ได้บำเพ็ญอยู่  แต่เราบำเพ็ญด้วยการติดในถ
การดู ดูอนาคตก็ดี ดูอดีตก็ดี ดูสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้น รูปแท้เป็นอย่างไร รูปแท้ถ
คือรูปที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่ว่ารูปปลอมคือสิ่งที่กำหนดได้   เห็นได้ถ
กำหนดได้ว่าเราจะต้องเป็นอย่างนี้ๆและเราต้องมีลาภอย่างนี้ๆต้องมีผลอย่างนี้ๆ   ไม่ว่าเงินทองลาภยศและการรักษาโรคได้ ล้วนไม่ใช่รูปแท้  อาจารย์จะบอกว่าถ
ความว่างเปล่านั้นเป็นรูปที่แท้จริง ชีวิตของคนต่อให้หามาได้มากเท่าไหร่  เงินถ
ทอง ลาภยศก็ดี ความสุขก็ดี สักวันหนึ่งมันจะหายไป  เพราะฉะนั้น รูปแท้ๆของถ
ชีิวิตเราคือความว่างเปล่า อย่าได้ไขว่คว้า อย่าได้ดิ้นรนหาให้มากเลย  ความถ
อยากรู้ก็ดี  ไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์ก็ดี เราจะไม่ไขว่คว้าไม่แสวงหา อาจารย์ อยากให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยความมั่นคงหนักแน่น ขอให้เราอย่าได้ดิ้นรนที่จะได้รู้ได้ดู ได้เห็นอะไร เราจะได้มีรูปแท้อยู่ในชีิวิตของเรา  เราจะได้มีนิพพานตั้งแต่เราถ
ยังไม่กลับขึ้นไปถ
ใน โลก แดน นี้  ถ
หา เคย มี   ในโลกนี้ไม่เคยมีอะไรเลย  ทำไมศิษย์ของอาจารย์ต้องวงขึ้นมา พร้อมกัน เพราะมีบุญร่วมกันมาแต่ครั้งเก่าก่อน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับที่จะได้ผูกบุญถ
ในชาตินี้ต่อไป ไม่สำคัญเท่ากับที่ได้ลงเรือลำเดียวกันถ
ถึง ครา ที่ ถ
ควร ทำถ
อะไร ไป รีบ ทำถ

ละอัตตา หมายความว่าอย่าถือตัวตน ทำไมถึงบอกว่าให้ละท้ิงตัวตนล่ะ มนุษย์ถ
ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ ทำไมบำเพ็ญธรรมไม่ได้   พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยมีร่างกาย เป็นคนไหม   ตอนนี้ร่างกายของเราเขาเรียกว่าคน   เรามีร่างกายเป็นคน พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เคยมีร่างกายเป็นคน  ไม่ต่างกันเลย เมื่อมีร่างกายเป็นคนถ
เรียกว่ามีโอกาสที่จะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกนี้ หมู หมา กา ไก่ สัตว์ทั้ง หลายที่เกิดมาเขาก็มีสิทธิ์เกิดเป็นคน   เพียงแต่ชาตินี้เขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนถ
เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าทุกๆคนมีโอกาสเท่าๆกัน  เพียงแต่ขาดการถ
บำเพ็ญ และการบำเพ็ญนี้จะต้องละอัตตา  ทุกๆคนยึดในครอบครัว  ยึดในสามี ภรรยา ลูก ทรัพย์สินเงินทอง  นี่เป็นอัตตา ไม่ใช่เฉพาะตัวนี้เท่านั้น แต่มีมากถ
มายหลายอย่างที่เป็นอัตตาทั้งนั้น  ถ้ามาสถานธรรม เราเป็นคนที่โกรธคนง่าย  แล้วเราละอัตตาความโกรธนี้ไม่ได้   พอมาสถานธรรมมีคนยั่วให้โกรธ เราก็ เลยไม่ต้องบำเพ็ญธรรมกันพอดี เพราะเราทนคนอื่นไม่ได้ เราอยู่ร่วมกับคนอื่นถ
ไม่ได้ แต่การบำเพ็ญในยุคนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เราบำเพ็ญในครัวเรือน ร่วมกับคนอื่น เพราะว่าถ้ารอให้ศิษย์เข้าป่าเขาไปบำเพ็ญธรรมเหมือนสมัยก่อน  ให้บรรลุในแบบอย่างสมัยก่อน ด้วยวิธีนั่งสมาธิก็ดี ทำบุญก็ดี  กี่คนจะทำ  กี่คนถ
เอาจริง กี่คนทำจริง กี่คนบรรลุจริง เหมือนกับคำที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอยู่บ่อยๆและ อาจารย์ก็เห็นอยู่ตลอดว่าบนสวรรค์ว่างเปล่า  แต่ในนรกแน่นเอี๊ยดไปด้วยคนที่ถ
ทำบาปทำกรรม  ทำไมล่ะ แสดงว่าคนสมัยนี้ทำชั่ว ไม่ฝักใฝ่ในความดี แล้วถ้า ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่สามารถที่จะฝักใฝ่ในความดีได้แล้วจะให้ใครทำ   เรา ไม่บรรลุ เราไม่ขึ้นแม้แต่สวรรค์ จะให้ใครขึ้น กระทั่งเราผู้มีสติเพียบพร้อม รู้ ว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้จักแยกแยะอะไรดี อะไรปลอมเรายังไม่อยากไปสวรรค์ถ
เลย แล้วจะให้ใครไป   เพราะฉะนั้น อาจารย์ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ศิษย์ หวังว่าศิษย์จะสามารถนำพาตนเองขึ้นไปได้  เมื่อเราสามารถที่จะบำเพ็ญได้ถ
บรรพบุรุษของเราก็จะได้รับรัศมีแห่งกุศลนี้ไปด้วย เมื่อเราสามารถบำเพ็ญถ
ได้คนรอบๆข้างของเราก็จะเดินตามเราขึ้นมา ถ
วันนี้อาจารย์มาต้องลาแล้วนะ     ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ฟังเรื่องการถ
บำเพ็ญธรรมแล้ว อยากบำเพ็ญไหม(อยาก)ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่อยากถ
บำเพ็ญธรรม ก็เหมือนเด็กที่ไม่อยากเรียนหนังสือ  ในโลกมนุษย์นี้คนที่ไม่เรียนถ
หนังสือ ออกไปทำงานย่อมไม่เป็นที่ต้อนรับ การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน มียากถ
บ้างง่ายบ้าง มีทดสอบบ้าง สอบใจเราบ้างเราสอบตัวเองบ้างเราขี้เกียจบ้าง  เป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่ในการบำเพ็ญธรรม  ส่วนการบำเพ็ญธรรมนี้   ธรรมะ ก็เหมือนกับโรงเรียนที่เปิดขึ้นมาชั่วคราวเพื่อที่จะฝึกสอนพุทธะโดยเฉพาะ  ถ้าถ
ใครทำไม่ได้ ใครทนไม่ได้ ใครที่ทำตัวแย่มาก อย่าบอกว่าธรรมะนี้เมื่อรับแล้ว ต้องหลุดพ้นแน่นอน เมื่อรับแล้วไม่มีทางที่จะเป็นอื่นไปได้  ศิษย์ของอาจารย์นั้นถ
ตกนรกก็มี  ทำไมล่ะ  ไม่ใช่เพราะไม่บำเพ็ญอย่างเดียวนะ แต่เพราะถลำทำ ในสิ่งที่เป็นบาปมหันต์อาจารย์ถึงช่วยไม่ได้ ถึงตอนนั้นแม้ว่าจะมีช่ืออาจารย์จี้กง คอยคำ้ประกันก็ไม่สามารถที่จะคำ้ประกันศิษย์ขึ้นสู่เบื้องบนได้ ก่อนที่เราจะจากถ
กันในวันนี้  อาจารย์จึงอยากเน้นให้ศิษย์เลือกทำแต่สิ่งที่ดี  เลือกมองแต่สิ่งที่ดี เลือกปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง  อย่าได้ท้อแท้   อย่าได้ถอนตัวออกจากการบำเพ็ญ  ขอให้ตั้งใจศึกษาให้มากๆ  ถ
เพลงนี้เป็นความในใจของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ทุกคน  ทำไมอาจารย์ถึงมา ลุ้นให้ศิษย์ดึงล่ะ ทำไมอาจารย์ไม่ดึงเองล่ะ  เพราะอาจารย์ไม่มีร่างกายอันนี้     ตอนนี้ยังต้องมายืมร่างกายคนอื่นเขาใช้เพื่อจะได้มาคุยกับศิษย์เห็นไหมว่าต่อให้ เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีอุปสรรคเลย   ไม่สามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามใจปรารถนา แล้วศิษย์เป็นคน    การเจออุปสรรคบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ
ไม่ใช่หรือ  เมื่อเรามีอุปสรรค เมื่อเรามีความทุกข์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของถ
การบำเพ็ญ เมื่อศิษย์มีแต่ความสุขสบาย ได้อะไรสมใจอยู่เสมอ นั่นเป็นจุดถ
เริ่มต้นของความล้มเหลว คนที่ไม่เคยได้รับความยากลำบากเลย ย่อมไม่รู้จักถ
ที่จะเอาชนะอุปสรรคได้ ฉะนั้นศิษย์เกิดมาบุญก็มีกรรมก็มี สำเร็จก็เคยล้มเหลวถ
ก็เคย ทุกข์ก็เคย สุขก็เคย เราจะไม่ยอมเป็นคนอย่างนี้ไปตลอดชาติเวียนว่ายถ
ตายเกิดอย่างนี้ไปตลอดกาลใช่ไหม  ถ้าหากใครคิดว่าตัวเองน้ันไม่มีทางหรอก ถ
บุญไม่ถึง  นิพพานไปอย่างไรคิดไม่ออก   อาจารย์ช่วยคิด อาจารย์ช่วยพาไป  ขอให้ศิษย์เดินตามอาจารย์ไป เชื่อมั่นในตัวอาจารย์หน่อย อย่าเปลี่ยนใจวันละ สามสี่รอบ   อ่านเพลงนี้ เข้าใจเพลงนี้ นึกถึงอาจารย์ด้วย อาจารย์ไม่อยากถ
ให้ศิษย์มีความสับสนอยู่ในความคิด   ไม่อยากให้ศิษย์ดึงกันไปดึงกันมาแบบไม่มีถ
จุดยืน แบบพร้อมที่จะล้มเสมอ  ทุกๆคนพร้อมที่จะเป็นคนเข้มแข็งในวันข้างหน้า เพียงแต่วันนี้ต้่องรู้จักตัวเองก่อน  เอาละ ช่วยกันร้องเพลงส่งอาจารย์ถ

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

2543-07-23 พุทธสถานหย่งซิ่น จ.ชลบุรี


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานหย่งซิ่น จ.ชลบุรี
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

อย่าประมาทแม้เศษเสี้ยวของชีวิต เผลอทำผิดหมดชีวิตยากแก้หนา
หมั่นตรึกตรองทุกขณะด้วยคุณธรรมและจริยา ผิดชอบดีชั่วนาหมั่นย้ำเตือน
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหย่งซิ่น    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านตั้งใจฟังธรรมะกันหรือเปล่า
อารมณ์ร้ายทำลายจิตพิฆาตสิ้น ตวัดลิ้นเกิดลมปากทิ่มแทงเหลือ
กระทำการประหารดั่งไฟรักเชื้อ เมตตาเกื้อการุณให้กลับไม่มี
เพียงเพื่อหวังตนมีและตนได้ กำเอาชัยไว้เป็นหนึ่งอย่างเต็มที่
ทั้งเงินทองชื่อเสียงต้องเปรมปรีดิ์ ไม่ทันเสพกลับต้องมีอันเลือนไป
บ้างเจ็บปวดสูญเสียหรือพลาดพลั้ง ไร้กำลังความพ่ายแพ้รับไม่ได้
หวนคำนึงหวังหาธรรมพักพิงใจ กรรมมากมายบุญตามมาช่วยเหลือไม่ทัน
ไม่สายรู้รักษ์ธรรมนำชีวิต เมตตาจิตเสียสละไม่ห้ำหั่น
น้ำใจเชื่อมมิตรไมตรีสายสัมพันธ์ ปลูกทุกวันสักวันงามสมบูรณ์
ร่วมสถานร่วมศึกษาน้อมบำเพ็ญ อภัยเป็นธรรมยิ่งใหญ่ให้มิสูญ
เสียงขัดหูภาพขัดตาธุลีพูน แปรความขุ่นเป็นเครื่องวัดพัฒนาใจ
ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

การมานั่งฟังธรรมะนั้นไม่ง่ายเลย ร้อนก็ร้อน อึดอัดก็อึดอัด ง่วงก็ง่วง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การที่เราจะได้สิ่งดีมานั้น เราต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราได้ธรรมะ แต่เราก็ต้องเสียอะไรไป (เสียเวลา)  แล้วกว่าการที่เราจะได้ความเข้มแข็ง เราต้องเสียแรงกายแรงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาที่นี่เราต้องรู้ว่ามาทำอะไร มาแล้วก็ต้องทำสิ่งที่ตั้งใจมาให้บรรลุ ไม่เช่นนั้น มาแล้วก็เสียเปล่า ไม่รู้ด้วยว่ามาเพื่ออะไรและมาทำอะไรกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อย่างนั้นเราจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แถมไม่ได้ธรรมะอะไรเลย จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เรามาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมอบให้ท่านเป็นอย่างแรก และเป็นการเจอกันครั้งแรก ตัวมนุษย์นั้น ทุกๆ คนไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดก็ตาม หากตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่เบิกบานแจ่มใส ก็ย่อมมีกำลังวังชา มีจิตใจที่จะต่อสู้  แต่ถ้าเกิดว่าคนเรานั้นเกิดมา ลุกขึ้นมาจากการหลับ เราเกิดมาแล้วเราตื่นขึ้นมาด้วยท่าที่หดหู่ท้อแท้ การที่จะก้าวไปทำสิ่งใดย่อมเป็นการยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราจึงต้องพยายามตื่นขึ้นมาจากความฝันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และพร้อมที่จะต่อสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ มอบให้กับตัวเอง อาบอิ่มให้กับชีวิตของตัวเองจะเป็นขวัญและพลังให้เราสามารถที่จะก้าวต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันเมื่อเราเห็นหน้าใครก็ตาม แล้วเรายิ้มไม่ออกเขาก็ยิ้มไม่ออกกับท่าน จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเกิดเจอหน้ากันแล้วยิ้ม ท่าทีการยิ้มเช่นนี้จะเป็นท่าทีเปิดรับซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเป็นกุญแจใจให้คนที่เขาพยายามปิดตัวเองนั้นค่อยๆ แง้มออกมาด้วยความละมุนละม่อม การอยู่ร่วมกันน้ำเย็นย่อมชโลมความร้อนให้หายไป ลมเย็นย่อมคลายความร้อนให้เบาบางไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจที่สงบและมีความยิ้มแย้มแจ่มใสย่อมคลายความทุกข์วิตกกังวล ก่อนที่จะต้องเผชิญเรื่องราว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเริ่มต้นที่ดีให้กับชีวิตนั่นก็คือการรู้จักยิ้มและมีจิตใจที่ใส ฉะนั้นทุกขณะจิตที่ท่านมีชีวิตอยู่เริ่มต้นด้วยสิ่งดีเล็กๆ น้อยๆ ความดีนี้จะช่วยอาบอิ่มให้เรามีขวัญกำลังใจ และพลังในการต่อสู่กับชีวิตที่ยังยาวไกลเหลือสั้นนิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นเจอกันวันนี้ใครยังไม่ยิ้มก็ยิ้มดีไหม (ดี)
“อย่าประมาทแม้เศษเสี้ยวของชีวิต เผลอทำผิดหมดชีวิตยากแก้หนา
หมั่นตรึกตรองทุกขณะด้วยคุณธรรมและจริยา ผิดชอบดีชั่วนาหมั่นย้ำเตือน”
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดเราต้องไม่มีความประมาท เราต้องเป็นผู้พร้อมเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราพร้อมเสมอแล้วเราก็จะต้องรู้จักเอาสิ่งใดมาช่วยเตือนให้ตัวเราไม่ประมาท นั่นก็คือคุณธรรม อีกอย่างหนึ่งก็คือจริยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณธรรมช่วยย้ำเตือนเราว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี คุณธรรมเป็นเกราะป้องกันภัยให้มนุษย์ไม่ก้าวไปทำผิด และไม่พลั้งเผลอทำผิดโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใจตั้งอยู่ที่ไหน ใจก็ต้องอยู่ที่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ต้องคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ตัวอยู่นี่แต่บางครั้งใจคิดไปถึงบ้าน คิดไปถึงหนังทีวี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราเกิดมาตาดูหูฟังมือจับต้องกายกระทำงานต่างๆ ตามองอะไรก็เห็นอย่างนั้น หูอยากฟังอะไรก็ได้ยินเสียงอย่างนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งหูไม่อยากได้ยินในเรื่องบางเรื่องก็อาจที่จะปิดหู ตาเราไม่อยากมองในสิ่งที่ไม่น่ามอง เราก็สามารถหลับตาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มือเราไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่เลวร้าย เราก็เก็บมือเราได้ หรือไม่ก็ตีมือเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เราจะตีมือเราได้ เราก็ต้องเอาใจของเราบังคับให้มืออีกมือหนึ่งตีมือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์โดยส่วนมากนั้นเมื่อเริ่มต้นเกิดมามีจิตสำนึกที่ดีงาม อยากมองสิ่งสวยๆ อยากได้ยินเสียงเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีถึงตอนที่เราเกิดมานั้น บางครั้งเรายังแยกไม่ออกว่าเสียงนี้คือเสียงเพราะ เสียงนี้คือเสียงไม่เพราะ  เรารู้แต่เพียงว่า เมื่อมีคนพูดออกมาเราได้ยินเสียง  เมื่อมีภาพปรากฎเราเห็น  เมื่อมีลมโชยมาเราได้กลิ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเริ่มต้นชีวิตบางครั้งเรายังแยกไม่ออกว่าเสียงนี้คือเสียงที่ไม่น่าฟัง ตาเมื่อมองเห็นภาพนื้คือภาพที่ไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจิตสำนึกจะคอยบอกเราอยู่เสมอว่าถ้าเดินไปตรงนี้ เสียงนี้จะเป็นเสียงที่อบอุ่นให้ความเมตตา  แต่ถ้าเดินไปทางเสียงนี้ เสียงนี้จะไม่เหมือนกับเสียงที่อบอุ่นและเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราเริ่มรู้ว่ามีความแตกต่าง เราก็มักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  กระทำในสิ่งที่ดีที่สุด  แต่ใต้จิตสำนึกของมนุษย์ทุกคนนั้นเริ่มต้นก็ใฝ่หาแต่สิ่งที่ดีงาม  แต่สิ่งที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นยืนอยู่เฉยๆ หรือว่าไปไขว่คว้าจับต้องมา (ไปไขว่คว้า)  ธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน  ธรรมะจะไม่สามารถปรากฏในจิตใจของใครได้ ถ้าคนๆ นั้นไม่รู้จักไขว่คว้าและรักษายึดกุมไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมนุษย์เราตลอดชีวิตเราไม่เคยรู้ว่าเรามีชีวิตแล้วต้องมีธรรมะ ธรรมะจะปรากฏกับคนๆ นั้นไหม (ไม่ปรากฏ)  บางทีก็มี  บางครั้งทำไมเราเดินไปเจอคน เห็นคนกำลังถูกทำร้าย เรามีใจสงสารไหมทั้งๆ ที่รู้ว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา  บางครั้งเราก็อยากจะช่วยถ้าช่วยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นสิ่งไม่ดีเข้ามาครอบงำ เราก็อยากจะยื่นมือไม่ช่วย  แต่ถ้าเกิดมีเรื่องที่เล่ามาว่าอย่าไปช่วยเลย ช่วยแล้วเดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นผู้ทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดไม่มีเรื่องนี้มนุษย์ทุกคนจะสามารถช่วยเหลือและมีน้ำใจต่อกันอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง และยื่นมือให้กันอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากมีโจรผู้ร้ายมาปรากฏ คนทุกคนจะมองกันด้วยความระแวงไม่ไว้ใจ จิตสำนึกที่ดีงามที่เคยมีอยู่จึงเริ่มถอยหลังไป จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเมื่อไม่ใช้บ่อยๆ เริ่มถอยหลังๆ ก็จะหายไปหมด  แล้วเราก็จะคิดว่าเรานั้นไม่ใช่คนดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วก็บอกว่าตัวเราเป็นคนไม่ดีขี้บ่น อิจฉา รังเกียจ นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคิดกันดีๆ  จริงๆ แล้วทุกคนมีอยู่แต่อยู่ที่ว่ามองแล้วหยิบไปใช้ไหม ฟังแล้วรู้จักเอาไปปฏิบัติหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราเห็นฟ้า จะเห็นฟ้าก็ต่อเมื่อแหงนหน้ามอง เราจะเห็นดินก็ต่อเมื่อก้มหน้ามอง แล้วเราจะเห็นธรรมะก็ต่อเมื่อตัวเราต้องค้นหาและไขว่คว้ามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอยู่ในจิตใจในมโนธรรมสำนึก  แต่มีอยู่ก็สามารถหายไปได้ถ้าไม่รู้จักหยิบมาใช้ เหมือนเสื้อตัวหนึ่งไม่หยิบบ่อยๆ บางครั้งเราจำได้ไหมว่าเสื้อตัวนั้นแขวนไว้ที่ไหน (ไม่ได้)  แล้วถ้าหากว่าเราเก็บเสื้อตัวนั้นตอนเราลืมสติหรือไม่มีสติ สติเราไม่อยู่กับตัว ปัญญาเราไม่ได้ขบคิด แม้ตอนนั้นจะแขวนเสื้อก็จำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตอนนั้นจะเคยมีธรรมะก็จะนึกว่าตัวเองไม่มี  เหมือนตัวเราหากไม่เจอคนเลวร้าย หากไม่เจอคนน่าเกลียดน่ากลัว หากไม่เจอคนเจ้าเล่ห์ฉ้อฉน เราจะรู้ไหมว่าเรานั้นก็มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมอยู่ ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เห็นคนไม่ดีในสังคม เราต้องขอบคุณเขา เพราะทำให้เราเห็นว่าตัวเรานั้นดีหรือเปล่า ตัวเรานั้นลืมทอดทิ้งไปหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอคนไม่ดีอย่าไปว่าเขา ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราเห็นตัวเอง นี่คือมุมมอง  ทำไมคนในสังคมจึงมองกันว่าสังคมน่ากลัว คนไม่ดี คนนั้นก็เจ้าเล่ห์ คนโน้นก็ฉ้อฉน คนโน้นก็ชอบนินทาว่าร้าย คนนี้ก็ชอบเบียดเบียน  แต่ต้องมองกลับว่าคนนั้นเบียดเบียนแต่เราไม่เบียดเบียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนโน้นฉ้อฉนทำไมเราจึงฉ้อฉนเหมือนกัน  ทำให้เราได้ตรวจสอบ ทำให้เราได้มองเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้แม้จะเลวร้ายมืดมิดอย่างไรก็ใช่ที่จะน่ากลัว ในความน่ากลัวนั้นยังให้ข้อคิดที่ดีและให้มุมสว่างที่เราพร้อมจะเห็นได้ชัดเจน และจะตั้งต้นจะไม่ทำตามเขาเด็ดขาด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนเราจึงต้องอย่าได้ปล่อยให้ชีวิตเป๋ไปเป๋มา เคว้งไปเคว้งมา แต่เมื่อมีชีวิตจึงต้องรู้จักตั้งต้น  เมื่อตั้งต้นแล้วก็ต้องตั้งต้นให้ดีงามและสว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเป็นมนุษย์แล้วควรรู้จักวางตน บางคนเกิดมาแล้วมักจะไม่ชอบอย่ามาตีกรอบ อย่ามาควบคุม  ในนิทานเรื่องหนึ่งมีใบไม้ใบหนึ่งเป็นใบที่พูดได้ แต่ยังไม่ได้เกาะกิ่งไม้ใด ใบไม้ใบนั้นเดินไปเจอกิ่งไม้กิ่งนี้ก็ดี เดินไปเจอกิ่งโน้นก็ดี เดินไปอย่างนี้ต้นไม้ทั้งต้นเลือกไม่ได้สักที  บางครั้งพอจะไปกิ่งนี้ก็ไม่เอาบอกว่าเบียดเสียดยัดเยียดชอบตีกรอบชอบบังคับ พอเดินไปอีกก็บอกว่าไม่เอาชอบดุว่าเข้มงวด เราขอเป็นใบไม้อิสระดีกว่าไม่ต้องเกาะกิ่งไหน  แต่พอมีลมพัดมาใบไหนที่จะอยู่ได้ ใบไหนที่ต้องร่วงหล่นสูญสลายไปก่อนกำหนดเวลา (ใบที่ไม่เกาะกิ่ง)  พอลมพัดมาฝนตกกระหน่ำมาใบไม้นั้นก็ปลิวไปปลิวมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเจอน้ำหน่อยก็บุบสบายไปก่อนเวลา จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเห็นได้คนที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบของสังคม  คนที่ไม่ยอมอยู่ในกฎของสังคมมักจะไปก่อนกำหนดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าได้กลัวข้อบังคับหรือกฎระเบียบของสังคม อย่าได้กลัวคำดุด่าว่ากล่าวตักเตือนตน ไม่เช่นนั้นจะเป็นผู้ที่ทอดทิ้งสิ่งล้ำค่าและมองไม่เห็นความเป็นจริง หรือคุณค่าของคำพูดที่แฝงอยู่ในคำว่ากล่าวตักเตือน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจงอย่าได้มองข้ามทุกๆ สิ่ง  จงมีชีวิตอยู่แล้วมองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิต แล้วเราจะไม่ถูกเปลือกของชีวิตทำให้เราไม่เห็นความเป็นแก่นแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนหลายๆ คนชอบมีชีวิตที่อิสระไม่ชอบถูกบังคับ ไม่ชอบถูกตีกรอบ ไม่ชอบถูกเข้มงวดกวดขัน  แต่ลองสังเกตดูว่าเด็กที่รู้จักระเบียบรู้จักควบคุมตัวเอง ทำด้วยตัวเองไม่เรียกร้องจากใคร กับเด็กที่ปล่อยตัวเองตามอิสระไม่ยอมทำอะไรเองต้องคอยให้ผู้อื่นทำให้ เด็กคนไหนจะเข้มแข็งกว่ากัน (ทำด้วยตัวเอง)  แล้วเด็กคนไหนที่ไปเผชิญโลกแล้วอยู่ได้อย่างเข้มแข็งไม่พ่ายแพ้สังคมในโลก (เด็กทำด้วยตัวเอง)  และเด็กที่รู้จักกฎระเบียบของสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเป็นคนที่รู้จักตาดูหูฟังอย่างแจ่มชัด  ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีตาดูหูฟังอย่างมืดมัว และโดนลมพัดพาไปอีกโลกหนึ่งที่อันตรายก็เป็นได้
“เพียงเพื่อหวังตนมีและต้องได้ กำเอาชัยไว้เป็นหนึ่งอย่างเต็มที่”
เวลาเราจะทำสิ่งใดเรามีอารมณ์หน้าอินทร์หน้าพรหมก็ไม่สน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าขาวหน้าดำก็ไม่กลัว อารมณ์ขึ้นแล้วก็ต้องระเบิด อารมณ์นั้นเปรียบเหมือนหน้ากากของมนุษย์ เปลี่ยนเป็นหน้ากากอื่น เปลี่ยนเป็นหน้ากากโมโห เราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการแสดงอารมณ์  แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เปลี่ยนแบบนี้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินไปสักพักก็หยิบหน้ากากอันนั้นมาใส่ เดินไปสักพักก็หยิบอันโน้นมาใส่ จริงหรือไม่ (จริง)  เราจึงสนุกเพลิดเพลินในการมีอารมณ์ รู้สึกว่าชีวิตมีรสชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเช่นนี้เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะคุมคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วบอกว่าฉันเป็นหัวหน้า ฉันอายุมากกว่า บางครั้งถามตัวเองดูว่าเข้าใจตัวเองหรือยัง คุมตัวเองได้ไหม บางทีก็ยังสับสนปนเปอยู่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอารมณ์ต้องรู้จักควบคุมบ้าง ไม่ใช่มีเท่าไรก็ระเบิดหมด อย่างนี้น่ากลัวยิ่งกว่าดภูเขาไฟระเบิดเสียอีก ภูเขาไฟระเบิดเมื่อหมดแล้วก็หมดกัน แต่อารมณ์บางทีหมดแล้วก็ยังออกมาได้อีกเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภูเขาไฟระเบิดแค่ครั้งเดียวลูกเดียว แต่ท่านระเบิดเป็นสิบๆ ครั้งแถมไม่มีจำนวนจำกัด  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นท่านน่ากลัวยิ่งกว่าอีก พอการกระทำมีอารมณ์ เวลาลิ้นเราตวัดพูดอะไรบางทีก็ไม่ได้คิด บางครั้งใช้คำพูดสวยๆ แต่ความจริงแล้วทิ่มแทงให้ไปคิดเอาเอง ว่าเขาลึกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝ่ายหญิงมักเป็นบ่อยๆ แต่ฝ่ายชายมักจะพูดน้อยแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ใช้กำลังมากกว่า ฉะนั้นเราเกิดเป็นคน ชีวิตเมื่อเกิดมาสิ่งแรกที่เรารู้ก็คือเราเกิดมาเราต้องเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครเกิดมาแล้วเดินถอยหลัง ทุกคนเกิดมาแล้วก็เดินไปข้างหน้านี่เป็นนัยที่แฝงให้เรารู้ว่า ธรรมชาติสอนให้มนุษย์รู้อย่างหนึ่งว่าคนเราเกิดมาต้องเจริญรอยให้ดียิ่งๆ ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะต้องไม่ทอดทิ้งธรรมชาติที่มีอยู่ และมองข้ามธรรมชาติที่คอยสอนชีวิต หากเกิดเป็นคนไม่ยอมสนใจธรรมชาติ คนๆ นั้นไม่สามารถอยู่กับธรรมชาติได้อย่างประสานกลมกลืนและไม่สามารถที่จะเอาธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส์หน้ากากยิ้ม หน้ากากโกรธ หน้ากากวางเฉย)
อารมณ์ของมนุษย์เราก็เหมือนกันเป็นสิ่งที่เหมือนขั้ว ไม่ขั้วซ้ายก็ขั้วขวา แต่อารมณ์ที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ใช่ขั้วซ้ายไม่ใช่ขั้วขวา แต่เป็นอารมณ์ที่ขั้วตรงกลางสงบนิ่งและไม่มีอารมณ์ใดๆ หากมนุษย์เราดำเนินชีวิตสามารถรักษาอารมณ์สงบนิ่งนี้ได้ย่อมเป็นการดีไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์โกรธนี้อยู่ๆ จะให้ปั้นหน้าให้ยิ้มนั้นยากหรือไม่ (ยาก)  ฉะนั้นห้ามพูดว่าทำชั่วทำง่ายทำดีนั้นทำยาก เราขอแย้งเป็นคนแรกเลยว่าทำดีนั้นทำง่ายเพียงแต่ยิ้มด้วยความจริงใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ยิ้มนี้ก็เป็นรอยยิ้มช่วยบุกเบิกทางแล้ว ใครที่เกลียดเราเราก็ยิ้มเข้าไว้สักวันหนึ่งเขาจะต้องถามเราว่าไม่โกรธฉันหรือ จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อเราเริ่มต้นชีวิต อย่างที่เราบอกแล้วว่าเราต้องรู้จักวางตนและตั้งตนอยู่บนทางที่ถูก หากเมื่อเริ่มต้นชีวิตไม่รู้จักวางตนตั้งตนในหนทางที่ถูกแล้ว เราก็ย่อมง่ายที่จะถูกพัดพาไปตามกระแสลมของโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้จักตั้งต้นแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะพึงรู้ไว้นั่นคือว่า คนเรานั้นมีอยู่สองอย่างไม่วางเฉยก็โลภมาก โดยปกติคนเราเมื่อเติบโตมาแล้ว บางครั้งพอยังไม่ทันตั้งต้นเลยก็อยากมีโน่นอยากมีนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมีแล้วความอยากของเราเคยถมให้เราเต็มบ้างไหม  ความอยากของเราเคยทำให้เรารู้สึกว่าเป็นสุขบ้างหรือไม่ (ไม่เคย)  เมื่อเราเริ่มต้นชีวิต เราก็อยากมีโน่นอยากมีนี่เพิ่ม มีแล้วหากเราไม่รู้จักคำว่าพอ คำว่า “ไม่รู้จักคำว่าพอ” จะทำให้เราถูกกิเลสครอบงำเป็นไปได้ไหม (ได้)  ก็เพราะว่าความอยากนี้หากเกิดขึ้นในตัวเราแล้ว ความอยากจะทำให้เรามักไม่ค่อยเที่ยง แล้วก็มักจะไม่คิดถึงคุณธรรมสักเท่าไร ถ้าเกิดว่าความอยากนั้นมีอำจาจเหนือมโนธรรมสำนึกความอยากนั้นก็จะบดบังมโนธรรมสำนึก และทำให้เราง่ายที่จะเผลอไผลไปตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรเราอยากน้อยก็เป็นทาสกิเลสได้น้อย แต่ถ้าเมื่อไรเราอยากมากๆ ก็ง่ายที่จะเป็นทาสกิเลสโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตอนแรกเราจะรู้สึกว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ถ้าเกิดว่าเราอยากมากๆ อยากอย่างไม่จบสิ้น ความอยากนั่นจะทำให้เราเผลอทำผิด  แล้วลืมนึกถึงคุณธรรมความผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนที่รู้จักอยากน้อยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างเช่นเหมือนคนที่มองเห็นหากเกิดมาอยากได้ทอง บ้านโน้นก็มีทอง บ้านนั้นก็มีทอง ตอนแรกเราจะยังรู้ตัวว่าอย่านะนั่นเป็นบ้านของเขา นั่นเป็นทองของเขา แล้วถ้าเกิดว่าเราลืมมโนธรรมสำนึก ความอยากนั้นจะทำให้เราเผลอหยิบทองเขามาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความอยากนั้นอาจจะเกิดความเจ้าเล่ห์เพทุบายแกล้งไปตีสนิทแล้วก็หาอุบายหลอกลวงเอาทองไปเปลี่ยนบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่ก็แกล้งเอาทองสิบบาทไปหลอกล่อแลกกับทองหนึ่งบาท เมื่อความอยากครอบงำเราเราก็เชื่อเขายอมแลกเอาทองสิบบาทมา เหมือนกับที่ท่านโดนเขาโกงกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เขาจะไม่โกงเราแล้วเรามองเห็นง่ายๆ แบบนี้ แต่เขายังมีแผนซ้อนแผน เล่ห์ซ้อนเล่ห์ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนที่ดินผืนหนึ่งจากดินธรรมดากลายเป็นเงิน จากที่เคยรักดินผืนนี้มากขายหรือไม่ขาย (ขาย) พอได้เงินมาแล้ว เงินที่ได้มาง่ายก็เสียง่าย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้กิเลสนั้นครอบงำจนเราไม่สามารถแยกผิดชอบชั่วดี จนทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลส แล้วลืมความเป็นคนหรือลืมคุณธรรมอันดีงามทอดทิ้งไปเสีย เช่นนี้ก็เสียเปล่าที่เกิดมาเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะให้เรียกว่าคนประเสริฐก็ออกจะไม่เต็มปากเต็มคำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ทั้งเงินทองชื่อเสียงต้องเปรมปรีดิ์ ไม่ทันเสพกลับต้องมีอันเลือนไป”
บางครั้งเราคิดว่าเราจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ หาเงินให้ได้เยอะๆ  เหมือนพานหนึ่งใบที่เราพยายามหาอะไรก็ได้มาใส่ให้เต็ม ไม่ว่าเงินทองเกียรติยศชื่อเสียง เต็มแล้วบางครั้งพอหรือไม่ ไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หาให้ได้มากกว่านี้อีกล้นพานแล้วก็ยังไม่พอ บางครั้งยังไม่ทันหยิบออกมากินยังไม่ทันหยิบออกไปใช้ก็มีคนขอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเหตุให้ต้องเสีย มีเหตุให้ต้องหายก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้มีน้อยๆ แล้วพึงพอใจแล้วได้ใช้ กับมีมากๆ เดี๋ยวก็เสียโน่นเดี๋ยวก็เสียนี่ เดี๋ยวก็ต้องระแวดระวังว่าจะหายไหม อันไหนสุขกว่ากัน มีน้อยดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนเราชอบเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนยันต์กันโรค บางคนเห็นธรรมะเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนฮู้เอาไว้แปะกันผีกันปีศาจ บางคนเห็นธรรมะเป็นยารักษาโรค เป็นนางพยาบาลช่วยรักษา แท้ที่จริงแล้วธรรมะช่วยให้มนุษย์เรารู้จักมองเหตุและเห็นผล ป้องกันตั้งแต่เหตุอย่าให้ส่งผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะเหมือนเครื่องคุ้มครองยึดเหนี่ยวจิตใจ บางครั้งคนเราเจ็บป่วยต้องมีเหตุมาและเหตุไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่ยึดธรรมะแต่ไม่รักษาตัว รักษาตัวไม่หายแล้วก็โทษธรรมะได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องโทษตัวท่านเองที่ไม่รู้จักดูเหตุดูผล พอเอาธรรมะไปแปะไว้ที่บ้าน ปรากฏว่ามีคนมาทวงหนี้บอกว่าธรรมะไม่ช่วยอย่างนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักใช้ธรรมะให้ถูกทาง ไม่เช่นนั้นแล้วแม้มีธรรมะก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งตัวเอง
“บ้างเจ็บปวดสูญเสียหรือพลาดพลั้ง ไร้กำลังความพ่ายแพ้รับไม่ได้”
แต่ก่อนเคยมีเงินมาก วันหนึ่งต้องสูญเสียรับได้ไหม  แต่ก่อนเคยมีแต่คนรักเอาใจ พอไม่มีคนรัก ไม่มีคนเอาใจรับได้ไหม  (ไม่ได้)  ต้องพยายามทำให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะโลกนี้มีสว่างแล้วก็มี (มืด)  มีคนชมก็ต้องมีคน (ติ)  มีคนรักก็ต้องมีคน (เกลียด)  มีคนว่าเราดีก็ต้องมีคนว่าเรา (ไม่ดี)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักทำใจบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำใจอย่างเดียวไม่พอ แต่ใจนี้จะต้องรู้จักใจกว้างด้วย หากเราใจคับแคบ พอเดินผิดหน่อยก็ชนแล้ว แต่สู้เราเปิดใจกว้างไม่ว่าเรื่องอะไรมาก็ชนยาก ยังอยู่ห่างไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงต้องเปิดใจกว้างและรับให้ได้ทั้งเรื่องมืดและสว่าง ขาวและดำ แต่คนเราก็มีปัญญาอยู่อย่างหนึ่ง ปัญญาที่สามารถอยู่ร่วมกับสภาวะแวดล้อม แม้ตัวเองไม่สามารถจะอยู่ได้ก็สามารถจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้อยู่ร่วมกันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนอกเหนือจากนั้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้สภาวะแวดล้อมจะดีจะร้ายอย่างไร มนุษย์เราก็สามารถจะเปลี่ยนให้ได้ตามที่ใจต้องการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือปัญญาของมนุษย์ ฉะนั้นจะกลัวอะไรกับความมืดความสว่าง จะกลัวอะไรกับคนดีคนร้าย หากเรารู้จักใช้ปัญญาของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะใช้ปัญญาอย่างไรจึงจะสามารถเปลี่ยน แล้วก็ไม่เกิดผลกระทบกับการอยู่ร่วม แล้วสามารถปรับเปลี่ยนกลมกลืนสอดคล้อง แล้วไม่ลืมความเป็นตัวของคนเอง ไม่สูญเสียทอดทิ้งรากเดิมแท้ของตนเอง จุดนี้สำคัญกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนเปลี่ยนแปลงอยู่กับคนโน้นก็ได้คนนี้ก็ได้ แต่มักจะลืมความเป็นตัวของตัวเอง ทอดทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนแม้ตัวเองจะไม่ยอมเปลี่ยน แต่ก็สามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้กลมกลืนกับที่ใจเราต้องการได้ แต่พอเปลี่ยนตามใจเราต้องการแล้ว ก็มักจะหลงตนเอง ลืมตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่เรียกว่าได้ดีแล้วลืมตน ยืนอยู่สูงแล้วขาไม่ติดพื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือความยากของมนุษย์ บางครั้งรู้จักใช้ปัญญา แต่ก็อับจนปัญญาเหมือนกัน จริงหรือไม่
“หวนคำนึงหวังหาธรรมพักพิงใจ กรรมมากมายบุญตามมาช่วยเหลือไม่ทัน”
เพราะมัวแต่เพลินกับกิเลส เพลินกับการสะสมเกียรติยศชื่อเสียง ถึงแม้มีเกียรติยศชื่อเสียงมากมาย แต่ไม่เคยสร้างบุญกุศลจะมีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอพญายมพอเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ ตอนนั้นจะมาเร่งสร้างบุญก็สายไปเสียแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกท่านในการบำเพ็ญตนไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เรื่องยากเลย ก็คือละเว้นจากสิ่งชั่วร้าย นั่นก็คือการทำดีหรือบำเพ็ญตนอย่างง่ายๆ แล้วไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นชื่นชม แต่สามารถดำเนินชีวิตแล้วไร้ที่ติ นั่นแหละเรียกว่าผู้มีธรรมะในชีวิตแล้วทำได้หรือไม่ (ได้)  แม้ทำดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร แต่เรารู้ว่าไม่ทำชั่วทำอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีก็เลิกเสีย แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แม้จะที่มืดที่อับก็ไม่แอบทำทำได้ไหม (ได้)  แม้จะเป็นความชั่วเล็กๆ น้อยๆ แอบว่าพ่อแม่ แอบว่าครูบาอาจารย์ก็ไม่ทำได้ไหม (ได้)  แม้นินทาเพื่อนบ้านว่าไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ก็จะไม่ขยับปากพูดได้ไหม (ได้)  หากเริ่มต้นเล็กๆ เราทำได้ เรื่องใหญ่ๆ ทำไมเราจะก้าวไปไม่ถึง แต่หากความผิดเล็กๆ น้อยๆ เรากล้าทำ แล้วทำไมความชั่วที่ยิ่งใหญ่จะไม่บังเกิดกับเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจะต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ
“ไม่สายรู้รักษ์ธรรมนำชีวิต เมตตาจิตเสียสละไม่ห้ำหั่น”
เกิดเป็นคนคุณธรรมข้อแรกที่ท่านต้องพึงรู้ไว้ก็คือความกตัญญูรู้คุณ ความกตัญญูรู้คุณเป็นใยที่คอยประสานให้มนุษย์เราอยู่ด้วยกันอย่างชื่นบานคงทน ความกตัญญูเป็นสิ่งที่บันดาลให้มนุษย์เรารู้จักเมตตา เคารพและอ่อนน้อมและเสียสละแก่ผู้อื่น มนุษย์ทุกคนมักจะคิดว่า ความกตัญญูคือทำให้กับบิดามารดา แต่ถ้าเกิดว่าคนที่รู้จักความกตัญญูเป็นใหญ่ เขาจะมองเห็นว่าความกตัญญูนั้นไม่ใช่เกิดแค่บิดามารดา แต่ยังมีครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และคนในสังคมนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นเด็กเป็นวัยรุ่นเราจึงไม่ควรมองข้ามเรื่องความกตัญญู เกิดเป็นคนรู้คุณคน รู้คุณบิดามารดา รู้คุณฟ้าดิน และรู้คุณคนทุกคนในสังคม คนๆ นั้นคือคนที่สามารถเสียสละให้ทุกๆ คนได้ และมีน้ำใจมีเวลาที่จะช่วยเหลือผองชน จริงหรือไม่ (จริง)
การบำเพ็ญธรรมคืออะไร  การบำเพ็ญธรรมคือการขัดเกลาจิตใจตนเอง ส่งเสริมตัวเองด้วยคุณธรรมความดีงามที่ถึงจะปฏิบัติได้ สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดี สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ชอบพึงกระทำ สิ่งใดที่เป็นสิ่งเลวร้ายก็เลิกกระทำอย่าได้คิดกล้ำกลาย และอย่าได้คิดแตะต้อง นั่นแหละคือการบำเพ็ญดีในสังคม  สังคมปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร คนก็ร้ายอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าท่านบำเพ็ญธรรม สังคมจะร้ายอย่างไรเราก็ยังดีอย่างนั้น นั่นแหละยอดเยี่ยม จริงหรือไม่ (จริง)  แม้สังคมจะร้ายอย่างไร ท่านก็ยังดีอย่างนั้นแล้วยังมีใจช่วยเหลือคนอีก นั่นแหละเรียกว่าพุทธะ ทำได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่เป็นเรื่องยากเลย จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นก็คือเรียกร้องตัวเอง เริ่มต้นที่ตัวเอง และยื่นมือไปช่วยเขา ท่านก็จะได้เป็นพุทธะน้อยๆ แล้ว  ท่านก็จะได้ฝึกฝนการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากเป็นไหม  หากฝึกฝนตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคน ตายไปก็ไม่กลัว  แม้วันพรุ่งนี้จะตายก็ไม่กลัว เพราะได้ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว เกิดมามีคุณค่าแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเกิดว่าทุกท่านให้ตายตอนนี้กลัวหรือไม่ (กลัว)  ก็เพราะว่ายังไม่ดี ยังแอบทำไม่ดีอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หมากก็รู้ว่ากินแล้วไม่ดี บุหรี่ก็รู้ว่าสูบแล้วไม่ดี เหล้าก็รู้ว่าดื่มแล้วไม่ดี แต่ท่านก็ยังติด ไปเที่ยวดึกๆ ดื่นดีหรือไม่ (ไม่ดี) แต่ทำไมชอบเที่ยวทำให้พ่อแม่เป็นห่วง ทำให้คนอื่นอกสั่นขวัญแขวนดีหรือไม่ (ไม่ดี) ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรขอให้ระลึกถึงด้วยว่า ตัวเราทำแล้วไม่เดือดร้อนผู้อื่น เดือดร้อนยิ่งกว่าอะไรเสียอีก  เอาไว้ท่านรักใคร เหมือนใจเขาใจเราก็จะรู้ว่าความหว่งหาอาทรของพ่อแม่ที่มีต่อบุตรนั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักใดๆ ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ร่วมสถานร่วมศึกษาน้อมบำเพ็ญ อภัยเป็นทานยิ่งใหญ่ให้มิสูญ”
การให้อภัยยิ่งให้ไปเท่าไรไม่มีวันสูญเปล่า และเป็นการให้ที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราทำยาก บางทีเกลียดเขา ให้อภัยได้ไหม ไม่ต้องให้เป็นสิ่งของเพียงแต่ใจเราเปิดกว้างอภัยให้ จริงหรือไม่ (จริง)  คนเราทุกคนมีประสบการณ์ มีนิสัยมีความคิด มีความเข้าใจแตกต่างกันไป บางครั้งเขาบอกว่านี่ซ้ายนี่ขวา แต่บางคนบอกว่าไม่ใช่ นี่ขวานี่ซ้าย แล้วจะไปเถียงกันทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ปล่อยให้เขาไปรู้เองนั่นแหละดีที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าเกิดเราพูดหนึ่งครั้งแล้วโมโห สองครั้งแล้วโกรธเกี้ยว เลิกพูดเสีย เปลี่ยนเป็นให้อภัยทำใจได้ ไม่ใช่ให้อภัยแล้วบอกว่าตัวเองโง่ อย่างนี้ไม่ถูก อย่างนี้ไม่เรียกว่าให้อภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้อภัยที่แท้จริงใจเราต้องไม่เก็บมาฝักไว้ในตัว การให้อภัยที่แท้จริงก็คือ แม้เขาจะดีจะร้ายเราก็ต้องให้อภัยต้องไม่มีร้ายในใจเลย ทำได้ไหม (ได้) บางคนทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวคำหนึ่งทิ้งท้ายก่อนจะจากกันว่า “เมื่อเจอคนเลวอย่าได้ด่วนเกลียดเขา เมื่อเจอความยากลำบากอย่าได้บ่นท้อแท้”  เพราะอะไรเมื่อเจอคนเลวเราต้องดีใจ อย่างที่เราบอก เพราะเราได้ตรวจสอบตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเจอความทุกข์ยาก ก็อย่าได้บ่นท้อหรือยอมแพ้ อุปสรรคความทุกข์ยากช่วยวัดดูว่า ตอนนี้จิตใจเราเข็มแข็งหรืออ่อนแอ ตอนนี้สิ่งที่เรากระทำอยู่ได้ปล่อยปละหรือว่ายึดมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยู่ในโลกนี้ อยู่ที่ตาดูหูฟัง แล้วมองเป็นธรรมะ หรือมองเป็นอคติ มองเป็นแบบโลกโลกีย์หรือมองเป็นแบบพุทธะมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวไม่ว่าจะมืดมนหรือใสสว่างขอให้มองแบบธรรมะ มองอย่างผู้มีธรรมะ มองอย่างผู้บำเพ็ญและเรียนรู้ศึกษาธรรม แล้วเราจะเห็นว่าแม้คนร้ายอย่างไรก็ยังมีดี แม้อุปสรรคขวากหนามพัดโหมกระหน่ำมากเพียงใด ก็ยังให้ความแข็งแกร่งกับจิตใจ จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งหนึ่งที่วันนี้เรามาแล้วเราเสียใจมากที่สุดนั่นก็คือผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่เห็นเลย ไม่ช่วยเราสร้างบรรยากาศเลย แถมหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้ เรามาครั้งนี้เราผิดหวัง
วันนี้เรามีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่านเล็กๆ น้อยๆ ขอให้ต่อไปมีใจมาศึกษาธรรมอีก อย่าเห็นว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องไกลเกินตัว ธรรมะหากรู้จักใช้จะช่วยละลายความมืดมนในสังคม ขจัดความอิจฉาริษยาดื้อด้าน ทิฐิในใจตนให้เบาบางได้ คุณธรรมหากรู้จักบำเพ็ญจะช่วยแปรเปลี่ยนความชั่วร้ายของจิตใจผู้อื่นให้กลายเป็นความดีงาม แปรศัตรูให้เป็นมิตร แปรความร้ายให้เป็นความรัก แปรความอ่อนแอให้เป็นความมั่นคงแข็งแกร่ง ในการที่จะอยู่บนโลกนี้อย่าได้เป็นผู้ที่บำเพ็ญแล้วแก่วัดแก่วา แม้ธรรมะอยู่ตรงหน้าก็ไม่คิดจะฟัง แม้สิ่งที่ดีปรากฏอยู่ก็ไม่คิดที่จะจับ คิดที่จะกระทำ คนเช่นนี้เกิดมาก็เสียเปล่า จริงหรือไม่ (จริง)  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี บางครั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ก็อยากจะส่งเสริมให้ท่านเข้าใจธรรมะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่เมื่อเข้าใจแล้วรู้จักธรรมนี้คืออะไรแล้ว ก็ขอให้ยึดกุมและบำเพ็ญให้มั่นคง อย่าได้ท้อแท้อย่าได้หวั่นไหวและอย่าได้เปลี่ยนแปลง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

2543-07-08 พุทธสถานเจาหยู จ. เชียงใหม่


PDF 2543-07-08-เจาหยรู #15.pdf

Labels: หน้าที่, ผู้บำเพ็ญเรียกร้อง 4 อย่าง

วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓   พุทธสถานเจาหยู จ. เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

พะวงหลังไร้คุณแด่ผู้มุ่งหน้า ความธรรมดาเป็นที่สุดแห่งเลิศล้ำ
คนล้มเลิกปณิธานด้วยไม่กี่คำ ก้มหน้าทำกลัวหรือไร้ซึ่งชัยมา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา   ฮวา

รู้ธรรมง่ายบำเพ็ญยากต้องตั้งใจ คนใส่ใจจึงถึงจุดหมายแท้
ตลอดชีวิตมีหลายสิ่งให้ดูแล ต้องเปลี่ยนแปรตนในทางดีขึ้นเอย
สองวันมาประชุมทำความเข้าใจ เพื่อแก้ไขสิ่งผิดแต่ก่อนเก่า
ตลอดชีวิตมั่นใจในตัวเรา แต่อย่าเขลาเห็นโลกีย์หลงต่อไป
จงตื่นใจมองดูว่าโลกเท็จจริง เกิดมาทิ้งสังขารเมื่อวันสุดท้าย
มีสิ่งใดติดจิตไปขอครวญใคร่ อันเรื่องใหญ่ใช่มั่งมีหรือยากจน
รู้พอย่อมได้สุขในจิตนี้ เป็นคนดีเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เดินต่อไปทางสายใดเล่าเมธา คนจะกล้าต้องกล้าถูกเรื่องเอย
ลาภยศและชื่อเสียงไม่ถาวร กลับหลอกหลอนคนจนนอนไม่หลับ
ระลึกได้สติช่วยย้อนมองกลับ ทุกสิ่งรับมาพิจารณาอย่าดูแคลน
จิตสงสัยต้องแปรเป็นจิตใฝ่รู้ ลำบากนั้นขอใจสู้เริ่มต้นใหม่
ความพยายามพาสำเร็จเสมอไป ความศรัทธามีเมื่อไรทางคล่องดี
ในสองวันศึกษาธรรมนับว่าน้อย จงทยอยใช้ปัญญาพิจารณ์หนัก
ขอให้รู้แยกแยะเป็นคมในฝัก ไม่เป็นไม้หลักปักเลนเท่านั้นดี
จงตั้งใจมาให้ครบทั้งสองวัน จงบากบั่นไม่แปลกใหม่มีมาแต่เก่า
บำเพ็ญได้หรือไม่ได้อยู่ที่เรา คนเคยเขลายังสามารถมีปัญญาแทน
จงรักษาพุทธระเบียบให้งามพร้อม อย่าไปยอมเหล่ากิเลสที่ร้อยรัด
บำเพ็ญใจให้สู่ปรมัตถ์ ต้องหมั่นเพียรขัดเกลาทุกทุกวัน
พบความทุกข์หันหน้าเผชิญเถิด เพราะจะเกิดจิตเบากลางโกลาหล
ในชาตินี้โชคดีเกิดเป็นคน ไม่อับจนซึ่งหนทางของตนเอย
ในวันนี้พี่รับบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันคอยบันทึกน้องถี่ถ้วน
ทั้งกายใจคิดแต่เรื่องสมควร อย่าเรรวนขึ้นเรือแล้วโดดว่ายต่อ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน

ฮวา  ฮวา  หยุด

  ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ความจริงอันเป็นที่สุด

วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

ครูอาจารย์ใช้วิชานำพาศิษย์ เป็นบัณฑิตกิจกุศลหมั่นไถหว่าน
เป็นพ่อแม่บุตรที่ดีมีสัมพันธ์ เป็นข้าราชการพ่อค้านั้นต้องซื่อสัตย์
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านวันนี้ยิ้มกันหรือยัง

สร้างประโยชน์ให้สังคมที่ตนอยู่ ชีวิตคู่ธรรมะอย่าเห็นแก่ผล
ชั่วดีต่างมีหน้าที่ทุกคน ปัดหน้าที่คนต่างทำคนพัง
เวลาสร้างส่วนต่างคนยังกลัว ใจระรัวทำหน้าที่ข้องผลอย่าง
กว่าสำเร็จดั่งเทพประทานเปี่ยมพลัง อะไรบ้างควรไม่ควรปัญญาตรอง
รักจะให้ต้องอย่าหวนเสียดาย รับคำเตือนคอยแก้ไขแคล่วคล่อง
อภัยคนเกลียดเราใครทั้งผอง สติล่องเลื่อนลอยนักสงสารกัน
ปัญหาซาเชื่องช้าหน่ายต้องทน อดทนจะฝึกคนเพียรไม่หวั่น
หาใช่ไหวพริบขาดโดยฉับพลัน ปัญหานานรำคาญมากจะต่างยอม
เรียนธรรมะดั่งเรียนงานคงประจักษ์ บ้างชะงักด้วยงานรู้ไม่พร้อม
คนชนะอุปสรรคเมื่อกาลสุกงอม จิตใจน้อมเห็นตนเป็นอนัตตา
ฮิ    ฮิ   หยุด

  อนัตตา ความไม่ใช่ตัวใช่ตน

พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

มาศึกษาธรรมเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  แน่ใจหรือ  เมื่อไรที่มนุษย์เรานั้นสามารถศึกษาธรรมอย่างไม่มีเบื่อ จะมีใจเป็นอย่างไร (มีใจเป็นสุข)  เมื่อใจเป็นสุข เราก็สามารถปล่อยวางเรื่องราวทางโลกได้ หายกลุ้มกังวลได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้ถ้าเรามาไวกว่านี้อีกนิดหนึ่งเราก็อาจจะเห็นใบหน้าผูกโบว์ เพราะบางทีมาศึกษาธรรมะ ทุกคนมักจะสงสัยว่าธรรมะนี้ธรรมะอะไร จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าทุกคนคิดอย่างหนึ่งว่าระหว่างความสับสนกับความสงบ หากมีสองอย่างเกิดขึ้นในจิตใจเรา จิตใจไหนจะทำให้เราศึกษาแล้วนั่งฟังได้อย่างเข้าใจมากกว่า (จิตใจสงบ)  จิตใจสงบ    ใช่ไหม แต่ถ้าท่านมานั่งตรงนี้ท่านมีความสับสน การที่จะนั่งฟังตรงนี้ก็จะไม่ค่อยเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าอยากจะศึกษาสิ่งใดก็ตาม ขอเพียงเปิดใจสักเล็กน้อย คลายความกังวล คลายสิ่งที่ตัวเองเคยรู้ลงไปบ้าง เมื่อมานั่งศึกษาตรงนี้จะสามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไรจริงหรือเท็จ แล้วเราก็สามารถเอาสิ่งที่เรารู้นั้นไปช่วยวัดช่วยกำหนดดูว่าสิ่งที่พูดนั้นใกล้เคียงกับความจริงหรือใกล้เคียงกับความเท็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติว่ามีชายสองคน คนหนึ่งกำลังคิดไม่ตกเรื่องทางบ้าน แต่อีกคนหนึ่งไม่มีอะไรที่ต้องคิด เมื่อมานั่งฟังอาจารย์พูด คนไหนจะเข้าใจได้แจ่มชัดกว่า (คนที่ไม่ต้องคิดอะไร)  คนที่ไม่ได้คิดอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  คนหนึ่งมีความสับสนในจิตใจกับคนหนึ่งมีความสดใสในจิตใจ คนไหนนั่งฟังแล้วจะรู้เรื่องมากกว่ากัน (คนที่จิตใจสดใส)  แล้วคนไหนสามารถแยกแยะอะไรชัดเจนได้มากกว่ากัน (คนที่จิตใจสดใส)  เหมือนท้องฟ้าที่มืดมัว ก็คล้ายๆ กับจิตใจที่     อึมครึม ท้องฟ้าที่มืดมัว เรายากแยกได้ชัดว่าใครขาวใครดำ เรายากแยกได้ชัดว่าต้นไม้ชนิดนี้กับต้นไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟ้าที่สว่างไสว จิตใจที่สว่างไสว เรามองเห็นไหมใครขาวใครดำ ใครสวยใครไม่สวย (เห็น)  เหมือนกับวันนี้ท่านมาศึกษาเราขอเพียงการเริ่มต้นในการอยู่ร่วมกันคือเปิดใจให้เรานิดหนึ่ง แล้วคลายความสับสนในเรื่องที่ ตัวเองเคยคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ลงไปบ้าง  บางครั้งการทำเป็นผู้ไม่รู้แล้วค่อยรู้ ยังดีกว่าเป็นผู้รู้แล้วต้องกลายเป็นคนไม่รู้ไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านลองคิดดูนะ ถ้าเกิดเรามาถึงแล้วเราบอกว่าเราเก่งเราดี แต่ถ้าพูดคุยกับท่านไปนานๆ เข้าเราเผลอพูดผิดน่าหัวเราะไหม (น่าหัวเราะ)  ฉะนั้นเวลาเรามาอยู่รวมกัน แม้เราจะเก่งขนาดไหน สู้เราถ่อมตัวไว้ไม่ดีกว่าหรือ  เรายังไม่รู้ใช่ไหม (ใช่)  ถึงแม้ว่าเราจะรู้แล้ว เขาพูดผิดเรายังแอบหัวเราะเขาได้ใช่หรือเปล่า ดีกว่าถูกหัวเราะว่าเธอนั่นแหละโง่ จริงไหม (จริง)  อันไหนหน้าแตกมากกว่ากัน
บางครั้งตัวท่านนั้นอยู่ในสังคมนี้มีอารมณ์เศร้า ดีใจ เสียใจ คนบางคนมีหน้าที่มีภาระทำให้เวลาหัวเราะก็หัวเราะได้ไม่เต็มที่ บางคนมีตำแหน่ง มีเกียรติยศ จะเศร้าก็เศร้าได้ไม่เต็มปากเต็มคำ จริงไหม (จริง) เพราะเกียรติยศ หน้าที่และหน้าตา ทำให้ต้องรักษาภาพพจน์ไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้จะยิ้มก็ต้องยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ใจอยากจะยิ้มเต็มที่แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งอยากจะเศร้าก็เศร้าไม่ได้ ต้องรักษาไว้อย่าให้คนอื่นเขารู้ว่า ตัวนั้นเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาจะหัวเราะเยาะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไรเราถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ ไม่สามารถแสดงสิ่งใดออกมาได้ เพราะบางทีเรารักตัว มากกว่ารักใจ  เรารักหน้ามากกว่าสงสารใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นท่านเป็นคนที่ใจหนอใจช่างทำร้ายใจได้ลงคอ อยากให้เขารัก อยากให้ใครก็รัก แต่ทำไมตัวเราเองถึงทำใจเราทำร้ายตัวเอง ช่างน่าแปลกไหม (น่าแปลก)  บางครั้งเราเปิดเผยบ้างก็ดี  รักหน้าตามาก หน้าตาก็ทำให้เราต้องทุกข์  เป็นคนจริงใจ มีน้ำใจ แล้วก็ตรงไปตรงมา บางครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ไม่มีใครหรอกที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ต้องมีบ้าง  และในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่จะหาที่ไม่สวยไม่เจอ จริงไหม (จริง)  ตัวท่านฝ่ายชายก็เหมือนกัน จะบอกว่าตัวเองหล่อ ตัวเองดีหมด แน่ใจหรือ ถ้าดึงจมูกออกมาอย่างเดียว หล่อไหม ก็ไม่หล่อ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าได้หลงตัวเอง เพราะให้ดึงหูมาอย่างเดียวสวยไหม ก็ไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นแต่ละสิ่งแต่ละอย่างจะสวยงาม จะดีพร้อมได้นั้น บางครั้งไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่     คุณธรรมในจิตใจต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)  หากดึงจมูกออกมาอันเดียว ทำไมเขาถึงบอกว่าช่างดี ช่างประเสริฐเช่นนี้  เพราะว่าเรายอมสละจมูกของเราอุทิศให้กับคนอื่นใช่ไหม เหมือนคนที่ร่างกายนี้เราสิ้นไปแล้วแต่เขาอุทิศดวงตาให้กับคนอื่น มองดูลูกตาสองลูกที่เอาออกมาแล้วท่านว่าสวยไหม แต่สวยที่น้ำใจ สวยที่คุณธรรมที่เขากล้าทำได้ เขาไม่กลัวบ้างหรือว่าชาติหน้าเขาจะไม่มีลูกตา จริงไหม (จริง)  นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกันในสังคม  สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เกียรติยศชื่อเสียง  แต่เป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน  การแสดงออกในสิ่งที่ดีงามและมีความจริงใจให้แก่กันต่างหาก นี่ถึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าสำคัญในการเป็นคนและอยู่ในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ครูอาจารย์ใช้วิชานำพาศิษย์”
แต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครมีหน้าที่เป็นลูกยกมือขึ้น  ใครเคยเป็นพี่ยกมือขึ้น  ใครเคยเป็นน้องยกมือขึ้น  ท่านไม่เคยเป็นพี่คนหรือ ถ้าไม่ได้เป็นพี่ของน้องแท้ๆ ก็เป็นพี่คนอื่น  ไม่เคยเป็นน้องแท้ๆ ของพี่เราก็เคยเป็นน้องของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกคนต้องมีพี่ น้อง ทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเคยเป็นหัวหน้า ท่านเป็นหัวหน้าของตัวเองจริงไหม ในตัวเรานั้นเราใหญ่ที่สุดหรือมีคนใหญ่กว่าตัวท่าน  ตัวท่านก็เคยเป็นหัวหน้าของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าฐานะ ตำแหน่ง หน้าที่ ทุกๆ คนต้องเรียนรู้ ทุกๆ คนต้องเคยเป็น เคยผ่านมา  แม้อายุจะมากแล้วเราก็เคยเป็นลูกเขานะ เคยเป็นพี่เขา เคยเป็นน้องเขา เคยเป็นหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเป็นแล้วรู้จักเป็นหรือไม่
ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า คำอวยพรที่มีค่าที่สุดคือ จงเป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ดีที่สุด  พ่อทำหน้าที่เป็นพ่อ บุตรจงทำหน้าที่เป็นบุตร  สังคมก็จะไม่วุ่นวาย  ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้  ถ้าเกิดลูกไม่ทำหน้าที่แห่งความเป็นลูกที่ดี ไม่รู้จักนำคุณธรรมในการเป็นลูกมาใช้ ก็ไม่สามารถที่นำความสงบให้กับครอบครัวและผืนแผ่นดินนี้ได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดเขาเป็นลูกที่ไม่ดีของบิดาท่านนี้แล้วแน่ใจหรือว่าเขาจะไปเป็นลูกที่ดีของบิดาท่านอื่นได้ หากเขาไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีของลูกคนนี้ได้ เขาจะสามารถเป็นพ่อที่ดีของคนอื่นๆ หรือไม่ จริงไหม (จริง)  หากลูกตัวเองเขายังไม่รัก เขาจะไปรักใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนทุกคนมีหน้าที่ จงกระทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และมีคุณธรรม
เราอยากมาถึงแล้วนำพาแต่รอยยิ้มให้แก่ทุกๆ ท่าน วันนี้เรามีโอกาสได้มาหาทุกท่าน ใครมาเจอเราแล้วยังไม่ยิ้ม แปลว่ายังไม่ได้เจอเรา  การยิ้มไม่ใช่ยิ้มแค่มุมปากแค่พองาม แต่มีเท่าไรต้องยิ้มให้หมด ต้องยิ้มได้อย่าง  จริงใจ ยิ้มได้อย่างสบายใจ ยิ้มได้อย่างปล่อยวางแล้วในเรื่องทางโลก ต้องยิ้มได้อย่าง
เต็มที่ หลายคนนั้นยิ้มได้ไม่ค่อยเต็มที่เพราะเวลายิ้มกลับมัวคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน จริงไหม ไปคิดทำไมถึงเรื่องของพรุ่งนี้ วันนี้มีกินอย่างนี้ก็ดีแล้ว จะคิดทำไมว่าวันพรุ่งนี้จะได้กินแบบนี้หรือเปล่าจริงไหม  ทุกคนถึงไม่สามารถยิ้มแล้วมีความสุขได้ ฉะนั้นพอใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วสุขให้เต็มที่  แม้วันนี้เราจะตายไปก็มีความสุขและก็พบความสุขที่แท้ในการรู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามนุษย์เรายังไม่รู้จักพอ วันนี้แม้จะมีทองเต็มกระเป๋าทั้งสองข้าง ห้อยเต็มตัว แขวนเต็มแขน ถ่วงเต็มหูก็ยิ้มไม่ออกจริงไหม  เพราะว่าใจนั้นไม่เคยรู้พอ ฉะนั้นวันนี้ก็จงยิ้มให้เต็มที่ แม้ทองจะหล่น แม้เงินจะหายก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ จริงหรือเปล่า  ใครบอกจริงต้องให้ทองเราดีไหม เราพูดแบบนี้ท่านอาจคิดว่า      สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มาเพื่อมาทวงเงินหรือเปล่า เราไม่ได้ทวง แต่ให้พุทธะทวงยังดีกว่าให้คนอื่นมาทวง  จริงไหม ให้พุทธะทวงเดี๋ยวพุทธะก็ต้องคืน ให้พุทธะแล้วเป็นกุศล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครมาทวง ท่านควรคิดว่าเป็นพุทธะมาทวง คิดว่าได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าท่านเห็นคนอื่นมาทวงนั้นเป็นมาร  ก่อนที่คนอื่นจะเป็นมารตัวท่านก็เป็นมารก่อนแล้ว เพราะไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)
เราก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสบำเพ็ญตนแล้วได้กลับไปสู่เบื้องบน แล้วได้ตำแหน่งเป็นพุทธะ น่ายินดีไหม เกิดมาเราก็รู้สึกคุ้มแล้ว แม้ว่าตอนที่เราเป็นมนุษย์มีกายเป็นคนจะถูกล้อเลียนว่าอ้วนและกินจุ เราก็อยู่ไปวันๆ หัวเราะและก็ยิ้มได้ เขาว่าเราเหมือนคนไม่เต็ม แต่เราก็มีความสุข ความสุขของเราก็คือการได้ทานและได้แบ่งปันให้คนอื่น ความสุขของคนอ้วน คือได้ทานและก็รู้จักได้แบ่งปัน แต่ถ้าทานคนเดียวแล้วไม่แบ่งปันก็กลายเป็นความทุกข์ จริงไหม (จริง) เพราะกินมากแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็ขี้เกียจ ขี้เกียจแล้วก็นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น ถึงตอนนี้ใครจะว่าเรา เราก็ไม่กลัวแล้ว เรากลับขอบคุณเขาเพราะเขาว่าเรา  ทำให้เราได้เป็นพุทธะใช่หรือไม่ ทำไมเราจึงพูดแบบนั้น เพราะบางครั้งคนที่กล้าว่าเรา คนที่ตำหนิติเตียนเรา เขาก็เปรียบเหมือนคนที่คอยชี้นำแนวทางสิ่งที่ดีให้กับเราและก็ชี้ข้อผิดพลาดที่บางครั้งเราลืมเลือนไปและมองไม่เห็นจริงไหม ฉะนั้นยิ่งเขาว่าเรามากๆ เจอหน้าก็ว่า เจอหน้าก็ติ ทำอะไรก็โดนว่า โดนว่าไปหมด แรกๆ เราก็รับไม่ได้ แต่พอคิดกลับกันเรากลับรู้สึกว่ามีคนว่ามีคนติก็เพราะเขายังเป็นห่วง แต่ถ้าไร้คนว่า    ไร้คนติ นั่นคือเขาตัดหางปล่อยวัด จริงไหม (จริง) บางครั้งเกิดเป็นคนเจอสังคมตำหนิ เจอสังคมว่า เจอคนบ่น ก็ไม่เป็นไร จงภูมิใจที่มีคนตำหนิเพราะเราเป็นคนของสังคม คนจึงกล้าว่าเรา
คิดได้อย่างนี้ก็ยิ้มได้อีกเรื่องหนึ่งจริงหรือเปล่า (จริง) เรื่องที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ท่านไม่รู้ ทุกท่านก็รู้อยู่ แต่บางครั้งมันมีเรื่องหลายอย่างที่ทำให้เรายิ้มไม่ออก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น บางครั้งมีคนมาบอกก็จงยิ้ม  แม้จะต้องทุกข์ขนาดไหนก็ตาม คนที่กลัวทุกข์แต่เมื่อเจอทุกข์แล้วสามารถยิ้มรับได้ด้วยความกล้าหาญ มีใจเปิดรับด้วยความยินดี แม้ทุกข์จะมาเขาก็ชนะได้หนึ่งแต้มแล้ว ต่างจากคนที่เจอทุกข์แล้วกลัว นั่นก็แพ้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจริงไหม แต่ก็อย่าได้ฮึกเหิมลำพองจนเกินไป ในรอยยิ้มนั้นจะต้องมีคำเตือนใจเสมอ  ว่าอย่าประมาท แล้วรอยยิ้มนี้จะเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ท่านยิ้มตั้งแต่มีชีวิตจนสิ้นลมหายใจเชื่อไหม จงเชื่อ แล้วสักวันท่านจะได้ประจักษ์สิ่งที่เราพูด
เมื่อคนอื่นว่าเราก็ให้คิดว่าเขาโยนดอกไม้ให้เรา เราก็จะยิ้มได้ เมื่อเขาว่ตำหนิเรา เราอาจจะยังไม่ถึงกับแย่ก็ได้ แค่กำลังจะก้าวไปสู่ความไม่ดีเท่านั้นเอง บางครั้งเราก็ต้องปลอบใจตัวเราเองว่าเราแค่ก้าวผิดไปนิดเดียว ไม่ได้ตั้งใจ เราให้อภัยคนอื่นบ่อยๆ ได้ แต่ถ้าให้อภัยตัวเองบ่อยๆ แล้วจะทำให้เราเหลิง แล้วก็เผลออีกใช่หรือไม่ บางครั้งถึงคราวเข้มงวดก็ต้องเข้มงวดตัวเองด้วย แล้วประโยชน์ก็จะตกสู่ท่าน แต่ถ้าท่านให้อภัยตัวเองบ่อยๆ ท่านจะแน่ใจหรือว่าคราวหน้าท่านจะมีโอกาสได้แก้ตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีโอกาสแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งทำดีเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน แต่ทำชั่วหนึ่งครั้งคนก็ว่าเราชั่ว จริงไหม คนเราก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนไปว่าเขาเลย เขาเผลอทำผิดไปนิดหนึ่ง เราก็พูดว่าไม่เป็นไร  เพียงแต่ความดีหายไป ท่านลืมดีไปวันหนึ่งแค่นั้นเอง แค่นี้เขาก็ยิ้มออกแล้ว ถ้าเราปลอบใจเขาแบบนี้จะทำให้เขาหัวเราะได้และได้สติด้วย  ใช่หรือไม่ (ใช่) คำพูดคนจึงมีส่วนสำคัญ ไม่ใช่ว่าเขาหัวล้าน เราก็พูดว่าหัวเหม่ง ใครจะทนได้ ท่านเตือนเขาได้ไหม ไม่ต้องเริ่มต้นคุยแค่นี้เขาก็ไล่ท่านกลับบ้านแล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเมื่อเจอเขาก็อย่าไปพูดในสิ่งที่ร้ายของเขา  อะไรที่เป็นปมด้อยเขาอย่าไปพูดถึง พูดไปแล้วทำร้ายน้ำใจ พูดไปแล้วจะสร้างมิตรหรือศัตรู ก็ต้องสร้างศัตรูจริงไหม
“ปัดหน้าที่คนต่างทำคนพัง”
คนทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองและหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น เราอย่าพูดว่าเราเป็นคนอับจน คนที่พูดว่าตนเป็นคนอับจนนั้นเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรามองคนที่สูงกว่าเราก็ว่าเราต่ำ แต่ถ้าเรามองคนต่ำกว่าเราก็ว่าเราสูงกว่าเขา จริงหรือไม่ (จริง) บางครั้งเราว่าเงินของเราเท่านี้ดูน้อย แต่ถ้าเรารู้จักเปรียบเทียบกับคนอื่น ความน้อยของเรายังสามารถเอื้อและช่วยผู้อื่นได้ เมื่ออยู่ในสังคมร่วมกันจงมีน้ำใจให้แก่คนที่ต่ำกว่า อย่าดูถูกเขา อย่าเป็นคนที่อยู่ในสังคมแล้วโน้มไปตามคนสูงแล้วกดขี่คนต่ำ คนเช่นนี้ยากเป็นคนที่ดีในสังคมได้ ยากจะเป็นคนที่มีพระในหัวใจอย่างแท้จริงได้ ฉะนั้นเราอยู่ในนี้เราจึงสามารถที่จะเป็นผู้ที่นำธรรมมาใช้แล้วนำธรรมมาช่วยคนได้ การที่รู้จักนำธรรมมาใช้และนำธรรมมาช่วยคนได้นั่นก็คือ คนที่รู้จักบำเพ็ญตน ตัวท่านก็สามารถบำเพ็ญได้
การบำเพ็ญในกาลนี้เป็นการโปรดที่เมตตาอย่างมาก ไม่ต้องบวช ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาว  แม้ตนเองจะมอซอแต่จิตใจต้องบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว แม้สังคมจะวุ่นวายแต่ตัวท่านนั้นต้องทำจิตใจให้มั่นคงสงบนิ่ง นี่คือการบำเพ็ญยิ่งกว่าเข้าวัดเข้าวา เข้มงวดยิ่งกว่าเรียกร้องสิ่งใด เพราะท่ามกลางความวุ่นวายเราต้องเรียกให้ตัวเองสงบนิ่ง ท่ามกลางความสกปรกโสมมเราต้องขัดล้างให้ตัวเองบริสุทธิ์สะอาด หากบำเพ็ญได้แม้จะอยู่วัดก็ร่มเย็น แม้จะออกจากวัดก็เป็นสุข เราคิดว่าทุกท่านในที่นี้ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขอให้รู้จักคิด รู้จักทำโดยมีคุณธรรมเป็นแกนกลาง มนุษย์เราในสังคมนั้นบ่อยครั้งที่กายแข็งแรงแต่ใจอ่อนปวกเปียก มีประโยชน์อะไรกับการบำรุงกายให้เข้มแข็งแต่ใจไม่สามารถเข้มแข็งได้ ใจก็ไม่สามารถมีประโยชน์กับกายได้เลย คนหลายคนมักจะคิดว่าใจอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือไม่ก็คิดว่าใจเรานี้ควบคุมได้ยาก หรือไม่ยอมควบคุม พอไม่ควบคุมใจก็เลยปล่อยใจไปสะเปะสะปะ  คิดอะไรก็ทำสิ่งนั้น มีอารมณ์เช่นไรก็เผลอไปตามอารมณ์นั้น การเผลอไปตามความคิด อารมณ์โดยที่ไม่รู้จักควบคุมใจตนเองย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ใจจะทำร้ายใจจริงไหม (จริง) ยกตัวอย่างเช่น มีชายคนหนึ่งเป็นทหารที่เข้มแข็ง แต่วันหนึ่งเกิดไปรักหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง เขาก็ภูมิใจมากที่ได้หญิงสาวคนนี้มาครอบครอง ใครเห็นก็อิจฉาตาร้อน แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเหลือเชื่อเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นจึงมารักเขาได้ แต่วันหนึ่งหญิงสาวคนนี้เกิดเปลี่ยนใจ ทิ้งเขาแล้วไปมีคนอื่น เป็นอย่างไรรู้ไหม ความเข้มแข็งของเขาหาได้ช่วยใจเขาไม่ ความเป็นทหารที่รู้จักอดทนหาได้ช่วยเหลือใจเขาไม่ ใจของเขากลับพ่ายแพ้และซมซานเศร้าตรม  ปลงไม่ได้จนถึงขนาดที่สติฟั่นเฟือน เพราะว่าทำใจไม่ได้ เราอยู่ในโลกนี้หลายต่อหลายครั้งที่ใจเราปล่อยใจไปตามอารมณ์ เมื่อปล่อยใจไปตามอารมณ์แล้วเกิดไม่สมหวังไม่ได้ดังต้องการ เรามักจะถอนใจไม่ทัน มักจะดึงใจไม่ทัน ปล่อยใจไปแล้วก็ปล่อยไปเลย แต่ถ้าไปไม่ถึงสิ่งที่ต้องการจะทำอย่างไร ใจนั้นก็เลยเคว้งคว้างไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ไม่มีตัวมารองรับ ก็จะเปรียบเหมือนคนที่ขาดใจ เหมือนคนที่ไร้ใจ คนหลายคนในสังคมก็เป็นอย่างนี้ มีเงินมากมายแต่รักษาและเรียกใจตนเองกลับมาให้เข้มแข็งมั่นคงไม่ได้  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องรีบเอามาสอนใจเราว่าอย่าได้เผลอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องรู้จักควบคุมใจ  เมื่อควบคุมได้ย่อมมีระเบียบวินัย ซ้ายเป็นซ้าย ขวาเป็นขวา หยุดเป็นหยุด เราก็สามารถเรียกใจของเราได้ ในเมื่อใจของเราสั่งกายได้ ทำไมใจเรานี้ไม่ควบคุมใจเราให้ได้ บางครั้งพอเราบอกว่าหยุดก็หยุดเสีย ถ้าเกิดใจ   รู้จักควบคุม ใจที่รู้จักฝึกมาดีก็จะมีสติมั่นคง ปัญญาว่องไว และมีความเท่าทันในเหตุการณ์ที่มากระทบใจใช่ไหม (ใช่ )  แต่ถ้าเกิดว่าท่านไม่รู้จักฝึกใจ ปล่อยให้ใจไปตามอารมณ์ ไปตามกิเลสย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมเป็นทุกข์) บางครั้งเมื่อเราปล่อยใจไปตามอารมณ์แล้วบางทีเราก็ลืมไปว่า อะไรควรไม่ควร ถ้าใจที่รู้จักควบคุม ใจที่รู้จักฝึกอบรม รู้จักบำเพ็ญตนจะเป็นใจที่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควรและตัดสินได้อย่างเที่ยงธรรม   แต่ถ้าใจที่ปล่อยไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามความอยากจะเป็นใจที่ไม่สามารถรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะจะถูกความอยากครอบงำ จริงไหม (จริง) ความเป็นตัวของตัวเองที่อยากได้อยากมีนั้นจะครอบความคิดทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความถูกต้อง  อย่าได้กลัวเรา  เราคุยด้วยจงคุยตอบ ยิ้มด้วยจงยิ้มตอบ นี่คือการผูกสัมพันธ์ในการรู้จักกันอย่างเบื้องต้น  ถ้าคุยด้วยแต่ท่านบึ้งตึงตอบ ยิ้มด้วยแต่ท่านกราดเกรี้ยวตอบ นี่คือการสร้างศัตรูจริงไหม แล้ววันนี้แน่ใจหรือว่าท่านเก่งพอจะมีศัตรูเป็นพุทธะ
เวลาเปลี่ยนไปใจคนก็เปลี่ยนตาม บางครั้งเราจึงกลัวกับกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนไป บางครั้งเราก็ใจตื่นตระหนกและหวั่นไหวใช่หรือไม่ บางครั้งเราเห็นเขาอยู่กันดีๆ บางทีเราก็กลัวว่าเวลาเปลี่ยนไปแล้วเขาจะเปลี่ยนไปตามเวลาด้วยหรือไม่ ใช่ไหม   พุทธะก็เช่นกันเห็นท่านดีๆ อยู่  พอกาลเปลี่ยนไปใจท่านก็เปลี่ยนตาม จิตใจที่เคยมุ่งมั่นว่าจะทำดีบางครั้งก็หวั่นไหวไปกับความชั่วร้ายในสังคม ความมักง่ายและความเผอเรอของตัวเองจริงไหม เพราะเรารู้สึกว่าทำดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ทำชั่วเป็นเรื่องที่ง่ายเหลือเกิน แต่เราว่ายาก ท่านลองคิดดู เวลาท่านจะโกหกคนๆ หนึ่งก็ต้องกังวลว่าเขาจะจับพิรุธได้  พอเขาตั้งคำถามก็ต้องคิดให้รอบคอบรัดกุม  แล้วบางทีกลัวว่าคนที่ท่านโกหกเขาจะไปพูดกับคนโน้น กลัวเขาจะรู้จากคนนี้  พอเขาบอกว่าทำชั่วง่ายท่านก็ตอบรับว่าทำชั่วง่าย  นั่นคือท่านกำลังสร้างสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าท่านบอกว่าทำชั่วยาก ทำไม่ได้หรอก แต่ทำดีนั้นง่าย พูดแค่นี้ก็สร้างกุศลกับตัวเองแล้วจริงไหม  แล้วก็ไม่เรียกร้องตัวเองด้วยว่าทำชั่วง่ายทำดียาก ฉะนั้นอย่าเผลอ ไม่อย่างนั้นความคิดนี้จะสืบต่อไปยังรุ่นต่อๆ ไป ท่านต้องสอนเขาว่าทำชั่วนั้นยาก  พอเขาทำผิดเราต้องแก้ไขชี้นำเขาได้ ฉะนั้นเวลาแม้จะเปลี่ยนไปอย่างไรขอเพียงตัวท่านมีความมั่นคงในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ท่านก็จะสามารถสำเร็จได้เหมือนกับคนที่มีพลังอันยิ่งใหญ่  พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จมรรคผลได้  บางครั้งเราอาจจะสงสัยว่าท่านเอาพลังจากไหนถึงทำดีได้มากมายขนาดนี้ท่านเข้มแข็งได้อย่างไร ในเมื่อเวไนยยังหลงเวียนว่ายอยู่ในขณะนี้ ท่านต้องมีจิตใจบางอย่างที่สามารถทะลุทะลวงและเปรียบปานได้กับเทพใช่หรือไม่  ใจนั้นหาได้ไม่ยาก สามารถหาได้ในตัวท่าน มีได้ในตัวทุกๆ คน  ทำไมจอบที่หนักแสนหนักแต่คนบางคนจึงขุดได้อย่างแคล่วคล่อง งานที่อุปสรรคมากมายทำไมคนจึงฝ่าได้จนสำเร็จ เพราะว่าเขาได้ฝึกจนชำนาญ เขาได้ผ่านมาจนเจนจัดใช่หรือไม่ ขอเพียงได้ลองทำ เราอย่าได้ดูเบาตัวเอง
คนทุกคนบางครั้งเวลาทำดีและตั้งใจจะเป็นคนดี  ทำไมจึงดีไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะมักจะไม่สามารถเผชิญกับอุปสรรค หวาดกลัวความยากลำบากใช่หรือไม่  ทำไมไม่ลองฝ่าฟันดู ไม่แน่ฝ่าหนึ่งครั้งแล้วท่านจะรู้ว่าทุกข์นี้ไม่ใช่เรื่องยาก อุปสรรคนี้ไม่ใช่ความลำบาก หากเอาแต่กลัวเอาแต่คิดว่าทำดียากแล้วเมื่อไหร่จะไปถึงฟากฝั่งแห่งการทำดี เมื่อเป็นคนดีไม่ได้แล้วจะเป็นมนุษย์ประเสริฐได้อย่างไร เมื่อยังเป็นมนุษย์ประเสริฐไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพุทธะจะเป็นอย่างไรจริงไหม
 สิ่งแรกในการเริ่มต้นฝึกฝนบำเพ็ญตนนั่นก็คือมั่นคงในการทำความดี เมื่อมั่นคงแล้วก็ฝึกฝนไปมีโอกาสเอาความดีนั้น ไปช่วยคนท่านก็จะสามารถก้าวไปสู่ประตูแห่งพุทธะ ไปนั่งบัลลังก์แห่งพุทธะได้ ฉะนั้นจงหมั่นทำดี ทำดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยจริงไหม  อย่าบอกว่าพูดง่ายแต่ทำจริงๆ นั้นยาก บางครั้งเจอยากก่อนพอเจอง่ายก็สบาย เจอง่ายก่อนพอเจอยากก็รับไม่ไหวจริงหรือเปล่า ฉะนั้นจงคิดไปทางที่ดีแล้วปัญญานี้จะนำพาสติและความเท่าทันในเหตุการณ์ในโลกนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ตัวท่านมีอาวุธในการปราบปรามความชั่วร้ายอยู่แล้ว อาวุธในการนำพาให้ท่านก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ รู้จักใช้อาวุธให้ดีแล้วอาวุธนี้จะเป็นเหมือนสิ่งที่เสริมให้ท่านยิ่งสูงขึ้นทุกๆ วัน นั่นก็คือสติปัญญาและความเท่าทันในเหตุการณ์
ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่น่าสงสารกว่าท่าน แล้วในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่ลืมสงสารตนเอง ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีใจรู้จักสงสารคนอื่น มีใจรู้จักช่วยเหลือคนอื่น เมื่อช่วยไปแล้วก็ไม่กลับมาคิดว่าเขาจะหลอกเราหรือไม่ ช่วยเขาไปย่อมเป็นกุศล  แต่ถ้าช่วยเขาไปแล้วกลับมาคิดว่าเขาหลอกเรา  อย่างนี้ย่อมไม่เกิดผลบุญอะไรใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อตั้งใจช่วยจงช่วยให้เต็มที่ เมื่อช่วยแล้วอย่าหวนคิดกลับ ทำดีเพื่อความดี อย่าคิดทำดีเพื่อหวังผล มิฉะนั้นก็เป็นคนดีที่ไม่ถูกต้องเหมือนกันจริงหรือไม่ บางครั้งเราอยู่รวมกันในสังคมคนบางคนเขาเกลียดเรา บางคนเราไม่ได้สร้างทุกข์อะไรให้เขา ทำไมเขาถึงทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ใจ  ทำไมเขาไม่ไปทำกับคนอื่น  ทำไมเขาไม่แกล้งคนอื่น กลับมาแกล้งเรา การให้อภัยคือการสร้างบุญ การคิดว่าเป็นกรรมของเราก็คือการมองเขาในแง่ดีจริงหรือไม่  แต่ถ้าเขาเกลียดท่านแล้วท่านเกลียดตอบ เขาร้ายมาท่านร้ายตอบเช่นนี้ท่านกับเขาก็ไม่ต่างกันใช่หรือไม่ จึงมีคำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร  ฉะนั้นให้อะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับให้อภัย ไม่ว่าเขาจะดีจะร้าย จะทำให้เราผิดหวังอย่างไร เมื่อเราให้อภัยเขาเราก็จะเกิดจิตที่ดีงามและสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ถ้าเรามีแต่ความเคืองแค้น โกรธเกรี้ยว และอยากจะล้างแค้นตอบอยู่ร่วมกันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ยิ้มให้กันก็ยิ้มอย่างจอมปลอม บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้มีทั้งดีมีทั้งร้าย มีทั้งยกย่องแล้วเหยียบย่ำ มีทั้งมั่งมีแล้วทุกข์ยาก แต่เมื่อไหร่เราเจอเรื่องที่มากระทบใจเรา เราต้องไม่หวั่นไหว ตัวเรานั้นต้องมั่นคง แล้วภายในใจต้องสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ไม่จีรัง  วันนี้เขาชม พรุ่งนี้เขาตำหนิชี้ข้อบกพร่อง วันนี้เขายกย่อง วันพรุ่งนี้เขาอาจจะยกเราลงมาใช่ไหม คิดเสียว่าวันนี้เขายกเราขึ้นพรุ่งนี้อาจจะปล่อยลงเพราะเมื่อย  วันนี้มั่งมีพรุ่งนี้อาจจะมีน้อยลง  หากเราคิดได้เช่นนี้เราจะมีสุขด้วยความไม่ประมาท และมีสุขอย่างไม่หลงระเริง แล้วในความสุขนั้นเราก็จะรู้ได้ว่าเป็นธรรมดาที่ต้องเวียนกลับมาเป็นทุกข์ หากคิดได้อย่างนี้อยู่ทุกขณะ เมื่อเจอทุกข์ก็ตั้งรับได้ทัน เมื่อฝนตกเราก็มีร่มกาง  เป็นคนที่พร้อมเสมอไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอนเหลือเกินใช่ไหม แล้วในความไม่แน่นอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือการสร้างความดีให้กับตน  การรู้จักทำตนให้เป็นคนที่มีประโยชน์ รู้จักบำเพ็ญตน ไม่มีใครเสกให้ท่านเป็นคนดีได้ ไม่มีใครเสกให้ท่านเป็นนางฟ้าได้  มีแต่ตัวเราต้องเสกตัวเองให้เป็นคนดี เป็นนางฟ้าใช่ไหม  เมื่อเราเสกด้วยตัวเราเอง สร้างขึ้นด้วยตัวเราเอง ต้องไม่เผลอไปเวียนในความไม่แน่นอน เมื่อเราสร้างแล้วแม้คนเห็นหรือไม่เห็นก็ยังสร้าง  คนให้ความสำคัญหรือไม่ให้ความสำคัญเราก็ยังสร้างด้วยความดี สร้างเพราะอยากช่วยเหลือ  อยากทำดี  เพื่อให้ดีอยู่ในโลก  แล้วความดีนั้นก็จะไม่มีใครมาไถ่ถอนหรือดึงไปจากตัวเรา  ฉะนั้นจงรีบทำ แล้วเราก็จะสามารถเสกตัวเราให้เป็นนางฟ้าและเทวดาได้ใช่ไหม ตัวท่านต้องสรรค์สร้างด้วยตัวเอง เวลาเราอยู่ในโลกนี้ต้องรู้จักสร้างด้วยตัวเอง ทำด้วยตัวเองแล้วสิ่งดีก็จะบังเกิดขึ้น
แต่บางครั้งเรื่องราวบางเรื่องก็อยู่นอกเหนือจากการจัดการของเรา  เช่นคนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา  ความตาย  ความดับ  การพลัดพรากที่มาเยือน เป็นเรื่องราวที่เกินเหตุ สุดวิสัยที่เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยื้อยุดให้อยู่กับที่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราต้องปล่อยบ้าง
เรื่องราวในโลกนี้มีทั้งสมหวัง ไม่สมหวัง  เมื่อไม่สมหวังอย่าได้ยึดมั่น จงปล่อยเสีย ไม่เช่นนั้นใจท่านจะเหมือนกับเขียงที่ให้เขาสับๆๆๆ ให้เขาหั่นๆๆๆ รองรับอารมณ์ต่างๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น  สิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยจัดการได้  ในเวลาที่เราปลงไม่ได้ก็คือ จัดการกับจิตใจของตัวเอง  เมื่อรู้ว่าแก้ไม่ได้ก็ดึงใจออกมาหรือปลงเสีย แล้วเราก็จะเป็นสุขกับเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราอยู่ร่วมกันย่อมมีคนทำอะไรไม่ถูกใจ หากเขาทำไม่ถูกใจแล้ว  เราบอกแล้วแต่เขาไม่แก้ไข  บางทีเราก็ต้องปล่อยเขาไปใช่ไหม (ใช่)  เรื่องราวบางเรื่องนั้นคนจัดการไม่ได้แต่ต้องให้เวลาช่วยจัดการปัญหา เพราะว่าเขาจะยอม โดยตัวเขาเห็นโทษของการที่ไม่ถูกต้องเอง จริงไหม (จริง)
อะไรบ้างในโลกนี้ที่ทำให้ท่านยิ้มไม่ออก (ความทุกข์) ทุกข์อะไรบ้าง (ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ)  บางครั้งความทุกข์ทำให้ท่านยิ้มไม่ออกใช่ไหม  แต่เมื่อครู่นี้เราบอกแล้วต้องยิ้มให้ออก ใช่หรือเปล่า มีทุกข์อะไรอีก (ไม่ถูกใจ ไม่สมหวัง, มีปัญหา)  เพราะมีปัญหาจึงยิ้มไม่ออก แต่ถ้ามีปัญหาแล้วยิ้มออก ดีไหม (ดี)  ดี แปลว่าเราพร้อมที่จะฝ่าออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกข์แล้วท่านยิ้มไม่ออก ท่านก็จะต้องนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วปัญหาก็ไม่มีวันแก้ ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหา อย่าเห็นปัญหาเป็นปัญหา แต่ให้เห็นว่าปัญหาต้องแก้ ถ้าเจอปัญหาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหา ท่านก็จะจมอยู่กับปัญหานั้น ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาแล้วต้องแก้   ยิ้มไม่ออกเพราะอะไร  (เจ็บ) ยิ้มออกเพราะลืมเจ็บใช่ไหม บางครั้งเจ็บตัวต้องลืมไปบ้างก็จะยิ้มออก จริงไหม  (เจอปัญหาแล้วแก้ไม่ได้) ยิ้มไม่ออกเพราะบางทีเจอปัญหาแล้วพยายามแก้แล้วแก้ไม่ได้  ฉะนั้นต้องถอนใจออกมา  (ความล้มเหลวในชีวิต)  แต่ความล้มเหลวเป็นบทเรียนที่ทำให้เรายิ้มออกในวันหน้า  (สอบตก)  ยิ้มไม่ออกเพราะสอบตก แต่บางทีเราเห็นคนบางคนพอไปอยู่กับเพื่อนที่สอบตกด้วยกันก็หัวเราะว่าเราตกวิชาเดียว  เขาตกสองวิชา ท่านก็ยิ้มออก  (มีความกังวล)  ความกังวลและความสับสนที่ไม่สามารถมองได้แจ่มชัดว่าโลกนี้เป็นอย่างไรกันแน่  เรื่องที่เราต้องเผชิญนี้จะฝ่าไป   อย่างไรถึงจะดีที่สุดใช่ไหม  เราต้องมองกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์สังคมนี้ให้ออก  เมื่อมองแล้วจงรู้จักและเข้าถึง  เมื่อมอง รู้จัก และเข้าถึงได้ จงเคารพในกฎแล้วเดินไปในกฎด้วยความสอดคล้องและระมัดระวัง  กฎนี้จะนำพาให้เราเห็นได้แจ่มชัด  แต่บางครั้งเราก็รู้สึกว่ากฏในโลกนั้นเป็นกรอบที่กั้นเรามาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอย่าลืมว่ากรอบที่ช่วยกั้นจะทำให้เราไม่ก้าวผิด แต่ถ้าไร้กรอบเราย่อมเผลอทำผิดใช่ไหม (ใช่)
เรารู้จักกรอบของสังคม แต่เราลืมนึกถึงกรอบแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งธรรมชาติไป ธรรมชาติมีกฎอยู่อย่างหนึ่ง หากทุกคนมองก็จะเห็นได้ นั่นก็คือไม่ว่าร่างกาย เสื้อผ้า หรือเงินทองล้วนเอามาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราครอบครอง วันนี้เราได้ใช้ แต่ต่อไปเราต้องรู้ว่าสุดท้ายต้องคืนสู่ธรรมชาติ   ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคือกฎของธรรมชาติ มีอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรลืม คือทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้  วันนี้ยืมเขามาใช้ถึงเวลาต้องคืนสู่ธรรมชาติ  แม้กระทั่งร่างกายนี้ก็เหมือนกัน  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเข้าใจกฎนี้เราจะได้ไม่ต้องไปยึดให้ทุกข์  และไม่ต้องไปกังวลให้ยิ้มไม่ออก เพราะเรารู้ว่าถึงคราวปล่อยต้องปล่อย ถึงคราวแก้ไขควรแก้ไข  ถึงคราวมองให้ออกก็ต้องแยกให้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถแยกอะไรได้แจ่มชัด ก็คือเรามีอารมณ์ร่วม พอมีอารมณ์ร่วมบางครั้งก็มองได้ไม่ชัดเจน อย่างเช่นถ้าเราชอบสาลี่มากกว่าฝาถ้วย เพราะเรามีอารมณ์รู้สึกว่าสาลี่กินแล้วอร่อย ฝาถ้วยนำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้  เราจะมองเห็นชัดเจนไหมว่าอะไรมีคุณค่า เรามองเห็นว่าสาลี่มีคุณค่าสูงส่ง แต่ฝาถ้วยมีคุณค่าต่ำเตี้ยติดดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรามองได้ไม่ชัด เราย่อมตัดสินได้ไม่เที่ยงใช่ไหม  เมื่อตัดสินไม่เที่ยงเราก็ย่อมกังวลในการใช้งานและสับสนเมื่อยามนำไปใช้  สิ่งที่มีประโยชน์ท่านก็ใช้เอาๆๆ  สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ท่านก็ทอดทิ้งไว้  แต่ลืมนึกไปว่าฝานี้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน สามารถนำมาฝนยาเพื่อนำไปกวาดคอได้ ฉะนั้นบางครั้งที่เราสับสนเราแยกไม่ออก นั่นเป็นเพราะเรามีอารมณ์ร่วม ฉะนั้นต้องดึงอารมณ์ออกมา  ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำมักไม่เห็นน้ำ นกมักไม่เห็นฟ้า คนมักไม่เห็นโลก จริงไหม (จริง)  บางครั้งเราว่าตาเรามองเห็นโลกแล้ว แต่ถามจริงๆ ว่าเราเห็นได้อย่างถ่องแท้และเข้าถึงไหม (ไม่ถึง)  ไม่ถึงเพราะตาเราเห็นได้จำกัด เมื่อสุดขอบตาก็ไม่เห็นแล้ว  ฉะนั้นการที่เราศึกษาหลักธรรม การที่เรารู้จักเรียนรู้กฎแห่งธรรมชาติและกฎแห่งสังคม จะทำให้เรามองเห็นในสิ่งที่เหนือกว่าตา ได้ยินในสิ่งที่มากกว่าหูได้ยิน และสัมผัสถึงสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส นั่นคือการเข้าถึงธรรมชาติ และมีธรรมชาติอยู่ในตัวตน เมื่อไรที่สามารถบำเพ็ญจนกระทั่งเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ และมีธรรมชาติอยู่ในตัวตน พบธรรมชาติที่แท้จริงอยู่ในตัวตน เมื่อนั้นท่านจะบำเพ็ญและพบความเป็นพุทธะ แต่ถ้าเมื่อไรบำเพ็ญแล้วยังขี้บ่น ชอบว่า หงุดหงิด กังวล วิตก นั่นแปลว่ายังพบความเป็นมนุษย์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาฟังธรรมะ ได้ยินสิ่งที่เราพูดไป ขอให้กลับไปแล้วยังยิ้มได้ต่อไป  มีใจที่ยิ้มสู้กับโลกใบนี้ที่แม้จะดูเลวร้ายสักเพียงใดแต่เราก็ยังมีความเข้มแข็งอดทนสู้ได้ทุกเมื่อ  เวลามองอะไรอย่ามองที่ตาอย่าวัดที่ใจ แต่ต้องวัดที่คุณธรรม เพราะใจของเรานั้นยังไม่ค่อยเที่ยงเท่าไร ฉะนั้นบางครั้งเสียงที่ได้ยินแม้จะฟังไม่ไพเราะ แต่ใจนั้นต้องให้เที่ยงดูว่าความไม่ไพเราะนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่ คนบางครั้งน่าเกลียด พูดไม่เพราะ พูดไม่น่าฟัง แต่จงมองให้ดีว่าในความน่าเกลียดไม่น่าฟังนั้น เขาต้องการมอบสิ่งใดให้กับเรา อย่าได้วัดคนเพียงเปลือกนอกและอย่าได้ดูสิ่งของเพียงราคา ไม่เช่นนั้นท่านจะโดนเปลือกนอกของสรรพสิ่งหลอกลวงจนไม่สามารถเห็นความเป็นจริงในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หัวหน้าชั้นถามความหมายของคำว่า อนัตตา)
อนัตตาก็คือไร้ตัวตน เมื่อไรที่เรามองเห็น ย้อนมองเห็นตนได้อย่างแจ่มชัดว่าตนเป็นคนเช่นนี้ และมีธรรมะเป็นความเที่ยงอยู่ ธรรมะนี้จะช่วยทำให้เราทิ้งตนเสียและไม่มีตน เมื่อไรที่เราเข้าถึงคำว่าไม่มีตน เมื่อนั้นเราจะไม่มีทุกข์  เรื่องนี้ฟังแล้วหลายครั้งสำหรับผู้ปฏิบัติงานธรรม แต่ในที่นี้ เราจะอธิบายเพิ่มเติม  เหมือนง่าย ๆ พอมองเห็นสาลี่  ถ้าเราบอกว่าสาลี่ไม่สวย ก็เหมือนโดนแทงหนึ่งครั้ง  บอกว่าสาลี่มีแมลง ก็โดนแทงอีกครั้งที่สอง ใช่หรือไม่  แต่ถ้าไม่มีสาลี่อยู่  ใครว่าสาลี่ไม่สวย ก็ไม่เจ็บ  มีใครบอกว่าสาลี่ของท่านไม่ได้เรื่องเลย ก็ไม่เดือดร้อน จริงไหม  ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราลืมตัวตนได้บ้าง  เวลาคนว่าเรา เธอไม่สวย ก็ไม่เป็นไรเพราะฉันไม่มีตัวตนแล้ว ลืมตัวตนไปเสีย ถ้ามีคนบอกเราว่าชื่อเราไม่น่าฟังเลย เราก็บอกไม่เป็นไร เขาว่าชื่อมิได้ว่าตัวเรา ใช่หรือไม่ บางครั้งการลืมตัวตนไปบ้างก็จะไม่มีที่ให้ทุกข์อยู่ การไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องเจ็บต้องทุกข์ นี่คือเรื่องง่ายๆ  แต่มนุษย์เรามักจะทำไม่ได้  พอตีก็เจ็บ พอไม่ตีก็บ่นว่าน่าจะตีเสียหน่อยจริงไหม พอเขามาแหย่เราเราก็ดีใจ  พอเขาไม่แหย่เราก็ไปหาเขาให้เขาแหย่ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากเลย อยู่ที่ว่าเรารู้จักมอง เมื่อมองแล้วเรารู้จักเอาธรรมมาใช้สอนใจไหม  หากรู้จักเอาธรรมมาใช้ มาสอนใจ ท่านก็จะยิ้มได้อย่างมีสุขใจ
วันนี้ก็คงสั้นๆเท่านี้แล้วนะ เราคงต้องไปแล้ว  ขอให้มีความสุขในการบำเพ็ญธรรม  และเป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม  มีโอกาสก็เอาสิ่งที่ดีๆ ไปช่วยเหลือคนในสังคมที่ยังตกทุกข์ได้ยากนะ  ไปล่ะ


วันอาทิตย์ที่  ๙  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใจเป็นนายกายเป็นบ่าวเสมอศิษย์ ทุกความคิดต้องตรวจสอบความเป็นหนึ่ง
คุณธรรมมั่นคงในความคำนึง ศิษย์จะถึงแดนฟ้าได้ต้องบำเพ็ญ
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอยากบำเพ็ญหรือเปล่า

ไร้สายลมแผ่วพัดสอบใจคน ธรรมแยบยลไร้ปาฏิหาริย์มาหนุนเกื้อ
ธรรมติดดินแล้วแต่ใครเชื่อไม่เชื่อ ทุกคนเมื่อทำสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น
เปิดใจกว้างจิตใจจะสบายเอง อาจารย์เร่งเพียงให้ศิษย์ตื่นจากฝัน
อย่าไปกลัวปัญหาสารพัน ในใจนั้นมีคำตอบหากย้อนมอง
ศิษย์ข้าเอยบำเพ็ญธรรมในชาตินี้ อาจจะมีเล็กน้อยความหม่นหมอง
แต่จงให้ช่วยเหลือกันประคับประคอง เหมือนดังทองที่ไม่กลัวไฟพิสูจน์
เจียดเวลากลับมาศึกษาจริง ทุกทุกสิ่งทำให้ได้อย่างที่พูด
เดินให้ถึงซึ่งแดนแสนวิมุตติ ศิษย์สามารถหลุดพ้นได้ถ้าพยายาม
ก่อนลาจากฝากศิษย์รักรู้จักตน ทั้งอดทนเรื่องเล็กน้อยอย่ามองข้าม
อย่าให้ข้าเฝ้าแต่ตามตามตาม ไฟลุกลามอาจเริ่มจากสะเก็ดไฟ

ฮา   ฮา   หยุด

  วิมุตติ ความพ้น, ความหลุดพ้น, พระนิพพาน

ทำงานมีสุขเมื่อรักงานตน ปัญญาของคนเหมือนดังเพื่อนคิด  งานเสร็จดังฝัน  ผลงานไว้เตือนใจศิษย์ แข่งขันกับตัวของเรา คนต่างก็คิดพึ่งกัน จงเป็นที่พึ่งของตนเถิดหนา เข้าใจกันย่อมเดินเคียงบ่า  ลืมเสียความไม่เท่า
* ยังห่วงคนดื้อรั้น ใครทัดทานไม่ได้  โปรดนำพาทุกคำจากหัวใจ    เรื่องดีดีล้วนเป็นดังใจ ด้วยสองมือของเรา
ก็เกือบจะสายเกินไป   บำเพ็ญแล้วยากนับวันห่างหาย กิเลสเร็วล้น   ควรเพียรระวังหรือหน่าย ให้ทบทวนสักที  (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง  :  รักอำพราง
ชื่อเพลง  :   รู้จักหน้าที่


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลาที่เราอยู่ร่วมกันมีน้อย ครู่เดียวก็จากกันแล้ว จะต้องทำอะไรบ้างกับเวลาที่เหลืออยู่เพียงเท่านี้  เวลาที่เหลือจะมานั่งกลัวร้อนไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราอยู่ร่วมกันแล้วโชคชะตาจะทำให้เราร้อน ก็ขอให้มีใจเย็นๆ ดีหรือไม่ ก็ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกมากมาย
พายเรือออกหรือยัง เราพายเรือท่ามกลางอะไร เรือแล่นไปบนทะเลทุกข์ เวลามืดๆ อย่างนี้จะเอาอะไรเป็นไฟ เวลาท้องฟ้ามืดอย่างนี้จะใช้อะไรเป็นไฟ ถ้าท้องฟ้ายังสว่างไสว เรามองออกไปก็รู้ว่าจะพายไปทางไหน แต่ถ้าท้องฟ้ามืดมิด  ทั้งสี่ทิศก็มืดเหมือนกันหมด  เราจะใช้อะไรเป็นไฟให้ตน ใช้คนอื่นนำทางได้ไหม (ไม่ได้)  ใช้คนอื่นนำไม่ได้ หวังพึ่งเข็มทิศได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่พึ่งเข็มทิศแล้วจะทำอย่างไร (ความรู้)  ใช้ความรู้เรื่องอะไร คนมักบอกว่ามีความรู้จะสามารถไปได้ตลอดรอดฝั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนมีความรู้ ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่นำพาเราไปได้ตลอด  ความรู้ต้องประกอบกับอย่างอื่นด้วยจึงจะมีชีวิตพ้นไปตลอดรอดฝั่ง
อาจารย์บอกว่าทุกคนมีชีวิต ทุกคนใช้อะไรนำพาในยามที่มืดมิด (ใช้จิต, หลักธรรม, สติปัญญา, ใช้สติและมีสมาธิ) แล้วตอนนี้มีสติและสมาธิหรือยัง  ยิ่งมืดมิดยิ่งต้องตาไว ในเมื่อความรู้ใช้ไม่ได้ คนอื่นเราก็หวังพึ่งเขาไม่ได้  แล้วจะใช้อะไร
อาจารย์นั้นชี้ให้ตรงใจ ฉะนั้นจะใช้อะไรนำพา ตัวเราประกอบด้วยกายและใจ  สิ่งที่เราจะใช้นำพาก็คือจิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรก็จะสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้)  จึงต้องใช้ความตั้งใจที่ออกจากใจ
บางคนนั้นทำงานเพราะอยากได้เงิน จึงไม่ได้ทำงานโดยออกจากใจ บางคนเป็นลูก บางคนทำหน้าที่เพราะต้องการคำชมจากคนอื่น  บางคนเป็นลูกที่ดีก็เพราะให้คนอื่นชื่นชม  นั่นเท่ากับว่าไม่ได้ทำออกจากใจ จึงยังไม่มีใครชมเชย
การเขียนหนังสือต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย เขียนแล้วต้องเป็นแนวเดียวกัน  หากเขียนแล้วไม่กะประมาณว่าข้างหลังพอหรือไม่พอ    แสดงว่าเราไม่มีฝีมือ  ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรต้องคิดก่อนทำ หลายคนกะประมาณไม่ได้  เมื่อทำสิ่งหนึ่งจึงผิดพลาด  ขณะที่เราทำสิ่งหนึ่งอยู่อย่าลืมว่าคนอื่นกำลังพิจารณาเราอยู่เหมือนกัน
“คุณธรรมมั่นคงในความคำนึง ศิษย์จะถึงแดนฟ้าได้ต้องบำเพ็ญ”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญ เพราะทำให้เราถึงแดนฟ้า เราทุกคนเกิดมามีชีวิตมีทุกข์ไหม รู้สึกว่าอยากพ้นทุกข์ไหม ทำไมอยากพ้นทุกข์  เราจะนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรแล้วพ้นทุกข์ได้ไหม การพยายามช่วยตนเองให้พ้นทุกข์นั้น  เป็นความคิดของคนที่ไม่มีทางจะพ้น เราต้องคิดว่าจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์  บางทีถ้าจะรอให้ตัวเองพ้นก่อน แล้วค่อยช่วยผู้อื่นนั้น กว่าเราจะพ้นทุกข์ก็อาจจะสายไป  บางทีคนอื่นก็มีความทุกข์มากกว่าเราอีก
เวลาเราเห็นผู้อื่นที่ร่วมบำเพ็ญด้วยกัน มีข้อไม่ดีต้องทำอย่างไร (ตักเตือน) ไม่กลัวเขาย้อนกลับมาหรือ การอยู่ในสถานธรรมทุกคนกำลังบำเพ็ญ ทุกคนยังมีความผิดพลาดเสมอ ทุกคนยังอยู่ในสภาวะไม่พ้นทุกข์ แต่ต้องยื่นมือมาช่วยผู้อื่น ไม่มีใครบอกได้ว่าใครจะพ้นก่อนใคร แต่เราต้องพยายามช่วยกันใช่ไหม
อยากบำเพ็ญหรือเปล่า อยากบำเพ็ญกับอาจารย์ อาจารย์ไม่ใช่พระศักดิ์สิทธิ์ทำให้ไฟติดก็ยังไม่ได้เลย บำเพ็ญกับอาจารย์ได้ไหม (ได้)  เวลาที่เราร้อนเราควรที่จะทำให้ใจเราเย็นสบาย การบำเพ็ญไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีเรื่องแปลกประหลาด เหนือความคาดหมาย มีแต่เรื่องธรรมดา คนทำดีได้ดีคนทำชั่วได้ชั่ว เป็นอย่างนั้นเอง คนที่บำเพ็ญอย่างธรรมดาที่สุดจึงได้มรรคผลที่สุด ปาฏิหาริย์ช่วยให้เราไปไกลจากสัจธรรมมากที่สุด
วันนี้อาจารย์มาพบศิษย์อาจารย์ก็ดีใจ แต่บางคนพอร้อนแล้วใจไม่ยอมนิ่ง อาจารย์คิดว่าในความร้อนเท่านี้ไม่เป็นไร  คนโบราณนั้นถูกเคี่ยวกรำมากกว่านี้ แต่พออาจารย์มาถึงแต่ละคนใจไม่นิ่ง  ไม่เป็นอย่างที่อาจารย์คาดไว้เลย
คิดว่าจิตตนเองเมื่อเทียบกับภายนอกที่กำลังมืด  อะไรมืดกว่ากัน  ใครคิดว่าภายนอกมืดกว่า   ใครคิดว่าภายในใจของเรามืดกว่า  ใจของเราทุกคนเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ใสสว่างยิ่งกว่าแดดตอนเที่ยง  แต่นานไปอะไรทำให้เรามืด  นั่นคือความโลภ โกรธ หลง รู้จักไหม (รู้จัก) เรารู้จักดี แต่เราตัดไม่ได้ ทำไมเราตัดไม่ได้ วันนี้เราตัดไม่ได้อย่างนั้นพรุ่งนี้ตัดได้ไหม คนที่ผลัดวันประกันพรุ่งก็จะทำไม่สำเร็จ ถ้าจะทำก็รีบทำเลย  จะมัวผัดวันประกันพรุ่งก็ไม่ใช่ทางออก  ถ้าอยากให้ใจของเราสว่างเหมือนเดิมก็ต้องล้างสิ่งที่หาไว้ให้สิ้น  ทำไมธรรมะจึงอุบัติลงในกาลนี้ เพราะเมื่อทุกคนรู้ว่าจิตใจนั้นมีความโลภ โกรธ หลง อยู่แต่ยังตัดไม่ได้  รู้แล้วยังทำอยู่ ถ้าหากเรานั้นไม่เริ่มตัดวันนี้  ก็คงไม่ทัน ถ้าเราเลิกทำผิดก็จะมีคนทำผิดน้อยลง  ต้องเริ่มจากตัวเราเอง
สิ่งที่อาจารย์สอนตั้งแต่ต้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ขอเพียงแค่เรากระทำ  แม้จะเป็นเพียงข้อธรรมะง่ายๆ ตื้น ๆ ก็ยังดีกว่าไม่กระทำเลย ฟังธรรมะมาสองวันได้อะไรบ้าง (ความรู้, ฟื้นฟูจิตใจของเรา) เราต้องทำให้คนอื่นเห็น  เปรียบเทียบกับการที่สถานธรรมได้ส่งหนังสือไปให้เล่มหนึ่ง แล้วศิษย์ไม่เปิดอ่าน แม้หนังสือจะดีแต่ศิษย์ไม่อ่านก็เปรียบเหมือนหนังสือไม่ได้เปิดออก ถ้าไม่ได้เปิดออก ถ้าไม่ทำตาม ก็เปรียบหนังสือไม่ดี  การมาฟังธรรมสองวันนี้ก็เช่นกันเปรียบได้กับการส่งหนังสือมาให้ อ่านแล้วทำให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงได้ เปิดแล้วทำได้ไหม ก็อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ต้องกลัวถูกสะกดจิต หรือมีอะไรที่แปลกประหลาด ธรรมะจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งพื้น ๆ
คนเรามีหน้าที่ของความเป็นคนต้องทำให้สมบูรณ์ ลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ พ่อแม่มีหน้าที่อะไร (ดูแลลูก) ดูแลเพียงอย่างเดียวหรือ ต้องสั่งสอนเลี้ยงดูลูก คนสมัยนี้สร้างกุศลมามาก จึงฉลาด รู้เข้าใจสิ่งใดไปหมด  แต่ไม่เข้าใจว่าควรทำสิ่งใด  การศึกษาของคนสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน  ยิ่งเรียนจบสูงยิ่งมีคนชม แต่จบสูงก็ไม่มีความรู้แท้จริง ไม่มีประโยชน์ มีใบปริญญาแต่ไม่มีความรู้ที่แท้จริง ก็เหมือนกับวันนี้อาจารย์ให้ปริญญาใบหนึ่งแต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ถามว่าเราคู่ควรกับปริญญาใบนี้ไหม  ฉะนั้นเราต้องมีความสามารถคู่ควรกับปริญญาใบนี้ด้วย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่”)
เมื่อพูดถึงหน้าที่  คนเราเห็นหน้าที่การงานเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่อยากสูญเสียงานเราต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง  จะให้ใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้  แม้ว่าเราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราไม่หวังความก้าวหน้า แต่ถ้าเราทำได้เพียบพร้อมการงานก็สมบูรณ์ แต่อย่าใฝ่สูงเพราะจะตกลงมา
สมัยนี้ครึ่งหนึ่งบำเพ็ญธรรม ครึ่งหนึ่งทำงานทางโลก นอกจากนี้ยังต้องรู้จักมองโลกในแง่ดี ใครมองโลกในแง่ร้ายชีวิตจะมืดมน ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดี ๆ มีคนมาตบหัวเรา เราจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีได้ไหม   อยู่ดี ๆ ถ้าเขาเอาเงินเราไปเราจะโกรธเขาไหม  อยู่ดี ๆ เห็นเขานินทาเรา เขาอาจชื่นชมเราอยู่ก่อน  แต่เผอิญเขาพูดข้อเสียเรานิดหน่อยแล้วมีคนได้ยินตอนนั้น แล้วก็เอามาบอกเรา เราก็ต้องมองเขาในแง่ดี  อย่างเช่นคนที่อยู่ๆ มาตบหัวเราตั้งแต่เล็กจนโต เขาอาจจะชอบตบหัวคนทักทาย  เขาก็ไม่ผิด ส่วนคนที่มาหยิบเงินเราไป อาจเป็นเพราะเผอิญแม่ของเขาไม่สบาย  เขามาเห็นของเราวางอยู่ก็หยิบยืมไปก่อน วันหลังเมื่อเขาเอามาคืนเขายังดีอยู่ไหม  ทุกเรื่องสามารถมองไปทางดีได้  คนทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเอง โดยเฉพาะเหตุผลของตนเองฟังขึ้นกว่าเหตุผลของผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากเกี่ยวกรรมกับใคร ความแค้นในใจต้องลดลง  เหมือนกับมีสวิทช์ปิดเปิด สามารถลด ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีกิเลสอยู่ในระดับต่ำ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาทำจิตใจให้สงบ)
ตั้งแต่อาจารย์มาวันนี้จิตใจของเราวอกแวกไม่นิ่ง อาจารย์ให้หลับตารวบรวมจิตที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา
เราทุกคนนั้นเป็นคนที่มีหน้าที่  ขอเพียงให้รู้จัก หน้าที่ของตนล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติ ต้องมีจิตใจที่เต็มไปด้วยคุณธรรม ต้องมีธรรมแฝงอยู่เสมอ
เมื่อครู่นี้ตอนหลับตาท่ามกลางความมืดมีความสว่างอยู่ภายในไหม (มี) ตอนนี้ท่ามกลางความสว่างลองดูซิว่ามีความมืดไหม (มี) ท่ามกลางความสว่างก็มีความมืดอยู่อีก  ในสังคมในโลกที่ศิษย์อยู่ก็เช่นเดียวกัน เราลองมองดูว่าตรงหน้าของเรานั้น วัตถุที่เราใฝ่หา เรียกร้อง อยากได้มานั้น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จริงหรือปลอม (ปลอม) แล้วเรามองดูร่างกายของเราตอนนี้สิว่าจริงหรือปลอม (ปลอม)  แม้จะเป็นร่างกายที่ปลอมแต่หยิกเจ็บไหม (เจ็บ)  เราจึงต้องรู้จักรักษาและใช้ร่างกายของเรานี้ให้มีประโยชน์มากที่สุดก่อนวันที่เรานั้นจะกลับสู่พื้น  เราต้องรู้จักใช้ร่างกายของเราไปทำในสิ่งที่เรียกว่าเป็นสิ่งดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ใช่ดีตามความคิดของเรา แต่จะต้องเป็นดีตามหลักคุณธรรมอันได้รับการพิสูจน์มาแล้วแต่โบราณ  เหมือนคำที่บอกว่า “เกิดมาแล้วต้องตาย” เป็นสัจธรรม คนบำเพ็ญธรรมนั้นอาจารย์อยากเรียกร้องในวันนี้มีอยู่สี่อย่างที่ต้องทำให้น้อย คือ
พูด  เรานั้นควรที่จะพูดให้น้อย เพราะบางทีนั้นเราพูดไปด้วยความไม่คิดใช่หรือไม่ (ใช่)  การพูดน้อยทำให้เรามีสติมากขึ้น
คิดน้อย  คิดในที่นี้หมายถึงการคิดฟุ้งซ่าน  เราต้องคิดให้น้อยๆ
นอนน้อย  ทำไมถึงให้นอนน้อย คนสมัยนี้บอกว่าให้นอนมากๆ  แต่ทำไมอาจารย์บอกให้นอนน้อย เพราะว่านอนน้อยก็จะมีเวลาที่จะทำอย่างอื่นอีกมาก  คนมีเวลาเท่ากัน ๒๔ ชั่วโมงแต่ คนนอนมาก  จะเสียเวลามากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงควรนอนเพียง ๘ ชั่วโมง เราต้องรู้จักที่จะควบคุม
กินน้อย  ทำไมถึงให้กินน้อย  ไม่ให้กินให้อิ่ม  หากว่ากินน้อยลงสุขภาพร่างกายของเรานั้นจะแข็งแรงขึ้น แต่อาจารย์ไม่นับรวมคนที่กินน้อยเกินไป เรานั้นต้องรู้จักรักษาสุขภาพของเราให้ดีๆ
พูดน้อย คิดน้อย กินน้อย นอนน้อย  ทั้งสี่อย่างทำให้น้อยลง เมื่อพูดน้อยก็ต้องทำมาก เมื่อกินน้อยก็จะเป็นโรคน้อย นอนน้อยก็จะมีเวลามาก คิดน้อยก็จะมีความสุขมาก อยากได้ไหม  บางคนนั้นวันทั้งวันไม่ทำอะไรมีแต่คิด บางคนคิดจนผมกลายเป็นสีขาว ถามว่ามีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ไม่มีประโยชน์เลย อาจารย์อยากให้รู้จักตัวเอง รู้จักหน้าที่ รู้จักประมาณตนและรู้จักทำดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
คนทุกคนนั้นก็มีเวลาเท่าๆ กัน  แม่ครัวก็เสียสละเวลามาทำอาหารให้เรากิน  คนข้างๆ ก็เสียสละเวลามาดูแลเรา  ขนาดไม่มีแอร์ก็ยังใช้มือเอาพัดใบใหญ่พัดให้เรา  เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีจิตใจที่ขอบคุณเขา  ถ้าอยากจะเจริญรอยตามเขา  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว  แต่มีคนดีๆ ที่เราจะดูแบบอย่างได้  ทุกๆ คนนั้นมีข้อดี  ศิษย์อาจจะมองข้อดีของคนรอบข้าง  แม้จะเป็นข้อดีเพียงเล็กน้อย  แต่ถ้าหากเราทำได้  เราก็มีข้อดีมากมายที่เก็บสะสมไว้  เราจะกลายเป็นคนที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสียใช่หรือไม่ (ใช่)
หลังจากกลับไปจากวันนี้  อาจารย์อยากให้เราทุกๆ คนเมื่อกลับไปแล้วให้กลับมาศึกษาธรรมให้มากขึ้น  สองวันนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ยังไม่ได้เข้าสู่ก้าวแรก  ยังไม่ได้เป็นก้าวแรกที่แท้จริง  อยากจะให้เรานั้นรู้จักนำพาตัวเอง  หาเวลาว่างให้กับตัวเอง  หากจะรอให้คนอื่นมาเรียกเรา  มาสะกิดเราให้เรามาสถานธรรม  บางทีถ้าเขาขี้เกียจ ชีวิตของเราก็คงจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมและไม่ได้หลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้อาจารย์พูดเรื่องการหลุดพ้นไม่มากครั้งนัก  แต่ว่าการหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องที่ศิษย์ของอาจารย์ทำได้  ศิษย์ของอาจารย์เกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์  เมื่อชื่อว่าเป็นมนุษย์เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ  ในบรรดาสัตว์ทั้งมวลเรานั้นประเสริฐที่สุดและมีปัญญามากที่สุด  ขอให้ศิษย์รู้จักใช้ปัญญาทำในสิ่งที่สมควรจะทำ  เวลาเป็นเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่เป็นรูปลักษณ์ให้มนุษย์เห็นนั้นก็จะเป็นรูปคนเป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าฟ้าเบื้องบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะมีคนบำเพ็ญบรรลุสำเร็จไปมากมาย  ส่วนสัตว์นั้นมีน้อย  หรือบางทีบางคนไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ  เทวดาที่เป็นสัตว์มีไหม (ไม่มี)  แสดงว่าเราเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะบำเพ็ญบรรลุได้มากที่สุด  ขอให้ศิษย์รักษาโอกาส ต่อให้ศิษย์มีอายุร้อยปีก็ใช่ว่าจะยืนยาวกลับเป็นชีวิตที่สั้นมาก  เหมือนเมื่อครู่ตอนไฟดับก็ไม่รู้ว่าไฟจะติดเมื่อไร  ตอนนี้เกิดมา มีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปเมื่อไร  ท่ามกลางความสุขก็มีความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์ก็มีความสุขเหมือนกับตอนที่ไฟดับ แต่ในใจของเรานั้นสว่าง  ตอนนี้ไฟติดแล้วแต่ในใจของเรานั้นอาจจะมืดกว่าข้างนอก  อยากจะให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นบำเพ็ญธรรม อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้  อย่าคิดว่าเราไม่ใช่  ขอให้ศิษย์ได้ลองลงมือดูสักครั้งหนึ่ง ดีหรือไม่
ธรรมะนี้ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรยาก ไม่หลอกลวงคน หากบำเพ็ญได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเอง
ขอให้ศิษย์เป็นกำลังให้อาจารย์  ขอความจริงใจให้อาจารย์  บำเพ็ญยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งยากมากขึ้น  อาจารย์หวังว่าศิษย์คงทำได้แม้จะยาก  ขอให้ใช้ความอดทนและรักษาตัวของศิษย์ให้ดีๆ
งานนี้เป็นงานประชุมธรรมงานสุดท้าย  ขาดช่วงไปอีกหลายเดือน  ศิษย์ทุกคนจะเป็นเหมือนอาจารย์  ปลอบใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีปัญหาอะไรขอให้เราได้ช่วยเหลือเขา  แล้วศิษย์ก็จะเหมือนอาจารย์ ความอดทน ความแข็งแรง  เราต้องอาศัยเวลาฝึกขอให้เราทุกคนได้ฝึกฝนและชนะ  บำเพ็ญดีๆ นะ  อาจารย์มาวันนี้แค่อยากให้ศิษย์บำเพ็ญได้และบำเพ็ญได้ดี
ขอให้ศิษย์รักษาตัวดีๆ อย่าถูกเหล่ามารทดสอบออกไปเสียก่อน ลาก่อน


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “รู้จักหน้าที่”

ต่างคนต่างมีหน้าที่ ทำดีหน้าที่ทุกคน
ต่างทำหน้าที่ของคน ยังผลดั่งเทพประทาน
ควรไม่ควรอย่าต้องให้ใครคอยเตือน นักลอยเลื่อนคนเชื่องช้าน่าสงสาร
ต้องเพียรโดยขาดไหวพริบจะมากรำคาญ เรียนรู้งานด้วยตาคงไม่พอ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา