PDF 2543-07-08-เจาหยรู #15.pdf
Labels: หน้าที่, ผู้บำเพ็ญเรียกร้อง 4 อย่าง
วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเจาหยู จ. เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
พะวงหลังไร้คุณแด่ผู้มุ่งหน้า ความธรรมดาเป็นที่สุดแห่งเลิศล้ำ
คนล้มเลิกปณิธานด้วยไม่กี่คำ ก้มหน้าทำกลัวหรือไร้ซึ่งชัยมา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
รู้ธรรมง่ายบำเพ็ญยากต้องตั้งใจ คนใส่ใจจึงถึงจุดหมายแท้
ตลอดชีวิตมีหลายสิ่งให้ดูแล ต้องเปลี่ยนแปรตนในทางดีขึ้นเอย
สองวันมาประชุมทำความเข้าใจ เพื่อแก้ไขสิ่งผิดแต่ก่อนเก่า
ตลอดชีวิตมั่นใจในตัวเรา แต่อย่าเขลาเห็นโลกีย์หลงต่อไป
จงตื่นใจมองดูว่าโลกเท็จจริง เกิดมาทิ้งสังขารเมื่อวันสุดท้าย
มีสิ่งใดติดจิตไปขอครวญใคร่ อันเรื่องใหญ่ใช่มั่งมีหรือยากจน
รู้พอย่อมได้สุขในจิตนี้ เป็นคนดีเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เดินต่อไปทางสายใดเล่าเมธา คนจะกล้าต้องกล้าถูกเรื่องเอย
ลาภยศและชื่อเสียงไม่ถาวร กลับหลอกหลอนคนจนนอนไม่หลับ
ระลึกได้สติช่วยย้อนมองกลับ ทุกสิ่งรับมาพิจารณาอย่าดูแคลน
จิตสงสัยต้องแปรเป็นจิตใฝ่รู้ ลำบากนั้นขอใจสู้เริ่มต้นใหม่
ความพยายามพาสำเร็จเสมอไป ความศรัทธามีเมื่อไรทางคล่องดี
ในสองวันศึกษาธรรมนับว่าน้อย จงทยอยใช้ปัญญาพิจารณ์หนัก
ขอให้รู้แยกแยะเป็นคมในฝัก ไม่เป็นไม้หลักปักเลนเท่านั้นดี
จงตั้งใจมาให้ครบทั้งสองวัน จงบากบั่นไม่แปลกใหม่มีมาแต่เก่า
บำเพ็ญได้หรือไม่ได้อยู่ที่เรา คนเคยเขลายังสามารถมีปัญญาแทน
จงรักษาพุทธระเบียบให้งามพร้อม อย่าไปยอมเหล่ากิเลสที่ร้อยรัด
บำเพ็ญใจให้สู่ปรมัตถ์ ต้องหมั่นเพียรขัดเกลาทุกทุกวัน
พบความทุกข์หันหน้าเผชิญเถิด เพราะจะเกิดจิตเบากลางโกลาหล
ในชาตินี้โชคดีเกิดเป็นคน ไม่อับจนซึ่งหนทางของตนเอย
ในวันนี้พี่รับบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันคอยบันทึกน้องถี่ถ้วน
ทั้งกายใจคิดแต่เรื่องสมควร อย่าเรรวนขึ้นเรือแล้วโดดว่ายต่อ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ความจริงอันเป็นที่สุด
วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
ครูอาจารย์ใช้วิชานำพาศิษย์ เป็นบัณฑิตกิจกุศลหมั่นไถหว่าน
เป็นพ่อแม่บุตรที่ดีมีสัมพันธ์ เป็นข้าราชการพ่อค้านั้นต้องซื่อสัตย์
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจาหยู แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านวันนี้ยิ้มกันหรือยัง
สร้างประโยชน์ให้สังคมที่ตนอยู่ ชีวิตคู่ธรรมะอย่าเห็นแก่ผล
ชั่วดีต่างมีหน้าที่ทุกคน ปัดหน้าที่คนต่างทำคนพัง
เวลาสร้างส่วนต่างคนยังกลัว ใจระรัวทำหน้าที่ข้องผลอย่าง
กว่าสำเร็จดั่งเทพประทานเปี่ยมพลัง อะไรบ้างควรไม่ควรปัญญาตรอง
รักจะให้ต้องอย่าหวนเสียดาย รับคำเตือนคอยแก้ไขแคล่วคล่อง
อภัยคนเกลียดเราใครทั้งผอง สติล่องเลื่อนลอยนักสงสารกัน
ปัญหาซาเชื่องช้าหน่ายต้องทน อดทนจะฝึกคนเพียรไม่หวั่น
หาใช่ไหวพริบขาดโดยฉับพลัน ปัญหานานรำคาญมากจะต่างยอม
เรียนธรรมะดั่งเรียนงานคงประจักษ์ บ้างชะงักด้วยงานรู้ไม่พร้อม
คนชนะอุปสรรคเมื่อกาลสุกงอม จิตใจน้อมเห็นตนเป็นอนัตตา
ฮิ ฮิ หยุด
อนัตตา ความไม่ใช่ตัวใช่ตน
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
มาศึกษาธรรมเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย) เบื่อไหม (ไม่เบื่อ) แน่ใจหรือ เมื่อไรที่มนุษย์เรานั้นสามารถศึกษาธรรมอย่างไม่มีเบื่อ จะมีใจเป็นอย่างไร (มีใจเป็นสุข) เมื่อใจเป็นสุข เราก็สามารถปล่อยวางเรื่องราวทางโลกได้ หายกลุ้มกังวลได้ จริงหรือเปล่า (จริง) วันนี้ถ้าเรามาไวกว่านี้อีกนิดหนึ่งเราก็อาจจะเห็นใบหน้าผูกโบว์ เพราะบางทีมาศึกษาธรรมะ ทุกคนมักจะสงสัยว่าธรรมะนี้ธรรมะอะไร จริงไหม (จริง) แต่ถ้าทุกคนคิดอย่างหนึ่งว่าระหว่างความสับสนกับความสงบ หากมีสองอย่างเกิดขึ้นในจิตใจเรา จิตใจไหนจะทำให้เราศึกษาแล้วนั่งฟังได้อย่างเข้าใจมากกว่า (จิตใจสงบ) จิตใจสงบ ใช่ไหม แต่ถ้าท่านมานั่งตรงนี้ท่านมีความสับสน การที่จะนั่งฟังตรงนี้ก็จะไม่ค่อยเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดว่าอยากจะศึกษาสิ่งใดก็ตาม ขอเพียงเปิดใจสักเล็กน้อย คลายความกังวล คลายสิ่งที่ตัวเองเคยรู้ลงไปบ้าง เมื่อมานั่งศึกษาตรงนี้จะสามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไรจริงหรือเท็จ แล้วเราก็สามารถเอาสิ่งที่เรารู้นั้นไปช่วยวัดช่วยกำหนดดูว่าสิ่งที่พูดนั้นใกล้เคียงกับความจริงหรือใกล้เคียงกับความเท็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติว่ามีชายสองคน คนหนึ่งกำลังคิดไม่ตกเรื่องทางบ้าน แต่อีกคนหนึ่งไม่มีอะไรที่ต้องคิด เมื่อมานั่งฟังอาจารย์พูด คนไหนจะเข้าใจได้แจ่มชัดกว่า (คนที่ไม่ต้องคิดอะไร) คนที่ไม่ได้คิดอะไรใช่หรือไม่ (ใช่) คนหนึ่งมีความสับสนในจิตใจกับคนหนึ่งมีความสดใสในจิตใจ คนไหนนั่งฟังแล้วจะรู้เรื่องมากกว่ากัน (คนที่จิตใจสดใส) แล้วคนไหนสามารถแยกแยะอะไรชัดเจนได้มากกว่ากัน (คนที่จิตใจสดใส) เหมือนท้องฟ้าที่มืดมัว ก็คล้ายๆ กับจิตใจที่ อึมครึม ท้องฟ้าที่มืดมัว เรายากแยกได้ชัดว่าใครขาวใครดำ เรายากแยกได้ชัดว่าต้นไม้ชนิดนี้กับต้นไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าฟ้าที่สว่างไสว จิตใจที่สว่างไสว เรามองเห็นไหมใครขาวใครดำ ใครสวยใครไม่สวย (เห็น) เหมือนกับวันนี้ท่านมาศึกษาเราขอเพียงการเริ่มต้นในการอยู่ร่วมกันคือเปิดใจให้เรานิดหนึ่ง แล้วคลายความสับสนในเรื่องที่ ตัวเองเคยคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ลงไปบ้าง บางครั้งการทำเป็นผู้ไม่รู้แล้วค่อยรู้ ยังดีกว่าเป็นผู้รู้แล้วต้องกลายเป็นคนไม่รู้ไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านลองคิดดูนะ ถ้าเกิดเรามาถึงแล้วเราบอกว่าเราเก่งเราดี แต่ถ้าพูดคุยกับท่านไปนานๆ เข้าเราเผลอพูดผิดน่าหัวเราะไหม (น่าหัวเราะ) ฉะนั้นเวลาเรามาอยู่รวมกัน แม้เราจะเก่งขนาดไหน สู้เราถ่อมตัวไว้ไม่ดีกว่าหรือ เรายังไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) ถึงแม้ว่าเราจะรู้แล้ว เขาพูดผิดเรายังแอบหัวเราะเขาได้ใช่หรือเปล่า ดีกว่าถูกหัวเราะว่าเธอนั่นแหละโง่ จริงไหม (จริง) อันไหนหน้าแตกมากกว่ากัน
บางครั้งตัวท่านนั้นอยู่ในสังคมนี้มีอารมณ์เศร้า ดีใจ เสียใจ คนบางคนมีหน้าที่มีภาระทำให้เวลาหัวเราะก็หัวเราะได้ไม่เต็มที่ บางคนมีตำแหน่ง มีเกียรติยศ จะเศร้าก็เศร้าได้ไม่เต็มปากเต็มคำ จริงไหม (จริง) เพราะเกียรติยศ หน้าที่และหน้าตา ทำให้ต้องรักษาภาพพจน์ไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้จะยิ้มก็ต้องยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ใจอยากจะยิ้มเต็มที่แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งอยากจะเศร้าก็เศร้าไม่ได้ ต้องรักษาไว้อย่าให้คนอื่นเขารู้ว่า ตัวนั้นเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาจะหัวเราะเยาะ ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรเราถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ ไม่สามารถแสดงสิ่งใดออกมาได้ เพราะบางทีเรารักตัว มากกว่ารักใจ เรารักหน้ามากกว่าสงสารใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนั้นท่านเป็นคนที่ใจหนอใจช่างทำร้ายใจได้ลงคอ อยากให้เขารัก อยากให้ใครก็รัก แต่ทำไมตัวเราเองถึงทำใจเราทำร้ายตัวเอง ช่างน่าแปลกไหม (น่าแปลก) บางครั้งเราเปิดเผยบ้างก็ดี รักหน้าตามาก หน้าตาก็ทำให้เราต้องทุกข์ เป็นคนจริงใจ มีน้ำใจ แล้วก็ตรงไปตรงมา บางครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ไม่มีใครหรอกที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ต้องมีบ้าง และในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่จะหาที่ไม่สวยไม่เจอ จริงไหม (จริง) ตัวท่านฝ่ายชายก็เหมือนกัน จะบอกว่าตัวเองหล่อ ตัวเองดีหมด แน่ใจหรือ ถ้าดึงจมูกออกมาอย่างเดียว หล่อไหม ก็ไม่หล่อ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นอย่าได้หลงตัวเอง เพราะให้ดึงหูมาอย่างเดียวสวยไหม ก็ไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นแต่ละสิ่งแต่ละอย่างจะสวยงาม จะดีพร้อมได้นั้น บางครั้งไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่ คุณธรรมในจิตใจต่างหาก ใช่ไหม (ใช่) หากดึงจมูกออกมาอันเดียว ทำไมเขาถึงบอกว่าช่างดี ช่างประเสริฐเช่นนี้ เพราะว่าเรายอมสละจมูกของเราอุทิศให้กับคนอื่นใช่ไหม เหมือนคนที่ร่างกายนี้เราสิ้นไปแล้วแต่เขาอุทิศดวงตาให้กับคนอื่น มองดูลูกตาสองลูกที่เอาออกมาแล้วท่านว่าสวยไหม แต่สวยที่น้ำใจ สวยที่คุณธรรมที่เขากล้าทำได้ เขาไม่กลัวบ้างหรือว่าชาติหน้าเขาจะไม่มีลูกตา จริงไหม (จริง) นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกันในสังคม สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เกียรติยศชื่อเสียง แต่เป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน การแสดงออกในสิ่งที่ดีงามและมีความจริงใจให้แก่กันต่างหาก นี่ถึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าสำคัญในการเป็นคนและอยู่ในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ครูอาจารย์ใช้วิชานำพาศิษย์”
แต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ไหนใครมีหน้าที่เป็นลูกยกมือขึ้น ใครเคยเป็นพี่ยกมือขึ้น ใครเคยเป็นน้องยกมือขึ้น ท่านไม่เคยเป็นพี่คนหรือ ถ้าไม่ได้เป็นพี่ของน้องแท้ๆ ก็เป็นพี่คนอื่น ไม่เคยเป็นน้องแท้ๆ ของพี่เราก็เคยเป็นน้องของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าทุกคนต้องมีพี่ น้อง ทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครเคยเป็นหัวหน้า ท่านเป็นหัวหน้าของตัวเองจริงไหม ในตัวเรานั้นเราใหญ่ที่สุดหรือมีคนใหญ่กว่าตัวท่าน ตัวท่านก็เคยเป็นหัวหน้าของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าฐานะ ตำแหน่ง หน้าที่ ทุกๆ คนต้องเรียนรู้ ทุกๆ คนต้องเคยเป็น เคยผ่านมา แม้อายุจะมากแล้วเราก็เคยเป็นลูกเขานะ เคยเป็นพี่เขา เคยเป็นน้องเขา เคยเป็นหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อเป็นแล้วรู้จักเป็นหรือไม่
ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า คำอวยพรที่มีค่าที่สุดคือ จงเป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ดีที่สุด พ่อทำหน้าที่เป็นพ่อ บุตรจงทำหน้าที่เป็นบุตร สังคมก็จะไม่วุ่นวาย ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ ถ้าเกิดลูกไม่ทำหน้าที่แห่งความเป็นลูกที่ดี ไม่รู้จักนำคุณธรรมในการเป็นลูกมาใช้ ก็ไม่สามารถที่นำความสงบให้กับครอบครัวและผืนแผ่นดินนี้ได้ จริงไหม (จริง) ถ้าเกิดเขาเป็นลูกที่ไม่ดีของบิดาท่านนี้แล้วแน่ใจหรือว่าเขาจะไปเป็นลูกที่ดีของบิดาท่านอื่นได้ หากเขาไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีของลูกคนนี้ได้ เขาจะสามารถเป็นพ่อที่ดีของคนอื่นๆ หรือไม่ จริงไหม (จริง) หากลูกตัวเองเขายังไม่รัก เขาจะไปรักใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนทุกคนมีหน้าที่ จงกระทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และมีคุณธรรม
เราอยากมาถึงแล้วนำพาแต่รอยยิ้มให้แก่ทุกๆ ท่าน วันนี้เรามีโอกาสได้มาหาทุกท่าน ใครมาเจอเราแล้วยังไม่ยิ้ม แปลว่ายังไม่ได้เจอเรา การยิ้มไม่ใช่ยิ้มแค่มุมปากแค่พองาม แต่มีเท่าไรต้องยิ้มให้หมด ต้องยิ้มได้อย่าง จริงใจ ยิ้มได้อย่างสบายใจ ยิ้มได้อย่างปล่อยวางแล้วในเรื่องทางโลก ต้องยิ้มได้อย่าง
เต็มที่ หลายคนนั้นยิ้มได้ไม่ค่อยเต็มที่เพราะเวลายิ้มกลับมัวคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน จริงไหม ไปคิดทำไมถึงเรื่องของพรุ่งนี้ วันนี้มีกินอย่างนี้ก็ดีแล้ว จะคิดทำไมว่าวันพรุ่งนี้จะได้กินแบบนี้หรือเปล่าจริงไหม ทุกคนถึงไม่สามารถยิ้มแล้วมีความสุขได้ ฉะนั้นพอใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วสุขให้เต็มที่ แม้วันนี้เราจะตายไปก็มีความสุขและก็พบความสุขที่แท้ในการรู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามนุษย์เรายังไม่รู้จักพอ วันนี้แม้จะมีทองเต็มกระเป๋าทั้งสองข้าง ห้อยเต็มตัว แขวนเต็มแขน ถ่วงเต็มหูก็ยิ้มไม่ออกจริงไหม เพราะว่าใจนั้นไม่เคยรู้พอ ฉะนั้นวันนี้ก็จงยิ้มให้เต็มที่ แม้ทองจะหล่น แม้เงินจะหายก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ จริงหรือเปล่า ใครบอกจริงต้องให้ทองเราดีไหม เราพูดแบบนี้ท่านอาจคิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มาเพื่อมาทวงเงินหรือเปล่า เราไม่ได้ทวง แต่ให้พุทธะทวงยังดีกว่าให้คนอื่นมาทวง จริงไหม ให้พุทธะทวงเดี๋ยวพุทธะก็ต้องคืน ให้พุทธะแล้วเป็นกุศล ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าใครมาทวง ท่านควรคิดว่าเป็นพุทธะมาทวง คิดว่าได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าท่านเห็นคนอื่นมาทวงนั้นเป็นมาร ก่อนที่คนอื่นจะเป็นมารตัวท่านก็เป็นมารก่อนแล้ว เพราะไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)
เราก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสบำเพ็ญตนแล้วได้กลับไปสู่เบื้องบน แล้วได้ตำแหน่งเป็นพุทธะ น่ายินดีไหม เกิดมาเราก็รู้สึกคุ้มแล้ว แม้ว่าตอนที่เราเป็นมนุษย์มีกายเป็นคนจะถูกล้อเลียนว่าอ้วนและกินจุ เราก็อยู่ไปวันๆ หัวเราะและก็ยิ้มได้ เขาว่าเราเหมือนคนไม่เต็ม แต่เราก็มีความสุข ความสุขของเราก็คือการได้ทานและได้แบ่งปันให้คนอื่น ความสุขของคนอ้วน คือได้ทานและก็รู้จักได้แบ่งปัน แต่ถ้าทานคนเดียวแล้วไม่แบ่งปันก็กลายเป็นความทุกข์ จริงไหม (จริง) เพราะกินมากแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็ขี้เกียจ ขี้เกียจแล้วก็นอนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น ถึงตอนนี้ใครจะว่าเรา เราก็ไม่กลัวแล้ว เรากลับขอบคุณเขาเพราะเขาว่าเรา ทำให้เราได้เป็นพุทธะใช่หรือไม่ ทำไมเราจึงพูดแบบนั้น เพราะบางครั้งคนที่กล้าว่าเรา คนที่ตำหนิติเตียนเรา เขาก็เปรียบเหมือนคนที่คอยชี้นำแนวทางสิ่งที่ดีให้กับเราและก็ชี้ข้อผิดพลาดที่บางครั้งเราลืมเลือนไปและมองไม่เห็นจริงไหม ฉะนั้นยิ่งเขาว่าเรามากๆ เจอหน้าก็ว่า เจอหน้าก็ติ ทำอะไรก็โดนว่า โดนว่าไปหมด แรกๆ เราก็รับไม่ได้ แต่พอคิดกลับกันเรากลับรู้สึกว่ามีคนว่ามีคนติก็เพราะเขายังเป็นห่วง แต่ถ้าไร้คนว่า ไร้คนติ นั่นคือเขาตัดหางปล่อยวัด จริงไหม (จริง) บางครั้งเกิดเป็นคนเจอสังคมตำหนิ เจอสังคมว่า เจอคนบ่น ก็ไม่เป็นไร จงภูมิใจที่มีคนตำหนิเพราะเราเป็นคนของสังคม คนจึงกล้าว่าเรา
คิดได้อย่างนี้ก็ยิ้มได้อีกเรื่องหนึ่งจริงหรือเปล่า (จริง) เรื่องที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ท่านไม่รู้ ทุกท่านก็รู้อยู่ แต่บางครั้งมันมีเรื่องหลายอย่างที่ทำให้เรายิ้มไม่ออก จริงไหม (จริง) ฉะนั้น บางครั้งมีคนมาบอกก็จงยิ้ม แม้จะต้องทุกข์ขนาดไหนก็ตาม คนที่กลัวทุกข์แต่เมื่อเจอทุกข์แล้วสามารถยิ้มรับได้ด้วยความกล้าหาญ มีใจเปิดรับด้วยความยินดี แม้ทุกข์จะมาเขาก็ชนะได้หนึ่งแต้มแล้ว ต่างจากคนที่เจอทุกข์แล้วกลัว นั่นก็แพ้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจริงไหม แต่ก็อย่าได้ฮึกเหิมลำพองจนเกินไป ในรอยยิ้มนั้นจะต้องมีคำเตือนใจเสมอ ว่าอย่าประมาท แล้วรอยยิ้มนี้จะเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ท่านยิ้มตั้งแต่มีชีวิตจนสิ้นลมหายใจเชื่อไหม จงเชื่อ แล้วสักวันท่านจะได้ประจักษ์สิ่งที่เราพูด
เมื่อคนอื่นว่าเราก็ให้คิดว่าเขาโยนดอกไม้ให้เรา เราก็จะยิ้มได้ เมื่อเขาว่ตำหนิเรา เราอาจจะยังไม่ถึงกับแย่ก็ได้ แค่กำลังจะก้าวไปสู่ความไม่ดีเท่านั้นเอง บางครั้งเราก็ต้องปลอบใจตัวเราเองว่าเราแค่ก้าวผิดไปนิดเดียว ไม่ได้ตั้งใจ เราให้อภัยคนอื่นบ่อยๆ ได้ แต่ถ้าให้อภัยตัวเองบ่อยๆ แล้วจะทำให้เราเหลิง แล้วก็เผลออีกใช่หรือไม่ บางครั้งถึงคราวเข้มงวดก็ต้องเข้มงวดตัวเองด้วย แล้วประโยชน์ก็จะตกสู่ท่าน แต่ถ้าท่านให้อภัยตัวเองบ่อยๆ ท่านจะแน่ใจหรือว่าคราวหน้าท่านจะมีโอกาสได้แก้ตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีโอกาสแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งทำดีเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน แต่ทำชั่วหนึ่งครั้งคนก็ว่าเราชั่ว จริงไหม คนเราก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนไปว่าเขาเลย เขาเผลอทำผิดไปนิดหนึ่ง เราก็พูดว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ความดีหายไป ท่านลืมดีไปวันหนึ่งแค่นั้นเอง แค่นี้เขาก็ยิ้มออกแล้ว ถ้าเราปลอบใจเขาแบบนี้จะทำให้เขาหัวเราะได้และได้สติด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) คำพูดคนจึงมีส่วนสำคัญ ไม่ใช่ว่าเขาหัวล้าน เราก็พูดว่าหัวเหม่ง ใครจะทนได้ ท่านเตือนเขาได้ไหม ไม่ต้องเริ่มต้นคุยแค่นี้เขาก็ไล่ท่านกลับบ้านแล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเมื่อเจอเขาก็อย่าไปพูดในสิ่งที่ร้ายของเขา อะไรที่เป็นปมด้อยเขาอย่าไปพูดถึง พูดไปแล้วทำร้ายน้ำใจ พูดไปแล้วจะสร้างมิตรหรือศัตรู ก็ต้องสร้างศัตรูจริงไหม
“ปัดหน้าที่คนต่างทำคนพัง”
คนทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองและหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น เราอย่าพูดว่าเราเป็นคนอับจน คนที่พูดว่าตนเป็นคนอับจนนั้นเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรามองคนที่สูงกว่าเราก็ว่าเราต่ำ แต่ถ้าเรามองคนต่ำกว่าเราก็ว่าเราสูงกว่าเขา จริงหรือไม่ (จริง) บางครั้งเราว่าเงินของเราเท่านี้ดูน้อย แต่ถ้าเรารู้จักเปรียบเทียบกับคนอื่น ความน้อยของเรายังสามารถเอื้อและช่วยผู้อื่นได้ เมื่ออยู่ในสังคมร่วมกันจงมีน้ำใจให้แก่คนที่ต่ำกว่า อย่าดูถูกเขา อย่าเป็นคนที่อยู่ในสังคมแล้วโน้มไปตามคนสูงแล้วกดขี่คนต่ำ คนเช่นนี้ยากเป็นคนที่ดีในสังคมได้ ยากจะเป็นคนที่มีพระในหัวใจอย่างแท้จริงได้ ฉะนั้นเราอยู่ในนี้เราจึงสามารถที่จะเป็นผู้ที่นำธรรมมาใช้แล้วนำธรรมมาช่วยคนได้ การที่รู้จักนำธรรมมาใช้และนำธรรมมาช่วยคนได้นั่นก็คือ คนที่รู้จักบำเพ็ญตน ตัวท่านก็สามารถบำเพ็ญได้
การบำเพ็ญในกาลนี้เป็นการโปรดที่เมตตาอย่างมาก ไม่ต้องบวช ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาว แม้ตนเองจะมอซอแต่จิตใจต้องบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว แม้สังคมจะวุ่นวายแต่ตัวท่านนั้นต้องทำจิตใจให้มั่นคงสงบนิ่ง นี่คือการบำเพ็ญยิ่งกว่าเข้าวัดเข้าวา เข้มงวดยิ่งกว่าเรียกร้องสิ่งใด เพราะท่ามกลางความวุ่นวายเราต้องเรียกให้ตัวเองสงบนิ่ง ท่ามกลางความสกปรกโสมมเราต้องขัดล้างให้ตัวเองบริสุทธิ์สะอาด หากบำเพ็ญได้แม้จะอยู่วัดก็ร่มเย็น แม้จะออกจากวัดก็เป็นสุข เราคิดว่าทุกท่านในที่นี้ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ขอให้รู้จักคิด รู้จักทำโดยมีคุณธรรมเป็นแกนกลาง มนุษย์เราในสังคมนั้นบ่อยครั้งที่กายแข็งแรงแต่ใจอ่อนปวกเปียก มีประโยชน์อะไรกับการบำรุงกายให้เข้มแข็งแต่ใจไม่สามารถเข้มแข็งได้ ใจก็ไม่สามารถมีประโยชน์กับกายได้เลย คนหลายคนมักจะคิดว่าใจอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือไม่ก็คิดว่าใจเรานี้ควบคุมได้ยาก หรือไม่ยอมควบคุม พอไม่ควบคุมใจก็เลยปล่อยใจไปสะเปะสะปะ คิดอะไรก็ทำสิ่งนั้น มีอารมณ์เช่นไรก็เผลอไปตามอารมณ์นั้น การเผลอไปตามความคิด อารมณ์โดยที่ไม่รู้จักควบคุมใจตนเองย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ใจจะทำร้ายใจจริงไหม (จริง) ยกตัวอย่างเช่น มีชายคนหนึ่งเป็นทหารที่เข้มแข็ง แต่วันหนึ่งเกิดไปรักหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง เขาก็ภูมิใจมากที่ได้หญิงสาวคนนี้มาครอบครอง ใครเห็นก็อิจฉาตาร้อน แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเหลือเชื่อเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นจึงมารักเขาได้ แต่วันหนึ่งหญิงสาวคนนี้เกิดเปลี่ยนใจ ทิ้งเขาแล้วไปมีคนอื่น เป็นอย่างไรรู้ไหม ความเข้มแข็งของเขาหาได้ช่วยใจเขาไม่ ความเป็นทหารที่รู้จักอดทนหาได้ช่วยเหลือใจเขาไม่ ใจของเขากลับพ่ายแพ้และซมซานเศร้าตรม ปลงไม่ได้จนถึงขนาดที่สติฟั่นเฟือน เพราะว่าทำใจไม่ได้ เราอยู่ในโลกนี้หลายต่อหลายครั้งที่ใจเราปล่อยใจไปตามอารมณ์ เมื่อปล่อยใจไปตามอารมณ์แล้วเกิดไม่สมหวังไม่ได้ดังต้องการ เรามักจะถอนใจไม่ทัน มักจะดึงใจไม่ทัน ปล่อยใจไปแล้วก็ปล่อยไปเลย แต่ถ้าไปไม่ถึงสิ่งที่ต้องการจะทำอย่างไร ใจนั้นก็เลยเคว้งคว้างไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ไม่มีตัวมารองรับ ก็จะเปรียบเหมือนคนที่ขาดใจ เหมือนคนที่ไร้ใจ คนหลายคนในสังคมก็เป็นอย่างนี้ มีเงินมากมายแต่รักษาและเรียกใจตนเองกลับมาให้เข้มแข็งมั่นคงไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อเราเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องรีบเอามาสอนใจเราว่าอย่าได้เผลอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องรู้จักควบคุมใจ เมื่อควบคุมได้ย่อมมีระเบียบวินัย ซ้ายเป็นซ้าย ขวาเป็นขวา หยุดเป็นหยุด เราก็สามารถเรียกใจของเราได้ ในเมื่อใจของเราสั่งกายได้ ทำไมใจเรานี้ไม่ควบคุมใจเราให้ได้ บางครั้งพอเราบอกว่าหยุดก็หยุดเสีย ถ้าเกิดใจ รู้จักควบคุม ใจที่รู้จักฝึกมาดีก็จะมีสติมั่นคง ปัญญาว่องไว และมีความเท่าทันในเหตุการณ์ที่มากระทบใจใช่ไหม (ใช่ ) แต่ถ้าเกิดว่าท่านไม่รู้จักฝึกใจ ปล่อยให้ใจไปตามอารมณ์ ไปตามกิเลสย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมเป็นทุกข์) บางครั้งเมื่อเราปล่อยใจไปตามอารมณ์แล้วบางทีเราก็ลืมไปว่า อะไรควรไม่ควร ถ้าใจที่รู้จักควบคุม ใจที่รู้จักฝึกอบรม รู้จักบำเพ็ญตนจะเป็นใจที่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควรและตัดสินได้อย่างเที่ยงธรรม แต่ถ้าใจที่ปล่อยไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามความอยากจะเป็นใจที่ไม่สามารถรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะจะถูกความอยากครอบงำ จริงไหม (จริง) ความเป็นตัวของตัวเองที่อยากได้อยากมีนั้นจะครอบความคิดทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความถูกต้อง อย่าได้กลัวเรา เราคุยด้วยจงคุยตอบ ยิ้มด้วยจงยิ้มตอบ นี่คือการผูกสัมพันธ์ในการรู้จักกันอย่างเบื้องต้น ถ้าคุยด้วยแต่ท่านบึ้งตึงตอบ ยิ้มด้วยแต่ท่านกราดเกรี้ยวตอบ นี่คือการสร้างศัตรูจริงไหม แล้ววันนี้แน่ใจหรือว่าท่านเก่งพอจะมีศัตรูเป็นพุทธะ
เวลาเปลี่ยนไปใจคนก็เปลี่ยนตาม บางครั้งเราจึงกลัวกับกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนไป บางครั้งเราก็ใจตื่นตระหนกและหวั่นไหวใช่หรือไม่ บางครั้งเราเห็นเขาอยู่กันดีๆ บางทีเราก็กลัวว่าเวลาเปลี่ยนไปแล้วเขาจะเปลี่ยนไปตามเวลาด้วยหรือไม่ ใช่ไหม พุทธะก็เช่นกันเห็นท่านดีๆ อยู่ พอกาลเปลี่ยนไปใจท่านก็เปลี่ยนตาม จิตใจที่เคยมุ่งมั่นว่าจะทำดีบางครั้งก็หวั่นไหวไปกับความชั่วร้ายในสังคม ความมักง่ายและความเผอเรอของตัวเองจริงไหม เพราะเรารู้สึกว่าทำดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ทำชั่วเป็นเรื่องที่ง่ายเหลือเกิน แต่เราว่ายาก ท่านลองคิดดู เวลาท่านจะโกหกคนๆ หนึ่งก็ต้องกังวลว่าเขาจะจับพิรุธได้ พอเขาตั้งคำถามก็ต้องคิดให้รอบคอบรัดกุม แล้วบางทีกลัวว่าคนที่ท่านโกหกเขาจะไปพูดกับคนโน้น กลัวเขาจะรู้จากคนนี้ พอเขาบอกว่าทำชั่วง่ายท่านก็ตอบรับว่าทำชั่วง่าย นั่นคือท่านกำลังสร้างสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าท่านบอกว่าทำชั่วยาก ทำไม่ได้หรอก แต่ทำดีนั้นง่าย พูดแค่นี้ก็สร้างกุศลกับตัวเองแล้วจริงไหม แล้วก็ไม่เรียกร้องตัวเองด้วยว่าทำชั่วง่ายทำดียาก ฉะนั้นอย่าเผลอ ไม่อย่างนั้นความคิดนี้จะสืบต่อไปยังรุ่นต่อๆ ไป ท่านต้องสอนเขาว่าทำชั่วนั้นยาก พอเขาทำผิดเราต้องแก้ไขชี้นำเขาได้ ฉะนั้นเวลาแม้จะเปลี่ยนไปอย่างไรขอเพียงตัวท่านมีความมั่นคงในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ท่านก็จะสามารถสำเร็จได้เหมือนกับคนที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จมรรคผลได้ บางครั้งเราอาจจะสงสัยว่าท่านเอาพลังจากไหนถึงทำดีได้มากมายขนาดนี้ท่านเข้มแข็งได้อย่างไร ในเมื่อเวไนยยังหลงเวียนว่ายอยู่ในขณะนี้ ท่านต้องมีจิตใจบางอย่างที่สามารถทะลุทะลวงและเปรียบปานได้กับเทพใช่หรือไม่ ใจนั้นหาได้ไม่ยาก สามารถหาได้ในตัวท่าน มีได้ในตัวทุกๆ คน ทำไมจอบที่หนักแสนหนักแต่คนบางคนจึงขุดได้อย่างแคล่วคล่อง งานที่อุปสรรคมากมายทำไมคนจึงฝ่าได้จนสำเร็จ เพราะว่าเขาได้ฝึกจนชำนาญ เขาได้ผ่านมาจนเจนจัดใช่หรือไม่ ขอเพียงได้ลองทำ เราอย่าได้ดูเบาตัวเอง
คนทุกคนบางครั้งเวลาทำดีและตั้งใจจะเป็นคนดี ทำไมจึงดีไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะมักจะไม่สามารถเผชิญกับอุปสรรค หวาดกลัวความยากลำบากใช่หรือไม่ ทำไมไม่ลองฝ่าฟันดู ไม่แน่ฝ่าหนึ่งครั้งแล้วท่านจะรู้ว่าทุกข์นี้ไม่ใช่เรื่องยาก อุปสรรคนี้ไม่ใช่ความลำบาก หากเอาแต่กลัวเอาแต่คิดว่าทำดียากแล้วเมื่อไหร่จะไปถึงฟากฝั่งแห่งการทำดี เมื่อเป็นคนดีไม่ได้แล้วจะเป็นมนุษย์ประเสริฐได้อย่างไร เมื่อยังเป็นมนุษย์ประเสริฐไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพุทธะจะเป็นอย่างไรจริงไหม
สิ่งแรกในการเริ่มต้นฝึกฝนบำเพ็ญตนนั่นก็คือมั่นคงในการทำความดี เมื่อมั่นคงแล้วก็ฝึกฝนไปมีโอกาสเอาความดีนั้น ไปช่วยคนท่านก็จะสามารถก้าวไปสู่ประตูแห่งพุทธะ ไปนั่งบัลลังก์แห่งพุทธะได้ ฉะนั้นจงหมั่นทำดี ทำดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยจริงไหม อย่าบอกว่าพูดง่ายแต่ทำจริงๆ นั้นยาก บางครั้งเจอยากก่อนพอเจอง่ายก็สบาย เจอง่ายก่อนพอเจอยากก็รับไม่ไหวจริงหรือเปล่า ฉะนั้นจงคิดไปทางที่ดีแล้วปัญญานี้จะนำพาสติและความเท่าทันในเหตุการณ์ในโลกนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ตัวท่านมีอาวุธในการปราบปรามความชั่วร้ายอยู่แล้ว อาวุธในการนำพาให้ท่านก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ รู้จักใช้อาวุธให้ดีแล้วอาวุธนี้จะเป็นเหมือนสิ่งที่เสริมให้ท่านยิ่งสูงขึ้นทุกๆ วัน นั่นก็คือสติปัญญาและความเท่าทันในเหตุการณ์
ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่น่าสงสารกว่าท่าน แล้วในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่ลืมสงสารตนเอง ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีใจรู้จักสงสารคนอื่น มีใจรู้จักช่วยเหลือคนอื่น เมื่อช่วยไปแล้วก็ไม่กลับมาคิดว่าเขาจะหลอกเราหรือไม่ ช่วยเขาไปย่อมเป็นกุศล แต่ถ้าช่วยเขาไปแล้วกลับมาคิดว่าเขาหลอกเรา อย่างนี้ย่อมไม่เกิดผลบุญอะไรใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อตั้งใจช่วยจงช่วยให้เต็มที่ เมื่อช่วยแล้วอย่าหวนคิดกลับ ทำดีเพื่อความดี อย่าคิดทำดีเพื่อหวังผล มิฉะนั้นก็เป็นคนดีที่ไม่ถูกต้องเหมือนกันจริงหรือไม่ บางครั้งเราอยู่รวมกันในสังคมคนบางคนเขาเกลียดเรา บางคนเราไม่ได้สร้างทุกข์อะไรให้เขา ทำไมเขาถึงทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ใจ ทำไมเขาไม่ไปทำกับคนอื่น ทำไมเขาไม่แกล้งคนอื่น กลับมาแกล้งเรา การให้อภัยคือการสร้างบุญ การคิดว่าเป็นกรรมของเราก็คือการมองเขาในแง่ดีจริงหรือไม่ แต่ถ้าเขาเกลียดท่านแล้วท่านเกลียดตอบ เขาร้ายมาท่านร้ายตอบเช่นนี้ท่านกับเขาก็ไม่ต่างกันใช่หรือไม่ จึงมีคำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ฉะนั้นให้อะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับให้อภัย ไม่ว่าเขาจะดีจะร้าย จะทำให้เราผิดหวังอย่างไร เมื่อเราให้อภัยเขาเราก็จะเกิดจิตที่ดีงามและสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ถ้าเรามีแต่ความเคืองแค้น โกรธเกรี้ยว และอยากจะล้างแค้นตอบอยู่ร่วมกันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ยิ้มให้กันก็ยิ้มอย่างจอมปลอม บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้มีทั้งดีมีทั้งร้าย มีทั้งยกย่องแล้วเหยียบย่ำ มีทั้งมั่งมีแล้วทุกข์ยาก แต่เมื่อไหร่เราเจอเรื่องที่มากระทบใจเรา เราต้องไม่หวั่นไหว ตัวเรานั้นต้องมั่นคง แล้วภายในใจต้องสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ไม่จีรัง วันนี้เขาชม พรุ่งนี้เขาตำหนิชี้ข้อบกพร่อง วันนี้เขายกย่อง วันพรุ่งนี้เขาอาจจะยกเราลงมาใช่ไหม คิดเสียว่าวันนี้เขายกเราขึ้นพรุ่งนี้อาจจะปล่อยลงเพราะเมื่อย วันนี้มั่งมีพรุ่งนี้อาจจะมีน้อยลง หากเราคิดได้เช่นนี้เราจะมีสุขด้วยความไม่ประมาท และมีสุขอย่างไม่หลงระเริง แล้วในความสุขนั้นเราก็จะรู้ได้ว่าเป็นธรรมดาที่ต้องเวียนกลับมาเป็นทุกข์ หากคิดได้อย่างนี้อยู่ทุกขณะ เมื่อเจอทุกข์ก็ตั้งรับได้ทัน เมื่อฝนตกเราก็มีร่มกาง เป็นคนที่พร้อมเสมอไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอนเหลือเกินใช่ไหม แล้วในความไม่แน่นอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือการสร้างความดีให้กับตน การรู้จักทำตนให้เป็นคนที่มีประโยชน์ รู้จักบำเพ็ญตน ไม่มีใครเสกให้ท่านเป็นคนดีได้ ไม่มีใครเสกให้ท่านเป็นนางฟ้าได้ มีแต่ตัวเราต้องเสกตัวเองให้เป็นคนดี เป็นนางฟ้าใช่ไหม เมื่อเราเสกด้วยตัวเราเอง สร้างขึ้นด้วยตัวเราเอง ต้องไม่เผลอไปเวียนในความไม่แน่นอน เมื่อเราสร้างแล้วแม้คนเห็นหรือไม่เห็นก็ยังสร้าง คนให้ความสำคัญหรือไม่ให้ความสำคัญเราก็ยังสร้างด้วยความดี สร้างเพราะอยากช่วยเหลือ อยากทำดี เพื่อให้ดีอยู่ในโลก แล้วความดีนั้นก็จะไม่มีใครมาไถ่ถอนหรือดึงไปจากตัวเรา ฉะนั้นจงรีบทำ แล้วเราก็จะสามารถเสกตัวเราให้เป็นนางฟ้าและเทวดาได้ใช่ไหม ตัวท่านต้องสรรค์สร้างด้วยตัวเอง เวลาเราอยู่ในโลกนี้ต้องรู้จักสร้างด้วยตัวเอง ทำด้วยตัวเองแล้วสิ่งดีก็จะบังเกิดขึ้น
แต่บางครั้งเรื่องราวบางเรื่องก็อยู่นอกเหนือจากการจัดการของเรา เช่นคนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา ความตาย ความดับ การพลัดพรากที่มาเยือน เป็นเรื่องราวที่เกินเหตุ สุดวิสัยที่เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยื้อยุดให้อยู่กับที่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราต้องปล่อยบ้าง
เรื่องราวในโลกนี้มีทั้งสมหวัง ไม่สมหวัง เมื่อไม่สมหวังอย่าได้ยึดมั่น จงปล่อยเสีย ไม่เช่นนั้นใจท่านจะเหมือนกับเขียงที่ให้เขาสับๆๆๆ ให้เขาหั่นๆๆๆ รองรับอารมณ์ต่างๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น สิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยจัดการได้ ในเวลาที่เราปลงไม่ได้ก็คือ จัดการกับจิตใจของตัวเอง เมื่อรู้ว่าแก้ไม่ได้ก็ดึงใจออกมาหรือปลงเสีย แล้วเราก็จะเป็นสุขกับเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราอยู่ร่วมกันย่อมมีคนทำอะไรไม่ถูกใจ หากเขาทำไม่ถูกใจแล้ว เราบอกแล้วแต่เขาไม่แก้ไข บางทีเราก็ต้องปล่อยเขาไปใช่ไหม (ใช่) เรื่องราวบางเรื่องนั้นคนจัดการไม่ได้แต่ต้องให้เวลาช่วยจัดการปัญหา เพราะว่าเขาจะยอม โดยตัวเขาเห็นโทษของการที่ไม่ถูกต้องเอง จริงไหม (จริง)
อะไรบ้างในโลกนี้ที่ทำให้ท่านยิ้มไม่ออก (ความทุกข์) ทุกข์อะไรบ้าง (ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ) บางครั้งความทุกข์ทำให้ท่านยิ้มไม่ออกใช่ไหม แต่เมื่อครู่นี้เราบอกแล้วต้องยิ้มให้ออก ใช่หรือเปล่า มีทุกข์อะไรอีก (ไม่ถูกใจ ไม่สมหวัง, มีปัญหา) เพราะมีปัญหาจึงยิ้มไม่ออก แต่ถ้ามีปัญหาแล้วยิ้มออก ดีไหม (ดี) ดี แปลว่าเราพร้อมที่จะฝ่าออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกข์แล้วท่านยิ้มไม่ออก ท่านก็จะต้องนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วปัญหาก็ไม่มีวันแก้ ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหา อย่าเห็นปัญหาเป็นปัญหา แต่ให้เห็นว่าปัญหาต้องแก้ ถ้าเจอปัญหาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหา ท่านก็จะจมอยู่กับปัญหานั้น ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาแล้วต้องแก้ ยิ้มไม่ออกเพราะอะไร (เจ็บ) ยิ้มออกเพราะลืมเจ็บใช่ไหม บางครั้งเจ็บตัวต้องลืมไปบ้างก็จะยิ้มออก จริงไหม (เจอปัญหาแล้วแก้ไม่ได้) ยิ้มไม่ออกเพราะบางทีเจอปัญหาแล้วพยายามแก้แล้วแก้ไม่ได้ ฉะนั้นต้องถอนใจออกมา (ความล้มเหลวในชีวิต) แต่ความล้มเหลวเป็นบทเรียนที่ทำให้เรายิ้มออกในวันหน้า (สอบตก) ยิ้มไม่ออกเพราะสอบตก แต่บางทีเราเห็นคนบางคนพอไปอยู่กับเพื่อนที่สอบตกด้วยกันก็หัวเราะว่าเราตกวิชาเดียว เขาตกสองวิชา ท่านก็ยิ้มออก (มีความกังวล) ความกังวลและความสับสนที่ไม่สามารถมองได้แจ่มชัดว่าโลกนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องที่เราต้องเผชิญนี้จะฝ่าไป อย่างไรถึงจะดีที่สุดใช่ไหม เราต้องมองกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์สังคมนี้ให้ออก เมื่อมองแล้วจงรู้จักและเข้าถึง เมื่อมอง รู้จัก และเข้าถึงได้ จงเคารพในกฎแล้วเดินไปในกฎด้วยความสอดคล้องและระมัดระวัง กฎนี้จะนำพาให้เราเห็นได้แจ่มชัด แต่บางครั้งเราก็รู้สึกว่ากฏในโลกนั้นเป็นกรอบที่กั้นเรามาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราอย่าลืมว่ากรอบที่ช่วยกั้นจะทำให้เราไม่ก้าวผิด แต่ถ้าไร้กรอบเราย่อมเผลอทำผิดใช่ไหม (ใช่)
เรารู้จักกรอบของสังคม แต่เราลืมนึกถึงกรอบแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งธรรมชาติไป ธรรมชาติมีกฎอยู่อย่างหนึ่ง หากทุกคนมองก็จะเห็นได้ นั่นก็คือไม่ว่าร่างกาย เสื้อผ้า หรือเงินทองล้วนเอามาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราครอบครอง วันนี้เราได้ใช้ แต่ต่อไปเราต้องรู้ว่าสุดท้ายต้องคืนสู่ธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นคือกฎของธรรมชาติ มีอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรลืม คือทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ วันนี้ยืมเขามาใช้ถึงเวลาต้องคืนสู่ธรรมชาติ แม้กระทั่งร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเข้าใจกฎนี้เราจะได้ไม่ต้องไปยึดให้ทุกข์ และไม่ต้องไปกังวลให้ยิ้มไม่ออก เพราะเรารู้ว่าถึงคราวปล่อยต้องปล่อย ถึงคราวแก้ไขควรแก้ไข ถึงคราวมองให้ออกก็ต้องแยกให้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถแยกอะไรได้แจ่มชัด ก็คือเรามีอารมณ์ร่วม พอมีอารมณ์ร่วมบางครั้งก็มองได้ไม่ชัดเจน อย่างเช่นถ้าเราชอบสาลี่มากกว่าฝาถ้วย เพราะเรามีอารมณ์รู้สึกว่าสาลี่กินแล้วอร่อย ฝาถ้วยนำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เราจะมองเห็นชัดเจนไหมว่าอะไรมีคุณค่า เรามองเห็นว่าสาลี่มีคุณค่าสูงส่ง แต่ฝาถ้วยมีคุณค่าต่ำเตี้ยติดดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรามองได้ไม่ชัด เราย่อมตัดสินได้ไม่เที่ยงใช่ไหม เมื่อตัดสินไม่เที่ยงเราก็ย่อมกังวลในการใช้งานและสับสนเมื่อยามนำไปใช้ สิ่งที่มีประโยชน์ท่านก็ใช้เอาๆๆ สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ท่านก็ทอดทิ้งไว้ แต่ลืมนึกไปว่าฝานี้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน สามารถนำมาฝนยาเพื่อนำไปกวาดคอได้ ฉะนั้นบางครั้งที่เราสับสนเราแยกไม่ออก นั่นเป็นเพราะเรามีอารมณ์ร่วม ฉะนั้นต้องดึงอารมณ์ออกมา ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำมักไม่เห็นน้ำ นกมักไม่เห็นฟ้า คนมักไม่เห็นโลก จริงไหม (จริง) บางครั้งเราว่าตาเรามองเห็นโลกแล้ว แต่ถามจริงๆ ว่าเราเห็นได้อย่างถ่องแท้และเข้าถึงไหม (ไม่ถึง) ไม่ถึงเพราะตาเราเห็นได้จำกัด เมื่อสุดขอบตาก็ไม่เห็นแล้ว ฉะนั้นการที่เราศึกษาหลักธรรม การที่เรารู้จักเรียนรู้กฎแห่งธรรมชาติและกฎแห่งสังคม จะทำให้เรามองเห็นในสิ่งที่เหนือกว่าตา ได้ยินในสิ่งที่มากกว่าหูได้ยิน และสัมผัสถึงสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส นั่นคือการเข้าถึงธรรมชาติ และมีธรรมชาติอยู่ในตัวตน เมื่อไรที่สามารถบำเพ็ญจนกระทั่งเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ และมีธรรมชาติอยู่ในตัวตน พบธรรมชาติที่แท้จริงอยู่ในตัวตน เมื่อนั้นท่านจะบำเพ็ญและพบความเป็นพุทธะ แต่ถ้าเมื่อไรบำเพ็ญแล้วยังขี้บ่น ชอบว่า หงุดหงิด กังวล วิตก นั่นแปลว่ายังพบความเป็นมนุษย์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาฟังธรรมะ ได้ยินสิ่งที่เราพูดไป ขอให้กลับไปแล้วยังยิ้มได้ต่อไป มีใจที่ยิ้มสู้กับโลกใบนี้ที่แม้จะดูเลวร้ายสักเพียงใดแต่เราก็ยังมีความเข้มแข็งอดทนสู้ได้ทุกเมื่อ เวลามองอะไรอย่ามองที่ตาอย่าวัดที่ใจ แต่ต้องวัดที่คุณธรรม เพราะใจของเรานั้นยังไม่ค่อยเที่ยงเท่าไร ฉะนั้นบางครั้งเสียงที่ได้ยินแม้จะฟังไม่ไพเราะ แต่ใจนั้นต้องให้เที่ยงดูว่าความไม่ไพเราะนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่ คนบางครั้งน่าเกลียด พูดไม่เพราะ พูดไม่น่าฟัง แต่จงมองให้ดีว่าในความน่าเกลียดไม่น่าฟังนั้น เขาต้องการมอบสิ่งใดให้กับเรา อย่าได้วัดคนเพียงเปลือกนอกและอย่าได้ดูสิ่งของเพียงราคา ไม่เช่นนั้นท่านจะโดนเปลือกนอกของสรรพสิ่งหลอกลวงจนไม่สามารถเห็นความเป็นจริงในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หัวหน้าชั้นถามความหมายของคำว่า อนัตตา)
อนัตตาก็คือไร้ตัวตน เมื่อไรที่เรามองเห็น ย้อนมองเห็นตนได้อย่างแจ่มชัดว่าตนเป็นคนเช่นนี้ และมีธรรมะเป็นความเที่ยงอยู่ ธรรมะนี้จะช่วยทำให้เราทิ้งตนเสียและไม่มีตน เมื่อไรที่เราเข้าถึงคำว่าไม่มีตน เมื่อนั้นเราจะไม่มีทุกข์ เรื่องนี้ฟังแล้วหลายครั้งสำหรับผู้ปฏิบัติงานธรรม แต่ในที่นี้ เราจะอธิบายเพิ่มเติม เหมือนง่าย ๆ พอมองเห็นสาลี่ ถ้าเราบอกว่าสาลี่ไม่สวย ก็เหมือนโดนแทงหนึ่งครั้ง บอกว่าสาลี่มีแมลง ก็โดนแทงอีกครั้งที่สอง ใช่หรือไม่ แต่ถ้าไม่มีสาลี่อยู่ ใครว่าสาลี่ไม่สวย ก็ไม่เจ็บ มีใครบอกว่าสาลี่ของท่านไม่ได้เรื่องเลย ก็ไม่เดือดร้อน จริงไหม ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราลืมตัวตนได้บ้าง เวลาคนว่าเรา เธอไม่สวย ก็ไม่เป็นไรเพราะฉันไม่มีตัวตนแล้ว ลืมตัวตนไปเสีย ถ้ามีคนบอกเราว่าชื่อเราไม่น่าฟังเลย เราก็บอกไม่เป็นไร เขาว่าชื่อมิได้ว่าตัวเรา ใช่หรือไม่ บางครั้งการลืมตัวตนไปบ้างก็จะไม่มีที่ให้ทุกข์อยู่ การไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องเจ็บต้องทุกข์ นี่คือเรื่องง่ายๆ แต่มนุษย์เรามักจะทำไม่ได้ พอตีก็เจ็บ พอไม่ตีก็บ่นว่าน่าจะตีเสียหน่อยจริงไหม พอเขามาแหย่เราเราก็ดีใจ พอเขาไม่แหย่เราก็ไปหาเขาให้เขาแหย่ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากเลย อยู่ที่ว่าเรารู้จักมอง เมื่อมองแล้วเรารู้จักเอาธรรมมาใช้สอนใจไหม หากรู้จักเอาธรรมมาใช้ มาสอนใจ ท่านก็จะยิ้มได้อย่างมีสุขใจ
วันนี้ก็คงสั้นๆเท่านี้แล้วนะ เราคงต้องไปแล้ว ขอให้มีความสุขในการบำเพ็ญธรรม และเป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม มีโอกาสก็เอาสิ่งที่ดีๆ ไปช่วยเหลือคนในสังคมที่ยังตกทุกข์ได้ยากนะ ไปล่ะ
วันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใจเป็นนายกายเป็นบ่าวเสมอศิษย์ ทุกความคิดต้องตรวจสอบความเป็นหนึ่ง
คุณธรรมมั่นคงในความคำนึง ศิษย์จะถึงแดนฟ้าได้ต้องบำเพ็ญ
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจาหยู แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอยากบำเพ็ญหรือเปล่า
ไร้สายลมแผ่วพัดสอบใจคน ธรรมแยบยลไร้ปาฏิหาริย์มาหนุนเกื้อ
ธรรมติดดินแล้วแต่ใครเชื่อไม่เชื่อ ทุกคนเมื่อทำสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น
เปิดใจกว้างจิตใจจะสบายเอง อาจารย์เร่งเพียงให้ศิษย์ตื่นจากฝัน
อย่าไปกลัวปัญหาสารพัน ในใจนั้นมีคำตอบหากย้อนมอง
ศิษย์ข้าเอยบำเพ็ญธรรมในชาตินี้ อาจจะมีเล็กน้อยความหม่นหมอง
แต่จงให้ช่วยเหลือกันประคับประคอง เหมือนดังทองที่ไม่กลัวไฟพิสูจน์
เจียดเวลากลับมาศึกษาจริง ทุกทุกสิ่งทำให้ได้อย่างที่พูด
เดินให้ถึงซึ่งแดนแสนวิมุตติ ศิษย์สามารถหลุดพ้นได้ถ้าพยายาม
ก่อนลาจากฝากศิษย์รักรู้จักตน ทั้งอดทนเรื่องเล็กน้อยอย่ามองข้าม
อย่าให้ข้าเฝ้าแต่ตามตามตาม ไฟลุกลามอาจเริ่มจากสะเก็ดไฟ
ฮา ฮา หยุด
วิมุตติ ความพ้น, ความหลุดพ้น, พระนิพพาน
ทำงานมีสุขเมื่อรักงานตน ปัญญาของคนเหมือนดังเพื่อนคิด งานเสร็จดังฝัน ผลงานไว้เตือนใจศิษย์ แข่งขันกับตัวของเรา คนต่างก็คิดพึ่งกัน จงเป็นที่พึ่งของตนเถิดหนา เข้าใจกันย่อมเดินเคียงบ่า ลืมเสียความไม่เท่า
* ยังห่วงคนดื้อรั้น ใครทัดทานไม่ได้ โปรดนำพาทุกคำจากหัวใจ เรื่องดีดีล้วนเป็นดังใจ ด้วยสองมือของเรา
ก็เกือบจะสายเกินไป บำเพ็ญแล้วยากนับวันห่างหาย กิเลสเร็วล้น ควรเพียรระวังหรือหน่าย ให้ทบทวนสักที (ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : รักอำพราง
ชื่อเพลง : รู้จักหน้าที่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลาที่เราอยู่ร่วมกันมีน้อย ครู่เดียวก็จากกันแล้ว จะต้องทำอะไรบ้างกับเวลาที่เหลืออยู่เพียงเท่านี้ เวลาที่เหลือจะมานั่งกลัวร้อนไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราอยู่ร่วมกันแล้วโชคชะตาจะทำให้เราร้อน ก็ขอให้มีใจเย็นๆ ดีหรือไม่ ก็ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกมากมาย
พายเรือออกหรือยัง เราพายเรือท่ามกลางอะไร เรือแล่นไปบนทะเลทุกข์ เวลามืดๆ อย่างนี้จะเอาอะไรเป็นไฟ เวลาท้องฟ้ามืดอย่างนี้จะใช้อะไรเป็นไฟ ถ้าท้องฟ้ายังสว่างไสว เรามองออกไปก็รู้ว่าจะพายไปทางไหน แต่ถ้าท้องฟ้ามืดมิด ทั้งสี่ทิศก็มืดเหมือนกันหมด เราจะใช้อะไรเป็นไฟให้ตน ใช้คนอื่นนำทางได้ไหม (ไม่ได้) ใช้คนอื่นนำไม่ได้ หวังพึ่งเข็มทิศได้ไหม (ไม่ได้) ไม่พึ่งเข็มทิศแล้วจะทำอย่างไร (ความรู้) ใช้ความรู้เรื่องอะไร คนมักบอกว่ามีความรู้จะสามารถไปได้ตลอดรอดฝั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนมีความรู้ ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่นำพาเราไปได้ตลอด ความรู้ต้องประกอบกับอย่างอื่นด้วยจึงจะมีชีวิตพ้นไปตลอดรอดฝั่ง
อาจารย์บอกว่าทุกคนมีชีวิต ทุกคนใช้อะไรนำพาในยามที่มืดมิด (ใช้จิต, หลักธรรม, สติปัญญา, ใช้สติและมีสมาธิ) แล้วตอนนี้มีสติและสมาธิหรือยัง ยิ่งมืดมิดยิ่งต้องตาไว ในเมื่อความรู้ใช้ไม่ได้ คนอื่นเราก็หวังพึ่งเขาไม่ได้ แล้วจะใช้อะไร
อาจารย์นั้นชี้ให้ตรงใจ ฉะนั้นจะใช้อะไรนำพา ตัวเราประกอบด้วยกายและใจ สิ่งที่เราจะใช้นำพาก็คือจิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรก็จะสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) จึงต้องใช้ความตั้งใจที่ออกจากใจ
บางคนนั้นทำงานเพราะอยากได้เงิน จึงไม่ได้ทำงานโดยออกจากใจ บางคนเป็นลูก บางคนทำหน้าที่เพราะต้องการคำชมจากคนอื่น บางคนเป็นลูกที่ดีก็เพราะให้คนอื่นชื่นชม นั่นเท่ากับว่าไม่ได้ทำออกจากใจ จึงยังไม่มีใครชมเชย
การเขียนหนังสือต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย เขียนแล้วต้องเป็นแนวเดียวกัน หากเขียนแล้วไม่กะประมาณว่าข้างหลังพอหรือไม่พอ แสดงว่าเราไม่มีฝีมือ ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรต้องคิดก่อนทำ หลายคนกะประมาณไม่ได้ เมื่อทำสิ่งหนึ่งจึงผิดพลาด ขณะที่เราทำสิ่งหนึ่งอยู่อย่าลืมว่าคนอื่นกำลังพิจารณาเราอยู่เหมือนกัน
“คุณธรรมมั่นคงในความคำนึง ศิษย์จะถึงแดนฟ้าได้ต้องบำเพ็ญ”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญ เพราะทำให้เราถึงแดนฟ้า เราทุกคนเกิดมามีชีวิตมีทุกข์ไหม รู้สึกว่าอยากพ้นทุกข์ไหม ทำไมอยากพ้นทุกข์ เราจะนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรแล้วพ้นทุกข์ได้ไหม การพยายามช่วยตนเองให้พ้นทุกข์นั้น เป็นความคิดของคนที่ไม่มีทางจะพ้น เราต้องคิดว่าจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ บางทีถ้าจะรอให้ตัวเองพ้นก่อน แล้วค่อยช่วยผู้อื่นนั้น กว่าเราจะพ้นทุกข์ก็อาจจะสายไป บางทีคนอื่นก็มีความทุกข์มากกว่าเราอีก
เวลาเราเห็นผู้อื่นที่ร่วมบำเพ็ญด้วยกัน มีข้อไม่ดีต้องทำอย่างไร (ตักเตือน) ไม่กลัวเขาย้อนกลับมาหรือ การอยู่ในสถานธรรมทุกคนกำลังบำเพ็ญ ทุกคนยังมีความผิดพลาดเสมอ ทุกคนยังอยู่ในสภาวะไม่พ้นทุกข์ แต่ต้องยื่นมือมาช่วยผู้อื่น ไม่มีใครบอกได้ว่าใครจะพ้นก่อนใคร แต่เราต้องพยายามช่วยกันใช่ไหม
อยากบำเพ็ญหรือเปล่า อยากบำเพ็ญกับอาจารย์ อาจารย์ไม่ใช่พระศักดิ์สิทธิ์ทำให้ไฟติดก็ยังไม่ได้เลย บำเพ็ญกับอาจารย์ได้ไหม (ได้) เวลาที่เราร้อนเราควรที่จะทำให้ใจเราเย็นสบาย การบำเพ็ญไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีเรื่องแปลกประหลาด เหนือความคาดหมาย มีแต่เรื่องธรรมดา คนทำดีได้ดีคนทำชั่วได้ชั่ว เป็นอย่างนั้นเอง คนที่บำเพ็ญอย่างธรรมดาที่สุดจึงได้มรรคผลที่สุด ปาฏิหาริย์ช่วยให้เราไปไกลจากสัจธรรมมากที่สุด
วันนี้อาจารย์มาพบศิษย์อาจารย์ก็ดีใจ แต่บางคนพอร้อนแล้วใจไม่ยอมนิ่ง อาจารย์คิดว่าในความร้อนเท่านี้ไม่เป็นไร คนโบราณนั้นถูกเคี่ยวกรำมากกว่านี้ แต่พออาจารย์มาถึงแต่ละคนใจไม่นิ่ง ไม่เป็นอย่างที่อาจารย์คาดไว้เลย
คิดว่าจิตตนเองเมื่อเทียบกับภายนอกที่กำลังมืด อะไรมืดกว่ากัน ใครคิดว่าภายนอกมืดกว่า ใครคิดว่าภายในใจของเรามืดกว่า ใจของเราทุกคนเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ใสสว่างยิ่งกว่าแดดตอนเที่ยง แต่นานไปอะไรทำให้เรามืด นั่นคือความโลภ โกรธ หลง รู้จักไหม (รู้จัก) เรารู้จักดี แต่เราตัดไม่ได้ ทำไมเราตัดไม่ได้ วันนี้เราตัดไม่ได้อย่างนั้นพรุ่งนี้ตัดได้ไหม คนที่ผลัดวันประกันพรุ่งก็จะทำไม่สำเร็จ ถ้าจะทำก็รีบทำเลย จะมัวผัดวันประกันพรุ่งก็ไม่ใช่ทางออก ถ้าอยากให้ใจของเราสว่างเหมือนเดิมก็ต้องล้างสิ่งที่หาไว้ให้สิ้น ทำไมธรรมะจึงอุบัติลงในกาลนี้ เพราะเมื่อทุกคนรู้ว่าจิตใจนั้นมีความโลภ โกรธ หลง อยู่แต่ยังตัดไม่ได้ รู้แล้วยังทำอยู่ ถ้าหากเรานั้นไม่เริ่มตัดวันนี้ ก็คงไม่ทัน ถ้าเราเลิกทำผิดก็จะมีคนทำผิดน้อยลง ต้องเริ่มจากตัวเราเอง
สิ่งที่อาจารย์สอนตั้งแต่ต้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ขอเพียงแค่เรากระทำ แม้จะเป็นเพียงข้อธรรมะง่ายๆ ตื้น ๆ ก็ยังดีกว่าไม่กระทำเลย ฟังธรรมะมาสองวันได้อะไรบ้าง (ความรู้, ฟื้นฟูจิตใจของเรา) เราต้องทำให้คนอื่นเห็น เปรียบเทียบกับการที่สถานธรรมได้ส่งหนังสือไปให้เล่มหนึ่ง แล้วศิษย์ไม่เปิดอ่าน แม้หนังสือจะดีแต่ศิษย์ไม่อ่านก็เปรียบเหมือนหนังสือไม่ได้เปิดออก ถ้าไม่ได้เปิดออก ถ้าไม่ทำตาม ก็เปรียบหนังสือไม่ดี การมาฟังธรรมสองวันนี้ก็เช่นกันเปรียบได้กับการส่งหนังสือมาให้ อ่านแล้วทำให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงได้ เปิดแล้วทำได้ไหม ก็อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ต้องกลัวถูกสะกดจิต หรือมีอะไรที่แปลกประหลาด ธรรมะจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งพื้น ๆ
คนเรามีหน้าที่ของความเป็นคนต้องทำให้สมบูรณ์ ลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ พ่อแม่มีหน้าที่อะไร (ดูแลลูก) ดูแลเพียงอย่างเดียวหรือ ต้องสั่งสอนเลี้ยงดูลูก คนสมัยนี้สร้างกุศลมามาก จึงฉลาด รู้เข้าใจสิ่งใดไปหมด แต่ไม่เข้าใจว่าควรทำสิ่งใด การศึกษาของคนสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน ยิ่งเรียนจบสูงยิ่งมีคนชม แต่จบสูงก็ไม่มีความรู้แท้จริง ไม่มีประโยชน์ มีใบปริญญาแต่ไม่มีความรู้ที่แท้จริง ก็เหมือนกับวันนี้อาจารย์ให้ปริญญาใบหนึ่งแต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ถามว่าเราคู่ควรกับปริญญาใบนี้ไหม ฉะนั้นเราต้องมีความสามารถคู่ควรกับปริญญาใบนี้ด้วย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่”)
เมื่อพูดถึงหน้าที่ คนเราเห็นหน้าที่การงานเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่อยากสูญเสียงานเราต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง จะให้ใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แม้ว่าเราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราไม่หวังความก้าวหน้า แต่ถ้าเราทำได้เพียบพร้อมการงานก็สมบูรณ์ แต่อย่าใฝ่สูงเพราะจะตกลงมา
สมัยนี้ครึ่งหนึ่งบำเพ็ญธรรม ครึ่งหนึ่งทำงานทางโลก นอกจากนี้ยังต้องรู้จักมองโลกในแง่ดี ใครมองโลกในแง่ร้ายชีวิตจะมืดมน ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดี ๆ มีคนมาตบหัวเรา เราจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีได้ไหม อยู่ดี ๆ ถ้าเขาเอาเงินเราไปเราจะโกรธเขาไหม อยู่ดี ๆ เห็นเขานินทาเรา เขาอาจชื่นชมเราอยู่ก่อน แต่เผอิญเขาพูดข้อเสียเรานิดหน่อยแล้วมีคนได้ยินตอนนั้น แล้วก็เอามาบอกเรา เราก็ต้องมองเขาในแง่ดี อย่างเช่นคนที่อยู่ๆ มาตบหัวเราตั้งแต่เล็กจนโต เขาอาจจะชอบตบหัวคนทักทาย เขาก็ไม่ผิด ส่วนคนที่มาหยิบเงินเราไป อาจเป็นเพราะเผอิญแม่ของเขาไม่สบาย เขามาเห็นของเราวางอยู่ก็หยิบยืมไปก่อน วันหลังเมื่อเขาเอามาคืนเขายังดีอยู่ไหม ทุกเรื่องสามารถมองไปทางดีได้ คนทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเอง โดยเฉพาะเหตุผลของตนเองฟังขึ้นกว่าเหตุผลของผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากเกี่ยวกรรมกับใคร ความแค้นในใจต้องลดลง เหมือนกับมีสวิทช์ปิดเปิด สามารถลด ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีกิเลสอยู่ในระดับต่ำ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาทำจิตใจให้สงบ)
ตั้งแต่อาจารย์มาวันนี้จิตใจของเราวอกแวกไม่นิ่ง อาจารย์ให้หลับตารวบรวมจิตที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา
เราทุกคนนั้นเป็นคนที่มีหน้าที่ ขอเพียงให้รู้จัก หน้าที่ของตนล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติ ต้องมีจิตใจที่เต็มไปด้วยคุณธรรม ต้องมีธรรมแฝงอยู่เสมอ
เมื่อครู่นี้ตอนหลับตาท่ามกลางความมืดมีความสว่างอยู่ภายในไหม (มี) ตอนนี้ท่ามกลางความสว่างลองดูซิว่ามีความมืดไหม (มี) ท่ามกลางความสว่างก็มีความมืดอยู่อีก ในสังคมในโลกที่ศิษย์อยู่ก็เช่นเดียวกัน เราลองมองดูว่าตรงหน้าของเรานั้น วัตถุที่เราใฝ่หา เรียกร้อง อยากได้มานั้น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จริงหรือปลอม (ปลอม) แล้วเรามองดูร่างกายของเราตอนนี้สิว่าจริงหรือปลอม (ปลอม) แม้จะเป็นร่างกายที่ปลอมแต่หยิกเจ็บไหม (เจ็บ) เราจึงต้องรู้จักรักษาและใช้ร่างกายของเรานี้ให้มีประโยชน์มากที่สุดก่อนวันที่เรานั้นจะกลับสู่พื้น เราต้องรู้จักใช้ร่างกายของเราไปทำในสิ่งที่เรียกว่าเป็นสิ่งดีใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วไม่ใช่ดีตามความคิดของเรา แต่จะต้องเป็นดีตามหลักคุณธรรมอันได้รับการพิสูจน์มาแล้วแต่โบราณ เหมือนคำที่บอกว่า “เกิดมาแล้วต้องตาย” เป็นสัจธรรม คนบำเพ็ญธรรมนั้นอาจารย์อยากเรียกร้องในวันนี้มีอยู่สี่อย่างที่ต้องทำให้น้อย คือ
พูด เรานั้นควรที่จะพูดให้น้อย เพราะบางทีนั้นเราพูดไปด้วยความไม่คิดใช่หรือไม่ (ใช่) การพูดน้อยทำให้เรามีสติมากขึ้น
คิดน้อย คิดในที่นี้หมายถึงการคิดฟุ้งซ่าน เราต้องคิดให้น้อยๆ
นอนน้อย ทำไมถึงให้นอนน้อย คนสมัยนี้บอกว่าให้นอนมากๆ แต่ทำไมอาจารย์บอกให้นอนน้อย เพราะว่านอนน้อยก็จะมีเวลาที่จะทำอย่างอื่นอีกมาก คนมีเวลาเท่ากัน ๒๔ ชั่วโมงแต่ คนนอนมาก จะเสียเวลามากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงควรนอนเพียง ๘ ชั่วโมง เราต้องรู้จักที่จะควบคุม
กินน้อย ทำไมถึงให้กินน้อย ไม่ให้กินให้อิ่ม หากว่ากินน้อยลงสุขภาพร่างกายของเรานั้นจะแข็งแรงขึ้น แต่อาจารย์ไม่นับรวมคนที่กินน้อยเกินไป เรานั้นต้องรู้จักรักษาสุขภาพของเราให้ดีๆ
พูดน้อย คิดน้อย กินน้อย นอนน้อย ทั้งสี่อย่างทำให้น้อยลง เมื่อพูดน้อยก็ต้องทำมาก เมื่อกินน้อยก็จะเป็นโรคน้อย นอนน้อยก็จะมีเวลามาก คิดน้อยก็จะมีความสุขมาก อยากได้ไหม บางคนนั้นวันทั้งวันไม่ทำอะไรมีแต่คิด บางคนคิดจนผมกลายเป็นสีขาว ถามว่ามีประโยชน์ไหม (ไม่มี) ไม่มีประโยชน์เลย อาจารย์อยากให้รู้จักตัวเอง รู้จักหน้าที่ รู้จักประมาณตนและรู้จักทำดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
คนทุกคนนั้นก็มีเวลาเท่าๆ กัน แม่ครัวก็เสียสละเวลามาทำอาหารให้เรากิน คนข้างๆ ก็เสียสละเวลามาดูแลเรา ขนาดไม่มีแอร์ก็ยังใช้มือเอาพัดใบใหญ่พัดให้เรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีจิตใจที่ขอบคุณเขา ถ้าอยากจะเจริญรอยตามเขา พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว แต่มีคนดีๆ ที่เราจะดูแบบอย่างได้ ทุกๆ คนนั้นมีข้อดี ศิษย์อาจจะมองข้อดีของคนรอบข้าง แม้จะเป็นข้อดีเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากเราทำได้ เราก็มีข้อดีมากมายที่เก็บสะสมไว้ เราจะกลายเป็นคนที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสียใช่หรือไม่ (ใช่)
หลังจากกลับไปจากวันนี้ อาจารย์อยากให้เราทุกๆ คนเมื่อกลับไปแล้วให้กลับมาศึกษาธรรมให้มากขึ้น สองวันนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ยังไม่ได้เข้าสู่ก้าวแรก ยังไม่ได้เป็นก้าวแรกที่แท้จริง อยากจะให้เรานั้นรู้จักนำพาตัวเอง หาเวลาว่างให้กับตัวเอง หากจะรอให้คนอื่นมาเรียกเรา มาสะกิดเราให้เรามาสถานธรรม บางทีถ้าเขาขี้เกียจ ชีวิตของเราก็คงจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมและไม่ได้หลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้อาจารย์พูดเรื่องการหลุดพ้นไม่มากครั้งนัก แต่ว่าการหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องที่ศิษย์ของอาจารย์ทำได้ ศิษย์ของอาจารย์เกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อชื่อว่าเป็นมนุษย์เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ในบรรดาสัตว์ทั้งมวลเรานั้นประเสริฐที่สุดและมีปัญญามากที่สุด ขอให้ศิษย์รู้จักใช้ปัญญาทำในสิ่งที่สมควรจะทำ เวลาเป็นเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่เป็นรูปลักษณ์ให้มนุษย์เห็นนั้นก็จะเป็นรูปคนเป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าฟ้าเบื้องบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะมีคนบำเพ็ญบรรลุสำเร็จไปมากมาย ส่วนสัตว์นั้นมีน้อย หรือบางทีบางคนไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ เทวดาที่เป็นสัตว์มีไหม (ไม่มี) แสดงว่าเราเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะบำเพ็ญบรรลุได้มากที่สุด ขอให้ศิษย์รักษาโอกาส ต่อให้ศิษย์มีอายุร้อยปีก็ใช่ว่าจะยืนยาวกลับเป็นชีวิตที่สั้นมาก เหมือนเมื่อครู่ตอนไฟดับก็ไม่รู้ว่าไฟจะติดเมื่อไร ตอนนี้เกิดมา มีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปเมื่อไร ท่ามกลางความสุขก็มีความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์ก็มีความสุขเหมือนกับตอนที่ไฟดับ แต่ในใจของเรานั้นสว่าง ตอนนี้ไฟติดแล้วแต่ในใจของเรานั้นอาจจะมืดกว่าข้างนอก อยากจะให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นบำเพ็ญธรรม อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ อย่าคิดว่าเราไม่ใช่ ขอให้ศิษย์ได้ลองลงมือดูสักครั้งหนึ่ง ดีหรือไม่
ธรรมะนี้ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรยาก ไม่หลอกลวงคน หากบำเพ็ญได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเอง
ขอให้ศิษย์เป็นกำลังให้อาจารย์ ขอความจริงใจให้อาจารย์ บำเพ็ญยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งยากมากขึ้น อาจารย์หวังว่าศิษย์คงทำได้แม้จะยาก ขอให้ใช้ความอดทนและรักษาตัวของศิษย์ให้ดีๆ
งานนี้เป็นงานประชุมธรรมงานสุดท้าย ขาดช่วงไปอีกหลายเดือน ศิษย์ทุกคนจะเป็นเหมือนอาจารย์ ปลอบใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีปัญหาอะไรขอให้เราได้ช่วยเหลือเขา แล้วศิษย์ก็จะเหมือนอาจารย์ ความอดทน ความแข็งแรง เราต้องอาศัยเวลาฝึกขอให้เราทุกคนได้ฝึกฝนและชนะ บำเพ็ญดีๆ นะ อาจารย์มาวันนี้แค่อยากให้ศิษย์บำเพ็ญได้และบำเพ็ญได้ดี
ขอให้ศิษย์รักษาตัวดีๆ อย่าถูกเหล่ามารทดสอบออกไปเสียก่อน ลาก่อน
พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่”
ต่างคนต่างมีหน้าที่ ทำดีหน้าที่ทุกคน
ต่างทำหน้าที่ของคน ยังผลดั่งเทพประทาน
ควรไม่ควรอย่าต้องให้ใครคอยเตือน นักลอยเลื่อนคนเชื่องช้าน่าสงสาร
ต้องเพียรโดยขาดไหวพริบจะมากรำคาญ เรียนรู้งานด้วยตาคงไม่พอ