วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2537

2537-07-16 พุทธสถานเฉิงอี้ จ.ราชบุรี


PDF 2537-07-16-เฉิงอี้ #6.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗ พุทธสถาน เฉิงอี้ อ.บัวงาม

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

รากบัวงามบริสุทธิ์ศรัทธาใจ ดั่งทองคำหลอมไว้บริสุทธิ์ยิ่ง

แม้นมากมายทดสอบจิตสงบนิ่ง แล้วละทิ้งมุทินเกาะดั่งโคลนตม

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แล้วเคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา



ร่วมประชุม ณ กลางสถานที่นี้ ต้องตั้งใจธรรมมีทุกทุกนาที

อย่าประมาทรวดเร็วคว้าธรรมดี ต้องยอมพลีเวลาเพียงสองวัน

ถึงกระนั้นจงอย่าได้เผลอไผล นั่งเก้าอี้พุทธาได้เพราะกุศล

แต่ก่อนเก่าบำเพ็ญมาผองสุชน ในชาตินี้หลุดพ้นได้บำเพ็ญใจ

จงรักษาสำรวมให้เคร่งครัด วาจาจัดทำร้ายกันไม่เลือกหนา

สถิตพระอริยะกลางวาจา อ่อนโยนกล้าเผชิญซึ่งความจริง

ปลูกต้นโพธิ์ใช่จะขึ้นในสองวัน หลังจากนี้ศึกษากันให้ถ่องแท้

คุณธรรมดำรงจึงกลับแก้ มรรคแน่คงศรัทธาอย่าสั่นคลอน

ภาระกิจส่งเสริมชนในที่นี้ อาจารย์บรรยายทุกท่านจงสมาน

สามัคคีทุกท้องที่มิแบ่งกัน ทั้งเธอฉันจิตหนึ่งเราพุทธา

ย้อนมองตนเห็นไหมพิจารณาดู วันนี้อยู่บุญสัมพันธ์ใกล้ไกลหนา

เดินทางมาสารทิศโปรดทั่วฟ้า มิแบ่งซึ่งห้าศาสนาใจแก่นธรรม

ฉุดช่วยไปทั่วพิภพในยุคขาว ส่องสกาวยิ่งยวดคุณงามสร้าง

บรรพชนเฝ้ามองจงอย่าขว้าง อาจพเนจรเกิดบางสิ่งให้พลิกฝัน

ปัดอารมณ์แลจิตใจกระจกใส ฟังธรรมไปอย่าง่วงเหงาให้สัปหงก

แล้วระเบียบถี่ถ้วนรู้พบ สติบรรจุอยู่เต็มห้วงจิตใจ

รักษาธรรมรักษาจิตคู่พร้อมเพรียง อย่าหลบเลี่ยงปลงแล้วจึงเห็นได้

กุศลสร้างก็ของตนมิใช่ใคร รู้ทางไปที่พี่นำน้องจงดู

ในสองวันจงอดทนศึกษาธรรม และได้นำปฏิบัติตนเข้าใจไหม

มิข้องเกี่ยวในวัฏฏะรูปลักษณ์ใด ฉันทาใจฤๅคิดเพลินในมายา

ในวันนี้ขอศิษย์น้องตั้งใจยิ่ง ศิษย์พี่นิ่งยืนคุมข้างสถาน

ยิ่งชัดเจนในคะแนนถูกจัดวาง ในท่ามกลางธรรมาขออวยชัย

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่ และ ท่านเหอเซียนกู เมตตา

พุทธจิตหนึ่งคลุมครอบจักรวาล เมื่อวันวานเมธีท่านยังสงสัย

ตราบวันนี้มีความสุขพ้นเมามาย ศึกษารู้พ้นกายอันจอมปลอม

เราทั้งสองคือ

แปดเซียน หลี่เถียไกว่ พร้อมด้วย เหอเซียนกู รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบอภิวาท

องค์ชคัตตรยาพดงส์ผู้เมตตา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

ล่องกิเลสเพื่อตัดกลับยิ่งสร้าง ตื่นหลับต่างเจ็บตรึงหายไหม

เฝ้าแต่หมองเหม่อมัดยิ่งไว คะเนเงียบข่าวคราวใจลวงเจ็บช้ำ

อย่าปล่อยให้กรรมกระชากฉุดไป มีแต่เพลิงสุมใจสุดหยั่ง

อย่างนี้แล้วอาจารย์ท่านยังช่วยบัง ท่านยังหวังกลั้นน้ำตาเพื่อใคร

นิโรธดับกลายหวานชุ่มฉ่ำใจ เรื่องซับซ้อนมากกลับสนองย่ำแย่

ทั้งเช้าค่ำน้ำตาเปลี่ยนสามารถแผ่ ปกป้องหนาวทุเลาอุ่นเผื่อประทังร่าง

ธรรมทดสอบคู่เคลื่อนไหวเหนี่ยวรั้งดึง อุทธัจถึงคอยรอบจะธรกรัชกาย

กมลแจ้งชั่วดีมิแหนงหน่าย เยี่ยงฟ้าดินไม่หวั่นต่อภัยพาล

ฐิติหวนดินแดนนิพพานเบื้องฟ้า พรหมวิหารสลายค่าอวิชชาเดิมแปรกลับ

กตญาณผลักทุกข์ทะเลเคลื่อนเลื่อนขษัย ด้วยดั้นด้นชีวิตวนไหลคืนกลับต้นธาร




มายาหลากเผลอใจปล่อยล่วงล้ำ เป็นแรงน้ำต้านรับไร้ปราการ

โหมทลายหยุดพักไม่ทันกาล คอยรักษาคอยหมั่นไหวสติคง

ฮา ฮา หยุด




สักวัน หมอกคงจะเลยแล้วผ่าน เปี่ยมด้วยใจแห่งธรรม สมตั้งใจ

ขัดตน ไม่ขัดขวางเคลือบแคลงปกป้องตนเองเพื่อตน แม้แค่ใยบอบบาง

เป็นเช่นกรรมฉุดดึง

* ศรัทธาหลอมรากฐาน บำเพ็ญธรรมเปิดใจ อภัยคือกุศล ช่วยตน

ใช่ใคร สิ้นสูญหนี้กรรมหลุดพ้น

** โปรดทุกหนทุกแห่ง ฉับพลันเห็นด้วยจิต สู่กลียุคช่วยเวไนย

พี่น้องตน

*** เปรียบเทียบจงตัดแล้ว เปรียบเทียบพาทิฐิยากใส นอกใน

ท่ามกลางควันหมอกพิษโลกีย์

ผ่านมา กี่ครากี่คราวทดสอบ ศรัทธายังส่งเสริม มิท้อด้วยใจอดทน ปัจจุบันฝ่าฟันอวิชชาแดนให้ได้ สะพานดั่งจิตใจ มิกลัวคำเหยียดหยาม

(ซ้ำ *,**,***)

ทำนองเพลง : เพราะเธอ




พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่ และ ท่านเหอเซียนกู เมตตา

ท่านเหอเซียนกู : ในโลกนี้ประกอบไปด้วยฟ้า ดิน มนุษย์ สรรพสัตว์

ทั้งหลาย ฟ้าเป็นสภาวะที่ว่างเปล่า บริสุทธิ์ ดินเป็นสภาวะที่ขุ่นหนัก

แต่มนุษย์ล่ะ เมธีทุกท่านเป็นสภาวะใด เบาหรือเปล่า

ถ้าทุกคนตั้งใจบำเพ็ญก็จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสภาวะที่เบาใสใช่ไหม ตอนนี้เบาใสหรือยัง ฟ้าประทานคุณธรรมให้ทุกคนตั้งแต่ลงมาเกิด คุณธรรมที่ฟ้ามอบมาให้คืออะไร ถ่ายทอดอยู่ที่ไหน (ตรัยรัตน์)

หลักธรรมอยู่ที่ไหน (ในจิต) มโนจิตอันเดิมแท้เหมือนขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ จิตตัวนี้ทำให้เรามีทรัพย์สิน เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาจากความอยากของทุกคน ตอนนี้เราทุกคนมีมโนจิตที่ยิ่งใหญ่ เราจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร (ช่วยเหลือคน) การจะช่วยคนต้องมีอะไรในมโนจิต (เมตตา) ทำอย่างไรถึงเรียกว่าเมตตา (อยากให้คนอื่นพ้นทุกข์และมีความสุข) การอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์คือการแสดงออกมาด้วยความเมตตา ขึ้นอยู่กับว่าจะปรุงแต่งออกมาในรูปลักษณ์ใด

การศึกษาธรรมมิใช่มานั่งฟังสองวันก็เพียงพอ เราต้องศึกษาตลอดชีวิตจำเป็นไหมว่าจะต้องอ่านจากหนังสือ เราจะทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าศึกษาธรรมบำเพ็ญตน (มีจิตใจที่ดีงาม มีความจริงใจ)

คนเราทำดี ถึงแม้มรรคผลที่จะได้รับยังไม่ได้รับในทันทีก็กลับเป็นความทุกข์ ความดีที่ทำแม้จะยังไม่ได้รับผลทันที แต่ก็อยู่ที่ทุกคน การที่

จะทำให้มีใจอย่างทารกน้อย ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วจะทำอย่งไรให้จิตเป็นทารก (บำเพ็ญจิต) อย่างไรจึงจะเรียกว่าบำเพ็ญจิต (ฉุดช่วยคนอื่นให้

พ้นทุกข์) ถูกไหม

ทุกคนที่อยู่ในโลก บางครั้งก็เจ็บป่วย บางครั้งก็สุขสบาย เจ็บป่วยเพราะอะไร (กรรมเก่า) กรรมเก่าอย่างเดียวหรือเปล่า ถ้ามีคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมนี้ไม่ใช่ของจริง เขามาหลอกเงินทอง เราจะคล้อยตามเขาไหม (ไม่) เพราะว่าตอนนี้มีเราบอกใช่ไหม บางครั้งบาปกรรมที่ทำให้เราต้องทุกข์ไม่ได้เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรอย่างเดียว แต่บางทีตัวเราเองก็เป็นผู้ก่อ ทำไมภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเราจึงรู้ได้ แต่ภัยที่เราก่อเราไม่รู้กลับต้องรับผล ถ้าทำดีได้รับผลดี เราอยากจะทำ ถ้าทำดีมีผลประโยชน์

แล้วเราไขว่คว้าที่จะทำดีเพื่อหวังผลของความดี ก็เป็นความอยาก ใจเราต้องไม่ทะยานอยากไม่ไขว่คว้า แต่ทำดีโดยเอาความเมตตาของเราออกมา

มีความสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่น

ในวันนี้เมธีทุกท่านได้แสดงอะไรบ้างที่เป็นความเมตตาต่อผู้อื่น (ช่วยแม่ครัวทำกับข้าว) ทานข้าวแล้วขอบคุณแม่ครัวหรือเปล่า (ขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ความรู้) และขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมตตามาประทานพระโอวาท) ความต้องการความอยาก ถ้าเปลี่ยนจากความอยากด้วยการสร้างกุศลไม่รู้จักพอจะดีไหม (ดี)

ท่านหลี่เถียไกว่ : หัวหน้าชั้นมองลูกเรือของตนเองซิ มีลูกเรือตั้เยอะแยะ ทุกท่านรู้จักกันหมดหรือเปล่า (ยังไม่รู้จักกันทุกคน) บางคนแม้จะมาประชุมธรรมผ่านไปสองวันก็ยังไม่รู้จักกันเลย ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วต่อไปจะกล้ามาสถานธรรมไหม สถานธรรมอยู่ไกลจะมาหรือ (มา) การสัญญา

กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าพูดไปแล้วทำได้หรือเปล่า ถ้าหากมาที่นี่ด้วยจิตแต่ตัวยังอยู่บ้านหมายความว่าอย่างไร (ตายแล้ว) แล้วจะรอถึงวันนั้นหรือ

"พุทธจิตหนึ่งคลุมครอบจักรวาล" จิตของเรามีเพียงหนึ่งเดียวแต่ครอบคลุมจักรวาลได้ไหม เราอยู่ที่นี่เราไปนิพพานได้ไหม (ได้) ถ้าคิดว่าจิตยังไปไม่ถึงนิพพานก็ไปไม่ถึง ถ้าคิดว่าจิตถึงนิพพานก็ถึงได้ คนที่ตอบว่าจิตถึงนิพพานได้เพราะอะไร (เพราะเขาบำเพ็ญธรรม) การที่เราอยู่ในโลกมนุษย์ เราอยู่ในแดนนิพพานได้ โดยเราทำจิตใจของเราให้มีความสุข มีความเมตตา ให้การส่งเสริมผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ตรัยรัตน์ที่เรารับไปนั้นลืมหมดแล้วใช่ไหม จากวันนี้ไปต้องกลับมาศึกษาและทบทวนให้เข้าใจ นักเรียนในชั้นมีจำนวนมาก ถ้ารู้จักกันไม่หมด ต้องพยายามรู้จักกันให้หมด บางครั้งบอกว่าส่งภาษากันไม่รู้เรื่อง ถ้าหากมีความจริงใจ มีมิตรไมตรี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เราก็สามารถที่จะรู้จักกันได้

ท่านรู้ไหมว่าการที่ทุกคนมาในที่นี้เพราะมีบุญสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ ถ้ารู้แล้วต้องรักษาบุญสัมพันธ์ของท่านให้ดี ผูกมิตรต่อกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ในสายธรรมเดียวกันแล้วมีความรู้สึกว่าแบ่งแยกว่าอยู่กรุงเทพฯ กับดำเนิน

ในกลอนนำพระโอวาททำไมจึงบอกว่า กายนี้เป็นกายปลอม (ตายไปแล้วเอาไปไม่ได้) เวลาฝนไม่ตกก็บ่นว่าร้อน ฝนตกก็รู้สึกอึดอัด การที่เรารู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะจิตของเราใช่ไหม จิตของมนุษย์สามารถปรุงแต่งได้ด้วยอะไรบ้าง (กายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม, อารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง วัตถุเงินทอง) เราควรจะทำอย่างไร (เราต้องยึดมั่นในจุด ๆ นั้น) จิตของมนุษย์มีทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อจิตของเราเป็นกลางคืนก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นกลางวันได้ใช่ไหม เมื่อจิตของเราเปรียบเหมือนตะวันก็สามารถส่องสว่าง เมื่อเรามีจิตที่สว่างไสวแล้ว เราก็สามารถจะฉุดช่วยผู้อื่นได้ การมีอายุมาก อายุน้อยไม่ใช่ปัญหา เราจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา มีทั้งที่หลบและออกมาให้เห็นชัด ๆ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง

เมื่อศึกษาธรรมต้องรู้ว่าธรรมเป็นสุญญตา รูปลักษณ์นี้เรายึดไว้เพื่อบำเพ็ญ ไม่ใช่ยึดไว้ตลอด

“ล่องกิเลสเพื่อตัดกลับยิ่งสร้าง” ทำไมจึงยิ่งตัดกลับยิ่งสร้าง (เพราะเกิดความต้องการ) ถ้าหากเราคิดว่าเราจะตัดกิเลสแล้วก็คิดหาวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อตัดมันทิ้งไป แต่เมื่อไหร่ที่เราคิดว่ากิเลสคือกิเลส เราจะต้อง

ตัดมัน อย่างนี้แล้วจิตเราก็ยิ่งเพิ่มบางสิ่งบางอย่างที่จะเป็นส่วนเกินให้เกิดขึ้นมา เปรียบเหมือนความร่ำรวย ลาภ ยศ เงินทองเป็นสิ่งที่ทำให้เราหลง ความอยากถ้าเราคิดว่าเราจะขจัดความอยากทิ้งไป พอเราตัดไปเรื่อย ๆ พอถึงจุดสุดขีดเราก็กู้ยืมเงินให้ได้มา

ท่านเหอเซียนกู : ความศรัทธาที่มีอยู่ก็จะทำให้เราทำอะไรได้สำเร็จ ถ้าหากเจอปัญหาก็ท้อแล้วจะทำอะไรได้สำเร็จไหม รออะไรก็รอได้ รอนิพพานดีไหม การจะไปนิพพานได้ทุกคนต้องบรรลุจากอะไร (จากการปฏิบัติธรรม) การบรรลุแปลว่าอะไร บรรลุคือการหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารเวียนว่าย

ตายเกิด ในเมื่อรู้ว่าต้องทำให้ได้ การจะทำให้ได้ต้องทำจิตใจให้อิสระปราศจากสิ่งห้อมล้อม ถ้าจะเปรียบจิตใจของคนก็เหมือนกับกษัตริย์

ร่างกายก็เหมือนกับเมือง ปัญญาก็เหมือนกับอาวุธ สติก็เหมือนกับปราการ ทุกคนควบคุมได้ไหม (ได้) แล้วจะควบคุมอะไร (ควบคุมอุปกิเลส อวิชชาที่จะทำร้ายเรา) ทุกสิ่งทุกอย่างใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ต้องเริ่มจากการฝึกฝน

ท่านหลี่เถียไกว่ : บำเพ็ญธรรมใช่ว่าจะเริ่มได้ง่าย ๆ ถ้าทุกคนไม่ฝึกฝน ทุกคนจะรู้ว่าต้องบำเพ็ญธรรมหรือไม่ เมื่อรู้แล้วก็อยู่ที่ให้ทุกคนฝึกปฏิบัติ การให้เพลงธรรมไม่ใช่ให้ร้องเพื่อคลายเครียด แต่ให้เพลงธรรมเพื่อเป็นกำลังใจ เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นมาเราต้องฟันฝ่าอุปสรรคนั้น ถ้าเมธีทุกท่านต่อ ๆ ไปมาที่นี่ก็จะได้พบกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่มาแล้วแม้แต่จะช่วยตนเองก็คงจะช่วยไม่ได้

ท่านเหอเซียนกู : อย่าลืมบำเพ็ญ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความอดทนและก็จะได้กลับคืนไปพร้อมกับเรา







วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา เมตตา

ศรัทธาแกร่งเมตตาพร้อมปุถุชน ยากจะพ้นแต่หากพยายามย่อมสัมฤทธิ์

ประตูเปิดญาณได้สำนึกผิด จากวันนี้ถ้าคิดคือเริ่มต้น

เราคือ

พระอรหันต์จี้กงวิปลาส พร้อมด้วย ราชบุตรที่สามนาจาองค์น้อยน้อย

รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายก้มกราบ

องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะเข้าใจหรือเปล่า

สายทองธรรมโบราณแปรสู่ปัจจุบัน ผ่องรากไว้สำคัญผันกิเลสไหว

กาลคับขันคงไม่นานเท่าเภทภัย แข่งจิตใจหนึ่งนี่วิถีธรรม

ลืมเลยที่สัญญาคือเชือกหน่วย สะบั้นด้วยลุ่มดอนร้างสิ้นธรรม

ห่างสุทธาทอดทิ้งใจจนกลับเพลี่ยงพล้ำ ระส่ำระสายตลอดกาลฝังใจร้อนระอุ

รักหลงโลภชั่วนิรันดร์ขจัดไกล ศิษย์ฝักใฝ่หวนนิจศีลสัจธรรม

คลายรนเร้าในใจคอยคุกคาม บริสุทธิ์ตามตื่นพ้น ณ กลางใจ

ได้ติดตามพระอาจารย์คืนสู่เบื้องบน

ฮา ฮา หยุด

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นแต่ง

บทเพลงพระโอวาทพระนาจาเมตตา

กระดิ่งโดนลมพัดลู่ดัง กริงกรังกริงกรังกล่อมภมรระบำ ชวนบรรเลงบนนาวาธรรม ชักใบเรือนำทิศทางไป

อร่ามเรืองรองแดนนิพพาน จูงมือกันบำเพ็ญชีวี สะบัดธงปลิวล้อเล่นตาม พริ้วเบายามมองผ่องจิตคอยครื้นเครง

ญาณกลมโตเติมธรรมบำรุง ขาดซ่อมแซมมานานน้อมใจ สบตาก่อนลากันและกัน คืนปัญญาเร็วไวบำเพ็ญ

ฮิ ฮิ หยุด

ทำนองเพลง : A B C




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา เมตตา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกย่องบุคคลอยู่สองประเภท รู้ไหมว่าเป็นคน

ประเภทใดบ้าง ผู้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกย่องก็คือผู้ที่มีความกตัญญูต่อบุพการี และต่อผู้ที่เคยให้ความอุปการะเรา เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มอบสิ่งที่ดีให้เราโดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน

ถ้าให้ทุกคนเลือกเป็นต้นไม้ อยากเป็นต้นไม้ประเภทใด มีคนบอกว่าขอเลือกเป็นต้นหญ้าดีกว่า เพราะสามารถอ่อนลู่ไปตามลม ไม่แข็งไม่อวดตนใช่ไหม แต่ถ้าเมื่อใดมีผู้ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการอาศัยร่มเงา

เราก็ต้องกล้าที่จะเป็นต้นหญ้าใหญ่ ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรเป็นต้นหญ้าเล็กและเมื่อใดควรเป็นต้นหญ้าใหญ่ เมื่ออยู่กับผู้ใหญ่เราต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและเมื่ออยู่กับผู้อ่อนอาวุโสกว่าเราต้องให้ความคุ้มครอบดูแล

การพายเรือทวนน้ำรู้สึกว่าพายยาก ถ้าหากไม่พยายามเรือก็อาจถอยหลังไป แต่การพายเรือตามกระแสน้ำง่ายดีใช่ไหม การพายเรือทวนกระแสน้ำก็คือทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับการพายเรือทวนกระแสน้ำ เมื่อเรารู้ว่าต้องเผชิญกับความลำบากก็ต้องอดทนใช่หรือเปล่า

(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์อาวุโสไต้หวันออกมาหน้าห้อง)

รู้ไหมว่าอาจารย์ไต้หวันที่มาที่นี่ต้องเผชิญความลำบากมากมาย แต่ไม่เป็นไรนะ เมื่อมาที่นี่แล้วตั้งใจมาช่วยงานก็ขอให้ช่วยเต็มที่ รักษาโอกาสที่ดีนี่เอาไว้ ไม่ต้องกลัวนะไม่ว่าจะมีอะไรทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี

ต้นไม้มีลักษณะอย่างไร (มีลำต้น มีเมล็ด มีราก) รากมาจากไหน (รากมาจากเมล็ด) แล้วตัวเรามาจากไหน (มาจากพ่อแม่) (ปู่ย่าตายาย)

(มาจากบรรพบุรุษ) แล้วบรรพบุรุษมาจากไหน (มาจากจิตวิญญาณที่มาจากเบื้องบน)

ต้นไม้มีลำต้นที่กลม ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีมุม แต่คนทุกคนมีเหลี่ยมมีมุม เหลี่ยมมุมคือทิฐิใช่ไหม เมื่อทุกคนมีเหลี่ยมมีมุมของตัวเองอยู่ร่วมกันก็ต้องมีปัญหา ถ้าเรายอมลบเหลี่ยมมุมของตนเองไปบ้าง เขาก็จะยอมลบเหลี่ยมของเขาไปเช่นกัน ขอให้ทุกคนทำเพื่อคนอื่นบ้าง อย่ามองแต่คนอื่นขอให้ย้อนมองตนเอง บางครั้งที่เรารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของคนบางคน เพราะเราเอาใจไปอยู่กับคำพูดของคน ๆ นั้น เราต้องหันมามองตัวเองว่าเราเคยทำให้คนอื่นเขาเจ็บปวดหรือเปล่า ถ้าใจเราเย็นแล้วอะไรก็เย็น

ใช่ไหม

การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป บางคนเมื่อถูกผู้อื่นแกล้งก็จะเจ็บปวด ถ้าเราไม่ปล่อยใจให้ลอยไปกับความเจ็บปวด เราก็จะไม่เจ็บปวดใช่ไหม

ความเมตตากับความโหดเหี้ยมเราก็ต้องแยกให้ถูก เมื่อเห็นสัตว์ถูกฆ่าเรารู้สึกสงสาร แต่เมื่อเห็นสัตว์ที่ตายแล้วเรากลับรู้สึกเฉย ๆ ใช่ไหม

"สายทองธรรมโบราณแปรสู่ปัจจุบัน" สายทองนี้มีการถ่ายทอดมาแต่โบราณ มีประจักษ์พยานให้เห็นมากมาย จนบัดนี้จึงถ่ายทอดสู่ปุถุชน

ถ้าเกิดว่าในยุคสามนี้มีลัญจกรที่เปรียบประหนึ่งรากบัว รากบัวที่ขาวบริสุทธิ์เหมือนกับจิตใจของเด็กทารก เมื่อศิษย์ใช้ลัญจกรจิตของศิษย์ก็จะเหมือนเด็กซึ่งใสเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสใช่ไหม

"กาลคับขันคงไม่นานเท่าเภทภัย" เภทภัยที่มีนั้นไม่เท่ากับเภทภัยในใจของมนุษย์ ซึ่งมีอารมณ์ มีการแบ่งแยก มีความตึงเครียดและมีอะไร

ต่าง ๆ อีกมากมายโดยที่ศิษย์ไม่คิดจะขจัดมันออกไป เภทภัยที่เห็นว่าร้ายแรงเมื่อคร่าชีวิตคนแล้วก็ผ่านไป แต่เภทภัยในใจนั้นมีอยู่นาน อย่างนี้เราต้องขจัดมันออกไปใช่ไหม

สัญญาก็เหมือนเชือกเส้นหนึ่งที่สองฝ่ายผูกกันไว้ ถ้าเชือกขาด

เมื่อไหร่ก็เหมือนเราขาดจากธรรม เมื่อห่างธรรมก็ห่างบ้าน ห่างใจ เมื่อลืมใจก็เพลี่ยงพล้ำ เมื่อพลาดแล้วจะไปไหนแม้ว่าเราจะรู้ตัว แต่จิตใจก็ระส่ำระสายมีจิตใจที่ร้อนระอุเพราะจิตเราโศกตรม เมื่อเราตกอยู่ในกองกิเลสเราก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาได้ ถ้าศิษย์รักพลาดเข้าสู่อบายภูมิแล้วก็จะมีจิตใจที่ร้อนระอุ อาจารย์อยากให้ศิษย์ขจัดความรัก โลภ หลง มีใจที่สะอาดดังรากบัว

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ดูแลสถานธรรมออกมา) เป็นผู้ดูแลสถานธรรมจะต้องรู้จักส่งเสริมคน ถ้าหากชวนคนมาประชุมธรรมมากมาย แต่ไม่รู้จักส่งเสริมให้เขาเข้าใจธรรมะก็จะไม่มีประโยชน์อะไร

ทุกคนต้องเปิดใจให้กว้างเข้ามาศึกษา ถ้าทุกคนรู้จักความพอดีก็จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ท่านเหอเซียนกูท่านให้ทุกคนมีความเมตตากรุณาใช่ไหม แต่ทุกคนต้องรู้จักกรุณาต่อตนเอง ต้องรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อบำเพ็ญ ต้องกรุณาต่อผู้อื่น อย่างเช่นกรุณาต่อผู้ที่ดูแลรักษาความสะอาดด้วยการไม่ทำสกปรกใช่ไหม

คนที่เฉิงอี้ฐันจะเป็นความหวังของอาจารย์ได้ไหม ขอให้เพลงที่อาจารย์ให้สามารถปลุกจิตของศิษย์ให้ตื่นขึ้นมาได้ (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ตื่นพ้น ณ.กลางใจ" ซึ่งถอดออกมาเป็นทำนองเพลง : มณีร้าว) อยู่ที่นี่ต้องรู้จักสามัคคีกัน (พระอาจารย์เมตตาพูดกับหัวหน้าชั้น) นักเรียนในชั้นนี้อาจารย์ฝากไว้ได้หรือเปล่า นักเรียนในชั้นก็อย่าให้หัวหน้าเป็นผู้เรียกฝ่ายเดียว ตัวเองก็ต้องรู้จักเรียก

ตัวเองด้วย ศิษย์รักของอาจารย์รู้ไหมว่าผู้ดูแลที่นี่เขามีความศรัทธาเพียงใด ทุ่มเทแรงกายแรงใจทุกอย่างเพื่อศิษย์รักของอาจารย์ ปณิธานไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่เมื่อศิษย์มีปณิธานแล้วศิษย์ทำได้หรือเปล่า ถ้าศิษย์กลัวปณิธานก็จะไม่สามารถกลับคืนไปได้

อาจารย์ขอศิษย์อย่างหนึ่ง จงอย่าทิ้งธรรมะ ถ้าทิ้งแล้วศิษย์จะหวังอะไรได้อีก เราต้องฉุดช่วยตนเอง อย่ารอให้คนอื่นมาฉุดช่วยเรา

อย่าทำให้อาจารย์ต้องเสียน้ำตาเปล่า รับปากอาจารย์แล้วต้องทำให้ได้

พวกเราร้องเพลงคำสัญญา และเพลงแลกได้แต่น้ำตาเป็นการส่งพระอาจารย์ และพระนาจา

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2537

2537-06-26 สถานธรรมสกุลพัน



วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗

จิตเดิมแท้ดั่งทารกรุจิเรขกลับวิเวกอ้างว้างไร้รักษา
แปรเปลี่ยนใจตัดกิเลสมุ่งเดินหน้า       ร่วมนำพาผองชนกลับคืนแดน
                เราคือ
(หยรูอี้ถงจื่อ)          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่สถานธรรมสกุลพัน        แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้วถามทุกทุกคนสบายดีไหม
                ตั้งใจนำศรัทธาสู่หนทางแห่งใจ  ตั้งใจนำศรัทธามิผันตามอวิชชา  ศึกษาล้ำค่าจิตใจ เหนื่อยก็คงน้อมตน แล้วใจดั่งผู้น้อยมุ่งไป
                หากวันใดขาดธรรม  ที่เห็นคือกรรมสนอง  ที่รังควานจิตใจ  ยิ่งหมอง  สักวันสนอง  ทวีทุกข์ด่วนเข้าใจ  ได้ทบทวนแล้วค่อยคิดเร่งหวนใจยืนขึ้นพร้อมจะเดิน
                หากเมธีนั้นยังมุ่งหวังเพื่อตื่น ผ่านเดือนวันและคืนส่องเห็นใจ  หากข้ามคงได้รู้หนทางแปรใจ  ทะเลลวงแห่งใจระทม
                แพร่ธรรมจริง  หนึ่งใจช่วยผองเวไนยกลับคืน  ตัดมายากลับดูระทมทุกข์ใจ  เห็นแจ้งแล้วภาพลวง
                ฮิ  ฮิ  หยุด



พระโอวาทท่านหยรูอี้ถงจื่อเมตตา

คนที่ได้รับธรรมะ  ตอนนี้ก็ได้รู้จิตเดิมแท้ของตนเองแล้ว  จิตเดิมแท้ของทุกคนใสบริสุทธิ์เหมือนเด็ก ๆ  แต่ทำไมจึงปล่อยให้มันอ้างว้าง  การปล่อยให้จิตอ้างว้างก็คือปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานไม่รู้ว่าจิตตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน  ไม่รู้ว่าเอาอะไรไปปิดบังมันบ้าง  ทั้ง ๆ ที่มีของดีอยู่กับตัวกลับมองไม่เห็น กลับเห็นแต่สิ่งที่อยู่ภายนอกรอบข้าง เมื่อได้เห็นสิ่งที่สวยงามและไขว่คว้าไปตามหู ตา จมูกเห็นว่าสิ่งโน้นสวย สิ่งนี้หอม สิ่งนี้น่าทาน  เมื่อใจเราปล่อยไปตามสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าอายตนะ   เมื่อใจผูกพันไปตามอายตนะก็ถูกผูกพันกับขันธ์ทั้ง ๕ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนี้หอม สิ่งนี้น่าทานใช่หรือเปล่า  ขอให้ทุกคนตัดสิ่งที่เรามองเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น ตัดมันออกบ้างอย่าปล่อยไปตามมันมาก  หันมามองจิตเดิมแท้ที่เราได้รับรู้ แล้วก็ตัดกิเลสมุ่งเดินหน้า
"หากวันใดขาดธรรม" ธรรมในที่นี้คืออะไร ธรรมชาติธรรมะใช่ไหม  ของบางอย่างจะรู้คุณค่าได้ต้องฟันฝ่าก่อนและเหนื่อยหน่อยใช่ไหม  ถ้าไม่เหนื่อยเราก็จะไม่รู้ถึงคุณค่าของสิ่งนั้นว่ามันล้ำค่าแค่ไหน
เมื่อสักครู่ได้ฟังธรรมะไปเรื่องอะไรบ้าง (ทำไมต้องรับธรรมะ) แค่เมื่อสักครู่ทุกคนยังลืมเลยว่าได้ฟังอะไรไปบ้าง  แล้วตอนนี้จิตใจที่ทุกคนเคยรับรู้มาตั้งแต่เด็กหรือก่อนที่จะเข้าร่างนี้ทุกคนมิยิ่งลืมไปใหญ่หรือ ในเมื่อเราระลึกชาติไม่ได้  แต่ตอนนี้ได้รู้จักวิถีทางแห่งจิตแล้ว  ทำไมไม่นำวิถีทางแห่งจิตนี้มาปฏิบัติ มาศึกษาดู  ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าเป็นวิถีทางแห่งจิตจริง ๆ หรือเปล่า  แต่ถ้าทุกคนไม่ลองศึกษาดูทุกคนจะรู้ไหมว่านั่นคือวิถีแห่งจิต นั่นคือจิตเดิมแท้ของตน (ไม่ทราบ)
ดูซิทำไมผู้หญิงถึงกล้าออกไปข้างนอก กล้าออกมาช่วย  เราลองดูคนข้างหน้าซิว่าทำไมเขาถึงเสียสละให้เรา  ทั้งที่เขานั้นเป็นผู้หญิง  ต้องออกมานอกจังหวัดมาช่วยผู้อื่น  มาช่วยทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้ทุกคนได้ทานใช่ไหม  ก็เพราะใจของเขาบริสุทธิ์ เขาคิดว่าเขาต้องทำให้อร่อย ๆ ให้ทุกคนได้ทาน ให้ทุกคนได้มาเจริญในงานธรรม ในเมื่อเขามีความเสียสละอย่างนี้  เราไม่ลองย้อนดูใจตัวเราเองบ้างหรือว่า ทำไมเขาถึงเสียสละให้เรา โดยเฉพาะผู้ชาย ดูผู้หญิงเขายังเสียสละออกมาอย่างนี้ เสียสละด้วยความตั้งใจ  แม้ไม่รู้ว่าออกมาจะต้องเจอกับอะไรบ้างแต่เขาก็ยินดีที่จะออกมา  ที่เราพูดอย่างนี้ไม่ใช่ให้ทุกคนออกจากบ้านมาแล้วเดินงานธรรมหมดนะ  เพราะว่าการเดินงานธรรมไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่แต่สถานธรรมจึงจะเรียกว่าเดินทางธรรม  ขอให้มีธรรมะนั้นอยู่ใจ  ให้รู้ว่าสิ่งที่ควรทำก็ทำ สิ่งที่ไม่ควรทำก็ไม่ทำ  ในเมื่อรู้แล้วว่าไม่ควรแต่ก็ยังชอบทำก็แปลกเหมือนกันนะ  ทุกคนมีมโนจิตสำนึกที่ดีงาม  อย่าปล่อยให้มโนจิตสำนึกอันดีงามที่ออกมาแล้วไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ เมื่อมีจิตที่ดีงามออกมาแล้วต้องรู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์  ไม่ใช่รู้ว่ามันไม่ดีไม่ควรทำแต่ก็จะทำเพราะอยากทำ  ในเมื่อตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าควรจะต้องทำอย่างไร  ได้รับรู้ธรรมะไปแล้วจะต้องทำอย่างไรบ้างก็ขอให้เร่งรีบนะ
ที่นี่เพิ่งเริ่มเปิด ทุกคนเหมือนผลไม้ลูกแรกที่เก็บจากจังหวัดบุรีรัมย์  ผลไม้ลูกแรกนี่ดีนะ เป็นผลไม้ที่ถูกคัดเลือกแล้วว่าเป็นผลไม้ที่สวยน่าทาน หอมอร่อย แต่ไม่ใช่สวยน่าทานแบบบนโลกมนุษย์นะ  ความหมายของเราก็คือเป็นจิตที่บริสุทธิ์สดใสสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วไป  เพราะเมื่อทุกคนมีจิตที่บริสุทธิ์สดใสแล้วคนที่อยู่รอบข้างก็จะสนใจว่าเขาไปทำอะไรมา  จึงมีความตั้งใจอยากให้เรารับรู้  มีใจโอบอ้อมอารีมีเมตตา  ถ้าเราปฏิบัติดี คนที่อยู่รอบข้างเขาก็อยากปฏิบัติตาม  ถึงแม้เมื่อก่อนเราเคยไม่ดี  แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลับดีขึ้นมาได้
ตอนนี้เรือธรรมลำนี้ก็เพิ่งเริ่มที่จะสร้างขึ้นมาเป็นรูปร่าง  ถึงแม้ว่าจะเล็กแต่อยู่เบื้องบนแล้วเรือธรรมลำนี้ก็ใหญ่เหมือนกันนะ  ทุกคนมีไม้พายอยู่กับตัวแล้วอยู่ที่ว่าจะรู้จักนำไม้พายนี้ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือเปล่า  ถ้าเกิดประโยชน์เรือลำนี้ก็สามารถที่จะเดินก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองได้  แต่ถ้าไม่รู้จักนำมาให้เกิดประโยชน์ ไม้พายนี้ก็จะต้องโดนปลวกกัดกิน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลงพายเรือธรรม) ไม้พายของทุกคนคืออะไร ใครตอบได้บ้าง  อะไรที่เปรียบเสมือนไม้พาย กลอนนำเราก็บอกแล้ว (ใจ) รู้แล้วใช่ไหมว่าไม้พายของทุกคนก็คือจิตใจเดิมแท้  จิตใจเดิมแท้นี้บริสุทธิ์สดใส  จิตใจนี้ก็มีธรรมะอยู่  ถ้าเรามีจิตใจที่มีธรรมะอยู่เราต้องนำจิตใจอันดีงามนี้ไปบอกคนอื่นนั่นก็คือไม้พาย
คำว่า "ไม่ทำ" กับ "ทำไม่ได้" มันต่างกันไหม  ที่จริงแล้วทุก ๆ อย่างจะต้องเกิดจากความเข้าใจของตนเองก่อน  ถ้าตนเองไม่เข้าใจแล้วก็เดินสะเปะสะปะไป  แต่ยังไปบอกให้ผู้อื่นเดินตรง ๆ   ก็เหมือนกับแม่ปูบอกให้ลูกปูเดินตรง ๆ แต่แม่ปูเองยังเดินเอียงเลย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้กับญาติธรรม) ต้องให้ใครก่อน (ให้คุณแม่ก่อน) ต้องรำลึกไว้เสมอว่าคนที่เราจะต้องนึกถึงก่อนคือคุณพ่อ คุณแม่ (ท่านได้เมตตาประทานผลไม้ให้) จะได้ผลไม้นั้นมาก็ไม่ใช่ง่าย ตอนนี้ผลไม้อยู่ที่กิ่ง  กว่าเราจะได้ผลไม้นั้นมาก็จะต้องเอื้อมมือไปเด็ดมา  และจะต้องฟันฝ่าจึงจะได้สิ่งของที่มีคุณค่า
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอธิบายคำว่า "ไม่ทำ" กับ "ทำไม่ได้" ดังนี้ :
คำว่า "ไม่ทำ" คือสมมติว่าสิ่งเหล่านี้เราทำได้ เช่น เราจะไปช่วยคน ชวนเขามารับธรรมะ  เราทำได้แต่เราไม่ทำเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องงมงาย หรือไม่ก็ขี้เกียจเพราะคิดว่าชวนเขาก็ไม่มา  ยังไม่ได้เริ่มก็คิดแล้วว่าไม่ไปทำสิ่งนั้น  เช่นนี้เรียกว่าไม่มีใจ
คำว่า "ทำไม่ได้" ก็เช่น ที่จริงเรามีใจอยากทำ แต่ว่าด้วยแรงกำลังเราน้อย  ปัจจัยต่าง ๆ ยังไม่อำนวย อยากจะทำแต่ก็ทำไม่ได้)
ทำไมเราถึงบอกว่าให้ตั้งใจนำศรัทธาออกมา  ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ไหน (เริ่มต้นที่ตัวเรา) เมื่อทุกคนมีความสนใจ  ความสนใจนี้ก็เป็นพื้นฐานเป็นจุดเริ่มต้นของศรัทธา  ถ้าทุกคนไม่มีความสนใจก่อน ความศรัทธาก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้  ขอให้ศึกษาและสนใจที่จะเรียนรู้ เมื่อสนใจที่จะเรียนรู้แล้วขอให้เกิดความศรัทธา เชื่อในทางแห่งจิตเดิมของเรา  อย่าไปตามอายตนะหรือขันธ์ทั้งหลาย  เพราะเมื่อไหร่ที่เราตามไป  เราก็จะรู้สึกเหนื่อยอ่อนล้า จริงไหม   เพราะทุก ๆ วันทุก ๆ คนจะต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเย็นก็รู้สึกเหนื่อยใช่ไหม ต้องหนักแน่นเข้มแข็ง ทำอะไรก็ต้องนึกถึงคนข้างหน้าว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร  การกระทำทุกอย่างต้องคิดก่อนแล้วจึงค่อยทำ  บางครั้งคิดแล้วทำไม่ทันใช้ได้ไหม  ถ้าเช่นนั้นเรียกว่าคิดเปล่าใช่ไหม
ขอให้ทุกคนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน  ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่มีความรู้มากมาย  แต่เราต้องน้อมจิตน้อมใจเหมือนคนที่ไม่รู้  เราก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้  จึงจะเป็นคนฉลาดได้ใช่ไหม
"หากวันใดขาดธรรม  ที่เห็นคือกรรมสนอง" ถ้ามัวรอบุญกุศล ขอให้บุญกุศลมา  แล้วบุญกุศลเมื่อไหร่จะมาหาเราในเมื่อเราไม่เคยคิดที่จะสร้าง  จะรออย่างเดียวไม่ได้  เพราะว่าบุญกุศลชาติที่แล้วเราไม่รู้ว่าเราทำมามากเพียงใดหรือเราไม่ได้ทำมาเลย  ขอให้ทุกคนเร่งไตร่ตรองให้ดี ๆ  ทำไมเราไม่ไขว่คว้า ไม่ศึกษา ไม่สนใจ อย่ามัวคิดรอให้สิ่งที่ดีเข้ามาหาเราก่อน  นั่นเป็นการปล่อยให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาหา  วันนี้เราไม่ให้เพลงแล้วกัน เราให้เนื้อความบทนี้ (กลอนพระโอวาท) ไปศึกษาดูดีไหม (ดี)
เงาะถึงแม้จะไม่สวยมีขนรุงรัง  แต่ข้างในก็ใสบริสุทธิ์  และก็มีเนื้อในที่มีประโยชน์ สิ่งนี้ก็ให้แง่คิดอย่างหนึ่ง ใครคิดตามเราทันบ้าง ใน
พระโอวาทอ่านดูก็รู้ถึงกรรมว่าต้องมีการสนอง  ส่วนที่เหลือก็เอาไปทบทวนและศึกษาให้ดีนะ
เรามีเวลาไม่มากแล้ว  แต่เราก็อยากให้ทุกคนได้รับรู้ทางอันนี้  อยากให้ขึ้นเรือธรรมนี้ เร่งรีบปฏิบัติ สนใจศึกษา  แล้วนำความศรัทธานี้ออกมาให้เกิดประโยชน์ดีไหม (ดี) เราไปแล้วนะทุกคน


                วันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๓๗
นั่งเก้าอี้ไร้พนักพิงศิษย์รักเมื่อย               ทั้งวันเหนื่อยกับการงานมุ่งจัดหา
ห้องคับแคบใจกว้างค้ำชูสว่างโลกา        ขยับตนมาจิตชิดใกล้สัจธรรมจะได้มั๊ย
                เราคือ
            พระอรหันต์จี้กงวิปลาส       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา        ลงสู่สถานธรรมบ้านสกุลพัน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา             ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
                อาจารย์เห็นลังเลแน่นสุมดวงจิต            ย้อนคิดกว่ากายเกิดยากไหม
เวลานี้ทุกข์เวียนเพราะเงื่อนไข                กิเลสใจตายเกิดระทมยังเวียน
ทุ่มเทแรงใจธรรมกายทอง       เร่งประคองสู่เวียนพลัดวัฏฏะหลง
ด้วยสติมิห่างไกลทางตรง       พิชิตประสงค์ความขื่นขมนับเป็นครู
ประเสริฐรู้บำเพ็ญตนวันนี้เริ่ม  กุศลเพิ่มไปต่อนี้กอบกู้
พลังฟื้นคล้ายจันทร์แสงเชิดชู  ปัญญาสู้ว่าความส่องเงาสะท้อน
ฟ้ามืดครึ้มกลางอยู่ไร้จันทร์     เมฆบดบังพุทธญาณมัวอับแสง
เมตตาธรรมกระจ่างมนคนเคลือบแคลง ขอเปลี่ยนแปลงราตรีมืดกายสว่าง
                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์เมตตา


เมื่อสักครู่นี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพูดหัวข้ออะไร (กฎแห่งกรรม) มีใครไม่เชื่อกฎแห่งกรรมบ้าง  อาจารย์อยากถามสักอย่างหนึ่งว่าบำเพ็ญธรรมต้องอาศัยอะไรเป็นพื้นฐาน (จิตใจ) แล้วก่อนที่จิตใจจะศรัทธาเราต้องอาศัยอะไรก่อน (ความนึกคิด) แล้วก่อนความนึกคิดล่ะ ก่อนที่เราจะบำเพ็ญธรรมเราจะต้องอาศัยความเข้าใจก่อนใช่ไหม  วันนี้ทุกคนกำลังทำความเข้าใจ แล้วเข้าใจหรือยัง (เข้าใจแล้ว) เข้าใจแล้วต้องขอบคุณใคร  ต้องขอบคุณคนที่นำธรรมะมาสู่บุรีรัมย์ใช่ไหม  ถ้าเขาไม่มาอาจารย์จะมาได้ไหม
ที่นี่เป็นที่ใหม่  ทุกคนในที่นี้ก็นับว่าเป็นคนที่มีบุญชุดแรกของบุรีรัมย์  เป็นคนชุดแรกควรทำอย่างไรบ้าง (จะพยายามปฏิบัติตนให้ถูกต้องที่สุด  และขัดเกลาจิตใจที่ไม่ดีเปลี่ยนเป็นจิตที่ดียิ่งขึ้น) ทำอย่างไร (พยายามช่วยทุก ๆ คนให้มีโอกาสหลุดพ้นให้มากยิ่งขึ้น) รู้สึกว่าศิษย์อาจารย์คนนี้จะตอบดีที่สุด  แต่ละคนชาติก่อนล้วนมีปณิธานมา  ถ้าศิษย์ไม่คิดที่จะช่วยคนอื่นแล้ว  ชาตินี้เกิดมาก็มีแค่ความสุขมีสิ่งที่ดีงามให้กับชีวิตให้กับลูกหลาน ให้กับสังคม  แต่เราช่วยเขาได้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น  แต่ว่าการช่วยที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการช่วยคนให้ได้หลุดพ้นนั่นเอง 
การชักจูงคนให้มารับธรรมะและบำเพ็ญทำได้อย่างไร (เราต้องทำดีก่อน ด้วยจิตใจ ด้วยความรู้) ต้องชักจูงคนด้วยจิตใจ  แต่ใจพูดไม่ได้ฉะนั้นเราต้องชักจูงเขาด้วยความเข้าใจ  ถ้ามีคนว่าศิษย์งมงายเหลือเกิน  ถ้าศิษย์รู้ว่าตนเองเข้าใจจริง ๆ ก็จะไม่หวั่นไหวเมื่อคนว่าศิษย์งมงาย  ถ้าศิษย์มีความเชื่อมั่นในธรรมศิษย์ก็สามารถก้าวเดินต่อไปได้
เมื่อวานนี้อาจารย์ให้หยรูอี้ถงจื่อมาให้เพลง  แต่เขาดูแล้วไม่มีใครร้องได้เพราะไม่ค่อยมีคนหนุ่มสาวมาฟังมีแต่ผู้สูงอายุให้เพลงไปก็คงไม่มีใครร้องได้  เขาเลยเปลี่ยนใจไม่ให้เพลงแล้ว  ถ้าหากว่าวันแรกมีคนที่เป็น
หนุ่มสาวมาฟังมากหน่อย  ก็คงได้เพลงแล้ว  อันนี้ถือเป็นบทเรียนนะ
"อาจารย์เห็นลังเลแน่นสุมดวงจิต" ความลังเล ลังเลอะไร  ลังเลว่าธรรมะนี้แท้หรือเปล่า ศิษย์รักของอาจารย์มีความลังเลหรือไม่  รู้สึกไม่แน่ใจว่าธรรมะนี้มาหลอกเราหรือเปล่า ใช่หรือไม่
"ย้อนคิดกว่ากายเกิดยากไหม" กว่าคนเราจะเกิดร่างกายนี้มาได้ก็ต้องผ่านความลำบากใช่ไหม แต่เราก็ลืมไปแล้วว่าลำบากอย่างไร คนเรากว่าจะได้กายมนุษย์ในชาตินี้และมีโอกาสได้รับธรรมะต้องฝ่าฟันอุปสรรคถึง ๔ อย่าง (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอธิบายถึง ๔ อย่างนี้ว่ามีอะไรบ้าง คือ
๑.         ยากที่สุดที่เราจะมีกายเนื้อนี้  ชาตินี้เรามีชีวิตอยู่  ไม่แน่ว่าตายไปแล้วชาติหน้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่หรือไม่  เพราะถ้าเราทำชั่วทำบาปก็จะตกไปในภูมิที่ต่ำกว่า ไม่มีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
๒.         ยากที่จะได้เกิดอยู่ในแดนใจกลางของโลก(ในแถบที่มีวิถีธรรมโปรดแผ่)
๓.         ยากที่จะเกิดมาในกาลเวลายุคสุดท้ายวาระ ๓
๔.         ยากที่จะได้พบวิถีธรรมหรือสัจธรรมอันแท้จริง  สมัยก่อนต้องแสวงหาสัจธรรมด้วยตนเองจึงจะหลุดพ้นได้)
"เวลานี้ทุกข์เวียนเพราะเงื่อนไข" เงื่อนไขอะไรใครทราบบ้าง  ศิษย์รักทุกคนเกิดมากี่ชาติแล้วศิษย์ก็ไม่รู้  เกิดมาชาติที่แล้วทำบาปทำบุญสลับกันไป  ชาตินี้ก็มีความทุกข์ความสุขเวียนกันไปเหมือนกัน  แต่ส่วนใหญ่ก็มีความทุกข์มากกว่าความสุข  ถ้าเช่นนั้นศิษย์รักก็ควรรู้ว่าทำอย่างไรศิษย์รักจึงมีความสุขใช่ไหม
"กิเลสใจตายเกิดระทมยังเวียน" ศิษย์รักทุกคนก็มีกิเลส ปกติแล้วเราจะพูดว่าคนเรานั้นตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย  กิเลสของเราก็เช่นกันตายได้เกิดได้  เพราะว่าเราเองมักจะบอกว่าอยากไปโน่นมานี่ จะแต่งตัวอย่างนั้นอย่างนี้ สักพักก็บอกว่าเบื่อแล้ว  ถ้าเช่นนี้กิเลสของศิษย์รักตาย ๆ เกิด ๆ  เกิด ๆ ตาย ๆ ใช่ไหม (ใช่)
"ทุ่มเทแรงใจธรรมกายทอง" ทุ่มเทแรงในที่นี้จะต้องศึกษาตามอย่างอาจารย์บรรยายธรรมท่านนี้ (อาจารย์ที่สละตัวเองออกมาบุกเบิกแพร่ธรรม)จะได้รู้ว่าทุ่มเทแรงใจที่เป็นธรรมกายก็ประดุจทองใช่ไหม  ในที่นี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่เป็นเช่นนี้  คงไม่เสียใจที่อาจารย์ไม่ยกเป็นตัวอย่างให้ฟังนะ  อาจารย์อยากให้ศิษย์มาที่นี่บ่อย ๆ ศึกษาแบบอย่าง  แต่ศึกษาอย่างที่ดีเท่านั้นนะ  อย่างใดที่ไม่ดีก็ปล่อยไว้
"เร่งประคองสู่เวียนพลัดวัฏฏะหลง" ทำไมถึงบอกว่าเร่งประคองสู่เวียน เพราะว่าชีวิตเราทุกวันนี้  เราบำเพ็ญก็อยู่ในโลกมนุษย์ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะสงสาร  ก็จะต้องบำเพ็ญกุศลให้ตัวเองพลัดออกจากวัฏฏะสงสารนี้ซึ่งเหมือนกับความฝันเหมือนกับมายาที่ทำให้ศิษย์หลง
"ด้วยสติมิห่างไกลทางตรง" ทางตรงในที่นี้ก็คือทางนิพพาน การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเหมือนกับสิ่งที่จะเป็นทางตรงทางลัดให้เราสามารถ
หลุดพ้นได้  ถ้าใครอยากจะหลุดพ้นก็จะต้องรู้ว่าเราจะบำเพ็ญอย่างไร
"พิชิตประสงค์ความขื่นขมนับเป็นครู" เราประสงค์อะไร ประสงค์ที่จะหลุดพ้นหรือเปล่า ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้นในชาตินี้ ก็จะต้องรับความขื่นขมให้สิ่งเหล่านั้นเป็นบทเรียนจะได้ไม่ผิดต่อไป
"ประเสริฐรู้บำเพ็ญตนวันนี้เริ่ม" ถ้าหากศิษย์รักทุกคนรู้คุณค่าธรรมะที่ประเสริฐแล้วก็ขอให้เริ่มบำเพ็ญแต่วันนี้
"กุศลเพิ่มไปต่อนี้กอบกู้" ถ้าเราบำเพ็ญแล้ว  กุศลเราก็จะมีมากขึ้น  เท่ากับว่าเรากอบกู้จิตของตัวเอง
"พลังฟื้นคล้ายจันทร์แสงเชิดชู" พลังก็คือพลังที่จะใช้ในการบำเพ็ญ  เหมือนกับเครื่องไฟฟ้าจำเป็นต้องมีแบตเตอรี่  ศิษย์รักของอาจารย์จำเป็นต้องใช้พลังในการบำเพ็ญ ใช่ไหม
"ปัญญาสู้ว่าความส่องเงาสะท้อน" ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน การบำเพ็ญต้องอาศัยอะไร (ปัญญา) เงาสะท้อนก็เหมือนกับศิษย์เห็นหนองน้ำแห่งหนึ่งมีพระจันทร์อยู่ตรงกลาง  พระจันทร์นี้ส่องลงมาก็จะเป็นเงาใช่ไหม  เงาในที่นี้ก็คือสิ่งดีชั่วที่ออกมาจากจิต วันใดเห็นพระจันทร์ก็สามารถเห็นเงา แต่ถ้าเราเอามือลงไปไขว่คว้าเงาจันทร์ในน้ำนั้น รับรองว่าเงานั้นก็คงจะเลือนหาย เหมือนกับจิตของเราที่หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา  หวั่นไหวว่าเราจะทำอะไรต่อไป  ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจะทำอย่างไรดี  ถ้าหากเราใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาก็จะรู้ว่าเราจะนำปัญญานี้ไปว่าความ  เปรียบว่า หากศิษย์เป็นทนายก็คงรู้ว่าใช้ปัญญาในการลบสิ่งที่ไม่ดี เชิดชูสิ่งที่ดีงาม
"ฟ้ามืดครึ้มกลางอยู่ไร้จันทร์  เมฆบดบังพุทธญาณมัวอับแสง"  ถ้าหากว่ามองบนฟ้าไม่เห็นพระจันทร์แสดงว่าท้องฟ้ามีเมฆ  เมฆนั้นก็คือกิเลสบดบังให้พุทธญาณของศิษย์ทุกคนอับแสง
"เมตตาธรรมกระจ่างมนคนเคลือบแคลง" มนในที่นี้ก็คือใจ เมตตาธรรมทำให้ศิษย์รักสามารถเอาชนะจิตใจของคนที่มีความเคลือบแคลงได้  ถ้าศิษย์เจอคนที่เขาไม่เข้าใจธรรมะเขาต่อว่าเพียงคำเดียว แล้วศิษย์ก็ต่อว่ากลับไปแล้วเช่นนี้เขาจะเข้าใจธรรมะไหม ผู้บำเพ็ญจะต้องทำอย่างไร (อดทน) อดทนแล้วก็จะต้องเมตตาเขาด้วย  ทำได้ไหม (ทำได้) แสดงว่าต่อไปจะเป็นผู้บำเพ็ญแล้วใช่ไหม (ใช่)
"ขอเปลี่ยนแปลงธาตรีมืดกลายสว่าง" เมื่อพระจันทร์เคลื่อนหายไป  ศิษย์ก็จะเป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่สาดแสงแรงกว่าพระจันทร์  สว่างทั่วพื้นพิภพ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
"START" ซึ่งถอดออกมาเป็นเพลงทำนอง "ผู่ถีหมิงจิ้น")
"START" คือการเริ่มต้น  วันนี้ที่นี่ก็ได้มีการเริ่มต้นขึ้น  ทุกคนในที่นี้คือความหวังของคนที่นี่  เพราะว่าถ้าเราอาศัยความเข้าใจก็คงจะทำให้งานธรรมะเจริญรุ่งเรืองได้  ทุกคนเป็นความหวังของคนที่นี่ได้ไหม (ได้)
"ระทมเพราะเกิดกาย  เวียนเกิดตายทุกข์กว่า" เกิดกายนี้ทุกข์เพราะรู้ว่าชาตินี้เกิดมาแล้วต้องตาย  แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ  เกิดมาไม่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ฉุดช่วยคน กาลวาระนี้ไม่เหมาะที่จะให้ศิษย์ออกจากบ้านไปบำเพ็ญหรือบวชแล้ว (บำเพ็ญอนุตตรธรรมสามารถบำเพ็ญในครัวเรือนได้)
"ลังเลธรรมพลัดไกล  เวียนสู่ความขื่นขม" ถ้าศิษย์รักยังลังเลพลัดไกลออกไปจากฝั่งธรรม  อย่างนี้แล้วก็จะต้องเจอกับความขื่นขมแน่นอน เพราะว่าจะต้องเข้าสู่ภูมิวิถีหก
"นับวันนี้ต่อไป  ตนคล้ายจันทร์แสงส่อง" ทำได้ไหม (ทำได้)
"อยู่กลางความครึ้มมัว  คนมืดมนกระจ่าง" หากตนเป็นประหนึ่งจันทร์ท่ามกลางความครึ้มมัว  คนที่มืดมนก็จะต้องกระจ่างได้
วันนี้ศิษย์รักทุกคนเป็นเด็กดีมากนั่งเงียบ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูก อย่าเห็นว่าในห้องพระนี้ไม่มีอะไร ที่จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านสถิตอยู่ตลอดเวลา มองทุก ๆ คนที่ขึ้นมา  ถ้ามีเวลาว่างศิษย์รักทุกคนควรจะทำอย่างไร (เช้าเย็นมากราบไหว้พระ)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้ทุกคนในชั้น  และได้พูดกับนักเรียนท่านหนึ่งซึ่งเป็นช่างทำโต๊ะพระว่า) ลำบากใช่ไหม  แกะโต๊ะพระก็จะต้องทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น  งานต่อไปก็รออยู่ข้างหน้า  ถ้าไม่มีโต๊ะพระนี้ห้องพระจะเป็นห้องพระได้ไหม (ไม่ได้) ต้องรู้ว่าการทำห้องพระก็มีกุศลอันยิ่งใหญ่  ต้องทำด้วยความตั้งใจนะ พระกวนอินท่านก็กล่าวว่าห้องพระนี้งดงามเหมือนกนกเลขา  กนกเลขาแปลว่าอะไร  พระกวนอินให้โอวาทมามากมายยังไม่มีใครกลับมาศึกษาเลย  นอกจากจะฉุดช่วยคนแล้วก็ต้องส่งเสริมคนด้วย  ถ้าเอาแต่ฉุดช่วยเขาขึ้นมาแล้วก็ปล่อยเขาให้หล่นลงน้ำไปอีกอย่างนั้นหรือ  เพราะฉะนั้นใครชวนคนไว้ก็ต้องรู้หน้าที่ของตนเองด้วย  กนกเลขาแปลว่า ลายเขียนทอง  ลายเขียนทองนั้นเกิดจากความตั้งใจ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้) แอปเปิ้ลที่อยู่บนแดนนิพพานนั้นหอมกว่านี้ หวานและอร่อยกว่านี้ อยากขึ้นไปไหม (อยาก) ศิษย์ให้อาจารย์รอตั้งนาน ถ้าอาจารย์ไม่ลงมาในเมืองมนุษย์ก็คงไม่ได้พบศิษย์ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทำอะไรอาจารย์ก็เห็น เหนื่อยหรือไม่เหนื่อยอย่างไรอาจารย์ก็เห็น
ถ้าศิษย์สงสัยว่าเบื้องบนกับโลกมนุษย์ต่างกันอย่างไร เบื้องบนก็เป็นที่ ๆ ว่างไม่มีอะไรเลย  ถ้าศิษย์ติดอยู่ในสีสัน ติดอยู่ในความโลภ ติดอยู่ในกิเลส ก็คงเจอตามแบบของศิษย์  ถึงขึ้นไปเบื้องบนก็คงจะอยู่ไม่ได้นาน  เพราะว่าจะทนอยู่ไม่ได้ คนที่อยู่ได้ก็คือคนที่บำเพ็ญดีปฏิบัติดี บางคนอาจจะคิดว่าแล้วอาจารย์ลงมาทำไม  ก็เพราะว่าถ้าอาจารย์ไม่ลงมาก็คงไม่ได้พบศิษย์น่ะซิ
เรือลำนี้เพิ่งเริ่มออกหาคนที่เป็นเสาค้ำ  ทำงานธรรมะคนเดียวนั้นถึงแม้เขาจะเต็มใจ  แต่เขาก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก  ศิษย์เต็มใจที่จะช่วยเขาไหม (เต็มใจ) ศิษย์รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วเขาทำด้วยความจริงใจมากแค่ไหน จริงใจมากพอที่จะให้ตนเองสละทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ  แม้แต่เวลาทานก็ยังคิดว่านักเรียนในชั้นนี้จะมามากแค่ไหน  เวลานอนก็นอนไม่หลับเพราะกลัวว่าศิษย์รักของอาจารย์จะไม่มา มีใครเห็นความจริงใจของเขาบ้าง
ชีวิตนี้ศิษย์รักจะทำให้มีค่ามากกว่านี้ได้ไหม (ได้) ถึงขณะนี้แล้วมีใครยังลังเลอยู่บ้าง  รู้จักศึกษาธรรมะตัดความลังเลทิ้ง ศิษย์ก็จะก้าวไปด้วยความสุขสบายใจ  ไม่ต้องคิดว่าก้าวไปครึ่งหนึ่งแล้วคิดว่าธรรมะนี้แท้
หรือเปล่า  ถอยกลับมาครึ่งก้าว ก้าวขึ้นไปใหม่  อย่างนี้แล้วจะก้าวถึงไหม (ไม่ถึง) ถ้าหากว่าศิษย์รักบำเพ็ญแก้ไขปรับปรุงตนทุก ๆ วัน  ชีวิตนี้ก็จะมีความสุข  ถ้าหากว่าไม่คิดที่จะแก้ไขแล้ว เจ้ากรรมนายเวรที่มีอยู่ ที่อาจารย์แบกไว้ ๗ ส่วน  สักวันหนึ่งศิษย์ก็ต้องแบกรับเอา  ถึงวันนั้นศิษย์จะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้าศิษย์รักบำเพ็ญเขาก็คงจะเห็นใจบ้าง เพราะศิษย์ไม่โกหกหลอกลวงเขา  ถ้าศิษย์ไม่บำเพ็ญเขาจะอภัยโดยง่ายไหม  วันนี้อาจารย์ก็ให้โอวาทไปหมดแล้ว อาจารย์อยากจะถามศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายว่า  วันนี้ศิษย์พร้อมที่จะเริ่มต้นหรือยัง (พร้อมแล้ว) ถ้าพร้อมแล้วเรือลำนี้ก็คงจะเคลื่อนออกไปได้
อาจารย์ขอให้ศิษย์รักทุกคนตั้งใจบำเพ็ญ ถ้าหากว่าอาจารย์มาคราวหน้าอาจารย์จะเจอศิษย์ทุกคนไหม (เจอ) ให้ความมั่นใจกับอาจารย์แล้วนะ  ถ้าหากคราวหน้าอาจารย์มาไม่เจอ  อาจารย์ก็คงจะหมดแรงที่จะตามหาศิษย์แล้วนะ


อธิบายศัพท์
ศุภฤกษ์  :               ฤกษ์ดี
พรรณราย              :               งามผุดผ่อง , สีเลื่อมระยับ
สายทอง :               วิถีอนุตตรธรรม
กนกเลขา               :               ลาย , ลายเขียนทองคำ
เวไนย     :               ผู้ควรแนะนำสั่งสอน
อธิปัญญา              :               ปัญญายิ่ง คือ ปัญญาในองค์มรรค
อาสวะ    :               กิเลสที่ดองสันดาน
กฤดาการ               :               บารมีอันยิ่งที่ได้ทำไว้
อภิลาศ   :               ตัณหา
คตชีพ     :               สิ้นชีพ
ศานต์      :               สงบ , ถึงที่สุด
เอนกอนันต์            :               มากมายก่ายกอง , นับไม่ถ้วน
อนุตตรา/อนุตตร   :               ไม่มีสิ่งใดสูงกว่า , ดีเลิศ , วิเศษ , ยิ่ง
วิมุต        :               หลุดพ้น , มีอิสระ
รุจิเรข      :               มีลายงาม , มีลายสุกใส
กิเลส       :               อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ทำให้เศร้าหมอง
อวิชชา    :               ความไม่รู้ คือ ไม่รู้อริยสัจสี่ , ความโง่เขลา
วัฏฏะ      :               รอบแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย
มน           :               ใจ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2537

2537-06-18 พุทธธรรมจีน (เหยินเต๋อ) จ.ลำปาง



PDF 2537-06-18-สถานพุทธธรรม (เหยินเต๋อ ) #5.pdf

#ความโลภ


วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗      มูลนิธิพุทธธรรมจีน จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

 พู่กันทองวางพลันสว่างภพ อักษรลบเรียงรายไล่ลดหลั่น
เผยใจข้าอุราผู้คุมชั้น             ได้ยืนยันประจักษ์ชั้นปรัชญา
เราคือ
                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่อริยสถาน  เคียมคัล
องค์มารดา           ถามเมธีน้องทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง      ฮวา  ฮวา

ศุภรสถานประสานงานร่วมฟ้าดิน       ตามพุทธบุตรโบยบินคืนถิ่นฐาน
กรัชกายดั่งพยับแดดลวงตานาน         เร่งพบพานอรชุนแห่งดวงแด
ปลูกสร้างฐานมั่นคงบฤงคพ                ขอใจนบรู้แท้หวังเข้าใจ
ขอตั้งใจฟังธรรมอดทนไว้      ต่อมารร้ายกลางใจรังควานฤดี
ขอศรัทธาอย่าเป็นดั่งสนิมเกาะ           เกิดฉงนมิพอจากจิตสิ้น
ถวิลหาลาภยศฤๅทรัพย์สิน  ดอกไม้งามมีกลิ่นรักษาสัจจา
คุณธรรมแปดติดอยู่กลางใจตน           สละเสียสับสนมิก้าวหน้า
สุดท้ายนั้นคว้าควันแห่งมายา              รู้กาลนี้ยุคสามนากอปรกุศล
บรรพชนต่างมาร่วมยินดี      หากน้องมีความเข้าใจสร้างบัลลังก์
เพื่อผองชนโปรดแผ่มิหยุดยั้ง               เสริมพลังให้ตนค้นตนเอง
                กระจกนี้ส่องตนฤๅผู้อื่น        หากแข็งขืนมิอ่อนน้อมฤๅหยุดยั้ง
                คงเรื่อยไปสู่ทางลงเบื้องต่ำ  รู้แล้วเร่งชำระกรรมสว่างจิต
                หกหมื่นปีเนิ่นนานลืมมนสิการ             ปณิธานมุ่งหวังให้หลุดพ้น
                อายตนะสัมผัสสีสันจึงอับจน               น้องทุกคนรู้แล้วกลับหัวเรือ
                รูปภายนอกขันธ์ห้ามิจีรัง      ใดหมายปองหยุดยั้งใจสมาน
                อมตะจิตแท้ธรรมญาณ        เร่งค้นพลันเจอขุมทรัพย์แห่งปัญญา
                ต่อแต่นี้เริ่มต้นเป็นคนใหม่    สถานธรรมอย่าได้เอ็ดอึงหนา
                รักษาระเบียบวินัยแห่งพุทธา               เตือนน้องข้าตั้งใจฟังเพื่อดวงญาณ
                ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป             ศึกษาธรรมจึงไกลพัฒนะ
                แล้วประกายแห่งจิตตัดลดละ              เรายืน ณ ที่นี้ตรวจบัญชี
ฮวา  ฮวา  หยุด
-------------------------------------------------------------------------------------
ศุภร         :               ส่องแสง, สว่าง, งาม, ขาว
กรัชกาย :               ร่างกาย
อรชุน      :               ขาว, ใส
บฤงคพ   :               ผู้ประเสริฐ, หัวหน้า
มนสิการ :               การกำหนดไว้ในใจ
อายตนะ :               ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ
ขันธ์ห้า    :               รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ



                วันเสาร์ที่  ๑๘  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๓๗
                พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน เมตตา

หกหมื่นปีข้องเกี่ยวเกลียววัฏฏะ          น้อยคนละพเนจรแสงสลัว
ฝุ่นฟุ้งควันสะสมบาปเมามัว                ปิดรูรั่วแห่งสติอคาธถึง
เราคือ
                หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  แล้วแฝงกาย   กตัญชลี
องค์มารดา           ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

เหยียบเมฆทองเคลื่อนลงกลางธุลี      ปลุกชีวีตื่นขึ้นยามเหน็บหนาว
ชีพลางเลือนดั่งพยับแดดสะท้อนพราว               ฝันจึงราวกับภาพชีวิตเพียงชั่วคืน
โอบอารีต่อผู้ยั้งธรมาน         วาระกาลมุนีมิเช้าแล้ว
อัญมณีด้อยค่ากว่าจิตแก้ว  อวเคราะห์คลาดแคล้วด้วยใจตรง
พัฒนะซึ่งตนธรรมกว้างไกล เริ่มต้นใหม่ผ่านวิกฤตสู่กระสานติ์
ยอมรับทุกข์ลำบากแม้คลุกคลาน       บูรณญาณนี้เพื่อมหาอุบล
จิตตวิเวกตัดอาวรณ์เขย่าจิต               แม้คิดผิดเทียบเท่าอันทุอนันต์
ปหานแล้วอนุสัยนานัปการ  เห็นแก่นสารจึงหยุด ณ จุดกลาง
มุ่งวิมานฤๅตนเพียงผู้เดียว  กลางน้ำเชี่ยวธรรมแผ่กว้างไกลหนา
ประสานใจกับเวลาลักขณา อนุตตราเลิศล้ำเกินบรรยาย
ฮา  ฮา  หยุด

                หนทางรื่นรมย์ต่างผ่านวนเวียน   ทุกข์ภัยเยี่ยมเยียน   จนอ่อนโรยรา   แสงสีดั่งควัน   ไขว่คว้ามายา   ม่านบังตา   พาใจหมดสิ้นลืมหลง
                พบแสงพุทธา   สว่างภายใน   ทุกข์ทนยิ่งเดิน   ศรัทธาจริงใจ   ฟื้นสู่ญาณเดิม   เมฆนั้นค่อยคลาย   เพียงตั้งใจ  บำเพ็ญตนก่อนจะสาย
                หากท้อแท้   แม้ม่านบังตาทรนง   ปัดผงเข้าตาด้วยตนเศร้าใจ  
เมื่อเกณฑ์ฟ้า     เร่งแพร่ท่ามกลางห้วงจิตใจ     เลือกเป็นดั่งหยกใส
                ฟ้าดูเวิ้งตา   ยังมีฝนพรำ   พุทธะเร่งนำจิตเดิมภายใน   ลิขิตใดมีเรียนรู้แปรใจ   มั่นคงไว้   ลืมทุกข์ในห้วงตัณหา
เพลง : ก่อนจะสาย
ทำนองเพลง : อรุณสวัสดิ์
-----------------------------------------------------------------------
อธิบายศัพท์
อคาธ      :               เหว, หยั่งไม่ถึง
ธรมาน    :               ยังดำรงชีวิตอยู่
กระสานติ์               :               สงบ, ราบคาบ
จิตตวิเวก                :               ความสงัดใจ ได้แก่ การทำจิตให้สงบผ่องใส  สงัดจาก
นิวรณ์  สังโยชน์ และอนุสัย
อันทุ:       โซ่, ตรวน, เครื่องจองจำ
ลักขณา  :               มีลักษณะดี



พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน เมตตา

                กลางธุลีนี้ทุกคนทราบไหมว่าหมายความว่าอะไร  (ไม่ทราบ)  กลางธุลีนี้ก็คือสถานธรรมที่ใสบริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นละอองแห่งโลกีย์
                ทำไมเราถึงบอกว่า  "ปลุกชีวีตื่นขึ้นยามเหน็บหนาว"  ทุกคนรู้ไหมว่า
ทุกวันเราหลับแล้วต้องตื่นขึ้นมาพบกับสิ่งใดบ้าง  เราไม่รู้ว่ามันจะดี   จะทุกข์หรือจะสุข  มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเหน็บหนาว   ในวันนี้ทุกท่านได้มีโอกาสมาฟังธรรมะ  ได้รู้หนทาง  ให้นำความรู้ที่เราได้ทราบนี้ไปเมตตาโอบอ้อมอารีและไปเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับรู้  เวลานี้ช้ามากแล้วทุกคนจะต้องเร่งรีบบำเพ็ญ  ถ้าทุกคนไม่เร่งรีบบำเพ็ญก็ยิ่งช้า  อย่ามัวสงสัยคลางแคลงว่าทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต้องมายืมร่างและลงมาเร่งโปรดให้คนได้รับรู้ธรรม  เพราะทุกคนลืมจิตของ
ตัวเองไปแล้ว  จิตที่มีค่าดังแก้วแม้อัญมณีใด ๆ  ก็ไม่มีค่าเท่ากับจิตวิญญาณของเรา  ถ้าให้ทุกคนเลือกระหว่างอัญมณีกับแก้วตาดวงใจของเราซึ่งเป็นชีวิต เราจะเลือกอันไหน  (เลือกแก้วตาดวงใจ)
                ทุกคนเมื่อมีใจตรงเมื่อมีอุปสรรคเราก็จะสามารถฝ่าฟันไปได้  ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่  ขอให้มีใจที่เที่ยงตรงศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อในธรรมะ  เมื่อ
ทุกคนต้องฝ่าฟันกับอุปสรรค  ต้องเจอกับสิ่งต่าง ๆ  มากมายที่ทำให้เรามีจิตใจที่ท้อแท้  เบื่อหน่ายไม่อยากต่อสู้  ไม่อยากฝ่าฟัน  ไม่อยากที่จะมีชีวิตต่อไปในโลกนี้   ถ้าทุกคนไม่เจออุปสรรคทุกคนจะรู้หรือว่าสิ่งที่ไม่ใช่อุปสรรคนี้คืออะไร 
สิ่งที่ไม่ใช่ทุกข์คืออะไร  ทำไมเจ้าหน้าที่ทุกคนจึงเร่งรีบช่วยทุกคนให้มีโอกาสรับรู้  (ไม่ทราบ)  เพื่อกลับคืนเบื้องบน  และเพื่อฐานบัวของตัวเอง
จิตตวิเวกคือความสงัดในการตัดนิวรณ์และสังโยชน์
                นิวรณ์ คือ กิเลสที่ฝังอยู่ในจิตใจของเราทุกคน  เพราะเรายังมีความรัก  โลภ  โกรธ  หลง  อาลัยอาวรณ์อยู่กับโลกนี้  จิตที่เคยนิ่งใสก็ถูกสั่งสมให้ตะกอนที่อยู่นอนก้นลอยขึ้นมา  จากจิตที่ใสก็กลายเป็นจิตที่ขุ่น  เพราะเมื่อไหร่ที่เราเกิดอาลัยอาวรณ์หรือคิดผิดมันก็คือสิ่งที่เป็นโซ่ตรวนที่คอยรัดกุมจิตใจของเรา  กายของเรา  ไม่ให้คิดที่จะทำอะไรและไปไหน  เพราะมัวเฝ้าพะวงอยู่กับสิ่งที่เรารักและหวงแหน ขอให้ทุกคนละทิ้งสิ่งที่เป็นกิเลสและสิ่งที่เป็นตะกอนที่อยู่ในจิตใจของทุกคน  เมื่อเราละทิ้งแล้ว  ญาณอันใสที่อยู่ตรงกลางร่างกาย  กลางจิตใจก็จะปรากฏขึ้นมา
                เมื่อร้องเพลงแล้วดึงจิตกลับมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ชื่นใจ  การชื่นใจมิใช่เพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชื่นใจ   แต่บรรพชนที่นั่งรออยู่ข้างนอก มาฟังธรรมพร้อมกับ
พวกเราก็ชื่นใจด้วย
                "ฟ้าดูเวิ้งตายังมีฝนพรำ"  ความสุขที่เราพบเห็นอยู่นี้แน่ใจหรือว่าจะ
มั่นคงถาวรไปกับชีวิตและร่างกายตัวนี้ของเรา (ไม่แน่ใจ)  แล้วความสุขแห่ง
จิตใจคือความสงบที่จะได้กลับคืนไปบ้านเดิมแห่งจิตใจ  ซึ่งบ้านเดิมของเราไม่ใช่บ้านเดิมในโลกนี้
                การเปลี่ยนตัวเอง  ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงได้ทันที  แต่ต้องรู้จักค่อยเป็น
ค่อยไป ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ขอให้มีใจที่ตั้งใจอย่างจริงจัง สิ่งนั้นก็

สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้  แล้วทำอย่างไรถึงเรียกว่าเปลี่ยนแปลงจิตใจ  (ตั้งใจทำดีในสิ่งที่ตนเองหวัง)
                (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท และให้นักเรียนในชั้น
ร่วมกันตั้งชื่อเพลง)  ฟังเพลงธรรมะดูบ้างเพราะว่าฟังเพลงทางโลกมามากแล้ว  เราให้ทุกคนเป็นนกที่คอยส่งข่าวสารให้ทุกคนได้รับรู้ดีไหม  การบำเพ็ญไม่มีแก่  ไม่มีเด็ก  ถ้ามีใจที่บริสุทธิ์ตั้งใจบำเพ็ญก็จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายและนักเรียนหญิงออกมานำร้องเพลง)
                วันนี้ทุกท่านได้ร่วมร้องเพลงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว  ต้องเข้าใจความหมายของเพลงด้วย และเมื่อศึกษาธรรมะแล้วต้องเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและหลัก
อันแท้จริงของธรรมะด้วย
                (นักเรียนในชั้นคนหนึ่งได้ตั้งชื่อเพลงที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ว่า
"เพลงก่อนจะสาย" )  รู้ไหมทำไมถึงตั้งชื่อว่าเพลงก่อนจะสาย
                ขอให้ทุกคนเร่งรีบบำเพ็ญ  ทำความดีนั้นไม่ยาก  ทำไมเราถึงบอกว่าการทำดีนั้นไม่ยาก  อยู่ที่เราตั้งใจทำความดีนั่นก็คือการสร้างบุญ  เมื่อทุกคนสร้างบุญ  ทุกคนก็มีความสุข  สุขกับตัวเองไม่พอ  ความสุขนี้ยังเผื่อแผ่ไปให้กับคนอื่นอีก  เมื่อทุกคนมีความสุขอยู่ในสิ่งที่ตัวเราทำ  สุขนี้ก็เป็นกุศล  กุศลที่ดีคืออะไร  ใครตอบเราได้บ้าง (คิดดี พูดดี ทำดี)  ถูกไหม  เขาเป็นเด็กตัวเล็กแค่นี้ยังกล้าพูด  แล้วคนอื่นล่ะ  (ละสิ่งที่ไม่ดีในใจตัวออกไปและให้สร้างกุศลเพิ่มขึ้นเพื่อบรรพชน)  เมื่อรู้แล้วว่าต้องสร้างกุศล  ต้องบำเพ็ญตนเร่งรีบปฏิบัติ  เริ่มต้นที่ไหนก่อน (ที่ใจ)  เมื่อเริ่มต้นที่ใจแล้วต้องเริ่มที่ไหนต่อ
(ที่การกระทำทางกาย  วาจา)  ถึงแม้เด็กจะสามารถบำเพ็ญได้เร็วกว่าผู้ใหญ่  แต่ถ้าไม่มีผู้ใหญ่เด็กจะมาได้ไหม  (ไม่ได้)
                โอวาทและเพลงที่เราให้  ให้เร่งรีบศึกษา  ถ้าอยากมาผูกบุญกับ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เร่งรีบมาศึกษาธรรมะ  เมื่อกายนี้รู้แล้วที่จะบำเพ็ญ  เร่งรีบ
บำเพ็ญธรรม  อาจารย์ของท่าน  พระแม่มารดาของทุก ๆ  คนก็รอทุกคนอยู่  เข้าใจไหม



                วันอาทิตย์ที่  ๑๙  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๕๓๗
                พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง เมตตา
เพื่อชี้  หลักธรรม  ให้ลมเรียกวอนรู้ข้าหนักใจ  ศิษย์เอ๋ย สงสาร
อาจารย์ของเจ้าบ้างไหม  มอบรัก  หมดใจ  ละลายหายไปน้ำตา
ตอบแทน  ชอกช้ำ  ฝืนทนยิ้มไปด้วยใจผุพัง
สุขเพลินขอศิษย์หวนใจ  เวลาทุกข์มาใกล้ใคร  ถึงคิดสาย  ยิ่งทารุณ
หลอน  คว้าควันสลายไป
โอ้ฟ้า  เข้าใจ  ช่วยทวงสัญญาร้างแล้วอยู่ไหน  ตื่นหนา  ประคอง
ร่างกายที่ยังบอบช้ำ

เราคือ
                พระอรหันต์จี้กงวิปลาส อาจารย์เจ้า                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  แฝงกาย   น้อมอภิวาท
องค์มารดาผู้เมตตา             ถามศิษย์รักทุกคนใจอยู่ที่นี่หรือเปล่า

ผ่านปีนับชีพใกล้ชราวัย        คุณธรรมสร้างไว้เป็นแบบอย่าง
ได้ปิดกั้นหมางเมินหน้าอนิจจัง             โปรดคืนยังพุทธาแท้จิตนิ่ง
เรือชีวิตไร้จุดหมายลอยหันเห              กระแสทะเลคลื่นกิเลสพัดจมดิ่ง
ที่สำคัญขจัดโลภกระจ่างธรรมยิ่ง        ต่างช่วยจริงเหินห่างหลงติรใกล้
พินิจได้รู้อารมณ์คุกรุ่นทรมาน              ต้องฝืนเพียรเนิ่นนานผันนิสัย
ไป่ผัดวันประกันพรุ่งบำเพ็ญใจ            พ้นนรการต์นิพพานใกล้ด้วยใจวีรชน
ฮา  ฮา  หยุด


                เพื่อชี้   หลักธรรม   ให้ลมเรียกวอนรู้ข้าหนักใจ   ศิษย์เอ๋ย  สงสารอาจารย์ของเจ้าบ้างไหม  มอบรัก  หมดใจ  ละลายหายไปน้ำตาตอบแทน  ชอกช้ำ   ฝืนทนยิ้มไปด้วยใจผุพัง
*              สุขเพลินขอศิษย์หวนใจ  เวลาทุกข์มาใกล้ใคร  ถึงคิดสาย  ยิ่งทารุณหลอน   คว้าควันสลายไป
**             โอ้ฟ้า  เข้าใจ  ช่วยทวงสัญญาร้างแล้วอยู่ไหน  ตื่นหนา  ประคอง
ร่างกายที่ยับบอบช้ำ   (ซ้ำ *,**)
เพลง : ความในใจ
ทำนองเพลง : คู่นก



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง เมตตา

                ศิษย์ของอาจารย์ฟังหัวข้อกตัญญูไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง  นำไปปฏิบัติหรือเปล่า
                มาที่นี่มีความสุขไหม (มี)  มีใครบอกได้ว่ามีมากเท่ากับอาจารย์ที่ได้มาเจอศิษย์วันนี้  รู้ไหมว่าความรู้สึกของอาจารย์ที่เจอศิษย์เป็นอย่างไร
                มาที่นี่มีใครนึกขอบคุณผู้ดูแลที่นี่บ้าง  คนที่ดูแลที่นี่คือใครทราบไหม  การที่เราจะเข้าใจธรรมะได้ต้องรู้จักต้นธาร  ทำอย่างไรให้เขาดี  ให้เขารู้สึกว่าอบอุ่นใจ  รู้สึกว่าความพยายามของเขาต้องสำเร็จแน่นอน  (อาจารย์ถ่ายทอด-
เบิกธรรมได้แนะนำผู้ดูแลสถานธรรมให้นักเรียนรู้จัก)  เขาทำมาตั้งหลายปี
แนะนำแค่นี้หรือ  ให้เขาพูดซิว่าเขาหวังอะไรจากทุกคนบ้าง  (อยากให้ทุกคนเข้าใจธรรมะ  บำเพ็ญธรรม  ช่วยเหลืองานธรรมและญาติธรรมลำปางให้มาบำเพ็ญธรรมกันมาก ๆ )   ดูซิเขาหวังน้อยแค่นี้  ยังสละตัวเองตั้งหลายปี  แล้วศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนที่นี่ทำให้เขาสมหวังได้หรือเปล่า (ได้)  คนที่ตอบว่าได้ถ้าหากว่าทำไม่ได้จะให้อาจารย์ทำอย่างไรดี  ศิษย์รักของอาจารย์มีใครอาสาช่วยเขาบ้าง  คนที่นี่ทั้งนั้นมีใครอาสาช่วยเขาบ้าง  มีคนเดียวหรือ  อาจารย์จะขอดูใจของศิษย์หน่อย
                การช่วยไม่ใช่ช่วยอย่างงมงาย  ช่วยตามที่ใจต้องการ  ต้องช่วยด้วยใจที่ว่าง  แต่ไม่ใช่บอกว่าฉันไม่ว่างหรอก  แต่ที่ยังไม่ว่างเพราะอะไร  อาจารย์ชี้แนะไม่ได้ อยู่ที่ใจของศิษย์  ไม่ว่างเพราะละครเรื่องนี้สนุกมาไม่ได้  เดี๋ยวอดดู
อย่างนี้ใช่หรือเปล่า  อาจารย์จะบอกให้ว่าเพียงหนึ่งแรงไม่ใช่ง่าย ๆ  ศิษย์รัก
คนเดียวยังเป็นเสาหลักให้ยืนอยู่ได้  ศิษย์อีกคนมาช่วยก็ทำให้ที่นี่รุ่งเรือง
ขึ้นมาได้  อยู่ที่ศิษย์รักสนใจธรรมะแค่ไหน  มีศิษย์ตอบอาจารย์ในใจ 
ศิษย์รักของอาจารย์ต้องกล้าอย่างวีรชนใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบว่าใช่
อาจารย์ถือเป็นสัญญานะ
                "บำเพ็ญใจพ้นนรกานต์นิพพานใกล้..."  ด้วยอะไรดี  ใครที่ตั้งใจฟังอยู่คงจะตอบอาจารย์ได้  ดูซิว่าใครจะสื่อกับอาจารย์ได้บ้าง
                ศิษย์รักของอาจารย์รู้ไหม  ศิษย์รักไม่เคยมีความชั่ว  มีความเลวใน
สายตาของอาจารย์  เพียงแต่ศิษย์มั่นคง  เพียงแต่ศิษย์ขยันเดิน  สิ่งที่ศิษย์
บอกว่าชั่วนั้นก็จะหายไป  ทุกคนมีโอกาสกลับตัวได้  อย่าได้ตำหนิว่าตัวเอง  จนถึงวันนี้ทุกคนยังมีทางแก้ไขได้อีก  เพียงแต่ศิษย์ตั้งใจมาศึกษาธรรมะก็จะรู้ว่าทางนั้นเป็นอย่างไร  ถ้าศิษย์โทษตัวเองก็เท่ากับว่าศิษย์โทษอาจารย์ด้วย  เพราะอาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์  ถ้าอาจารย์สอนไม่ดีศิษย์ก็ไม่ดีใช่ไหม
ถึงศิษย์ไม่โทษอาจารย์  อาจารย์ก็คงต่อว่าตัวเองอยู่แล้ว  ขอให้ศิษย์มี
ความอดทน  อดทนแล้วสิ่งที่ศิษย์คิดว่ามันเป็นความเลว  เป็นความไม่ดี
ก็จะหายไป
                ถึงอาจารย์จะแบกกรรมให้ศิษย์มากมาย  อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไร  แต่ว่ากรรมของศิษย์สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นของศิษย์  อาจารย์ต้องแบกให้อาจารย์ไม่ว่า  แต่ถ้าศิษย์ไม่เดิน (สร้างกุศลเจริญปณิธาน)  เจ้ากรรมนายเวรของศิษย์จะ
ยอมไหม (ไม่ยอม)  รู้ว่าไม่ยอมแล้วทำไมไม่เดิน


                "บำเพ็ญใจพ้นนรกานต์นิพพานใกล้ด้วยใจวีรชน" ศิษย์ของอาจารย์
ทุกคนจะต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยว  แม้เดินเพียงคนเดียวก็ยังต้องสู้ไป  ถ้าศิษย์สู้จะมีทางแพ้หรือไม่ (ไม่มี)  แล้วถ้าศิษย์ไม่สู้ล่ะ  (แพ้)
                "ผ่านปีนับชีพใกล้ชราวัย"  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนผ่านไปแล้ว
ปีหนึ่ง ๆ  จากผมที่ดำก็กลายเป็นผมขาว  จากอายุที่เพียงนิดเดียวก็ขึ้นเลขห้า
เลขหก  แต่ว่าอายุมากไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย  อายุมากถ้าหากเราบำเพ็ญให้ดี ๆ  เราก็มีกุศลเหมือนกัน  อายุไม่ใช่ขีดจำกัดหรือข้อห้าม  ศิษย์รักของอาจารย์สามารถทำให้ลูกหลานเข้าใจธรรมะได้  ลูกหลานเราก็เป็นเพียงแค่คนที่มีบุญสัมพันธ์กับเรามาเกิดเท่านั้น  ถ้าเราส่งเสริมให้เขาเข้าใจธรรมะได้ก็จะเป็นกุศล
                "โปรดคืนยังพุทธาแท้จิตนิ่ง"    (ให้บำเพ็ญตนทั้งกายและใจ  เพื่อให้มีจิตใจที่สงบเยือกเย็นและมีสติตลอดเวลา)
                "ได้ปิดกั้นหมางเมินหน้าอนิจจัง"  ถ้าหากศิษย์รักไม่ได้ศึกษาธรรมะ
มาก่อนคงจะอธิบายไม่ได้  ทำไมถึงบอกว่าเราได้ปิดกั้นหมางเมินหน้าต่ออนิจจัง  ก็เพราะว่าถ้าเราเองปิดกั้นกิเลสที่จะมารบกวนจิตใจของเรา  ไม่
ข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้หันหลังกลับมาสู่ความเที่ยงแท้ของชีวิต  รู้จักศึกษาธรรมโดยที่ไม่งมงาย  ศิษย์รักของอาจารย์คิดว่าเราได้ปิดกั้น
หมางเมินหน้าอนิจจังหรือยัง  เราจะต้องเร่งปิดกั้น เพราะว่าทุก ๆ  วัน
กิเลสนั้นก็ตามมาราวีเราใช่ไหม

                "เรือชีวิตไร้จุดหมายลอยหันเห" (ชีวิตเราเปรียบเหมือนเรือที่ลอยไปในกระแสน้ำอย่างไร้จุดหมาย  จะลอยไปทางไหนก็ได้ตามกระแสคลื่น)
                "กระแสทะเลคลื่นกิเลสพัดจมดิ่ง"  กระแสทะเลนี้ไม่ใช่ทะเลธรรมดา  แต่เป็นทะเลทุกข์ที่เต็มไปด้วยคลื่นแห่งกิเลสพัดให้ศิษย์รักทุกคนของอาจารย์
จมลงไปเรื่อย ๆ  อย่างนี้แล้วคิดว่าจะว่ายน้ำทวนคลื่นขึ้นมาเพื่อพบกับธรรมะ
ได้ไหม (ได้)  อย่างนี้แล้วเราก็ต้องรู้ทัน  ไม่ไปตามกระแสกิเลสใช่ไหม  (ใช่)
                "ที่สำคัญขจัดโลภกระจ่างธรรมยิ่ง"  โลภในที่นี้หมายถึง  โลภทั้งใน โลภทั้งนอก  โลภทั้งในก็คือว่า โลภในจิตใจอยากจะให้สมหวังปรารถนา 
อยากจะให้ทุก ๆ  อย่างเป็นของเรา  โลภในความยินดี   โลภภายนอกก็คือว่า โลภในทรัพย์สิน  โลภในหน้าที่  โลภในตำแหน่ง  มีใครบอกอาจารย์ได้บ้างว่าทุกคนไม่มีความโลภแล้ว  ถ้าหากว่าทุกคนคิดว่าตัวเองยังมีความโลภอยู่ก็จะต้องขจัดความโลภออกด้วยใจใช่ไหม (ใช่)    ถ้าขจัดความโลภไม่ได้  ศิษย์ก็คงไปอยู่กับอาจารย์ไม่ได้เช่นกัน ใช่ไหม  (ใช่)
                "ต่างช่วยจริงเหินห่างหลงติรใกล้"  ติรแปลว่าฝั่ง  ฝั่งในที่นี้หมายถึง
ฝั่งธรรม  หมายถึงหนันผิงซัน  หนังผิงซันแปลว่าอะไร  (หนันผิงซันเป็นชื่อ
หุบเขาที่พระอาจารย์สถิตอยู่  เป็นหุบเขาแห่งหนึ่งแต่ไม่ใช่หุบเขาที่อยู่ภายนอก  แต่เป็นหุบเขาที่สถิตของจิตญาณเราทั้งหลาย  พระอาจารย์อยู่ที่นั่น  ท่านเป็น
ผู้รู้แจ้งแล้วท่านได้มาชี้ให้เรารู้จักหุบเขาที่มองไม่เห็น)  ต่างช่วยจริงก็คือว่า 
ในสถานธรรมแห่งนี้มีหน้าที่มากมายไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ครัว  ส่งผ้า  ส่งน้ำ  ล้วนเป็นหน้าที่ของอริยะทั้งนั้น  พวกเขาเหล่านั้นต่างเหน็ดเหนื่อยและช่วยด้วยความจริงใจ  ศิษย์รักของอาจารย์ทราบหรือไม่ (ทราบ)  ถ้าทราบแล้วตั้งใจ
ฟังธรรมสมกับที่เขาตั้งใจหรือเปล่า  ตั้งใจนะ
                "พินิจได้รู้อารมณ์คุกรุ่นทรมาน"  (ตรวจดูอารมณ์ของเรา  ตรวจดูอารมณ์ที่อยู่บนโลกนี้   คลุกฝุ่นเหมือนกิเลสที่อยู่บนโลกนี้  มันทรมานยังไง)      ฝุ่นในที่นี้ก็หมายถึงกิเลสอีก  การที่เราจะพินิจดูเราใช้อะไรพินิจดู (ใช้สติปัญญา)
แล้วใช้สติปัญญาในการบำเพ็ญหรือเปล่า ใครอาสาจะช่วยอาจารย์อธิบาย
พระโอวาทบ้าง
                "ต้องฝืนเพียรเนิ่นนานผันนิสัย"  (ต้องฝึกฝน  ต้องพยายามและต้องใช้เวลานานเพื่อจะเปลี่ยนนิสัยของเรา)  ทำไมความเพียรถึงบอกว่าเป็นการฝืนล่ะ (อย่างมารับธรรมะ  ไม่เคยมานั่งฟังเกือบสองวันเต็ม ก็เป็นการฝืนเหมือนกัน  แต่เป็นการฝืนที่สบาย ๆ )
                "ไป่ผัดวันประกันพรุ่งบำเพ็ญใจ"  (การที่เราจะบำเพ็ญธรรมนี้  ถ้าเรา
ผัดวันไปเรื่อย ๆ  จิตใจเราก็จะไม่เจริญขึ้น"  ไป่ตัวนี้หมายถึงไม่  ไม่ผัดวันประกันพรุ่งบำเพ็ญใจ  แล้วคำตอบก็อยู่ในประโยคต่อไป
                "พ้นนรกานต์นิพพานใกล้ด้วยใจวีรชน"  (พ้นจากความทุกข์ทรมานแล้วเข้านิพพานด้วยใจจริง)  พ้นนรกานต์  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนขณะนี้จริง ๆ  แล้วก็พ้นนรกานต์อยู่แล้ว  แต่ถ้าศิษย์ตัดสายทองเส้นนี้ทิ้ง  นิพพานจะเข้ามาใกล้ศิษย์ได้ไหม  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์บำเพ็ญด้วยใจวีรชน  ถึงแม้จะคนเดียว  โดนครหา  โดนกล่าวว่าก็ไม่เกรงกลัว  บำเพ็ญเรื่อย ๆ  ไปใจนี้ก็เปรียบดังวีรชน
                (พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงความในใจ)  ร่างกายของศิษย์ทุกคนจริง ๆ  แล้วช้ำไปหมดแล้วศิษย์รู้ไหม  พุทธจิตธรรมญาณที่สถิตในร่างกาย
ศิษย์เองก็หม่นหมองเศร้าตรม  แล้วศิษย์รักล่ะพร้อมใจพร้อมกายที่จะประคองขึ้นมาหรือยัง  พร้อมหรือยัง
                (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเมตตาอธิบายพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
คำว่า  "อี้ซิน"                 คำว่า "อี้"  แปลว่า  หนึ่ง  คำว่า "ซิน"  แปลว่า  ใจ  
"อี้ซิน" ก็คือ "ใจที่มีหนึ่งเดียว" )
                "ชราวัยอย่าได้ปิดกั้นหมางเมิน"  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอายุมากแล้ว
ก็อย่าได้ปิดกั้นตัวเองจากธรรมะ
                "หน้าที่ต่างสำคัญช่วยได้"  หน้าที่ต่างสำคัญต่างก็ช่วยกันได้เข้าใจไหม
                "ฝืนเพียรเนิ่นนานผันคุกรุ่นโลภหลง"  ศิษย์รักของอาจารย์เมื่อเพียรไปนาน ๆ  ก็ย่อมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ในทางธรรม  แล้วอย่างนี้ศิษย์รักของอาจารย์จะเรียกว่าบำเพ็ญหรือไม่ (ไม่)   ถึงแม้หน้าที่ทางธรรมหรือหน้าที่
ทางโลกก็เหมือนกัน  ศิษย์รักมีความโลภ  มีความหลงเช่นนี้แล้วจะเรียกว่าบำเพ็ญไหม (ไม่)   ถ้าอย่างนั้นแล้วควรจะสำรวจตัวเอง  ย้อนส่องใจ เข้าใจไหม
                "เหินห่างธรรมยิ่งใกล้ไป่พ้นนรกานต์"  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์ที่อยู่ ณ
ที่นี้เหินห่างจากธรรมะแล้ว  ทางลัดที่ศิษย์จะไปก็ขาดหายไป  อย่างนี้ชื่อศิษย์แม้จะอยู่บนสวรรค์ก็หลุดลงมาข้างล่างได้ใช่ไหม  เพราะฉะนั้นศิษย์รักก็
ไม่พ้นแล้ว   ไม่พ้นอะไร  (นรก)


                อาจารย์อยากบอกศิษย์รักสักอย่างว่า  "สนิม"  ที่ท่านองค์ประธาน-
คุมสอบสามภูมิได้ให้ไว้  "สนิม"  นั้นเกิดจากอะไร  หมายถึงอะไร  ใครบอกอาจารย์ได้บ้าง (สนิมเกิดจากกิเลส)  สนิมเกิดจากตัวสนิมเองเพราะสนิมเป็นเหล็ก  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์ใช้ความศรัทธาที่มีอยู่นั้นเป็นสนิมแล้วอย่างนี้จะเรียกว่าบำเพ็ญหรือไม่ (ไม่)  ศิษย์รักของอาจารย์จะยอมให้จิตญาณของ
ตัวเองเกิดสนิมไหม  (ไม่)
                ดอกไม้เปรียบเหมือนคนที่มีสัจจะ ดอกไม้ก็มีทั้งที่มีกลิ่นและสีที่
ชวนมอง  ศิษย์รักของอาจารย์ใช่มองว่าดอกไม้สวยหรือไม่สวย  มันมี
กลิ่นหอมหรือไม่หอม  ศิษย์รักอยากเป็นดอกไม้ที่ไม่มีสีแล้วก็ไม่หอมหรือเปล่า  อยากเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า  ถ้าศิษย์รักอยากมีทั้งสีและความหอม  ศิษย์รัก
จะต้องรักษาสัจจะ  ศิษย์รักจะได้มีครบทั้งสีและกลิ่น  แต่ว่าการที่จิตของเราเป็นอายตนะ   ถ้ามองกลับอีกแง่หนึ่งไปยึดติดกับมันก็จะหลุดพ้นได้ยากใช่ไหม
                ศิษย์ลองคิดดูว่าบนถนนสายหนึ่งมีอาจารย์คนเดียวเท่านั้นที่เดินอยู่  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน  อาจารย์เดินอยู่ท่ามกลางฝน  ศิษย์รักก็ไม่สนใจ  อย่างนี้แล้วจะไม่ให้อาจารย์เศร้าได้อย่างไร
                ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเวียนว่ายตายเกิดนานแสนนาน  ถ้าหากว่าศิษย์รักของอาจารย์ยังเวียนว่ายอยู่อย่างนี้แล้วจะให้อาจารย์มีความยินดีได้ไหม  มีใครบอกอาจารย์ได้บ้างว่าจริง ๆ  แล้วอาจารย์ควรจะทำอย่างไร  อาจารย์
ขอให้ศิษย์ช่วยตัวเองได้ไหม  ศิษย์เองยังมีบางคนที่เชื่อและไม่เชื่อ  แล้วศิษย์
จะให้อาจารย์มีความสุขได้หรือเปล่า  ถ้าศิษย์รักของอาจารย์เข้าใจธรรมะ ศรัทธาธรรมะก็สามารถเดินเคียงข้างอาจารย์ได้ใช่ไหม
                คนทั้งชั้นก็คือภาระของศิษย์เข้าใจไหม (พระอาจารย์พูดกับนักเรียน
คนหนึ่ง) ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนรับปากกับอาจารย์ได้ไหมว่าจะ
เพียรพยายาม  ถ้าหากมาคราวหน้าอาจารย์ไม่เห็นหน้าศิษย์แล้วจะให้
อาจารย์ไปตามอย่างไร  ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนก็คือดวงใจของอาจารย์
ถ้าศิษย์ไม่เพียรในวันนี้ก็คงเหมือนบทเพลงเมื่อวานที่มันสายเกินไปแล้ว
                มีใครรู้บ้างว่าทำไมอาจารย์ถึงเศร้าสร้อยอย่างนี้  ศิษย์จากอาจารย์มาก็นานแล้ว  ถ้าหากว่าไม่เพียรบำเพ็ญแล้วจะให้อาจารย์รอศิษย์ถึงเมื่อไหร่  อาจารย์เจ็บปวดกับการที่ต้องรอโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ศิษย์รักจะกลับมา  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่พยายามดึงตัวเองแล้ว  อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
                อาจารย์เห็นหน้าศิษย์มีแต่ความยินดี  แต่พอจะกลับไปอาจารย์ก็ห้ามความเศร้าไม่อยู่  อาจารย์ก็รอว่าสักวันหนึ่งคงมีคนที่ทำให้อาจารย์สบายใจได้   ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเข้าใจไหมว่างานที่นี่ยังต้องคอยศิษย์รักอีกมากมาย  ถ้าศิษย์รักไม่พยายามแล้วงานธรรมะจะรุ่งเรืองได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้ามีโอกาส
ขอให้ศิษย์รักทุกคนมาสถานธรรม   มาอยู่กับอาจารย์ดีไหม  (ดี)
                พวกเราได้ร่วมกันร้องเพลง "ความในใจ" , "คำสัญญา" และ "แผลในใจ"  เป็นการส่งพระอาจารย์

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา