วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2537

2537-06-11 พุทธสถานเจาหยรู จ.เชียงใหม่



PDF 2537-06-11-เจาหยรู #4.pdf

#ลักษณะสี่  #ลักษณะ๔  #เที่ยง  #ทางสายกลาง



วันเสาร์ที่๑๑มิถุนายนพุทธศักราช๒๕๓๗ พุทธสถานเจาหยรูจ.เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
 ไม่วอกแวกหรือลังเลมั่นสมาธิ คุมสติพุทธากลางภูผา
เจริญเร่งบำเพ็ญอริยา เปิดทางธรรมมโนจริยาสำนึกบาปเวร
เราคือ
 องค์ประธานคุมสอบสามภูมิรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
 ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวาฮวา
สะเทือนทั่วหล้าฟ้าแดนมนุษย์ กรรมบาปหยุดมิสานต่อให้จิตช้ำ
องค์มารดาเมตตารอใจระกำ ด้วยลูกถลำลึกดิ่งลงหลงโลกีย์
ประชุมธรรมเพื่อรู้ตื่นรู้แจ้งจิต มารสถิตปัดทิ้งมิให้เหลือ
คุณธรรมเร่งเจริญอย่าคิดเบื่อ ศิษย์น้องเชื่อยึดสายกลางก้าวรุดเร็ว
กาลยุคสามจริมยุคโปรดเก็บงาน ฟ้าดินประสานร่วมมนุษย์เพื่อฉุดช่วย
ระฆังทองอีกฆ้องก้องเสียงช่วย โปรดเวไนยผู้สุมด้วยธุลีบัง
ธรรมญาณเดิมแท้ท่านเคยใส ขอจงได้ขัดเกลาใหม่พยายามหนา
เกิดเป็นมนุษย์ได้สุขทุกข์เกิดดับมา จงรู้ว่าภาพลวงตาเท่านั้นเอง
สิ่งใดคือสัจจาแห่งชีวิต คุณค่าพินิจกายเนื้อเพียงธาตุหนา
พิจารณาสิ่งเที่ยงพิสูจน์คุณค่า อย่าให้กาลเพลาผ่านไร้ค่าไป
คุณสัมพันธ์ทั้งห้าจงรักษา คนบุราณมาต่างมีธรรมมากเหลือหลาย
แต่บัดนี้ด้วยหลงผิดอันตราย กลับตนใหม่ยังมิสายท่านเมธี
สองวันนี้บรรพชนต่างคุกเช่า เพื่อรับฟังธรรมขัดเกลาจิตผ่องใส
เหล่าลูกหลานหากท่านใดแจ้งธรรมได้ ปฏิบัติไปบรรพชนสุขสบาย
ขอจงรู้รักษาระเบียบให้คงมั่น วาจานั้นสงบไว้จิตผ่องใส
มินินทามิต่อว่าเรื่องใดใด รักหลงโกรธโลภละได้สงบจริง
สองวันนี้ขอจิตมิฟุ้งซ่าน เรื่องการงานเรื่องเรียนวางลงหนา
เรื่องครอบครัวละวางลงพิจารณา ให้รู้ค่ารักษาญาณอันแท้จริง
แล้วศิษย์พี่หยุดยืนคุมสถาน หยุดพู่กันจรดวาง ขอศิษย์น้องจงตั้งใจ
ฮวาฮวาหยุด



ก้าวลงสู่พสุธาด้วยปุยเมฆ ฝุ่นโลกคลุ้งทั่วเขตบรรพตสถาน
ถ้ำร้างรกหยากไย่พันเนิ่นนาน พุทธญาณกำแพงกิเลสสานหลงโลกวน
เราคือ
 พระโพธิสัตว์ในชุดขาวแห่งทะเลทักษิณ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แล้วแฝงกายลงบทมาลย์
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ใบไม้ร่วงพลิ้วลงสู่พื้นดิน ชีวิตสิ้นใบไม้แห้งที่อับเฉา
เวลาสั้นดีชั่วตามดั่งกับเงา โลกสุขเศร้าเพียงพริบตาผ่านพ้นไป
สิ่งใดคือดวงจิตอันเที่ยงแท้ สิ่งใดคือการแก้สู่มรรคผล
ใครคนใดชดใช้หนี้ด้วยจิตตน ผู้นั้นผจญอุปสรรคต่างต่างนานา
อารมณ์ร้ายอารมณ์โลภหลงหยุดเสีย จิตอ่อนเปลี้ยไร้กำลังมารโลดโผน
เรื่องทางโลกล่อลวงตาเสริมจิตสูงส่ง หากรู้จักปลงรู้ละแล้วพบแจ้งจริง
อนุตตรธรรมให้มนุษย์รู้แจ้งตื่น ให้หยุดยืนณกลางธรรมอันล้ำค่า
ให้รู้ตนจริงคือคนเยี่ยงไรนา ให้รู้ค่ากตัญญูแปดคุณธรรม
สามสำรวจตนพึ่งพาตนเพื่อชนะ ยึดถือละอัตตาลงอย่าได้หลง
รู้ความว่างเกิดสรรพสิ่งณจิตตน รู้เที่ยงตรงมัชฌิมาทางสายตรง
สร้างกุศลด้วยมิหวังสิ่งตอบแทน แม้นเหนื่อยยากเสริมเรี่ยวแรงท่านแข็งแกร่ง
แม้นวันใดหกล้มลงหมดเรี่ยวแรง มิคลอนแคลนห่างจากธรรมแม้นก้าวเดียว
ประเสริฐจิตพุทธะอยู่กลางใจ เรื่องใดใดในโลกขอปลงเสีย
ย้อนสู่ทางธรรมะแม้นอ่อนเพลีย จงช่วยเกลี้ยกล่อมเวไนยสู่ทางตรง
ขณะนี้หากมิกลับย้อนสู่จิต มิอาจพิชิตจิตสองในใจได้
เร่งตื่นเถิดรู้โลกทุกข์อันตราย เร่งน้อมกายใจปณิธานปฏิบัติงานธรรม

 ฮาฮาหยุด





พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอินเมตตา
กลอนนำโอวาทนี้มีใครเข้าใจว่าอย่างไร  (ญาติธรรมตอบ : เรามาจากเบื้องบนนานแล้ว  จนจิตใจเราสกปรกไม่เหมือนตอนที่เราอยู่เบื้องบน)  จิตใจของท่านเมธีน้อยผู้นี้ยังใสอยู่มาก  จิตใจที่ใสอย่างนี้ขอให้จงรักษาเอาไว้ให้ดี
"ก้าวลงสู่บรรพตด้วยปุยเมฆ"  เมื่อผู้ที่บรรลุธรรมนั้นจะไป ณ ที่แห่งใด  ที่แห่งนั้นก็จะดูเหมือนนุ่มไปหมด นุ่มเหมือนปุยเมฆ  ที่ที่แข็งนั้นสามารถอ่อนนุ่มได้เพราะเหตุใด   คนที่มีธรรมะนั้นต้องเป็นผู้ที่อ่อนน้อมใช่หรือไม่  ถ้าคนที่อยู่ในโลกนี้แข็งกระด้างจิตใจไม่มีธรรมะแล้ว  ท่านผู้นั้นจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็นและสงบได้ไหม  กลอนบทแรกนี้ก็เพียงเพื่อให้ทุกท่านรู้ที่จะมีจิตใจละเอียดอ่อนโยนเหมือนดังปุยเมฆ
"ฝุ่นโลกคลุ้งทั่วเขตบรรพตสถาน"  บรรพตก็คือภูเขา  ภูเขาอยู่ในจิตใจท่านหรือว่าจิตใจท่านอยู่บนภูเขา  หรือว่าภูเขาเป็นที่ตั้งของจิตญาณ  ไม่ว่าใครจะตอบว่าอย่างไรก็ถูกทั้งนั้น  เมื่อภูเขาเป็นที่ตั้งของจิตญาณแต่ภูเขานั้นถูกฝุ่นต่าง ๆ ที่คลุ้งอยู่ในโลกนี้เข้ามาเกาะเคลือบจิตญาณแล้ว  จิตญาณนี้ยังจะใสอยู่หรือไม่   ถ้าถ้ำรกร้างนั้นไม่มีผู้อยู่อาศัย  ฤๅษีผู้ที่เคยอยู่ในที่นั้นก็ออกไปข้างนอกแล้วไปพบกับแสงสีต่าง ๆ    ถ้ำนั้นก็ถูกปล่อยรกร้างเต็มไปด้วยหยากไย่แล้วถ้ำนี้ยังจะเป็นถ้ำที่น่าอยู่อีกไหม   ถ้ำรกร้างยังไม่พอ  กิเลส มาร หยากไย่ต่าง ๆ ของท่านนั้นก็สานกันขึ้นทุก ๆ ปีทุก ๆ ชาติ  จนแข็งแกร่งขึ้นมากลายเป็นกำแพงที่หนาและสูงขึ้นทุก ๆ วินาที   หากวันใดท่านต้องการที่จะกลับไปถ้ำเดิมของท่าน  ท่านจะหาถ้ำนั้นพบได้อย่างไร (ทำความสะอาด)  แล้วจะทำความสะอาดอย่างไร  (ศึกษาการทำความสะอาด  ชำระใจตนเอง)  การที่เราจะตัดสิ่งที่เราเคยทำมานาน ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก  ต้องใช้ความอดทนและกำลังใจที่สูงส่งอย่างยิ่ง  และยังต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง  ถ้าไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ทำการสิ่งใดก็ยากที่จะบรรลุได้
กลอนนำพระโอวาทบทนี้  แสดงให้เห็นถึงจิตใจของทุกท่านที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าวินาทีนี้ท่านไม่สามารถละจิตใจที่ฟุ้งซ่านออกไปได้  ท่านก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เราอธิบายได้เลย  เรามาในวันนี้ก็เพื่อทำให้จิตใจของท่านเปิดกว้างและสว่างขึ้น ทุกท่านในที่นี้ล้วนเคยบำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้น
คนนั้นต่างก็มีเวลาที่เท่ากัน  เวลาที่ให้ในแต่ละวันก็มี ๒๔ ชั่วโมง
เท่ากัน  ขึ้นอยู่ว่าใครจะรักษาเวลาอันมีค่านี้ไว้ได้แค่ไหน  บางคนนั้นใช้เวลาอันมีค่าไปกับการใช้เงิน  บางคนนอนเล่นไม่ทำประโยชน์อะไร  แล้วท่านจะเป็นคนประเภทไหน
ทุกคนขณะนี้มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มขึ้น  ชั่วโมงแรกที่ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจ  บางคนเห็นเราก็ยังมีจิตใจที่สงสัยอยู่ ยังเห็นว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดใช่
หรือไม่  จิตใจเช่นนี้จะตัดออกได้อย่างไร  จิตใจเช่นนี้เป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน  เมื่อมีจิตใจที่สงสัยลังเล  สิ่งที่เราบอกท่านไปนั้นก็ไม่สามารถที่จะได้ยิน  จิตที่มีความสงสัยจะเป็นจิตที่กั้นความเข้าใจในธรรม  เมื่อมีจิตที่สงสัยแล้วธรรมะที่เราพูดไปก็จะเข้าใจได้ยาก  บางคนเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก็เกิดความเชื่อและศรัทธา  คนอีกประภทหนึ่งศรัทธาในคำพูดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และในเมื่อสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นเป็นธรรมะอันเที่ยงแท้  คนที่นำไปปฏิบัติก็จะเกิดผลดีแก่ตนเองใช่ไหม
คนที่อยู่ในโลกนี้อายุต่างกันเพราะอะไร  ตอบง่ายมากก็เพราะมาเกิดในวาระที่ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่  แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นก็คือได้เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน  แต่คนก็มีการแบ่งเป็นชายเป็นหญิง  แบ่งชนชั้น  คนมีความรู้สูงก็ทำหน้าที่ที่ต่างกัน  คนในโลกมนุษย์นี้มองกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก คนต่างกันเพราะมีการศึกษาต่างกันและเป็นเพราะวาสนาที่สั่งสมมาจากชาติก่อน ๆ ต่างกัน  รูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นงามนั้นเรียกว่ากายงาม
ใจงามนั้นเป็นอย่างไร  ผู้มีใจงามก็คือผู้ที่เราพบเขาครั้งแรกแล้วเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนมีน้ำใจ  เราอยากอยู่ใกล้เขา  ถ้าคนนั้นเขาสอนธรรมะให้กับเรา  เราจะรู้สึกซาบซึ้งและเราก็อยากจะปฏิบัติตามใช่ไหม
คนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมเขามีจิตใจดีไหม พวกเขาเหนื่อยมากในขณะที่พวกท่านนั่งสบายอยู่ในห้องแอร์และได้ฟังธรรมะที่ดี ๆ ด้วย  คนอยู่ข้างนอกบางคนเหนื่อยมาก บางคนเหนื่อยน้อย ด้วยภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน  บางคนก็เหนื่อยใจหนักใจว่านักเรียนชั้นนี้จะเข้าใจธรรมะได้แค่ไหน
(พระโพธิสัตว์กวนอินได้เมตตาประทานพระโอวาทต่อจนจบ)
เราให้กลอนที่เข้าใจได้ง่ายแต่ความเข้าใจของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน  บางคนมีความคิดที่จะช่วยงานธรรมเพราะเห็นซึ้งถึงสัจธรรมอันแท้จริง  สำหรับท่านที่ยังไม่เข้าใจถ่องแท้เราขอให้ท่านศึกษาอีกครั้ง
ขอให้ทุกคนหลับตาลงและสำนึกในความผิดที่ได้เคยทำมา  ลองพิจารณาทบทวนดูว่า  ตั้งแต่ท่านเกิดมาท่านได้กระทำสิ่งใดที่มีคุณธรรมบ้างหรือไม่  หรือได้เคยกระทำสิ่งใดที่ไม่บังควร  ท่านคิดกลัวในสิ่งที่ไม่ดีที่เคยกระทำไปหรือไม่  เมื่อคิดกลัวแล้วท่านจะทำสิ่งไม่ดีนั้นอีกไหม  หรือว่าจะทำสิ่งที่ดีเพื่อเป็นการทดแทน  ขอให้ทุกคนน้อมจิตสำนึกในความผิด  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมจะอภัยให้กับผู้ที่มีจิตใจสำนึกผิด  แต่การสำนึกผิดอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ  ขอให้ท่านนึกถึงเจ้ากรรมนายเวร  ต้องตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ทำผิดอีก  และจะสร้างกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร  เพื่อให้เขาทั้งหลายไปสู่ภพที่สงบขึ้น  (ท่านเมตตาให้ทุกคนหลับตาสำรวมจิต)
เมื่อทุกคนได้หลับตาสำรวมจิต ณ จุดนั้น  จะพบจิตที่ว่างและสงบ  ต้นไม้ที่มีรากฐานอันมั่นคงก็จะเจริญเป็นลำต้นที่มั่นคง  ตอนนี้ท่านเป็นต้นกล้าซึ่งจะเจริญเป็นต้นไม้ใหญ่  ทุกท่านจะต้องทำให้ต้นกล้านี้แข็งแกร่ง
เมื่อท่านได้หลับตาแล้วรู้สึกเบาสบายขึ้นใช่ไหม  ไม่เหมือนกับตอนแรกที่จิตฟุ้งซ่าน  ทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยฟุ้งซ่าน  ต่อไปนี้ท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะเอาชนะมันให้ได้  การควบคุมจิตนี้เป็นสิ่งที่ยาก  แต่จิตที่มีสติมั่นคงแล้วทำการใดใดย่อมลุล่วง
การที่เราช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดตลอดเวลา ไม่ใช่ช่วยเฉพาะตอนประชุมธรรม  ต้องช่วยคนทุกวินาทีที่เรายังมีลมหายใจอยู่  ถ้ารอจนไม่มีกายเนื้อนี้แล้ว  ท่านจะช่วยใครได้ไหม  อายุจะมากน้อยนั้นไม่สำคัญ ขอให้ตั้งความมุ่งมั่นว่าเราจะต้องช่วยคนไม่ว่าจะทุกข์ยากแค่ไหน  ต้องช่วยเขาเหล่านั้นให้ตื่นขึ้น  และจะทำอย่างไรจึงจะช่วยเขา ทำให้เมื่อยามที่เขาละกายเนื้อนี้ไปแล้วเขาได้มีความสุขและไม่ทุรนทุราย
เรามาในวันนี้ได้เห็นจิตของทุกคนที่ตั้งมั่นเราก็สบายใจ  พุทธะกล่าวไว้ว่า  การจะทำการงานใดใดให้สำเร็จต้องทำอย่างสม่ำเสมอ  การทำงานถ้าเร่งเร็วเกินไปในตอนต้นอาจจะชะงักได้ในเวลาต่อไป  และย่อมเกิดความสูง ต่ำ ทำให้ไม่อยู่ในทางสายกลาง   วันใดที่ทำได้ไม่สม่ำเสมอก็เหมือนกับวันนั้นตกต่ำลงไป  แต่ความสม่ำเสมอนี้บางคนอาจเห็นว่าเป็นการสอนคนให้อยู่กับที่  แต่ที่จริงแล้วเป็นการก้าวอย่างมีสติตลอดเวลา  ทุกคนจะต้องนำไปปฏิบัติและต้องไม่ยึดในทุกข์หรือสุข  จะต้องให้เหลือเพียงหนึ่งคือความสงบและว่าง  ขอให้ปฏิบัติให้ได้  ลาก่อน


     วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
 จากสิ่งหนึ่งเป็นหมื่นรวมสรรพสิ่ง                 มนุษย์โลกประวิงสิ่งลวงทั้งหลาย
 มนุษย์คือธาตุเกิดรวมเรียกเป็นกาย              ภพเกิดตายบัดนี้แจ้งหยุดวัฏฏะลง
  เราคือ
     พระอาจารย์จี้กงวิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์      แล้วแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
     กายเกิดเจ็บเฒ่าไปตามครรลอง      เพื่อชีพประคองดิ้นรนตนมักใหญ่
ทรัพย์มหาศาลเมื่อม้วยมือเปล่าไป      จิตหากไกลชะละกาผ่านเหวลวง
หนี้กรรมมีแต่โพ้นกระทำมา               ศิษย์ใคร่มีมัชฌิมาเวลาน้อยเร่ง
ได้รับใดใคร่พิจารณาตนเอง                เกรงผลก่อครวญคร่ำยังต้องผจญ
เมล็ดธรรมค่าล้ำเกินประมาณได้         ทุ่งหฤทัยทุกข์ระทมด้วยขาดฝน
ตัดห้วงกิเลสตั้งใจบำเพ็ญตน              มทะพ้นเพื่อต้นธรรมเจริญงาม
                                                                                     ฮา  ฮา  หยุด
     อาจารย์เฝ้ามองดูใจของมวลศิษย์รักเรา บำเพ็ญขัดเกลามองตนหวนดูจิตหรือยัง หรือเห็นผู้อื่นสุขสราญ ล้นทรัพย์เงินกว่าตน กลับไม่สุขใจ
     ชิงดีสู่ตนเพื่อตนสมใจสุขสำราญ  ฤๅชีพยาวนานยืนยั่งคงคู่ฟ้าดิน๓  แยกแยะชั้นบรรดาศักดิ์นานา  แท้ที่จริงญาณจิตเดียว
     ตะเกียกตะกายแข่งขันผลคืออะไร  จะกักกันใจหมดความเสรี  หากศิษย์พ้นข้ามปราการด่านนี้  ทุกข์ที่อยู่ในใจของตนจะปลดเปลื้องลง
                                                         ทำนองเพลง : ฝากฟ้าทะเลฝัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา
"กายเกิดเจ็บเฒ่าไปตามครรลอง" คนเราเกิดมาวันหนึ่งก็ต้องมีการเจ็บ แก่ลง และตายไป  บางคนยังไม่ทันแก่ก็ตายไป  เพราะฉะนั้นโลกนี้
ไม่เที่ยง  เพื่อการครองชีพเราก็ต้องทำงานต่าง ๆ มากมาย  แต่พอทำไปกลายเป็นการงานมาเป็นตัวบงการชีวิตเราแทน ทำให้จิตใจของเรามัวหมองไม่รู้ว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร
"ทรัพย์มหาศาลเมื่อม้วยมือเปล่าไป จิตห่างไกลชะละกาผ่านเหวลวง"  (ญาติธรรมตอบ : มีทรัพย์สมบัติมากมายตายก็เอาไปไม่ได้  เพราะฉะนั้นจงเร่งทำแต่ความดี  ในชีวิตหนึ่งมีสิ่งยั่วยวนให้เราหลง  เพราะฉะนั้นเราควรหลีกห่างจากสิ่งไม่ดี  จึงจะผ่านเหวลวงได้)
"หนี้กรรมมีแต่โพ้นกระทำมา"  (ญาติธรรมตอบ : คนเราแต่ละคนจะมีหนี้กรรมติดตัวกันมา  เพราะในอดีตเคยทำสิ่งที่ไม่ดีไว้  แม้ในชาตินี้ก็ยังทำสิ่งไม่ดีก่อหนี้กรรมเพิ่มขึ้นอีก)
"ศิษย์ใคร่ครวญมัชฌิมาเวลาน้อยเร่ง" (ญาติธรรมตอบ : ทุกคนควรเร่งปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อกลับคืนไปสู่ที่เดิม  เพราะเวลาที่เราจะมีลมหายใจอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร)
ทางสายกลางคืออะไร  คือไม่เอนเอียงไปทางซ้ายและทางขวา  ซึ่งต้องใช้จุด ๆ นั้นเป็นจุดที่ดำเนินไป  เมื่อเราได้รู้สิ่งล้ำค่าต้องรู้จักใช้  ถ้าไม่รู้จักใช้ก็ไม่มีประโยชน์  เหมือนคนได้รับสิ่งล้ำค่ามาก็ไม่ทราบว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน  เมื่อจำเป็นต้องใช้ก็หาไม่พบ  เมื่อหาไม่เจอจะทำอย่างไร  มีบางคนบอกว่าเมื่อหาไม่เจอก็ร้องไห้  บางคนก็พยายามคิดว่าเราเอาไปวางไว้ที่ไหน  คนที่เขารู้ก็สามารถจะบอกเราได้ แต่เมื่อวันใดเราไปคนเดียวแล้วลืมสิ่ง
ล้ำค่าไปจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน  ไม่มีใครบอกแล้วจะทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงปู่อวี๋เกอพร้อมทำท่าประกอบ  แล้วย้อนกลับมาถามว่าเมื่อสักครู่นี้อาจารย์ถามว่าอะไร  ซึ่งคนส่วนมากก็สนุกกับการร้องเพลงและเพลินจนลืมว่าพระอาจารย์ถามคำถามอะไร  มีญาติธรรมท่านหนึ่งตอบว่า  ถ้าเราได้ทำของสิ่งใดของเราที่ล้ำค่าหายไป  อย่ามัวแต่ร้องไห้เสียใจ  ตั้งสติให้มั่นแล้วเราจะพอเข้าใจแล้วลำดับเหตุการณ์ออกมาได้)
วันนี้ศิษย์ยังจำตรัยรัตน์ได้  แต่ถ้าวันข้างหน้าศิษย์ไม่กลับมาศึกษาธรรมอีก  ไม่ช่วยคน ไม่ได้นำเอาตรัยรัตน์ไว้ในใจ  เมื่อจำเป็นต้องใช้โดยฉับพลันก็นึกไม่ออก  เมื่อไม่สามารถใช้ได้  ของมีค่าได้รับไปก็เหมือนไม่ได้รับ ตลอดเวลาต้องคิดเสมอว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไรบ้าง  แล้วเราจะไปไหน
มีคำปราชญ์เมธีบอกว่าอย่างไร (เตี่ยนฉวนซือ:เจาเหวินเต้าซีสื่อเขออี่  เป็นคำกล่าวของท่านขงจื๊อบอกว่า ถ้าเราทราบว่าอนุตตรธรรมเป็นทางหลุดพ้นไปสู่นิพพาน  ถ้าเราได้รับวิถีธรรมในตอนเช้า เย็นตายไปก็ไม่เสียใจ  เพราะนั่นเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่เราได้รับในชีวิตนี้)
พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นลองแต่งกลอนพระโอวาทได้ดังนี้
"ดุจพืชผลรับฝนพรมสุขสมใจ"
"จะหลุดพ้นการเวียนว่ายสู่นิพพาน"
"ฉุดช่วยคนให้พ้นจากห้วงกรรม"
"หยุดดิ้นรนจากโลกนี้สู่ทางธรรม"
"แกะเปลือกพ้นเป็นลำต้นที่งอกงาม"
"เหมือนหยาดฝนหล่นมาชะโลมใจ"
"ให้หลุดพ้นห้วงกรรมที่ทำมา"
"ถึงอาจารย์อยู่ห่างหลายพันลี้           ก็ยังมีเวลามาหาศิษย์"
"เร่งฝึกฝนพ้นห้วงนี้สู่นิพพาน"
"ต้องฝึกฝนจนเป็นต้นธรรมประจำใจ"
พระอาจารย์เมตตาให้กระจายกลอนพระโอวาทที่ให้ในตอนต้นออกมาเป็นวรรคละ ๗ คำและให้นักเรียนออกมาวงรอบคำ  คำที่วงทั้งหมดเมื่อลากเส้นต่อคำตามลำดับแล้วก็ได้คำว่า "เที่ยง" ซึ่งถอดออกมาเป็นโคลงสี่สุภาพดังนี้ :
          ชีพเกิดเจ็บเฒ่าม้วย ลาไกล
หากแต่มิมีใคร ผ่านพ้น
เวลาน้อยเร่งครวญใคร่ ใดก่อ รับผล
ธรรมค่าล้ำตั้งต้น เพื่อพ้นห้วงทุกข์
ชีวิตเราเกิดมา ไม่มีใครผ่านพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ เมื่อทุกคนมีเวลาน้อย จะทำอะไรก็ให้ไตร่ตรอง ทำสิ่งที่มีคุณธรรมหรือทำสิ่งที่จะได้
พ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท  ทำนองเพลง : ฝากฟ้าทะเลฝัน  และสอนให้พวกเราร้องกัน)
เนื้อเพลงที่อาจารย์ให้มีความหมายของหลักธรรมที่ตรงกับภาษาจีนว่า ซื่อเซี่ยง (          ) การยึดติดในลักษณะสี่
๑. เหยินเซี่ยง "เห็นผู้อื่นสุขสราญ ล้นทรัพย์เงินกว่าตนกลับไม่สุขใจแสดงว่าเรามีจิตอิจฉาเขา  และเราเห็นทรัพย์สินเงินทองสำคัญกว่าชีวิต  มีจิตเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นว่า  ใครจะสวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า เราจะทำให้เหนือกว่าเขาให้ได้  เมื่อทำไม่ได้ก็เกิดความทุกข์
๒. หว่อเซี่ยง "ชิงดีสู่ตนเพื่อตนสมใจสุขสำราญคนในโลกนี้มีจิตใจ
เห็นแก่ตัว  ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง  พยายามหาทางทำให้สิ่งของต่าง ๆ มาเป็นของตน  ไม่สนใจคนอื่นว่าจะเป็นอย่างไร  ตนเองมีความสุขก็พอ  บางคนอาจไม่ถึงขนาดนี้แต่ก็มีความรู้สึกเกี่ยวโยงกับข้อนี้  เช่น ค้ากำไรเกินควร  คนอื่นขาดทุนเราถือว่าได้เปรียบ  แต่ในทางธรรมไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะถ้าเราเอาเปรียบผู้อื่นเราจะเป็นผู้ขาดทุน  ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันที่จิตใจของคนไปยึดว่าจะต้องมีความสุขเท่านั้นจึงจะใช้ได้  ถ้ามีเท่านี้ถือว่าน้อยไป  แต่ความสุขที่แท้จริงไม่มีการแบ่งชั้นหรอกว่าสุขเท่าไร
๓. โซ่วเจ่อเซี่ยง "ฤๅชีพยาวนานยืนยั่งคงคู่ฟ้าดิน" คนที่เกิดมา  ไม่มีใครมีชีวิตอยู่คู่ฟ้าดิน  บางคนรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายหมอบอกว่าอยู่ได้แค่ ๒ เดือน  ถ้าเรารู้ว่าเรามีเวลาน้อยเราต้องใช้เวลาของเราให้มีค่าที่สุดเพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข  แต่บางคนกลับพยายามไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสะเดาะเคราะห์  ตลอดเวลาจิตก็เป็นทุกข์ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย  สุดท้ายก็เสียเวลาเปล่า
๔. จ้งเซิงเซี่ยง"แยกแยะชั้นบรรดาศักดิ์นานา แท้ที่จริงญาณจิตเดียวความจริงจิตญาณล้วนมาจากที่เดียวกัน  แต่ก็ไปแยกแยะว่าเป็นคนชั้น
ต่าง ๆ แยกคนกับคน คนกับสัตว์  แท้จริงจิตญาณนั้นเหมือนกันแต่ที่ต่างกันก็เพราะผลกรรม  เขาทำบาปมากกว่าเราทำให้เขาได้รับความทุกข์  เรากลับไปกดขี่ทำร้ายเขาซ้ำเติมเขา  เพราะฉะนั้นต้องพยายามเพิ่มจิตเมตตาให้มาก ๆ จะได้ไม่เกิดจิตที่แบ่งชนชั้น  ถึงแม้เราจะเห็นเขาเป็นคนไม่ดี  แต่เขาจะต้องมีจุดดีในตัวไม่เช่นนั้นเขาจะมาเกิดเป็นคนไม่ได้  เราต้องนำจุดดีของเขาออกมา ให้เขาได้เห็น ให้เขาได้รู้  เขาจะได้มีกำลังใจที่จะทำดีต่อไป  คนชอบคำชม  ถ้าชมในสิ่งที่รู้ว่าเขาทำได้  บางทีเขาอาจทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ และเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง  มนุษย์มีปากต้องใช้ทำในสิ่งที่ดี
ทั้ง ๔ ข้อนี้เราจะต้องรู้ว่าเรามีข้อไหนบ้างและต้องพยายามขจัดให้หมดไป มนุษย์นี้ตะเกียกตะกายแข่งขันกันมากมาย  สุดท้ายคืออะไร ก็ตายเหมือนกัน
"จะกักกันใจหมดความเสรี"  ศิษย์จะต้องข้ามปราการ ๔ อย่างนี้  ค่อย ๆ ข้ามทีละขั้นวันละนิดวันละหน่อย  เมื่อข้ามไปได้แล้วก็จะรู้ว่าเมื่อปราศจากทุกข์แล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เมื่อร้องเพลงนี้แล้วก็ต้องทำให้ได้ อาจารย์จะดูว่ามีศิษย์คนไหนที่นำสิ่งที่อาจารย์ให้ไปใช้ แม้ว่าอาจารย์จะให้ไปเหมือนกันแต่รับได้ไม่เหมือนกัน  ขึ้นอยู่กับมีความตั้งใจเพียงใดที่จะบำเพ็ญ ถ้าวันนี้ศิษย์ได้เห็นอาจารย์
ได้เห็นตนเอง  ศิษย์จะต้องเห็นทางอันสว่างด้วย
ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดี ๆ ไม่ต้องร้องไห้  เราต้องได้พบกันอีกแน่นอน  หากตั้งใจจริง  ความตั้งใจนี้จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่   ถ้าคน ๆ ไหนมีความตั้งใจที่มุ่งมั่นแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดคือต้องมั่นคงไม่แพ้ แล้วจะมีผลสำเร็จได้  ผลบุญผลกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมดก็จะต้องได้รับผลไป  ชาตินี้แม้จะทุกข์หนัก  ขอให้ศิษย์ค่อย ๆ ปลง ค่อย ๆ ละ   ชาตินี้แม้จะลำบาก ถ้าบำเพ็ญธรรมดี ๆ อีกหน่อยก็ไม่ต้องลำบาก  บางคนกลุ้มใจเรื่องลูกหลานของตนเองขอให้อาจารย์ช่วยทุกวัน  บางคนก็กลุ้มใจมีหนี้มีสินติดตัวมากมาย ต้องการให้อาจารย์ช่วยเพื่อให้มีเงินมาใช้หนี้สักที คนเราก็กลุ้มใจในเรื่องต่างกัน เป็นเด็กกลุ้มใจเรื่องเรียน  เป็นผู้ใหญ่กลุ้มใจเรื่องการงาน  คนมีครอบครัวก็กลุ้มใจเรื่องของคนมีครอบครัว  แล้วเกิดเป็นมนุษย์นี้จะกลุ้มใจกี่เรื่อง นับไม่ถ้วนใช่ไหม  มีอยู่คำเดียวที่จะทำได้ก็คือให้ค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ ปลงทีละนิด  ความทุกข์ที่มีก็ค่อย ๆ หมดไปได้

ทุกคนโบกมือลาอาจารย์ซิ  แล้วสัญญากับอาจารย์ว่าเราจะต้องได้พบกันอีก  (เราได้ร้องเพลง "คำสัญญา" ส่งพระอาจารย์)

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2537

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2537

2537-05-14 พุทธสถานเต๋อฮว่า จ.สงขลา


PDF 2537-05-14-เต๋อฮว่า #2.pdf

#ร่วมแรงร่วมใจ  #ทานสาม  #ทาน 



วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗   พุทธสถาน เต๋อฮว่า หาดใหญ่
 สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ตุรคโลดแล่นโจนทะยาน       นำชยุติกาลแพร่ไปสู่มนุษย์
บุญสัมพันธ์จวบวาระโปรดแผ่ฉุด       จงเร่งรุดศึกษาบำเพ็ญตน
                เราคือ
            องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่ธรรมสถาน        เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟังฮา  ฮา
                เกิดเป็นคนสุขทุกข์ล้วนได้รับ               จะพร้อมรับสิ่งก่อนเท่านั้นหนา
ศิษย์น้องรู้กาลยุคท้ายพิจารณา          จะพบว่าชีพสั้นนักจงละวาง
ความสุขในโลกนี้ยากยั่งยืน เพียงตนตื่นรู้มิอาจเหนี่ยวรั้งสุขได้
ทุกข์ยากออกทรมานเคี่ยวกรำใจ        แต่ผู้ใดอยู่ในทุกข์ได้ปราศจากทุกข์
ขอจงรู้เกิดเป็นเพื่อทดสอบ  สติรอบคอบรู้ยับยั้งรู้เหตุผล
รู้ชีวิตรักโลภโกรธและความหลง          มิอาจคงใจอริยะอยู่ได้เลย
หากต้องการแสวงหาทางบริสุทธิ์        จงเร่งรุดตรวจสอบตนทุกย่างก้าว
จงเร่งคิดช่วยเวไนยพ้นมัวเมา              อย่าได้เศร้าหลงติดวนกิเลสใจ
ประชุมธรรมสองวันเลิศล้ำค่า              จงเร่งรีบศึกษาสู่มรรคผล
ก้าวทะยานสู่แดนนิพพานเบื้องบน     อย่าให้ใจแห่งมารตนลบทางมลาย
รับตรัยรัตน์อนุตตรค่ายิ่งใหญ่              ผู้มีใจใฝ่ดีต้องฝึกฝน
เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมแทนเบื้องบน     เพื่อหมู่ชนรุ่นหลังจิตประเสริฐตาม
กุศลกรรมปธานสี่ขอจงรู้      ตื่นจิตครูในใจตนสว่างจ้า
กรรมใดใดพลั้งผิดแล้วแก้ใหม่ภาวนา หวังใจเจิดจ้าผ่องวิสุทธิ์ดั่งทารกงาม
ต่อแต่นี้รู้ชีวิตอันแสนสั้น       จงมุ่งมั่นมิหลงผิดติดอกุศล
จงมุ่งมั่นแพร่ธรรมเพื่อปวงชน              สักวันหนึ่งดลใจคนแปรอริยา
ในวันนี้ศิษย์พี่คุมชั้นเรียน      ขอทุกคนพากเพียรรักษ์ระเบียบเทอญ
แล้วแฝงกายยืนคุมชั้นบันทึกกรรม
                ฮวา  ฮวา  หยุด




ระลอกคลื่นลมพลิ้วเย็นสบาย             ภายในใจสดใสฟังธรรมกระจ่าง
ให้จิตอยู่ ณ สถานด้วยปล่อยวาง        ปูเส้นทางแห่งอริยาเพื่อบำเพ็ญ
                เราคือ
            แปดเซียน หลี่เถียไกว่        พร้อมด้วยหลันไฉ่เหอ         ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่อริยสถาน         แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา           ถามเมธีทุกท่านสุขสบายฤๅ
                คนเดิมหลงทางอามิสปิดกั้นทาง         เดินหลงทางรู้แล้วฤๅยังท่าน
เดินประคองแท้บำเพ็ญยับยั้งแรงกรรม              เพื่อจดจำเห็นกายแท้สุขนิรันดร์
พุทธจิตหลงติดห้วงภวังค์      มโนรั้งให้ใจเลือนตอกย้ำ
                ฮา  ฮา  หยุด

                มนัสย้อนเพื่อตนส่องทางสว่าง            ด้วยตระหนักว่างแห่งจิตเสมอมั่น
แม้เคว้งคว้างต้องการฝ่ากระแสควัน  นำตนนั้นพร้อมร่วมสู่มรรคา
ญาณกลับสกาวตนเคียงดั้งเดิมอยู่     เร่งมุ่งสู่บ้านบากบั่นมิท้อถอย
ยอมอดทนเพื่อตามปราชญ์เจริญรอย                กิเลสใดร้อยพันจงขัดเกลา
                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านหลี่เถียไกว่และท่านหลันไฉ่เหอเมตตา

ท่านหลี่ต้าเซียน  :           เมธีทุกท่านฟังธรรมะเข้าใจกันหรือเปล่า (เข้าใจ)
ท่านหลันต้าเซียน            :เดี๋ยวนี้ของทุกอย่างก็เริ่มมีน้อยลง  ทุกคนได้นำของที่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์  แล้วแต่ที่จะเหมาะสมตามโอกาส  แล้วทำไมเมื่อของมีเยอะจึงไม่รู้จักใช้  ต่อเมื่อของนั้นเริ่มสูญเสียไปจึงจะมารู้คุณค่าของสิ่งของนั้น ของทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่จิตของเราจะเห็นคุณค่าของนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลี่ต้าเซียน  :เมธีทุกท่าน  ถ้าในวันนี้ให้ท่านมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงท่านจะคิดบำเพ็ญไหม  ถ้าท่านมีร่างกายอย่างเราล่ะ  ท่านจะทำอย่างไร
ท่านหลันต้าเซียน            :           ทุกคนเกิดมาในร่างกายนี้นานแล้ว  รู้ไหมว่าสิ่งที่มีคุณค่าของตัวเราอยู่ที่ไหน (รู้) รู้แล้วนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง (ทำจิตใจให้บริสุทธิ์) ใช่ ทุกคนมีจิตแต่ใครล่ะจะรู้คุณค่าแห่งจิต  เกิดมาในร่างกายนี้ท่านเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้  เรารู้คุณค่าแห่งจิตมากน้อยแค่ไหน  แต่ก่อนเราละเลยปล่อยปละ  ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสได้รู้ที่ตั้งแห่งจิตของตัวเองแล้ว  ให้รีบนำจิตตรงนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้มีคุณค่า   จิตตรงนั้นเป็นหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างให้กับเรา  เป็นทั้งพ่อแม่ ครู พี่น้อง เพื่อน คอยปลอบโยนเรา   ให้ความเห็น คอยดูแลรักษาเรา  ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรเขาก็จะบอกว่าต้องไปทำอย่างนั้นนะ  ต้องไปทำอย่างนี้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อรู้แล้วว่าจิตมีอยู่  เราก็รีบนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์  ให้เห็น
คุณค่า  มีโอกาสก็รีบมาบำเพ็ญ
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           เมธีทุกท่านเข้าใจกลอนที่เราให้ไปไหม  ใครสามารถอธิบายได้ "คนเดิมหลงอามิสปิดกั้นทาง  เดินหลงทางรู้แล้วฤๅยังท่าน  เดินประคองแท้บำเพ็ญยับยั้งแรงกรรม  เพื่อจดจำเห็นกายแท้สุขนิรันดร์" เข้าใจไหม
เมธีท่านเห็นว่าชีวิตนี้มีความสุขไหม (ไม่มี) เพราะเหตุใดจึงไม่มีเล่า ต้องหาเช้ากินค่ำหรือ แล้วทำอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์นั้นล่ะ (ต้องบำเพ็ญธรรมตลอดไป) การบำเพ็ญธรรมนั้นมิใช่เพียงว่าจะบำเพ็ญเพียงภายนอก  ใจที่หยุดเพื่อที่จะพิจารณาหาว่าที่บำเพ็ญนั้นเราก้าวถูกหรือไม่  ถ้าบำเพ็ญยังมีอารมณ์อยู่  ทุกท่านคิดว่าท่านจะบำเพ็ญอย่างมีความสุขไหม (ไม่มี) การบำเพ็ญนั้นท่านต้องตั้งจิตตั้งใจไว้ที่ไหนบ้าง  ไว้ที่จิตญาณดวงเดิม พุทธญาณเข้าใจไหม
รูปกายนั้นใครบ้างที่ไม่อยากให้งดงาม  ทุกท่านคงคิดว่าอยากมีร่างกายที่งดงาม  แต่จริง ๆ แล้วถ้าท่านมีรูปกายที่ดงงามท่านจะหลงไหม (หลง) การบำเพ็ญไม่ใช่บอกว่าไม่ให้มีร่างกายที่งดงาม  แต่หมายถึงว่าให้ใช้ร่างกายนี้บำเพ็ญเพื่อที่จะสร้างกุศล  เพราะว่าชีวิตในโลกนี้ไม่ใช่ชีวิตที่นิรันดร์
ท่านหลันต้าเซียน            :           ตอนนี้ทุกคนก็รู้ทางแห่งจิตวิญญาณของตัวเอง ก็ขอให้ทุกคนทวนกระแสบำเพ็ญเพื่อกลับสู่ทางสว่าง  ใครตอบได้บ้างว่าทางสว่างคือที่ไหน (แดนนิพพาน) ถูกต้อง  ถ้าตอบแล้วต้องมีความกล้า  เมื่อเมธีท่านมีความกล้าแล้วถึงแม้จะตอบถูกหรือตอบผิดก็ไม่เป็นไร  การที่เราผิดก่อนแล้วเราจะได้ผลที่ถูกตามหลังใช่ไหม (ใช่)
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           การทำงานก็ย่อมจะมีการร่วมมือกัน อย่างเช่นท่านตอบคนเดียวแล้วจะออกมาเป็นผลงานที่ดีไหม
ทางสว่างคือที่ไหน คืออะไร  ถ้าไม่ตอบมรรคผลนั้นท่านจะได้ไหม  ถ้าท่านไม่ทำงานจะมีสิ่งใดที่เป็นผลงานให้ท่าน
ท่านหลันต้าเซียน            :           คำตอบไปไหน  ไปกับบรรยากาศ ไปกับอาหาร ไปกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย  จิตใจลงมาก็นานแล้วทำไมถึงยังหลงอยู่อีก  เมื่อมีโอกาสบำเพ็ญก็ให้รีบบำเพ็ญอย่ารีรอ  การบำเพ็ญนั้นไม่ยากเลย  เพียงแค่ให้มีสติไม่พลั้งเผลอ  เพราะเมื่อไหร่ที่เราเผลอ  สิ่งที่เราไม่ต้องการหรือสิ่งที่เรารักใคร่ก็จะต้องสูญเสียไปใช่หรือไม่(ใช่) สมมติมีเมธีท่านหนึ่งเดินไปตามทาง  ถ้ามัวแต่มองของที่ตัวถืออยู่ไม่ได้มองถนน  ถ้าถนนนั้นเรียบก็จะเดินได้อย่างสบาย  ถึงแม้ว่าของจะหนักก็แบกได้  ถ้าถนนขรุขระแล้วหกล้มของหลุดมือไปแล้วเราจะหยิบของขึ้นก่อนหรือว่าจะยกตัวก่อน (ยกตัวก่อน) แล้วแบกของไว้ทำไมในเมื่อยกตัวก่อน (ถ้าเราเห็นแก่ตัวเราก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้หรือช่วยเหลือมนุษย์ได้  ถ้าหากเราเห็นแก่ตัวเราพยายามเอาตัวเราก่อนเราก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาของที่เราแบกได้  คือความตั้งใจของเราที่จะช่วยคน  แล้วเกิดเราช่วยตัวเราก่อน  เราทิ้งของเหมือนกับเราทิ้งความตั้งใจของเรา) เมธีท่านนี้มีความเมตตากรุณา  นึกถึงสิ่งของก่อนแล้วค่อยนึกถึงตัวเอง
มรรคผลไม่ใช่สิ่งที่รับครั้งเดียวแล้วเพียงพอ ทุกคนต้องสะสม  เราเกิดมากี่ชาติสร้างบาปกรรมมากเท่าไหร่เราก็ไม่รู้  แล้วเราจะบอกว่าแอปเปิ้ลลูกเดียวจะเดินทางไปแสนไกลพอทานไหม
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           ถ้าเราถามคำถามแล้วไม่มีใครกล้าตอบจะเป็นผู้นำคนอื่นได้อย่างไร คนที่ตอบว่าไม่ได้ ไม่กล้าใช่ไหม จะต้องมีความกล้านะ
ท่านหลันต้าเซียน            :           เมื่อสักครู่ถ้าเราสนใจตัวเราก่อนค่อยสนใจสัมภาระจะเป็นอย่างไร (เราต้องยกตัวเราก่อน  ถ้าไม่ลุกขึ้นก่อนแล้วจะยกของอื่นได้อย่างไร) ถ้าหากเราไม่รู้หนทางที่จะกลับบ้านหรือไม่รู้จิตญาณของตัวเอง  เราจะไปช่วยใครได้  ในเมื่อมีโอกาสมาศึกษาธรรม ฟังธรรมตั้งแต่เช้า  รู้หนทาง รู้วิธีการปฏิบัติ ช่วยคนที่อยู่รอบข้างเราให้เขาเข้าใจ  ในเมื่อเราปฏิบัติดีเขาก็สนใจที่จะมาศึกษาธรรมะนี้  เมื่อเขาสนใจต้องแสดงความเมตตาออกมาให้เขาได้รู้ ให้เขาได้มีโอกาสศึกษา  เราช่วยเขาได้โดยชวนเขามารับธรรมะ  ถึงเราจะไม่เข้าใจก็ให้อาจารย์ที่อยู่ข้างหน้าอธิบายให้เขาเข้าใจ ให้เขามีโอกาส  เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งเราบอกว่าดี  แต่ถ้าเขาไม่ได้มาศึกษาค้นคว้า  เขาก็จะไม่รู้ค่าหนังสือเล่มนี้เลย
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           ให้ผลไม้เป็นรางวัลเพื่อนำไปบำเพ็ญ เอาไปบำรุงร่างกาย  การบำเพ็ญต้องเสียสละ  ต้องฉุดช่วยผู้อื่น
หนทางการบำเพ็ญถ้าสองคนร่วมกันบำเพ็ญแล้วเกิดกระทบกระทั่งจะมีอารมณ์ขึ้นมา  จะตั้งสติอยู่ที่ใด ที่อารมณ์หรือจิตใจ (จิตญาณ) จิตญาณเป็นสิ่งสำคัญ  คนที่ยังไม่รู้จิตญาณของตัวเองคิดว่าจะไปช่วยเขาไหม
ท่านหลันต้าเซียน            :           คนที่อยู่ข้างหน้าพร้อมที่ช่วยเหลือเรา เหนื่อยเพื่อเรา บางครั้งการให้เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าใจเรารวมเป็นหนึ่ง  ไม่เกิดแบ่งจิตเป็นสอง แต่เมื่อใดที่เราต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ใจทุกคนก็ต้องแบ่งเป็นสอง  ตอนนี้ขอให้ทุกคนรีบบำเพ็ญโอกาสไม่รอแล้ว ขอให้ตัวเองมีสติรู้จักคิด รู้จักทำ เมื่อรู้ที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ให้รู้จักเมตตาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           การเป็นหัวหน้าชั้นมิใช่หมายความว่าเป็นแค่หัวหน้าชั้น  แต่เป็นคนที่ต้องนำพาผู้อื่น  เป็นคนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คัดเลือก เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าพวกเขามีกี่คน  ถ้าทุกคนไม่เข้าใจเราก็ต้องทำตัวเองให้เข้าใจเสียก่อน  หลังจากนั้นจะได้นำพาเขาได้  แล้วถ้าตัวเองเกิดความยากลำบากควรจะฟันฝ่าอุปสรรคซึ่งมิใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะฟันฝ่าได้ในพริบตา
อาจารย์บรรยายธรรมต้องเตรียมหัวข้อแต่ละหัวข้อด้วยความตั้งใจ  การเข้าใจธรรมะควรตั้งใจฟัง  มิใช่ว่าสองวันจะอธิบายได้หมด  การเข้ามาในสถานธรรมหากท่านรับธรรมะแล้วทุกคนล้วนแต่มีรากบุญ  ขอให้ประคองจิตของตัวเอง  ช่วยงานอาจารย์  แม้ว่าวันนี้ยังไม่เข้าใจก็อย่าได้ปิดกั้นโอกาสของตัวเอง  ขอให้เร่งบำเพ็ญใจของทุกคน  ขออย่าให้เกิดความสงสัย ความสงสัยนั้นทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจ  แม้ว่าท่านจะไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มายืมร่างก็ขอให้เชื่อในธรรมะ เชื่อในสายธรรม  คนที่บำเพ็ญต้องเป็นตัวอย่างที่ดี  แก้ไข
ตัวเองให้ได้  ปรับปรุงตัวเองแล้วทุกคนจะเห็นตาม  ถ้าหากวันนี้ไม่มีธรรมะมาฉุดโปรด  ทุกท่านคิดว่าจะมารวมกัน ณ ที่นี้ได้หรือไม่  การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดยุคสามเพื่อที่จะให้ทุกท่านได้กลับคืน  ไม่มีสิ่งใดที่น่ารออีกแล้ว ขอให้บำเพ็ญจิตตัวเองสร้างกุศล ต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ให้มากเข้าใจไหม (เข้าใจ)
ท่านหลันต้าเซียน            :           น้ำฝนนั้นมีประโยชน์  ท้องฟ้าจึงประทานฝนให้  ถึง
แม้ว่าเสียงฟ้าร้องจะดูเหมือนฟ้าร้องไห้  แต่ฟ้ายังยินดีที่จะร้องไห้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ชื่นฉ่ำ  ฟ้าเมตตาแม้ว่าตัวเองจะต้องทุกข์ทนเพียงใดก็ยังประทานฝนให้ทุกคนได้รับความชุ่มฉ่ำทั้งทางกายและจิตใจ  การศึกษาธรรมไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว  เราดูบรรยากาศรอบข้างเราก็สามารถเห็นธรรมะได้  ฝนแม้จะอยู่สูงก็ยังตกลงมายังพื้นดินให้คนเหยียบย่ำ  คนเมื่อเกิดมาถ้าเอาแต่หัวสูงไม่คิดที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน มั่นใจในตัวเอง ไม่คิดยอมใคร คิดแต่ตัวเองเป็นใหญ่เช่นนี้จะเหมือนกับสายฝนหรือเปล่า  เห็นไหมว่าฟ้าเมตตาให้ความชุ่มฉ่ำและยังให้ธรรมะกับเรา  ให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  ความอ่อนสามารถชนะความแข็งกร้าวได้  ใครสามารถยกตัวอย่างให้เราทราบบ้างว่า ความอ่อนสามารถชนะความแข็งได้เช่นไร (เช่นต้นอ้ออ่อนไปตามลม มีความอ่อนน้อม ถ้าเป็นต้นสักเมื่อลมพัด
แรง ๆ ก็จะโค่นได้) ฉะนั้นรู้ว่าความอ่อนสามารถชนะความแข็ง  ทุกคนขอให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่  ถึงแม้ว่าเราจะมีความสุข ความรู้สูงมากเพียง  แต่บางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่ได้รู้มาก่อน  ถ้าทุกคนไม่รู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วเราจะมีโอกาสรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายหรือไม่
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           (พวกเราได้ร่วมร้องเพลงกำลังใจ) เมธีท่านร้องเพลงจบแล้วเข้าใจความหมายหรือไม่ (เข้าใจ) เช่นนั้นเราขอถามว่าเภทภัยในจิตเรามีอะไรบ้าง (กิเลส ตัณหาและอบายมุขทั้งหลาย) ถ้าจะกำจัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเราจะต้องทำอย่างไร (ขจัดขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์) วันนี้ได้พบทุกท่านทำให้เราตื่นเต้น  เพราะเราจากกันมานานแล้ว  เมธีท่านมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเพื่อบำเพ็ญหรือว่าเพื่อจะมีชีวิตที่ร่ำรวยมีสีสัน (เพื่อบำเพ็ญ) อาจารย์ที่มาบุกเบิกด้วยความยากลำบากเพื่อสิ่งใด  เพื่อทำให้ทุกคนเข้าใจธรรมะ  ขอให้ทุกคนได้หยุดคิดพิจารณาเห็นความจริงใจของพวกเขา
ในวันนี้เรามาเพื่อที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจธรรมะมากขึ้น  แต่
ขอให้ทุกท่านพยายามขจัดความสงสัยต่าง ๆ ที่อยู่ในจิตใจ  ขอให้ตั้งใจศรัทธาฉุดช่วยคนโดยไม่กลัวความยากลำบาก  ทุกท่านอยากที่จะสำเร็จมรรคผล อยากที่จะเจริญในธรรมะก็ควรที่จะตั้งใจบำเพ็ญ  ในโลกนี้ท่านมีอายุก็เพียงแค่ร้อยปี  ไม่ได้นานกว่านั้น  ความศรัทธานั้นจะทำให้ท่านเข้าใจ  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี ๆ นะ  ให้ทุก ๆ คนบำเพ็ญธรรมด้วยความแจ่มใสทุก ๆ วัน
ท่านหลันต้าเซียน            :           เมื่อรู้แล้วว่าจิตนี้มีคุณค่าให้รีบ ๆ นำคุณค่านั้นมาใช้ให้มีประโยชน์ก่อนที่จะสายเกินไป  ถ้าร่างกายเราเหลือน้อยเกินแล้วคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเราจะนำมาใช้ประโยชน์อีกได้อย่างไร
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           ตั้งใจบำเพ็ญนะ  เกิดเป็นมนุษย์มีกายเนื้อนี้ไม่ใช่ทุก ๆ ชาติ  ทุก ๆ ท่านจะเกิดมามีกายเนื้อย่างชาตินี้  บางคนคิดว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ถึงแม้ว่าจะร่ำรวยเงินทองแต่ว่าไม่มีสุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดี ๆ
ท่านหลันต้าเซียน            :           เมื่อรู้แล้วก็ให้เร่งรีบปฏิบัติ  อย่าลืมของที่มีคุณค่าต้องรีบนำมาใช้ให้มีประโยชน์  ต้องเร่งรีบบำเพ็ญนะ



                วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

ปิติยินดีเวียนให้พบสุขสันต์  กลางชีวันรอคอยเพียงศิษย์หวน
พบหน้าศิษย์เห็นใจยังเรรวน                ใจผันผวนเคียงอาจารย์ไม่อยากยืน
                เราคือ
            พระอรหันต์จี้กงวิปลาส พร้อมด้วยศิษย์พี่นาจา            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่อริยสถาน         แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขดีหรือเปล่า

                มุ่งสู่ใจบัลลังก์แก้วแดนวิโมกข์             สะบัดโบกธงแรงกรรมกระหน่ำ
เตือนสติตนยับยั้งแรงกรรม  ทวนกระแสคุกคามใส่ใจรากญาณ
หากกรรมพรากจิตประคองพ้นโศกศัลย์             โอบชีวันบำเพ็ญแท้เผยใจจักรพรรดิ
ตื่นกลางโลกีย์มืดมัวเร่งสลัด                มัดจิตยิ่งมัวซ้อนภาพทุกข์
รอเพียงนานเดียวดายไม่ไหวหวั่น       ทุกคืนวันเพียงดั่งเพลิงลุกลาม
เห็นศิษย์ยังเลือนแสวงบรรเทาตาม     ยิ่งรักความหวังดาวจรัสมายา
เลิกอำพรางแล้วสู่ใจละเว้น  รู้หยุดเป็นฝุ่นภาพแปรใส
ห่างธรรมจริงหลงได้ช่วยใคร                ให้ทิ้งเวลาพลาดไกลวนเวียน
ธรรมแยบยลยากสื่อจิตปิดกั้น             มละร้อยพันรังควานประตูขาดดุลยพินิจ
เปลี่ยนแปรทุกข์ตัณหารู้ญาณสถิต     กิเลสพรากศิษย์น้องตรังค์โหมฤทัย
ทวนกรรมกระแสบำเพ็ญมุ่งตามประสงค์          ไป่ดำรงรักษ์จิตให้พิสุทธิ์ใส
แพ้ยับยั้งใจประคองลืมเข้าใจ              ภัยร้อยพันมิเท่าศิษย์เบือน
บาดแผลในดวงใจระทมเศร้า               รอศิษย์หวนเฝ้าอดทนยากเอ่ยเอื้อน
ใจอาจารย์ทิ่มแทงทุกข์ศิษย์แชเชือน    ศิษย์ลืมเลือนสัญญาจะกลับคืน
                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจาเมตตา

พวกท่านอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอื่นมาหรือเปล่า (อยาก) ถ้าอยากในสิ่งที่ดีก็ดี ถ้าอยากในสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ดี  แล้วอยากให้ใครมาล่ะ (พระอาจารย์)
ทุกคนตั้งใจฟังหรือเปล่า (ตั้งใจ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่เสมอไปเด็กก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ถ้าทุกคนมีความตั้งใจในการบำเพ็ญก็จะสำเร็จได้
เดี๋ยวนี้ทุกคนอยู่ในโลกมนุษย์  เจอทั้งสิ่งที่สมหวังและผิดหวัง  สิ่งที่สมหวังทำให้ศิษย์น้องมีความสุขเบิกบานใจ ถ้าหากผิดหวังก็รู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้และหมดกำลังใจ  วนเวียนเช่นนี้เมื่อไรจะหยุดนิ่ง
ถ้าเรามีใจที่มั่นคงในธรรมเพียงหนึ่งเดียวแล้ว  ถึงจะมีการทดสอบให้หวั่นไหวสั่นคลอน  เราก็สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง  และถ้ามีความทุกข์เกิดที่ใจให้ดับที่จิตของตนเอง
การกตัญญูต่อพ่อแม่ควรจะพามารับธรรมะ  และพยายามให้ท่านศึกษาให้เข้าใจ  เราควรจะดูแลเอาใจใส่ให้ความรัก เอื้ออาทรแก่ท่าน  เมื่อท่านเห็นเราเป็นคนดีท่านจึงจะมารับธรรมะ  ความคิดเราเริ่มที่ใจ ถ้าใจไม่บริสุทธิ์  การที่จะพาคนมารับธรรมะถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสของเขา ก็ไม่สามารถมารับธรรมะได้   ฉะนั้นเราต้องศึกษาธรรมะปฏิบัติตนก่อน  ขอให้พยายาม  กุศลที่เราสร้างเป็นของเราเอง  ศิษย์ทุกคนต้องอดทนฟันฝ่าอุปสรรคไม่ใช่ว่าคิดจะบำเพ็ญก็บำเพ็ญได้
การให้ทานมีอยู่ ๓ อย่าง ให้ทรัพย์เป็นทาน  พูดธรรมะเป็นทาน  และให้อภัยทาน
การให้ทรัพย์เป็นทาน  อาจารย์ไม่ได้บอกให้ทุกคนสละทรัพย์  แต่ทำเท่าที่เหมาะสมกับตนเอง
การให้ธรรมะเป็นทาน  การที่ส่งเสริมให้คนเป็นคนดี  ชักชวนเขามารับธรรมะได้ก็ต้องเกิดจากความพยายามของศิษย์ทุกคน  อาจารย์ไม่มีร่างกายไปฉุดโปรดเองต้องอาศัยศิษย์ทุกคนช่วยอาจารย์
สิ่งที่ทำยากก็การให้อภัยทาน เกิดจากการไม่โกรธ  ศิษย์ของอาจารย์ล้วนขาดแคลน  เราต้องมีความสามัคคีและให้อภัยกัน
การบำเพ็ญธรรม  ความรู้ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยอยู่ที่ใจตรงและต้องอยู่ในความไม่ประมาท  ในการบำเพ็ญธรรมจะต้องเดินไปอีกไกลและไม่ใช่เดินแบบไม่มีจุดหมาย  อย่ายึดติดอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ที่รั้งให้ตัวเองอยู่ในโลกีย์  รูปลักษณ์ที่สวยงาม ความอยากได้นั่นอยากได้นี่  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าอยู่เหนือผู้อื่น  คนมาก่อนอาจจะอยู่ข้างหลัง  คนที่มาทีหลังอาจจะอยู่ข้างหน้าก็ได้ เพราะเขาบำเพ็ญได้ดีกว่า  ทุกคนอย่าประมาทและต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน  ศิษย์รักทุกคนต้องตั้งใจบำเพ็ญเจ้ากรรมนายเวรไม่ได้รอศิษย์  เขาไม่สนใจว่าศิษย์จะตั้งใจมากแค่ไหน  ความเคืองแค้นที่เกิดทำให้เขาไม่อ่อนข้อให้เรา
จิตของศิษย์ถ้าเป็นเสมือนธงก็สามารถที่จะโบกสะบัดให้แรงกรรมของตัวเองที่สะสมมาหลายชาติหายไปได้  อยู่ที่มีความพยายามแค่ไหน ไม่ก่อกรรมใหม่ขึ้นมาและลดกรรมเก่า  หนทางในการบำเพ็ญธรรมต้องทวนกระแส  ถ้าติดในรูปรสต้องเบิกที่จะติดและหันมาใส่ใจจิตญาณของตัวเอง ไม่หลงมัวเมาในโลกีย์  ถ้าเรามีทุกข์เรากำจัดความทุกข์นั้นไม่ได้  เราจะต้องมีสติที่มั่นคงและมีจิตที่มั่นคง  รู้ว่ามีความทุกข์อะไรแล้วกำจัดความทุกข์นั้นออกไป  เราก็จะมีความสุขและพยายามทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ขจัดกิเลสต่าง ๆ ให้หมดไป  ศึกษาธรรมะให้มาก ๆ ถึงแม้อายุยังน้อยก็สามารถที่จะบำเพ็ญได้
(ตอนบ่ายพระอาจารย์จี้กงและพระนาจาได้เมตตาประทานพระโอวาทอีกครั้ง)
วันนี้ถ้าอาจารย์ไม่มาทุกคนคงจะเสียใจ  ความสงสัยทำให้จิตเราไม่สว่าง  ถ้าจิตมีปัญหามากมายหาคำตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  มีปัญหาถามอาจารย์บรรยายธรรมก็เป็นสิ่งที่ดี  แต่ถ้าหากความสงสัยทำให้ศิษย์ไม่บำเพ็ญก็ไม่มีประโยชน์  ถ้าให้ทุกคนอยู่เรือธรรมนี้ตลอดไปจะอยู่ได้ไหม  เรือธรรมก็คือสถานธรรมนั่นเอง
จิตของทุกคนถ้าอยากเป็นพุทธะก็ต้องมองคนอื่นให้เป็นพุทธะเช่นเดียวกัน  อย่าไปมองสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นแล้วมองตัวเองว่าดีอยู่ตลอดเวลา
ธรรมะคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา  เมื่อจิตของเราเปิดออกพร้อมที่จะรับธรรมะ  ถึงแม้จะมีสิ่งใด ๆ มาขวางกั้น เช่นความรัก ความโกรธ ความโลภ และความหลง  ถ้าอยากให้สิ่งเหล่านั้นหายไปก็ต้องตั้งจิตอยู่ที่จุดนั้น  ทำไมถึงเรียกว่าโลกนี้คือทะเลทุกข์  เพราะอยู่ในโลกนี้ต้องเจอกับสิ่งมากมาย  เราจะต้องต่อสู้ทั้งจิตใจของตัวเองและความไม่เข้าใจของผู้อื่นที่เข้ามารังควานจิตใจของเรา  ขอให้ทุกคนว่ายน้ำทวนกระแสแห่งทุกข์นี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกให้พวกเราเร่งบำเพ็ญ  แต่ถ้าหากว่าพวกบิดเบือนไม่บำเพ็ญก็ไม่มีใครจะต่อว่าท่านได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงได้แต่เฝ้ามองว่าเมื่อใดที่ทุกคนจะกลับมาบำเพ็ญอีก  ขอให้ความตั้งใจนี้คงทนถาวรและต้องบำเพ็ญเสมอไป  อย่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องคอย  ทุกคนต้องเอาความตั้งใจชองตัวเองมาฉุดช่วยผู้อื่น  ไม่ได้บังคับว่าบำเพ็ญแล้วไม่ต้องทำงาน ไม่จำเป็น  เมื่อจิตบริสุทธิ์ ใส ว่าง มีโอกาสมาก็มา  ถ้าไม่มีโอกาสมาเมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็คิดถึงจุด ๆ นั้น  ถึงแม้จะพบเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่จะรู้ว่าจุดนั้นมีประโยชน์มากมาย  ขอให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญช่วยตัวเองและช่วยผู้อื่นด้วย
การมานั่งฟังธรรมะในวันนี้ต้องนั่งตัวตรง  เพราะเก้าอี้นี้เป็นเก้าอี้พุทธะ  บรรพชนที่เขามาด้วยต้องคุกเข่าฟังธรรมะรออยู่ข้างนอก  อย่าให้พวกเขาต้องเสียใจ  เขามาพร้อมกับศิษย์น้องทุกคน
การกระทำทุกอย่างจะต้องมีจริยระเบียบ  เมื่ออยู่ในสถานธรรมต้องมีพุทธระเบียบที่เราทุกคนต้องรู้
ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะร่วมร้องเพลงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ฉะนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจร้องเพล  เมื่อทุกคนตั้งใจฟังธรรมะแล้วอย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า  เมื่อมาฟังธรรมะ เมื่อมาทำสิ่งที่ดีก็ต้องตั้งใจให้เต็มที่  สมกับที่ได้สละงานหลาย ๆ อย่างมาฟังธรรมในวันนี้
ศีลห้ามีอยู่ในใจของทุกคน  ขอให้ทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง  พระพุทธเจ้าท่านมอบสิ่งนี้ไว้เพื่ออะไร  ทำไมธรรมขันธ์จึงมีถึงแปดหมื่นก็เพราะว่าการดับทุกข์มีมากมายอยู่ที่ว่าใครจะบำเพ็ญได้  ธรรมขันธ์นั้นเป็นหนทางที่ถูกต้อง  อย่าหลงในโลกที่เป็นมายา  แต่ก่อนทุกคนอยู่อย่างธรรมชาติไม่มีความสะดวกสบายมากมายขนาดนี้ทุกคนก็ยังอยู่ได้  บรรพชนของเราทำไมถึงอยู่ได้โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดนี้  เพราะว่าอยู่ที่ใจ  ในเมื่อตอนนี้ยังมีอยู่ก็ให้รู้ว่ามี  แต่ถ้ามันต้องจากไปก็ต้องตัดสิ่งที่มีอยู่นั้นออกให้หมด  ความเข้าใจธรรมะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความเมตตาให้ทุกคนได้รับรู้  เมื่อเข้าใจธรรมะแล้วก็ต้องให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมะเช่นกัน
อาจารย์ไม่อยากจากศิษย์รัก  เพราะศิษย์ยังไม่ตื่น  ทำให้อาจารย์เจ็บปวดในการรอคอย  ศิษย์รักทุกคนคิดว่าชีวิตนี้เป็นความฝัน  จะต้องรู้ว่าการที่จะกลับไปสู่แดนอนุตตรนั้นจะต้องทำอย่างไร (ต้องบำเพ็ญ) เวรกรรมของศิษย์ทุกคนมากมายจนกระทั่งอาจารย์เจ็บปวดนัก  จะให้อาจารย์แบกก็ไม่ว่า  ขอให้ศิษย์ทุกคนเร่งบำเพ็ญ  เวลาไม่ได้รอศิษย์เลย  ความเจ็บปวดที่อาจารย์ได้รับมีมากกว่าศิษย์  ถ้าศิษย์ไม่เริ่มบำเพ็ญตอนนี้แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่  เวรกรรมที่มีอยู่ทำให้ศิษย์ห่างไกลจากอาจารย์  ทุกคนจะต้องย้อนมองตัวเอง  อาจารย์พบศิษย์ครั้งนี้แล้วอาจารย์ไม่รู้ว่าจะได้พบศิษย์อีกหรือเปล่า  อาจารย์ไม่ต้องการให้ศิษย์มาเฉพาะตอนประชุมธรรม  เวลาอื่นอาจารย์เองก็เฝ้ามองศิษย์อยู่เหมือนกันไม่ใช่วันนี้เท่านั้นที่อาจารย์อยากเจอศิษย์  อาจารย์อยากเจอศิษย์ทุกวัน
มาสถานธรรมแล้วมาศึกษาจิตของตัวเอง  เมื่อเข้าใจแล้วฉุดช่วยคนแทนอาจารย์  อาจารย์อยากใกล้ศิษย์ทุกคน  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรม  ทางบำเพ็ญนั้นยากนัก  ศิษย์รักของอาจารย์จะกล้าฝ่าฟันไปไหม (กล้า)
อาจารย์อดทนเพื่อศิษย์ได้เสมอ  แล้วศิษย์อดทนเพื่อตัวเอง  เพื่อมรรคผลข้างหน้าได้ไหม  อาจารย์อยากมองหน้าศิษย์ทุกคนให้ชัด ๆ อยากให้ศิษย์บำเพ็ญ  เพราะไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าศิษย์รักของอาจารย์มีใจจริงที่จะบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า  วันไหนคิดจะถอยไปขอให้คิดถึงอาจารย์  อาจารย์อยู่เคียงข้างศิษย์ทุกคนเสมอ  ขอให้ศิษย์เร่งตื่นขึ้น  ไม่ว่าจะนานเท่าไรอาจารย์ก็จะคอย  ลาก่อน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา