วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2560-06-02 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร




西元二○一八年歲次戊戌四月十九日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑         ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  จิตสับสนเพราะความคิดไร้ทิศทาง     จิตสว่างเพราะปัญญาเป็นเข็มทิศ
เรื่องวุ่นวายมาจากคนชอบยึดติด              คอยจับผิดมาติดขัดให้ทุกข์ใจ
                                เราคือ
  หลันไฉ่เหอต้าเซียน                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  อันว่ากิเลสเกิดจากความคิดอยากมี    จิตที่ไม่ตื่นข้องคิดพันกันวุ่น
ไร้ความเห็นแต่วนมาคิดหมกมุ่น          มีเยอะก็วุ่นได้เลยก็วุ่นเลย
ถึงมองเห็นแต่ไม่คิดว่างไปทันใด          ในเมื่อทุกข์ไร้ใจเมื่อแจ้งแสร้งเฉย
เมื่อนั้นสิ่งก็ว่างโดยพลันเทียวเอย        ทุกข์หมื่นเท่าสติเกิดพลันเผยหมื่นพุทธา
เมื่อความคิดไม่ขาดสายใจต้องนิ่ง        จงรู้เท่าทันความจริงที่ยิ่งกว่า
รู้ชัดเจนไม่ใช่ใช้แค่หูตา                   ใช้ปัญญามาไถ่จิตเป็นไทเร็ววัน
เพราะหมกมุ่นคิดลบจึงไม่หายขาด       เลิกอคติใจไม่เป็นทาสเป็นเช่นนั้น
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนกิเลสทุกข์แปรผัน   เปลี่ยนความประพฤติความความนั้นทั้งนอกใน
เลือกประพฤติจะกลายเป็นสร้างสุขไม่สิ้น   ความเคยความชินจะพาล้วนเลวร้าย
ความชินความเคยกลายต่างคนต่างใจ   เสียนิสัยนิสัยจะกลายไม่หลงไม่มี
                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



วันนี้มาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับท่านช่วงเวลาหนึ่งได้ไหม (ได้)  จากที่นั่งฟังเฉยๆ เปลี่ยนเป็นการคุยโต้ตอบกันดีหรือเปล่า (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือ หลันไฉ่เหอ การคุยกันได้นานๆ ไม่ต้องมียศไม่มีตำเเหน่ง จะคุยกันง่ายกว่า ถ้าบอกว่ามาจากไหน เก่งอย่างไร บางทีจะคุยก็คุยไม่ออกจริงไหม (จริง)  ถ้ายกตัวเองสูงว่าเรียนจบอะไรมา แล้ววันนี้จะมาคุยกัน บางทีได้ฟังว่าเรียนจบอะไรมา เราก็ไม่อยากคุยด้วยแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะรู้สึกว่าเขาจบสูงเกินไป เรามีความรู้น้อย
เราแนะนำตัวเองแล้ว เราคือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบถือตะกร้าดอกไม้ ถ้าเป็นผู้ชายถือดอกไม้แปลกไหมในยุคปัจจุบัน (แปลก)  บางท่านบอกว่าดูอบอุ่นดีนะ ดูน่ารักดีออก ใช่หรือไม่ คิดดีก็เป็นสุข คิดร้ายก็เป็นทุกข์ คิดดีก็เหมือนอยู่สวรรค์ชั้นฟ้า แต่ถ้าคิดร้ายต่อกันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้คิดร้ายหรือคิดดี (คิดดี)  แปลว่าที่นั่งฟังมา คิดดีตลอดเหมือนอยู่สวรรค์ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวเรานั้นมีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร (ความคิด)  ความคิดที่ดีหรือ
ไม่ดีที่น่ากลัว (ความคิดที่จิตสับสน)  หรือบางครั้ง ความคิดที่หยุดคิดไม่ได้ หรือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้กระทั่งความดีที่เราติดก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายึดติดดีมากเกินไป ความคิดที่พยายามจะต้องเป็นคนดี และต้องดีให้ได้ก็น่ากลัว ยิ่งถ้าพยายามเป็นคนดีแล้วใครว่าไม่ได้นั่นก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  คนเลวบางครั้งดูเหมือนน่ากลัว แต่ถ้าเราคิดอะไรเลวร้ายสักอย่างหนึ่ง แต่เราหยุดได้ทัน บางครั้งการคิดเลวร้ายแล้วหยุดได้ทัน ก็อาจจะดีกว่าความคิดดีที่ยึดติด จริงไหม (จริง)
มนุษย์มักพูดว่าคนนั้นน่ากลัว คนนี้ไม่น่ากลัว คนนั้นน่าคบ คนนี้
ไม่น่าคบ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราทำให้เขาน่ากลัว หรือเราทำให้เขากลายเป็นคนน่ากลัวไม่น่าคบหรือเปล่า เหมือนกับที่เรามองว่าโลกน่ากลัว สังคมเลวร้าย หาคนดีไม่เจอ แล้วท่านดีหรือยัง แล้วเป็นคนดีที่ยึดติดดี
จนกลายเป็นคนเลวร้ายหรือเปล่า
วันนี้เรามาคุยเรื่องธรรมะ ธรรมะที่เป็นกลางๆ ที่ใช้สำหรับการดำเนินชีวิต เเละนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ หรืออยู่กับทุกข์แล้วไม่ทุกข์ เราอยู่ในโลกนี้อย่าหลงในสิ่งที่เห็นจนลืมความเป็นจริงแท้ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้เราเห็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ได้)  ถึงเราจะบอกว่าเรารู้ เเต่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่รู้ คนโบราณจึงสอนไว้ว่า “รู้แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็อย่าบอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง” เพราะถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเก่ง ก็เปลี่ยนแปลงได้ เเละทำให้เราไม่รู้ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ก็เเปลว่าอย่ามั่นใจในสิ่งที่เราคิดว่าใช่และไม่ใช่ และอย่าตัดสินอะไรในทันทีว่าจริงหรือไม่จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้
จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านว่า ท่านเป็นคนดีไหม คนที่บอกว่าฉันก็ยังไม่แน่ใจเลย
ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เพราะเรายังไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะคิดดีหรือคิดร้าย หรือตอนนี้เราจะอารมณ์ดีหรือเราจะอารมณ์ร้าย ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อเป็นคนดีแล้วไม่ชอบคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  หรือเราศึกษาธรรมเพื่อเป็นคนดีแล้วยึดมั่นในความดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร (เพื่อกล่อมเกลาจิตใจตัวเอง)  ถ้าอยากเป็นคนมีธรรมก็ต้องปฏิบัติดี แต่การจะเข้าถึงธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่ธรรมอยู่ที่ความเป็นจริงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เรียกว่า “ธรรม” นอกเหนือจากนี้เป็นความคิด เป็นความหวัง เป็นความยึด ถ้าอยากเข้าถึงธรรมต้องมองตรงนี้ เดี๋ยวนี้
เรายกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเราได้ดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทีแรกเราก็เกิดความดีใจ แต่เมื่อไรที่เราเห็นดอกไม้ดอกนี้ แล้วไปเปรียบเทียบกับดอกไม้ดอกอื่นที่สวยกว่า เราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายอมรับได้แค่ตรงนี้ก็คือ ธรรม แต่ถ้าบอกว่าดอกนี้เล็กไป ไม่สวย ราคาน้อย ดอกนั้นใหญ่กว่า สวยกว่า ดีกว่า ก็กลายเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตของท่านล่ะ ถ้าพบธรรมก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าไม่พบธรรมตรงนี้ หวังตรงนั้น หวังตรงนี้ นั่นแหละ ทุกข์นักแล
ชีวิตเรามีตรงนี้ มีเท่านี้ ได้เห็นธรรม ได้เห็นสุข แต่เรากลับยึดว่าต้องมีอย่างนั้น ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมคือสิ่งตรงนี้ แค่นี้ สุขได้ไหม (ได้)  พอได้ไหม (ได้)  แล้วทุกข์คืออะไร ธรรมคืออะไร
ถ้าท่านยังไม่เห็นธรรมตรงนี้ ท่านก็จะพบทุกข์ตรงนั้น เเละพยายามหาทางดับทุกข์ตรงนั้นด้วยธรรม แต่ถ้าท่านพอตรงนี้ ดีตรงนี้ สุขตรงนี้ ธรรมตรงนี้เราต้องทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มนุษย์พยายามใช้ธรรมเพื่อดับทุกข์เพราะเราไม่เคยพอตรงนี้ เราไม่เคยยินดีกับแค่นี้ เเต่เราหวังว่าต้องเป็นดอกไม้ดอกนั้น ต้องเป็นดอกไม้ช่อนั้น
ตอนนี้เรามีทุกข์เรามีความสูญเสีย มีความเจ็บป่วย ถ้าเราพอใจเข้าใจในธรรมเราก็ไม่ทุกข์ แค่สู้กับสิ่งที่เป็นให้ได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่ตรงนี้แต่คิดถึงตรงโน้น อยู่ตรงนี้แต่อยากเป็นตรงนั้น เราไม่เคยพบธรรมตรงนี้ เราก็เลยไปทุกข์ตรงนั้นก่อนแล้วค่อยมีธรรม เราไม่พบธรรม ไม่พบความจริงตรงนี้ก่อนเราก็เลยไปทุกข์กับข้างหลังและพยายามเห็นธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเห็นตรงนี้ พอใจตรงนี้ อย่ามัวคิดว่าเราเจ็บ อย่ามัวคิดว่าเราสูญเสีย อย่ามัวคิดว่าเราชราวัย แต่สิ่งที่เจ็บ สิ่งที่ทุกข์ตอนนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตท่านยังมีอะไรดีๆ อีกมาก ถ้าวันหนึ่งเราต้องล้มเจ็บ ต้องพลัดพราก ถ้าใครทำให้ทุกข์ อย่าเอาแผลเล็กๆ อย่าเอาความทุกข์เล็กน้อยมาทำร้ายลมหายใจทั้งชีวิต มัวจมอยู่กับความทุกข์ว่าทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ มาทำร้ายชีวิตตัวเองทั้งชีวิต ในเมื่อจริงๆ แล้วธรรมไม่ใช่ตัวหนังสือหรืออิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่อยู่ตรงนี้
เห็นก็มีธรรม ก็เป็นสุข แต่ถ้าไม่เห็นไม่ยอมรับ ก็ต้องทุกข์ทั้งสิ่งที่มีและก็ต้องทุกข์กับความพยายามจะมี แล้วก็ต้องพยายามไปหาธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมไม่ได้อยู่ภายนอก แต่ธรรมอยู่ภายใน ถ้าท่านศึกษาปฏิบัติธรรมจริง อย่ามัวแต่มองออก ถ้าปัญหาทุกปัญหาเริ่มที่นี่ เกิดที่นี่ ก็ต้องจบที่นี่ ผู้ที่เข้าถึงการบำเพ็ญที่แท้จริง จะไม่พยายามไปดับร้อนดับไฟใคร แต่จะหันกลับมาย้อนมองส่องตนเองว่าเขาร้อนแล้วเราจะเย็น เขาไร้ธรรมแต่เราจะมีธรรม ดังที่พระพุทธะบอกไว้ว่า “ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีมาร ที่นั่นมีพุทธะ” เมื่อใดเจออะไรก็ตาม แค่นี้เท่านี้ก็คือธรรม มันเป็นธรรมดาที่เราต้องเจอ ถ้ายอมรับตรงนี้สุขไหม (สุข)  แล้วถ้าสุขตรงนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุขอยู่ทุกๆ วัน เพราะธรรมคือความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์มักหวังและฝันจนลืมธรรมอันเรียกว่า “ความจริง”
ฉะนั้นอยากพบธรรม ก็แค่พบความจริง ยอมรับความจริง เพราะความจริงจะดีหรือร้ายก็ไม่น่ากลัว เพราะคนที่จะทำให้ท่านดีหรือร้าย อยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา เขาทำเราร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  ดีหรือร้ายเขากำหนดหรือเรากำหนด (เรากำหนด)  แต่ถ้าเกิดเขาร้ายแล้วเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วถ้าเขาร้ายแล้วทำให้เราดี ทำให้เราเห็นธรรม ไม่เอาหรือ (เอา)  มนุษย์กำลังกลุ้มอยู่กับความทุกข์ แต่เหล่าพระพุทธะเอาทุกข์มาค้นพบเห็นธรรม สิ่งที่มนุษย์กำลังวนเวียนอยู่กับความทุกข์ พระพุทธะกลับตื่นรู้แจ้ง แล้วค้นพบทางดับทุกข์
มนุษย์ชอบตัดสินและชอบคิดนึกไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้ เราจึงอยู่กับคนแล้ววิพากษ์วิจารณ์ พอวิพากษ์วิจารณ์เราก็อดยึดติดในความคิดเราไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นแหละทุกข์ จริงๆ แล้วเราอยู่ในโลก อยู่กับทุกๆ สิ่ง
อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับใครก็ตาม เราอดที่จะคาดหวังหรือ ยึดติดไม่ได้ เราคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เพราะเราคิดว่าเพื่อนน่าจะพูดแบบนี้ แต่ทำไมเพื่อนพูดแบบนั้น อยู่กับสามีอยู่กับภรรยา เราไม่เคยคุยกันได้จบความ เพราะเธอพูดอีกอย่างแต่ฉันคิดอีกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุข สามารถเป็นธรรมไม่เป็นทุกข์ได้นั้น ก็อย่าเพิ่งตัดสินอะไรว่าเตี้ยหรือสูง เพราะเวลาที่เราอยู่กับคนที่เตี้ยกว่าเราอาจจะสูง แต่พอถึงเวลาเจอคนที่สูงกว่า เราก็อาจจะเตี้ย นี่คือหลักธรรมของความเป็นจริง เมื่อเจออะไรเราสามารถยอมรับในสิ่งที่เราได้แค่นั้นเท่านั้น ก็คือธรรม ก็คือความจริง แต่ถ้าเราไม่เคยยอมรับในสิ่งที่เรียกว่าแค่นั้น เท่านั้น แต่เราหวังว่าต้องเป็นอย่างที่
เราคิด เราเข้าใจ ก็คือทุกข์
อยู่ในโลกทุกข์หรือสุขมากกว่ากัน (ทุกข์)  ทุกข์มากกว่าสุขเพราะเราไม่ยอมรับความจริงที่เรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากค้นพบความจริง อยากพบธรรมแล้วไม่ทุกข์ แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นก็แค่นี้ ก็เท่านี้ แต่ถ้าไม่ยอมรับเราก็มีทุกข์ แล้วก็ต้องพยายามหาธรรมไปดับทุกข์ เมื่อท่านได้มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ระหว่างทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม หรือมีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์ แบบไหนดีกว่ากัน (มีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์)  แล้วปัจจุบันท่านเป็นเช่นไร (มีทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม)
หลายๆ ท่าน มักจะเรียนรู้ธรรมและเข้าใจว่า การเรียนรู้ธรรม ปฏิบัติธรรม ก็คือ การทำความดี เมื่อใดที่เราทำดีเรากำลังปฏิบัติธรรม บางครั้งทำดีแล้วไม่ได้ดีน้อยใจไหม (น้อยใจ)  การปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อละหรือเพื่อยึด (เพื่อละ)  การปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ดีเป็นละหรือเป็นยึด (ยึด)  อย่างนั้นแปลว่าท่านปฏิบัติธรรมถูกหรือปฏิบัติธรรมผิด เราปฏิบัติธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อหลงยึด ถ้าทำแล้วไม่ได้ดี น้อยใจแล้วเลิกทำ ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำดีเพื่อละ แต่เรากำลังทำดีเพื่อยึด ถูกหรือไม่ (ถูก)
รู้หรือไม่ว่าทำดีละชั่วเพื่ออะไร การปฏิบัติสอนให้เราทำความดีละความชั่ว แล้วเราทำดีไหม (ทำดี) แล้วชั่วเราละไหม (ละ, ไม่ละ)  คนปฏิบัติธรรม ถ้าเขาทำดีจริงๆ เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ตกเป็นทาสอบายมุข ไม่ผิดศีล แล้วท่านทำดีไหม (ทำดี)  ถ้าปฏิบัติธรรมต้องละชั่วบำเพ็ญดี
ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าชั่วไม่ละ บุญก็ยังสร้างเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วยังบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ถ้ามือหนึ่งท่านก็ทำดี แต่อีกมือหนึ่งท่าน
ก็ยังไม่ละชั่ว จะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงไหม (ไม่)
ถ้าความชั่วไม่ทำเลยนั่นเรียกว่ายอดบุญ ถ้าความชั่วไม่ปฏิบัติเลยนั่นเรียกว่าคนดี ถ้าความชั่วไม่กระทำเลยเรียกว่ามีธรรม การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือไม่กระทำผิดเลยเรียกว่ายอดบุญ ถ้ายังทำบุญแล้วทำชั่วด้วย เรียกว่าบุญที่อิงแอบไปด้วยบาปกรรม
ธรรมคือการปฏิบัติดีละชั่ว บำเพ็ญบุญ เมื่อใดที่ท่านไม่กระทำผิด เรียกว่ายอดบุญ เรียกว่าผู้มีธรรม แต่คนปัจจุบันเข้าใจความหมายการปฏิบัติธรรมผิด คือดีก็ทำ ไม่ดีก็ทำ แล้วท่านก็อดบ่นไม่ได้ว่า ทำแทบแย่ไม่เห็นได้ดีเลย จะได้ดีได้อย่างไร ในเมื่อความไม่ดีท่านยังไม่ละเลิก ถูกหรือไม่ (ถูก)  รากเหง้าแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความเวียนว่าย ความเจ็บปวดและทุกข์ทั้งมวล ล้วนหนีไม่พ้นการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง และอบายมุขทั้งหลาย ฉะนั้นทำดีแค่ไหนแต่ถ้าความชั่วไม่ละ ท่านก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์ยังคงนอนเนื่องอยู่ในใจที่ยังสร้างบุญและสร้างบาป ฉะนั้นถ้าอยากทำดีก็แค่ (ละชั่ว)  แล้วตอนนี้ท่านดีหรือยัง (ยัง)  ธรรมะสอนให้เราเกลียดทุกข์ หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วตอนนี้มีทุกข์ หนีหรือสู้ (สู้)  เวลาเจอคนไม่ดีสู้หรือยอม (ยอม)  การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นว่าเขาร้อนเขาเย็นอย่างไร แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหันกลับมาจัดการใจตัวเอง ย้อนมองส่องตนเองก่อน เหมือนเราบอกแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังเห็นเป็นทุกข์ พระพุทธะกลับเห็นเป็นธรรม สิ่งที่มนุษย์เห็นเป็นกิเลสมาร พระพุทธะกลับเห็นเป็นหนทางดับทุกข์
ชีวิตนี้มีอะไรครอบครองได้บ้าง (ไม่มี)  ชีวิตนี้สูญเสียไปกี่อย่างแล้ว (หลายอย่าง)  แล้วสิ่งที่สูญเสียทำท่านทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วยังอยากได้อีกไหม (ไม่อยากได้)  อย่างนั้นจะนำสิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์หรือจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของสรรพชีวิตในโลก แล้วเกิดการปลดปลงแล้วปล่อยวาง (ปลดปลงปล่อยวาง)  ตอบได้แต่เมื่อกลับไปเจอหน้าคนที่เกลียดแล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์)
มีอะไรในโลกบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนทุกครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมันเปลี่ยนเเล้วยึดได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อยึดไม่ได้แล้วควรจะทุกข์ไหม (ไม่ควร)  เมื่อไม่ทุกข์แล้วจะปลดปลงหรือแช่งชักหักกระดูกต่อไป (ปลดปลง)  จะให้เขามาเป็นกรรมกับเราหรือจะให้เขามาเป็นธรรมสอนใจเรา (ธรรมสอนใจ)  สิ่งที่เรียกว่าความจริงล้วนคือธรรม เเละธรรมนั้นสอนให้เรารู้ว่า ใดๆ ในโลกก็ยึดไม่ได้ ใดๆ ในโลกก็ปักใจเชื่อว่าอะไรเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่ได้ และใดๆ ในโลกก็ไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริง ธรรมสอนเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราเคยเห็นธรรมไหม เห็นแต่ทุกข์ ทำไมไม่ “เเปรพบทุกข์เป็นพบธรรม” ลองสู้ดูสักตั้ง ไม่ได้สู้กับใครแต่สู้กับตัวเอง วางได้ ปลงได้ เห็นแจ่มชัดได้ นั่นคือหนทางธรรม วางไม่ได้ ปลงไม่ได้ จบไม่ได้ นั่นคือหนทางทุกข์
อย่ามัวจมกับความไม่ดีของผู้อื่น จนลืมคุณค่าสิ่งที่ดีในตัวเขา อย่าเอาแต่จ้องจับผิดจนลืมมองคุณค่าดีๆ ที่เราอาจลืมเลือนและดูถูกดูแคลนไปก็เป็นได้ ในทุกข์ก็มีสุขได้เหมือนกัน และในทางทุกข์ก็มีทางพ้นทุกข์ได้เฉกเช่นเดียวกัน ขอเพียงอย่าดูถูกดูเบาปัญญาตัวเองก็พอ นั่งตรงนี้เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อย่ามัวจมกับความเมื่อยจนมองไม่เห็นคุณค่าต่างๆ ที่เราควรมี อย่ามัวจมอยู่กับความคิดจนลืมคุณค่าของการมานั่งฟังวันนี้นะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ท่านมาศึกษาปฏิบัติธรรม แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกคนทำงานไหม (ทำ)  ถ้าทำงานเพื่อเงินเรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ปฏิบัติธรรมคือแค่ทำบุญใส่บาตรแค่นั้นไหม (ไม่ใช่)  แต่คือการกระทำใดๆ ที่ทำให้เราสามารถนำธรรมมาปฏิบัติต่อกัน ทานแบบใดประเสริฐที่สุด ให้ธรรมะเป็นทานถูกไหม (ถูก)  ท่านสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ไหม (ได้)  ถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติงานเพื่อเงิน แต่ปฏิบัติงานเพื่อธรรม ท่านจะอยู่ที่ไหนท่านก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติด้วยความซื่อตรง รับผิดชอบเต็มกำลังในหนึ่งวันที่ทำงาน แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ทำเพียงแค่เงินเดือน ทำไปวันๆ ให้จบ แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความซื่อตรงที่สุด ดีที่สุด และจริงใจที่สุด ท่านก็กำลังปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบในหน้าที่ให้ดีที่สุด ซื่อตรงที่สุด เช่นนี้ก็เรียกว่าการให้ธรรมะต่อกัน แล้วปัจจุบันนี้เราให้ธรรมตอนไหน เราให้ตอนที่เขาน่าสงสารเราจึงปฏิบัติ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราไม่ปฏิบัติกับทุกคนและทุกขณะ เราไปเอาของเขามาก่อน ไปโกงเขามาก่อน ไปโกหกเขามาก่อน ไปเอาเปรียบเขามาก่อน แล้วเราค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
การปฏิบัติธรรมคือการทำทุกวันให้เป็นธรรม ซื่อตรงต่อหน้าที่ รับผิดชอบและจริงใจต่อภาระที่ตัวเองทำ นั่นแหละให้ธรรมเป็นทาน ถ้าทุกคนต่างรับผิดชอบ ซื่อตรง ไม่ทำผิดต่อกัน สังคมนี้จะมีคนเลวร้ายไหม (ไม่มี)  แต่มนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่ แก่งแย่งกันเต็มที่แล้วค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำทุกที่ ทุกคน ให้มีธรรม นี่คือหลักแท้ของการปฏิบัติธรรม วันนี้เราอาจจะพูดแล้วทำให้ท่านได้ยั้งคิดบ้างสักนิดก็ยังดี
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญอีกนะ รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี อย่าประพฤติผิด อย่าผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน รู้จักสงสารตัวเองก็ต้องรู้จักสงสารผู้อื่น รู้จักเห็นใจตัวเองก็ต้องรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้ว่าเรามีทุกข์ เขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ถ้าเข้าใจหัวอกคนมีทุกข์เหมือนกันจะไม่ทำใครให้ทุกข์ใจ ไม่มีสิ่งใดมงคลเท่ากับการปฏิบัติตนละบาปบำเพ็ญบุญ และปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คน มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญดีกว่าสร้างกรรม ใช่หรือไม่

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑     ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ฝึกใจเป็นกลายสวรรค์                              ประกันสว่างกว่านี้
ใช้กรรมชะตาเป็นปี                                      ฉันทาคติก็ระวังตัว
ดึงตัวภายในธุระ                          ตัวธรรมดาความพ้น
ฝึกใจฝึกกายอุบล                         จงกลสัทธรรมคิดตรอง
จำได้หมายรู้ลิขิต                         ความคิดชีวิตสมอง
ชาตินี้เป็นโอกาสทอง                     เพราะจะประลองปัญญา
อนาคตที่มองไม่เห็น                      จำเป็นกลายเป็นปัญหา
ทัศนคติคุมโชคชะตา                      อนิจจายึดติดทันใด
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม
การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ
หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น
ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกรรมบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทันรวดเดียว)
ทำนองเพลง : พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง : ทำตนสายกลาง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถรักษาใจเดิมได้ ศิษย์ก็ย่อมต้องพลาดและตกหล่นไปอีก คิดให้ดีเลือกว่าจะทำอะไร จะก้าวต้องก้าวให้ถึงที่สุด ก้าวให้ยิ่งใหญ่ให้คุ้มค่าที่เลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญ อย่าพลาดแล้วต้องกลับมาใช้กรรม ก้มหน้าพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ตัวเองผิด อย่าทำเช่นนั้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้น แม้อาจารย์อยู่ข้างๆ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ จงจำไว้เลือกแล้วจงเลือกให้ดีที่สุดเพราะเมื่อถึงวันที่เลือกไม่ได้ ศิษย์จะโทษใครไม่ได้ มีแต่ต้องก้มหน้ารับกรรมเท่านั้น ซึ่งอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ตอนนั้น จงอย่าทำผิด ประคองใจให้ดี เข้มแข็ง ช่วยเหลือผู้คนด้วยใจที่อุทิศเสียสละ ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ เมื่อว่างจากตัวตนแล้ว ใครด่าก็ไม่เจ็บ ใครทำอย่างไรก็ไม่ทุกข์ เพราะตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีตัวตนแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยึดตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เจ็บทุกขณะ ไม่ว่าเจออะไรห้ามใจร้อนวู่วาม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
ทานข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมะอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มแล้วก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วรอย่อยอย่างเดียว ทำไมไม่มีใครตอบอาจารย์ว่าอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  ไม่อิ่มอย่างนี้ก็แปลว่ายังโลภอยู่
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวว่า “ไหว้พระพุทธะพันรูป ไม่สู้ไหว้พระพุทธะไร้ใจ” ถ้าใครสามารถตีธรรมข้อนี้ได้แตก ศิษย์จะอยู่บนโลกอย่างผู้พ้นทุกข์ มีใครตอบได้ไหม
มนุษย์ในแต่ละวันชอบคิดนินทา คิดกังวล หรือไม่ก็คิดไปว่าใครด่าเราบ้าง เมื่อเราเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เวลาที่เจอข้อธรรมแปลกๆ เราลองหย่อนเมล็ดธรรมลงไปในเนื้อนาบุญแห่งจิตใจดูบ้าง เผื่อว่าเนื้อนาบุญนี้จะตอบคำถามด้วยปัญญาอันตื่นรู้ เอาเวลาที่คิดฟุ้งซ่านมาเป็นเวลาหาธรรมะ และหย่อนลงในจิตใจแล้วเกิดความตื่นรู้ที่นำพาให้พ้นทุกข์ เอาเวลาที่คิดกลัวกังวลในภายหน้า เปลี่ยนเป็นเอาข้อธรรมมาคิดแล้วทำให้เราแจ่มแจ้งในวันนี้ แล้วเข้าใจอนาคต เหมือนที่เรียกว่า ถ้าเข้าใจชีวิต รู้จักชีวิตการเรียนรู้ธรรมก็ไม่ยาก ถ้าเข้าใจธรรมรู้จักธรรม การเข้าใจชีวิตก็ไม่ยากเช่นกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายึดตั้งแต่หัวจรดเท้า เท่ากับเราก็ทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าง ใครจะทำให้เราทุกข์ ก็ไม่มี ใครจะว่าเราให้เจ็บ แท้จริงก็ว่าง เมื่อเราเห็นตัวว่าง แล้วใครกำลังทำอะไรกับใคร มันไม่มี มีแต่ธรรมที่เคลื่อนคล้อยไป ศิษย์ลองมองจนถึงที่สุด มองตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนมี เหมือนอยู่ เหมือนใช่ แต่บางครั้งก็ไม่มี ไม่ใช่ ไม่อยู่ ฉะนั้นไหว้พระพุทธะร้อยรูป ก็ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ
มีตัวตน ยึดตัวตน โดนตรงไหนก็เจ็บ แม้ไม่โดนก็เจ็บเพราะยึดชื่อ ยึดคำว่าตัวตน แต่เมื่อไรศิษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งสัทธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าธรรมแท้ที่อยู่ในตัวเรานั้น มีแก่นอันหนึ่งที่เรียกว่า ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ความว่าง ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วเราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่มี)  มีแต่ความหลงผิด ที่สร้างเป็นตัวตนให้เราทุกข์และเจ็บช้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ตีศิษย์แล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  ก็ถ้ายึดมันก็เจ็บ ใช่ไหม ถ้าอาจารย์ตีอีกๆ (ไม่เจ็บเพราะไม่ยึด)  ไม่ใช่หรอกศิษย์ หลังจากอาจารย์ตีเสร็จมันจบแล้ว ถ้ามันว่างมันก็ไม่มี แต่ถ้าศิษย์เอาสิ่งที่มันจบแล้วมาเกี่ยวและขังตัวเอง ว่าเจ็บ มันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทั้งที่ชีวิตเรามีแต่ปัจจุบัน แต่มนุษย์ชอบคิดอดีตแล้วลากมาเจ็บปวดในปัจจุบันและอนาคต ถ้าโดนตีแล้วจบ ก็พบธรรมและสงบ เพราะธรรมคือความสงบ แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นเกี่ยวกรรม แล้วพอเกี่ยวกรรมเสร็จก็ต่อด้วยการจองเวรจองกรรม ฉะนั้น “กราบไหว้พระพุทธะร้อยรูป ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ”
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม เศร้าไหม ที่เป็นแบบนี้เพราะเรายึดไม่ปล่อย เราหวงไม่วาง ทั้งที่จริงๆ แล้วมีอะไรที่เป็นของเรา (ไม่มี)  เหมือนจะได้เหมือนจะมี แต่ถึงเวลาก็ไม่มี เวลาศิษย์สอนลูกว่า “อย่าเล่นกับไฟ เดี๋ยวมันไหม้มือ” ห้ามเท่าไรก็ยังอยากเล่น วิธีของอาจารย์คือให้เล่นไปเลย แต่เราต้องอยู่ควบคุมด้วย
ถ้าเรายึดติดตัวตนสังขารทุกอย่างที่เป็นตัวเรา ไม่ว่าใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาทำอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราก็จะทุกข์กับทุกสิ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงว่าตัวตนที่แท้จริง ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถึงที่สุดแล้วว่างจากตัวตนที่แท้จริง เราจะทุกข์เพราะอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์สามารถทำทุกสิ่งให้จบภายในขณะนี้ ก็จะไม่เกิดอดีตและอนาคต จะไม่เกิดสามกาล เพราะจบลงได้ในตอนนี้ คำว่าตัวตนก่อเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่สามารถจบ ไม่สามารถวางในขณะนี้ได้จนเกิดเป็นอัตตาขังตัวตน ก่อเกิดเป็นชะตากรรม ฉะนั้นเรียนรู้เข้าใจธรรมมีหรือจะไม่เข้าใจชีวิต แต่น้อยคนนักที่สนใจธรรมะ รักชีวิตแต่ไม่สนใจธรรม ทั้งที่จริงแล้วธรรมก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นแก่นแท้ของใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)
ความทุกข์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ารัก อาจารย์พูดเสมอเพราะทุกข์จึงรู้จักปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นก็จะยึดติดไม่จบสิ้น เพราะทุกข์จากการยืนจึงรู้จักความสุขของการนั่ง ฉะนั้นความทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เพราะมีทุกข์ทำให้เราเจ็บปวด เราจึงต้องรู้จักดำรงชีวิตให้เข้มแข็ง เพราะมีทุกข์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความอ่อนแอ เราจึงรู้ว่าชีวิตตอนนี้ต้องรักษาและดูแลใจ ความทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า
อาจารย์จะบอกอะไรอย่างหนึ่งนะ อย่าทำให้ใครทุกข์ เพราะเมื่อไรที่ศิษย์ทำใครคนใดทุกข์ คนที่ทุกข์จะย้อนกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ยิ่งกว่า อย่าทำให้ใครเจ็บ เพราะคนที่ศิษย์ทำให้เขาเจ็บ เขาจะทำให้ศิษย์เจ็บจนลืมไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอใครไม่ดีอย่าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น แต่จงเห็นใจและให้โอกาส อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติม เพราะว่าคนที่ศิษย์ทำลายเขา เขาจะมาป่วนให้เราไม่มีวันมีความสุข ฉะนั้นเวลาเราเจอคนมีความทุกข์ เราจึงต้องรีบช่วยเหลือ เวลาเราเจอคนที่มีความทุกข์ ศิษย์จะช่วยเขาดับทุกข์เป็นครั้งๆ หรือจะสอนให้เขารู้วิธีดับทุกข์ อย่างไหนดีกว่ากัน (สอนให้รู้วิธีดับทุกข์)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์เจอคนประเภทหนึ่ง ที่ฟ้าทำอะไรเขาไม่ได้ และอาจารย์ก็อยากเอาชะตาของคนๆ นี้ มาเล่าให้ศิษย์ฟัง แม้ความทุกข์หรือนรกก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ศิษย์สนใจไหม (สนใจ)  คนประเภทนี้เป็นคนที่ แม้ชะตาทำให้เขาอดอยาก เขาก็ไม่อด แม้ชะตาจะทำให้เขาโดดเดี่ยว เขาก็ไม่เคยโดดเดี่ยว แม้ชะตาจะทำให้เขาสูญเสีย เขาก็ไม่เคยสูญเสีย สนใจชะตากรรมคนนี้ไหมศิษย์ (สนใจ)  คนนี้ๆ ตกนรกไม่กลัว กล้าที่จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ไม่เอา สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ทุกข์ที่สุด เขายังกล้าแบกรับ เขายังกล้ายืนหยัด ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะผ่านไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดเขาก็ไม่รับ เพราะเขาไม่มีตัวตนให้ยึดถือแล้ว
ฉะนั้นจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อะไรก็ไม่หวาดหวั่นไม่หวั่นกลัว ถ้าศิษย์อยากรู้ชะตาคนนี้ ศิษย์ต้องกล้าไปนรก เพราะถ้านรกศิษย์ผ่านได้ สวรรค์ยิ่งกว่าสวรรค์เราก็ไปได้ สวรรค์เขาไม่เอาเพราะเขาอยากเข้าถึงธรรมที่เรียกว่าแม้สวรรค์เขาก็ไม่ยึดถือ แต่เขาขอกลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ทำให้เขาเป็นทุกสิ่ง ไม่ต้องเป็นอะไรเลยที่แท้จริง ถ้าวันหนึ่งศิษย์รู้จักคำว่านรกที่อยู่ในใจ ถ้าต้องเจอทุกข์ขอให้มุ่งมั่นรักษาความดีและก้มหน้ายินดีชดใช้มันจนจบ แต่ถ้าเจอนรกแล้วศิษย์บอกว่า “ทำไมๆ “ มันจะไม่มีวันจบและนรกจะยิ่งเผาไหม้ใจศิษย์ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ต้องเจอกับนรกและความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตศิษย์จงบอกว่า “ขอบคุณๆ” และนรกจะจบได้ คำว่านรกก็คือ ผิดก็กล้ายอมรับ ถูกก็ไม่ยึดมั่นแบ่งปันให้ผู้คน แล้วใครจะกดขี่ข่มเหงเราได้ ความทุกข์ลืมไปบ้างเถอะ จำมันก็มีแต่เจ็บ ยึดมันก็มีแต่ทุกข์
ศิษย์เอยรู้ไหม คนที่ฟ้าก็ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของคนๆ นั้นได้ ก็คือ คนที่แม้ฟ้าจะเล่นตลกให้เขาอับจน ให้เขาโดดเดี่ยว ให้เขาสูญเสีย ให้เขาทุกข์ แต่เขาก็จะไม่อับจน ไม่สูญเสีย และไม่ทุกข์ แล้วศิษย์ทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ถามนะลึกๆ แล้วศิษย์เหงาไหม (ไม่เหงา)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  คนที่มีคู่ก็ตอบได้สิว่าไม่เบื่อ เพราะไม่มีเวลามานั่งเหงา แต่คนที่ไม่มีคู่ก็จะรู้สึกว่าเหงาจังเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเพียงศิษย์สามารถอยู่อย่างเข้มแข็งได้ ความเหงาก็มาเล่นตลกกับศิษย์ไม่ได้ ใครที่ไหนก็มาทำให้ศิษย์โดดเดี่ยวไม่ได้ ศิษย์เหงาเพราะศิษย์รอให้ใครมารัก รอเมื่อไรเนื้อคู่จะมาหนอ เมื่อไรจะมีคนมารักหนอ ศิษย์เป็นอย่างนี้แทบทุกคน การที่ศิษย์เอาแต่รอ ก็เลยได้แต่รอ เราก็เลยกลายเป็นคนที่ใจห่อเหี่ยว เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครมารักเราเลย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีรักที่แท้จริง รักทุกคน รักทุกสิ่ง รักด้วยความจริง รักด้วยใจที่ให้ อย่างนี้จะเหงาไหม โดดเดี่ยวไหม เพื่อนไม่จริงใจ เราจริงใจ เพื่อนไม่ซื่อตรงเราซื่อตรง คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนจะไม่มีใครรักหรือ จริงไหม (จริง) อย่ามัวแต่รอ คนที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต คือคนไม่รอฟ้า สร้างทุกอย่างเองกับมือ ไม่ต้องรอให้ใครมารักแต่เราจะรักทุกคน ไม่ต้องรอใครจริงใจกับเราแต่เราจะจริงใจกับทุกคน ไม่ต้องรอใครเมตตากับเราแต่เราจะเมตตากับทุกคน ดูสิใครจะไม่รักบ้าง จริงไหม (จริง)
คนที่สามารถยึดกุมชะตาได้ ฟ้าจะมาเล่นตลกกับเขาไม่ได้ ฟ้าจะทำให้โดดเดี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อเขาจริงใจ รักทุกคน และเมื่อจริงใจรักแล้วจะมีเวลาจับผิดใครไหม จะมีเวลาตำหนิใครไหม แต่คนที่ไม่เคยจริงใจกับใคร เห็นคนรักกันก็คิดไปว่าคงไปกันไม่รอด เดี๋ยวก็เลิกคบกัน พอเวลาหัวใจว่างไม่เคยจริงใจกับใคร แทนที่จะสร้างบุญแก่กันกลายเป็นแอบแช่งชักกันอีก และก็มีเวลาจับผิดกัน สุดท้ายก็กลับมาอยู่กับตัวเองพร้อมกับความรู้สึกเหงา เดียวดาย
ฉะนั้นถ้าอยากกุมชะตาชีวิตให้อยู่ รักทุกคน เห็นใครก็รัก และเป็นความรักที่แท้จริง เราจะมีเวลาไปจับผิดใครไหม เราจะมีเวลาไปต่อว่าใครไหม มีแต่พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด ฉันต้องจริงใจให้มากขึ้น ฉันต้องรักคนรอบข้างยิ่งขึ้น แล้วคนแบบนี้เหงาไหม (ไม่เหงา)  จะมีเวลาเดียวดาย อาดูร สิ้นสูญแล้วทุกสิ่งไหม ถ้าศิษย์รู้จักคุมชะตาชีวิตให้เป็น ชีวิตนี้จะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย ทั่วทั้งสี่ทิศก็เป็นมิตร เป็นญาติ เป็นคนรักเรา
ศิษย์กลัวสูญเสียไหม (กลัว, ไม่กลัว)  เสียมาเยอะแล้ว เจ็บจนจำแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีเกิดต้องมีดับ เมื่อเจอเรื่องที่สูญเสีย ศิษย์จงอย่าเสียศูนย์ มีใครบ้างไม่สูญเสีย (ไม่มี)  เมื่อคนอื่นสูญเสียก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมเมื่อตัวเองสูญเสียถึงรู้สึกว่าไม่ธรรมดา ทั้งที่เรารู้ว่าความสูญเสียล้วนเป็นสิ่งธรรมดา ตั้งแต่เล็กจนโตมีใครไม่เสียอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้การได้มาล้วนเป็นเรื่องที่ต้องเสียไปทั้งสิ้น มีอะไรบ้างที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี)  แล้วมีอะไรบ้างที่เคยเสียไปแล้วได้กลับมา (ไม่มี)  คนที่ถึงเวลาต้องสูญเสียเขาจะจำไว้ว่าเขาจะไม่เสียศูนย์ ถึงเวลาที่ฟ้าจะให้เขาอับจน เขาจะไม่จนปัญญาและไม่จนใจ ศิษย์จำไว้ว่าทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่าง ฉะนั้นเราเคยเสียไหม (ไม่เสีย)  เรามาจากความว่างเเละกลับสู่ความว่าง ฉะนั้นฟ้าเเค่ให้เรากลับมายืนที่เดิม ที่ๆ เราเคยไม่มี ในความเป็นจริงของทุกชีวิตเเม้จะมีเเค่ไหนถึงที่สุดก็ต้องไม่มี เเล้วจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ถ้ากลัวการสูญเสียก็สู้รักษาโอกาสเมื่อยังมีเเละอยู่กับทุกๆ สิ่งให้มีค่าที่สุด เมื่อถึงเวลาต้องจากกันจะได้ไม่เสียใจ รักเขาที่สุดก็ดูเเลเขาที่สุดเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงวันหนึ่งต้องจากลากันก็ไม่เสียใจ เมื่อวันหนึ่งเราต้องจากกับเขาเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)
กลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถึงแม้ว่าชะตาจะทำให้เราต้องเจ็บ ถึงแม้ชะตาจะทำให้เราต้องทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ความเจ็บเป็นเรื่องน่ารัก ถ้าไม่เจ็บศิษย์จะรู้หรือว่าตอนนี้ร่างกายศิษย์ผิดปกติ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่อยู่แล้วประพฤติผิด ขาดศีลขาดธรรม ขาดความเป็นคน มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายดีกว่า จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความดีเหมือนน้ำ ตายเพราะน้ำ ตายเพราะความดี ยังประเสริฐกว่าเกิดเป็นคนแล้วตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ตายเพราะไฟกิเลส จะทำให้ศิษย์แม้ตายแล้ว ไม่ว่ากี่ภพ กี่ชาติ ศิษย์ก็ต้องกลับไปชดใช้กรรมของกิเลสที่ศิษย์สร้าง
ถ้าศิษย์บอกว่าไม่กลัวตายเพราะศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าศิษย์บอกว่ากลัวตาย แปลว่าศิษย์ยัง (ไม่ทำความดี)  เมื่อเข้าใจว่า ไม่เหงา ไม่กลัวสูญเสีย ไม่กลัวตาย แล้วทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ฉะนั้นพอรอดหรือยัง (รอด)  แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะรอดแต่ไปไม่รอดก็คือ มันอดใจไม่ได้ สิ่งดีก็รู้ แต่สิ่งไม่ดีก็ยังหวั่นไหว ใช่ไหม เมื่อเรายังไม่สามารถห้ามใจเราได้ ถ้าเราเลือกทางที่ผิด ชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตทางที่ผิดก็คือการตกเป็นทาสของความหลงผิด ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์จงรู้ว่า ทุกข์มีสองอย่าง ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความเป็นจริง คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้าง โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล เราไม่สร้างเหตุ เราก็ไม่ต้องมารับผล ถ้าศิษย์สร้างเหตุแห่งกรรมชั่ว ศิษย์ก็ต้องรับผลกรรมชั่ว
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีโอกาสเลือก ถ้าศิษย์ไม่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งที่ดีงาม วันหนึ่งเมื่อกรรมตกผล ศิษย์จะไม่สามารถเลือกอะไรได้นอกจากใช้กรรม
ฉะนั้นถ้ามีโอกาสเลือกระหว่างดีกับไม่ดี ศิษย์เลือกอะไร (ดี)  ระหว่างธรรมะกับอธรรม ศิษย์เลือกอะไร (ธรรมะ)  ถึงเวลาจริงๆ อธรรมล้วนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เทียบง่ายๆ เขาด่ามา ลองเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาก่อน อย่าเพิ่งปล่อย ดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงไหม แล้วเราเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหม ถ้าเป็นจริงให้รีบขอโทษ เพราะตอนนี้เขากำลังทุกข์เพราะเรา แล้วเขาเจ็บมากๆ จนทนไม่ไหว ต้องระเบิดออกมาให้ได้รับรู้ เราไม่ต้องยิ้ม ทำหน้าเศร้าไว้แล้วบอกขอโทษ เพราะถ้ายิ่งยิ้มจะเหมือนยิ่งยั่วเขา เหมือนไม่มีความสำนึก ฉะนั้นเมื่อเขาด่ามา ขอโทษจากใจ รู้สึกผิดจากใจเพราะมันเป็นโอกาสที่ดีที่ศิษย์จะได้ยอมรับกรรม ยอมรับสิ่งที่ศิษย์กระทำ เหมือนที่อาจารย์บอกกับศิษย์ว่า เมื่อเจอนรก ศิษย์อย่ากลัวนรก แต่จงยินดีที่จะชดใช้แล้วกรรมมันจะได้จบ คนตั้งเยอะแยะไม่ด่า มาด่าเรา แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกรรมกันมา คนตั้งเยอะไม่เกลียด แต่เกลียดเรา คนตั้งเยอะแยะไม่ไปใช้แต่มาใช้เรา “คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก” ธรรมะสอนให้เราเลือกทางสายกลาง ถ้าพ้นจากความคิดดีคิดชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกอีกอย่างว่าธรรมแท้แห่งความสงบ ธรรมที่ทำให้เราจบ ว่าง สงบ เย็น
สังขารถูกสร้างขึ้นมาจากพ่อและแม่ แต่ความเป็นตัวตนของเราถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สิ่งที่โกรธ สิ่งที่พอใจ กิเลสก็คือความคิดที่กำลังนึกคิดของตัวตน เมื่อไรที่มนุษย์ว่างจากตัวตนก็จะว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าเมื่อไรศิษย์โดนด่าและว่างจากความคิด สงบ จบ ขอโทษ ธรรมะอยู่ตรงนี้เอง สงบ จบ ก็คือธรรม ถ้าไม่ยอมจบ ไม่ยอมสงบก็ก่อเกิดเป็นกรรมและก็เรียกว่าทุกข์
แอปเปิลผลนี้กินแล้วมีความสุขที่สุดแล้วก็ทุกข์ที่สุด จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  แล้วชีวิตศิษย์ยึดหรือไม่ยึด (ไม่ยึด)  เรายึดเราเอาทั้งนั้น ในเมื่อเอามาแล้วก็เลยหนีไม่พ้นกรรม เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ศิษย์ว่างจากความคิดปรุงแต่ง ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ ว่างจากความคิดแบ่งแยกชอบชัง ศิษย์จะพบกับความว่างบริสุทธิ์ ว่างจากความคิดปรุงแต่งยึดติดรูปลักษณ์จำได้หมายรู้ ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้อันเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่าธรรม เมื่อโดนกระทบเเล้วพ้นจากการคิดเเละการปรุงเเต่งจะกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่าง ตัวตนไม่มี เมื่อตัวตนไม่มีศิษย์จะเป็นอิสระจากภาวะคู่ ไม่มีอุปาทาน ไม่มีกิเลสเเละพ้นจากเวรกรรม เหมือนไม่ยากแต่ทำยาก วิธีเเก้ก็คือให้มีสติ สติจะเป็นกำลังที่ดีของปัญญาเเละของจิตใจ มีสติรู้เท่าทันต่อเนื่องไม่ขาดสายจะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ภัยเเละพ้นอบายภูมิทั้งหลาย เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบแล้วยึดติดดีก็ขึ้นสวรรค์ ยึดติดชั่วก็ตกนรก แต่ถ้าพ้นจากการยึดติดดีหรือชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกว่าธรรมะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง: พูดไม่ค่อยเก่ง ชื่อเพลง: ทำตนสายกลาง)
ศิษย์ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ในใจกันเยอะแยะไปหมด ถ้าสมมติเราเจอเรื่องอะไร ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อารมณ์ก่อเกิดขึ้นมาทันที พร้อมสร้างกรรมขึ้น แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร รีบวางให้ไวที่สุดหรือระเบิดอารมณ์ ศิษย์จำไว้นะ เขาทำศิษย์ ศิษย์ให้อภัย ศิษย์จบได้ แต่เวลาศิษย์ทำเขา กรวดน้ำก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว บางทีเขาไม่ยอมจบ และไม่ยอมลืมง่ายๆ ในโลกนี้มีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา ถ้าเขาทำเรา แล้วเราก็ต้องรู้จัก (ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธ)  แต่สำหรับอาจารย์ถ้าเรายังมีคำว่าให้อภัยแปลว่า เรายังทำใจไม่ได้ ถ้ามันจบเป็นกลาง ศิษย์ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ให้อภัย มันก็แค่นั้นเท่านั้น ถ้าศิษย์ยังต้องพยายามใช้ธรรมะข่มใจ นั่นแปลว่าเรายังทำใจไม่ได้ เรายังยึดติดความคิดอยู่
ท่ามกลางความสับสนขอให้รักษาจิตให้มีสติ เวลาที่เกิดเรื่องราวอะไรก็ตาม ศิษย์จะจัดการเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยการตั้งสติ เมื่อตั้งสติแล้วเรายอมจบยอมวางได้ไหม เมื่อไรที่ต้องคิดให้อภัย แปลว่าศิษย์ยังไม่ยอมจบ และเมื่อไรที่ศิษย์ยังจำได้ไม่ลืม แปลว่าศิษย์ยังผูกใจเจ็บ จบก็แปลว่าจบตรงนั้น เมื่อศิษย์ไม่ยอมจบ ยังจำ มันก็ก่อเกิดเป็นกรรม ที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว เมื่อทำกรรมชั่วมากๆ ศิษย์ก็พยายามทำกรรมดีชดใช้ ศิษย์ด่าเขาไปแล้ว แต่ไปสวดมนต์ แผ่บุญกุศล กรวดน้ำให้ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  เขาจะลืมไหม (ไม่ลืม)
เรามาตัวเปล่า มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว สามีกลับด้วยไหม ภรรยากลับด้วยไหม ลูกกลับด้วยไหม (ไม่กลับ)  จริงไหม (จริง)  คำว่าตัวตนของเราเกิดขึ้นจากความคิดเเละความเข้าใจ ความโกรธ ความรักก็เพราะนึกคิด กิเลสทั้งหลายที่มาจากตัวเรา ก็เพราะเราคิดนึกเเล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ชอบ สิ่งนี้ไม่ชอบ ศิษย์จำไว้ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ารัก ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าเกลียด เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่ชอบ ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าชัง ทำดีที่สุดเเต่ไม่ได้ยึดติด เรารักเขาแต่เขาจะรักหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว เขาต้องรักเราตอบนั่นเเปลว่า เรากำลังสร้างกรรมที่เรียกว่ากรรมร่วม เเต่ถ้าเป็นกรรมด้านเดียวคือทำกรรมแล้วจบไม่เอาอีก จะมีผลตอบโต้ไหม (ไม่มี)  พระพุทธะจึงสอนว่า “การปฏิบัติธรรมเพื่อวาง ไม่ใช่เพื่อยึดถือ” ถ้าศิษย์ยังละกรรมไม่ได้ ยังอดที่จะยึดไม่ได้ว่าคนนี้รัก คนนี้เกลียด คนนี้ชม คนนี้ด่า ศิษย์จึงหนีไม่พ้นกรรมดีเเละกรรมชั่ว เเต่ถ้าเมื่อไรเข้าใจความเป็นจริงแล้วปรับเปลี่ยนความคิดชีวิตศิษย์ก็เปลี่ยน ถูกไหม (ถูก)  ความรู้ ความเข้าใจก่อเกิดเป็นความคิด ความคิดก่อเกิดเป็นนิสัย นิสัยก่อเกิดเป็นความประพฤติเเละความประพฤติก่อเกิดเป็นชะตากรรมที่เรียกว่าเกิดมาใช้กรรม ถ้าเราทำอะไรตามความคิดก็คือเราทำอะไรตามกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมดีเเละกรรมชั่ว ถ้าเราจะเปลี่ยนชะตากรรมเราก็ต้องเปลี่ยนที่ความรู้ ความเข้าใจ เพราะมันมาก่อนความคิด ศิษย์จะรู้เเละเข้าใจจึงมาเป็นความคิดมีใครดีที่สุด มีใครชมเราเเละไม่ด่าเราเลย มีใครบ้างที่สมบูรณ์แบบ (ไม่มี)  เมื่อไม่มีแล้วใครที่น่ารัก ใครที่น่าเกลียด (ไม่มี)  ใครที่เราต้องโมโห ต้องโกรธ ต้องหลง (ไม่มี)  แล้วจบไหม (จบ)  เเล้วเราต้องพยายามเอาอะไรไปข่มความโลภ ความโกรธ ความหลงไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นก็ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจ ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจในธรรม ซึ่งเป็นรากความเป็นจริงของทุกชีวิต
เมื่อเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง หาแก่นแท้ไม่ได้ เราจะปรับเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนนิสัย เราจะเปลี่ยนชะตากรรม อะไรในโลกก็ไม่น่ายึด ไม่มีอะไรที่ยึดได้เลย เพราะเป็นแก่นของทุกชีวิตที่เรียกว่า
สัจธรรม คนพบธรรมก็ค้นพบทางพ้นทุกข์ แต่ถ้ามองไม่เห็นธรรมก็ทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  เพราะทุกชีวิตตายไปก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ศิษย์จะโลภ ศิษย์จะโกรธ ศิษย์จะหลงอะไร ความไม่เที่ยงของโลกทำให้เราไม่อยากโลภ ความทุกข์ของโลก ทำให้เราไม่อยากโกรธ ความไม่มีตัวตนในโลกทำให้เราไม่อยากหลง ฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคือทางดับโลภ โกรธ หลง ได้ด้วยการรู้แจ้งในใจตนที่เรียกว่าสัจธรรม เราอยู่บนโลกอย่าอยู่แบบคนมีกรรมเลย อยู่แบบคนเกิดมาสิ้นกรรมไม่ดีกว่าหรือ
ศิษย์ทำบุญเยอะและหวังว่าจะไปรับผลบุญ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าขอแปลว่ายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับผลบุญ แต่ถ้าศีลห้าไม่ครบศิษย์ไม่สามารถเกิดเป็นคนได้ ใครที่ทำบุญแล้วขอว่า “ขอให้สบายๆ” ระวังจะเกิดมาแล้วสบายจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดเป็นคน ไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถูกต้องในทำนองคลองธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ต่อผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อความเป็นคนต้องสมบูรณ์ก่อน ถ้าความเป็นคนไม่สมบูรณ์ ไม่ประเสริฐอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ต้องปฏิบัติความเป็นคนให้ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องการปฏิบัติต่อผู้คนศิษย์ก็จะสิ้นทุกข์ได้ ระหว่างขอเขาจุดไฟไม่สู้สอนวิธีจุดไฟ สอนวิธีดับทุกข์ไม่สู้ศิษย์รู้จักดับทุกข์ด้วยตนเอง ขอแค่เพียงมีสติ ระมัดระวังตัวเองให้มากๆ
“อะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์” (กิเลส)  กิเลสเป็นความนึกคิดแห่งตัวตน เมื่อว่างจากตัวตนกิเลสก็ไม่มี
(ความยึดมั่นยึดติด)  ที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม แล้วตอนนี้ล่ะ (ยังยึดอยู่)  เมื่อถึงเวลาก็ต้องวางนะศิษย์  รู้จักวางเสียก่อน เรียนรู้แล้วต้องเอาไปฝึกจิต
(ยึดติดในความดีและความไม่ดี)  ต้นเหตุและรากเหง้าของความทุกข์มาจากอะไรรู้ไหม มาจากการไม่ยอมรับความไม่มีแล้วอยากจะมี จริงไหม
(ความทุกข์ความอยาก)  อยากมากก็ทุกข์มาก เกิดมากี่ทีก็ทุกข์ทุกที ฉะนั้นถ้ารู้จักพอมันก็ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ รู้จักสุขกับสิ่งที่มี
(ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ อาจารย์อยากให้ศิษย์ รู้ว่าในโลกนี้ไม่ว่าอยู่กับสิ่งที่รักหรือต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมดาก็เข้าใจชีวิต
(ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกวิธีแก้โลภโกรธหลงไปหรือยัง (ความรู้ความเข้าใจ) ถ้าเรารู้เข้าใจความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เราก็จะไม่มีอะไรในโลกที่น่าโลภน่าโกรธน่าหลง จริงไหม
(ไม่ยอมรับความจริง)  ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ยากรับ แต่ก็ต้องเรียนรู้ เพราะความจริงล้วนเป็นธรรมดา ใช่ไหม
(การยึดติดอยู่กับความสุข)  การนั่งสมาธิบางทีทำให้เรามีสุข แต่ติดอยู่กับความสุขจะทำให้เราไม่พ้น ใช่ไหม เพราะธรรมแท้คือความว่าง ว่างคือสงบเย็น ไม่มีอะไร เหมือนเรานั่งให้สงบไม่จำเป็นจะต้องมีอะไร เพราะการพยายามมี ก็คือการละรูปลักษณ์หนึ่งเพื่อไปยึดรูปลักษณ์อีกหนึ่งนั้นก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่
ฉะนั้นต้องฝึกให้มีสติทุกขณะที่เรารู้ ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ให้ขาดหาย ถ้าเวลาความคิดมา ไม่ต้องไปกดห้ามความคิด แค่อยู่กับความคิดนั้นให้ได้ แต่ไม่ให้ค่า ไม่สนใจ แล้วความคิดเหล่านั้นจะจางหายไป
(การไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ได้ตรงนี้แต่ไปคิดตรงนั้น ฉะนั้นต่อไปตรงนี้ก็ดีแล้ว แล้วความสุขจะอยู่ในใจ จริงไหม (จริง)
สังขารคือความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ใจพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นสังขารเจ็บก็รักษา ถ้าทุกข์ที่รักษาไม่หายจงพิจารณายอมรับว่าเป็นการชดใช้กรรม อย่าทำผิดบาปอีก
(ความรัก รักมากก็ทุกข์มาก)  ต่อไปจะรักใครรักได้ แต่ไม่หวังผลตอบแทน รักแบบไม่คาดหวังผล รักในสิ่งที่เขาเป็น และยินดีรับให้ได้เมื่อเขาเป็นแบบไหน รักให้เป็นแล้วจะไม่ทุกข์ ยินดีรับได้ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน ไม่เช่นนั้นรักใครก็เป็นทุกข์ อย่าเอาอดีตมาทำให้ปัจจุบันทุกข์หรือจะให้แล้วก็ผ่านเลยไป จะได้ชดใช้กันให้หมดสักที (อยากได้ อยากมี อยากเป็น)  เพราะไม่พอจึงเป็นทุกข์ แค่นี้ดีแล้ว แค่นี้สุขแล้ว ได้ไม่ได้ไม่เป็นไร
(การยึดในอัตตาเมื่อไม่ได้ดั่งใจ)  จริง ๆ อัตตาคือรากเหง้าแห่งทุกข์ทั้งมวล ถ้าศิษย์แก้ที่ต้นเหตุได้ ศิษย์ก็ดับทุกข์ทั้งมวลได้ แล้วอัตตาจริง ๆ มีไหม แล้วอัตตาใดที่ใหญ่ที่สุด อารมณ์ไหนมาแรงอารมณ์นั้นจะครอบงำตัวเรา ทั้งที่จริงแล้วอารมณ์นั้นไม่ใช่ตัวตนเรา
เราจะสามารถดับความโกรธได้ ก็ต่อเมื่อเรามองเห็นตามความเป็นจริงว่า แท้จริงสิ่งที่เราโกรธก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ (ความไม่รู้ทำให้ไม่เข้าใจความทุกข์)  จริงๆ แล้วทุกข์มาจากไหนศิษย์ก็รู้ ดับทุกข์ที่ไหนศิษย์ก็รู้ แต่ศิษย์ไม่เคยคิดที่จะรู้จริงๆ สักที รู้แต่ไม่ทำก็เหมือนไม่รู้ อย่าบอกว่าศิษย์ไม่รู้ รู้ไหมว่ากำลังคิดไม่ดี แต่ก็ยังไม่หยุดคิด อย่าแค่รู้แต่จงรู้แล้วกระจ่างแจ้ง
จนสามารถเห็นแล้วไม่ต้องทำอะไร มันจบได้เลย เห็นมันเที่ยงไหม มันทุกข์ไหม ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์จะโกรธทำไม ถ้ารู้ว่าไม่เที่ยงจะรักทำไม ถ้ารู้ว่าหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้จะหลงอะไร  (ความทุกข์เกิดจากการยึดติดในอำนาจลาภยศสรรเสริญ)  ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า แม้แต่อำนาจสูงสุดก็ยังต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แล้วควรหรือที่จะไปยึด
(ความคาดหวัง)  ตัวศิษย์ทุกคนในที่นี้โดนคนอื่นด่า ที่ทุกข์เพราะว่าคาดหวังว่าเขาไม่น่าด่าเรา เขาแค่พูดอะไรธรรมดาไม่ได้ด่า แต่ศิษย์ก็ทุกข์เพราะคิดในใจว่าทำไมเขาพูดกับเราแบบนี้ ฉะนั้นความคาดหวังคือสิ่งที่น่ากลัว เรายึดติดจำได้หมายรู้ว่าถ้าเป็นเพื่อนฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าคุยกับอาจารย์ฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าเป็นแฟนฉันต้องพูดหวานแบบนี้ก็เลยทุกข์
(การให้แล้วไม่ยึด)  นั่นเพราะศิษย์ไม่ได้ละ ศิษย์ให้แล้วศิษย์ยึด เราบำเพ็ญธรรมการให้เป็นสิ่งที่ดี การให้เป็นรากเหง้าของมูลเหตุของการสร้างคุณธรรมเเละกุศลธรรมทั้งมวล ให้ได้เราก็สร้างกุศลได้ ถ้าให้ไม่ได้เราก็สร้างอะไรไม่ได้ เเล้วเราก็ดีไม่ได้ เเต่จงให้เพื่อละ ไม่ใช่ให้เพื่อยึด ไม่อย่างนั้นการทำบุญของศิษย์ก็ยังอิงแอบไปด้วยความทุกข์เเละความหมองเศร้า
(การคาดหวังเเละพะวงกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น)  ถ้าทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็กล้าหาญไว้ ถ้ากล้าจะกลัวอะไร ล้มเหลวก็สำเร็จได้ เเพ้ก็ชนะได้ เเต่บางครั้งเเพ้บ่อยๆ เพื่อให้คนอื่นชนะก็เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ยอมให้คนอื่นก้าวหน้าเเต่ตัวเองไม่ก้าวหน้าแต่มีความสุขก็คือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งคนในโลกไม่มี ไม่ต้องเเก่งแย่ง เเค่รับผิดชอบให้ดีที่สุด ใครก้าวหน้าก็ก้าวไปแต่ฉันขอก้าวหน้าในทางธรรม
(ความเจ็บป่วยของร่างกาย)  ความเจ็บปวดเพียงเสี้ยวเดียวตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ค่าของชีวิตยังมีอีกมาก อย่าให้ความเจ็บปวดแค่เสี้ยวเดียวมาฆ่าชีวิต เพราะความเจ็บปวดเป็นแค่สัญญาณเตือน ถ้าไม่มีสัญญาณ ศิษย์จะไม่มายืนหายใจแบบนี้แล้ว ฉะนั้นความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดีอย่ากลัว แต่จงหาทางสู้อย่ายอมเเพ้
(การตัดสินคนอื่น)  เมื่อเจอใครอย่าเพิ่งตีค่าหรือตัดสินเพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดเเละเขาอาจจะมีค่าอะไรมากกว่าที่เราคาดคิดก็ได้ รักมากก็เกลียดมากแต่ถ้าไม่รักก็ไม่เกลียดใคร ฉะนั้นทำให้เสมอกัน ศิษย์จะได้ไม่รู้สึกว่าต้องเกลียดใครมากหรือรักใครมากเเล้วเจ็บเพราะรักเจ็บเพราะเกลียด
ในโลกนี้ไม่มีใครแย่กว่าใคร ถ้าศิษย์มองคนที่แย่กว่าเรา เราก็คือคนโชคดี แต่ถ้าศิษย์เอาแต่มองคนที่สูงกว่าศิษย์ก็มีแต่ช้ำใจ เรายืนกลางฟ้าดิน ฟ้าสอนเสมอว่าเราเป็นกลาง เราไม่ได้แย่กว่าใครและเราก็ไม่ได้เหนือกว่าใคร มีสิ่งที่สูงกว่าก็คือฟ้า มีสิ่งที่เตี้ยกว่าก็คือดิน เราคือภาวะที่ดีที่สุดที่เรียกว่ากลาง แต่เรามักอดไม่ได้เอาแต่มองฟ้าจนลืมมองดิน
(กิเลสตัณหา)  ถ้าเราอยากดับกิเลสและตัณหาให้ได้เราต้องรู้จักควบคุมใจตัวเอง จงฝึกให้มีพระพุทธะอยู่กับใจเพราะพระพุทธะเป็นผู้ไม่มีกิเลส



 


เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน ชีวิตของศิษย์มักถูกความคิดครอบงำ เราเป็นอะไร ดูที่ความคิด ชีวิตเป็นอย่างไร ดูที่ความคิด ความคิดที่ไม่ดี มันมีปัญหาเราก็ต้องเปลี่ยน การจะเปลี่ยนชีวิตได้ ต้องรู้ทันความคิดแล้วเราถึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าโลกใบนี้หรือความเป็นจริงของโลกใบนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทุกข์ แต่มีเพื่อให้เราตื่นรู้เข้าใจและเท่านั้นเอง เช่นนั้นเอง เราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม”
ใครที่บอกว่ามีเคราะห์มีกรรม จะเปลี่ยนตรงไหนก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิด กิเลสเกิดจากความคิด ถ้าเกิดว่าเห็นแต่เราไม่คิด มันจะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่เห็นแต่เราคิด มันมีไหม (มี)  เหมือนเขาไม่ได้ด่า แต่เราคิดว่าเขาด่า ไม่มีก็เหมือนมี เขาด่าแต่เราไม่คิด มันมีก็เหมือนไม่มี ถ้าเขาทำเราเจ็บปวด มีมันก็เหมือนไม่มี ยังทุกข์อะไรอยู่หรือ
วันนี้อาจารย์ก็ต้องกลับแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา มีพบก็มีพรากจาก ขอให้รู้จักรักษาบุญ รักษาโอกาสให้ดี เจออะไรจงแปรกรรมให้เป็นธรรม แปรทุกข์ให้เป็นทางพ้นทุกข์ เขาพ้นทุกข์แล้วจะคิดทำไมให้ทุกข์ เข้าใจที่อาจารย์พูดหรือยัง เขาพ้นทุกข์แล้วอย่าคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะไม่อย่างนั้นจะลากคนที่เขาไปแล้วให้กลับมาทุกข์ด้วย เข้าใจนะ
บำเพ็ญธรรมอย่าท้อ อย่าล้า ช่วยคนไม่มีคำว่าเหนื่อย มีแต่เดินหน้าสู้ต่อไปทำให้ดีที่สุด เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้ศิษย์มีลมหายใจยังเลือกได้ อย่ารอจนกระทั่งเลือกไม่ได้ แล้วต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่เรียกว่ากรรมของตัวเองเลย อาจารย์เห็นมาเยอะ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตอนมีโอกาสไม่ทำความดี พอเจอกรรมได้แต่เงยหน้าถามอาจารย์ว่าทำไมต้องเจอแบบนี้ อาจารย์ก็จะบอกว่า ตอนศิษย์มีโอกาสเลือกให้ทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ศิษย์ไม่ทำ ศิษย์เคยเห็นคนที่ทุกข์มากๆ ไหม เคยเห็นคนที่แย่ไหม เพราะอะไรศิษย์ เพราะเงยหน้าว่าใครไม่ได้ต้องหันกลับมาแก้ไขตัวเอง อะไรที่ทำให้ฉันเจอคนแบบนี้ อาจารย์ก็พูดได้แค่คำเดียวเพราะศิษย์ทำเขามา
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์โชคดีทำไมไม่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์เลยเพราะกิเลสอารมณ์ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ วิบากกรรมและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ศิษย์คิดว่าทุกข์ในโลกน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่าทุกข์แห่งการต้องกลับไปใช้กรรมที่ศิษย์สร้างไม่จบสิ้นน่ากลัวยิ่งกว่า แล้วไยเกิดมาเป็นคนจึงไม่ทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ทำไมต้องรอชาติหน้า ตอนนี้เขามาจะจบกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจะพบธรรม พ้นทุกข์อยู่ที่เรา ทำดีกับเขา ทำไปเถอะ ทำแล้วสิ้นตัวตนได้นั่นคือกุศล ทำแล้วจิตสว่าง ทำแล้วบริสุทธิ์นั่นคือยอดของบุญ คิดให้ดีๆ นะ เราไม่รู้วันตายของชีวิต ฉะนั้นตอนนี้ทำไมไม่สร้างสรรค์สิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิต ทำให้ดีงาม ทำให้มีค่าสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่หาคุณธรรมไม่ได้ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่ความเป็นคนกลับบกพร่อง ความทุกข์น่ากลัว เชื่ออาจารย์เถอะ แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง จงพากเพียรมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ให้เป็นคนที่ดีจริง ปฏิบัติจริงและพ้นทุกข์ได้จริง เมื่อเราพ้นได้เราก็ช่วยคนรอบข้างได้ จริงไหม (จริง)
ลองไตร่ตรองให้ดี ลองคิดพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อใคร เพื่ออะไร เพื่อให้ศิษย์ทั้งนั้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เวลาทำอะไรต้องระมัดระวังให้มากๆ ผิดแล้วมันแก้ไม่ได้ ผิดแล้วทำดีล้างไม่ได้ ฉะนั้น อย่าทำผิดเลย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นให้ยินดีชดใช้ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ นรกก็ไม่กลัว สวรรค์ก็ไม่เอา ขอกลับคืนสู่สภาวธรรมอันไร้ตัวตน ดูแลตัวเองดีๆ นะศิษย์



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปลี่ยน           ” (เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน)
    กิเลสเกิดจากความคิดของตน          ไม่เห็นแต่วนมาคิดก็วุ่นได้
เห็นแต่ไม่คิดเลยก็ว่างไป                    เมื่อใจไร้ทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน
เกิดสติเท่าทันคิดไม่ขาดสาย                จึงเป็นไทไม่เป็นทาสกิเลสนั้น
ทั้งทุกข์สุขล้วนพาหลงไม่ต่างกัน           วางตัวฉันก็ธรรมดาสัทธรรม

    จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม


(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม)
สถานธรรมหมิงเอิน  วันที่ ๑๒ - ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
แก้ไขเพลงพระโอวาทหน้า ๑๒
เดิม
หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
แก้ไขเป็น

หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงดับไป ว่างไปที่นั่นเลย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา