วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-04-23 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

  西元二〇一八年嵗次戊戌二月初七日                       仙佛慈悲訓
  วันศุกร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมสิงเต๋อ  จ.พะเยา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่ 
  บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย     คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง              เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร
          เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ กตัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ไฟโทสะจิตใจมีนามมีรูป              สำนึกได้ไม่ร้อนวูบเป็นเพลิงเผา
คนรู้ใช้ธรรมะดั่งตัวเบาเบา             ชาญ[1]เชาวน์[2]ปัญญาไฟถูกปาฏิหาริย์แห่งสาคร[3]
มีปัญหามีทุกข์ความจริงไม่รับ          เลยนั่งนับวันเวลาคอยหลอกหลอน
แม้ฝึกจิตบำเพ็ญมากหลายขั้นตอน     แต่ไม่ถอนสลายเหตุชาติภพภูมิ
สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ      จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม              ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน
คนเสมอเท่าเทียมไม่มีแตกต่าง          ธรรมไม่ต่างธรรมมีไว้หลุดพ้น
ค้นชีวิตพบโลกค้นจิตพบตน            โลกสับสนไม่อาจกระทบจิตแห่งธรรม

เกิดเป็นคนมีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม        การรู้ยอมเสียสละได้บังเกิดธรรม
ชีวิตมีดีร้ายบ้างธรรมดาธรรม           จงรู้นำธรรมตนค้นพบทาง
อารมณ์ร้อนต้องฝึกใจให้เย็นเย็น       อย่าได้เป็นคนถือสาเกะกะขวาง
ฝึกบำเพ็ญต้องมีธรรมรู้ละวาง          ฝึกใจกลางรักษาใจตนปกติเป็น

                                                                  ฮา  ฮา หยุด



[1] ชาญ           ชำนาญ  รู้  ว่องไว  คล่องแคล่ว
[2] เชาวน์          ความเร็ว  ความไว  ความรวดเร็ว ของปัญญาความคิด
[3] สาคร           แม่น้ำ  ทะเล

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่


นั่งฟังธรรมะเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เรามาฟังธรรมะเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าเหนื่อยเพราะฟังธรรมแล้วได้ลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัว อย่างนั้นยอมเหนื่อยดีกว่าเอาแต่สบายแต่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวของตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "บางครั้งเหนื่อยแล้วสบายใจ ดีกว่าสบายใจแล้วเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้" ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้มาฟังธรรมเหนื่อยหน่อยเพราะไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ได้ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง  สิ่งนี้ไม่ใช่หลักสำคัญในการศึกษาธรรมหรือ จริงไหม (จริง)  หลักการศึกษาธรรมคือลดละการยึดมั่นถือมั่นถูกไหม (ถูก)
เกิดเป็นคนต้องรู้จักเหนื่อยเป็น พักเป็น แต่คนในปัจจุบันนี้ที่ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อยมากไป ส่วนที่สบายก็สบายจนไม่เคยคิดจะเหนื่อยเลย
"บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย    คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง              เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร"
เมื่อมาฟังธรรมในวันนี้แล้ว อย่านั่งฟังกันเฉยๆ ฟังแล้วต้องลงแรงขัดเกลาที่ใจด้วย เมื่อลำบากก็ลองสู้ไม่ถอย เมื่อลำบากต้องยิ่งเชื่อมั่นศรัทธาในความถูกต้องดีงามที่ตัวเองกำลังประพฤติ ปฏิบัติ บางครั้งเราอาจจะพบหนทางที่สว่างที่เราไม่เคยเจอก็ได้ แต่ก่อนเราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน จนไม่รู้ว่าบางครั้งมีเรื่องขัดใจบ้าง มีเรื่องกระทบใจบ้าง มีเรื่องไม่ถูกใจบ้าง บางทีก็ทำให้ใจเราเข้มแข็งกว่าการตามใจตัวเองอยู่เนืองๆ
ต่อให้เราต้องทุกข์เพียงใด เจ็บปวดมากแค่ไหน หรือชีวิตต้องพบเรื่องราวหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรขาดไปจากใจของคนที่ต้องเผชิญความยากลำบากในชีวิต นั่นก็คือรอยยิ้มและความดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  แม้บางครั้งการรักษาความถูกต้องดีงาม จะทำให้เราโดดเดี่ยว ถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ถ้าเราย้อนมองตัวเองว่า การเป็นคนดีถ้าต้องโดดเดี่ยว ถ้าต้องถูกถากถาง ถ้าต้องถูกเข้าใจผิด แต่ว่าตนไม่เคยผิดต่อฟ้าดิน ไม่เคยประพฤติผิดต่อผู้คน ไยต้องเศร้า ไยต้องกลุ้มกังวล ไยต้องวิตกทุกข์ร้อนหรือง้องอนให้คนเข้าใจและรักเรา
ฉะนั้นเกิดเป็นคนแม้จะยากลำบากแค่ไหน ทุกข์ทนเพียงใด เจ็บปวดเพียงใด อย่าได้สูญหายรอยยิ้มและจิตใจที่เชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามถูกต้องของตัวเอง แม้ต้องโดดเดี่ยวบ้าง แม้ต้องถูกเยาะเย้ยถากถางบ้าง แม้ต้องถูกเข้าใจผิดบ้าง แต่ถามตัวเองว่าเราไม่ดีอย่างที่เขาว่าไหม เราผิดศีล ขาดธรรมไหม เราประพฤติต่อเขาไม่ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วว่าเราทำถูกต้อง ก็ไม่มีอะไรน่าละอาย ดีกว่ายอมผิดคุณธรรมในใจตน ดีกว่ายอมผิดความดีงามในใจตน เพื่อจะให้คนอื่นรัก ให้คนอื่นเข้าใจ แต่ลึกๆ กลับหดหู่ไปตลอดชีวิต เช่นนั้นถูกต้องหรือ (ไม่ถูก)  บางครั้งเพื่อให้เพื่อนรัก บางครั้งเพื่อให้ได้เงิน เรายอมผิดศีล ขาดธรรมกับคนที่เราควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราไม่อยากมีปัญหา เลยปล่อยให้เขาทำผิดๆ ไป อย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วเราทนอยู่กับคนที่ผิดได้ไหม (ไม่ได้)  เรายิ้มออกหรือไม่ (ไม่ออก)
มีสำนวนของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า "ต่อให้มีแผลร้อยพัน ก็ขาดรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้" ต่อให้เจ็บปวดขนาดไหนอย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครให้กำลังใจ ถามตัวเองก่อนทำถูกไหม ผิดต่อฟ้าไหม ผิดต่อผู้คนไหม ผิดต่อดินไหม ถ้าสามสิ่งไม่ผิด ไยต้องกังวลว่าใครรักหรือไม่รัก เรารักตัวเองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมต้องไปกังวล ถ้าเขาไม่เข้าใจแต่เราเข้าใจว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นไม่เข้าใจช่างปะไร ใช่ไหม (ใช่)
ในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีปัญหา มีใครบ้างไม่มีทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวและสิ่งที่สำคัญใช่อยู่ที่ทุกข์หรืออยู่ที่ปัญหา ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ปัญหาจะใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่หัวใจใหญ่ขนาดไหน พบเรื่องแย่ขนาดไหนแต่หัวใจต้องดีให้มากกว่า ทุกข์ขนาดไหนแต่หัวใจต้องสุขให้มากกว่า คนเช่นนี้แม้ปัญหามาหนักขนาดไหน แม้ความทุกข์จะใหญ่ขนาดไหนแต่เขาจะมีใจที่ใหญ่กว่าปัญหา จริงหรือไม่ (จริง)  เหตุที่ปัญหากลายเป็นปัญหาใหญ่ ทุกข์กลายเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะหัวใจเราเล็กกว่าปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอปัญหามาเราเลยรับไม่ได้รับไม่ไหว ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ความทุกข์ แต่ใจของเราใหญ่กว่าปัญหาได้ไหม สุขให้ได้แม้จะทุกข์ได้ไหม ถ้าใจใหญ่ปัญหาจะขนาดไหนก็เป็นเรื่องเล็ก ถูกไหม (ถูก)  ชีวิตทุกข์อย่างไรแต่ถ้าใจจะมีสุขให้ได้ ทุกข์ก็กลายเป็นสุข  เหมือนวันนี้นั่งฟังธรรมเหนื่อยขนาดไหน แต่ถ้าใจบอกสบาย นั่งอย่างไรก็ (สบาย)  เพราะใจใหญ่กว่าถูกไหม (ถูก)  ใจมนุษย์ใหญ่ได้เท่าที่ความเชื่อมั่นศรัทธาในหัวใจตัวเอง อย่าเอาความสุข ความสบายไปฝากไว้ ไปแขวนไว้ที่ชีวิตใครเลย รักตัวเองไหม (รัก)  รักแล้วถึงเวลาทำไมเอาใจตัวเองไปให้คนอื่น รักแล้วทำไมเอาชีวิตตัวเองไปยกให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่บอกว่ารักตัวเอง อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข)  แล้วการปล่อยใจให้ไปอยู่กับคนอื่นส่วนใหญ่ได้สุขหรือได้ทุกข์ (ได้ทุกข์)
“สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ  จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม             ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน”
ชีวิตก็เหมือนผิว ไม่มีราบรื่นตลอด ใช่ไหม บ้างก็มีตุ่มมีเนิน บ้างก็มีดีมีร้าย จะหวังมีผิวหน้าเกลี้ยงตลอด ผิวดีตลอดเป็นไปได้ไหม ชีวิตก็เหมือนกันบางครั้งพบเจอเรื่องดี บางครั้งพบเจอเรื่องร้ายเราหลีกหนีไม่พ้น ถ้าวันหนึ่งเราต้องพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ถ้าชีวิตเราต้องเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปดังคาดคิด หรือทำให้ชีวิตไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ บางครั้งเราก็รู้สึกว่าทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดชีวิตเจอเรื่องไม่สมบูรณ์แบบบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยหน่อย แต่ความไม่สมบูรณ์แบบกลับสอนอะไรให้กับชีวิตเรา รู้ไหม (ความไม่เที่ยงของสังขาร)  มีเรียบ มีสบาย ก็มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แปลว่าชีวิตที่เป็นปกติ แสวงหาตามปกติ เมื่อพบความไม่สมบูรณ์ในชีวิตกลับทำให้เราคิดได้อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้อย่างหนึ่ง นั่นคือชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม ความไม่เที่ยงก็คือสัจธรรม ความไม่แน่นอนก็คือสัจธรรม เมื่อสัจธรรมมาถึง มนุษย์อย่ามัวแต่ห่วงหน้าตา ห่วงทรัพย์สิน ห่วงลาภยศเงินทอง ควรประพฤติปฏิบัติเพื่อความถูกต้องดีงามตามที่ฟ้าเบื้องบนท่านได้พร่ำสอน เมื่อไรที่เราเจอความจริงของชีวิต จงตระหนักว่า "ชีวิตนี้ไม่เที่ยงนะ ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงนะ"  แล้วเรายังมัวที่จะรักหน้าตา ยังมัวที่จะแสวงหาเงินทอง จนทอดทิ้งคุณงามความดีหรือไม่ (ไม่)  เพราะความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ให้บทเรียนที่ล้ำค่ากับชีวิตว่า ชีวิตมีค่าที่หน้าตา ที่เงินทอง หรือที่ความประพฤติ (ความประพฤติ) แล้วความประพฤติที่ฟ้าเบื้องบนได้พร่ำสอนให้มนุษย์เรียนรู้ปฏิบัตินั้นก็คือสัจธรรม  มนุษย์หลายคนบอกว่า "ชีวิตแค่นี้ก็พอแล้ว มีธรรมไปทำไม ปฏิบัติธรรมไปทำไม  ไม่ต้องปฏิบัติธรรมหรอก หรือไม่ต้องรู้ธรรมหรอก" ใช่หรือไม่  ถ้าคนๆ หนึ่ง ตลอดชีวิต ไม่เคยศึกษาธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรม เมื่อไรขาดสติ ขาดมโนธรรมสำนึก ก็ไม่มีบาปอะไรในโลกที่เขาทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีธรรมย้ำเตือนใจ ไม่เคยนำธรรมเอามาสอนใจ ไม่เคยคิดปฏิบัติธรรมให้กับชีวิต แล้วคนๆ นี้จะมีความสำนึก ความละอายใจ ความผิดชอบชั่วดี การรู้บาปบุญคุณโทษ หรือไม่ เพราะตลอดชีวิตทำอะไรตามใจตัวเอง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง  ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะมีธรรมยั้งใจ (ควร)  แล้วควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร)  แล้วปฏิบัติธรรมที่ไหน แค่กับพระ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำดีแค่กับพระ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เป็นคนดีแค่ในวัด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าต้องปฏิบัติธรรมที่ไหน (ทุกที่)  ทำไมเราจึงต้องมีธรรม เพราะถ้าไม่มีธรรม มนุษย์จะทำอะไรอย่างคนเห็นแก่ตัว  ลองขาดธรรมแค่ชั่วขณะหนึ่ง คนใจดีก็กลายเป็นคนใจร้าย ลองไม่มีธรรมสักขณะหนึ่งแล้วเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร)  และควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรมทุกที่ (ควร)  แล้วเราปฏิบัติทุกที่หรือเลือกบางที่ (ทุกที่)  ถ้าปฏิบัติทุกที่ไม่เลือกผู้คนอย่างนั้นหมายความว่าทุกคนเราต้องมีธรรม แล้วเราปฏิบัติกับเขาแบบคนมีธรรมหรือคนมีอารมณ์ (มีธรรม)  ใช้ธรรมกับคน หรือใช้อารมณ์กับคน (ใช้ธรรม)
หลักธรรมของพุทธศาสนาสอนไว้ว่า การให้ทานใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน แล้วเราปฏิบัติกับผู้คนด้วยเมตตาธรรม ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความกรุณาปราณี หรือเราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ คดโกงเบียดบัง หนึ่งชีวิตต้องมีธรรม เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ (สมควร)  ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรม เขาจะรักเราไหม (รัก)  ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยเมตตาธรรม ซื่อสัตย์ต่อเขา ให้เกียรติ ไม่โกง ไม่เบียดบังเขา เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)  แล้วทุกวันนี้ที่ทุกข์เพราะเขาไม่รักหรือเพราะเราขาดธรรม แล้วไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับสังฆทาน คือการทำทานที่ไม่หวังผลและไม่เจาะจงผู้รับ
ฉะนั้นเมื่อมีเคราะห์อยากจะทำบุญ อย่าทำบุญเจาะจงแค่กับพระ การที่เรามีเคราะห์เพราะเราไม่รู้จักปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คนใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทุกขณะมีธรรม ทุกขณะเพียรระลึกถึงธรรม เกิดเป็นคนจะประมาทในการดำเนินชีวิตไหม (ไม่ประมาท)  เกิดเป็นคนเมื่อเจอเรื่องราวผิดพลาดคาดไม่ถึง จะทุกข์เสียใจไหม แต่จะมีเกราะป้องกันภัยและมีธรรมเป็นภูมิต้านทานให้รับความจริงแห่งโลกได้ไหว แต่คนปัจจุบันนี้ไม่มีธรรม มีแต่อารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติแต่ตามใจตามอารมณ์ เมื่อเจอเรื่องราวก็รับไม่ได้ แล้วก็เอาแต่โทษฟ้า โทษดิน โทษผู้คน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ต้นเหตุทั้งมวลล้วนมาจาก (ตัวเรา)  ดังคำที่พระท่านสอนไว้ว่า "ปลูกแตงย่อมได้แตง ไม่สร้างเหตุจะมีผลให้ต้องรับหรือ" ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับสิ่งใดก็จงอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เมื่อไม่อยากให้ใครเบียดเบียนเราลองถามใจเราลึกๆ เคยเบียดเบียนผู้อื่นบ้างไหม
ถ้าไม่อยากให้เขามาแย่งของๆ เรา ลองถามใจเราลึกๆ ว่าแค่เกิดมา ลืมตาขึ้นมา ก็คิดแค่เพียงว่าวันนี้เราอยากได้อะไรของใคร  ฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกใครลักขโมย ของรักของหวง ไม่อยากให้ใครหลอกลวง ถามท่านว่าเคยหลอกลวงตัวเองไหม วันนี้มาฟังธรรม เพื่อมาเปิดประตูใจ เพื่อให้เห็นใจตัวเอง ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร เพราะต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจากใจของเรา เราแก้อดีตไม่ได้ เราเปลี่ยนให้คนที่เกลียดเรามารักเราไม่ได้ และเราหวังให้คนรักเรามากยิ่งขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือไม่เพิ่มคนเกลียด โดยการทำวันนี้ให้ถูกต้องดีงามในศีลในธรรม ถ้าเราตั้งตรง มีหรือสิ่งที่ตามมาจะไม่ตรง แต่ต้องอย่าลืมว่าเราศึกษาธรรมเพื่อละความยึดมั่นลุ่มหลง ไม่ใช่ตัวเองตรงแล้วต้องบังคับให้คนอื่นต้องตรงด้วย คำโบราณจึงกล่าวว่า  "แม้หาต้นไม้ในป่าจนทั่วทุกต้น กว่าจะหาต้นไม้ที่ตรงที่สุดไม่คดเลยนั้นยังหายาก"  ฉะนั้นนับประสาอะไรกับมนุษย์และตัวเราให้มีความสมบูรณ์พร้อมก็เป็นไปได้ยาก ถ้าผิดก็แก้ไข ถูกก็มุ่งมั่นทำต่อไป อย่าสูญเสียศรัทธาความดีงามในใจตนก็พอ ใช่ไหม
แม้ความดีงามนั้นจะทำให้เราถูกเยาะเย้ยถากถางหรือต้องหยัดยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็อย่าสูญเสียความมุ่งมั่นศรัทธานี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งเราเรียนรู้สัจจะความเป็นจริงมากเท่าไร ยิ่งเราพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิตมากเท่าไร เราก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าโลกนี้ใครหนอดีที่สุด โลกนี้ใครหนอแย่ที่สุด เมื่อไม่ปักใจจึงทำให้เรากระจ่างแจ้งในใจว่า แล้วโลกนี้อะไรหนอคือสิ่งที่ดี อะไรหนอคือสิ่งที่ร้าย ในเมื่อสัจธรรมสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์พร้อม จริงไหม (จริง)  แต่กี่คนหนอจะกระจ่างแจ้งในใจ
อย่าเป็นคนปฏิบัติธรรม ทำบุญเก่งสวดมนต์เก่ง แต่ถึงเวลากลับไม่สามารถนำธรรมะมาขจัดทุกข์ได้เลย อย่างนั้นก็น่าเสียดาย  ฉะนั้นหลักของการศึกษาปฏิบัติคือต้องนำธรรมนั้นมาประจักษ์แจ้งในจิตใจ จนบังเกิดหนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง แล้วธรรมใดที่ทำให้เราหมั่นศึกษา หมั่นปฏิบัติ และอยู่ในโลกบังเกิดสุขไม่นำพาให้ต้องพบทุกข์ นั่นก็คือ "ใดใดในโลกล้วนหาสมบูรณ์พร้อมไม่" ถ้าหมั่นระลึกไว้เสมอ จะตระหนักได้ว่า มนุษย์นั้นไม่มีใครดีพร้อมสมบูรณ์
มีใครคิดว่าตัวเองดีพร้อมที่สุดบ้าง ไม่มีเลยหรือ ตัวเองเป็นคนดีที่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเคยไหมที่เห็นตัวเองชัดก็เห็นผู้อื่นชัด เราเป็นเช่นไรคนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เรายังใจร้อนอยู่คนอื่นก็ (ใจร้อน)  เรายังขี้งกอยู่ คนอื่นก็ (ขี้งก)  เรายังขี้บ่นอยู่ คนอื่นก็ (ขี้บ่น)  ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตัวเองชัดก็สามารถประจักษ์แจ้งตื่นรู้ความไม่สมบูรณ์พร้อมในคนได้ชัด เราก็จะไม่ปักใจเชื่อว่าทุกคนสมบูรณ์พร้อม เมื่อไม่ปักใจเชื่อแล้วจะมีใครที่เราเกลียด จะมีใครที่เรารัก จะมีใครที่เราโกรธเพราะทุกคนก็ไม่ (สมบูรณ์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทุกคนไม่สมบูรณ์พร้อม แล้วเรื่องราวในโลกจะสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่)  มีดีไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีร้ายไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีสุขไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีทุกข์ไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อไม่ใช่แล้วเราทุกข์อะไร เมื่อไม่ใช่แล้วเรากำลังผิดหวังอะไร ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นทำไมจึงต้องปฏิบัติธรรมและทำไมถึงจะต้องหมั่นพิจารณาธรรม ให้ธรรมสอนใจอยู่เนืองๆ เพราะการสอนใจอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันและทำให้เราไม่ประมาทก้าวผิดไปสร้างกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่โกรธจะด่าใครไหม (ไม่)  จะก่อเกิดเป็นโทสะไหม (ไม่)  แล้วจะต้องสร้างอภัยทานไหม (ไม่ต้อง)  เมื่อยังต้องอภัยแปลว่าเรายังโกรธเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้ายังต้องรู้สึกให้อภัย ต้องข่มใจ แปลว่าเรายังไม่ชอบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถึงแม้ว่าปากพูดว่าอภัยแต่ยังเอากลับมาคิดอยู่เนืองๆ นั่นใช่อภัยไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเอาธรรมมาพิจารณาเนืองๆ ความเห็นในธรรมความกระจ่างแจ้งในธรรมจะช่วยทำให้เราปลดทุกข์จากใจ ความเข้าใจจะทำให้เราไม่ต้องทนฝืนใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ควรห่างไปจากชีวิต เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสูงต่ำ  ไม่มีร้ายดี  ที่คิดว่ายังมีสูงมีต่ำ มีร้ายมีดี เพราะใจท่านยึดติดชอบแบบนั้น เกลียดแบบนี้ แต่ถามว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดนั้น น่าเกลียดจริงไหม (ไม่จริง)  เขาไม่มีอะไรดีเลยหรือ แล้วคนที่เราว่าน่ารักนั้น น่ารักที่สุดจริงหรือ (ไม่จริง)  แล้วอะไรดี อะไรร้าย อะไรทุกข์ อะไรสุข แก้ที่เขาหรือปล่อยวางที่ใจเรา แล้วให้เห็นแจ้งเสียทีใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รอเมื่อใจสกปรกแล้วค่อยล้างหรือไม่ต้องล้างเลยเพราะไม่ผิดแล้ว ดีที่สุด จริงไหม ถ้าใจมันขุ่นแล้ว ใจมันหมองแล้วล้างยาก สู้มองเห็นชัดแล้วไม่มีอะไรทำให้ใจขุ่นเลย และไม่ต้องล้างใจเลย นั่นคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด เพราะใดๆ ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ายังไม่เข้าใจ พรุ่งนี้คงต้องมาศึกษาต่อนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปลูกแตงวันเดียวไม่ได้ผลหรอกนะ การศึกษาหลักธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ธรรมจะบังเกิดผลได้ไม่ใช่เพียงเเค่ฟัง แต่ต้องเอามาหยั่งพิจารณาในใจตน ลองเอามาหยั่งดู เมื่อไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วโลกสมบูรณ์แบบไหม เราไม่ควรด่าว่าใครไม่ดีหรือด่าว่าโลกนี้ลำเอียง นั่นคือทางที่ถูกที่สุด จริงไหม (จริง)  ถ้าใจเราพบเจอสิ่งใด เรื่องราวใดแล้วเราไม่คิดด่าใคร นั่นคือทางบำเพ็ญที่ถูกต้องที่สุด เพราะใครๆ ก็ไม่สมบูรณ์พร้อม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อสังขารไม่สมบูรณ์พร้อม จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ความไม่สมบูรณ์พร้อมก็คือความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นต้องทุกข์เพราะเป็นความจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าชีวิต  หนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่พ้น เมื่อไม่สมบูรณ์แล้วจะยึดมั่นทำไม สู้ยอมรับความจริงแล้วสู้ต่อดีไหม ถึงเวลายอมแพ้ จมกับความทุกข์หรือมีใจใหญ่กว่าทุกข์ มีใจใหญ่กว่าปัญหา
วันนี้ถ้านั่งแล้วสู้ไม่ไหวแปลว่าใจเล็กนิดเดียว แต่ถ้าใจใหญ่ต่อให้นานแค่ไหนก็สู้ไหว แล้วต่อไปเมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องยากลำบากใจ ใจเราก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ นั่นแหละเรียกว่าใจฟ้า ใจพระพุทธา ฉะนั้นบทเรียนของชีวิตทำให้เราทราบว่าใจเราเล็กหรือใจเราหาที่สุดไม่ได้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑           สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เวลานานภูมิธรรมกลับพ่ายนิสัย      ความเข้าใจศรัทธาจางเพราะหลงผิด
ทนไม่ได้นิสัยคนใจยึดติด                เมื่อธรรมผิดไปจากใจก็ไม่เอา
น่าสงสารศิษย์ที่ยอมทำเช่นนั้น         เมื่อใจถูกปิดกั้นพลาดความเขลา
ปฏิบัติธรรมเพื่อลดละใช่ถือเอา         ถามศิษย์เจ้าเหมือนเดิมหรือลดละจริง
         เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว      ถามศิษย์อาจารย์ คิดถึงเหมือนที่อาจารย์คิดถึงศิษย์ไหมหนอ

  หนทางคนธรรมะทางนี้สงบเย็น      จิตที่บำเพ็ญสู่ที่เดิมเลิศล้ำ
พูดธรรมใช้ธรรมกรรมดีอยู่ประจำ      ชะตากรรมเจาะใจตรึงตนด้วยสติ
ดิ้นไม่พ้นก็หนี้กรรมที่จองจำ            คติธรรมทุกธรรมไม่อาจเรียกสติ
ทุกข์ทุกวันเมื่อเคยชินไม่ตำหนิ          คราวดำริอยากพบทางออกยากเย็น
คนแปลกจากคนแยกกันไม่สามัคคี     เรื่องง่ายง่ายมากมีก็แสนเข็ญ
คนไม่คุมจิตใจตนไม่บำเพ็ญ             พูดง่ายง่ายก็ไม่เป็นทำอะไร

                                                                  ฮา  ฮา หยุด

   จิตใจมีธรรมะ  ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ  ปัญญาเป็นตัวหาร  ความทุกข์มีวันสลาย  จิตบำเพ็ญมากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย  พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
   * โลกไม่อาจกระทบ  คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม  ทางที่กรรมจะพ้น     ก็ใจตรงนี้
     ** ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก  พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย  ผู้ฝึกใจนี้ไว้มากไม่ถือโทษจำ เข้าใจขึ้นมาไม่ตีถอยห่าง[1]  สังคมวุ่นจากคนพูดคนละคำ  นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง
      โลกยังมีธรรมะ ปราชญ์นั้นแฝงเร้นทั่วไป  ช่วยคนตนเองนั้น จะต้องบำเพ็ญก่อนใคร ติดปัญหาสำคัญ การยึดเป็นเรื่องใหญ่  แม้อะไรขอให้ยอมรับเทอญ (ซ้ำ *,**,**)
      ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง
ทำนองเพลง : บุพเพสันนิวาส
          ชื่อเพลง : เดินตามธรรมะ

หมายเหตุ:
  • เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้ ได้มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
  • เนื่อเพลงท่อนสุดท้ายพระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทในงานประชุมธรรม ฮุ้ยจื้อ จ.บุรีรัมย์ วันที่ ๓๑ มีนาคม – ๑ เมษายน ๒๕๖๑


[1] ตีถอยห่าง   หมายความว่า   ตีตัวออกห่าง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนเราเวลาฟังนานๆ ก็เมื่อย  รู้เยอะๆ เหนื่อยไหม พอรู้จักคนโน้นมากรู้จักคนนี้มาก ก็เบื่อเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราอยู่ในโลกเราควรรู้ ควรจะฟังอะไร และอะไรที่เราไม่ควรรู้และไม่ควรฟังเลย  (อยากรู้สิ่งที่ดีๆ และไม่อยากรู้ ไม่อยากเก็บสิ่งที่ไม่ดี)
เมื่อเราได้ฟังสิ่งใดแล้ว เราเก็บสิ่งที่ดีหรือเก็บสิ่งที่ไม่ดีเยอะกว่ากัน (ไม่ดี)  ถ้าให้นั่งนึก ใครบ้างเป็นคนดี เราจะนึกไม่ค่อยออก แต่ใครไม่ค่อยดี เรากลับนึกชื่อออกยาวเป็นหางว่าวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครทำดีกับเรานึกไม่ค่อยออก แต่เราทำดีกับใครเรากลับจำได้ แล้วใครไม่ดีกับเรา จำได้ไหม (จำได้)
เราอยู่ในโลกนี้ เราเลือกที่จะรับรู้ และเลือกที่จะไม่รับรู้ ได้หรือไม่ (ได้)  อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นแบบนั้นได้  ถ้าใจเราอยากเห็นอะไร มันก็จะเห็นอย่างนั้น แล้วก็จะปักใจเห็นแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเห็นอย่างอื่น  แล้วก็รู้อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เหมือนเห็นคนนั้นว่าเป็นคนไม่ดี มองอย่างไรให้ผ่านไปอีกสิบปี ถึงจะรับรู้อะไรดีๆ ของเขามา ก็ยังมองเขาไม่ดี จริงไหม (จริง)
 ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่อยู่ที่คำพูดคน ไม่ใช่อยู่ที่เขาพูดดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ใจและที่ศิษย์คิด  เพราะถ้ามนุษย์ปักใจเชื่อแล้วมักจะเปลี่ยนยากจริงหรือไม่ (จริง)  เวลาที่เรามองเห็นอะไรแล้วเห็นทะลุปรุโปร่งหรือไม่ (ไม่เห็น)  แต่ศิษย์กลับบอกเขาว่า “ฉันรู้ใจเธอดี” ใช่ไหม (ใช่)  แสดงว่าเราไม่เคยมองเขาจริงๆ เลย มองแต่ใจเราที่คิดว่าเขาไม่ดี ใจมันไม่ดี แม้เขาจะทำดีอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ ฉะนั้น “รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ใจตน เห็นใครก็ไม่สู้เห็นใจตน” ไม่ใช่แปลว่าเห็นแต่ตัวเองนะ แต่เห็นแล้วเท่าทันใจตัวเอง แล้วรู้ได้ว่าจะจัดการกับเรื่องราวอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอย ศิษย์มาฟังธรรมตามที่ใจคิด หรือมากกว่า (มากกว่า)  ถ้าคิดว่าฟังธรรมะแล้วต้องเป็นแบบนี้ศิษย์ก็จะได้แค่แบบนี้ แต่หากไม่ยึดติดในการฟังธรรมะศิษย์ก็จะได้มากกว่านั้น แต่มนุษย์มักยึดติดว่าจะฟังธรรมต้องเป็นพระเทศน์ ใครมาพูดฉันก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ หากเราคิดว่าใครก็ตามไม่ว่าพูดดีหรือไม่ แต่ให้แง่คิดและให้ธรรมะ เรารู้จักฟัง นั่นก็คือไม่ว่าใครพูดเราก็ได้ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบฟังเฉพาะคนที่ตัวเองคิดว่าแบบไหนถึงจะได้ธรรม เราก็เลยเห็นธรรมได้แค่ในเฉพาะคน ไม่เคยเห็นธรรมในทุกผู้คน  เหมือนแต่ก่อนเราคิดว่าเราต้องฟังธรรมจากพระ แต่พอมาที่นี่ใครๆ ก็พูดธรรมได้ และใครๆก็ทำให้เราเห็นธรรม เข้าใจธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้เห็นธรรมแค่สิ่งที่อยากเห็น หรือเห็นธรรมมากกว่าที่ตัวเองคิด (มากกว่าที่คิด)  ฉะนั้นจะเห็นสิ่งใดมากกว่าก็อย่าไปปักใจเชื่ออย่างเดียว หรืออย่าเอาแต่ทำตามใจตัวเอง
เกิดเป็นคนทำอะไรต้องมีสติฉับไว แม้จะทำอะไรได้ช้า แต่ต้องรู้จัก   ฉับไวเท่าทันกิเลส อารมณ์ และความคิดของตน เรื่องของคนอื่นช้าไม่เป็นไร แต่เรื่องของใจเราต้องมีสติให้เท่าทัน  เพราะถ้าช้าไปนิด อารมณ์ชั่ววูบก็ครอบงำทำให้เราหลงผิดเสมอ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ คือทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น โดยไม่ได้ใช้มีด ไม่ได้ใช้ปืน ไม่ได้ใช้อาวุธ แค่ใช้แป้นพิมพ์ เท่านั้นเอง ข้อความที่พิมพ์ลงในโลกอินเทอร์เน็ต หรือในโซเชียลมีเดีย สามารถฆ่าคนได้จริงไหม (จริง)  เพียงแค่อยากคิด แล้วก็พูดไปตามที่คิด พิมพ์ไปตามที่คิด แล้วก็ฆ่าคนโดยไม่ทันยั้งคิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่เจ็บปวดก็คือคนที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด และเราก็เป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์นะว่าศิษย์เป็นคนดี ถ้าตราบใดศิษย์เป็นคนที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด คนดีของอาจารย์ทุกคนก็พร้อมที่จะเสนอความคิด ฆ่าคนทางความคิด และทำร้ายคนทางความคิดได้ตลอดเวลา  ฉะนั้นอาวุธอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับอาวุธแห่งความคิดของคนที่ทำอะไรไม่ไตร่ตรอง ถึงจะพูดจริงแต่มันจริงแล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วทำไหม (ทำ)  ถึงแม้เขาไม่เห็นหน้าเพราะเราพรางหน้าไว้ แต่เขาก็แช่งในใจ และบางทีโดนแช่งทั้งประเทศเลยเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำอะไรต้องรู้จักยั้งคิดหน่อย
ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์ทุกข์เพราะอะไร อาจารย์สมมุติว่า เวลาเขาด่าศิษย์ ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ทุกข์เพราะเขาด่าหรือว่าทุกข์เพราะความคิด (ความคิด)  ศิษย์เจ็บเพราะความคิดไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องระวังและรู้จักไตร่ตรองและรู้จักใช้สติให้มากๆ ก็คือโดยส่วนใหญ่มนุษย์ในโลกทุกข์เพราะความคิดไม่ใช่ทุกข์เพราะเขาด่า แต่เพราะว่าความคิดที่เก็บเอาสิ่งที่เขาด่ามาถามตัวเอง มาย้ำตัวเอง มาต่อว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่าจบหรือยัง (จบแล้ว)  แล้วเราจบหรือยัง (ยังไม่จบ)
อาจารย์เคยบอกไว้ว่าคำพูดไม่ดีที่ออกจากปากเรียกว่าขี้ปากใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์เอาคำด่าเขามาย้อนคิดก็เท่ากับเอาขี้มาเล่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ก็ยังแบ่งขี้ให้กับคนอื่น แล้วว่างๆ ก็มานั่งเขี่ยขี้ คิดว่าทำไมเขาด่าฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในใจศิษย์มีขี้เยอะไหม (เยอะ)  ถ้ามีสติยั้งคิดเราจะคิดไหม (ไม่คิด)  ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับ เวลาถูกว่าแล้วเนื้อเราหายไปหนึ่งชิ้นไหม (ไม่)  ใจแหว่งไปไหม (ไม่แหว่ง)  เงินหายไปไหม (ไม่)  แล้วเขาทำให้อายุเราสั้นลงไหม (ไม่)  มีแต่เราเอามาคิดตรอมใจแล้วทำให้ชีวิตตัวเองสั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ผ่านได้ยากที่สุด แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะเข้าใจ
อาจารย์ถามง่ายๆ เราอยากมีชีวิตสงบหรือวุ่นวาย (อยากสงบ)  อย่างนั้นถูกว่าแค่นี้ก็จะวุ่นวายเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าจบมันก็สงบ ถ้าไม่ยอมจบมันก็วุ่นวายจนไม่สงบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้ก็พอทำใจได้ พอถึงเวลามันทำใจไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์คือผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาทำความเข้าใจธรรมง่ายๆ ก่อน ธรรมแปลว่าสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นธรรม  อย่างนั้นที่เขาด่าเราก็เป็น (ธรรม)  ที่เขาโกงเรา เอาเปรียบเรา ทำร้ายเรา ก็เป็น (ธรรม)  แต่ทำไมเรามองอย่างไรก็เป็นกรรม  เรามองว่าคนที่ทำร้ายเรา โกงเรานั้นเป็นกรรมไม่ใช่ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราปักใจเชื่ออย่างไรก็จะเป็นแบบนั้น  ฉะนั้นคนโกงเราเห็นเป็นธรรมหรือเห็นเป็นกรรม (ธรรม)  หากศิษย์เห็นเป็นธรรม ศิษย์คงไม่เกี่ยวกรรม ผูกกรรมกับเขา คงไม่ด่าเขากลับ คงไม่ฝังใจกับเขา แล้วเรายังจะต้องให้อภัยโทษเขาอีกไหม ถ้าเห็นเป็นธรรมแล้วทำไมต้องให้อภัยเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสิ่งที่เขาทำเป็นธรรม ใจเราก็เป็นธรรม ก็ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องให้อภัยอีกจริงหรือไม่  แต่หากเมื่อไรที่เราต้องพยายามให้อภัย ก็แปลว่านั่นเป็นกรรม   อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าทุกสิ่งเป็นธรรม และเราพยายามมองทุกสิ่งให้เห็นธรรม กรรมจะกลายเป็นธรรม แล้วเราอยู่เพื่อมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และเราเป็นผู้ผลิตกรรม อย่างนั้นเราจะสร้างกรรมเพิ่มหรือหยุดกรรม ฉะนั้นเวลาที่เขาด่าเราเป็นธรรมหรือเป็นกรรม (เป็นธรรม)  ถ้าศิษย์เข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกรรม เข้าใจธรรมหนึ่งข้อสามารถดับทุกข์ได้เลย ไม่ว่าเขาจะด่า เขาจะชม เขาจะโกหกเรา ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่งธรรมคือความจริงของโลกใบนี้ พอเราเห็นชัดถึงความจริง เป็นธรรมดาของโลกนี้ มีคนชมก็มี (คนด่า)  ทุกสิ่งล้วนคือความจริง ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นความจริง เข้าใจธรรมยากไหม (ไม่ยาก)
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “ธรรม” และ “คุณธรรม” หรือไม่
ธรรมกับคุณธรรม มีความหมายเหมือนกัน  ธรรมก็คือความดีงาม  คุณธรรมก็คือความดีงามอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นผู้มีธรรมหรือผู้มีคุณธรรมก็เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติธรรม เราจึงไม่ควรลืมคุณธรรม และไม่ควรลืมธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่บางครั้งเมื่อเอามารวมกันทำให้ศิษย์แยกไม่ออก  คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนคืออะไร เราไม่ควรลืมไปจากใจ เพราะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแท้จริง และทำให้มนุษย์สมกับคำว่ามนุษย์  พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า  “มนุษย์ผู้มีศีล เรียกว่าคน เรียกว่าเทพ เรียกว่าพรหม”  ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์ขาดศีลธรรม มนุษย์ไม่อาจเรียกว่าคนได้ แต่เป็นแค่สัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน มีอะไรบ้าง (เมตตาและกตัญญู)
ในเมื่อศิษย์ตั้งใจเอาธรรมไปศึกษาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจธรรม ธรรมอันแรกที่อาจารย์ให้ความหมายแคบๆ และมองง่ายๆ แต่ได้ใจความนั่นคือ ทุกสิ่งล้วนคือธรรม  ธรรมคือความจริงของโลก  ธรรมคือความดีงาม และหากมนุษย์รู้จักทำความดีเราก็จะไม่เกิดทุกข์  ศิษย์ชอบถามอาจารย์ว่าฟังธรรมก็พอแล้วทำไมต้องปฏิบัติธรรม นั่นเป็นเพราะการปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน  การปฏิบัติธรรมทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างสันติสุข  เหมือนสมมติว่าอาจารย์อยู่ร่วมกับศิษย์  อาจารย์ก็เอาแต่กดขี่ ข่มเหง เอาเปรียบ ศิษย์ว่าอาจารย์มีธรรมหรือไม่ (ไม่มี) แล้วอาจารย์จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่เราต้องมีศีลธรรมเพราะศีลธรรมช่วยยับยั้งความชั่วในใจตน  อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ แต่หากละชั่วไม่ได้ศิษย์ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าผู้ปฏิบัติธรรม และการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคุณธรรมของความเป็นคน ทำให้คนเป็นคนประเสริฐนั่นคือศีลธรรมพื้นฐาน ศิษย์มีความเมตตาหรือไม่  ดูถูกคนหรือไม่  ให้เกียรติคนหรือเปล่า ซื่อตรงจริงใจหรือไม่  ฉะนั้นหากความเป็นคนยังปฏิบัติได้ไม่ดีอย่าพูดเรื่องหนทางพ้นทุกข์เลย เพราะศิษย์คือเหตุแห่งความผิดและสร้างเหตุแห่งความทุกข์ หากเริ่มต้นศิษย์ปฏิบัติถูก กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็รักเอ็นดู  กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง  ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเริ่มต้นปฏิบัติพื้นฐานความเป็นคนให้ดีก่อน เป็นคนดีได้แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์ แค่หยุดยั้งไม่ให้มีทุกข์ใหม่เพิ่มขึ้นมา พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก  เบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า (ไม่เบียดเบียน)  ชีวิตเราอยู่ได้ด้วยชีวิตคนอื่นหรือไม่ ทั้งหมู ไก่ ปลา กุ้ง วัว เบียดเบียนเขาไหม เมตตาเขาไหม ถ้าศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีธรรมยิ่งกว่าชีวิต คนนั้นจะไม่ใช่เป็นแค่คน ไม่ใช่เป็นแค่เทพ ไม่ใช่เป็นแค่พรหม แต่เป็นพุทธะเดินดิน แต่มนุษย์ปฏิบัติศีลธรรมแค่ระดับเสมอตัวจึงเป็นได้แค่คนหรือปฏิบัติดีขึ้นมาอีกหน่อยเรียกว่าผู้ประเสริฐ แต่พุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านทำโดยยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ศิษย์สามารถสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมได้หรือไม่ พระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ทุกพระองค์ล้วนดำเนินทางคุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและยอมสละชีวิตเพื่อธำรงรักษาคุณธรรม ท่านก็เป็นพระพุทธะ แต่มนุษย์เสียสละไม่ได้ จึงไม่พ้นทุกข์ จึงได้เพียงระดับศีลธรรมธรรมดา
มีทางไหนอีกที่จะปฏิบัติธรรมแล้วทำให้เราเข้าถึงและพ้นทุกข์ได้ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมเป็นกลางไม่เอียงซ้ายเอียงขวา คนที่ปฏิบัติธรรมจิตน่าจะเบาหรือหนัก จิตน่าจะใสหรือขุ่น จิตน่าจะอิสระหรือยึด ไปตรวจสอบตัวเองนะ ว่าที่เราปฏิบัติมานั้นขุ่นหรือใส หนักหรือเบา ธรรมสอนความเป็นกลาง กลางแปลว่าเห็นอะไรเราก็ยังคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะประสบเรื่องราวอะไรก็ยังคงสงบไม่วุ่นวาย ใครว่าอย่างไรเราก็คงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะว่าธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง  ตอนนี้เรารู้ความหมายของธรรมอีกอย่างหนึ่งแล้ว ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรม จิตเราก็ต้องเป็น (กลาง) ใส สงบ เย็น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า มีเพียงทางสายกลางอันหนึ่งเดียวที่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์และพบความสงบที่แท้จริง คำว่าทางสายกลางแปลว่า คงมั่นไม่เปลี่ยนแปลง สงบอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โดนว่ามาก็คงความราบเรียบของใจอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกี่ยวพันอะไร อะไรที่มากระทบเราไม่ผลักใส ไม่ยินดี เช่นนั้นแหละ สามารถมีธรรมและพ้นทุกข์เพราะธรรม แต่มนุษย์มักจะเอียงใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเอียงจึงเรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว เมื่อตรงจึงเรียกว่าธรรม ฉะนั้นถ้าถูกกระทบแล้วเอียงไปทางไม่ดีก็เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว  แต่ถ้าเอียงไปทางดีพยายามเอาธรรมมาปลอบใจ นั่นก็เรียกว่าพยายามทำกรรมดี เพราะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปรกรรมในใจให้กลายเป็นธรรมได้ เราจึงยังต้องคิดว่า อภัยไว้ อดทนไว้ เมตตาไว้ ขันติไว้ มันก็ยังเรียกว่ากรรมดี แต่หากปฏิบัติถึงธรรม เราจะสงบ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ใจจะใส และเย็น
ศิษย์มักจะบอกว่า “เกิดเป็นคนก็ต้องมีดีมีร้าย มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ จะให้ใสตลอดมันยากนะ จะให้เย็น หนูก็เย็นแล้ว แต่นับหนึ่งถึงร้อยก็ยังไม่รอดเลย ขอเอียงสักนิดหนึ่ง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ ทางที่เรียกว่าดี หรือทางที่เรียกว่าไม่ดี ล้วนเป็นทางแห่งความหลง เป็นทางของผู้ที่ติดในกามคุณ เป็นทางแห่งความไม่สงบ และล้วนเป็นทางแห่งวัฏสงสาร” ดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข มันเป็นตัณหาของผู้ที่ยังลุ่มหลงของผู้ที่ยังมีตัณหา เมื่อไรที่ดีแปลว่าตัณหาเกิด เมื่อไรที่ไม่ดีก็เป็นตัณหาเกิด จริงหรือไม่ (จริง)  เห็นคนไม่สวยตัณหาก็เกิดขึ้นเพราะในใจมันชอบสวยอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสวยไม่สวยก็มีตัณหา ฉะนั้นคำว่า ดีร้าย ได้เสีย ยังหนีไม่พ้นตัณหาและความลุ่มหลง เมื่อลุ่มหลงแล้วก็ไม่พ้นความวุ่นวายและไม่สงบสุข พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า จิตเดิมแท้ไม่เคยหวั่นไหว แต่มนุษย์หวั่นไหวเพราะตกเป็นทาสของความคิดและอารมณ์
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราลุ่มหลง ที่จริงแล้วจิตเดิมแท้เราไม่ได้หวั่นไหว แต่เราลุ่มหลงไปตามความคิดและอารมณ์อันเป็นสาเหตุ ใช่หรือไม่ สุข ทุกข์ ดี ร้าย ล้วนคือโลก และมาจากอารมณ์ที่เรายึดติด และนำพาให้เราไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเราเจอเรื่องราวอะไรแล้วเราใช้อารมณ์ ใช้กิเลส เราก็หนีไม่พ้นทุกข์สุขดีร้ายและความวุ่นวายไม่จบสิ้น  แต่จะให้เราใช้ธรรมตลอดบางทีก็อดคิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนอย่างอาจารย์ยกตัวอย่างคนสองคนนี้ คนแรกหน้าบึ้ง   คนที่สองหน้ายิ้ม  ศิษย์มองเขาแล้วเห็นเป็นอย่างไร  ความรู้สึกของศิษย์ต่างกันหรือไม่ระหว่างสองคนนี้ (ต่าง) เพราะความรู้สึกของมนุษย์หากไม่ยั้งคิดศิษย์จะตัดสินทันทีว่าคนนี้ดูน่ากลัว และไม่น่ามีเรื่องด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
แต่อาจารย์จะบอกไว้ พวกที่ภายนอกดูแข็งแต่จริงๆ ภายในอ่อนปวกเปียก  แต่พวกที่ภายนอกอ่อนปวกเปียก บางทีดื้อมาก นี่คือสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้คือ เวลาเราทำอะไร เรามักมองไม่รอบ เรามักมองไม่เป็นธรรม แต่เรามักชอบมองไปตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่ใจเราคิดแล้วก็ตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินทันที ทำให้เวลาเราทำงานอะไรกับใคร เราจึงมักเชื่อในสิ่งที่เราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเวลาพูดเราต้องระวังกับคนนี้ แต่กับอีกคนไม่ต้องระวัง จึงทำให้เรามักจะมีเรื่องกับอีกคนเสมอ
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อไรที่เวลาเราเจอเรื่องราวอะไร โดยส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเอาธรรมมายั้งคิด แต่เราชอบคิดตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่อารมณ์หรือนิสัยเราปลูกฝังมา
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดวงกลมบนกระดาน)















อาจารย์เปรียบเทียบเรื่องง่ายๆ แต่ค่อยๆ พิจารณานะศิษย์ เมื่อมีเรื่องราวมากระทบ ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารเราก็จะรู้ว่าเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารรวมกับความคิดจะก่อเกิดเป็นเจ็บ มีอารมณ์แล้วมีกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่หากศิษย์รู้ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ สอนให้เรารู้จักรู้ ซึ่งตัวรู้มาจากจิตเดิมแท้ เวลาที่เราโดนกระทบเราแค่รู้สึก แต่ไม่คิด มันก็ไร้อัตตาตัวตนที่จะยึดถือ แต่ถ้ารู้แล้วรู้สึกแล้วคิดก็จะก็มีทั้งอัตตาตัวตน ความเจ็บของสังขารและความเจ็บใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรายังมีสังขารก็ยังต้องมีความรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกเลยก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต  ฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่ให้รู้สึก แต่อาจารย์ให้ศิษย์ “รู้”แต่ “ไม่คิด”  เพราะกิเลสมาจากความคิด อารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วแค่รู้สึก อารมณ์กับกิเลสนี้จะหายไปทันที แต่ถ้าศิษย์รู้แล้วสามารถยับยั้งชั่งใจความคิดนั่นคือรู้ แต่ไม่คิด ที่มีมันก็เหมือนไม่มี เห็นแต่ไม่คิดก็เหมือนไม่เห็น แต่ไม่เห็นแล้วคิดก็เหมือนกับเห็น เช่นผีนั้นไม่มี มองก็ไม่เห็น แต่พอเราคิด ยิ่งคิดมันก็เหมือนมีจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราคิด เหมือนกันถ้าถูกเขาว่าเรา แต่เราไม่คิด เราก็เหมือนไม่ถูกว่าใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่คิด เมื่อใจว่าง สิ่งที่เกิดมันก็เหมือนไม่เกิด สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี
ฉะนั้นอยากฝึกการปล่อยวางตัวตน รู้สึกได้แต่ต้องไม่คิด เพราะความคิดเป็นตัวต้นเหตุของกิเลสและอารมณ์ที่อัตตาตัวตนสร้างขึ้นมา ถ้าชอบก็เป็นหลง ถ้าไม่ชอบเป็นเกลียด โกรธ หนีไม่พ้นจากความคิดที่ตัวเรายึดติด ฉะนั้นจึงสอนให้ผู้ฝึกปฏิบัติธรรม “รู้สึก” แต่ “ไม่คิด”  ก็จะตัดรากของกิเลสและอารมณ์ เพราะอารมณ์กิเลสมาจากความคิดที่เรายึดติดว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ และเมื่อเรายึดติดมีอัตตาตัวตนจึงก่อเกิดเป็นภพภูมิที่เรียกว่าสร้างกรรมดี กรรมชั่ว ทำดีก็รับผลของกรรมดี ทำชั่วก็รับผลของกรรมชั่ว ศิษย์คิดบวกก็แปลว่าอีกด้านศิษย์ก็ยังมีคิดลบ เมื่อศิษย์พยายามมองบวกแปลว่าในใจศิษย์รู้ว่าอะไรมันลบ มองบวกเมื่อรักมากๆ ดีมากๆ เมื่อเขาไม่เป็นดั่งใจทุกข์ไหม โกรธไหม แค้นไหม แล้วจะต่างอะไรกับการคิดลบ เมื่อคิดบวกแล้วพอไม่ได้ดั่งใจเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเจออะไร (รู้สึกแต่ไม่คิด)  โดนตีอย่างไรก็ยังต้อง (เจ็บ)  อย่างไรก็ยังต้องรู้สึก ยังเจ็บอยู่เป็นธรรมดา แต่เจ็บแค่สังขารไม่ได้ลงมาเจ็บที่ใจ ใจสอนแค่เพียงเรารู้และเราจะรู้แบบคนเห็นธรรม
แล้วทำอย่างไรที่จะเห็นธรรมรู้แล้วสามารถวางได้ สมมติเวลามีคนมาชี้หน้าด่าเรา แล้วก็จากไป เราโกรธไหม (โกรธ)  แต่พอมีคนมาบอกเราว่าคนที่ด่าเราเป็นคนบ้า เราเข้าใจแล้วโกรธไหม (ไม่โกรธ)  นั่นแหละสิ่งที่อาจารย์ต้องการ เมื่อเราเข้าใจธรรม เราจะรู้แล้ววางทันที เราจะแจ่มแจ้งแล้วปล่อยทันที แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้า เราจะวางได้ ปล่อยได้ ปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  คำว่า   “เดินตามธรรมะ”)
แล้วเราจะเอาธรรมอะไรมาพิจารณาเพื่อปลดปลง ปล่อยวาง ไม่ถือโทษไม่ถือโกรธได้  เจอเรื่องที่ไม่สมหวัง ใช้ธรรมอะไร ให้จิตใจปล่อยวางไม่ติดไม่คิดสิ่งใด (ให้จิตใจปล่อยวาง)  ศิษย์เอยอาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไม่คิดเรื่องการงาน  เรื่องการงานต้องใช้ความคิด แต่ถ้าเรื่องอารมณ์อย่าใช้ความคิด เพราะเมื่อไรที่ใช้ความคิดกับอารมณ์จะเหมือนสาดน้ำมันเข้าใส่ เพราะความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ และตกเป็นทาสอารมณ์  ความคิดง่ายจะไหลเอียงไปตามกิเลสอารมณ์ที่เราสั่งสม และง่ายที่จะทำให้ใจเราบิดเบี้ยว ความคิดอย่าเอาไปใช้กับอารมณ์ อย่าเอาไปใช้กับเรื่องที่ทำให้ร้อน แต่ความคิดยังมีได้สำหรับเวลาเราทำงานทำการ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรายั้งความคิดและปลดปลงได้คืออะไร ใครตอบได้ (เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)  ตอบได้ดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าสำหรับศิษย์ สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เรียกว่าธรรมะ แต่กว่าที่มันจะผ่านไปใช้เวลานาน ถ้าใจยังวางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ปากพูดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่ใจมันไม่รู้สึกว่าเดี๋ยวเลยนะ  ฉะนั้นจำคำพูดอาจารย์ไว้นะนี่คือคติธรรมที่ดีงาม สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกขณะที่เกิดมันคือทุกขณะที่ดับ ชีวิตที่เรานับว่าเราเกิดมันคือชีวิตที่เราดับด้วย คำพูดที่อาจารย์กำลังพูดเป็นคำพูดที่กำลังจบในตัวของมันเอง เหมือนการที่เขาว่าเรามันจบในตัวมันแล้ว ถ้าใจเราเข้าใจว่าทุกสิ่งมันจบ อยู่กับปัจจุบันเราจะไม่ทุกข์ มีแต่คนตายเท่านั้นนะที่จมอยู่กับอดีต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบว่า (ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิด)  ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิดได้ไหมหนอ แล้วทำอย่างไรให้สิ่งที่เราคิดไม่กลายเป็นยึดติด เราต้องมองเห็นให้ชัด ว่าสิ่งที่เรายึดติดว่าไม่ชอบไม่ดี นั่นไม่ดีจริงไหม สิ่งที่ไม่สมบูรณ์สุดก็ไม่ใช่ว่าจะแย่สุด และสิ่งที่ดีสุดก็ไม่ได้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม)
มีใครร้องได้หรือไม่  ไหนลองฟังเสียงผู้ปฏิบัติงานธรรม ทำนองเพลงบุพเพสันนิวาส  ชื่อเพลง เดินตามธรรมะ
อย่างน้อยนำประโยคใดประโยคหนึ่งจำไว้ในใจ เหมือนประโยคที่บอกว่า “นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง” แปลว่าเอาธรรมไปให้เขา ไปทำให้เราพบธรรมในใจเขา เราอยู่กับเขาก็ไม่มีกรรม มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อย่าใช้กิเลส อย่าใช้อารมณ์เลย ธรรมะอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ย้ำเตือนศิษย์นั่นก็คือ ไม่ว่าทำอะไรขอให้มีสติเป็นกำลัง

ขอให้ใช้สติยั้งคิด อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะอารมณ์ทำชีวิตพังแล้วก็ต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วชีวิตนี้ศิษย์อยากวนมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่ (ไม่อยาก)  ถ้าอยากเวียนว่ายตายเกิดอีก แค้นใครก็จองเวรจองกรรม ไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องใส่บาตร ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ถึงเวลาเราไม่จองเวร ใครด่ามาเราไม่ด่ากลับ ร้ายมาเราไม่แรงกลับ เราไม่เกี่ยวกรรมแล้วใช่หรือไม่
ฉะนั้นหนทางหนึ่งที่วันนี้ศิษย์ได้ศึกษาก็คือหนทางที่กลับสู่ความเป็นกลาง หนทางที่กลับสู่ความสงบ หนทางที่กลับสู่ธรรมอันเดิมแท้ คนที่เข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไป นรกก็ไม่กลัว เพราะจิตพบธรรมแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม แต่ถ้าสวรรค์อยากไป นรกไม่อยากเอา แปลว่ายังแบ่งแยกยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่จิตยังยึดติดแบ่งแยกว่ารักตัวเองแล้วเกลียดผู้อื่น รักตัวเอง ตัวเองถูก ผู้อื่นไม่ถูก นั่นก็ยังเรียกว่าหนทางแห่งทุกข์สุขดีร้ายที่นำพาให้ชีวิตสับสน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้านำธรรมพบธรรม ทุกอย่างคือธรรม ทุกอย่างคือสงบ สงบของอาจารย์แปลว่าจบ แต่ถ้ายังย้ำคิดย้ำทำ ย้ำพูดย้ำจำ แปลว่าไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากย้ำเตือนไว้ ความเป็นจริงแห่งโลกที่สอนธรรมะเราอยู่ทุกวันคือมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์ก็ว่างเปล่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร
ฉะนั้นคนที่จมกับทุกข์เก่าคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันและมองแค่ปัจจุบันคือคนที่ยังมีชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่จมอยู่กับอดีต อดีตเจ็บอย่างนี้  อดีตป่วยอย่างนี้ เจ็บมันเป็นของอดีต  เจ็บมันเป็นของสังขาร  แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบเอาความเจ็บของเมื่อวานมาเจ็บต่อวันนี้ แล้วก็จำฝังใจว่าเจ็บ แล้วก็เจ็บไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รถชนมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ใจมันยังฝังจำว่าโดนชน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแก่ไหม (แก่) เราแก่แค่สังขาร เรารู้แค่สังขารว่ามันแก่ แต่ใจเราไม่แก่เลย ถ้ายังยึดติดก็แปลว่ายังอยากให้มีทุกข์อยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยึดติดใดๆ  แม้กระทั่งความคิดแล้วความทุกข์มันจะเกาะใจได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง)
คำว่า “เดินตามธรรมะ”  ยังเป็นชื่อของเพลงที่อาจารย์ให้ด้วยนะ  ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำตามธรรม ทำตามควรแก่กำลัง ทำแล้วจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ทำให้มีศีลธรรม ใครที่มีธรรมผู้นั้นจะไม่ตกในทุคติภูมิ ไปตามธรรมดีกว่าไปตามอารมณ์ ดีกว่าไปตามใจ ดีกว่าไปตามความคิด ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้มีเพียงธรรมเสมอ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มันอยู่ในตัวของมันเอง ทุกข์มันก็ไม่เที่ยง ทุกข์มันก็ว่างเปล่า แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งใด เราหลงทุกข์อยู่กับความคิดใช่หรือไม่ ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมให้ใครมาด่า ไม่ยอมเจ็บ ความคิดที่ต้องมีแต่ได้แล้วเสียไม่ได้ แล้วความคิดอย่างนี้ทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)
คิดแบบนี้ล้วนทุกข์ทั้งนั้น แก่ไม่ได้ เจ็บไม่ได้ เสียไม่ได้ ขาดทุนไม่ได้ ยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ โง่ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะชีวิตล้วนต้องเป็นไป อย่ายึดติดแล้วลากตัวเองมาให้ทุกข์ไม่จบสิ้น สัจธรรมล้วนสอนให้เราปลดปลงและปล่อยวาง เมื่อถึงวันที่ศิษย์จะต้องปลดปลงและปล่อยวางสังขาร นั่นคือเรื่องที่ยากที่สุด จะถอนใจออกจากร่างกายนี้ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้สิ่งที่ศิษย์เข้าใจธรรมนั้นเป็นแค่เพียงความรู้ ความรู้ที่ไร้ตัวตน ไร้ผู้ยึดถือ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ดีนักแล แต่กลัวว่าแค่ถูกกระทบนิดหน่อยก็ยอมไม่ได้ น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากแจกผลไม้เพื่อเป็นสิริมงคลและให้ศิษย์เอาไปสร้างบุญต่อดีหรือไม่ (ดี)  จำไว้นะศิษย์ สร้างธรรมดีกว่าสร้างกรรม สร้างบุญดีกว่าสร้างบาป ใครจะสร้างบาปกรรมกับเราไม่เป็นไร เราถือว่าเราจะได้หมดเวรหมดกรรมกับเขาดีไหม (ดี)  เขาจะร้ายอย่างไร เราก็ขอบใจที่ทำให้ฉันได้หมดกรรม ขอบคุณที่ทำให้ฉันเข้าใจคำว่ากรรมว่ามันเจ็บขนาดไหน และฉันจะไม่มีกรรมอีกต่อไป ได้ไหม (ได้)  กรรมนั้นน่ากลัวนะศิษย์ แล้วยิ่งถ้าเป็นกรรมที่ศิษย์ตั้งใจและเจตนาทำ และเป็นกรรมที่ศิษย์ทำด้วยตัวเอง แล้วจะบอกว่าเอาบุญมาล้างกรรมได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ถามว่า อาจารย์ทำบุญกับศิษย์คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ก็ทำบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง อาจารย์นำเอาบุญที่ทำไว้กับศิษย์คนหนึ่งไปล้างบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง ได้ไหม (ไม่ได้)  นั่นคือศิษย์ไปทำบาปกับอีกคน แล้วไปทำบุญกับอีกคน มันชดเชยกันไม่ได้ เหมือนกันศิษย์ไปทำบุญด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วมาทำบุญชดเชยกัน ได้ไหม ศิษย์ไปโกงเงินเขามาเยอะๆ แล้วศิษย์มาสร้างวัด ได้ไหม ถ้าศิษย์ทำ เมื่อถึงเวลาชะตากรรมมันตกผล บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป หนีไม่ได้
ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ขอรวยไว้ก่อน มีเงินเยอะๆ ก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญธรรม มาปฏิบัติธรรม” ช้าไปไหม เวลาเราจะรวย จะอยาก จะมีเงิน เราต้องไปเบียดเบียนคนอื่นไหม เราโกหกบ้างไหม เราค้าขายแบบซื่อตรงไหม ถ้าศิษย์อยากตั้งใจบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นค้าขายหรือทำอะไร ขอให้มีความซื่อสัตย์จริงใจ เราขายสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีที่สุดออกจากใจ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำด้วยใจนั่นแหละขายไปแล้วเราได้บุญด้วย เพราะเราทำสิ่งที่ดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ขายไปแล้วก็โกหก แล้วก็นำสิ่งที่ไม่ดีมาผสมสิ่งที่ดีแล้วขายในราคาเท่ากัน
ฉะนั้นเมื่อจิตเข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไม่กลัว นรกก็ไม่เกรง เพราะเข้าใจธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเรายังไม่เข้าใจและปฏิบัติไม่ถึงธรรม อยากไปสวรรค์แค่ไหนก็ไปไม่ถึง หวาดกลัวนรกแค่ไหนก็ต้องลง
อย่างนั้นทำอย่างไรจึงเรียกว่า ทำดี” ทำอย่างไรเรียกว่า “ทำชั่ว” (ความดีคือมีความเมตตาต่อผู้คน ความชั่วคือมีแต่ความเกลียดชัง)  ฉะนั้นอย่าเผลอมีนะ เมตตาต้องเมตตาไม่แบ่งแยก กับใครก็ต้องเมตตา ไม่ใช่เมตตาเฉพาะลูกหลานเรา (ความดีคือเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ)  ขอให้ซื่อสัตย์จริงใจไปทำอะไรก็เจริญ แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจอยู่กับใครก็ลำบาก
(ไม่โกหก)  แล้วโกหกไหม (ตอนนี้ไม่โกหก)  อย่างนั้นแสดงว่าที่แล้วมาเคยโกหก
(ค้าขายเราต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ทำอะไรให้ซื่อตรง)  อาจารย์จะบอกให้นะ ค้าขายซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้วต้องมีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยนะ คำพูดต้องอ่อนหวาน อีกอย่างขายของแล้วต้องแถมด้วย ต้องรู้จักคำนวณให้เป็น อยากขายดี ต้องคิดให้เป็น เงินมาไวไปไวยังดีกว่าหนืดแล้วเงินจะไม่มานะ
(ปลูกผักไม่ใส่ยาฆ่าแมลง,ค้าขายซื่อสัตย์ ไม่คดไม่โกง,ทำสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข)  ทำให้เขามีความสุข แต่ความสุขนั้นต้องมีหลัก มีจุดยืนของตัวเองด้วยนะ ไม่ใช่ทำให้คนอื่นมีความสุขแต่เราต้องโกหกใจตัวเองมันก็ไม่ดี
(มีเมตตา ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว, ค้าขายสุจริต หน้ายิ้ม, ทำดี ละชั่ว รักคนอื่น)  รักคนอื่นยิ่งกว่าตัวเอง หรือรักตัวเองยิ่งกว่าคนอื่น (รักคนอื่นยิ่งกว่ารักตัวเอง)
ทำดีคืออะไร (ไม่เบียดเบียน)  ไม่เบียดเบียนทางสายตา ไม่เบียดเบียนทางวาจา ไม่เบียดเบียนทางการกระทำ  ไม่เบียดเบียนทางไหน (ไม่เบียดเบียนทุกอย่าง)  ฉะนั้นถึงแม้จะพูดจริงแต่เบียดเบียนก็ไม่ดี ถึงแม้จะพูดดีแต่เบียดเบียนก็ไม่เอา
(มีความมุทิตากรุณาไม่ฆ่าสัตว์)  มีความมุทิตา กรุณาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยุงกัด มดมา แมลงสาปมา งูมา เราอย่าไปฆ่ามันนะศิษย์ ชีวิตสัตว์เหล่านั้นมันก็น่าสงสารอยู่แล้ว
(รู้จักสำนึกคุณ)  อาจารย์อยากให้ขยายนะ ให้รู้จักสำนึกคุณต่อทุกๆ คน  ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ไม่เพียงแค่สำนึกคุณพ่อแม่เท่านั้น แต่ทุกคนล้วนมีคุณ คุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราเข้าใจชีวิต
 ตอบว่า (ช่วยเหลือสังคม)  รู้จักสละเวลาช่วยเหลือผู้อื่น ตอบได้ดีนะ แต่อาจารย์จะบอกว่าเราสามารถทำดีได้ทุกวัน แค่ทุกวันเราทำงานกับผู้คน เรายอมเขาไหม เราให้เขาไหม หรือเรามีแต่เอาแล้วก็เอา ใช่ไหม (ใช่)  ดีทุกวัน ทำดีคือใจเย็นๆ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีคือมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำดีคือรักษาคำพูด พูดได้ต้องทำได้ ทำดีคือไม่มีใจคิดร้ายต่อใคร ใช่ไหม (ใช่)  การรู้จักแบ่งปันก็เรียกว่าทำดี (ธรรมะเป็นทาน)  แต่ทานก็ไม่ประเสริฐเท่าศีล ศีลก็ไม่ประเสริฐเท่าสมาธิ สมาธิคือความมั่นคง และสมาธิก็ไม่ประเสริฐเท่าปัญญาที่รู้แจ้ง เห็นในความจริง  ฉะนั้นอย่ามีแค่ศีล ถ้าศีลยังไม่ครบ สมาธิยังหวั่นไหว ปัญญามันก็เลยไม่แจ่มชัด ใช่ไหม (ใช่)  ตอบว่า (ทำดีรู้จักเมตตาแล้วให้อภัย)  รู้จักเมตตาให้อภัย
ตอบว่า (ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำดีไม่หวังผล มีความเมตตา)
การทำบุญแค่ตั้งใจดีก็เป็นบุญกุศลแล้ว แต่ถ้าตั้งใจแล้วไม่ยึดติด ด้วยอันนี้ยิ่งสูงขึ้นไปใหญ่ แล้วไม่ต้องเอาไปนั่งสงสัยว่าพระจะเอาเงินทำบุญเราไปทำอะไร ทำแล้วทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดแล้วจะกลายเป็นกิเลสมันกลายเป็นบุญที่อิงแอบไปด้วยกิเลส จะกลายเป็นบุญที่มีบาปเล็กๆ ฉะนั้นทำไปแล้วไม่ต้องคิด ก่อนทำก็ไม่คิด ระหว่างทำก็ไม่คิดก็ไม่ยึดติด ทำจบไปแล้วก็ไม่เอา นั่นแหละถึงจะเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์นะ ศิษย์รู้ไหมถ้าทำแล้วอดคิดเสียดาย บุญนั้นจะไม่สมบูรณ์ ถ้าทำแล้วยังอดระแวงสงสัย บุญนั้นจะกอปรไปด้วยบาปกรรม ฉะนั้นทำแล้วไม่ต้องคิด
(ใช้สตินำอารมณ์)  เมื่อสตินำอารมณ์ได้จะก่อเกิดเป็นความสงบและจะบังเกิดปัญญาเห็นความจริงอันแจ่มแจ้ง แต่โดยส่วนใหญ่อารมณ์จะบังสติ เพราะเราเอาแต่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติจะดึงใจให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่เมื่อไรที่เราทำอะไรแล้วเราใช้ความคิด ความคิดง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นให้ใช้สติเยอะๆ
แค่ศิษย์ไม่ประพฤติผิด ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ประพฤติผิดศีล นั่นเรียกว่าคนดีที่สุดแล้ว มนุษย์พยายามจะดีแต่ไม่ละชั่วจึงไม่อาจเรียกว่าดีแท้ ฉะนั้นศิษย์แค่ไม่ทำชั่วเลยดีที่สุด ไม่เคยโกหก ไม่เคยเบียดเบียน ไม่เคยด่าใครในใจ จริงใจตลอด ซื่อตรงตลอดนั้นดีที่สุด (ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  หยิ่งจองหองไม่มีวันดี แต่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ที่ไหนก็ดีขึ้น (ทำดีเพื่อพ่อแม่)  แค่เราทำให้สมบูรณ์ในหน้าที่ตัวเอง และรู้จักหน้าที่ตัวเองพึงกระทำนั่นก็ถือว่าเราทำให้พ่อแม่แล้ว
มีความเข้มแข็งและกล้าหาญในใจด้วยนะ (คิดดีทำดีต่อหน้าและลับหลัง)  อย่าลืมละชั่วด้วย คนส่วนใหญ่คิดดีทำดีแต่ไม่ละชั่วก็ยังไม่ได้ดีนะ (ทำดีคือการปฏิบัติต่อพ่อแม่ ทำชั่วคือไม่ตีไม่ดุด่าพ่อแม่)  จิตที่สำนึกคุณเป็นจิตที่ประเสริฐ ตื่นมารู้จักขอบคุณทุกคน ถ้าเรารู้สึกขอบคุณทุกคนเราจะไม่ด่าใคร เราจะไม่เกลียดใคร จิตนี้เป็นจิตที่ดี ปลูกต้นธรรมนี้ให้เติบโตแล้วศิษย์จะไม่ทำร้ายใครเพราะศิษย์รู้สึกสำนึกคุณคนทุกคน และศิษย์จะไม่ทำลายสาธารณะประโยชน์เพราะทุกสิ่งล้วนมีคุณต่อเรา
ตอบว่า (ไม่ลักเล็กขโมยน้อย)  แต่เคยแอบขโมยทางสายตาหรือไม่ เขาไม่ให้ดูแต่แอบดู (ไม่เคย)  ตอบว่า (ให้ทาน)  ทานยังเป็นระดับพื้นฐาน แต่ทานที่ประเสริฐที่สุด นอกจากสิ่งของคือให้ธรรมะเป็นทาน เขาโกรธมาแต่เราให้ธรรมะตอบ เขาโกงมาแต่เราซื่อตรงสุจริตตอบ คือให้ธรรมะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ และเราทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นจะต้องแค่ที่วัด ทุกที่ทุกคนทุกเวลาทำได้ อยู่ที่ว่าเราจะให้ธรรมะหรือให้อารมณ์ ให้ธรรมหรือให้กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอบว่า (กตัญญูต่อพ่อแม่)  ทำให้ได้ กตัญญูต่อท่าน คำว่ากตัญญูไม่ใช่แค่ปาก เคยนวดท่านไหม ถามไถ่ท่านไหม บ่อยไหม ทำทุกวันไหม ต้องทำให้ได้ทุกวันเป็นกิจลักษณะ แค่ทำตัวดีไม่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วงนั่นก็กตัญญูแล้ว และทุกวันหมั่นโทรศัพท์หาท่านบ่อยๆ แค่นี้ท่านก็ปลื้มใจแล้ว ใช่หรือไม่ ดูแลท่านบ่อยๆ ทำได้ใช่ไหม แล้วก็ต้องรู้จักคุณคนด้วยนะ รู้จักคุณคนแล้วก็รู้คุณของโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม
ตอบว่า (ทำชั่วคือไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ทำดีก็คือปฏิบัติตามธรรมะ)  ตอบได้กว้างมากเลยนะ ทำชั่วก็คือปฏิบัติตามนิสัยกิเลสอารมณ์ ทำดีคือปฏิบัติตามธรรมชัดเจนกว่าไหม (ครับ)
ตอบว่า (การทำความดีที่บริบูรณ์และสมบูรณ์นั่นก็คือ การให้ทาน รักษาศีลให้ครบบริบูรณ์ และมีพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) นั้นยังเป็นระดับศีล  วันนี้เราศึกษาถึงขนาดที่ให้ศิษย์รู้จัก โดนกระทบแล้วปกติหรือไม่ จนเกิดความสงบและปัญญาเห็นแจ้ง (เพื่อให้เกิดการปล่อยวางในที่สุด)  ที่จริงแล้วแล้วมันว่างแล้วไม่ต้องปล่อย ที่พยายามต้องปล่อยแปลว่าเราไปเผลอยึดมันไว้ ใช่หรือไม่ (ครับ)
มีใครตอบอาจารย์อีกไหม (ไม่ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณ)  ทำให้ได้นะเพราะทุกคนในโลกล้วนมีคุณต่อเรา เขาด่าเราก็มีคุณ เขาโกงเราก็มีคุณ เขาไม่รักเราก็มีคุณ เพราะทำให้เรารู้ว่าเราต้องอยู่ให้ได้แม้วันหนึ่งเราไม่เหลือใคร ใช่หรือไม่ (ใช่ค่ะ)  แต่เราต้องรักตัวเองให้เป็น ไม่ใช่รอให้มีแต่คนมารัก
กุศลกรรมคือ ทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วสามารถสละตัวตนได้ ทิ้งวางตัวตนได้นั่นคือกุศล สิ่งที่ศิษย์พูดขอให้เอาไปทำให้ได้จริง ไม่ใช่เพียงพูดดีแต่ทำไม่ได้นะศิษย์ ฉะนั้นอยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ต้องทำได้ แล้วเราก็จะศักดิ์สิทธิ์บนโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ภพภูมิของมนุษย์ถูกกำหนดเมื่อเรายังมีชีวิต ถ้าเราเป็นคนพูดจริงทำจริงเราก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเราพูดจริงแล้วทำได้ แล้วมีคุณธรรมเหนือชีวิตนั่นก็คือพระพุทธะ และถ้าเราเห็นแจ้งแจ่มชัดในหลักธรรม เราก็คือพ้นโลกพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จำไว้นะศิษย์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าตัวเองทุกข์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าเขาทำให้เราเจ็บ ที่เขาระเบิดอารมณ์ด่าใส่เราเพราะเราเคยทำเขาเจ็บมาก่อน ฉะนั้นเวลาโดนคนด่าให้สะท้อนถามใจตัวเองว่า เป็นเพราะฉันทำเธอเจ็บ ใช่หรือไม่ ถ้าคิดได้แบบนี้เราจะไม่โกรธเขา แต่เราจะรู้สึกผิดและขอโทษเขาทันทีว่า “ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอเจ็บใจจนระเบิดอารมณ์แล้วด่าฉันขนาดนี้ ขอโทษจริงๆ”  ศิษย์จะแปรเปลี่ยนใจเขาได้ด้วยธรรมหล่อหลอมใจใช่ไหม (ใช่)  แต่มันต้องกลั่นออกมาจากใจเรา ที่อยากให้เขาจริงๆ ฉะนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อให้หรืออยู่เพื่อรับ อยู่เพื่อสละละวางหรือยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ให้ถามใจตัวเอง
อาจารย์จะดีใจมากเลย ถ้าศิษย์ปฏิบัติธรรมจนลืมความเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะเมื่อไรที่เราสามารถละวางตัวตน ทุกข์ก็จะไม่มีที่อยู่ ใจก็ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะเราเป็นธรรม เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อใดที่มนุษย์ค้นพบหลักสัจธรรมและแจ่มแจ้งในหลักสัจธรรม มนุษย์จะเป็นอิสระจากกิเลส อารมณ์ และตัวตนทันที แล้วเมื่อนั้นศิษย์ก็จะบำเพ็ญธรรมพบธรรมใช่ไหม (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าเดินครึ่งๆกลางๆ อย่าพ่ายแพ้เพราะความคิดตัวเองที่ไม่น่าเป็นเลยนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน ให้อภัยกันถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักนิดเบาหน่อยรู้จักยอมกัน ตั้งใจบำเพ็ญ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ ใจเย็นๆ อย่ามัวแต่ห่วงอารมณ์ รักตัวเองมากเกินไป แต่ก็ต้องรู้จักรักผู้คนให้เป็น อย่าปล่อยให้ความรักทำร้ายตัวเอง ความยากลำบากไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ รักษาสุขภาพกันให้ดี ดูแลกายใจตัวเองให้ดีนะ
ไม่มีมงคลใดประเสริฐเท่ากับรู้จักคิด รู้จักพูดในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม  รักษาความถูกต้องดีงาม รักษาบุญรักษาโอกาส หมั่นเพียรศึกษาธรรมนำพาชีวิตให้ถูกต้อง มุ่งมั่นทำให้ดี จิตใจดีรักษาไว้อย่าให้สูญหายไปจากใจ สิ่งที่ไม่ดีก็ชะล้าง รักษาความดีงามไว้ รู้จักควบคุมระมัดระวังอารมณ์ ธรรมมีอยู่ในใจ จงนำธรรมนั้นฉุดช่วยคน  เลิกสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ขอให้ความมงคลและความดีงามจงอยู่ในใจศิษย์ทุกคน กล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง
ศึกษาธรรมแล้วต้องปฏิบัติให้ได้ เข้าใจธรรม นำพาคนให้ดีด้วยหัวใจเมตตาและกล้าหาญนะ เข้มแข็งนะ ตั้งใจอุทิศเสียสละให้เต็มที่ สมกับที่ศิษย์มุ่งมั่นตั้งใจ สมกับสิ่งที่ศิษย์มีปณิธานไว้กับอาจารย์ แล้วเราจะได้เดินไปด้วยกันและกลับคืนสู่ธรรมพร้อมกันด้วยหัวใจที่สงบเย็น ทำให้ได้ไปให้ถึงที่สุดดั่งที่ศิษย์เคยมีปณิธานไว้ อย่าลืมปณิธาน รักษาปณิธานอันนั้นไว้ด้วยหัวใจ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดคือความคิดใช่ไหม รักษาใจของพุทธะด้วยตื่นรู้ อย่าหลงตามความคิด ศิษย์ของอาจารย์มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก รักษาหัวใจอุทิศเสียสละให้ยิ่งใหญ่สมกับความตั้งใจ เสียสละได้แล้วเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ต้องละวางให้ได้คือความเป็นตัวตน มนุษย์มีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความยึดมั่นถือมั่นที่เรียกว่าทิฐิและอารมณ์ ฉะนั้นเวลาทำอะไรต้องระมัดระวัง อยู่ให้ห่างทิฐิกับอารมณ์แต่ใช้ธรรมให้มากที่สุด มองอย่างคนเห็นธรรม อย่ามองอย่างคนที่เห็นแต่ทิฐิ เห็นแต่อารมณ์
สิ่งใดที่ดีแล้วให้รักษาไว้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด แต่อย่าเป็นคนดื้อดึงดันทุรัง มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกับอาจารย์ มาร่วมศึกษาและร่วมเดินหนทางที่นำพาให้พ้นทุกข์นะ ดีไหม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจำไว้อย่างหนึ่ง เรายังมีอีกหนึ่งทางคือทางตรง ทางสายกลางที่เรียกว่าธรรม ธรรมที่เรายอมรับความเป็นจริง และปฏิบัติดีให้ถึงที่สุด ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตัวตน แต่ทำเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ยึดถือและสร้างวัฏฏะ ลองพยายามคิดไตร่ตรองในสิ่งที่อาจารย์พูด เพื่อจะกระจ่างแจ้งในธรรมสักวันหนึ่งนะ ศิษย์เอย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
                   จิตใจมีธรรมะ  ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ  ปัญญาเป็นตัวหาร  ความทุกข์มีวันสลาย  จิตบำเพ็ญ
มากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย  พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
              โลกไม่อาจกระทบ  คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม  ทางที่กรรมจะพ้นก็ใจตรงนี้
              ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก  พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย


อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-03-16 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一八年嵗次戊戌正月二十九日              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑   สถานธรรมฉือฮุ่ย  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  อย่าลืมใจเริ่มแรกเมื่อแรกเริ่ม             ในคนเดิมที่ใจสู้ไม่ถอยหนี
อายุมากยังรักษาซึ่งความดี                  ชีวิตนี้เสียสละฉุดช่วยคน
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ           

  เพราะคร่ำหวอดทางธรรมเวลานาน       ด้วยประสบการณ์การฝึกกำลังแคล่วคล่อง
อย่าปล่อยจิตให้มีนั้นลำพอง                  ความดีต้องหมั่นทำมีวินัย
ไม่วุ่นเพิ่มคือจิตสติขบ                          ความคิดสงบให้ใจระลึกได้
แก่นความรู้สัมปชัญญะครบเป็นหัวใจ       ทิฐิไม่พบพานย่อมรวมพลัง
ไหลรวมธรรมทั้งหลายหล่อหลอมใจ        ทำหัวใจสุขุมเย็นอารมณ์ว่างว่าง
รู้ปัจจุบันให้เป็นสติเป็นกำลัง                  มืดสว่างจิตนิ่งไม่หมุนตาม
ยึดความเห็นใช้อารมณ์ไปทำไม              คนส่วนใหญ่โทษเป็นคนประจำ
ไม่อุเบกขาแต่ว่ากล้ามีกรรม                   สัญญาจำลงวางย่อมต่อปาก
โทสะเผาได้ย่อมร้อนแล้วสำแดง             ฟ้าอยากแจ้งใจคนวู่วามนัก
ทุกชีวิตมีดีแต่ไม่รัก                              แม้ลำบากไม่ไปวู่วามตามใจ
                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 

ใจแรกเริ่มที่บริสุทธิ์ ไม่คิดมาก ไม่ทุกข์มาก ไม่ต้องกลุ้มกังวลมากกับใจตอนนี้ที่ต้องคิดเยอะกลุ้มเยอะ ทุกข์เยอะ ท่านว่าใจดวงไหนดีกว่ากัน  (ใจแรกเริ่ม)  ท่านว่าเปลี่ยนทันไหม (ทัน)  กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม (ได้)  พูดได้แต่ทำไมทำไม่ได้ แล้วทำไมไม่คิดทำ ใช่หรือไม่ มีคำหนึ่งที่มนุษย์มักจะกล่าวว่า บางครั้งการฟังธรรมก็ช่วยล้างใจให้สะอาด การปฏิบัติธรรมก็ช่วยทำให้หัวใจได้กลับมาบริสุทธิ์ ฉะนั้นวันนี้นั่งฟังธรรมมาเกือบครึ่งวันแล้ว ธรรมะได้ทำให้ใจเราสะอาดบ้างไหม ธรรมะได้กล่อมเกลาให้ใจเรารู้สึกใสบริสุทธิ์บ้างไหม (ได้)  หรือยังขุ่นเหมือนเดิม
มานั่งฟังเพื่อทนฟังหรือมานั่งฟังอย่างคนมีจุดหมาย (นั่งฟังอย่างมีจุดหมาย)  แล้วจุดหมายของท่านที่ฟังวันนี้คืออะไร (อยากไปสู่หนทางนิพพาน)  บางท่านก็บอกว่าไกลเกินเอื้อม แต่ไม่แน่นะใช่ไหม (ใช่)  เราขอเวลาท่าน จากตลอดชีวิตขอเวลาแค่สามวันลองศึกษาธรรมดู ศึกษาธรรมเพื่อล้างใจ เพื่อกลับคืนสู่ใจดวงเดิม ลองดูสักตั้งไหม (ลองดู)  โดยส่วนใหญ่ที่เรามองเห็นหรือเล็งเห็น มนุษย์ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมไม่ได้เพื่อกลับคืนสู่ใจเดิม ไม่ได้เพื่อพระนิพพานแต่เพื่อขอให้รวย ขอให้อยู่ดีมีสุข ขอให้มีโชคลาภ ขอพรให้ทำอะไรก็สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องเจอสิ่งที่ดี อย่าเจอสิ่งที่ร้าย ต้องมีแต่โชค ไม่มีเคราะห์ภัย แล้วต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นจริงเช่นนั้นไหม คิดอย่างนั้นตลอดใช่ไหม แต่ถามหน่อยนะ เหล่าพระพุทธะที่ท่านกราบไหว้มีท่านไหนไหมที่สอนว่า ชีวิตนี้เจอแต่ดี ไม่เจอร้าย (ไม่มี)  ชีวิตนี้มีแต่สุขไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า ท่านกำลังเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติดี แล้วต้องเจอแต่สิ่งที่ดี เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ทำดีต้องได้ดี” พอไม่ได้ดีก็ว่าฟ้าไม่ยุติธรรม สวรรค์ลำเอียง
อย่าลืมใจเริ่มแรกเมื่อแรกเริ่ม             ในคนเดิมที่ใจสู้ไม่ถอยหนี
อายุมากยังรักษาซึ่งความดี      ชีวิตนี้เสียสละฉุดช่วยคน
กลอนบทนี้ให้มีสองความหมาย ความหมายแรกสำหรับคนที่ยังไม่เริ่มปฏิบัติ เสียสละ ในอดีตตอนเด็กๆ เรามุ่งมั่นอยากทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ถามหัวใจทุกคน ตอนเราเป็นเด็กเราอยากเป็นคนดีที่สุด แล้วถ้าทำได้จะทำตัวให้เป็นคนดี และมุ่งมั่นทำดีให้ถึงที่สุดถูกไหม แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ความมุ่งมั่นหายไปไหน คนดีที่อยากจะทำดี ทำไมกลายเป็นคนร้าย เหมือนผู้ปฏิบัติธรรม แรกเริ่มอยากอุทิศเสียสละ ช่วยผู้คนให้มากที่สุด แต่พอเวลายาวนาน หัวใจเริ่มท้อ ความดีเริ่มอ่อนแอ น่าเสียดายนะ ทำไมเราจึงไม่รักษาใจเดิมอันนี้ไว้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นใจที่ดี จริงไหม
การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าในโลกแห่งคำว่าธรรม และในโลกแห่งมนุษย์เราหนีไม่พ้นสุขทุกข์ ดีร้าย ได้เสีย ล้วนเป็นธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ยอมรับความเป็นธรรมดาได้ย่อมรับความเป็นจริงอันหลีกหนีไม่พ้นได้ ก็คงทุกข์น้อยลง แต่ใจมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะหวังว่าชีวิตต้องมีดีไม่มีเสีย ต้องมีถูกไม่มีผิด ต้องมีสุขไม่มีทุกข์ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจริงๆ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) แต่เราก็ยังหวัง ฉะนั้นเราจึงหนีไม่พ้นทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็เลยหันหน้าเข้าหาธรรมและคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะทำให้สุขแล้วไม่ทุกข์ ทำให้ดีแล้วไม่ร้าย แล้วเป็นจริงอย่างนั้นไหม (ไม่) 
อย่างนี้เรามาลองดูกันก่อนว่า ทำไมเราพยายามมุ่งมั่นปฏิบัติดีแล้ว แต่ทำไมยังโชคไม่ดี ทำไมยังไม่มีสุข ทำไมยังทำอะไรมักไม่สำเร็จ เคยได้ยินคนโบราณพูดไหม อยากเป็นคนทำอะไรสำเร็จ ถามตัวเองว่าขยันหรือ   ขี้เกียจ อยากเป็นคนทำอะไรประสบผลสำเร็จ ถามตัวเองว่าอดทนหรือไม่อดทน อยากเป็นคนทำอะไรก็ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ถามตัวเองว่ามีความเพียรในสิ่งที่ยากเพียรยากทนหรือไม่ ถ้าทำได้ครบสามอย่างนี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อดทนได้ไหม ขยันหรือเปล่า  มีความเพียรเป็นเอกเป็นกำลัง เพียรในสิ่งที่ยากเพียร ยากทนหรือไม่      ใช่ไหม (ใช่)  อยากทำอะไรก็สำเร็จ ฉะนั้นขอพระไม่สู้ขอใจตน บำเพ็ญแล้วอยากเป็นคนมีความสุข บำเพ็ญแล้วอยากได้ครอบครัวร่มเย็น แต่บำเพ็ญแล้วปากยังเปราะ อารมณ์ยังร้อน บำเพ็ญแล้วจะสุขไหม (ไม่สุข)  รู้จักคนปากเปราะไหม (รู้จัก)  ชอบโกหก ชอบเอาเปรียบ ชอบเห็นแก่ได้ ชอบดูถูกดูแคลน ปฏิบัติธรรมใส่บาตรก็แล้วสวดมนต์ก็แล้ว แต่นิสัยไม่ดีไม่แก้ไข จะสุขไหม (ไม่สุข)  อย่างนั้นควรขอพระให้เรามีสุขหรือขอตัวเราให้รู้จักแก้ไขนิสัย (ขอตัวเรา)  แล้วถึงเวลาขอตัวเองไหม
อยากเป็นคนมีโชคมีวาสนาดี มีบุญบารมีเหมือนคนอื่นเขา ถามตัวท่านว่า มีชีวิตอยู่สร้างบุญมากกว่าหรือสร้างบาปมากกว่า (สร้างบุญมากกว่า)  อยากโชคดีไม่อยากโชคร้าย อยากไม่มีเคราะห์ร้ายไม่มีภัย รู้ไหมว่าคนผิดศีลขาดธรรมประพฤติตัวตามอารมณ์ตามนิสัย หนีไม่พ้นเคราะห์บาปเวรกรรม มือหนึ่งทำบุญแต่อีกมือหนึ่งยังผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้ปฏิบัติดีแล้วจะโชคดีไหม (ไม่)  แล้วท่านชอบทำบุญใส่บาตรใช่ไหม (ใช่)  แต่ศีลธรรมมีครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าปฏิบัติดีได้ไหม (ไม่ได้)  ก่อนที่จะไปว่าฟ้าลำเอียง คนไม่ยุติธรรม ถามใจตัวเองก่อน เที่ยงตรงไหม  ดีจริงหรือเปล่า ปฏิบัติได้สุดจิตสุดใจหรือยัง แล้วจะมาพูดบ่นไม่ได้ว่า ทำดีไม่ได้ดี ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า ดีจริงๆ ไหม ยังเอาเปรียบคนอื่นอยู่เลย  ยังโป้ปดอยู่เลย ยังเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตนเองอยู่เลย แล้วอย่างนี้จะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเห็นบอกว่าตัวเองดี ตอนนี้ยังดีจริงๆ หรือ อยากมีความสุข แต่เจอหน้า ก็เอาแต่บ่น เอาแต่ติ อยากได้ครอบครัวร่มเย็น นิดๆ หน่อยๆ ก็ถือสาไม่ยอมความ อยากได้เพื่อนรักสามัคคี แต่ก็ชอบเป็นคนคดโกง เอาเปรียบเพื่อน แล้วอยู่ที่ไหนจะมีความสุขไหม อยากได้ชีวิตร่มเย็น แต่ตื่นขึ้นมาก็คิดเบียดเบียนว่าจะเอาอะไรจากใคร บุญบารมีเกิดจากการให้ โชคลาภวาสนาเกิดจากการอุทิศเสียสละ แต่บาปเคราะห์กรรมเกิดจากการที่คิดแต่จะเอา ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมาเรามีบุญหรือมีบาปกรรม ก็ดูที่ว่าคิดให้หรือคิดเอา แล้วปกติเราคิดให้หรือคิดเอา (ให้, เอา)  ไม่อยากให้คนอื่นลำเอียง เราอย่าลำเอียง     ไม่อยากเจอคนโป้ปด ตัวเราอย่าโป้ปดใจตนเอง ไม่อยากได้คนหลอกลวง เราก็อย่าหลอกลวงใจตน ฟ้าชัดเจนเสมอ ตาข่ายฟ้ายิ่งแจ่มชัดยิ่งนัก      ทำอะไรได้อย่างนั้น แต่ถามใจท่านก่อนว่า ใจท่านเที่ยงตรง ซื่อตรง ดีจริงหรือไม่
ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี   นั่นคือเริ่มเป็นคนดี แต่ถ้าเมื่อไรคิดว่าตัวเองนั้นดี นั่นแปลว่ายังไม่ดี      ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดดูว่าจริงไหม เพราะไม่ดีจึงพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น แต่เพราะคิดว่าตัวเองดีจึงไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย อย่างนั้นตอนนี้ดีหรือไม่ดี    (ไม่ดี) 
วันนี้ทุกท่านฟังธรรมอย่างหนึ่งที่ในใจท่านอยากได้มากที่สุดก็คือ   ฟังธรรมอย่างไรจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ ท่านเคยได้ยินไหมว่ามนุษย์หนีไม่พ้นทุกข์ แต่พุทธะกลับพูดว่า ทุกข์แท้จริงหามีไม่ เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ไม่เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่าเราจะแก้ทุกข์นี้กันอย่างไร
เรายกตัวอย่างเรื่องๆ หนึ่ง ท่านรู้จักพระจันทร์ไหม พระจันทร์มืดหรือสว่าง (สว่าง, มืด)  อยู่ในโลกนี้เป็นคนต้องหูตากว้างไกล รู้อะไรต้องรู้ให้จริง เห็นอะไรต้องเห็นให้แจ่มชัด จะได้ไม่ถูกหลอก พระจันทร์มืดหรือสว่าง (สว่าง, มืด)  ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เราก็มองว่าพระจันทร์ มีทั้งมืดและสว่าง หรือพระจันทร์แล้วแต่ว่าวันไหนสว่างน้อยสว่างมากก็ขึ้นอยู่กับข้างขึ้น ข้างแรม
ทำไมเราถึงยกตัวอย่างเรื่องพระจันทร์ ถ้าพระจันทร์เปรียบเหมือนใจของเรา เมฆ อากาศ ที่อยู่ข้างนอกเหมือนสังขารของเรา อย่างนั้นใจเราจริงๆ มืดหรือสว่าง (มืด, สว่าง)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วใจเราล่ะ มืดหรือสว่าง (สว่าง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ใจเรามืดหรือสว่างไม่อาจหยั่งรู้ได้ แต่ถ้าเราบอกว่า ใจเราก็เหมือนพระจันทร์ แท้จริงแล้วไม่สว่างและก็ไม่มืด เป็นสภาวธรรมสภาวะหนึ่ง แต่มืดไปหรือสว่างไปนั้นเพราะอะไร เทียบง่ายๆ พระจันทร์เวลาเต็มดวงสวยและสุกสกาว แต่พอมีเมฆมาบังเป็นอย่างไร (มืด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นแท้จริงพระจันทร์ไม่มืดและไม่สว่าง พระจันทร์เดิมเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่สภาวะเหตุการณ์ทำให้เราอยู่บนโลกแล้วมองเห็นจันทร์สว่าง และบางเหตุการณ์ทำให้เรามองเห็นจันทร์มืด ถูกไหม (ถูก) 
ฉันใดก็ฉันนั้น ใจเดิมแท้ของมนุษย์ไม่เคยมืดบอด แล้วไม่เคยสว่าง แต่ที่เราเห็นว่าสว่างเพราะเหตุการณ์บางเหตุการณ์มาโดนใจ ทำให้ใจเรารู้สึกดี บางเหตุการณ์มาโดนใจทำให้ใจเรารู้สึกหดหู่ แต่ถามจริงๆ ใจจริงๆ มืดหรือสว่าง (ไม่มืดไม่สว่าง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่าแท้จริงใจมนุษย์ไม่ได้ทุกข์ แต่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดไม่ยอมรับความจริงของใจที่กำลังเผชิญ เหมือนที่เราถามว่าจันทร์มืดไหม ก็ไม่ได้มืด จันทร์สว่างไหม ก็ไม่ได้สว่าง ใจท่านก็เหมือนกัน ร้ายไหม ก็ไม่ได้ร้าย ดีไหม (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเวลาท่านทุกข์ ถามจริงๆ ใจท่านทุกข์หรือความคิดที่ไม่ยอมรับเหตุการณ์ตอนนั้นมันทำให้เราทุกข์ (ความคิด)  ใจเราไม่ได้ทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องสูญเสีย ใจเราสูญเสียหรือความคิดทำให้เรารู้สึกสูญเสีย (ความคิด)  เวลาเราเจ็บใจ เราเจ็บหรือความคิดที่ไม่ยอมเจ็บทำให้เรายิ่งเจ็บ (ความคิด)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสามีทิ้งเรา ใจเราถูกทิ้งหรือความคิดเรารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง (ความคิดเรารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง) ถามกลับ สามีถ้าภรรยาด่าเรา เราโกรธเขาเพราะใจเราหรือความคิดเราไม่รับว่าภรรยาบ่นด่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ กายจะแยกออกจากใจ ใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งสังขารที่หนีไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะลาออกจากความทุกข์ได้ทันที เราจะมีทุกข์แค่สังขาร แต่ไม่ลงไปที่ใจ เพราะใจเราไม่ได้ทุกข์ ที่ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความจริงที่เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสังขาร ถ้าท่านเข้าใจธรรมตรงนี้ ท่านจะลาออกจากความทุกข์ได้ทันที ใจท่านจะอยู่เหนือกาย กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ กายโดนด่า ใจไม่ได้โดนด่า กายสูญเสีย ใจไม่ได้สูญเสีย มองเห็นจันทร์ก็เห็นใจ ใจเราไม่ได้มืด ใจเราไม่ได้สว่าง แต่ใจเราคือสภาวธรรมหนึ่ง ที่ว่างจากตัวตน แต่ความคิดที่ไม่ยอมและยึดติดว่าต้องมีตัวตนทำให้เราทุกข์ หรือเทียบง่ายๆ เราพูดไปตามอารมณ์ และอารมณ์เป็นไปตามความคิด ฉะนั้นถ้าอารมณ์คิดดีแล้วก็พูดดี ถ้าตอนนี้เราไม่คิด เราจะพูดไหม (ไม่พูด)  ฉะนั้นวาจาเป็นดั่งใจ และใจก็เป็นอยู่ที่ความคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนวาจาดี ใจดีใช่ไหม วาจาเป็นไปตามอารมณ์ อารมณ์หมุนเวียนไปตามความคิด ฉะนั้นวาจาดีใจดีจริงไหม วาจาร้ายใจร้าย จริงไหม (ไม่จริง)  ฉะนั้นเจอใครปากร้ายเขาใจร้ายใช่ไหม (ไม่ใช่)  คิดให้ได้อย่างนี้  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวบางครั้งจึงไม่ได้อยู่ที่การพูด แต่อยู่ที่ความคิด ถึงพูดดีแต่ประสงค์คิดร้ายก็ไม่ดี ถึงพูดร้ายแต่ใจเขาไม่ได้คิดร้ายใจเขาหวังดีก็อาจจะเรียกว่าไม่ร้ายจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองออกชัด มองใจตัวเองชัด เราจะเห็นผู้อื่นชัดว่า ถึงปากเขาจะเป็นอย่างนี้ ถึงการกระทำเขาจะเป็นอย่างนี้ แต่ใจเขาอาจจะไม่ใช่ ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ใจเราจะเสียสูญไหม เสียไหม (ไม่เสีย)  เพราะอะไร เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดกัน เห็นแต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม เหมือนผีไม่เห็น แต่อดคิดไม่ได้ว่ามีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งเป็นไปตามความคิด ความคิดเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตและทุกข์สุขเรา ไม่ใช่ผู้อื่น ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชีวิตจงเปลี่ยนความคิด
เขาด่า ใจไม่คิด เห็นก็เหมือน (ไม่เห็น)  เขาเลิกด่าแต่ใจคิด ไม่เห็นก็เหมือน (เห็น)  ไม่โดนว่าก็เหมือน (โดนว่า)  เพราะใจ (คิด)  ฉะนั้นถ้าเราแยกความคิดออกจากใจ เป็นแค่ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดมาจากไหน    มาจากใจที่ไม่รู้ชัด ใจที่มองไม่เห็นชัด ฉะนั้นถามท่านนะ เกิดเป็นคนมีตา ควรสายตาสั้นหรือสายตายาว (สายตายาว)  มีใจควรใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  เมื่อมองอะไรควรมองให้รอบคอบหรือมองเล็กนิดหน่อย (มองให้รอบคอบ)  ก็พูดเองนะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีตาแล้วสายตาสั้น มีใจแล้ว ใจแคบ มองอะไรแล้วมองไม่เห็น เคยไหมคนอยู่ใกล้กัน คนอื่น รู้ชัด แต่เราไม่รู้จัก เคยไหม (เคย)  ทำไมคนอื่นรู้จักลูกเราดีกว่าเรา ทำไมคนอื่นรู้จักเราดีกว่าตัวเรา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมนุษย์เป็นโรคอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงได้ นั่นคือชอบเป็นโรคคาดหวัง หวั่นวิตก และยึดติด เห็นเขาไม่ชัด เพราะหวังว่าเขาต้องดี พอไม่ดีก็เลยไม่เคยเห็นว่า   เขาอาจจะมีดีกว่าที่เราคิด แต่ใจมันคิดว่าไม่ดีๆ เราก็เลยไม่เคยเห็นความดี เหมือนตัวเราเอง เคยเห็นตัวเราไหม (ไม่เห็น)  ก็เพราะไม่เคยมองเลย     ใช่ไหม (ใช่)  เอาแต่เวลาไปมองคนอื่น
อยากอยู่กับโลกใบนี้แล้วมีแต่สุขและไม่วิตกทุกข์ร้อน พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ตำหนิตัวเองให้เยอะ แล้วชีวิตนี้จะไม่ต้องมีเรื่องวิตกทุกข์ร้อน” ฉะนั้นอยากอยู่ในโลกแล้วมองเห็นแจ่มชัด ลองมองดูใจตัวเอง วันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ซึ่งเป็นไปตามปกติแห่งธรรมดาของสังขาร   มีใครในโลกไม่ทุกข์ ไม่สูญเสีย ไม่เจ็บป่วย (ไม่มี)  แล้วมีใครในโลกไม่ตาย (ไม่มี)  ฉะนั้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ดี ร้าย ล้วนเป็นไปตามสภาวะเปลี่ยนไปแห่งธรรมชาติ และหนีไม่พ้นคือสังขาร หรือแม้กระทั่งความคิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ้นสภาวะหลักธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลง นั่นคือใจ หรือ จิตเดิมแท้ แต่คงไปไม่ถึงนะ เมื่อไรที่ท่านเข้าใจ จะเห็นชัดเลยว่า ใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์ และเป็นอิสระจากสังขาร เราจะทุกข์เพียงกาย แต่ไม่ทุกข์ใจ เพราะเราเห็นชัดแล้วว่า ที่เราทุกข์เพราะความคิด ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงว่า เกิดมาแก่ก็ได้ เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ สูญเสียก็ได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพ้นได้คือใจ ใจที่เป็นอิสระจากสังขาร และพ้นจากความยึดติดทางความคิด     ถูกไหม (ถูก)
แต่ส่วนใหญ่มักจะหยุดความคิดไม่ได้ และก็ห้ามความคิดไม่ได้ สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ตั้งความคิดให้ถูกต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก เมื่อหยุดคิดความคิดก็จางหายไป แต่เราจะทำอย่างไร ให้เราเข้าใจความคิด สิ่งสำคัญเราต้องกล้ายอมรับความจริงให้ได้ก่อน สุขได้ก็ทุกข์ได้ ทุกข์ได้ก็สุขได้ มีได้ก็มีเสีย เข้มแข็งได้ก็ (อ่อนแอได้)  อ่อนแอได้ก็เข้มแข็งได้ ถ้ากล้ายอมรับความจริง ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วเราจะทุกข์เพราะความคิดอีกไหม (ไม่)  แต่ทำไมยังทุกข์กันอีก
อย่างนั้นเรามีวิธีง่ายๆ ความคิดของมนุษย์ชอบไหลไปอยู่สองทาง  ไม่ทางดีก็ทางร้าย ท่านเคยได้ยินทางสายกลาง ท่านไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปคิดร้าย เพราะบางทีคิดดีก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นคิดอย่างคนพ้นทุกข์ คือคิดอย่างคนไม่ดี ไม่ร้าย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถามจริงๆ คนที่เขาชมเราคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง สุขหรือทุกข์ (สุข)  แต่ถ้าคิดอย่างคนเป็นกลาง  ทุกข์หรือสุข เขาชมเราว่าสวย พอวันไหนไม่สวย ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาชมเราว่าหล่อ หน้ายังดูอ่อนเลยทั้งๆ ที่ผมขาวแล้ว ทุกข์ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดความคิดทำให้เรายึดติดดีร้ายได้เสีย ทำไมไม่วางความคิดให้อยู่ตรงกลาง เมื่ออยู่ตรงกลางเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราจะสุขไหม (ไม่สุข)  แต่เราเป็นกลาง คือความสงบเย็น เขาชมเรา ไม่ทุกข์ไม่สุข เขาว่าเราไม่มีทุกข์ไม่มีสุข วันนี้เราถูกลอตเตอรี่ ทุกข์หรือสุข เสียไปเท่าไรกว่าจะถูกหนึ่งตัว ใช่ไหม สุขดีใจถูกลอตเตอรี่แต่ที่เสียไปไม่เคยนับเลยใช่ไหม (ใช่)  เขาชมเราว่าสวย ทุกข์หรือสุข ตอนที่เขาชมใหม่ๆ สุข แต่พอนานไป พอไม่สวย ทุกข์แล้ว   ใช่ไหม (ใช่) 
ดีใจไหม ตอนเสียเงิน (เสียใจ)  จริงๆ แล้วได้หรือเสีย ถามจริงๆ     ที่ได้มาต้องเสียไปเท่าไหร่ ฉะนั้นทุกข์หรือสุข ไม่มีทุกข์และไม่มีสุข ถามใจท่านเอง อะไรสุขอะไรทุกข์ ทุกสิ่งล้วนเป็นกลางอยู่แล้ว แต่ใจเราต่างหากที่ชอบคิดว่าชมคือสุข ได้คือสุข เสียคือทุกข์ ด่าคือทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วชมอาจจะทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่มนุษย์มีตาแต่มองไม่เห็น สายตาสั้นมากกว่าสายตายาว มีใจแต่ใจไม่เปิดกว้างก็เพราะยึดติดกับความคิดจนลืมมองความจริง
เวลาเราเจ็บป่วยทุกข์หรือสุข ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ลองมองให้ดีๆ ท่านจะเห็นว่าความเจ็บป่วยทำให้เราบางทีได้รู้ซึ้งน้ำใจคน และความเจ็บป่วยทำให้เรารู้ว่าร่างกายเริ่มมีสิ่งผิดปกติ ถ้าเราไม่หันกลับมาดูแล เราจะใกล้สู่ความตาย เจ็บก่อนดีกว่าไม่เจ็บแล้วตายนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองให้ดีอย่ายึดติดความคิด เพราะใจเดิมมันไม่ได้ทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะความคิดที่ยึดติด ถ้าเราไม่ยึดติด ไม่คาดหวัง มองโลกให้เห็นความเป็นจริง แล้วเราจะเห็นชัดได้ว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันคิดไปเองทั้งนั้น จริงไหม เมื่อเราเห็นชัดว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข โลกจริงเป็นกลาง เมื่อเป็นกลางแล้วเราจะสร้างวิบากกรรมได้อย่างไร แต่เมื่อเราเห็นแล้วยึดติดมีทุกข์ มีสุข มีดี มีร้าย มีได้ มีเสีย จึงก่อเกิดกรรมดีกรรมชั่ว จึงก่อเกิดวิบากกรรม      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อพ้นทุกข์แล้วก็พ้นกรรมได้เพราะทุกสิ่งเราเห็นเป็นกลาง ไม่มีอะไรที่เราจะต้องพยายามให้ดีที่สุด และไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่าร้ายที่สุด เมื่อใจเราเป็นกลางเราก็เป็นอิสระจากการยึดติดผูกมัดของภาวะทุกข์สุข  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราโดนเขาว่า ใจเราคิดยึดติดดีร้ายได้เสีย โดนเขาว่าเราเริ่มสร้างกรรมปากแล้ว อยากว่ากลับ ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมไม่ดีถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าใจเราไม่คิดร้าย แล้วก็ไม่คิดดี เราจะทำดีเพื่อหวังผลขึ้นสวรรค์ไหม        เราจะยึดดีเพื่อหวังผลแล้วจะได้ไปเสวยบุญต่อไหม ภพชาติเราจบ ทุกข์เราสิ้น กรรมเราหมด เหลือแต่ใช้กรรมเก่า ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)    แจ่มแจ้งไหม (แจ่มแจ้ง)  แต่มนุษย์เราทำไม่ได้ ยังอดติดความคิด โดนว่าก็เกลียดโกรธ โดนชมก็หลงรักชอบใจ โดนใครเอาไปก็ต่อว่าด่าทอ ช่างน่าเสียดายนะ ชีวิตเรามีสิ่งที่ดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่รัก จริงหรือเปล่า
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านสั้นๆ แค่นี้ พอรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  ถ้าเรายึดติดสังขาร เราก็หนีไม่พ้นความเจ็บป่วย แต่ถ้าเมื่อไรเราดึงจิตออกจากสังขาร เราก็จะเห็นว่า แท้จริงแล้วพระจันทร์ไม่ได้มืดไม่ได้สว่าง แล้วก็ไม่ได้เว้าแหว่ง ยังกลมอยู่อย่างนั้น แต่ที่ยังเห็นว่าเว้าแหว่ง ที่เห็นว่าสูญเสียไป นั่นเป็นเพราะภาวะเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ทำให้เราหลงผิดเท่านั้นเอง ชีวิตก็เหมือนกัน ใจก็เหมือนกัน ใจเราไม่เคยสูญเสีย ใจเราไม่เคยแก่ ใจเราไม่เคยเจ็บป่วย แต่เมื่อไรที่เรายึดติดสังขาร เราจะมองไม่เห็นใจเดิมแท้ น่าเสียดายนะถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ถ้าวันนี้ไม่รู้จะอดทนให้สำเร็จไหม (อดทน)  แปลว่าพรุ่งนี้จะ (มา)  ลองพยายามดูสักตั้งหนึ่งนะ ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้จะต้องเข้าใจยิ่งขึ้น พรุ่งนี้เข้าใจแล้ว วันมะรืนก็ยิ่งต้องแจ่มชัดยิ่งขึ้น เพราะวันนี้มาศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ใจ เราไม่เคยรู้ใจตัวเองเลย เพราะวันๆ เอาแต่มองออกแล้วก็ไปตามความคิดจนลืมดูใจ เมื่อไรที่ใจทุกข์ เมื่อไรที่ใจท้อ จงหันไปมองจันทร์ แล้วถามจันทร์ว่า จันทร์แหว่งหรือจันทร์เต็ม จันทร์มืดหรือจันทร์สว่าง ใจเราก็เช่นกัน ไม่ได้แหว่ง ไม่ได้หาย ไม่ได้มืด ไม่ได้สว่าง แต่เป็นสภาวธรรมว่างเปล่า จะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม    จริงไหม (จริง)  เพราะถึงที่สุด ทั้งสังขารและชีวิตก็ต้องไหลเวียนกลับไปสู่ความว่าง ใครบ้างหนีพ้นความตาย (ไม่มี)  ใครบ้างหนีพ้นความไม่มี (ไม่มี) 
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ดีหรือไม่ (ดี)  รักษาโอกาสนี้ให้ดี มีเวลาหมั่นนำธรรมมาพิจารณาชำระล้างใจ ล้างใจที่หลงผิดไหลไปตามความคิด มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ


วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑        สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย        บำเพ็ญจิตต่อไปไม่ขาดช่วง
อายตนะเชื่อแล้วย่อมถูกลวง               เมื่อพ้นบ่วงมายาพบสัจธรรม
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  โลกวุ่นต้องนิ่งให้เป็น                         ใจเย็นสตินำทาง
รับฟังความคิดที่ต่าง                            กระจ่างสุขุมในตน
ต้องกล้าในทางถูกต้อง                         สอดคล้องในธรรมแห่งตน
เรื่องวุ่นที่เวียนวกวน                            มองตนไม่คิดโทษใคร
ต้องมองตามความเป็นจริง                     ไม่อิงเอาแต่นิสัย
ใจนิ่งก็เย็นสบาย                                 ถือไว้ต้องทุกข์ต้องทน
โกรธไปเป็นบาปแก่ใจ                          ร้ายไปเป็นกรรมแก่ตน
แค้นไปชิงชังตกผล                              สร้างทุกข์จำทนไม่ดี
สติดึงใจให้กลาง                                 บนทางตื่นรู้ใจนี้
สำนึกประพฤติทำดี                             อย่ามีอารมณ์นำพา                                                            ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจารย์เคยเห็นโดยส่วนใหญ่ ก่อนที่เราจะคุยเรื่องอะไรกันก็ตาม เราต้องมีเครื่องวัดระดับจิตใจกันสักหน่อย อาจารย์จะได้รู้ว่าจะพูดธรรมะลึกหรือตื้นแค่ไหนให้ศิษย์ได้ ดังนั้นอาจารย์มีเกมที่จะวัดระดับจิตใจของศิษย์แต่ละคน ดูว่าศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนจะตอบอาจารย์ว่าอย่างไร  ทุกคนมีสิทธิ์ตอบได้หมดในเกมอันนี้ ดีไหม (ดี)  เกมนี้ไม่มีแพ้ไม่มีชนะนะ เกมของอาจารย์ง่ายๆ
ถ้าถามว่า ตอนนี้อาจารย์มีต้นไม้สองต้น ต้นหนึ่งคือต้นกล้วยอีกต้นหนึ่งคือต้นทุเรียน ศิษย์อยากปลูกต้นอะไร ศิษย์จะตอบอะไรก็ได้เพราะอาจารย์อยากวัดระดับจิตของศิษย์ อยากจะเลือกต้นทุเรียนก็ได้ อยากจะเลือกต้นกล้วยก็ได้ หรือจะไม่เลือกสักต้นก็ไม่ผิด หรือจะเลือกทั้งสองต้นก็ได้ ใครเลือกต้นกล้วย ส่วนใหญ่จะเลือกต้นกล้วย เพราะอะไร (เพราะจะได้ง่ายๆ )  เห็นไหมดูระดับจิตได้เลย อะไรง่ายๆ เอาไว้ก่อน อะไรยากๆ ไม่เอา ใช่ไหมศิษย์ แค่ถามก็รู้ใจศิษย์แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องถามอะไรมาก อยากดูใจตัวเองก็ดูเรื่องนี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามใครอยากปลูกต้นทุเรียน ทำไมอยากปลูกต้นทุเรียนทั้งๆ ที่รู้ว่าปลูกยาก (ทุเรียนปลูกช้า กินได้นาน กินได้หลายปี)  แต่กล้วยมันกินได้ไม่หลายปีหรือ จริงไหม (จริง)  ถึงแม้ง่ายแต่ก็ต้องหมั่นปลูกบ่อยๆ เพราะต้นอ่อนใหม่เกิดขึ้นต้นเก่าก็จะตาย คิดง่ายๆ ถ้าไม่ขยันปลูกต่อก็ไม่มีกล้วยให้กิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดยากๆ เพราะแอบคิดลึกๆ คือไม่ต้องปลูกบ่อยๆ หรือพูดง่ายๆ ลงทุนทีเดียว สบายไปอีกนาน หรือพูดง่ายๆ อีกคือแอบขี้เกียจเล็กๆ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ เหมือนกัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน อาจจะแตกต่างกันก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กล้วยก็คิดแบบหนึ่ง ทุเรียนก็คิดอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคิดถึงผลประโยชน์ มองการณ์ไกล ทุเรียนดีกว่า แต่ถ้าคิดระยะทุกๆ วันมีกิน หรือมีโอกาสกินได้ทุกเมื่อและบ่อยๆ ไม่ต้องรอเป็นปี
กว่ามันจะออก แล้วกล้วยมันมีประโยชน์ตั้งแต่หัวยัน (ราก)  แต่ถามจริงๆ ลึกๆ ถ้าให้เลือกปลูกอะไร (ปลูกกล้วย)  ถ้าอย่างนั้นป่านนี้อาจารย์คงเห็นคนใต้ปลูกกล้วย จริงไหม (จริง)  อาจารย์อุตส่าห์ไม่พูดนะว่าระหว่างปลูกกล้วยกับปลูกต้นยางจะปลูกอะไร
ฉันใดก็ฉันนั้นศิษย์เอ๋ย ชีวิตของมนุษย์เรามีโอกาสเลือกที่จะมีสุขได้ในทุกๆ วัน แต่ไยชอบมองสุขไกลโพ้น มีโอกาสทำดีได้ทุกๆ วัน แต่ไยต้องรอทำดีใหญ่ๆ ในวันข้างหน้า เหมือนกันเรามีโอกาสทำดีกับทุกๆ คนได้ แต่ไยไม่ทำเลย ชอบเอาแต่รอ เรามีโอกาสสำเร็จในทุกๆ ก้าว แต่ไยต้องไปสำเร็จในวันข้างหน้า จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นชีวิตก็เหมือนกัน ศิษย์บอกว่าชีวิตมันทุกข์เหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นสุขของศิษย์อยู่ที่คำว่า “ไกลโพ้น” หรือสุขของศิษย์อยู่ที่คำว่า “เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ และตอนนี้” จบชั้นเมื่อไร เดี๋ยวจะไปสุขให้เต็มที่ ทำไมเราไม่ทำทุกที่ทุกเวลา อะไรก็ได้ฉันก็สามารถมีสุข ทำไมต้องไปรอ ศิษย์อยากพ้นทุกข์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมไม่ทำทุกขณะให้มันมีสุขล่ะ ยังได้หายใจ ยังมีอากาศให้หายใจ ดีแล้ว สุขแล้ว มีแค่นี้ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  หรือว่าเหี่ยวไปแล้ว ก็ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดเรายังมีลมหายใจ ทำไมเราไม่เลือกสุข แต่ไยจึงเลือกทุกข์ ทำไมเราไม่เลือกสิ่งดีให้กับชีวิต ทำไมเราเลือกทำร้ายชีวิตด้วยการคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทำสุขให้เกิดขึ้นทุกวันล่ะ และทำอะไรก็ได้ให้มันมีสุขในตัวเราไม่ได้หรือ แล้วเราเห็นใครเป็นต้นกล้วยล่ะ ไม่ดีหรือ เห็นเขามีประโยชน์ตั้งแต่หัวยันเท้าเลย ดีไหม (ดี)  แต่คนบางคนชอบเป็นทุเรียน มันออกดอกอีกนาน แต่มันออกดอกที เฮ้อ! ชื่นใจ แต่กว่าจะให้มันชื่นใจเรานะ เมื่อไรมันจะดีสักทีนะ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์อยากให้เป็นต้นกล้วย หรือต้นทุเรียน (ต้นกล้วย)  อย่างนั้นหรือ แล้วศิษย์ปลูกต้นกล้วยกับเขาหรือปลูกต้นทุเรียน หวังเขาเสียสูงลิบ แล้วเมื่อไรมันจะได้ทุเรียนออกผล หวังเอาต้นกล้วย แค่มันยิ้มก็น่ารักแล้วหรือมันแค่เหี่ยวๆ ก็ดีหนักหนาแล้ว หรือแค่เขาจะด่าเรา ก็ดีแล้วที่เขายังมีลมหายใจให้ด่าเรา ถ้าเขาไม่ห่วงไม่รัก เขาก็คงไม่ด่าเราหรอกนะ แม่บ่นไป ดีใจ แม่ยังอยู่ แม่ไม่อยู่พ่อก็แย่เหมือนกันนะ นั่นซิพ่ออยากไปไปเลย แต่ยังกลับมาบ้าน ยังมาซุกหัวนอนก็ดีแล้ว ดีกว่าไปแล้วไปลับไม่กลับมาใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์เห็นเขามีคุณค่า อะไรมันก็มีคุณค่า ถ้าศิษย์เห็นเขาว่าดี มองอย่างไรมันก็ดี มันก็ชื่นใจ แต่ถ้าศิษย์บอกว่า ทุเรียนเอ๋ย เมื่อไรมันจะออกดอก เอาใจก็แล้ว ชมก็แล้ว ว่าก็แล้ว มันก็ไม่เคยตกผลให้ชื่นใจสักทีเลย แล้วเราล่ะเป็นทุเรียนหรือเป็นต้นกล้วย (ต้นกล้วย)  อย่างนั้นหรือ อาจารย์ว่าเป็นทุเรียนมากกว่า
คุยแบบนี้ฟังง่ายไหม  (ง่าย)  ถ้าอย่างนั้นลองหันไปถามตัวเองแล้วมองกระจกนะ ว่าตัวเองทำตัวเองให้มีคุณค่าเหมือนต้นกล้วย หรือทำตัวเองนานๆ ที จะดีสักครั้งหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  เพราะไม่ใช่นานธรรมดา อาจารย์จะพูดว่า ถ้าอาจารย์ยังไม่หมดลมหายใจจะบอกว่า นาน มากๆกว่าจะดีสักครั้งให้เราชื่นใจ
อาจารย์ถามต่อว่า ระหว่างเงินกับคน เลือกอะไร (คน) ระหว่างรถกับคนเลือกอะไร (คน)  เลือกคนหรือเงิน (คน) จริงหรือ เราไม่เลือกเงินใช่ไหม อาจารย์ว่าโกหก ถึงเวลาอาจารย์เห็นเลือกเงินมากกว่าคน เลือกรถมากกว่าคน ยิ่งเมื่อเวลามีคนมาทำร้ายรถเรา เราเป็นยังไง เลือกรถใช่ไหม ยอมรับมาตรงๆ เถอะ  เลือกเงินมากกว่ารถ เลือกเงินมากกว่าเลือกคน เลือกรถมากกว่าเลือกคนใช่ไหม (ใช่) รู้ไหม เลือกเงินมากกว่าเลือกคน เลือกรถมากกว่าเลือกคน ผลที่สุด คนนั้นแหละจะทำให้เราสูญเสียทั้งเงินและรถ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเรารู้ มีจิตใจรักษาคนไว้ คนนั้นแหละจะทำให้เราได้ทั้งทั้งรถ และเงิน
เราอยู่เพื่อเงินหรืออยู่เพื่อช่วยคน (เพื่อช่วยคน)  พูดจริงหรือ (จริง)  อาจารย์เห็นนะ โดยส่วนใหญ่ยังเอาตัวไม่รอดเลยจะไปช่วยเขาทำไม ไม่ช่วยเขาแล้วยังไปเบียดเบียนเขาอีก ทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่จริง ทำทั้งเพเลยใช่หรือเปล่า ยอมรับมาเถอะ ชีวิตนี้เลือกเงินมากกว่าเลือกคนอีกใช่ไหม ถ้าเลือกคุณธรรมระหว่างความเป็นคน เราจะเลือกเงินน้อย เลือกรถน้อย          แต่เลือกคนมากกว่า อย่าลืมนะ เงินมันซื้อความซื่อตรงไม่ได้ เงินมันซื้อคนจริงใจไม่ได้ ถ้าคนนี้ยังไม่เคยจริงใจกับใคร เงินมันซื้อมิตรแท้ไม่ได้ถ้าคนๆ นี้ยังไม่เคยเป็นมิตรแท้กับใคร แต่ถ้าเราเสียเงินแล้วเราได้มิตร ทำไมเราไม่ยอมเสีย รถเราบุบนิดหน่อยเราจะไม่ได้ศัตรู แต่เราได้เพื่อน ถ้าเรายอม    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้เห็นวัตถุมีมากกว่าน้ำใจคน เห็นวัตถุมีค่าและสูงส่งกว่าคุณธรรมที่ควรมีต่อคน ซึ่งไม่ต้องถามใครที่ไหน เรานั่นแหละที่เป็น เจอใครแล้งน้ำใจ เจอใครคดโกงและเจอใครเอาเปรียบเราว่าไหม  แต่ตัวเองคดโกงเอาเปรียบว่าตัวเองไหม ว่าเขาเสียงดังแต่ว่าตัวเองไม่มีเสียงเลย เช่นนี้แล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วจะแก้ไหม (แก้)  ค่อยชื่นใจหน่อย
ยิ่งเล่นเกมก็ยิ่งเห็นใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร ถ้าอยู่ในโลก เสียเปรียบกับได้เปรียบ ยอมเป็นคนแบบไหน ถามจากใจลึกๆ ระหว่างเสียเปรียบคนอื่นอยู่ตลอด ต้องยอมคนอื่นตลอด กับได้เปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่นได้ เราเป็นแบบไหน เราเลือกแบบไหนในความเป็นจริง ฝั่งชาย (ได้เปรียบ)  แน่ล่ะฝั่งชายได้เปรียบเสมอ ฝั่งหญิงเสียเปรียบตลอดใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดมากน่ะ
โดยส่วนใหญ่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราอยากเป็นคนที่เสียเปรียบหรือได้เปรียบผู้อื่น เราอยากเป็นคนที่กินแรงเอาเปรียบคนหรือว่ายอมเสียเปรียบช่วยคน (ยอมเสียเปรียบช่วยคน)  อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ เลย  ต่อหน้าอาจารย์ทำไมพูดดี แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ไม่เห็นดีสักราย ทำตรงข้ามตลอดเลย จริงไหม ถึงเวลาเราเอาเปรียบหรือเราได้เปรียบเขา ใครกินแรงหน่อย เรายอมไหม (ไม่ยอม)  สมมติมีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง เขาเอาไปเจ็ดเหลือเราสาม ยอมไหม (ไม่ยอม)  เห็นไหมทันทีเลย ทำก็ทำเท่ากันถึงเวลาได้แค่สามเขาได้ตั้งเจ็ด เอาไหม (ไม่เอา)  อ้าวไหนบอกว่ายอม ศิษย์เอยอยากจะรู้ว่าคนนั้นเป็นคนทำบุญเก่ง หรือว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ต้องดูที่ว่าเขาเสียเปรียบอยู่ร่ำไปหรือเอาเปรียบอยู่ร่ำไป คนที่กล้าให้ผู้อื่นเสมอแปลว่า คนนั้นมีรากฐานที่ดีคือไม่อยากมีเรื่องราว แต่คนที่ไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่นอยู่ร่ำไปเป็นคนที่จะทำดียากจริงไหม ฉะนั้นอยากดูจิตใจตัวเองว่าดีจริงแท้  แค่ไหน ก็ดูที่ว่าศิษย์กล้าที่จะยอมเสียเปรียบและยอมให้ผู้อื่นอยู่ร่ำไปหรือไม่ อย่างนั้นตอนนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  ยังบอกตัวเองว่าดีอีก ยอมแบบไม่ค่อยเต็มใจ ยอมแบบด่าเขาในใจอีก อย่างนี้เรียกว่ายอมไหม (ไม่ยอม)
ยอมก็เพราะจำใจยอม พูดไม่ได้ บ่นไม่ได้ แต่แอบด่าในใจ อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าดีนะ ถ้ายอมก็ต้องยอมสุดจิตสุดใจ นั่นแหละที่เรียกว่าคนดีที่หนึ่ง แต่คนในโลกนี้ มีหรือจะยอมกันจริง อาจารย์ถามหน่อย คนที่ได้เปรียบคนอื่น แท้จริงเขาได้เปรียบใครไหม ถ้ามองให้กว้าง เปิดใจให้กว้าง แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีใครได้มากกว่าใคร แต่กลัวศิษย์ตาบอด อารมณ์เป็นใหญ่เลยมองไม่เห็นความจริง  ศิษย์หลายคนมักพูดว่า อาจารย์เราอยู่ในโลกนี้เป็นคนดีก็พอแล้วทำไมยังต้องปฏิบัติธรรมอีก มีใครคิดแบบนี้ไหม (มี) แค่เป็นคนดีก็ยากจะแย่แล้ว แล้วตอนนี้ให้มาฟังธรรม แล้วปฏิบัติธรรมอีก ยากไปหน่อย สาเหตุหลักที่มนุษย์คิดปฏิบัติธรรมก็คือ เราอยากพ้นทุกข์ อยากไปสวรรค์ ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด แต่เป็นแค่คนดีจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  ก็รู้นี่ การเป็นคนดีอย่างสุดจิตสุดใจก็ยากแล้ว น่าจะพ้น อย่างน้อยไม่พ้นทุกข์แต่ขึ้นสวรรค์ก็ยังดี มักจะเข้าใจว่า แค่คนดีที่สุดก็หนักหนาแล้ว       จะปฏิบัติธรรม แต่ความดีมันทำให้เราพ้นทุกข์ ยังไม่ได้ อาจารย์เทียบง่ายๆ คนดีก็ยังมีทุกข์ของความดี อย่างเช่น เวลาเราทำดีเจอคนไม่ดีตอบ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำดีแล้วไม่ได้ดีตอบทุกข์ไหม (ทุกข์)  แค่ปฏิบัติดีพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ทำดีอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ได้ ทำดีโดยไม่ต้องหวังผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกครั้งทำดีขอพรไหม รู้อยู่เต็มอกก็อดปากไม่ได้ ขอสักนิดเถอะอาจารย์ ถึงเวลาเรากลับทำไม่ได้ช่างน่าเสียดาย ศิษย์เอย หลักธรรมของทุกศาสนามีหลักธรรมอันเดียวกันคือ ทำแล้ว ต้องมีจิตที่เบา จิตมีอิสระ ทำแล้วจิตไม่ยึดติด ทำแล้วต้องละวาง ถ้าทำดีแล้วยึดติด แสดงว่าเรากำลังทำดีผิดทาง เพราะหลักของธรรมะสอนไว้ว่า ทำแล้วต้องไม่ยึดติด ทำแล้วต้องละวาง ทำแล้วใจมันต้องเบา       แต่ทำไมใจยังหนักอึ้ง ทำแล้วใจมันยังหลง ทำแล้วใจยังโลภ อย่างนี้เรียกว่าความดีที่มีกิเลสแอบแฝง ฉะนั้นถ้าจะทำดีแล้ว เป็นความดีที่แท้จริง ต้องไม่มีกิเลสนอนเนื่องในจิตใจ ไม่มี โลภ หลง  ทำแล้วต้องเบา แต่ทำไมทำแล้วยังกลุ้มกังวลใจ แล้วจะได้ไหม ถูกไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำดีแล้ว ศิษย์อยากพ้น ศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์ต้องทำแล้วไม่หวังผล ทำเต็มที่แล้วสู้สุดจิตสุดใจแล้ว ทำให้เขาเต็มที่แล้ว เขาจะว่าอย่างไรก็ (ช่าง)  ไหนว่าไม่ยึดติดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้ว ถึงที่สุดแล้วก็ปล่อยวาง เพราะเราถือไปแล้วถึงเวลามันจะได้อะไรไหม กลุ้มกังวลไปแล้วได้อะไรไหม กลายเป็นทำดีก็ทุกข์ใจเพราะจะได้รับคำชมไหม จะหน้าบานไหม ใครจะเห็นไหมว่าเราทำบุญตั้งหนึ่งร้อย ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าทำดีเเล้วหวังว่ายังมีหน้า ทำดีแล้วต้องมีคนให้ความสำคัญ ทำดีแล้วคนต้องประกาศชื่อ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าทำดีแล้วพ้นทุกข์ เพราะการทำดีแล้วอยากพ้นทุกข์ เราต้องไม่ยึดติดใดๆ ทำแล้วสามารถสละตัวตน เบาบางด้วยการเจือไปด้วยกิเลสนอนเนื่องในใจได้ นี่แหละเรียกว่าทำดีแล้วมาถูกทาง จะมาจะเดินก็ต้องเดินให้ถูก ฉะนั้นต่อไปนี้จะขออีกไหม ก็ยังไม่แน่ ถูกหรือเปล่า
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าทำดีที่สุดแล้ว พระพุทธรูปปั้นสวยมีไหมที่ไม่มีคนติ ไม่มีคนว่า (ไม่มี)  อาจารย์ถามกลับศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว มีไหมไม่มีคนบ่น ไม่มีคนด่า (ไม่มี)  แล้วจะทุกข์ทำไม ฉะนั้นทำดีที่สุดแล้วก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เรารู้อยู่แก่ใจเขาอยากว่าช่างปากเขา หมาเห่าใบตอง (แห้ง)  แต่ศิษย์รู้ไหมเขาเป็นหมาเราก็เป็นหมาเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีต่อแล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรที่จะทำให้เราสามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าเกิดว่าทำดีแล้วยังยึดติดมันดีไหม ไม่ดี ถูกไหม จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งที่พระพุทธะ มักจะพูดไว้เสมอๆ ก็คือ เมื่อใดที่เรายังยึดติด เราก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่จะต้องไปรองรับ เหมือนเรายึดติดว่าเราทำดี เราเป็นคนดีเราก็หนีไม่พ้น ฉันอยากรับผลดี แล้วหนีพ้นไหม แปลว่าเราอยากมารับบุญต่อ เราอยากมาเกิดต่อใช่ไหม ถ้าศิษย์บอกว่าชาตินี้พอแล้ว ไม่อยากเกิดแล้ว ฉะนั้นทำดีก็ต้องไม่หวังผล ฉะนั้นเมื่อเราไม่ยึดติดจะมีวิบากกรรมต้องไปรองรับไหม จะมีคำว่าตัวตนที่มีกรรมต้องมารับผลอีกไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดอีกจะทำดีหวังผลไหม คิดให้ดีๆ นะ ถ้ายังยึดติดก็แปลว่าเราอยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลบุญในการกระทำนั้น แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดเราก็จบแล้วจบกัน แถมทำแล้วได้สละความเป็นตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผู้ปฏิบัติธรรมยิ่งปฏิบัติแล้วใจเบาขึ้นไหม (เบา)
ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งใสขึ้นไหม (ใส)  ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งมีอิสระเสรีไหม (มี)  อาจารย์ว่ามันตรงกันข้ามกันหมดเลย ยิ่งปฏิบัติเดี๋ยวก็ติดคนนั้น เดี๋ยวก็ติดคนนี้ เดี๋ยวก็มีปัญหากับคนนั้น เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติถูกหรือปฏิบัติผิด (ปฏิบัติผิด)  ถ้ามีปัญหาแล้วเอาแต่แก้ที่เขา แก้ที่คนอื่นไม่ได้แก้ตัวเอง ปฏิบัติอย่างไรก็ไปไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจให้ถูก การปฏิบัติธรรมหลักสำคัญก็คือ หนึ่งปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ถ้าปฏิบัติดีแล้วยังทุกข์กับคนนั้น ยังมีปัญหากับคนนี้ อย่างนี้คือปฏิบัติผิด ยังไม่ชอบคนนั้น ไม่ชอบคนนี้ อาจารย์ทำไมยังเป็นแบบนั้น ทำไมผู้บรรยายถึงพูดแบบนี้ นั่นเรียกว่าปฏิบัติผิดทาง เพราะปฏิบัติแล้วยังยึดติด ถูกไหม (ถูก)  รู้อยู่แก่ใจ แต่ปากมันพูดอีกอย่างหนึ่ง เพราะปากไม่เคยตรงกับใจ เราปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อใช้ธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เราปฏิบัติธรรมเพื่อเอาธรรมมายับยั้งชั่งใจ ไม่ให้เราก่อเกิดกิเลสและกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายกับเขาไม่จบสิ้น เราเอาธรรมมาปฏิบัติเพื่อย้ำเตือนใจไม่ปล่อยให้ความอยากความโลภมาทำให้เราก่อวิบากกรรมแล้วเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น เราปฏิบัติธรรมเพื่อเอาธรรมะมาประพฤติในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เข้าใจคำว่าปฏิบัติหรือยัง (เข้าใจแล้ว)
ปฏิบัติธรรมอย่างไรล่ะอาจารย์ถึงจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติ ศิษย์ชอบทำบุญไหม (ชอบ)  บุญที่เรียกว่าสังฆทานเป็นบุญที่ใหญ่ อยากสะเดาะอะไรก็ไปทำ (สังฆทาน)  ถ้าอยากทำทานที่ช่วยสะเดาะเคราะห์ที่ทำให้เราไม่มีภัยกับใครก็คือ ทำทานแบบไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ (ธรรมะเป็นทาน)  ให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ถามศิษย์รอไปสะเดาะเคราะห์ที่วัด กับศิษย์สะเดาะเคราะห์กับทุกๆ คน ไม่เจาะจงกับใคร ศิษย์ก็ให้ธรรมะเป็นทาน กับใครศิษย์ก็มีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ ซื่อตรง และเคารพให้เกียรติ อย่างนี้ศิษย์ไม่เรียกว่าศิษย์ทำบุญทุกวันหรือ และศิษย์ก็กำลังทำสังฆทานทุกวันใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เพราะศิษย์ทำบาปกับเขาทุกวันเลย ไม่พอใจก็ด่า เกลียดก็บ่น อยากกินแรงเอาเปรียบ ก็กินแรงเอาเปรียบ อาจารย์จึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมหลักสำคัญก็คือ สามารถปฏิบัติธรรมแล้วไปอยู่กับใครก็ได้เราก็ปฏิบัติได้ทุกเมื่อ และการปฏิบัติธรรมที่ดีทีสุด คือเราซื่อตรงกับเขาไหม เราเมตตาจริงใจไหม เรามีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรารู้จักเคารพให้เกียรติไหม เรารู้จักเป็นมิตรสนิท ชิดเชื้อให้ความจริงใจหรือเปล่า ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราทำไหม
เจอใครเราก็มีเมตตากับเขา เจอผู้ใหญ่ก็เคารพให้เกียรติ เจอเด็กก็มีเมตตาจริงใจ เจอเพื่อนก็ซื่อตรง ถ้าทำอย่างนี้เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)     เราจะสร้างกรรมไหม (ไม่สร้าง)  เราจะเบียดเบียนใครไหม (ไม่เบียดเบียน)  มันก็ยังไม่แน่นะอาจารย์ มันต้องดูบางอารมณ์ใช่ไหม อารมณ์ดีก็ใจดี อารมณ์ร้ายอย่าให้ขึ้นเชียวอาจารย์ หัวหงอกหัวดำ เอาหมด ใช่ไหม (ใช่) 
แล้วการปฏิบัติธรรมหรือมีธรรมตลอดเวลาในจิตใจ ยังมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือจะคอยช่วยย้ำเตือนใจเวลาที่ชีวิตเราต้องเจอเรื่องร้ายๆ หรือเจอเรื่องแรงๆ เราจะมีภูมิคุ้มกัน เหมือนเราย้ำเตือนใจ ชีวิตมันไม่แน่นอน ชีวิตมันแปรเปลี่ยน มีดีก็มี (ไม่ดี)  มีร้ายก็มี (ดี)  เราหมั่นเตือนใจอยู่ตลอด เราหมั่นเอาธรรมมาสอนใจตลอด เวลาเราเจอเรื่องที่ร้ายมากๆ เจอเรื่องที่หนักมากๆ ใจเรามันจะคอยบอกตัวเองว่า มันเป็นอย่างนี้แหละ ใจเรามันจะเข้มแข็งขึ้น ใจเรามันจะมีพลังขึ้น ฉะนั้น “การหมั่นปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรมีไว้ในชีวิต อย่าเป็นแค่คนดี แต่ควรมีธรรมสอนใจอยู่ทุกนาที เพราะยิ่งมีทุกวันๆ ภูมิต้านทานเราในการเจอกับความเป็นจริง มันจะทำให้เราแข็งแกร่ง แต่ถ้าเราไม่เคยมีธรรมเลย ไม่เคยเอาธรรมมาเตือนใจเลย เวลาเราเจอชีวิตที่มันพลิกผัน ศิษย์รับไหวไหม (ไม่ไหว)  เวลาชีวิตมันพลิกแพลงไปอีกอย่างหนึ่ง ศิษย์ทนได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเตรียมใจ และเราไม่เคยฝึกใจเราก่อน ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อย่าเป็นแค่คนดี แต่ต้องเป็นคนดีที่พร้อมปฏิบัติธรรม มีธรรมอยู่เนืองๆ ในใจ แล้วมันจะทำให้เรามองโลก และเห็นโลกชัด ไม่ทุกข์กับโลกอีกต่อไป
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ให้มนต์บทหนึ่งเอาไว้ท่องเตือนใจ เวลาเจอเรื่องอะไรที่น่ายินดี ศิษย์ก็จะท่องไว้เสมอ “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย” ท่องไว้ทุกครั้งที่เวลาเจอใคร เวลาเจอใครดี เจอเรื่องดีๆ จะได้จำไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  เจอคนไม่ดีเราก็ท่องไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  ดีไหม (ดี)  บอกชีวิตไว้เสมอๆ และเมื่อไรที่ชีวิตต้องเจอเรื่องที่หนักเกินรับมือ ศิษย์จะได้จำไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  แต่พอกลับบ้านก็ลืมเลยใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ไม่ลืม)  ขอให้ไม่ลืมจริงๆ เถอะนะ แล้วอย่างไรล่ะเรียกว่าปฏิบัติ การหมั่นพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีธรรมยั้งคิด และธรรมช่วยให้เรายับยั้งทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นธรรมไหม (เป็น)  ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง   ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย เวลามีคนชมก็ท่องไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  สมมติว่าตอนนี้เราอยากจะปฏิบัติธรรมบ้างแล้ว หรือว่ายังเหมือนเดิม เวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วเจอเรื่องที่มันไม่เป็นดั่งใจ โดยส่วนใหญ่ศิษย์จะร้ายมาก็ (ร้ายไป)  ด่ามาก็    (ด่าไป)  ศิษย์อาจารย์น่ากลัวจริงเลย ถ้าเกิดว่าชีวิตเราอยากปฏิบัติธรรม แต่เจอคนที่ไม่เข้าตาเรา หรือเจอคนที่หลอกลวงเรา โกงเรา ทำร้ายเรา   เรายังอยากที่จะปฏิบัติธรรมกับเขาได้ไหม ทำกับคนแบบนี้ได้ไหม (ได้)  ศิษย์ว่าได้นะ แต่จะจบแบบไหน เลือกแบบไหน อันนี้สำคัญ จะเกี่ยวกรรมกันต่อไป หรือจะจบเวรจบกรรม หรือหมดเรื่องหมดราว ถูกหรือไม่
(อาจารย์เลือกนักเรียนมายืนข้างหน้าสองคน แล้วให้นักเรียนในชั้นเรียนเลือกว่าคนไหนน่าจะดี และไม่ดี)
คนสองคนนี้ คนใดดูน่าจะหาเรื่องหาราวกับเรามากกว่ากัน โดยให้ศิษย์กลับหลังไม่ให้ดูหน้า แล้วให้เลือกว่าคนไหนน่าจะดี และไม่ดี  แล้วหันหน้ามา อาจารย์บอกแล้วว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์มองทุกสิ่งทุกอย่าง มักจะเห็นคุณค่าแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ใจเรายึดสำคัญมั่นหมายอย่างไร    ถ้าเรายึดว่าแบบนี้หาเรื่อง มองอย่างไรก็มีเรื่อง  แบบนี้ดูไม่น่ามีเรื่อง     มองอย่างไรก็ไม่น่ามีเรื่อง มันขึ้นกับสิ่งที่มั่นหมายในใจเรา หรืออยู่ที่ตัวเขา (เรา)  เวลาเรามีเรื่องมีราว สิ่งสำคัญมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่มั่นหมายในใจเรา หรืออยู่ที่ตัวเขา (ตัวเรา)  อยู่ที่ตัวเรา
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองคน แสดงบทบาทต่างกัน ให้อีกคนแสดงทำตัวให้น่ารัก และให้อีกคนเดินไปอีกทาง ทำตัวให้เหมือนจิ๊กโก๋ที่สุด ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนอื่นคิดไว้)
ศิษย์ลองดูคนที่ศิษย์คิดว่าเขาน่ารักพอเขาทำตัวไม่น่ารักจะเป็นอย่างไร ดีไหม (ดี)  ก็ในเมื่อในโลกของความเป็นจริงล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น ในความคิดเราว่าเขาไม่ดี แน่ใจหรือว่าเขาไม่ดีไปตลอด แล้วถ้าศิษย์ปักใจเชื่อว่าเขาดี แน่ใจหรือ ว่าเขาจะดีไปตลอด
ศิษย์เอ๋ยนี้น่ารักที่สุดแล้วใช่ไหม เพราะการไม่มีเรื่องไม่มีราวกับใครก็เป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดนะ เดินไปเจียมตัว กลับมาแบบเจียมๆ ตัว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไร ปลอดภัยที่สุด ถูกไหม (ถูก)  น่ารักไหม (น่ารัก)  น่ารักในแบบ (ของเขา)  ฉะนั้นถ้าเราไม่คาดหวังเยอะเราก็คงไม่ผิดหวังใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครคาดหวังเหมือนอาจารย์บ้าง อาจารย์นึกว่าจะได้มากกว่านี้นะ อีกทีไหมศิษย์ (ไม่)  ไม่แล้วหรือ ไม่ยากอาจารย์บอกง่ายๆ นะ     เวลาเดินไปแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ คุณยายน่ารักจังเลย คุณตาน่ารักจังเลย” ง่ายไหม ไหนลองทำสิ จริงๆ เขาน่ารักอยู่แล้วนะ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าบางครั้งเวลาเราอยู่บนโลกใบนี้สิ่งที่เราคาดหวังและเรายึดติด บางทีมันก็อาจไม่เป็นอย่างนั้น ถูกไหม (ถูก)    ฉะนั้นถ้าเราไม่ปักใจเชื่อเสียอย่าง บางทีเราอาจเห็นมุมมองที่ดีในใจของเขาก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราไม่ปักใจเชื่อว่าเขาร้ายอย่างเดียว บางครั้งเราอาจเห็นอะไรที่น่ารักๆ ในตัวของเขาก็เป็นได้ ฉะนั้นที่มนุษย์ทุกวันนี้มีปัญหากัน มีทุกข์กัน หรือต่างถือทิฐิใส่กัน เราต่างไม่ยอมทำสิ่งที่ควรปฏิบัติให้แก่กัน   ใช่ไหม (ใช่)  เวลาทำชั่วเรากล้าทำ แต่น่าแปลกนะ เวลาทำดีก็อาย อายไหม (ไม่อาย) แน่ใจนะ ถ้าแน่ใจเดินไปสวัสดีให้ทั่วห้องเลยนะ
การปฏิบัติธรรมอย่างไรนะ ที่จะทำให้เราช่วยดับทุกข์ในใจของเราได้ เรามีทุกข์ไหม (มี)  ทุกข์มากทุกข์น้อย (ทุกข์มาก ทุกข์น้อย)  อยู่กับอาจารย์ยังทุกข์อีกหรือ แล้วเราจะดับทุกข์ในใจของเราได้อย่างไร อาจารย์ถามหน่อย ส่วนใหญ่ถ้าเราอยากจะดับทุกข์ได้ ศิษย์เคยได้ยินประโยคนี้ไหม “ถ้าใจเราว่าง ทุกสิ่งก็ว่าง ถ้าใจเรานิ่ง ทุกสิ่งวุ่นวายขนาดไหน เราก็สามารถทำให้มันนิ่งได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  “แต่ถ้าเกิดโลกภายนอกมันนิ่ง แต่ถ้าใจเราวุ่น เราก็สามารถทำสิ่งที่นิ่งให้วุ่นวายได้ เพราะใจเรา” ฉะนั้นเหมือนกันถ้าเราคิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มี แต่ถ้าเราไม่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือน (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นแล้วไม่คิดมันจะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  เห็นแล้วไม่ถือสา จะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  เห็นแล้วใจเราไม่วุ่น จะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  ถ้าเราเห็นเขาว่าง ใจเราก็ (ว่าง)  ถ้าเราเห็นเขาวุ่น ใจเราก็ (วุ่น)  อยากปฏิบัติธรรม ถ้าเห็นเขาวุ่น ใจเราต้องพยายามนิ่ง เมื่อนิ่งจึงรับมือกับความวุ่นได้ ถ้าวันหนึ่งศิษย์เจอคนที่โกง หลอกลวงศิษย์ เจอคนที่ด่าศิษย์ ศิษย์จะแก้อย่างไร ศิษย์บอกว่าคิดดีไว้อาจารย์ ทำอะไรไม่ได้ ให้อภัย หรือไม่ก็ทำมันกลับสักทีหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่ ไม่ใช่) เวลาเราเจอคนโกง คนร้าย เราจะร้ายกลับดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าร้ายกลับแสดงว่าเราต้องอยากเกี่ยวกรรมต่อเนื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราต้องคิดดีเข้าไว้ ดีไหม (ดี)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมักจะบอกว่า วิธีปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้คิดดีเข้าไว้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทุกข์เพราะความคิด  ฉะนั้นเมื่อศิษย์พยายามคิดดีเข้าไว้ ความคิดนั้นทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด เมื่อเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม เราใช้อารมณ์ ใช้ความคิด มันจะวุ่นไม่จบ แต่ถ้าเมื่อไร เราเจอเรื่องราวเราใช้สติ จะพบความสงบ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เจออะไรคิดดีไว้ก่อน  อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเขาโกง คิดดีช่างมันเถอะจะได้หมดเวรหมดกรรม แต่ความคิดมันจบไหม (ไม่จบ)  พอถึงเวลาทำไมมันโกงล่ะอาจารย์ ก็พยายามอภัยแล้วนะ แต่ทำไมยังโกงอีก ฉะนั้นถึงจะใช้คำว่าคิดดี ก็ยังไม่พ้นทุกข์  แล้วคิดอย่างไรที่จะพ้นทุกข์ (ให้อภัยเขาทุกอย่าง)  ศิษย์เอยถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังคิดว่าต้องพยายามให้อภัยแปลว่าในใจศิษย์ยังไม่ชอบใจอยู่ใช่ไหม  ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดี เวลาเจอเรื่องราวที่ไม่เป็นดังใจเราให้อภัย
คิดให้อภัยเป็นการแก้ที่ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ เพราะเมื่อไรที่เราพยายามคิดดีเข้าไว้ คิดให้อภัย แล้วถ้าเกิดเขาไม่เป็นดั่งใจ เขายังเป็นซ้ำอีก อภัยลงไหม ถ้าสมมติว่าเขาทำไม่ดีกับเรา เราพยายามคิดให้อภัย คิดบวกเข้าไว้ คิดดีเข้าไว้ เขายังทำอีก (ไม่ถือสา)  ตอบได้ดี (ไม่ต้องคิดเลย)  เพราะคิดดีเขาก็ไม่ดี คิดร้ายก็มีแต่ทำให้ใจเราเจ็บปวด อย่างนั้นอย่าคิดเลย ใช่หรือไม่ เพราะคนทั้งโลกเขาไม่เเกล้งแต่เขามาแกล้งเรา คนทั้งโลกเขาไม่หลอกลวง แต่เขามาหลอกลวงเรา คนทั้งโลกเขาไม่โกง เขาโกงเรา แปลว่ามันต้องมีกรรมเกี่ยวกันมา ใช่ไหม ฉะนั้นคิดให้สบายใจก็ช่างมัน อย่าไปคิดดีกว่า คิดเเล้วก็เจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหม
(พูดกับเพื่อนแรง ไม่รู้ว่าจะกลับไปดีกับเขาอย่างไร)  เพื่อนกันถึงร้ายกันยังไงก็ตัดไม่ขาดใช่ไหม ง่ายๆ คำเดียวสั้นๆ ขอโทษ แค่ “ขอโทษ” เมื่อสักครู่ศิษย์ก็พูดเองว่าศิษย์พูดแรง พูดหนักด้วย และทำเพื่อนเขาเจ็บด้วยใช่ไหม รักเพื่อนไม่ใช่หรือ แค่พูดว่า “ขอโทษ” ไม่ยากหรอก ผิดก็ยอมรับผิด ทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดจะไม่ได้ทำ และถ้ายิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่ทำ ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์อยากอยู่บนโลกแล้วไม่มีปัญหากับใคร เวลาเจอเรื่องที่มันกระทบใจแล้วจะก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ อย่าใช้ความคิดเพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัย กิเลส อารมณ์ และมันง่ายที่จะลำเอียงเข้าข้างตัวเอง และความคิดมันง่ายที่จะเหมือนสาดน้ำมันใส่อารมณ์ โกรธไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะด่า ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อใดที่ใจต้องกระทบแล้วเกิดอารมณ์ จำไว้อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ สติจะดึงใจให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
รู้จักเอาสติ ดึงสติมา ไม่ใช่อาจารย์บอกว่าปฏิบัติธรรม ไม่ต้องคิดไม่ใช่นะ แต่ถ้าเกิดว่าต้องทำงานรู้จักใช้สมองนั้นแหละต้องคิด แต่ถ้ามีเรื่องอะไรกระทบใจ อย่าคิด เพราะความคิดมันเป็นกิเลสอารมณ์ง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหม อารมณ์หมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ความคิดเป็นสิ่งที่นอนเนื่อง ก่อเกิดให้กิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าเจออะไรมากระทบใจ ไม่อยากก่อเกิดเป็นวิบากกรรมแล้วทำให้ต้องทุกข์ จงอย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ สติจะดึงใจให้กลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริงอย่างแจ่มชัด
ฉะนั้นเราเจอเรื่องราวอะไรจำไว้นะศิษย์ อะไรที่มากระทบแล้วจะก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ “อย่าคิด” ถึงแม้การคิดนั้นจะเป็นการคิดบวกก็ตาม มันก็ทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะเวลาเราคิดบวก “ช่างมันเถอะๆ” ความคิดก็คือความทุกข์ ความทุกข์ก็คือความคิด ถ้าเรายังไม่เห็นชัดในความคิดเราก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจไหม ฉะนั้นเวลาเจออะไรให้ใช้ (สติ)  ใช้สติแล้วถ้าคิด คิดให้มันกลาง อย่าคิดดีและอย่าคิดร้าย เพราะถ้าคิดดีมันก็หลงรัก พอหลงรักไม่เป็นดังรักมันก็โกรธ โกรธเสร็จก็เกลียด เกลียดเสร็จด่า ด่าเสร็จก็เกี่ยวกรรม พอเห็นแล้วคิดร้าย คิดร้ายก็จองเวรจองกรรมอีก มันพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  แล้วเราอยากอยู่อย่างมีกรรมหรืออยากอยู่อย่างหมดกรรม (หมดกรรม)  แล้วตอนนี้เราทำอย่างคนมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)  เห็นเกี่ยวกรรมตลอดเลย ฉะนั้นเจออะไรพยายามอย่าคิดบวกหรือคิดลบ มองเขาเป็นกลาง ดีไหม (ดี)  เวลาเจอใครแบบไหนก็มองเป็น (กลาง)  เราจะผิดหวัง เราจะทุกข์ และเราจะเสียใจไหม (ไม่)  คำว่ากลางนั้นก็คือไม่ยินดียินร้าย เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเจอหน้าแบบนี้กลางไหม ห้ามยิ้มนะ บึ้งไว้ มองหน้าแบบนี้กลางไหม (กลาง)  อดคิดไม่ได้หน้าเขาก็ดูน่ากลัวเหมือนกันนะอาจารย์ ฉะนั้นเจอเรื่องราวจะเป็นอย่างไร มองให้เป็นกลางไว้ เพราะถึงที่สุดร้ายก็มี (ดี)  ในดีก็มี (ร้าย)  ในสุขก็มี (ทุกข์)  ในแย่มี (ดี)  ในไม่หล่อก็มี (หล่อ)  จะหล่อมากๆ เลย ถ้าไม่ติดเหล้าไม่ติดบุหรี่ ขยันทำมาหากิน ทำได้ไหม แล้วยังกินเหล้าสูบบุหรี่ไหม สูบหรือ กลับไปยังสูบไหม (ไม่สูบ)  แน่นะ เอาแอปเปิลมาเลยเร็ว ถ้ารู้จักรักตัวเองเป็น เรื่องอะไรจะรักคนอื่นไม่เป็น แต่ถ้าเขายังทำร้ายตัวเอง และเรายังโง่ไปเลือกเขามาเป็นสามี ศิษย์นั่นเหละโง่ที่สุดแล้ว ใช่ไหม
 (พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลให้กับคนที่ตอบคำถาม)  กินแอปเปิลยังมีวันหมด แต่ถ้าเอาธรรมะของอาจารย์ไปปฏิบัติไม่มีวันหมด หมดอย่างเดียวคือช่วยหมดทุกข์ เอาแอปเปิลหรือเอาธรรม (เอาสองอย่าง)  ศิษย์ฉลาด
อาจารย์ถามหน่อยโดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสงบหรือความวุ่นวาย (ความสงบ)  จริงหรือ อาจารย์ลงไปข้างล่างดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ได้ เกิดเป็นคนต้องรู้จักเสียสละ ถ้าไม่เสียสละชีวิตจะไม่มีวันสงบ ชีวิตนี้เคยมีความสงบสบายใจบ้างไหม (มีบ้าง)  เราปรารถนาความสงบหรือเราปรารถนาความวุ่นวาย (ความสงบ)  จริงหรือ ถ้าปรารถนาความสงบชีวิตเราคงไม่ไปหาเรื่องใครให้วุ่นวายหรอก  สงบแปลง่ายๆ แปลว่ายอมจบ ถ้าไม่ยอมจบก็แปลว่าไม่มีวันสงบ ถูกไหมศิษย์ แล้วชีวิตนี้ศิษย์ยอมจบบ้างไหม ใครว่าเรายอมจบไหม ใครโกงเรายอมไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตแล้วไม่อยากมีกรรมต่อ อยากมีชีวิต คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรมถูกไหมศิษย์ และมีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี แล้วเราอยากเพิ่มกรรมดีหรือเพิ่มกรรมชั่ว (กรรมดี)  อยากมีกรรมต่อหรือ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วก็ไม่อยากเพิ่มแล้วใช่ไหม เพราะถ้าเพิ่มก็แปลว่าเรายังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วถ้าหากว่าเรามาเวียนว่ายตายเกิดแล้วศีลเรามีไม่ครบ ความเป็นคนเราปฏิบัติได้ไม่ดี การกลับมาเกิดก็ไม่สามารถจะทำให้เราเกิดเป็นคนได้ ฉะนั้นเราอยากจบกรรมไหม ถ้าอยากจบเจอเรื่องราวอะไรควรจบ พอจบจะพบความสงบ   แต่ถ้าไม่จบมันจะวุ่นวาย ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ทำอะไรเอาแต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย แต่ถ้าชีวิตนี้ทำอะไรใช้สติ ก็จะพบความสงบและจบได้ แต่ถึงเวลาพอเราเจอเรื่องราว เราจบและสงบจริงไหม แต่โดยส่วนใหญ่เรามักชอบความวุ่นวายมากกว่าความสงบใช่ไหม (ใช่)  พอถึงเวลาให้เข้าวัดกับไปผับไปไหน (วัด)  ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวอะไร ถ้าเรารู้จักจบให้ไว มันก็วุ่นวายน้อย แต่ถ้าจบช้า มันก็วุ่นวายมาก หรือพูดให้ยากเข้าไปอีกหน่อย ถ้าทำอะไรเอาแต่ใช้อารมณ์เป็นหลักเราก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย แต่ถ้าทำอะไรรู้จักใช้สติเป็นหลักเราก็มีความสุขสงบได้
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย คำว่า “สติ” แปลว่าอะไร (การยับยั้งชั่งคิด, ปัญญา)  สติแปลว่าปัญญา มีสติจึงมีปัญญา ถ้าสติไม่มี ปัญญาก็ไม่เกิดนะศิษย์ แต่สติไม่ได้แปลว่าปัญญา (สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาไม่มี)  ต้องได้อย่างนี้แหละ แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีสติเลย สติแปลว่า (ความยับยั้งชั่งใจ, ความระลึกได้)  ระลึกอะไรได้ (ความดีความชั่ว)  สติแปลว่า ความระลึกได้ ตั้งตนให้อยู่ในศีลในธรรม ระลึกในศีล ระลึกในธรรม (คิดก่อนแล้วค่อยทำ)  แต่ความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยและอารมณ์นะ แล้วสติมันจะช่วยยับยั้งชั่งใจอย่างไร ถ้าสติมันไหลไปตามความคิด จริงไหม (จริง)  อาจารย์เพิ่งพูดเองว่า ถ้าเกิดเราเจอเรื่องอะไร อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลและตกไปเป็นทาสของอารมณ์ ถ้าอะไรมากระทบใจแล้วมันจะก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดนั้นมันไหล มันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยของใจคน แต่สติมันทำให้เราระลึก รู้ผิดชอบชั่วดี รู้พิจารณาความเป็นจริง รู้ให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
สติกับสมาธิ  ศิษย์จะถามอาจารย์ว่าอันไหนมาก่อน สติทำให้เรานิ่งกลับสู่ภาวะกลาง และภาวะกลางถ้ารักษาได้ตลอดจะเกิดสมาธิ และเมื่อสามารถรักษาสติให้เกิดสมาธิหรือสงบจนเป็นกำลัง จนก่อเกิดเป็นปัญญา เป็นปัญญาที่สามารถดับทุกข์สิ้นกิเลส แต่มนุษย์ไม่ใช้สติ ชอบใช้ความคิด เมื่อใช้ความคิดก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย และไม่สามารถมีสมาธิได้ และไม่สามารถเกิดปัญญาที่เห็นแจ่มชัดได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าสติแปลว่า ระลึกรู้ กายในกาย ใจในใจ จิตในจิต ว่าสิ่งที่มันมากระทบมันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง ไม่น่ายินดี ไม่น่ายินร้าย เมื่อรักษาสติได้ตลอดเนื่องๆ จึงก่อเกิดเป็นสมาธิที่เรียกว่าสงบไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบมีสติไหม รักษาสติได้ตลอดไหม สติคือการกลับมาดึงใจเราให้ระลึกได้ว่า มันไม่เที่ยง คนที่ตีเรามันก็ไม่แน่ วันนี้ตี เดี๋ยววันต่อไป ขอโทษ แล้ววันนี้คนที่เราบอกว่าเขาน่ารัก บางทีอาจจะตีเราก็ได้
ศิษย์เอ๋ยคนที่นั่งสมาธิแล้วก่อเกิดปัญญาต้องนั่งกี่ชั่วโมง อาจารย์ไม่สามารถตอบได้ แล้วแต่ภูมิธรรมในจิตของเราเอง การที่เราฝึกสติบ่อยๆ เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ให้คำยืนยันว่า มันสามารถจะกำหนดหนทางพ้นทุกข์ได้ แต่ขอเริ่มต้นให้มีสติ เมื่อเวลาที่ถูกกระทบ มีสติแล้วรักษาความสงบได้ไหม แล้วมองเห็นแจ้งจนตื่นรู้และสิ้นทุกข์ได้หรือเปล่า ถึงแม้ศิษย์จะไปนั่งสมาธิในป่า  ไม่โดนคนว่า คนด่าเลย ศิษย์สงบ แต่พอกลับมา โดนคนด่า คนว่า ศิษย์ยังมีสติไหม เอาอีกแล้วหรือ ฉะนั้นถึงจะนั่งในป่าสงบ แต่ถ้าอยู่ในเมืองแล้วศิษย์ไม่สงบก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่มันอยู่ที่ข้างใน ศิษย์ทำแล้วยัง ให้ทำ อย่ามัวแต่ถาม  คนที่ตัดสินความ ถ้าเขามีปัญญา เขาก็จะสามารถตัดสินคนไม่ผิดพลาด อยากให้เป็นอย่างนั้น อาจารย์พูดตามตรง คนในโลกถึงแม้ศิษย์จะหวังให้เขาไปปฏิบัติธรรม แต่เมื่อลืมตาก็อดเห็นไม่ได้ ใจก็เอนเอียง     ถึงเราจะยุติธรรมขนาดไหน แต่เราบอกว่าคนนี้ผิด แต่ถามจริงๆ เขาผิดจริงไหม ไม่สามารถตัดสินใจได้ เราไม่สามารถตีความได้ว่าใครผิดหรือถูก ฉะนั้น การศึกษาธรรม จึงสอนให้รู้ว่า ไม่มีคดีความ ไม่ตัดสินใครผิด  ใครถูก ดีที่สุด เพราะถึงที่สุดแล้วถ้ายังมีลมหายใจ คนนั้นก็ยังมีวันเปลี่ยนแปลง
อย่าลืมว่าคนเราในโลกใบนี้หรือมนุษย์ในโลกใบนี้มีหลายอย่างที่พูดอย่างทำอย่าง ทำอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง จริงไหม แล้วเราจะบอกว่าคนที่พูดดีแล้วดีจริงไหม แล้วคนพูดถูกแล้วถูกจริงไหม เราไม่สามารถตอบได้     แล้วเราไม่สามารถตัดสินได้ ใช่หรือไม่ อาจารย์จึงอยากบอกกับศิษย์ให้รู้ว่าเหตุผลไม่ใช่ที่สิ้นสุดของคำตอบ แต่คำตอบที่แท้จริงที่สุดคือใจของศิษย์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจตจำนงนั่นแหละที่ศิษย์พูดศิษย์ทำ ดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ใช่หรือเปล่า เอามนุษย์เป็นกฎเกณฑ์ไม่ได้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติเป็นกำลัง”
มี “สติเป็นกำลัง” เป็นคำโบราณที่เขาพูดกันในหลักธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นเจริญทุกเมื่อ ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นมีความสงบสุข ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นทำชีวิตให้เป็นผู้ประเสริฐ แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์ทุกคนมักใช้อารมณ์มากกว่าใช้สติ ใช่หรือไม่ มีอารมณ์เป็นกำลังของใจ ไม่ได้มีสติเป็นกำลังของชีวิต ฉะนั้นมีโอกาสจงทำอะไรด้วยสติ สติแปลว่าระลึกรู้ในศีลธรรม ระลึกรู้ในความถูกต้องแห่งธรรม เจอเรื่องอะไรจงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ ความคิด ได้ไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อเราใช้สติอยู่เนืองๆ สติจะก่อเกิดเป็นพลังที่ทำให้เราสงบ เมื่อสงบอยู่เนืองๆ กำลังของพลังแห่งความสงบจะก่อเกิดเป็นปัญญาที่ทำให้เรามองเห็นโลกแจ้งชัด และสามารถตัดกิเลสและดับทุกข์ได้ แต่สติจะมาได้อย่างไร ต้องเริ่มต้นถามศิษย์ก่อนว่าศิษย์เป็นคนมีศีลหรือยัง สติทำให้เราสงบใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีสติแต่ขาดศีลก็ไม่สงบ ถูกหรือไม่ ฉะนั้นมีสติแล้วอยากสงบต้องมีศีล แล้วศีลครบไหม (ไม่)  ไม่ครบหรือ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีสติแล้วกลับคืนสู่ความสงบได้ ศิษย์ต้องมีศีล ศิษย์รู้ไหม ศีลเป็นธรรมที่มีคุณ เพราะเป็นธรรมที่สามารถนำพาให้ชีวิตกลับคืนสู่ความพ้นทุกข์ได้ และผู้ที่จะมีศีลได้ เรียกว่ามนุษย์ เทวดา พรหม แต่ศิษย์ไม่เคยมีศีล ศิษย์ก็เลยไม่ใช่มนุษย์ ถูกไหม ฉะนั้นรักษาศีลให้ครบ ถ้าศีลไม่ครบศิษย์ก็เป็นสัตว์ในคราบมนุษย์ วิธีฝึกจิตให้มีกำลังต้องหมั่นทำจิตใจนั้นให้สงบ
“มีสติระลึกรู้สัมปชัญญะครบ ย่อมพานพบธรรมทั้งหลายหลอมรวมใจ”
ฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้นต้องพยายามฝึกอารมณ์ให้เย็นและมีความสุขุมในใจให้มาก และเมื่อเราอารมณ์เย็นแล้ว สุขุมแล้ว สติจะทำให้เรามองเห็นว่าการมีอารมณ์นั้นเป็นโทษ ไม่ควรจะมีไว้ แปลกนะมนุษย์ฝึกอะไรฝึกได้ แต่ฝึกไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคือ ใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฝึกให้เย็นได้ไหม ทำไมเวลาอารมณ์ร้อนไม่เห็นต้องฝึกทุกคนก็เป็นแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องเรียนเลย ด่าปุ๊บร้อนปั๊บ ติดทันทีเลย ฉะนั้นพยายามนะศิษย์เอย
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมขอพระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรมที่เปิดใหม่)
อาจารย์ถามศิษย์นะ หมดรุ่นศิษย์แล้วมีรุ่นต่อไปมีไหม เงียบเชียว ศิษย์เอยสร้างห้องพระขึ้นมายังต้องดูแลต่อเนื่องจนถึงที่สุด ถ้าไม่มีรุ่นต่อไป การสร้างห้องพระมาจะเป็นภาระที่สร้างแล้วถูกทิ้งวางไว้ น่าเสียดายใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ใช่แค่เราเข้มแข็งแต่เราต้องสร้างบุคลากรต่อไปให้เข้มแข็ง และดูแลห้องพระต่อไปได้ด้วยและมีจิตใจที่เสียสละอุทิศช่วยคนเหมือนศิษย์ด้วย ถูกหรือไม่ ฉะนั้นภาระในการสร้างห้องพระยากแล้ว แต่ทำห้องพระให้อยู่ยงมีคนสืบต่อ และฉุดช่วยคนต่อยากยิ่งกว่า ไหวนะ (ไหว)  แน่นะ จะไม่ทะเลากันนะ จะไม่น้อยใจกันนะ จะไม่แอบหนีหน้ากันนะ รับแล้วต้องรับเลยนะ มาถอดใจไม่ได้นะ มาบอกอาจารย์จี้กง หนูขอลาออกไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่หนักแน่นอาจารย์ให้ชื่อชั่วคราวไปก่อน มั่นใจไหม (มั่นใจ) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่ อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช)  ให้ชื่อว่า “เสวียนเจวี๋ย” (玄覺佛堂) มีจิตตื่นรู้ในความแยบยลแห่งธรรมในใจตน มนุษย์มีธรรมที่แฝงอยู่ในตัวแต่เรามักมองไม่เห็นเพราะความหลงและความยึดติดที่คิดว่าตัวเองป่วยตลอดเวลา      ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมพระพุทธะจึงสอนว่าจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แปลว่าอดีตมันผ่านไปแล้ว ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน เมื่อวานเราป่วยแต่วันนี้ความป่วยมาด้วยไหม (ไม่)  แต่ใจทำไมลากมันมาล่ะ เรามีแค่ปัจจุบันวันนี้ เมื่อวานเราป่วย แต่วันนี้ไม่ป่วย เมื่อวานเจ็บแต่วันนี้ไม่ต้องเจ็บ แต่ศิษย์ของอาจารย์ชอบลากความเจ็บมาแล้วตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองว่าเจ็บ ทั้งที่เจ็บเมื่อตอนไหน เจ็บเมื่อสองปีที่แล้ว แต่วันนี้ยังเจ็บอยู่อาจารย์ ปวดขายังปวดอยู่และยังปวดทุกวันเมื่อนึกได้ โง่หรือฉลาดศิษย์
ไม่จำ ที่ไม่ควรจำ จำเอา จำเอา แล้วก็ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ ฉลาดหรือโง่ (โง่)  แล้วชีวิตควรอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน)  ส่วนคนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่อยากตาย เพราะคนที่ตายเท่านั้น ไม่มีปัจจุบัน  มีแต่อดีต ฉะนั้น ศิษย์มัวแต่จมอยู่ว่าตัวเองป่วย นั้นก็แปลว่าตัวเองอยากตาย แล้วก็โง่ เพราะจมอยู่กับอดีต เราปวดขาเมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อไหร่ เจ็บเมื่อสามวันที่แล้ว แต่วันนี้ยังเจ็บอยู่อาจารย์ ควรเจ็บไหม (ไม่ควร)  เราปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อซ้ำเติมให้ตัวเองเป็นทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติผิด แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม มองให้เต็มตาหน่อย เป็นทุกคน แล้วจะช่วยใครได้ในเมื่อช่วยตัวเองยังช่วยผิดเลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับผู้ดูแลพุทธสถานที่จะเปิดในเดือนมิถุนายน ที่ อำเภอบางแก้ว จังหวัดสงขลา) 
เอาแอปเปิลเป็นกำลังใจ ให้สิ่งที่หวังราบรื่นสำเร็จนะ เยอะขนาดนี้ จะไม่น้อยใจกัน ถือสาหาความกัน สมัครสมานกันสามัคคีร่วมช่วยคน และจะมีจิตหนึ่งใจเดียวสู้ไม่ถอยได้ไหมศิษย์  ปณิธานนี้เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และยิ่งมีห้องพระและจะพายเรือนำพาเวไนย หัวเรือต้องเข้มแข็ง ฝีพายต้องหนักแน่น ถ้าหัวเรือก็ไม่เข้มแข็ง ฝีพายก็ไม่หนักแน่น ศิษย์ก็จะช่วยใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์ให้คำว่า “ปัญญา” รู้ตื่นในความมีปัญญา ฮุ่ยเจวี๋ย” (慧覺佛堂) ขอให้สำเร็จดังหวังตั้งใจในความดีงามนะ มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ อย่าขอลาออกจากอาจารย์นะ ตั้งใจแล้วช่วยให้ดีที่สุดนะ ทำให้สมกับความตั้งใจในวันนี้ รักษาใจที่มุ่งมั่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเจออะไรถือว่ามาขัดเกลาใจ ถือว่ามาชำระละลายหนี้บาปเวรกรรมในใจ ไม่ว่าเรื่องจะยากแค่ไหน เรื่องจะแย่แค่ไหน ถือว่าจะได้หมดเวรหมดกรรม และกลับคืนหาอาจารย์ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ใส งานหนักนะศิษย์เอย เสียสละตัวเองให้คนอื่น เสียสละเวลาความสุขเพื่อช่วยคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วใช่ไหม
นอกจากรู้จากมีสติแล้วจะนำพาชีวิตให้พบความสงบ พบปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตแล้ว เราต้องมีศีลเป็นข้อแรก    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราควรมีอะไรเป็นข้อที่สอง (มีศีลมีธรรม)  ตอบได้ดีนะ (มีธรรม)  ธรรมอะไรหรือ (ธรรมะ)  ศิษย์ของอาจารย์น่ารักจริงๆ เลย มีศีล แล้วมีอะไรอีก      (มีสมาธิ)  มีสมาธิหรือ ศีลยังไม่ครบเลย สมาธิจะมาไหม (คุณธรรม)  คุณธรรมอะไรหรือที่จะทำให้เราศีลครบ (มีคุณธรรมและธรรมะ)  คุณธรรมที่ทำให้เรามีศีลก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์นั่นก็คือมีเมตตา ไม่ผิดลูกผิดเมียนั่นคือ    (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  ไม่ผิดศีล มีศีลและมีธรรม ไม่เบียดเบียนเขาก็คือมีเมตตา ไม่ประพฤติผิดในกามก็คือซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดคำไหนเป็นคำนั้น นั่นคือ (สัจจะ)  มีศีลและมีธรรม (มีปัญญา)  แล้วจะเกิดได้ไหม (มีศีล  มีธรรม)  มีศีลมีธรรมแล้วมีอะไร ที่ทำให้เราต้องทำบ่อยๆ แล้วมันจะเกิดสติ พลังแห่งสติ แล้วก่อเกิดเป็นสมาธิ แล้วก่อเกิดเป็นปัญญานะ เขาเรียกว่าอะไร (สติ, มีสัจธรรมในตัวเอง)  สัจธรรมมันมีอยู่แล้วในตัว แต่เราเคยมองเห็นสัจธรรมในตัวไหม ถ้าไร้สัจจะก็ไม่มีธรรม (การปฏิบัติธรรม)     การปฏิบัติธรรมใช่ไหม (มีความเพียร) เยส! ใช่ไหมศิษย์ ถ้าศิษย์มีสติ ศิษย์มีศีล แต่ศิษย์ไม่มีความเพียรที่จะละบาป บำเพ็ญบุญกุศล มีศีล มีสมาธิ แล้วสมาธิจะเกิดได้อย่างไรถ้าศีลยังไม่ครบ แล้วศีลจะมีครบได้อย่างไร ถ้าศิษย์ยังไม่ละบาปในใจตน พยายามไม่เบียดเบียน แต่ถึงเวลาก็กินเขา พยายามไม่โกหก แต่ถึงเวลาก็โป้ปดมดเท็จ ฉะนั้นเพียรที่ถูกต้องเพียรแบบละบาปบำเพ็ญบุญ
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเพียร ใช่หรือไม่ แล้วอยากมีสติแล้วสงบแล้วก่อเกิดปัญญาสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ สิ่งที่ทำให้ก่อเกิดความสงบในใจ แล้วก่อเกิดสติ ก่อเกิดเป็นศีล สมาธิ ปัญญา อะไรก็ตามนั้น จะก่อเกิดได้นอกจากมีความเพียรแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคืออะไรรู้ไหม (วิริยะ, ความเมตตา, อดทน)
อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราควรสร้างเหตุแล้วค่อยมาแก้ผลหรือเราไม่ต้องมาสร้างเหตุ แล้วเราจะได้ไม่ต้องตกผลเลย เอาแบบไหน ไม่สร้างเหตุเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราจะก่อเกิดสติ ก่อเกิดปัญญา ก่อเกิดสมาธิได้ ถ้าเราสามารถที่จะหยุดยั้งต้นเหตุได้ ที่มนุษย์ต้องวุ่นวายและหาความสงบหาความมั่นคง หาปัญญาไม่เจอเพราะว่าเราหยุดความคิด ความอยากในใจไม่ได้ ถ้าชีวิตอยากสงบจงรู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ เราจะสงบทันที และเราจะไม่ผิดศีลมากไปกว่านี้ ถ้าไม่พอ วันนี้สงบเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปวุ่นวายเพราะความอยากมาอีกแล้วใช่หรือไม่ พอเข้าใจพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมหรือยัง พอเข้าใจไหม
การปฏิบัติธรรมคือ  (แก้ไขตัวเราได้ อภัยผู้อื่น, การมีสติ สมาธิ, มีศีลมีธรรม)  ก็ถูก สิ่งสำคัญในการปฏิบัติธรรมนั้นก็คือเริ่มด้วยการมีศีล      มีธรรม ถามศิษย์ก่อนว่าทุกครั้งที่มีชีวิตอยู่ ศีล ธรรม ศิษย์ครบไหม (ไม่) เมื่อไม่ครบศิษย์จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เมื่อไม่ครบศิษย์จะมีความสงบ   มีสันติสุขได้อย่างไร ฉะนั้นเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรมนอกจากทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ศีล ธรรม มีครบแล้วหรือยัง ถ้าศีล ธรรมมีครบ เราก็หยุดยั้ง บาป กิเลสได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ละบาป บำเพ็ญบุญ)  ตอบได้ดี ทำให้ได้นะ ทำอะไรก็คิดให้ดีๆ นะ
ศิษย์ถ้าอยู่ในโลกนี้ ถ้าเข้าใจธรรมที่อาจารย์พยายามบอกศิษย์เสมอๆ  ศิษย์จะเห็นโลกนี้ชัดเจนว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ายึด ไม่น่าเอา อาจารย์ถามหน่อย เงิน ลาภยศ ชื่อเสียง สามี ภรรยา ความรัก เอาไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วสิ่งที่เอาไปได้คือ (บุญ บาป ความดี) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ  ไม่มีอะไรติดตัวเราได้นอกจากบาปกับบุญ แล้วเราสามารถหยุดยั้งบาป บุญได้ไหม ด้วยการทำอะไรไม่ยึดติด
อาจารย์ขอสรุปก่อนกลับ ทุกครั้งที่ศิษย์ดำเนินชีวิตอยู่ ทำอะไรติดชอบมันก็ก่อเกิดเป็นกรรมดี ทำอะไรไม่ชอบก็ก่อเกิดเป็นกรรมชั่ว แล้วมนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับกรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก)  เจอใครถูกใจก็สร้างกรรมดี เจอใครไม่ถูกใจก็ก่อเกิดเป็นกรรมชั่ว ไม่จบสิ้น แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า เรายังมีอีกทางหนึ่งที่เรียกว่า    ทางพ้นกรรม ทางใช้กรรม และทางจบกรรม นั่นก็คือ เจอใครไม่ต้องตัดสินว่าเขาดีหรือชั่ว ทำอะไรไม่ต้องยึดติดว่ามันดี หรือมันชั่ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันไม่มีดีที่สุด ไม่มีชั่วที่สุด และไม่มีอะไรแจ่มชัด ว่ามันดีหรือชั่ว วางจิตให้เป็นกลาง เมื่อมันเป็นกลางมันจะก่อเกิดให้เป็นกรรมไหม เมื่อไม่เป็นกรรม มีชีวิตอยู่คือการชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ แล้วเราจะชดใช้อย่างไร เมื่อเจออะไรมากระทบ ไม่ตัดสิน ไม่คิด เพราะการตัดสิน และการคิด มันง่ายที่จะหลงไปตามกิเลสและอารมณ์ แต่พอเจออะไรมากระทบปุ๊ป เป็นกลาง เป็นกลาง สติ สงบ พิจารณาให้เกิดธรรม   ไม่เที่ยง ไม่แน่ จบไหม ต้องคิดอีกไหม ในเมื่อมันจบในทุกๆ วัน แล้วเราจะมีกรรมอะไรให้ต้องเวียนว่ายอีกต่อไป เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม   ถ้าวันนี้เราใช้กรรมหมด เราจะต้องเวียนว่ายต่อไหม
ตอนนี้เรามีอีกทางหนึ่งในการปฏิบัติธรรมคือ ไม่ตัดสิน ไม่วิพากวิจารณ์ ดูแลใจตัวเองว่ารักษาความเป็นกลางได้หรือยัง เมื่อเราไม่เกี่ยวอารมณ์ก็ไม่เกิดเคราะห์กรรม เมื่อเราไม่สร้างบาปก็ก่อเกิดเป็นบุญมีความสุข ถูกไหม เมื่อทุกวันสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศลชะตาชีวิตก็งดงาม ฉะนั้นพรุ่งนี้ขึ้นอยู่ที่วันนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่ที่การกระทำในวันนี้ ถูกหรือไม่ แล้วทำไมศิษย์ต้องรอให้คนอื่นช่วย ทำไมศิษย์ต้องรอให้ทุกข์แล้วค่อยแก้ ทำไมไม่จัดการตั้งแต่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ถูกไหม เข้าใจไหม พอรู้ยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม ศิษย์รู้ไหมเพราะศิษย์ปฏิบัติธรรมศิษย์ก็กำลังช่วยคนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ทุกครั้งศิษย์ไม่ตัดสินเขาว่าเขาดีเขาแย่ ศิษย์ไม่ว่าเขาไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ต้องไปชมเขามากมายว่าเขาดีมาก เพราะศิษย์วางใจเป็นกลาง เมื่อวางใจเป็นกลาง เขาเห็นธรรมในใจเรา เราก็ฉุดช่วยเขาได้ ใช่หรือไม่ แปลกจริงใครๆ ก็ชมฉันหมด ใครๆ ก็ด่าฉันหมด ทำไมเธอไม่ด่าฉันล่ะ     ใช่ไหม เพราะอะไรล่ะ เราก็ให้แง่คิดเขาได้ว่าชีวิตมันไม่เที่ยง ชีวิตมันไม่ดีอย่างไร ฉันก็ไม่ดี แล้วฉันจะว่าเธอทำไม เพราะว่าฉันก็ไม่ต่างอะไรกับเธอ ใช่หรือไม่ ทำไมเธอไม่ชมฉันล่ะ เพราะฉันชมไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอรู้ใจตัวเธอเองว่าดีไม่ดี เธอไม่ต้องรอฉันชมหรอก ใช่ไหม เห็นไหมเราได้สอนเขาไปในตัวและก็สอนเราด้วย ถูกไหม นี่แหละ ปฏิบัติธรรมช่วยตนช่วยคน  เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นหนทางธรรมจึงไม่ได้มีแค่ดีและชั่ว หนทางธรรมมีอีกหนึ่งทางในวันนี้คือ ความเป็นกลางที่ไม่อิงแอบดีหรือชั่ว ฉะนั้นศาสนาพุทธคือศาสนาที่สอนให้เรารู้   แต่ไม่ใช่รู้คนอื่น แต่รู้ใจตน รู้แล้วนำพาตนให้พ้นทุกข์ ปฏิบัติให้ถูกทาง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังชั้นล่าง)
วันนี้มาฟังธรรมรอบที่เท่าไรแล้ว บางท่านหลายรอบแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาไปปฏิบัติบ้างหรือยัง (ปฏิบัติแล้ว)  มีความใจเย็นบ้างหรือยัง (ใจเย็นแล้ว)  มีความอิสระวางลงบ้างหรือยัง (วางแล้ว)  ยังอารมณ์ร้อนขี้โมโหอีกไหม (ไม่)  ยังเอาแต่ใจอีกหรือเปล่า (ไม่เอาแต่ใจ)  ยังขี้น้อยใจอีกไหม    (ไม่น้อยใจ)  ศิษย์เอ๋ย บำเพ็ญธรรมมาถึงระดับนี้แล้วนะ ฟังมาหลายรอบแล้ว อย่าเอาแต่ฟัง แต่จงเอามาปฏิบัติ เมื่อเอามาปฏิบัติแล้ว ศิษย์จะ     ขัดเกลาจนสามารถพบธรรมในใจ อย่าเอาแต่พบธรรมที่เขาพูด อย่าเอาแต่พบธรรมที่ในตำรา แต่จงพบธรรมในใจตน ธรรมที่เราสามารถมีได้ และมั่นคงได้ ธรรมที่เราเกิดขึ้นจากใจเราที่รู้จักเสียสละ ใจเราที่กล้าจะให้ธรรมกับผู้คน นี่แหละถึงจะเรียกว่าศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ไม่เสียหลาย กล้าเสียสละ กล้าอุทิศให้ กล้าปฏิบัติธรรม เอาธรรมให้กับเขา ถ้ายังยึดมั่นกับความคิดตัวเอง เราก็จะไม่มีวันพบธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยวางความคิด เราจะกระจ่างแจ้งในธรรมว่า ธรรมไม่ใช่อยู่ที่คนพูด ธรรมไม่ใช่อยู่ที่หนังสือ คัมภีร์ตำรามันเป็นเพียงสิ่งที่เหลือของผู้ที่ตื่นรู้ในธรรมแล้ว ทำไมเราไม่ตื่นรู้ในธรรมในใจตนล่ะ รู้สละไหม รู้ให้ไหม รู้ยอมไหม รู้ยอมปล่อยวางจนไม่ยึดติดในความเป็นตัวตนไหม ฉะนั้นถามใจศิษย์นะ ถ้าบำเพ็ญแล้วยังติดขัดโน่นติดขัดนี่ แปลว่าเรายังฝึกไม่ได้ดี แต่ถ้าบำเพ็ญแล้วเรายอมได้จนสุดใจ อะไรเราก็ยอม เรามีเมตตาในใจ เราอยากให้ เราอยากเสียสละ เราอยากอุทิศ เราไม่หวังอะไรในตัวตนแล้ว นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกทาง เพราะธรรมะถึงที่สุด เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ น้อยใจไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ งกมากไปแล้วได้อะไร ถ้าไม่เคยเอาเงินที่ได้มาไปทำบุญทำกุศล ถูกไหม (ถูก)  ถ้าสละแล้วมันทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงในรูปนาม สละไปเถอะ ถ้ายอมแล้วมันทำให้เราก่อเกิดความสงบใจ ทำไมไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพูดแล้วมันทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ทำไมไม่หยุดพูด ทำไมต้องรอให้เกิดเหตุ แล้วค่อยพยายามดับทุกข์ ทำไม ไม่ดับมันเสียก่อนที่จะเกิดทุกข์ ความทุกข์ไม่น่ากลัว ความทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าคนยังจมอยู่ในทุกข์แปลว่ายังมองไม่เห็นทุกข์อย่างชัดเจน อาจารย์เชื่อมั่นว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ เสียสละได้ อะไรดีอะไรชั่วรู้หมด แต่เมื่อไรจะทำ อย่าเป็นคนมือหนึ่งทำบุญ แต่มือหนึ่งก็ทำบาป ไม่เอา ศิษย์ที่ดีที่สุดของอาจารย์ก็คือ แม้มือหนึ่งไม่ทำบุญ แต่มือนี้จะไม่สร้างบาปอีกต่อไปได้ไหม ไม่ว่าเขา ไม่น้อยใจ ไม่มีอารมณ์ ไม่เห็นแก่ตัว กล้าเสียสละได้ไหม (ได้)
เหนื่อยไหม (ไม่)  เป็นลูกศิษย์อาจารย์เหนื่อยหน่อยนะ แต่เหนื่อยแล้ว เราเข้าใจชีวิตเราช่วยคนเป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวป่วย จำคำอาจารย์ไว้นะ ทุกวันคือวันใหม่ ความเจ็บมันเป็นของเมื่อวานไม่ใช่วันนี้ ความเจ็บมันเป็นของสังขารไม่ใช่จิตใจ จิตเดิมแท้ไม่มีทุกข์ไม่มีกรรม เรามีกรรมแค่สังขาร เราต้องชดใช้กรรมเพราะสังขารเรามีกรรม แต่จิตเราไม่มีกรรม ฉะนั้นกรรมแค่กายแต่อย่ากรรมที่ใจ ทุกข์แค่กายอย่าไปลงทุกข์ที่ใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  ไปให้ถึงนะศิษย์ ไปอย่างคนที่เบาๆ วางได้ปลงได้ มันอยากเจ็บช่างมันแต่ใจหนูจะมาไหว้พระ ใจหนูอยากมาขอขมากรรม เขาอยากโกงก็เอาไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไม่โกรธไม่เกลียด ขอบใจที่มาโกง ถ้าแกไม่โกงฉันไม่ตัดใจสักที ห่วงอยู่นั้นเหละ ใช่ไหม (ใช่)  ขอบใจที่คุณทิ้งฉัน ถ้าคุณไม่ทิ้งฉัน ฉันก็คงห่วงคุณไม่จบสิ้น ฉันเป็นอิสระแล้ว
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือกลับคืนสู่ใจอันอิสระและโปร่งเบา อะไรก็ไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์พูดเยอะ ขอเยอะไปไหม (ไม่)  ทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงฝั่ง ไปล่ะ
ลำบาก เจ็บ สู้ ไม่ถอย รักษาใจอันนี้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน กลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ต้องยึดถือ ทำได้สละตัวตนไป เพราะยิ่งมีตัวตนมันก็มีที่แห่งทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำจนลืมตัวตนแปลว่าเราไม่มีทุกข์ให้ยึดเกาะอีกต่อไป ไปให้ถึงนะ (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่น ขอบคุณสำหรับแรงกายแรงใจที่ศิษย์ตั้งใจ

(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่นของศิษย์ที่สู้ไม่ถอย ไม่ขี้น้อยใจอีกต่อไป คิดได้แล้วนะ คนที่มีทุกข์อย่ารอให้อาจารย์ปลด แต่ศิษย์ต้องปลดด้วยใจของตัวเอง ถ้ารออาจารย์ชี้ ศิษย์จะไม่มีวันหมดกรรม เมื่อไรที่เราเจอกรรม จงปลดกรรมด้วยตัวเอง อย่าปลดเพราะอาจารย์พูด แต่ปลดด้วยใจของตัวเอง แล้วกรรมมันจะสิ้นสุด ตื่นรู้ด้วยใจของตัวเอง เวลาเจออะไร ทำไมอาจารย์ไม่ให้กำลังใจ เพราะอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักปลุกมันด้วยตัวเอง วางด้วยตัวเอง อาจารย์ที่ดีต้องให้ศิษย์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่มาพึ่งพิงอาจารย์ตลอด ไปแล้วนะ ต้องกลับแล้ว ฟังธรรมให้ดี รักษาจิตใจให้ดี มีแต่พระอยู่ในใจ ได้ไหม
มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ทำให้ดีนะ อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่    ทำอะไรจงมีสติยั้งคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ มีโอกาสกลับมาอีกนะ คำนี้ออกจากใจอาจารย์ยาก เพราะอาจารย์รู้ว่าบางคนไม่มาอีกแล้ว แต่ถ้าไม่มา ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะเมื่ออารมณ์เป็นใหญ่แล้ว จะชักพาให้ศิษย์ตกต่ำและง่ายที่จะหนีไม่พ้นความ  วุ่นว่าย การเวียนว่ายตายเกิด และตกเป็นทาสของกิเลสและกรรมเวร ขอให้ทำอะไรใช้สติยั้งคิดให้มากๆ ชีวิตจะเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์ ไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่ฟ้า แต่อยู่ที่ตัวเราจะตัดสินใจ เลือกทำอะไร ทำอย่างคนที่มีสติยั้งคิด หรือทำอย่างคนที่เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์เหมือนเก่า แล้วหนีไม่พ้นเวรกรรม หรือจะทำอย่างคนมีสติยั้งคิด และสิ้นเวรสิ้นกรรมวันนี้  ถามใจศิษย์ดูแค่นี้ยังทุกข์ไม่พอหรือ  ชีวิตนี้ยังเจ็บไม่พอหรือ แล้วยังจะทุกข์อีกทำไม ใครๆ ก็อยากมีสุข แล้วทำไมไม่นำพาให้ตัวเองมีสุข ไหว้พระ ขอพรเปล่าประโยชน์ ขอตัวเองดีกว่า ว่าเมื่อไรจะละบาป แล้วตั้งใจสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงามจริงไหม (จริง)  มีจิตสำนึกได้เป็นสิ่งที่ดี แต่ต่อไปแก้ไขแล้วทำให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)
มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ หรือต้องพูดว่าศิษย์จงรักษาโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ได้ไหม แล้วรู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้องและดีงามด้วยสติของตัวเอง รู้จักยั้งคิดด้วยใจของตัวเอง จำไว้นะศิษย์ โลกนี้มันเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่มีอะไรดีที่สุดและไม่มีอะไรแย่ที่สุดหรอก ผู้ที่มีสติระลึกรู้และเข้าใจธรรมจึงเข้าใจโลก และไม่ทุกข์หรือหลงใหลกับโลกใบนี้ เพราะถึงที่สุดจะมีใครดีที่สุด จะมีใครแย่ที่สุด ใช่ไหม และชีวิตตราบยังมีลมหายใจ ความทุกข์ก็ยังวนเวียนไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นดูแลจิตดูแลใจตัวเองให้ดีนะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อยากพูดมากมายแต่เปล่าประโยชน์เพราะถ้าพูดเยอะไป แต่ศิษย์ไม่สนใจคำพูดนั้นก็ไร้ค่า ดูแลตัวเองกันให้ดีนะ รักษาสุขภาพ ถนอมจิต ถนอมใจตัวเองให้ดี เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ได้ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติเป็นกำลัง”
     การฝึกจิตให้มีกำลังนั้น                         คือต้องหมั่นทำจิตใจให้สงบ
มีสติระลึกรู้สัมปชัญญะครบ                        ย่อมพานพบธรรมทั้งหลายหลอมรวมใจ
อารมณ์เย็นสุขุมนิ่งให้เป็น                          สติเห็นใช้อารมณ์เป็นโทษใหญ่
คนกล้ายอมวางลงได้ย่อมแจ้งใจ                  คนร้อนแล้ววู่วามไปไม่มีดี


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา