วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

2560-11-12 สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จังหวัดสงขลา

西元二○一七年歲次丁酉九月二十四日     仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐     สถานธรรมจื้อเจวี๋ย  จังหวัดสงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมด้วยศรัทธาไม่งมงาย    ศึกษาให้เกิดปัญญาไม่สิ้นสุด
หลักธรรมมีมากมายดั่งมหาสมุทร      จิตบริสุทธิ์จึงได้เป็นหนึ่งเดียว
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคน ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของใจ                เมื่อใจไม่ตามอาการจึงชัดแจ้ง
อารมณ์ตนคล้อยไปข้องเห็นปรุงแต่ง      กรรมสำแดงเที่ยงกว่ามากหนีไม่ทัน
ความไม่เที่ยงตนก็รู้ธรรมดาไซร้             ยึดมั่นไว้ถือยึดเท่าใดก็ผัน
มีหรือไม่ความทันในไม่ทัน                   ความมุ่งมั่นของใจคนคือกุญแจ
โลกธรรมเกิดตั้งดับเช่นนั้นไป               คนแบบใดลักษณะพิจารณาปมย่อมแก้
ไม่เที่ยงเป็นลักษณะแท้ที่เที่ยงแท้         เตือนตนแลในความไม่ประมาทไป
คำต่อว่าที่รู้สึกดีไม่ดี                           แยกแยะมีเป็นสามัญคนดีได้
ความเป็นอยู่นั้นลักษณะอาจจำใจ          ธรรมเหนือใจนามรูปไม่ผูกพัน
กลิ่นรสรูปหน้าแห่งความจริงอันตรธาน[1] โลกปัจจุบันล้วนสมมติถูกผิดทั้งนั้น
หมายบำรุงปรุงแต่งตามใจตามทัน         ลืมสำคัญคือวางอัตตาวางรูปนาม
สอนไม่ยึดมั่นหนาคือโลกีย์แล้ว            ความผ่องแผ้วธรรมโลกุตระ[2]ไกลฟากสนาม
การบำเพ็ญต้องย้อนมองต้องติดตาม      แค่กินกามห้ามไม่ได้เมื่อไหร่คืน
                                                                                    ฮา ฮา หยุด


[1]           อันตรธาน  ก.  สูญหายไป ลับไป
[2]           ธรรมโลกุตระ  น. ธรรมที่พ้นวิสัยของโลก  ธรรมอันประเสริฐ นิพพาน อรหัตผล

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ส่วนใหญ่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับการแสวงหา มีชีวิตต้องหาให้ได้มากที่สุด หนึ่งชีวิตหาได้เท่าไรก็หาให้เต็มที่ เพราะว่าความสุขคือการได้ (ครอบครอง)  เพราะคิดว่ายิ่งแสวงหา ยิ่งทำให้เรามี พอมีแล้วมันคือความสุข เพราะฉะนั้นการแสวงหาคือความสุข ถูกไหม แต่ทำไมหนอยิ่งหากลับยิ่งทุกข์ เคยคิดว่าการไม่มีคือความทุกข์ การมีคือความสุข แต่ทำไมยิ่งมีมันกลับไม่เคยสิ้นทุกข์เลย บางคนยังค้านอาจารย์จะจริงหรือ อาจารย์ถามง่ายๆ เมื่อก่อนไม่มีเงินแล้วมีสุขไหม (มี)  มีเงินแล้วสุขไหม (สุข)  มันสุกๆ ดิบๆ มันจะสุขทันทีมันก็ไม่สุข มันออกสุกๆ  ดิบๆ แล้วก็คิดว่ายิ่งมีเยอะๆ แล้วจะได้สุขเยอะๆ แล้วสุขไหม นึกว่ามันจะทำให้เราสิ้นทุกข์ มันกลับไม่สิ้นทุกข์ เคยคิดว่าการได้มีมันจะทำให้เราสุข แต่ทำไมยิ่งมีมันกลับไม่เคยสิ้นความทุกข์ ถูกไหม เราเคยคิดว่าการไม่มีอะไรเลย ไม่ได้ครอบครองอะไรเลย เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่พอเราได้ครอบครอง ได้มี ทำไมมันยิ่งเศร้า
อาจารย์ถามให้ศิษย์คิด บางทีเราคิดว่าการที่เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย รู้สึกไม่มีความสุขเลย มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นของฉัน ฉันจะมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอได้มีจริงๆ สุขหรือทุกข์ (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจใช่ไหม คิดได้คิดเป็นมันก็สุข คิดไม่เป็นมันก็ทุกข์ ที่อาจารย์ถามแบบนี้เพราะอาจารย์อยากรู้ว่าบางครั้งถึงที่สุดแล้วศิษย์จะรู้ว่าการอยู่เฉยๆ แล้วรู้จักพอ มันอาจจะสุขมากกว่าการวิ่งให้เราเหนื่อยเต็มที่ วิ่งไปแย่งกับคนอื่นเต็มที่ แล้วมันคือความสุข การอยู่เฉยๆ แล้วรู้จักพอ อยู่นิ่งๆ แล้วพอเป็นบ้าง มันอาจจะสุขกว่าการพยายามวิ่งหาแล้วมีสุขก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์มักคิดว่าการครอบครองคือการมีความสุข แต่ศิษย์เคยไหมเหนื่อยกับคน เหนื่อยกับโลก แต่พอวันหนึ่งนั่งเฉยๆ แล้วลองมองดูฟ้า ดูทะเล แล้วเรามองว่า ทะเลก็สวยดีนะ การไม่มีอะไรบ้างมันก็ดี การที่เราไม่ได้ครอบครองอะไร แต่เราได้ชื่นชมอะไรสักอย่างหนึ่งก็กลับมีความสุขไม่ใช่หรือ แต่ชีวิตมนุษย์รู้แต่เพียงว่าต้องครอบครองถึงจะมีความสุข เราลืมไปหรือเปล่าว่ามีอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่ต้องครอบครองอะไร ไม่ต้องเป็นเจ้าของอะไร แต่รู้จักชื่นชมยินดีในสิ่งที่คนอื่นเขามี เขาเป็น เราก็สุขได้ แล้วเป็นสุขที่เราก็ยินดีแล้วปลื้มปิติได้จริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ต้องมีต้องครอบครอง ต้องได้ ต้องวิ่งวุ่น เราลืมไปหรือเปล่าว่าบางทีการอยู่เฉยๆ และชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองมีว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว จะเอาอะไรนักหนาใช่ไหม (ใช่)  เราไปหาสุขตั้งไกลลืมสุขตรงนี้หรือเปล่า เรามัวแต่ทุกข์ตรงนี้แต่บางทีจริงๆ ทุกข์ตรงนี้ถ้าคิดให้ดีก็เป็นสุขได้ไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ลองแปลงสิ่งต่างๆ ที่ศิษย์ไม่เคยชื่นชมเปลี่ยนมาเป็นชื่นชม
อาจารย์ถามหน่อย ท้องฟ้า พระจันทร์ พระอาทิตย์ใครเป็นเจ้าของ (ไม่มี)  แต่ถ้าวันนี้เรารู้จักชื่นชมเราก็ได้เป็นเจ้าของฟ้าชั่วขณะหนึ่ง ต้องไปแย่งใครไหม (ไม่ต้อง)  ต้องไปขโมยไปทำบาปอะไรไหม (ไม่)  ฉะนั้นเหมือนกันถ้ามีคนหนึ่งเขาทำดี แล้วเราทำดีไม่ได้ เรารู้สึกว่าเขาสุดยอดเลย ดีจริงๆ เลย เรารู้สึกสุขไหม (สุข)  กับอีกอย่างหนึ่งเธอมันหลอกลวง เธอมันโกหก จริงๆ ไม่ดีหรอก อย่างไหนทุกข์ การคิดร้ายเป็นทุกข์ แต่การชื่นชมยินดีคือหนทางอันประเสริฐ เป็นจิตอันกุศล แต่มนุษย์กลับไม่ชอบบุญที่ทำได้ง่ายๆ แบบนี้ กลับชอบคลางแคลงใจ สงสัย จ้องจับผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมจิตที่คอยจ้องจับผิด คอยตำหนิต่อว่าคน เป็นรากเหง้าของอกุศลและบาปทั้งมวล ไม่เหมือนจิตที่ชื่นชมยินดี อนุโมทนาบุญ มันเป็นรากเหง้าของใจอันประเสริฐ เป็นบุญกุศลที่ทำได้ง่าย และเป็นความสุขที่เราสามารถหาได้ง่ายในโลกนี้ แต่มนุษย์กลับชอบหาเรื่องยากๆ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคิดร้ายมันก็มอง (ร้าย)  คิดดีมันก็มอง (ดี)  แล้วตอนนี้คิดร้ายหรือคิดดี (คิดดี)
หลายคนมักจะถามว่า “อาจารย์ เราอยู่ในโลกนี้เป็นคนดีก็พอแล้ว การเป็นคนดีก็ยากเกินไปแล้ว ยังจะต้องศึกษาอะไรเยอะแยะ จะมาฟังแล้วมาศึกษาอะไร เอาแค่เป็นคนดี ศิษย์ยังไม่รอดเลย” ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า คนดีที่พยายามทำดีแล้วสิ้นทุกข์หรือยัง (ยัง)  แล้วไหนบอกว่าเป็นคนดีพอแล้ว ที่บอกว่าเป็นคนดีแล้วนี่เอาตัวรอดหรือยัง (ยัง)  แล้วทำไมต้องศึกษาต้องมานั่งฟัง อะไรๆ ก็รู้หมดแล้ว อะไรๆ ก็ได้ยินมาหมดแล้ว แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว ก็รอดแล้ว แต่ว่าคนที่พยายามเป็นคนดีรอดหรือยัง (ยัง)  ทำดีแล้วสิ้นทุกข์หรือยัง (ยัง)  แล้วทำไมล่ะ แล้วศิษย์เคยได้ยินคำพูดพุทธะพูดคำหนึ่งไหม “ละชั่ว บำเพ็ญบุญ เข้าถึงหัวใจอันบริสุทธิ์ ฉะนั้นศิษย์แค่บอกว่าศิษย์เป็นคนดีก็พอแล้ว ศิษย์ยังได้แค่เปลือก เพราะการเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมคือหัวใจที่บริสุทธิ์ แค่ศีล สมาธิ ยังไม่ทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ จนกว่าศิษย์จะมีปัญญาเข้าถึงความบริสุทธิ์” นั่นแหละศิษย์ถึงจะสิ้นทุกข์ พ้นทุกข์ได้ ไหนศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนดี ศิษย์ก็ประเสริฐแล้ว แต่ถ้าคนดียังละชั่วไม่ได้ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  คนดียังตัดกิเลสไม่ได้ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหมดทุกข์ คนดียังมองไม่เห็นแจ้งความเป็นจริงจนแจ่มชัด ศิษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ศิษย์พอจะเข้าใจหรือยัง ทำไมจึงต้องศึกษาเพิ่ม (เข้าใจ)  เพราะว่าแค่คนดีมันไม่พอ ศิษย์อาจจะบอกอาจารย์ว่าศิษย์ก็ดีนะ และศิษย์ก็ยังมุ่งมั่นทำดี ไม่ทำชั่วแล้ว ศิษย์ว่าคนแบบนี้พ้นทุกข์ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทำไมล่ะ (หัวใจยังไม่บริสุทธิ์)  ในเมื่อชั่วเราก็ละแล้ว ดีก็พยายามเป็นคนดีแล้วนะ แต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ ศิษย์เคยเห็นคนดีมากๆ ไหม เหมือนตัวศิษย์เองเคยตั้งตัวเป็นคนดีมากๆ แล้วก็ตั้งมาตรฐานของความดี ความถูกต้องไว้ในใจ
ฉะนั้นถ้าใครผิดมาตรฐาน ใครทำอะไรไม่ถูกมาตรฐานเป็นอย่างไร ศิษย์รู้สึกว่ายังไม่ใช่ ฉันก็ดีแล้ว ชั่วฉันก็ละแล้ว ทำไมเธอยังทำอย่างนี้ ทำไมยังพูดอย่างนี้ ไม่ใช่แล้ว ศิษย์รู้ไหมเรียกว่ายังดีไม่ถึงที่สุด ถ้าศิษย์เข้าใจความหมายของความดี และเข้าไปถึงหัวใจบริสุทธิ์ ศิษย์จะไม่มีคำว่าทำไม แต่ส่วนใหญ่ เป็นคนดีจะตั้งมาตรฐานทุกคนจะต้องดีให้ได้แบบนี้ ควรจะต้องเป็นแบบนี้จึงจะเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใครผิดมาตรฐานของความดี เป็นอย่างไร โกรธ เกลียด รับไม่ได้ ด่าทอเลย อย่างนี้เรียกว่าคนดี ใช่หรือ คนดีก็ต้องเฉยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอาจารย์อยากจะบอกว่านี่แหละเหตุผลหนึ่งที่ศิษย์ต้องศึกษาเพิ่มเติม การเรียนรู้ธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว การเรียนรู้ธรรมไม่ใช่ตั้งตัวเองเป็นคนดี แล้วคอยเอาความดีไปจับผิดคนไม่ดี การเรียนรู้ธรรมไม่ใช่เข้มงวดคนอื่น ผ่อนปรนตัวเอง แต่เป็นการเข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ทำตัวให้ถูกต้อง คนอื่นเป็นอย่างไรไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราคิดแบบนี้ไหม (คิด)
ศิษย์จำไว้นะ การศึกษาบำเพ็ญธรรม เรื่องความถูกต้องเป็นเรื่องของทางโลก แต่การรักษาจิตให้เป็นปกติ เป็นเรื่องการบำรุงรักษาตัวเรา ฝึกใจเรา นี่ถึงจะถูกต้อง แต่มนุษย์ไม่ใช่  ชอบเอาความถูกต้องของตัวเองไปคอยวัดค่าตีค่าของผู้อื่น จนทำให้จิตของตัวเองผิดปกติ แล้วไม่สามารถบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีการอยู่ในโลกนี้ ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหา แค่รู้จักพูดดีๆ ต่อกัน ก็เป็นบทเพลงที่สร้างความสุขได้ แค่รู้จักปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพให้เกียรติ ก็เป็นสะพานที่เชื่อมให้กัน รู้จักกัน และอยู่ร่วมกันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เดี๋ยวนี้เราเลือกทำสิ่งใดล่ะ พูดเพราะหรือพูดกระโชกโฮกฮาก (พูดเพราะ)  บางทีเราพยายามหาเงินหาทองมากมาย แต่ถึงที่สุดศิษย์อยากได้คืออะไร ความเข้าใจกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์มีเงินมีทองมากมาย แต่ไม่มีใครเข้าใจศิษย์สักคนหนึ่ง ศิษย์มีสุขไหม (ไม่มี)  ศิษย์มีเงินมีทองตั้งมากมาย แต่ไม่มีใครให้อภัยศิษย์ ศิษย์มีสุขไหม (ไม่มี)  ศิษย์มีเงินมีทองมากมาย แต่ศิษย์ไม่รู้จักปฏิบัติดีกับคน ศิษย์จะมีสุขไหม (ไม่มี)  แล้วถึงเวลาเราเลือกปฏิบัติเช่นไร เราเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ถูกหรือเปล่า ใครเป็นอย่างไรฉันไม่สนใจ แต่ตอนนี้ฉันโมโห ถ้าตอนนี้อาจารย์เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง อาจารย์ให้ศิษย์ยืนหมดเลย ดีไหม (ดี, ไม่ดี)  มีคนตอบว่าดี แสดงว่าเขายินดียืนเป็นเพื่อนอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  ก็อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ชีวิตจะเป็นอย่างไรนั้น บางทีศิษย์มักจะบอกว่า ปัญหามันอยู่ที่คนอื่น แต่ถ้าอาจารย์ถามจริงๆ ปัญหามันอยู่ที่คนอื่น หรือปัญหามันอยู่ที่ใจของเรา (ใจของเรา)  ก็รู้นี่นะ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ถ้าใจกว้างพอ ไม่มีใครหรอกที่แล้งน้ำใจ หรือใจดำต่อเรา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจเรามีมิตรภาพ มีความร่มเย็นพอ ไม่มีใครหรอกที่จะทำร้ายจิตใจเราได้ กลัวอยู่อย่างเดียว ใจไม่กว้างพอ จึงว่าคนอื่นมีจิตใจที่คับแคบ ใจไม่ดีพอและโหดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นใครเป็นอย่างไรก็แปลว่าเราก็เป็นอย่างนั้น เคยได้ยินคำว่าผีเห็นผีไหม อาจารย์ว่าศิษย์ใจกว้าง ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็ใจกว้างใช่ไหม อาจารย์ให้ศิษย์ยืน อาจารย์ก็ใจกว้างนะ คำว่าผีเห็นผี คือการที่เราว่าคนอื่นเป็นอย่างไรก็แปลว่าใจเราก็เป็น (อย่างนั้น)  ฉะนั้นเมื่อศิษย์ว่าอาจารย์โกหก หลอกลวง ถามว่าศิษย์ไปโกหกหลอกลวงใครหรือเปล่านะ ไปว่าคนอื่นเขาเลว ไม่ดี ก็แปลว่าเราก็เคยเลว เคยไม่ดีมาก็เลยรู้ว่าแบบนี้มันเลว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าถ้าเราเข้าใจหลักธรรม เราจะอยู่กับคนได้อย่างมีความสุข โลกจะพลิกไปขนาดไหน ก็ไม่มีอะไรมาลวงให้เราหลงและเจ็บปวดได้อีกต่อไป แล้วไยมนุษย์ในโลกจึงไม่อยากเข้าใจธรรม ไม่อยากศึกษาธรรมกันเล่า
การเรียนรู้ธรรมจะทำให้เราเข้าใจความเป็นคน เข้าใจสรรพสิ่ง แล้วไม่ทำให้เราถูกหลอกลวงจนกลายเป็นทุกข์ แต่ศิษย์แม้จะพยายามศึกษาธรรมะมามาก แต่ก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้น เพราะโดยส่วนใหญ่เวลาที่เราเรียนรู้ธรรม เรามักจะเอาธรรมนั้นไปตรวจสอบ ไปวัดคน แต่เราไม่เคยเอาธรรมนั้นไปย้อนมองส่องตน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราเอาธรรมนั้นมาย้อนมองส่องตน ศิษย์จะได้รู้อย่างหนึ่งว่าคนเรามีอะไรเหมือนๆ กัน ถ้าเราเข้าใจความเป็นคน เราจะเข้าใจความเป็นธรรมดาของคน ในชั้นนี้มีใครชอบโดนด่า มีใครชอบเป็นผู้แพ้บ้าง ยกมือขึ้น (มีนักเรียนในชั้นยกมือ)  แน่ใจหรือ อย่างนั้นห้ามซื้อลอตเตอรี่ ห้ามเล่นชนวัว ห้ามเล่นแข่งนก หรือแข่งอะไรนะ
โดยส่วนใหญ่ ไม่มีใครชอบเป็นคนผิด ไม่มีใครชอบโดนว่า ไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรารู้แบบนี้เราจะว่าใครไหม (ไม่ว่า)  เราจะทำให้ใครเป็นคนขี้แพ้ไหม (ไม่)  เราจะตำหนิต่อว่าใครให้เสียๆ หายๆ ไหม (ไม่)  แล้วเรารู้ไหม (รู้)  ฉะนั้นถ้าเรารู้อยู่แก่ใจ เราจะทำสิ่งนั้นกับผู้อื่นไหม เราจะว่าใครให้เจ็บปวดไหม (ไม่)  เราจะใส่ความให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนผิดไหม (ไม่)  อาจารย์ถามหน่อย แล้วเวลาเราเป็นคนผิด เราโดนคนว่า เราอยากได้คนซ้ำเติม หรืออยากได้คนเห็นใจ (เห็นใจ)  เราอยากให้คนให้อภัย หรืออยากให้คนด่าเราอีก (ให้อภัย)  แล้วถึงเวลาเขาผิดเราด่าเขาอีก หรือเราให้อภัย (ให้อภัย) 
ถ้าศิษย์เข้าใจพื้นฐานของความเป็นคน เราจะไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาของผู้คนหรือ จริงไหม (จริง)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์สลัดการจ้องจับผิดผู้คนได้ เมื่อนั้นมนุษย์ก็สามารถตัดทางมาแห่งบาปทั้งมวลได้ด้วยใจเราเอง แล้วตอนนั้นใจเราจะไม่บริสุทธิ์หรือ ใจเราจะไม่กว้างหรือ ใจเราจะไม่เย็นหรือ ในเมื่อในโลกนี้เราไม่คิดว่าใคร เราไม่คิดเหยียบย่ำทำร้ายใคร และเราไม่ผลักดันให้ใครเป็นคนแพ้แล้วตัวเองชนะ ไม่ทำให้ใครเสียหาย จริงไหม แล้วเราทำเช่นนั้นไหม (ไม่ทำ)  บางคนคิดว่าก็ง่ายหรอกที่อาจารย์ว่า “ศิษย์ไม่ทำเขาก็ได้ แต่เวลาเขามาว่าศิษย์ล่ะ เขามาด่าศิษย์ล่ะ ศิษย์จะทำอย่างไรดีอาจารย์” ทำอย่างไรดี (เฉย)  ถ้าเขาด่าเราว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า (เฉย)  จริงหรือ โดยส่วนใหญ่ก็พูดง่ายนะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ทำง่ายไหม เขายังไม่ได้ด่าเราคำที่สอง แต่คำแรกเราก็ด่ากลับไปแล้วใช่ไหมถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย เราอยู่ในโลก อย่าทำเวรให้ยืดเยื้อ อย่าทำเรื่องสั้นให้เป็นเรื่องยาว แต่ถ้าใครร้ายมาเราร้ายกลับ ใครด่ามาเราก็ด่ากลับ ใครแรงมาเราก็แรงกลับ นี่แหละอาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดี แต่บาปละไม่ได้ กิเลสลดไม่ได้ คนดีจึงไม่สิ้นทุกข์สักที ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร ถ้าไม่อยากทำเวรให้ยืดเยื้อ ศิษย์ก็ต้องทำใจเย็นเสีย ต้องรู้จักนิ่ง ขอเพียงมีเมตตาต่อกันเพียงนิด ช่วยบ่มเพาะคุณธรรมในจิตใจ ช่วยสร้างสมบารมีให้กับชะตาชีวิต ถ้าเรามีเมตตาต่อกัน แต่ถึงเวลาเราเลือกไหม  เอาอารมณ์ก่อน ศิษย์เคยได้ยินไหม ถ้าเรารู้จักอดทนอดกลั้นเพียงนิด ความอดทนอดกลั้นเป็นเนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่ และเป็นรากเหง้าของคุณธรรมทั้งปวง  ถ้าเกิดเป็นคนไม่มีเมตตาต่อกัน คุณธรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถบังเกิดได้ รู้แบบนี้ยังอดใจได้ไหม มันก็ไม่ได้ ก็เขาด่าผม เขาเป็นชู้ เอาของเราไป แล้วเราทำใจอย่างไร
ศิษย์เคยได้ยินไหม มนุษย์เราเมื่อเจอเรื่องใดก็ตาม เรามักจะมองผ่านความคิด มองผ่านใจ มองผ่านสติปัญญา หรือมองอย่างคนที่ใช้คุณธรรม (ใช้สติ) สติเตลิดปัญญาไม่มา ใช่ไหม แล้วสติมาหรือเปล่า ส่วนใหญ่เราจะมองผ่านความคิด และมองผ่านใจที่รู้สึก แล้วค่อยมาที่สติค่อยมาที่คุณธรรม ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์บอกไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์ เวลาที่เราโมโห เราใช้ความคิด ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งราดน้ำมันลงในกองเพลิง มันยิ่งลุก ทำไมจึงด่าผม ทำไมทำอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องอะไร เราควรใช้ความคิด, ใช้ใจ, ใช้สติหรือควรใช้คุณธรรม (คุณธรรม, ใจเย็นๆ)  หลายคนบอกว่าสติ  ศิษย์รู้ไหมว่า สติเป็นคุณธรรมอันหนึ่งและเป็นรากฐานของธรรมทั้งมวล สติไม่ใช่แปลว่าคิดออก แต่สติ แปลว่า คุณธรรมที่คอยยับยั้งให้เราระลึกรู้ในสิ่งที่ตัวเองกระทำ และแปรเปลี่ยนอารมณ์ให้กลายเป็นกลางและดับสลายลงในที่สุด แต่มนุษย์มักไม่ใช้สติ ทำอะไรชอบใช้ความคิด ใช้ใจ ซึ่งความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามกิเลส อารมณ์ที่ปรุงแต่งถูกไหม (ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)
ถ้าสมมติว่ามีคนมาว่า “ไอ้โง่”  เราใช้ความคิดหรือเราใช้สติ (ใช้สติ,ใช้ความคิดก่อนแล้วใช้สติยับยั้ง)  คิดจนฟุ้งแล้วค่อยใช้สติยับยั้งได้จริงๆ หรือ (พอเรามีสติแล้วเราก็จะแก้ปัญหาได้หมดทุกอย่าง)
(พระอาจารย์เมตตาใช้ด้ามพัดตีหัวหน้าชั้น)
ถ้าอาจารย์ตีศิษย์ จะใช้ความคิด ใช้สติหรือใช้อารมณ์ดี (ใช้สติ)  หลังจากที่ใช้สติแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะปลดเปลื้องทุกข์ได้ สติคอยยับยั้งให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริง แต่ทำอย่างไรในเมื่อสติกับความคิดมันชอบดึงกันคนละข้างใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าในตัวเรานั้นมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือหัวใจอันบริสุทธิ์ แต่หัวใจอันนี้มักจะถูกแปดเปื้อนไปเพราะความอยาก พออยากก็เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวก็ใจไม่เที่ยง พอใจไม่เที่ยงก็ง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามกิเลสครอบงำ เมื่อใจไม่เที่ยง การกระทำจะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  การกระทำไม่เที่ยงแล้วชีวิตนี้จะเป็นสุขไหม (ไม่สุข)  แล้วอะไรที่จะช่วยทัดทานพอที่จะให้เรามีสติและหัวใจกลับคืนมาสู่ความบริสุทธิ์ (ลองมองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ)  โดนตีก็เป็น (ธรรมชาติ)  โดนด่าไอ้ควายก็เป็นอะไร (ยิ้มครับยิ้ม ไอ้ควายก็ยิ้ม ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็คือเป็นการสมมติทั้งนั้นจริงๆ  ตัวตนก็ไม่ใช่ชองเรา)  สิ่งหนึ่งที่อาจารย์จะย้อนให้ศิษย์กลับมาคิดได้ก็คือ พิจารณาให้ถึงธรรม แล้วธรรมนั้นจะทำให้เรากลับสู่ความปกติอันบริสุทธิ์ จริงไหม (จริง)  มีสติแล้วพิจารณาให้ถึงธรรมอยู่เนืองๆ แล้วธรรมอะไรที่จะทำให้เราพิจารณาเนืองๆ แล้วใจเรากลับมาเป็นปกติและรับความเป็นธรรมดาในโลกได้ (สังคหวัตถุ 4  อิทธิบาท 4  งานก็จะสำเร็จและสิ่งที่เป็นปัญหาก็จะสะท้อนกลับก็จะสบาย)  ศิษย์เอย อาจารย์จะบอกให้นะ ง่ายๆ ถ้าโดนกระทบ ถ้าคิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ตกนรก  แต่ถ้าพ้นจากความคิด นั่นแหละเรียกสงบเย็น พ้นจากความคิดไม่คิดอะไรเลย ที่ศิษย์ตอบอาจารย์ว่า วางเฉย แต่มนุษย์เราอดไม่ได้ที่จะต้องคิด โดนกี่ครั้งก็ต้องคิด ไม่โดนก็คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสติจึงเป็นรากฐานแห่งธรรม แต่หลังจากที่เรามีสติแล้ว เราต้องหมั่นพิจารณาธรรมอะไร ที่จะทำให้เรามาสู่ความเป็นปกติ ความเป็นกลางไม่สร้างบาป ไม่สร้างกรรม ศิษย์เคยได้ยินประโยคหนึ่งไหมว่า สิ่งใดที่เราไปยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่มีทุกข์ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก สิ่งใดที่มนุษย์เข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก เมื่อใดที่จิตคิดไปยึดมั่นสิ่งใด จิตย่อมสร้างวิบากกรรมให้ตัวตนต้องไปแบกรับเสมอ ฉะนั้นถ้าไม่ยึดมั่นอะไรในโลกเลย เราจะทุกข์ไหม  แต่จะทำอย่างไรดีล่ะอาจารย์ อันนี้ก็ยึด  อันนี้ก็ยาก อันนี้ก็ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่เราต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวด ต้องท้อ เพราะอะไร เพราะเรายึดทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่พึ่งที่ดีที่สุดของจิตใจ ที่พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์อยากหาที่พึ่งให้กับใจ ความไม่กังวล ความไม่ยึดมั่น คือที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลกใบนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบหาที่พึ่งหาใครสักคนหนึ่งเป็นที่พึ่ง ช่วยให้ฉันได้อบอุ่นใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เมื่อยึดสิ่งใดแล้ว มีสิ่งใดบ้างที่ยึดแล้วไม่ทุกข์ มีใครบ้างที่เราห่วงหาอาทร มีแล้วไม่เจ็บปวด มีไหม (ไม่มี)  แม้กระทั่งยึดมั่นถือมั่นในตัวเองก็ยังเจ็บ ยังทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมอะไรล่ะ ที่จะทำให้เราปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่น แล้วมองเห็นโลกอย่างแจ่มชัด ไม่ถูกหลอกลวงอีกต่อไป (ปล่อยวาง) 
ศิษย์หลายคนมักจะตอบอาจารย์ว่า “อาจารย์ก็ปล่อยมันไปเลยสิ ห่วงมากก็ทุกข์มาก ศิษย์ไม่เอาแล้ว จะได้จบไปเลย” สองวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ศิษย์ต้องได้ธรรมที่กลับไปแล้วทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ไม่มากก็น้อย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไม่มากก็น้อย พิจารณาบ่อยๆ พิจารณาอยู่เนืองๆ แล้วมันจะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์และปลงได้ แล้วก้าวข้ามวัฏสงสารได้ ไม่ต้องสร้างเวรสร้างกรรมอีก คิดได้ไหม ตอบได้ไหม ตอบผิดอาจารย์ขอแอปเปิลคืนนะ (ได้ครับ เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา แล้วนำความรู้หลักธรรมที่ได้จากพระอาจารย์นี้มาวิเคราะห์ แล้วเราก็สามารถที่จะทำใจให้ว่าง แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุข)  ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์เพิ่งเคยได้ยิน ถามเองตอบเอง ถามว่าถูกไหม ถูกสิอาจารย์ นี่ล่ะนะ ความเป็นคนไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด มันยังไม่เป็นกลางพอนะ อะไรล่ะที่มันเป็นกลางที่ทุกคนสามารถเอาไปใช้ได้ แล้วเมื่อพิจารณาเนืองๆ แล้วเราจะมองเห็นความเป็นจริงของโลก แล้วปลดปลงโลกได้อย่างแท้จริง ใครชมเรา เราก็ไม่เหลิง ใครด่าเรา เราก็ไม่ทุกข์ (การไม่ยึดติด)  การไม่ยึดติด ใช่ไหม ทำอย่างไรล่ะ เมื่อเวลาเห็นใครดี เราก็อยากจะอยู่ใกล้เขา เห็นใครไม่ดี เราก็อยากจะเขี่ยไปไกลๆ (ไม่ยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา เราก็ไม่เป็นทุกข์)  ความไม่ยึดติดใช่ไหม ทำอย่างไรเราถึงจะเห็นชัดจนไม่ยึดติดล่ะ ความไม่ยึดติดเริ่มจากที่เราต้องเห็นชัดก่อน ถูกไหม (ความเป็นธรรมชาติ)  อันนั้นแหละที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึง แล้วศิษย์จะไม่ยึดติดมันเลย คืออะไร (ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ทำได้จริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้นตอบอาจารย์ แต่ห้ามเอาแอปเปิลนะ
(สัจธรรม)  สัจธรรมเกี่ยวกับเรื่องอะไร (ทำให้เราเข้าใจชีวิต)  สัจธรรมทำให้เราเข้าใจชีวิต สัจธรรมอะไรหรือ วันนี้ศิษย์มานั่งฟังตั้งนาน ศิษย์ได้ธรรมะอะไรที่ทำให้ศิษย์ปลดปลงและไม่ทุกข์ แล้วเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ ถ้าศิษย์ตอบอาจารย์ได้ อาจารย์ก็ไม่ต้องมาแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังตอบไม่ได้สงสัยอาจารย์ก็ต้องมาบ่อยๆ นะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วมันคืออะไรล่ะ ตอบได้ไหม วันนี้มาก็ให้ถึงธรรม ให้ได้ธรรมสักหน่อยสิ แล้วธรรมอะไรที่ช่วยให้เราไม่โกรธได้ ไม่หลงได้ ไม่โลภได้ ว่าไงนะ (อนุตตรธรรม)  อนุตตรธรรมเป็นชื่อที่เอาไว้เรียกสำหรับนามคำว่าธรรมแค่นั้น แต่หลักธรรมที่จะนำไปปฏิบัติคืออะไร ตอบได้ไหม ศิษย์เอ๋ยศึกษาธรรมตั้งเยอะ แต่ทำไมไปไม่ถึงธรรม ไม่เห็นธรรมสักที เราควรเอาธรรมหรือเอาแค่ความดี
(ความเมตตา)  ความเมตตาคือคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกัน ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความสุข สามัคคี และความดีงาม เราต้องปฏิบัติด้วยการเริ่มจากเมตตาเป็นพื้นฐาน แต่จะทำให้เราสามารถปลดปลงและมองโลกอย่างแจ่มชัดเจนอะไรมาลวงให้เราทุกข์ไม่ได้อีกนั่นแหละ ศิษย์ต้องหาให้เจอ (ทำใจให้บริสุทธิ์)  ทำใจให้บริสุทธิ์แล้วใจมันบริสุทธิ์ไหมหนอ ในเมื่อยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่นะ ถ้าอย่างนั้นคนบริสุทธิ์เอาแอปเปิลไหม (เอาค่ะ อยากได้จากอาจารย์)  ความอยากนิดหนึ่งก็เป็นกิเลสนะ เข้าใจไหม (การไร้อัตตาตัวตน)  ทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือ มนุษย์เรายังอดติดอยู่ในรูปนามไม่ได้ ทำอย่างไรเราถึงจะสามารถมีเหมือนไม่มี เห็นแล้วเหมือนไม่เห็น (ทำจิตใจให้มีคุณธรรม)  ทำจิตใจให้มีคุณธรรมหรือ การทำตัวเองให้มีคุณธรรมคือการประพฤติปฏิบัติเพื่อไม่ให้ใจเราใฝ่ไปทางชั่ว เราจึงต้องพยายามทำดีเข้าใว้ เพราะว่าถ้าเราไม่ทำดี ไม่ใฝ่ดี ใจมันง่ายจะไหลลงต่ำไปคิดชั่ว ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นต้องแยกให้ออกนะ (ใครว่าก็ทำเฉย ใครชมก็เฉย)  ใครว่าก็ทำเฉย ใครชมก็เฉย จริงนะ ไม่แอบยิ้มแน่นะ (เมื่อทุกคนมีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม คิดดี พูดดี ทำดี แล้วจะมีใครมากล่าวมาว่าเราด้วยคำที่หยาบคาย)  ให้คิดดีเข้าไว้ ใครจะมาว่าร้ายอย่างไรก็ให้อภัยใช่ไหม แต่แปลกนะถ้ามุ่งมั่นในความดี ทำไมจึงหวั่นไหวง่ายเวลาโดนคนว่า
วันนี้ศิษย์อย่าเพิ่งรำคาญอาจารย์นะ อาจารย์ขอให้ศิษย์ตอบก่อน เพราะถ้าอาจารย์ตอบก่อน อาจารย์ก็ได้ ศิษย์ก็ไม่เคยได้สักที จริงไหม อาจารย์อยากจะเค้นให้ถึงที่สุด ให้ศิษย์ตอบได้เอง แล้วมันจะเกิดจากความรู้แจ้งเองในตัวเรา (ต้องเตือนตัวเองว่าทุกคนเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วก็ทุกข์ขัง อนัตตา คือความว่างเปล่า ปล่อยวางทุกอย่าง)  ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าจากรูปนามที่แท้จริง เราจะดีใจเมื่อได้อะไรมาไหม เราจะเสียใจเมื่อเราสูญเสียอะไรไหม (ไม่เสียใจ)  เพราะอะไรล่ะ เพราะเราพิจารณาบ่อยๆ ว่าโลกนี้มันไม่ (เที่ยง)  เป็น (ทุกข์)  แล้วถึงที่สุดก็ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราพิจารณาบ่อยๆ  มันยิ่งกว่าปลดปลง ยิ่งกว่าปล่อยวาง แล้วเราจะโกรธใครไหม รักใครไหม ทำไมล่ะ เพราะว่ามันไม่เที่ยง  ฉะนั้นวันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาไม่รักเรา ก็คิดว่ามันไม่เที่ยง วันนี้เขาชมเรา พรุ่งนี้เขาด่า เราจะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  วันนี้เราได้พรุ่งนี้เราเสีย เราจะเสียใจไหม (ไม่)  ถ้าเราคิดแบบนี้อยู่เนืองๆ พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ เราจะปลดปลง ปล่อยวางได้ไหม เราจะยึดติดอะไรไหม ถ้ายึดติดแสดงว่าศิษย์ยังอยากมีความทุกข์ ยังอยากไม่สิ้นทุกข์ เพราะโลกนี้มันไม่เที่ยง
ฉะนั้นคาถาที่อยากให้ศิษย์เอาไปใช้ เวลาอยู่ในโลกนี้คือ “ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง” วันนี้ศิษย์เห็นอาจารย์ อีกสิบนาที ยี่สิบนาที ศิษย์จะเห็นอาจารย์ไหม (ไม่เห็น)  วันนี้อาจารย์เห็นศิษย์ อีกสักชั่วโมง สองชั่วโมงจะเห็นศิษย์ไหม (ไม่เห็น)  วันนี้ศิษย์เห็นสามี พรุ่งนี้ศิษย์จะเห็นเขาอีกไหม (ไม่แน่)  ถูกไหม วันนี้ศิษย์ว่าศิษย์ได้แต่อีกกี่นาทีอาจจะไม่ได้ ถูกหรือไม่ ถ้าศิษย์พิจารณาเรื่อยๆ มองธรรมะอันนี้เรื่อยๆ ศิษย์จะทุกข์กับอะไร
ฉะนั้นพระพุทธะได้กล่าวประโยคหนึ่งว่า “ที่ใดที่มีความเกิด ที่นั้นย่อมมีความดับ เป็นธรรมดาแล” แล้วเราจะไปดับอะไร ในเมื่อทุกสิ่งมันก็ต้องดับอยู่แล้ว  ศิษย์จะพยายามไปปล่อยมันทำไม ถึงเวลามันก็ต้องปล่อย จะไปเกลียดเขาทำไม เพราะถึงเวลามันก็ต้อง (ไป)  ใช่ไหม  ถ้ามนุษย์กลับสู่ความเป็นธรรม อะไรมันจะทำให้เราหลง ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “เมื่อใดที่ศิษย์สามารถวางจิตให้ตรงเที่ยงต่อสัจธรรม เมื่อนั้นดีร้ายได้เสียไม่มีในโลก บาปกรรมไม่ก่อเกิดอีกแล้วศิษย์ก็จะสามารถมีแต่ความเป็นกลาง กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์สิ้นบาปกรรม เมื่อยามมีชีวิตอยู่ได้ในทันที” ก็ในเมื่ออะไรดีที่สุดละ คนนี้ดี ก็มีคนที่ชั่ว คนนี้แย่ก็ยังมีคนที่ (แย่กว่า)  แล้วคนที่แย่กว่าก็ยังมีคนที่ (แย่กว่าอีก)  ใครแย่สุด ศิษย์บอกว่าศิษย์สูญเสีย ใครสูญเสียสุด (ไม่มี)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถดำรงจิตให้ตรงเที่ยงต่อความเป็นจริงต่อหลักสัจธรรม เมื่อนั้นบาปกรรมศิษย์จะสิ้นสุดได้ในชาตินี้ ศิษย์จะมีแต่ชีวิตที่ใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ศิษย์ไม่สร้าง เพราะอะไรที่ทำให้หลง ให้เกลียด ไม่มี เพราะศิษย์พิจารณาอยู่เนืองๆ ในความเป็นจริงว่า โลกไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น แม้ตัวเองก็ยังยึดไม่ได้ หน้าตาตัวเองคือหน้าตานี้ไหม เปลี่ยนไหม และถึงที่สุดก็ดับ แก่ เจ็บ แล้วกลัวไหม (ไม่กลัว)  จำไว้นะศิษย์ เกิดแล้วไม่ตายทรมานจริงๆ เกิดแล้วไม่เจ็บก็ทรมาน แต่เกิดแล้วได้เจ็บ ได้แก่ ได้ตาย นั่นคือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แต่มนุษย์กลับไม่ยอมรับธรรม กลับเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ ศิษย์ต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดใครที่ทุกข์ (ตัวเรา)  เพราะเราไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นธรรมที่แท้จริงจึงมีแค่เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เท่านี้เรียกว่าธรรม แต่หลังจากนี้ถ้าเอามาคิด กลายเป็นกิเลส เป็นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทั้งมวลสิ้น สิ่งใดที่เกิดเรียกว่าธรรม แต่เรายอมรับธรรมตรงนี้ไหม เมื่อเราไม่ยอมรับธรรม เราก็เลยก่อเกิดเป็นกิเลส ความคิด ความชอบ ความชังที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว แต่เมื่อไรเราจบแค่ตรงนี้ เขามาอย่างนี้ ก็อย่างนี้ ก็แค่นี้ ก็จบก็เท่านี้ กรรมสิ้น แต่มนุษย์ไม่ใช่ เขามาแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เกิดกรรมต่อที่เรียกว่าวิบากกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นหลักธรรมที่เป็นกลาง ไม่ได้ให้ศิษย์มาเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้เป็นลัทธิอะไร แต่เป็นธรรมที่ศึกษาเพื่อนำพาให้เรากลับคืนสู่ความจริงแท้ที่เรียกว่าหัวใจอันบริสุทธิ์ มนุษย์ทุกคนอยู่ในโลก มีทุกข์มากแล้ว เมื่อเรามีทุกข์ ใครล่ะจะปลดเปลื้องทุกข์จากใจเราได้ (ตัวเราเอง)  ศิษย์มักจะพูดว่าตัวเราเอง แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ตัวเองปลดทุกข์ รู้จักมีปัญญา มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดเรื่องหลักธรรมเพื่อนำพาไปใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อนำพาให้มองเห็นชีวิตชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะธรรมคือรากฐานของความเป็นจริงที่เราต้องเจอในชีวิต ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจอทุกข์ การพิจารณาธรรมเนืองๆ จะช่วยให้เราปลดทุกข์ในใจได้ แล้วพอจำได้ไหม ธรรมที่อาจารย์บอกให้พิจารณาเนืองๆ คือ อาจารย์พูดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ศิษย์ต้องรู้ให้หมด อย่าบอกว่าว่างเปล่า ถ้าศิษย์คิดว่าว่างเปล่า ศิษย์ก็ไปทำเลวทำร้ายได้ ใช่ไหม ไหนใครเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีบาปไม่มีกรรม เชื่อเรื่องบุญบาป ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อไหม (เชื่อ)
ในโลกนี้มีทุกข์อยู่สองอย่าง หนึ่งคือทุกข์แห่งความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก สองคือทุกข์แห่งกรรมที่ศิษย์ไปก่อไว้ ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกไม่โดนใครเบียดเบียน ไม่โดนใครทำร้าย ศิษย์ก็อย่าไป (เบียดเบียน)  ถูกไหม ถ้าเราไม่อยากโดนใครเบียดเบียน เราก็อย่าไปเบียดเบียนเขา ถ้าเราอยากมีของรักแล้วของรักอยู่กับเราไม่หายไป เราก็อย่าไปอยากได้ของรักของ (คนอื่น)  แล้วเราอยากได้ของรักของคนอื่นไหม (ไม่อยาก)  แปลว่าศิษย์ไม่เคยอยากได้เงินของใครเลย ใช่ไหม (ใช่) 
ทำไมเรารักษาเงินแล้วเงินถึงไม่เคยอยู่กับเรา เพราะศิษย์มักอยากจะได้เงินของคนอื่นมาเป็นของเราแล้ว เรียกว่า ความสุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีเงินแล้วอย่าอยากได้ของใครมาเป็นของเรา แต่จงคิดว่าทุกครั้งที่เราทำอะไรเพราะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา ไม่ว่าค้าขาย ไม่ว่าทำงาน จงแปรบาปให้เป็นบุญ แปรกิเลสให้เป็นกุศล ได้หรือไม่ (ได้)  ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)
ส่วนใหญ่มนุษย์เรามีทุกข์นะ ทุกข์อะไรบ้าง (ความเจ็บไข้ไม่สบาย)  ทุกข์จากการเจ็บไข้ไม่สบาย เป็นความเป็นจริงที่เป็นทุกข์ แล้วแต่มันเป็นธรรมดาหรือไม่ ฉะนั้นเวลาเราเจ็บป่วยมาเป็นธรรมดาหรือทุกข์ (ธรรมดา)  ศิษย์มักจะเป็นทุกข์จากความเจ็บป่วย เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ฉะนั้นเมื่อเวลาความเจ็บป่วยมาเราควรทุกข์หรือมองมันเป็นธรรมดา (ธรรมดา)  รู้อยู่แก่ใจว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครไม่แก่ ไม่มีใครไม่เจ็บ ไม่มีใครไม่ตาย ฉะนั้นเวลาเราเจ็บเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์จำที่อาจารย์พูดได้หรือไม่ เมื่อใดที่ศิษย์ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีที่จะไม่ทุกข์ ไม่มีที่จะไม่ให้โทษ ไม่มีในโลกนี้ใช่ไหม (ใช่)  ยึดเมื่อไรต้องทุกข์เมื่อนั้น แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงว่า การเจ็บมันทำให้เรา (ทุกข์)  ศิษย์เอ๋ย อาจารย์บอกว่าให้พิจารณาจนเห็นธรรม ไม่เที่ยง เห็นทุกข์ถึงที่สุด ว่างเปล่าจากตัวตน ทำไมก้าวไม่ข้าม แล้วจะจมกับความทุกข์ ความเจ็บ จมกับความปวด โง่ไม่โง่ (โง่)
อาจารย์ถามหน่อย เกิดมาไม่เจ็บเลย อยู่ยันค้ำฟ้า ทรมานไหม (ทรมาน)  เจ็บหน่อยก็ดีนะ เขาตายกันหมด เหลือศิษย์อยู่คนเดียวเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ชอบบ่นว่าเงินก็ไม่มี ตาก็มองไม่เห็น หูก็ตึง อะไรก็ ยา ยา ยา ยา วันหนึ่งศิษย์จะบอกว่าอาจารย์เจ็บเถอะ ตายเถอะ ฉะนั้นความเป็นจริงแห่งธรรม สอนเพื่อให้เราปลดปลง ไม่ยึดมั่น สอนให้เรามีปัญญา และก้าวข้ามความทุกข์ แล้วนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำให้เราซ้ำเติมกับความทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  เรามีกรรมแค่สังขาร แต่เราไม่มีกรรมที่ใจ สังขารเราหนีไม่พ้นกรรมที่มันเป็นไปตามธรรมดาหรือธรรมชาติ ศิษย์เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่หัวใจเราสู้ไหว “สู้โว้ย” แต่หลายคนพอเจ็บป่วย รู้ว่าตัวเองจะตายแล้วเป็นอย่างไร จะตายแล้วอาจารย์ ไม่ไหวแล้ว มันยังไม่ตายเลยแต่ใจตายก่อนแล้ว ตายเพราะอะไร ตายเพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความทุกข์ ต้องยอมรับว่ามันเป็นแค่ทุกข์ของกาย ไม่ใช่ทุกข์ของใจ มันเป็นธรรมดาของโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ เวลาศิษย์โดนด่า ทำใจได้ไหม (ได้)  อาจารย์ไม่เคยเห็นใครทำได้จริงๆ โดนด่าทีไรใจมันก็คิดอยู่นั่นแหละ จมอยู่กับความคิดว่า ทำไมต้องด่าศิษย์ ดีกว่าศิษย์นักหนาหรือฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ลองให้เห็นชัดในสิ่งที่เขาด่า เราเอาแต่ความคิดเราเป็นหลัก เราชอบมองอะไรตามเหตุผล มนุษย์ชอบมีเหตุผล แล้วเหตุผลนั้นก็ต้องยืนอยู่บนความคิดของตัวเองที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง เมื่อใดที่เหตุผลนั้นไม่ถูกต้องตรงกับความคิดของตัวเองมันไม่ใช่ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย มีใครไม่โดนด่าในโลก (ไม่มี)  แล้วเวลาเราโดนด่าทำไมเราทำใจไม่ได้ เพราะเรามักจะมองตัวเองเป็นหลัก แล้วก็ชอบบอกว่ามันไม่มีเหตุผล เขาด่าไม่มีเหตุผล โลกแห่งเหตุผล อะไรคือที่สิ้นสุดของความจริง เหตุผลคือที่สิ้นสุดของความจริงไหม (ไม่)  ศิษย์ตัดสินว่าเขาถูก ศิษย์ตัดสินว่าเขาผิด ถึงที่สุดเขาผิดจริงไหม เขาถูกจริงไหม ฉะนั้นเหตุผลคือที่สุดของความจริงไหม (ไม่)  อย่างนั้นความคิดของเราคือที่สุดของความจริงใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วอะไรคือที่สุดของความจริง มันไม่มีอะไรแน่แท้ เผลอยึดเมื่อใดก็ทุกข์เมื่อนั้น เผลอยึดเมื่อใดก็สร้างวิบากกรรมให้เราต้องไปตามแก้เมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พอโดนเขาด่าก็ต้องหาวิบากกรรม ทำอย่างไรให้ฉันสบายใจดี ทำอย่างไรให้ฉันมีความสุขดี ไปไกลๆ มันดีกว่า ไม่ชอบขี้หน้า ด่ามันเลย นี้คือการสร้างวิบากกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองความเป็นจริง เราเข้าใจเราปลดปลง เราวางได้มันจบไหม (จบ)  สงบไหม (สงบ)  วางไหม(วาง)  หยุดไหม (หยุด) 
ฉะนั้นถ้าเรามีสติพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ มีหรือจะไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก มีหรือจะปลดเปลื้องทุกข์ในใจไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่กลัวอย่างเดียวคือคิดไม่ทัน อารมณ์มันไปก่อน ใช่ไหม (ใช่)  นั่นล่ะที่อาจารย์กังวลแล้วเป็นห่วงที่สุด ฟังอาจารย์แบบนี้ง่ายไหม (ง่าย)  แล้วจำได้ไหม (ได้)  ใจศิษย์มักจะบอกว่ามันยากนะ อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์ไม่รู้สึกไม่รู้สา แต่บางครั้งความรู้สึกมันก็ยังไม่เที่ยง จริงไหม (จริง)  วันนี้รู้สึกดี พรุ่งนี้ก็ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ฟังอาจารย์มาเรื่อยๆ ใครสามารถตอบคำถามอาจารย์ได้อย่างหนึ่งว่า ปัญหาทุกปัญหาควรแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา)  เขาเป็นปัญหาหรือเราเป็นปัญหา (เรา)  ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ยกตัวอย่าง เหล้าบุหรี่ ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ทำไมไม่ดี (ทำให้เสียสติ)  อาจารย์ถามฝ่ายชายผู้หญิงดีหรือไม่ดี (ดี)  อาจารย์ถามฝ่ายหญิงผู้ชายดีหรือไม่ดี (ดี)  ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ทุกข์ อะไรๆ ศิษย์ก็มั่นใจไม่ได้หรอกนะ ว่ามันดีหรือไม่ดี มองเขาว่าดีถึงเวลาเขาไม่ดีก็รับไม่ได้ มองเขาไม่ดีถึงเวลาเขาดีก็ใจหาย มันดีได้ขนาดนั้นเลยหรือ ฉะนั้นดีไม่ดีไม่สามารถสรุปได้ จะสรุปได้ก็ต่อเมื่อถามใจศิษย์เอง ถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์จะรู้ว่าเหล้า บุหรี่ ผู้หญิง ผู้ชาย ดีไม่ดีไม่มีทางรู้ จนกว่าสิ่งนั้นมันจะมากระทบใจ  ถ้ามันมากระทบใจ ใจศิษย์ไม่มีเหล้า ไม่มีบุหรี่ มันจะทำร้ายศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์จะเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  ศิษย์เปรี้ยวปากเพราะมันมีเหล้า มีบุหรี่ ใช่ไหมแต่คนที่ไม่กินเหล้าหรือสูบบุหรี่ มันจะทำร้ายเราได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์ไม่มีผู้ชายอยู่ในใจ เขาจะมาทำร้ายศิษย์ได้ไหม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด สิ่งใดจะทำให้เราทุกข์ใจล่ะศิษย์ ใช่ไหม วันนี้เปลี่ยนจากฟังธรรมอาจารย์มากๆ แล้ว ลองมาพูดให้อาจารย์ฟังได้ไหม (ได้)  แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรล่ะ ที่จะทำให้เราเรียกว่าฝึกฝนแล้วเข้าสู่สภาวธรรม ไม่ทำให้เราประพฤติผิด ประพฤติชั่ว
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแต่ละแถวร่วมกันแต่งประโยคธรรม)
(เมตตาธรรมค้ำจุนโลก, ทำใจให้เป็นกลาง, สติมาปัญญาเกิด, แต่ก่อนไม่รู้มุ่งสู่ธรรมะ, เรียนรู้ไร้ตัวตน)  ศิษย์เอ๋ย ภาวะไร้ตัวตนก็มีอยู่แล้ว แต่เราลืมเลือนมันไปแค่นั้นเอง ความไร้ตัวตนมันมีอยู่เดิมแล้ว เหมือนธรรมมีอยู่เดิมแล้ว แต่เราไม่เคยพิจารณาจนเข้าถึงธรรม เราเอาแต่มองออก แต่เราไม่เคยย้อนมองเข้า ในความเป็นจริง เรามองแต่หา จนลืมไปว่าบางครั้ง การหยุดหาก็คือความสุข การรู้พอ ก็คือความสุข การสงบเย็นก็คือความสุข สงบเย็นแปลว่าจบทุกเรื่องราว ถ้าไม่ยอมจบมันก็ไม่มีความสงบ (พูดดี ทำดี มีเมตตากรุณาปรานี)  ทำให้ได้อย่างนั้น พูดให้ดีเข้าไว้ นึกถึงความเมตตาเข้าไว้ ให้เรามีเมตตาอยู่ตลอด เราจะไม่พูดร้าย ถ้าเรามีใจปรานีตลอด เราจะไม่ทำร้ายใคร (สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ)  เคยเห็นสวรรค์นรกทันทีไหม เคยเจอทันทีไหม (เจอประจำ)  สวรรค์ในอก นรกในใจ (ก้าวข้ามความทุกข์ใจ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่ว่าเกิดขึ้นเองหรือว่าเกิดจากตัวเราหรือความทุกข์ที่จากธรรมชาติเกิดขึ้นต้องก้าวผ่านไปให้ได้)  ถ้ามันเป็นกรรมก็แค่ยอมรับความจริง (ไม่ว่าอะไรก็ไม่เที่ยงกับตัวเรา)  คิดให้ได้อย่างนั้นตลอด (ธรรมะคือธรรมชาติ)  ธรรมะคือธรรมชาติแห่งความจริงที่เราหนีไม่พ้น แต่ถ้าเราเข้าใจเราจะประจักษ์แจ้งตัวตนที่แท้จริงว่าบริสุทธิ์และว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ต้องหมั่นพิจารณาธรรมบ่อยๆ เราจะได้ใช้ธรรมมากกว่าใช้อารมณ์ เพราะทุกครั้งที่เวลาเรามอง ทุกครั้งที่เวลาเราคิด เรามักจะปล่อยไปตามอารมณ์มากกว่ามีธรรม ใช่หรือไม่ (อภัยให้กันเป็นสุขไม่ทุกข์เพราะใจปล่อยวาง)  รู้จักให้อภัยกันเข้าใจกันมันก็เป็นสุขได้ แต่คนปัจจุบันนี้มักจะพยายามเอาใจตัวเองเป็นหลักไม่ยอมเข้าใจกัน (ความจริงเป็นสิ่งไม่เที่ยง)  ความจริงเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเที่ยง เป็นสิ่งไม่จริง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ (นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว)  คิดได้ดีนะ ถึงเวลา นิ่งสงบได้จริงหรือเปล่า ถ้าเจอเรื่องราวอะไรใช้สติ สติจะทำให้เรารู้จักนิ่ง แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาเจอเรื่องอะไรกระทบมาก็กระแทกกระเทือน แล้วต่อด้วยทำร้ายเลย ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร ขอให้นิ่งไว้ก่อน นิ่งแล้วใช้สติแล้วอย่าใช้ความคิด เพราะความคิดมันง่ายที่จะฟุ้งซ่านเข้าข้างตัวเอง แต่สติจะทำให้เราเข้าสู่ความเป็นกลางแล้วระลึกรู้ว่ากำลังเป็นอะไรอยู่ จำคำอาจารย์ให้ได้นะ ใช้สติให้มากกว่าความคิด และอารมณ์  คิดได้ดีทำให้ได้ด้วยนะ
(ความไม่เที่ยงเป็นสัจธรรม)  ศิษย์เอ๋ยรู้ไหม ทำไมอาจารย์ให้ศิษย์แต่งประโยคเป็นธรรมะ เพราะมนุษย์ไม่ค่อยคิดอะไรเป็นธรรม มักคิดอะไรตามกิเลส ตามอารมณ์ ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรกระทบมันก็เลยไปตามกิเลส อารมณ์ มากกว่าความเป็นจริงแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  (กำหนดจิตใจให้ว่าง วางให้ลง ปลงให้ตก)  จิตใจนั้นว่างอยู่แล้ว แต่เพราะความหลงทำให้เราไปเผลอยึดมั่นถือมั่นเลยปลงไม่ตกคิดไม่ได้ อาจารย์ให้แอปเปิล เพราะอยากให้ศิษย์เอาไปสร้างบุญต่อ ไม่ใช่เอาแอปเปิลไปเก็บไว้กับตัว คิดถึงแต่ตัว มันก็เห็นแก่ตัวง่าย ลองเอาแอปเปิลไปผูกบุญสร้างบุญต่อ (ควรละอายต่อการทำบาป)  ปรบมือหน่อยนะ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราละอายต่อความบาปได้คือมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม ถ้ามนุษย์ทิ้งมโนธรรมสำนึกก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวที่สุดแล้ว เพราะว่าบาปทุกอย่างเขาก็ทำได้หมด ใช่หรือเปล่า (สติเป็นรากเหง้าของกุศลธรรมทั้งมวล)  ใช้ได้นี่ ใครเป็นคนคิดประโยคนี้ สติเป็นรากเหง้าของกุศลธรรมทั้งมวล สติคือธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าไม่มีสติ คุณธรรมต่างๆ ก็ไม่บังเกิด ตอบได้ดีนะ (ทานเจเพื่อละกรรมบาป,ผู้หญิงสวยด้วยคุณธรรม)  จริงหรือศิษย์เอ๋ย คนจะงามงามที่ใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยที่วาจาใช่ตาหวาน แปลว่าความดีงามที่แท้จริงต้องออกมาจากใจ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ศิษย์ใจเย็นๆ ศิษย์ไม่ต้องแย่งกันตอบนะ การรู้จักยอมก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ยอมให้เขาแล้วเราทีหลัง ก็เป็นธรรมะ ได้ตอบทุกคนนะ (ตั้งสติ ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในคุณธรรมความดี, ตั้งมั่นในความดีงาม, มีคุณธรรม)  คิดดีทำแต่สิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ละชั่วมันไม่ดีนะ (อย่าโลภ, รู้จักพอ)(อดทนอดกลั้นเนืองเนืองอยู่เป็นนิจ, ตั้งสติให้มั่นละโลภโกรธหลง, ทำดีได้ดี, คิดดีพูดดี)  ศิษย์มาศึกษาธรรมตอนอายุมากทันไหมหนอ ตาก็ไม่ชัด หูก็ไม่ได้ยิน ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นตอนนี้หูยังได้ยิน ตายังมองเห็น รีบมาเรียนรู้ธรรม ก็ดีกว่าตอนที่อายุมากแล้ว หูก็ไม่ได้ยิน ตาก็มองไม่เห็น ฟังก็ไม่รู้เรื่องด้วย (รู้เรื่อง ว่าอาจารย์พูดดี ให้คิดดี, ละบาปบำเพ็ญบุญ, สร้างกุศลดีด้วยใจบริสุทธิ์, ความดีและความชั่วอยู่ที่ตัวเรา)  อยู่ที่ตัวเราคิดอย่างไร (ละบาปบำเพ็ญบุญเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน)  เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ยินดีที่จะให้(จิตใจบริสุทธิ์หนึ่งเดียว)  จิตใจบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งความอยากก็กางกั้นทำให้เรามองไม่เห็นความบริสุทธิ์ในใจใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ อาจารย์สามารถให้แอปเปิลศิษย์ได้เลย แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้รู้จักช่วยตัวเอง อย่าเอาแต่ร้องวอนขอโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย มนุษย์เราเกิดมาชอบเอาแต่วอนขอ โดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยถูกไหม (ไม่ถูก)  เราต้องทำเต็มที่ก่อน ส่วนผลลัพธ์จะได้หรือไม่ได้แล้วแต่ฟ้าดิน ฉะนั้นถ้าทำแล้ว เต็มที่แล้ว ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่ทุกข์ใจเพราะเป็นเรื่องธรรมดา ขอแค่เพียงศิษย์ทำให้ดี ทำให้ถึงที่สุด เพราะหากทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว จะหวังผลดีเป็นไปไม่ได้หรอก ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกอย่างหนึ่งว่า ความเป็นจริงแห่งธรรมในตัวตนนั้นเป็นสภาวะที่ไร้รูปนาม เป็นสภาวะที่ไม่มีรูปที่แท้จริง แต่มนุษย์ชอบยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ แล้วก็ตีกรอบความเป็นตัวเองให้คับแคบ เมื่อคับแคบเวลาเจออะไรก็เป็นง่ายที่จะถูกกระทบ แต่สภาวธรรมสอนให้เรามองให้ถึงความเป็นจริงว่า ตัวตนที่แท้จริงนั้นว่างเปล่าจากรูปนาม ว่างเปล่าจากการยึดถือ ว่างเปล่าจากตัวตนที่ต้องการเจ้าของ เพราะสิ่งนั้นเป็นธรรมชาติเดิมแท้ที่ไม่ได้ต้องการอะไร  แต่มนุษย์มักจะไปไม่ถึง เพราะมนุษย์มักติดอยู่แต่ความรู้สึก ความมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตนก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ความเจ็บปวด
ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อแค่ทุกข์หรือเราเกิดเพื่อเรียนรู้ เข้าใจแล้วพ้นทุกข์ (เรียนรู้เข้าใจแล้วพ้นทุกข์)  แต่จะมีสักกี่คนในที่นี้ ปฏิบัติได้อย่างที่อาจารย์พูด เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดไม่สามารถสำเร็จได้ ถ้าศิษย์ไม่ลงมือปฏิบัติและเห็นแจ้งจริงด้วยตัวเอง อาจารย์เป็นแค่คนชี้ ถ้าศิษย์มัวแต่สนใจมือที่ชี้ แล้วไม่ยอมมองไปถึงที่สุด ศิษย์ก็จะมองไม่เห็นความจริง ทำไมศิษย์ไม่มุ่งตรงไปสู่ธรรม ธรรมที่นำพาให้เราพ้นทุกข์  ศิษย์รู้หรือไม่ว่าเวลาจะหมดไปเมื่อไร (ไม่รู้)  แล้วทำไมวันนี้ไม่ทำให้ถึงที่สุด ทำไมต้องรอผัดวันประกันพรุ่ง  ทำไมไม่ศรัทธาในตัวเอง ในเมื่อศรัทธาคนอื่นเป็น เชื่อมั่นคนอื่นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ในนี้ไม่มีเลยคือ ไม่เคยเชื่อมั่นและศรัทธาในความดี ความบริสุทธิ์ของตัวเองเลยช่างน่าเสียดาย เอาแต่หวังพึ่งอาจารย์ พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พึ่งคนโน้นพึ่งคนนี้  พึ่งคนอื่นมีวันเปลี่ยนแปลงนะศิษย์ แต่พึ่งความจริงแห่งธรรมที่สอนให้พ้นทุกข์ไม่มีเปลี่ยนแปลง ร่างกายมีวันเน่าสลาย แต่การเข้าถึงความจริงทำให้เราสิ้นทุกข์และหลุดพ้นการเวียนว่ายไยจึงไม่สนใจ ช่างน่าเสียดายนัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าศิษย์เข้าถึงความจริง ศิษย์จะรู้ว่าสภาวธรรมของความเป็นตัวตน เป็นสภาวะที่หาค่าประมาณมิได้ เก่งถึงที่สุด แจ้งธรรมได้ถึงที่สุด แต่เพียงเพราะคิดคำว่า ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ไม่ใช่ เราเลยไปไม่ถึงธรรมสักที ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์กลับคืนสู่สภาวธรรมในตัวตน อาจารย์มาเพื่อต้องการให้ศิษย์ประจักษ์แจ้งว่าศิษย์มีธรรมที่บริสุทธิ์ และมีค่ายิ่งกว่ากิเลสอารมณ์ที่ศิษย์หลงยึดถือ แล้วก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและวัฏฏะเวียนว่ายอีกนะ นั่นคือธรรมที่บริสุทธิ์ หัวใจที่ดีงาม หัวใจที่มองเห็นความเป็นจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญ สำคัญคือใจปกติหรือไม่ปกติ ใจบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ใครเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราวางตนได้อย่างเป็นกลางไหม เข้าถึงความจริงไหม ถ้าเข้าถึงความจริงวางได้ โลกนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว จริงไหม ลองพิจารณาดูนะ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้มันหลอกเราจริงไหม หรือสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้มันทำแล้วศิษย์เห็นแจ้งจริงไหม ลองไตร่ตรองดู ลองพิจารณาดูนะ เป็นคนมีโอกาสมาก แต่กลับไม่ยอมทำมันน่าเสียดายนะ ฉะนั้นพิจารณาให้ดี ธรรมที่อาจารย์ให้ในวันนี้พิจารณาแล้วมันทำให้ศิษย์ถึงธรรมจริงไหม อาจารย์จริงไม่จริงไม่รู้อยู่ที่ตัวศิษย์เองแหละ เพราะเหตุผลว่ากันไปถึงที่สุดมันก็หาความจริงแท้ไม่ได้ มีแต่ความจริงที่เรียกว่าธรรมเท่านั้นคือจริงแท้แน่นอน พิจารณาให้ดีนะ เผื่อมีโอกาสจะได้กลับมาผูกบุญกันอีกดีหรือไม่ (ดี)  ผูกบุญกับพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผูกบุญกับพุทธะที่เป็นพุทธะด้วยกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นเขาเป็นพุทธะ เราก็คือพุทธะ เห็นเขาเป็นปีศาจพญามาร ใจเราก็มีปีศาจพญามาร เห็นเขาจริง เราก็จริงแท้แน่นอน แต่เห็นเขาหลอกลวง เราก็คือคนที่หลอกลวงคนอื่นนั่นแหละ ใช่ไหม (ใช่)  ไตร่ตรองให้ดีนะ ว่าวันนี้อาจารย์มาจริงหรือไม่จริง

วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐       สถานธรรมจื้อเจวี๋ย  จังหวัดสงขลา
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ชีวิตต้องกว้างทางไกล                 เข้าใจก็ไม่เป็นทุกข์
ทุกครั้งที่ล้มแล้วลุก                     ปัญหามาปลุกจิตใจ
ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม                 ไม่พร้อมสู้ไฟไม่ไหว
ทนได้ไม่สู้รู้ไฟ                           แจ้งใจไฟไม่ร้อนเลย
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสุ่พุทธสถาน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                  ถามศิษย์น้องทุกคน มาร่วมกันเต้นเป็ดดีไหม

    ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจมิได้ เลยคิดไปตามใจชอบ ทั้งคิดนานสั้นยาวและปลง ไม่จบลงที่ความคิดหรอก เครียดไปทุกข์ไป จิตใจจะแสนช้ำชอก ความคิดหลอกตัวเอง
    ความคิดคน ไม่ขาดทิ้งช่วง กลับหลอกลวง ซึ่งคนคิดเอง กวาดจิตเข้าเจ้าโกยทิ้งไปหลายเข่ง การคิดจึงไม่ใช่ ความคิดคนอาจถูกรบกวน อาจไปสวนกับความคิดใคร ห้ามใจไม่ฟุ้งซ่านแล้วสบายใจหรือไม่ อะไรก็ดีทั้งหมด
                                                                       ชื่อเพลง : อย่าคิดมาก
ทำนองเพลง : เธอรักใคร

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
โดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้เราอยู่กันด้วยความกลัว กลัวอะไร (กลัวไม่มีกิน)  ถ้ากลัวไม่มีกินก็ถามตัวเองว่าขยันขึ้นหรือยัง ถ้าขี้เกียจก็อดตาย มนุษย์อยู่กันด้วยความกลัว กลัวตายไหม (กลัว, ไม่กลัว)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์อยู่ด้วยความกลัว กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวทุกข์ กลัวพลัดพราก กลัวสูญเสียสิ่งที่รัก กลัวโดนคนหลอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนจะกลัวคนอื่น กลัวตัวเองก่อนดีไหม (ดี)  ทำไมถึงบอกว่าให้กลัวตัวเอง ท่านเคยได้ยินไหมว่า ภัยภายนอก ไม่สู้ภัยภายใน คนอื่นหาภัยมาให้ ไม่สู้เรา (เป็นภัยเอง)  ฉะนั้นภัยภายนอกยังแก้ได้ แต่ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยภายในที่แก้ไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรากลัวคนภายนอก จริงๆ เราน่าจะกลัวใจตัวเองก่อนจริงไหม (จริง)  เพราะใจเราเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติทั้งมวล ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วจริงหรือที่เราเป็นต้นเหตุของภัย เราถามง่ายๆ เวลาอารมณ์ดี ใครด่าเราก็ (ดี)  แต่ถ้าเวลาเราอารมณ์ไม่ดี  ใครชมเราก็ว่าเขาเสแสร้งหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น  ภัยภายนอก  ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยภายในใจที่ไม่รู้จักควบคุมตน    ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่ว่าคนอื่นหาภัยให้เรา คนอื่นทำร้ายเรา พรุ่งนี้เราจะโชคดีโชคร้ายไหม ถามตัวท่านก่อน ทำดีที่สุดหรือยัง กลัวว่าจะตายวันตายพรุ่ง กลัวว่าจะอายุสั้น กลัวจะแก่ กลัวจะเจ็บ กลัวจะตาย  ในทางกลับกัน ถ้าเราทำทุกอย่าง รับผิดชอบหน้าที่ เต็มที่ที่สุด ซื่อตรงที่สุด จริงใจที่สุด มีน้ำใจที่สุด เป็นคนดีที่สุด ชีวิตจะสั้นจะยาว น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่คนที่กลัวตายแปลว่ายังทำอะไรไม่ถึงที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะว่าคนอื่นทำร้ายเรา เราถามตัวเราเองก่อน เราเป็นต้นเหตุที่หาภัยมาใส่ตัวหรือไม่ เหมือนถามท่านว่า คนโน้นไม่มีน้ำใจ คนนี้ใจดำ คนโน้นปากเสีย เราชอบว่าคนอื่นเต็มไปหมดเลย แต่ถามตัวเอง เราปากเสียไหม เราใจดำหรือเปล่า เราชื่อตรงไหม ว่าเขาก็เหมือนว่าเรา จริงไหม (จริง)  แล้วเคยได้ยินไหมว่า คนที่อยู่ร่วมกับเรา ไม่มากก็น้อยก็ต้องมีนิสัยไม่ต่างจากเรา จึงได้อยู่ใกล้กัน  ฉะนั้นเธอว่าสามีเป็นยังไง ก็แปลว่าเธอก็ต้องชอบนิสัยอย่างนั้นของสามี เธอว่าลูกไม่ดีอย่างไร ก็แปลว่าลูกต้องมีนิสัยอะไรเหมือนแม่เหมือนพ่อ เธอคบเพื่อนอย่างไร เพื่อนไม่ดีแบบไหนแล้วทำร้ายเรา ก็แปลว่ามีนิสัยเหมือนเราใช่ไหม (ใช่)  มีใช่ไหม เพราะว่าอะไร คนเราถ้าไม่เป็นแบบไหนก็ไม่ได้เพื่อนแบบนั้นใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจเราไม่ชอบอะไร เราก็จะไม่ได้แฟนแบบนั้นใช่ไหม ด่าเขามากๆ ลองถามซิว่าตัวเองดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าเราเรียกร้องให้ทุกคนทำดีกับเราถามหน่อยเราดีหรือยัง ก่อนจะกลัวและเอาแต่ขอให้พระคุ้มครอง ร่มเย็น ครอบครัวเป็นสุข ถ้าพระพูดได้ พระก็จะบอกว่าขอตัวเองก่อนเถอะ จริงไหม (จริง)  ตัวเองทำตัวให้น่าร่มเย็นไหม อ้าปากทีก็มีแต่ว่าคนอื่น ตัวเองทำให้บ้านสงบไหม ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะพูดเรื่องศึกษาบำเพ็ญธรรม ถ้าความเป็นคน ท่านยังทำไม่ดี อย่าพูดเลยเรื่องบำเพ็ญ ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะเรียกให้คนอื่นได้ดี ถามตัวเองก่อน ดีหรือยัง ถ้าตัวเองยังไม่ดีอย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นไม่ดี เพราะตัวเองยังไม่ดีพอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นก่อนจะกลัวว่าชีวิตจะสั้นยาว น่ากลัวไหม ไม่ต้องกลัว ถ้าทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่ที่สุดแล้ว ซื่อตรงที่สุดแล้ว จริงใจที่สุดแล้ว เป็นคนมีน้ำใจมากที่สุดแล้ว กลัวอะไรกับการจะตายวันตายพรุ่ง เพราะตอนนี้เต็มที่แล้ว
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตากับนักเรียนตำรวจ)
ถ้าท่านทำหน้าที่ได้สมกับเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนของแผ่นดิน ตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่กลัวว่าทำหน้าที่เต็มที่หรือยัง รับผิดชอบหรือเปล่า หรือไม่ใช่ถึงเวลาทำงานก็ไม่เต็มที่ ฉะนั้นไม่ต้องวอนขอใคร ไม่ต้องกลัวอะไร วอนขอตัวเอง กลัวใจตัวเองดีกว่าไหม อยากเป็นคนดี ถามหน่อยซื่อตรงหรือยัง ชีวิตนี้ถ้าไม่ซื่อตรงท่านจะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมก็ทำไม่ได้นะ ใช่ไหม (ใช่)  ซื่อตรงหรือยัง (ซื่อแล้ว)  รู้สึกว่าหน้าซื่อแต่ใจมันคดนะ ซื่อตรงหรือยัง จริงใจหรือยัง ที่ไม่พูดนี่แปลว่าไม่ค่อยจริงใจใช่ไหม รับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยัง อู้งานได้เป็นอู้ เอาเปรียบได้เป็นเอาเปรียบ กินแรงได้เป็นกินแรง เหนื่อยมากๆ ก็ว่าคนที่ไม่ช่วย ใช่หรือไม่ อย่างนี้จะเรียกว่าดีที่แท้จริงได้อย่างไร หนึ่งชีวิตนะ ศีลไม่ขาด คุณธรรมความเป็นคนไม่พร่อง เกิดมาแล้วก็เรียกว่ามนุษย์ประเสริฐที่สุดแล้ว แต่ถ้าเกิดมาเป็นคน ศีลก็ยังไม่ครบ คุณธรรมความเป็นคนยังไม่มี อย่าเพิ่งตายนะ เพราะตายไปก็เสียดายชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นคน ซื่อตรง จริงใจ รับผิดชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคน ท่านยังไม่ซื่อตรงจะไปหาความเที่ยงตรงจากไหนบนโลกนี้ได้ ดีนะที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าศิษย์เกิดเป็นเป็ดตัวผู้ศิษย์น้องถูกฆ่าหมด เพื่อเอาไปปั่นเป็นอาหารสัตว์ ถ้าเป็นเป็ดตัวเมียจะเก็บไว้ออกไข่
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมฝ่ายชายนำเต้นเป็ด ส่วนนักเรียนที่มาสายร่วมเต้นตาม)
การทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นสิ่งที่ดีนะ การทำให้คนอื่นเบิกบานใจก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำให้คนอื่นมีความสุขทำไมต้องละอาย แต่ทำให้คนอื่นทุกข์ ทำให้คนอื่นแย่นั้นควรละอาย จริงหรือไม่ (จริง)  การไม่รู้จักผูกมิตร ไม่รู้จักให้เกียรติ ไม่รู้จักช่วยเหลือ เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  เราดีเฉพาะคนได้ไหม (ไม่ได้)  ความดียิ่งทำยิ่งอิ่มใจ แต่ความชั่วยิ่งทำยิ่งกัดกร่อนใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วมนุษย์มีทางเลือกที่จะทำดีหรือไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรานั้นเป็นคนดี ที่รู้จักทำบุญสุนทาน แต่ไม่รู้จักผูกมิตรให้เกียรติ ทำความสุขให้กับผู้คน จะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงหรือ เวลาเขามีน้ำใจ เราก็ไปแค่ช่วยเหลือ แต่ถึงเวลาอยู่ปกติเราแล้งน้ำใจเราไม่ช่วยเหลือ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม เราดีเฉพาะคนบางกลุ่ม อีกกลุ่มหนึ่งเราไม่ดี เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)  อยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ใครก็เคารพให้เกียรติและเป็นที่รักของทุกคน มันต้องเริ่มที่ตัวเรา จริงไหม (จริง)  กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องออกมา ไยต้องหวั่นเกรง ไยต้องละอาย ถ้าทำแล้วทำให้คนมีสุข ทำไมไม่รีบทำ ความดีทำง่ายๆ ทำบ่อยๆ ยิ่งทำยิ่งอิ่มใจยิ่งสุขใจ แต่ความชั่วไม่ควรทำเลยสักนิด เพราะทำแล้วมันก็กัดกินใจ แล้วมันก็สะท้อนสะเทือนใจว่าฉันยังทำผิดอยู่นะ ยังโกหก ยังไม่จริงใจ แล้วในเมื่อมนุษย์มีทางเลือก ทำไมดีไม่เลือกแต่เลือกทำไม่ดี จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวภัยพิบัติเลย ควรกลัวใจตัวเองดีกว่า สิ่งที่ไม่ควรทำ กลับดื้อรั้นที่จะทำ ที่ควรทำกลับไม่ทำ นั่นแหละเรียกภัยพิบัติมาสู่เรา ไม่ต้องไปเรียกร้องใคร เรียกร้องตัวเอง ไม่ต้องไปกลัวอะไร ถามตัวเองก่อน เพราะต้นเหตุของเรื่องราวทุกอย่างในโลกใบนี้ ล้วนเริ่มต้นที่เราเป็นสาเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาง่ายๆ ถ้าศิษย์น้องไม่โลภ ใครจะหลอกให้หลงไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่โลภใครจะมาลวงเราให้หลงได้  แล้วเราจะอยู่อย่างไร ที่ทำให้เราสามารถมีดวงตาที่แจ่มชัด มองได้เห็นถึงความเป็นจริง ไม่ถูกหลอกลวง นั่นก็คือ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า การอยู่ในโลกบางครั้งมีบางอย่าง ทำให้เรามองเห็นชัด แต่บางอย่างทำให้เรามองเห็นไม่ชัด บางอย่างทำให้เราหูตากว้างไกล แต่บางอย่างมันทำให้เราเหมือนคนหน้ามืดตามัว ฉะนั้นอะไรที่ทำให้เราหน้ามืดตามัว เราควรจะเข้าไปหาบ่อยๆ ไหม (ไม่ควร)  อะไรที่ทำให้เรามองเห็นชัดซึ่งความเป็นจริง เราควรจะชิดใกล้บ่อยๆ ไหม (ควร)  ศิษย์พี่ขอถามนะว่า กิเลส โลภ โกรธ หลง มันมีรูปร่างไหม (ไม่มี)  แต่เราชอบไปอยู่ใกล้ชิดใช่ไหม (ใช่)  ส่วนธรรมะก็ไม่มีรูปร่าง แต่ทำให้เราเกิดความสว่างในชีวิต แล้วทำให้เรามีปัญญารู้ชัดในความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อถึงเวลาเราเลือกธรรมะ หรือเราเลือกกิเลส (ธรรมะ)  เวลากิน กินเพื่ออยู่ หรือกินตามใจปาก (กินเพื่ออยู่)  สวมเสื้อผ้าเพื่อปิดบังความน่าเกลียดหรือสวมเพื่อสวยงามรูปหล่อ (ปิดบังความน่าเกลียด)  จริงหรือ โกหกนั้นยังไม่ตายก็ตกนรกนะ แล้วยิ่งโกหกบ่อยๆ ยิ่งตกนรก ตกลงเราไปตามธรรมะหรือไปตามอารมณ์ (ไปตามอารมณ์)  ถามจริงๆ เวลาเราไปตามธรรมะ ธรรมะทำให้เรามองเห็นชีวิตและความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ยิ่งเรียนรู้ธรรมยิ่งเกิดปัญญาพอกพูน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่ถามง่ายๆ เวลาเรามีอารมณ์ชอบ อารมณ์รัก ตามันใสไหม (ใส)  ใจมันบอดไหม (บอด)  เพิ่งเคยเห็นนะตามันใสปิ๊ง แต่ใจบอดมืดสนิทเลย จริงไหม (จริง)  เวลาเราโกรธสมองเราโปร่งไหม (ไม่)  ใจเราสบายไหม (ไม่สบาย)  แล้วเราชอบไปไหม (ไม่ชอบ)  ในเมื่อรู้ว่าทางนั้นเดินไปแล้วมันทำให้ตาเราบอด หูเราหนวก ใจเหมือนไฟไหม้ ไปไหม (ไม่ไป)  ไม่จริง บางคนคิดไปนรกก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยก้าวขึ้นไปสวรรค์ จริงไหม ฉะนั้นศิษย์พี่ถามตรงๆ ถ้าเรารู้จักมีสติยั้งคิดสักนิด เวลาเจออะไรแตะเบรกก็ได้ศิษย์น้อง ไม่ใช่มีอะไรก็พุ่งชน คนใต้เป็นคนสู้ เจออะไรสู้หมด แต่บางครั้งตั้งสตินิ่งๆ สักครู่หนึ่งก่อนพุ่งชน ดีไหม (ดี)  ตลอดชีวิตมาตั้งแต่คบ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเคยทำให้สบายใจบ้างไหม คบกับความโลภ โกรธ หลง ได้ดีไหม (ไม่ได้)  แล้วยังคบไหม (ไม่คบ)  แล้วรู้ไหมว่าที่สุดแห่งความโกรธมันคือไฟนรก ที่สุดแห่งความโลภหลงมันคืออบายภูมิ และความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวลที่เวียนไม่จบสิ้น ทุกข์ของการเกิดเป็นคนว่าทรมานแล้ว แต่ทุกข์ของการต้องกลับไปใช้เวรใช้กรรมที่ศิษย์น้องก่อ มันไม่มีวันจบสิ้น ฉะนั้นก่อนจะพุ่งไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง ก่อนจะปากไวนินทาคน ยั้งคิดสักนิด ดีไหม (ดี)  ก่อนจะกลายเป็นวิบากกรรมให้ศิษย์น้องต้องเวียนกลับมารับ แล้วก็ต้องมานั่งทำบุญเพื่อจะได้หนีเวรหนีกรรม คุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  มนุษย์กลัวทุกข์ กลัวภัยพิบัติ กลัวเคราะห์กรรมแต่รู้ไหมว่า ทุกข์ เคราะห์กรรม ภัยพิบัติ ล้วนออกมาจาก (ใจเราเอง)  แล้วใจที่ไปตามทางความมืดบอดแห่งโลภ โกรธ หลง และความคิดที่หลงเข้าข้างตัวเองว่า ฉันถูกเธอผิด ฉันดีเธอไม่ดี เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ทุกคนก็เลยทำแบบนี้ แล้วทุกคนก็เลยกลัวตาย เพราะยังไม่ดีพอจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ศีลเราครบ คุณธรรมความเป็นคนเราไม่ด่างพร้อย รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีที่สุดจะกลัวอะไร แล้วยังต้องวอนขออะไร ชีวิตสั้นยาวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแล้วใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นต่อไปยังอยากมีโลภ โกรธ หลงอีกไหม (ไม่มี)  แปลว่าจะโกรธให้น้อยลง โลภให้น้อยลง ศิษย์พี่นึกถึงขโมย ศิษย์พี่เคยจับขโมยได้ ขโมยบอกศิษย์พี่ว่าจะขโมยให้น้อยลง เหมือนกันเลยกับที่ศิษย์น้องบอกว่าจะโกรธให้น้อยลงเป็นคำตอบที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ควรจะ (ไม่โกรธ, ไม่โลภ, ไม่หลง)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นจำไว้นะถ้าบอกว่าจะโกรธให้น้อยลง โลภให้น้อยลง ก็เหมือนกับขี้ขโมยแล้วบอกจะขโมยให้น้อยลงเหมือนกันเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่ดีแล้วยังไงก็เรียกว่าไม่ดี ฉะนั้นควรจะมีไหม (ไม่มี)  ไม่เป็นไรศิษย์พี่วันนี้ไม่ดี พรุ่งนี้ค่อยไปดี ดีไหม (ไม่ดี)  ค่อยไปทำบุญชดเชยเอา ถ้าสมมติศิษย์พี่มาแล้วศิษย์พี่ด่าศิษย์น้องทุกคน ไม่เว้นหัวดำ หัวขาว ด่าหมดเลย แล้วมาอีกวันหนึ่งศิษย์พี่บอก ชม โอยดีจังเลย มีแต่คนน่ารักที่สุดเลย ใครจะเชื่อไหมว่าศิษย์พี่ดี (ไม่เชื่อ)  ทำไมหรือศิษย์น้อง ศิษย์พี่เป็นคนดีนะ ก็อย่างวันนี้ศิษย์พี่ชมศิษย์น้อง น่ารักทั้งนั้นเลย แต่เมื่อวานไม่ใช่ โคตรน่าเกลียดเลย แล้วเขาจะเชื่อไหมว่าศิษย์พี่ดี (ไม่เชื่อ)  ไม่เสมอต้นเสมอปลาย ทำดีอีกวันหนึ่ง อีกวันไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันศิษย์น้องก็เหมือนกัน อารมณ์ดีก็ทำบุญ อารมณ์ไม่ดีก็ด่ากราด แล้วก็บอกว่า ทำดีไม่เห็นได้ดีเลยใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเริ่มต้นความเป็นคนยังไม่ถูกต้อง อย่าพูดว่าจะเริ่มต้นการบำเพ็ญธรรมให้ดีงาม ถ้าเป็นความมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์ อย่าพูดเลยว่าอยากจะเป็นพระพุทธะบนแดนดินใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องถามก่อน ศีลใครพร้อมแล้ว ไม่เคยโกหกเลย มีไหม
เมื่อวานพระอาจารย์ให้พระโอวาทครอบไว้แต่ยังไม่เห็นใช่ไหม (ใช่)  บางคนยังไม่เห็นนะ ได้คำว่า รู้ทันอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องรู้เท่าทันอารมณ์ ศิษย์น้องจะตกเป็นทาสของอารมณ์ไหม (ไม่)  ศิษย์น้องก็จะยังมีสติ มีธรรมยั้งคิด ใช่หรือไม่ มนุษย์ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่ดีงามนั่นคือคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคนประเสริฐ ซึ่งคุณธรรมนั้นมีอยู่ในใจของทุกคน ศิษย์พี่ถามง่ายๆ ถ้าสมมติว่าศิษย์พี่เจอศิษย์น้อง แล้วศิษย์พี่ดูถูกดูแคลนกดขี่ข่มเหง ศิษย์น้องว่าดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ก็พี่เป็นพี่ กดขี่ข่มเหงน้อง เธอไม่ดี เธอไม่ได้เรื่อง ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมล่ะ เดี๋ยวหวิบเหรอ  อย่าคิดว่าเราหวิบเป็นคนเดียวนะ คนอื่นเขาก็หวิบเป็นเหมือนกันนะ ใช่ไหม (ใช่)  โดยพื้นฐานของจิตใจของทุกคนไม่ชอบให้ใครดูถูก ไม่ชอบให้ใครกดขี่ ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมากินแรงใช่ไหม ทุกคนพูดจริงทำจริง นั่นเป็นพื้นฐานของจิตใจของทุกคนใช่หรือไม่ แต่ถึงเวลาเรากดขี่คนอื่นไหม ถึงเวลาใช้งาน ใช้งานคนเก่งหรือใช้งานคนโง่ ใช้งานคนที่พูดได้หรือใช้งานคนที่พูดไม่ได้ (พูดได้)  จริงเหรอ ใจของมนุษย์โดยพื้นฐานโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ชอบให้คนดูถูก ชอบคนเคารพให้เกียรติ ชอบให้คนรัก ชอบคนจริงใจเอาใจใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเอาแต่เรียกร้องแต่ตัวเองไม่เคยทำ ก็เท่ากับว่าเราไม่ยุติธรรมกับผู้คน แล้วเราล่ะทำอย่างนั้นไหม ไหนใครกล้าบอกกับศิษย์พี่ว่าตั้งแต่เกิดมาศิษย์ไม่เกิดดูถูกคน ยกมือขึ้น เวลาเจอคนไม่ดี ไม่เคยด่าเขาเลยใช่ไหม ไม่เคยนินทาเลยใช่ไหม คนดีจริงจะไม่ว่าใคร จะมีแต่ความเข้าใจกัน ใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่เราไปเรื่องฝั่งกิเลสที่มันทำให้เรามืดมนแล้ว เราลองไปฝั่งธรรมะที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตได้แจ่มชัด และเกิดปัญญาที่กว้างไกล แล้วเราเคยไปฝั่งธรรมะบ้างไหม (เคย, ไม่เคย)  โดยส่วนใหญ่ไปน้อย เวลาคิดอะไรก็ชอบคิดก่อน สติมาทีหลัง ศิษย์น้องจำไว้นะ ความคิดเป็นรากเหง้าของกิเลส อัตตา ความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นเมื่อทำอะไรเอาแต่คิด ก็เลยง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสเข้าข้างตัวตนและก็ลำเอียง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรขอให้ใช้สติ อย่าใช้ความคิด เพราะสติเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวล แล้วเมื่อวานพระอาจารย์พูดเรื่องหลักธรรมอะไรให้พิจารณาบ่อยๆ แล้วเราจะเกิดปัญญาแล้วมองเห็นชีวิตชัดเจน ถ้าตอบได้ศิษย์พี่ให้รางวัล (ไม่เที่ยง, เป็นทุกข์, ว่างเปล่า)  ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาธรรมเนืองๆ จะทำให้เรามองเห็นธรรมและมองเห็นโลกความเป็นจริงได้แจ่มชัด และเกิดปัญญากระจ่างแจ้งในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ความไม่เที่ยงจะทำให้เรามองเห็นว่าในโลกใบนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเจอใครที่ไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเจอใครที่ไม่ดีพร้อม เมื่อเจอใครที่บกพร่อง ศิษย์น้องก็จะจำได้ว่า พระอาจารย์เคยสอนไว้แล้วว่า โลกไม่เที่ยง เมื่อเราเห็นว่ามันไม่เที่ยง เราก็เลยมองเห็นชัดแล้วว่าคนในโลกมันไม่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเราเจอคนที่มันขาดไปบ้าง พร่องไปบ้าง หรือเกินล้นไปบ้าง ศิษย์น้องก็จะเข้าใจว่าโลกไม่เที่ยง แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับศิษย์น้องก็คือเข้าใจว่า เราต้องรักษาใจให้เที่ยง เพราะถ้าเรารักษาใจให้เที่ยงแล้วเราก็จะไม่ไปกระวีกระวาดไปถล่มทลายใครที่เขาเกินเลยไป จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาที่ใครเกินเลยไป เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เวลาใครที่ขาดหายไป เราจะด่าเขาโง่ไหม (ไม่) 
ถ้ากลับบ้านไป บ้านมันไม่อยู่จะเศร้าใจไหม (เศร้าใจ)  กลับบ้านไปลูกไม่อยู่ สามีไม่รัก เศร้าไหม (เศร้า)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่จะบอกต่อนะ ศิษย์น้องเอ๋ย ในเมื่อเราเข้าใจว่าโลกนี้มันไม่มีความสมบูรณ์แบบ ศิษย์น้องก็ต้องเข้าใจ ก้าวต่อไปคือโลกนี้มันมีความทุกข์ ในเมื่อเราเจอทุกข์แล้ว เราอย่าลืมกลับไปมองความจริง ทุกข์สอนให้เรามองความจริง ศิษย์พี่ถามหน่อยนะว่า ใครบ้างเกิดมาควงสามีมาตั้งแต่เกิด ใครเกิดมาควงบ้าน ควงต้นยางมาตั้งแต่เกิด มีไหม (ไม่มี)  แล้วใครเกิดมาข้างหนึ่งสามี ข้างหนึ่งลูก อีกข้างหนึ่งบ้าน อีกข้างหนึ่งรถ เกิดมาพร้อมสิ่งนั้นเลย มีไหม (ไม่มี)  ก็รู้นี่ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าจริงๆ แล้วเรามาพร้อมกับความ (ว่างเปล่า)  ฉะนั้นเราได้กลับไปสู่ความ (ว่างเปล่า)  แล้วเราจะกลัวอะไรล่ะ เพราะถึงที่สุดเราก็ต้องกลับไปสู่ความ (ว่างเปล่า)  ฉะนั้นดีแล้วที่ฉันได้กลับสู่ธรรมชาติที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง กลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง ฉันได้ปลดปลงอีกครั้งหนึ่ง ยังไม่ตาย ยังไม่หมดปัญญาก็หาใหม่ได้ไม่ใช่หรือ ยังไหวอยู่ก็หาใหม่ได้ไม่ใช่หรือ แต่ถามจริงๆ ยังอยากจะทุกข์อีกหรือ เขาไปก็ดีแล้ว ดีกว่าอยู่แล้วต้องมานั่งท่อง มันไม่สมบูรณ์ พระอาจารย์บอกไว้แล้วมันไม่สมบูรณ์แบบ ก็บอกมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ก็ยังเลือกเพราะคิดแล้วว่ามันสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ แล้วมันไม่เคยสมบูรณ์แบบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง แม้ว่าศิษย์น้องคิดว่าจะหาดีที่สุด เลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถึงที่สุด มันก็ไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเราเอง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อเราต้องเจอกับความไม่สมบูรณ์แบบ ก็จงจำไว้ว่าเราได้แค่กลับสู่ทางสายเก่า ทางเดิมที่เรามาจากธรรมชาติ เราก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อใช้จนถึงที่สุดแล้ว จะไปเอาอะไรกลับมาด้วยให้มันเกี่ยวกรรม ไป-มาโล่งๆ ก็กลับโล่งๆ มาเปล่าๆ ก็กลับเปล่าๆ แล้วจะเกี่ยวกรรมให้ทุกข์ทำไม แล้วจะสร้างวิบากกรรมให้เวียนว่ายตายเกิดทำไม จริงไหม (จริง)  แล้วยังจะเอาอีกไหม (เอา)  ก็มันเหงาล่ะอาจารย์ มันเหงาล่ะศิษย์พี่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเมื่อมันเหงา  ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม โลกนี้เป็นโลกแห่งภาวะคู่ มันมีผู้ชายก็ต้องมี (ผู้หญิง)  มันมีคนดีก็ต้องมีคน (ชั่ว)  เหมือนกันถ้าวันใดมันมีทุกข์ ศิษย์น้องลองถามสิ มันเป็นโลกแห่งความเป็นคู่ มันจะไม่มีวันสิ้นทุกข์หรือ ใช่ไหม (ใช่)  มันมีเจ็บ มันจะมีวันไม่เจ็บได้หรือไม่ (ได้)  มันมีตาย มันจะมีวันไม่ตายได้ไหม (ได้)  โลกนี้ศิษย์น้องจำไว้นะ โลกนี้เป็นโลกแห่งภาวะคู่ มีขาวต้องมีดำจึงจะเรียกว่าสมดุล มีสูงมันก็ต้องมีต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องรักษาความเป็นกลาง เราก็อยู่บนโลกได้เรียกว่าธรรมชาติที่แท้จริง ฉะนั้นศิษย์น้องต้องจำไว้นะ ในโลกแห่งความเป็นจริง จำไว้ ในร่างกายเรามันหนีไม่พ้น แก่ เจ็บ ตาย แต่จำไว้อย่างหนึ่งนะ จำไว้ให้แม่นเลย ในความแก่มันมีไม่แก่อยู่ ลองมองด้วยปัญญา อะไรมันแก่ อะไรมันไม่แก่ ในความเจ็บ มันมีความไม่เจ็บอยู่ และอะไรมันเจ็บ อะไรมันไม่เจ็บ และอันนี้แหละสุดยอดเลย ในความตาย มันมีความไม่ตายอยู่ในนี้ และตัวที่ไม่ตายนี่แหละ ที่จะทำให้เรากลับสู่พุทธภาวะที่แท้จริง ในความเจ็บ มันมีไม่เจ็บ มันเจ็บแค่ตัว มันเจ็บแค่สังขาร มันตายแค่สังขาร แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันไม่ตาย มันอยู่นิจนิรันดร์ และมันไม่ต้องการเจ้าของ ถ้าเข้าถึงศิษย์น้องจะพบตายโดยไม่ตาย นั่นแหละเรียกว่าธรรมแท้จริงได้ไหม มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ มาผูกบุญกันอีกดีไหม ไม่เอาผูกกรรมนะ
ศิษย์พี่ให้เพลงไว้หนึ่งเพลง ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง เมื่อยามที่ทุกข์มากๆ ลองหาสิอะไรมันทุกข์ และอะไรมันจะพ้นทุกข์ เมื่อยามที่เจ็บมากๆ ลองถามสิมันเจ็บแค่ตัว แต่ใจเดิมแท้มันไม่เคยเจ็บ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราต้องตาย เราตายแค่สังขารแต่จิตญาณเดิมแท้พ้นเกิดตายแล้วนะ แต่เพราะความหลงยึดมั่นเราจึงมองไม่เห็นจิตเดิมแท้ อย่าลืมนะศิษย์น้องมีสิ่งที่ประเสริฐและดีงามที่สุด ที่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ นั้นคือธรรมะที่กลับคืนสู่สภาวธรรม แต่มันจะไม่ได้ด้วยการแค่ฝันแต่ศิษย์น้องต้องไปประจักษ์แจ้งด้วยใจตัวเอง ในเกิดมันมีดับอยู่ทุกขณะ แต่ในดับมันมีไม่ดับอยู่ แล้วอะไรที่มันดับ อะไรที่มันไม่ดับ จงไปหาตัวนั้น แล้วตัวนั้นล่ะคือหนทางที่จะกลับคืนสู่พุทธภูมิที่แท้จริง พ้นเวียนว่ายทุกข์ในโลกใบนี้ ลองไปพิจารณาดูนะ ได้ไหม (ได้)  จำไว้นะกิเลสที่คิดเพียงชั่ววูบมันมักจะพาให้มนุษย์ไหลลงต่ำ แต่สติที่ยั้งคิดได้แล้วรู้จักทำใจ แล้วประกอบไปด้วยคุณธรรม จะนำพาให้มนุษย์ขึ้นสู่ที่สูง และพบทางอันประเสริฐที่สว่างไสว ฉะนั้นศิษย์น้องอยากไหลลงต่ำ หรือกลับสู่ความสว่าง อยู่ที่ตัวศิษย์น้องเลือก อย่าบอกศิษย์พี่ว่าชีวิตไม่มีทางเลือก เราเลือกได้แต่ขอให้รู้จักยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามโทรศัพท์ เพราะเดี๋ยวตามไปก็เป็นผีเฝ้าโทรศัพท์ น่าเสียดายนะ
ศิษย์น้องที่อยู่ด้านล่างเป็นผู้ร่วมฟังอย่าน้อยใจนะ มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญ ศิษย์น้องทุกคนที่อยู่ข้างๆ ก็ขอให้เข้มแข็ง เจออุปสรรคอะไรก็ขออย่าได้หวาดหวั่น คิดเสียว่าอุปสรรคต่างๆ คือตัวขัดเกลาจิตใจ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ กลับมาอีกนะ มุ่งมั่นบำเพ็ญ อย่ากลัวปัญหา อย่ากลัวคำต่อว่า อย่ากลัวคำนินทา อย่ากลัวมารทดสอบ เพราะสิ่งสำคัญปัญหาไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ยอมแพ้ จงมุ่งมั่นสู้ให้ถึงที่สุด ชีวิตตราบใดที่ยังไม่หมดลมหายใจอย่ายอมแพ้ อย่าก้าวผิด อย่าทำชั่ว เพราะไม่มีใครรับกรรมชั่ว นอกจากคนที่ทำกรรมชั่ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงเลือกทางที่ดีแล้วไปสู่ความสว่างนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ทันอารมณ์”
     ไม่คล้อยไปตามอาการของใจตน              จึงเห็นมากกว่าที่ตนยึดถือไว้
รู้เท่าทันความไม่ตั้งมั่นของใจ                      ลักษณะใดเป็นลักษณะแท้พิจารณา
ความรู้สึกที่ว่ามีอยู่นั้น                               เป็นสามัญลักษณะแห่งรูปนามหนา
ล้วนสมมติถูกปรุงแต่งตามอัตตา                   วางคือธรรมยึดมั่นหนาคือโลกีย์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

2560-10-28 สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร

西元二○一七年歲次丁酉九月初九日                                           仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐                สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น          พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ[1]           ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว   ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่า

  ใช้สติยามล้มจงรีบตั้งหลัก              กลัวเจ็บพักไม่ลุกอยู่อย่างไรไหว
แบกปัญหาไม่สู้ขึ้นอย่างวางไป           สู้มากมายแต่คนมักขาดครรลอง
ช่วงเวลาฟ้าหมองหม่นดั่งเดือนดับ       ในความมืดแสงทองกลับมีเจ้าของ
บำเพ็ญประโยชน์ไม่นานแสงธรรมแสงทอง   ยากทั้งผองผู้กล้าไม่นึกกลัว
คุณธรรมถูกปลุกขึ้นจากจิตสำนึก        ฝึกนิสัยซื่อขยันมาตรองถ้วนทั่ว
จริงที่ใจจริงที่ธรรมประจำตัว            ละอายชั่วรู้ในหน้าตาธรรมเดิม
ผู้สำรวมตนหน้ามีศีลครองคุ้ม            ขาดสุขุมอย่าพาทีนำเดือดร้อนเพิ่ม
ยามเหนื่อยล้าระวังใจเชื้อไฟเติม         ปัจจัยเดิมต่อการมีธรรมวัดใจ

                                    ฮิ ฮิ หยุด


[1] อาเพศ : ให้เป็นไปเอง เผอิญเป็น ปรวนแปรไป เกิดขึ้นอย่างผิดปรกติ

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น  พาโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
เพราะอารมณ์นิสัยที่เข้าข้างตัวเอง มองตามความคิดเห็นของตนเป็นบรรทัดฐานมากกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นบางทีสิ่งที่เราบอกว่าจริงบางทีมันอาจจะ (ไม่จริง)  สิ่งที่เราบอกว่าไม่จริงมันอาจจะ (จริง)  แล้วตกลงมันจริงหรือไม่จริง บางทีก็เหมือนไม่รู้ใช่ไหม (ใช่)  คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ ของเรา บางทีก็กลายเป็นเพื่อน (ไม่จริง)  เงินที่ว่าน่าจะเป็นของเราบางทีมันก็กลายเป็น (ของคนอื่น)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราเป็นนั้นจริงเสมอไป เพราะเห็นมันก็ยังมีสิ่งที่ (ไม่เห็น)  เพราะรู้มันก็ยังมีวัน (ไม่รู้)  เปลี่ยนได้ ใช่ไหมพอถึงเวลา มันเปลี่ยนไหม แล้วคิดหรือว่าเราจะรู้จริงๆ
สิ่งที่เราเห็นแท้ที่จริงแล้วเรายังไม่เคยเห็นมันจริงๆ สิ่งที่เราว่าเราเป็น แท้จริงแล้วเราก็ไม่เคยได้เป็นมันจริงๆ เราว่าเราเป็นนั่น เราเป็นนี่ แต่พอเราไปทำมันจริงๆ เราเป็นไหม (ไม่เป็น)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้มั่นใจในตัวเองว่าตัวเองรู้ แต่การรู้ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วในโลกใบนี้สิ่งที่เราว่ารู้ เราอาจจะไม่รู้ สิ่งที่เราว่าเห็น เราเข้าใจ แท้จริงแล้วเราอาจจะไม่เห็น ไม่เข้าใจ เมื่อเรามองแบบนี้ตลอดเวลา เราจะผิดหวังกับใครไหม แล้วเราจะผิดหวังกับตัวเอง ที่ไม่น่ามองผิดเลยไหม (ไม่)  แล้วเราจะเสียใจไหมที่เราตาต่ำไปดูเป็นของสูง (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่เรามีชีวิต เรามักจะพูดว่า ฉันรู้นะ ฉันเห็นนะ ฉันแน่นะ แต่ในใจจริงๆ อ่อนปวกเปียกเลยแล้วจะสร้างกำแพงนี้มาให้ตัวเองทุกข์ทำไม ถือว่าเรามาคุยกันแบบมีแง่คิด คุยกันแบบให้เกิดปัญญาดีไหม เพราะคนที่มีปัญญาคือผู้ประเสริฐ และคนที่รู้จักทำอะไรด้วยปัญญาเรียกว่าอยู่อย่างฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราขอเหมารวมว่านักเรียนในชั้นนี้ชอบอยู่กันอย่างมีปัญญาดีไหม (ดี)
แบบที่คนรับแย่มาโลกอาเพศ ผู้รู้ตื่นย่ำกิเลสปราบกมล
เพราะทางธรรมอาจจะมองต่างจากทางโลก คนทางโลกสอนว่าต้องฉลาดไว้ ต้องเก่งไว้ ต้องรู้ไว้ แต่ธรรมะสอนให้ไม่รู้บ้าง ไม่เก่งบ้าง เพราะยิ่งไม่รู้ ความรู้ยิ่งไหลริน ยิ่งไม่เก่งยิ่งมีคนอยากจะสอนให้เราได้เก่งยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งคิดว่าตัวเองรู้ ยิ่งคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งคิดว่าตัวเองแน่ ยิ่งไม่มีใครเอาหรอกนะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบไหน จึงบอกว่ายอมอยู่หลังจึงได้เหมือนอยู่หน้า ยอมถอยจึงได้เหมือนก้าวได้ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ประเสริฐตรงที่ไหน มนุษย์เป็นคนดีที่สุดตรงที่ใด (ปัญญา) ปัญญาแค่นั้นหรือ
มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด เพราะเขาศรัทธาในความถูกต้องดีงามตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่สูญสิ้นความดี เเต่มนุษย์รักความดีเเต่ไม่เคยศรัทธาความดีจนลมหายใจสุดท้าย เจอปัญหาก็ยอมเเพ้ เจอทุกข์ก็ไม่เอา ฉะนั้นมนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐที่ศรัทธาความถูกต้องดีงามเเละประพฤติปฏิบัติจนตราบลมหายใจสุดท้ายจึงเรียกว่าผู้ประเสริฐเเท้จริง
แล้วรู้ไหมว่าภพภูมิมนุษย์เป็นภพภูมิที่ใหญ่กว่าเทวดา เพราะมนุษย์ยังสามารถสร้างความดีให้มากยิ่งขึ้นเเต่เทวดาไม่มีโอกาสสร้างความดี ไปแค่รับผลบุญ เมื่อหมดก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ฉะนั้นไหว้เทวดาไหว้ฟ้าดินไม่สู้ไหว้ตัวเอง เมื่อไรจะทำให้ตัวเองน่าเคารพสักที ใช่ไหม (ใช่) 
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วคนในโลกนี้ดีไหม (ดี)  แล้วโลกนี้ดีไหม (ดี)  เพราะมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าทุกคนมีดี เรามองเห็นใครๆ ก็ดีหมด มีคุณค่าหมด แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดว่าทุกคนแย่ เราก็จะมองเห็นโลกมีแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความนึกคิดก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน อย่ามองว่าความนึกคิดจะไม่ใช่กิเลส จะไม่ใช่ตัวปัญหา แต่มันเป็นตัวปัญหาหลักเลย คิดถูกก็เห็นถูก คิดผิดก็เห็นผิด ใช่หรือไม่
เหมือนเรามองเห็นเขาแล้วเอาแต่จับผิด มันก็เห็นผิดวันยังค่ำ แต่ถ้าเรามองเห็นเขา แล้วเขาต้องมีดีสิ สักวันเราก็จะเห็นเขาดี แต่ถ้าเราเอาแต่มองว่าเขาแย่ ถามว่าเขาจะดีขึ้นมาไหม (ไม่)  แล้วใครที่ทำเขาแย่ ความคิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกิเลสก็อาจจะเกิดจากความคิดเห็นแห่งตัวตน และความหลงผิดนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างกับอารมณ์นิสัยของคน และทุกครั้งที่เราคิดเราต้องทำตามที่เราคิดเสมอไหม (ไม่)  แต่เราก็ไม่สามารถล้างความคิดออกจากใจได้ เวลาที่เราคิดมันก็ยังคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้ธรรมไม่ได้สอนให้เราไปเพ่งมองคนอื่น เปลี่ยนแปลงคนอื่น วัดค่าคนอื่นดีเลว แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรารู้ทันตามความคิดและหยุดมันก่อนคิดได้ ดังคำปราชญ์ที่สอนไว้ว่า “ไม่เริ่มก็จบทันที” แต่มนุษย์ไม่ใช่ คิดแล้วเริ่ม เริ่มแล้วทำ ทำแล้วก่อกรรม ก่อกรรมแล้วผูกเวร แล้วค่อยไปตามแก้กรรมแก้เวร แต่ถ้าเราสามารถรู้ก่อน เห็นก่อน ทันก่อน ไม่ใช่เพื่อรู้ทันคนอื่น แต่เพื่อรู้และทันตัวเอง หยุดบาปหยุดเวรที่ตัวเอง มันดีกว่าไหม (ดี)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากความคิด แล้วคิดแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก คิดแล้วทำ ใช่ไหม
สิ่งที่เรามักจะเป็นแล้วทำให้เราทุกข์คือ “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอม” แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไรละ ในเมื่อความคิดเรามันไม่ยอมผิด ไม่ยอมรับ แล้วก็ถามว่าทำไมต้องว่าฉัน ทำไมต้องทำฉัน ทำไมต้องด่าฉัน จริงไหม (จริง)
เหมือนเราคิดว่าทำไมต้องยืน ทำไมไม่ได้นั่ง ทุกข์ไหม ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ทุกข์ไหม ไม่ทุกข์นะ ถ้าทำไมต้องยืนแล้วไม่ได้นั่งก็ไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  ทำไมฉันต้องยืนละ ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  งั้นนั่งดีไหม (ดี)  ดีทันทีเลย
ถ้าอยากจะดับความคิดตรงนั้น อย่างแรก อย่าเอาแต่เพ่งโทษและกล่าวโทษผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากทุกข์ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ดีอย่างนี้ ทำไมเขาว่าฉันอย่างนั้น การไม่เพ่งโทษ ไม่กล่าวโทษ มันหยุดความขัดแย้งในใจได้ มันหยุดความโกรธเคืองในใจเราได้ จริงไหม (จริง)  แต่ความคิดมนุษย์ชอบตำหนิ ชอบกล่าวโทษ พอตำหนิคนก็ขุ่นเคืองใจแล้ว เวลามีเรื่องอะไรเราเคยโทษตัวเองก่อนไหม (ไม่เคย)  อยากได้บ้านสงบสุขไหม (อยาก)  อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก)  ฉะนั้นเวลามีปัญหา หนูผิดเอง พ่อผิดเอง แม่ผิดเอง ดีไหม ลองทุกคนต่างยอมรับผิด จะมีการโทษกันไหม (ไม่มี)  มีแต่ร่มเย็น
ถ้าในสังคมมีเเต่คนที่ไม่ตำหนิกัน ไม่กล่าวโทษกัน ไม่ด่าทอกัน ยอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง เราจะทะเลาะกันไหม (ไม่)  เเล้วความคิดที่เราจะเพ่งร้ายใครมีไหม (ไม่มี)  เราจะมองเเต่ว่าเรายังไม่ดีพอ เราคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเพ่งออกหรือเพ่งเข้า (เพ่งออก)  ว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเรา)  ถ้าเราอยากเปลี่ยนเเปลงให้โลกนี้สงบเย็น เราต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ถ้าเราสุขอยู่ที่ไหนก็สุขเเต่ถ้าเราทุกข์มีปัญหาในใจ ไม่ยอม ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่แพ้ ไม่ผิด ไม่เอา มันทุกข์ พอเราทุกข์เราก็อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าฉันโกรธฉันเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราไม่เพ่งโทษไม่กล่าวโทษคนอื่น เราเเปรเปลี่ยนหัวใจเราเป็นเข้าใจเขาให้มากๆ เห็นใจเขาให้มากๆ อภัยเขาให้เยอะๆ เเละยอมรับความจริงเขาให้ได้มาก แบบที่ชีวิตนี้ไม่เคยยอมใครมากขนาดนี้ เเต่วันนี้ก็ต้องยอม เพราะด่าไปก็เหนื่อยทุกข์ไปก็เจ็บ ด่าไปก็ปวดใจ
การเข้าใจลดการทะเลาะวิวาท การเห็นใจลดการเเก่งเเย่งชิงดี การให้อภัยลดการทำร้ายจองเวรเคียดเเค้นชิงชัง เเละการกล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เราสงบเย็นสบาย เเต่ทำไมไม่มีใครทำ เอาเเต่ถามว่าทำไมเขาไม่เป็นมากกว่านี้ ทำไมเขาไม่ดีกว่านี้ ทำไมชีวิตต้องได้แบบนี้ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกับว่า ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ เราห้ามอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  เราหยุดยั้งปากคนได้ไหม (ไม่ได้)  เราเปลี่ยนโลกได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเราเปลี่ยนโลกเปลี่ยนคนไม่ได้ เราเปลี่ยนอะไรได้ (เปลี่ยนตัวเราเอง)
รู้แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีใครทำเลย ต้องรอทุกข์จนถึงที่สุด ต้องรอเจ็บจนเจียนตายแล้วบอกว่า เธอช่วยฉันหน่อยสิ พระจ๋าช่วยหนูหน่อยสิ ศิษย์น้องเอ๋ยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่ศรัทธาในปัญญาของตน แล้วเอาชีวิตของตนไปฝากไว้กับพระพุทธะ ใครจะช่วยเปลี่ยนใจเราได้ จริงไหม (จริง)  กราบไหว้พระแต่ใจยังจมอยู่กับความคิดมันก็ไม่มีประโยชน์นะ เปิดใจกว้างจนถึงที่สุด จนไม่มีขอบเขต แล้วศิษย์น้องจะรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครเห็นแก่ตัว ในโลกนี้ไม่มีใครแล้งน้ำใจ เพราะเรากว้าง ใครไม่กว้างหนูจะกว้าง เขาไม่ใจดีหนูจะใจดี เอาให้ถึงที่สุดที่ชีวิตหนึ่งจะประเสริฐสุดได้ ที่ชีวิตหนึ่งจะดีได้ แล้วเราจะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่มีใครที่เกิน เลย ขาด หรือแย่เลย ทุกคนดีไปหมด เพราะเขาเป็นแบบนี้เราก็ต้องยิ่งดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมไม่เอา พอถึงเวลาเขาไม่ดี เราก็ไม่ดีด้วย เขาแย่ก็แย่ด้วย ตามกันไปเป็นขบวน ใช่ไหม
ฉะนั้นอย่าดูถูกปัญญาอันประเสริฐ อย่าดูแคลนความศรัทธาในความดีของตน เรารักในความดี เราชอบในความดี แล้วเราก็ศรัทธาคนที่ดี แล้วบอกตัวเองว่าทำไมเราไม่เป็นสักที ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากัน พอถึงพรุ่งนี้ก็มะรืนต่ออีก น่าเสียดายนะ เพราะชีวิตมันล่วงเลยไป ยิ่งผ่านไปเท่าไรคุณค่าของเราก็มีได้แค่นั้น ทั้งที่จริงแล้วมันมีได้มากที่สุด กว้างที่สุด ใหญ่ที่สุด แต่ทำไมขอแค่นี้ก็พอ
การเรียนรู้ธรรมและการศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่เราสามารถปฏิบัติได้ในทุกขณะทุกเวลา และทุกขณะที่เรามีชีวิตและดำรงตนอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งที่มนุษย์ชอบบอกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน ปฏิบัติเป็นทาน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยทำตัวเราให้มีธรรมะไหม ให้แต่กิเลสให้แต่อารมณ์ ให้แต่นิสัยความเป็นตัวเองให้เขาเห็น อย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราปฏิบัติได้แค่ตอนอยู่ในวัด แต่กับคนเราปฏิบัติดีต่อกันไม่เป็น อย่างนี้ไม่ถูก
ปฏิบัติได้ที่แท้จริงคือ กับใครเราก็ให้ไม่เจาะจง บุญที่ไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบุญที่สามารถยกระดับใจ ให้เราโปร่ง ให้เราโล่ง ให้สบาย นั่นก็คือ บุญอันประเสริฐ แต่ถ้าบุญทำแล้วหลงยึดติดนั่นก็แปลว่า เดินผิดทาง ใช่ไหม (ใช่)  ใจเราไม่ใช่ถังขยะนะศิษย์น้อง ที่เอาแต่เก็บสิ่งเน่าเหม็น ใจเราเหมือนท้องฟ้ากว้างและสายลมเย็น ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่มีไว้เพื่อแบกทุกข์แล้วก็เจ็บปวดกับความทุกข์ แต่ชีวิตมีไว้เพื่อเรียนรู้เข้าใจทุกข์ และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดั่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดบ่อยๆ ทุกข์มาให้เราแค่รู้ แค่เป็น แค่เห็น แต่ไม่เอาทุกข์ แต่มนุษย์เห็นแล้วก็เอาแล้วก็ทุกข์กับมันใช่ไหม (ใช่)  น่าเสียดายนะเพราะสิ่งที่ท่านกราบไหว้นับถือคือ พระพุทธองค์ ท่านกลับเอาทุกข์มาเป็น บันไดก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธะ เเต่มนุษย์เอาทุกข์ทำให้ตัวเองจมเเล้วก็เวียนว่ายในวัฏฏะ ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ฉะนั้นเรามาเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติง่ายๆ ที่จะทำให้เราทุกข์น้อยลงก่อนดีไหม (ดี)  ส่วนใหญ่เรามักทุกข์เพราะว่าเรื่องราวในโลกไม่เป็นดั่งใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเป็นดั่งใจเรียกว่า (สุข)  ถ้าไม่เป็นดั่งใจเรียกว่า (ทุกข์)  เเล้วถ้าใจไม่มีดั่งอะไรเลย (ว่างเปล่า)  เเล้วอะไรจะทำให้เราสุข (ไม่มี) เเล้วอะไรจะทำให้เราทุกข์ (ไม่มี) เราจึงเดินเข้าสู่ความสงบเย็นเลยใช่ไหม (ใช่)  เเต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่ มีความคาดหวังมีความยึดติด ต้องเป็นแบบนี้ถึงจะสุข ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทุกข์ ถ้าไม่เป็นดั่งที่เราหวังเราไม่ทุกข์ได้ไหม (ได้)  สมมติว่าเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง เขาน่าจะชมเราเเต่เขาก็เอาเเต่ด่าเราทิ่มแทงเราให้เจ็บปวดช้ำใจ เป็นแบบนี้เราจะทำอย่างไร (ก็ช่างเขา)  ศิษย์น้องอย่าลืมใช้ปัญญา ลืมไปแล้วหรือ ในร้ายมีดี ในดีก็อาจมีร้าย เเล้วสิ่งที่เรามองว่าร้าย จริงๆ เเล้วไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการโดนด่าบ้างก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งว่า “เขาคิดแบบนี้ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะคิดด่าเราได้ขนาดนี้” เคยไหมเราทำอะไรอย่างหนึ่งเเล้วเราไม่ได้คิดเลยว่าอยากจะได้หน้า อยากได้คนชม เเต่อยู่ๆ เขาก็ว่าเราอยากได้หน้าใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นในเรื่องร้ายๆ มันก็มีดี ในเรื่องดีบางทีก็มีร้าย เมื่อเราไม่ปักใจเชื่อ ไม่ปักใจคาดหวัง จะมีอะไรทำให้เราทุกข์และอะไรจะทำให้เราหลงระเริงสุข มันก็ไม่มี ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมาเราก็สบาย ถึงเวลาเราเป็นอย่างนั้นไหม ศิษย์น้องก็อาจจะบอกว่า “ศิษย์พี่ คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องดีต่อกันสิ พูดก็ต้องพูดดี ทำต่อกันก็ต้องทำดี แต่ทำไมเขาทำแบบนี้” ใช่ไหม (ใช่)  เรารักดีเราหวังดีได้ แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีกับฉัน (ไม่)  ศิษย์น้องก็รู้ใช่ไหม แล้วทำไมพอเขาทำไม่ดีกับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจึงโกรธเขา เราหวังดีนั้นดี เราปรารถนาดีนั้นดี แต่เป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะต้องดีกับฉัน ห้ามทำไม่ดีกับฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ถ้าเขาทำไม่ดี เขาผิดไหมที่เขาทำไม่ดี (ไม่ผิด)  สมควรด่าไหม (ไม่ควร)  แล้วสมควรส่งต่อประจานไหม (ไม่ควร)  เห็นศิษย์น้องทำหมดทุกทางเลย ต้องให้โลกรู้ต้องให้สังคมรู้ ให้เขาไม่มีที่ยืนเลย ใจร้ายไปใช่ไหม (ใช่)  เขาทำไม่ดีแค่ในสายตาเรา แต่ในสายตาคนอื่น เขาอาจจะดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอีกอย่างทุกคนมีเหตุผลที่จะทำผิดได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเขาไม่ดีหรือความยึดมั่นถือมั่นที่เราไม่ชอบความไม่ดีแบบนี้ มันไม่ดีกันแน่
ใจเราไม่วาง ยึดติดว่าฉันไม่ชอบคนประเภทนี้ ฉันชอบแบบนี้ คนประเภทนี้ไม่ชอบ ถ้าเราไม่มี เราจะมีใครที่เราเกลียดไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีความคิดที่ยึดติดว่า “ฉันไม่ชอบลักษณะนี้ ฉันไม่ชอบคนแบบนี้ ฉันไม่ชอบคนประจบ ฉันไม่ชอบคนหน้าอย่างหลังอย่าง ฉันไม่ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยว ฉันไม่ชอบคนดีแต่พูดแต่ไม่รู้จักทำ ฉันไม่ชอบคนเช่นนี้ขี้บ่นไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น” ถ้าเราไม่มีแบบนี้ เมื่อเจอเราจะทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าอยากไม่ทุกข์ควรจัดการที่เขาหรือเรา (เรา)  และเอาวิธีแก้ทางกายมาใช้กับใจมันได้หรือ ยุบหนอพองหนอสงบหนอทำใจหนอ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจจัดการ อย่าเอากายไปข่มใจ แต่ต้องเปิดใจและรับความจริง เพราะไม่ชอบ เพราะเรารับไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากเอา ใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อเราเรียนรู้ธรรมอะไรเราก็ต้องรู้ รู้แล้ววางจบ สงบ แต่ถ้ารู้แล้วยึดมันก็เป็นกรรม อยากสงบหรืออยากมีกรรม (สงบ)  ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องยึดมันทุกเรื่องเลย มันก็เลยเป็นกรรม ฉะนั้นอยู่เพื่อหมดเวรหมดกรรม หรืออยู่เพื่อสร้างกรรม ถามตัวศิษย์น้องนะ ถ้าเราเรียนรู้หลักธรรม และรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันพร้อมเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ที่แท้จริงคือฝึกรู้ใจ ไม่ใช่ไปรู้ใคร ฝึกรู้เท่าทันใจ ศาสนาพุทธสอนให้เป็นผู้รู้ รู้แล้วตื่น ตื่นแล้วเบิกบาน แต่เรารู้เราไม่ตื่นแล้วเราก็ทุกข์ทน จึงน่าเสียดายที่เดินผิดทางนะ
ศิษย์น้องหลายคน ชอบทุกข์และจมอยู่กับอดีต ศิษย์น้องรู้ไหม คนที่มีชีวิตแล้วจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต พระพุทธะเรียกคนที่จมอยู่กับความทุกข์ในอดีตว่า คนตายแล้ว เพราะคนตายแล้วเท่านั้นที่มีแต่อดีต แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แล้วตอนนี้ศิษย์น้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน)  เอาแต่ทุกข์ เขาเคยด่าหนู เขาเคยว่าหนู เขาเคยทำหนูเจ็บ เกลียดเขา ศิษย์น้องก็คือคนที่ยอมตายทั้งเป็น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่า จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต แต่คนที่จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คือคนที่ยอมให้ตัวเองตายทั้งเป็น แล้วศิษย์พี่ก็หวังว่าศิษย์น้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่คนที่แอบตายแล้วจมอยู่กับอดีตที่ไม่ยอมก้าวข้ามความรู้สึกสักที เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับคนโน้น เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับอดีต ทำไมสามีไม่เห็นดีเหมือนเมื่อก่อนเลย ทำไมภรรยาไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อก่อนเลย ศิษย์น้องคือคนที่อยากจะตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นอยากมีสุขจงอยู่กับปัจจุบันเพราะปัจจุบันคือชีวิต และชีวิตก็มีแค่ปัจจุบัน ผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีอนาคตที่ถูกต้องที่สมแล้วกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ คุณค่ามันยิ่งใหญ่ จงศรัทธาในความดีอันนั้น และรักษาความดีนั้นเป็นทรัพย์ที่ยิ่งกว่าเงินทองใดๆ
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  อย่างน้อยทำให้วันนี้เกิดปัญญา คิดได้ วางได้ ปลงได้ และเห็นทุกข์ชัดและไม่ทุกข์อีก แค่นี้ศิษย์พี่ก็ดีใจแล้ว มีโอกาสก็มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  เราเป็นพี่น้องร่วมศึกษาธรรม เมื่อพูดถึงธรรมไม่มีแบ่งแยก พุทธ คริสต์ อิสลาม ธรรมก็คือธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกใบนี้ อย่าแบ่งแยกกันเพราะศาสนา แต่จงมองให้เห็นธรรม แล้วเอาธรรมนั้นมาทำให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง คิดต่างได้แต่เดินร่วมกันได้ ดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้ แต่เราเข้าใจกัน เห็นใจกัน เข้าใจกัน อภัยกัน ยอมกัน รับกันได้ นั่นแหละความสุขอยู่ตรงนี้ สงบก็อยู่ตรงนี้ ศิษย์น้องไม่ใช่ปรารถนาความสุขสงบหรือ แล้วสงบได้อย่างไรละ ก็ยอมจบ ถ้าไม่ยอมมันก็ไม่จบ พอจบแล้วมันก็สงบ แล้วมันก็เย็นใช่ไหม (ใช่)  แต่หลายๆ เรื่องไม่ยอม ให้ไปเถอะ ให้ได้ก็ให้ไป ยอมได้ก็ยอมไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปจริงไหม (จริง)  ดีกว่าผูกใจเจ็บจองเวรจองกรรมไม่สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที น่าเสียดายนะ แล้ววันหนึ่งศิษย์น้องจะเข้าใจว่า จิตที่เข้าถึงธรรม ทำให้เราพบพุทธะบนแดนดิน แล้วก็กลับคืนสู่ที่มาที่ศิษย์น้องเคยจากมา ดินแดนที่ไม่ต้องการใคร ไม่ต้องมีอะไร มันว่าง มันโล่ง ไม่มีตัวตนอยู่ตรงไหน เพราะมันคือความเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย ไม่แบ่งแยกเขา ไม่แบ่งแยกเรา ไม่มีใครดีกว่าเรา ไม่มีใครแย่กว่าเรา ทุกคนเท่ากันหมด นั่นคือโลกแห่งพระศรีอารย์ ทำได้ มิได้ อยู่ที่ใจเราเอง ยอมไหม (ยอม)  ไปละ
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐            สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ตนเตือนตนรู้นำตนทรงคุณค่า          ตนหลงตนลืมธรรมาน่าใจหาย
เป็นผู้ที่รักธรรมยิ่งจนวางวาย            เป็นผู้ที่สละตนได้เพื่อผู้คน
ที่ไหนมีหลักธรรมาพร้อมบำเพ็ญ         ที่นั้นย่อมร่มเย็นดั่งสายฝน
พึ่งพาตนเพื่อรู้ตนละวางตน              พึ่งพาธรรมเพื่อรู้ตนแจ้งในธรรม
แห่งใดหรือที่สงบคนใฝ่หา                แห่งนี้มีหลักธรรมามาชูค้ำ
ตนผู้ไม่พ่ายกิเลสพาระกำ                ตนผู้มีหลักธรรมสติปัญญา
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับบ้างไหม

  ศีลไม่ขาดธรรมไม่พร่องรู้หน้าที่         ประพฤติดีปฏิบัติดีก้าวไม่ถอย
เมื่อพูดได้ต้องทำได้ไม่เลื่อนลอย          รั้งรอชะรอยคิดมากจนไม่ได้ทำ
ความจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย       รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
ปลงให้ตกวางให้ได้แจ้งในธรรม           ไม่สร้างกรรมเพราะโลภหลงโลกโลกีย์
แสวงได้แต่หาใช่ของเราจริง              แค่ยืมใช้สักวันทิ้งคืนโลกนี้
โลกธรรมแปดอนิจจังหนอตรองชีวี       บำเพ็ญฝึกหลักธรรมมีสติปัญญา
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังฟุ้งซ่านอยู่ไหม ควบคุมอารมณ์กันได้หรือยัง ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตคนคือความเป็นตัวเอง ความเป็นตัวเองทำให้เรื่องราวในโลกใบนี้ดูวุ่นวาย ก็รู้อยู่นะว่าตัวปัญหาที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเองทั้งนั้น แต่พอถึงเวลาทำอะไรเลือกแต่ตัวเองเป็นหลัก ทำไมไม่วางตัวเองลงแล้วหันหลังมองตามความเป็นจริงแล้วยึดหลักธรรมมานำพาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าสำคัญตนผิด สำคัญเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ขาดฉันไม่ได้ เรามักจะคิดอะไรเข้าข้างตัวเอง มองตัวเองเป็นหลัก ใครไม่เห็นความสำคัญก็โกรธ ใครดูถูกความสำคัญก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีฉันโลกมันก็ยังคงหมุนต่อไป ไม่มีเรา โลกก็ยังคงต้องเป็นไปเหมือนเดิม ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดชีวิตนี้ของศิษย์สุขทุกข์ใครกำหนด ให้คนนั้นคนนี้กำหนดว่าแบบนี้ทุกข์ แบบนี้สุข หรือว่าเห็นโลกชัดยิ่งขึ้น มองออกยิ่งขึ้นว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครกำหนดได้ ใจเราก็กำหนดไม่ได้
แท้ที่จริงแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรสุขจริงและไม่มีอะไรทุกข์จริง แล้วเราเคยคิดได้แบบนั้นบ้างไหม ส่วนใหญ่คิดได้กันแค่สองแบบใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตยังมีแบบที่สามอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่เราจะปล่อยชีวิตไปตามที่คนโน้นกำหนดคนนี้กำหนด หรือบางทีเราไม่มองตัวเองเราเอาแต่โทษฟ้า ฟ้ากำหนดให้ชีวิตฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมฟ้าจึงทำกับฉันอย่างนี้ ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดมาชีวิตมีแค่นี้หรือ ทุกข์สุข ทุกข์สุข ทุกข์สุขจนตาย แล้วก็ทุกข์สุข แค่นั้นหรือ
ลึกๆ ในใจเราอยากหาความสงบ แล้วสงบอย่างไรที่ทำให้เราสงบได้เเล้ววางลงได้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ทรมานกลัดกลุ้ม ไม่รู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง เเละมีอิสระได้อย่างเเท้จริง โดยที่ไม่รู้สึกว่าเราทำดีเเล้วหรือยัง ฉันพอแล้วหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  นั่นคือสิ่งลึกๆ ที่ศิษย์แสวงหา เเล้วทำไมศิษย์ไม่เคยหันกลับไปมอง แต่ศิษย์กลับหนี เมื่อนิ่งได้สักพัก ศิษย์ก็ไปหาเรื่องวุ่น สงบได้ไม่ถึงนาที อิสระได้ไม่ถึงห้านาที ก็หาเรื่องไปเกี่ยวให้วุ่นวายอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศิษย์จะศึกษาธรรมกับอาจารย์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ใจของศิษย์อยากให้คนกำหนดชีวิตหรือว่าชีวิตกำหนดตัวเรา หรือเป็นชีวิตที่มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต (มองเห็นชีวิตยิ่งกว่าชีวิต)  ไม่ใช่เป็นแบบเดิม ถ้าศิษย์อยากมองเห็นชีวิตมากกว่าชีวิต อาจารย์จะได้ไปต่อ หากศิษย์อยากวนอยู่ในสุขทุกข์ก็ไม่พูดต่อ เพราะถ้ากลับไปทำเหมือนเดิมก็คือเหมือนเดิม วันนี้ศิษย์มาหาอาจารย์ก็น่าจะมีอะไรเพิ่มเติมและดียิ่งขึ้น ที่เรียกว่าคุณค่าชีวิตที่นำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หนทางเเห่งความเป็นพระพุทธะโดยเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนบำเพ็ญ”
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
ตามจริยมารยาทอันดี เข้าบ้านคนอื่นก็ต้องแนะนำตัว และบอกวัตถุประสงค์ที่มา วัตถุประสงค์ที่อาจารย์มานั้นชัดเจน คือไม่ได้มาขอสตางค์ ไม่ได้มาเรี่ยไร ไม่ได้มารักษาโรค แต่มาสนทนาธรรมเพื่อนำทางชีวิตให้พบความพ้นทุกข์ และก้าวไปสู่หนทางการฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะบนแดนโลก แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกอาจารย์ว่า มันไกลเกินเอื้อมไปหน่อย แต่ศิษย์เอ๋ย ไม่ลองก้าวแล้วจะรู้หรือว่าทำได้หรือทำไม่ได้ เอาแต่ปฏิเสธเราจะไม่เป็นคนเสียโอกาสหรอกหรือ ลองดูไม่เสียหายอะไรนี่ ใช่ไหม (ใช่)
ที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ก็คือ หมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ และการหมั่นพิจารณาธรรมเนืองๆ นี้จะทำให้เราเห็นแจ้งความจริง และไม่จมอยู่กับทุกข์สุขที่มนุษย์ยึดติดและกำหนดกันในโลกใบนี้ แล้วธรรมอะไรที่เราจะพิจารณาเนืองๆ แล้วทำให้เราไม่หลงในสุขทุกข์บนโลกใบนี้ ตอบได้จะได้นั่ง ถ้าตอบไม่ได้ให้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม (ดี)  ถึงจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดทุกข์สุขของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ขอถามว่า ถ้าเกิดอย่างนี้เราจะทำอย่างไรที่จะสามารถมองเห็นเข้าไปได้ชัด จนทำให้เรารู้สึกว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่มีสุขจริงและไม่มีทุกข์แท้ นั่นก็คือการต้องหวนกลับมาพิจารณาธรรม และธรรมนั้นก่อให้เกิดปัญญามองเห็นความจริงจนแจ่มแจ้ง แล้วลวงเราไม่ได้อีกต่อไป
โดยส่วนใหญ่ มนุษย์จะพูดว่า ก็พึงตั้งตนไม่ให้ประมาท หรือที่เมื่อวานพระนาจาพูดว่า อย่าคิดว่าตัวเองรู้ เพราะจริงๆ แล้วยังไม่รู้
อย่างนั้นพิจารณาธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นและเข้าใจความเป็นจริงของโลก และไม่ถูกโลกกำหนดให้เวียนไปทุกข์เวียนไปสุขอีกต่อไป (อริยสัจ 4)  ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราเห็นทุกข์อยู่ทุกวัน เราก็เลยมองมันเป็นโลกแห่งความทุกข์ตลอดใช่ไหม แต่มันก็ยังไม่ทำให้เราเห็นแจ้งถึงขนาดไม่ทุกข์อีก แล้วก็ไม่หลงในสุขอีก เพราะเรายังเห็นไม่ชัด แปลว่าธรรมนั้นยังไม่ถูกกับกรณี สิ่งที่ถูกกับกรณีแล้วรักษาได้ทุกโรคและทำให้เราไม่เจ็บช้ำ ไม่เวียนทุกข์เวียนสุขอีกคืออะไร
(มรรค 8)  คิดชอบ ดำริชอบ การกระทำชอบ ใช่ไหม (ใช่)  เราก็พยายามคิดดีตลอด ปฏิบัติดีตลอด พูดดีตลอดแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม คิดออกไหม
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  ถูกต้องศิษย์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โลกนี้ทุกสรรพสิ่งไม่ว่ารูป นาม หนีไม่พ้นความจริงนี้ เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในสุขไหม (ไม่)  เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง เราจะหลงในทุกข์ไหม (ไม่)  เมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นทุกข์ เราควรหรือที่จะ  ยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเองไหม (ไม่)  และเมื่อเรามองว่ามันไม่เที่ยง ถึงที่สุดมันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เราควรหรือที่จะปักใจว่าคนนี้ชั่ว คนนี้ดี ใช่ไหม
ถ้าทุกขณะจิต ศิษย์พิจารณาเนืองๆ โลภไม่มี โกรธไม่มี หลงก็ไม่มี เพราะจะโกรธอะไรมันไม่เที่ยง จะหลงอะไรมันไม่แน่ จะโลภอะไร โกรธอะไรหลงอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไรจริงสักอย่างในโลกใบนี้ ธรรมะจึงสอนว่าจงมีสติ แล้วรู้เท่าทันกับความจริงอยู่ทุกขณะ เมื่อไรที่ศิษย์สามารถดำรงจิตให้ตรงต่อหลักสัจธรรม ทุกข์สุขไม่มี ความเป็นกลางจะบังเกิด บาปกรรมจะมลายหายสิ้น (สาธุ)  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็น ไม่ใช่ให้มาสาธุกับอาจารย์แค่นั้น
ตัวเรามีความเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา ระหว่างเรามีดีกว่ามีแย่กว่า แต่เราทุกข์เพราะเรามองเห็นแค่เวลานี้ แต่ถ้าเราเปิดใจกว้าง ยังมีอีกหลายเวลา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราโดนเขาด่าแค่เวลานี้ แต่เวลาอื่นไม่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันคือคนที่มีชีวิต เห็นไหมหลักธรรมสอดคล้องกันหมด ถ้าศิษย์มอง ก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นกลางเสมอ แล้วเราก็อยู่ระหว่างกลางอยู่ทุกขณะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลางและซื่อตรงต่อความจริงสักที ถ้าศิษย์ซื่อตรงต่อหลักสัจธรรมความจริง ทุกข์สุขไม่มี เมื่อทุกข์สุขไม่มี ใจเราก็เป็นกลาง พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “บำเพ็ญธรรมให้เดินสายกลาง” เมื่อเราเป็นกลางแล้ว บาปกรรมมันก็ไม่เกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันถูกตัดทิ้งทันที ที่เหลือของชีวิตคือใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ขอแค่ศิษย์ไม่ไปยุ่งเรื่องของใคร ยุ่งเรื่องใจตัวเอง ไม่ต้องหวังให้ใครมาดูแล ไม่ต้องหวังให้ใครมาปลดทุกข์ ปลดด้วยตัวเอง ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
วางใจเป็นกลางแล้วอะไรก็ดีทั้งนั้น มันไม่มีอะไรดีร้ายจริงหรอก อย่าปล่อยให้ใจมันยึดติดกับความจำได้หมายรู้เก่าๆ แล้วทำให้เรามัวแต่แบ่งแยกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี เราก็จะหนีไม่พ้นกรรมจริงไหม (จริง) 
นั่งหรือยืนดี (นั่งก็ดี ยืนก็ดี)  ค่อยชื่นใจหน่อยมีคนตอบให้อาจารย์ภูมิใจ จำไว้นะ เมื่อไรที่จิตใฝ่จะยึดถือสิ่งใด เมื่อนั้นศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปรอรับผลของมัน ถ้าอะไรเราก็ไม่ยึดไม่กำหนด อะไรก็ได้ เราจะต้องมีกรรมไปรองรับอีกไหม (ไม่)  แต่ความเป็นคนที่ยึดว่าอันนี้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นไม่ได้ต้องเป็นอย่างโน้น เราก็เลยหนีวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างไม่เคยพ้นสักที เราเกิดมาตัวเปล่าไม่ใช่หรือ (ใช่)  เเล้วถึงที่สุดก็บอกว่าอันนี้เป็นของเรา ถึงเวลาใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  เราเเค่กำลังยืมธรรมชาติมาใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนกลับไป เเต่ทำไมมาผูกใจเจ็บเเล้วจองเวรจองกรรม (เขาแกล้งเรา เขาโกงเรา)  ถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องต่อกันก็ไม่ต้องมาเจอกัน
(มีนักเรียนในชั้นท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวที่อึดอัดในใจ)  ไม่เป็นไรรู้ว่าศิษย์อึดอัดเก็บเต็มใจไปหมด ชีวิตกว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมายืนตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหม (ใช่ แปดสิบแล้ว)  เเล้วจะแบกต่ออีกทำไม (ต้องสู้) แล้วจะแบกสิ่งที่ผ่านไปแล้วทำไม (ไม่แบก)  อย่างนั้นก็ยิ้มสู้
อาจารย์รู้ทุกคนมีเรื่องราวมากมายในชีวิต มีความทุกข์มากมาย ถ้าอาจารย์ย้อนกลับไปได้ จะย้อนถามว่า เเล้วตอนนั้นที่ว่างๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียวสบายๆ ทำไมไม่เอา แล้วตอนนี้ไปเกี่ยวไปยุ่งมาแล้ว แล้วมาบอกว่าทุกข์มากเลย อาจารย์จึงบอกแต่ต้น ชีวิตศิษย์กำลังให้ใครกำหนด กำหนดเองหรือมองให้ชัดแล้วจะได้ไม่มีอะไรมากำหนดใจหรือมาบีบใจศิษย์ได้อีกต่อไป (มองให้ชัดแล้วไม่มีอะไรมาบีบใจอีกต่อไป)  เราอยากให้ใครมาบีบใจเราเล่นไหม (ไม่)  อย่างนั้นก็อย่าเผลอยกใจให้ใคร ในเมื่อลึกๆ แล้วอยากเป็นสุขอยากอิสระ แต่ถึงเวลาอิสระไหม (ไม่)  หาเรื่องทุกทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าถอยกลับได้ถอยแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่อาจารย์บอกว่า ไม่มีน่ะดีแล้ว ไม่เคยเชื่อสักราย ใช่ไหม (ใช่)  หาเหาใส่หัวก็ต้องรับเหาแล้วก็เกาไปเถอะนะศิษย์เอ๋ย ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ่งมันก็ยิ่งเกา เกาต่อไปแล้วเป็นอย่างไร ขี้กลากก็ขึ้นหัว แล้วใครยอมหัวล้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ จะทำอย่างที่อาจารย์บอกนี้ก็ดูน่าจะทำได้ใช่ไหม (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  เราเริ่มมาดูกันง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ เมื่อสักครู่อาจารย์ขมวดปมจนถึงสุดท้ายแล้วจบให้ศิษย์เห็นแล้ว แต่เรามาเริ่มดูตั้งแต่แรกก่อน ว่าต้นเหตุและความเป็นมาที่ทำให้เราไปขมวดจนกลายเป็นแบบนี้ มันมาจากไหน เริ่มต้นแรกๆ ก็คือ เราไม่เคยมองเห็นโลกตามจริง เราไม่เคยมองเห็นโลกชัด ในทุกลักษณะที่เราเห็น แท้จริงแล้วยังมีลักษณะจริงซ่อนอยู่เสมอ และสิ่งที่เราเห็นมักจะเป็นลักษณะที่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน ถ้าเราหมั่นพิจารณาเรื่อยๆ นึกถึงหลักสัจธรรมว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะใหลหลงและยึดมั่นถือมั่น (ไม่ควร)
เจอเงินห้าร้อย เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  ไม่เคยพิจารณาเลย อุตส่าห์พูดไปนะศิษย์เอ๋ย อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ เรารู้ดี เรารู้ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่เราห้ามไม่ได้ คือต่อมความอยาก ต่อมนี้ถ้ามันทำงานแล้วมันจะอยากลึกๆ ใช่ไหม (ใช่)  ที่มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถหยุดความอยาก หยุดตัณหา หยุดกิเลสในใจได้ เห็นทุกข์เป็นสุขก็เพราะยังมีใจที่นอนเนื่องไปด้วยกิเลสตัณหา ใช่ไหม
มนุษย์ไม่สามารถสิ้นทุกข์ได้ เพราะมนุษย์หนีไม่พ้นความอยาก รับไม่ได้กับความไม่มี ต้องมี ต้องได้ ก็เลยทำให้ศิษย์ต้องเริ่มวุ่นวายแสวงหา แต่ถ้าอาจารย์ถามว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราหา สามารถเป็นของๆ เราได้ไหม ถึงที่สุดเราต้องกลับไปสู่ความว่าง คือไม่มีเหมือนเดิม ถ้าเราไม่ลืมว่าใจเราลึกๆ อยากหาความว่าง ความอยากจะครอบงำเราได้ไหม กิเลสจะชักนำเราได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อเรารู้อยู่เต็มอกว่า ถึงที่สุดก็ต้องวางทิ้งไว้ กลับสู่ความว่างเปล่า แต่เราสนใจกันไหม อาจารย์จะบอกนะศิษย์ ห่วงผูกแล้วมันตัดยากนะ กรรมเมื่อสร้างแล้ว มันสิ้นกรรมไม่ได้ คนที่จะปลดกรรมได้มีแต่ตัวศิษย์เองเท่านั้น เมื่อศิษย์ป่วยหนัก สังขารจะไม่ไหวแล้ว ไปทำงานไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังห่วงงาน แล้วความห่วงนี้ ถ้าตายไปพร้อมกับความห่วง จิตก็หนีไม่พ้นการกลับมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วเสวยผลกรรมที่ศิษย์ยังห่วงอยู่ แล้วตอนนั้นแก้ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นถ้าหันกลับมาเราจึงพบฝั่งธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยหันกลับมามอง มุ่งหน้าอย่างเดียวว่า อยาก อยาก แล้วก็อยาก
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุด ระมัดระวังความอยากไม่ทำให้ก่อเกิดกรรมชั่ว อยากอะไรก็ได้แต่ความอยากนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดเป็นกรรมชั่วที่ต้องมาเบียดเบียดและทำให้เราต้องมาเวียนว่ายไม่จบสิ้น หนทางที่จะตัดกรรมชั่วและบาปที่ดีที่สุดนั่นคือ หยุดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หยุดตำหนิคนอื่น และหยุดเพ่งมองคนอื่นไม่ดี หันกลับมาตรวจสอบตน เพราะทางมาแห่งบาปทั้งมวลล้วนเริ่มต้นมาจากการจ้องจับผิด คิดตำหนิ มองแง่ร้าย ใจเป็นอย่างไรก็เห็นคนเป็นอย่างนั้น ใจชั่วก็เลยเห็นคนชั่ว ใจดีก็เลยเห็นคนดี ใช่ไหม หรืออีกอย่างหนึ่งคือ ดูแลกายแล้วก็ต้องกลับมาดูแลใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสำคัญที่ใจ ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ก็เลยบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะพยายามทำดีเยอะๆ ทำบุญมากๆ เพื่อจะได้ลดบาปที่ศิษย์สร้าง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  บุญบาปมันคนละส่วนกันใช่ไหม (ใช่)  แต่มือหนึ่งก็ทำบุญ อีกมือหนึ่งก็สร้างบาปถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีไหมศิษย์ มือหนึ่งไม่สร้างบาป มือหนึ่งเพียรพยายามทำบุญ ดีไหม (ดี)  ศิษย์พยายามทำดีแต่นิสัยที่ไม่ดีก็ไม่แก้ ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดเลย ใช่ไหม (ใช่)  หนูเป็นคนดี หนูทำบุญตั้งเยอะ ทำไมหนูไม่ดีล่ะ ก็ศิษย์ไม่เคยแก้นิสัยไม่ดีเลย ปากเราว่าเราชอบทำบุญแต่อีกปากหนึ่งเราก็เผลอนินทา มือหนึ่งเราก็บอกว่าเราใจดีมีเมตตาแต่อีกมือหนึ่งเราก็เผลอแอบอิจฉาริษยา ถูกไหม (ถูก)  ใจหนึ่งเราก็บอกว่าให้แต่อีกใจหนึ่งเราก็อยากได้ เอาหน่อย เอาก่อน เดี๋ยวค่อยให้ทีหลัง เอามาเยอะๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกไหม (ถูก)  เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)
พุทธะจึงสอนไว้ว่า จิตใจเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากและละเอียดอ่อน แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือชอบใฝ่ไปตามอารมณ์ที่ตัวเองปรารถนา ที่ตัวเองใคร่อยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามควบคุมใจตัวเอง ไม่ไปหวังควบคุมคนอื่น การรู้จักควบคุมใจตัวเองจะนำพาให้ชีวิตพบความสงบสุขที่แท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ก่อนเอาแต่ว่าคนอื่น ให้คนอื่นดีแล้วเดี๋ยวตัวเองค่อยดี ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราอยากเป็นคนดีที่แท้จริงที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด แล้วรับผลกรรมอีกต่อไปไหม (อยาก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)
จะเอาแอปเปิลแห่งความสุขหรือแอปเปิลแห่งความทุกข์ (แอปเปิลตามธรรมชาติ)  แอปเปิลมีธรรมชาติของมันอยู่แล้ว สุขทุกข์อาจารย์กำหนดไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำสิ่งใด อย่างนั้นเอาแอปเปิลแห่งความทุกข์ไปดีไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ พบทุกข์จึงพบธรรม เเละบางทีพบสุขอาจจะหลงสร้างเวรกรรม
เอาสุขไปดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่า ไม่ใช่อาจารย์เป็นคนกำหนด อาจารย์ก็แค่พูดไปเรื่อยๆ ถ้าถือสายึดมั่นถือมั่นก็สร้างวิบากกรรม แต่ถ้าไม่ถือสาไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็แค่แอปเปิลธรรมดาลูกหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเวลาเราคิดดี เรียกว่าสวรรค์เกิด เมื่อเราคิดชั่ว เรียกว่านรกอุบัติ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบุญ สวรรค์จึงบังเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางบาป นรกจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางดี ความสุขจึงเกิด เมื่อไรที่เราเอนจิตไปทางชั่ว กรรมจึงก่อเกิด ฉะนั้นกรรมหรือการกระทำจะดีหรือจะชั่ว มันอยู่ที่ชั่วขณะจิตเราคิดว่า เรายึดสิ่งใดใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายึดในสิ่งที่เป็นเรื่องบุญมันก็กลายเป็นสวรรค์ ถ้ายึดแล้วทำชั่วมันเป็นบาปก็กลายเป็น (นรก)  จิตของมนุษย์ง่ายที่จะไหวไปตามสิ่งที่กระทบ และก็ถูกกำหนดด้วยจิตของตัวเองว่า สิ่งที่กระทบนี้มันจะเรียกว่าบุญหรือเรียกว่าบาป จะเรียกว่าทุกข์หรือเรียกว่าสุขก็ขึ้นอยู่กับใจเรายึดติดเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
กรรมคือผลของการกระทำ แล้วถ้าผลของการกระทำนั้น ก่อเกิดเป็นการเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เราต้องทำแล้วทำอีก จึงกลายเป็นวิบากกรรมและ  กงเกวียนกำเกวียน ถ้าหากว่าสิ่งที่อาจารย์ทำนี้ อาจารย์มีใจที่ยึดติดว่าเป็นแบบนี้ที่เรียกว่าดี เมื่อหันไปทางดีก็เรียกว่า กรรมดี เมื่อหันไปทางไม่ดีก็เรียกว่ากรรมชั่ว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าในใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชั่ว (คือความว่างเปล่า)  ฉะนั้นที่เขาดีหรือชั่วเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา)  ใจเรากำหนดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่)  ที่ทำให้เราทุกข์หรือสุขเป็นเพราะเขาหรือเพราะใจเรา (ใจเรา)  สามียิ้มเมื่อไรเราจะสุขมากไหม สามีด่าเมื่อไรเราจะทุกข์ไหม ถ้าเราไม่กำหนดในใจเรา อะไรเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันเป็นอกรรม คือกรรมที่ไม่เกิดวิบากกรรมที่ต้องไปรับผลต่อ แล้วถ้าสุขมันจะรับผลต่ออย่างไร เวลาสุขแล้วอยากอีกไหม (อยาก)  สามียิ้มหนึ่งครั้ง อยากให้สามียิ้มอีกไหม (อยาก)  มันเป็นวิบากกรรมไหมล่ะ (เป็น)  สามีด่าเราหนึ่งครั้ง เราอยากให้เขาด่าอีกไหม (ไม่)  แล้วมันเป็นวิบากกรรมไหม ทำไมต้องด่าฉันล่ะ มาคุยกันก่อน เรื่องมันไม่จบแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่ศิษย์หลงยึดมั่น ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเสวยรับ เหมือนวันนี้ถ้าศิษย์กินแอปเปิลแล้วหวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด)  เพราะอยากกินอีก แล้วถ้าไม่หวาน วิบากกรรมเกิดไหม (เกิด)  ใครไปซื้อมานี่โง่จริงๆ เลย เปรี้ยวก็เปรี้ยว เกิดวิบากกรรมแถมยังไปว่าเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม่ค้าโกหก ขายก็แพง เกิดการจองเวรจองกรรม ถ้าผ่านร้านเมื่อไรจะกลับไปว่าให้เจ็บเลย ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าในใจศิษย์ไม่ยึด มันจะมีกรรมให้เราต้องเวียนไปไหม (ไม่) มันก็แค่นั้นนะ มันก็จบนะ แล้วเมื่อมันจบแล้วจะต่อไหม (ไม่)  เป็นการดำรงชีวิตเพื่อชีวิตแค่ชีวิต แต่ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรกับชีวิตมากไปกว่านี้แล้ว เพราะเห็นชัดอยู่ทุกขณะว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า จะเอาอะไร โกรธอะไร แค้นอะไร กรรมก็เลยไม่ปรุงแต่งให้เราดีร้ายอีกต่อไป เรียกว่าเราพ้นยมทูตอย่างแท้จริง ยมทูตมาทำอะไรเราไม่ได้ นรกหรือสวรรค์ก็มาพลิกใจเราไม่ได้ เพราะเราเข้าใจแล้ว นรกน่ากลัวแค่ไหนฉันก็ไม่คิดใฝ่หา สวรรค์ดีเลิศอย่างไรฉันก็ไม่คิดยึดมั่นถือมั่น เพราะชีวิตนี้ฉันขอความเป็นกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำดีก็หลงยึดถือว่าต้องรับผลดี ทำชั่วก็พยายามหลีกหนีไม่ยอมสำนึกผิด น่าเสียดายยิ่งนัก
หมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้วศิษย์จะได้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามว่า พอพิจารณาให้เที่ยงๆ แล้ว อาจารย์บอกศิษย์ว่าไม่ต้องทำงานหาเงินเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เงินก็ยังต้องหาอยู่ แล้วจะหาอย่างไรที่จะทำให้หาแล้วไม่โลภไม่หลง แล้วไม่สร้างบาปเวรกรรม
(ทำอาชีพที่สุจริต)  ทำอาชีพที่สุจริตจะทำให้เราไม่โลภไม่หลงใช่ไหม วิธีที่ดีที่สุดคืออะไรรู้ไหม การขายไม่ใช่ขายเพื่อแลกเงิน แต่ให้การขายเป็นการสร้างบุญได้อีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องการนำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ให้เขาได้รับรู้ ขายแบบนี้เป็นขายแล้วได้บุญ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องไม่โกหกเขานะ ถ้าดีก็ต้องบอกว่าดี ไม่ดีก็ต้องบอกว่าไม่ดี นั่นเรียกว่าค้าขายไปแล้ว เราได้สร้างบุญ ทำให้เขาได้ร่วมบุญกับเรา 
เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นการแสวงหาที่ไม่ก่อเกิดโลภ ไม่ก่อเกิดกิเลส และไม่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อเราทำจนเต็มกำลังเต็มความสามารถ โดนด่าก็ไม่โกรธ โดนคนเลื่อยขาเก้าอี้ก็ไม่แช่งชัก โดนกดตำแหน่งทำให้เราไม่ก้าวหน้าก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ นี่จึงเรียกว่าทำจนถึงที่สุดแล้วเราก็ละวาง ยอมรับความจริง ทำให้ได้นะ
(ขายบ้าง แจกบ้าง เผื่อแผ่สำหรับคนที่ไม่มีบ้าง)  วันนี้ตั้งใจจะขายเท่านี้ และก็มีแจกเท่านี้ ทำได้ไหม แต่มันยากนะ ขอขายก่อนเดี๋ยวเหลือแล้วค่อยแจก ความหมายมันไม่เหมือนกันนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยให้ไปก่อนเถอะ สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ และสามารถพกพาไปทุกภพทุกชาติและใครก็แย่งไปไม่ได้คือบุญแห่งการอุทิศให้ เป็นบุญที่เราไม่ต้องใช้ทรัพย์อะไรเลย และมันจะตามติดผู้สร้างบุญนั้นไปไม่ว่าศิษย์จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เราก็สามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อเราทำได้ดีทำได้ถูกต้อง คนอื่นไม่เดือดร้อนเพราะเรา เราก็คือสร้างบุญในโลก แต่ถ้าเราทำงานอย่างหละหลวม ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผลสุดท้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มันก็สร้างบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแค่รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่เราชอบกินแรง เอาเปรียบ รักสบายใช่ไหม 
เวลาศิษย์แสวงหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เราหาเพื่อหวังจะได้ และเราหาเพื่อหวังจะมี แต่ทำไมยิ่งหาเหมือนยิ่งหมด ยิ่งหายิ่งเหมือนไม่มี โลกสอนธรรมะเราตลอด แต่เราไม่เคยมองเห็นและไม่เคยยอมรับ ยิ่งหายิ่งไม่มี ยิ่งหาเหมือนยิ่งพร่อง ยิ่งหาเหมือนยิ่งขาด ยิ่งหาเหมือนยิ่งไม่ได้ แต่ศิษย์ก็พยายามหาเพื่อจะให้รู้สึกว่าตัวเองมี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์บอกวิธีง่ายๆ หาอย่างไรที่ทำให้รู้สึกว่ามีนั่นคือ “การให้” พอมีแล้วรีบให้ ยิ่งให้ก็จะทำให้เรายิ่งมี ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย เคยไหมยิ่งหามันยิ่งพร่อง เมื่อไรที่เรารู้พอ แล้วมันจะมี แต่เราเคยหันกลับไปแล้วบอกว่าพอไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าอยากมีก็จงรู้จักพอบ้าง แล้วศิษย์จะรู้จักสร้างสิ่งที่มีให้มีค่ายิ่งขึ้น แล้วมองสิ่งที่มีให้เป็นค่าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ 
ในตัวเรามีทั้งจริงและปลอม มีทั้งกาย ใจ จิต มนุษย์เราแสวงหาและทำทุกอย่างเพื่อกาย แต่ลืมใจภายในหรือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ใช่ใจ ใจยังหลงกับความเป็นตัวตน แต่จิตเดิมแท้เป็นสิ่งบริสุทธิ์และสงบ เราเคยทำอะไรตามจิตเดิมแท้ หรือเราทำอะไรตามใจ หรือเราทำอะไรตามกาย เราเป็นไปทางไหน เป็นไปเพื่อภายนอกมากกว่าเพื่อภายในใช่ไหม ชีวิตเราถึงที่สุด เราก็ต้องวางภายนอก เพื่อกลับคืนสู่ภายในอันเป็นของจริง
มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นอารมณ์ความรู้สึก เเม้กระทั่งอารมณ์ก็ไม่เคยเที่ยง เเม้กระทั่งความรู้สึกก็ไม่เคยเที่ยง จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ามนุษย์สามารถก้าวข้ามความรู้สึกได้ จะรู้ว่าจริงๆ ว่าในตัวเรานั้นไม่มีอะไรจริง มีแต่ความว่างเปล่า ในกายมีใจ ในใจมีจิต ทั้งกายใจเเละจิตต่างทำงานเชื่อมสัมพันธ์กัน เเต่ที่เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ก็เพราะใจเราบดบังจิต เเละมักทำอะไรเพื่อกายเเต่ลืมมองจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ    จิตเดิมเเท้ไม่ต้องการครอบครอง เเละจิตเดิมแท้ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรมที่ศิษย์พยายามค้นหาเเละหลุดพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพิ่มเติม)
อาจารย์ขออนุมานว่ามันมีกาย มีใจ แล้วก็จิต เพราะใจนี้มันจะใกล้เคียงกับคำว่าเป็นตัวตน เรามักจะสร้างใจของเราให้เป็นไปตามตัวตนที่เรายึดถือ และบดบังจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวธรรม แท้จริงแล้วจิตเหมือนพระอาทิตย์ มันสว่างโล่ง เป็นเหมือนสภาวธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ตอนนี้ใจฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนี้ ลองหาดูสิว่าใจมันมีไหม (ไม่มี)  เราทำเพื่อสนองใจที่เราคิด สนองใจที่เรารู้สึก ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีไหม (ไม่มี)  แล้วมันก็คอยคุมกายเราตลอดเวลา ใช่ไหม (ใช่) 
ใจมันจะโผล่ก็ต่อเมื่อใจนั้นมีอารมณ์มาอิงแอบ มีอารมณ์มากระทบแล้วแทรกซึมให้เราเป็นตัวเป็นตน แต่ถ้าหมดอารมณ์ หมดความรู้สึก หมดความนึกคิด ใจมีไหม (ไม่มี)  เมื่อใจมันไม่มี เราเห็นธรรมไหม (เห็น)  มันไม่เห็นนะศิษย์ ศิษย์อย่ามองธรรมเป็นสิ่งของสิ เพราะถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ความว่าง มันคือสภาวะที่ไม่มีอะไร แต่มนุษย์มักจะมองให้มันต้องเป็นรูปเป็นร่าง มันต้องเป็นแสงกลมๆ เป็นอะไรที่สว่างไสว ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีอะไร เมื่อมันไม่มีอะไร มันก็เลยสามารถแทรกซึมอยู่ในทุกๆ ที่ มันถึงได้ยิ่งใหญ่ เพราะมันไม่มีอะไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปสู่คำว่าไม่มีอะไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ “หนูอยากมีอะไร และอยากเป็นอะไร” ซึ่งมันคือความหลง เราศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อไปมีอะไร ไปเป็นอะไร แต่กลับคืนสู่สภาวธรรมอันว่างอันไม่ยึดถือ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเพียรพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าก่อเกิดเป็นความรู้สึก อย่าก่อเกิดเป็นความนึกคิดแล้วกำหนดจนก่อเกิดเป็นวิบากกรรม เมื่อเจออะไรมากระทบ อย่าให้มันกระทบกระแทกกระเทือนใจ แต่จงแค่รู้ ยอมรับความจริง รักษาใจให้ปกติและก่อเกิดปัญญา ใช่ไหม (ใช่)  แค่รู้ยอมรับความจริง อย่าแบกความรู้สึก อย่ายึดความรู้สึก เพราะมันจะก่อเกิดเป็นวิบากกรรมว่า ตีฉันทำไม เมื่อมันรู้สึก ก็จะทั้งเจ็บกายเจ็บใจ แต่ศิษย์จำไว้ เมื่อมีสิ่งมากระทบ ทุกสิ่งเกิดและดับลงทันที ถ้าว่างเปล่าจากใจที่ยึดถือ มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว มองให้มันต่อเนื่อง อยู่กับปัจจุบัน มันเกิดแล้วมันก็จบแล้ว แต่ความคิดที่ยึดถือ มันก่อเกิดวิบากกรรมที่ไม่ยอม ไม่เอา ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงรักษาศีล” ศีลคือทำใจให้ปกติ สมาธิ คือมั่นคงไม่หวั่นไหว แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่า มันเกิดแล้วมันก็จบไป ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนที่อาจารย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความนึกคิดยึดติดในตัวตน จะสงบ วาง และจบ พุทธะจึงสอนว่า แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ปรุงแต่งเพิ่ม ไม่คิดต่อเติม แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มีใครมาสร้างกรรมอะไรกับเรา เพราะเราว่างจากตัวตนที่ยึดถือแล้ว ยากไหม (ไม่ยาก)  ปฏิบัติยาก เพราะใครจะแค่รู้แค่เห็นเเละเเค่นั้นจริงสักราย ฉะนั้นศึกษาบำเพ็ญเพื่อตัดภพตัดชาติ ไม่เวียนว่ายกรรมอีกต่อไป กลับสู่พุทธภูมิที่เรียกว่าสภาวธรรมเดิมแท้ไม่ต้องการอะไร บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่ยึด เพราะถ้ายังยึดบุญยึดบาปก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายกรรม เราถูกตี แต่เราเจ็บไปทั้งกาย เจ็บไปทั้งใจ เพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเเค่รู้เเค่เห็นเเค่นั้น ด่าแล้วได้อะไร โกรธแล้วได้อะไร เกลียดแล้วได้อะไร ผูกใจเจ็บแล้วดีขึ้นไหม แช่งชักหักกระดูกแล้วทำให้เราสบายใจหรือ ด่าทอต่อว่าแล้วทำให้เราหมดทุกข์หรือ คิดให้ดี ต่อไปชีวิตนี้ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์เป็นแค่เพียงผู้ชี้ทาง ศิษย์จะเดินไหม (เดิน) 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียน)
อาจารย์อยากให้แล้วศิษย์รู้จักให้ต่อ ไม่ใช่ได้รับเเล้วเก็บไว้กับตัว เพราะถ้าเก็บไว้กับตัวจะกลายเป็นความโลภ ความหลง ความยึด แต่กล้าให้ต่อคือการสละออก ซึ่งบังเกิดบุญกุศลที่ไม่ยึดถือ แต่กี่คนที่ได้แล้วจะไม่ยึด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ก้าวต่อไป” ซึ่งนำมาต่อกับพระโอวาทซ้อนพระโอวาทจากชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น รวมเป็นคำว่า “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”)
คนที่ศิษย์อยากจะจูงมือด้วยคือคนที่ศิษย์รักอยากดูแลและอยากช่วยเหลือ และอยากนำพาเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกคนในโลกนี้เป็นคนที่ศิษย์อยากจะจูงมือ แปลว่าทุกคนเป็นคนที่ศิษย์อยากจะช่วยกันดูแล ไม่ทำร้ายกันและนำพากันไปสู่ทางที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้คนต่างเก็บมือ ไม่คิดช่วยใคร น่าเสียดายนะ ถ้าในโลกแค่ทุกคนรู้จักจูงมือคนอื่นด้วยใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ โลกนี้จะพบสันติสุขจริงไหม (จริง)  ลองนำโอวาทที่อาจารย์ให้ไปศึกษา ดีไหม (ดี)
ซ้อมร้องเพลงสักเพลงหนึ่งเพื่อส่งอาจารย์ได้ไหม แล้วนับต่อแต่นี้ไปรู้จักฝึกฝนบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มีเมตตาอุทิศเสียสละเพื่อให้ ให้โดยไม่หวังผล ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าไปเบียดเบียนเข่นฆ่าใครเลยนะ ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์ขอร่วมบุญอันนี้กับศิษย์ดีไหม (ดี)  จะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อเบียดบังทำร้ายใคร เพื่อดำเนินชีวิตตัวเองได้ไหม (ได้)  รู้ไหมว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมีความนัยว่าอะไร
อาจารย์ขอเดินไปหาผู้ร่วมฟังครู่หนึ่งแล้วกลับมาร้องเพลงส่งอาจารย์ ดีไหม (ดี)  เอาลาจากแบบไม่เศร้าไม่มีน้ำตาดีไหม (ดี)  จากกันอย่างเข้าใจเบิกบานใจ และลาจากกันด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขนะ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ ถ้าร้องไห้แปลว่ายังมีสิ่งผิดที่ยังคั่งค้างใจ ถ้ายังร้องไห้แปลว่ารู้สึกผิด ถึงร้องไห้กับอาจารย์ ต้องเข้มแข็งแล้วใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์อย่าร้องไห้นะ เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์แล้วก็ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญ ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม รู้จักอุทิศเสียสละ ไม่ว่าจะเจออะไรก็จงผ่านมันไปให้ได้ ทุกสิ่งล้วนผ่านมาเพื่อให้เราเรียนรู้ฝึกฝน ละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เข้มแข็งนะ อย่างน้อยที่ศิษย์นั่งฟังในวันนี้ สิ่งที่ศิษย์ได้บุญอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุญที่รู้จักเสียสละ บุญที่รู้จักยอมลดความเป็นตัวเองเพื่อผู้อื่น เพราะนั่งตรงนี้อากาศไม่เย็น แล้วก็ต้องยอมให้คนอื่นก่อน ตัวเองทีหลัง ถ้ารู้จักทำได้แบบนี้ตลอด นี่แหละคือการฝึกฝนบำเพ็ญ ลดละวางอัตตาตัวตนเพื่อนำพาผู้คนให้พบหนทางสว่างและความสุข ทำได้นี่ประเสริฐนะ ยอมลำบากเพื่อคนอื่น แต่อย่าเอาแต่นั่ง ต้องรู้จักไปประพฤติปฏิบัติให้ได้ด้วย
ฝึกฝนบำเพ็ญต้องก้าวหน้า ก้าวหน้าอย่างไร อารมณ์ โลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักปลดปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ยังคุกรุ่นเหมือนเดิม เปล่าประโยชน์นะ ไหว้พระต้องได้ใจพระ เคารพฟ้าดินก็ต้องทำได้ดั่งใจฟ้าดิน ฝึนฝนหนทางพุทธะก็ต้องมีใจเฉกเช่นพุทธะ ใช่ไหม ให้อาจารย์เคาะหัวแล้วก็ต้องให้กิเลสตกไปเยอะๆ เหลือแต่คุณธรรมความดีงามรักษาไว้อยู่ในใจ ไม่ใช่เคาะแล้วความดีหายหมด ใช่หรือไม่
มุ่งมั่นบำเพ็ญอุทิศเสียสละ ฝึกฝนบำเพ็ญอย่างไรล่ะ มีความเมตตาไหม พูดด้วยความเมตตาไหม กระทำด้วยความเมตตา ทำให้ได้ถึงคำนี้ เมื่อเมตตาถึงที่สุดแล้ว อารมณ์โลภ โกรธ หลง ก็จะเบาบาง แต่ไม่ใช่เมตตาเฉพาะคนนี้ อีกคนหนึ่งไม่เมตตาก็ไม่ได้
ทุกคนล้วนมีกรรมที่หนีไม่พ้น เมื่อมีก็ชดใช้แต่จะไม่สร้างกรรมต่อ กล้าชดใช้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะได้หมดเคราะห์หมดโศกและจบในชาตินี้นะศิษย์ อย่าไปยื้อยุดให้มันทุกข์ จงปล่อยวางสังขารนี้ที่ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เป็นของศิษย์ที่แท้จริงคือ สภาวธรรมที่ว่างเปล่า ธรรมที่ไม่มีตัวตน กลับคืนสู่สภาวธรรมนั้นดีกว่านะ ถ้าใครยังไม่รู้เรื่อง มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ดีไหม (ดี)  อาจารย์ไปแล้วนะ ก้าวให้ถึงที่สุดนะ ทำให้ถึงที่สุดนะ อาจารย์อยากได้รอยยิ้มจากศิษย์นะ 
อย่าไปแล้วไปเลยนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีก เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ซื่อตรงจริงใจ ทำให้ได้นะ อย่าได้แค่รู้แต่ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ควบคุมอารมณ์ให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต อย่าดูแคลนตัวเองนะ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่า คุณค่าที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอารมณ์เป็นใหญ่ ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา เราเคยมีบุญกันมาก่อน ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญให้ถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่เล่น มีโอกาสกลับมาอีกนะ มาร่วมบุญกับอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ทำให้ได้นะ ลากันไหม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จงรู้จักทำอะไรด้วยสติ อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย อย่างน้อยถ้าไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน แล้วจะมีบุญแค่นี้หรือจะมีบุญอีก อยู่ที่ศิษย์นะ รักษาบุญรักษาโอกาสนั้นด้วยการเลือกหนทางที่ถูกต้อง นำพาชีวิตให้ถูกทาง เข้าใจในธรรมที่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้เรียนรู้ไหม จะได้ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้
รู้จักดำเนินตนเองให้เป็น บำเพ็ญสมกับที่เป็นศิษย์ของอาจารย์หรือยัง อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นสมกับที่เป็นจี้กงน้อยหรือยัง ถ้ายังขอให้แก้ไขทำให้ดีและก้าวไปพร้อมกัน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนมีเรื่องที่ยาก มีเรื่องที่ลำบากใจ เเต่อาจารย์ก็เชื่อมั่นว่า เมื่อเจอเรื่องลำบาก เมื่อเจอเรื่องยาก ศิษย์ก็ยังก้าวต่อได้ เเละยังมั่นคงได้ไม่เปลี่ยนแปลง อาจารย์ยังเชื่อในใจดวงนั้น ใจที่ดีงาม ใจที่งดงาม ใจที่อุทิศเเละใจที่เสียสละ ขอให้อาจารย์เชื่อเเละเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่าท้อเพียงแค่คนพูด อย่าล้าหรือถดถอยเพียงเพราะคนทิ่มแทง เข้มแข็งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฟันฝ่าเเละก้าวไปอย่างมั่นคง ทุกอย่างมาแค่ทดสอบใจ ใจที่ไม่ยึดถืออะไร ใจที่สามารถก้าวไปเเล้วไม่เหลืออะไรให้ยึดถือ
เข้มแข็งนะ สุขภาพช่างมัน รักษาใจที่ดีงามไว้ดีกว่า ความเจ็บป่วยมันเป็นธรรมดามันไม่เที่ยง ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บป่วย แต่เจ็บป่วยแล้วใจยังสู้นั่นประเสริฐกว่าใช่หรือไม่ อย่ากลัวความเจ็บป่วย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวการสูญเสีย เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ทำให้เราเห็นความจริงในชีวิต และมันเป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไยต้องกลัว สู้ก้าวข้ามให้ได้ แล้วปลดปลงตัวเองให้ลง เพราะกายสังขารมันไม่ใช่ของเราแท้จริงนะ
ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย ห่วงศิษย์จริงๆ นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายตัวเองนะ ไม่ว่าเจออะไรก็ผ่านพ้นให้ได้ คนสำคัญของอาจารย์ หายหรือยัง ยังต้องให้อาจารย์ประทานพรอีกหรือ ศิษย์รู้ไหมข้างหน้าอาจารย์ก็ห่วง ข้างหลังอาจารย์ก็กังวล เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วงหายกังวล
ทำได้หรือเปล่า เข้มแข็งนะ ทำงานฟ้าอย่ากลัวเหนื่อย มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามนะ บางคนอาจารย์ไม่ได้จับมือแต่อาจารย์ให้กำลังใจ อาจารย์เข้าใจในความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของศิษย์ แม้ไม่ได้จับมือศิษย์แต่อาจารย์ก็ยังหวังว่าศิษย์ยังก้าวต่อไป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก กลับมาผูกบุญกันอีกนะ เพื่อกลับสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเราเอง

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จูงมือกัน ก้าวต่อไป”
     เทียนไร้แต่ไม่สิ้นแสง                           ความดียังแฝงทุกหน
เมตตาค้ำจุนใจคน                                   น้ำใจดั่งฝนฉ่ำเย็น
ยามทุกข์เราต่างช่วยเหลือ                          โอบเอื้อน้ำใจให้เห็น
โลกนี้ยังไม่ลำเค็ญ                                   เพราะใจตนเป็นแสงทอง
     ยามล้มจงลุกขึ้นสู้                               ไม่อยู่อย่างคนหม่นหมอง
ฟ้ามืดไม่นานแสงทอง                               ปลุกผองผู้กล้าขึ้นมา
ขยันซื่อตรงจริงใจ                                   รู้ในหน้าที่ตนหนา
มีศีลครองธรรมนำพา                               อย่าล้าต่อการมีธรรม


หมายเหตุ
พระโอวาท “จูงมือกัน” ท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ เมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

พระโอวาท “ก้าวต่อไป” พระนาจาเมตตาประทานให้ไว้ในชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร




อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา