วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560

2560-10-21 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น


西元二〇一七年嵗次丁酉九月初二日                               仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                สถานธรรมฮุ่ยอวี้  จ.ขอนแก่น
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
  พบร้ายเข้ามาสอนให้เราดี              พบดีมาเป็นเพื่อนร่วมจุดหมาย
บำเพ็ญสงบให้เป็นเย็นให้ได้              สบายพาขวนขวายพลันลดลง
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ฟ้ามืดหม่นแต่แสงดาวผุดผ่อง          แม้แสงของเทียนสิ้นไม่ขาดช่วง
ในความไร้แต่ไม่ขาดทั้งปวง              ชีพจรธรรมทุกช่วงวัยใจเดียวกัน
ให้คมแฝงยังดีอยู่ในฝัก                   อย่าเก่งดักค้ำคอคนน่าสงสาร
กล้าหาญเมตตาจุนเจือหนุนดั่งคู่กัน      บำเพ็ญนั้นกลัวใจฝึกฝนคลุมเครือ
เกิดเป็นคนน้ำใจฉ่ำชุ่มชื่น                บำเพ็ญตื่นยามเย็นช่วยกันทุกเมื่อ
เวียนสุขทุกข์เราต่างวนเหม็นเบื่อ        ต่างช่วยเหลือโอบเอื้อโลกงดงาม
คนบำเพ็ญอย่าขาดน้ำนี้น้ำใจ            ฟังและเห็นให้ใจยังมีหนาม
ดีได้เพราะลำเค็ญไม่พ้นรูปนาม           มีใจงามใจจึงเป็นพระพุทธา
ความดีเป็นแสงทองชี้นำชีวิต             การฝึกจิตตนจึงได้คืนฟ้า
ทางสายกลางอยู่ที่ไหนใช้ปัญญา         รู้มากมายไฉนหนาไปไม่ไกล

                                  ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้นั่งฟังเกือบค่อนวันแล้ว หลายท่านอาจจะมีความไม่เข้าใจ มีความสงสัยอยู่ในใจว่ากำลังฟังธรรมอะไร ทุกท่านมีศาสนาใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าเรานับถือศาสนาอะไร แต่บางครั้งก็ลืมว่าเรามีธรรมะ
วันนี้เรามาศึกษาเรื่องหลักธรรม ธรรมอันเป็นกลาง ธรรมอันเป็นรากฐานของทุกชีวิต และเป็นหัวใจของทุกสรรพสิ่ง ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรม เราจะเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจชีวิตและสรรพสิ่ง
แต่ปัจจุบันนี้เรามีศาสนา ฟังธรรมมาเยอะ ปฏิบัติมาก็เยอะ แต่เคยพบธรรมสักครั้งหนึ่งไหม อย่าบอกนะว่าพบธรรมแต่ในพระไตรปิฎก ธรรมที่แท้จริงที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ทำให้เราเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น ทำให้เราไม่ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่ที่ไหน หรือเราเอาแต่เน้นปฏิบัติภายนอก แต่ลืมปฏิบัติภายใน หรือเราลืมค้นหาความจริงแห่งธรรม
แล้วธรรมอยู่ตรงไหน บางท่านบอกว่าธรรมอยู่ที่ใจ แต่ทำไมใจเราบางครั้งมีกิเลสมากกว่ามีธรรม หรือว่าธรรมอยู่ที่วัด แต่พอไปถึงวัดกลับไม่ได้ธรรม
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งเยอะ เคยไหมสักครั้งหนึ่งที่ปฏิบัติจนเห็นธรรม แล้วสามารถค้นพบทุกข์ได้ด้วยตน เราปฏิบัติผิดทางหรือเปล่า หรือเราเอาแต่เน้นภายนอกแต่ลืมลงแรงเข้าหาหลักธรรมภายใน ทำไมเราฟังธรรมตั้งมาก รู้ธรรมตั้งเยอะ แต่กลับไม่เคยพบธรรมที่แท้จริง เพราะว่าเราไม่ปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)
ขอใคร่ถามผู้ที่ปฏิบัติธรรม เคยได้ยินคำพูดไหมว่า “หันหลังกลับคือฝั่งธรรม” เคยได้ยินไหมว่า “พบทุกข์จึงพบธรรม”  เราเจอทุกข์
กี่ครั้ง (นับไม่ถ้วน) แล้วเราเจอธรรมไหม แทบจะไม่ค่อยเจอ เพราะยังคงเห็นทุกข์เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)

เราจะบอกให้ว่าทำไมถึงมีคำพูดว่าหันหลังกลับคือฝั่งธรรม การที่เราไม่พบธรรมเพราะว่าเรามักเห็นอะไร คิดอะไร แล้วมักจะอยากให้เป็นดั่งสิ่งที่คิดที่หวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ไหมว่าสิ่งที่คิดสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ธรรม แต่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ ผลพวงของความยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราวางสิ่งที่คิด สิ่งที่หวัง สิ่งที่ยึด แล้วหันกลับมายอมรับความจริงและเอาความจริงนั้นมาพิจารณาจะบังเกิดธรรม แต่เรากลับไม่เป็นอย่างนั้น เราหวังแต่จะให้ทุกอย่างต้องเป็นตามสิ่งที่คิด สิ่งที่หวัง สิ่งที่เป็น ตามที่ใจเรายึดติด เราจึงเป็นผลพวงของกิเลสตัวตนที่เราสร้าง
ธรรมะสอนว่า ถ้าอยากพบทุกข์แล้วเห็นธรรม จงหันหลังยอมรับความจริงและพิจารณาจนบังเกิดธรรม เคยทำแบบนี้ไหม เคยวางความคิดลงแล้วยอมรับความจริงและพิจารณาว่ามีใครบ้างไม่ทุกข์ มีใครบ้างไม่สูญเสีย มีใครบ้างไม่ถูกด่ากล่าวร้าย เราเอาแต่คิดในสิ่งที่อยาก ชีวิตเราจึงเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราวางความอยากแล้วหันกลับมายอมรับความจริง ธรรมะก็อยู่ตรงนี้เอง ลองหันกลับมา อย่าเอาแต่จมอยู่กับความคิดความอยากและไม่ยอมรับความทุกข์
ถ้าเรายอมรับ ทุกข์เราจะเบาขึ้นไหม เราจะเจ็บช้ำกับทุกข์อีกไหม พิจารณาจนบังเกิดธรรมบ้างหรือยัง หรือจมอยู่กับความคิดที่อยากมี อยากเป็น อยากได้ ผลสุดท้ายเราก็คือผลพวงของกิเลส อัตตาตัวตนที่เรายึดถือ
เราใคร่ขอถามนะว่า สิ่งที่รู้ทำให้ท่านเห็นธรรมหรือไม่เห็น โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์หรือเป็นโลกแห่งความสุข ถ้าพิจารณาให้ดี โลกนี้ไม่เคยมีทุกข์แท้ ไม่เคยมีสุขจริง แต่มนุษย์มองไม่เห็นธรรมบนโลกใบนี้ ยังเห็นเต็มไปด้วยความสุข เมื่อไรที่ท่านยังเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความสุขนั่นคือท่านยังยึดติดความอยากในใจอยู่ จริงไหม (จริง)  ถ้าท่านเต็มไปด้วยความทุกข์ แปลว่าท่านได้เผชิญชีวิตแต่ยังก้าวข้ามไม่พ้นความทุกข์ ยังขบไม่แตกในเรื่องความเป็นจริงว่าทุกข์แล้วจะทำอย่างไรต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นขอถามว่าในเมื่อโลกนี้ ทุกข์ไม่จริงสุขไม่แท้ อย่างนั้นโลกใบนี้เป็นสิ่งที่เราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  มีอะไรเป็นของเราไหม (ไม่มี)  ที่มนุษย์เราหวัง วิ่งวนดิ้นรนแสวงหาจนจมอยู่กับกิเลสตัณหาความอยากของตนจนมองไม่เห็นธรรม ก็เพราะเราคิดว่าโลกนี้ยังมีสุข ยังหวังยึดถือพึ่งพิงได้ และยังไขว่คว้าครอบครองได้  ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจอแบบนี้ เราควรจะหยุดแล้วมองให้เห็นชัด ก่อนที่จะถามว่าทำไมฉันต้องทุกข์เช่นนี้ ทำไมชีวิตฉันต้องเจอแบบนี้ จริงไหม
ถ้าเรารู้ว่าของนี้เหมือนกองไฟ รู้ว่าจับแล้วร้อน จะจับไหม จะเล่นไหม เห็นเล่นทุกราย แต่จะเล่นอย่างไร จะจับอย่างไรให้ความร้อนไม่เผามือเผาใจ ต้องมองให้ออกตั้งแต่แรกเริ่มก่อนจะไปคว้า ก่อนจะไปยึด ก่อนจะไปคาดหวัง ฉะนั้นเริ่มต้นท่านต้องเห็นให้ชัดก่อนว่า โลกใบนี้ไม่มีสุขจริงไม่มีทุกข์แท้ ถ้าเข้าใจธรรม แล้วท่านต้องเข้าใจต่ออีกว่า โลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราแม้กระทั่งตัวตน รู้ไหม (รู้)  รู้อยู่เต็มอก แล้วห่วงอะไร แล้วยึดอะไร แล้วอยากอะไร ใช่ไหม (ใช่)
เพราะเราไม่เคยเอาสิ่งนี้มาพิจารณาจนแจ่มแจ้ง เราชอบรอให้เราทุกข์จนถึงที่สุด เจ็บจนถึงที่สุด แล้วค่อยๆ แกะ ค่อยๆ ปล่อย ทำไมต้องทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อยวาง ทำไมไม่เรียนรู้ให้ชัด ใช้ให้เป็น วางให้ได้ นี่ถึงจะเรียกว่า ธรรมะนำมาซึ่งปัญญาแห่งความฉลาด
อยากนั่งไหม (อยากนั่ง)  ถ้าเราไม่ให้นั่งทุกข์หรือสุข วางใจเป็นทำใจได้ก็ไม่ทุกข์ วางไม่เป็นทำใจไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจะยืนหรือนั่ง ทุกข์หรือสุขใช่เราผู้กำหนดหรือใจท่านยึดถือ (ใจยึดถือ)  อย่างนั้นแปลว่าถ้าไม่ได้นั่งสุขหรือทุกข์ ทำไมไม่ตอบว่าไม่สุขแล้วก็ไม่ทุกข์
แท้จริงแล้วคำชมเรียกว่าสุข คำด่าเรียกว่าทุกข์ จริงหรือไม่ (ไม่จริง)  แต่ทำไมส่วนใหญ่มักคิดว่าคำชมคือความสุข คำต่อว่าคือความทุกข์ แล้วจริงๆ ทุกข์หรือสุข ดีหรือไม่ดีอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  ก็ตอบได้หมด ก็รู้หมด แต่ถึงเวลาคนด่าเราโกรธหรือไม่โกรธ (โกรธ)  ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์)
การกระทำของเราดีหรือไม่ดีใครเป็นคนตัดสิน (เรา)  แล้วใครรู้ดีที่สุด (ตัวเราเอง)  แล้วเราห้ามคนไม่ให้พูดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นทุกข์หรือสุข (อยู่ที่ตัวเราเอง)  อยู่ที่คำชมไหม (ไม่ใช่)  แต่ทำไมชมทีไรใจพองโต โดนว่าทีไรใจเป็นอย่างไร (ห่อเหี่ยว)  ทุกทีเลย
ฉะนั้นทุกข์หรือสุขในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่คำพูด ไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์ แต่อยู่ที่เราวางใจเราเป็นไหม เราคุมใจเราได้ไหม ท่านก็รู้ว่าห้ามปากคนยากยิ่งกว่าอะไร ห้ามไม่ให้คนพูดยากไหม (ยาก)  หยุดไม่ให้ปากเราพูดยากไหม (ยาก)  ไม่ต้องคนอื่นหรอก ปากเรายังหยุดยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าไม่อยากทุกข์และไม่อยากสุขมาก ไม่คาดหวังอะไรแล้วยอมรับความจริงดีกว่า อะไรจะเกิดก็จงกล้ารับ เพราะโลกนี้ทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่เขาแต่อยู่ที่เรา จำไว้นะ ถ้าเราไม่ทำหัวใจเราเหงาเปล่าเปลี่ยวจะมีใครมาบีบใจเราให้ทุกข์ไหม (ไม่มี)  จะมีใครมาทำให้ใจเราชุ่มชื้นไหม ถ้าเราไม่เปิดใจรับ (ไม่มี)  บางครั้งเมื่อชีวิตถึงความเป็นจริงก็ต้องยอมรับให้ได้ ถ้าวันหนึ่งยืนแล้วไม่ได้นั่งอีกต่อไป หรือนั่งแล้วไม่ได้ยืนอีกต่อไป เราก็ต้องรับความจริงนั้นให้ได้ แล้วเราจะรอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยคิดได้ หรือคิดได้แจ้งในธรรมแล้วไม่ทุกข์อีกต่อไปกันเล่า
เมื่อสักครู่คุยกันเรื่องถ้าเข้าใจในธรรมจะมองเห็นโลกแจ่มชัด แจ่มชัดในเรื่องแรกคือ โลกใบนี้ไม่มีอะไรเรียกว่าทุกข์แท้ ไม่มีอะไรเรียกว่าสุขจริง ในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนดแต่อยู่ที่เราวางใจ วางใจเป็นเราก็ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น วางใจไม่เป็นจะทุกข์โดยที่เราไม่คาดคิด
ถ้าอย่างนั้นเราถามต่ออีกนะว่า การได้กับการเสีย อะไรเรียกว่าสุข อะไรเรียกว่าทุกข์  การได้คือ (ความสุข)  การเสียคือ (ความทุกข์)  ถ้าไม่เสียเวลาจะได้เงินไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่เสียไปจะได้มาไหม (ไม่ได้)  การได้คือทุกข์หรือสุข แล้วเคยไหมได้มาแล้ว ทำไมยิ่งได้กลับยิ่งทุกข์ แต่ก่อนไม่เคยได้ แต่พอได้ดีใจไหม พอได้แล้วทำไมทุกข์ใจล่ะ ยกตัวอย่างง่ายๆ เคยถูกลอตเตอรี่สองตัวไหม (เคย)  แล้วเสียดายไหม ซื้อแค่หนึ่งร้อยบาทหรือซื้อแค่ห้าสิบบาท (เสียดาย)  ตกลงว่ารู้สึกได้หรือรู้สึกเสีย (รู้สึกเสีย)  แล้วเคยเสียไหม (เคย)  เสียแล้วเป็นสุขเคยไหม (ไม่เคย)  เราเสียน้อยกว่าแต่เขาเสียมากกว่า ดีใจหรือทุกข์ใจ พอรู้ว่าเพื่อนข้างๆ เสียมากกว่าเป็นอย่างไร (ดีใจ)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข (ทั้งทุกข์และสุข)  ไม่เสียเงินจะได้ของไหม (ไม่ได้)  พอได้ของมาดีใจไหม (ดีใจ)  แต่ดีใจนานไหม (ไม่นาน)  ฉะนั้นได้แล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข (ทุกข์)
ถ้ามีคนชมว่าท่านเก่งจังเลย ท่านดีจังเลย แต่สักพักคนที่ชมไปชมอีกคนหนึ่ง คนนี้สุดยอดเลย เราจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุข (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ล่ะ (ทุกข์เพราะเสียหน้า)  ฉะนั้นคำชมดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ไหนบอกว่าคำชมเป็นสุขไง เราถามท่าน ในโลกนี้ใครเก่งที่สุด (ตัวเรา) ตัวเราหรือ มีคนเก่งก็ต้องมีคน (เก่งกว่า)  มีคนดีก็ต้องมีคน (ดีกว่า)  ฉะนั้นควรสุขหรือทุกข์ (ไม่สุขและไม่ทุกข์)  เห็นแต่ไม่เคยเห็นจนบังเกิดธรรม ไม่เคยหยั่งเห็นจนถึงที่สุดแล้วได้ธรรม แต่เราเห็นแค่เพียง ได้ ไม่ได้ อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี สุข ทุกข์เท่านั้นใช่ไหม (ใช่)  เราเคยมองข้ามความรู้สึกแล้วหันกลับมามองความจริงไหมว่า ไม่มีอะไรในโลก สุขจริง ทุกข์แท้
เหมือนถามท่าน มีลูกคิดว่าสุขหรือทุกข์ (มีทั้งสุขและทุกข์)  มีภรรยาสุขหรือทุกข์ ไม่เคยมีที่นาได้ที่นา ไม่เคยมีบ้านได้มีบ้าน ไม่เคยมีรถได้มีรถ ตอนแรกได้สุขหรือทุกข์ (สุข)  แล้วตอนต้องซ่อมรถ ซ่อมบ้าน สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ตกลงอะไรสุข อะไรทุกข์ ฉะนั้นถ้าเข้าใจหนึ่งขั้น ท่านจะก้าวไปอีกหนึ่งขั้นว่า ไม่มีอะไรในโลกที่ควรจะอยากครอบครองจนถึงขนาดต้องสร้างกิเลสแล้วสูญสิ้นธรรมเลย เพราะอยากไปถึงที่สุด ยึดไปถึงที่สุด มีไปถึงที่สุด มีอะไรไม่ทุกข์ ใช่ไหม
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ แล้วอะไรที่มนุษย์ควรหลงยินดียึดถือครอบครอง อะไรที่มนุษย์พยายามยึดจนถึงที่สุดแล้วปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยเรียนรู้ปล่อยวาง ทำไมไม่เห็นให้ชัดก่อนจะเล่น ก่อนจะไปยึด
อยากมองอะไรด้วยตาข้างเดียวไหม อยากฟังอะไรแล้วฟังความข้างเดียวไหม อยากมองอะไรแล้วมองไม่รอบด้านไหม (ไม่)  อยากมองอะไรแล้วกลายเป็นคนฉลาดตอนแรกแต่โง่ตอนท้ายไหม (ไม่)  แต่ท่านเป็นทุกอย่างที่เราพูดหมดเลย มองอะไรก็มองด้านเดียว ฟังอะไรก็ฟังข้างเดียว ดูอะไรก็นึกว่าตัวเองฉลาด แต่ถึงที่สุด (โง่เขลา)
เหมือนตอนนี้ยืนฟังเรา นั่งฟังเราเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  ถ้าก้าวข้ามความรู้สึก ไม่จมอยู่กับความรู้สึก มองตามความเป็นจริง ชีวิตเดี๋ยวก็เมื่อย เดี๋ยวก็หาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาความเมื่อยมาสั่งสม แล้วก่อเกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บ มันเมื่อยตอนเรายืนสามชั่วโมงแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเก็บความเมื่อยทั้งสามชั่วโมงมาทำให้เกิดโรคในใจ แล้วก็เจ็บปวดกายใช่ไหม ถ้าเราลืมมันไปมันจะมาเจ็บไหม (ไม่)  ฉะนั้นใครที่ทำร้ายเรา (ตัวเอง)  ใช่เราที่มายืนพูดสามชั่วโมงหรือท่านที่ไม่ยอมลืมความเจ็บ เราบอกวิธีรักษาโรคท่านอย่างหนึ่งนะ มนุษย์ที่บอกว่าเมื่อยปวดก็เพราะว่าจมอยู่กับที่ตัวเองคิดว่าตัวเองยืนนาน ตัวเองเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ผ่านมานั้นมันผ่านไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่ความรู้สึกมันก่อเกิดแล้วทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเราจบมันไปแล้ว มันจะลากมาทำให้เราทุกข์ไหม แล้วทำไมถึงชอบทำให้ตัวเองเจ็บ อยากป่วยไหม อยากเจ็บไหม (ไม่)  แล้วทำไมชอบจมอยู่กับสิ่งที่เจ็บที่มันผ่านไปแล้ว (ที่ทำลงไปเพราะไม่นึกว่ามันจะเจ็บ)  แล้วสิ่งที่เจ็บมันจบหรือยัง (ยัง)  ยังหรือ มันยังค้างอยู่ในใจใช่ไหม มันก็กลัดหนองแล้วก็ทำให้เราเจ็บไม่จบใช่ไหม แล้วเขาทำเราเจ็บหรือเราทำเราเจ็บ (เราทำ)  ใช่หรือไม่ ชีวิตสอนให้เราอยู่กับขณะนี้ อย่าไปจมอยู่กับอดีต ไม่อย่างนั้นโรคภัยไม่ใช่คนอื่นทำร้ายแต่เป็นเพราะตัวเราเองทั้งสิ้น
โลกนี้เป็นโลกของเหตุปัจจัย สร้างอะไรมาก็ต้องรับผลแบบนั้น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าบุญไม่สามารถชำระล้างบาปได้ เราไม่อาจหนีทุกข์ได้แต่เราสามารถทำให้ทุกข์ไม่เพิ่มขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงอย่าสร้างบาปเพิ่มเติม เราไม่อาจหนีทุกข์ได้ แต่เรียนรู้เข้าใจแล้วนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใครทำสิ่งใดก็ต้องได้รับสิ่งนั้น ฉะนั้นถ้าเราหยุดตั้งแต่ไม่สร้างกิเลส ไม่สร้างกรรม แล้วเราต้องมารับผลทุกข์ไหม (ไม่)  แต่เพราะเราไม่เห็นชัด เราก็เลยอยาก เราก็เลยโกรธ เราก็เลยเกลียด แล้วก็ต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทำอะไรลงไปแล้ว ต่อให้ผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหนีกรรมที่ตัวเองสร้างไว้ ดุจดั่งคนที่เขียนหนังสือ แม้จะหยุดเขียนแล้วแต่ตัวหนังสือก็ยังคงตราตรึงอยู่ เฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์ทำบาปทำกรรม แต่ก็ทำบุญและก็สร้างกุศล  ถ้าวันนี้เราขโมยกระเป๋าของท่านนี้ แล้วไปทำดีกับอีกท่านหนึ่ง ถามว่าบุญหรือบาป เอาบุญนี้มาชำระบาปของท่านท่านนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าจะชำระล้างบาปที่ดีที่สุดก็คือ ไม่เบียดเบียนเขานั่นแหละเรียกว่า บังเกิดบุญ” แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ใช่ สร้างบุญโดยการเบียดเบียนทำร้ายชีวิตเขา แล้วก็บอกว่า ทำบุญแล้วนะใช่ไหม (ใช่)  แล้วบุญจะทำให้ท่านดีได้ไหมในเมื่อบาปท่านไม่เคยละจะเรียกเราว่าคนดีได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  เราดีกับพระ แต่เราไปเบียดเบียนกับเพื่อนฝูง เราดีกับคนในครอบครัว แต่ไปเบียดเบียนกับคนอื่น ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ฉะนั้นอย่าถามว่า อนาคตเราจะปรุงแต่งอนาคตของเราเป็นเช่นไร ก็อยู่ที่ว่าปัจจุบันท่านทำอะไร ใช่ไหม (ใช่)  เราลบบาปไม่ได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับทุกข์อย่าสร้างบาปไม่ว่าที่ลับหรือที่แจ้งจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราหยุดบาปได้ไหม (ไม่ได้)
ถ้าอยากมีบุญก็แค่ละบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครๆ ก็อยากเป็นคนมีบุญมีวาสนา ฉะนั้นก็จงรู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ ละอบายมุข สร้างบุญกุศล
บุญกุศลยิ่งสร้างยิ่งอุทิศให้ไม่มีวันร่อยหรอแล้วก็ไม่มีวันขาดหาย บุญรอผล บุญรอผู้นั้นไปรับผลของบุญเสมอๆ  ไม่ว่าภพใดชาติใด บุญนั้นก็คงยังติดตามผู้นั้นไปยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง และก็ลูกหลานอีก ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า โลกใบนี้เป็นโลกแห่งธรรมชาติ เรายืมธรรมชาติมา
สักวันเราก็ต้องคืนธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเอาไปได้ทุกภพชาติ แล้วสามารถตัดกระแสการเวียนว่ายตายเกิดได้คือ
“ดวงตาเห็นธรรม”
บุญบาปยังทำให้เราหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แต่ดวงตาและปัญญาที่แจ้งในธรรมจะทำให้เราอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนก็สิ้นทุกข์ได้
แต่มนุษย์มักจะดูเบาตัวเองว่า โง่เขลาเบาปัญญา ช่างน่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)

อย่างนั้นวันนี้สิ่งที่เราพูดทำให้ท่านเข้าใจไม่มากก็น้อยใช่ไหม (ใช่)  ส่วนคนที่ไม่เข้าใจเลยแปลว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใช่หรือเปล่า อย่ามาเสียเวลาเปล่านะ หนึ่งชีวิตสิ่งที่ตามติดได้คือปัญญาเห็นแจ้งในธรรม
อย่าเอาแค่บุญ อย่าเอาแค่บาป บุญบาปทำให้เราไม่สามารถพ้นวัฏฏะ
เวียนว่ายได้ แต่จงไปให้ถึงซึ่งความเห็นแจ้งในธรรม เพราะความเห็นแจ้ง
ในธรรมจะก่อเกิดปัญญาที่ทำให้เราเข้าใจรากฐานแห่งชีวิตและเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ซึ่งธรรมที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา
แต่อยู่ที่ท่าน หันกลับมาพิจารณาไหม หรือจะยอมจมอยู่กับกิเลสแห่งความยึดติดแห่งตัวตนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงพิจารณาโลกนี้ให้ดี

ขอถามคำสุดท้าย ดอกไม้สวยไหม คิดให้ดีๆ นะ สวยจริงหรือ อะไรสวยจริงๆ สังขารนี้จริงแท้ไหม (ไม่)  ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วสิ่งที่มีค่า
ยิ่งกว่าสังขารนั่นคืออะไร ปัญญาที่ทำให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริง
อันเป็นรากฐานของชีวิตและรากฐานของทุกสรรพสิ่ง นั่นคือ “ธรรม”

ลองนำไปพิจารณาดูนะ แล้วท่านจะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าท่านเข้าใจ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แล้วท่านจะรู้ว่า
ใดๆ ในโลกไม่มีอะไรน่าครอบครอง และไม่มีอะไรเป็นของเราแท้จริง มีแต่ปัญญาที่ตื่นรู้แจ้งในความจริงเท่านั้น ที่จะทำให้เราจริงแล้วจริงตลอดกาล
อย่างนั้นถามใหม่ ตะกร้าดอกไม้นี้สวยไหม (ไม่สวย)  ทั้งสวยและไม่สวย
คิดแบบนี้เพื่อเตรียมใจจะได้ไม่ทุกข์ ชีวิตนี้ยาวนานไหม คิดให้เสมอ เมื่อถึงเวลาต้องเป็นไปจะได้ไม่เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญอีกนะ ให้โอกาสตัวเอง ยังเหลืออีกแค่หนึ่งวัน นั่งแล้วมีความสุขไหม ทั้งสุขและไม่สุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะสุขจริงๆ หรือเปล่าต้องถามใจท่านเอง ถ้าไม่ยึดติดมันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่คือความสงบเย็น ไปให้ถึงคำนี้ดีกว่า สุขแล้วมันก็ทุกข์ ทุกข์แล้วมันก็สุข ไม่สู้ความสงบเย็นที่กล้ารับความจริง ใช่ไหม (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐             สถานธรรมฮุ่ยอวี้  จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เย็นทำให้เบิกบานใจ                    เย็นกายเย็นใจทุกที่
ใจร้อนมากไปบ่ดี                         ต่างมีหน้าที่ของตน
เรื่องเล็กอย่าทำให้ยาก                   หากท้ออภัยอดทน
อย่าดีแค่จำเพาะตน                      ช่วยคนคือช่วยตนเอง
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีบ่
  เรื่องบางเรื่องไม่ผิดแต่ไม่สง่างาม       ดูเป็นกรรมแต่ไม่เรียกว่าเป็นบาป
ไม่เดือดร้อนผู้อื่นแต่ผลต้องรับ           ทำตัวหยาบอาจไม่ทุกข์สุขไม่มี
สมัยนี้คนทำตัวตามสบาย                ชอบง่ายง่ายยอมทิ้งได้แม้ศักดิ์ศรี
เหล่าคนดีจึงสับสนกับความดี            แม้ดูมีเพื่อนมากมายเหมือนคนเดียว
น่าสงสารคนทำตัวตามสบาย            ไม่อาจคิดอะไรได้แม้นิดเดียว
มัวแต่หลงความคิดตนบ่นหลายเที่ยว    ท้ายก็บิดเบี้ยวเพราะตนหลงตนไป
ไม่สร้างบาปก็เรียกว่าเป็นบุญ            ไม่ก่อโทษก็เป็นคุณอันยิ่งใหญ่
ทำบุญแต่ไม่ละบาปผิดมากมาย          ยากหยุดทุกข์เวรภัยได้ถ้าทุกข์บาปยังมี
                                  ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้ศิษย์มาฟังธรรม มาอบรมจิต มาควบคุมจิต แก้ไขจิตให้มีความคิดเห็นถูกต้อง นั่นก็คือการสร้างบุญ ใช่ไหม (ใช่)  บุญก็คือสิ่งที่ชำระล้างใจให้สะอาด ให้สบาย แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะคิดว่า บุญก็คือการให้เงิน ให้ของ แต่เราลืมไปว่าการมาฟังธรรมก็เป็นบุญ ฟังแล้วจิตโล่งจิตสบายจิตเย็นนั่นก็เป็นบุญ การมาอบรมธรรมอบรมจิตให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นก็เป็นบุญ อย่ามองว่าบุญมีค่าแค่เงินทองสิ่งของ แต่ถ้าทำบุญแล้วติดว่าฉันให้ตั้งหนึ่งร้อย อย่างนี้เรียกว่าบุญไหม อย่างนี้เรียกว่าหลงบุญ เป็นบุญที่ยังมีเชื้อแห่งกิเลสครอบงำอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสำคัญของการทำบุญไม่ใช่อยู่ที่ตัวเงิน ไม่ใช่อยู่ที่การกระทำ แต่อยู่ที่สภาวะจิตชั่วขณะที่เราทำบุญ ถ้าจิตขณะที่เราทำบุญมันโล่ง สะอาด สงบ ทำแล้วให้ไปเลย ไม่คิดมาก ทำแล้วทำให้เราโล่ง ไม่ทำให้เราตระหนี่ ไม่
ขี้เหนียว ทำแล้วทำให้เราไม่งก รู้จักปล่อยวาง รู้จักสละ ใจเราเบาขึ้น ใสขึ้น เย็นขึ้น นั่นแหละทำไปเถอะ บุญสำคัญที่ตรงนี้ ไม่ได้สำคัญที่เงินมากเงินน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)

แต่มีบุญอีกอันหนึ่งที่ทำแล้วก่อเกิดปัญญา นั่นคือบุญแห่งการฟังธรรม เพราะธรรมคือรากฐานของชีวิต คือหัวใจของทุกสรรพสิ่ง ถ้ารู้จักตัวเองก็จะก่อเกิดปัญญาคือการรู้แจ้งในปัญญา แต่พอถึงเวลาให้มาฟังธรรมแล้วเกิดปัญญา แล้วมีบุญ มาไหม อู้ไหม ช้าไหม
มนุษย์เรียนรู้ทุกอย่างได้ แต่เสียอย่างเดียวไม่ยอมรู้ธรรม เพราะการรู้ธรรมทำให้เรารู้จักตัวเองยิ่งขึ้น เห็นคนอื่นชัดขึ้น แต่ธรรมอะไรที่รู้แล้วจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เห็นคนอื่นชัดขึ้น และแจ่มแจ้งในสรรพสิ่งชัด (มีดวงตาเห็นธรรม)  แล้วทำอะไรที่ทำให้เรามีดวงตาเห็นโลกชัด เห็นคนชัด (ทำทาน)  ให้ทานก็เห็นตัวเองใช่ไหม แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่ง ถ้าพิจารณาธรรมนี้เนืองๆ แล้วจะสามารถทำให้เราเห็นโลกชัด เห็นคนชัด และปลดปลงหลีกห่างจากกิเลสได้ไวยิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถตัดกิเลส ตัดกรรม ตัดภพ ตัดชาติ ได้ด้วยนะ
(อริยสัจ 4)  อาจารย์ว่าอริยสัจ 4 เป็นเรื่องของการดับทุกข์นะ (ให้รู้จักปล่อยวางและปลง)  ศิษย์เอย ถ้าศิษย์ยังไม่เห็นชัด ศิษย์ปล่อยวางไม่ได้หรอก ศิษย์ปลงไม่ได้หรอก จริงไหม (จริง)
ถ้าอยากหยุดโลกวุ่นวาย ควรหยุดที่ตัวเราก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้จักโลภเพราะเรามีตัวเอง ฉะนั้นตัวเองแหละคือโรงงานผลิตโลภ โกรธ หลง ความมี ความอยาก ความสวย ความไม่สวย ทั้งมวลทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะรู้จักตัวเราเอง จะปล่อยวางตัวเองและปลดปลงตัวเองและผู้อื่นได้อย่างไร
พิจารณาเนืองๆ โลกนี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า เราเป็นพุทธะ พุทธะมีหน้าที่แค่รู้ แต่ไม่ใช่ให้ไปเป็นทุกข์ ให้แค่รู้ว่ามันมีทุกข์ แต่ไม่ใช่ให้ต้องไปจมอยู่กับความทุกข์ เพราะถึงที่สุดที่ศิษย์ทุกข์มันก็ว่างเปล่า มันยึดไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลง เหมือนอาจารย์ถามว่า ตอนนี้อาจารย์นั่งเมื่อย ถ้าอาจารย์ไม่รู้สึกว่าอาจารย์ทุกข์ อาจารย์จะยืนไหม ฉะนั้นทุกข์มันมีแค่ให้เรารู้ ถ้ายืนจนเมื่อยเราก็นั่งสิมันจะได้ไม่ทุกข์ ฉะนั้นทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้เป็น แต่มีไว้ให้แค่รู้ โลกนี้มีไว้ให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่ให้เรายึดมั่นถือมั่น
ถ้าเราพิจารณาเนืองๆ ว่าโลกมันไม่เที่ยง ใครไม่เปลี่ยนบ้าง ใครไม่
ผันแปรบ้าง วันนี้บอกรักเราพรุ่งนี้มาด่าเราใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เขาชมว่าเราสวยพรุ่งนี้บอกเราว่าน่าเกลียดใช่ไหม (ใช่)  แล้วถึงที่สุดทั้งเราและเขาก็ว่างเปล่า ถูกไหม (ถูก)  พอถึงเวลาเราจะเจอเขาอีกไหม บางทีก็ไม่เจอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)

ฉะนั้นสรรพสิ่งมันล้วนแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์  ไม่อยากตกเป็นทาสของกิเลสให้พิจารณามันบ่อยๆ  แล้วศิษย์จะไม่หลงใครมาก แล้วศิษย์จะไม่เกลียดใครจนชิงชังเคียดแค้น เพราะมันไม่เที่ยง ถูกไหม (ถูก)  เมื่อถึงเวลาเขาแปรเปลี่ยนเรารับมือทัน เมื่อถึงเวลาชีวิตพลิกผัน เราตั้งรับได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ให้คาถาเด็ดเอาไหม (เอา) ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ว่างเปล่า เรามีหน้าที่แค่รู้ทุกข์แต่ไม่ใช่ต้องเป็นทุกข์  ทำได้ไหม (ได้)
ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน อย่างนั้นแปลว่าถึงเวลามันว่างเปล่า จะไปทำเลวทำร้ายก็ช่างมันเพราะสุดท้ายเดี๋ยวมันก็ว่างเปล่าใช่ไหม แล้วเราไปทำบาป ด่ามันเลย ตบมันเลย ดีไหม (ไม่ดี)  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือว่าแม้เราจะรู้ว่าความเป็นจริงถึงที่สุดมันว่างเปล่า แต่สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้ชีวิตไม่ว่างเปล่าแล้วเกิดกระแสวิบากกรรมเวียนว่ายไม่จบสิ้น นั่นก็คือใจที่ชอบผูกพัน  ความผูกพันความห่วงทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อีกอย่างหนึ่งก็คือใจที่ชอบผูกความแค้น ผูกความชิงชัง โดนตบหนึ่งที จำได้แม่นไหม เขาทำบุญสิบครั้งจำไม่ได้ แต่โดนตบหนึ่งทีจำขึ้นใจ ผ่านไปสิบปีก็ยังจำได้
ทั้งที่จริงๆ สรรพสิ่งมันเป็นอย่างนี้ แต่ความยึดติดตัวตนและหลงในตัวตน หลงติดในความโกรธ เกลียด มันจึงก่อเกิดวัฏฏะการเวียนว่ายว่าสักวันต้องเอาคืน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย แล้วที่ไปกินเขา ไปด่าเขา ไปโกงเขา เขาไม่เอาคืนหรือ แล้วยังไปด่าเขาอีกไหม อย่างนั้นอาจารย์จะทำอย่างไรดีล่ะ การพิจารณาธรรมเนื่องๆ นี้มันทำให้เราพ้นทุกข์ พ้นกระแสกิเลส พ้นบ่วงเวรบ่วงกรรมได้
(พระอาจารย์แจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ใช่ไหม (ยินดีต้อนรับ)  เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ดี เอาธรรมะหรือ ถ้าเรามาร่วมบุญกันก็ต้องยิ่งทำให้ใจเราโล่ง ยิ่งฟังธรรมใจเราต้องยิ่งปลอดโปร่ง ใช่ไหม (ใช่)  อย่าได้มัวเอาแต่ยึดถือความคิดตัวเอง
เมื่อสักครู่อาจารย์ทิ้งคำถามไว้หนึ่งข้อ แต่ยังตอบไม่ค่อยจะถูก การหมั่นพิจารณาธรรมบ่อยๆ เวลาเจอเรื่องราวจะทำให้เราสามารถปลดปลงได้ เหมือนที่ศิษย์บอกอาจารย์ว่า มันไม่มีอะไรเที่ยง แล้วมันก็เป็นทุกข์ ถ้ารู้ว่ามันเป็นทุกข์จะยึดมันทำไมให้เจ็บปวด ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงจะไปโกรธทำไมให้ก่อเกิดเป็นกระแสวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้ว่ามันไม่แน่นอนแล้วยังอยากจะไปหลงรักให้เกิดความโศกเศร้าเสียใจและเกิดทุกข์ตามมาไหมล่ะ
การพิจารณาบ่อยๆ จะทำให้เกิดการละ ละอะไรที่จะทำให้เราตัดกรรม  ตัดกิเลส ตัดภพ ตัดชาติได้ จำที่อาจารย์บอกได้ไหม ต้นเหตุของโลภ ต้นเหตุของกิเลส ต้นเหตุของกระแสวิบากกรรมล้วนเกิดมาจากไหน (ตัวเราเอง)  ศิษย์เอ๋ย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ มันก็ดับทุกข์แล้วก่อเกิดมรรคไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องสืบให้ถึงต้นตอแห่งกระแสทุกข์ว่าเกิดมาจากอะไร ฉะนั้นเราต้องละอะไรให้ได้ (ละโลภ โกรธ หลง)  โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตน แต่มันชอบสิงสถิตในใจคน ถูกไหม (ถูก)  โลภมีหน้าตาไหม (ไม่มี)  โกรธมีหน้าตาไหม (ไม่มี)  พอมันเข้ามาอยู่ในตัวเราเป็นอย่างไร เคยเชิญมันออกไปไหม เอาเข้ามาเอาออกเป็นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นถ้าอยากละ ไม่ใช่ละแค่ โลภ โกรธ หลง แต่ต้องละต้นเหตุที่ก่อให้เกิด โลภ โกรธ หลง นั่นคือละอะไร 
(ละความคิดที่เป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์)  แล้วความคิดมาจากไหนล่ะ (ละวางตัวเองที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล)  อาจารย์เทียบง่ายๆ เหมือนเวลาที่เราเดินผ่าน เจอคนสวยกว่า เราหยุดคิดได้ไหม ถ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเราเจอคนสวยกว่าเราคิดอย่างไร เราแค่เห็น เราละวางตัวตนไม่ได้ ความเห็นมันก่อเกิดเป็นกระแสวิบากกรรมเลย คิดว่าสวยแค่ไหนเชียว ของปลอมทั้งนั้น สู้ฉันก็ไม่ได้ธรรมชาติล้วนๆ ก่อเกิดเป็นกระแสวิบากกรรมทันทีเลย อิจฉา ยึดมั่นถือมั่น มีมานะ มีทิฐิ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าผู้ชายเห็นผู้หญิงสวยเป็นอย่างไร แค่เห็นใจมันก็รู้สึกหวั่นไหว ตัณหามันเริ่มเกิด กิเลสมันเริ่มนอง ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นต้นเหตุของกิเลสทั้งมวล ล้วนมาจากคำว่า “ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน” และจมอยู่กับความคิดว่าตัวเองคิดถูก
เหมือนคนสองคนเวลาเดินผ่านมา คนหนึ่งด่าเราคนหนึ่งชมเรา คนหนึ่งด่าเราก็เกิดเป็นกรรมที่เรียกว่ากรรมชั่ว คนหนึ่งชมเราก่อเกิดเป็นกรรมดี แล้วเราอยากมาสนองกรรมต่อไหม เวียนรับกรรมต่อไหม คนที่มีกรรมดีก็อยากอยู่ใกล้ คนที่มีกรรมชั่วเราก็อยากด่ามันเคียดแค้นมัน ซึ่งก่อเกิดมาจากความยึดติดในตัวตนแล้วคิดว่าตัวตนเป็นบรรทัดฐานวัดทุกสิ่ง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นกระแสการเวียนว่าย ก็แค่เจอคนด่าก็เฉย เจอคนชมก็เฉย เขาสวยก็เฉย เขาน่าเกลียดก็เฉย เราน่าเกลียดก็เฉย และในความเฉยนั้น ไม่ใช่ตายด้าน แต่คือความสงบเย็น ศิษย์เอย ไม่ต้องรออาจารย์สอน ฟ้าดินสอนธรรมอยู่ทุกเมื่อ มนุษย์ยืนอยู่ท่ามกลางระหว่างฟ้า ดิน เรากลางอยู่แล้ว แต่ใจเราไม่เคยกลาง เรามีธรรมอยู่แล้วแต่เราไม่เคยเห็นธรรม ฟ้าสูงกว่าหรือ ดินแย่หรือ ไม่ใช่ แต่เราต้องอยู่ระหว่างฟ้าและดินให้ได้เหมือนกัน เราอยู่ระหว่างผู้คนที่ดีจับใจและร้ายจับใจ เราก็ต้องอยู่ให้ได้โดยที่พยายามรักษาใจให้เฉยและสงบเย็นให้ได้
จำคำนี้ไว้นะศิษย์ อยากอยู่บนโลกแล้วไม่ต้องสิ้นหวัง ไม่ต้องหมดหวังและไม่ต้องเสียใจกับใคร ให้คิดว่า “อะไรก็ได้” แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ถ้าไม่ละวางตัวตน อยู่กับใครมันก็ทุกข์ อยู่กับพ่อก็ทุกข์เพราะพ่อ อยู่กับเพื่อนก็ทุกข์เพราะเพื่อน เพราะเราชอบเอาความหวัง ความคิดว่าเพื่อนมันต้องเป็นแบบนี้ จริงไหม (จริง)  อยากพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นเวียนว่าย พ้นกรรมไม่ต้องมาเจอกันอีก ก็แค่เฉย
วันนี้มาร่วมบุญกัน และอุทิศบุญอันดีงามให้กับสิ่งที่ท่านเคารพรัก หรือสิ่งที่กำลังเป็นทุกข์และเดือดร้อนดีไหม (ดี)  เวลาเราทำบุญยิ่งอุทิศให้ บุญนั้นไม่เคยลดน้อย บุญนั้นไม่เคยเสื่อมคลาย บุญของคนที่ตั้งใจทำบุญ จะยังคงรอผู้เป็นเจ้าของบุญนั้นไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ตาม ทำไมพระพุทธะจึงสอนให้มนุษย์รู้จักสร้างบุญ เพราะบุญเป็นสัมภาระที่นำพาให้ดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ไปสู่คติภูมิที่ดีงาม ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมแล้วใจมันแช่มชื่น ดวงจิตมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ใจปลอดโปร่งโล่งสบาย จงรีบอุทิศใจนั้นแล้วให้กับบุคคลที่ท่านเคารพ กับสรรพสัตว์ที่ท่านรู้สึกเมตตาสงสาร เพราะบุญเมื่อมันเต็มเปี่ยม พลังจะยิ่งใหญ่และไปได้ถึง แต่ขออย่างเดียว ยิ่งทำอย่ากลัวการอุทิศให้ เพราะบุญก็เป็นของใครของมัน
พูดเรื่องบุญ คนเราส่วนใหญ่ทำบุญหรือทำบาป (ทั้งบุญทั้งบาป)  มือหนึ่งบุญ อีกมือหนึ่งก็พร้อม (บาป)  ฉะนั้นใครทำสิ่งใดก็ต้องได้ (สิ่งนั้น)  กรรมตกแต่งให้ผู้คนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนเกิดมาดีพร้อม บางคนเกิดมาขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ศิษย์ของอาจารย์ใครเป็นคนที่ไม่กลัวเรื่องบาปไม่เชื่อเรื่องบุญบ้าง กลัวบาปไหม (กลัว)  เชื่อบุญไหม (เชื่อ)  คนโดยส่วนใหญ่สมัยนี้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาปเรื่องบุญ แต่การสร้างบุญบ่อยๆ มันทำให้เป็นที่รักของผู้อื่นนะ และการทำบาปบ่อยๆ มันทำให้เราโดนเกลียดโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาสร้างบุญกับสร้างบาปอะไรง่ายกว่ากัน (สร้างบุญ)  แล้วเคยทำไหม (เคย)  เคยทำอะไร ถ้าคิดนานแปลว่าไม่ได้ทำบ่อยๆ ใช่หรือไม่
มนุษย์ทุกคนกลัวทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากเจอทุกข์ใช่ไหม ไม่อยากมีทุกข์แล้วเราหนีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เราสามารถหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)  และเราสามารถเพิ่มทุกข์ได้ไหม (ได้)  แล้วศิษย์ตอนนี้คิดอยากหยุดทุกข์บ้างไหม (อยาก)  เอาแต่คิดไม่ค่อยทำสักที ใช่ไหม
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ อาจารย์ขอยกเป็นสองประเภทได้ไหม ประเภทหนึ่งคือทุกข์ที่ไม่มีวันหนีพ้นและก็หยุดยั้งมันไม่ได้ นั่นคือทุกข์แห่งความเป็นจริงที่ทุกคนต้องแก่ เจ็บ ตาย กับทุกข์อีกประเภทหนึ่งคือทุกข์ที่เกิดจากการสร้างบาปกรรม
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากมีทุกข์เราก็อย่าสร้างบาปเพิ่ม ถูกไหม (ถูก)  เราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่คนบางคนทำไมถึงตายไว คนบางคนทำไมมีชีวิตอยู่ เจอคนเบียดเบียนแล้วเบียดเบียนอีก เจอคนทำร้ายแล้วทำร้ายอีก
อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลแบบนั้น อดีตเราทำอะไร ปัจจุบันเราก็ต้องได้รับแบบนั้น ปัจจุบันเราทำอะไร อนาคตเราก็จะได้รับสิ่งนั้น ใช่หรือไหม (ใช่)  การเฉย สงบเย็น จะกลายเป็นกรรมที่ไม่ต้องรับผลต่อ ไม่ว่าเจอใครร้าย ไม่โกรธ ไม่ด่า ไม่เกลียด คนเราโกรธได้เดี๋ยวก็ดีได้ คนเราโดนบ่นได้เดี๋ยวก็โดนชมได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจ กรรมจะสิ้นสุดตรงนั้น แต่มนุษย์เรายังมีความรู้สึก ฉะนั้นเวลาโดนกระทำก็ต้องเอากลับ ใช่ไหม (ใช่)  แรงมาก็ (แรงไป)  ด่ามาก็ (ด่าไป)  เตะมาก็ (เตะกลับ)  แล้วชีวิตนี้จะจบไหม (ไม่จบ)  แล้วหยุดไหม (ไม่หยุด)  แล้วแค้นไหม (แค้น)  จองเวรไหม (จองเวร)  จองกรรมไหม (จองกรรม)  แล้วไหนบอกไม่อยากเจอหน้าอีกเลย แล้วทำไมยังจองเวรจองกรรมอยู่ล่ะ ถ้าเราอยากอยู่บนโลกแล้วมีแต่คนรัก ศิษย์ควรจะเป็นคนที่ชอบยุแยงตะแคงรั่ว ศิษย์ควรจะเป็นคนที่ชอบนินทาใส่ร้ายไหม (ไม่)  ถ้าศิษย์ไม่อยากเพิ่มทุกข์ศิษย์ควรจะแปรเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการเอาคุณธรรมศีลธรรมมาน้อมนำใจตัวเอง
ถ้าอยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก มือก็ต้องอ่อนหน้าก็ต้องยิ้ม แต่ถึงเวลาทำไหม ไม่อยากทุกข์เพิ่มทำไมถึงหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์ล่ะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อยากมีชีวิตที่ยืนนาน แข็งแรง เป็นที่รัก อยากอยู่ที่ไหนก็สงบสุข ไม่อยากถูกใครเบียดเบียนไม่อยากถูกใครทำร้าย แล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่อเบียดเบียนชีวิตคนอื่น ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์เอยถ้าอยากอยู่อย่างสงบไม่ถูกใครเบียดเบียนไม่ถูกใครคิดร้าย ไม่ถูกใครปองร้าย ไม่ถูกใครทำร้ายลับหลัง ศิษย์ต้องไม่ทำร้ายใครลับหลัง ไม่เบียดใครด้วยชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ล่ะเบียดเบียนไหม (ไม่)  เข่นฆ่าไหม (ไม่)  แน่ใจหรือ จำไว้นะศิษย์ กรรมมันเหมือนการเขียนหนังสือ แม้ศิษย์จะหยุดเขียนแต่หนังสือแห่งกรรมมันยังบันทึกไว้ในใจของศิษย์ แล้วกรรมใครก็กรรมมัน ชดเชยกันไม่ได้ ช่วยกันไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยละลายหนี้บาปเวรกรรมคือสำนึกยอมรับผิดของกรรมที่แล้วมา แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น บาปมันจะลดได้ถ้าเราสำนึกผิดจริงๆ และยอมรับผิดจริงๆ เคยไปเอาเขามากี่ชีวิต เคยไปเบียดเบียนเขากี่ครั้ง เคยไปฆ่าเขากี่หน หยุดได้ไหม ถ้ายังอยากรักชีวิต
ศิษย์อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม อยากได้ลูกหลานเชื่อฟังไหม (อยาก)  แล้วเราทำตัวเองให้น่ารัก ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างให้ลูกหลานอยากทำตามหรือเปล่า ถ้าตื่นเช้ามาแล้วด่าเขาแล้วเขาจะรู้ไหมว่าอะไรดี ด่าเขาจนยืนติดมุม ตรงไหนที่สว่างล่ะ ด่าจนไม่รู้ว่าจะเดินตรงไหนแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะคนที่ด่าเพราะรักมากมันเจ็บมาก ก็เลยด่าแรง ถ้าไม่รักไม่แยแสไม่สนใจเขาก็ไม่ด่าให้เสียน้ำลายหรอก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจซึ่งกันและกัน เราจะไม่โกรธกัน เราจะไม่เกลียดกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็รู้ศิษย์ทุกคนอยากอยู่บนโลกอย่างสันติสุข แต่ต้องถามก่อนนะ ไหว้พระขอพรให้ตัวเองทำตัวเองให้เป็นพรศักดิ์สิทธิ์หรือยัง ไหว้พระขอสิ่งดีๆ ตัวเรามีสิ่งดีๆ บ้างหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากหยุดทุกข์ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราสร้างกรรมที่ก่อให้เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นไหม ถ้าไม่สร้างเพิ่ม สิ่งที่เหลือก็คือแก่ เจ็บ ตาย
สิ่งที่ศิษย์ต้องเรียนรู้คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เรากลัวความแก่ไหม กลัวเจ็บไหม กลัวตายไหม อาจารย์ถามหน่อยนะ มีชีวิตแล้วไม่ต้องตาย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหมว่ามีชีวิตแล้วไม่ต้องเจ็บ คนที่ทำบุญมาก และมีเมตตาจิตอยู่เนืองๆ ไม่เคยทำร้ายใครให้เจ็บปวดทั้งกาย วาจา ใจ คนนั้นจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วไม่เจ็บป่วยเลย แต่ศิษย์ของอาจารย์มีไหมที่ไม่เจ็บเลย ยังแอบด่าคนด้วยสายตาอยู่ ยังแอบด่าคนในใจอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  เกิดแก่เจ็บตายเราเลยหนีไม่พ้น ถ้าหากความแก่มาเรากลัวไหม (ไม่กลัว)  ดีใจที่ได้แก่ เพราะถ้าไม่แก่ก็ตายตั้งแต่เด็กแล้วน่าเสียดาย ฉะนั้นได้แก่แล้วนั่นดีแล้วใช่ไหม แล้วถ้าแก่แล้วไม่เจ็บเลย ไม่มีวันได้ตายเลย ก็ทรมานจริงไหม (จริง)  ถ้าแก่แล้วมันต้องตายมันก็ถึงเวลาตาย มันก็เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมามีชีวิตหนึ่ง แก่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เจ็บก็เป็นเรื่องธรรมดา ตายก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงเวลาคิดได้แบบนี้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์จะบอกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันปกติแต่ความคิดของศิษย์มันผิดปกติ ห้ามแก่ ห้ามเจ็บ ห้ามตาย ปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  เหมือนเกิดเป็นคนต้องมีแต่ชมต้องมีแต่ดี ผิดปกติหรือปกติ (ผิดปกติ)  แล้วโดนด่าล่ะ อาจารย์ถามว่าในโลกมีใครไม่โดนด่าบ้าง (ไม่มี)  การถูกด่าเป็นเรื่องปกติ แต่เพราะรับไม่ได้มันเลยผิดปกติ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ารับได้มันก็กลายเป็นเรื่อง (ปกติ)  เหมือนกันถ้าเราคิดว่าการโดนด่าเป็นปัญหามันก็เป็นปัญหาทุกวัน แต่ถ้าเราคิดว่าการโดนด่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหามันก็กลายเป็นความ (ปกติ)  สวยที่สุดยังโดนตำหนิ ดีที่สุดอย่างพระพุทธเจ้ายังมีคนเข้าใจผิด แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ ฉะนั้นคิดเสียว่ามัน (ปกติ)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ลองถามตัวเองว่าสิ่งที่คิดมันปกติธรรมดาหรือกำลังคิดแบบผิดปกติ เหมือนชีวิตต้องมีสุขไม่มีทุกข์ ปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  แล้วเราก็ยังคิดว่าต้องมีสุขแต่ห้ามมี (ทุกข์)  อย่างนั้นศิษย์ผิดปกติใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ก็ต้องมาทำให้คนผิดปกติเป็นคนปกติสักทีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอยจำไว้นะ ในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดแล้วต้องเป็นอย่างที่คิด ถึงจะเรียกว่าถูกต้อง บางครั้งสิ่งที่เราคิดมันไม่เป็นอย่างที่คิดบางทีมันก็ถูกต้องแล้ว เชื่ออาจารย์เถอะ เอาตัวเองไปแทรก เอาตัวเองไปใส่ เอาตัวเองไปยึด ไม่ยอม ไม่ยอม ใครล่ะทุกข์ ใครล่ะแบกกรรม (ตัวเอง)  ฉะนั้นยอมดีกว่าไหม ใช่หรือไม่
อาจารย์ถามหน่อยนะว่าการละวางตัวตนให้ได้เป็นสิ่งที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วต้นเหตุของการที่เราไม่สามารถละวางตัวตนแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสต่างๆ มันมาจากคำว่า “ใจ” ตัวเดียว ใช่ไหม (ใช่)  ใจที่ชอบหลงยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ยังมีสุขอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะเรายังไม่เห็นชัด เราก็เลยยังหลงอยู่ ใช่หรือเปล่า อย่างนั้นกิเลสตัวไหนหรือที่ทำให้เราชอบ หลง และตกเป็นทาสของกิเลสอยู่บ่อยๆ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
(ความอยาก)  อย่างนั้นตอนนี้อยากแอปเปิลเป็นทุกข์ไหม อย่าให้ความอยากมันกลายเป็นกิเลสและสั่งสมกิเลส แต่จงรู้จักแปรกิเลสให้กลายเป็นบุญด้วยการให้ ได้แล้วให้ต่อ กิเลสมันก็จะกลายเป็นบุญ
(การไม่วาง)  ถ้าเราไม่ยึดก่อนเราจะต้องวางไหม (ไม่)  การยึดในสิ่งที่ดีมันก็ทำให้เราหลงได้เหมือนกันนะ เหมือนเราคิดว่า คบเพื่อนต้องมีเพื่อนดี พอเจอเพื่อนไม่ดีก็ด่ามันเลย นั่นแปลว่าเรายึดดีมากเกินไป รับอย่างไรไม่ต้องถือ แล้วสามารถวางได้ทันที นั่นคือไม่เอาเลย แค่เพียงบอกว่าไม่เอา ถือไหม แล้วต้องวางไหม แล้วทำไมคิดไม่ได้ แต่เราอยู่ในโลกนี้ เห็นแล้วต้องได้ เห็นแล้วต้องเอา มีไหมที่เคยเห็นแล้วไม่ได้ เห็นแล้วไม่เอาบ้าง ไม่เคยมี ฉะนั้นเราถึงทุกข์เพราะเราอยากได้ อยากมี อยากเอา ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเจออะไรแล้วเอาตามที่ควรได้ รับตามที่ควรได้ แต่ถ้าถึงเวลามันไม่ได้ก็แค่ไม่เป็นไร ใช่ไหม
กิเลสตัวไหนทำให้เราทุกข์ ไม่รู้หรือ ความหลงไง หลงว่าตัวเองหล่อ (ความโกรธ)  โกรธเกิดจากอะไรรู้ไหมศิษย์ (โกรธเกิดจากตัวเรา)  โกรธเกิดจากความยินดี พอเจอสิ่งที่ยินร้ายเราจึงเกลียด โกรธเกิดจากรัก พอไม่ได้รักก็เกลียด ฉะนั้นถ้าอยากหยุดโกรธก็อย่ายินดี อย่ารักใครมาก จะได้ไม่เกลียดใครแรง จริงไหม (ความรัก)  รักตัวเองหรือรักผู้อื่น (ทั้งคู่)  ฉะนั้นต้องรู้จักรักให้เป็น เพราะรักที่ดีคือคนที่รักอย่างมีเมตตาไม่หวังผลตอบแทน แล้วความรักนั้นมันจะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่ถ้ารักแล้วหวังเรียกร้องตลอดเวลา ทุกข์แน่ถ้าจะรัก จริงไหม คิดให้ได้นะ (ความหลง)  หลงอะไร (หลงในลาภยศ)  หลงในลาภยศและหลงยึดติดในตัวตนใช่ไหม มีมากกว่าเขาหน่อยก็เหมือนตัวเองสูงกว่าคนอื่น แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้สูงกว่าใคร ใช่หรือเปล่า มีลาภมันก็เสื่อมลาภ ใช่ไหม (ความโลภ)  ได้แล้วอยากได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเที่ยงไหม มันเป็นทุกข์ไหม แล้วมันก็ว่างเปล่าไหม แต่ก็ยังโลภใช่ไหม ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงสอนให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาได้ก็ได้ ถึงเวลาจะเป็นของเราก็เป็นของเรา ถึงเวลาไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา ทำใจอย่างนี้เราจะได้ไม่โลภ ดีไหม (ดี)
(มนุษย์ไม่มีเพียงพอ)  ถ้าอยากหยุดทุกข์และอยากหยุดกิเลสได้ ต้องพอ พอแล้วเราจึงสามารถให้เป็น ถ้าไม่พอก็ให้ไม่เป็นจริงไหม แล้วรู้หรือไม่ว่ายิ่งพอก็ยิ่งได้ แต่ยิ่งหามันยิ่งไม่เคยพอจริงไหม (จริง)  อาจารย์อยากจะบอกว่าบางครั้งไม่โลภเลยดีกว่าจะกลายเป็นการสร้างบุญ แต่มนุษย์เราสมัยนี้ชอบโลภให้เต็มที่ อยากให้เต็มที่ อาจารย์เดี๋ยวหนูค่อยไปทำบุญ ช้าไปไหม (ช้า)  สู้ไม่อยากแล้วไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ทำร้ายใคร ก็เป็นการสร้างบุญแล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่ ไปเบียดเบียน ไปอยากเอาของเขา แล้วค่อยเอาไปทำบุญ ช้าไปไหมศิษย์ (ช้า) ฉะนั้นบุญทำได้ทุกที่ ขอเพียงไม่เอาบ้าง ก็ไม่ต้องยึด ไม่ต้องปลง ไม่ต้องปล่อยวาง แต่เพราะเอามามากก็เลยต้องเรียนรู้คำว่า “ปลดปลงและปล่อยวาง”
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“จูงมือกัน”)

คนที่ศิษย์อยากจะจูงมือได้ ต้องเป็นคนที่ศิษย์อยากช่วย อยากดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อไหร่ที่เราจูงมือกัน ก็แปลว่าตอนนั้นเราพร้อมจะดูแลซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญแบบจูงมือกัน ดูแลกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ถากถางกัน ทิ่มแทงกัน ทำร้ายกัน บำเพ็ญธรรมคือ จูงมือร่วมกันเดิน ช่วยเหลือกัน รักษาใจกัน ดูแลใจกันนะศิษย์ โลกนี้ที่ยังน่าอยู่ โลกนี้ที่ยังสดใส เพราะน้ำใจศิษย์ยังมี เพราะความดียังคงปรากฏให้เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์หวังว่าศิษย์จะรู้จักไปจูงมือช่วยคนอื่นต่อ เขาพ้นทุกข์เราก็พ้นทุกข์ เขายิ้มได้เราก็ได้ยิ้ม ถ้าเรายิ้มแต่เขาร้องไห้ เราสุขหรือ การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือสามารถละวางตัวตนเพื่อช่วยคนให้สำเร็จมรรคผล นี่แหละจิตพุทธะ ช่วยเหลือคนให้สำเร็จมรรคผล ช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ ลืมแม้กระทั่งตัวเอง เหนื่อยไม่เป็นไร เจ็บไม่เป็นไร ท้อไม่มี มีแต่ว่าช่วยให้มากที่สุด แล้วใจศิษย์จะยิ่งใหญ่ คุณค่าคนไม่ได้อยู่แค่เพียงทำตัวเองให้มีความสุข ชีวิตไม่ได้มีค่าแค่เพียงวันนี้ฉันสุข แต่ค่าชีวิตที่ยิ่งใหญ่ และเป็นค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าใดๆ นั่นก็คือหัวใจหรือจิตใจที่เฉกเช่นเดียวกับฟ้าและพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าเอาแต่กราบไหว้ แต่จงเอาใจนั้นมาเป็นใจเรา อย่าเอาแต่นับถือแต่จงเอาใจนั้นมาถือเป็นใจเรา ศิษย์นับถือพระพุทธองค์ก็เอาใจพระพุทธองค์เป็นใจศิษย์ จูงมือกันร่วมกันเดินไปสู่ทางที่ดีงามและถูกต้อง เห็นใครทุกข์เราทนไม่ได้เราต้องช่วย แม้เราจะทุกข์ไม่เป็นไร เพราะพระอาจารย์สอนแล้วนี่ เพราะพุทธะสอนแล้วนี่ เรามีหน้าที่แค่รู้ทุกข์แต่ฉันจะไม่ทุกข์ มีหน้าที่แค่เห็นทุกข์ แต่ฉันจะไม่ทนทุกข์ ฉันจะก้าวข้ามความรู้สึกนั้นไป แล้ววางตัวเองให้ได้ ดีไหม (ดี)  ลืมตัวเองบ้างก็ดีนะ หลงมากๆ  มันก็เจ็บ มันก็ทุกข์ไม่ใช่หรือ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังที่ชั้นหนึ่ง)
ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ไม่เป็นไรนะ ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา ดีใจนะที่ศิษย์ยังมุ่งมั่น ดีใจนะที่ศิษย์ยังรู้จักอดทนและเข้าใจการบำเพ็ญธรรมที่แท้จริง ดีใจนะที่ศิษย์ยังฝ่าฟันความยากลำบากและมุ่งมั่นต่อ ไม่ย่อท้อ ใช่ไหม ศิษย์เอย ในโลกนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ อารมณ์แห่งความเป็นตัวตน ความคิดแห่งความยึดติดและหลงผิด ฉะนั้นจงมีสติ รู้ละวางตัวเองให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าปล่อยให้ความคิดของตัวเองมันบดบังภาวะธรรมในใจของตนเอง ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ รู้จักมีสติ ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดี  เดินหน้าแล้วถอยไม่ได้ ก้าวแล้วไปให้ถึงที่สุด นี่แหละเรียกว่า “คนจริง” ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่อาจสำเร็จได้หรอกใช่ไหม ฉะนั้นมุ่งมั่นบำเพ็ญ ละวางกิเลสอารมณ์ ละวางความยึดติด มีความคิดแห่งตัวตน มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดใช่ไหม คิดที่ชอบเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างแล้วหลงไปตามกิเลส ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ได้เราต้องละวางตัวเองให้ได้แล้วหันไปมองความจริงใช่หรือไม่
การฟังธรรมเป็นการสร้างบุญที่ประเสริฐ บุญที่ทำให้เราอบรมจิตและทำความคิดเห็นให้ถูกต้องจนเกิดปัญญาสว่าง ศิษย์เอยไม่มีบุญใดประเสริฐเท่ากับบุญที่ทำแล้วยกจิตให้สูงขึ้น บุญที่ทำแล้วทำให้จิตเบาบางโปร่งโล่งไม่ยึดมั่น จงรักษาบุญนั้นไว้ แล้วบุญนั้นถ้าทำได้มันจะแปรเปลี่ยนเป็นกุศลที่ไม่ยึดติดผลของการกระทำ อาจารย์เทียบง่ายๆ สมมติเราทำดีกับคนๆ นี้ ทำแล้วเขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะชม เราก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเราทำแล้วเราสบายใจ ทำแล้วละวางตัวตนได้ ทำแล้วไม่ถือไม่โกรธ นั่นแหละคือบุญที่ยกจิตให้สูงขึ้น แต่ถ้าทำแล้วโดนเขาว่านิด แล้วคิดว่าไม่น่าทำเลย ฉันไม่เอากับมันก็ได้ บุญนี้ทำไม่เห็นดีเลย เช่นนี้เรียกว่าบุญที่ยังหลงยึดติดความเป็นตัวตน ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์พูดตั้งแต่ต้น บุญไม่ได้สำคัญที่เงิน บุญไม่ได้สำคัญที่ทรัพย์ บุญไม่ได้สำคัญที่การกระทำ แต่คำว่าบุญสำคัญที่สุดคือทำแล้วสภาวะจิตเย็นไหม สงบไหม วางได้ไหม นั่นแหละถึงจะเป็นบุญที่ประเสริฐ บุญที่ถูกทาง ถ้ายังคิดว่าเราทำตั้งเยอะทำไมยังโดนแบบนี้ ทำไมยังเป็นแบบนี้ นั่นคือการหลงบุญ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ตั้งแต่ทำบุญมามันเบาบ้างไหม มันโล่งบ้างไหม (โล่ง)  โกหก เห็นทำทีไรหนักทุกที ใช่ไหม เงินหนักใจก็หนักด้วย บุญคือการทำแล้วสละออก บุญคือการทำแล้วปลดเปลื้องความยึดถือ ไปให้ถึงบุญอันประเสริฐที่เรียกว่ากุศลและชำระล้างใจให้บริสุทธิ์นะ ทำให้ได้นะศิษย์เอย ดูแลกายใจตัวเองกันให้ดี มุ่งมั่นบำเพ็ญ อย่าถืออารมณ์เป็นใหญ่ เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องหนีไม่พ้น อย่าไปกลัวมันนะ ถ้าทำแล้วทำให้เราปลดปลงปล่อยวางได้ ถ้าทำแล้วทำให้เราไม่ทุกข์ได้ก็จงทำ แต่ถ้ายังทุกข์ก็ต้องถามใจตัวเองว่ากำลังคิดผิดหลงผิดอะไรไหม รู้ว่าอะไรดีแต่เมื่อไรจะทำ ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
อาจารย์ไปแล้วนะ ห่วงแล้วก็ห่วงอีก รักษาใจให้ดี ดูแลใจให้ดี มันเป็นเพราะมีตัวตนมากใจมันเลยหนัก ใจมันเลยทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราวางตัวตนได้ เราจะรู้ว่าใจนี้มีแต่ธรรมและก็ธรรม ที่มันไม่ต้องการตัวตนให้ยึดถือเลย จริงไหม ไปให้ถึงใจนั้นนะศิษย์นะ ได้ชำระบาป ได้ชำระกรรม ทำอะไรคิดให้ดี ใจให้เย็น อาจารย์รู้ว่าศิษย์รู้ทุกอย่างที่อาจารย์อยากให้เป็น ใช่ไหม ความเก่งเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่บางครั้งความเก่งมันก็ทำเราเหนื่อย มันก็ทำให้กดดัน บางครั้งก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันต้องเป็น เข้าไปแล้วมันทุกข์ก็ถอยมาแล้วยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ละวางตัวตนได้มันก็หมดกรรมหมดเวร แต่ถ้ายังละวางตัวตนไม่ได้ ศิษย์ก็หนีเวรหนีกรรมไม่จบ ใช่ไหม อาจารย์อยู่ข้างศิษย์ตลอดนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย อย่ามาสองวันนี้แล้วไปแล้วไปลับ ว่างก็กลับมา ทุกข์ก็กลับมาหาอาจารย์ อาจารย์ยินดีช่วยปลดปลง เราอยู่บนโลกนี้ไม่ใช่มีหน้าที่ทุกข์จนตาย แต่เราอยู่บนโลกนี้มีหน้าที่แค่เรียนรู้ทุกข์ แล้วก้าวข้ามผ่านมันให้ได้ อย่าไปจมอยู่กับความรู้สึก ลองมองสิชีวิตยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะ โลกมันไม่เที่ยง เรากำลังทุกข์อะไรหรือ มันไม่มีหรอกนะ แต่ที่ทุกข์เพราะว่ายอมรับไม่ได้ ใช่ไหม แค่นั้นเอง รับได้มันก็จบ โดนว่าหน่อยเป็นอะไรล่ะ เสียหน่อยเป็นอะไรล่ะ หมดตัวหน่อยเป็นอะไรล่ะ ชีวิตนี้ก็มาตัวเปล่า ตายไปก็ไปเปล่า เอาอะไรไปก็เอาไม่ได้ แล้วจะทุกข์ทำไมล่ะ มันทิ้งหนู ไม่เป็นไร แต่ก่อนหนูก็อยู่ตัวคนเดียว ตอนนี้ก็อยู่ได้ ใช่ไหมศิษย์
รู้จักบำเพ็ญตัวเอง นำพาตัวเองให้ถูกทาง มนุษย์มีสิ่งประเสริฐอยู่อย่างเดียวคือปัญญาที่แจ่มแจ้งที่มองเห็นธรรมชัด ซึ่งธรรมนั้นไม่ได้อยู่ข้างนอก และเมื่อเราเข้าถึงภาวะธรรมนั้นศิษย์จะรู้ว่า แม้แต่ใจเรามันก็ไม่มีให้ยึดถือ และมันก็ไม่ต้องการใครมายึดถือด้วย 
อาจารย์เป็นห่วงศิษย์นะ ดูแลตัวเองให้ดี อย่าทำผิดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่าก่อบาปกรรมเพียงเพราะความอยาก และอย่าได้เบียดเบียนคนอื่นทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะความหลงผิด เพราะบาปเมื่อมันสร้างขึ้นมาแล้ว เราหนีไม่พ้นต้องรับ ฉะนั้นจงตั้งตนอยู่ในศีลธรรม เมตตาเข้าไว้ ใจกว้างเข้าไว้ อดทนเข้าไว้ ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญอย่างเดียว ใจเราดีพอหรือยัง ใจเรายิ่งใหญ่พอหรือยัง ใจเรากว้างพอไหม ถ้าใจเรากว้างใครๆ เราก็รับได้ แต่เพราะมันกว้างไม่พอ เราเลยรักคนนั้นไม่ได้คนนี้ไม่ได้ ใช่ไหม
รักษาตัวเองให้ดี มีโอกาสกลับมาอีกนะ จับมือแล้วแปลว่าจะกลับมาอีกใช่ไหม รู้จักดูแลตัวเองนะ ควบคุมอารมณ์ให้ดี รู้เยอะแต่บางครั้งความรู้ก็ทำเราหลงผิดได้ใช่ไหม ไปแล้วนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ ก่อเกิดปัญญานำชีวิตให้ถูกทางนะศิษย์เอย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จูงมือกัน”
    เทียนไร้แต่ไม่สิ้นแสง                         ความดียังแฝงทุกหน
เมตตาค้ำจุนใจคน                                  น้ำใจดั่งฝนฉ่ำเย็น
ยามทุกข์เราต้องช่วยเหลือ                       โปรดเอื้อน้ำใจให้เห็น
โลกนี้ยังไม่ลำเค็ญ                                  เพราะใจตนเป็นแสงทอง


อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-23 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一七年嵗次丁酉五月二十九日                                              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐      สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
   พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
  เรื่องของใจนั้นต้องใช้สติ                คอยยั้งคิดไม่ให้ผิดพลาดพลั้ง
มีสติรู้เท่าทันเป็นกำลัง                   อารมณ์ยั้งคอยตระหนักโทษตามมา
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกแฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญบ้างหรือไม่
  อคติรู้แบบไม่ตรงไม่ซื่อ                  ปรุงแต่งคือไม่มีสติยิ่ง
การมีสติใช่มีแต่นิ่ง                        ทว่านิ่งการคิดออกค่อยสำแดง
คำพูดบอกเตือนเลือกฟังอย่างไร         ไม่พอใจให้ระลึกถูกแย้ง
แยกแยะคิดพูดทำฝึกแจง                ลหุโทษแห่งผิดด้วยสติดี
อันหน้าที่คนสำนึกประจำใจ             ทำให้ปลอดภัยคนบำเพ็ญมีกระบี่
ลมหายใจจะรักษากรรมดี                มั่นในธรรมรักษาศีลแค่มรณา
อย่าหมายว่าต้องชดเชยอะไร            ขาดอะไรจงรู้ใช้ใจรักษา
ทั้งที่รู้รู้เรื่องเคืองชะตา                   พักอุราอยู่มีที่หนึ่งกระเบียด
ต่อให้เก่งมากก็ต้องระวัง                  ผ่อนคลายบ้างเป้าหมายกลับทำให้เครียด
คนฉลาดขาดสติรู้โดนเกลียด             สังเกตเครียดทุกทีดูจิตแทน
ไม่พูดแทรกแซงไม่แต่งคำพูด             ธรรมทูตแห่งการกระบวนแบบแผน
จงหัดใช้สติเคลื่อนหมุนแทน              เช็ดแว่นเป็นกลับใจปกติธรรมดา
มีสติขัดเกลาจนจิตเบิกบาน              เมื่อจิตทำการหยุดกิเลสหมดตัณหา
ในที่สุดได้ปัญญาเป็นปัญญา             ดั่งจันทราสว่างฟ้าไร้เมฆบัง
ฮาฮาหยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ฟังธรรมะมาทั้งวันอยากพักไหม (ไม่อยาก)  อยากกลับบ้านไหม (ไม่อยาก)  นึกว่าอยากกลับบ้านแย่แล้ว  วันนี้นั่งฟังธรรมะมาเกือบวันความอดทนมีขีดจำกัดหรือไร้ขีดจำกัด (ไร้ขีดจำกัด)  ถ้าไร้ขีดจำกัดสามวันก็น่าจะได้ไม่ใช่หรือ (ใช่)  เราเคยได้ยินได้ฟังมาว่า การฟังธรรมทำให้เกิดปัญญาปัญญาทำให้เกิดแสงสว่างในจิตใจ เคยได้ยินแบบนี้ไหม (เคย)  ฉะนั้นถ้าได้ปัญญา ต้องใช้คำว่าอดทนไหม (ไม่ต้อง)  ถ้ายิ่งฟังยิ่งเกิดปัญญา ยิ่งเกิดความสว่าง ฉะนั้นก็ไม่ควรจะใช้คำว่าอดทนจริงไหม (จริง)  เพราะยิ่งฟังยิ่งกระจ่าง ยิ่งฟังยิ่งสว่าง ยิ่งฟังยิ่งผ่อนคลาย แต่ถ้ายิ่งฟังแล้วยิ่งอึดอัดยิ่ง ฟังแล้วยิ่งต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ต้องบังคับใจอย่างแรง แปลว่าช่วงที่กำลังอดทนและบังคับใจ เป็นช่วงที่มืดหรือสว่าง (มืด)  จะสว่างใช่ไหม พอจบหนึ่งครั้งก็สว่างหนึ่งครั้ง แล้วอย่างนั้นเรียกว่ามีปัญญาเป็นพักๆ หรือมีปัญญาตอนหยุดพูดธรรม เขาพูดธรรมน่าจะทำให้เรากระจ่าง สว่าง โล่ง เบา แต่ทำไมยิ่งพูดเรายิ่งอึดอัด หนักแน่นคับอกคับใจ ไม่พอใจ แสดงว่านั่งฟังธรรมแล้วไม่เกิดปัญญา แต่เกิดความยึดมั่นถือมั่นในความคิดที่เรียกว่าอัตตาตัวตน
ยินดีต้อนรับที่จะให้เรามาสนทนาธรรมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านไม่ต้อนรับบอกเราตรงๆ เราก็จะไป เราไม่อยู่ให้ใครอึดอัดใจ เราไม่อยู่ให้ใครทุกข์ใจ ยินดีไหม (ยินดี)  ถ้าท่านยินดีเราก็อยู่ต่อ แต่ถ้าท่านไม่ยินดีเราพร้อมที่จะกลับเพราะไม่อยากจะทำให้ท่านทุกข์และลำบากใจ ถ้าเราอยู่ในโลกนี้เรารู้จัก ถอยบ้าง หยุดบ้าง และรู้จักยอมรับว่าถ้าอยู่แล้วเราทำให้เขาทุกข์ บางครั้งการจากไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร ดีกว่าดันทุรังเขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์อย่างนั้นไหม รู้ว่าเขาไม่ชอบแล้วยังเจอหน้าเขาอีกไหม รู้ว่าเขาไม่ชอบยังแอบให้เขาไปว่าอีกไหม เราเคยหยุดตัวเองกันบ้างหรือเปล่าใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่ถามว่าเกษมสำราญแปลว่าสบายดีไหม (สบายดี)  เราพึ่งรู้นะว่าหน้าตาคนสบายดีเป็นแบบนี้นะ ยิ้มไม่ออก จะบอกก็บอกไม่ถูก ไม่อยากโดนใครหลอกลวง เราอย่าหลอกลวงใจตัวเองสิ จริงหรือไม่ (จริง)  สบายไม่สบาย (สบาย)  จำใจพูดใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ถือว่าเรามาคุยสนทนาธรรมกัน ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเวลาคุยก็แปลว่าต้องมีคนตอบเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดไม่ตอบแปลว่าเราพูดคนเดียว เราคุยคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสนทนาแปลว่า ต้องมีการโต้ตอบ เราตกลงเหมือนๆ กันนะว่าเราจะมาสนทนากัน เราไม่ได้พูดอยู่คนเดียวใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าตอนนี้สนทนากัน อีกฝ่ายหนึ่งยืนอีกฝ่ายหนึ่งนั่ง ดีไหม (ดี)  รีบตอบทันทีเลย นึกว่าให้เรานั่งแล้วท่านยืนหรือ นี่แหละนะใจมนุษย์ชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าฝ่ายหนึ่งนั่งฝ่ายหนึ่งยืนสนทนาธรรมตกลงไหม (ตกลง)  ฝ่ายหนึ่งยืนฝ่ายหนึ่งนั่งไม่ได้ ต้องนั่งทั้งสองฝ่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดได้อย่างนี้แปลว่ารู้จักมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น แปลว่าต้องนั่งทั้งสองฝ่ายใช่ไหม (ใช่)  แต่ส่วนใหญ่ถ้าเรานั่งท่านก็คงไม่เห็นหน้าเราจริงไหม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่าเรื่องของใจต้องใช้สติอย่าเอาแต่ใช้ความคิด จริงไหม (จริง)  ทำไมเรื่องของใจจึงกล่าวว่าให้ใช้สติไม่ให้ใช้ความคิด เพราะเรื่องของใจถ้ายิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งคิดยิ่งง่ายไหลลงต่ำ ผลสุดท้ายก็ต้องจมกับความคิด ก็ต้องทุกข์เพราะความคิด และก็ต้องตายเพราะความคิด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เรื่องของใจต้องใช้สติ อย่าใช้ความคิด แล้วใช้สติดีอย่างไร ทำให้เรารู้เท่าทันความคิดที่ไหลมาสู่ใจเรา อย่างเราเห็นเด็กคนนี้ความคิดเกิดขึ้นว่าใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือไม่ใช่ สงสัยถูกหลอกแน่ๆ อย่างนี้เรียกว่าคิด แล้วปรุงแต่งไปในความคิด แต่ถ้าเรื่องของใจ พระพุทธะจึงสอนว่าให้รู้จักใช้สติ เพราะการใช้สติจะทำให้เรารู้เท่าทันความคิด และปรับอารมณ์เป็นกลาง กิเลสหยุดทำงาน เคยมองเห็นแล้วทันขนาดนี้ไหม ไม่เคยเลยใช่ไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติว่ามีคนๆ หนึ่งว่าเรา เราโกรธ แล้วเราใช้ความคิดว่า ทำไมมาด่าเรานิสัยแย่ นายดีกว่าฉันหรือ แต่ถ้าเวลาเขาด่าเรา เราใช้สติ สติสอนให้เรารู้จักยั้งคิด และรู้เท่าทันความคิด เมื่อยั้งคิดอารมณ์ที่มันกำลังเพิ่มกลายเป็นกลาง กิเลสที่กำลังเติบโต กลายเป็นหยุดเติบโต เราเคยมีสติแล้วมองเห็นใจ แล้วหยุดอารมณ์ได้ขนาดนั้นไหม
ส่วนใหญ่เราใช้ความคิดไม่ได้ใช้สติ ท่านเคยได้ยินไหมความคิดมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าใจมันบอกว่าไม่มี ที่เห็นว่ามีมันก็ (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกัน ถ้าใจเราบอกว่ามี ที่เห็นว่าไม่มีมันก็กลายเป็นมี จริงไหม (จริง)  เหมือนใจเราบอกแวบหนึ่งว่าผีหรือเปล่า พอเราคิดว่าเป็นผีแน่ๆ ใช่หรือไม่ ไม่มีก็เหมือน (มี)  ไม่ใช่ก็เหมือน (ใช่)  ฉะนั้นเหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเกิดว่าเราเจอเรื่องราวที่มันไม่ใช่ เจอเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกแย่ เจอเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์ ภายนอกมันมี แต่ในใจเราไม่รู้สึก  ฉะนั้นมีก็เหมือนไม่มี เหมือนกันสามีกลับมาไม่มีอะไรหรอก เขาอาจจะกลับมาดึกตามปกติ แต่ถ้าในใจเราระแวงเป็นอย่างไร ฝ่ายหญิงรู้ดีเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกันฉันใดฉันนั้น ถ้าสมมติของเราหาย ในใจเราคิดว่าต้องเป็นคนนี้แน่ๆ ที่เป็นขโมย เชื่อไหมว่าท่าทางอะไรเราก็รู้สึกว่าเขาเป็นขโมยใช่ไหม (ใช่)  แต่พอเรารู้ความจริงได้แล้วว่าไม่ใช่เขาขโมย แต่เราทำตกหล่นเอง ที่ตอนแรกบอกเหมือนขโมย ทำไมพอไปมองใหม่ไม่เหมือนแล้วล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใช้ความคิดแล้วลืมใช้สติ สิ่งที่เห็นก็เหมือนไม่เห็นสิ่งที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  เหมือนเรามาตอนนี้ ถ้าท่านไม่ใส่ใจที่เห็นก็เหมือน (ไม่เห็น)  แล้วท่านจะทุกข์กับเราไหม ที่มีก็เหมือนไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลก ถ้าคิดต้องคิดให้เป็น ถ้าจะใช้สติต้องใช้ให้ถูก เพราะสติจะนำพาให้เราพ้นกิเลส พ้นการตกเป็นทาสของอารมณ์ แต่ถ้าเราใช้ความคิดให้เป็นและรู้เท่าทันใจของเรา คนภายนอกก็ยากมีผลต่อใจ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าเวลาเราอารมณ์ดีใครพูดอะไรก็ (ดี)  แม้แต่โดนด่าก็ยัง (ดี)  แต่ถ้าเวลาเราอารมณ์ไม่ดี แม้โดนชมก็ยังมองว่าไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวภายนอกร้ายหรือดี อาจจะยังไม่น่ากลัวเท่ากับหัวใจเรา มีร้ายหรือมีดีจริงไหม (จริง)  และเราจะทำร้ายท่านได้หรือไม่ เราจะหลอกลวงท่านได้หรือไม่ ถ้าท่านไม่มีเราอยู่ในใจจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเขาจะด่าเราแค่ไหน เขาจะทำเราทุกข์แค่ไหน ถ้าเราไม่เอาไปใส่ในความคิด ไม่เอามาใส่ในใจ ที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  เราถามนะ โลกทุกวันนี้น่าอยู่ไหม (ไม่น่าอยู่)  คนทุกวันนี้น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  อายุปูนนี้แล้วโลกทุกวันนี้น่าอยู่ไหม (ไม่น่าอยู่)  ถ้าเรามองแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรารู้จักมองสิ่งที่ดีโลกนี้ก็ยัง (น่าอยู่)  ฉะนั้นแปลว่าที่ตอบเราว่าไม่น่าอยู่ เพราะว่ามัวแต่จำแต่สิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  คนเดี๋ยวนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า คิดอย่างไรเห็นอย่างนั้น หรือที่เรียกว่าผีเห็นผี ว่าเขาไม่ดีก็แปลว่าตัวเราไม่ดี ว่าเขาน่าเกลียดก็แปลว่าตัวเราน่าเกลียด ว่าเขาไม่น่ารักก็แปลว่าตัวเราไม่น่ารัก เป็นหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกนี้ที่ยังน่าอยู่ได้ เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าในร้ายแค่ไหน ก็ยังมีดีอยู่ ในเรื่องราวที่มืดมนแค่ไหนก็ยังมีแสงสว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในคนที่น่ารังเกียจชิงชังเรามากแค่ไหน ก็ยังมีคนที่รักและปรารถนาดีกับเราอยู่ ในโลกที่แก่งแย่งแค่ไหน ก็ยังมีคนที่ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เรารู้สึกว่าโลกยังดีอยู่ คนยังน่ารักอยู่ก็แปลว่าเรายังมองเห็นความดีงามในโลกนี้ ความดีงามในผู้คนนี้ ฉะนั้นวันนี้ตรวจสอบนะ ถ้ายังมองว่าโลกเลวร้ายลองถามตัวท่านเองว่า เอาแต่เสพเรื่องร้ายหรือเสพเรื่องดี ถ้ามองว่าโลกนี้มีแต่สิ่งสกปรกโสมม ลองถามตัวเองว่า มัวแต่จมอยู่กับสิ่งสกปรกหรือขึ้นมาอยู่บนความสะอาดเสียที
ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีควรจะมีไว้ และทำให้โลกน่าอยู่ แต่ถ้าตอนนี้เราทำแต่เรื่องร้ายๆ อะไรที่จะช่วยเยียวยาใจเราได้ (ธรรมะ)  ธรรมะสามารถช่วยรักษาใจเราได้ เราเลือกธรรมะ หรือเลือกตกนรก ที่เราทุกข์ เราหวังที่จะมีธรรมะมาเยียวยาจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไหม ศึกษามาตั้งเยอะเรียนรู้มาตั้งมาก แต่บางทีก็ยังไม่เข้าใจธรรมเท่าไหร่ หรือเราถนัดฟัง ไม่ถนัดปฏิบัติ เป็นอย่างนั้นไหม ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเมื่อหาธรรมะเยียวยาใจไม่ค่อยได้ สิ่งที่จะเยียวยาใจก็คือ หาความสุขภายนอกก็แล้วกันเผื่อจะเยียวยาใจภายใน แต่ความสุขภายนอกช่วยเยียวยาใจเราให้ใจเราเข้มแข็งได้ไหม (ไม่ได้)  กลับไม่ค่อยได้ เพราะว่ายิ่งหาเรายิ่งเป็นอย่างไร (หาไม่เจอ)  ยิ่งหาก็หาไม่เจอ ยิ่งหาก็ยิ่งทุกข์ ปราชญ์โบราณจึงสอนไว้ว่า ถ้ามนุษย์เข้าใจหลักธรรมอันหนึ่ง จะรู้เลยว่ายิ่งหาภายนอกไม่สามารถเติมเต็มภายในได้ เคยได้ยินไหมว่า ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ เหมือนเราพยายามหาคนที่ดี อยู่กับคนโน้นก็รู้สึกไม่ดี อยู่กับนี้ก็รู้สึกไม่ดี ทำไมยิ่งหาก็รู้สึกว่ามีดีไหม (ไม่ดี)  แล้วยิ่งหาคิดว่าจะเติมเต็มชีวิตเราไหม (ไม่)  ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่พอ ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ประโยคนี้ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจแต่ถ้าถามว่า เคยเห็นไหมคนที่พยายามทำตัวเองดูดี แต่งตัวให้ดูดี ยิ่งแต่งมากแสดงว่าเขาขาดหรือมี (ขาด)  ยิ่งแต่งให้ตัวเองดูดีมากเท่าไหร่แสดงว่าขาดหรือมี (ขาด)  ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงที่แต่งให้ตัวเองดูสวยมากเท่าไหร่แสดงว่าเขาขาดหรือมี (ขาด)
ลองถามจากใจสิ สิ่งที่แต่งแปลว่าเรารู้สึกว่าเราขาดหรือมี (เราขาด)  ยิ่งหาทำไมเรารู้สึกไม่พอ เพราะในใจเรารู้สึกว่ามัน (มันยังขาด มันยังไม่พอ)ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งเราเรียกร้องสิ่งที่ดีแปลว่าเราขาดหรือว่าเรามี (ขาด)  จริงหรือ  (จริง)   เห็นปกติคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี แล้วก็ว่าคนนี้แล้วว่าคนนั้น ไม่เคยว่าตัวเองเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งหายิ่งคล่อง ยิ่งได้มายิ่งไม่พอ ฉะนั้นทุกข์ที่แท้จริงหรือปัญหาที่แท้จริงเขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)  เริ่มยอมรับแล้วหรือ เห็นปกติว่าแต่คนอื่นไม่ดี คนนี้ถูกใจท่านไหม ไม่ถูกใจ คนนี้ทำถูกใจท่านไหม ก็ยังมีข้อตำหนิอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไหนสมบูรณ์พร้อมสำหรับใจท่าน (ไม่มี)  ถามจริงๆ เขาไม่ดีหรือเราไม่เคยพอที่จะดีสักที ทำไมตอนคุยกับเรารู้หมดล่ะ แต่พอถึงเวลาว่าเขาเอา ว่าเขาเอา จริงไหม (จริง)  เหมือนเราถามท่านนะ ทำไมท่านยิ่งหามันยิ่งพร่อง เพราะท่าน เราถึงบอกว่า อย่าเอาภายนอกมาเยียวยาภายใน เพราะถ้าทุกข์มันเกิดจากใจ ท่านเอาภายนอกมาเยียวยา เยียวยาก็ไม่หายเหมือนดั่งคำกล่าวของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ เพราะประเด็นที่แท้จริง มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่อยู่ที่ข้างในใจเราต่างหาก พอหรือยัง เมื่อไม่พออะไรๆ ก็ไม่เคยดี จริงไหม (จริง)  ถ้ารู้จักพอ อะไรๆ มันก็ (ดี)  แล้วตอนนี้ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ดีหรือไม่ดี (ดี)  ถ้าดีก็แปลว่าน่าจะพอบ้างแล้ว ฉะนั้นถ้าผู้หญิงยังกลับไปแต่งสวยก็แปลว่าตัวเอง (ไม่สวย)  ถ้าผู้ชายยังพยายามหาดีก็แปลว่าตัว (ไม่พอ)  ไม่มีดี จริงไหม (จริง)  เราไม่ได้ว่านะแต่นี่เป็นนัยที่ทำให้เราได้รู้ว่า เรายิ่งหานี่แปลว่าเราไม่เคยพอใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งหามากเท่าไหร่ ยิ่งบ่งบอกความพร่องของเรามากเท่านั้น เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า คนรวยขี้อวด รวยจริงไม่อวด ที่อวดไม่รวยจริงใช่ไหม (ใช่)  ถูกลอตเตอรี่สามตัวพูดตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เขาได้เดือนหนึ่งเป็นล้านๆ เป็นแสนๆ เขาเคยพูดไหม (ไม่พูด)  แต่คนที่ไม่เคยได้อยู่ๆ ได้พูดไหม (พูด)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)
ส่วนใหญ่มนุษย์เราทำอะไรตามความคิด เราคิดอะไรตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ปัจจุบันเราเป็นอย่างไรก็เป็นเพราะความคิดที่เราคิดมา ความคิดที่เรารู้มา ฉะนั้นถ้าความคิดความเข้าใจเป็นรากของการเป็นตัวตนของเรา ถ้าเราปรับความคิดได้ ปรับความเข้าใจได้ การเป็นตัวตนของเราก็ปรับเปลี่ยนได้ เหมือนที่มนุษย์พูดว่า ความรู้ ความเข้าใจ ความคิดก่อเกิดเป็นนิสัย ความเคยชิน อารมณ์ตัวตนของเรา ความรู้ ความคิด ความเข้าใจก่อเกิดเป็นนิสัย อารมณ์ ความเคยชินแห่งตัวตนของเรา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งเมื่อแสดงออกกลายเป็นความประพฤติ และเมื่อประพฤติบ่อยๆ กลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นแปลว่า ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ คือรากฐานของชะตากรรม ฉะนั้นถ้าชะตากรรมเราดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ความคิด ชะตากรรมเราดีไม่ดี ก็อยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจ
ร้าย ก็แปลว่า เราคิดร้าย ดั่งที่มนุษย์พูดกันง่ายๆ ว่า ถ้าต้นน้ำใส ธารน้ำก็ย่อมใสสะอาด ฉะนั้นถ้าต้นน้ำขุ่นมัว ธารน้ำจะใสได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกันถ้าถูกมองว่า ตอนนี้ชะตาเราร้าย ชะตาเรามีเคราะห์ ฉะนั้นตอนนี้เราควรจะไปสะเดาะเคราะห์ หรือเปลี่ยนความคิด ความเข้าใจ (เปลี่ยนความคิด)  ถ้าอย่างนั้น ถ้าเปลี่ยนความคิด เราก็ไม่ต้องสอนไม่ต้องคุยอะไรแล้วนะ เอาใหม่บางคนยังไม่ทันที่เราพูด ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นนิสัย อารมณ์ ความเคยชิน และทำบ่อยๆ กลายเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมทำบ่อยๆ กลายเป็นชะตากรรม ถ้าย้อนกลับไปชะตากรรม เราร้ายก็เหมือนกับต้นน้ำ ถ้าต้นน้ำเราใส ธารน้ำก็ใส ฉะนั้นถ้าความคิดเราดี ความเข้าใจเราถูกต้อง ชะตากรรมเราก็น่าจะดี แต่ถ้าเกิดความคิดเราไม่ดีแล้ว ความเข้าใจเราก็ไม่ดี การกระทำเราก็ไม่ดี ชะตากรรมเราก็ไม่ดี ฉะนั้นเวลาแก้ทำไมเราต้องไปสะเดาะเคราะห์ ทำไมไม่แก้ที่ตรงนี้ ไม่แก้ที่ใจ แล้วไปบอกว่าไหว้พระไม่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์ หรือแก้ผิดที่ (แก้ผิดที่)  อย่างที่เราบอกว่า ความเป็นไปของเราล้วนเกิดจากความคิดที่เราปลูกฝัง สมมติเราคิดว่าบุหรี่แอบสูบได้ เราก็ไปแอบสูบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เนื้อสัตว์เรากินได้เราก็ไปกิน ไม่ต้องแอบเราก็กินให้เห็นเลย การฆ่าไม่บาปท่านก็ไปฆ่า การฆ่าแล้วท่านจะไม่ได้รับการฆ่าตอบหรือ เห็นไหม พูดกันอย่างมีเหตุมีผล ท่านฆ่าเขาตอนต้นเพื่อบำรุงตัวเองแล้วถ้าวันหนึ่ง ชะตากรรมท่านถูกฆ่า เป็นเพราะใคร (ตัวเอง)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนชะตากรรมควรเปลี่ยนที่ความคิด และความเข้าใจ และรู้ไหมว่าความคิด ความเข้าใจ นอกจากกำหนดชะตากรรมในอนาคตแล้ว ความคิด ความเข้าใจ ยังมีผลต่อจิตใจด้วย จริงไหม เหมือนท่านพูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นั่งอยู่บนสวรรค์ หรือกำลังตกนรก เราไม่ได้ขึ้นสักทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่ได้ขึ้นแปลว่าอยู่ที่ท่านคิดไม่ใช่อยู่ที่ตัวเราถูกไหม (ถูก)
มนุษย์มักจะยึดติดกับความคิดและปล่อยให้สิ่งที่เรายึดติดอยู่กับความคิดนี้ สร้างความยึดติดแล้วทำให้เราทุกข์ได้อย่างไร สมมติว่านักเรียนในชั้นนี้โดนคนอื่นว่า เขาชี้หน้าว่าท่านได้ไหม (ได้)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราถามหน่อยนักเรียนในชั้นนี้ เป็นผู้ยอมแพ้ได้และเป็นผู้โดนว่าได้ไหม (ได้)  เป็นผู้ที่ใครทำอะไรดีต้องได้ดีตอบ ไม่ดีไม่ได้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เขาชนะแล้วทำให้เราแพ้ เขาร้ายหรือเราร้ายที่ไม่ยอมรับความแพ้ (เราร้ายที่ไม่ยอมรับความแพ้)  ถามท่านนะ มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าอยู่ในโลกต้องเจอเรื่องดี แพ้ไม่ดี โดนว่าไมได้ สูญเสียไม่ได้ แล้วก็ยอมไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาชนะเรา เขาร้ายหรือเราร้ายที่แพ้ไม่เป็น (เราร้ายที่แพ้ไม่เป็น)  เขาไม่ดีที่ชนะเราแล้วทำให้เรากลายเป็นคนแพ้ที่รู้สึกย่ำแย่ ท้อแท้ หดหู่ ใช่ไหม (ใช่)  ถามต่อนะ เขาไม่ดี เพราะเขาร้ายหรือเราร้ายที่ไม่ยอมรับความไม่ดีของคนๆ หนึ่ง (เราร้าย)  ฉะนั้นที่เขาว่าเรา เขาไม่ดีที่ว่าหรือเราไม่ดีที่ไม่ยอมรับการถูกว่าบ้าง (เราไม่ดีที่ไม่ยอมรับการถูกว่าบ้าง)  ไม่มีใครชนะตลอด ไม่มีใครได้รับสิ่งที่ดีตลอด
ถ้าเรายึดติดในความคิด ว่าฉันต้องเจอสิ่งที่ดี ฉันต้องชนะ ฉันต้องสมหวัง ฉันต้องไม่โดนเขาว่า ถ้าเราคิดแบบนี้แล้วโดนเขาว่า โดนเรื่องไม่ดีใครทุกข์ (ตัวเรา)  ใครคิด (เราคิด)  ถ้าไม่คิด แล้วใครจะทุกข์ ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนชะตากรรม เขาว่าแล้วไม่ทุกข์ ไม่เกลียด เราจะยึดติดการที่ถูกว่าไม่ได้ เรายึดติดว่า ห้ามต่อว่า ห้ามเจอเรื่องไม่ดี ห้ามสูญเสีย ห้ามแพ้ พอเราเจอเรื่องพวกนี้ แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือพอเขาว่า เราก็ทุกข์ โกรธ ท้อแท้ หดหู่ รู้สึกแย่ เพียงแค่เราไม่ยอมรับการถูกต่อว่า อารมณ์ตามมาเป็นกระบวนการเลย เพราะมันเริ่มจากความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วความจริงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจธรรมะจะต้องกล้ายอมรับความจริง และความจริงนั้นจะไม่เจ็บ ถ้าไม่เอามาใส่ใจ อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น เราเป็นคนที่ว่าก็ได้ แพ้ก็ได้ แต่ขอแค่เพียงเรารู้จักคุณค่าของตัวเอง
เราถามท่านมีใครในโลกชนะแล้วไม่แพ้ ใครในโลกโดนชมแล้วไม่โดนด่า มีใครในโลกสำเร็จแล้วไม่ล้มเหลว มีใครในโลกมีสุขไม่มีทุกข์ ฉะนั้นถ้าอยากให้หัวใจเข้าใจธรรม อยากให้ชะตาชีวิตเข้าใจธรรม ทำไมในโลกนี้เมื่อไรมีมืด ก็ต้องมีสว่าง เมื่อไรมีดี ก็ต้องมีร้าย แต่ก็อยากจะบอกว่าในความร้ายก็ยังมีความดี แต่ไม่ใช่อยู่ตรงข้าม มันอยู่ในที่เดียวกัน มันอยู่ที่เราคิด ถ้าเรามัวแต่จับแยกเราก็หาดีในร้ายไม่เจอ แต่ถ้าเรามองให้เห็นในร้ายก็มีดี เหมือนทุกคนบอกว่าความเจ็บป่วยดีไหม (ดี)  เราว่าดีออกนะ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และอีกอย่างหนึ่งทำให้เรารู้จักวางเสียบ้าง ได้นอนพัก กินอิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราแก้ที่ความคิด ความคิดจะทำให้เรามีมาซึ่งความโกรธ ความท้อแท้ ความระทมทุกข์ ความเกลียดใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นควรแก้ที่สะเดาะเคราะห์ หรือแก้ที่ความคิด (แก้ที่ความคิด)  แล้วความคิดนั้นทำอย่างไรล่ะ ถึงทำให้เราเข้าใจ นั่นคือกล้ายอมรับความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลยนะแค่เปลี่ยนความคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)
ไม่เช่นนั้นถ้าท่านไม่เปลี่ยนความคิด เห็นคนอื่นเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่าผีก็เห็น (ผี) เห็นเราร้ายท่านก็ร้าย เห็นเราเป็นคนดีท่านก็เป็น (คนดี)  แล้วตอนนี้ส่วนใหญ่เห็นร้ายหรือเห็น (ดี)  ระวังนะเกลียดสิ่งใดมักจะเจอ (สิ่งนั้น)  ฉะนั้นสู้แก้ความคิดจะได้ไม่ต้องเกลียดและไม่ต้องเจอ แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่า ผู้ที่แน่วแน่มั่นคงในความถูกต้องมักไม่มีเวลาไปจับผิดใคร ผู้ที่แน่วแน่ในการกระทำที่ถูกต้องดีงาม มักไม่มีเวลาไปสอดส่องควบคุมจับผิดใคร เพราะการสอดส่องควบคุมจับผิดผู้อื่นเป็นทางมาแห่งกิเลสบาปกรรมได้ง่าย จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเมื่อใดเราสลัดใจที่คอยจับผิดผู้อื่นได้ เราก็จะตัดทางมาแห่งกิเลสและบาปทั้งมวลได้ทันที จริงไหม (จริง)  เพราะทุกวันมัวแต่ทำตัวเองให้ถูกต้อง ตัดความคิดให้ดีงาม ดำเนินชีวิตให้งดงามและถูกต้องเราจะมีเวลาไปจับผิดใครไหม (ไม่มี)  เพราะเมื่อไรที่จับผิดเขาก็แปลว่าตัวเราก็มีไม่ต่างกัน ฉะนั้นถ้าเห็นเขาร้ายก็แปลว่าเรา (ร้าย)  ถ้าเห็นเขาแย่ก็แปลว่าเรา (แย่)
ถ้าอย่างนั้นบอกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอยากเรียนรู้ธรรมะต้องเริ่มต้นที่ความคิด ความเข้าใจต้องถูกต้องก่อน ถ้าความคิด ความเข้าใจไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตก็ย่อมง่ายที่จะผิดพลาด เหมือนถามท่านว่า ท่านว่ากระต่ายวิ่งไวไหม เต่าช้าไหม ตัวหนึ่งไวใช่ไหม ก็อยู่ที่เราคิดถามว่ากระต่ายวิ่งไวไหม ก็เหมือนจะไม่ไว เต่าวิ่งช้าไหม ที่เราคิดว่ากระต่ายวิ่งไว เต่าวิ่งช้า เพราะเราคิดเปรียบเทียบยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้นที่เราว่าเขาไม่ดี เรากำลังเปรียบเทียบยึดติดกับสิ่งใด ฉะนั้นเต่าเดินช้าหรือใจเราเร่งรีบ กระต่ายเดินไวเพราะใจเราเปรียบเทียบ หรือเรายอมรับความจริง หรือเราไม่ยอมรับความจริง ในโลกใบนี้คนที่เขาเกินไป กับคนที่เขาขาดไป ใช่เขาเกินหรือเขาขาดจริงๆ หรือ หรือใจของเราที่คิด (ใจของเรา)  ถ้าเราเข้าใจธรรมะ คนในโลกร้ายหรือดี (ดี, ร้าย)  ไม่สามารถพูดได้ มันอยู่ที่ใจเรามองอะไร คิดอะไร ยึดอะไร ลองถามใจท่าน ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ ใครละที่จะทำให้เราเกลียด อารมณ์จะเกิดไหม ใครจะทำให้เรารัก กิเลสตัณหาจะมาทำใจเราได้ไหม ถ้าเราปรับความคิด มองความจริงแห่งธรรม ใครหรือร้าย หรือดี มีแต่ความเป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง ใครหรือสวย หล่อ จริงไหม ถ้าตัวเราไม่คิด
ฉะนั้นธรรมะสรุปง่ายๆ ถึงแม้สภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจ ถ้าใจเราสงบที่ใดก็สงบ ถูกไหม (ถูก)  แม้สภาวะแวดล้อมมีผลต่อใจ ใจท่านสงบ อยู่ที่ใดท่านก็สงบ แต่ถ้าใจท่านไม่สงบ แม้สภาวะแวดล้อมดีอยู่ที่ใด ท่านก็ไม่สงบ ฉะนั้นผู้ที่มั่นคงในความเข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง รู้จักควบคุมความคิด และมองอย่างคนที่เข้าใจธรรม อะไรหรือที่เกิน หรือขาดไปไม่มี จริงไหม เมื่อไม่มีอะไรเกินไป จะมีเกลียดไหม เมื่อไม่มีอะไรที่ขาดไป จะมีอะไรที่แย่ไหม (ไม่มี)  ถ้าอย่างนั้นปัญหาอยู่ที่ใด (ใจ)  อยู่ที่เรารู้จักความคิด เท่าทัน ความคิด เท่าทันใจตัวเอง
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ สิ่งที่วันนี้เราพูดมาไม่ได้ให้ท่านมากราบเคารพเรา หรือเชื่อมั่นในตัวเรา แต่เราอยากให้ท่านทำตัวให้น่ากราบน่าเคารพและน่าเชื่อมั่น ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  อย่ามัวแต่กราบไหว้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก จนลืมพระพุทธะที่อยู่ในใจของตัวเอง อย่ามัวแต่แสวงหาความมั่นคงภายนอก แต่ลืมหาความมั่นคงในจิตใจตัวเอง อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นช่วยเหลือ ตราบที่ท่านยังไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง เรื่องดีไม่คิดทำ เรื่องไม่ดีขยันหมั่นเพียรทำ แล้วชะตาชีวิตจะดีหรือร้าย  ฉะนั้นจะแก้จะเปลี่ยนใช่สะเดาะเคราะห์ หรือเปลี่ยนที่ความคิดการกระทำของเรา (เปลี่ยนที่ความคิดการกระทำของเรา)  อย่าลืมนะมนุษย์ทุกคนไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร หรือต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว ขณะต่อไปทำไมต้องกลัว ทำไมต้องกังวลใช่หรือไม่
ท่านรู้ไหม ศัตรูทำร้ายเรายังไม่เจ็บปวดเท่ากับใจเราที่คิดไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  ศัตรูว่าเราเจ็บปวดครั้งหนึ่ง แต่ใจเราที่คิดไม่เป็นทำเราเจ็บปวดนับครั้งไม่ถ้วน ฉันใดก็ฉันนั้น ความคิดถ้าไม่รู้จักเข้าใจให้ถูกต้อง คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดนั่นคือ ความคิดตัวเอง หาใช่ผู้อื่นไม่ เราไม่ใส่ใจใครจะทำเราเจ็บปวด ถ้าเราเข้าใจความคิดที่แท้จริง เราโดนว่าก็ได้ ทุกข์ก็ได้ แพ้ก็ได้ แต่เรารู้คุณค่าตัวเอง แพ้เราก็กลับมายืนใหม่ได้ เข้มแข็งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราเรากำหนด หรือชีวิตเราอยู่ที่คนอื่นกำหนด (เรากำหนด)  จำไว้นะชีวิตท่าน ท่านกำหนดเอง ฟ้าก็ช่วยท่านไม่ได้ ท่านเป็นคนที่เลือกชะตาชีวิตแบบนี้เอง ฉะนั้นอย่าโทษผู้อื่น ถ้าตัวเองยังไม่เข้าใจความคิด ไม่ยอมรับความจริงแห่งสัจธรรม เรานั่นแหละคือคนที่ทำให้ตัวเราทุกข์หรือสุข ขอแค่รู้ทันความคิดและยอมรับความจริง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ เหลืออีกสองวันอาจได้มาผูกบุญกันอีกนะ เหลืออีกสองวันอาจจะได้เจอกันอีก จะตัดโอกาสหรือผูกบุญดี (ผูกบุญ)  เราไม่รู้ขึ้นอยู่กับความคิดท่าน

วันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐  สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  หยุดเอาไว้คำนั้น  พูดไปแล้วแค่นั้น  แค่อีกความเห็น  หยุดคำนี้คำนั้น
  หยุดปากไว้แค่นั้น  โป้ปดพึงเว้น  หยุดดีดีหรือมีปัญหาก่อน  หยุดดีดีหัวคงไม่ร้อน
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม 
  สำนึกเองดีกว่าคนมาเที่ยวบอก         รู้ภายนอกหาช่วยอะไรไม่
จงศรัทธาในความดีอันยิ่งใหญ่           ผู้เกรียงไกรอย่าสะดุดขาตนเอง
ชีวิตนี้ดั่งความฝันที่สร้างได้               โลกมนุษย์ชื่นใจแต่คนเก่ง
เบื้องบนชมคนรู้ผิดบาปกลัวเกรง         แม้แสนเก่งหลงผิดคิดก็เวียนวน
โลกไกลกว้างใจก็มีแค่หนึ่ง                เข้าไม่ถึงธรรมไม่นับว่าฝึกฝน
เรื่องราวล้วนเกิดมามักซ้ำวน             เมื่อเปลี่ยนคนไม่ได้ให้เปลี่ยนเรา

                             ฮาฮาหยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้อาจารย์ขอถามหน่อย ใครมาเพื่ออยากพบหนทางแห่งการตื่นรู้หรือหนทางแห่งการบำเพ็ญ เพื่อเข้าถึงธรรมให้กระจ่าง หรือเพื่อความสิ้นทุกข์บ้าง ใครตั้งใจมาฟังแบบนี้บ้าง จริงหรือ ตั้งใจมาฟังเพื่อเกิดปัญญาที่กระจ่างเพื่อจะได้สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นที่ไม่ได้ยกมือโดนบังคับมาหรือมาเพียงเพื่อศึกษา แต่ไม่รู้ว่าจะกระจ่างไม่กระจ่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะพ้นทุกข์หรือไม่พ้นทุกข์ก็ไม่รู้ ถ้าวันนี้ศิษย์มาเพื่อฟัง เพื่อหาความมีสิริมงคล กับอีกแบบหนึ่งคือมาฟังเพื่อเกิดปัญญาตื่นรู้ กระจ่างในความเป็นจริงแห่งชีวิต และนำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่าย ศิษย์อยากมาเพียงเพื่อความมีสิริมงคลหรือเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่าย(สิ้นทุกข์, สิ้นการเวียนว่าย)  ไม่ใช่มาเพื่อขอเลขมงคล ขอความเป็นมงคลให้กับชีวิต ขอไหม เอาไหม (เอา)  เอาทันทีเลย ถ้าศิษย์ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ดีงาม ทำสิ่งที่เรียกว่ามีศีลมีธรรม มีหรือมงคลจะไม่เกิดกับชีวิต
แต่ถ้าทุกวันเอาแต่โป้ปด โกหก ผิดศีลขาดธรรม ตระบัดสัตย์ ไม่มีความเป็นคน ศิษย์จะมีมงคลแก่ชีวิตไหม (ไม่มี)  ในเมื่อศิษย์ตั้งใจแล้วว่า จะมาฟังธรรมเพื่อเกิดความกระจ่างในชีวิต จะมาฟังธรรมเพื่อนำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ ฉะนั้นอย่ามาหวังขอเลขสามตัวอาจารย์ อย่ามาหวังให้อาจารย์ตีหัวเคาะกะโหลกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้อาจารย์จับมือใครแล้วบอกว่าเคาะหัวหน่อย แปลว่าไม่ใช่แล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ามนุษย์เรามีความเข้าใจในความเป็นจริงแห่งชีวิตมงคล หรือคำว่าสิริมงคล หรือบุญบารมีไม่ต้องรอให้คนอื่นสร้าง เราสร้างด้วยตัวเอง รู้จักให้มีหรือจะไม่สร้างบุญใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกวันเอาแต่เอาเอาๆ จะมีบุญไหม (ไม่มี)  และทุกวันนี้เอาหรือให้ (ให้)  ที่อาจารย์เห็นเอามากกว่าให้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอามาจนมากแล้วค่อยไปให้ทันไหม (ไม่ทัน)  ศิษย์ก็รู้อยู่เต็มอก บุญบารมีเกิดจากการให้ อยากมีบุญวาสนาดีทำไมไม่รู้จักให้ ถึงเวลาเอาก่อนอาจารย์แล้วค่อยให้ได้หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าอยากมีบุญบารมีทำไมไม่ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่เข้าใจ ปัญญาที่ตื่นรู้ จะสามารถสร้างยิ่งกว่าบุญบารมี สร้างทางอันประเสริฐนำพาให้เราพ้นทุกข์อีกจริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อวานศิษย์ได้ฟังมาจากท่านแปดเซียน ท่านพูดว่า “ปัญญาเกิดจากการฟัง และทำให้เจอหนทางสว่าง” อาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่ง ปัญญาเกิดได้อีกทางหนึ่ง ตอบได้อาจารย์ (ก็อยู่ต่อ)  ตอบไม่ได้อาจารย์ (อยู่)  ทำไมตอบไม่ได้แล้วอาจารย์ต้องอยู่ต่อ อยู่เพื่อต้องสอน ต้องบอกให้ศิษย์รู้ใช่ไหม (ใช่)  (สติ) สติทำให้เกิดปัญญา เกิดปัญญาได้คือ หยั่งรู้ในความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่)  สติอาจทำให้เรามีรู้เท่าทันความคิด แต่ทำให้เรายังไม่สามารถมองให้ทะลุทะลวง แต่ปัญญาที่ทำให้เราทะลุทะลวงได้คือ การหยั่งรู้ในความเป็นจริง แล้วชีวิตเรา เราเคยหยั่งรู้ในความเป็นจริงแล้วบังเกิดปัญญารู้แจ้งบ้างไหม มีไหม ไม่มีเลยหรือ ไม่มีให้อาจารย์ชื่นใจสักคนเลยหรือ มีไหม หยั่งรู้ในความเป็นจริงจนเกิดปัญญารู้แจ้งในธรรม เราเคยหยั่งรู้บ้างไหม แล้วอะไรล่ะที่เป็นธรรมที่จะทำให้เราหยั่งรู้แล้วเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม แล้วไม่ทุกข์อีกต่อไป
ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม (ยินดี)  อ้อหน้าตายินดีหน้าตาแบบนี้หรือ หน้าตาแบบบึ้งๆ เฉยๆ หรือ ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันมีเรื่องทุกข์เยอะแยะไปหมด ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อมันมีทุกข์เยอะไปหมด ถ้าบางเรื่องเราทำหน้าบูด หน้าเบี้ยว หน้าตึง แล้วเรามีความสุขไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นยิ้มง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ แต่มนุษย์โลกบางคนนี่ยิ้มยากนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ มนุษย์ทุกคนดูน่ารักดูสวยงามดูดีได้ ขอแค่เพียงยิ้มบ่อยๆ จริงไหม (จริง)  หน้าสวยก็เท่านั้นแต่งตัวดีก็เท่านั้น แต่ถ้ายิ้มไม่เป็นยิ้มไม่ออกมันก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์เอ๋ย จริงไหม (จริง)  รีบยิ้มทันทีเลยนะอาจารย์ถามจริงๆ แต่งตัวดูดี ความรู้ดี การศึกษาดี หน้าที่การงานดี แต่ไม่ค่อยยิ้มให้ใครเลย ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  การศึกษาก็ไม่ค่อยมี เงินก็ไม่ค่อยมี แล้วก็ยังไม่ค่อยยิ้มอีก ใครจะเอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเป็นคนยิ้มง่ายหน่อยไม่ดีหรือ (ดี) ศิษย์รู้ไหมบุญวาสนาและทำให้คนอื่นชักมาในเรื่องดีๆ เริ่มต้นที่รอยยิ้มจริงไหม ลองไปที่ไหนสิแล้วศิษย์เดิน (พระอาจารย์เมตตาทำหน้าบึ้ง)  เป็นอย่างไร ต่างกันไหม แล้วถึงเวลาจริงๆ เราเลือกบึ้ง หรือเราเลือกยิ้ม (ยิ้ม)  แล้วการยิ้มมันเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีงาม ฉะนั้นเจอหน้าคนอยากผูกบุญหรืออยากผูกกรรม (ผูกบุญ)  อย่างนั้นหรือ เห็นเจอหน้ากันมีแต่หากรรมใส่กันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นคนที่อยู่ด้วยกันอย่างคู่บุญคู่วาสนากันนี่ก็อยู่กันอย่างมีความสุข อยู่กันอย่างเบิกบาน หรืออยู่กันอย่างหวานอมขมกลืน (เบิกบาน)  พูดอย่างทำอย่างนะศิษย์เอ๋ยใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้ศิษย์ยินดีต้อนรับอาจารย์ทุกคนแล้วใช่ไหม (ใช่)  แน่ไม่แน่ (แน่)  แต่สิ่งที่อาจารย์จะพูดกับศิษย์ก่อนก็คือ ขอบอกไว้อย่างหนึ่งว่าอาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์ขอพูดหลักธรรมที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน หลักธรรมที่ไม่สอนให้ใครแบ่งแยกแตกต่างกัน แต่หลักธรรมเมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว มันจะทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วทุกคน คือความเป็นธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นถ้าอาจารย์พูดถึงธรรมก็แปลว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ลองเริ่มต้นทดสอบภูมิปัญญาหน่อย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “ใต้หล้าฟ้านี้มีแค่หนึ่งคืออะไรตอบได้อาจารย์ให้นั่ง ตอบไม่ได้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ดีไหม (ดี)  จำไว้นะ ศิษย์ไม่มีพุทธะองค์ไหน ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านใดช่วยคนที่ไม่รู้จักช่วยตัวเองถูกไหม (ถูก)  มีไหมไม่ทำอะไรแล้วพุทธะจะประทานอะไรให้ (ไม่มี)  ไม่มีศิษย์ต้องทำเองก่อน แล้วฟ้าถึงจะหนุนส่งให้ ผลักดันให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ให้ดีขึ้นถูกหรือไม่ (ถูก)  ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย เคยได้ยินไหม “ใต้หล้าฟ้านี้มีแค่หนึ่ง (ดวงอาทิตย์)
บอกอันนี้ไปไม่ถูกเลยใช่ไหม อาทิตย์มีดวงเดียว ศิษย์ตอบว่าตัวเราใช่ไหม (ใช่, ทุกอย่างเริ่มจากตัวเราก่อน) ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงหนึ่ง แปลว่า ทุกอย่างเริ่มตัวเราก่อนใช่ไหม (ใช่)  มีแค่เราหนึ่งเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเมื่อสักครู่บอกว่าใช่ล่ะ ทุกอย่างต้องเริ่มจากหนึ่งก่อนถูกไหม (ถูก)  อันนี้ใช่ แต่ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงหนึ่ง แปลว่ามารดาคนเดียวใช่ไหม ถ้าศิษย์ยังเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์ก็มีมารดาหลายคนเหลือเกินจริงไหม ตอบได้จะได้นั่ง ตอบไม่ได้มายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ว่าอย่างไรนะ (จิตวิญญาณ) ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงจิตวิญญาณหนึ่งเดียวแปลว่า ที่รู้มามันไม่ใช่จิตวิญญาณใช่ไหมมันเป็นสัมภเวสีหรือ ใครตอบได้เร็ว ใต้หล้าฟ้านี้มีฟ้าเดียวกันใช่ไหม ศิษย์ว่าอย่างไรนะ (ธรรมะ)  ตอบได้ดีนะศิษย์ ปัญญาดีแต่ทำไมไม่มั่นใจในตัวเองล่ะ จริงไหม ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงหนึ่ง ศิษย์มักจะเคยเห็นบางคนที่ชอบไหว้พระพุทธะองค์เล็กๆ รูปที่เป็นพระพุทธเจ้าตอนเล็กๆ แล้วชี้หนึ่งเข้าใจไหม นั่นแหละแปลว่าอะไร ชี้หนึ่งแปลว่า ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดธรรมก็มีอยู่แล้วรูปปริศนาธรรม เป็นหนึ่งเดียว เราก็คือธรรม ตัวศิษย์ก็คือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมนั่นแหละ ทำให้ทุกคนเข้าถึงธรรม จะดี จะร้าย จะมี จะจน เราก็ต้องกลับสู่กระแสธรรมเดียวกัน คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฉะนั้นศิษย์จะหาแค่ไหน ศิษย์หนีไม่พ้นต้องเกิด ศิษย์จะรวยแค่ไหนศิษย์ก็หนีไม่พ้น (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหนึ่งชีวิตที่เราเกิดมาเราถอนตัวเองได้ ถอนความเป็นตัวตนได้แล้วเหลือคงไว้ซึ่งธรรม เราจะต่างอะไรกับความว่างแห่งฟ้าดินและธรรมชาติ เราจะต่างอะไรกับธรรมที่เราพยายามค้นหา แต่มนุษย์ไม่สามารถถอนความเป็นตัวตนได้ ยังยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้คือตัวตน เลยมองไม่เห็นธรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่ เมื่อยังมีความอยากอยู่ก็ก่อเกิดเป็นการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่มนุษย์สามารถกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นหนึ่ง หมดอยากแล้ว หมดตัวตนแล้ว ก็ไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
อยู่แล้วยังอยาก อยากแล้วยิ่งตามอยาก เพื่อสมอยาก แล้วก็อยากใหม่ แล้วก็ฝังลงไปในจิต ว่าจิตตัวเองเป็นแบบนี้ แท้จริงจิตเราคือธรรม ธรรมที่ไม่มีตัวตน อาจารย์ถามคนที่ตอบอยากนั่งหรือไม่อยากนั่ง นั่งคนเดียวหรือจะให้ทุกคนนั่ง ให้ทุกคนนั่งแล้วศิษย์ยอมยืนคนเดียวใช่ไหม ถ้าศิษย์อยากเข้าถึงธรรม สละตัวตนแล้วอุทิศเพื่อประชา นั่นแหละคือผู้กลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดมั่นตัวตน ไม่รู้จักละวางตน นั่นก็หนีไม่พ้นเวรกรรม อาจารย์ถามศิษย์ อยากจะสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่ห่วงตัวเอง แต่ห่วงผู้อื่น ยอมให้ผู้อื่นนั่ง ยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาให้ศิษย์นั่งแล้วปล่อยให้เขายืน ศิษย์ยอมไหม (ไม่ยอม)  เมื่อเขาถึงธรรมได้ เราก็ต้องถึงธรรมได้เหมือนกัน เมื่อเขากล้าเอาคุณธรรมให้เรา เราก็ต้องกล้าเอาคุณธรรมให้เขาต่อ ฉะนั้นก็ไม่ต้องนั่งเลยดีไหม (ดี)  ในโลกนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไหนใครเป็นคนดียกมือขึ้น ไหนใครคิดว่าตัวเองมีทั้งดี และไม่ดียกมือขึ้น แล้วที่ไม่ยกเลยคิดว่าตัวเองไม่ดีเลยยกมือขึ้น มีไหม แปลว่าโดยส่วนใหญ่ มักจะพูดว่าตัวเองเป็นคนทั้งดีด้วย และไม่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราทำดีบางครั้งเราก็กลายเป็นคนที่ดีด้วยและไม่ดีด้วย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยนะ ส่วนใหญ่เวลาเป็นคนดีเขาก็เรียกว่าเทพเทวาใช่ไหม คนชั่วถ้าเกิดรู้ว่าตัวเองชั่วก็เรียกว่าภูตผีปีศาจใช่ไหม (ใช่)  แล้วคนที่ก้ำกึ่งเขาเรียกว่าอะไรหรือศิษย์ ครึ่งผีครึ่งคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์เป็นคนประเภทนั้นใช่หรือไม่ ยังเอาแน่เอานอนใจไม่ได้ ใช่ไหม แล้วเคยไหมศิษย์เวลาเราพยายามทำดีที่หลายต่อหลายคน เขาก็ชอบมาบอกกับอาจารย์ว่าหนูเป็นพวกดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะว่าเวลาทำดีแล้วมันเหนื่อย ใช่ไหม ทำดีแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ท้อไหม (ไม่ท้อ)  ไม่ท้อไม่เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนเขาทำดีไม่เหนื่อยไม่ท้อเขาก็จะไม่ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วก็ไม่ได้ทำดีตามแต่อารมณ์ด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  ยังไงๆ เขาก็ต้องทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเริ่มที่เรื่องง่ายๆ ก่อนถ้าทุกคนชอบทำดีชอบไหม (ชอบ)  แล้วบางคนชอบทำชั่วใช่ไหม ทุกคนชอบทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์เคยไหมบางครั้งเวลาเราทำดีแล้ว ความดีเรามันเหมือนธรรมดา มันดูเหมือนกระดาษเปล่ามันดูไม่จริงใจ บางทีคนเขามองเราแล้วดูเราเป็นคนธรรมดาๆ ดูไม่เห็นดีไม่มีค่าอะไรเลย เคยเจอแบบนี้ไหม (เคย)  อาจารย์ถามหน่อย มีคนประเภทหนึ่งเข้าวัดเก่ง ทำบุญเก่ง สวดมนต์ก็เก่ง เจอพระวัดไหนไหว้หมดทุกวัด แล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนดี บุญอะไรทำมาหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ถามหน่อยคนประเภทนี้เวลาออกนอกวัด เจอคนไม่ดี ซุบซิบๆๆ นินทาผู้อื่นอาจารย์ว่าคนแบบนี้ ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะงานฉันก็ทำแล้วนี่ บุญฉันก็ทำนะ มาว่าฉันอย่างนี้ได้อย่างไร พระฉันก็ไหว้นะ ผ้าป่ามากี่ซองฉันใส่หมดทุกซองเลย มาว่าฉันไม่ดีได้อย่างไร อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ต่อหน้าไหว้ลับหลังหลอก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ชอบสวดมนต์ไหม (ชอบ)  ชอบใส่บาตรไหม (ชอบ)  กฐินผ้าป่า สังฆทานทำไหม (ทำ)  ทำหมดเลยนะใช่ไหม (ใช่)  แต่ยังนินทาไหม (นินทา)  ยังโกหกไหม (โกหก)  อาจารย์ถามหน่อย ทำไมความดีของคนที่ทำแบบนั้น ทำไมจึงดูธรรมดา และว่างเปล่าไร้ค่า ก็ง่ายๆ อยู่ที่วัดดีเรียบร้อย ดีหมดทุกอย่าง แต่พอออกนอกวัด องค์พระหายไปแล้วกลายเป็นมารลงใช่ไหม (ใช่)  เจออะไรนิดอะไรหน่อยยอมไหม (ไม่ยอม)  ต้องเอามันๆ มันร้ายมาร้ายกลับใช่ไหม (ใช่)  ด่ามาด่ากลับใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย คนทำดีแบบนี้ดีจริงไหม (ไม่ดี)  ความดีของเขาเหมือนความดีที่ไม่จริงใช่ไหม (ใช่)  คนดีจริงอยู่ที่ไหนก็ต้อง (ดี)  ถามหน่อยที่บอกว่าทำดีไม่ได้ดี ศิษย์เป็นประเภทอยู่ที่ไหนก็ดีไหม ศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ศิษย์ทำดีแล้วไม่มีผลอะไร ทำไมไม่เห็นได้เรื่อง ทำไมคนไม่เห็นคุณค่า ศิษย์เป็นแบบนั้นหรือเปล่า (ไม่)  ดีเป็นบางหย่อมๆ หย่อมนี้ถูกใจทำดี หย่อมนี้รำคาญใจขออาละวาดก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยทำดีลูบหลังใช่ไหม ถามใจศิษย์ ถ้าคนเขาเป็นแบบนี้ ตอนดีดีใจหาย ตอนด่าด่าเช็ดไม่เหลืออะไร อาจารย์ถามหน่อยดีจริงไหม (ไม่จริง)  ศิษย์เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์ไปฆ่าเขาแล้วเอามาทำบุญอย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์ไปขายของ ศิษย์ไปทุจริต ศิษย์ไปเอาเปรียบ ศิษย์ไปกินแรงเขา ศิษย์บอกเดี๋ยวศิษย์เอามาทำบุญ ศิษย์ดีจริงไหม (ไม่จริง)  แล้วบอกทำดีไม่ได้ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่ามาบอกว่า ท้อกับการทำดี ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองดีแท้ไหมใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอีกประเภทหนึ่ง ศิษย์เป็นคนดีนะอาจารย์ ศิษย์ของอาจารย์บางคนเป็นคนดี ไหว้พระก็ไหว้ นินทาใครก็ไม่นินทา โกหกใครก็ไม่โกหก มีธรรมะ ธรรมโม แต่เสียอย่างเดียวอาจารย์ เป็นคนที่ทำดีแล้วเธอต้องดีๆ ทำดีแล้วเธอต้องดีตอบๆ (หวังผล)  ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่แค่หวังผลเรียกร้องไม่จบสิ้น ฉันดีแล้ว เธอต้องดี ทำไมเธอไม่ดี เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ไม่เคยเรียกใครเลย เรียกแต่ตัวเองทำให้อย่างเดียวใช่ไหม ใครจะดีไม่ดีไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอยถ้าทำดีแบบนี้ ทำกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง จำคำอาจารย์ไว้นะ ถ้าทำแล้วเรียกร้อง หวังผล ทำกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แต่ถ้าทำดีแล้ว ทำดีอย่างหนึ่ง วันหนึ่งไม่ดี ทำดีวันหนึ่ง อีกวันไม่ดี อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำดีแบบเปล่าไร้ หาความจริงแท้ไม่เจอ ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เป็นความดีแบบไหน
อาจารย์ทำดี ต้องให้ไม่เรียกร้องเอา แต่มีอีกประเภทหนึ่ง อาจารย์ศิษย์ขอทำบุญสิบบาท และขอเปลี่ยนเป็นถูกสองตัว ขอถูกสามตัว ขอให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข การงานก้าวหน้า เถิดสาธุ แล้วศิษย์จะไปทำดี เราเป็นดีแบบนั้นไหม ถ้าอย่างนั้นไม่เรียกว่าทำดี แต่เรียกว่ากำลังค้าขายแลกเปลี่ยน แล้วศิษย์เป็นดีแบบไหน เป็นทั้งสองเลยอาจารย์ แล้วแต่อารมณ์ไปทางไหน ฉะนั้นถ้าทำดีแล้วดีเป็นหย่อมๆ ไม่ได้เรียกว่าดีแท้จริง ถ้าทำดีแล้วยังเอาแต่เรียกร้องคนอื่นต้องปฏิบัติกลับให้ดี ทำดีแล้วยังต้องบอกว่าคนนั้นยังต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ถึงจะดี อย่างนี้เรียกว่าความดีแบบ ทำกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง เพราะเป็นความดีที่ยังยึดมั่นถือมั่น จุดมุ่งหมายของความดีคือทำเพื่อให้ แล้วเราให้จริงๆ ไหมจุดมุ่งหมายของการทำดีคือ ทำเพื่อสละ ละการยึดมั่นถือมั่น ที่จะไม่ทำให้เรากลายเป็นคงหลง หรือติดในความดีตอนนี้ศิษย์ดีหรือยัง (ยัง)  แล้วเป็นดีแบบไหนบ้าง ฉะนั้นการทำดีที่แท้จริงความหมายคือ ทำเพื่อสละ ละ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงตกเป็นทาสของกิเลส จุดประสงค์หลักของการทำดีก็เพื่อ (ขัดเกลาจิตใจตัวเอง)  อาจารย์จะบอกให้ทำดีเพื่อให้ตัวเองไม่ไหลลงต่ำและทำถูก ทำดีเพื่อไม่ตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ เพื่อเราจะได้ไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่โลภ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจ เราไม่ได้ทำดีเพื่อการเป็นเทพ เป็นนางฟ้า หนทางของการทำดีที่แท้จริงคือ ทำดีเพื่อยับยั้งใจไม่ให้ไหลลงต่ำและคิดชั่ว และประพฤติชั่วหรือทำดีเพื่อยับยั้งใจให้ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และความยึดมั่นถือมั่นหลงตัวเอง ฉะนั้นคนทำดีที่แท้จริง จะไม่หวังผล คนที่เข้าใจความหมายของความดีที่แท้จริง เขาจะทำแล้วไม่ยึดติดหวังบันดาลดล เพราะความดีเมื่อทำก็อิ่มใจอยู่แล้ว
ถ้าเราอยู่ในโลก ใจเรามีศีลต่อความประพฤติของคน เรามีคุณธรรม เรามีความเมตตา เรามีความซื่อตรง ถึงที่สุดแล้วผลมันจะเป็นอย่างไรไม่ต้องกังวลจริงไหม (จริง)  ในเมื่อเราอยู่กับตัวเรา ใจเรามีศีล อยู่กับคนอื่นรู้จักมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ ต่อพ่อแม่มีความกตัญญู ต่อเพื่อนมีความซื่อตรง ต่อภรรยาต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจ ต่อผู้น้อยเรารู้จักเมตตาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่อผู้คนที่สูงกว่าเราให้ความเคารพ เราให้เกียรติ หรือต่อเพื่อนธรรมดาเราก็ให้เกียรติเคารพ ถ้าทำเช่นนี้แล้วอาจารย์ถามหน่อย มันดีอยู่ที่ตัวเอง ไม่ต้องรอผลจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดทำ นี่อะไร อย่างนี้ไม่เคารพคนอื่น ผลมันก็รู้อยู่แล้ว ไปอยู่ใกล้ๆ ใครเขาก็รังเกียจ นี่อะไรนี่หมายความว่าไงนะ อะไร อย่านะ ดีได้ก็ร้ายได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักยับยั้งใจเรา มันง่ายที่จะไหลลงต่ำ ถามฝ่ายชายดูสิ เขามองตาขวางๆ คิดดีหรือคิดร้าย (คิดร้าย)  เอาดีหรือเอาร้าย (เอาร้าย)  หาเรื่องใช่ไหม (ใช่)  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความดีทำเพื่อไม่ให้เราไหลลงต่ำ ทำดีเพื่อไม่ให้เราตกเป็นทาสของกิเลส และไม่ยึดตัวเองเป็นนักเลง เป็นเจ้าพ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนจึงบอก โอ้โหอาจารย์ทำดีนั้นมันเหนื่อย ไม่ต้องทำมันหรอก ใช่ไหม (ใช่, ไม่เหนื่อย)  มันอยากดีๆ ไป ไม่เอาหรอก ถามจริงอาจารย์ ทำดีมันก็โดนด่า ไม่ดีมันก็โดนด่า ฉะนั้นไม่ต้องทำมันก็โดนด่าใช่ไหมศิษย์ (ไม่ใช่)  มีคนคิดอย่างนี้ พอถึงเวลาทำไหม (ไม่ทำ)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย เกิดเป็นคนอยากยกให้ตนเองสูง หรืออยากกดให้ตัวเองต่ำ (สูง)  อย่างนั้นหรือ ถ้ายกให้ตัวเองสูง ก็จะต้องทำตนเองให้มีค่ายิ่งกว่าความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งควรต้องทำตัวให้น่าเคารพน่าศรัทธา ยิ่งควรทำให้เป็นคนที่คนอื่นเขารักใคร่ แล้วคนที่ไม่ยอมทำดี เขากำลังกดให้ตัวเองสูง หรือกดให้ตัวเองต่ำ (ต่ำ)  อาจารย์ถามหน่อย มีบ่อน้ำที่ใสสะอาด กับบ่ออุจจาระศิษย์ลงบ่อไหน (บ่อใสสะอาด)  ฝ่ายชายบ่อน้ำกับบ่ออุจจาระ ศิษย์ลงบ่อไหน (บ่อน้ำ)  ลงบ่อน้ำหรือ ไม่ลงบ่ออุจจาระหรืออาจารย์ถามต่อ มีบ่อที่เย็นใสกับบ่อที่ร้อนระอุลงบ่อไหน (บ่อเย็นใส)  อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นบ่อที่ไม่มีบุหรี่กับบ่อที่มีบุหรี่ ลงบ่อไหน (บ่อไม่มีบุหรี่)  ถ้าอย่างนั้นบ่อที่มีเหล้ากับบ่อที่ไม่มีเหล้าลงบ่อไหน (บ่อไม่มีเหล้า)  แล้ว บ่อที่ชนวัว แข่งรถ ลงบ่อไหน (ไม่ลงสักบ่อ)  อย่างนั้นหรือ ลงทุกบ่อเลย ขอให้ว่างอาจารย์ ไม่ว่างก็ต้องว่างใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ถามทางดีๆ มีให้เดิน เดินไหม (เดิน)  ทางไม่ดีไม่มีให้เดิน เดินไหม
รู้ว่าเหล้ากินไม่ดีกินไหม (กิน)  ศิษย์ไม่ต้องร้อน อาจารย์ว่าคนที่กินที่ร้อนนี้ไปแอบกินมาใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่เคยกินเลยแน่นะ เงียบ ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าทางหนึ่งคือทางที่ดี อีกทางหนึ่งเป็นทางที่ไม่ดี อาจารย์ไม่เป็นไรหรอกพอเสียชีวิตแล้วก็จบกันช่างหัวมันใช่ไหม(ไม่ใช่)ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเราอยู่บนโลกนี้ เวลาเราทำอะไรมีแต่คนบอกว่า ขอให้เจริญๆ นะพ่อคุณแม่คุณ กับอีกอย่างหนึ่ง ไม่ยกมือแต่ในใจบอกว่า เมื่อไหร่มันจะตายโหงตายห่าไปเสียทีหนอ ศิษย์ว่าอะไรดีกว่ากัน (อย่างแรก)  อย่างแรกดีกว่า แต่ถึงเวลาถามใจเรา เราทำจนคนยกมือไหว้ หรือทำจนคนพูดไม่ออก (ยกมือไหว้)  เมื่อพูดถึงเรื่องดี ไม่ดี และวิธีการปฏิบัติที่เรียกว่าดีแล้ว คืออย่างไร อะไรที่เรียกว่าปฏิบัติดีเข้าใจหรือยัง เข้าใจหรือ ฉะนั้นการปฏิบัติดีก็คือ ในใจมีศีล ปฏิบัติต่อผู้อื่นมีคุณธรรมความเป็นคน ถึงเวลาทำให้ดีที่สุด ถึงที่สุดจะอย่างไรก็กล้ายอมรับความจริง นั่นคือเรียกว่าปฏิบัติดี ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล ถ้าทำได้อย่างนี้
ศิษย์อยากฟังธรรมเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นกิเลสในโลกนี้มีอยู่หนึ่งคือ สิ้นกิเลสกับสิ้นทุกข์ เป็นเรื่องที่ทำกันไม่ค่อยจะถึง ฉะนั้นถ้าอยากสิ้นกิเลสกับสิ้นทุกข์ สิ้นอะไรแล้วทำให้มันหมดได้ทันที อยากรู้บ้างว่ามีใครตอบอาจารย์ได้ สิ้นกิเลสกับสิ้นทุกข์ ศิษย์ว่าทำอะไรที่จะทำให้สิ้นแล้ว แล้วมันจะสิ้นได้จริงๆ (สิ้นกิเลส)  โดยส่วนใหญ่จะบอกว่าสิ้นกิเลส (สิ้นทุกข์)  สิ้นทุกข์จะทำให้ปลอดจากทุกอย่าง ว่าง ปลอดจากกิเลสด้วย แน่ใจ ตอบให้เพื่อนได้ฟัง ตอบได้ดี แต่ท่านนี้ตอบว่าสิ้นทุกข์ได้ ก็สิ้นกิเลสได้ ยกตัวอย่างให้อาจารย์ฟัง สิ้นทุกข์อย่างไรที่ทำให้สิ้นกิเลสได้ด้วย และสิ้นทุกข์ได้แท้จริง (สิ้นทุกข์คือนิพพานเลย)  นิพพานแปลว่า (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย)  แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เข้านิพพานแล้ว แต่ตอนที่ท่านตรัสรู้แล้วท่านยังต้องแก่ เจ็บ ตาย (สุดท้ายก่อนที่จะตาย)  สิ้นทุกข์ให้ได้ก่อนที่จะตาย แล้วสิ้นทุกข์ที่ตรงไหน (ความไม่สบายใจ)  เข้าใจไหม ไม่เข้าใจหรือ อาจารย์จะอธิบายง่ายๆ อยากสิ้นกิเลสต้องสิ้นกรรม กรรมคือการกระทำ ถ้าอยากสิ้นทุกข์ต้องสิ้นการยึดติดตัวตน เมื่อสิ้นการยึดติดตัวตน ก็สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส ง่ายกว่าไหม ถ้าอยากสิ้นกิเลสเราต้องสิ้นกรรมก่อน ถึงจะสิ้นกิเลส กรรมคือการกระทำ ฉะนั้นถ้าการกระทำของเราไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส เมื่อเราสิ้นกรรมแล้วหรือกลายเป็นอกรรม กรรมที่ไม่มีผลตอบรับ กิเลสเราก็สิ้นได้ แต่ถ้าเราสิ้นความอยากแล้วเราสิ้นทุกข์ไหม อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์หมดอยากได้ แต่ยังไม่สิ้นทุกข์ เพราะมนุษย์ยังหนีไม่พ้น แก่ เจ็บ ตาย  ฉะนั้นถ้าอยากจะสิ้นกรรม สิ้นกิเลส แล้วสิ้นทุกข์ ศิษย์จะต้องสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อไรสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ก็จะสิ้นทุกข์ สิ้นกรรม สิ้นกิเลส ทันทีอาจารย์ฟังอย่างนี้ก็ยาก
หยั่งรู้อะไรที่จะทำให้เราเข้าถึงปัญญา สิ้นทุกข์ สิ้นกรรม สิ้นกิเลส ธรรมที่มนุษย์ท่องกันอยู่ทุกวัน รู้กันอยู่ทุกขณะ เห็นกันอยู่ทุกขณะ แต่พระพุทธเจ้าเอาธรรมอันนั้นมาทำให้กระจ่างแจ้ง จนสามารถสิ้นทุกข์ สิ้น กิเลส สิ้นกรรมได้ แล้วธรรมอันนั้นเรียกว่าอะไรรู้ไหม ที่หยั่งรู้แล้วทำให้เราพ้นทุกข์รู้ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม พระพุทธเจ้าเห็นความแก่ แล้วเอาสิ่งนั้นมาทำตัวเองสิ้นทุกข์ ใช่หรือไหม (ใช่)  เราเห็นทุกวันไหม ดูทุกวันไหม ท่องมันออกทุกวันไหม แล้วเราสิ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ไม่เคยสิ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเกิดว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือสภาวธรรมที่กลับคืนไปสู่ความว่างเปล่า ฉะนั้นถ้าเราอยากสิ้นทุกข์ การกลับคืนสู่ความว่างเปล่า คือการกลับคืนสู่ความสิ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  ถ้าการยึดมั่นถือตัวตน คือความมีไม่สิ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าธรรมคือความว่าง ตัวตนคือความมี ฉะนั้นถ้าความว่างคือธรรม ความมีก็คือกรรมใช่ไหม (ใช่)  ถ้าความว่างคือไม่มีอะไรพอไม่มีอะไรก็ไม่มีกรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรากลับคืนสู่ความว่าง เราก็คือธรรม แต่ถ้าเรายึดติดความมีนั่นก็คือกรรม หรือที่เรียกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกรรมจึงมีสองอย่างคือ กรรมดีและกรรมชั่ว  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่อยากว่าง ไม่อยากมีธรรม มนุษย์อยากมีตัวตนก็แปลว่าเราอยากมีกรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์โดยส่วนใหญ่ ศิษย์ไม่อยากว่าง อาจารย์ศิษย์ไม่อยากว่าง ศิษย์ไม่ชอบความว่าง ศิษย์อยากมี พอมี ก็หนีไม่พ้นกรรม หนีไม่พ้นการถูกกระทบกระแทก ความว่างทำให้ศิษย์เหมือนไม่มีอะไร ศิษย์ยังอยากมีอยู่ พอความมีมีมากๆ ก็กลายเป็นวุ่น ยุ่งแล้วก็ยึดจึงหนีไม่พ้นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากกลับคืนสู่สภาวธรรม ก็ต้องทำตัวให้ว่าง เราว่างไหม ไม่เคยว่างเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมา)
ทำอย่างไรที่เรียกว่าว่างแล้วคืนสู่ธรรม ที่เรียกว่าไม่ว่างแล้วกลายเป็นกรรมดีกรรมชั่ว นึกออกไหม ไม่ออกอาจารย์เทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์ตีศิษย์ (พระอาจารย์เมตตาตีหัวหน้าชั้น)  ว่างหรือมี (ว่าง)  ดีหรือร้าย (ดี)  ดีจำไว้นะ แค่ความรู้สึกเพียงชั่วหนึ่งก็ทำให้เราออกห่างจากความว่าง แค่รู้สึกดี ว่างคำว่าดีก็ยังเป็นกรรมดีจริงไหม (จริง)  จำไว้นะศิษย์คำว่า ว่างแปลว่า เมื่อถูกกระทบไม่รู้สึก เมื่อถูกกระแทกไม่มีกรรม เมื่อถูกกระทั้นกระเทือนไม่มีคิด ไม่มีตัวตน เรียกว่ากลับคืนสู่ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่กระทบครั้งหนึ่งด่า ชอบ ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมีตัวตนจึงเกิดกระแสกรรม พระพุทธะจึงบอกว่า กลับคืนสู่ทางสายกลาง กลางคือไม่ร้าย ไม่ดี หรือเรียกว่าไม่มี จึงเรียกว่าธรรม แต่เมื่อไรศิษย์ยึดติดว่า ดีไม่ดี เรียกว่ายังมีกรรมดี กรรมชั่ว และยังมีตัวตนต้องไปรับกรรม ซึ่งไม่ใช่การกลับคืนสู่ธรรม จริงนะศิษย์ ถ้าเราอยู่ในโลกไม่ว่าเจออะไร อาจารย์บอกง่ายๆ ถ้าโดนกระทบ ศีลฉันไม่ผิด คุณธรรมฉันไม่ด่างพร้อย เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าฉันไม่อายดิน ต่อหน้าผู้คนฉันไม่เคยประพฤติผิดกลัวอะไร ถึงที่สุดแล้วโกรธทำไม เกลียดทำไม ถ้าโกรธแล้วกลายเป็นกรรมชั่ว ชื่นชมแล้วมันกลายเป็นหลงใหล แล้วเรียกว่ากรรมดี อย่างนั้นไม่เอาขอเป็นธรรม ฉะนั้นอะไรที่กระทบมาก็เป็น (ความว่างคิดว่าไม่มีก็คือไม่มี)  จริงหรือ ถ้ายังคิดก็แปลว่ายังมีความเป็นตัวตนถูกไหม ความคิดเป็นบ่อเกิดของกิเลส มีบ่อเกิดมาจากความคิดถูกไหม ฉะนั้นมันพ้นจากความคิด อาจารย์จึงบอกว่าถ้าเมื่อไรศิษย์มีปัญญาหยั่งรู้ความจริง ศิษย์จะไม่เอาอะไรในโลกนี้ เพราะถ้าเอาแล้วมันเป็นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และการยึดเพื่อสนองผลบุญ ฉะนั้นศิษย์จะเอาไหมล่ะ ถ้าหากเราโดนกระทบโดนกระแทกแล้วเราสามารถวางซึ่งความเป็นตัวตน กระแสแห่งกรรมก็จะไม่เกิดถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราสามารถทำได้เช่นนั้นไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชาย๒คนออกมาหน้าชั้น)
สมมติอาจารย์บอกว่าอาจารย์มีศิษย์สองคน คนหนึ่งอาจารย์รักน่ารักจริงๆ เลยศิษย์คนนี้ดีมากๆ กับอีกคนรังเกียจ ขับไล่ไสส่ง ฉะนั้นถ้าเราโดนแบบนี้ โดนเกลียด โดนทั้งด่า โดนเขาว่าจนไม่เหลือดี ศิษย์อยากจะเข้าถึงธรรมหรือศิษย์อยากจะเกี่ยวกรรมกับอาจารย์ ถ้าเข้าถึงธรรมควรที่จะโกรธหรือควรที่จะว่า ถึงเวลาว่างจริงๆ แล้วนะ กี่ชีวิตแล้วหนอ ตามใจปากมากตามใจตัวมากเป็นสุสานเคลื่อนที่นะศิษย์ มันเต็มไปด้วยชีวิตคนอื่นเขาทั้งนั้นเลยใช่ไหม เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน มีอะไรก็กิน ฉะนั้นถ้าเกิดมันเป็นผักกับเนื้อสัตว์กินไหม กินอะไร (ผัก)  แล้วเนื้อสัตว์ล่ะ
บางอย่างมันกินแล้วมันไม่มีกรรมเพิ่ม แต่บางอย่างมันกินแล้วมีกรรมเพิ่ม ศิษย์อยากกินแล้วมีกรรมเพิ่มหรือไม่มีกรรมเพิ่ม (ไม่มีกรรมเพิ่ม)  อย่างนั้นหรือ แล้วศิษย์กินผักหรือศิษย์กินเนื้อสัตว์ล่ะ (กินผัก)  จริงนะ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากมันทำให้เราสร้างกระแสกรรม อย่าปล่อยให้แค่โดนกระทบ แล้วลุ่มหลงหรือหลงใหลไปเกี่ยวกรรม ไม่ว่าดีหรือร้ายมันก็ล้วนเป็นกรรม แล้วเราอยากเกิดมาเพื่อรับผลกรรมอีกไหม (ไม่อยาก)  เพราะฉะนั้นเวลาโดนอะไรเราควรที่จะโต้ตอบเขาด้วยธรรม หรือโต้ตอบเขาด้วยกรรม (ธรรม)  ถ้าบอกว่าโต้ตอบเขาด้วยธรรม ฉะนั้นถ้าเกิดเขาด่าเรามา เราควรจะให้ธรรม หรือให้กรรมกลับ (ธรรม)  ด่ากลับเรียกว่าธรรมหรือกรรม (กรรม)  แล้วพอถึงเวลาเราด่ากลับไหม (ไม่ด่า)
ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย บุญก็ไม่สร้าง ศีลก็ไม่มี ทุกวันเอาแต่เกี่ยวกรรมกัน แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าชีวิตนี้อนาคตข้างหน้าศิษย์มันจะเป็นกรรมหรือธรรม อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ศิษย์ทำล่ะ กรรมดีหรือว่าธรรม ถ้าอย่างนั้นจะกลับไปอย่างธรรมหรือกลับไปอย่างมีกรรม (กลับไปอย่างคนมีธรรม) ฉะนั้นก็จงรู้จักประพฤติปฏิบัติอย่างคนมีธรรม คนมีธรรมมีเมตตาเป็นหลัก คนมีธรรมมีกรุณาเป็นหลัก แต่ถามศิษย์ของอาจารย์ถ้าชีวิตนี้มีเมตตาเป็นหลัก กรุณาเป็นหลัก เราจะด่าใคร เราจะเบียดเบียนชีวิตใคร เราจะเยาะเย้ยใครไหม เวลาใครผิด เราจะเหยียบซ้ำไหม (ไม่เหยียบ)  แล้วเวลาใครผิดเราไม่เคยกดไลค์เขาเลย เวลาได้ยินข่าวไม่ดีแล้วไม่แอบด่าเขาเลยมีไหม เงียบเชียว นั่นแหละเรียกว่าสร้างกรรมต่อใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าไปหลงรักใครในโลกให้มากสุดใจ รักแล้วมันทุกข์ไหม (ทุกข์)  เกลียดแล้วมันทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าอย่างนั้นควรจะรักไหม (ไม่ควร)  ควรจะเกลียดไหม (ไม่ควร)  แล้วศิษย์ล่ะ ถ้าเราอยู่ในโลกไม่อยากทุกข์ อะไรมันก็ไม่น่ารัก อะไรมันก็ไม่น่าเกลียดหรอก ถ้ามองให้ดีๆ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้ารักมันก็มีกรรมแห่งความรักที่ต้องเจ็บและทุกข์ เพราะถ้าเกลียดมันก็มีกรรมแห่งความเกลียดที่ต้องเคียดแค้นชิงชัง จองเวร จองกรรม จะเอาไหมล่ะ แล้วมีบ้างไหมที่รักแล้วไม่เกลียด รักแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  แล้วยังรักไหม (รัก)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเราศึกษาธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม ทำไมเอาแต่กรรมไม่เอาธรรม จริงไหม (จริง)  ดั่งที่อาจารย์มักจะพูดเสมอ ถ้าชั่วขณะที่อาจารย์ตีคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แล้วถ้าพ้นจากความคิดทั้งสองเรียกว่าสงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสงบเย็นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พระนิพพาน” แต่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง ถูกไหม ฉะนั้นถ้าโดนกระทำจะขึ้นสวรรค์ลงนรกหรือไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ถามใจศิษย์นะใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นโดนกระทบ มีสติ ไม่ใช่การคิดออก แต่คอยบอกเตือนใจให้ระลึก บางครั้งสติและความมั่นใจ ก็ทำให้เราทำอะไรไม่สำเร็จ มีสติแต่อย่ามีความมั่นใจจนเกินไป มนุษย์เราทุกคนหนีไม่พ้นความเจ็บ ความป่วย แต่เราบำเพ็ญธรรม สอนให้เรารู้ว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของสังขารที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นเราต้องรู้จักวางใจให้เป็นธรรม อย่าเอาใจไปจมอยู่กับความเจ็บ ชีวิตนี้เรามีค่าคือการคืนกลับสู่ธรรมไม่ได้กลับไปจมอยู่กับความเจ็บป่วย ฉะนั้นจงเจ็บป่วยเพียงร่างกาย แต่อย่าเจ็บป่วยที่จิตใจ ใจจงปล่อยไปสู่ความว่าง กลับคืนสู่กระแสแห่งธรรมที่ไร้ตัวตนยึดถือ ฉะนั้นไม่ว่าเจ็บป่วยก็เป็นเพียงสังขาร ไม่ใช่ที่จิตใจเรา แม้แต่โดนด่า ก็โดนด่าเพียงสังขาร ไม่โดนด่าที่ใจ ถ้าทำได้ความเจ็บป่วยก็เป็นชะตากรรมของธรรมชาติ ไม่ใช่ชะตากรรมที่เรายึดมั่นไว้ให้ทุกข์ เข้าใจนะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากับผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์เอ๋ยเราฝึกธรรมะ เราฝึกปฏิบัติธรรม ไม่ได้ฝึกเพื่อยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน แต่เราฝึกธรรมปฏิบัติธรรมเพื่อละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะอะไรที่ทำให้เรายึด มันเรียกว่ากรรม แล้วอะไรที่มันทำให้เราว่าง แล้วไม่มีตัวตน แล้วไม่ต้องทุกข์ทนนั่นเรียกว่า ธรรม ฉะนั้นถ้าเราโดนด่ามาแล้วเรายังยึด มันก็ไม่ใช่ธรรม แต่มันกลายเป็นกรรม ฉะนั้นเราโดนด่ามา เราไม่ยึดเราปล่อยวางมันเป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้หนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างไรก็ต้องเจ็บใช่ไหม (ใช่)  หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อหนีความเจ็บ ความตายไม่ได้ ฉะนั้นถ้าสังขารมันเจ็บ มันตาย เราจะยึดให้มันมีกรรม หรือเราจะปล่อยให้มันเป็นธรรม ยึดให้มันเจ็บปวดเป็นทุกข์ หรือปล่อยให้มันเป็นธรรม (ปล่อย)  ฉะนั้นจงเจ็บแค่สังขาร แค่ร่างกาย แต่อย่าไปเจ็บที่ (ใจ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จำไว้เสมอนะศิษย์ ยึดเมื่อไรกลายเป็นกรรม ปล่อยเมื่อไรก็คือธรรม แล้วเราอยากมีกรรมหรืออยากมีธรรม (อยากมีธรรม)  หรือเราอยากเวียนว่ายตายเกิดในกระแสกรรม ธรรมหรือกรรม ทำไมอาจารย์ได้ยินเป็นกรรมๆ ฉะนั้นศิษย์มองง่ายๆ อาจารย์ยกตัวอย่าง มือยังขยับเขยื้อนได้จึงเรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามือมันกำแล้วแบไม่ได้ มันเรียกว่า กรรมถูกต้องไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าใจมันขยับเขยื้อนอิสระไม่ได้มันเรียกว่า กรรม แต่ถ้าใจมันยังอิสระขยับเขยื้อนได้นั้นแหละ ศิษย์กำลังเข้าสู่กระแสธรรม ธรรมทำให้เราสิ้นเวรสิ้นทุกข์นะศิษย์ แต่กรรมทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏฏะเวียนว่ายทุกข์ไม่จบสิ้น เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงอย่ากลัวการเจ็บป่วย เพราะความเจ็บป่วยทำให้เราเข้าถึงสภาวธรรมและไม่ยึดกรรม ฉะนั้นโดนตี โดนด่า อยากยึดมีกรรม หรืออยากว่างแล้วมีธรรม (อยากว่าง)  ถ้าอย่างนั้นเวลาทำอะไรแล้วไม่มีคนชม อยากยึดเพื่อมีกรรมดี หรืออยากว่างเพื่อสิ้น (อยากว่าง)  ถึงเวลาขอให้ได้อย่างนั้นนะ ไม่ใช่พอทำดีแล้วไม่เห็นมีใคร ไม่เห็นมีใครเห็นความสำคัญเราเลยอย่างนี้เขาเรียกว่ายังยึดเพื่ออยากมีกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยคุณธรรมความถูกต้อง ภายในใจมีศีลธรรมความดีงาม ถึงที่สุดอะไรจะเกิดมันก็เป็นแค่กรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  โดนมากี่ครั้งแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นยังอยากเสวยกรรมแห่งสังขารแล้วใจมันพ้นทุกข์ไหม แล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หรือว่ายืมใช้แล้วก็ปล่อยวางไป แค่นี้ก็ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลามีโอกาสฟังธรรมแล้วก็ต้องเอาไปปฏิบัติด้วย ทำใจให้มันสงบด้วย อะไรจะเกิดก็ยอมรับด้วยหัวใจที่กล้าหาญเข้มแข็ง ยอมรับความจริงว่า ทุกชีวิตล้วนจะต้องเดินหน้าไปสู่ความแก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้น ฉะนั้นเจ็บก็ไม่เห็นเป็นอะไร ตายก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะใจของศิษย์กลับเข้าสู่กระแสธรรม คืนสู่ธรรมแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไปนะ ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ สมานสามัคคีกัน อะไรเล็กน้อยช่วยได้ก็ช่วยกัน อย่าทอดทิ้งกันดีไหมศิษย์ (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  การบำเพ็ญธรรมคือสละความเป็นตัวตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งละวางตัวตนได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเข้าสู่กระแสธรรมได้ไวมากเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรที่เรายังละวางตัวตนไม่ได้ เราก็จะยากที่จะกลับคืนสู่ธรรม จริงหรือไม่ (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย ทำให้ถึงที่สุดนะ เพื่อตัวศิษย์เองนะได้ไหม (ได้)  ตั้งใจฟังดีกว่านะ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกลับคืนสู่กระแสการละวางอย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกิดเป็นกรรมนะศิษย์ อยากมีกรรมหรืออยากมีธรรม (ธรรม)  ฉะนั้นจำไว้นะจงมีธรรม อย่ามีกรรม เพราะกรรมมันไม่ใช่ชีวิต แต่ธรรมมันคือชีวิต
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากับผู้ดูแลสถานธรรมใหม่)  เรือธรรมสร้างมาแล้วอีกเรือหนึ่ง สถานธรรมมีแล้วอีกสถานธรรมหนึ่งสร้างธรรมะแล้ว สร้างเรือธรรมะแล้ว สร้างก็ยาก แต่ยังทำให้เรือธรรมยังคงอยู่ แล้วยังสามารถนำพาเวไนย นำพาผู้คนให้พ้นทุกข์ด้วย เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ฉะนั้นศิษย์ต้องมีหัวใจ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจแห่งพุทธะ ที่อุทิศเสียสละเพราะว่าถึงเวลาที่มีห้องพระแล้ว ความเป็นส่วนตัวมันจะหายไปเยอะ จะต้องมีแต่คิดถึงผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น ยังไงก็เกิดจากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน จะมีคนนี้ไม่มีคนนั้นก็ไม่ได้ จะมีสองคนนี้ไม่มีคนนี้ค้ำชูก็ไม่ได้ ฉะนั้นขอให้ใจยังประสานกันยังเป็นหนึ่งเดียว รักษาจิตที่มุ่งมั่นที่จะบุกเบิกอุทิศตัวเองเพื่อเวไนยให้ถึงที่สุดนะ อาจารย์ให้ชื่อคำว่า “ฉือเซิ่ง” (慈聖佛堂)  หัวใจที่เป็นเหมือนพระพุทธะ เรือนี้คือเรือที่มีหัวใจที่เมตตาเช่นพระพุทธะ ทำให้ได้นะอาจารย์ให้ศิษย์ลูกเล็กไป เอาไปให้ที่บ้านด้วยนะ เพราะเรามีคนที่บ้านที่คอยช่วยด้วยใช่หรือไม่ ฉะนั้นฝากไปให้เขาด้วยนะ และรู้จักพูดให้เป็นมันไม่ได้ของหนูคนเดียว แต่มันเป็นของคนทั้งบ้าน ฉะนั้นให้กำลังใจข้างหลังเขาด้วย อันนี้รู้จักพูดว่าบุญกุศลไม่ใช่ของศิษย์คนเดียว ไม่ใช่ของคนเดียว แต่เกิดจากพ่อแม่ช่วยด้วย ฉะนั้นอาจารย์ให้ อาจารย์จึงไม่ใช่ให้แค่ศิษย์รักสองคน แต่ให้ทั้งบ้านเข้าใจไหม เพราะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกัน จงรู้จักเอาไปสร้างบุญต่อ อย่าเก็บเอาไว้กินคนเดียว ให้แล้วให้ต่อบุญนั้นจะไม่จำกัด อย่าเก็บไว้แค่ตัวเอง บุญนั้นมันจะมีจำกัดใช่ไหม
รู้จักให้ต่อ อย่าเก็บไว้คนเดียวนะ อาจารย์พูดธรรมะแล้วศิษย์รู้เรื่องไหม ถ้ารู้เรื่องอาจารย์ก็ไปต่อ แต่ถ้าไม่รู้เรื่อง อาจารย์ก็กลับแล้วนะ การฟังธรรมมันต้องเกิดปัญญาหยั่งรู้ให้ถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พยายามพูดให้ศิษย์รู้ในเรื่องธรรมะ ธรรมคืออะไร ธรรมที่ศิษย์ต้องควรจะหยั่งรู้เพราะมันเป็นแก่นของชีวิต และมันเป็นความเป็นจริงของทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่ง นั่นคือเรียกว่าธรรมะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราพิจารณามันบ่อยๆ ในใจ หยั่งมันลงไปในใจบ่อยๆ เจอใครไม่สมบูรณ์แบบบ้าง เจอใครไม่ดีพร้อมบ้าง มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่าจากตัวตน เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  เราจะรักใครไหม (ไม่รัก)  ศิษย์เอ๋ยพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีโศก ที่นั่นก็ต้องมีทุกข์ แล้วที่ใดมีโศก มีทุกข์ ก็หนีไม่พ้นความวิตกกังวล แล้วศิษย์รู้ไหมว่า โศก ทุกข์ เพราะความวิตกกังวล ล้วนมีรากเหง้ามาจากความรัก” ใช่ไหม (ใช่, อาจารย์แล้วที่รักไปแล้วทำอย่างไร)  รักแล้วทำอย่างไร ก็ไม่ยากศิษย์ รักแล้วทำตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปเรียกร้องเขา ทำตัวเองให้ดี และปฏิบัติต่อเขาให้ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะเป็นอย่างไร เราก็ยอมรับความจริง นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่ศิษย์ไม่ใช่ ตัวเองก็ยังไม่ดี แล้วยังไปเรียกว่าเขาต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอย่างนั้นต่อไปทำให้ได้อย่างที่พูด แล้วความรักนั้นจะไม่ก่อทุกข์พระพุทธองค์สอนไว้ว่า คนใดที่ประมาทคนนั้นกำลังเดินไปสู่ความตาย คนประมาทคือคนที่เห็นสิ่งที่ไม่น่ารักแล้วมองเห็นว่าน่ารัก สิ่งที่ทุกข์มองเป็นสุข สิ่งที่ร้ายมองเป็นดี ฉะนั้นศิษย์กำลังประมาทและเดินทางไปสู่ความตาย (ถ้ารักแล้วถึงตายก็ยอม)  รักแล้วถึงตายก็ยอม ใจที่หยั่งลงไปว่า อยากจะรักจนถึงที่สุดแล้วปล่อยวางความรักไม่ได้จะก่อเกิดเป็นกรรม ตายไปไม่รู้กี่ภพชาติ ก็จะมารักเขา ไปผูกกรรมกับเขา ไปรักเขา แล้วถ้าบุญศิษย์ไม่เสมอกัน อาจจะไม่ได้เกิดเป็นคน ศิษย์ก็จะมาเกิดเป็นสุนัข เป็นแมว มารักเขา (ยอมรับชะตากรรม)  เราเกิดมาเพื่อที่จะเวียนว่ายตายเกิดมีกรรมไม่จบสิ้นหรือศิษย์ ทำถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องปล่อยมือ (วางยากแต่จะพยายาม)  ปล่อยบ้างจริงๆ แล้วเขาพูดถูก ทุกคนก็เป็นแบบนี้ และสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุด ก็คือความรักในตัวตน เราทำทุกอย่างเพื่อตัวตน เพราะมีหนึ่งนี้ถึงมีตัวตน โน่น นี่ นั่น เต็มไปหมด แต่ถ้าเราวางหนึ่งนี้ได้ อันโน่น นี้ นั่น ก็จะไม่มีผล ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่ศิษย์รักเขา แต่อยู่ที่ตัวศิษย์เอง ใจศิษย์มองให้ถึงที่สุด รักแล้วถึงเวลาเขาไปกับเราไหม รักแล้ว ห่วงแล้ว ดูแลเขาแล้วถึงที่สุด ช่วยอะไรเขาได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงเวลาควรช่วยใคร หรือจะรอให้ถึงที่สุดแล้วจะปล่อย หรือจะปล่อยเสียแต่ตอนนี้ ตอนนี้ยังมีกำลังคิดได้ ไปรอจนเจ็บซ้ำน้ำใจ แล้วค่อยมาปล่อย ทำไม่ทัน ศิษย์ก็ยังมีความรู้สึกอยู่จะให้ทำแบบไม่รู้สึกรู้สา มองใครก็เฉยๆ ทำไม่ได้ ถ้าศิษย์ไปเกี่ยวกรรมถึงที่สุดแล้ว จะมาทำบุญทำทานเพื่อชดใช้กรรม ไม่ช้าไปหรือ เหมือนเวลาที่ผูกกรรมเขาศิษย์รักมากก็ด่ามากจริงไหม  ที่ไม่ด่าเลยเพราะไม่รักเลย  ที่ยังด่าก็เพราะรักมาก รักจึงด่ามาก แต่รักแล้วกลายเป็นทุกข์ แล้วกลายเป็นโกรธ เป็นเกลียด ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์วางเฉยบ้าง ปล่อยวางบ้าง แล้วจะได้ไม่ก่อเกิดเป็นกระแสกรรม ทำไมศิษย์บอกว่าทำไม่ได้ ศิษย์ต้องทุกข์ก่อนแล้วมาทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  ใจเยียวยาใจไหม ทำไม่รู้จักหยุดใจไว้ก่อน มองให้ออกก่อนมองให้ชัด
ฉะนั้นรู้จักมีสติ คิด พูด ทำก่อน ก่อนที่การกระทำนั้น คำพูดนั้นจะกลายเป็นกระแสวิบากกรรม บางครั้งอยู่ในโลกนะศิษย์ พูดไปแล้วมันก็เจ็บมันก็เหนื่อยใจ บางครั้งไม่พูดบ้างดีไหม (ดี)  แล้วเราทำได้ไหม (ได้)  ถ้ามีสติยั้งคิดทันเราก็หยุดปากเราได้ แต่ถ้าเราไม่มีสติยั้งคิดทัน เราก็หยุดอะไรไม่ได้ แล้วก็ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามชะตากรรม เราจะรู้ธรรมไปเพื่ออะไร ในเมื่อธรรมของพุทธะสอนให้เราละชั่ว ทำดี เข้าถึงความบริสุทธิ์ แต่ถ้าศิษย์ชั่วก็ไม่ละ ดีก็ไม่ทำ บริสุทธิ์ก็ไม่มี แล้วอย่างนี้ศิษย์จะเรียกว่า ศิษย์ปฏิบัติธรรมตรงไหน ในเมื่อหนทางที่เราทำอยู่เพื่อละชั่ว ทำดี เข้าสู่ความบริสุทธิ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาคือความรู้แจ้ง รู้แจ้งจนถึงกับว่ากรรมไม่ผูกอีกแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคง เห็นชัดไม่เกิดความหวั่นไหว มองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ แล้วยอมรับว่าก็แค่นั้น บ่นแล้วได้อะไร อยากแล้วทำให้สุขมากกว่าเดิมไหม อยากแล้วรวยขึ้นแล้วทำให้ทุกข์ไหม อาจารย์ถามหน่อยมีเงินมากนึกว่าประโยชน์จะมาก แต่มีเงินมากก็ทุกข์มากใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งพอมีเงินมากแล้ว คนอื่นเราก็ไม่เคยดูดำดูดี มัวแต่มองเงินจนลืมน้ำใจที่ควรมีต่อกันอย่างนี้ก็ไม่ดี เราเป็นประเภทมองเงินมากกว่ามองคน เราเกิดมาเพื่อเงินหรือเราเกิดมาเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งธรรม ถามตัวเองนะว่าตอนนี้ทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อกรรม (ทำเพื่อธรรม)  ทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อเงิน (ทำเพื่อธรรม)  ถ้าทำเพื่อธรรมน่าจะละวางแล้วเกิดความสบายใจ โล่งใจใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดหวังวอนผล อยากเป็นเทพเทวดา แปลว่ายังหนีไม่พ้นกรรมนะศิษย์จริงไหม (จริง)  แต่เราควรทำแล้วละวาง กลับสู่ความเป็นจริงแห่งธรรม อาจารย์ถามหน่อย คนชั่ว คนด่า เราเรียกว่าธรรมไหม (เรียกว่าธรรม)  ธรรมหรือกรรม (ธรรม)  จำไว้นะศิษย์ คนด่าเราถ้าศิษย์ยังคิดว่าเป็นกรรม แสดงว่าศิษย์ยังมีตัวตนที่ต้องชดใช้ แต่ถ้าเมื่อไรคนด่าเรา เรามองเห็นเป็นธรรม แปลว่าเราสิ้นตัวตน สิ้นกิเลส สิ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  เขาด่าเราคือความเป็นจริงแห่งธรรม ฉะนั้นถ้าเรามองเป็นกรรมแสดงว่าเราต้องมีตัวตนไปชดใช้เขา มีตัวตนเพื่อต้องให้เขาชดใช้ ชดใช้กันไปชดใช้กันมา อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าธรรม แต่ถ้าเรามองใครด่าเราก็แล้วแต่ ใครโกงเงินเราก็แล้วแต่ ใครแช่งชักหักกระดูกเราก็แล้วแต่ ล้วนเป็นธรรม แปลว่าเราไม่มีตัวตนยึดถืออีกต่อไปแล้ว เราสิ้นเวรสิ้นกรรมตั้งแต่เขาด่าจนจบไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรายังบอกว่าเขาด่าฉันๆ ก็แสดงว่าศิษย์กำลังยึดกรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรายังยึดอยู่ก็แปลว่าเราอยากจะจองเวรจองกรรม อยากมีอีกไหม ฉะนั้นถ้าเขาด่ามากรรมหรือธรรม (ธรรม) ชื่นใจ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์กลับคืนกระแสแห่งธรรม ถ้าหยั่งมันเยอะๆ ศิษย์จะรู้ว่าคนด่าโลกนี้มันเป็นโลกแห่งความหมุนเวียนเปลี่ยนผันถูกไหม ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเขาด่าเราจบยัง (จบแล้ว)  แล้วเราจบไหม (จบ)  ถ้าเราไม่จบเราก็คือกรรม แต่ถ้าเราจบแล้ววางเราก็คือธรรม สงบ จริงไหม ฉะนั้นการหยั่งรู้ถึงธรรมบ่อยๆ มันจะทำให้เราไม่ยึดมั่นอะไรเลย เพราะมันไม่เคยเที่ยง เพราะมันมีแต่ทุกข์ ถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าจากตัวตนให้ยึดถือ อะไรหรือที่ดีจริง อะไรหรือที่ร้ายจริง เพราะถึงที่สุดมีดีก็มีดีกว่าใช่ไหม มีร้ายก็มีร้ายกว่า มีแย่ก็มีแย่กว่า แล้วอะไรดีที่สุดล่ะ ฉะนั้นศิษย์อยากจะดีหรืออยากจะทำกรรม แล้วอยากจะหยั่งให้ถึงธรรมหรือไปให้ถึงกรรม (ไปให้ถึงธรรม) สาธุ ทำให้ได้นะศิษย์ ฝึกตอนไหน ฝึกตอนที่โดนกระทบ ไม่ว่าจะกระทบหู หรือกระทบตา อยากจะกรรมหรืออยากจะธรรม (ธรรม)  กรรมมันแปลว่ายึด ธรรมมันแปลว่าปล่อยวาง แต่ต้องทำให้ถึงที่สุดก่อนนะใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท“มีสติ คิด พูด ทำ”)
วันนี้อาจารย์กลับได้แล้วนะ ถ้ายังมีโอกาสถ้าศิษย์ยังมีบุญอยู่ ไม่แน่พรุ่งนี้อาจารย์จะมา ถ้าศิษย์หมดบุญแล้วไม่แน่อาจารย์ก็ไม่มานะ อย่างนั้นก็ต้องดูรากบุญของศิษย์ ว่ารากบุญนั้นมันจะเป็นธรรมหรือเป็นกรรมนะใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์เอยโลกใบนี้ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ศิษย์ว่าน่ากลัวแล้ว แต่การยึดในกรรมหรือความรู้สึกแห่งความเป็นตัวตน ทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่าย แก่ เจ็บ ตายไม่จบสิ้นนะศิษย์ ฟังให้ดีนะ ศิษย์ว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วศิษย์อยากเวียนว่ายอีกไหม (ไม่)  ถ้าไม่อยากเวียนว่าย จงอยู่อย่างคนสิ้นเวร สิ้นกรรม กลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม แต่ถ้าศิษย์ยังอยากเวียนว่ายศิษย์ก็เกี่ยวกรรมไป อาจารย์ไม่ว่าแต่เวลาทุกข์อย่าเรียกอาจารย์ เพราะอาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า อัญเชิญพระพุทธะมาร้อยรูปพันรูปก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนใจคนที่คิดผิดได้ อัญเชิญพระพุทธะร้อยรูปพันรูปมาปรกโปรดคนที่คิดผิด พระพุทธะร้อยรูปพันรูปก็แปรเปลี่ยนใจคนนั้นไม่ได้ นอกจากใจคนนั้นจะรู้ด้วยตัวเอง เพราะพุทธะเป็นเพียงผู้ชี้ทางสว่าง ส่วนคนที่กลับสู่ทางสว่างคือตัวศิษย์เอง ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ วันนี้จะเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าหรือวันนี้จะสร้างกรรมใหม่ แล้วมีอนาคตที่มีกรรมไม่จบสิ้น ถามใจศิษย์ดู
อาจารย์สอนวิธีกลับคืนสู่ธรรม ไม่กลับไปเกี่ยวกรรม แล้วตอนนี้ศิษย์ยังห่วงแต่ความรู้สึกตัวเอง จนเอากรรม หรือเอาธรรมดี คิดให้ดีๆ นะ เพียงความรู้สึกที่ไม่เที่ยง แล้วคนที่ศิษย์รู้สึกรัก รู้สึกดีมันเที่ยงไหม แล้วควรยึดไหม เราควรมองให้เห็นธรรม หรือเห็นกรรมดี ฉะนั้นจงไปให้ถึงธรรม อย่าไปเพียงกรรมและกรรม เพราะชีวิตชดใช้กรรมมาพอแล้ว ศิษย์รู้ไหม สิ่งที่ศิษย์เกิดมาเป็นคนเพียงแค่เศษกรรม เศษเอง กรรมจริงๆ คือหลังจากตายศิษย์จองเวรใคร ศิษย์ฆ่าใคร ศิษย์เบียดเบียนใคร โกหกใคร ทำร้ายใคร นรกจะอยู่ที่ใจศิษย์ทั้งนั้น ทำไมล่ะ ทุกครั้งที่เราทำอะไร ใจคอยบอกเสมอว่า ฉันเคยขโมย เคยด่า เคยโกง นี่แหละศาลที่ยุติธรรมที่สุดคือ ใจศิษย์ที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ฉะนั้นทำไมไม่ล้างใจด้วยธรรม ทำไมยังอยากจะให้ใจคลุกกรรมไม่จบสิ้น วันนี้รู้ขนาดนี้แล้วกลับคืนสู่ธรรมกัน ธรรมที่สงบเย็นธรรมที่ไม่เกี่ยวใคร ใครจะร้ายจะดีอย่างไร ดีแล้ว ฉันเห็นแล้ว ฉันรู้ชัดแล้ว ฉันเจ็บพอแล้ว ทุกข์พอแล้ว แต่ทุกข์ตอนนี้จะไม่ทุกข์เพื่อกรรมอีก จะทุกข์เพื่อเห็นแจ้งแล้วกลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ไม่โกรธ เกลียด ใครจะอย่างไรก็ช่าง ขอจบกรรมกันเท่านี้ ไม่เกี่ยวกรรมแล้ว ไม่ดีกว่าหรือ ถามใจตัวเอง จะทำอะไรคิดให้ดีๆ เรามีสิ่งประเสริฐอยู่ที่เรียกว่าธรรม แล้วทำไมไม่เอาธรรม ทำไมเอากรรม เรามีสิ่งประเสริฐที่เรียกว่าธรรมแห่งการเป็นพุทธะ ทำไมเราไม่เป็นพุทธะ ทำไมเราอยากเป็นมาร ทำไมล่ะศิษย์ ยังเจ็บยังทุกข์ไม่พอหรือ อยากทุกข์อีกหรือ อาจารย์อยากจะถามใจศิษย์ ควรจะเกลียดเขา ควรจะด่าเขา ก่อนจะจองเวร จองกรรมเขา คิดให้ดีๆ มันทำแล้วสุขใจ สบายใจไหม โลกนี้คนร้ายเยอะ ขาดคนดี ขาดคนดีที่กล้าหาญมุ่งมั่นแท้จริง จนตัวตาย แม้ตัวตายธรรมเหลือไว้ประเสริฐที่สุดแล้ว ดีกว่าตัวเหลือไว้แต่ธรรมสักข้อก็ไม่มี อาจารย์ว่าไร้ค่ามาก แล้วถามตัวศิษย์มีธรรมบ้างหรือยัง เกิดเป็นคนที่เขาเรียกมนุษย์ผู้ประเสริฐทำอย่างนี้หรือ คนประเสริฐ เรียกว่าคนดี ถ้าหากรู้ว่าไม่ใช่ หยุดได้ไหม ยอมเขาหน่อย แพ้บ้างก็ไม่เป็นไร โดนดูถูกบ้างก็ไม่เป็นไร โดนด่าก็ไม่เป็นไร อกหักบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้าทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตแท้จริงแล้วไม่เกี่ยวกรรมกับใครอีกต่อไป อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ ก็ขอหวังสักนิดก็ยังดี หวังให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรม อย่ากลับไปสู่กระแสกรรม เพราะหวังดี และคิด ก็ขอให้ถึงใจศิษย์ได้ไหม ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมปฏิบัติธรรมสละตัวตนจนกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม ธรรมที่อุทิศเพื่อผู้อื่น ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ เมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ก็มีกรรมเพียงสังขารเจ็บเพียงสังขาร แต่ใจเราไม่เจ็บ ใจเราพ้นทุกข์แล้ว ฉะนั้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงสังขาร ไม่ใช่ใจของศิษย์ ใจศิษย์ก็จะสงบ เย็น ถามตัวเองนะศิษย์ อาจารย์ทำเพื่อใคร

หยุดตาไว้เพียงนั้น  เรื่องราวไว้เพียงนั้น  ตั้งแต่ตอนเห็น  หยุดความคิดเพียงนั้น  หยุดใจไว้แค่นั้น  จะได้บำเพ็ญ  หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว  บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
หยุดเอาไว้คำนั้น  พูดไปแล้วแค่นั้น  แค่อีกความเห็น  หยุดคำนี้คำนั้นหยุดปากไว้แค่นั้น  โป้ปดพึงเว้น  หยุดดีดีหรือมีปัญหาก่อน  หยุดดีดีหัวคงไม่ร้อน
*ใจเป็นกรงทอง  จับจองคำพูดใคร  ขังอะไรในกรงใจ  จงปล่อยวางไปให้ไกล  ถึงเวลา  ใจหมดพันธสัญญา
**ใจเป็นกรงทอง  จับจองคำพูดใคร  ขังอะไรในกรงใจ  จงปล่อยวางไปให้ไกล  ถึงเวลา กรงที่เคยขัง  เปิดออกมา
***หยุดใจไว้ตรงนี้  ไม่ต้องคิดเท่านี้  สิ้นสุดตรงนั้น  หยุดความคิดตอนนี้อย่าไปคิดเรื่องไม่ดี  หยุดที่ใจฉัน  สะดุดไปหลายครั้งอย่าหยุด  หยุดโดยดีไม่มีเดียดฉันท์ (ซ้ำ*,**,***,*,**)
ชื่อเพลง:หยุดใจ
ทำนองเพลง:เก็บใจ

มายเหตุ:พระอาจารย์เมตตาเพลงไว้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน และย่อหน้าที่สองพระอาจารย์มาเมตตาประทานเพิ่มให้ที่สถานธรรมฉือเหริน


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ คิด พูด ทำ”
       มีสติไม่ใช่การคิดออก             แต่คอยบอกเตือนใจให้ระลึก
เลือกถูกผิดคิดพูดทำด้วยสำนึก        คนที่ฝึกสติประจำจะปลอดภัย
คนบำเพ็ญรักษาศีลรักษาธรรม        มีกรรมแค่รู้ว่าต้องชดใช้
เรื่องรู้รู้ที่มีอยู่มากมาย                   กลับทำให้บางทีขาดสติรู้
       รู้ดูแต่ไม่แทรกแซง                 กระบวนการแห่งสติ
ใจกลับเป็นปกติ                           จนกิเลสหยุดทำการ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมจินจง

กลอนหน้า ๑ บรรทัดที่ ๙
เดิม สมัยใหม่ซึ่งมานำใจใครโยชน์       ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง
แก้เป็น สมัยใหม่ซึ่งมานำใจไกลโยชน์      ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา