วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

2559-11-19 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท

西元二○一六年 歲次丙申十月二十日            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙             สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
  ดูอ่อนน้อมสุภาพอัธยาศัยดี             ใบหน้ามีรอยยิ้มเปี่ยมสุขศานต์[1]
ดูพูดน้อยทำจริงขยันทำงาน             ร่วมสืบสานเป็นแบบอย่างผู้บำเพ็ญ
           เราคือ
  ศิษย์พ่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
  ประสาคนพากเพียรจริงต้องแข็งแกร่ง หน่ายลงแรงบำเพ็ญไม่ลึกล้ำ
ศึกษาย่อมไม่ท้อปล่อยตามกรรม         ง่ายทิ้งธรรมง่ายเพราะไม่เข้าใจ
กายใจละวาจาลดรู้สำนึก                อย่าลดฝึกฝึกใหญ่พัฒนาใหญ่
การขัดเกลาและแก้ไขควบคู่ไป           ธรรมย่อมรักษาในผู้ประพฤติธรรม
มีนิสัยอัตตาอารมณ์โรคของใจ           จำต้องได้โอสถทิพย์เลิศล้ำ
ฝึกละวางเริ่มจากการกระทำ            อ่อนน้อมนำตนเกิดคุณอนันต์
นอกในได้ปฏิบัติธรรมเพื่อชีวิต           ทุกทุกวันใช้จิตเป็นสวรรค์
บารมีสร้างธรรมคุณให้เบ่งบาน          ฟ้าดินสัมพันธ์คนเห็นธรรมครรลอง
โปรดให้ทั่วกว้างรู้ตามจริง                ความจริงในทุกสิ่งไม่สอง
ในสติด้วยทางไม่เป็นรอง                 อาตมัน[2]ปัญญาดั่งเพชรทองในตน
จงระวังกายระวังใจอยู่เสมอ             ไม่ประมาทไม่ใจวางไม่สะสม
จิตฝึกเป็นปราชญ์บัณฑิตปลิดอารมณ์   บุคลิกสมเหมาะตัวเราผู้บำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด


[1]    ศานต์    สงบ
[2]   อาตมัน  อัตตาหรือดวงวิญญาณ ซึ่งศาสนาและปรัชญาฮินดูถือว่าเที่ยงแท้ถาวร
 
 
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
 
เคยได้ยินเพลง “หากว่าเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน หากว่าเรากำลังมีสุข หมดเรื่องทุกข์ใดๆ ทุกสิ่ง มัวประวิงอะไรกันเล่า จงปรบมือพลัน” อยู่ที่นี่สบายไหม (สบาย)  ถ้าใจเราสบาย แม้อยู่บ้านธรรมดา ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีทีวีให้ดู เราก็ต้องสบายได้ แม้อยู่ในบ้านแล้วต้องฟังธรรมะยาวๆ เราก็สบายได้ ถ้าเราอยู่อย่างมีสุข แม้จะดื่มน้ำต้มผัก ก็รู้สึกหวานอร่อย แต่ถ้าหากว่าอยู่แล้วไม่สบาย ไม่มีความสุข นั่นเป็นเพราะเขา หรือใจของเรา (ใจของเรา)  ถ้าอยู่แล้วอึดอัด แปลว่าไม่สบาย ถ้ากินแล้ว
ไม่อร่อย แปลว่าใจนั้นไม่มีความสุข เราอยู่แล้วเราสบายไหม (สบาย)
“ดูอ่อนน้อมสุภาพอัธยาศัยดี   ใบหน้ามีรอยยิ้มเปี่ยมสุขศานต์
ดูพูดน้อยทำจริงขยันทำงาน   ร่วมสืบสานเป็นแบบอย่างผู้บำเพ็ญ”
มาที่นี่เห็นผู้ปฏิบัติงานธรรมมีความอ่อนน้อมไหม (มี)  ดูสุภาพไหม (สุภาพ)  มีอัธยาศัยดีไหม (ดี)  ใบหน้ามีรอยยิ้มไหม (มี)  ถ้าผู้ปฏิบัติ
งานธรรมคนไหนไม่มี ก็ต้องพิจารณาตัวเองด้วย ดูว่าเราพูดน้อยขยันทำงานไหม
วันนี้ต้องบอกก่อนว่าที่ทุกคนมา มาเพื่อศึกษาฟังธรรม ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ฉะนั้นสองวันนี้ก็ต้องฟังและก็ฟัง เพราะเรามาเพื่อฟังธรรม
เราฟังและสามารถปฏิบัติได้เลยไหม (ได้)  ฟังเท่าไรก็ไม่สงบ ฟังเท่าไรจิตก็ยังกระเจิดกระเจิง ร้อนบ้าง ง่วงบ้าง เบื่อบ้าง เมื่อยบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
การฟังธรรมเราควรจะตามใจตัวเอง หรือควรจะขัดเกลาใจตัวเอง (ขัดเกลาใจตัวเอง)  การมาฟังธรรมก็ต้องมีการขัดเกลาใจตัวเราบ้าง เพราะเรา
เคยชินกับการสบายและตามใจตัวเอง แต่ท่านเคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหม
ใจสบายจะอยู่อย่างไร ใจก็เป็นสุข จิตสงบแม้กินผักต้มน้ำก็ยังหวานและอร่อย แต่ทำไมหาเงินก็แล้ว มีอันโน้นอันนี้ก็แล้ว มีอะไรที่ควรมีก็เยอะแล้ว แต่ทำไมไม่สบายใจ จริงไหม (จริง)  หวังจะมีอันนั้นอันนี้เพื่อสงบ แต่ทำไมมีแล้วกลับวุ่นวายไม่สงบใจ เหมือนเราไม่อยากเหงา เราอยากหาเพื่อนเยอะๆ แต่ทำไมอยู่กับเพื่อนเยอะๆ แล้วเหงาจัง ใช่ไหม (ใช่)  เราคิดว่าการไปเที่ยวคือความสุข ไปเที่ยวคือความสบายใจใช่ไหม แต่ทำไมไปเที่ยวจึงไม่สบายใจ ถูกไหม เราขอถามหน่อย ตั้งแต่มีชีวิตจนถึงปัจจุบันนี้คำว่า “สบายใจ” กับ “สงบใจ” เคยมีบ้างไหม มีจริงๆ ไม่ไปไหน ไม่ใช่มีเพียงครู่เดียว แล้วเดี๋ยวก็ต้องมาหาใหม่ ไม่เคยมีเลยใช่ไหม คนสบายใจไปอยู่ที่ไหนก็สบายใจ แม้โดนด่าก็สบายใจ คนมีสุขใจ ไปอยู่ที่ไหนก็สุขใช่ไหม แม้กินข้าวกับเกลือก็มีความสุข เราถามท่านนะ ความสุขที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจ ไม่ใช่ข้างในกลวงโบ๋ แล้วพยายามหาข้างนอก พยายามหาโน่นหานี่ มาเติมเต็มให้ที่กลวงโบ๋ สบายใจและสุขใจ ใช่ไหม (ใช่)  หากมีความสบายใจ อยู่ที่ไหนก็สบายใจ หรือที่มนุษย์ชอบพูดกัน ถ้าใจเราสุขไปอยู่ที่ไหนก็สุข ใช่หรือไม่ 
แต่ถ้าเราเป็นทุกข์ไปอยู่ที่ไหนก็ทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าอยากหาความสุข ต้องเริ่มจากใจข้างใน แต่มนุษย์เราตอนนี้ไม่ใช่ เริ่มจากใจที่กลวงโบ๋และว่างเปล่า และพยายามคิดว่ามีโน่น มีนี่ มีนั่น แล้วใจจะเป็นสุขใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่มนุษย์ชอบทำให้มันใช่ จริงไหม (จริง)  แล้วจะทำอย่างไรให้ใจสบาย ใจสงบ ใจเป็นสุข อยากรู้ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกัน
ดีไหม (ดี)  ทำอะไรไม่หวังผลก็ไม่เหนื่อย แต่ถ้าทำอะไรหวังผลและคาดหวังก็จะรู้สึกเหนื่อย
เมื่อสักครู่เราเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ คือ ถ้าใจสบายอะไรก็เป็นสุข ถ้าจิตเราสงบอยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น แต่มนุษย์มักจะเป็นอย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าทุกสิ่งต้องเริ่มจากใจ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จสำคัญที่ใจ เคยได้ยินคำนี้ใช่ไหม (ใช่)  แต่เรากลับไม่เริ่มที่ใจ เรากลับไปหาความสุขข้างนอกเพื่อมาเติมเต็มให้ใจเป็นสุข แต่ยิ่งหาเรากลับยิ่งทุกข์
หาความสงบแต่ทำไมเรายิ่งหากลับยิ่งวุ่นวาย ฉะนั้นถ้าใจเรายังไม่สุข ใจเรายังไม่สงบ หาเท่าไรเติมเท่าไร ใจเราก็สุขสงบยาก รากฐานความสุขสงบ
ที่แท้จริงอยู่ที่อะไร (ใจ)  แล้วใจแบบไหนที่สามารถทำให้เราสุขได้ในทุกที่ สงบได้ในทุกเรื่องราว เคยเป็นไหมที่ทั้งชีวิตหาแล้วหาเท่าไรก็ไม่เจอ นึกว่า
มีเงิน มีรถ มีสามีภรรยา มีลูกจะได้สุขสงบสบาย แต่ถึงที่สุดก็กลับไม่สงบ
ไม่สบาย นึกว่ามีโน่น มีนี่แล้วจะไม่เหงา ไม่เปล่าเปลี่ยว ไม่โดดเดี่ยว แต่ถึงเวลามีโน่น มีนี่แต่ก็ยังคงเหงาและเปล่าเปลี่ยวอยู่ดี แล้วท่านเคยได้ยินไหม รากฐานของความสุข รากฐานของความสงบที่แท้จริงมาจากไหน (ปล่อยวาง)  มาจากการปล่อยวางใช่ไหม แต่ทำไมยิ่งปล่อยแล้วยิ่งกังวล ยิ่งวางก็ยิ่งเป็นทุกข์
ศิษย์พี่จะบอกให้ก็ได้ รากฐานของความสุขสงบที่แท้จริงมาจากจิตที่กล้ายอมรับความจริง และอยู่ร่วมกับทุกสิ่งด้วยจิตใจที่ปรารถนาดีและเมตตาต่อกัน มนุษย์ทุกคนในโลกปรารถนาความสุข สงบ ความร่มเย็นในจิตใจ แต่ถ้าเกิดเราพยายามหาสิ่งอื่นมาเติม โดยที่ใจเรากลวงโบ๋ หาเท่าไรก็ไม่สุข แต่ต้องเริ่มจากใจเราก่อน ยอมรับความจริงได้ไหม และสามารถ
อยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยจิตใจที่ปรารถนาดี และเมตตาต่อเขา และไม่เรียกร้องได้หรือเปล่า ถ้าทำได้เช่นนี้ศิษย์น้องอยู่ที่ไหนก็สุขและสงบ ใจที่ยอมรับความจริง มีแต่จิตใจที่ปรารถนาดี ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล แต่ปัจจุบันนี้เรายอมรับความจริงไหม เราเอาแต่เรียกร้อง คาดหวัง แล้วเราจะมีความสุขและสงบไหม (ไม่)  พอเราไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นความสุขและสงบที่แท้จริงคือ แค่นี้ดีแล้ว แค่นี้สุขแล้ว แค่นี้พอแล้ว แค่นี้ขอบคุณแล้ว แต่ถ้าในใจยังบอกไม่พอ ไม่สุข ไม่ดี ก็เหมือนใจที่กลวงโบ๋ตลอดเวลา หาโน่นนั่นนี่มาเติม ก็ยังรู้สึกไม่พอ ไม่สุข ไม่ดี แต่ถ้าในใจเราบอกว่า ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว ฉะนั้นถ้าได้อะไรมาเพิ่ม ก็ให้ถือเป็นกำไรชีวิต เสียอะไรไป จะเสียใจไหม เพราะถ้าทุกขณะรู้สึกว่า ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว ใจเราเคยขอบคุณแล้ว ดีแล้ว พอแล้วหรือยัง ถ้ายังแสดงว่าเราพยายามทำใจเราให้กลวง ให้โบ๋ และหวังสิ่งอื่นมาเติมให้เต็ม และเคยเติมได้เต็มไหม แล้วจะนั่งไหม แต่ถ้า
ในใจบอกว่า ดีแล้ว สุขแล้ว แม้ไม่นั่งแล้วใจเป็นอย่างไร (ดีแล้ว)  เห็นไหมว่าฟังธรรมก็ปฏิบัติได้ทันที แต่รู้จักฟังแล้วนำมาใช้ไหม พอบอกว่าฟังธรรมแล้วขึ้นสวรรค์ ตอนนี้เราขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (ขึ้นสวรรค์)  แต่เห็นศิษย์น้อง
ใจร้อนอย่างกับอะไรดี ถามว่าตอนนี้จะนั่งหรือยืนดี (นั่ง)  ฉะนั้นอยากมีสุข นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ยืนก็ดี ไม่ยืนก็ดี แม้จะยืนเป็นเพื่อนเราสองชั่วโมงใช่ไหม ความสุขไม่ใช่เป็นสิ่งที่หาง่าย แต่ต้องเริ่มจากใจของเรา ยอมรับความจริงไหม อะไรจะเกิดมันก็เกิด อะไรจะเกิดมันก็ดีแล้ว พอแล้ว สุขแล้ว จริงหรือไม่
ศิษย์น้องรู้ไหม จิตที่สงบ จิตที่เป็นสุข มีพลังที่ลึกล้ำ และสามารถ
ทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างกว้าง และยิ่งใหญ่ จิตที่สงบ และเป็นสุข
มีดีอีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้เรารับได้และแบกไหว แม้จะเป็นเรื่องหนักแค่ไหนในชีวิต แล้วศิษย์น้องรู้ไหม จิตที่สงบและเป็นสุข ยังมีดีอีกอย่างหนึ่ง
เวลาเจอปัญหาอะไร จะแก้ปัญหานั้นด้วยความละมุนละม่อม และสบายใจ
ยอมรับความเป็นจริง ดีแล้ว ใช่ไหม ปรารถนาดีต่อกันไม่เบียดเบียนกัน สุขแล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจิตที่สุขสงบควรจะมีอยู่ในตัวเราไหม (มี)  แต่ตอนนี้เราดีหรือยัง เราพอหรือยัง ขอบคุณหรือยัง เชื่อศิษย์พี่นะศิษย์น้อง ถ้าเราอยู่ในโลก อย่างไม่ยึดมั่นหมายอย่างไม่คาดหวัง อย่างไม่กำหนดว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไม่เป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้ห้ามเป็นแบบนั้น เช่นนี้ เมื่อเราไปอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ถ้านั่งต้องมีเครื่องปรับอากาศ แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีเครื่องปรับอากาศทุกที่ ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้านั่งต้องมีสุขเป็นไปได้ไหมที่มีสุขแล้วไม่มีทุกข์ (ไม่ได้)  ถ้านั่งแล้วห้ามเมื่อยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ยืนแล้วต้องไม่เมื่อยได้ไหม (ไม่ได้)
ฟังยากไหม จิตที่สงบจิตที่สบายใจเริ่มจากแค่ตรงนี้เอง แต่ว่ารากฐานของความสุขและความสงบยังมีอะไรอีกมาก ที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้อง ศิษย์น้องอยากรู้ไหม (อยาก)  อย่างนั้นศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า “ใจกว้างเป็นดั่งสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบดั่งทะเลทุกข์นรกบนดิน”  ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขความสงบ จงใจกว้าง ถ้าสมมติวันนี้เรามีผลไม้อยู่หนึ่งชิ้นแล้วมีคนมาขอกินด้วย เราจะรู้สึกเป็นอย่างไร เราจะแบ่งให้เขาไหม (แบ่ง)  ในใจเรามักจะคิดว่า “เขาจะมาขอแบ่งทำไม” ยิ่งถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบเรารัก ถ้ามีคนมาขอ เราจะแบ่งไหม มือพยายามแบ่ง แต่ใจเราจะคิดว่า “เขาไม่น่ามาเลย” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุข
อย่างใจสบาย เป็นสุข ร่มเย็นกับผู้อื่น จำไว้ว่า “ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า
ใจแคบคือนรกบนดิน และทะเลทุกข์”
 แค่เราคิดว่าเราไม่ให้แค่นั้นเอง ผลไม้ที่เราได้มาอย่างมีความสุขในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับทำให้เราทุกข์ ตอนแรกได้เงินมาเรามีความสุข แต่เงินจะต้องถูกแบ่งปันไป ใจเราก็จะกลายเป็นความทุกข์ สามีที่เราได้มาตอนนี้ถูกแบ่งปันไป ตอนแรกที่ได้มาเรามีความสุข แต่ตอนนี้กลายเป็นความทุกข์
ถ้าเราโดนแบ่งปันคนรักไป เราสุขไหม (ไม่)  ถ้าศิษย์น้องอยากอยู่
บนโลกอย่างมีความสุข และสบายใจ ให้จำไว้ว่า “ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน และทะเลทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น หาฟากฝั่งสิ้นทุกข์ไม่เจอ” ถ้าเราไม่ยอม ไม่ให้ ไม่แบ่งปัน จะทุกข์ไหม แต่พระพุทธะ
ยังบอกอีกว่า “จิตที่คอยจับผิดคิดร้าย เข้มงวดกวดขัน ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์มีความสุขและสงบได้” จริงไหม (จริง)  ตอบได้ว่าจริง แต่ถึงเวลา
จิตเราคิดดีหรือคิดร้าย จิตเรามองสูงหรือต่ำ อยู่กับมนุษย์ระวังได้ แต่อย่าระแวง ไม่อย่างนั้นจะมีทุกข์ ไม่มีสุข จำคำที่ศิษย์พี่พูดไว้ ถ้าศิษย์น้องใช้ก็จะดีมากเลย ใจกว้างคือ (สวรรค์ชั้นฟ้า)  ใจแคบคือ (นรกบนดิน)  และทะเลทุกข์ที่หาฟากฝั่งแห่งความสุขไม่มีวันเจอ และจิตใจที่ชอบจับผิด จิตใจที่ชอบคิดร้าย ไปอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้นเวรกรรม และโทษทัณฑ์ เห็นคนนั้นไม่ดี
เห็นคนนี้ไม่ได้เรื่อง ถ้าอยากมีความสุข ความสงบร่มเย็นในชีวิต อย่าได้เผลอมีเช่นนี้ในจิตใจเด็ดขาด ยากไหม (ไม่ยาก)  มีอะไรเราแบ่งปันไหม
จะให้เขาหมดหรือให้นิดเดียว แล้วอะไรที่เรียกว่า รากฐานแห่งความสุข
ศิษย์พี่จะบอกให้ ถ้าศิษย์น้องอยากอยู่บนโลกนี้ แล้วมีความสุขใน
ทุกขณะที่มีชีวิต จงรู้จักให้ ให้โดยไม่เรียกร้องเอา ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน แล้วศิษย์น้องจะอยู่บนโลกได้อย่างมีสุขและสงบ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทำได้ไหม (ได้)  ตอนนี้พูดกับเราได้ แต่ถึงเวลามันไม่ไหว มันให้ไม่ได้ บางคนมันเอาเปรียบ ใช่ไหม (ใช่)  มีศิษย์น้องบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้เอาแต่ให้ ได้ไหม ค้าขายก็ต้องมีกำไรบ้างนะศิษย์พี่ ใช่ไหม (ใช่)  ทำงานก็ต้องมียศและมีตำแหน่งใช่ไหม (ใช่ไหม)  เหยียบคนโน้นแล้วให้เราขึ้นแทนดีไหม ได้ไหม (ไม่ได้)  ว่าคนอื่นไม่ดีแล้วตนเองดีถูกไหม (ไม่ถูก)  แบบนี้จะเรียกว่าคนที่มีความสุขได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่ทำจริงหรือ (จริง)
เราว่าไม่จริง
ศิษย์พี่ถามหน่อยนะ เราอยู่ในโลกนี้ หลายคนบอกว่าศิษย์พี่จะใช้ศิษย์น้องทำอะไร แล้วไม่เอาอะไรเลยมันเรื่องยากนะ จริงไหม (จริง)  ต้องให้ตัวเองก่อนค่อยให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อย ระหว่างเรามีบุญคุณกับเขากับเราติดหนี้บุญคุณเขา อะไรดีกว่ากัน (เรามีบุญคุณกับเขา)  ถามใหม่ระหว่างอยู่ในโลกเรามีคุณกับเขากับเราติดหนี้บุญคุณเขาอะไรดีกว่ากัน (เรามีบุญคุณกับเขา)  เรามีพระคุณกับเขาใช่ไหม ถ้าให้ศิษย์น้องเลือกระหว่างมีพระคุณกับติดหนี้บุญคุณ (เอาพระคุณ)  แล้วสิ่งที่ศิษย์น้องไปเอาของเขามาตั้งเยอะ ศิษย์น้องได้พระคุณหรือศิษย์น้อง
ติดหนี้บุญคุณ ฉะนั้นทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่าถ้าอยากมีสุขในโลก อยากสบายใจในโลก ให้ไปเถอะแม้ตัวเองจะได้น้อย ให้ไปเถอะแม้ตัวเองจะไม่มี เพราะยิ่งให้ยิ่งสร้างคุณ ยิ่งให้ยิ่งเกิดคุณ แต่ยิ่งไปเอาของเขามาแล้วค่อยไปให้
ทีหลังมันเป็นหนี้บุญคุณที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จริงไหม (จริง)  เหมือนเขาให้เค้กเรามาชิ้นหนึ่ง ปีใหม่เรารู้สึกว่าเค้กเขาเริ่มทำพิษ กินของเขาชิ้นเดียวรู้สึกว่าปีนี้ยังไม่ได้ให้อะไรเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนที่มีจิตสำนึกดีถูกไหม เรารับอะไรของคนอื่นมา ถึงเวลาเรารู้สึกว่าเราติดหนี้บุญคุณเขา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่าถ้าอยากมีสุขในโลก อยากมีความสบายใจ
ในโลก ให้ไปเถอะ
ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม “ยอมลำบากเพื่อพ้นลำบาก ยอมทุกข์เพื่อสิ้นทุกข์” ลืมคิดใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราต้องยอม ทั้งๆ ที่เราโดนเขาโกง
โดนเอาเปรียบ โดนทำร้าย อย่างนั้นศิษย์พี่ถามว่า “การชดใช้หนี้กับการจองเวรจองกรรม” อย่างไหนดีกว่ากัน (ชดใช้หนี้)  ชดใช้หนี้และ
สิ้นเวรกรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาทำร้ายเรามา เราต้องดีใจที่ได้ชดใช้หนี้ แต่ถ้าเราไม่ยอมก็คือ เราจองเวรจองกรรม ถ้าหากใครมาทำร้ายเรา โกงเรา เอาเปรียบเรา เราต้องดีใจไหม เราต้องดีใจเพราะเราได้ใช้หนี้ จะได้หมดเวรหมดกรรม แต่ถ้าเราไม่ยอม เขาโกงมาเราโกงกลับ เขาด่ามาเราด่ากลับ อย่างนี้เรียกว่า จองเวร เราเป็นแบบไหน ติดหนี้จองเวรจองกรรมไม่ยอม
ใช่ไหม เราอยากอยู่ในโลกอย่างมีมิตรหรือมีศัตรู อยากอยู่อย่างคนที่เป็น
ที่รักหรือเป็นที่รังเกียจ (ที่รัก)  ตอบศิษย์พี่ดีหมดเลย แต่พอเวลาไปกระทำ ทำไมทำคนละอย่าง และสิ่งที่ทำอยู่สร้างมิตรหรือสร้างศัตรู และเวลาที่เราทำกับคนอื่น เราทำแบบรักเขาหรือเกลียดเขา ศิษย์พี่ถามจากใจ คนบำเพ็ญธรรม คนมีคุณธรรม คนปฏิบัติธรรม ธรรมะสอนไหมว่าให้ “รักสุขเกลียดทุกข์ รักคนดีด่าว่าคนเลว” สอนไหม (ไม่สอน)  พอถึงเวลาคนดีมาก็ดีตอบ คนที่เราเกลียดมาเราก็ด่าว่าเขา นี่คือธรรมะใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่พอถึงเวลาคนที่ไม่ดีมาเราว่าเขาไหม (ว่า)  ธรรมะไม่เคยสอนแบบนี้ ถ้าอยากพบรากฐานแห่งความสุข สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเรียนรู้เข้าใจ ให้อภัยและเปิดใจกว้าง เพราะใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดินและทะเลทุกข์ที่หาความสุขไม่เจอ ถ้าเราไม่ยอมเขา เราว่าเขา ผูกใจเจ็บเขา เราก็คือคนที่ทำลายชีวิตตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าถามศิษย์พี่ว่า แล้วชะตาชีวิตอยู่ไหน ฟ้าเป็นคนกำหนดไหม
ศิษย์พี่จะบอกว่า “ไม่ใช่” ตัวศิษย์น้องเป็นคนกำหนดเอง ปลูกแตงก็ได้แตง ปลูกคุณงามความดี ก็ต้องได้ความร่มเย็นเป็นสุข ปลูกอารมณ์เกลียดชัง แช่งชักหักกระดูก ก็ต้องได้ความทุกข์และการจองเวรจองกรรม หรือที่บอกว่า “โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก” ใจเราจึงเหมือนเนื้อนาบุญ เพาะสิ่งดีจะได้สิ่งดีงาม เพาะสิ่งที่ไม่ดีที่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ ความเห็นแก่ตน การจ้องจับผิด ใจคับแคบ ใจไม่เปิดกว้าง เราก็ได้แต่ความทุกข์
เวรกรรม วิบากกรรมที่ไม่จบสิ้น ธรรมทั้งหลายทั้งมวล ทุกสิ่งทุกอย่าง
จะสำเร็จ สำคัญอยู่ที่ใจ และก็เริ่มต้นที่ใจ พลังของพุทธานุภาพหรือ
ความเป็นสภาวะพุทธะไม่ได้สำเร็จจากการให้ทานและหวังผล แต่ความเป็นพระพุทธะ สำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติธรรมและรู้จักขันติอดทน
มีใครจำที่ศิษย์พี่พูดไปแล้วได้บ้าง อยากมีความสุข ความสงบใจ เราต้องทำอย่างไร
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)
(ให้คนโดยไม่หวังผลตอบแทน, ต้องใจกว้าง)  ขอคืนได้ไหม (ได้)
(ไม่จับผิดผู้อื่น)  ไม่เคยมีสายตาเอาไว้จ้องจับผิดผู้อื่น
(ให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน, ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า, ใจกว้าง, ไม่อาฆาตมาดร้าย)  เป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรู รักดีกว่าเกลียด
(ให้อภัย, ยอมลำบากเพื่อพ้นลำบาก ยอมทุกข์เพื่อพ้นทุกข์, มีคุณดีกว่าเป็นหนี้บุญคุณ, เรียนรู้เข้าใจอภัยเปิดใจให้กว้าง)
อยากมีความสุข อยากมีความสงบก็ต้องยอมรับความจริง อะไรจะเกิดก็ดี ถ้ารู้อะไรก็ดี อะไรก็ขอบคุณแล้ว นั่นก็ทำให้เรามีความสุข
(ยอมรับความจริง)  ยอมรับความจริงแม้ชีวิตจะต้องสูญเสีย และพลัดพรากก็ตาม (เมื่อใจเราเป็นสุขอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข)  ฉะนั้นเมื่อใจเรารู้พอ อยู่ที่ไหนเราก็พอได้
(ต้องไม่จับผิดผู้อื่น)  ขอให้ทำได้จริงๆ ไม่ใช่พอถึงเวลาเราก็ชอบมองเขาร้ายมากกว่ามองเขาดี มองเขาดีไว้จะดีกว่านะ
(อยู่ในโลกรู้จักให้)  ให้ๆ มากที่สุด ให้เท่าที่ทำได้ ถึงแม้การให้นั้นต้องเสียสละอะไรบางอย่างก็ตาม แต่ถ้าศิษย์น้องเข้าใจความเป็นจริงว่า
ถึงที่สุดแล้ว มนุษย์ทุกคนหรือศิษย์น้องทุกคน ล้วนก็ต้องกลับคืนสู่ความ
ว่างเปล่า ถึงที่สุดมีแค่ไหนก็ต้องปล่อยวาง เราจะไปเบียดเบียน ชิงชัง
แล้วก่อเวรกรรม ต้องมาชดใช้เวรกรรม หรือเราควรที่จะดำเนินชีวิตอยู่
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และกล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิด โดยไม่หวังผล อะไรดีกว่ากัน ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด และยอมรับ
ความจริง โดยไม่หวังผล ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วเราจะอยู่บนโลกได้อย่างเป็นสุขและสบายใจ แต่มนุษย์คิดแต่ต้องได้ๆ เลยหนีไม่พ้น
ความทุกข์ และการเบียดเบียน การสร้างเวรกรรม ถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข “อยู่ก็ดี ไม่อยู่ก็ดี จำคำนี้ไว้นะ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี” แต่ปัจจุบันนี้
เราทุกข์เพราะต้องได้ ห้ามไม่มี ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความไม่มีคือรากฐานที่
ทุกคนต้องเดินไปกลับไป คือความจริงที่ทุกคนต้องเดินไปสู่หนทางนี้นะ
เราต้องเดินกลับไปสู่ความไม่มี ความว่าง และตัวคนเดียว ฉะนั้นให้แล้วบังเกิดคุณ ดีกว่าเอาของเขาแล้วติดหนี้ สร้างเวรกรรม สิ่งที่ศิษย์พี่หวังให้ศิษย์น้องเป็นคือ ความสุขและความสงบที่ทำไม่ยาก แล้วไปเรียนที่ไหนก็ไม่มี มีแต่ศิษย์พี่บอก แล้วจะทำหรือไม่ทำ (ทำ)
ศิษย์พี่ถามหน่อยว่า รากฐานของความสุขและความสงบ ทำให้เราสิ้นเวรสิ้นกรรม ไม่เอาหรือ คือการให้และยอมรับความจริง ทำหน้าที่ตัวเองให้ถึงที่สุด โดยไม่หวังผล
กลับแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ไม่ต้องตกใจหรอก เจ็บก็ดี ไม่เจ็บก็ดี อยู่ในโลกเราหนีไม่พ้น ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย เจ็บหน่อยเป็นไร ตายหน่อยก็ดีได้สิ้นพันธนาการ สิ้นทุกข์ แต่อยู่อย่างไม่เข้าใจ นั่นแหละคือความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น กลับมาฟังธรรมบ่อยๆ เพื่อบังเกิดปัญญา รู้ไหมศิษย์น้อง ปัญญาที่ได้จากการฟังธรรม สามารถ
ติดตัว ติดจิตไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าเราจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการ
ฟังธรรม จะทำอะไรให้เราเข้าใจง่าย ทะลุปรุโปร่ง มองอะไรแจ่มชัด
ที่เขาเรียกว่าคนปัญญาดี


วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙          สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  คนดีดีแต่นิสัยไม่น่ารัก                  ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูเรียบร้อยธรรมดาไม่มีอะไร             แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา      ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  อันธพาลกับปราชญ์ต่างราวฟ้าดิน     วางอำนาจอันธพาลชินบาปที่เห็น
ปรารถนาแบบอารมณ์ขั้วบวกต้องบำเพ็ญ    แค่นิยมหรือตัวจริงเป็นพิจารณา
สุขุมส่งคนบำเพ็ญให้เป็นปราชญ์         ทำจริงจริงไม่สันทัดใช่ปัญหา
ผู้ประพฤติดูสุภาพไม่ขัดตา               อย่าไม่น่ารักไม่รักษามารยาทดี
ไร้แหล่งหลักยึดยื้อโลกครอบงำ          บำเพ็ญธรรมใจไม่นิ่งขาดสติ
เรื่องไม่ผ่านบทเรียนสร้างพุทธิ           บำเพ็ญติติงคำทดสอบยิ่งกว่าครู
ก็อาจจะยิ่งต้องไกลโลกามิตร            แต่ดวงจิตยังคงสว่างรู้
อย่าเป็นแบบหินทับหญ้าน่าอดสู         สงบละพยศรู้ในตัวตน
ฮา  ฮา  หยุด
 
 

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


มนุษย์เราย่อมหนีไม่พ้นความรู้สึกชอบชัง หนีไม่พ้นอารมณ์ร่วม บางครั้งเราก็รู้สึกอารมณ์ดี บางครั้งเราก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี บางครั้งเราก็รู้สึกชอบ บางครั้งเราก็รู้สึกเกลียดชัง และไม่อยากให้มาเกิดขึ้นในชีวิตเรา
(พระอาจารย์เมตตา ให้เขียนบนกระดานโดยแบ่งเป็นสองฝั่ง คือ
ฝั่งความจริง กับ ฝั่งอารมณ์ปรุงแต่ง)






อาจารย์ถามว่า ระหว่างฝั่งที่หนึ่งเรียกว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความผิดหวัง อีกฝั่งหนึ่งคือ อารมณ์ที่เราชอบ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ทิฐิ อารมณ์ ศิษย์ว่า
สองฝั่งนี้ศิษย์เกลียดและไม่อยากเจออะไรมากกว่ากัน และเรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ฝั่งหนึ่งหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เกลียดอย่างไรก็ต้อง (พบ)  หนีอย่างไรก็ต้อง (พบ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วฝั่งสองคิดว่าอย่างไร
(เราสามารถปรับได้ ถ้าใจของเราเย็นเพียงพอ)  ตอบได้ดี แต่มนุษย์โดย
ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า คนเราเกิดมาล้วนมีแต่อารมณ์ เดี๋ยวร้อนบ้างเย็นบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
อาจารย์จะแยกชัดๆ เลยว่า ฝั่งนี้คือฝั่งที่เรียกว่าความจริง แล้วอีกฝั่งคือฝั่งที่เรียกว่าอารมณ์ปรุงแต่ง ซึ่งมนุษย์หนีไม่พ้นอารมณ์ปรุงแต่งนี้ แต่มนุษย์ก็จะบอกว่า เราหนีไม่พ้นหรอก เราต้องพบกับสิ่งนี้ทุกวัน ใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อสักครู่ ศิษย์ของอาจารย์ตอบว่า เราสามารถควบคุมมันได้ เราสามารถหยุดมันได้ เราสามารถจัดการมันได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราเคยควบคุมสิ่งนี้ไหม เราเคยจัดการสิ่งนี้ไหม (ไม่เคย)  ส่วนใหญ่เราเป็นอย่างไร
ศิษย์คล้อยตามตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเป็นไหม ทำดีแทบตาย โมโหครั้งเดียว สิ่งที่เคยทำดีมา ก็ถูกมองไม่ดีไปหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราตามอารมณ์ ตามความอยาก จนเรากลายเป็นคนที่ขาดความปรารถนาดี
ต่อกัน ขาดความเข้าใจกัน
บางครั้งที่เคยพบคนบางคน เห็นแล้วเกลียดมาก นี่ถ้าไม่รู้จัก
ไม่เข้าใจ ป่านนี้ยังเกลียดจนกระทั่งบัดนี้เลย เคยเป็นไหม (เคย)  ฉะนั้น
ถ้าขาดความรู้ความเข้าใจ อารมณ์ก็เข้าครอบงำทำให้เราเกลียดคนได้ทั้งชีวิต แล้วหากบางครั้งที่อารมณ์เข้าครอบงำมากๆ เราจึงกลายเป็นคนที่ลืมคุณค่าของความเป็นคนไปเลย จริงไหม (จริง)  อย่างเช่น เราเห็นเงินสำคัญมากกว่า เราเห็นทรัพย์สินสำคัญมากกว่า แล้วเมื่อมีใครมาทำลายเงิน ทำลายทรัพย์สินของเรา ความโมโหของเรา สามารถทำให้คนที่ทำลายทรัพย์สินของเราวิบัติได้ไหม (ได้)
ถ้าศิษย์วิ่งไปตามอารมณ์ปรุงแต่ง โดยศิษย์ไม่เคยควบคุมสิ่งนี้เลย
ผลที่น่ากลัวที่สุดคือความทุกข์ วิบากกรรมและอบายภูมิ แต่ถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ มองตามความเป็นจริง ผลที่สุดคือความสิ้นทุกข์ สิ้นเวียนว่าย สิ้นบาป
สิ้นกรรม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เรามีชีวิต เราตามอารมณ์ หรือตามความเป็นจริง
บางครั้งศิษย์อาจจะถามว่า “อาจารย์เมื่อไรหนูจะสิ้นเวรสิ้นกรรม
สักที เมื่อไรหนูจะพ้นโศกสักที” จะพ้นได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตศิษย์ตามอารมณ์ปรุงแต่งมากกว่าความเป็นจริงที่ควรมองเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยากที่ตัวเองจะบอกว่าผิด แต่ถ้าผิดแล้วจะยอมรับและแก้ไขไหม
บางทีก็ยังไม่ยอมแก้เลย บางทีก็ยังอ้างแบบน้ำขุ่นๆ ว่าไม่ผิด และโทษว่าอาจารย์นั่นแหละที่พูดไม่ชัด แต่ถ้าอาจารย์พูดสามรอบแล้วศิษย์ยังทำไม่ถูก อย่างนั้นต้องมองที่ตัวศิษย์แล้วนะ ชอบคิดว่าตัวเองรู้ ชอบคิดว่าตัวเองทำได้ แล้วผลเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด (ผิด)
อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วในโลกไม่มีใครถูกไปตลอด หรือผิด
ไปตลอด แต่เวลาเรายึดมั่นกับความถูกผิด จนทำให้คนบางคนต้องผิดแล้วไม่มีวันถูก บางครั้งที่เขาผิดจนไม่มีวันถูกเป็นเพราะเรายึดมั่นจนไม่ให้อภัยคนผิดหรือเปล่า
ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ คนเรามีผิดได้ ฉะนั้นเวลาคนอื่นผิด อย่าเผลอไปเหยียบเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนเขาเหยียบกลับ ต้องจำไว้นะ ชีวิตบางทีไม่ได้ง่ายอย่างนี้ ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราต้องเรียนรู้
เราอยู่ในโลกนี้ แต่ถ้าเกิดเจอคนทำไม่ดีเราควรถือโกรธไหม (ไม่ควร)  เราควรเอาเป็นอารมณ์ไหม (ไม่ควร)  เราควรเกลียดไหม (ไม่ควร)  แต่ถึงเวลาเราเป็นไหม (เป็น)  รู้ได้แต่ปฏิบัติไม่ได้ก็น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมการมีอารมณ์ถึงจะเป็นคนดีอย่างไร อารมณ์นั้นก็ทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนดีที่ทำบุญเก่ง สวดมนต์เก่ง แต่พอถึงเวลาชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าดีไหม พอถึงเวลาแล้วจิกหัวใช้ผู้อื่นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์เป็นแบบนี้ไหม
มนุษย์มักจะบอกว่าเวลามีอารมณ์ให้ปล่อยๆ ออกไปก่อน ทนไม่ได้
ก็ว่าออกไปเลย พอว่าเขาเสร็จแล้วค่อยขอโทษเขา บอกเขาว่าเราไม่ได้ตั้งใจ เขาจะหายไหม (ไม่หาย)  จำไหม (จำ)  เวลาเจอหน้ากันจะระแวงไหม (ระแวง)
อาจารย์ถามว่าโลภก็ไม่ดี โกรธก็ไม่ดี หลงก็ไม่ดี ถ้ามันเป็นเนื้อร้ายและทิ้งไว้จะมีหนอนชอนไช ทิ้งไว้เก็บไว้ในตัวเรามันจะทำให้ก่อวิบากกรรม และก่อเวรกรรมไม่จบสิ้น เราควรจะตัดทิ้งหรือปล่อยให้มันยืดเยื้ออยู่ใน
ตัวเราต่อไป (ตัดทิ้ง)  ถึงเวลาเราตัดความโกรธได้หรือยัง
ศิษย์รู้ไหม ทำไมคนเราถึงยังอยากโกรธ ยังอยากโลภ ยังอยากหลง คำเดียวที่ทำให้ศิษย์ยังคงมีความโกรธ โลภ หลง คือ ความประมาท
ความนอนใจ และคำว่า 
“ไม่เป็นไร”
อาจารย์ถามหน่อยว่า นิสัยชอบหยิบของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
ดีไหม (ไม่ดี)  และควรจะตัดทิ้งไหม (ควร)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไปวางแล้วคืนเขา แต่บางทีใจมันอดไม่ได้ อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้ารู้ว่ากิเลสและอารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นต้นเหตุของกรรม วิบากกรรม และอบายภูมิทั้งสี่ ศิษย์ควรหรือที่ยังจะเก็บมันไว้ (ไม่ควร)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าความไม่ดีมีต้นรากมาจากอะไร
ศิษย์รู้ไหมว่า กิเลสเรียกอีกอย่างว่า “ความชั่ว” ความชั่ว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวล้างผลาญความดีงามในจิตใจ ถ้าศิษย์บอกว่า มีกิเลส
ไม่เป็นไรหรอก ก็ไม่ได้ชั่วหนักหนาอะไร แต่ถามศิษย์ว่า มีใครบ้างที่เวลาโกรธแล้วโกรธแค่นี้พอ ไม่ใช่แต่เวลาโกรธก็มักจะเอาให้ถึงที่สุด ทำให้เจ็บที่สุด ทำให้เขาทุกข์ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกิเลส คือความชั่ว ซึ่งเป็นตัวล้างผลาญความดีในจิตใจ แล้วเราควรจะมีไหม (ไม่ควร)  แล้วเราควรทำอย่างไรที่จะทำให้กิเลสเบาบางลง
ถ้าเราอยากให้กิเลสลงน้อยลง เราควรทำอย่างไรดี ง่ายนิดเดียวเอง “รู้พอพบสุข” เป็นสิ่งที่หยุดความอยากได้ทั้งมวลเลย จริงไหม (จริง)  รู้พอพบสุข พอจึงดี ไม่พอจึงไม่มีวันดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพอ พอใจเขาแค่นี้ ได้แค่นี้ก็พอใจเท่านี้ จะโกรธไหม จะเกลียดไหม จะด่าไหม จะมีอารมณ์ไหม (ไม่)  จะอยากไหม จะหลงไหม จะโลภไหม ถ้าเราพอแล้ว
อยากลดกิเลส ลดอารมณ์ ลดความชั่วร้ายที่ผลาญความดีในจิตใจเรา เราต้องรู้จักควบคุมกาย ใจ โดยใช้สติ ไม่ใช่ควบคุมสตินะ แล้วมองให้เห็นความจริงจนบังเกิดธรรม วิธีง่ายๆ ก็คือ อดทน อดกลั้น เป็นเรื่องง่ายที่สุดที่เราสามารถเรียนรู้และทำให้ได้ ขันติทำให้เกิดบารมี คุณธรรม แต่คนปัจจุบันขาดขันติ ความอดทนอดกลั้น นิดๆ หน่อยๆ ก็เกิดอารมณ์โมโห
แล้วเราจะควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างไร (มีสติรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ของตนเอง)  คนโดยส่วนใหญ่เวลามีปัญหาเกิดขึ้น มักจะชอบมองเห็นรู้ทันคนอื่น แต่ลืมรู้ทันใจตัวเอง มัวแต่ไปแก้ไปเปลี่ยนคนอื่น แต่ลืมแก้และจัดการตัวเองก่อน ไม่ว่าปัญหาวุ่นวายแค่ไหน สิ่งสำคัญคือใจต้อง
ไม่วุ่น เพราะจิตที่นิ่งที่เป็นสมาธิ ย่อมมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างกว้างขวางและแจ่มชัด เพราะจิตที่นิ่งสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้อย่างละมุนละม่อม และสามารถรับเรื่องหนักๆ ได้ไหว ไม่ฟุ้งซ่าน
พระพุทธะสอนไว้ว่าถ้าเกิดมีความโลภมากๆ ก็ให้รู้จักให้ทาน เมื่อมีโกรธมากๆ ก็รู้จักมีศีลมีธรรม หลงมากๆ ท่านสอนให้มีปัญญา ฉะนั้นถ้าเกิดว่าศิษย์ปล่อยให้อารมณ์นี้ออกมาแล้ว ศิษย์ค่อยไปให้ทาน ไปรักษาศีล และค่อยมีปัญญามันก็ไม่ทัน เพราะมันไปก่อวิบากกรรมมาเรียบร้อยแล้ว เรามาร้องไห้เสียใจที่เราทำผิดไปแล้วทันไหม
ศิษย์เอ๋ย จำคำพูดของอาจารย์ไว้นะ อย่าคิดว่าปล่อยตัวเองไปตามโลภ โกรธ หลง แล้วไม่เป็นไรไม่มีโทษ เมื่อใดที่กรรมมันถึงเวลาต้องชดใช้หนี้กรรม ตอนนั้นศิษย์จะมาร้องขอพระพุทธะช่วยเห็นใจหน่อย ศิษย์อยากเป็นคนดีแล้ว ศิษย์ไม่อยากผิดพลาดแล้ว ตอนนั้นไม่ทันนะ เพราะเมื่อถึงเวลากรรมตกผล ตอนนั้นศิษย์มาเรียกร้องอะไรไม่ได้ อาจารย์ถึงอยากจะให้ศิษย์รู้จักห้ามตัวเอง กางกั้นตัวเองออกจากโลภ โกรธ หลง และต้นเหตุของความทุกข์ วิบากกรรม ถึงที่สุดหนีไม่พ้นคือวัฏจักรแห่งอบายภูมิ ส่วนใหญ่มนุษย์อยากมีความโลภ โกรธ หลง แต่เกลียดอะไร เกลียดความแก่ เกลียดความตาย เกลียดการพลัดพรากใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งออกมา)  ถ้าศิษย์อยากแต่งงานกับคนสวยๆ ศิษย์ต้องเอาคนแก่ๆ ไปด้วยศิษย์จะเอาไหม เหมือนซื้อหนึ่งได้สอง เอาไหม (ต้องเอาคนสวยๆ)  มีคนสวยก็มีคนแก่ด้วยเอาไหม (ต้องเอาคนที่เรารัก)  ใช่ก็คนที่เรารัก มีคนสวยและคนแก่ด้วยเอาไหม
(ไม่เอา)  อาจารย์จะบอกให้ศิษย์เอ๋ย ถ้าเรามองความเป็นจริง มนุษย์มักจะชอบแต่ความสวย แต่แท้ที่จริงในความสวยมีความแก่ซ้อนอยู่ แต่เรามองเห็นแต่ความสวย ลืมความแก่ เหมือนกับที่เขาพูดว่าเขาเลือกแต่คนสวย ศิษย์ไม่เลือกคนแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  จำไว้นะศิษย์ ถ้าเธอจะแต่งงานกับฉันเธอต้องแต่งงานกับคนแก่ด้วย เพราะยามที่เราแก่เขาจะได้รักเราใช่ไหม (ใช่)  เราแก่ไหม (แก่)  เราเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  ถ้าเขารักแต่ตึงๆ ไม่รักแบบเหี่ยวก็ไม่ต้องไปแต่งด้วย จริงไหม (จริง)  เพราะศิษย์บอกว่าศิษย์ก็ต้องแก่ แล้วคนที่ศิษย์แต่งงานด้วยไม่แก่หรือ แล้วศิษย์จะแต่งงานกับคนตึงๆ แล้วไม่แต่งงานกับคนแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยอยู่ในโลกนี้อย่ารังเกียจคนแก่ เพราะถ้าไม่มีคนแก่ ก็ไม่มีเราที่เติบโตมาจนเป็นหนุ่มขนาดนี้ใช่ไหม (ใช่)  หากเราดูถูกและไม่รักคนแก่ ถึงเวลาศิษย์ก็ต้องแก่ใช่ไหม (ใช่)  อย่ารำคาญคนแก่ เพราะถึงเวลาศิษย์ก็ต้องแก่ ถ้าศิษย์รำคาญเขา ศิษย์ก็ต้องถูกอีกรุ่นหนึ่งรำคาญศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าถ้าเราเข้าใจความจริง เราจะไม่รังเกียจสิ่งใดในโลก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริง และเมื่อเราเข้าใจความจริง ความโกรธ ความเกลียด
ความหลง จะไม่มี สวยอย่างไรก็ต้องแก่ ตึงอย่างไรก็ต้องเหี่ยว
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ เราจะไม่เกลียดใคร เราจะไม่รำคาญใคร และเราจะไม่หลงรักใครมากเกินไป และอีกอย่างการมีคนอายุมากๆ ก็ดีนะ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงในโลก ศิษย์จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีใครได้รับอะไรฟรีๆ และไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียไป อย่างนั้นเรากลับเข้ามาเรียนรู้ความจริง การเรียนรู้นั้นดีอย่างไร
ศิษย์กลัวตายไหม (กลัว)  กลัวเจ็บไหม (กลัว)  เมื่อไรที่ยังรู้สึกว่ากลัว แปลว่าเรายังยึดติดในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนคือสิ่งหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติก็หาใช่เป็นของเราไม่ แล้วถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงจะทำให้เราตัดโลภ โกรธ หลงได้เลยหรือ ศิษย์ว่าเป็นไปได้ไหม เรามาดูกัน วิถีของความจริงคือวิถีแห่งชีวิต คือวิถีแห่งธรรม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราเรียนรู้เข้าใจวิถีความจริง เราก็จะเข้าใจวิถีแห่งชีวิต และวิถีแห่งธรรม
ถ้าเมื่อไรเราเรียนรู้วิถีความจริง เราก็กำลังเรียนรู้วิถีชีวิต ถ้าเราเรียนรู้วิถีชีวิต เราก็กำลังเรียนรู้วิถีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราฟังธรรมะมาตั้งมากมาย แต่บางครั้งเราไปไม่เคยถึงธรรม แล้วไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์จะบอกว่า ธรรมคือชีวิต ชีวิตก็คือธรรม ธรรม
ก็คือความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิต เข้าใจความจริง เราก็เข้าใจธรรม ถ้าเรามีชีวิต เราก็คือคนที่กำลังมี (ธรรม)  แต่เรายังไม่เห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราต้องศึกษาวิถีแห่งธรรม เพราะธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต ธรรมคือทุกชีวิตเรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวของศิษย์เอง ก็เป็นหนึ่งในธรรมชาติ ตัวของเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ แล้วในธรรมชาติ หนีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นเรามีธรรมชาติ ถ้าเราเป็นธรรมชาติ เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกสิ่งของธรรมชาติ ย่อมหนีไม่พ้นความ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  เราสามารถพ้นเกิดได้ แต่เราหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีไม่ได้ชาตินี้ แต่ชาติต่อไป เราอาจจะหนีได้ ถ้าเราหยุดการเกิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นถ้าวิถีธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นมา เราแก่ เราก็รู้อย่างซื่อๆ ตรงๆ เราเจ็บ เราก็ยอมรับอย่างซื่อๆ ตรงๆ เพราะคนที่พยายามฝืนธรรมชาติ คนที่พยายามเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ย่อมหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าคนที่กล้ายอมรับ และสอดคล้องตามความเป็นจริงกับธรรมชาติ คนนั้นคือคนที่จะสามารถอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้น มันจะแก่ก็ (แก่)  มันจะเจ็บก็ (เจ็บ)  มันจะตายก็ (ตาย)  ถ้าเรารู้อย่างซื่อๆ ตรงๆ ก็คือ การปฏิบัติธรรมอย่างสอดคล้องต่อธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ความเจ็บมันน่ากลัว ความแก่มันคือความเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามกลับว่า มีใครบ้างไม่เปลี่ยนแปลง
มีสิ่งใดบ้างในโลกไม่เปลี่ยนแปลง มีไหมสังขารไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้ามีวันหนึ่งเขาเปลี่ยนใจ เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะโกรธหรือเราจะขัดแย้งกับธรรมชาติ เราจะยอมรับความจริง หรือเราจะมีอารมณ์ แล้วเกิดการปรุงแต่ง สร้างวิบากกรรม เราจะยอมรับความจริง เพื่อจบกรรม แล้วมองเห็นธรรม หรือเราจะไม่ยอมรับความจริงแล้วก่อเกิดเป็นอารมณ์ร่วม (ยอมรับความจริง)
นี่แหละธรรมสอนให้เราสอดคล้องต่อความจริง ด้วยการปฏิบัติอย่างซื่อๆ ตรงๆ ด้วยความอ่อนน้อมและยอมรับ แล้วเราจะหยุดกรรมได้ ถามว่าถ้าอาจารย์ได้ของมาอย่างหนึ่ง แล้วต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ศิษย์ยังอยากได้ไหม อาจารย์ขอถามนะ เงินกว่าจะเป็นของเรา เงินนั้นเปลี่ยนไปกี่มือ (หลายมือ)  แล้วเงินจะอยู่กับมือเราตลอดไหม (ไม่)  ทำไมศิษย์รู้
(เงินออกไปทุกเดือนเลย)  เงินไปทุกเดือนแต่สิ้นเดือนก็มาใหม่ เงินจะเพิ่มค่าถ้าเราลดความอยาก เงินจะด้อยค่าทันที ถ้าความอยากนั้นมีมากกว่าเงิน
ถ้าเรามองตามความจริง วันนี้เงินอยู่กับเรา แล้วพรุ่งนี้เงินไปอยู่กับคนอื่น จะโกรธไหม (ไม่)  เราจะอยากไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ทำงานอย่างเต็มที่ เดี๋ยวเงินก็มาใหม่ ไม่ต้องมีความอยาก ความโลภ และไม่ต้องโกรธ
ถ้าเรายอมรับความจริงที่เป็นธรรมชาติ ศิษย์จำไว้นะ ธรรมชาติมีวิถีแห่งความจริง ถ้าเราไปฝืนหรือไปขัดแย้ง เราก็คือคนที่กำลังสร้างวิบากกรรมและความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเราพร้อมยอมรับด้วยหัวใจที่ซื่อตรงและกล้าหาญที่จะสู้ความจริง เราก็จะไม่สร้างวิบากกรรมต่อ อะไรมันจะเกิดมันก็เกิด วันนี้เขาอยู่กับเรา แล้วพรุ่งนี้เขาอยู่กับเราไหม (ไม่)  ก็รู้กันนี่
การเข้าใจความจริง จึงทำให้เราสามารถหยุดความอยาก ความโลภ
ความหลงได้ การเข้าใจความจริงยังสามารถทำให้เราหยุดความเกลียด
หยุดการต่อว่า การเบียดเบียนได้อีกด้วย การเข้าใจความจริง ทำให้เราสามารถหยุดการต่อว่า หยุดการเบียดเบียนได้อย่างไร
ในโลกนี้มีคนดีก็ต้องมีคนไม่ดี มีมงคลก็ต้องมีอัปมงคล มีคนชมก็ต้องมีคนติ มีคนสวยก็ต้องมีคนขี้เหร่ มีคนอ้วนก็ต้องมีคนผอม มีคนด่าก็ต้องมีคนชม มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีดีมีร้าย มีได้มีเสีย มีทุกข์มีสุข มียศมีเสื่อมยศ มีสูงมีต่ำ มีดำมีขาว ในความเป็นจริงเหล่านี้เราเลือกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ได้ไหม (ไม่ได้)  ทั้งหมดที่อาจารย์พูดมานี้ เราเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต และความเป็นจริง ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์จะเลือกเอาคนหนึ่ง และไม่เอาอีกคนหนึ่งจะเป็นไปได้ไหม จะเลือกให้มีแต่สมหวัง แต่ไม่มีผิดหวังได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไรที่ศิษย์อยากยึดมั่นครอบครองในความเป็นจริงที่เรียกว่า ความเป็นธรรมชาติ ศิษย์ก็ต้องเอาภาวะคู่เหล่านี้ตามไปด้วย
ฉะนั้นศิษย์จะยึดเอาอันใดอันหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามนุษย์อยากครอบครองธรรมชาติ ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมชาติไม่เคยต้องการคนครอบครอง ไม่ต้องการเจ้าของ แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์อยากครอบครองความเป็นธรรมชาติ สิ่งที่มนุษย์หนีไม่พ้น คือความจริงดังกล่าว ซึ่งถ้าศิษย์
ไม่อยากพบสิ่งเหล่านี้ในชีวิต จงอย่าเผลอยึดมั่นถือมั่นให้สิ่งนั้นมาเป็นตัวของเรา เพราะถ้าเมื่อไรเผลอ ศิษย์ก็หนีไม่พ้น มียศเสื่อมยศ สวยบ้างไม่สวยบ้าง สมหวังบ้างไม่สมหวังบ้าง รวมอยู่ในตัวเราทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นจริง เราจะไม่อยากยึดสิ่งใด เพราะถ้าเรายึดสิ่งนั้นแล้ว เราหนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนชม
ว่าสวย ก็ต้องมีคนว่าไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากรักชีวิต เราก็ต้องยอมรับความตายของชีวิต เพราะมันคือส่วนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้ามนุษย์ไม่อยากต้องพบกับทุกข์เหล่านี้ จงอย่าเผลอยึดมั่นถือมั่นเอาธรรมชาติมาเป็นของตนเป็นเด็ดขาด หากเราเผลอหลง นี่ตัวฉัน ฉันเป็นแบบนี้ เมื่อยึดมั่นแบบนี้ จึงหนีไม่พ้นสุข ทุกข์ เมื่อยึดมั่นว่าฉันได้แค่นี้ ก็เลยหนีไม่พ้นดีร้าย เมื่อยึดมั่นว่าฉันเป็นอย่างนี้ ก็หนีไม่พ้นสูง ต่ำ ได้ เสีย ทั้งที่จริงแล้ว ธรรมชาติต้องการคนครอบครองไหม แล้วธรรมชาติเคยฟังเราไหมว่าอย่าแก่ อย่าร้าย อย่าทุกข์ (ไม่เคย)  แล้วเราควรหรือที่จะบอกว่า นี่คือตัวเรา นี่คือคนของเรา นี่คือ
ตัวฉัน นี่คือตัวเขา นี่ของฉัน นี่ของเขา ยิ่งเรามีมากเท่าไร ยิ่งยึดมั่นเท่าไร เราก็กำลังเอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเองแล้วหนีไม่พ้นความเป็นคู่ หนี
ไม่พ้นวิบากกรรม หนีไม่พ้นความทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์บอกว่า ถ้าเข้าใจธรรม ก็เข้าใจชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิต
ก็เห็นความจริง ที่เรียกว่าสัจธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความจริงดังกล่าว
ทุกอันนี้ มันไม่ได้อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่มันอยู่ในคนหนึ่งคนที่พยายามจะ
ยึดมั่นถือมั่น แล้วบอกว่าตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วก็หนีไม่พ้น ดี ร้าย ทุกข์ สุข ชม ด่า ผิดหวัง เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมชาติต้องการแบบนั้นไหมหนอ


(พระอาจารย์เมตตาประทานแผ่นกระดาษมีข้อความเตือนใจให้แก่นักเรียนที่ยืนหน้าชั้น)
เอาแผ่นกระดาษนี้กลับไปด้วยนะ จะได้คอยเตือนใจว่า มีสูงก็มีต่ำ
มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีอ้วนก็มีผอม มีมงคลก็มีอัปมงคล มีสมหวังก็มีผิดหวัง มียศก็มีเสื่อมยศ มีสวยก็มีขี้เหร่ แต่ถ้าเรามองความจริงของธรรมชาติ เราจะรู้ว่าแท้จริงนั้นไม่มีอะไรเรียกว่า มงคลหรือไม่มงคล ดีหรือร้าย มีแต่ธรรมที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป แต่เรามักจะจดจำแต่ว่า สิ่งนี้ดี
สิ่งนี้ไม่ดี
อาจารย์ถามว่า การที่เราเรียนรู้เข้าใจความจริงนั้น จะทำให้เราสามารถลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้จริงหรือไม่ (ได้)  เพราะถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง และในความเป็นจริงนั้นก็สอนให้เรารู้ว่า ในทุกสิ่งแห่งความเป็นจริงนั้นล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงและก็หาความคงอยู่
ที่แน่นอนไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราพึงสังวรหรือพึงพิจารณาธรรมอยู่เสมอ เราก็จะสามารถลดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ดังที่เรียกว่าพิจารณาธรรมเพื่อให้เห็นถึงธรรม อาจารย์ถามว่า แล้วเราจะเอาธรรมอะไรมาพิจารณาเพื่อให้เราเห็นธรรม เวลาศิษย์อยากจะพิจารณาให้เห็นธรรมไม่ยาก แต่เพราะเราไม่เคยเห็นสิ่งหนึ่งแล้วเห็นมากกว่าสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่จริงๆแล้วใน
สิ่งหนึ่งมีหลายๆ สิ่งอยู่ในสิ่งหนึ่งนั้น มีทั้งความเป็นเด็ก มีทั้งความเป็นผู้ใหญ่และวัยชรา ถ้าเราพิจารณาจนเห็นธรรมเสมอ เราจะอยากได้อะไรไหม (ไม่อยาก)  เราจะหลงอะไรไหม เราจะโกรธอะไรไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราไม่เคยเห็นหนึ่งมากกว่าหนึ่งเพราะเราเห็นอย่างยึดติดว่ามันมีแค่นี้ เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ ในตัวเรามีดีมีร้ายไหม (มี)  มีอัปมงคลมีมงคลไหม (มี)  ตัวเรามีสุขมีทุกข์ไหม (มี)  ตัวเรามีสวยมีไม่สวยไหม (มี)  ตัวเรามีหัวเราะ
มีร้องไห้ไหม (มี)  ตัวเรามีเรียนเก่งและเรียนแย่ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเรามีทั้งเด็กดีและเด็กดื้อใช่ไหม (ใช่)  ตัวเรามีทั้งเพื่อนรักและเพื่อนที่น่าเกลียดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นทั้งหมดเราจะโกรธไหม เราจะอยากได้อะไรไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ให้แอปเปิลเอาไหม (เอา)  เอาไปทำอะไร (เอาไปเก็บ)  เอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ดีหรือ ไม่มีท่านก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามางานนี้ มาฟังธรรมะเหมือนมางานบุญร่วมกัน ถ้าเรามางานบุญแล้วทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นเรื่องที่ดี ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์ขออาสาสมัครเด็กที่ยังอายุน้อยๆ สัก 6 คน ฝ่ายชายออกมาข้างหน้าหน่อยนะ
ศิษย์เอ๋ย การที่คนอื่นเขาทำดีกับเรา แล้วเรารู้จักแค่บอกขอบคุณ
นั่นก็คือการร่วมบุญ การอนุโมทนาบุญ การมีจิตใจที่ปรารถนาดีมา เราก็ปรารถนาดีกลับ ตอบแทนคุณ ไม่ยากใช่ไหม แค่ยกมือขอบคุณ ทำออกมาจากใจ และรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ ทำยากไหม เขาบีบบังคับใจเราไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายในชั้นที่เป็นวัยรุ่นเดินไปเรื่อยๆ เมื่อพบใครก็พนมมือไหว้ขอบคุณไปเรื่อยๆ รอบๆ ห้อง)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่า การวางท่า การวางฟอร์ม การยึด
ไม่ยอมเชื่อฟังใคร การดื้อดึงไม่สนใจอะไร เราก็เคยเป็นกันมาหมดทุกคน จริงไหม (จริง)  ศิษย์ไปเห็นเขาเป็นอันธพาล ดูน่ารังเกียจ ไม่น่ารัก เราก็เคยเป็นมาแล้ว แล้วเราก็รู้ดีด้วยว่าผลของการกลายเป็นแบบนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าเจอเขาเป็นแบบนี้ต้องใช้จิตเมตตาให้มากๆ จิตที่เข้าใจ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์มักจะติดความจำได้หมายรู้ คิดว่าตัวเองไม่ชอบ พอไม่ชอบก็
จงใจเกลียดชิงชัง แต่จริงๆ แล้วเขาน่าชังไหม (ไม่)  อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกทำ แล้วเราจะสอนเขาอย่างไรด้วยความอดทน มีคนทำความดีเราก็ร่วมให้กำลังใจ เก่งไหม (เก่ง)  อาจารย์มีโอกาสแจกผลไม้ อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์จะเอาผลไม้ไปให้ใคร (กินเอง)  ไม่คิดแบ่งใครเลยนะ (แบ่งหน่อยก็ได้)  อาจารย์ว่าศิษย์ลืมขอบคุณอีกคนหนึ่งนะ ถึงจะถูกบังคับมา แต่ให้พูดดังๆ พร้อมกันเลยว่า (ขอบคุณอาจารย์นฤเบศร์)  มีโอกาสเอาไปแบ่งให้พ่อแม่ ให้คนที่เรารัก คนที่หวังดีกับเรา คนที่ช่วยดูแลเรา คนที่ห่วงใยเรา คนที่ให้เงินทองเลี้ยงดูเรา คนที่ตามใจเรา คนที่ถึงจะบ่นจะด่าอย่างไร เขาก็ยังรักเรา คนที่ทำให้เรารำคาญใจแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยทิ้งเราไป ถ้าชีวิตเราไม่มีเขา
ก็มีเราไม่ได้ในวันนี้ ทำไมจึงไม่รู้จักนึกถึงพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ห่วงตัวเอง
อย่าลืมนึกถึงคนข้างหลัง มีเราได้ในวันนี้ ก็เพราะมีพ่อแม่ที่ยอมลำบาก
เพื่อเรา แม้บางครั้งจะทำตัวน่ารักบ้าง ไม่น่ารักบ้าง แต่เขาก็คือพ่อแม่เรา
แม้คุณครูจะบังคับเรามากแค่ไหน แต่ที่เขาบังคับเราก็คือหวังดีกับเรา อาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์แต่ละคนมีความน่ารักในตัว แต่ถึงเวลาศิษย์จะเลือกใช้ความน่ารัก หรือใช้ความไม่น่ารักในการดำเนินชีวิตเท่านั้นเอง
ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลงใจคน ยากนักที่จะทำให้คนเข้าใจว่าทำไมเกิดเป็นคนแล้ว เราจะต้องเป็นคนดี และทำดีอย่างไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์
ถามคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ชีวิตยากไหม (ยาก)  แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิต เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วไม่มีเรื่องยากในชีวิต สิ่งที่ยากคือความยึดติดในตัวตน ยึดติดในความคาดหวัง ยึดติดในการหวังวอนผล แต่ถ้าเราทำแบบไม่ยึดติด ทำแบบมองตามความเป็นจริง อะไรจะเกิดก็กล้ารับ อะไรจะเกิดก็พร้อมแก้ไขให้ดีที่สุด ความตาย ความเจ็บ ความสูญเสีย ความพลัดพราก ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจ ปลดปลงและเรียนรู้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “สุขุม บำเพ็ญเป็นปราชญ์”)
มีโอกาสลองเอาไปศึกษาพิจารณาให้เกิดธรรมนะ ธรรมไม่สามารถที่จะค้นพบได้ด้วยการแค่ฟัง แต่ต้องพิจารณาและไปปฏิบัติจนบังเกิดผล ฉะนั้นคำว่า “เป็นปราชญ์” ในโลกใบนี้มนุษย์อาจจะมองว่า คืออย่างไร ปราชญ์คือ ผู้ที่มีแต่ให้ ถือธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เห็นธรรม
มีค่ายิ่งกว่าชีวิต
 ท่านจึงเรียกว่า “ปราชญ์เมธีบนโลก และคนที่เป็นปราชญ์ มีจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน รู้อะไรมากแค่ไหนก็จะบอกตัวเองว่าไม่รู้ เพื่อจะได้เรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น แต่คนปัจจุบันชอบบอกว่าตัวเองรู้ จึงไม่มีวันรู้ที่แท้จริง คนในปัจจุบันมักจะมีแต่เอา มีแต่รับ แต่ไม่เคยให้ แต่ผู้เป็นปราชญ์เรียนรู้ที่จะรู้และมีแต่ให้ ด้วยพยายามมองให้บังเกิดธรรม และทำตัวเองก่อนที่จะไปเรียกร้องผู้อื่น เห็นตัวเองโดยที่ไม่เห็นใคร เป็นเรื่องที่
ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์คงจะเข้าใจได้ไม่มากก็น้อย โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่า เป็นคนดีทำบุญใส่บาตรก็พอแล้วใช่หรือไม่ เป็นคนดีทำบุญใส่บาตรแต่ถ้ายังละกิเลส อารมณ์ไม่ได้ ก็ยังไม่มีวันสิ้นทุกข์ เป็นคนดีทำบุญใส่บาตรเก่ง แต่ยังหวังวอนขอ ก็หนีไม่พ้นรับผลแห่งกรรมดีที่ตนเองสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรมต่างกันตรงที่ให้เราปฏิบัติธรรมเพื่อไม่หวังผล ปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมและนำพาตนเองให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่าย ฉะนั้นศึกษาธรรมต้องเข้าใจว่ายุคนี้เป็นการปรกโปรดที่มนุษย์สามารถศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมและสามารถพ้นทุกข์ได้ ซึ่งอาจารย์บอกว่าไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตามอารมณ์ แต่มีชีวิตเพื่อตามความจริง เพื่อเห็นชีวิตและเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่เรามองเห็นตามความเป็นจริง และรู้สรรพสิ่งตามความเป็นจริงอย่างซื่อตรง ไม่เอาตัวเองเข้าไปยึด ไม่เอาตัวตนเป็นบรรทัดฐาน ไม่เอาตัวตนเป็นมาตราวัดคนอื่นดี คนอื่นชั่ว แต่มองตามความเป็นจริง ศิษย์จะไม่เห็นใครดี ใครร้าย ศิษย์จะไม่เห็นอะไรทุกข์ อะไรสุข แต่ศิษย์จะมองเห็น นี่ก็คือธรรม นั้นก็คือธรรม อ้อแบบนี้ก็คือธรรม อ้อแบบนั้นก็คือธรรม อ้อถึงที่สุดตัวเราก็คือธรรม มีธรรมอยู่ทุกๆ ที่ เมื่อเห็นธรรมก็เห็นตถาคตก็เข้าถึงธรรม แต่จะมีใครสักกี่คนที่ไปถึงสิ่งที่อาจารย์พูด
อาจารย์พูดง่ายแล้วนะแต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขอให้บำเพ็ญอย่างสุขุม การสุขุมคือมีความอดทน อดกลั้น เพราะถ้าเราอดทน อดกลั้น อย่าปล่อยให้อารมณ์นำ เราก็ยับยั้งบาป กิเลส กรรมและการเวียนว่ายได้ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสไปอ่านเพิ่มเติมดีไหม (ดี)  มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์ และกลับมาศึกษาธรรมเพิ่มเติมดีไหม (ดี)  สองวันนี้คงปลูกต้นธรรมได้แค่นิดเดียว ยังเข้าใจธรรมได้ไม่มาก ถ้าศิษย์มีโอกาสมา
ร่วมบุญร่วมเจริญธรรมกับอาจารย์อีกได้ไหม (ได้)  เพราะอาจารย์มีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากให้ศิษย์ได้รู้ ได้เข้าใจ เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ เมื่อเรารู้เราเข้าใจชัด เราก็จะไม่โลภ โกรธ หลง และสร้างวิบากกรรมให้ทุกข์ทน จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
ดีไหม (ดี)  อะไรจะเกิดก็ให้เกิด แต่ขอให้รู้สึกสุขุม สำรวม ระวังในการดำเนินชีวิต อย่าปล่อยชีวิตไปตามกิเลส อารมณ์ มิฉะนั้นผิดพลาดไปแล้วเสียใจไปแล้ว ศิษย์จะเรียกร้องให้ใครช่วยแก้ไขก็ไม่ได้แล้วนะ
ถ้าเราทำดีจนถึงที่สุด ถึงเวลาเราต้องหมดอายุขัย เราก็ภาคภูมิใจ
ที่เราทำได้ถูกต้องและงดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงเลือกที่จะเดินตามธรรม อย่าตามอารมณ์ จงเลือกที่จะมองให้เห็นธรรม อย่ามองเห็นแต่ความเป็นคนที่ทุกข์ทน จงเลือกที่จะมองให้เห็นธรรม อย่ามองเห็นแต่อารมณ์ที่ตัวเองปลูกฝังและยัดเยียดให้ผู้คน แล้วเราก็จะพบธรรมในธรรม ธรรมในผู้คน แล้วเราก็จะมีชีวิตที่ดำเนินชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม เพราะธรรมที่แท้จริง ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แต่เมื่อไรยังหลงยึดถือตัวตน แปลว่าเรายังหนีไม่พ้นวิบากกรรม จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ มาบ่อยๆ ตั้งใจฟังธรรมมากๆ นะศิษย์เอ๋ย ยืนไม่เมื่อย ยืนไม่ทุกข์ เท่ากับหลงกิเลสความโลภ ความโกรธในโลก แล้วทำให้เราต้องทุกข์และแก่ เจ็บ ตาย เวียนไม่จบสิ้น น่ากลัวกว่านะ จริงไหม (จริง)  เรายึดมั่นความจริง มันทำให้เราทุกข์แค่ครั้งเดียว ชาตินี้จบ แต่ถ้าเรายึดมั่นอารมณ์กิเลส อารมณ์กิเลสจะ
ทำให้เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข เวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ หวังว่าศิษย์จะตั้งใจบำเพ็ญมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวความยากลำบาก ตั้งใจบำเพ็ญ ไม่กลัววิบากกรรม ยินดีชดใช้หนี้กรรมด้วยใจที่เป็นสุข และเข้าใจธรรม เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สุขุม บำเพ็ญเป็นปราชญ์”
    คนพากเพียรลงแรงบำเพ็ญจริง              ไม่หน่ายท้อไม่ยอมทิ้งธรรมง่ายง่าย
ฝึกลดละฝึกขัดเกลาและแก้ไข                   อารมณ์อัตตานิสัยต้องละวาง
เริ่มจากตนปฏิบัติได้ในทุกวัน                    ใช้คุณธรรมสร้างสัมพันธ์ให้ทั่วกว้าง
รู้เห็นธรรมตามจริงในทุกทาง                    ด้วยสติปัญญาดั่งเพชรในตม
ระวังกายระวังใจไม่ประมาท                    ฝึกเป็นปราชญ์บัณฑิตวางตัวเหมาะสม
อันธพาลกับปราชญ์ต่างขั้วอารมณ์              แบบนิยมหรือตัวจริงจริงจริง
คนบำเพ็ญไม่สุภาพไม่น่ารัก                      ไม่ยึดหลักแห่งธรรมใจไม่นิ่ง
ไม่ผ่านบททดสอบคำติติง                        อาจจะยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งไกล


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรม
สถานธรรมฮุ่ยอวี้ วันที่ ๒๒ - ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
เดิม           แสงทีดับกลับสว่างกลางใจคน
แก้ไขเป็น   แสงเทียนดับกลับสว่างกลางใจคน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

2559-11-12 สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร

西元二○一六年歲次丙申十月十三日                         仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙        สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ขาดสำนึกทำอะไรก็ยากดี              ขาดจริยะก็ยากมีใครรับได้
ขาดซื่อตรงก็ยากมีใครไว้ใจ               ขาดปัญญาก็คงง่ายจะอับจน
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก เเฝงกายกราบ
องค์มารดา                            ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม

  ธรรมสรรค์สร้างสรรพสิ่งให้เป็นไป     เป็นเอกธรรมสว่างในผู้ตื่นรู้
สว่างโพลง ณ กลางตนดั่งไขประตู       วางจิตรู้หนุนธรรมคืนสู่ธรรม
มีสำนึกปัญญาคอยพาไม่หลงผิด         สติเป็นดั่งมิตรส่งข้ามฟากน้ำ
นิสัยเเห่งสัญญาคนยึดมั่นตกต่ำ          การเกิดการดับตามกรรมของตน
ปลงเป็นปลงมีใครทำได้แน่               มุ่งมั่นปลดหรือเเก้ได้สักหน
รู้คงรู้ไร้ผู้ชนะใจตน                       สุขทุกข์กันจิตสับสนปลงได้จริง
คนก็เท่าเป็นไฉนไยเเตกต่าง              โลกชั่วคราวเสมอด้วยทางหลุดพ้นยิ่ง
เป็นกลางอยู่สติรู้ไปตามจริง              บำเพ็ญยิ่งขณะที่มีลมหายใจ
สำรวจทุกข์ด้วยรู้ทุกข์ไร้ตัวตน           รู้ว่าจิตฝึกฝนก็สว่างได้
รู้ว่าเเค่นั้นพออยู่ที่ไหน                   ถือทุกอย่างสำคัญไม่มีทางลง
                                                                                     ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

เราอยู่ในโลกเราก็อยากมีคนดีๆ อยู่ร่วมกัน คนทุกคนก็อยากเป็นคนดี แต่ถ้าคนดีขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องผิดชอบชั่วดี ทำไปสักพักไม่นาน คนดีก็เปลี่ยนเป็นคนไม่ดีได้ ถ้าขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ยึดมั่นในความดี ก็อาจจะกลายเป็นคนดีที่ทำร้ายคนก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนเราดีกับเขา แล้วเขาไม่ดีตอบ เราเป็นอย่างไร ทำไมไม่ดีกับฉัน เราเริ่มประท้วง เธอก็ไม่ดีเหมือนกัน แล้วก็เริ่มหาผู้ผิด แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนถูก ฉะนั้นจะเป็นคนดีและเป็นที่รักของคนอื่น พระพุทธะล้วนสอนไว้ว่าอย่าเอาความเป็นตนในการปฏิบัติร่วมกับผู้อื่น เพราะถ้าเอาความเป็นตนเป็นศูนย์กลางเป็นหลักในการปฏิบัติกับผู้อื่น เราจะอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์ร่วม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเรารู้จักนำธรรมะมาปฏิบัติร่วมกัน เราจะสามารถทำให้ผู้อื่นนั้นสอดคล้องและกลมกลืนไปกับเราได้ เหมือนถามว่าทำอย่างไรเราจะเป็นคนดีได้ตลอด นั่นคือเราต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง ถูกไหม (ถูก) 
ถ้าเป็นคนดีแล้วสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสมานกลมกลืน นั่นก็คือคนดีปฏิบัติดีแล้วต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพให้เกียรติ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จริยะ” คนดีบางคนดูไม่ค่อยน่ารัก คนดีบางคนก็ชอบถือตัว ฉันอยู่สูงกว่า เธออยู่ต่ำกว่า ฉะนั้นการจะเป็นคนดี นอกจากจะมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง ยังต้องมีจริยะที่ดีงาม นั่นคือความสุภาพ อ่อนน้อม ให้เกียรติผู้อื่น และก็ต้องทำด้วยความซื่อตรง จริงใจ ไม่ใช่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ทำดีไปอย่างนั้น แต่ลับหลังแอบว่าเขา ไม่ถูกนะ
ถ้าเรารู้ว่าทำดีแล้ว ต้องมีสำนึก ต้องมีจริยะที่ดีงาม ต้องมีความซื่อตรงแต่เราก็ต้องมีปัญญาในการปฏิบัติด้วย ไม่เช่นนั้นความดีที่เราทำไป ก็จะกลายเป็นความดีที่ดูแห้งแล้ง แล้วทำไปก็คิดว่าทำไมทำดีไม่ได้ดี ดูมันอับจนหนทางทั้งที่จริงๆ แล้วทำดีมันมีค่าความดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แล้วอยากเป็นคนดีไหม (อยาก)  แค่อยากหรือ เดี๋ยวพอหมดอยากก็เลิกดี พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม อย่าปฏิบัติธรรมเพื่อตน” เพราะความเป็นตัวตนของคน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวทำนานเดี๋ยวทำสั้น มีทำบ้างไม่ทำบ้าง เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย ใช่ไหม
ถ้าอยากปฏิบัติธรรม จงปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อตน เพราะเมื่อปฏิบัติธรรม ทำดีแล้วก็ยังก่อเกิดเป็นตัวตน ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ใช่ไหม การทำเพื่อตนเป็นความทุกข์ได้อย่างไร ทำไมทำอะไรเพื่อตนถึงเป็นทุกข์ เพราะตนยังมียึดติด ยังมีเปรียบเทียบ ยังมีอารมณ์ชอบอารมณ์ชัง แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม เราจะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป การกระทำนั้นก็จบสิ้น ไม่มีกรรมไม่มีเวรไม่มีการร้องขอ ไม่มีการต้องเวียนว่ายกลับมารับผลกรรมนั้นอีก ส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมเพื่อตน ไม่เคยปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านเคยได้ยินไหม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมได้ดี แล้วย่อมนำความสุขมาสู่ ไม่มีคำว่า “ตน” เลย แล้วเราเคยปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมไหม ทุกอย่างต้องตัวเองไว้ก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตัวตนเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล จริงไหม
ท่านอาจจะพูดว่าที่เรายืนอยู่นี่ไม่ใช่ตัวตนหรือ ใช่ตัวตนของเราไหม ทุกคนก็บอกว่า แล้วถ้าไม่ทำเพื่อตนแล้วให้ทำเพื่อธรรม ทำเพื่อธรรมดีกว่าตนตรงไหน ก็ขึ้นชื่อว่าตัวตน หนีไม่พ้นทุกข์ ความเจ็บปวด ความพลัดพราก ความผิดหวัง ความคาดหวัง แต่ถ้าทำเพื่อธรรม ไม่ต้องมีความคาดหวัง ไม่ต้องมีความยึดติด ไม่ต้องมีตัวตนใดมารับรู้แล้วก็สนองผลกรรม ส่วนใหญ่เราก็ทำอะไรทุกอย่างก็เพื่อตัวเราเองทั้งนั้น แล้วบางครั้งพอทุกข์ก็ทุกข์เพราะตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทุกข์เพราะตัวเองจริงไหม คนนี้ทำให้ฉันทุกข์ คนนี้ทำให้ฉันเจ็บ คนนั้นปากไม่ดี
โดยส่วนใหญ่เวลาที่เราเป็นทุกข์ เราทุกข์เพราะว่าเขาหรือเพราะเรา โดยส่วนใหญ่เราจะบอกว่าเราทุกข์เพราะเขา แต่เราถามจริงๆ นะ เวลาเราโทษเขา แล้วตอนนี้ที่เราทุกข์อยู่ เราทุกข์เพราะเขา หรือทุกข์เพราะความคิดเราวางไม่ลง แล้วคิดซ้ำคิดซาก (เพราะเราคิดซ้ำคิดซาก) 
เราก็ต้องรู้ก่อนว่าการศึกษาธรรมนั้นเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ถูกไหม แล้วตอนนี้เราต้องมาหาก่อนว่าเราทุกข์เพราะอะไร ส่วนใหญ่มนุษย์เราก็จะบอกว่า เราทุกข์เพราะเขา เขาทำเราทุกข์ ทำเราเจ็บปวด ทำร้ายจิตใจเรา เขาน่ารังเกียจ ไม่มีที่ทุกข์เกิดจากตัวเราเลย ใช่หรือไม่ ถ้าเราทุกข์
เพราะเขา เขาทำเราจบไปหรือยัง (จบแล้ว)  แต่คนที่ยังเอาสิ่งที่เขาทำมาซ้ำเติมตัวเองอยู่บ่อยๆ แล้วก็คิดซ้ำซาก คือใคร (ตัวเรา)  ฉะนั้นเขาทำเราทุกข์จบหรือยัง (จบแล้ว) เราทำตัวเองทุกข์จบหรือยัง (ยัง)  เขาทำท่านเจ็บปวด เขาหลอก เขาโกหก เขาบิดเบือนความจริงกับท่าน เราเจ็บปวดเพราะเขา เขาหลอกเราจบหรือยัง (จบแล้ว) แล้วเราจบหรือยัง (ยัง)  คนที่คิดซ้ำคิดซาก แล้วบีบตัวเองให้เจ็บ ทำตัวเองให้ทุกข์ เขาทำหรือเราทำ (เราทำ)  คนที่พยายามยัดเยียดให้เรามองเห็นความจริงแล้วบอกว่ามันเป็นความเจ็บ เขาคิดหรือเราผิดที่ไม่ยอมรับความจริง (เราผิด)  เขาทำเราเจ็บครั้งเดียว แต่เราทำตัวเองเจ็บหลายครั้ง หลายคนก็บอกว่า เขานิสัยไม่ดี เขาทำตัวน่าเกลียด เราเกลียดเขา เราถามท่านนะ เกลียดเขาแล้วเราสบายใจไหม (ไม่สบายใจ)  เขาควรที่จะหยุดทำตัวน่าเกลียด หรือเราควรที่ควรจะหยุดความเกลียดในใจเขา อะไรง่ายกว่า เราหยุดความเกลียดในใจง่ายกว่า แต่ถ้าเราเอาความเกลียดเขาไปด่าเขา นั่นคือการทำเวรให้ยืดเยื้อ ใช่ไหม นั่นคือคนที่จองเวรจองกรรม ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเรา แต่เรารู้สึกเหม็นขี้หน้า เกลียด ด่าเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราควรหยุดเขาหรือควรหยุดความเกลียดในใจเรา (หยุดความเกลียดในใจเรา)  เขาทำร้ายเรา เราควรจะระมัดระวังตนเองหรือไปทำร้ายเขากลับ (ระมัดระวังตนเอง)  ถึงเวลาไม่เห็นทำเหมือนที่พูดเลย
อยู่ในโลกนี้เราควรมีชีวิตเพื่อมองเขา รู้เขา เห็นเขา ว่าเขา หรือมองเรา รู้เรา แก้เรา หยุดที่เรา (มองเรา, แก้ที่เรา, หยุดที่เรา)  ถ้าเป็นแบบนี้คงดี แต่ทุกคนไม่ใช่แบบนี้ เรามีชีวิตอยู่ เราเห็นอยู่สองอย่าง ไม่เห็นเขาก็เห็นเรา เรารู้อยู่สองอย่าง ไม่รู้เขาก็รู้เรา แต่ที่ศิษย์น้องเห็นและรู้มักจะเป็นเห็นเขารู้เขา แต่ไม่เห็นเราไม่รู้เรา แล้วจะบอกว่าปัญหาอยู่ที่เขาไม่อยู่กับเรา ปัญหาอยู่ที่เขาไม่เกี่ยวกับเรา ถูกหรือ (ไม่ถูก)  ท่านเคยได้ยินไหม ถ้าใจของคนไม่แยกว่าอะไรน่าเกลียด ไม่แยกว่าอะไรน่ารัก ก็จะไม่มีอะไรสูงอะไรต่ำ แล้วพอสิ่งนั้นไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีน่าเกลียดไม่มีน่ารัก ก็จะไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขและไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์ แล้วก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าดี แล้วก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าร้าย ฉะนั้นพออะไรมาก็จะเฉยๆ จะเกลียดอะไร จะอยากอะไร จะหลงอะไร ถูกไหม (ถูก) 
ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา หรือธรรมทั้งหลายไม่ได้แก้ที่ภายนอก และไม่ใช่เป็นการปฏิบัติที่ภายนอก แต่ต้องเกิดจากการปฏิบัติลงแรงที่ภายในใจ ถ้าใจเรามองทุกอย่างเรียบ ไม่เห็นอะไรสวยไม่สวย ถ้าใจเรามองทุกอย่างเสมอ ไม่เห็นอะไรดีอะไรร้าย ถ้าใจเรามองทุกอย่างเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน เป็นเพื่อนเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเพื่อนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะมีใครน่าเกลียด ใครน่ารัก ตอนนี้อะไรต้องทุกข์ ก็ไม่มีจริงไหม (จริง)  แต่เพราะมนุษย์เรายึดติดคำว่า “ตัวตน” ที่ตัวเองบอกว่าตัวเองเห็นตัวเองรู้ แล้วก็ตัดสินสิ่งที่ตัวเองรู้อย่างเข้าข้างและตาบอดและลำเอียง ไม่เคยมองเห็นอย่างจริงแท้เลย จริงไหม (จริง) 
ในโลกนี้ใครสวยที่สุดในโลก บอกได้ไหม ถ้ามีสวยก็ (มีสวยกว่า)  ใครแย่ที่สุดในโลก มีแย่ก็ (มีแย่กว่า)  ใครด่าเราเจ็บที่สุดในโลก ถ้ายังไม่หมดลมหายใจมีด่าเจ็บกว่านะ อย่าเพิ่งไปโกรธเขา ถูกไหม เราว่าคนนี้ด่าเจ็บนะ ผ่านไปอีกสี่ห้าวันหรืออาจจะห้าหกปี เราอาจจะเจอคนที่ด่าเจ็บกว่าแล้วจะบอกว่าคนนี้ด่าไม่หนักเลย ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ อย่าเอาตัวตนไปจำกัด ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่บนโลกด้วยการที่ไม่มีใครทำร้ายเรานอกจากตัวของเราเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำเราเจ็บปวดนอกจากตัวศิษย์น้องเองทั้งนั้นจริงไหม  (จริง)  เพราะคนเราเกิดมาใช้กรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำมาจากผลพวงของความคิดความรู้ที่ตัวเองเข้าใจ แล้วออกมาเป็นการประพฤติปฏิบัติ แล้วตอนนี้ศิษย์น้องมั่นใจหรือว่า สิ่งที่ศิษย์น้องคิด สิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ารู้นั้นจริงและถูกต้อง ถ้าศิษย์น้องมองดีๆ จะรู้ว่า สิ่งที่เรารู้มันเป็นความจริงแค่เสี้ยวหนึ่ง แต่ยังมีความจริงอีกหลายอย่างที่ยังไม่รู้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูผ้าขนหนูขึ้นมา)
มองเห็นความจริงไหม เห็นอะไร (ผ้า)  ถ้ามนุษย์ไม่ยึดติดสัญญาความจำได้หมายรู้ และไม่ยึดติดต่อความคิดความเข้าใจของตน มนุษย์จะมองเห็นสิ่งที่มากกว่าสิ่งที่เห็น และมนุษย์จะไม่ตาบอด และมนุษย์จะไม่อับจนปัญญา เชื่อไหมว่าในผ้าเราเห็นพระอาทิตย์ เราเห็นหยาดเหงื่อแรงกาย เราเห็นน้ำฝน เราเห็นแสงแดด เห็นความเป็นคน เห็นแรงงานของคน กว่าจะได้เงินมา เห็นผ้ามากกว่าผ้า จริงไหม
เราอยู่ในโลกเราจะทำอย่างไรไม่ให้โลกใบนี้มันหลอกเรา ถ้าพูดให้ถูก โลกมันไม่หลอก แต่ตัวเรานั้นที่หลอกตัวเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามจริงๆ เขาทำร้ายเราหรือเราไม่ระมัดระวังตัวเอง เขาทำเราเจ็บปวด หรือเราไม่รู้จักมองความเป็นจริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า “ระหว่างตากับปาก อะไรร้ายกว่ากัน” นักเรียนฝ่ายหญิงจะยกมือตอบว่าปาก ส่วนนักเรียนฝ่ายชายจะยกมือบอกว่าตา)
ผู้หญิงมักจะตอบว่าปาก ผู้ชายมักจะเป็นตา เห็นชัดเลยว่าความผิดของการกระทำของฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายจะต่างกัน ฝ่ายหญิงมักจะใช้ปากไวกว่าใช้ตา ฝ่ายชายจะใช้ตาไวกว่าใช้ปาก ถ้าตาไม่เห็น ปากจะพูดได้ไหม (ไม่ได้)  ถามว่าอะไรร้ายกว่ากัน (ตา)  ถ้าใจไม่สั่งตา ตาหรือปากหรือใจ อะไรร้ายกว่ากัน (ใจ) ศิษย์พี่จะบอกว่า ถ้าศิษย์น้องฟังตรงนี้เข้าใจ ศิษย์น้องจะบอกว่าทั้งตาและปากไม่ร้าย แต่สิ่งที่ร้ายคือใจ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าเราต้องลงแรงที่ใจ แก้ที่ใจเรา ใช่หรือไม่ แต่ว่าการที่เราจะคุมใจหรือรู้ใจตัวเองมันยาก เพราะนิสัยของมนุษย์โดยส่วนใหญ่เวลาทำอะไรมักจะมองออกมากกว่ามองเข้า รู้คนอื่นมากกว่ารู้ตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญเมื่อเกิดอะไรขึ้นมา จำไว้เลยนะศิษย์น้อง ไม่ใช่มองเขา รีบหันกลับมา (มองตัวเราเอง)  ไม่ใช่รู้เขา แต่ต้องรีบหันกลับมา (รู้ตัวเอง) มีคำพูดคำหนึ่งว่า ถ้ารู้ตัวเองได้ทัน รู้ตัวเองได้ไว ก็จะจัดการกับตัวเองได้ และสามารถบอกตัวเองว่าอะไรผิดอะไรถูก ใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมยกมือซ้าย ขวา ตามคำบอก)
มีสติ เเต่ไม่รู้จักใช้ปัญญา การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เเค่รู้อย่างเดียว เเต่ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องเเละถูกต้อง เวลาเกิดอะไรขึ้นมีสติ มีสติเเล้วรู้ว่าโลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่เราขับไล่มันไปไม่ได้ เเต่เราต้องอยู่กับมันอย่างสันติ ใช่ไหม (ใช่)  มีใครในโลกนี้อยากขจัดความโกรธ ความหลง ออกไปจากใจจนไม่เหลือซากไม่เหลือเศษเสี้ยวมีไหม เเต่ทำอย่างไรที่จะทำให้สิ่งที่มีมันไม่ครอบงำเราเเละไม่มีอิทธิพลเหนือความถูกต้องในใจเรา ฉะนั้นเวลาเราทำอะไร เราก็ใช้อารมณ์ พอใช้มันบ่อยๆ พอถึงเวลาเจอเรื่องอะไรก็เป็นอารมณ์มากกว่าใช้ธรรม ศิษย์พี่เห็นพระอาจารย์บอกบ่อย เเต่ศิษย์น้องชอบลืม เวลาอารมณ์มาจำไว้เลย ไม่ต้องไปให้ค่า ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปปรุงเเต่ง เมื่อโกรธมา ฉันไม่สนใจเธอ ฉันจะไม่โกรธกับเธอ ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับเธอ ศิษย์พี่บอกแล้วว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การเห็นเขา เเต่ฝึกเห็นเรา ไม่รู้เขาเเต่ฝึกรู้เรา ฉะนั้นความโกรธมามันเป็นของศิษย์น้องเอง ไม่ใช่หรือ (ใช่)  ปรุงเเต่งมันมาเป็นหน้าตา ฉะนั้นก่อนที่มันจะมาอยู่กับเรา เราจัดการมันไม่ได้หรือ เเล้วเราเลี้ยงให้มันเชื่องไม่ได้หรือ เสือที่ดุร้ายที่สุดศิษย์น้องยังเลี้ยงได้ ลิงที่ซนที่สุดศิษย์น้องยังทำให้เชื่องได้ ใจที่วุ่นวายที่สุดศิษย์น้องยังรู้จักสงบได้ แล้วกิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลง ตัณหา ทิฐิ มานะ ราคะ คุมมันไม่ได้หรือ มันมาจากตัวเองทั้งนั้นเลย เมื่อมันมาจากตัวเรา แล้วเราจัดการมันไม่ได้หรือ ฉะนั้นเมื่อมันมาก็เรื่องของเธอ ไม่ใช่เรื่องของฉัน เธอทำฉันทุกข์ ฉันไม่เอา ใช่ไหม (ใช่)  เวลาคนไหนที่มาแล้วเราไม่ชอบ เรายังเฉยๆ เมื่อเฉยๆ เดี๋ยวมันก็หายไป เพราะความโกรธ ความโลภ ความหลง ทิฐิ ตัณหา มันมียางอาย เมื่อมันมาแล้วไม่มีใครสนใจ เดี๋ยวมันก็ไป มันเหมือนคนเลย มีนิสัยเหมือนคนเรา ลองเราไม่สนใจ ไม่ให้ค่า เราไม่เทิดทูนให้มาครอบงำหัวเรา มันก็จะบอกว่าไปก็ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เวลาความโกรธมา ความโลภมา เราขอโกรธหน่อย ขอด่าหน่อย เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง นั่นแหละเรากำลังทำทุกข์ ทำไมพระพุทธะจึงบอกว่า “อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง เพราะโลภ โกรธ หลง เป็นต้นเหตุของความทุกข์ กรรม อกุศล และวิบากกรรม ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นภพภูมิที่ต่ำ” แล้วเราควรหรือที่จะมีมันไว้ในตัวเรา แล้วเราควรหรือที่จะตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ
ฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ต้องไปรู้ใคร รู้เรา ศึกษาธรรมไม่ต้องไปเห็นใคร เห็นให้ทันในใจเรา ศึกษาธรรมไม่ใช่ไปแก้ใคร ให้แก้ที่ตัวเรา เพราะถ้าเราสงบได้ เย็นได้ คนรอบข้างก็สงบ ก็เย็น จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเห็นถูก ทำถูก ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติชอบ เราก็คือพระพุทธะบนแดนดิน ใช่ไหม (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วศิษย์น้องก็จะรู้ว่าเมื่อไรที่เราเห็นโลกชัด เราจะเห็นความจริงเปิดกว้าง แล้วเราจะบอกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรน่ายึดถือเลย เพราะว่าสุขไม่จริง ทุกข์ไม่แท้ ไม่มีใครสวยจริง ไม่มีใครหล่อจริง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์พี่บอกไปตั้งแต่ต้น ตราบยังมีลมหายใจใครสวยสุด ตราบที่มีลมหายใจใครร้ายสุด ตราบที่ยังมีลมหายใจใครน่าเกลียดที่สุด ไม่ใช่คนอื่นเลย แล้วศิษย์น้องก็จะมีความสุข ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง จะอยากทำไมในเมื่อเขาก็ไม่เที่ยง เขาก็สวยไม่จริง เขาก็ดีไม่แท้ เขาก็ชั่วไม่แน่นอน ทำไมศิษย์พี่ถึงบอกว่าความรู้ความเห็นทำให้เราปิดบังตา ทำให้เราเห็นเสี้ยวหนึ่งของความจริง
ใครอธิบายคำว่า “ต้นไม้” ให้ศิษย์พี่กระจ่างได้บ้าง
(หัวหน้าชั้นฝ่ายชาย : ก่อนที่จะเป็นต้นไม้ก็ต้องมีราก แล้วเมื่อโตจะมีกิ่งก้านใบ เมื่อต้นไม้โตขึ้นก็จะเป็นร่มเงาให้ทุกคน)  ศิษย์น้องคิดว่าหัวหน้าอธิบายความจริงได้หมดไหม (ไม่หมด)  คำพูดไม่สามารถอธิบายความจริงได้ทั้งหมด เพราะความจริงของต้นไม้ ยังมีอะไรต่ออีก มีออกซิเจน มีคาร์บอนไดออกไซด์ มีแดด มีน้ำ มีลม มีฝน ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตายกตัวอย่าง โดยให้หัวหน้านักเรียนดูว่าศิษย์พี่พระนาจายืนอยู่ตรงไหนของห้อง และให้หัวหน้าชั้นเดินลงไปข้างล่าง และเดินกลับขึ้นมาข้างบน แล้วตอบว่าศิษย์พี่พระนาจายืนอยู่ตรงไหนของห้อง)
ตอนนี้ศิษย์พี่ยืนตรงไหน (ตรงกลาง)  สิ่งที่เราบอกว่าเรารู้ เราเห็น มันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชั่วขณะเวลา เหมือนตอนนี้ศิษย์พี่บอกว่าเมื่อเขาหันมาเห็นศิษย์พี่ยืนตรงกลาง ใช่ไหม แล้วถ้าเรายืนยันบอกว่าศิษย์พี่ต้องยืนตรงกลาง เดินกลับมาอีกทีศิษย์พี่ยังยืนอยู่ตรงกลางไหม (ไม่)  ไปยืนตรงอื่น ใช่หรือไม่ แล้วต่อไปศิษย์พี่จะยืนอยู่ตรงริมไหม แล้วต่อไปศิษย์พี่จะยืนอยู่ตรงกลางไหม (ไม่)  เพราะอาจจะไปยืนอยู่ตรงริมต่ออีกก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความจริงที่ศิษย์น้องรู้คือศิษย์พี่ยืนอยู่ตรงไหน เหมือนเวลาที่เรามองเห็นต้นไม้ เราพูดได้แค่เพียงส่วนหนึ่งที่เราเห็น แต่เราไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด เหมือนกันนะเวลาที่เราเกลียดเขา เราเห็นแค่ชั่วขณะ แต่เราไม่ได้เห็นทั้งหมดของชีวิต ฉะนั้นมนุษย์มักจะปักใจว่า แล้วทำไมศิษย์น้องเวลาเห็นอะไรแล้วก็เชื่อหัวปักหัวปำ เชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เราเห็นแค่เสี้ยวหนึ่งของความจริง เหมือนเวลาเราเอาไปพูด เราก็พูดได้แค่เสี้ยวหนึ่งของความจริง ศิษย์น้องจะพูดว่าศิษย์น้องเห็น แต่เป็นความจริงแค่เสี้ยวเดียว ใช่ไหม
แล้วศิษย์น้องจะเกลียดเขาได้ไหมกับการเห็นเเค่ซีกเดียวเเล้วตัดสินเขาทั้งชีวิต เเล้วก็ปักใจเกลียดเขาเลย เราเห็นอย่างนั้นจริงไหม เหมือนเราเห็นเขาน่ารัก เเต่พอมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาเเล้วเป็นอย่างไร เพราะเห็นเเค่เสี้ยวเดียวเเล้วเป็นอย่างไร จริงไหม (จริง)  ถ้าแบบนี้ศิษย์น้องจะทำอย่างไร ถ้าเราเห็นความจริงทั้งหมดมันไม่ได้งามอย่างเสี้ยวที่เราเห็น ศิษย์น้องเคยเห็นกระจกไหม (เคย)  กระจกเลือกที่จะสะท้อนเงาไหม (ไม่)  เลือกไหม หน้าตาสวยไม่สวยขาวดำอ้วนผอมกระจกก็จะสะท้อนให้เห็นหมด พอเราหายไปแล้วกระจกเหลืออะไรไหม (ไม่เหลือ)  ความคิดในจิตใจของศิษย์น้องก็เหมือนกัน เมื่อเขาหายไปจากเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเรายังคงเหลืออะไรค้างยึดถือไว้ในใจเเละทำให้เราทุกข์ ทั้งที่จริงๆ เเล้วมันผ่านเเละจบไปแล้ว เเต่เรายังยึดเสี้ยวหนึ่งไว้เเล้วบอกว่าเขาน่ารังเกียจ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นศึกษาธรรมจึงไม่ใช่เเค่เห็นเเละรู้ตามที่ตนเองเข้าใจ เเต่ศึกษาธรรมคือต้องเห็นมากกว่าที่เห็นด้วยการเปิดตาเปิดใจ ยอมรับความจริง เเต่มนุษย์ชอบเอาความรู้ อารมณ์ ความคิดตนเองไปใส่เเล้วก็วัดคนอื่นดีไม่ดี ร้ายไม่ร้าย ชอบชัง เเล้วผลสุดท้ายก็ตกเป็นทาสโลภโกรธหลง เเล้วไปแก้ที่ไหน เเก้ที่วัด ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า บูชาด้วยดอกไม้ บูชาด้วยเครื่องหอม บูชาด้วยสังฆทาน บูชาด้วยภัตตาหารก็ไม่ประเสริฐเท่ากับปฏิบัติบูชา ศิษย์น้องจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะที่มีชีวิตและไม่ต้องไปรอที่วัดแล้วถึงปฏิบัติธรรม เจอใครศิษย์น้องก็ปฏิบัติได้ แต่เจอแล้วสามารถวางเฉยไม่ก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ เราก็สามารถสิ้นกรรมและวิบากกรรมได้ทุกขณะที่เดิน ทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยิน ทุกขณะที่กำลังกระทำ จริงไหม (จริง)  เราก็แค่เฉยๆ เท่านั้น แค่นั้น เท่านั้น ไม่มีใครสวยกว่าใคร ไม่มีใครแย่กว่าใคร ไม่มีใครดีกว่าใคร และไม่มีใครน่ารังเกียจกว่าใคร เมื่อถึงขณะนั้นแล้วเรายังมีกรรมกิเลสให้ต้องทุกข์เวียนว่ายไหม
ทุกขณะเราสามารถจบได้ จบสิ้นกรรมได้ทุกขณะ เเละสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมกับทุกคนได้ไม่ว่าที่ไหน ฉะนั้นขอเเค่เพียงเวลาเราอยู่ในโลกใบนี้ เห็นอะไรรู้อะไร อย่าหวังต้องให้เป็นอย่างที่ใจเราคิด เเต่ให้เห็นเเละยอมรับสิ่งที่เขาเป็น เเล้วเราจะไม่ทุกข์ เเต่มนุษย์นั้นชอบเห็นเเล้วต้องเป็นแบบนั้นถึงดี ทำแบบนี้ถึงเหมาะ เเล้วก็ทุกข์เพราะว่ายึดในสิ่งที่ตนเองคิดเห็นเเต่ลืมมองความจริง เเล้วทุกข์ไหม ฉะนั้นที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรมคือยอมรับความจริง ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส สงบจบได้ที่นี่ ไม่ต้องรอไปวัด ไม่ต้องรอไปเที่ยวธรรมชาติเเล้วถึงจะสงบ มันช้าไป ทำไมไม่สงบด้วยตัวเรา เจออะไรทุกอย่างจบนั่นก็คือสงบ เจออะไรทุกอย่างไม่ยอมจบนั่นก็คือวุ่นวาย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นศึกษาปฏิบัติธรรม หลักธรรมหรือการปฏิบัติธรรมเป็นแบบนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ หนทางปฏิบัติธรรมมีตั้งหลายทาง แต่สิ่งสำคัญเราเคยลงแรงปฏิบัติที่ใจเราหรือยัง เราเอาแต่เรียกคนอื่นทำดี ตัวเราปฏิบัติดีได้แท้จริงหรือไม่ แล้วเมื่อไหร่ที่เราเห็นอย่างแท้จริงและรู้อย่างจริงแท้ ศิษย์น้องจะสามารถอยู่บนโลกได้มีอย่างอิสระ และพ้นจากความกลัวในโลกนานัปการได้เลย เชื่อศิษย์พี่ไหม (เชื่อ)  มีอะไรน่ากลัวมีอะไรร้ายถ้าเราระวังตัวเองได้ดี อะไรร้ายก็ยังมีร้ายกว่า แต่ไม่มีใครร้ายเท่าตัวเราร้ายแล้ว ใช่ไหม
ฉะนั้นไม่ว่าทำร้ายเรา ต้องถามตัวเราระมัดระวังตัวเองหรือยัง ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มองเห็นแล้วรู้ชัด เราจะอยู่บนโลกได้อย่างเป็นอิสระและไม่มีความกลัวใดๆ ที่น่ากลัวเลย แม้แต่ความตายก็ยังไม่น่ากลัว เพราะไม่รู้ว่าตายครั้งนี้ เดี๋ยวจะต้องตายอีกไหม จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังไม่ปล่อยวางความยึดมั่น ตายจากคนนี้ เราก็ต้องไปตายกับอีกคน ฉะนั้นมองโลกให้เห็นชัด อย่าเอาความรู้ความเข้าใจมาบดบังความจริงแท้และทำร้ายตัวเองนะศิษย์น้อง



วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙     สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มีศีลครองตนเตือนใจ                   มีธรรมครองใจเตือนตน
มีทุกข์เพื่อสิ้นทุกข์ทน                     รู้ตนใช้ตนละวาง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  คนไม่เป็นถึงสุดท้ายก็เป็น              เพราะอนัตตาเอนกอนันต์ที่เย็นเป็นอานิสงส์
ฉันใดก็ฉันนั้นจิตที่เดินทางตรง           เพราะต้องทำเบาร่มร่มสู่สัมมา
ปล่อยวางกายก็ไม่เคล็ดขัดยอก          ป่วยเสรีใจไม่พอกใจป่วยหนา
หนักมีเบาก็มีไม่เที่ยงนา                  แค่ยืมใช้ทำหน้าที่โปรดเวไนย
ในความต่างมีความเหมือนเสมอมา       จงรู้ใช้ธรรมศึกษาศาสตร์ทั้งหลาย
ดับทุกข์ในยิ่งใจที่ฟุ้งไป                   ปลายทางก็คือธรรมไหลฉ่ำกมล
ธรรมสร้างธรรมแลปราณีตอยู่ในธรรม   ใจเท่านั้นเองทำให้เป็นผล
หลักบำเพ็ญเพียงแค่พยายามรู้ทันตน    หมั่นฝึกฝนแก้นิสัยความเคยชิน
                                                                        ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์เอ๋ย อยู่ในโลกนี้มันมีทุกข์เยอะแยะเต็มไปหมด แล้วเวลามีทุกข์ขึ้นมาเราก็หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยารักษาโรค เป็นเครื่องลางของขลัง เป็นที่พึ่งให้ใบ้หวย เป็นที่พึ่งขอเลขเด็ด แล้วก็เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยันต์คุ้มกันภัย จะได้แคล้วคลาดปลอดภัย แล้วบางทีก็เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นศาลาที่พักทุกข์ หมดทุกข์แล้วก็ทิ้งอาจารย์ไป
ส่วนใหญ่เวลาเราไปหาพระต้องมีทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนใหญ่เราห้อยพระเพราะเราอยากแคล้วคลาดอยู่รอดปลอดภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ห้อยพระทั้งหลาย คนที่ไหว้พระทั้งหลายถึงเวลาถ้าเราห้อยพระ แต่ปากเราพูดอะไรไม่ระวัง พระช่วยเราได้ไหม (ไม่ได้)  ทำอะไรคิดคดไม่ซื่อตรง พระช่วยเรารอดไหม (ไม่รอด)  แล้ววันนี้เรามาศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมเพื่ออะไร อย่าบอกนะว่ายังขอสามตัวอยู่ เราคงอยากศึกษาธรรมเพื่อหาที่พึ่งทางใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าท่านสิ้นไปแล้วจงถือธรรมที่ท่านสอนเป็นที่พึ่ง หรือบางท่านก็บอกว่า ท่านสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ส่วนใหญ่เวลาเราเกิดมา เราคิดพึ่งตนไหม (ไม่)  เริ่มต้นตอนแรก เราโตมาพึ่งใคร มีใครเป็นที่พึ่งหัวใจ มีใครช่วยเยียวยาใจ ยังไม่ทันจะพึ่งตัวเองได้ก็อ่อนแอและคิดจะพึ่งคนอื่นอยู่ร่ำไป ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหลัก ทุกสิ่งสำเร็จสำคัญที่ใจ ถ้าเราถือธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสำคัญที่ (ใจ)  ถ้าเราอยากถือธรรมเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องเข้าใจคำว่า “ใจของเรา” ฉะนั้นธรรมนั้นก็คืออยู่ที่ (ใจ)  เราก็ต้องถือธรรมเป็นที่พึ่ง และธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหลัก ยากเราก็ยังทำสำเร็จได้ แต่ถ้าไร้ใจ ทำอย่างไรก็ (ไม่สำเร็จ)  แม้จะง่ายขนาดไหนก็ตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้เรามาศึกษาธรรม ก็คือศึกษา (ใจตัวเอง)  มาศึกษาใจของตัวศิษย์เอง ไม่ใช่ศึกษาธรรมภายนอก แต่มาศึกษาธรรมที่อยู่ในใจของเรา ศิษย์สงสัยแล้วในใจของเรามันมีธรรมหรือ วันนี้อาจารย์มาขอเวลาศิษย์เพื่อคุยกันถึงเรื่องใจ เพื่อมาดูใจตัวเองตัวนี้ ศิษย์จะยอมเสียเวลาคุยกับอาจารย์สักครู่หนึ่งไหม ยอมไหม (ยอม) 
เราเคยเรียนวิชาอื่นมากเเต่วิชาที่รู้กายรู้ใจ เราไม่รู้ เรามองเห็นใจของเราอย่างไรก็เห็นนิสัยอารมณ์ ใช่หรือไม่ แต่เราเคยเห็นใจที่เป็นใจเดิมแท้ไหม นั่นก็คือธรรมเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็น แล้วก็บอกว่า ใจเดิมเป็นอย่างไร ใจเดิมมองไม่เห็น จะให้มองเห็นเป็นเรื่องยากนะอาจารย์ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่า ใจของศิษย์จริงๆ แล้วเราเห็นเรารู้ แต่เรากลัว เราไม่กล้าเอา เหมือนถามลึกๆ ทำไมเราเกิดมาเราต้องหา ทำไมเรากลัวความโดดเดี่ยว เราต้องหาใครสักคนหนึ่งพึ่งพิงยึดถือ เพราะอะไร แปลว่าเพราะลึกๆ ในใจของเรา เรารู้สึกว่ามันไม่มี ที่เราต้องหาเยอะๆ เพราะลึกๆ ในใจของเรา บอกเราว่าเราไม่มี และเรามาพร้อมกับความไม่มี ถูกไหม (ถูก)  โดยลึกๆ ถ้าไม่หลอกตัวเองจริงๆ ถึงที่สุดเราก็ไม่มี
ฉะนั้นใจเดิมของศิษย์ จริงๆ แล้วนั้นไม่มี แต่ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ไม่ได้ต้องมี ต้องไม่เหงา ต้องไม่โดดเดี่ยว เคยไหมหามาหนึ่งก็แล้ว หายเหงาบ้างไหม (ไม่หาย)  บางทีมีก็เหมือนไม่มี มีก็เหมือนทุกข์ใจ แล้วศิษย์ก็พยายามหามาอีก หายเหงาไหม เพราะถึงเวลาเราก็ต้องทำอะไรคนเดียว ที่หามาด้วยเขาไปกับเราไหม (ไม่)  ที่หามากับเราเหมือนมีไหม (ไม่มี)  แล้วที่หามาด้วยเวลาเราทุกข์ เขาทุกข์กับเราไหม ฉะนั้นอาจารย์บอกให้ ลึกๆ แห่งใจของศิษย์ที่อาจารย์บอกว่า คือธรรม แท้จริงแล้ว ว่างเปล่า สงบ ปลอดจากพันธนาการทั้งมวลแล้ว แต่ด้วยความที่เราอยากมี เราต้องมีให้เหมือนคนอื่น เรากลัวเหงา เรากลัวโดดเดี่ยว ก็เลยหา แล้วก็หาหาเสร็จก็ยึด ยึดเสร็จเเล้วก็กลายเป็นกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ดีก็เรียกว่ากรรมดี ชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่ว จริงๆ อาจารย์อยากบอกว่าธรรมบอกในใจศิษย์ทุกวันว่าไม่มีไม่เอา อยากอยู่สงบ จริงไหม (จริง)  ศิษย์พยายามหนีธรรม ไม่อยากฟังธรรม ไม่อยากเข้าวัด ไม่อยากศึกษา ไม่อยากมีธรรม แต่ใจลึกๆ บอกเสมอว่าอยากหาความสงบ อยากหาความเย็น อยากหาความสบายโล่ง มีอยู่ในตัวศิษย์แล้ว แค่ยอมรับว่าพอ ดี สงบ เเต่เราไม่พอ ก็เลยต้องมีกรรม เเละหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว ตกนรกขึ้นสวรรค์ ไม่เคยพ้นทุกข์ เเต่ถ้าเราหันกลับมามองใจเเล้วถามใจลึกๆ ของศิษย์ทุกคนในที่นี้ ศิษย์บอกว่ากลัวความเหงา กลัวความไม่มี เเต่ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องอยู่กับความเหงาให้ได้ ไม่มีให้เป็น เเละอยู่กับตนเองให้มีสุข เเม้จะไม่เหลืออะไร เพราะคือบั้นปลายของที่สุดในชีวิตทุกคน เเล้วถึงตอนนั้นไปกำมาเเทบแย่จะปล่อยทันหรือ (ไม่ทัน)  มารอตอนที่พลัดพราก สูญเสีย เเล้วบอกว่าเอาธรรมะมาพึ่ง ถ้าธรรมะพูดได้คงอยากหัวเราะ ใจบอกตนเองอยู่เสมอว่าถึงที่สุดก็ต้องเหลือคนเดียว ถึงที่สุดก็เอาอะไรไปไม่ได้ เราจะไม่โลภเลยเพราะโลภไปก็ไม่มี จะหลงไหมว่าสวย เพราะเดี๋ยวก็ไม่สวยที่สุดมันก็ไม่มี ศิษย์มีเงินเป็นร้อยล้านแต่ตายแล้วศิษย์ถือได้กี่บาท (ไม่ได้สักบาท)  ศิษย์มีลูกบอกให้ลูกกตัญญูให้ดูแลเรา ถึงเวลาลูกดูแลเราไหม (ไม่)  ฉะนั้นถือธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมนั้นแหละคือใจ และใจนั้นแหละก็มีธรรมอยู่เสมอ แต่ศิษย์เคยหันกลับมาดูบ้างไหมว่า จริงๆ แล้วใจไม่อยากได้อะไรเลย เพราะยิ่งอยากมันก็ยิ่งทุกข์ เหมือนอาจารย์ถามง่ายๆ ถ้าอยากได้เขาแล้ว มีทั้งทุกข์ มีทั้งความเจ็บ และมีทั้งความตาย เอาไหม (ไม่เอา)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  มีไหม (ไม่มี)  พระพุทธะจึงสอนว่า ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีใจที่เป็นหลักคือธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของตน มันจบเลยนะศิษย์ แล้วควรยึดไหม (ไม่ควร)  แล้วตัวร่างกายเรานี้มันแก่ไหม (แก่)  มันเจ็บไหม (เจ็บ)  มันตายไหม (ตาย)  ยึดไหม ถ้าไม่ยึดคงไม่ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้หรอก แต่ถ้ามองกระจก หน้านี้มันเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  แล้วถึงที่สุดหน้าไหน ไม่รู้ แล้วหลงมันไหม (หลง)  เราเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่ธรรมข้างนอก แต่จริงๆ พระพุทธะล้วนสอนให้ธรรมนั้นอยู่ในตัวศิษย์ ที่มันคอยพร่ำเตือนบอกศิษย์ ว่าอย่าไปอยากเลย อย่าไปมีเลย เพราะมีมันก็เป็นภาระ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วถ้ามันมีไปแล้วทำอย่างไร
จริงๆ ถ้าเข้าถึงสภาวธรรมอันนี้แล้ว ศิษย์จะไม่มีความเหงาเลย แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่ายังไปไม่ถึง ยังคิดไม่ออก และให้อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่าใจเดิมจริงๆ เป็นอย่างไร ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ขอถามว่า ในธรรมทุกอย่างต้องมีกฎ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าเราจะทำอะไรทุกอย่างต้องมีกฎ แล้วในทุกอย่างต้องมีหลัก ถูกไหม แล้วในตัวเรามันก็ต้องมีอะไรที่เป็นกฎหรือเป็นหลักตายตัว ที่ทำให้ทุกชีวิตเสมอกันเป็นเอกภาพเดียวกัน ศิษย์ว่าใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งนั้นที่เป็นเอกภาพเดียวกัน แล้วทำให้ทุกชีวิตเสมอกัน ท่านเรียกว่า “ธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมนั้นถ้ามาอยู่ในใจของเราเรียกว่า “สัจธรรม” ยังไปไม่ถึงใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นไปทีละก้าวนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าหลักดังกล่าวนั้น ก็เหมือนกับอาจารย์ถามว่า ผลไม้มันก็ต้องมีเมล็ดอยู่ข้างใน ถูกไหม (ถูก)  ในตัวเรามันก็ต้องมีใจหลักอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในใจของเรานั้นมันก็มีธรรมอันหนึ่งที่เรียกว่า “สัจธรรม” ซึ่งสัจธรรมนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ใจ” ซึ่งไม่ว่าเราจะทำอะไร พิจารณาใจหลักอันนี้เสมอ ไม่ห่างจากใจ เราก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วพอเรารับรู้ว่า จริงๆ ในตัวเรารับรู้ว่าเรามีสภาวะที่เรียกว่าสัจธรรมที่เป็นใจอยู่แต่สัจธรรมนั้นเรามองว่าเป็นเรื่องที่ว่างเปล่า จับต้องไม่ได้ ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งมนุษย์เราไม่เคยชิน เราเคยชินกับการจับต้องได้ มีรูปลักษณ์ ถูกไหม (ถูก)  พอจับต้องได้มีรูปลักษณ์เราก็ห่างจากธรรมเดิมแท้ไป ทั้งที่จริงๆ แล้วใจลึกๆ เรา ไม่มีรูปลักษณ์ หาความแท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนไปจนถึงที่สุด ถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์กำลังหาความมีรูปลักษณ์ศิษย์ก็คือคนที่เดินห่างจากใจเดิมแท้ แล้วยิ่งหา หามากๆ ทำไมยิ่งหากลับรู้สึกเหมือนไม่มี หาเท่าไหร่ก็เหมือนไม่มี เป็นไหม (เป็น)  เพราะอะไรล่ะ เพราะใจลึกๆ มันรู้อยู่ว่า มันไม่มี และสิ่งที่มีมันก็คือความสงบ เพราะมันคือใจหลักของทุกสรรพสิ่ง
เหมือนเวลาที่ศิษย์หาเงินมาก็แล้ว หามาแล้ว ยิ่งหาเยอะ ทำไมในใจมันรู้สึกเหมือนยิ่งหาเหมือนไม่มี (เพราะไม่พอ)  แต่จริงๆ แล้วใจเรามันถมยังไงก็ไม่เต็ม ถูกไหม (ถูก)  เพราะใจลึกๆ มันมีก้นบึ้งไหม (ไม่มี)  ใจลึกๆ มันมีตัวตนไหม แล้วตัวตนที่แท้ของเรามันมีตัวตนไหม (ไม่มี)  ใจเรามันยังเปลี่ยนไปจนหาที่สุดไม่ได้ ฉะนั้นสภาวะเดิมแท้คือสภาวะความว่าง แต่มนุษย์พยายามมีและความว่างนั้นก็คือหนึ่งในสภาวธรรมที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง มนุษย์ไม่ชอบความไม่มี ใช่หรือไม่แล้วคิดว่าความว่างและความไม่มีมันคือความเหงาโดดเดี่ยว แต่จริงๆ แล้วพระพุทธะบอกว่า ในความว่างความไม่มีมันคือสงบ ความรอดปลอดพ้นจากพันธนาการทั้งมวล แต่เราไม่เคยเข้าไปอยู่ในตรงนี้ ยังไม่ทันอยู่ตรงนี้ได้ดี เราก็บอกว่าต้องหาต้องมีถึงจะมีสุข แต่พอหาเท่าไรแล้วมันก็ไม่ (มีสุข)  แล้วผลสุดท้ายก็บอกว่าอยากไปเหมือนตอนไม่มีได้ไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็คือไม่มี จริงไหม พอเข้าใจไหม ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า พื้นฐานรากแท้ธรรมแท้ในจิตใจไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการมี ไม่ต้องการตัวตน แล้วเราจะอยู่แบบไหน ก็อยู่เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาก็คืนเขาไปแค่นั้นเอง เรียนรู้ เข้าใจ แล้วก็ปล่อยวางไป แต่มนุษย์ยิ่งยืมยิ่งยึด ยิ่งเกาะเกี่ยวยิ่งผูกพันธ์ ยิ่งรู้ยิ่งรัดแน่น จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าเราแค่ยืมใช้ ปล่อยไป ไม่มีอะไรเป็นของเรา กรรมมันจบสิ้นได้ เราไม่ต้องเกี่ยวกรรมต่อ เรามาเกิดชาตินี้เพื่อจบและใช้กรรมเก่าแค่นั้นเอง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ยังมีอารมณ์อยู่ พอโดนกระทบ พอเห็นว่าสวย อยากได้ หล่อสวยดี ใช่ไหม (ใช่)  อารมณ์ความรู้สึกมันมาได้อย่างไร ตอนแรกใจมันว่างๆ มันมาเพราะว่าคนที่ไม่รู้ อยากจะไปครอบงำความว่าง แล้วพอครอบงำเสร็จก็พยายามสร้างตัวตนครอบงำใจ ครอบงำสังขารนี้ แล้วก็บอกว่า เราเป็นแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พอเป็นแบบนั้นแบบนี้เมื่อมีอะไรมากระทบก็เกิดอารมณ์ชอบแบบนั้นชอบแบบนี้ เเล้วเราจะกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้อย่างไร ก็ต้องหันกลับไปหาธรรมเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์เหมือนคนที่หนีจากอันหนึ่งไปจับอีกอันหนึ่ง พอไม่พ้นทุกข์ก็กลับมาง้อเหมือนเดิม อย่างนั้นมาดูว่าธรรมจะช่วยเราได้อย่างไร ทั้งที่ศิษย์หนีมา พระพุทธะบอกว่า ธรรมคือเเก่นของชีวิต ธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต เเม้ศิษย์จะไม่สนใจธรรม เเต่ธรรมจะอยู่เคียงข้างศิษย์เป็นคู่หูตราบลมหายใจจนวันตายก็ไม่ทิ้งศิษย์ เเละคอยย้ำเตือนว่าอย่าหนีเพราะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จนกระทั่งวันหนึ่งศิษย์หันกลับไปเเล้วสนใจด้วยสติ เเละระลึกถึงธรรมอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ศิษย์เข้าใจความเป็นจริงเเห่งตัวตนเเละรู้จักตนอยู่ทุกขณะจิต โดยที่มีสติทุกขณะจิต จิตนี้จะไม่ไหลไปตามโลภโกรธหลงได้เลย ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่กลับไปมองธรรมด้วยสติด้วยจิตที่ระลึกรู้ตลอดเวลา จะไม่ถามเลยว่าต้องปฏิบัติไปนานเเค่ไหน เพราะว่าธรรมอยู่กับเรา พอเราหันไปมองเเละพึงระลึกเสมอธรรมจะสอนเราทำให้เราไม่หลง เเละศิษย์จะไม่ถามเลยว่าถ้าศิษย์ระลึกธรรมอยู่เสมอ ตายคืออะไรศิษย์จะไม่กลัว เจ็บคืออะไรศิษย์จะไม่ทุกข์ทน เมื่อสูญเสียพลัดพรากก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ ถ้าพึงระลึกมีสติระลึกถึงธรรมเสมอ ดีถึงขนาดที่บุญศิษย์ก็ไม่หลงสร้าง เพราะการที่มีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะจิตนั้นเลยไปถึงทานศีลเเละเรียกว่าปัญญาเห็นเเจ่มเเจ้ง ที่เรียกว่ายิ่งกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญตน
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ธรรมที่คือใจของศิษย์ ที่คือแกนหลักของชีวิต คืออะไร
(ธรรมคือสติ)  ธรรมนั่นคือสติ ใช่ไหม สติเป็นรากฐานของธรรมทั้งมวล สติเป็นรากของการที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมอันเดิมแท้
(จิตใต้สำนึก)  จิตใต้สำนึก ใช่ไหม อาจารย์น้อมนำมาตั้งเยอะแยะ แล้วศิษย์เคยสงสัยไหมว่าธรรมที่อาจารย์พูดนั้นคืออะไร อาจารย์พูดธรรมเรื่องนี้บ่อยที่สุดแล้วนะปั้นซื่อ ผู้ร่วมฟัง
(ปัญญา)  ปัญญาคือตัวรู้แจ้งในธรรม ยังไม่ใช่ธรรม ธรรมอะไรที่ศิษย์พอรู้แล้วจะทำให้เราปลดปลงได้เลยทันที (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางคือตัวที่รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ถึงไปปล่อยนะศิษย์เอ๋ย (ทำดี)  จะทำดีก็ต่อเมื่อเรามีตัวตนที่ยังไม่เข้าถึงธรรม เราจึงต้องพยายามทำดีและรักษาคุณธรรม เพื่อทำให้เราไม่หลงทางออกจากธรรม ศิษย์เอ๋ยจะเข้าใจธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ เพราะวันนี้อาจารย์ไม่พูดธรรมะแบบธรรมดา อาจารย์พูดธรรมะที่อยู่ในใจ และถ้าศิษย์เข้าถึงธรรมนี้ ศิษย์จะอยู่ในโลกอย่างไม่กลัวทุกข์
(ปล่อยวาง)  หลังจากรู้แล้วถึงปล่อยนะศิษย์
(สัจธรรม ความสงบ)  สัจธรรมคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี่แหละคือธรรมที่อยู่ในใจศิษย์ และอยู่ในสังขารศิษย์ ใช่ไหม มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อมันเปลี่ยนจนหาที่สุดไม่ได้ ไหนล่ะคือตัวตนที่แท้จริง แล้วเมื่อมันเปลี่ยน มันมีทุกข์อยู่ ควรหรือที่จะยึดมั่นว่าเป็นของเรา แล้วเมื่อมันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เรากำลังต้องปล่อยอะไร เพราะมันเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราต้องปล่อย แสดงว่าเรากำลังยึดมั่นอยู่สัจธรรมคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดหาตัวตนที่สุดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  
วันนี้ศิษย์ท่องไว้ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” พิจารณาไว้เสมอๆ เวลาศิษย์จะไปซื้อเสื้อ ศิษย์ก็จะบอกว่า ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพอแก่ไป ตายไปเสื้อก็ใส่ไม่ได้ ศิษย์จะอยากซื้อไหม (ไม่อยาก)  พอศิษย์ไปเจอคนหล่อๆ ศิษย์ก็คิด เดี๋ยวถ้าเขาแก่ไปก็เจ็บก็ตาย จะดูแลไหวไหมศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ไปเจอคนสวยๆ แล้วศิษย์คิดว่าเป็นอะไรที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา)  เวลาศิษย์ไปเจอคนที่ศิษย์เกลียด เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้ ศิษย์จะเกลียดเขาไหม (ไม่)  เวลาศิษย์เจอเงินกองโตๆ ศิษย์จะเอาไหม (เอา)  เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกไหม (ถูก)  ถูกทันทีเลย อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ มันขำไม่ออกนะ มีคนนึงเป็นแบบนี้ เพื่อให้ได้เงินกองนี้ทำทุกอย่างให้คนที่เห็นเงินกองนี้ตาย แล้วให้ตัวเองได้เงินกองนี้ แล้วบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเอาเงินไปทำบุญ อาจารย์ถามว่าเงินมันชดใช้คืนชีวิตใครได้ไหม (ไม่ได้)  เเล้วถ้าเขาตั้งจิตอธิษฐานจองเวรจองกรรม เงินกองนี้ก็ชดใช้หนี้กรรมที่ศิษย์สร้างไม่หมด ฉะนั้นเมื่อไปยึดก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว  ถ้าเราพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ เราจะโลภไหม (ไม่โลภ)  เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะหลงไหม (ไม่หลง)  เเม้มองกระจกก็บอกว่านี่ไม่ใช่หน้าฉันเพราะเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป นี่ไม่ใช่ของฉันถึงเวลามันก็ต้องหายไป ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วเราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ยายังมีวันหมดอายุ ถ้าเราคบกับใครแล้วเขาหมดอายุกับเรา ทำใจได้ไหม ทำใจไม่ได้หรอก ถ้าคบแล้วอย่าลืมมองเขาไว้ตลอดว่าไม่เที่ยงอย่าไปยึดมันเป็นทุกข์ เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่าไม่เคยไปกับเรา ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาพลัดพราก ถึงเวลาสูญเสีย ถึงเวลาที่ต้องไม่มี เราจะเป็นอิสระ เเล้วเราจะบอกว่าพระอาจารย์จี้กงบอกเเล้ว เพราะถึงที่สุดเราก็อยู่คนเดียว ถึงที่สุดก็ต้องไม่มี เพื่อความอยากมีความอยากได้ ศิษย์ยอมผิดคุณธรรม ศิษย์ยอมเบียดเบียนคน สร้างกรรมเเละสร้างวิบากกรรมสร้างทุกข์ไม่จบสิ้น ค่อยไปเข้าวัดอุทิศส่วนกุศล ไม่ช้าไปหรือศิษย์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นก่อนไปเอาเขามาพิจารณาถึงธรรมดีไหม
ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ว่า ศิษย์ยังต้องห่วงลูกห่วงหลาน มีภาระมีหน้าที่ ไม่ทำไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้บอกว่า มาศึกษาธรรมแล้วลูกไม่เอา สามีไม่เอา งานไม่เอา อาจารย์บอกแบบนั้นหรือ (ไม่)  ไม่ได้บอก แต่บอกให้รู้จักรับผิดชอบหน้าที่อย่างไม่ยึดติด ยอมรับความเป็นจริงอย่างใจเปิดกว้าง เพราะสิ่งที่ศิษย์มีมา มันไม่เคยใช่ของศิษย์เลย ศิษย์จะพูดว่าศิษย์สูญเสีย แต่อาจารย์จะบอกว่าศิษย์ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะตั้งแต่ไหนมาศิษย์ไม่เคยมีอะไรเป็นของศิษย์ เพราะศิษย์ของอาจารย์เป็นนักขี้ตู่ตัวยง อันนี้ก็ของเรา อันนั้นก็ของเรา แต่พอถึงที่สุดแล้วจริงๆ มันเป็นของเราไหม มันคือของธรรมชาติที่ถึงเวลาเราก็ต้องคืนธรรมชาติ ถ้าคนยังไม่เข้าถึงธรรม ให้ถือธรรมะเป็นครรลองไว้ เพื่อจะได้ไม่ให้เราก่อเกิดเป็นกิเลส ก่อเกิดเป็นบาป เอาธรรมมาเตือนใจไว้ ธรรมเตือนใจให้เมตตา ให้ซื่อตรง เพราะถึงที่สุดแล้วความหมายว่า มันไม่มี จะเอาอะไรกับความไม่มี จริงไหม (จริง)  กลับไปอยู่กับความว่างๆ ความไม่มี แล้วมีสุข แล้วอิสระ ไม่ได้หรือ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งสรรพสิ่งโดยไม่ยึดสำคัญมั่นหมายในตัวตน ศิษย์จะพบกับความอิสระที่พ้นแล้วจากเกิดแก่เจ็บตาย อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงนะ ยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่พึงระลึกในธรรมอยู่เสมอๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ทุกสิ่งล้วนต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายแต่ผู้ที่ยังหลงยึดมั่นถือมั่น จะเป็นคนที่ทุกข์แล้วทุกข์อีก หรือเจ็บซ้ำ ไม่ใช่เจ็บแค่กาย แต่จะเจ็บถึงใจ แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เราจะรู้แค่เพียงว่ามันเป็นวิบากกรรมของกายแต่หาใช่วิบากกรรมของจิตเดิมแท้ไม่ เวลาเราโดนคนทำร้าย เราเคยเจ็บสองครั้งไหม เราเคยเจ็บมากกว่าสองครั้งไหม ที่เจ็บมากกว่าสองครั้งเพราะว่าเราเจ็บแบบไม่จบ ถ้าเจ็บแบบจบจะเจ็บครั้งเดียว แล้วถ้าเจ็บแบบจบจะเจ็บแค่กายไม่เจ็บใจ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ย ทำไมคนดีๆ มักถูกรังแก คนดีโดนรังแกไหม วิบากกรรมหรือเราหากรรมใส่ตัวเอง ศิษย์มักจะถามอาจารย์และพูดกับฟ้าเสมอ ทำไมคนดีมักโดนรังแก คนชั่วๆ ทำไมฟ้าไม่ลงโทษ คนชั่วๆ ทำไมไม่โดนรังแก อาจารย์ถามหน่อย ถ้าอยากจะกินแรงคนอื่น อยากจะใช้งานคนอื่น ขี้เกียจทำเราจะใช้คนชั่วหรือคนดี (คนดี)  ทันทีเลยเห็นไหม แล้วเวลาอยากจะสบถ อยากจะด่า ศิษย์จะไปด่าหัวหน้าหรือด่าลูกน้อง (ด่าลูกน้อง)  เวลาศิษย์อยากจะกินแรง ศิษย์จะไปกินแรงหัวหน้าศิษย์ได้ไหม ศิษย์กินแรงใคร (ลูกน้อง)  แล้วเวลาศิษย์อยากจะใช้คน ตัวเองขี้เกียจทำ ศิษย์ใช้คนที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า (ต่ำกว่า)  แล้วใช้คนที่ฉลาดหรือคนที่ซื่อ (ซื่อ)  ถูกไหม ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์ว่าทำไมคนดีจึงถูกรังแก จงถามใจตัวเองเราเอาเปรียบคนไหน เรารังแกคนไหน คนชั่วเรารังแกไหม (ไม่)  ถูกไหม ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์ว่าทำไมคนดีถึงถูกรังแก ถามตัวศิษย์เองว่าเมื่อมีโอกาสทำไมชอบรังแกคนที่ด้อยกว่า ชอบเอาเปรียบคนที่ต่ำกว่าใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนชายท่านหนึ่งที่เจ็บเท้าอยู่ให้ออกมาหน้าชั้น)  
อาจารย์อยากรังแกแล้วทำให้ศิษย์ได้สร้างบุญด้วย เดินไปทางนี้นะ เจอใครก็ยกมือไหว้ เท่านี้ก็เป็นการสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ แค่สวัสดีครับ ดีไหม ทำง่ายไหม ไม่เห็นต้องเดินไปไหน เราแค่หันซ้าย แล้วพูดว่า “สวัสดีครับ ยินดีด้วยนะครับที่มาฟังธรรม” รู้ไหมว่าการอ่อนน้อมก็เป็นการสร้างบุญ จิตยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นทำได้ดีก็เป็นการสร้างบุญ การมีจิตใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นการสร้างบุญ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็พูด “ขอบคุณครับ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีไม่ต้องอาย ทำชั่วน่าอายกว่า จริงไหมยกมือไหว้หนึ่งครั้ง ได้สร้างบุญกับตั้งหลายคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อน)
มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้ยังคงทุกข์ด้วยเรื่องอะไรอีกหรือ
(ไม่ปล่อยวาง, มีห่วง, มีกิเลิส)  รู้ทั้งรู้ว่าถึงเวลาเราก็ทำอะไรไม่ได้  ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไปควบคุมอะไรให้ทุกอย่างเป็นอะไรดั่งใจไม่ได้ แค่เรายอมรับความจริง
(ความไม่รู้จักพอ)  ถึงที่สุดหาไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาไปเพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดเราพอสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีก็กลายเป็นมีและมีค่า แต่ถ้าเราไม่พอสิ่งที่มีก็เหมือนไร้ค่าอยู่ทุกวัน (ไม่ปล่อยวาง)  เเล้วตอนนี้ปล่อยได้หรือยัง (ปล่อยได้แล้ว)  เเค่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเเละยอมรับสิ่งที่เป็น ยากนะศิษย์ยอมรับสิ่งที่เป็น
(ตัณหา)  เเปลได้สองอย่าง ทะยานอยากกับกามตัณหา ความอยากใช่ไหม อย่างนั้นก็รู้จักพอ รู้พอก็พบสุขไม่รู้พอก็ไม่มีสันติสุขสักที
(ความยึดติดอยู่ตลอดเวลา)  เเล้วตอนนี้ยังยึดอยู่อีกไหม (ไม่อยากยึด)  ไม่อยากยึดเพราะยึดไม่ได้ ไม่มีอะไรยึดได้เลยเงินทองก็ยึดไม่ได้ ล้วนเกิดจากการได้มาเเล้วเสียไป เสียไปแล้วถึงจะได้มา
(มีกรรมที่ต้องชดใช้อยู่)  ลูกหลานเรียกว่ากรรมหรือ อาจเป็นกรรมดีแต่อยู่ที่เราปลูกฝังเเละวางรากฐานอย่างไร พ่อเเม่คือแบบอย่างลูกหลานก็เลียนแบบพ่อเเม่ สอนได้ดีก็เป็นกรรมดี สอนไม่ดีกรรมนั้นก็เป็นกรรม
(ทุกข์เพราะว่าขี้หวง)  ทำไมจึงหวง เพราะกว่าจะได้แต่ละอย่างมาช่างยากเลยทำให้ศิษย์มีอะไรจึงไม่อยากให้ใคร เเต่ศิษย์เคยได้ยินไหม ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งไม่มี
(ทุกข์เพราะไม่มี)  แค่เรายอมรับความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้เเละเข้าใจ ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องทนทุกข์ เเต่เรียนรู้ทุกข์เพื่อเข้าใจเเละปล่อยวาง เหมือนความไม่มีมาเข้าใจเเละเรียนรู้เพื่อให้เกิดปัญญา
(กลัวลำบาก)  ถ้าเรายอมแพ้เราจะลำบากไหม ถ้าเราสู้ไม่ถอยเราจะลำบากไหม ที่เรากลัวลำบากเพราะเราคิดหวังจะพึ่งพิงคนอื่น แต่ถ้าเราพึ่งพิงตัวเองจะกลัวลำบากทำไม ถ้าใจเรามันสู้ ไม่มีคำว่าลำบาก แต่ใจศิษย์ไม่สู้
(มัวแต่ไปคาดหวัง แล้วไม่ได้ก็ทุกข์)  แล้วก็ต้องมาผิดหวังที่คาดหวัง สู้กล้ายอมรับความจริง ทำให้เต็มที่ อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับดีกว่าไหม 
(จำแล้วไม่ลืม)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าความเคียดแค้นจำไม่ลืมคือการจองเวรจองกรรม คือการอาฆาตพยาบาท การผูกใจเจ็บผูกกรรมแล้วเราควรมีไหม (ไม่ควรมี)  อย่างนั้นแปรเปลี่ยนจากเคืองแค้นเป็นอภัยไม่ถือโทษและขอบคุณ (จะพยายาม)  ศิษย์มันต้องทำตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะจิตที่ผูกใจเจ็บเวลาตายไปจะตกลงอบายภูมิทันที แต่จิตที่ให้อภัยไม่โกรธ ดีใจขอบคุณที่ได้ชดใช้ มันคือการได้สิ้นเวรสิ้นกรรมนะ ศิษย์อยากไปเจอคนที่ศิษย์เคืองแค้นอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นอย่าผูกใจเจ็บ เพราะถ้าอยากศิษย์จะต้องกลับมาเจอเขาอีกดีใจและขอบคุณที่ได้ชดใช้กรรม
(ขอพ้นทุกข์สักที)  พ้นนานแล้ว ตอนนี้ก็พ้นแล้ว ธรรมะสอนว่าจงอยู่กับปัจจุบัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ความเสียใจ)  ทุกข์เพราะความเสียใจใช่ไหม เสียใจเกิดจากใจที่คาดหวัง ใจที่ยึดติดว่ามันต้องดี สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักเป็นในการบำเพ็ญธรรมคือ ติดดีไม่ชอบความไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกว่าในสิ่งที่ไม่ดีมันก็มี (ดี)  ในสิ่งที่ดีมันก็มี (ไม่ดี)  ฉะนั้นเรามองเห็นชัดหรือยัง (ชัดแล้ว) 
(ยึดติด)  ถ้าอยากพ้นทุกข์เราก็แค่อย่ายึดติด เพราะว่าธรรมที่แท้จริงไม่มีอะไร ผู้ที่เข้าถึงธรรมคือผู้ที่เข้าถึงความว่าง อิสระ ปลอดโปร่ง ทำให้ได้นะ อาจารย์รู้ศิษย์ทำได้
(ทุกข์เพราะความกลัว)  กลัวอะไรศิษย์เอ๋ย (กลัวอนาคตไม่เป็นอย่างที่เราหวัง)  ปัจจุบันถ้าทำได้ดี อนาคตก็สดใส แต่ถ้าปัจจุบันทำไม่ดี อนาคตก็เหี่ยวเฉาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงพึ่งตัวเองไม่พึ่งผู้อื่น ยึดมั่นความเข้มแข็งในตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งพิงใคร แล้วเมื่อเราพลาดหรือเราล้ม เราก็เรียกตนลุกขึ้นสู้ใหม่ แต่ถ้าไปยึดคนอื่นพอเขาพลาดเขาทำให้เราผิดหวัง เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ทุกข์เพราะเป็นหนี้)  หนี้ใจหรือหนี้ชีวิต (หนี้ชีวิต)  เเล้วใครเป็นคนสร้างหนี้ (ตัวเอง)  อย่างนั้นควรมีสุขกับการใช้หนี้ดีไหม ทุกคนมีหนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ศิษย์คนเดียว เเต่จงมีสุขที่ได้ใช้หนี้เเล้วซื่อตรงกับการใช้หนี้ เเล้วศิษย์จะเป็นคนที่พ้นทุกข์ในการมีหนี้ เชื่ออาจารย์ เเต่ถ้าเกิดเป็นหนี้เเล้วทุกข์จะช่วยให้อะไรดีขึ้นไหม
(ทุกข์เพราะความรักโลภโกรธหลง)  อยากหยุดรักโลภโกรธหลง จะเอาแบบตัดครั้งเดียวขาดหรือแบบค่อยๆ ตัด ค่อยๆ ขาด ถ้าอยากตัดครั้งเดียวขาดต้องแก้ที่ใจ ถ้าใจไม่ยึดติดว่าอะไรชอบจะมีอะไรชังไหม ถ้าใจเราไม่ยึดติดว่าอันนี้ชอบจะมีชังไหม ถ้าใจเราไม่ยึดติดสุขจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)  นี่คือตัดครั้งเดียว มองให้เท่ากัน ศิษย์เอยในโลกนี้ใครสวยกว่าใคร ใครใหญ่กว่าใคร ใครดีกว่าใคร จริงๆ ไม่มี มีเเต่การหมุนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันไป ทำไมอยู่ๆ มาเจอกัน ทำไมอยู่ๆ มาชอบกัน ต้องมีเรื่องกรรมสัมพันธ์กัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราไม่อยากรักไม่อยากหลงก็ต้องมองให้ชัดด้วยการอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่าการมองแบบค่อยเป็นค่อยไปมองทุกวันจะเห็นว่าไม่เที่ยง มันทุกข์ควรจะรักไหม ควรหลงไหม ศิษย์รู้ไหมถ้าเข้าใจความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ศิษย์จะปลดปลงความโลภโกรธหลงได้ทีละเรื่อง เมื่อไม่เที่ยงเมื่อเป็นทุกข์เมื่อว่างเปล่า เราจะอยากไหม เราจะโกรธหรือ เราจะหลงหรือ
กินอย่างไรไม่ให้เกิดโลภ โกรธ หลง รู้ไหม (กินแบบมีสติ)  ศิษย์รู้ไหมว่าบางครั้งแค่การกิน มันก็ก่อเกิดกลายเป็นโลภ โกรธ หลงได้ พอเวลาเรากินผลไม้ กัดคำแรกหวาน เจ้านี้ไม่โกหก มีโอกาสจะกินอีก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเปรี้ยว เป็นอย่างไร (ไม่ซื้อแล้ว)  แอปเปิลอะไร หวานก็ไม่หวาน เห็นไหมว่าแค่กิน ก่อเกิดเป็นกรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรจึงต้องมีสติ กินด้วยความไม่ยึดติดสำคัญมั่นหมายในตัวตน รักโลภโกรธหลงมันก็จะทำอะไรเราไม่ได้
(ทุกข์เพราะไม่เข้าใจชีวิต สัจธรรมชีวิต)  ที่อาจารย์พูดมาไม่เข้าใจเลย (ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่า เมื่อไรที่เห็นธรรมในตัวตน เมื่อนั้นศิษย์ก็จะเห็นธรรมในผู้คน เมื่อใดประจักษ์แจ้งธรรมในตัวตน เมื่อนั้นศิษย์ก็จะประจักษ์แจ้งธรรมในผู้คน ทำให้ได้นะ
(ทุกข์จากการไปรู้เรื่องราวมา ซึ่งรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องหรือว่าสิ่งนี้ถูกต้อง แต่ไม่สามารถไปเปลี่ยนการกระทำหรือการที่เรารับรู้เรื่องราวนั้นได้)  อย่างนั้นศิษย์ต้องยอมรับนะ เมื่อวานศิษย์พี่พระนาจาสอนไว้ว่า “รู้คนอื่นไม่สู้รู้ตัวเอง เห็นคนอื่นไม่สู้เห็นตัวเอง” เพราะการที่จะไปคาดหวังให้คนอื่นเป็นดั่งใจ แล้วกำหนดว่าต้องเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ หนีไม่พ้นโทษและเวรกรรมในการก่อกรรม แต่ถ้าเรามุ่งแก้ไขตัวเอง เราจัดการที่ตัวเอง เราจะหยุดกรรมที่ตัวเองได้ ไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียน ไม่ก่อเกิดโทษ ไม่เกิดการผูกเวร เพราะเรามุ่งแก้ที่ตัวเอง ไม่ได้แก้ที่เขา ฉะนั้นธรรมจึงสอนว่า รู้ผู้อื่นไม่สู้รู้ใจตน แก้ไขผู้อื่นไม่สู้แก้ไขที่ตัวเอง รู้คนอื่นมีประโยชน์อะไร รู้เขาไม่ดีเราก็เกลียด รู้เขาดีเราก็ชอบ ก็กลายเป็นอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่เรียกว่า ทุกข์สุขดีร้าย ตกนรกขึ้นสวรรค์ แต่มิสู้รู้ใจตัวเองแล้วหยุดให้ได้ ไม่ให้ตกนรกไม่ให้ขึ้นสวรรค์ แต่ให้เข้าถึงฝั่งพระนิพพานที่เรียกว่า “เสมอ” ดีกว่าไหม (ดี)  
(ทุกข์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ)  ยกตัวอย่างนะ ถ้าอาจารย์เห็น แล้วอาจารย์ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก ไม่ชอบ เป็นภาวะเฉยที่เรียกว่าตรงกลาง หรือเรียกว่าสัมมา หรือแปลว่ามัชฌิมาซึ่งก็คือทางสายกลาง แปลว่าการกระทำของอาจารย์สิ้นกรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่อาจารย์ทำแล้ว อาจารย์บอกว่าคนนั้นดี คนนั้นไม่ดี ฉันชอบแบบนั้น ฉันไม่ชอบแบบนี้ เขาเรียกว่าการดำเนินชีวิตแบบผูกสร้างกรรมไม่จบกรรม แต่ศิษย์จะสิ้นกรรมได้อย่างไรก็แค่เห็นแล้วเท่านั้น เห็นแล้วจบกัน แค่นี้คือสิ้นกรรม ไม่ต้องสิ้นกรรมตอนตาย สิ้นกรรมตอนนี้เลย ทำได้ไหม (ทำได้)  ขอแค่มีสติ แต่อย่าสูบบุหรี่ อย่ากินเหล้า เลิกไปนานแล้วใช่ไหม (เหล้าเลิกไปยี่สิบปีสามสิบปี)  กินไปเกือบค่อนชีวิตแล้วนะศิษย์ ต่อไปตั้งใจทำให้ดีนะศิษย์เอ๋ย
(คิดแทนคนอื่น)  ทุกข์เพราะคิดแทนคนอื่น เป็นห่วงแทนเขา กังวลเขา แล้วเราช่วยอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงที่สุดเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า เราทำดีที่สุดแล้ว เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ อย่าเอาเขามาเป็นกรรมให้ทุกข์ใจ เพราะถ้าเราทำได้ดี ทำได้สุข ทำได้สงบ เขาจะย้อนกลับมาถามเราว่า เราทำอะไรทำไมเราไม่ทุกข์เลย ดียิ่งกว่าเราพูดเองอีกนะ
(ทุกข์เพราะเสียลูก)  สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ทุกอย่างที่เกิดบนโลกล้วนมีประโยชน์ เพื่อให้เราเรียนรู้เข้าใจและปล่อยมันอย่างสันติสุข ไม่ใช่ไปเกี่ยวให้เป็นกรรม อย่าเสียใจนะ
(ทุกข์เพราะคำว่าอยาก)  เพราะคำว่าอยากคำเดียวที่ทำให้มนุษย์ในโลกเหนื่อยไม่จบ วุ่นไม่สิ้น และคำว่า “อยาก” มันออกมาจากคำว่ามีตัวตน เพราะถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ว่าตัวตนมันไม่มี แล้วจะอยากไปทำไม อยากเพื่อไปให้ใคร เพราะถึงที่สุดเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วยังอยากอีกไหม ถ้าเราเข้าใจธรรม ศิษย์จะเข้าใจว่าได้หรือไม่ได้ก็เท่ากัน โดนชมหรือโดนด่าก็เสมอกัน มีหรือไร้ก็ไม่ได้เลือกทุกข์หรือสุขให้เจ็บปวดเลย พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยากมีตัวตนในโลกใบนี้ให้เจ็บปวดเลยพอความอยากมา ได้ไม่ได้ก็ทุกข์ ได้มาเเล้ว จะอยู่ไม่อยู่ก็ทุกข์ อยู่เเล้วรักษาได้ไหม เเล้วจะมีเพิ่มอีกไหมก็ทุกข์อีก เเล้วที่ทำไปทุกอย่าง ความอยาก ความโกรธ ความหลงมาจากไหน ก็มาจากตัวตนที่ศิษย์ยึดว่ามี ทั้งที่จริงๆ ถึงที่สุดก็เอาอะไรไปไม่ได้ ถึงที่สุดเเล้วก็ไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมี ถ้ายังอยากยึดตัวตน ผลของการยึดตัวตน เมื่อเราสิ้นสังขารเเล้วเราคิดว่ายังมีตัวตนอยู่ ยังมีตัวตนที่ออกจากสังขารนี้ไป มันเป็นตัวของฉัน รู้ไหมว่าการที่ยึดตัวตนที่ออกไปจากสังขารนี้คือตัวตนที่จะไปสนองผลกรรมที่ศิษย์สั่งสมไว้ในจิตใจ ศิษย์เกลียดใคร ศิษย์ทำบุญอะไร ศิษย์ทำบาปอะไร กรรมนี้จะพาให้ศิษย์สนองไปตามวัฏฏะและกรรมที่ศิษย์สั่งสม เเต่ถ้าศิษย์สามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลก เข้าถึงสภาวธรรมอันเดิมแท้ จนวางสิ้นตัวตน พอตายไปเเล้วธรรมก็คืนสู่ธรรม ไม่มีตัวตนให้ต้องเวียนว่ายอีกต่อไป เเละเมื่อไรที่เกิดอะไรขึ้นในตัวเรา เราก็คิดเพียงว่ามันเป็นวิบากกรรม เราจะไม่โกรธ เราจะไม่ผูกใจเจ็บ เราจะไม่เกลียด เพราะเป็นเรื่องของสังขารไม่ใช่เรื่องของจิตเดิมเเท้ อาจารย์กระแทกกระทั้นเพราะอยากให้ทะลุไปให้ถึงใจศิษย์ ให้กิเลสที่เกาะหนาๆ นั้นหลุดออกมาจากใจ เเล้วศิษย์จะบอกว่าเเท้จริงโลภโกรธหลงไม่เคยมี เเต่มีเพราะความยึดติดตัวตน จริงไหม (จริง) 
(ทุกข์เพราะอยากหนุ่มกว่านี้ ทุกข์เพราะอยากมีภรรยาสิบคน)  อาจารย์ดีใจนะ มีศิษย์แบบนี้กล้ายอมรับ แต่อย่าให้ความคิดนี้ฝังลงไปในจิต เพราะถ้าความคิดนี้ฝังลงไปในจิตว่าผมอยากมีภรรยาสิบคน แล้วถ้าชาตินี้ไม่มีไม่เป็นไร เดี๋ยวชาติหน้าก็คงมี ศิษย์ต้องระวังนะ เพราะจิตเป็นสิ่งที่กระทบแล้วเก็บง่าย แล้วถ้าหยั่งลึกไปถึงจิต ก่อเกิดเป็นกรรมในการหมุนเวียน จะสร้างวิบากกรรมให้ศิษย์ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นอย่าไปปลูกฝังความคิดอะไรผิดๆ เพราะแค่คิดก็ผิดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเผลอหยั่งอะไรลงไปในเนื้อนาอันเป็นพุทธจิตเดิมแท้ ถ้าฝังลงไปแล้ว จะทำให้เราต้องไปสนองตามจิตที่เราสั่งสม หมา แมว หมู ควายมีเมียเป็นสิบ ถ้าอย่างนั้นเราหยุดความคิด บำเพ็ญเพื่อรู้เท่าทันจิต ไม่ใช่ต้องรู้ใคร หยุดที่ตัวได้ ไม่ต้องหยุดใคร ไม่ต้องไปเห็นใคร เห็นที่ตัวเอง หยุดที่ตัวเองก่อนที่จะตกผลึกเป็นผลของกรรมและผลของความคิด ฉะนั้นรู้แล้วหยุด ถ้าจะคิดให้หยุดคิดทันที ถ้าศิษย์อยากมีภรรยาเป็นสิบแล้วได้เกิดเป็นคน ศิษย์รักษาศีล ๕ ครบไหม (ไม่ครบ)  อย่างนั้นศิษย์ได้เกิดเป็นหมา ได้เกิดเป็นแมว ได้เกิดเป็นวัว ได้เกิดเป็นควายแน่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปลูกฝังคุณธรรมเพื่อยับยั้งจิตไม่ให้หลงผิด ปลูกฝังศีลธรรมเพื่อป้องกันจิตไม่ให้คิดคดคิดร้าย ด้วยการฝึกเมตตาจิต มีใครบ้างอยากมีสามีที่มีแฟนเป็นสิบคน เอาใจเขามาใส่ใจเรานะศิษย์ แล้วมีไหมที่อยากให้สามีฉันหนุ่มอยู่คนเดียวแล้วฉันเหี่ยวอยู่คนเดียว ก็ไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิคอะไร คิดให้ถูกธรรมถูกต้อง ไม่อย่างนั้นคิดผิดก็ทำร้ายจิตตัวเองนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “แสงธรรมส่องใจชน” )
กรรมของศิษย์นั้นคือธรรม ใจของศิษย์นั้นก็คือธรรม ผู้ค้นพบธรรมในตัวตนก็จะพบธรรมในผู้คน ผู้สามารถเอาธรรมะส่องสว่างในใจตนได้ คนๆ นั้นจะสามารถยังแสงสว่างเพื่อมวลชนได้ ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ก็จะสามารถนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าแห่งความเป็นพุทธะในจิตเดิมแท้ของตน ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน ธรรมะอยู่ในใจ แต่อยู่ที่ว่า เคยหันไปมองธรรมในใจด้วยความสงบและยอมรับความจริงอันว่างเปล่า ไร้พันธนาการ และเป็นสุขกับมันบ้างไหม ถ้าทำได้ ศิษย์จะพบความปิติสุข สงบเย็น โดยที่ไม่ต้องมีอะไรหรือมีใครนะศิษย์เอ๋ย ความสงบเย็น ความสุข ความปิติ มันมีอยู่ในนี้ แค่ศิษย์หันมามอง และรู้จักพอบ้างไหม แสงสว่างใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับแสงสว่างที่มันเกิดจากใจที่เข้าถึงธรรม ไม่มีอะไรให้ต้องยึดถือ และกล้ายอมรับความจริง ตายก็ตาย เจ็บก็เจ็บ เสียก็เสีย มันไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วเรากำลังร้องไห้   ฟูมฟายทุกข์กับอะไร เรากำลังทุกข์กับความหลอกลวงตัวเอง เรากำลังทุกข์กับการไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความทุกข์ไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่ความทุกข์คือความรู้แจ้ง ที่ทำให้เราเข้าถึงเพื่อปลดปลงและปล่อยวาง
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว ในนี้ยังมีใจความอยู่ ลองเอาไปศึกษา แล้วจงหยั่งให้เห็นธรรมอันสว่างในตัวเอง พระพุทธะไม่เคยสอนให้พึ่งพิงพระ แต่ท่านสอนให้พึ่งพระในใจตัวเอง ธรรมในใจตัวเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง เพราะถึงเวลาที่ศิษย์ต้องทุกข์และปลดทุกข์ พระเก้าวัดพระร้อยวัดก็ปลดทุกข์ของศิษย์ไม่ได้ นอกจากศิษย์ต้องปลดด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  หนทางมีให้เดิน อยู่ที่ศิษย์จะเดินหรือไม่เดินเท่านั้นเอง มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก อย่าปล่อยให้ความวุ่นวายทางโลกชักนำศิษย์ให้หลงทางเลย ชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไรจง    เข็มแข็งและต่อสู้ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วต้องเป็นไปตลอดชีวิต ทำให้ได้นะศิษย์ หลงไปถึงไหนแล้วศิษย์ของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสมาศึกษาเข้าชั้นให้ครบนะศิษย์เอ๋ย ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวลำบาก อุทิศเพื่อประชาทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เรามีกรรมก็ยังต้องชดใช้ ฉะนั้นอุปสรรคอย่ายอมแพ้ ธรรมอยู่ในใจเราแล้ว ไม่กลัวลำบากนี่คือหัวใจของการทำงานเพื่อมวลชน อุทิศเสียสละเพื่อมวลชน
ศิษย์เอ๋ย ภาวะธรรมเป็นภาวะที่สงบ เป็นภาวะที่สดใส ว่างเปล่า แต่ก็เป็นสุขเย็น อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงสภาวะนั้น สภาวะที่ไม่ต้องทุกข์อีก แต่เข้าใจในทุกข์อย่างคนที่แจ่มแจ้งเห็นชัด ไม่ต้องเจ็บปวดกับความเป็นจริงในโลกใบนี้ เพราะเข้าใจในสภาวธรรม ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดกับโลกใบนี้ เพราะเห็นแจ้งในธรรม ซึ่งไม่ใช่เกิดจากอาจารย์เป็นผู้ยัดเยียดให้ศิษย์ แต่เกิดจากการที่ศิษย์ตื่นรู้ด้วยสติและปัญญาที่เข้าถึง ธรรมะนั้นอยู่ในตัวศิษย์นะ ไม่ใช่อยู่ในตัวอาจารย์ ความรู้แจ้งพ้นทุกข์ก็อยู่ในตัวศิษย์ที่กล้าหาญปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ ถ้าบำเพ็ญแล้ว ต้องทำให้ถึงที่สุด ถึงจะสมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์หรือเป็นจี้กงน้อยๆ ที่อยู่ในใจของศิษย์ ฉะนั้นนำความเป็นพุทธะไปใส่ไว้ในใจเพื่อเข้าให้ถึงธรรม แล้วศิษย์จะพบความปิติสุขที่อยู่บนโลก แต่สุขใดก็เทียบกับสุขที่เกิดจากความสงบเย็นในธรรมไม่ได้เลย ลองทำดูสักครั้งหนึ่ง แล้วหันกลับมาดูว่ามันไม่ยาก มันเป็นความสงบที่ดี ดีกว่าการวิ่งแสวงหาทุกข์ไม่จบสิ้นอีกนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แสงธรรมส่องใจชน”
     เอกธรรมสว่างโพลง ณ กลางจิต              รู้ปัญญาเป็นดั่งมิตรคอยหนุนส่ง
ดับการเกิดแห่งสัญญาเป็นมั่นคง                  รู้ปลดปลงมีหรือไร้ก็เท่ากัน
จิตเป็นกลางอยู่เสมอด้วยสติ                       รู้ทุกขณะด้วยจิตว่าแค่นั้น
ทุกอย่างเป็นอนัตตาเอนกอนันต์                   ถึงสำคัญที่สุดนั้นก็ต้องวาง
กายก็เบาจิตก็เบามีเสรี                              ใจยืมใช้ทำหน้าที่ไม่มีต่าง
รู้ใช้ธรรมมียิ่งในทุกทาง                             ก็คือธรรมแลธรรมสร้างเท่านั้นเอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา