วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

2559-11-19 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท

西元二○一六年 歲次丙申十月二十日            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙             สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
  ดูอ่อนน้อมสุภาพอัธยาศัยดี             ใบหน้ามีรอยยิ้มเปี่ยมสุขศานต์[1]
ดูพูดน้อยทำจริงขยันทำงาน             ร่วมสืบสานเป็นแบบอย่างผู้บำเพ็ญ
           เราคือ
  ศิษย์พ่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
  ประสาคนพากเพียรจริงต้องแข็งแกร่ง หน่ายลงแรงบำเพ็ญไม่ลึกล้ำ
ศึกษาย่อมไม่ท้อปล่อยตามกรรม         ง่ายทิ้งธรรมง่ายเพราะไม่เข้าใจ
กายใจละวาจาลดรู้สำนึก                อย่าลดฝึกฝึกใหญ่พัฒนาใหญ่
การขัดเกลาและแก้ไขควบคู่ไป           ธรรมย่อมรักษาในผู้ประพฤติธรรม
มีนิสัยอัตตาอารมณ์โรคของใจ           จำต้องได้โอสถทิพย์เลิศล้ำ
ฝึกละวางเริ่มจากการกระทำ            อ่อนน้อมนำตนเกิดคุณอนันต์
นอกในได้ปฏิบัติธรรมเพื่อชีวิต           ทุกทุกวันใช้จิตเป็นสวรรค์
บารมีสร้างธรรมคุณให้เบ่งบาน          ฟ้าดินสัมพันธ์คนเห็นธรรมครรลอง
โปรดให้ทั่วกว้างรู้ตามจริง                ความจริงในทุกสิ่งไม่สอง
ในสติด้วยทางไม่เป็นรอง                 อาตมัน[2]ปัญญาดั่งเพชรทองในตน
จงระวังกายระวังใจอยู่เสมอ             ไม่ประมาทไม่ใจวางไม่สะสม
จิตฝึกเป็นปราชญ์บัณฑิตปลิดอารมณ์   บุคลิกสมเหมาะตัวเราผู้บำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด


[1]    ศานต์    สงบ
[2]   อาตมัน  อัตตาหรือดวงวิญญาณ ซึ่งศาสนาและปรัชญาฮินดูถือว่าเที่ยงแท้ถาวร
 
 
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
 
เคยได้ยินเพลง “หากว่าเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน หากว่าเรากำลังมีสุข หมดเรื่องทุกข์ใดๆ ทุกสิ่ง มัวประวิงอะไรกันเล่า จงปรบมือพลัน” อยู่ที่นี่สบายไหม (สบาย)  ถ้าใจเราสบาย แม้อยู่บ้านธรรมดา ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีทีวีให้ดู เราก็ต้องสบายได้ แม้อยู่ในบ้านแล้วต้องฟังธรรมะยาวๆ เราก็สบายได้ ถ้าเราอยู่อย่างมีสุข แม้จะดื่มน้ำต้มผัก ก็รู้สึกหวานอร่อย แต่ถ้าหากว่าอยู่แล้วไม่สบาย ไม่มีความสุข นั่นเป็นเพราะเขา หรือใจของเรา (ใจของเรา)  ถ้าอยู่แล้วอึดอัด แปลว่าไม่สบาย ถ้ากินแล้ว
ไม่อร่อย แปลว่าใจนั้นไม่มีความสุข เราอยู่แล้วเราสบายไหม (สบาย)
“ดูอ่อนน้อมสุภาพอัธยาศัยดี   ใบหน้ามีรอยยิ้มเปี่ยมสุขศานต์
ดูพูดน้อยทำจริงขยันทำงาน   ร่วมสืบสานเป็นแบบอย่างผู้บำเพ็ญ”
มาที่นี่เห็นผู้ปฏิบัติงานธรรมมีความอ่อนน้อมไหม (มี)  ดูสุภาพไหม (สุภาพ)  มีอัธยาศัยดีไหม (ดี)  ใบหน้ามีรอยยิ้มไหม (มี)  ถ้าผู้ปฏิบัติ
งานธรรมคนไหนไม่มี ก็ต้องพิจารณาตัวเองด้วย ดูว่าเราพูดน้อยขยันทำงานไหม
วันนี้ต้องบอกก่อนว่าที่ทุกคนมา มาเพื่อศึกษาฟังธรรม ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ฉะนั้นสองวันนี้ก็ต้องฟังและก็ฟัง เพราะเรามาเพื่อฟังธรรม
เราฟังและสามารถปฏิบัติได้เลยไหม (ได้)  ฟังเท่าไรก็ไม่สงบ ฟังเท่าไรจิตก็ยังกระเจิดกระเจิง ร้อนบ้าง ง่วงบ้าง เบื่อบ้าง เมื่อยบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
การฟังธรรมเราควรจะตามใจตัวเอง หรือควรจะขัดเกลาใจตัวเอง (ขัดเกลาใจตัวเอง)  การมาฟังธรรมก็ต้องมีการขัดเกลาใจตัวเราบ้าง เพราะเรา
เคยชินกับการสบายและตามใจตัวเอง แต่ท่านเคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหม
ใจสบายจะอยู่อย่างไร ใจก็เป็นสุข จิตสงบแม้กินผักต้มน้ำก็ยังหวานและอร่อย แต่ทำไมหาเงินก็แล้ว มีอันโน้นอันนี้ก็แล้ว มีอะไรที่ควรมีก็เยอะแล้ว แต่ทำไมไม่สบายใจ จริงไหม (จริง)  หวังจะมีอันนั้นอันนี้เพื่อสงบ แต่ทำไมมีแล้วกลับวุ่นวายไม่สงบใจ เหมือนเราไม่อยากเหงา เราอยากหาเพื่อนเยอะๆ แต่ทำไมอยู่กับเพื่อนเยอะๆ แล้วเหงาจัง ใช่ไหม (ใช่)  เราคิดว่าการไปเที่ยวคือความสุข ไปเที่ยวคือความสบายใจใช่ไหม แต่ทำไมไปเที่ยวจึงไม่สบายใจ ถูกไหม เราขอถามหน่อย ตั้งแต่มีชีวิตจนถึงปัจจุบันนี้คำว่า “สบายใจ” กับ “สงบใจ” เคยมีบ้างไหม มีจริงๆ ไม่ไปไหน ไม่ใช่มีเพียงครู่เดียว แล้วเดี๋ยวก็ต้องมาหาใหม่ ไม่เคยมีเลยใช่ไหม คนสบายใจไปอยู่ที่ไหนก็สบายใจ แม้โดนด่าก็สบายใจ คนมีสุขใจ ไปอยู่ที่ไหนก็สุขใช่ไหม แม้กินข้าวกับเกลือก็มีความสุข เราถามท่านนะ ความสุขที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจ ไม่ใช่ข้างในกลวงโบ๋ แล้วพยายามหาข้างนอก พยายามหาโน่นหานี่ มาเติมเต็มให้ที่กลวงโบ๋ สบายใจและสุขใจ ใช่ไหม (ใช่)  หากมีความสบายใจ อยู่ที่ไหนก็สบายใจ หรือที่มนุษย์ชอบพูดกัน ถ้าใจเราสุขไปอยู่ที่ไหนก็สุข ใช่หรือไม่ 
แต่ถ้าเราเป็นทุกข์ไปอยู่ที่ไหนก็ทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าอยากหาความสุข ต้องเริ่มจากใจข้างใน แต่มนุษย์เราตอนนี้ไม่ใช่ เริ่มจากใจที่กลวงโบ๋และว่างเปล่า และพยายามคิดว่ามีโน่น มีนี่ มีนั่น แล้วใจจะเป็นสุขใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่มนุษย์ชอบทำให้มันใช่ จริงไหม (จริง)  แล้วจะทำอย่างไรให้ใจสบาย ใจสงบ ใจเป็นสุข อยากรู้ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกัน
ดีไหม (ดี)  ทำอะไรไม่หวังผลก็ไม่เหนื่อย แต่ถ้าทำอะไรหวังผลและคาดหวังก็จะรู้สึกเหนื่อย
เมื่อสักครู่เราเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ คือ ถ้าใจสบายอะไรก็เป็นสุข ถ้าจิตเราสงบอยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น แต่มนุษย์มักจะเป็นอย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าทุกสิ่งต้องเริ่มจากใจ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จสำคัญที่ใจ เคยได้ยินคำนี้ใช่ไหม (ใช่)  แต่เรากลับไม่เริ่มที่ใจ เรากลับไปหาความสุขข้างนอกเพื่อมาเติมเต็มให้ใจเป็นสุข แต่ยิ่งหาเรากลับยิ่งทุกข์
หาความสงบแต่ทำไมเรายิ่งหากลับยิ่งวุ่นวาย ฉะนั้นถ้าใจเรายังไม่สุข ใจเรายังไม่สงบ หาเท่าไรเติมเท่าไร ใจเราก็สุขสงบยาก รากฐานความสุขสงบ
ที่แท้จริงอยู่ที่อะไร (ใจ)  แล้วใจแบบไหนที่สามารถทำให้เราสุขได้ในทุกที่ สงบได้ในทุกเรื่องราว เคยเป็นไหมที่ทั้งชีวิตหาแล้วหาเท่าไรก็ไม่เจอ นึกว่า
มีเงิน มีรถ มีสามีภรรยา มีลูกจะได้สุขสงบสบาย แต่ถึงที่สุดก็กลับไม่สงบ
ไม่สบาย นึกว่ามีโน่น มีนี่แล้วจะไม่เหงา ไม่เปล่าเปลี่ยว ไม่โดดเดี่ยว แต่ถึงเวลามีโน่น มีนี่แต่ก็ยังคงเหงาและเปล่าเปลี่ยวอยู่ดี แล้วท่านเคยได้ยินไหม รากฐานของความสุข รากฐานของความสงบที่แท้จริงมาจากไหน (ปล่อยวาง)  มาจากการปล่อยวางใช่ไหม แต่ทำไมยิ่งปล่อยแล้วยิ่งกังวล ยิ่งวางก็ยิ่งเป็นทุกข์
ศิษย์พี่จะบอกให้ก็ได้ รากฐานของความสุขสงบที่แท้จริงมาจากจิตที่กล้ายอมรับความจริง และอยู่ร่วมกับทุกสิ่งด้วยจิตใจที่ปรารถนาดีและเมตตาต่อกัน มนุษย์ทุกคนในโลกปรารถนาความสุข สงบ ความร่มเย็นในจิตใจ แต่ถ้าเกิดเราพยายามหาสิ่งอื่นมาเติม โดยที่ใจเรากลวงโบ๋ หาเท่าไรก็ไม่สุข แต่ต้องเริ่มจากใจเราก่อน ยอมรับความจริงได้ไหม และสามารถ
อยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยจิตใจที่ปรารถนาดี และเมตตาต่อเขา และไม่เรียกร้องได้หรือเปล่า ถ้าทำได้เช่นนี้ศิษย์น้องอยู่ที่ไหนก็สุขและสงบ ใจที่ยอมรับความจริง มีแต่จิตใจที่ปรารถนาดี ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล แต่ปัจจุบันนี้เรายอมรับความจริงไหม เราเอาแต่เรียกร้อง คาดหวัง แล้วเราจะมีความสุขและสงบไหม (ไม่)  พอเราไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นความสุขและสงบที่แท้จริงคือ แค่นี้ดีแล้ว แค่นี้สุขแล้ว แค่นี้พอแล้ว แค่นี้ขอบคุณแล้ว แต่ถ้าในใจยังบอกไม่พอ ไม่สุข ไม่ดี ก็เหมือนใจที่กลวงโบ๋ตลอดเวลา หาโน่นนั่นนี่มาเติม ก็ยังรู้สึกไม่พอ ไม่สุข ไม่ดี แต่ถ้าในใจเราบอกว่า ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว ฉะนั้นถ้าได้อะไรมาเพิ่ม ก็ให้ถือเป็นกำไรชีวิต เสียอะไรไป จะเสียใจไหม เพราะถ้าทุกขณะรู้สึกว่า ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว ใจเราเคยขอบคุณแล้ว ดีแล้ว พอแล้วหรือยัง ถ้ายังแสดงว่าเราพยายามทำใจเราให้กลวง ให้โบ๋ และหวังสิ่งอื่นมาเติมให้เต็ม และเคยเติมได้เต็มไหม แล้วจะนั่งไหม แต่ถ้า
ในใจบอกว่า ดีแล้ว สุขแล้ว แม้ไม่นั่งแล้วใจเป็นอย่างไร (ดีแล้ว)  เห็นไหมว่าฟังธรรมก็ปฏิบัติได้ทันที แต่รู้จักฟังแล้วนำมาใช้ไหม พอบอกว่าฟังธรรมแล้วขึ้นสวรรค์ ตอนนี้เราขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (ขึ้นสวรรค์)  แต่เห็นศิษย์น้อง
ใจร้อนอย่างกับอะไรดี ถามว่าตอนนี้จะนั่งหรือยืนดี (นั่ง)  ฉะนั้นอยากมีสุข นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ยืนก็ดี ไม่ยืนก็ดี แม้จะยืนเป็นเพื่อนเราสองชั่วโมงใช่ไหม ความสุขไม่ใช่เป็นสิ่งที่หาง่าย แต่ต้องเริ่มจากใจของเรา ยอมรับความจริงไหม อะไรจะเกิดมันก็เกิด อะไรจะเกิดมันก็ดีแล้ว พอแล้ว สุขแล้ว จริงหรือไม่
ศิษย์น้องรู้ไหม จิตที่สงบ จิตที่เป็นสุข มีพลังที่ลึกล้ำ และสามารถ
ทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างกว้าง และยิ่งใหญ่ จิตที่สงบ และเป็นสุข
มีดีอีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้เรารับได้และแบกไหว แม้จะเป็นเรื่องหนักแค่ไหนในชีวิต แล้วศิษย์น้องรู้ไหม จิตที่สงบและเป็นสุข ยังมีดีอีกอย่างหนึ่ง
เวลาเจอปัญหาอะไร จะแก้ปัญหานั้นด้วยความละมุนละม่อม และสบายใจ
ยอมรับความเป็นจริง ดีแล้ว ใช่ไหม ปรารถนาดีต่อกันไม่เบียดเบียนกัน สุขแล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจิตที่สุขสงบควรจะมีอยู่ในตัวเราไหม (มี)  แต่ตอนนี้เราดีหรือยัง เราพอหรือยัง ขอบคุณหรือยัง เชื่อศิษย์พี่นะศิษย์น้อง ถ้าเราอยู่ในโลก อย่างไม่ยึดมั่นหมายอย่างไม่คาดหวัง อย่างไม่กำหนดว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไม่เป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้ห้ามเป็นแบบนั้น เช่นนี้ เมื่อเราไปอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ถ้านั่งต้องมีเครื่องปรับอากาศ แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีเครื่องปรับอากาศทุกที่ ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้านั่งต้องมีสุขเป็นไปได้ไหมที่มีสุขแล้วไม่มีทุกข์ (ไม่ได้)  ถ้านั่งแล้วห้ามเมื่อยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ยืนแล้วต้องไม่เมื่อยได้ไหม (ไม่ได้)
ฟังยากไหม จิตที่สงบจิตที่สบายใจเริ่มจากแค่ตรงนี้เอง แต่ว่ารากฐานของความสุขและความสงบยังมีอะไรอีกมาก ที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้อง ศิษย์น้องอยากรู้ไหม (อยาก)  อย่างนั้นศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า “ใจกว้างเป็นดั่งสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบดั่งทะเลทุกข์นรกบนดิน”  ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขความสงบ จงใจกว้าง ถ้าสมมติวันนี้เรามีผลไม้อยู่หนึ่งชิ้นแล้วมีคนมาขอกินด้วย เราจะรู้สึกเป็นอย่างไร เราจะแบ่งให้เขาไหม (แบ่ง)  ในใจเรามักจะคิดว่า “เขาจะมาขอแบ่งทำไม” ยิ่งถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบเรารัก ถ้ามีคนมาขอ เราจะแบ่งไหม มือพยายามแบ่ง แต่ใจเราจะคิดว่า “เขาไม่น่ามาเลย” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุข
อย่างใจสบาย เป็นสุข ร่มเย็นกับผู้อื่น จำไว้ว่า “ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า
ใจแคบคือนรกบนดิน และทะเลทุกข์”
 แค่เราคิดว่าเราไม่ให้แค่นั้นเอง ผลไม้ที่เราได้มาอย่างมีความสุขในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับทำให้เราทุกข์ ตอนแรกได้เงินมาเรามีความสุข แต่เงินจะต้องถูกแบ่งปันไป ใจเราก็จะกลายเป็นความทุกข์ สามีที่เราได้มาตอนนี้ถูกแบ่งปันไป ตอนแรกที่ได้มาเรามีความสุข แต่ตอนนี้กลายเป็นความทุกข์
ถ้าเราโดนแบ่งปันคนรักไป เราสุขไหม (ไม่)  ถ้าศิษย์น้องอยากอยู่
บนโลกอย่างมีความสุข และสบายใจ ให้จำไว้ว่า “ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน และทะเลทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น หาฟากฝั่งสิ้นทุกข์ไม่เจอ” ถ้าเราไม่ยอม ไม่ให้ ไม่แบ่งปัน จะทุกข์ไหม แต่พระพุทธะ
ยังบอกอีกว่า “จิตที่คอยจับผิดคิดร้าย เข้มงวดกวดขัน ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์มีความสุขและสงบได้” จริงไหม (จริง)  ตอบได้ว่าจริง แต่ถึงเวลา
จิตเราคิดดีหรือคิดร้าย จิตเรามองสูงหรือต่ำ อยู่กับมนุษย์ระวังได้ แต่อย่าระแวง ไม่อย่างนั้นจะมีทุกข์ ไม่มีสุข จำคำที่ศิษย์พี่พูดไว้ ถ้าศิษย์น้องใช้ก็จะดีมากเลย ใจกว้างคือ (สวรรค์ชั้นฟ้า)  ใจแคบคือ (นรกบนดิน)  และทะเลทุกข์ที่หาฟากฝั่งแห่งความสุขไม่มีวันเจอ และจิตใจที่ชอบจับผิด จิตใจที่ชอบคิดร้าย ไปอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้นเวรกรรม และโทษทัณฑ์ เห็นคนนั้นไม่ดี
เห็นคนนี้ไม่ได้เรื่อง ถ้าอยากมีความสุข ความสงบร่มเย็นในชีวิต อย่าได้เผลอมีเช่นนี้ในจิตใจเด็ดขาด ยากไหม (ไม่ยาก)  มีอะไรเราแบ่งปันไหม
จะให้เขาหมดหรือให้นิดเดียว แล้วอะไรที่เรียกว่า รากฐานแห่งความสุข
ศิษย์พี่จะบอกให้ ถ้าศิษย์น้องอยากอยู่บนโลกนี้ แล้วมีความสุขใน
ทุกขณะที่มีชีวิต จงรู้จักให้ ให้โดยไม่เรียกร้องเอา ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน แล้วศิษย์น้องจะอยู่บนโลกได้อย่างมีสุขและสงบ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทำได้ไหม (ได้)  ตอนนี้พูดกับเราได้ แต่ถึงเวลามันไม่ไหว มันให้ไม่ได้ บางคนมันเอาเปรียบ ใช่ไหม (ใช่)  มีศิษย์น้องบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้เอาแต่ให้ ได้ไหม ค้าขายก็ต้องมีกำไรบ้างนะศิษย์พี่ ใช่ไหม (ใช่)  ทำงานก็ต้องมียศและมีตำแหน่งใช่ไหม (ใช่ไหม)  เหยียบคนโน้นแล้วให้เราขึ้นแทนดีไหม ได้ไหม (ไม่ได้)  ว่าคนอื่นไม่ดีแล้วตนเองดีถูกไหม (ไม่ถูก)  แบบนี้จะเรียกว่าคนที่มีความสุขได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่ทำจริงหรือ (จริง)
เราว่าไม่จริง
ศิษย์พี่ถามหน่อยนะ เราอยู่ในโลกนี้ หลายคนบอกว่าศิษย์พี่จะใช้ศิษย์น้องทำอะไร แล้วไม่เอาอะไรเลยมันเรื่องยากนะ จริงไหม (จริง)  ต้องให้ตัวเองก่อนค่อยให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อย ระหว่างเรามีบุญคุณกับเขากับเราติดหนี้บุญคุณเขา อะไรดีกว่ากัน (เรามีบุญคุณกับเขา)  ถามใหม่ระหว่างอยู่ในโลกเรามีคุณกับเขากับเราติดหนี้บุญคุณเขาอะไรดีกว่ากัน (เรามีบุญคุณกับเขา)  เรามีพระคุณกับเขาใช่ไหม ถ้าให้ศิษย์น้องเลือกระหว่างมีพระคุณกับติดหนี้บุญคุณ (เอาพระคุณ)  แล้วสิ่งที่ศิษย์น้องไปเอาของเขามาตั้งเยอะ ศิษย์น้องได้พระคุณหรือศิษย์น้อง
ติดหนี้บุญคุณ ฉะนั้นทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่าถ้าอยากมีสุขในโลก อยากสบายใจในโลก ให้ไปเถอะแม้ตัวเองจะได้น้อย ให้ไปเถอะแม้ตัวเองจะไม่มี เพราะยิ่งให้ยิ่งสร้างคุณ ยิ่งให้ยิ่งเกิดคุณ แต่ยิ่งไปเอาของเขามาแล้วค่อยไปให้
ทีหลังมันเป็นหนี้บุญคุณที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จริงไหม (จริง)  เหมือนเขาให้เค้กเรามาชิ้นหนึ่ง ปีใหม่เรารู้สึกว่าเค้กเขาเริ่มทำพิษ กินของเขาชิ้นเดียวรู้สึกว่าปีนี้ยังไม่ได้ให้อะไรเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนที่มีจิตสำนึกดีถูกไหม เรารับอะไรของคนอื่นมา ถึงเวลาเรารู้สึกว่าเราติดหนี้บุญคุณเขา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่าถ้าอยากมีสุขในโลก อยากมีความสบายใจ
ในโลก ให้ไปเถอะ
ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม “ยอมลำบากเพื่อพ้นลำบาก ยอมทุกข์เพื่อสิ้นทุกข์” ลืมคิดใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราต้องยอม ทั้งๆ ที่เราโดนเขาโกง
โดนเอาเปรียบ โดนทำร้าย อย่างนั้นศิษย์พี่ถามว่า “การชดใช้หนี้กับการจองเวรจองกรรม” อย่างไหนดีกว่ากัน (ชดใช้หนี้)  ชดใช้หนี้และ
สิ้นเวรกรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาทำร้ายเรามา เราต้องดีใจที่ได้ชดใช้หนี้ แต่ถ้าเราไม่ยอมก็คือ เราจองเวรจองกรรม ถ้าหากใครมาทำร้ายเรา โกงเรา เอาเปรียบเรา เราต้องดีใจไหม เราต้องดีใจเพราะเราได้ใช้หนี้ จะได้หมดเวรหมดกรรม แต่ถ้าเราไม่ยอม เขาโกงมาเราโกงกลับ เขาด่ามาเราด่ากลับ อย่างนี้เรียกว่า จองเวร เราเป็นแบบไหน ติดหนี้จองเวรจองกรรมไม่ยอม
ใช่ไหม เราอยากอยู่ในโลกอย่างมีมิตรหรือมีศัตรู อยากอยู่อย่างคนที่เป็น
ที่รักหรือเป็นที่รังเกียจ (ที่รัก)  ตอบศิษย์พี่ดีหมดเลย แต่พอเวลาไปกระทำ ทำไมทำคนละอย่าง และสิ่งที่ทำอยู่สร้างมิตรหรือสร้างศัตรู และเวลาที่เราทำกับคนอื่น เราทำแบบรักเขาหรือเกลียดเขา ศิษย์พี่ถามจากใจ คนบำเพ็ญธรรม คนมีคุณธรรม คนปฏิบัติธรรม ธรรมะสอนไหมว่าให้ “รักสุขเกลียดทุกข์ รักคนดีด่าว่าคนเลว” สอนไหม (ไม่สอน)  พอถึงเวลาคนดีมาก็ดีตอบ คนที่เราเกลียดมาเราก็ด่าว่าเขา นี่คือธรรมะใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่พอถึงเวลาคนที่ไม่ดีมาเราว่าเขาไหม (ว่า)  ธรรมะไม่เคยสอนแบบนี้ ถ้าอยากพบรากฐานแห่งความสุข สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเรียนรู้เข้าใจ ให้อภัยและเปิดใจกว้าง เพราะใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดินและทะเลทุกข์ที่หาความสุขไม่เจอ ถ้าเราไม่ยอมเขา เราว่าเขา ผูกใจเจ็บเขา เราก็คือคนที่ทำลายชีวิตตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าถามศิษย์พี่ว่า แล้วชะตาชีวิตอยู่ไหน ฟ้าเป็นคนกำหนดไหม
ศิษย์พี่จะบอกว่า “ไม่ใช่” ตัวศิษย์น้องเป็นคนกำหนดเอง ปลูกแตงก็ได้แตง ปลูกคุณงามความดี ก็ต้องได้ความร่มเย็นเป็นสุข ปลูกอารมณ์เกลียดชัง แช่งชักหักกระดูก ก็ต้องได้ความทุกข์และการจองเวรจองกรรม หรือที่บอกว่า “โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก” ใจเราจึงเหมือนเนื้อนาบุญ เพาะสิ่งดีจะได้สิ่งดีงาม เพาะสิ่งที่ไม่ดีที่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ ความเห็นแก่ตน การจ้องจับผิด ใจคับแคบ ใจไม่เปิดกว้าง เราก็ได้แต่ความทุกข์
เวรกรรม วิบากกรรมที่ไม่จบสิ้น ธรรมทั้งหลายทั้งมวล ทุกสิ่งทุกอย่าง
จะสำเร็จ สำคัญอยู่ที่ใจ และก็เริ่มต้นที่ใจ พลังของพุทธานุภาพหรือ
ความเป็นสภาวะพุทธะไม่ได้สำเร็จจากการให้ทานและหวังผล แต่ความเป็นพระพุทธะ สำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติธรรมและรู้จักขันติอดทน
มีใครจำที่ศิษย์พี่พูดไปแล้วได้บ้าง อยากมีความสุข ความสงบใจ เราต้องทำอย่างไร
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)
(ให้คนโดยไม่หวังผลตอบแทน, ต้องใจกว้าง)  ขอคืนได้ไหม (ได้)
(ไม่จับผิดผู้อื่น)  ไม่เคยมีสายตาเอาไว้จ้องจับผิดผู้อื่น
(ให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน, ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า, ใจกว้าง, ไม่อาฆาตมาดร้าย)  เป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรู รักดีกว่าเกลียด
(ให้อภัย, ยอมลำบากเพื่อพ้นลำบาก ยอมทุกข์เพื่อพ้นทุกข์, มีคุณดีกว่าเป็นหนี้บุญคุณ, เรียนรู้เข้าใจอภัยเปิดใจให้กว้าง)
อยากมีความสุข อยากมีความสงบก็ต้องยอมรับความจริง อะไรจะเกิดก็ดี ถ้ารู้อะไรก็ดี อะไรก็ขอบคุณแล้ว นั่นก็ทำให้เรามีความสุข
(ยอมรับความจริง)  ยอมรับความจริงแม้ชีวิตจะต้องสูญเสีย และพลัดพรากก็ตาม (เมื่อใจเราเป็นสุขอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข)  ฉะนั้นเมื่อใจเรารู้พอ อยู่ที่ไหนเราก็พอได้
(ต้องไม่จับผิดผู้อื่น)  ขอให้ทำได้จริงๆ ไม่ใช่พอถึงเวลาเราก็ชอบมองเขาร้ายมากกว่ามองเขาดี มองเขาดีไว้จะดีกว่านะ
(อยู่ในโลกรู้จักให้)  ให้ๆ มากที่สุด ให้เท่าที่ทำได้ ถึงแม้การให้นั้นต้องเสียสละอะไรบางอย่างก็ตาม แต่ถ้าศิษย์น้องเข้าใจความเป็นจริงว่า
ถึงที่สุดแล้ว มนุษย์ทุกคนหรือศิษย์น้องทุกคน ล้วนก็ต้องกลับคืนสู่ความ
ว่างเปล่า ถึงที่สุดมีแค่ไหนก็ต้องปล่อยวาง เราจะไปเบียดเบียน ชิงชัง
แล้วก่อเวรกรรม ต้องมาชดใช้เวรกรรม หรือเราควรที่จะดำเนินชีวิตอยู่
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และกล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิด โดยไม่หวังผล อะไรดีกว่ากัน ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด และยอมรับ
ความจริง โดยไม่หวังผล ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วเราจะอยู่บนโลกได้อย่างเป็นสุขและสบายใจ แต่มนุษย์คิดแต่ต้องได้ๆ เลยหนีไม่พ้น
ความทุกข์ และการเบียดเบียน การสร้างเวรกรรม ถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข “อยู่ก็ดี ไม่อยู่ก็ดี จำคำนี้ไว้นะ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี” แต่ปัจจุบันนี้
เราทุกข์เพราะต้องได้ ห้ามไม่มี ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความไม่มีคือรากฐานที่
ทุกคนต้องเดินไปกลับไป คือความจริงที่ทุกคนต้องเดินไปสู่หนทางนี้นะ
เราต้องเดินกลับไปสู่ความไม่มี ความว่าง และตัวคนเดียว ฉะนั้นให้แล้วบังเกิดคุณ ดีกว่าเอาของเขาแล้วติดหนี้ สร้างเวรกรรม สิ่งที่ศิษย์พี่หวังให้ศิษย์น้องเป็นคือ ความสุขและความสงบที่ทำไม่ยาก แล้วไปเรียนที่ไหนก็ไม่มี มีแต่ศิษย์พี่บอก แล้วจะทำหรือไม่ทำ (ทำ)
ศิษย์พี่ถามหน่อยว่า รากฐานของความสุขและความสงบ ทำให้เราสิ้นเวรสิ้นกรรม ไม่เอาหรือ คือการให้และยอมรับความจริง ทำหน้าที่ตัวเองให้ถึงที่สุด โดยไม่หวังผล
กลับแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ไม่ต้องตกใจหรอก เจ็บก็ดี ไม่เจ็บก็ดี อยู่ในโลกเราหนีไม่พ้น ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย เจ็บหน่อยเป็นไร ตายหน่อยก็ดีได้สิ้นพันธนาการ สิ้นทุกข์ แต่อยู่อย่างไม่เข้าใจ นั่นแหละคือความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น กลับมาฟังธรรมบ่อยๆ เพื่อบังเกิดปัญญา รู้ไหมศิษย์น้อง ปัญญาที่ได้จากการฟังธรรม สามารถ
ติดตัว ติดจิตไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าเราจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการ
ฟังธรรม จะทำอะไรให้เราเข้าใจง่าย ทะลุปรุโปร่ง มองอะไรแจ่มชัด
ที่เขาเรียกว่าคนปัญญาดี


วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙          สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  คนดีดีแต่นิสัยไม่น่ารัก                  ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูเรียบร้อยธรรมดาไม่มีอะไร             แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา      ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  อันธพาลกับปราชญ์ต่างราวฟ้าดิน     วางอำนาจอันธพาลชินบาปที่เห็น
ปรารถนาแบบอารมณ์ขั้วบวกต้องบำเพ็ญ    แค่นิยมหรือตัวจริงเป็นพิจารณา
สุขุมส่งคนบำเพ็ญให้เป็นปราชญ์         ทำจริงจริงไม่สันทัดใช่ปัญหา
ผู้ประพฤติดูสุภาพไม่ขัดตา               อย่าไม่น่ารักไม่รักษามารยาทดี
ไร้แหล่งหลักยึดยื้อโลกครอบงำ          บำเพ็ญธรรมใจไม่นิ่งขาดสติ
เรื่องไม่ผ่านบทเรียนสร้างพุทธิ           บำเพ็ญติติงคำทดสอบยิ่งกว่าครู
ก็อาจจะยิ่งต้องไกลโลกามิตร            แต่ดวงจิตยังคงสว่างรู้
อย่าเป็นแบบหินทับหญ้าน่าอดสู         สงบละพยศรู้ในตัวตน
ฮา  ฮา  หยุด
 
 

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


มนุษย์เราย่อมหนีไม่พ้นความรู้สึกชอบชัง หนีไม่พ้นอารมณ์ร่วม บางครั้งเราก็รู้สึกอารมณ์ดี บางครั้งเราก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี บางครั้งเราก็รู้สึกชอบ บางครั้งเราก็รู้สึกเกลียดชัง และไม่อยากให้มาเกิดขึ้นในชีวิตเรา
(พระอาจารย์เมตตา ให้เขียนบนกระดานโดยแบ่งเป็นสองฝั่ง คือ
ฝั่งความจริง กับ ฝั่งอารมณ์ปรุงแต่ง)






อาจารย์ถามว่า ระหว่างฝั่งที่หนึ่งเรียกว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความผิดหวัง อีกฝั่งหนึ่งคือ อารมณ์ที่เราชอบ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ทิฐิ อารมณ์ ศิษย์ว่า
สองฝั่งนี้ศิษย์เกลียดและไม่อยากเจออะไรมากกว่ากัน และเรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ฝั่งหนึ่งหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เกลียดอย่างไรก็ต้อง (พบ)  หนีอย่างไรก็ต้อง (พบ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วฝั่งสองคิดว่าอย่างไร
(เราสามารถปรับได้ ถ้าใจของเราเย็นเพียงพอ)  ตอบได้ดี แต่มนุษย์โดย
ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า คนเราเกิดมาล้วนมีแต่อารมณ์ เดี๋ยวร้อนบ้างเย็นบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
อาจารย์จะแยกชัดๆ เลยว่า ฝั่งนี้คือฝั่งที่เรียกว่าความจริง แล้วอีกฝั่งคือฝั่งที่เรียกว่าอารมณ์ปรุงแต่ง ซึ่งมนุษย์หนีไม่พ้นอารมณ์ปรุงแต่งนี้ แต่มนุษย์ก็จะบอกว่า เราหนีไม่พ้นหรอก เราต้องพบกับสิ่งนี้ทุกวัน ใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อสักครู่ ศิษย์ของอาจารย์ตอบว่า เราสามารถควบคุมมันได้ เราสามารถหยุดมันได้ เราสามารถจัดการมันได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราเคยควบคุมสิ่งนี้ไหม เราเคยจัดการสิ่งนี้ไหม (ไม่เคย)  ส่วนใหญ่เราเป็นอย่างไร
ศิษย์คล้อยตามตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเป็นไหม ทำดีแทบตาย โมโหครั้งเดียว สิ่งที่เคยทำดีมา ก็ถูกมองไม่ดีไปหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราตามอารมณ์ ตามความอยาก จนเรากลายเป็นคนที่ขาดความปรารถนาดี
ต่อกัน ขาดความเข้าใจกัน
บางครั้งที่เคยพบคนบางคน เห็นแล้วเกลียดมาก นี่ถ้าไม่รู้จัก
ไม่เข้าใจ ป่านนี้ยังเกลียดจนกระทั่งบัดนี้เลย เคยเป็นไหม (เคย)  ฉะนั้น
ถ้าขาดความรู้ความเข้าใจ อารมณ์ก็เข้าครอบงำทำให้เราเกลียดคนได้ทั้งชีวิต แล้วหากบางครั้งที่อารมณ์เข้าครอบงำมากๆ เราจึงกลายเป็นคนที่ลืมคุณค่าของความเป็นคนไปเลย จริงไหม (จริง)  อย่างเช่น เราเห็นเงินสำคัญมากกว่า เราเห็นทรัพย์สินสำคัญมากกว่า แล้วเมื่อมีใครมาทำลายเงิน ทำลายทรัพย์สินของเรา ความโมโหของเรา สามารถทำให้คนที่ทำลายทรัพย์สินของเราวิบัติได้ไหม (ได้)
ถ้าศิษย์วิ่งไปตามอารมณ์ปรุงแต่ง โดยศิษย์ไม่เคยควบคุมสิ่งนี้เลย
ผลที่น่ากลัวที่สุดคือความทุกข์ วิบากกรรมและอบายภูมิ แต่ถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ มองตามความเป็นจริง ผลที่สุดคือความสิ้นทุกข์ สิ้นเวียนว่าย สิ้นบาป
สิ้นกรรม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เรามีชีวิต เราตามอารมณ์ หรือตามความเป็นจริง
บางครั้งศิษย์อาจจะถามว่า “อาจารย์เมื่อไรหนูจะสิ้นเวรสิ้นกรรม
สักที เมื่อไรหนูจะพ้นโศกสักที” จะพ้นได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตศิษย์ตามอารมณ์ปรุงแต่งมากกว่าความเป็นจริงที่ควรมองเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยากที่ตัวเองจะบอกว่าผิด แต่ถ้าผิดแล้วจะยอมรับและแก้ไขไหม
บางทีก็ยังไม่ยอมแก้เลย บางทีก็ยังอ้างแบบน้ำขุ่นๆ ว่าไม่ผิด และโทษว่าอาจารย์นั่นแหละที่พูดไม่ชัด แต่ถ้าอาจารย์พูดสามรอบแล้วศิษย์ยังทำไม่ถูก อย่างนั้นต้องมองที่ตัวศิษย์แล้วนะ ชอบคิดว่าตัวเองรู้ ชอบคิดว่าตัวเองทำได้ แล้วผลเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด (ผิด)
อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วในโลกไม่มีใครถูกไปตลอด หรือผิด
ไปตลอด แต่เวลาเรายึดมั่นกับความถูกผิด จนทำให้คนบางคนต้องผิดแล้วไม่มีวันถูก บางครั้งที่เขาผิดจนไม่มีวันถูกเป็นเพราะเรายึดมั่นจนไม่ให้อภัยคนผิดหรือเปล่า
ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ คนเรามีผิดได้ ฉะนั้นเวลาคนอื่นผิด อย่าเผลอไปเหยียบเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนเขาเหยียบกลับ ต้องจำไว้นะ ชีวิตบางทีไม่ได้ง่ายอย่างนี้ ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราต้องเรียนรู้
เราอยู่ในโลกนี้ แต่ถ้าเกิดเจอคนทำไม่ดีเราควรถือโกรธไหม (ไม่ควร)  เราควรเอาเป็นอารมณ์ไหม (ไม่ควร)  เราควรเกลียดไหม (ไม่ควร)  แต่ถึงเวลาเราเป็นไหม (เป็น)  รู้ได้แต่ปฏิบัติไม่ได้ก็น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมการมีอารมณ์ถึงจะเป็นคนดีอย่างไร อารมณ์นั้นก็ทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนดีที่ทำบุญเก่ง สวดมนต์เก่ง แต่พอถึงเวลาชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าดีไหม พอถึงเวลาแล้วจิกหัวใช้ผู้อื่นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์เป็นแบบนี้ไหม
มนุษย์มักจะบอกว่าเวลามีอารมณ์ให้ปล่อยๆ ออกไปก่อน ทนไม่ได้
ก็ว่าออกไปเลย พอว่าเขาเสร็จแล้วค่อยขอโทษเขา บอกเขาว่าเราไม่ได้ตั้งใจ เขาจะหายไหม (ไม่หาย)  จำไหม (จำ)  เวลาเจอหน้ากันจะระแวงไหม (ระแวง)
อาจารย์ถามว่าโลภก็ไม่ดี โกรธก็ไม่ดี หลงก็ไม่ดี ถ้ามันเป็นเนื้อร้ายและทิ้งไว้จะมีหนอนชอนไช ทิ้งไว้เก็บไว้ในตัวเรามันจะทำให้ก่อวิบากกรรม และก่อเวรกรรมไม่จบสิ้น เราควรจะตัดทิ้งหรือปล่อยให้มันยืดเยื้ออยู่ใน
ตัวเราต่อไป (ตัดทิ้ง)  ถึงเวลาเราตัดความโกรธได้หรือยัง
ศิษย์รู้ไหม ทำไมคนเราถึงยังอยากโกรธ ยังอยากโลภ ยังอยากหลง คำเดียวที่ทำให้ศิษย์ยังคงมีความโกรธ โลภ หลง คือ ความประมาท
ความนอนใจ และคำว่า 
“ไม่เป็นไร”
อาจารย์ถามหน่อยว่า นิสัยชอบหยิบของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
ดีไหม (ไม่ดี)  และควรจะตัดทิ้งไหม (ควร)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไปวางแล้วคืนเขา แต่บางทีใจมันอดไม่ได้ อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้ารู้ว่ากิเลสและอารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นต้นเหตุของกรรม วิบากกรรม และอบายภูมิทั้งสี่ ศิษย์ควรหรือที่ยังจะเก็บมันไว้ (ไม่ควร)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าความไม่ดีมีต้นรากมาจากอะไร
ศิษย์รู้ไหมว่า กิเลสเรียกอีกอย่างว่า “ความชั่ว” ความชั่ว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวล้างผลาญความดีงามในจิตใจ ถ้าศิษย์บอกว่า มีกิเลส
ไม่เป็นไรหรอก ก็ไม่ได้ชั่วหนักหนาอะไร แต่ถามศิษย์ว่า มีใครบ้างที่เวลาโกรธแล้วโกรธแค่นี้พอ ไม่ใช่แต่เวลาโกรธก็มักจะเอาให้ถึงที่สุด ทำให้เจ็บที่สุด ทำให้เขาทุกข์ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกิเลส คือความชั่ว ซึ่งเป็นตัวล้างผลาญความดีในจิตใจ แล้วเราควรจะมีไหม (ไม่ควร)  แล้วเราควรทำอย่างไรที่จะทำให้กิเลสเบาบางลง
ถ้าเราอยากให้กิเลสลงน้อยลง เราควรทำอย่างไรดี ง่ายนิดเดียวเอง “รู้พอพบสุข” เป็นสิ่งที่หยุดความอยากได้ทั้งมวลเลย จริงไหม (จริง)  รู้พอพบสุข พอจึงดี ไม่พอจึงไม่มีวันดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพอ พอใจเขาแค่นี้ ได้แค่นี้ก็พอใจเท่านี้ จะโกรธไหม จะเกลียดไหม จะด่าไหม จะมีอารมณ์ไหม (ไม่)  จะอยากไหม จะหลงไหม จะโลภไหม ถ้าเราพอแล้ว
อยากลดกิเลส ลดอารมณ์ ลดความชั่วร้ายที่ผลาญความดีในจิตใจเรา เราต้องรู้จักควบคุมกาย ใจ โดยใช้สติ ไม่ใช่ควบคุมสตินะ แล้วมองให้เห็นความจริงจนบังเกิดธรรม วิธีง่ายๆ ก็คือ อดทน อดกลั้น เป็นเรื่องง่ายที่สุดที่เราสามารถเรียนรู้และทำให้ได้ ขันติทำให้เกิดบารมี คุณธรรม แต่คนปัจจุบันขาดขันติ ความอดทนอดกลั้น นิดๆ หน่อยๆ ก็เกิดอารมณ์โมโห
แล้วเราจะควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างไร (มีสติรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ของตนเอง)  คนโดยส่วนใหญ่เวลามีปัญหาเกิดขึ้น มักจะชอบมองเห็นรู้ทันคนอื่น แต่ลืมรู้ทันใจตัวเอง มัวแต่ไปแก้ไปเปลี่ยนคนอื่น แต่ลืมแก้และจัดการตัวเองก่อน ไม่ว่าปัญหาวุ่นวายแค่ไหน สิ่งสำคัญคือใจต้อง
ไม่วุ่น เพราะจิตที่นิ่งที่เป็นสมาธิ ย่อมมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างกว้างขวางและแจ่มชัด เพราะจิตที่นิ่งสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้อย่างละมุนละม่อม และสามารถรับเรื่องหนักๆ ได้ไหว ไม่ฟุ้งซ่าน
พระพุทธะสอนไว้ว่าถ้าเกิดมีความโลภมากๆ ก็ให้รู้จักให้ทาน เมื่อมีโกรธมากๆ ก็รู้จักมีศีลมีธรรม หลงมากๆ ท่านสอนให้มีปัญญา ฉะนั้นถ้าเกิดว่าศิษย์ปล่อยให้อารมณ์นี้ออกมาแล้ว ศิษย์ค่อยไปให้ทาน ไปรักษาศีล และค่อยมีปัญญามันก็ไม่ทัน เพราะมันไปก่อวิบากกรรมมาเรียบร้อยแล้ว เรามาร้องไห้เสียใจที่เราทำผิดไปแล้วทันไหม
ศิษย์เอ๋ย จำคำพูดของอาจารย์ไว้นะ อย่าคิดว่าปล่อยตัวเองไปตามโลภ โกรธ หลง แล้วไม่เป็นไรไม่มีโทษ เมื่อใดที่กรรมมันถึงเวลาต้องชดใช้หนี้กรรม ตอนนั้นศิษย์จะมาร้องขอพระพุทธะช่วยเห็นใจหน่อย ศิษย์อยากเป็นคนดีแล้ว ศิษย์ไม่อยากผิดพลาดแล้ว ตอนนั้นไม่ทันนะ เพราะเมื่อถึงเวลากรรมตกผล ตอนนั้นศิษย์มาเรียกร้องอะไรไม่ได้ อาจารย์ถึงอยากจะให้ศิษย์รู้จักห้ามตัวเอง กางกั้นตัวเองออกจากโลภ โกรธ หลง และต้นเหตุของความทุกข์ วิบากกรรม ถึงที่สุดหนีไม่พ้นคือวัฏจักรแห่งอบายภูมิ ส่วนใหญ่มนุษย์อยากมีความโลภ โกรธ หลง แต่เกลียดอะไร เกลียดความแก่ เกลียดความตาย เกลียดการพลัดพรากใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งออกมา)  ถ้าศิษย์อยากแต่งงานกับคนสวยๆ ศิษย์ต้องเอาคนแก่ๆ ไปด้วยศิษย์จะเอาไหม เหมือนซื้อหนึ่งได้สอง เอาไหม (ต้องเอาคนสวยๆ)  มีคนสวยก็มีคนแก่ด้วยเอาไหม (ต้องเอาคนที่เรารัก)  ใช่ก็คนที่เรารัก มีคนสวยและคนแก่ด้วยเอาไหม
(ไม่เอา)  อาจารย์จะบอกให้ศิษย์เอ๋ย ถ้าเรามองความเป็นจริง มนุษย์มักจะชอบแต่ความสวย แต่แท้ที่จริงในความสวยมีความแก่ซ้อนอยู่ แต่เรามองเห็นแต่ความสวย ลืมความแก่ เหมือนกับที่เขาพูดว่าเขาเลือกแต่คนสวย ศิษย์ไม่เลือกคนแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  จำไว้นะศิษย์ ถ้าเธอจะแต่งงานกับฉันเธอต้องแต่งงานกับคนแก่ด้วย เพราะยามที่เราแก่เขาจะได้รักเราใช่ไหม (ใช่)  เราแก่ไหม (แก่)  เราเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  ถ้าเขารักแต่ตึงๆ ไม่รักแบบเหี่ยวก็ไม่ต้องไปแต่งด้วย จริงไหม (จริง)  เพราะศิษย์บอกว่าศิษย์ก็ต้องแก่ แล้วคนที่ศิษย์แต่งงานด้วยไม่แก่หรือ แล้วศิษย์จะแต่งงานกับคนตึงๆ แล้วไม่แต่งงานกับคนแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยอยู่ในโลกนี้อย่ารังเกียจคนแก่ เพราะถ้าไม่มีคนแก่ ก็ไม่มีเราที่เติบโตมาจนเป็นหนุ่มขนาดนี้ใช่ไหม (ใช่)  หากเราดูถูกและไม่รักคนแก่ ถึงเวลาศิษย์ก็ต้องแก่ใช่ไหม (ใช่)  อย่ารำคาญคนแก่ เพราะถึงเวลาศิษย์ก็ต้องแก่ ถ้าศิษย์รำคาญเขา ศิษย์ก็ต้องถูกอีกรุ่นหนึ่งรำคาญศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าถ้าเราเข้าใจความจริง เราจะไม่รังเกียจสิ่งใดในโลก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริง และเมื่อเราเข้าใจความจริง ความโกรธ ความเกลียด
ความหลง จะไม่มี สวยอย่างไรก็ต้องแก่ ตึงอย่างไรก็ต้องเหี่ยว
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ เราจะไม่เกลียดใคร เราจะไม่รำคาญใคร และเราจะไม่หลงรักใครมากเกินไป และอีกอย่างการมีคนอายุมากๆ ก็ดีนะ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงในโลก ศิษย์จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีใครได้รับอะไรฟรีๆ และไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียไป อย่างนั้นเรากลับเข้ามาเรียนรู้ความจริง การเรียนรู้นั้นดีอย่างไร
ศิษย์กลัวตายไหม (กลัว)  กลัวเจ็บไหม (กลัว)  เมื่อไรที่ยังรู้สึกว่ากลัว แปลว่าเรายังยึดติดในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนคือสิ่งหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติก็หาใช่เป็นของเราไม่ แล้วถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงจะทำให้เราตัดโลภ โกรธ หลงได้เลยหรือ ศิษย์ว่าเป็นไปได้ไหม เรามาดูกัน วิถีของความจริงคือวิถีแห่งชีวิต คือวิถีแห่งธรรม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราเรียนรู้เข้าใจวิถีความจริง เราก็จะเข้าใจวิถีแห่งชีวิต และวิถีแห่งธรรม
ถ้าเมื่อไรเราเรียนรู้วิถีความจริง เราก็กำลังเรียนรู้วิถีชีวิต ถ้าเราเรียนรู้วิถีชีวิต เราก็กำลังเรียนรู้วิถีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราฟังธรรมะมาตั้งมากมาย แต่บางครั้งเราไปไม่เคยถึงธรรม แล้วไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์จะบอกว่า ธรรมคือชีวิต ชีวิตก็คือธรรม ธรรม
ก็คือความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิต เข้าใจความจริง เราก็เข้าใจธรรม ถ้าเรามีชีวิต เราก็คือคนที่กำลังมี (ธรรม)  แต่เรายังไม่เห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราต้องศึกษาวิถีแห่งธรรม เพราะธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต ธรรมคือทุกชีวิตเรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวของศิษย์เอง ก็เป็นหนึ่งในธรรมชาติ ตัวของเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ แล้วในธรรมชาติ หนีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นเรามีธรรมชาติ ถ้าเราเป็นธรรมชาติ เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกสิ่งของธรรมชาติ ย่อมหนีไม่พ้นความ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  เราสามารถพ้นเกิดได้ แต่เราหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีไม่ได้ชาตินี้ แต่ชาติต่อไป เราอาจจะหนีได้ ถ้าเราหยุดการเกิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นถ้าวิถีธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นมา เราแก่ เราก็รู้อย่างซื่อๆ ตรงๆ เราเจ็บ เราก็ยอมรับอย่างซื่อๆ ตรงๆ เพราะคนที่พยายามฝืนธรรมชาติ คนที่พยายามเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ย่อมหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าคนที่กล้ายอมรับ และสอดคล้องตามความเป็นจริงกับธรรมชาติ คนนั้นคือคนที่จะสามารถอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้น มันจะแก่ก็ (แก่)  มันจะเจ็บก็ (เจ็บ)  มันจะตายก็ (ตาย)  ถ้าเรารู้อย่างซื่อๆ ตรงๆ ก็คือ การปฏิบัติธรรมอย่างสอดคล้องต่อธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ความเจ็บมันน่ากลัว ความแก่มันคือความเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามกลับว่า มีใครบ้างไม่เปลี่ยนแปลง
มีสิ่งใดบ้างในโลกไม่เปลี่ยนแปลง มีไหมสังขารไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้ามีวันหนึ่งเขาเปลี่ยนใจ เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะโกรธหรือเราจะขัดแย้งกับธรรมชาติ เราจะยอมรับความจริง หรือเราจะมีอารมณ์ แล้วเกิดการปรุงแต่ง สร้างวิบากกรรม เราจะยอมรับความจริง เพื่อจบกรรม แล้วมองเห็นธรรม หรือเราจะไม่ยอมรับความจริงแล้วก่อเกิดเป็นอารมณ์ร่วม (ยอมรับความจริง)
นี่แหละธรรมสอนให้เราสอดคล้องต่อความจริง ด้วยการปฏิบัติอย่างซื่อๆ ตรงๆ ด้วยความอ่อนน้อมและยอมรับ แล้วเราจะหยุดกรรมได้ ถามว่าถ้าอาจารย์ได้ของมาอย่างหนึ่ง แล้วต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ศิษย์ยังอยากได้ไหม อาจารย์ขอถามนะ เงินกว่าจะเป็นของเรา เงินนั้นเปลี่ยนไปกี่มือ (หลายมือ)  แล้วเงินจะอยู่กับมือเราตลอดไหม (ไม่)  ทำไมศิษย์รู้
(เงินออกไปทุกเดือนเลย)  เงินไปทุกเดือนแต่สิ้นเดือนก็มาใหม่ เงินจะเพิ่มค่าถ้าเราลดความอยาก เงินจะด้อยค่าทันที ถ้าความอยากนั้นมีมากกว่าเงิน
ถ้าเรามองตามความจริง วันนี้เงินอยู่กับเรา แล้วพรุ่งนี้เงินไปอยู่กับคนอื่น จะโกรธไหม (ไม่)  เราจะอยากไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ทำงานอย่างเต็มที่ เดี๋ยวเงินก็มาใหม่ ไม่ต้องมีความอยาก ความโลภ และไม่ต้องโกรธ
ถ้าเรายอมรับความจริงที่เป็นธรรมชาติ ศิษย์จำไว้นะ ธรรมชาติมีวิถีแห่งความจริง ถ้าเราไปฝืนหรือไปขัดแย้ง เราก็คือคนที่กำลังสร้างวิบากกรรมและความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเราพร้อมยอมรับด้วยหัวใจที่ซื่อตรงและกล้าหาญที่จะสู้ความจริง เราก็จะไม่สร้างวิบากกรรมต่อ อะไรมันจะเกิดมันก็เกิด วันนี้เขาอยู่กับเรา แล้วพรุ่งนี้เขาอยู่กับเราไหม (ไม่)  ก็รู้กันนี่
การเข้าใจความจริง จึงทำให้เราสามารถหยุดความอยาก ความโลภ
ความหลงได้ การเข้าใจความจริงยังสามารถทำให้เราหยุดความเกลียด
หยุดการต่อว่า การเบียดเบียนได้อีกด้วย การเข้าใจความจริง ทำให้เราสามารถหยุดการต่อว่า หยุดการเบียดเบียนได้อย่างไร
ในโลกนี้มีคนดีก็ต้องมีคนไม่ดี มีมงคลก็ต้องมีอัปมงคล มีคนชมก็ต้องมีคนติ มีคนสวยก็ต้องมีคนขี้เหร่ มีคนอ้วนก็ต้องมีคนผอม มีคนด่าก็ต้องมีคนชม มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีดีมีร้าย มีได้มีเสีย มีทุกข์มีสุข มียศมีเสื่อมยศ มีสูงมีต่ำ มีดำมีขาว ในความเป็นจริงเหล่านี้เราเลือกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ได้ไหม (ไม่ได้)  ทั้งหมดที่อาจารย์พูดมานี้ เราเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต และความเป็นจริง ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์จะเลือกเอาคนหนึ่ง และไม่เอาอีกคนหนึ่งจะเป็นไปได้ไหม จะเลือกให้มีแต่สมหวัง แต่ไม่มีผิดหวังได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไรที่ศิษย์อยากยึดมั่นครอบครองในความเป็นจริงที่เรียกว่า ความเป็นธรรมชาติ ศิษย์ก็ต้องเอาภาวะคู่เหล่านี้ตามไปด้วย
ฉะนั้นศิษย์จะยึดเอาอันใดอันหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามนุษย์อยากครอบครองธรรมชาติ ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมชาติไม่เคยต้องการคนครอบครอง ไม่ต้องการเจ้าของ แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์อยากครอบครองความเป็นธรรมชาติ สิ่งที่มนุษย์หนีไม่พ้น คือความจริงดังกล่าว ซึ่งถ้าศิษย์
ไม่อยากพบสิ่งเหล่านี้ในชีวิต จงอย่าเผลอยึดมั่นถือมั่นให้สิ่งนั้นมาเป็นตัวของเรา เพราะถ้าเมื่อไรเผลอ ศิษย์ก็หนีไม่พ้น มียศเสื่อมยศ สวยบ้างไม่สวยบ้าง สมหวังบ้างไม่สมหวังบ้าง รวมอยู่ในตัวเราทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นจริง เราจะไม่อยากยึดสิ่งใด เพราะถ้าเรายึดสิ่งนั้นแล้ว เราหนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนชม
ว่าสวย ก็ต้องมีคนว่าไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากรักชีวิต เราก็ต้องยอมรับความตายของชีวิต เพราะมันคือส่วนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้ามนุษย์ไม่อยากต้องพบกับทุกข์เหล่านี้ จงอย่าเผลอยึดมั่นถือมั่นเอาธรรมชาติมาเป็นของตนเป็นเด็ดขาด หากเราเผลอหลง นี่ตัวฉัน ฉันเป็นแบบนี้ เมื่อยึดมั่นแบบนี้ จึงหนีไม่พ้นสุข ทุกข์ เมื่อยึดมั่นว่าฉันได้แค่นี้ ก็เลยหนีไม่พ้นดีร้าย เมื่อยึดมั่นว่าฉันเป็นอย่างนี้ ก็หนีไม่พ้นสูง ต่ำ ได้ เสีย ทั้งที่จริงแล้ว ธรรมชาติต้องการคนครอบครองไหม แล้วธรรมชาติเคยฟังเราไหมว่าอย่าแก่ อย่าร้าย อย่าทุกข์ (ไม่เคย)  แล้วเราควรหรือที่จะบอกว่า นี่คือตัวเรา นี่คือคนของเรา นี่คือ
ตัวฉัน นี่คือตัวเขา นี่ของฉัน นี่ของเขา ยิ่งเรามีมากเท่าไร ยิ่งยึดมั่นเท่าไร เราก็กำลังเอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเองแล้วหนีไม่พ้นความเป็นคู่ หนี
ไม่พ้นวิบากกรรม หนีไม่พ้นความทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์บอกว่า ถ้าเข้าใจธรรม ก็เข้าใจชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิต
ก็เห็นความจริง ที่เรียกว่าสัจธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความจริงดังกล่าว
ทุกอันนี้ มันไม่ได้อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่มันอยู่ในคนหนึ่งคนที่พยายามจะ
ยึดมั่นถือมั่น แล้วบอกว่าตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วก็หนีไม่พ้น ดี ร้าย ทุกข์ สุข ชม ด่า ผิดหวัง เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมชาติต้องการแบบนั้นไหมหนอ


(พระอาจารย์เมตตาประทานแผ่นกระดาษมีข้อความเตือนใจให้แก่นักเรียนที่ยืนหน้าชั้น)
เอาแผ่นกระดาษนี้กลับไปด้วยนะ จะได้คอยเตือนใจว่า มีสูงก็มีต่ำ
มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีอ้วนก็มีผอม มีมงคลก็มีอัปมงคล มีสมหวังก็มีผิดหวัง มียศก็มีเสื่อมยศ มีสวยก็มีขี้เหร่ แต่ถ้าเรามองความจริงของธรรมชาติ เราจะรู้ว่าแท้จริงนั้นไม่มีอะไรเรียกว่า มงคลหรือไม่มงคล ดีหรือร้าย มีแต่ธรรมที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป แต่เรามักจะจดจำแต่ว่า สิ่งนี้ดี
สิ่งนี้ไม่ดี
อาจารย์ถามว่า การที่เราเรียนรู้เข้าใจความจริงนั้น จะทำให้เราสามารถลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้จริงหรือไม่ (ได้)  เพราะถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง และในความเป็นจริงนั้นก็สอนให้เรารู้ว่า ในทุกสิ่งแห่งความเป็นจริงนั้นล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงและก็หาความคงอยู่
ที่แน่นอนไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราพึงสังวรหรือพึงพิจารณาธรรมอยู่เสมอ เราก็จะสามารถลดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ดังที่เรียกว่าพิจารณาธรรมเพื่อให้เห็นถึงธรรม อาจารย์ถามว่า แล้วเราจะเอาธรรมอะไรมาพิจารณาเพื่อให้เราเห็นธรรม เวลาศิษย์อยากจะพิจารณาให้เห็นธรรมไม่ยาก แต่เพราะเราไม่เคยเห็นสิ่งหนึ่งแล้วเห็นมากกว่าสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่จริงๆแล้วใน
สิ่งหนึ่งมีหลายๆ สิ่งอยู่ในสิ่งหนึ่งนั้น มีทั้งความเป็นเด็ก มีทั้งความเป็นผู้ใหญ่และวัยชรา ถ้าเราพิจารณาจนเห็นธรรมเสมอ เราจะอยากได้อะไรไหม (ไม่อยาก)  เราจะหลงอะไรไหม เราจะโกรธอะไรไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราไม่เคยเห็นหนึ่งมากกว่าหนึ่งเพราะเราเห็นอย่างยึดติดว่ามันมีแค่นี้ เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ ในตัวเรามีดีมีร้ายไหม (มี)  มีอัปมงคลมีมงคลไหม (มี)  ตัวเรามีสุขมีทุกข์ไหม (มี)  ตัวเรามีสวยมีไม่สวยไหม (มี)  ตัวเรามีหัวเราะ
มีร้องไห้ไหม (มี)  ตัวเรามีเรียนเก่งและเรียนแย่ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเรามีทั้งเด็กดีและเด็กดื้อใช่ไหม (ใช่)  ตัวเรามีทั้งเพื่อนรักและเพื่อนที่น่าเกลียดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นทั้งหมดเราจะโกรธไหม เราจะอยากได้อะไรไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ให้แอปเปิลเอาไหม (เอา)  เอาไปทำอะไร (เอาไปเก็บ)  เอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ดีหรือ ไม่มีท่านก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามางานนี้ มาฟังธรรมะเหมือนมางานบุญร่วมกัน ถ้าเรามางานบุญแล้วทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นเรื่องที่ดี ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์ขออาสาสมัครเด็กที่ยังอายุน้อยๆ สัก 6 คน ฝ่ายชายออกมาข้างหน้าหน่อยนะ
ศิษย์เอ๋ย การที่คนอื่นเขาทำดีกับเรา แล้วเรารู้จักแค่บอกขอบคุณ
นั่นก็คือการร่วมบุญ การอนุโมทนาบุญ การมีจิตใจที่ปรารถนาดีมา เราก็ปรารถนาดีกลับ ตอบแทนคุณ ไม่ยากใช่ไหม แค่ยกมือขอบคุณ ทำออกมาจากใจ และรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ ทำยากไหม เขาบีบบังคับใจเราไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายในชั้นที่เป็นวัยรุ่นเดินไปเรื่อยๆ เมื่อพบใครก็พนมมือไหว้ขอบคุณไปเรื่อยๆ รอบๆ ห้อง)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่า การวางท่า การวางฟอร์ม การยึด
ไม่ยอมเชื่อฟังใคร การดื้อดึงไม่สนใจอะไร เราก็เคยเป็นกันมาหมดทุกคน จริงไหม (จริง)  ศิษย์ไปเห็นเขาเป็นอันธพาล ดูน่ารังเกียจ ไม่น่ารัก เราก็เคยเป็นมาแล้ว แล้วเราก็รู้ดีด้วยว่าผลของการกลายเป็นแบบนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าเจอเขาเป็นแบบนี้ต้องใช้จิตเมตตาให้มากๆ จิตที่เข้าใจ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์มักจะติดความจำได้หมายรู้ คิดว่าตัวเองไม่ชอบ พอไม่ชอบก็
จงใจเกลียดชิงชัง แต่จริงๆ แล้วเขาน่าชังไหม (ไม่)  อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกทำ แล้วเราจะสอนเขาอย่างไรด้วยความอดทน มีคนทำความดีเราก็ร่วมให้กำลังใจ เก่งไหม (เก่ง)  อาจารย์มีโอกาสแจกผลไม้ อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์จะเอาผลไม้ไปให้ใคร (กินเอง)  ไม่คิดแบ่งใครเลยนะ (แบ่งหน่อยก็ได้)  อาจารย์ว่าศิษย์ลืมขอบคุณอีกคนหนึ่งนะ ถึงจะถูกบังคับมา แต่ให้พูดดังๆ พร้อมกันเลยว่า (ขอบคุณอาจารย์นฤเบศร์)  มีโอกาสเอาไปแบ่งให้พ่อแม่ ให้คนที่เรารัก คนที่หวังดีกับเรา คนที่ช่วยดูแลเรา คนที่ห่วงใยเรา คนที่ให้เงินทองเลี้ยงดูเรา คนที่ตามใจเรา คนที่ถึงจะบ่นจะด่าอย่างไร เขาก็ยังรักเรา คนที่ทำให้เรารำคาญใจแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยทิ้งเราไป ถ้าชีวิตเราไม่มีเขา
ก็มีเราไม่ได้ในวันนี้ ทำไมจึงไม่รู้จักนึกถึงพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ห่วงตัวเอง
อย่าลืมนึกถึงคนข้างหลัง มีเราได้ในวันนี้ ก็เพราะมีพ่อแม่ที่ยอมลำบาก
เพื่อเรา แม้บางครั้งจะทำตัวน่ารักบ้าง ไม่น่ารักบ้าง แต่เขาก็คือพ่อแม่เรา
แม้คุณครูจะบังคับเรามากแค่ไหน แต่ที่เขาบังคับเราก็คือหวังดีกับเรา อาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์แต่ละคนมีความน่ารักในตัว แต่ถึงเวลาศิษย์จะเลือกใช้ความน่ารัก หรือใช้ความไม่น่ารักในการดำเนินชีวิตเท่านั้นเอง
ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลงใจคน ยากนักที่จะทำให้คนเข้าใจว่าทำไมเกิดเป็นคนแล้ว เราจะต้องเป็นคนดี และทำดีอย่างไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์
ถามคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ชีวิตยากไหม (ยาก)  แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิต เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วไม่มีเรื่องยากในชีวิต สิ่งที่ยากคือความยึดติดในตัวตน ยึดติดในความคาดหวัง ยึดติดในการหวังวอนผล แต่ถ้าเราทำแบบไม่ยึดติด ทำแบบมองตามความเป็นจริง อะไรจะเกิดก็กล้ารับ อะไรจะเกิดก็พร้อมแก้ไขให้ดีที่สุด ความตาย ความเจ็บ ความสูญเสีย ความพลัดพราก ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจ ปลดปลงและเรียนรู้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “สุขุม บำเพ็ญเป็นปราชญ์”)
มีโอกาสลองเอาไปศึกษาพิจารณาให้เกิดธรรมนะ ธรรมไม่สามารถที่จะค้นพบได้ด้วยการแค่ฟัง แต่ต้องพิจารณาและไปปฏิบัติจนบังเกิดผล ฉะนั้นคำว่า “เป็นปราชญ์” ในโลกใบนี้มนุษย์อาจจะมองว่า คืออย่างไร ปราชญ์คือ ผู้ที่มีแต่ให้ ถือธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เห็นธรรม
มีค่ายิ่งกว่าชีวิต
 ท่านจึงเรียกว่า “ปราชญ์เมธีบนโลก และคนที่เป็นปราชญ์ มีจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน รู้อะไรมากแค่ไหนก็จะบอกตัวเองว่าไม่รู้ เพื่อจะได้เรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น แต่คนปัจจุบันชอบบอกว่าตัวเองรู้ จึงไม่มีวันรู้ที่แท้จริง คนในปัจจุบันมักจะมีแต่เอา มีแต่รับ แต่ไม่เคยให้ แต่ผู้เป็นปราชญ์เรียนรู้ที่จะรู้และมีแต่ให้ ด้วยพยายามมองให้บังเกิดธรรม และทำตัวเองก่อนที่จะไปเรียกร้องผู้อื่น เห็นตัวเองโดยที่ไม่เห็นใคร เป็นเรื่องที่
ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์คงจะเข้าใจได้ไม่มากก็น้อย โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่า เป็นคนดีทำบุญใส่บาตรก็พอแล้วใช่หรือไม่ เป็นคนดีทำบุญใส่บาตรแต่ถ้ายังละกิเลส อารมณ์ไม่ได้ ก็ยังไม่มีวันสิ้นทุกข์ เป็นคนดีทำบุญใส่บาตรเก่ง แต่ยังหวังวอนขอ ก็หนีไม่พ้นรับผลแห่งกรรมดีที่ตนเองสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรมต่างกันตรงที่ให้เราปฏิบัติธรรมเพื่อไม่หวังผล ปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมและนำพาตนเองให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่าย ฉะนั้นศึกษาธรรมต้องเข้าใจว่ายุคนี้เป็นการปรกโปรดที่มนุษย์สามารถศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมและสามารถพ้นทุกข์ได้ ซึ่งอาจารย์บอกว่าไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตามอารมณ์ แต่มีชีวิตเพื่อตามความจริง เพื่อเห็นชีวิตและเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่เรามองเห็นตามความเป็นจริง และรู้สรรพสิ่งตามความเป็นจริงอย่างซื่อตรง ไม่เอาตัวเองเข้าไปยึด ไม่เอาตัวตนเป็นบรรทัดฐาน ไม่เอาตัวตนเป็นมาตราวัดคนอื่นดี คนอื่นชั่ว แต่มองตามความเป็นจริง ศิษย์จะไม่เห็นใครดี ใครร้าย ศิษย์จะไม่เห็นอะไรทุกข์ อะไรสุข แต่ศิษย์จะมองเห็น นี่ก็คือธรรม นั้นก็คือธรรม อ้อแบบนี้ก็คือธรรม อ้อแบบนั้นก็คือธรรม อ้อถึงที่สุดตัวเราก็คือธรรม มีธรรมอยู่ทุกๆ ที่ เมื่อเห็นธรรมก็เห็นตถาคตก็เข้าถึงธรรม แต่จะมีใครสักกี่คนที่ไปถึงสิ่งที่อาจารย์พูด
อาจารย์พูดง่ายแล้วนะแต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขอให้บำเพ็ญอย่างสุขุม การสุขุมคือมีความอดทน อดกลั้น เพราะถ้าเราอดทน อดกลั้น อย่าปล่อยให้อารมณ์นำ เราก็ยับยั้งบาป กิเลส กรรมและการเวียนว่ายได้ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสไปอ่านเพิ่มเติมดีไหม (ดี)  มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์ และกลับมาศึกษาธรรมเพิ่มเติมดีไหม (ดี)  สองวันนี้คงปลูกต้นธรรมได้แค่นิดเดียว ยังเข้าใจธรรมได้ไม่มาก ถ้าศิษย์มีโอกาสมา
ร่วมบุญร่วมเจริญธรรมกับอาจารย์อีกได้ไหม (ได้)  เพราะอาจารย์มีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากให้ศิษย์ได้รู้ ได้เข้าใจ เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ เมื่อเรารู้เราเข้าใจชัด เราก็จะไม่โลภ โกรธ หลง และสร้างวิบากกรรมให้ทุกข์ทน จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
ดีไหม (ดี)  อะไรจะเกิดก็ให้เกิด แต่ขอให้รู้สึกสุขุม สำรวม ระวังในการดำเนินชีวิต อย่าปล่อยชีวิตไปตามกิเลส อารมณ์ มิฉะนั้นผิดพลาดไปแล้วเสียใจไปแล้ว ศิษย์จะเรียกร้องให้ใครช่วยแก้ไขก็ไม่ได้แล้วนะ
ถ้าเราทำดีจนถึงที่สุด ถึงเวลาเราต้องหมดอายุขัย เราก็ภาคภูมิใจ
ที่เราทำได้ถูกต้องและงดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงเลือกที่จะเดินตามธรรม อย่าตามอารมณ์ จงเลือกที่จะมองให้เห็นธรรม อย่ามองเห็นแต่ความเป็นคนที่ทุกข์ทน จงเลือกที่จะมองให้เห็นธรรม อย่ามองเห็นแต่อารมณ์ที่ตัวเองปลูกฝังและยัดเยียดให้ผู้คน แล้วเราก็จะพบธรรมในธรรม ธรรมในผู้คน แล้วเราก็จะมีชีวิตที่ดำเนินชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม เพราะธรรมที่แท้จริง ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แต่เมื่อไรยังหลงยึดถือตัวตน แปลว่าเรายังหนีไม่พ้นวิบากกรรม จริงหรือไม่ (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ มาบ่อยๆ ตั้งใจฟังธรรมมากๆ นะศิษย์เอ๋ย ยืนไม่เมื่อย ยืนไม่ทุกข์ เท่ากับหลงกิเลสความโลภ ความโกรธในโลก แล้วทำให้เราต้องทุกข์และแก่ เจ็บ ตาย เวียนไม่จบสิ้น น่ากลัวกว่านะ จริงไหม (จริง)  เรายึดมั่นความจริง มันทำให้เราทุกข์แค่ครั้งเดียว ชาตินี้จบ แต่ถ้าเรายึดมั่นอารมณ์กิเลส อารมณ์กิเลสจะ
ทำให้เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข เวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ หวังว่าศิษย์จะตั้งใจบำเพ็ญมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวความยากลำบาก ตั้งใจบำเพ็ญ ไม่กลัววิบากกรรม ยินดีชดใช้หนี้กรรมด้วยใจที่เป็นสุข และเข้าใจธรรม เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สุขุม บำเพ็ญเป็นปราชญ์”
    คนพากเพียรลงแรงบำเพ็ญจริง              ไม่หน่ายท้อไม่ยอมทิ้งธรรมง่ายง่าย
ฝึกลดละฝึกขัดเกลาและแก้ไข                   อารมณ์อัตตานิสัยต้องละวาง
เริ่มจากตนปฏิบัติได้ในทุกวัน                    ใช้คุณธรรมสร้างสัมพันธ์ให้ทั่วกว้าง
รู้เห็นธรรมตามจริงในทุกทาง                    ด้วยสติปัญญาดั่งเพชรในตม
ระวังกายระวังใจไม่ประมาท                    ฝึกเป็นปราชญ์บัณฑิตวางตัวเหมาะสม
อันธพาลกับปราชญ์ต่างขั้วอารมณ์              แบบนิยมหรือตัวจริงจริงจริง
คนบำเพ็ญไม่สุภาพไม่น่ารัก                      ไม่ยึดหลักแห่งธรรมใจไม่นิ่ง
ไม่ผ่านบททดสอบคำติติง                        อาจจะยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งไกล


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรม
สถานธรรมฮุ่ยอวี้ วันที่ ๒๒ - ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
เดิม           แสงทีดับกลับสว่างกลางใจคน
แก้ไขเป็น   แสงเทียนดับกลับสว่างกลางใจคน

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา