วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

2559-10-22 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

西元二〇一六年嵗次丙申九月廿二日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙    สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

   เมื่อฟืนสิ้นไฟยังลุกโชติช่วง                 ความงดงามดั่งดวงจันทร์เฉิดฉาย
แม้เมฆหมอกไม่อาจบดบังกำจาย[๑]          เงาสะท้อนภาพจันทร์ฉายให้คำนึง
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   ฟากฟ้าสีหม่นคล้ำดั่งยามราตรี             ใจทุกข์เป็นคลื่นนทีโถมและทับ
เวลาห้วงพรากพลัดที่ยากยอมรับ           สามารถดับลงเพราะเวลาทำหัวใจ
ยอมรับยอมใจยอมจะเป็นทุกข์              แลแปรทุกข์กลายเป็นแรงครั้งใหม่
ใช้ชีวิตจงอย่าเฝ้าเอาแต่ใจ                     ฝึกตามธรรมเป็นไทอยู่เรื่อยมา
ไม่ระดับลำดับไปในเหล่าความเพียร        กลับดับเทียนแสงเดียวที่ตรงหน้า
แสงสว่างกลางใจนั้นไซร้คือปัญญา          การสละเมตตาคนหนาคือหัวใจ
ทุกอย่างแบบเป็นแบบอย่างจิตมานะ       วิริยะไม่หยุดพักเป็นเพราะขวนขวาย
ความรักเมตตาเย็นสบายเพราะรู้อภัย      น้ำฝนสายดุจขอฝึกเนืองนิตย์
ปลุกเสกพระในตนฝนทั้งนั้น                  อยากรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่เรื่องผิด
ฝึกพิเคราะห์รอยตามหาแก่นความคิด      ดีจงทำต่อไม่ติดอคติใด
                                                                                          ฮา  ฮา  หยุด


[๑] กำจาย  กระจาย


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

เมื่อจิตไม่ลื่นไหลไปตามกิเลสอารมณ์และความเคยชินแห่งตัวตน ความยึดติดแห่งตัวตน ความสงบในจิตใจก็เกิดขึ้นได้ ความอิสระในตัวตนก็บังเกิดมีได้ แต่ใจของมนุษย์เคยชินกับการตามกิเลส อารมณ์ ตามความอยาก สนองตา สนองหู ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอไม่ได้ดูหงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)  พอไม่ได้ฟังในสิ่งที่อยากฟังเบื่อไหม (เบื่อ)
ฉะนั้นความสงบที่แท้จริงไม่ใช่การนั่งหลับตาหรอก แต่คือการไม่ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามความอยาก ความโลภความโกรธความหลง และความยึดติดแห่งตัวตน มนุษย์ก็สามารถพบความสงบได้ทันที
มนุษย์ทุกคนในโลกปรารถนาคนดี แต่มีน้อยคนที่จะทำดีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราอยากได้ดีเราก็ต้อง (ทำดี)  เพราะโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ถ้าอยากดีก็ต้องทำดี ถ้าอยากได้ความดีก็ต้องปฏิบัติ (ดี)
เมื่อเราเห็นอะไรดีเรารู้สึกดีเราก็อยากให้เพื่อนได้ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นการที่เขาเรียกให้เรามาฟังธรรมเป็นสิ่งดีไหม (ดี)  แล้วคนที่ปริปากบ่นคนที่ชวนเพราะอะไรหรือ เพราะไม่เห็นคุณค่าความดีของเขา ไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่เขาจะยื่นให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมทำดีไม่เห็นได้ดี นั่นเพราะว่าบางคนรู้สึกไวบางคนรู้สึกช้า ฉะนั้นถ้าเราทำดีแล้วเจอเพื่อนรู้สึกช้าจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  แล้วจะโกรธไหมว่าทำดีไม่ได้ดี (ไม่โกรธ)  แล้วจะท้อการทำดีไหม (ไม่ท้อ)
เราอยู่ในโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาคนดี เรื่องดีๆ ฉะนั้นก็ต้องรู้จักหมั่นเพียรกระทำสิ่งที่ดี แต่บางครั้งทำดีแล้วจะได้ผลดีหรือเปล่า ชักไม่ค่อยมั่นใจใช่หรือไม่ เหมือนเรายกตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมหลายท่าน พยายามจะชวนเรามาฟังธรรมเพราะการฟังธรรมก่อเกิดปัญญา และนำพาสู่สิ่งที่ดีงาม แต่ขณะที่ชวนก็ต้องเจอคนที่ตัดพ้อต่อว่า บ่นอื้ออึงไม่ชอบใจไม่เอาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่ชวนยึดมั่นในความดีที่ตัวเองทำ และหวังผลในความดีนั้น ความดีนั้นก็หนีไม่พ้นต้องบังเกิดเป็นความทุกข์ในที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกข์เพราะความยึดถือ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แม้สิ่งที่เรียกว่าการบอกบุญให้เขามาฟังธรรม จะเป็นการสร้างบุญอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าบุญนั้นทำแล้วหวังผลยึดมั่นถือมั่นในตัวตน บุญนั้นก็หนีไม่พ้นความทุกข์ เหมือนกับวันนี้ท่านมานั่งฟังธรรม แต่มาฟังแล้วเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ไม่เป็นแบบนี้ บุญแห่งการฟังธรรมก็จะบังเกิดความทุกข์ ไม่สามารถก่อเกิดเป็นความสุขอันร่มเย็นได้ แต่ถ้าการมาฟังธรรม การบอกบุญ แล้วเราไม่ยึดมั่นไม่หวังผล ได้ก็ได้ ไม่ได้เราก็ทำเต็มที่แล้ว แถมยิ่งเขาพูดอย่างไรเราก็ไม่ยึด เราก็ปล่อยวาง เราก็เข้าใจ ชำระความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะก่อเกิดเป็นความร่มเย็นและกลายเป็นกุศลในฉับพลันที่เรากำลังพูดชวนเขา ดีไหม (ดี)
เหมือนตอนเรานั่งฟัง ไม่ยึด ฟังก็ดี พูดก็ดี ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจดี ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่หวังวอนขอ ไม่เรียกร้อง บุญที่ได้ฟังได้ชำระจิต ได้ปล่อยวางความยึดมั่น ไม่คาดหวัง บุญที่ฟังก็ก่อเกิดเป็นความสงบเย็นและกลายเป็นกุศล  เราเคยพิจารณาจนถึงขนาดนี้บ้างไหม ไม่เคยเลยใช่ไหม เรียกเขาจนถึงที่สุด พอเขาไม่มาก็เสียใจ พอเขาไม่อยู่ไม่เอาก็ท้อใจ อย่างนี้กำลังหลงติดบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด มาฟังแล้วไม่เห็นเป็นอย่างที่หวัง นั่นก็คือหลงยึดบุญ ถูกไหม (ถูก)  ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็มาจากความยึดติดในตัวตน
ฉะนั้นบุญที่แท้ก็ต้องเป็นบุญที่สามารถชำระล้างกิเลส ชำระล้างตัวตน และก่อเกิดเป็นความสงบเย็น นั่นถึงจะเรียกว่าชวนเขาก็ได้บุญ เขามาฟังก็บังเกิดบุญ ชวนเขามาไม่มา โดนว่าไม่ว่า ก็เป็นบุญเป็นกุศล
อยากให้เขารักเราก็ต้อง (รักเขาก่อน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมหนอรักเขาเท่าไร เขาไม่รักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนธรรมะสอนว่ายิ่งให้ต้องยิ่งได้รับ ยิ่งเสียสละยิ่งต้องได้รับ แต่ทำไมหนอให้เขาดีก็แล้ว เขากลับไม่เห็นเราดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเรากำลังปฏิบัติผิดหรือธรรมะผิด เราปฏิบัติผิดหรือธรรมะหลอกลวง (เราปฏิบัติผิด)  ถ้าสมมติว่าเรารักท่าน เราให้ดอกไม้ท่านด้วยความรัก รับไหม (รับ)  แต่เราให้ดอกไม้แค่หนึ่งช่อ แล้วเราบอกว่าท่านต้องอย่างนั้น ท่านต้องอย่างนี้ ท่านต้องเป็นแบบนั้น ท่านต้องเป็นแบบนี้ อยากคืนดอกไม้เราเลยไหม 
ความรักและความดีที่มนุษย์ยื่นให้ผู้อื่น บางครั้งก็เหมือนช่อดอกไม้เล็กๆ แต่ให้แล้วเต็มไปด้วยคำเรียกร้อง  จนบางครั้งถึงแม้ว่าคุณจะดีแค่ไหนช่อดอกไม้จะงามเพียงใด บางครั้งเราก็อยากจะบอกว่า เอาคืนไปเถอะ ถูกไหม (ถูก)  นี่คือความดีที่มนุษย์มอบให้แก่กันใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งความดีแต่เต็มไปด้วยการเรียกร้องแล้วพอโดนเขาว่ากลับ ก็บอกว่า “ผิดตรงไหนที่ฉันหวังดี” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอหวังดีทำไม่ได้ดีก็เกิดโมโหโกรธาแล้วก็ตบตี ฉะนั้นถึงจะเป็นความดีงาม แต่ถ้าเข้มงวดกับเขาจนเกินไปแล้วก่อเกิดเป็นการทำร้าย สิ่งที่ดีงามนั้นก็เป็นโทษ ถึงจะหวังดีแต่ความหวังดีนั้น ถ้าก่อเกิดเป็นความรับไม่ได้ แล้วทำร้ายผู้อื่น ความดีนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าความดีที่แท้จริง แต่กลับกลายเป็นโทษ หวังดีแล้วเอาแต่เรียกร้องไม่มีความเห็นใจและเข้าใจ การเรียกร้องนั้นก็กลายเป็นความหวังดีที่ขาดซึ่งคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังอาจเรียกได้ว่าความดีไหม (ไม่)
ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ยิ่งตัวเองสูง คนยิ่งกดให้ต่ำ ยิ่งยอมให้ตัวเองต่ำและกล้ารับผิดแทนผู้อื่น คนจะยิ่งผลักดันให้เขาสูงขึ้น” แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ผิดไม่ยอมรับผิด เอาแต่โทษคนอื่น คนก็ยิ่งอยากกดให้เราผิด แต่ถ้าผิดแล้วกล้ายอมรับ กล้าเรียนรู้แก้ไข คนจะยิ่งดันให้เราสูงส่ง แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ยอมหักไม่ยอมงอ น่าเสียดายนะ
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า
จงเริ่มที่ตัวเอง อย่าไปเริ่มที่ผู้อื่น จงเรียกร้องที่ตัวเอง อย่าเผลอไผลไปเรียกร้องผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแม้จะดีงามขนาดไหน ความดีที่เอาแต่เรียกร้องผู้อื่นนั้นก็จะบังเกิดทุกข์ได้  ทำได้หรือเปล่า เริ่มปฏิบัติด้วยตัวเองไม่เรียกร้องใครได้หรือเปล่า (ได้)  คงจะยากสักหน่อย เพราะคนที่บอกว่าได้นั้น พอเวลาตัวเองทำไม่สำเร็จก็อดคาดหวังให้คนรอบข้างต้องดีได้ดั่งใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อคนรอบข้างไม่ดีได้ดั่งใจเรา ก็เลยกลายเป็นทุกข์

ทำได้ดีทำได้เหมาะสมก็บังเกิดบุญใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทำได้ดีทำได้เหมาะสมและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน บุญนั้นก็ยังสามารถชะล้างเวรกรรมและก่อเกิดเป็นกุศล  แต่ถ้าเกิดว่าเราทำดีแล้วเราเอาแต่เรียกร้อง บุญนั้นก็ไม่อาจจะเรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์
แล้วอย่างไรล่ะ เรียกว่าทำดี เราถามท่านหน่อยนะ พ่อแม่อยากให้ลูกได้ดีแต่เผอิญลูกทำผิด พ่อแม่ก็เลยโมโหและเฆี่ยนตี ถามว่าพ่อแม่ทำดีหรือไม่ดี (ทำดี)  เราบอกให้ เหมือนจะดีแต่ไม่งาม ใจเป็นนายของกาย  ถ้าใจไม่สะอาด กายจะบริสุทธิ์ไหม  ถ้าใจไม่เที่ยงตรง การประพฤติจะบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม แม้พระพุทธะก็กล่าวไว้ว่า การทำดีสำคัญที่เจตนา ถามว่าพ่อแม่ตีลูกดีไหม หวังดีแต่ไม่งาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบางคนทำงามแต่ใจไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ารักความดีต้องมองดีให้ออก ปฏิบัติดีให้ถูก แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติดีให้ถูก ท่านสอนบอกว่า การถือหัวใจแห่งความเมตตาเป็นหลัก ถือจริยะรู้จักอ่อนน้อม รู้จักถ่อมตน รู้จักให้เกียรติ ไม่จับผิด ไม่คิดร้าย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้คน และถือคุณธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า “ดี
ถ้าพ่อแม่ตีด้วยความรัก แต่ผิดตรงที่ความเข้มงวดที่เต็มไปด้วยความรัก แล้วลงโทษ มันก่อเกิดความไม่พอใจ แล้วเคืองแค้นใจในที่สุด  ก่อเกิดเป็นบาปให้กับลูก พ่อแม่ควรจะตีไหม
จำไว้นะ พ่อแม่ซื่อตรงก็ได้ลูกซื่อตรง พ่อแม่กตัญญูรู้คุณ ลูกก็เรียนรู้กตัญญูรู้คุณ พ่อแม่ขยันหมั่นเพียร ลูกก็ขยันหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราพยายามขยันหมั่นเพียรแต่ลูกกลับมองไม่เห็น เพราะบางครั้งเราให้ลูกเห็นเงินมากกว่าความดีในใจที่ควรสอนลูก ถูกไหม (ถูก)  เราเลี้ยงลูกด้วยเงินมากกว่าความดีที่เราควรมีให้กับลูก ถามว่า ท่านให้เงินบ่อย แต่ท่านเคยเข้าใจลูกสักครั้งหนึ่งไหม ท่านให้เงินภรรยา แต่ท่านเคยให้ความรักความเข้าใจและเวลาภรรยาไหม
แล้วอย่างไรล่ะที่เรียกว่าทั้งดีทั้งงาม  นอกจากดีงามแล้วยังสามารถเป็นปราชญ์แห่งยุคและเทพบนแดนโลกได้ด้วยนะ เพียงแค่ปฏิบัติดีให้ถูกต้อง
เราเจอใครสักคนหนึ่ง เขามีคุณค่าให้เราประทับใจตราตรึง นิสัยน่ารัก นิสัยถูกใจ เรารู้สึกเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคุณค่าให้กล่าวถึงให้รู้สึกชอบพอเรียกว่า ดี ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนไม่รู้จักแต่อยู่ๆ ได้รู้จัก พอเขาได้ปฏิบัติอะไรให้เราเห็นแล้ว เรานึกขึ้นได้เราจะรู้สึกว่า ทำถูกใจ ทำดีจัง รู้สึกชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอยิ่งเรียนรู้กันไป คุณค่านั้นเป็นคุณค่าที่กล่าวถึงแล้วเราชอบแล้ว นิสัยยังดีจริงๆ ทำดีจริงๆ มีดีจริงๆ นั่นเรียกว่า ดีจริง  แล้วในคุณค่าของความดีจริงนั้นยังปฏิบัติรักษาไว้ไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่เคยหายไปจากใจ ดีนั้นจริง แล้วยังเรียกว่า งดงาม ถูกไหม (ถูก)  แล้วถ้าเกิดว่าปฏิบัติไม่เสื่อมคลายแล้วยังสามารถแสดงต่อผู้อื่นได้อย่างรุ่งโรจน์ ท่านเรียกว่า ความดีที่ยิ่งใหญ่
นี่แหละผลของความดีที่ทำอย่างไม่ย่อท้อ ปฏิบัติดีได้อย่างรุ่งโรจน์แล้ว ยังสามารถมองเห็นความเป็นจริงของความดีความร้ายและความเป็นคนได้อย่างทะลุทะลวง นี่แหละเรียกว่า ปราชญ์เมธีแห่งยุค แล้วเช่นไรล่ะถึงเรียกว่า เทพไทบนแดนดิน ตอบได้ไหม คือความดีนั้นก่อเกิดเป็นคุณธรรมอันหาค่าประมาณไม่ได้ หาที่สิ้นสุดของความดีงามนั้นไม่เจอ เขายังมีได้เรื่อยๆ ยังมีให้ไม่หยุดหย่อน เป็นความดีที่เข้าใจผู้คน เป็นความดีที่ให้ไม่เสื่อมคลาย เป็นความดีที่ให้อย่างไม่ย่อท้อ เป็นความดีที่ทำโดยไม่หวังผล นั่นแหละเรียกว่า เทพเทวาบนแดนโลก แล้วไยต้องรอให้ตัวเองตายแล้วถึงจะเป็นเทพเทวา ไยไม่ทำตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ความดีไม่ใช่สิ่งยาก แต่ยากตรงที่คนไม่ค่อยประพฤติปฏิบัติดีให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเมตตาคือที่พักแห่งใจ วิริยะคือถ้อยทีถ้อยอาศัย รู้จักเห็นใจให้อภัย นั่นก็คือการมีคุณธรรมอยู่ร่วมกัน และถือคุณธรรมแห่งความถูกต้องเป็นหนทางในการดำเนินชีวิต  เช่นนี้จะปฏิบัติให้ถึงคำว่าดีไม่ได้เชียวหรือ แต่มนุษย์เสียอย่างเดียว รักเงินจนทำลายความเมตตา รักตัวเองจนทำลายคุณธรรม ห่วงสบายจนดูถูกดูแคลนทำร้ายผู้อื่นจริงไหม (จริง)  เราถามท่านนะ เงินหนึ่งร้อยบาทซื้อคุณธรรมในใจท่านได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วได้เงินหนึ่งร้อยบาทแล้วสูญเสียคุณธรรมในใจคนได้หรือไม่ (ได้)  จริงไหม (จริง)  ถ้าสมมติว่าดอกไม้นี้จริงๆ เป็นดอกไม้เก่า พอคนมาถามเราว่าดอกไม้ใหม่หรือดอกไม้เก่า ถ้าเราบอกว่าดอกไม้ใหม่จะขายได้ในราคาหนึ่งร้อยบาท ตอนนี้เรากำลังเอาคุณธรรมแลกเงินหนึ่งร้อยบาทใช่หรือไม่ หนึ่งร้อยบาทสามารถซื้อคุณธรรมในใจได้ไหม (ไม่ได้)  แต่เพื่อเงินหนึ่งร้อยบาทท่านสามารถสูญเสียธรรมในใจได้ จริงไหม (จริง)
เราถามท่านนะ เมตตาในจิตใจของมนุษย์ควรที่จะรักษาไว้ไหม (ควร)  แต่บางครั้งกินอาหารหนึ่งมื้อ ก็อาจทำให้เราไร้ซึ่งเมตตาในจิตใจได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่)  คนเราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่าจับผิดกัน อย่าดูถูกกัน ใจเขาใจเรา เราไม่ชอบให้ใครมาว่า มาจับผิด มาดูถูกเรา ฉะนั้นตัวเราอย่าขาดคุณธรรมในการปฏิบัติร่วมกันกับผู้อื่น อยู่ในโลก ถ้าขาดเมตตาในจิตใจ พระพุทธะเรียกว่า “โจร”  อยู่ในโลกถ้าขาดคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น พระพุทธะเรียกว่า “อำมหิต” แรงไหม (แรง)  คำพูดนี้
เป็นความจริง ลองคิดง่ายๆ เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่เขา เห็นแก่เราไม่เห็นแก่ผู้อื่น ใจดำไหม (ใจดำ)  อยากกินไก่แล้วฆ่าไก่ โหดร้ายไหม (โหดร้าย)  ไม่ชอบใจ เขาไม่ฟังเรา เขาไม่ชอบเรา เลยตบตีเขา ต่อว่าเขา ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นความดีไม่ใช่มีไว้เพื่อเรียกร้องใคร แต่ความดีมีไว้เพื่อรักษาคุณธรรมในใจ

มีคุณค่าให้กล่าวถึง เรียกว่า “ดี”
มีดีอยู่จริงๆ เรียกว่า “ดีจริง”
รักษาดีไว้ไม่เสื่อมคลาย เรียกว่า “ความดีที่งดงาม”
รักษาความดีไว้ไม่เสื่อมคลาย แล้วยังสามารถแสดงต่อผู้อื่น เอาความดีนั้นแสดงออกอย่างรุ่งโรจน์กว้างใหญ่ เรียกว่า “ความดีที่ยิ่งใหญ่
เอาความดีมาแสดงอย่างรุ่งโรจน์แล้ว ยังสามารถให้ความดีนั้นมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เรียกว่า “ปราชญ์เมธีแห่งยุค”
ความดีนั้นก่อเกิดเป็นคุณธรรมที่มีคุณค่าอันคณานับยากหาที่สุดได้อย่างอัศจรรย์ เรียกว่า “เทพเทวาบนแดนโลก” เหมือนใครบางคนที่ท่านหวนคิดถึงแต่จากไปแล้ว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙)
ยากไหม ไม่ยากเลยนะ แต่อยู่ที่ว่า ทำหรือไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแค่อยากให้ท่านเห็นว่า เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง การเป็นพุทธะบนแดนโลก การเป็นคนยิ่งใหญ่บนแดนโลก และการเป็นปราชญ์เมธีแห่งยุค ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อยู่ที่ว่าท่านเห็นคุณค่าความดีที่อยู่ในใจตัวเองไหม หรือท่านเอาแต่ดูถูกว่าตัวเองดีได้แค่นี้ ช่างน่าเสียดายนะ ทั้งที่ความดีของตัวท่านมีอยู่ แต่ท่านลืมคุณค่าในความดีนั้นไปเท่านั้นเอง แล้วก็แสดงออกอย่างไม่มีจริยะ ก็เลยกลายเป็นคนที่ดีแต่ไม่งาม
ฉะนั้นศึกษา บำเพ็ญ กราบไหว้พระ ชอบทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์เก่ง  แต่ถ้ายังปฏิบัติดีและทำดีได้ไม่ถึงที่สุด ก็เป็นคนที่เก่งแค่การกระทำภายนอก แต่หาได้ลงแรงกระทำภายในไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราก็คาดหวังว่า การมาศึกษา การมาสนทนาธรรมกับท่านในครั้งนี้ คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย และหวังว่าการมาศึกษาสนทนาธรรมในครั้งนี้ จะช่วยปลุกความดีงามให้สถิตอยู่ในใจอย่างไม่เสื่อมคลาย ได้หรือไม่ (ได้)  แต่อย่าขอเป็นแค่ดี แต่จงเป็นดีที่ยิ่งใหญ่ ดีที่มองทะลุทะลวง เป็นปราชญ์ เทพไทในแดนโลกนี้ ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะพุทธะที่แท้จริงช่วยคน จนหลงลืมความมีตัวตน แต่คนบางคนยึดติดดี ทำดีช่วยคนแต่ยังหวังผล ดีนั้นก็ไม่อาจทำให้เราประสบความเย็นและความสุขได้
พอเข้าใจไม่มากก็น้อย ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดีหรือเปล่า
การขอบคุณไม่มีประโยชน์ มิสู้การนำสิ่งที่ท่านฟังวันนี้ลองไปประพฤติปฏิบัติ ใครไม่ดี เราจะดี ใครไม่จริง เราจะจริง ใครไม่ปฏิบัติ เรานั่นแหละจะปฏิบัติ ใครไม่เริ่ม เรานี่แหละจะเริ่ม ขอให้เป็นหนึ่งความดีงาม ที่สามารถทำแล้วสะท้อนสะเทือนใจให้คนคิดอยากทำตาม โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูด เช่นนี้ถือว่าท่านบรรลุมรรคผลของความดี  แต่ถ้ายังต้องพูด ยังต้องเรียกร้อง ถือว่าเรายังปฏิบัติไม่ถูกต้องนะ
เอาตัวเราเป็นธรรมให้เขาประจักษ์ เอาตัวเราเป็นความดีให้เขาเห็น ถ้าโลกนี้ไม่มีใครดี ฉันนี้จะดีให้ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีใครยอมดีจริง ฉันนี้จะดีจริงให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙             สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป                    เป็นความจริงทุกสิ่งไปยากหลีกพ้น
ได้เล็งเห็นสัจธรรมสุขทุกข์ปน                ทุกแห่งหนความจริงแท้อยู่ไม่ไกล
คนเข้มแข็งกล้ายอมรับความจริง            คนอ่อนแอหวาดกลัวยิ่งทุกข์ทนใหญ่
ความทุกข์นั้นใช่ทุกข์ทนแต่อย่างใด         แต่ทุกข์สอนให้เข้าใจชีวิตจริง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                     ถามศิษย์รักทุกคนเป็นเด็กดีของอาจารย์หรือยัง

   เมื่อคิดถึงราชาอันเป็นที่เคารพรัก         เริ่มจากเดินสรรเสริญสานงานค้างไว้
ทุกจุดหยุดด้วยธรรมออกจากใจ             ใดที่ท่านปณิธานไว้อย่าลืมเลือน
บุญอนันต์เรื่องความที่เกิดเป็นไทย          บุญแรงกล้าดีใจไม่ลอยเลื่อน
บำเพ็ญไม่เวลาไทยรู้มักลางเลือน            ใจมีห้วงทั้งเหมือนตื่นเหมือนงง
สิ่งละอันพันละน้อยค่อยศึกษา               ใจเป็นหนึ่งหล้าทั้งหล้าไม่ประสงค์
ปลายอันเดียวกันมุ่งสู่ทางสายตรง          กุศลส่งหนทางนี้สู่เบื้องบน
                                                                                          ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ถามหน่อยศิษย์เอย ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ในการปฏิบัติธรรม รักในการปฏิบัติธรรม ทุกขณะถ้าเราทำแล้วจิตเบิกบาน จิตปลอดโปร่ง จิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ การกระทำนั้นก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าหากทุกขณะที่เราทำไม่ว่าเราจะนั่งฟังหรือนั่งทำงาน ถ้าเราหม่นหมองเราอมทุกข์ สิ่งที่เราทำในขณะนั้นมันก็กลายเป็นบาปแก่ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มีวิชาหนึ่งที่สอนให้ศิษย์ปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะเลย เอาไหม (เอา)
แต่ศิษย์ต้องพยายามรู้เท่าทันใจให้ดี อย่าเผลอให้ใจมันเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวตก เหมือนที่มนุษย์บอกว่า เวลาใจดีก็เหมือนขึ้น (สวรรค์)  เวลาใจร้ายก็เหมือนลง (นรก)  ฉะนั้นถ้าเวลานั่งฟังธรรมแล้วรู้สึกดีก็เหมือน (ขึ้นสวรรค์)  รู้สึกแย่ก็เหมือน (ตกนรก)  อย่างนั้นตลอดสองวันนี้ ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (สวรรค์)
ฉะนั้นไม่ว่าเราทำงาน ไม่ว่าเราคุยกับเพื่อน ไม่ว่าเราเรียนหนังสือ ไม่ว่าเราจะออกไปข้างนอก ถ้าเราทำด้วยความสบายใจ ทำด้วยความเบิกบานใจ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความซื่อตรงหัวใจ ทุกขณะก็คือ ธรรม แล้วเราจะรอให้ใครมาทำให้เราตกนรกไหม (ไม่)  ดั่งคำพูดว่า “ถ้าข้างในมันมีสุข ข้างนอกมันจะวุ่นวายอย่างไร เราก็สุขได้” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าข้างในบริสุทธิ์ ข้างนอกมันจะทุกข์จะทนอย่างไร เราก็สามารถแปรความทุกข์ทนของคนให้เป็นความบริสุทธิ์และสุขใจได้ ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้ การที่เราเรียนรู้ธรรมะมาเยอะ เข้าวัดมาก็เยอะ ฟังธรรมมาก็มาก ธรรมก็สอนให้เราเอาบุญ อย่าเอาบาป เอาดี อย่าเอา (ชั่ว)  แล้วถึงเวลาเอาบุญหรือเอาบาป (เอาบุญ)  ถึงเวลาเอาดีเอาชั่ว (เอาดี)  แต่พอเวลาโมโห ไม่เอามันแล้ว วางไว้ก่อน ตอนนี้ขอโมโหด่ามันก่อน แล้วพอกลับมาคิด ก็คิดว่าไม่น่าทำไปแบบนั้นเลย
ถ้าทุกขณะที่เกิดขึ้นเรามีสติรู้ทัน เราสามารถควบคุมใจได้ เห็นเขาไม่ดีอย่างนี้ แล้วเรารู้ทันว่า “ไม่เอาๆ เขาต้องไม่ทำให้ใจเราหม่นหมอง เดี๋ยวมันจะเป็นบาป เราจะไม่ทำ เราจะไม่เอา เขาจะไม่ทำให้เราเกิดกิเลส เขาจะไม่ทำให้เราโกรธ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นกรรมเป็นทุกข์ แล้วจะเวียนว่ายกันไม่จบสิ้น” ถ้าเราคิดได้ขนาดนี้ เวรกรรมจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  บาปจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  อย่างนั้นทุกขณะชีวิตก็คือการจบกรรม ทุกขณะชีวิตก็คือการหมดทุกข์ แต่ถ้าหากว่าเกลียดมัน ไม่ชอบ รำคาญ เบื่อ อะไรหนักหนาก็ไม่รู้ชีวิตนี้ อย่างนี้เรียกว่า เป็นกรรม เป็นเวร เป็นทุกข์ไหม (เป็น) เขาทำหรือเราทำ (เรา)  ถึงเวลาเช่นนี้แล้วเป็นทุกข์ก็บอกว่า “หลวงพ่อช่วยล้างให้สะอาดหน่อยเถอะมันทุกข์เหลือเกิน” มันช้าไปหรือเปล่า ในเมื่อมนุษย์ทุกคนล้วนกลัวบาปกรรมล้วนกลัวทุกข์ แล้วถ้าหากรู้ว่าทำแล้วมันจะกลายเป็นทุกข์ เป็นบาป เป็นกรรม แล้วทำไมไม่หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทำไมรอไปสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยหยุด ทันไหม จะหยุดก่อนปัญหาเกิดหรือมีชีวิตเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้น ชีวิตที่ผ่านมาคือใครด่ามาเราด่ากลับ มันน่าเกลียดมาน่าเกลียดกลับ อย่างนี้เรียกว่า ก่อบาป ก่อทุกข์ ก่อกรรม ก่อเวร
เราบอกว่าไม่อยากมีเวรมีกรรม ถ้าอย่างนั้นเขาด่ามาก็ให้คิดว่าดีแล้วได้ละลายกรรม ดีแล้วได้ชะล้างกิเลส ดีแล้วได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ทุกขณะที่เขาทำอะไรมาคือดี มันมีแต่ความสุข ใช่ไหม ลองดูซิว่าพอเขาด่ามา เราก็บอกว่าสนุกดี เขาจะด่าต่อไหม (ไม่ด่า) เพราะเขาจะบอกว่าเราบ้า แล้วเรายอมบ้าเกินไหมล่ะ บางครั้งถ้ามันแบกรับมาแล้วมีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บปวดทุกข์ทน บางครั้งก็ยอมบ้ากับความเป็นจริงของโลกบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะชีวิตปัจจุบันนี้ก็พร้อมที่จะทำให้คนที่ขาดสติ คนที่ขาดธรรมเป็นบ้าได้ตลอดเวลา จริงไหม (จริง)  เหมือนอยู่ๆ เราต้องรับรู้การสูญเสีย การพลัดพราก เราต้องพบกับความไม่มี ถ้าเราขาดสติ ถ้าเราขาดธรรม ไม่ยอมรับความเป็นจริง เราจะยังเป็นคนที่ยืนอยู่บนโลกนี้ไหวหรือ
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ใจที่มีสุข ใบหน้าย่อมยิ้มแย้ม แต่ใจที่มีทุกข์ ใบหน้าย่อมหวานอมขมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ว่าธรรมเล็กธรรมน้อยก็คือ ธรรม แต่ทำให้เกิดกรรมดีหรือทำให้เกิดกรรมไม่ดี ขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ไปทางไหน ถ้ารู้สึกทำแล้วเบาบาง ทำแล้วมีความสุข มันก็เป็นบุญเป็นกุศล แต่ถ้าทำแล้วหวานอมขมกลืน ทำแล้วแอบมีความโกรธ ความยึดติด ความไม่พึงใจไม่ชอบใจ มันก็กลายเป็นบาป เป็นกิเลส เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่กับใครเราก็สามารถสร้างบุญได้ อยู่กับใครเราก็สามารถเจริญธรรม ปฏิบัติธรรมได้ แต่ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ชอบเป็นคนดีแค่อยู่ในวัด ชอบทำบุญให้คนในวัดแค่นั้น กับคนข้างนอกทำบาปหมดเลย ใช่ไหม พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมเราต้องรู้จักดำเนินทางสายกลาง  สมมติว่า ถ้าชีวิตมันเป็นแบบนิ้วโป้งชูขึ้นดีไหม (ดี)  แล้วเป็นแบบนิ้วโป้งชี้ลง (ไม่ดี) 
ทางสายกลางคือการยอมรับความเป็นจริง เพราะไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรมันก็คือกลาง นี่แหละเรียกว่าปฏิบัติธรรม พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เราปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ ไม่มีใครบีบคั้นเราให้ทุกข์ทน นอกจากตัวเราเอง ไม่ว่านิ้วโป้งจะชี้ขึ้นหรือลงเราก็ต้องยอมรับว่ามันคือความเป็นกลาง เหมือนเขาชมเรา ดีไหม (ดี)  แล้วเขาด่าเราล่ะ (ไม่ดี)  จงกลางไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์รู้สึกไม่ดี หม่นหมอง หม่นหมองเสร็จยังรู้สึกว่า มันด่าฉันทำไม ทำไมมันทำแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนั้น เริ่มเกลียดเขาแล้ว เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังบอกว่า มันด่าฉัน ฉันต้องด่ามันกลับ เริ่มยึดมั่น เริ่มเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าขณะที่เป็นแบบนี้ คิดว่ามันก็เป็นกลาง เราเรียนรู้ธรรมเพื่อยอมรับความจริงอันเป็นปกติ และรักษาความเป็นกลางนี้ให้ปกติ ดีไหม (ดี)  เพราะถ้าใจผิดปกติก็เรียกว่า ผิดศีล ศีลคือความปกติ สมาธิคือความสงบ ภาวนาคือการเห็นแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทันทีที่ถ้าเขาทำอย่างนี้ก็รักษาปกติไว้ สงบไว้ มองเห็นแจ้งว่า มันเป็นกลาง ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ทันที ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอยากด่าใคร เกลียดใคร โกรธใคร ก็กลายเป็นก่อเกิดกิเลส เวรกรรม การจองเวรจองกรรม การเกี่ยวกรรมและการก่อเกิดทุกข์ทนในใจ ศิษย์ก็รู้นี่ไม่มีใครบีบใจให้ศิษย์ทุกข์ได้ นอกจากศิษย์บีบใจตัวเอง ไม่มีใครด่าศิษย์ให้เจ็บ เท่ากับศิษย์ด่าตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนอาจารย์ถาม เขาด่าศิษย์กี่ครั้ง (ครั้งเดียว)  จบไปหรือยัง (จบแล้ว)  แต่คนที่รื้อฟื้น ฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่เรื่อยก็คือ (ตัวเราเอง)  เอามาด่าแล้วด่าอีก ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่เขาด่าจบไปแล้วใช่ไหม (ใช่)
นี่แหละศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ตรงนี้ การสร้างบุญการปฏิบัติธรรมก็อยู่ตรงนี้ ทำไมต้องรอไปที่วัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แบบนี้เราก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ทุกข์ก็เป็นสิ่งไม่น่ากลัวแล้วใช่ไหม เราสามารถแก้ทุกข์ได้ทันทีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่าถ้าเป็นแบบนี้ โดนคนด่าก็เฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดนคนเอาเปรียบก็ (เฉยๆ)  โดนคนแย่งสามีไปก็ (...)  เจอเรื่องอย่างนี้ทีไรเจ็บทุกที ของของใครใครก็หวง  ถ้าถามฝั่งสามีว่า ถ้าวันหนึ่งภรรยาอยากจากเราไปได้บ่ได้ เงียบเลยเห็นไหม
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า เวลาเราศึกษาธรรมศิษย์ต้องมองให้มันกว้าง มองให้มันลึก เพราะธรรมคือความจริง สิ่งใดที่เป็นความจริงแล้วทำให้ใจเราสามารถปกติได้ นั่นคือเราเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้เขาจะไปแล้วศิษย์บอกว่า บ่ได้ๆ ใจมันปกติไหม (ไม่ปกติ)  ฉะนั้นไม่ปกติมันเป็นธรรมไหม (ไม่)  ไม่ปกติ แล้วถ้าเขายังจะไป โกรธเขาไหม เกลียดไหม ด่าเขาไหม เกิดเป็นกรรมไหม (เป็น)  เขาไปก็ดีแล้วจริงไหม คิดให้ดีๆ นะ ศิษย์เอย เรารู้ตั้งแต่เกิดแล้วว่า “เรามา (คนเดียว)  กลับก็ต้องกลับ (คนเดียว)”  มาก็มาตัว (เปล่า)  ไปก็ไป (ตัวเปล่า)  เอาไปได้ไหม งกไว้ทำไมใช่ไหม
แล้วถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่) เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่) เขาทุกข์กับเราไหม (ไม่)  อาจารย์แค่พูดตามความเป็นจริงนะ เพราะถึงเวลาศิษย์ก็ต้องไม่เอา เอาไปมันก็กลายเป็นเกี่ยวกรรมเอาไปแล้วศิษย์ดูแลเขาได้ไหม แล้วถ้าเขาไม่ได้ดั่งใจศิษย์ทนได้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
นั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง) จริงๆ อาจารย์อยากสอนธรรมนะว่า ยืนแล้วเมื่อยก็คิดเสียว่าเป็นธรรม คนเรามันก็มีเมื่อยบ้างไม่เมื่อยบ้าง ถ้ายึดติดแล้วบอกอาจารย์ว่าไม่ให้เมื่อย อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่ยอมรับความจริง คิดแบบนี้ก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สมมติเวลาเราทำงาน เวลาเราไปเรียนหนังสือ เวลาเราออกไปข้างนอก เราเจอผู้คน ย่อมมีคนหลากหลายแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(อาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายที่ตัวสูงกว่า)
บางทีเราเจอคนสูง บางทีเราเจอคนเตี้ย ไม่ว่าเราจะเจอคนแบบไหน หรือคนแบบไหนจะปฏิบัติอย่างไรต่อเรา เราก็สามารถเอาสิ่งนั้นมาเป็นการประจักษ์ธรรมและปฏิบัติธรรมได้ เพราะทุกชีวิตล้วนคือธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตอาจารย์ก็เป็นธรรม ชีวิตเขาก็เป็นธรรม แต่เราจะเห็นธรรมในตัวเขา หรือเราจะเห็นกิเลสในตัวเขา เราจะเห็นบุญในตัวเขา หรือเราจะเห็นบาปในตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเดินไปไหน ถ้าทุกคนก็พูดว่า “ไอ้เตี้ยกับไอ้สูง” แล้วเราถือสา เราโกรธ เราไม่ชอบ เราจะเห็นธรรมไหม (ไม่เห็น)  เราจะยังมีธรรมกับเพื่อนไหม เราจะเดินกับเขาต่อไหม เราจะมีความสุขไหม (ไม่)  ทำไมล่ะ เดินต่อแล้วเสียงมันชักหนาหู เขาแอบหัวเราะเรา ใจเราเริ่มฟุ้งไป ใจเราเริ่มปรุงแต่งไป ใจเราเริ่มถือสาหาความ ใจเราเริ่มไม่มองความจริง
ถ้าเราอยากอยู่กับผู้อื่นอย่างมีสุข เราอย่าเห็นว่าเราเป็นข้อบกพร่อง หรืออย่าเห็นว่าเราแย่ บางครั้งในแย่มันก็มีดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเตี้ยมันก็ยังมี (สูง)  เพราะฉันเตี้ยมากๆ เธอถึงได้สูง ต้องขอบคุณฉันนะใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เราอยู่กับใครเราก็จะไม่เป็นทุกข์ แต่มนุษย์เราชอบคิดไปเอง เขามองอย่างนั้นเขาหัวเราะเรา เขามองอย่างนั้นเขาแอบว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ใช่แค่รู้ธรรม แต่ธรรมยังสอนอีกว่าต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันใจ ไม่ใช่ทันเขาด่า แต่ทันใจเราว่ายอมรับความจริงไหม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม และไม่โกรธเขา เราก็มีสุขกับเขาได้
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนฝ่ายหญิง)
แล้วถ้ากลับไปคราวนี้เปลี่ยนบ้าง รู้จักถาม ร้อนไหมแม่ เป็นอย่างไร ก็มีคนเริ่มชมว่าเด็กคนนี้น่ารักจังรู้จักดูแลเอาใจแม่ ใช่ไหม แต่ถ้าบอกแม่ๆ ไปทำอย่างนั้นให้หน่อย เดี๋ยวหนูจะได้ไปนั่งพัก คนเขาจะมองอย่างไร (ไม่ดี)  เพราะอะไร เราใช้แม่ใช่ไหม เราน่าจะทำเองใช่ไหม ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม การอยู่ร่วมกับคนอื่นนอกจากเราจะมองเห็นธรรมแล้วเราต้องรู้จักประพฤติธรรมด้วย ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาสมมติตัวท่านเป็นลูกและนักเรียนฝ่ายหญิงที่สูงวัยเป็นแม่ แล้วแสดงสาธิตให้ทุกคนในชั้นดูโดยท่านพูดว่า “แม่ไปทำทำไมเล่า เดี๋ยวหนูทำเอง แม่นั่งๆ” แล้วก็พูดกับนักเรียนที่นั่งอยู่ท่านหนึ่งเพื่อยกตัวอย่างต่อว่า “ให้แม่ฉันนั่งเดี๋ยวนี้ แกเป็นใคร”)  อย่างนี้ได้ไหม ไม่ได้นะ รักแม่จนทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเรารู้จักมองเห็นธรรม รักษาธรรมในตัวเราแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติธรรมต่อพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่แต่ไม่ใช่ไป
ข่มเหงคนอื่น มันไม่ถูกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถทำได้ แต่ขอให้ศิษย์มีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งและมีสติคอยรักษาใจและดำรงธรรมอยู่ตลอดเวลา ศิษย์ไปไหนคนมองก็ชื่นใจ ศิษย์ทำอะไรคนเห็นก็ดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ถ้าเราไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนรัก เราก็ชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนดูถูก เราก็ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนอื่นเขาจะดูถูกเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเราเองก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่กับใคร ไปกับใคร จงรู้จักปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องและดำเนินชีวิตอยู่ในคลองธรรม ไปทำอะไรมันก็น่ารัก น่าดู น่าชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เราต้องรู้จักพิจารณาให้เกิดธรรม ทำให้เกิดธรรมจริงๆ ด้วย อย่าดีแต่พูด ถึงเวลาไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์หวาดกลัวเรื่องความทุกข์ เราทุกคนไม่อยากมีทุกข์  แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร เราก็บอกว่า เข้าวัดเดี๋ยวก็ดับทุกข์ได้แล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร พระพุทธะสอนไว้ว่า ที่ไหนที่เป็นทุกข์ ในที่นั้นก็เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และก็เป็นความดับทุกข์ และก็เป็นหนทางดับทุกข์ ซึ่งท่านบอกว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในกายอันยาวไม่เกินวานี้ แล้วมันจะดับทุกข์ได้ตอนไหน ตอนที่ยังมีสัญญาและใจนี้ แต่มนุษย์บอกว่า อาจารย์ เดี๋ยวตายทุกข์ทั้งหลายมันก็ดับหมดแล้ว ขอไปเที่ยวเล่นให้สบายใจก่อนเถอะอาจารย์ เดี๋ยวพอตายแล้วมันก็จบๆ กัน ทุกข์มันก็สิ้นกันแล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  ศิษย์เคยได้ยินไหม มันตายไปแล้ว แต่คนบางคนยังเผาพริกเผาขิงด่าแช่งมัน ขอให้มันไม่ไปสู่สุขคติ เคยได้ยินไหม (เคย)  แล้วพอตายแล้วจะจบกันไหม (ไม่จบ) 
แล้วเราเคยทำกับใครแบบนี้ไหม (ไม่เคย) ถ้าเคยทำแบบนี้เขาเรียกว่า คนจองเวรนะ
ฉะนั้นที่ใดเป็นที่เกิดทุกข์ที่นั่นก็สามารถเป็นที่ดับทุกข์ได้ อาจารย์แล้วมันจะดับทุกข์ได้อย่างไรล่ะ ก็เราเป็นคนเห็นเองว่าทุกข์มันเกิดจากไหน เรารู้เองว่าทุกข์มันมาได้อย่างไร ฉะนั้นเราจะจัดการทุกข์เองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเมื่อไรเราเห็นเองว่าทุกข์เกิดจากไหน เรารู้เองว่าทุกข์มาได้อย่างไร แล้วเราจัดการเองแก้ไขเอง ท่านบอกว่าคนที่ทำได้แบบนี้คือ คนที่เข้าใจทุกข์แล้วยังก่อเกิดปัญญาอันมหาศาลด้วย ทำได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ได้ก่อให้เกิดการปฏิบัติภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมยังสอนเข้าไปอีกว่า เราจะสามารถกระทำแล้วดับทุกข์ได้ต้องหันกลับมาดูแล้วแก้ที่ตัวเรา เหมือนดั่งคำพูดที่ว่า ถ้าภายในมันสงบ ภายนอกวุ่นวายก็จัดการได้ แต่ถ้าภายในวุ่นวาย แม้ภายนอกจะสงบ เรานั่นแหละที่จะทำให้ภายนอกป่วนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรื่องธรรมคือเรื่องที่เราต้องมาจัดการกับใจของเราก่อนที่จะแสดงออก ถ้าเราไม่จัดการแล้วเราข่มมันไว้ หน้ามันก็บอกนะ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเจออะไรไม่ได้ดั่งใจ เริ่มต้นง่ายๆ อดทน นิ่ง ได้ไหม (ได้)  เขาด่ามา อดทน ได้ไหม (ได้)  นิ่งแล้วพิจารณาธรรม อาจารย์บอกว่ามันเป็นกลางอันเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกลางของเขาแต่เป็นกลางของเรา จำไว้ว่าจงรักษาความเป็นกลาง เพราะธรรมคือจิตพอดีอันเป็นปกติ ธรรมคือการยอมรับความจริงและรักษาจิตให้พอดีและเป็นปกติ ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้ารักษาได้เราก็มีศีลใช่ไหม (ใช่)  แต่เรารักษาไม่ได้ แล้วเราเบียดเบียนมันเลย ด่ามันเลย นี่แหละเราก็เริ่มไม่มีศีล ไม่มีความสงบ ไม่มีปัญญาเห็นแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาว่าอะไรมา เขาทำอะไรมา นิ่ง มีสติ มองให้เห็นธรรม มันจบเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)
กรรมมันสิ้นแล้ว ทุกข์มันไม่มีแล้ว วันนี้มันจบแล้ว
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า อดีต อนาคตไม่มี ท่านมีแต่ตอนนี้ แต่ทำไมมนุษย์ยังมีห่วงอดีต ห่วงอนาคต ก็เพราะมนุษย์ไม่เคยจบในวันนี้ ใช่ไหม (ใช่)  “อาจารย์ หนูยังต้องห่วงคนนั้น หนูยังต้องดูแลคนนี้ จะให้หนูได้อย่างไรล่ะ” ใช่ไหม “หนูยังต้องไปสอบพรุ่งนี้” แต่ถ้าวันนี้ศิษย์อ่านเต็มที่ อ่านจนตีสอง ตีสาม ตีสี่ ตีห้า ถ้าอ่านแล้วมันไม่ยอมจบสักที พรุ่งนี้จะสอบรอดไหมล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าวันนี้ทำได้ไม่ดี ดูแลได้ไม่ดี แล้วพรุ่งนี้จะรอดไหมล่ะ (ไม่รอด)  วันนี้สามีบอกว่า “จะออกไปข้างนอกนะ” ตีหนึ่งก็แล้ว ตีสองก็แล้ว ทำไมยังไม่กลับมา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราก็คิดในใจ สามีจะรถคว่ำไหม จะเป็นอะไรไหมแทนที่จะคิดดี กลับยิ่งคิดแช่งเขาอีกนะ แล้ววิตกกังวลอย่างนั้นจะได้อะไร (ไม่ได้)  แล้วยังสร้างบาปให้กับตัวเองใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ธรรมจะสอนให้เรารู้ ว่าการยอมรับความจริง และรักษาความปกติของใจให้มันพอดี เมื่อเราอยู่กับใคร เราก็จะไม่ทุกข์ ในความเกินไปบ้าง ขาดไปบ้างของคน เพราะเราเป็นกลางแล้ว แต่บางทีที่เรารับไม่ได้ เราบอกว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเรายึดติด จึงอาจไม่รักษาความเป็นกลางได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม ฟังธรรมอาจารย์ ไม่ยากนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ตั้งคำถาม “ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรคือทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด”
(การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด)  ศิษย์ว่าใช่ไหม อาจารย์ดีใจนะ ที่คนแรกตอบก็ตอบได้ดีนะ เพราะถ้ารู้สึกว่าเรามีความเกิดเมื่อไร เกิดในที่นี้ไม่ใช่เกิดออกมาเป็นตัวเป็นตนนะ เกิดตัวตนที่ยึดว่าเจ็บ ตาย ถ้าคิดแบบนี้ไม่ว่าเจ็บไม่ว่าตายมันก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าเรามองเห็นตามธรรมแล้วไม่เกิดตัวตนเข้าไปยึดถือ ความเจ็บแค่นั้น ความตายช่างมัน ความแก่ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอบได้ดีอาจารย์มีรางวัลนะ
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนที่ตอบคำถามเมื่อสักครู่)
ฉะนั้นความตายน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ศิษย์เอ๋ยถ้าความเกิดมันน่ากลัวความตายก็ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะมันคือความจริงอันเป็นกลาง อาจารย์ถามหน่อยถ้าตอนนี้เพื่อนตายหมดแล้วเหลือเราอยู่คนเดียว ทำอย่างไรก็ไม่ตายเสียที อยากตายไหม จิตของเราแท้จริงมันไม่มีการเกิดดับ แต่สังขารมันต้องมีวันดับถูกไหม จำไว้นะศิษย์จิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคนหรือของศิษย์ทุกคนไม่มีวันเกิดดับ มันเป็นแค่การเปลี่ยนภพเปลี่ยนที่เปลี่ยนสถานะเท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่สภาวะธรรม ธรรมนั้นแหละก็จะผลักดันให้เรากลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้าจิตของเรายังยึดติดความมีตัวตน ต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะสิ้นสังขารแล้วคำว่า “ตัวตน” นี่แหละจะทำให้ศิษย์กลับไปภพชาติที่เป็นไปตามกรรมที่ศิษย์ยึดติดและสร้างสมไว้พอเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า กลัวตาย ถ้าเราไม่ยึดถือในตัวตน เรามองเห็นธรรมอันเป็นจริงแท้ในตัวเราแล้ว ความตายไม่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังกลัวอะไรอีกไหม (ไม่กลัว)  ตอนนี้น่าจะกลัวเผลอไปยึดกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแอปเปิลไหม แอปเปิลนี้กินแล้วตาย เอาไหม (เอา ไม่กลัวความตาย)  เพราะอะไร (เพราะตอนนี้ยังไม่มีเกิด)  ศิษย์เอ๋ย เพราะตอนนี้ถึงจะกินไม่กินแอปเปิลอย่างไรก็ต้องตาย จริงไหม (จริง)  คุยกับอาจารย์อยู่นี้ ศิษย์ก็กำลังตายอยู่นะ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เรากำลังตายอยู่ทุกขณะนะ มีบางอย่างกำลังเจ็บอยู่ทุกขณะ มีบางอย่างกำลังตายอยู่ทุกขณะ ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติด มันจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นกินแอปเปิลแล้วตาย เอาไหม (เอา)  เพราะอย่างไรมันก็ต้องตาย เอาไม่เอาก็ต้อง (ตาย)  แต่พอกินแอปเปิลแล้วอย่าทุกข์นะ
มีใครอยากได้แอปเปิลไหม เอาเพื่อตัวเองหรือเอาเพื่อคนอื่น
(ตัวเอง,คนอื่น)  ถ้าเมื่อไหร่เอาไปเพื่อตัวเอง แปลว่าการเอานั้นจะก่อเกิดทุกข์ เพราะว่าเกิดความอยาก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราเอาไปเพื่อคนอื่น คือการได้สร้างบุญและรู้จักให้ ซึ่งอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นแบบนั้น ชีวิตศิษย์ทำเพื่อตัวเองมาเยอะแล้ว เปลี่ยนเป็นลองทำให้คนอื่นโดยที่ไม่ต้องหวังผลให้ตัวเองบ้างไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่) 

ให้แล้วรู้จักเอาไปให้ต่อ ไม่เก็บไว้แต่ตัวเองนะ อาจารย์ให้เพราะอยากให้ศิษย์รู้จักให้ต่อนะ อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้อาจารย์ให้ไปแล้วมีคนขอเลย ศิษย์จะให้เขาไหม (ให้)  แม้ตัวเองจะไม่ได้นะ แน่ใจนะ (แน่ใจ)  ถ้าไม่ได้เอาไปให้กับคนที่เราอยากให้ ให้เขาไหม (ให้)  อย่างนั้นศิษย์ก็ไม่ได้นะ เพราะอาจารย์บอกว่าถ้ามีคนมาขอคืน แล้วไม่ได้ให้กับคนที่ศิษย์อยากจะให้ แต่เป็นอาจารย์มาเอาคืน เท่ากับจริงๆ แล้วเราเหมือนไม่ได้อะไร ถูกไหม ทำใจได้ไหม (ทำใจได้)  อาจารย์พูดธรรมให้ศิษย์ฟัง อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ได้ปฏิบัติธรรมทันที ถูกไหม
ที่อาจารย์สอนไว้ว่าอย่าก่อเกิดความเกิด เมื่อเกิดมีตัวตนเราหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกข์นั้นยังสอนให้เราเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเรื่องการได้แอปเปิลหรือไม่ได้แอปเปิล เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าใครออกมาอาจารย์จะให้แอปเปิล แต่แอปเปิลนี้อาจารย์บอกว่าไม่ให้เก็บไว้กับตัวแต่รู้จักให้ผู้อื่น ถ้าอาจารย์ไม่ให้ก็ถือว่าศิษย์กำลังให้ผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย บางครั้งความเป็นจริงในโลกนี้เหมือนเราได้แต่จริงๆ ไม่ได้ เหมือนเรามีแต่จริงๆ มันไม่เคยมี แต่มนุษย์ก็ขออดจับมันสักนิด คว้ามันสักหน่อย แล้วก่อนมันจะไปหาใครก็ขอให้ทำใจก่อน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นขอให้จับก่อนนะแล้วจะขอคืน
ในโลกความเป็นจริงใบนี้เราเหมือนเราคว้ามาได้ เราเหมือนเราครอบครองอะไรได้แต่จริงๆ แล้วถามลึกๆ มีอะไรที่เป็นของเราจริง มีอะไรที่เราถือได้จริง มีอะไรที่ตลอดชีวิตมันอยู่กับเราไม่ไปไหน (ความดี)  ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์แค่ให้ศิษย์นึก ศิษย์พยายามหาความรัก ศิษย์พยายามหาเงิน  ศิษย์พยายามหาเกียรติยศ แต่สิ่งที่ศิษย์หามาทำให้ศิษย์กำลังสูญเสียคุณธรรม สูญเสียความดี แล้วสิ่งที่ศิษย์ได้มานั้นมันคุ้มค่ากับคุณธรรมความดีในจิตใจที่ศิษย์สูญเสียไหม แต่ถ้าวันนี้เราเข้าใจธรรม ได้น้อยหน่อย มีน้อยหน่อย แต่ธรรมยังอยู่ในใจ แล้วได้ใจคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น ยอมบ้างไหม (ยอม) ยอมหรือ มาด้วยกันมันได้หน้า เราไม่ได้ เราเหนื่อยอยู่คนเดียวยอมไหม (ยอม)  เอาไหมแอปเปิล (เอา) กลับไปนั่งนะเดี๋ยวขอคืน ให้คืนไหม (ให้)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ บางอย่างถ้าถึงเวลาเขามาขอคืนก่อนที่เราจะทำใจ บางทีอาจารย์ก็อยากจะบอกว่ายอมได้ สละได้ ให้ไปเถอะ อย่ารอจนกระทั่งมันถึงเวลาแล้วมันจากไปบางทีมันเจ็บปวดกว่านะ เพราะเพิ่งรู้จักมันไม่นานก็เสียแล้ว บางทียังรู้สึกดีกว่า รู้จักมานานแล้วครอบครองมันมานานแล้วนะอาจารย์ อาจารย์จะเอามันไปหรืออาจารย์
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าบางทีแค่เรียนรู้ แต่ไม่ต้องครอบครอง ไม่ต้องไขว่คว้า บางทีมันทำเราเจ็บปวดน้อยกว่า จริงไหม (จริง)  เหมือนสิ่งที่ศิษย์พยายามคว้า ไม่ว่าเงิน ไม่ว่าความรัก ไม่ว่าชื่อเสียง ไม่ว่าความสุขสบาย เราหวังว่าจะได้มี หวังว่าจะได้มา แต่ถึงเวลาที่สุด พอกำลังจะสบาย ทำไมทุกข์ พอกำลังจะมี ทำไมเสีย ใช่ไหม เหมือนกับแอปเปิลที่เมื่อครู่เหมือนจะได้ อ้าว! ไม่ได้แล้วหรืออาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนที่ออกมาท่านหนึ่ง) เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ขออย่างหนึ่ง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบได้ไหม แล้วเดี๋ยวอาจารย์ให้ไปนั่งเลย ให้แอปเปิลด้วย แถมรักษาด้วย ตัวเองตัดสินใจเอง ศิษย์เอย เหล้าบุหรี่มันทำให้ปากม่วง หน้าคล้ำ ตัวดำแล้วนะ ถ้าตอนนี้รับไปยังแก้ทัน ถ้าตอนนี้ไม่รับไป เป็นอะไรอย่ามาเรียกอาจารย์จี้กงให้ช่วยนะ พูดขนาดนี้แล้วยังไม่เอา เอาไหม (เอา)  อย่าเผลอไปกินนะ เพื่อนชวนสักเป๊กสองเป๊กก็ไม่เอานะ เบียร์ก็ไม่กินนะ มนุษย์มักจะบอกว่า อาจารย์ เหล้ามันเป็นยา กินนิดกินหน่อยมันกระชุ่มกระชวยดีนะอาจารย์ ใช่หรือเปล่า เหมือนศิษย์ไปเล่นหวยใต้ดิน นิดๆ หน่อยๆ อาจารย์ พอนิดๆ หน่อยๆ ทำไมตอนนี้มันเริ่มเยอะ เริ่มเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเอาก็ไปนั่ง เอานี่แปลว่าต้องทำได้ ไม่กินตลอดชีวิต ไม่ทำมันตลอดชีวิตนะ ทำได้ไหมศิษย์ (ทำได้)  ทำได้ก็ไปนั่ง อายุปูนนี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ ใช่ไหม ทำได้ไหม (ทำได้)  ทำได้คือ (ไม่กิน)  ไม่กินอะไร (ไม่กินเหล้า)  เหล้าขาวก็ไม่กินนะ ยาดองเหล้าก็ไม่กินนะ เบียร์ก็ไม่กินนะ เอาไหม (เอา)
อาจารย์อุตส่าห์เชื่อมั่นในตัวศิษย์แล้วนะ ทำไมศิษย์ไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะใช่ไหม ทุกคนให้กำลังใจทำได้ไหม (ทำได้)  มั่นใจไหม (มั่นใจ)  เชื่อเขาไหม (เชื่อ)  ปรบมือดังๆ หน่อย ยังไม่ต้องหักดิบก็ได้ อาจารย์ให้ค่อยๆ ลดได้ไหม จากปกติ วันละขวด วันละซอง ให้เหลือเป็นเดือนละซอง ค่อยๆ นะเพื่อตัวศิษย์เองนะ
ความเกิดเป็นตัวเป็นตนนี่น่ากลัวนะ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเกิดอยากตามรสชาติที่ตัวเองเคยจำได้ นั่นก็เรียกว่าการเกิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเกิดอยากสวย ปรุงแต่งตัวเอง นั่นก็คือการเกิดเป็นตัวตน ฉะนั้นเกิดกี่ที ก็ต้องทุกข์ทุกที เพราะทุกข์ต้องวิ่งไปตามอยากที่สนองตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราลองคิดแค่เพียงว่า แต่งสวยไปก็ (ตาย)  แต่งหล่อไปก็ (ตาย)  ให้มันจริงเถอะ ศิษย์รู้ไหมว่าอาจารย์เคยบอกไว้ว่าเสื้อผ้ามันก็เหมือนเอามาปิดถุงขี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์เคยพูดว่า ออกจากตาเรียกว่าขี้ตา ออกจากปากเรียกว่าขี้ปาก ออกจากมือเรียกว่าขี้มือ ฉะนั้นในตัวเรานี้เรียกว่าถุงขี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราชอบถุงขี้ไหม เรากำลังแต่งตาให้กับถุงขี้ เรากำลังแต่งหล่อให้กับถุงขี้ และเรากำลังหลงถุงขี้ แล้วเราก็ไปหาถุงขี้มาเพิ่มอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ยังผลิตถุงขี้เพิ่มอีก ฉะนั้นทุกอย่างที่ออกมาจากเราก็เป็นขี้ อาจารย์พูดผิดไหม (ไม่ผิด)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า สังขารเราก็เพียงแค่ยืมใช้ แต่ถ้ายึดติดถึงขนาดก่อบาปก่อกรรมก็ไม่ถูกต้องแล้ว ถ้ายึดติดแล้วทำให้ทำลายคุณธรรมในจิตใจก็เรียกว่าไม่ถูกต้อง ไม่ดีงามแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาเล่นอะไรกันหน่อยดีไหม การเล่นของอาจารย์ก็คือส่งแอปเปิล แอปเปิลอยู่ที่ตัวศิษย์หลายคนแล้วใช่ไหม อาจารย์จะให้แอปเปิลได้ผ่านหลายๆ มือ ดีไหม (ดี)  ของบางอย่างบางทีมันอยู่กับเราแต่บางครั้งมันก็ไม่อยู่กับเรา ของบางอย่างบางทีมันเหมือนเป็นของเราแต่จริงๆ แล้วบางทีมันไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นอาจารย์อยากให้คนที่ได้รับรู้จักการพลัดพรากบ้าง คนที่มีให้รู้จักให้คนอื่นแล้วไม่มีบ้างได้ไหม (ได้)  ได้นะถ้าอาจารย์บอกว่าหยุดแล้วแอปเปิลอยู่ที่ใคร ไม่ได้กลับมาคืนศิษย์ ศิษย์พร้อมจะให้คนคนนั้นไหม ศิษย์เอ๋ยเราอยู่ในโลกนี้ไม่วันนี้ก็วันหน้าไม่ให้ก็ต้องให้ใช่ไหม (ใช่)  ถามจริงๆ หาเงินมาแทบตาย ถึงเวลาตายไปใครใช้เงินเรา (ลูกหลาน)  บางทีเป็นลูกหลาน แต่บางทีไม่ใช่อาจจะเป็นเจ้าหนี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอย สิ่งที่ศิษย์หาแล้วศิษย์ว่ามันมี มันเป็นของเรา จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์จะรู้ว่าในตัวเราก็ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะมันไม่มีตั้งแต่ต้น แต่เราไปหลงเอาว่ามันเป็นของเราจริงไหม (จริง)  ส่งไหม (ส่ง)  อย่างนั้นนับหนึ่งถึงสิบดีไหม (ดี)  พอแอปเปิลไปอยู่ที่มือใครเดี๋ยวอาจารย์ก็จะให้แอปเปิลนั้นต่อ แล้วคนนั้นก็ส่งต่อไปอีกดีไหม (ดี)  คราวนี้แอปเปิลนี้จะได้ทุกคนเลยใช่หรือไม่ แล้วทุกคนจะได้มีแอปเปิลใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหลับตา)  บางครั้งการเห็นมากก็ทำให้เรายึดติดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าแอปเปิลมันผ่านมาก็จับให้มันดีๆ แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปนะ ถ้าถึงสิบแล้วมันไม่ได้ลงที่เราก็ถือว่าโชคมันผ่านไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่หรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้พี่เลี้ยงและผู้ปฏิบัติงานธรรม เล่นเกมส่งสับปะรดพร้อมนักเรียนโดยให้หลับตา)
อยู่ด้วยกันต้องรับความแหลมคมของคนอื่น และก็ของตัวเองให้ได้นะ ตอนนี้ทุกคนหลับตานะ พร้อมหรือยัง นับหนึ่งถึงสิบนะ ถ้าแอปเปิลและสับปะรดไปอยู่ที่ใคร ก็ออกมารับจากอาจารย์เพิ่ม ดีไหม (ดี)
ลืมตาเลย ใครได้แอปเปิลออกมารับเพิ่ม โชคดีนะยังกลับมาเจอคนเดิมอีกนะ อาจารย์จะให้อีกดีไหม อาจารย์จะให้เพิ่ม แต่รู้จักให้ต่อนะ เอาไปให้ใครบ้าง (ให้น้อง)  ลูกที่เพิ่งได้ใหม่คือของศิษย์นะ แต่ลูกที่ศิษย์เพิ่งเล่นคือส่งต่อนะ
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ได้สับปะรด)
จะเอาไว้หรือจะส่งต่อ (ส่งต่อ)  สับปะรดอยู่ที่ตัวแปลว่าอะไรรู้ไหม (ต้องมีใจพร้อมรับกับทุกสิ่งได้)  แต่เราต้องอย่าสร้างปัญหาเองนะ จริงๆ สับปะรดตามความหมายทางธรรมมีอีกอันหนึ่ง คือ บุกเบิก ฉะนั้นได้ไป ถ้ามีโอกาสก็ไปบุกเบิก เก็บไว้นะ เพราะอาจารย์อยากให้ไปบุกเบิก พร้อมกันอยู่แล้ว ลูกก็ไม่ต้องห่วงแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาให้ส่งผลไม้ไปข้างหลัง ให้ผู้ร่วมฟังเล่นเกมด้วย)
แอปเปิลอยู่ที่ใคร ผู้ร่วมฟังยืนขึ้น โชคดีนะได้สองลูกเลยหรือ ศิษย์ไม่ต้องตกใจ ดีแล้ว เก็บไว้เป็นมงคลกับตัวเองนะ และมงคลนั้นต้องรู้จักส่งต่อให้ผู้อื่นด้วยนะ ได้ไหม (ได้)  หิวข้าวหรือยัง (ยัง)  ยืนเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  อาจารย์จะต่ออีกสักนิดไหวไหม (ไหว)  หรือจะลงไปกินข้าวก่อน (ไม่ลง)
เราคุยกันไปจนถึงเรื่องอะไรบ้าง พอจำได้ไหม อาจารย์พูดไปหลายเรื่อง เรื่องแรกคือการปฏิบัติธรรมเพื่อดำเนินชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  เราสามารถปฏิบัติได้ทุกขณะ แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนมีความจริงที่หนีไม่พ้น และความจริงที่หนีไม่พ้นนั่นก็คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งในความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น ก็มีอยู่ในทุกผู้คนและก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา หรือเรียกอีกหนึ่งว่า ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรม อันทำให้ทุกคนเสมอกัน ธรรม อันทำให้ไม่ว่าคนยากดีมีจนก็ต้องเจอเรื่องนี้เหมือนกัน ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกไว้ว่า “มนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เหมือนกัน จะโกรธเกลียดกันไปทำไม” เพราะถ้าเราไม่โกรธเกลียด บาปกรรมก็ไม่เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คุยกันมาตั้งเยอะแล้ว ศิษย์พอรู้ไหมว่าบาปกรรม มันเกิดจากการที่เราทำอย่างไรหรือ ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (ทำชั่ว)  ทำชั่วคือไม่ดี ไม่ดีคือ (ทำชั่ว)  สมมุติอาจารย์ให้แอปเปิลศิษย์ไป แต่อาจารย์บอกว่าเอากระเป๋าศิษย์มาอย่างนี้เรียกดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ให้จริงๆ นะ แล้วให้ไหม (ให้)  แน่ใจนะ ถ้าทำอย่างนี้ได้จริงๆ อย่างนี้ก็ดีนะ ศิษย์จำไว้นะถ้าชีวิตมันต้องเจอเรื่องที่มันสุดแก้ได้ อับจนหนทาง ขอเพียงใจเราสู้ คนเรานี้ก่อนมาเราไม่มีมัน แล้วจะบอกเราสูญเสียมันหรือ ไม่ใช่นะเราไม่เคยสูญเสียอะไร แต่ความยึดมั่นทำให้เรารู้จักสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ไม่ท้อชีวิตศิษย์ไม่ยอมแพ้มัน ไม่มีก็หาใหม่ได้ จึงมีคำพูดคำหนึ่งว่า “ของเสียได้แต่ใจอย่าเสีย คนจากไปได้แต่ใจอย่าสูญหาย” ความชั่วก็คือ จิตใจที่เบียดเบียนอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของเราโดยไม่คิดคำนึงถึงคุณธรรมและความเมตตาในจิตใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์แค่อยากให้เขาเห็นว่าชั่วมันคืออะไร ถึงจะดีอย่างไรแต่ถ้าอยากได้ของผู้อื่นแล้วเบียดบังน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นจะดีอย่างไรก็ไม่เรียกว่าดีหรอก ใช่ไหม (ใช่)
นอกจากไม่ดี มันมีอะไรอีกที่สามารถชักชวนทำให้เราหลงผิดทางได้ ความโกรธ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเวลาความโกรธมันมา เราหยุดได้ไหม (ได้)  หยุดได้โดยการ ศิษย์เอย เวลาเจอคนไม่ได้ดั่งใจ บางทีมันไม่ไหว มันกลั้นไม่อยู่แล้ว ทำไมมันเป็นแบบนี้นะ นี่คือความโกรธ ถูกไหม (ถูก)  สิ่งที่โกรธเวลาเกิดขึ้น แล้วจะทำอย่างไร ก็เข้าใจนะ โกรธมันก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทำไมอาจารย์ไม่ให้หนูโกรธ มันต้องปล่อยออกมา ถ้าไม่ปล่อยออกมามันจะอกแตก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น เวลาโกรธทำอย่างไร วิธีง่ายๆ นะศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ มีใครในโลกสมบูรณ์แบบ ไม่ผิดผลาด เราคาดไว้แล้วไม่ผิดคาดเลย มีไหม (ไม่มี)  เราว่าอย่างไร เขาว่าอย่างนั้น เราชมอย่างไร เขารู้จักทำอย่างนั้น เราพูดหนึ่ง เขารู้จักสอง สาม สี่ ห้า เขารู้ใจไปหมดเลย มีไหม (ไม่มี)  ตลอดชีวิตห้าสิบปีที่ผ่านมาเจอคนแบบนี้บ้างไหม (ไม่เจอ)  มีแต่บอกหนึ่ง เขาไปสอง บอกซ้ายเขาไปขวา แบบนี้เจอเยอะกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราจำไว้ในใจ เราจะเจอคนที่ผิดคาด เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะไม่โกรธ อาจารย์จี้กงเคยบอกแล้วไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบในโลกหรอก และก็ไม่มีอะไรเป็นได้ดั่งใจหรอก จริงไหม (จริง)  คนที่เราบอกหนึ่งเขาก็หนึ่ง บอกสองเขาก็สอง ดูดีๆ นะ เขาอาจจะแอบขออะไรเรา แต่คนที่บอกหนึ่งแล้วไปสอง บอกสองแล้วไปสาม บางทีดูดีๆ นะ อย่าเพิ่งโกรธ มันอาจจะให้สติเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มองให้ชัด ก่อนจะโกรธ ก่อนจะเกลียด ก่อนจะด่าเขา เขาพูดจริงไหม ถ้าเขาพูดจริง อย่างที่อาจารย์บอก อดทนก่อน นิ่งก่อน แล้วมองดู รักษาใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยความโกรธออกไป อย่าปล่อยความเกลียดออกไป อย่าก่อกรรมบาป อย่าก่อเวรกรรม อย่าก่อทุกข์ ถ้าเราหยุดยั้งได้ ความโกรธก็ทำอะไรเราไม่ได้
เหมือนเราเล่นกับใจตัวเอง เรารู้จักเล่นเกมใช่ไหม (ใช่)  อะไรเราก็จัดการได้ ไม่รู้วิธีเล่น ไม่อ่านคู่มือ แถมมั่วๆ ยังไปได้ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์อาจารย์น่ะเก่งนะ แล้วอย่างนี้ความโกรธมาจากไหน มันก็มาจากใจเราเอง แล้วทำไมเราจัดการมันไม่ได้ล่ะ เราสร้างมันขึ้นมามันจะอยู่ในอาณัติเราไม่ได้หรือ มันจะฟังเราไม่ได้หรือ แล้วเราจะหยุดมันไม่ได้หรือใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครเกิดมาโกรธมาตั้งแต่แรกเกิดเลย ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครอยากมีโกรธไปตลอดชีวิต (ไม่เอา)  แล้วจะเลี้ยงมันไว้ไหม (ไม่เลี้ยง)  ฉะนั้นเจอคนขัดใจ มันเป็นธรรมดาไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เรายังไม่ได้เรื่องเลยเขาก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ในเมื่อเรายังจัดการอะไรได้เยอะแยะ ศิษย์บางคนเรียนก็เก่ง หาเงินหาทองก็เก่ง แต่จริงๆ ตัวเองไม่เก่ง ฉะนั้นเมื่อมีความโกรธมา เราเป็นนายมัน มันไม่ใช่นายเราถูกไหม บอกมันเลย ช่างหัวแก อย่าให้มันครอบงำ เพราะถ้าเมื่อไรครอบงำแล้วก่อเกิดเป็นบาป ก่อเกิดเป็นการเบียดเบียน ก่อเกิดเป็นการชิงชังเคียดแค้นแล้ว มันก็ไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นที่อาจารย์พร่ำพูดมาตั้งเยอะแยะ ไม่ได้ยากเลยในการปฏิบัติธรรม แต่อยู่ที่ว่าอย่าไปคิดควบคุมใคร ให้ควบคุมใจ ถ้าพูดแล้วมันจะกลายเป็นบาปกรรม ไม่พูดดีไหม (ดี)  ถึงสิ่งที่พูดนั้นเป็นจริงแต่ถ้าจริงแล้วมันทำให้คนอื่นไม่ดี อย่าออกจากปากเราดีไหม (ดี)  ดีคือทำไม่ทำ (ทำ)  ทำนั่นคือพยายามไม่พูดใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติวันนี้อาจารย์ไปเจอคนนี้แล้วไม่ดี อาจารย์ก็ข่มไว้ในใจ จะไม่พูดจะไม่ก่อกรรมกับเขานะ แต่พอเจอเพื่อน มันไม่ไหวน่ะ พูดหน่อยเถอะ พอพูดเสร็จแล้ว เพื่อน
เห็นด้วย เพื่อนรักเรา ก็บอกว่าเขาแย่ กลายเป็นว่า เรากำลังร่วมสังฆกรรม แล้วก็ร่วมกันก่อกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ทำแบบนั้นไหม

จำไว้นะอย่าเผลอ เพราะถ้าเกิดทุกเวลาทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตนี้ แล้วจบกรรมทุกขณะ ชาติหน้าก็ไม่มีแล้ว เพราะมันสิ้นทุกข์แล้ว มันสิ้นกิเลสแล้ว แต่จะทำไม่ทำ ถึงเวลาขอให้มีสติรู้เท่าทันและมองเห็นธรรมนะศิษย์ แม้มันจะอย่างไหนมันก็คือธรรม ที่เราต้องรักษาความเป็นกลางในใจ แล้วศิษย์จะพบพระพุทธะที่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องรอมาที่วัดก็ได้ ไม่ต้องรอมาเจอพระก็ได้ แต่เราจะเป็นพระบนโลกใบนี้ ที่ไปที่ไหนก็ทำให้คนเห็นธรรมและร่มเย็นในธรรม ดีกว่าไหม (ดี)  ประเสริฐไหม (ประเสริฐ)  ไปไหม (ไป)
อาจารย์ก็ได้แต่ส่งใจอวยพร ขอให้ศิษย์ไปให้ถึงธรรมอันนั้น ธรรมที่ไม่ได้อยู่ในใจอาจารย์ แต่มันอยู่ในใจศิษย์ทุกคน ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากอาจารย์พยายามยัดเยียดให้ศิษย์ แต่มันเกิดจากศิษย์ที่รู้ตื่น คิดได้ เห็นได้ ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกคนคือธรรมนะ ทุกเมล็ดพันธุ์คือธรรม แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกเมตตาธรรม กรุณาธรรม จริยธรรม สัตยธรรม หรือเลือกโกรธ เกลียด โลภ หลง เอาแต่ใจ เห็นแก่ได้กัน จำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีทางให้เลือกเดิน แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เห็นทุกข์เป็นธรรม”)
ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของศิษย์ทั้งหลายคือช่วงเวลาที่ศิษย์ได้เห็นธรรมในความทุกข์นั้น ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์กำลังสูญเสียคือเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นธรรม ธรรมที่มีเยอะมาก ธรรมที่มีจนบรรยายไม่หมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์กำลังสูญเสียคือบุคคลที่ศิษย์รู้สึกรักใคร่ บุคคลที่ศิษย์รู้สึกรักได้จากศิษย์ไป แต่สิ่งที่เขาจากไป เขาทิ้งธรรมอันมหาศาลให้ศิษย์ได้รับรู้ แล้วเราจะแค่รู้หรือเอาไปปฏิบัติ เราจะแค่เห็น ซึ้ง น้ำตาไหล ถึงเวลานิสัยเราก็เหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นกลอนที่ศิษย์ช่วยอาจารย์วงยังเป็นกลอนที่ได้กล่าวถึงบุคคลอันเป็นที่เคารพรักได้จากไปแต่ได้ทิ้งธรรมให้ศิษย์ได้ระลึกถึงได้คิดถึง
“ฟ้าสีหม่นคนเป็นทุกข์เพราะพลัดพราก              ห้วงเวลาที่ยากทำใจยอมรับ
จงแปรทุกข์กลายเป็นธรรมตามลำดับ   แสงที่ดับกลับสว่างกลางใจคน
เมตตาสละเป็นแบบอย่างไม่หยุดพัก     เป็นเพราะรักเมตตาเย็นดุจสายฝน
เสกรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่ตน  ขอฝึกฝนตามรอยพระราชา
จงทำต่อจากจุดที่ท่านหยุดเดิน            สรรเสริญด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรื่องความดีไม่มีห้วงเวลา                    ไทยทั้งหล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
สิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้มากที่สุดคือ คนที่มีโอกาสสบายที่สุดแต่ยอมลำบาก หัวใจนั้นยิ่งใหญ่ คนที่มีโอกาสสบายที่สุดแต่รู้จักสละตัวเองเห็นแก่ผู้อื่นนั้นคือหัวใจแห่งพระ ถ้าสรรเสริญท่านก็จงนำปณิธานของท่านนั้นมาประพฤติปฏิบัติให้ดี เพราะว่าเรื่องความดีไม่เคยสูญหายไปจากใจคน ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ก็อยากจบ แล้วจากศิษย์ด้วยความสุขและความปิติใจ ฉะนั้นขอให้ศิษย์ดำเนินชีวิต รู้จักนำพาชีวิตตัวเองไปให้ถูกทางและมีธรรมประจำใจนะ
อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงซ้ายกังวลขวาเลยนะ จงเป็นพระที่พึ่งให้กับตัวเอง และจงเป็นพระที่พึ่งให้กับผู้อื่น จงมีความร่มเย็นให้กับตัวเองและจงเอาความร่มเย็นนั้นเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมได้อย่างงดงามและถูกต้อง ใครไม่ดีอย่างไรช่างมันเถอะนะ ตัวเองดีหรือยัง ฉะนั้นลูกศิษย์ของอาจารย์มีแต่แก้ไขตัวเอง ไม่แก้ไขใคร เปลี่ยนชะตาตัวเองด้วยมือเราเองนะ อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนมันจำกัด เป็นศิษย์อาจารย์แล้ว ความเป็นตัวตนต้องยิ่งใหญ่เหนือคำจำกัด นั่นแหละถึงจะเรียกว่าพบธรรม ใช่หรือไม่ ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์พบแล้ว อาจารย์เจอแล้ว แล้วศิษย์ก็เคยได้ให้คำสัญญากับอาจารย์ไว้แล้ว แต่ศิษย์แค่ลืมไป หลงไป แค่นั้นเอง ฉะนั้นอาจารย์แค่มาปลุกให้ศิษย์ตื่น ตื่นแล้วมองความจริงให้เห็นธรรม ปล่อยวางตัวตนบ้าง เสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้าง มันไม่ยากหรอก บุญบารมีเกิดจากการให้ ให้จนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ประเสริฐที่สุดแล้วศิษย์ ให้จนไม่เหลือตัวตน ให้จนไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขของตัวเอง เห็นเขายิ้มได้ หนูสุขแล้วอาจารย์ เอาหัวใจนั้นไปนะศิษย์
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีก มีโอกาสกลับมาอีกนะ รู้จักระมัดระวังดูแลตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความโลภความหลงมันทำร้ายตัวเอง รักษาจิตรักษาใจให้ดีนะ ทำให้ได้นะ อย่าดื้อ ตั้งใจเรียน เป็นคนดี อย่าหลงไปกับรูปลักษณ์อันจอมปลอม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนประชุมธรรม ๑ วัน)
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เสียดายฟังไม่จบ มีโอกาสกลับมาทำให้จบนะ คนบุญคนดีของอาจารย์ หลงไปบ้างก็ดึงๆ กลับมานะ เสียสละอุทิศเพื่อประชาทำไม่ยาก แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยยอมทำ ตั้งใจทำให้ดีนะ จิตใจอันดีงามมีอยู่ในตัวศิษย์แล้ว แต่ต้องเข้มแข็ง จับมืออาจารย์ไหม มุ่งแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด ขอเพียงสำคัญคือจิตใจนะ สังขารมันเป็นแค่ร่างกายอันจอมปลอม ใจต้องเข้มแข็ง อาจารย์ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครหายไปก็เรียกกลับมา อ่อนแอไปก็ลุกขึ้นใหม่ กลับมาอีกนะ อาจารย์ไปแล้วนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เห็นทุกข์เป็นธรรม”
  ฟ้าสีหม่นคนเป็นทุกข์เพราะพลัดพราก      ห้วงเวลาที่ยากทำใจยอมรับ
จงแปรทุกข์กลายเป็นธรรมตามลำดับ         แสงที่ดับกลับสว่างกลางใจคน
เมตตาสละเป็นแบบอย่างไม่หยุดพัก           เป็นเพราะรักเมตตาเย็นดุจสายฝน
เสกรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่ตน         ขอฝึกฝนตามรอยพระราชา
จงทำต่อจากจุดที่ท่านหยุดเดิน                สรรเสริญด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรื่องความดีไม่มีห้วงเวลา                       ไทยทั้งหล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-28 สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

西元二○一六年歲次丙申四月二十二日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙      สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  อย่ารับศีลแต่กลับไม่ปฏิบัติ             คนใฝ่ดีแต่กลับทำไม่ได้
จิตสำนึกความถูกต้องเลือนหายไป       แล้วจะเหลือธรรมอะไรคอยยั้งตน
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานหงหยัง แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
  การเป็นคนมุ่งมั่นจึงทำมาก             ขอฝากอย่าได้ทำตัวลุ่มหลง
ขี่หลังเสือต้องรู้ทางลง                    เดินสายตรงบำเพ็ญด้วยปัญญาธรรม
การบำเพ็ญท่ามกลางมวลหมู่ปัญหา     แกนความศรัทธามีปัญญาชูค้ำ
ตนคนดีฟื้นฟูคุณธรรม                    ฟื้นงามในใจธรรมมาประคอง
กิริยางดงามหลั่งล้นออกไป               นิสัยดีจิตได้การยกย่อง
คำพูดงามผู้นำนักปกครอง               รักษาความถูกต้องธรรมเกรียงไกร
คนบำเพ็ญสุภาพชนไม่เล่นมุข[๑]          สัจธรรมไม่กลืนหายทุกยุคสมัย
คุมสติใช้ไปทุกเรื่องง่าย                   ประจักษ์โทษนิสัยเพราะสิ่งที่เป็น
ตามใจตนหลงตามกิเลสอัตตา            ตามนิสัยเพาะอวิชชาพาทุกข์เข็ญ
ตื่นรู้ตนมีสติธรรมร่มเย็น                 เกิดปัญญาธรรมเป็นรู้เหมาะควร

                                                                                                      ฮิ ฮิ หยุด




[๑] มุข  มีลูกเล่นตลกโปกฮา

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

เราเล่นเกมอะไรเอ่ยดีไหม เราถามนะ อะไรเอ่ยบางครั้งก็มี บางครั้งก็ไม่มี อะไรเอ่ยบางครั้งก็เล็กนิดเดียว บางครั้งก็ใหญ่ อะไรเอ่ยบางครั้งก็ดูดี บางครั้งก็ดูแย่ (ใจ,จิตของเรา,สตางค์)
มีสตางค์บางครั้งก็ดี บางครั้งก็แย่ใช่ไหม บางทีมันก็ใหญ่ บางทีมันก็เล็กใช่ไหม ใช่สตางค์ไหม ถูกไหม (ไม่ถูก)  อะไรที่มีเหมือนไม่มี อะไรที่บางครั้งเล็กนิดเดียว บางครั้งก็เหมือนใหญ่มากๆ และอะไรหรือที่บางครั้งก็ดูสวยแต่บางครั้งก็ดูแย่ คือใจของเรา นั่งอยู่ตรงนี้บางครั้งมันก็อยู่ บางครั้งก็ไม่อยู่ นั่งตรงนี้เดี๋ยวบางครั้งก็รู้สึกดี บางครั้งก็รู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็เหมือนรู้สึกอยู่ บางครั้งก็เหมือน (ไม่รู้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าเราคุมใจตัวเองได้อยู่ ใจก็จะสามารถคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีหรือแย่ ให้มีหรือไร้ก็ได้ และถ้าเราคุมใจได้อยู่ รู้เท่าทันใจตัวเอง ใจดวงนี้ก็จะทำให้เรารู้สึกสวยหรือไม่สวยก็ได้ และถ้าเรารู้เท่าทันใจคุมใจได้อยู่ แม้เราอยู่ตรงนี้ บางครั้งเราก็เหมือนไม่อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าฟังธรรมแต่กลับไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอยากจะให้เราอยู่หรืออยากให้เรากลับ (อยู่)  การอยู่ของเราบางทีอาจจะดีแล้วก็ไม่ดีได้ แล้วการอยู่ของเราบางครั้งมีก็เหมือนไม่มีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ศึกษาธรรมจึงไม่ใช่ผู้อื่นผิด ผู้อื่นไม่ดี ผู้อื่นแย่ ผู้อื่นไม่ได้เรื่อง ผู้อื่นไม่เห็นมีอะไร ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าเราเห็นเขามีหรือไม่มี เห็นเขาดีหรือเห็นเขาแย่ เห็นเขาสวยหล่อหรือเห็นเขาไม่ได้เรื่องได้ราว แท้จริงอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่ใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนฝึกสติโดยการลุกนั่งตามคำสั่ง)
ง่ายหรือไม่ (ง่าย) แต่ชีวิตง่ายแบบนี้หรือไม่ (ไม่)  การเล่นเกมก็เหมือนการฝึกสติ  ถ้าเราช่วยตัวเองให้รอด เราจะช่วยเพื่อนให้รอดด้วย แต่ถ้าเราช่วยตัวเองไม่รอดเราก็ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนถูกหรือไม่
ท่านรู้ไหมการเรียนรู้ศึกษาธรรมสิ่งสำคัญคือจิตสำนึกของความถูกต้อง จิตสำนึกของความเป็นคน ถ้าคนเราลืมจิตสำนึกของความถูกต้องและจิตสำนึกของความเป็นคนไม่มี ก็จะลืมไปว่าตัวเองทำหรือเป็นอะไรอยู่ เพราะจิตสำนึกแห่งความถูกต้องหรือจิตสำนึกแห่งความเป็นคนหลงลืมแล้ว เราก็ทำผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราทำผิดๆ ถูกๆ แล้วถูกคนต่อว่า เรามักจะไม่ยอมรับผิด  ถ้าเขาสั่งครั้งแรกแล้วท่านฟังไม่รู้เรื่องนั้นเป็นความผิดของคนสั่ง  แต่ถ้าเขาสั่งครั้งที่หนึ่งก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว ครั้งที่สามก็แล้ว ท่านยังผิดอีก นั่นไม่ใช่ผิดที่คนสั่งแต่ผิดที่ตัวท่านแล้ว อย่างนั้นเรามาดูกันต่อว่าใครจะทำถูกหรือผิด
สิ่งที่สำคัญท่านต้องรู้จักตัวเองก็พอแล้ว เพราะถ้าท่านรู้จักตัวเองท่านก็จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจริงไหม (จริง)  ถ้ามีสติรู้หน้าที่ของตัวเองแล้วก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดี ก็ไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้ผู้ที่ทำผิดออกมาเต้นเป็ดแต่นักเรียนไม่กล้าออกมาเต้นเป็ด)  จริงๆ แล้วการเต้นเป็ดก็ไม่เห็นจะน่าอายอะไรเลย เต้นเป็ดทำให้คนมีความสุข ดีกว่าไปกินเหล้า สูบบุหรี่ มีชู้ ใช่ไหม (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นรากเหง้าของความเจริญ ถ้ารากเหง้าของความเจริญรู้จักอบรมให้มีศีลมีธรรม รากเหง้าของความเจริญนั้นก็จะเป็นสิ่งที่ดีงาม” ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นรากเหง้าของความเจริญ ขาดเรื่องศีลเรื่องธรรม รากเหง้านั้นไปอยู่ที่ใดก็พร้อมจะทำลายทำร้ายคนให้เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเขาเรียกว่าเรียนทางโลกทำให้คนฉลาด แต่เรียนธรรมะทางธรรมทำให้คนดี คนขยันเรียนทางโลกจึงเป็นคนฉลาดแต่พอให้เรียนทางธรรมเขาบอกว่าขี้เกียจ ฉะนั้นจึงกลายเป็นว่าคนในโลกเป็นคนฉลาดแต่หาเป็นคนดีได้สมบูรณ์ไม่ 
ฉะนั้นถ้าเราเรียนทางโลกแล้วเรายังเรียนทางธรรมเราก็จะกลายเป็นคนที่ทั้ง ฉลาดและดี  แต่คนในโลกยังอยากเป็นแค่คนฉลาดแต่คนดียังไม่อยากเป็น คนฉลาดนั้นก็พยายามจะเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ตนเองนั้นลืมเป็นคนดี เราจึงเห็นคนในโลกมากมายที่ตัวเองยังไม่ค่อยดี ยังไม่ค่อยซื่อตรง ยังไม่ค่อยบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่เรียกให้คนอื่นดี ซื่อตรง มีความยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ใดใครก็รัก จริงไหม
ถ้าเราเป็นคนมีเมตตา มีน้ำใจ ไปอยู่ที่ใดใครๆก็เคารพให้เกียรติ ถ้าเราเป็นคนซื่อตรง  ไม่คิดคด ไม่คิดฉ้อฉล ไม่คิดเอาเปรียบ ไปอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครดูถูกเหยียดหยาม  ถ้าเราเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ไม่นิ่งดูดาย ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก จริงหรือไม่ (จริง) แต่ในความจริงมีใครรักเราหรือไม่  มีใครจริงใจเราหรือไม่ มีใครเคารพเราหรือไม่ มีใครเหยียดหยามเราหรือไม่ (มี)  มีหมดเลย เพราะเราไม่เคยทำในสิ่งที่เราพูดไว้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นรากเหง้าของความเจริญ ถ้าไม่รู้จักอบรมศีล อบรมธรรม เรียกร้องคนอื่นไปก็เปล่าประโยชน์  เพราะตัวเองยังไม่เคยมี แต่ถ้าตัวเองมีแล้วทำได้ดี ไม่ต้องเรียกร้องเดี๋ยวเขาก็ทำเอง ฉะนั้นอยากให้เขารัก เราอ่อนน้อมถ่อมตนหรือยัง เรามีเมตตาแล้วหรือยัง ส่วนใหญ่เห็นแต่หัวแข็ง ฉันแน่ ฉันเก่ง
เราถามท่านว่าทุกข์สุขอยู่ที่ไหน (ใจ) แต่เวลาถูกคนด่าทำไมทุกข์สุขอยู่ที่ปาก  ใจมันสั่งปาก ในเมื่อทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เราจะบอกว่าอยู่ที่การกระทำด้วย หว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่อยากให้เขาด่าเราต้องทำตัวให้น่าเคารพ ไม่อยากให้เขาดูถูกเหยียดหยาม เราก็ต้องรู้จักขยัน ไม่เอาเปรียบ ไม่คดโกงใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากให้เขาไม่ทอดทิ้ง ดูแลเอาใจใส่ ฉะนั้นยามทุกข์ยามมีไข้ยามเดือดร้อนเราจะต้องเป็นห่วงเป็นใยดูแลเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำตรงนี้ถึงแม้เราจะบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่เวลาเขาด่าที ทุกข์สุขเราก็อยู่ที่ปากเขา ท่านบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจแต่ถึงเวลาเขาด่าเรา เราโกรธเขาไหม (โกรธ)  ไหนท่านบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เวลาเจอเรื่องร้ายๆ ทำไมท่านจึงรู้สึกแย่ ตกลงทุกข์สุขอยู่ที่เรื่องราวหรืออยู่ที่ใจเรา เห็นหรือไม่ ท่านพูดได้แต่พอถึงเวลาท่านทำไม่ได้ เพราะอะไร
อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่า รู้ธรรมไปมากมายแต่ถ้าไม่รู้จักควบคุมใจ ธรรมนั้นก็เปล่าประโยชน์ เรียนรู้ธรรมฟังธรรมไปตั้งมากมาย แต่ถ้าไม่เท่าทันใจธรรมนั้นก็ไม่มีค่า ฉะนั้นธรรมจึงไม่ได้สอนให้เราแค่ฟังแล้วรู้ แต่รู้แล้วต้องนำมาให้เท่าทันใจ มีสติควบคุมใจได้ ถึงจะเรียกว่ามีประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
เหมือนเราถามท่านว่า สมมติมีคนมาดูถูกเหยียดหยามเรา เราโกรธไหม ทุกข์ไหม ทั้งโกรธทั้งทุกข์เลย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนพูดว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่ทำไมเอาใจเราไปฝากไว้กับตัวเขา เราถามท่านว่า ท่านชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ท่านชอบให้ทานไหม (ชอบ)  ถ้าสมมติว่าแม้เขาไม่ได้เป็นภิกษุสงฆ์ แต่เขาเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เขาด่าเรา เราให้ทานเขาไม่ได้หรือ  การให้ธรรมะเป็นทาน เป็นทานที่ประเสริฐที่สุด แต่ทำไมเราไม่ให้ธรรมะเขา เรากลับให้เวร ให้กรรม ให้ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บ ความแค้นล่ะ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ที่ใดที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั่นก็สามารถเป็นมรรคผลพระนิพพานได้” ถ้าตอนนี้เขากำลังด่าเรา ดูถูกเรา เราจะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์หรือทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ เราจะทำให้เกิดเป็นบุญ หรือเราจะทำให้เกิดเป็นบาป เราจะทำให้เกี่ยวกรรมหรือสิ้นเวรสิ้นกรรม (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  อนุโมทนาด้วยนะ ขอทำให้ได้อย่างนี้เทอญ ใช่ไหม (ใช่) 
เราชอบคนดีหรือชอบคนชั่ว (คนดี)  ชอบมิตรหรือชอบศัตรู (มิตร)  ชอบคนก่อเวรก่อกรรมหรือชอบคนสิ้นเวรสิ้นกรรม (คนสิ้นเวรสิ้นกรรม)  เวลาเราชอบ เราควรจะมีไว้กับตัวหรือเราควรจะแค่มองเห็น  เราควรมีไว้กับตัวหรือให้คนอื่นมี ตัวเองไม่ต้องมี เราควรมีเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเขาด่ามาเราควรทำดีหรือควรทำชั่ว (ทำดี)  ฉะนั้นจำไว้นะ ชอบคนสิ้นเวรสิ้นกรรม เวลาเขาด่ามาเราไม่ควรด่ากลับ  ชอบคนไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน หากถูกเขาเหยียดหยาม เขาดูหมิ่นเรามา เขาต่อว่าต่อขานเรามา เราควรจะให้อภัย  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วเราเลือกทำหรือไม่ (ไม่ได้ทำ)
คุยกันง่ายๆ แต่ทำยากหรือไม่ เรารู้ว่าวันนี้เป็นวันแรกท่านอาจจะเพลีย อาจจะล้า ฉะนั้นเราจะพูดสั้นๆ ง่ายๆ แล้วจบเลย ดีหรือไม่ (ดี) มนุษย์ทุกคนเป็นรากฐานของความเจริญ ถ้ารู้จักอบรมศึกษาธรรมให้ดีงาม รากฐานความเจริญนั้นก็จะมีสิ่งดีเป็นส่วนประกอบด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถามว่าให้มาอบรมธรรม มนุษย์ก็จะบอกว่ายังก่อน เดี๋ยวก่อน ทั้งที่การอบรมเรียนรู้ธรรมคือการอบรมเรียนรู้เข้าใจชีวิตของตัวเองที่เป็น รากฐานบุญ เหมือนถามท่านว่าหากไม่เรียนรู้ธรรมท่านจะรู้หรือไม่ว่าตัวเองสามารถเป็นคน ดีที่หนึ่งได้  บางครั้งการอยู่ในโลกกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ดี ไม่มีเมตตา คดโกง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การอบรมธรรมเพื่อให้รู้ว่าเราเป็นคนดี มีความดีอยู่ในตัว แต่เราเลือกที่จะไม่ใช้ความดีในตัว มักจะเลือกใช้อารมณ์ กิเลส และนิสัย มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) และอารมณ์ กิเลส และนิสัยก็เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ การเวียนว่ายและความเจ็บปวด ฉะนั้นวิธีที่จะทำให้เราเรียนรู้และป้องกันมากที่สุดคือการมีสติ และเห็นคุณค่าธรรมในตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถึงเวลาเรามักจะเลือกอารมณ์ กิเลส และนิสัยมากกว่าสติ หรือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาแต่ว่าเขา ดูถูกเขา ถูกหรือไม่ แต่เราบอกแล้วว่าธรรมล้วนเกิดแต่ใจ  มีใจเป็นใหญ่มีใจเป็นประธาน เกิดขึ้นทั้งมวลด้วยใจ ถ้าใจของมนุษย์ผาสุก ความคิด คำพูด การกระทำ การดำเนินชีวิตก็เต็มไปด้วยสุข  ถ้าใจของมนุษย์เต็มไปด้วยทุกข์ ความแบ่งแยก ความอิจฉา ความรังเกียจ ทำให้คำพูดการกระทำก็เต็มไปด้วยทุกข์ การแบ่งแยก ควาามอิจฉาและการรังเกียจ ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือใจ แล้วรู้หรือไม่ว่าใจนี้หากประกอบไปด้วยธรรมที่เรียกว่าเมตตา ซื่อตรง อ่อนน้อม ใจที่ประกอบด้วยมโนธรรมสำนึก ใจที่ประกอบด้วยธรรมนี้จะไม่ทำให้เราผิดพลาด ไปก่อกรรม ก่อกิเลส ก่ออารมณ์ ถูกหรือไม่
 เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อย่างนั้นเราถามท่านว่ากิเลสที่เป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ตอบเหมือนกันหมดจริงๆ หรือ ไม่มีใครตอบว่าไม่ใช่เลยหรือ ใจเป็นหลัก ใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ถ้านิ่งแล้วโลภมา โกรธมา หลงมา ใจก็ไม่ตกไปเป็นทาสความโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าเมื่อไรยังมองเห็นโลภ โกรธ หลง ไม่ดีแปลว่าใจท่านนั่นแหละไม่ดี แล้วเมื่อกี้ท่านบอกเราเองนี่ ท่านชอบบุญ ท่านชอบไม่เกี่ยวกรรม ท่านชอบความดี ฉะนั้นเขาด่าให้เราโกรธทำไมท่านถึงโกรธ แปลว่าท่านไม่ชอบบุญ แต่ท่านชอบกิเลส เขาแช่งชักให้เราเจ็บปวดแล้วเราแช่งชักตอบแปลว่าเราไม่ชอบบุญ เราชอบการชิงชังหักหลังให้ตายกันเลย ตกลงท่านชอบอะไรกันแน่ เหมือนกันเขาโกรธเรา เขาทำเราเจ็บครั้งเดียว แต่ถ้าเรารู้จักเอาธรรมให้คืนไป ความโกรธนั้นก็จบ แต่เรากลับเอาความโกรธนั้นมาเป็นดาบคอยทิ่มใจเรา ตกลงท่านรักความโกรธ ไม่รักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ท่านรักบาป ไม่รักบุญ ท่านเลือกจะเป็นคนชั่ว ไม่เลือกเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วถึงเวลาทำไมตามกิเลส ไม่ตามธรรม ถึงเวลาท่านให้กิเลส ทำไมท่านไม่ให้ธรรม ไหนว่าเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ มนุษย์ผู้ประเสริฐต้องถือธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ถือกิเลสเป็นหลัก ถ้าถือกิเลสเป็นหลักเรียกว่าเป็นมาร อย่างนั้นเราถามท่านว่า ทุกชีวิตดำเนินชีวิตด้วยกิเลสหรือดำเนินชีวิตด้วยธรรม (ธรรมะสอนเรา)  ถูกไหม (ถูก)  ท่านบอกว่าศัตรูกับศัตรูทำร้ายกันยังไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่หลงผิด ใจที่คิดผิด ทำให้เราอยู่ที่ไหนก็สร้างศัตรู แต่ถ้าใจที่คิดถูก อบรมถูก มีธรรมถูก อยู่ที่ไหนก็เป็นที่ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเราถามว่าท่านอยู่บนโลกมีมิตรหรือมีศัตรู (มิตร)  อยู่บนโลกท่านมีกิเลสมากหรือมีธรรมมาก  เมื่อไรเราทำอะไรมีสติรู้ตัวรู้ตนไม่เลือกกิเลสแต่เลือกธรรม ท่านจะพบความเป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะอยู่ในตัวเอง หรือเรียกว่า เหตุแห่งทุกข์มรรคผลนิพานจบที่ตรงนี้ทันที ด้วยความมีสติรู้ตน
ถ้าเมื่อใดท่านไม่เลือกธรรม แต่เลือกกิเลส เลือกความเกลียด เลือกการจองกรรม เลือกความไม่ยอม ท่านจะตกเป็นทาสของการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นและไม่มีวันสิ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ แต่ถ้าท่านเลือกธรรม ท่านจะพบปัญญาอันสว่าง ธรรมอันแท้จริงและผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ตรงนี้
ชอบคนดีใช่ไหม (ใช่)  เคารพศรัทธาพุทธะใช่ไหม (ใช่)  ชอบความสงบใช่ไหม (ใช่)  ทำไมชอบแล้วท่านเอาแต่ไหว้ข้างนอก แต่ลืมชอบปฏิบัติ และลืมกราบไหว้ตัวเอง  ทำไมถึงรอไหว้คนอื่น รอเคารพคนอื่น แล้วไหว้ตัวเองไม่ได้ 
พระพุทธะทำตัวเองสิ้นชั่ว สิ้นกิเลส เพื่อเป็นคนดีแล้วประจักษ์ให้รู้ว่า แม้สิ้นพระพุทธองค์ ไม่มีพระพุทธองค์ให้ยึดถือ พระพุทธองค์กลับสอนว่าจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง ซึ่งธรรมนั้นไม่ใช่อยู่ในพระไตรปิฎก แต่ธรรมนั้นอยู่ในตัวทุกๆ คน  ถ้าเมื่อไรค้นพบธรรม เมื่อนั้นท่านก็คือพระพุทธะบนดินที่บริสุทธิ์และถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเอาแต่ไหว้ เอาแต่เคารพผู้อื่นว่าศักดิ์สิทธิ์จังเลย แล้วตัวเราล่ะ ทำไมไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยดี ไม่เคยน่าเคารพเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไหนบอกว่ารักความดีไง ไหนบอกว่าชอบความดีไง ทำไมถึงไม่ทำ รักจริงก็ต้องทำจริง ไม่ใช่พูดได้แต่ทำไม่ได้ ใช่ไหมศิษย์น้อง (ใช่) 
วันนี้ศิษย์พี่มาเข้มไปหน่อย แต่เข้มแล้วอยากให้ทำเป็นนะ จริงไหม เราไหว้พระเพราะเห็นว่าท่านดี เราไปวัด เพราะสงบ แล้วทำไมตัวเรานี้สงบไม่เป็น ร่มเย็นไม่เป็น ดีไม่เป็นหรือ จึงต้องพึ่งพระข้างนอกตลอด ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่ง แล้วถ้าเราพึ่งตัวเองได้ เราก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเป็นพุทธะได้ คนรอบข้างเราก็เป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเป็นมาร คนรอบข้างก็เป็นมาร ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเห็นเขาเป็นพระเราก็เป็น  (พระ) เห็นเขาเป็นมารเราก็เป็น (มาร)  ฉะนั้นชีวิตเริ่มมาแล้ว จะจบลงด้วยอะไร ไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่คนต่อว่า ไม่ใช่คนขีดเส้น แต่เราต้องขีดเส้นและกำหนดด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  อยากมีแฟนก็ยังต้องหาแฟนดีๆ อยากมีงานก็หางานดีๆ อยากมีเพื่อนก็อยากหาเพื่อนดีๆ แต่ตัวเองไม่ดี บ้าไหม (บ้า)  โง่ไหม (โง่)  ตัวเองที่โง่ ที่บ้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อใดท่านดับขันธ์แล้ว อย่าถือตัวท่าน แต่ให้ถือธรรม ซึ่งธรรมนั้นไม่ใช่มีอยู่ในตัวพระองค์ แต่มีอยู่ในตัวเรา เราจะเลือกธรรมหรือเลือกกิเลส
สอนให้เราเมตตา อ่อนน้อม สุภาพ ซื่อตรง จริงใจ รับศีลห้ามาปฏิบัติได้ครบหรือไม่ ไม่ครบจริงไหม (จริง)  ทำไมมนุษย์ทุกคนพูดเหมือนกันหมด ชอบดี ชอบหลวงพ่อองค์นั้นดี ไปไหว้ที่โน้นดี ไปที่นั้นสงบ แต่ที่ใจไม่เห็นดีไม่เห็นสงบเลย ใช่ไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หาได้ในตัวเรา ศีล สมาธิ ปัญญา จบได้ที่ตัวเรา
สิ่งใดเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั่นเป็นมรรคผลนิพพานได้ในตัวเรา แต่อยู่ที่ว่าเราตัวนี้ เมื่อโดนกระทบจะก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ หรือเมื่อถูกกระทบจะก่อเกิดเป็นธรรม เข้าใจธรรม แจ้งในธรรม และวางในธรรม วางในตัวเท่านั้นเองนะศิษย์น้อง ใช่ไหม (ใช่)  ที่ถูกเขาว่าแล้วโกรธก็เพราะรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปรับ ที่ถูกเขาดูถูกแล้วเสียใจ เจ็บใจ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องเจ็บใจ ดูถูกดีแล้วดีกว่าดูผิด เมื่อไรยังยึดมั่นก็แสดงว่าเรายังไม่ปล่อยว่าง แต่ธรรมสอนให้เราให้ไม่ใช่หรือ ธรรมสอนให้เราให้ ให้จนไม่มีอะไรให้ยึดถือ เพราะความยึดมั่นถือมั่นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไปแล้วนะ ฉะนั้นถึงเวลาเลือกธรรมอย่าเลือกกิเลส เลือกความถูกต้อง อย่าเลือกตามใจตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์น้อง ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องจะไม่ได้เป็นพุทธะแต่จะเป็นพญามาร ที่เวียนวายตายเกิดในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่จบสิ้น ฉะนั้นคิดไตร่ตรองและพิจารณาให้ดี ไปแล้ว








วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙   สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อย่าสั่งสมเหตุปัจจัยนานาทุกข์         ใช้สติในธรรมปลุกปัญญาตื่น
อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์หมื่น       หลงดาษดื่นหนึ่งคนตื่นพาพ้นภัย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

          บนเส้นทางแสงธรรม  จะบำเพ็ญน้อมนำให้บุญเรียงราย  ดั่งพงศาธรรมฝากไว้  สันติพบภายในใจ  เยือกเย็นเหมือนธรรม 
          ใจจ้าเป็นแสงทอง  การเบียดเบียนครอบครอง  หายไปวันวาน  วนเวียนเกิดตายสังสาร[๒]  เมฆก้อนนั้นในเงาจันทร์ไม่มีหน้าตา 
*แสงแห่งธรรมปรกใจทางแห่งปรมัตถ์[๓]  ความแจ้งใดไม่ชัดไปยิ่งกว่า  มุ่งสู่ทางหลุดพ้นจะดีไหม  ใช้ชีวิตอรรถา  แสงมามืดก็พลันหายไป  พบธรรม ณ ใจ 
          ธรรมสบายสายลม  กางใบเรือล้อลมให้ลมพาไป  คุณธรรมฝากไว้  ถึงวันนี้ยากเท่าไร  ก้าวไปด้วยกัน  (ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : สัญญากาสะลอง
ชื่อเพลง : แสงธรรมแสงทอง



[๒] สังสาร   การเวียนว่ายตายเกิด
[๓] ปรมัตถ์  ๑. ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน
                   ๒. ความหมายสูงสุด, ความหมายที่แท้จริง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นั่งฟังธรรมแล้วสบายใจหรือไม่ ถ้านั่งแล้วสบายใจก็เรียกว่าบุญ นั่งฟังธรรมแล้วใจหม่นหมองก็เรียกบาป บุญคือ เครื่องชำระใจให้ผ่องใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้านั่งฟังธรรมแล้วยิ่งผ่องใสก็แปลว่านั่งแล้วได้บุญ แต่ถ้านั่งแล้วหดหู่ นั่งไปก็ได้บาป
“อย่าสั่งสมเหตุปัจจัยนานาทุกข์      ใช้สติในธรรมปลุกปัญญาตื่น
อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์หมื่น     หลงดาษดื่นหนึ่งคนตื่นพาพ้นภัย
หลายคนบอกว่าอยู่ในโลกเรียนหนังสือก็หนักแล้ว ทำงานหาเงินในโลกก็หนักแล้ว แล้วให้มาเรียนธรรมอีก หนักจังเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วมีคนเคยคิดถามหรือไม่ว่า ทำไมต้องมาเรียนธรรมะ ถ้าอาจารย์ถามว่าเรียนวิชาหาเงินให้รวยๆ เอาหรือไม่ (เอา)  แต่บอกว่าเรียนธรรมเพื่อพ้นทุกข์
เอาหรือไม่ (เอา)  เรียนแล้วพ้นทุกข์หรือยัง

หลายคนบอกอาจารย์ว่า เรียนทางโลกก็ยากและหนักแล้ว ไม่ใช่จะเข้าใจง่ายๆ บางทีเรียนไปก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับว่า ศิษย์เคยไหมเวลาที่ทำงานอยู่กับคนทางโลก บางครั้งคนบางคนทำงานเหมือนกับเรา เขาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเรากลับย่ำอยู่กับที่ เป็นไหม (เป็น)  คนบางคนไม่เคยถูกด่าเลย แต่ทำไมเราจึงถูกด่าเช้าด่าเย็น  เป็นไหม (เป็น) 
เคยไหมเวลาเรียนหนังสือ เพื่อนก็เรียนเหมือนกับเรา ครูก็คนเดียวกัน ทำไมเพื่อนสอบได้ที่หนึ่ง แต่เรากลับสอบได้ที่ห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตกลงว่าเกิดจากอะไร ฟ้าเป็นผู้กำหนดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วใครเป็นผู้ทำ (ตัวเราเอง)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าชีวิตที่เราพบทุกวันนี้คือสิ่งที่เราทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นชีวิตต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  โทษฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  โทษคนได้ไหม (ไม่ได้)  ขอฟ้าได้ไหม ขอให้โชคดี แต่ด่าเขาทุกวัน แล้วเราจะโชคดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นก่อนจะขอคนอื่น ก่อนจะโทษคนอื่น เราต้องถามตัวเราเองก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แปลว่าทุกเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าตัวเรานี้ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราเรียนอะไรมาตั้งมากมาย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเรียนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราต้องเรียนธรรม และธรรมแปลว่าอะไร ถ้าแบบเข้าใจง่ายๆ ธรรมแปลว่าธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวเรามีธรรมชาติไหม (มี)  ฉะนั้นถ้าเราเรียนธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็จะเข้าใจตัวเอง เพราะเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็จะเข้าใจตัวเอง ถ้าเราศึกษาธรรม เราก็จะได้ศึกษา ตัวเอง  แล้วเราอยากศึกษาตัวเราไหม (อยาก)  แล้วทำไมเวลาให้มาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เราถึงไม่เอา ทั้งที่ต่อไปนี้เราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจะทำเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นถามต่ออีกว่า เรียนธรรมเพื่อเข้าใจตัวเองแล้วจะช่วยอะไรได้  ศิษย์มักจะบอกว่า ศิษย์ก็ฟังมาตั้งนาน รู้อะไรมากมาย แต่ไม่เห็นจะช่วยให้ศิษย์ได้อะไรเลย จะพ้นทุกข์สักเปราะ  บางทียังไม่ค่อยมีเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างธรรมง่ายๆ ที่อาจารย์เรียนธรรมในตัวเอง แล้วธรรมนั้นทำให้อาจารย์พ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ศิษย์อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ธรรมนั้นง่ายๆ คือ “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็มีความดับ”
ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นใครจะด่าเรา ใครจะว่าเราขนาดไหน คิดไว้เสมอว่า “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ” เพราะจะมีใครที่ด่าเราตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีไม่มีวันเว้น มีบ้างไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติของความเป็นคนหรือไม่ (เข้าใจ)  ฉะนั้นการเข้าใจธรรม การเข้าใจชีวิตจะช่วยให้เราพ้นทุกข์และอยู่กับคนได้อย่างเป็นสุข
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม นักเรียนกราบรับพระอาจารย์) 
เสียงดังแค่นี้เองหรือ (นักเรียนจึงตอบพระอาจารย์ด้วยเสียงที่ดังขึ้น)  ศิษย์เอยถ้าศิษย์มั่นใจว่าศิษย์พูดเสียงดังเต็มที่แล้ว ดีแล้วก็ไม่เห็นต้องหวั่นไหวอะไร แต่ว่าที่หวั่นไหวอยู่แปลว่าไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  พอถูกอาจารย์ทักก็คิดว่า “อ้าวเอาไงดี อย่างนี้ร้องไปแทบตายก็ไม่ถูกใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่ในโลกจะทำให้คนถูกใจทุกคนเป็นไปไม่ได้  เชื่อไหมถ้าศิษย์ร้องจนดังสุดเสียง แต่เขาบอกว่า “แค่นี้เองหรือ” ศิษย์ก็จะร้องจนหมดเสียง แล้วก็เริ่มตีโพยตีพายว่า “จะเอาอะไรกันนักกันหนา” ถูกหรือไม่ (ถูก) 
เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นว่าบางครั้งมนุษย์มักจะสงสัยว่าทำไมเราต้องศึกษาธรรม แล้วสรุปว่าธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็เข้าใจชีวิตเพราะชีวิตก็คือส่วนหนึ่งของธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตได้อย่างไร อาจารย์ก็เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าเราเข้าใจว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ก็แปลว่าถึงแม้เราจะสวย จะดี จะเก่ง จะรวยขนาดไหน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง สวยก็มีสวยกว่า เก่งก็มีเก่งกว่า ดีก็มีดีกว่า ร้ายก็มีร้ายกว่า แล้วในคำว่าร้ายกว่าอาจจะมีวันที่เปลี่ยนแปลง จากร้ายเป็นดี และจากรวยก็อาจจะกลายเป็นจนก็ได้
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งศิษย์ ดำเนินชีวิตอยู่กำลังมีเงิน อยู่ๆ เงินหายไป วันนี้สามีอยู่ พรุ่งนี้สามีไม่อยู่ ศิษย์จะคิดได้ว่า “โอ้ อาจารย์จี้กงบอกแล้ว สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ” ถูกรือไม่ (ถูก)  ก่อนมาบ้านยังมีอยู่แต่พอกลับไป ปรากฏว่าวันนี้บ้านหาย “เออ อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินอยู่ มีรถขับมาชน พอตื่นมาเหลือขาข้างเดียว “เออ อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความ (ดับ)” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ดับช้าหรือดับเร็วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เหมือนที่อาจารย์บอกศิษย์ ถ้าเราอยากรู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร ก็ต้องถามปัจจุบัน หว่านพืชเช่นใด ได้รับผลเช่นนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์หว่านพืชในเรื่องดี หว่านพืชในเรื่องบุญ ศิษย์ก็ต้องได้รับบุญกุศลความดีงาม  แต่ถ้าศิษย์หว่านพืชในเรื่องบาป กรรมชั่ว อบายมุข ผลที่ได้ก็คือความทุกข์ ความเจ็บปวด และการหนีไม่พ้นการเวียนว่ายและรับผลแห่งเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการเข้าใจธรรมจะช่วยชำระล้างให้เราไม่ติดบุญแล้วก็ไม่สร้างบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมมากๆ เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ต้องเกิดมารับบุญและรับบาปกรรมอีก ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าออกจากสถานธรรมแล้ว ถูกรถชนแล้วตายทันทีก็คิดว่า “อาจารย์จี้กงบอกแล้ว สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” เชื่อไหมว่าขณะจิตที่หมดห่วง ไม่ยึดติด ไม่คิดบาป ไม่คิดโทษ นั่นจะทำให้เราพบทางสว่าง เพราะศิษย์เพิ่งพูดเองว่า ทางใดที่มืดมนทางนั้นเรียกว่าบาป เรียกว่ากรรมชั่ว ทางใดที่ทำให้สว่างบนสุดทางนั้นเรียกว่าบุญ เรียกว่าสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์บอกว่า ทางโลกบุญยังต้องทำ บาปก็ยังสร้าง  แต่ถ้าอีกทาง ไม่ต้องสร้างบุญ ไม่ต้องสร้างบาป แต่อยู่นิ่งๆ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรมแล้วพ้นทุกข์ทันที นี่เขาเรียกว่าทางธรรม เพราะการสร้างบุญศิษย์ยังต้องทำถึงจะได้บุญ  ถ้าศิษย์ทำชั่วศิษย์ต้องไปทำถึงจะได้ชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทางธรรมแค่มองให้เห็นธรรมในตัวตน มองให้เห็นจนไม่ยึดถือ เมื่อไรที่เข้าถึงธรรมแล้วปล่อยวางความยึดถือนั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม แต่เมื่อใดมองแล้วยังยึดมั่นถือมั่นนั่นเรียกว่ากรรม ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) 
อาจารย์ถามว่า ตอนไหนที่ศิษย์อยากไปทำบุญคือตอนที่ศิษย์รู้สึกว่าบาปเยอะ รู้สึกว่าบาปหนาเหลือเกิน การไปทำบุญก็คือการสละให้ อุทิศให้ ถึงจะเรียกบุญ แต่ถ้าเกิดบาปก็คือต้องไปทำชั่ว ทำไม่ดีตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ถึงจะได้บาป แล้วผลของบาปก็คือภูมิวิถีหก ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวก็คือการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ยังมีอีกทางหนึ่งคือไม่ต้องทำอะไรอยู่นิ่งพิจารณาจนบังเกิดธรรมเห็นแจ้ง ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ง่ายหรือไม่ (ง่าย)  แต่ศิษย์ก็จะบอกว่า “มันทำยากนะอาจารย์” เพราะถ้าบอกว่า “ออกไปแล้วโดนรถชนตายทันที” ทำใจได้หรือไม่ ถ้าปล่อยวางได้ก็คือธรรม แต่ถ้ายึดมั่นคือกรรม
ยังมีอะไรที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมะได้อีก ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่า “สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี” แต่ศิษย์ก็บอกว่า “อาจารย์ถ้าเกิดออกไปแล้วโดนรถชนตายทันทีมันทำใจไม่ได้” อาจารย์อยากให้ศิษย์คิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี เพราะการคิดดี การคิดให้ การคิดบริสุทธิ์ จะเป็นหนทางบุญ แต่ถ้าคิดว่า “ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเราต้องตาย” คิดแล้วหม่นหมองมันจึงกลายเป็นหนทางบาป แต่ถ้าชั่วขณะที่ศิษย์โดนแล้วศิษย์บอกว่า “ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว สิ้นทุกข์แล้ว”  ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นถ้าโดนตบก็คิดว่าดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว ได้หรือไม่ (ได้)
ภรรยาหนีไปแล้ว “ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว” ได้หรือไม่ (ได้) 
ถูกคนเอาเงินไปแล้วไม่คืน “ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว” ได้หรือไม่ (ได้)  ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ถ้าศิษย์บอกว่ายาก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรม  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ยาก ศิษย์จะต้องไปให้ถึงฟากฝั่งแห่งธรรม และพบธรรมให้ได้ ธรรมนั้นคือการคลาย จาง และวาง นั่นแหละศิษย์จะพ้นกรรมทั้งหลายในโลกนี้ เกิดมาชาตินี้เพื่อสิ้นกรรมแล้ว ไม่เอาหรือ
หากว่าธรรมสองข้อนี้ ยังไม่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์และเข้าถึงธรรมได้ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราเกิดมาไม่เคยเจ็บ เป็นไปได้ไหมที่คนเราเกิดมาไม่เคยโดนด่า มีไหมที่คนเราเกิดมาจะไม่ตาย (ไม่มี)  มีไหมที่คนเราเกิดมาไม่ถูกสามีทิ้ง
ไม่ถูกภรรยาทิ้ง (ไม่มี)  มีไหมที่อยู่บนโลกนี้ ถูกคนยืมเงินแล้วไม่ใช้ (มี)  ฉะนั้นถ้าเรายังทำใจไม่ได้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี อย่างนั้นศิษย์ก็จำต่อไปว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และในโลกนี้ไม่มีชีวิตใครที่สมบูรณ์
ทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีได้ก็มีเสีย มีชมก็มี (ด่า)  มีรักก็มี (เกลียด)
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งโดนคนเกลียดก็คิดว่า “อาจารย์จี้กงบอกแล้ว” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะได้ไม่ต้องไปสร้างกรรม  
อาจารย์จะมาบอกวิธีที่อยู่อย่างไรให้สิ้นกรรม เพราะอยู่ในโลกเราหนีไม่พ้นเดี๋ยวสร้างกรรมกับคนนั้น เดี๋ยวก่อเวรกับคนนี้ เดี๋ยวด่าคนนั้น แช่งคนนี้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเวรกรรมนี้หนีไม่พ้น ใครรับ (ตัวเรา)  แล้วก็มาร้องไห้ อาจารย์ช่วยหนูที ถามว่าใครเป็นคนทำ (ตัวเรา)  ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะแก้ ควรแก้ตั้งแต่ต้นเลย คือไม่ให้ศิษย์สร้างเหตุ ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  มีอีกข้อหนึ่ง เมื่อไม่สมบูรณ์แบบ ศิษย์จำไว้ว่า ชีวิตเรามีอยู่ขณะเดียว คือ ขณะนี้ บางครั้งที่เรารับไม่ได้เพราะ มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำไมถึงเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมอีกอันหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำเตือนก็คือมีแต่ขณะนี้ พอถึงพรุ่งนี้ก็เป็นขณะนี้ของพรุ่งนี้ ใช่ไหม (ใช่) เรามัวหลงกับอดีตไหม (ไม่) ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ แล้วเมื่อเราเข้าใจธรรมทั้งหมดนี้ เราก็จะรู้ว่า ใดๆ ในโลกที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อใดเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองเมื่อนั้นเข้าใจคำว่าธรรมในตัวตน พบธรรมในตัวตน ไม่ก่อกรรมอีกต่อไป ดีหรือเปล่า (ดี)  ฉะนั้นถ้าเดินออกไปแล้ว สามีบอกว่า “ทำไมกลับมาดึกขนาดนี้ ฟังธรรมภาษาอะไร” เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ให้มองเสียว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ให้เกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถูกสามีว่าก็ (ดี)  เพราะถึงเขาว่า ถ้าเราเฉยๆ ไว้ ถึงเวลาเขาก็จบเอง ฉะนั้นเราจะได้ไม่ต้องมาก่อบาปกรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์รู้ถึงขนาดนี้พอถึงเวลาศิษย์มีปัญญาคิดได้ตลอดไหม ปัญญาเกิดได้ด้วยการพินิจพิจารณา ด้วยการเพ่งพิจารณาจนบังเกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้าใจธรรมแล้วเกิดปัญญาแล้ว มันดีตรงนี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าถูกคนเขาตบหน้า
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมา)
การเข้าใจธรรมแล้วเกิดปัญญาจะดีตรงไหน อาจารย์จะบอกง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์ตบหน้าเขา แล้วศิษย์ก็คิดในใจว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ ทุกข์สิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ถูกตบบ้างก็ไม่เป็นไร ถามว่ามันล้างหมดใจไหม (ไม่)  เพราะเรายังคิดจึงยังไม่หมดใจ ถ้าทำตามคำสอนของอาจารย์เราไม่คิด เกิดแล้วดับไป แล้วเราไม่คิด มันก็จะ (ไม่มี)  แล้วทำได้อย่างนั้นไหม แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทำไมคนเราถึงต้องมีปัญญารู้ไหม เพราะว่าการแค่ถูกตบแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร ให้อภัยเขา” ความคิดที่ว่าไม่เป็นไรอดทนไว้ มันล้างไม่หมดใจ คำว่าอดทน คำว่าอภัย คำว่าใจเย็นๆ เข้าไว้ มันยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่สุดแห่งธรรมก็คือ มนุษย์บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ปัญญาจะช่วยล้างจนหมดใจ ไม่ใช่ล้างเพราะว่าอภัย ไม่ใช่ล้างเพราะว่าอดทน ไม่ใช่ล้างเพราะใจเย็น แต่ล้างเพราะเข้าใจความเป็นธรรมของคน  ฉะนั้นศึกษาแล้วไม่ใช่แค่เข้าใจธรรมแต่ต้องนำธรรมมาพิจารณาจนเกิดปัญญา แล้วล้างกิเลสจนสิ้น ไม่เหลืออะไรค้างคาในใจเลย  ฉะนั้นถ้าถูกตบต้องจบตั้งแต่ถูกตบ แต่คนเราไม่ใช่ พอถูกตบแล้วเราจำ จำแล้วก็ด่า ด่าแล้วก็แค้น ก็เลยกลายเป็นบาปกรรมจองเวรจองกรรม แล้วกรรมนั้นก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจชีวิต แล้วความเข้าใจชีวิตจะก่อเกิดปัญญาชำระล้างใจให้เรากลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้ ที่ไม่มีคำว่าอดทนข่มใจ แต่มันจะโล่งโปร่งและจบในทันทีที่ถูกตบ แล้วเราทำได้อย่างนั้นไหม
พระพุทธะจึงสอนต่ออีกว่านอกจากจะเข้าใจธรรมแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือทำอย่างไรให้จิตมีกำลังที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้แล้วเข้าใจ ธรรม แล้วฟันฝ่าจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ นั่นก็คือต้องมีสติรู้ ความรู้จะก่อเกิดปัญญา ความรู้จะก่อเกิดการเห็นแจ้งในจิตของตนและมองเห็นแม้กระทั่งความคิด สติทำให้พลังของใจเราแข็งแรงพอ เห็นแล้วตามอารมณ์หรือไม่ เห็นแล้วมีโกรธหรือไม่ เห็นแล้วมีเกลียด เห็นแล้วมีโมโห เห็นแล้วมีชิงชังหรือไม่ ถ้าเห็นแล้วมีโกรธ มีเกลียด มีโมโหเราจะทำอย่างไร (ปล่อย วาง, อดทน มีสติ คิดก่อน ตอนที่ถูกกระทำ ถ้ามีสติแล้วเราก็ยับยั้งได้ คิดได้ เราก็ทำใจได้  เหตุการณ์ก็เบาลง)  เขาบอกให้มีสติแล้ว ระมัดระวังความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เคยฝึก ถ้าถูกกระทบ  ความคิดง่ายที่จะปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน และง่ายที่จะตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นการมีสติเพื่อรู้เท่าทันใจ รู้แล้วไม่ปรุง รู้แล้วไม่วิ่งตาม รู้แล้วไม่ตกเป็นทาสกิเลสตัณหา ก็แค่รู้ก็แค่นั้น เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวก็ดับ แค่รู้อย่าเผลอไปโกรธ (มีสติรู้ทัน)  เมื่อถูกตบอาจารย์ถามว่าระหว่างเป็นทุกข์กับรู้ทุกข์ อย่างไหนเจ็บกว่า (เป็นทุกข์)  ระหว่างถูกตีกับรู้ว่าโดนตีอย่างไหนเจ็บกว่า (ถูกตี) 
เวลาเราถูกทำร้ายเราควรแค่รู้ว่าถูกทำร้าย มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบวิ่งวนอยู่กับความคิด และความคิดก็ง่ายที่จะฟุ้งซ่านเข้าข้างตัวเองตามเหตุผลของตัวเอง ฉะนั้นถ้ามีสติแล้วยิ่งไปตามความคิด ความคิดก็จะไหลง่ายที่จะปรุงแต่ง
เมื่อมีสติแล้วเราไม่ควรไหลไปตามความคิด ไม่วิ่งไปตามความคิด (มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินไปหลังห้อง แล้วเดินกลับมา อาจารย์ถามว่า “ข้างหลังมีผู้ชายกี่คน” ศิษย์จะตอบได้หรือไม่ การมีสติสิ่งสำคัญก็คือเวลาเราพบเรื่องราวอะไรเราอย่าปล่อยให้มันผ่านไป แล้วก็ไม่ทันมีสติ แต่เราต้องรู้จักนิ่งด้วย บางอย่างเราต้องรู้จักนิ่งก่อน ก่อนที่จะปล่อยมันผ่านไป นิ่งแล้วไตร่ตรองจะได้ไม่ตกไปเป็นตะกอนสั่งสมก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ เคยหรือไม่ ถ้าเดินผ่านไปแล้ว เดินกลับมา เราจำได้เลยว่า คนนี้ทำหน้าน่าเกลียดใส่เรา เป็นเพราะเรามีสติ หรือเพราะมองไม่เห็น หรือเพราะไม่นิ่ง
(ถ้าเราถูกตบก็ต้องปล่อยวาง เพราะถูกตบเพราะมีเวรมีกรรมต่อกัน)  ที่พยายามปล่อยวางเพราะศิษย์ไปยึดเขาจนมากไปหรือไม่ ศิษย์คาดหวังเขาจนมากเกินไปหรือไม่ ถ้าจะปล่อยต้องปล่อยให้ถูก ไม่ใช่ปล่อยเขา แต่ต้องปล่อยจากใจเรา เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดดับอยู่แล้ว
(เพราะเราทำผิดต่อเขา เขาจึงทำเราได้ เราต้องปล่อยวาง ไม่โกรธแค้น)  บางคนคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเราเคยไปทำอะไรเขา เขาถึงมาทำกับเราแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดแบบนี้ตลอด บางทีก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่
(ดับทุกข์ได้ โดยการมีสติ)  เมื่อเวลาเรามีทุกข์ให้เรานี้ มีสติ และมีปัญญา เห็นแจ้งในธรรม ถ้าเรามีปัญญาเห็นแจ้งในธรรมนี้ จำไว้นะศิษย์ ท่องไว้เป็นมนต์เลยก็ได้ สำหรับใช้ชีวิตเลยรับรองศิษย์จะไม่เกี่ยวกรรมกับใคร
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ 
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
มีแต่ขณะนี้
ใดๆในโลกล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้เราจะสามารถปลดเปลื้อง การเกี่ยวกรรมได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์ก็พยายามท่องนะ  แต่ถึงเวลาศิษย์ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเวลาเขามากระทบทีไร ศิษย์ก็โกรธทุกที เวลามากระทบทีไร ศิษย์ก็ด่าทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราจะเอาชนะกิเลส ตัณหา และความอยากในโลกได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า สิ่งใดที่มนุษย์พยายามเข้าไปยึดถือ  ไม่มีอะไรที่ไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้โทษ พยายามยึดเท่าไรก็มีทุกข์เท่านั้น โทษก็เท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าอยู่ในโลกไม่ต้องอยากอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว อยากหาใครสักคนหนึ่งมาเป็นคู่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเกิดความอยากมาก ทุกข์ก็หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตัณหาไม่มีวันขจัดสิ้น ทุกข์ก็ไม่มีวันหมดสิ้นไปจากชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไปผูกสัมพันธ์กับคนๆ หนึ่งแล้วจะไม่มีทุกข์ไม่มีโทษนั้น เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่ด้วยกันกับเขามีปัญหาหรือไม่ (มี)  ทะเลาะกันหรือไม่ (ทะเลาะ)  มีทุกข์หรือไม่ (มี)  มีสุขหรือไม่ (มี)  อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)
บางทีเรารู้อยู่เต็มอกนะว่าทุกข์ แต่ก็ยังทุกข์ไม่พอเราก็ยังเพิ่มทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราพอไหม (ไม่พอ)  อยากได้อีก ใช่หรือไม่ แล้วทุกข์ จากทุกข์หนึ่งก็เป็น (สอง)  จากทุกข์สองก็เป็น (สาม)  แล้วทุกข์สามพอหรือไม่ (ไม่พอ)  เอาอีกไหม (ไม่เอา)  
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากถามศิษย์ว่า ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดความอยากมาเต็มที่ แล้วค่อยมาพยายามเข้าใจทุกข์ แล้วพยายามขจัดทุกข์ จะไหวหรือไม่ (ไม่ไหว)  ถ้าอย่างนั้นควรยึดไหม (ไม่ยึด)  ควรอยากไหม (ไม่อยาก)  แล้วตอนนี้ทั้งยึดทั้งอยากหรือไม่ (ทั้งยึดทั้งอยาก) 
(ปลดปล่อยความทุกข์ทุกอย่าง ไม่ต้องเอาแล้ว ทิ้งความทุกข์เลย ไม่ผูกมัด ) ลูกก็ส่วนลูก สามีก็ส่วนสามี ทิ้งไปเลย อย่าไปเพิ่มสิ่งใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  มีแค่นี้พอแล้ว แต่ทิ้งนี่คือทิ้งเขาเลยหรือ (ไม่เอามาผูกมัด อะไรทุกข์ก็ไม่เอา)  ไม่เอามาผูกมัด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ถ้าเขาทำให้ทุกข์ก็ปล่อยวางเพราะเป็นธรรมดาอยู่ด้วยกันมีชมก็มีติใช่ไหม มีถูกใจก็มีไม่ถูกใจ ใช่ไหม (ใช่) 
วิธีที่อาจารย์จะบอกอีกอันหนึ่งคือเมื่อเราต้องทนอยู่กับสภาพที่เราหนีไม่พ้น เราจะทำอย่างไรที่เราจะไม่ก่อเกิดกรรม และไม่ก่อเกิดทุกข์เพิ่ม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในธรรมนี้ก็มีความไม่เที่ยงและในความไม่เที่ยงก็มีความทุกข์เป็นธรรมดา แล้วในความทุกข์อันเป็นธรรมดาก็มีความเปลี่ยนแปลงจนหาที่สุดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าร่างกายนี้คือธรรมชาติที่ต้องเปลี่ยนแปลง ในความเปลี่ยนแปลงนั้นเรียกอีกอย่างว่าทุกข์ ไม่เที่ยง  เมื่อเรารู้ขนาดนี้แล้วเราจะยึดร่างกายนี้ไหม (ไม่ยึด)   ฉะนั้นเจ็บก็ไม่ (ทุกข์)  ตายก็ไม่ (ทุกข์)  พูดได้ทำให้ได้นะ  พระพุทธะจึงสอนว่าให้เรารู้แต่ไม่ได้ให้เราเป็น ให้เราเห็นแต่ไม่ได้ให้เราเอา  เพราะตัวนี้เป็นธรรมชาติถึงที่สุดธรรมชาตินี้ก็ต้องคืนกลับสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ เราห้ามตาย ห้ามแก่ ห้ามเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อห้ามไม่ได้เราควรจะเป็นทุกข์หรือแค่รู้ทุกข์ (รู้ทุกข์)  เราควรแค่รู้เจ็บหรือเราควรจะเจ็บ (รู้เจ็บ) 
ฉะนั้นเราจึงต้องมองให้ออกว่าไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของธรรมชาตินี้ได้ เพราะตัวเรานี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ นี่ก็ธรรมชาติ โน่นก็ธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเผลอทึกทักนำธรรมชาติมาเป็นเรา เมื่อมาเป็นเราแล้วเวลามันทุกข์เราก็เจ็บไหม เมื่อตายเราก็เจ็บไหม เมื่อถูกด่าเราก็เจ็บไหม  แต่ธรรมชาติสอนให้เรารู้อีกว่าถ้าเมื่อไรเราเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นไม่ได้มีไว้ให้เรายึดแต่มีไว้เพื่อให้เราเรียนรู้ช่วงใช้และปล่อยวาง เพราะเมื่อไรที่เรายึดจะไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ เป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นเราทำได้ไหม (ได้)  เวลาเราพบอะไรก็แค่รู้แต่อย่าเผลอเป็น แค่เห็นแต่อย่าเผลอเอา  ตอบได้เก่งมากเลยนะศิษย์ แต่พอถึงเวลาทำได้อย่างนี้ไหม (ได้)  ศิษย์จำไว้นะตัวเรานี้แขวนชื่อว่าอะไร มีชื่อมากมายเต็มไปหมดเลย จริงๆ ใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  แต่มันคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติและธรรมชาติก็สอนให้เรารู้ว่าธรรมชาติไม่อยู่ในอำนาจของใคร ถ้ามันเป็นของศิษย์จริง ศิษย์สั่งให้มันไม่เจ็บ ไม่แก่ได้ไหม ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติจริงก็คือไม่สามารถอยู่ในอำนาจใครได้ ใครก็บังคับธรรมชาตินี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงขึ้นไปสูงได้ก็สูงได้แค่ชั่วคราว แต่สูงได้ตลอดไหม (ไม่ได้)  และในธรรมชาตินี้ศิษย์จะต้องรู้ไว้อีกก็คือมันเป็นของเราไหม ใช่ของเราไหม
ฉะนั้นถ้าเราถูกใครตีเรา ก็บอกว่า “อ๋อ เขาตีธรรมชาติ ไม่ได้ตีเรา” เวลาเราโดนใครด่า “อ๋อ เขาด่าธรรมชาติ ไม่ได้ด่าเรา” เพราะถ้าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ เราสั่งอะไรมันก็ต้องฟัง  แต่พอถึงเวลาร่างกายนี้กลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาตัวเราที่แท้ได้ไหม  เมื่อมันไม่ใช่ของเรา เวลาเราบอกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นตามความต้องการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นพอธรรมชาติจะแก่ ธรรมชาติจะเจ็บ เราก็บอกว่า “อ๋อ ธรรมชาติมันเจ็บ มันแก่” แต่เรามักจะเป็นอย่างไร (ฉันเจ็บ ฉันแก่)  เราก็ทึกทักเอาธรรมชาติมาเป็นของเราเอง คนนี้ก็ของเรา คนนั้นก็ของเรา แล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรม อ.ลี้ จ.ลำพูน 菩緣ผู่เอวี๋ยน”)
เอวี๋ยน บุญสัมพันธ์ เพราะว่าเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคนร่วมกัน บอกเขาด้วย งานธรรมสิ่งสำคัญคือใจสู้ไม่ถอย ใช่หรือไม่ ลำบากไม่ท้อ แล้วบุญสัมพันธ์ ที่ร่วมกันมาก็จะได้เดินไปพร้อมๆ กันได้ ใช่หรือไม่
(วงคำที่มีความหมายดีๆ)  ศิษย์เอ๋ย คำมงคลไม่สู้การปฏิบัติด้วยมงคล มีศีล มีธรรม อยู่ที่ไหนก็มงคล ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บำเพ็ญธรรมต้องใช้ปัญญา อย่ามัวแต่ใช้ความคิดกับอารมณ์ เพราะความคิดกับอารมณ์มันทำให้เราหลงผิดได้
(พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลให้คนที่ตอบคำถาม)  ตอบแล้วได้รางวัลแล้วเอาไปทำอะไรต่อ (เอาไปรับประทาน)  ไม่เอาไปบอกบุญต่อหรือ (เอาไปบอกบุญต่อ)  เอาไปให้ใคร (ให้แฟน)  ศิษย์เอย เอาไปแบ่งบุญก็ได้นะ เอาไปเสริมบุญก็ได้ ใช่หรือไม่ ด้วยการรู้จักเอาไปให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่เก็บไว้กับตัวเพียงอย่างเดียว ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้คือการเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้ก็ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนบอกว่าสิ่งที่อาจารย์บอกให้เอาไปปฏิบัติบางทีก็ยาก ถ้าให้จำสิ่งที่อาจารย์บอกบางทีก็ลืม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้มีสติบางทีสติก็หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์มักจะสอนให้เรารู้จักให้ทาน หรือเรียกว่าเดินสายบุญ การเดินสายบุญจะช่วยให้เราได้ปฏิบัติธรรมอย่างไร การทำทานช่วยให้เราปฏิบัติธรรมได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นได้แอปเปิลมาแล้วรู้จักให้คนอื่นต่อ อย่างนี้เรียกว่าทำทานใช่ไหม (ใช่)  ได้บุญไหม (ได้) 
บุญคือสิ่งที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าการมีแอปเปิลแล้วทำให้ตระหนี่ถี่เหนียว สู้ให้แอปเปิลคนอื่นแล้วกลายเป็นคนใจกว้างดีกว่าไหม (ดี)  ถ้ามีแอปเปิลแล้วเป็นคนคับแคบ สู้ให้แอปเปิลแล้วใจกว้างยิ่งขึ้น จะให้ไหม (ให้)  อาจารย์ถามว่า ถ้าเขาได้แอปเปิลมาแล้วอยากจะส่งต่อให้กับคนอื่น เพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวเอง เพราะการมีบางทีทำให้เราหลง เรายึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีแล้วหลง ยึด ก็ไม่เป็นบุญ ก็กลายเป็นบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าให้แล้วทำให้เราสบายใจ มีความสุขใจ เราก็ให้ดีกว่ามีไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาให้เราแล้ว เราจะทำอย่างไรให้บุญต่อบุญ ให้บุญยิ่งเกิดบุญ  สมมติเขาให้ผลไม้ศิษย์ ศิษย์ทำอย่างไร (แบ่งต่อ)  เวลาเขาให้อะไรเรามา เราก็สาธุ ศิษย์เป็นนักบุญนักเดินสายบุญ ใครทำอะไรดี ใครทำอะไรถูก ใครทำอะไรงดงาม แค่เราอนุโมทนาสาธุเราก็ได้บุญ  แล้วถ้าเราได้แอปเปิลมาแล้วเรายังส่งให้คนอื่นต่อเราก็ได้บุญ เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการเดินสายบุญง่ายไหม วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้เราเดินสายบุญได้ง่ายยิ่งขึ้นมีอะไรรู้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่อายุน้อยเดินออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์อยากเดินสายบุญไหม ถ้าคิดว่าอยู่ในโลกนี้การปฏิบัติธรรมมันยาก อย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีปฏิบัติธรรมที่ง่ายและไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วได้บุญด้วยดีกว่าได้บาป วิธีที่ง่ายที่สุดถ้าศิษย์ทำได้ตลอดชีวิตไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ได้บุญ ทำได้โดยการเดินจากนี่ไปถึงโน่นแล้วก็ยกมือไหว้ทุกๆ คน บุญที่ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน คือบุญอย่างหนึ่ง แล้วทำไม่ยาก พบใครก็ไหว้ คนที่ถูกไหว้ เมื่อเขาไหว้เราเสร็จเราทำอย่างไร (ไหว้ตอบ)  แล้วทำอย่างไรอีก (สาธุ)  สาธุแล้วก็ยินดีในบุญเขาด้วย นี่แหละคือบุญต่อบุญ ฉะนั้นเขาเดินผ่านใครไปเราก็ (สาธุ)  บุญคือสิ่งที่ชำระล้างจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเราทำด้วยความจริงใจเต็มใจอ่อนน้อมไปที่ไหนใครก็รัก
ศิษย์เดินไปแล้วไหว้และพูดด้วยว่า “สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ” เขาทำแบบนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  หันไปไหว้ผู้ใหญ่อายุมากๆ น่ารักดีออก  ง่ายไหมปฏิบัติธรรม ศิษย์พูดว่า “ขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้เราได้สร้างบุญ”  เมื่อสักครู่เขาให้เราได้ทำบุญยิ่งใหญ่ ทำบุญทั่วกว้าง  ฉะนั้นเกิดเป็นคนบุญทำไม่ยาก ขอแค่เพียงอ่อนน้อมถ่อมตน มีศีล มีธรรม มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บุญก็ไม่ไปไหน ใช่หรือไม่  ส่วนบาปตรงกันข้าม ทำบาปยากใช่ไหม ไม่ควรทำใช่หรือไม่  ฉะนั้นต่อไปเปลี่ยนจากทำบาปเป็นทำบุญดีไหม
อาจารย์ถามว่า การปฏิบัติธรรมนอกจากรู้จักให้ทาน ให้ทานก็คือเป็นคนมีศีล เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วในทาน ศีล ความอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาศิษย์มาฟังธรรมศิษย์ได้บุญ แล้วถ้าศิษย์ได้บุญแล้วศิษย์ยังเกิดจิตใจเมตตา กรุณา ซื่อตรง เที่ยงตรง เป็นการทำบุญแล้วยังรักษาชีวิตให้ประเสริฐอีกถูกหรือไม่ (ถูก) ได้บุญ ทำชีวิตให้ประเสริฐแล้วยังสามารถเอาธรรมที่เราเข้าใจ มาประจักษ์แจ้งจนเกิดปัญญาสิ้นทุกข์ด้วยดีไหม (ดี) อาจารย์ถามหน่อยเกิดเป็นคนทั้งทีจะเอาแค่บุญ หรือแค่เป็นคนประเสริฐ หรือจะสิ้นทุกข์ มีความประเสริฐด้วยแล้วก็ได้บุญด้วย 
วิธีปฏิบัติธรรมของอาจารย์จึงไม่ยาก เราสามารถปฏิบัติธรรมและทำบุญทุกๆ ที่ได้ และทำทุกๆ ที่ให้มีคุณธรรมเป็นคนประเสริฐได้ และทำทุกๆ ที่ให้มีปัญญาเห็นแจ้งได้ ขอเพียงศิษย์รู้จักเลือกทางเดินของตัวเอง ถ้าทางนั้นเป็นกรรม เป็นกิเลส เป็นทุกข์ เป็นการจองเวร ศิษย์อย่าทำ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าทำแล้วทำให้จิตผ่องใสเกิดจิตเมตตา เกิดความซื่อตรง เกิดความไม่ฉ้อฉลไม่เอาเปรียบใคร ทำให้ใจเราคิดได้ ทำให้ใจเรามีธรรม ศิษย์เลือกทำทางนั้นดีกว่าไหม แล้วชีวิตของศิษย์ชีวิตนี้จะได้เป็นการชดใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่อีกต่อ ไป ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่มีสติรู้อยู่ทุกขณะ ไม่ว่าทำ ไม่ว่าพูด อะไรมากระทบก็รักษาจิตปกติไว้ ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ จิตยิ่งปกติมากเท่าไรนั่นก็คือเข้าถึงศีลมากเท่านั้น เมื่อพบอะไรมากระทบจิต แล้วเรายังเป็นปกติได้ ยังสงบนิ่งไม่โกรธ ไม่ต้องใช้คำว่าอดทนแต่เข้าใจ ศีลจึงกลายเป็นสมาธิ แล้วเมื่อสงบนิ่งปกติแล้วยังประจักษ์แจ้งในธรรม  จนปล่อยวางได้แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ในขณะนี้เอง
ฉะนั้นเราดำเนินชีวิตเพื่อเกี่ยวกรรมหรือเราจะดำเนินชีวิตเพื่อจบสิ้นเวรกรรม (จบสิ้นเวรกรรม)  แต่ศิษย์ของอาจารย์จบสิ้นได้ไหม (ได้)  ขอเพียงไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่มัวแต่สงสารตัวเองจนไม่เห็นใจใครแล้วเหยียบย่ำชีวิตจิตใจคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติธรรมที่อาจารย์บอกยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ทุกที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าหากศิษย์เป็นคนโกรธนิดหน่อย เป็นบาปใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มีความโกรธ เกลียด โลภ หลง มันไม่ดีตรงไหน ทำไมอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีเลย  อาจารย์ถามว่าเวลาโกรธมากๆ เหมือนคนบ้า ใช่หรือเปล่า  อาจารย์ว่าเหมือนคนจุดไฟนรกในใจตัวเอง โกรธเหมือนเผาใจตัวเองไหม (เหมือน)  แล้วคิดขึ้นมาทีไร ก็เหมือนจุดไฟมาเผาตัวเองซ้ำๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโกรธบ่อยๆ จึงเรียกว่านรก ใครตายไปแล้วยังตัดความโกรธไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นนรก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วโลภมากๆ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีแล้วต่อไปนี้จะโลภอีกไหม (ไม่โลภ)  ให้จริงนะ ปกติอาจารย์เห็นศิษย์ว่าก็ต้องมีโลภบ้างนิดๆ หน่อยๆ ขอมีสักนิด ขอมีสักหน่อย ใช่หรือไม่ กิเลส อารมณ์ มีได้แต่มีแล้วต้องไม่ผิดศีล ผิดธรรม ถ้ามีแล้วผิดศีล ผิดธรรม เบียดเบียน เบียดบังชีวิตคนอื่น ก็ไม่ควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้หรือไม่ว่า สัตว์นรกอะไรที่กินไม่มีวันอิ่ม โลภไม่มีวันพอ (เปรต)  ฉะนั้นศิษย์จะกำหนดชีวิตตัวเองวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้จะไปเป็นเปรต ใช่ไหม แล้วหลงมากๆ เป็นอะไรรู้ไหม (เดรัจฉาน)  ใช่ เดรัจฉาน
ฉะนั้น โลภ โกรธ หลง คือ ผีนรก เปรต เดรัจฉาน ซึ่งหาเป็นมนุษย์ไม่ แต่ถ้ามีศีลครบ มีธรรมครบ สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วขาดปัญญาธรรม ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ขาดบุญบารมีทำอะไรก็ไม่มีใครรัก ไม่มีใครเห็นด้วย เกิดมาก็น่าสงสาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์คิดว่า ทำบุญแล้วขอให้ชาติหน้ากลับมาเกิด แล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนที่สมบูรณ์แบบนี้อีกหรือ ถ้าไม่มั่นใจ สู้ทำวันนี้ให้สิ้นทุกข์ สิ้นกรรม ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไป ไม่ดีกว่าหรือศิษย์ ดีไหม (ดี)  การสิ้นกรรม ไม่ใช่ห้ามคนอื่น     แต่ห้ามใจตัวเอง ไม่ใช่ไปหยุดคนอื่น แต่เป็นการหยุดใจตัวเอง คุมใจตัวเองให้ได้แค่นั้นเอง ยากไหม (ไม่ยาก)  ด้วยการเข้าใจธรรมที่เรียกว่าธรรมชาติของคน  ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติของคนมีอะไร มีเกิดก็มีตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี  ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจหลักธรรมนี้ จะช่วยให้ศิษย์สามารถอยู่บนโลก และเข้าใจความเป็นคน เข้าใจธรรมชาตินี้ว่าไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ ยืมร่างกายนี้ใช้ และเอาแต่จิตเดิมแท้กลับคืนฟ้าเบื้องบน เพราะกายมีวันแตกดับได้ แต่จิตเดิมแท้ไม่มีวันแตกดับ และจิตเดิมแท้จะกลับคืนความสว่างได้อย่างไร ถ้าใจของมนุษย์ยังยึดติด เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและอารมณ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเราจะต้องเบาบางกิเลสตัณหา อารมณ์ เพื่อฟื้นฟูจิตเดิมแท้กลับคืนสู่บ้านเดิมให้จงได้ ได้ไหม (ได้) เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อาจารย์ไม่ค่อยแน่ใจเลย เพราะมนุษย์ง่ายต่อการหวั่นไหวไปตามอากาศ อากาศร้อนแล้วก็หงุดหงิด หงุดหงิดแล้วก็เบื่อ เบื่อแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมศิษย์ถึงปล่อยใจไปตามสังขาร ในเมื่อใจหรือจิตของเรามีอำนาจเหนือกว่าสังขาร ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ดี”)
การใฝ่ดีเป็นการเริ่มต้นของทุกๆ สิ่งเลยถูกไหม (ถูก) ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะทำดีไหม (ไม่)  แต่สิ่งสำคัญคือศิษย์ศรัทธาในความดีในใจตัวเองไหม (ถูก)  ถ้าเราไม่ศรัทธาความดีในใจตัวเอง เอาแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่มีวันมั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราศรัทธาในความดีของตัวเอง เราเชื่อมั่นว่าเราก็มีดี เราก็มีคุณธรรมที่ประเสริฐได้ เราจะทำตัวเองให้ไปรอดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนอื่นไม่เกี่ยวกับเรา ตัวเราต้องดีด้วยตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำว่า “มีศรัทธาความดีงามในใจตน ฟื้นฟูธรรมงดงามหลั่งล้นออกมาได้”  ฉะนั้นถ้าเราไม่ศรัทธาความดีงามในใจตนมากพอ จะออกมาจากใจได้ไหม เราจะปฏิบัติได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนในใจศิษย์ถ้าศิษย์คิดว่าเราไม่ดี เรามันคนชั่ว จะทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเราเชื่อมั่นว่าฉันก็เป็นคนดีคนหนึ่งได้ ฉันก็ปฏิบัติดีได้ ฉะนั้นจะออกมาได้ไหมเมื่อออกมาได้ ความถูกต้องเราก็ออกมาใช้ได้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าไม่ศรัทธาจะออกมาได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเราจะดีได้ ศิษย์ต้องศรัทธาในความดี และถ้าศิษย์ศรัทธาศิษย์ก็จะสามารถเจริญความดีงามนั้นได้มั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเราศรัทธาความดีงามในใจตัวเอง บอกอาจารย์สิว่า ศิษย์มีอะไรดีอยู่ในใจ
(จิตเดิมแท้คือพุทธะ) จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าจิตพุทธะ แต่หม่นหมองไปเพราะความหลงตัวเอง 
(คุณงามความดี) ศรัทธาในความดีงามในใจตนใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอยมีคนหลายคนเวลาเขาทำบุญอะไรก็ตามเขามักจะอนุโมทนาตั้งจิตอธิษฐานเสมอว่า “ไม่ว่าภพใดชาติใดขอให้ได้เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูธรรมะตลอดทุกภพทุกชาติ” ตั้งจิตอธิษฐานอย่างนี้ก็ดีนะ เพราะไม่ว่าจะกี่ชาติๆ เขาก็จะมีจิตใจดีและส่งเสริมความดีในใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นเปลี่ยนจากขอให้รวย ขอให้มีความสุขเปลี่ยนเป็นขอให้จิตใฝ่ดีทุกชาติ ดีหรือไม่ (ดี) 
(จิตใจที่มีเมตตา)  คนที่มีเมตตาจะนินทาใครหรือไม่ จะขโมยของใครหรือไม่ จะโกหกใครหรือไม่ จะใจร้ายกับแม่ตัวเองหรือไม่ อย่าใจร้ายนะ (รู้จักให้อภัยคนอื่นมองโลกในแง่ดี)  มองโลกให้เป็นกลางดีกว่า เพราะโลกนี้มีดีก็มีร้ายแต่การวางใจเป็นกลางและยอมรับในร้ายและดีให้ได้ประเสริฐกว่า
(พูดในสิ่งที่ดีๆ กับทุกคน)  ฉะนั้นทำอะไรขอให้พูดในสิ่งที่ดี แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่าบางเรื่องบางราวไม่พูดดีกว่า บางทีเราพูดดีแต่บางคนเขาไม่รู้สึก ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องพูดน้อยๆ ดีที่สุด
มีใครจะตอบอาจารย์อีก อาจารย์ยังพอมีเวลา อาจารย์อยากแจกแอปเปิล แล้วศิษย์ก็รู้จักเอาไปผูกบุญต่อดีไหม (ฝากเพื่อน, แบ่งกันกิน, เป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตากับคนอื่น มีความซื่อตรง)  ทำให้ได้นะ ความซื่อตรงทำได้ยากแต่ถ้าซื่อตรงได้ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าซื่อตรงไม่ได้พูดคำไหนไม่มีใครเชื่ออีก ใช่หรือไม่  (คิดดี กระทำในสิ่งดีๆ ได้มาจะไม่กิน จะเอาไปเยี่ยมคนป่วย)  ทำบุญไม่หวังผล เป็นบุญที่ประเสริฐนะ (จริงใจ ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น)  จริงใจและซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น แม้คนอื่นจะไม่จริงใจหรือซื่อสัตย์ต่อ ก็จงมั่นคง (ช่วยเหลือผู้อื่น)  มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ได้และทำให้ดีนะ (กตัญญูรู้คุณ)  ตอบได้ดีนะ จิตที่รู้คุณคน จิตที่สำนึกคุณคนเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  (รู้จักแบ่งปัน)   ตอบได้ดี
ศิษย์เอย เห็นใครได้ดีเราก็ยินดีในความดีนั้นด้วย ก็เป็นสิ่งที่งดงามได้ ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเราจะศรัทธาในความดี เราต้องหาให้เจอว่าเรามีดีอะไร และเอาสิ่งดีนั้นมาปฏิบัติใช้ร่วมกับทุกคน
(เห็นทุกคนเป็นคนดีที่เสียสละ และสังคมช่วยบ้าง สังคมก็จะมีศรัทธา เสียสละ และก็มีความดี) ศรัทธาในความดี ความดีก็คือการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศีลคืออะไร ธรรมคืออะไร ถ้าปฏิบัติได้นั้นเรียกว่าศรัทธาความดี อย่าแค่ศรัทธา อย่าแค่รับศีล แต่ถึงเวลาศีลสักข้อก็หามีไม่ เปล่าประโยชน์นะ ใช่หรือไม่
(ทำความดีกับคนอื่น)  อาจารย์ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือทำตัวเองให้งดงาม ทำตัวเองให้ดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน นั้นคืองามที่สุดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  รู้จักให้คนอื่นแต่ตัวเองยังทำไม่รอด รู้จักดีกับคนอื่นแต่ในบ้านยังทำไม่ได้เรื่อง อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) 
(ช่วยสร้างสถานธรรมเหยินเต๋อให้เสร็จ)  จิตมุ่งมั่นที่อยากช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งนะ ถ้าเหยินเต๋อสร้างเสร็จแล้วก็แปลว่าศิษย์หมดความมุ่งมั่นแล้วหรือ (ไม่)  ฉะนั้นจิตมุ่งมั่นที่ดีไม่ใช่กำหนดที่สิ่งของ แต่มุ่งมั่นที่ดีต้องเกิดจากใจที่ศรัทธาตั้งมั่นความดี ไม่ใช่อยู่ที่ของหรืออยู่ที่คน เข้าใจนะ
(มุ่งมั่นกตัญญูต่อบรรพชน) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอ๋ย คนทุกคนก็เป็นคนมีคุณค่า ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีชาวนาก็ไม่มีข้าว เราสามารถมีจิตสำนึกคุณทุกๆ คน และสามารถตอบแทนทุกๆ คนได้ ไม่มีใครที่น่ารังเกียจ แม้กระทั่งคนเก็บขยะ หรือแม้กระทั่งเพื่อนที่ด่าเรา ถ้าเขาไม่ด่าเราจะรู้หรือไม่ว่าใครรักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแผ่ขยายจิตสำนึกคุณออกไป อย่าแค่พ่อแม่ ใช่หรือเปล่า
(สำนึกที่ดี)  มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี พ่อจะได้ชื่นใจ จิตสำนึกที่ดีเป็นสิ่งที่ดีนะศิษย์ คนสมัยนี้ให้ทำดีแค่ไหน แต่ถ้าขาดจิตสำนึกเขาก็ดีไม่รอด 
(ให้ใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ สัตว์ ไม่ว่าคนดี หรือไม่ดี จิตใจเอื้อเฟื้อตลอดไป)  ฉะนั้นยุงกัด (ตบบ้าง)  ไหนบอกอาจารย์เองให้มีใจเอื้อเฟื้อมนุษย์และสัตว์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าพลั้งเผลอตบยุงบ้าง แล้วกับคนศิษย์จะไม่พลั้งเผลอตบคนหรือ (ให้อาจารย์ตบได้) ให้อาจารย์ตบได้ ศิษย์ไปตบคนอื่นได้ไหม  (ไม่ได้ ต้องทำดีกับเขา) แล้วยุงกัดตบไหม (ก็คงไม่ตบแล้วครับ)
ศิษย์เอยเขาขอเลือดเราแค่นิดเดียว ศิษย์ยังตบเขาจนตาย แล้วคนที่เราไปทำเขาจนตายเขาไม่ทำเรากลับบ้างหรือ (ทำกลับ)  ฉะนั้นอย่าเผลอ เพราะเผลอเมื่อไรกรรมก็ตามมาเมื่อนั้น
(ไม่เอาเปรียบผู้อื่น)  การไม่เอาเปรียบผู้อื่นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ซื่อตรงต่อหน้าที่ และทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์จริงไหม (จริง)
(มีความตั้งใจจริงที่จะเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งดี เมื่อมีสิ่งดีแล้วทุกอย่างก็จะตามมา มีคุณธรรม มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะเชื่อมั่นศรัทธาในความดีจนกว่าจะบรรลุธรรมเหมือนนักธรรมที่บรรลุธรรม แล้ว)  พูดได้ดีนะ แต่ถึงเวลาทำให้ได้อย่างที่ว่านะศิษย์ เพราะการเข้าถึงธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องรู้จักมีสติปัญญา และหมั่นศึกษาเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนรู้ผู้อื่นแต่เรียนรู้ใจตัวเอง ไม่ใช่แก้ไขผู้อื่นแต่ให้แก้ไขที่ใจตัวเอง สิ่งใดที่เป็นบาป เป็นความผิดให้หยุดลดละ สิ่งใดที่เป็นสิ่งดีเป็นกุศลหมั่นประกอบให้สม่ำเสมอ
(ความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้ว่าจะยากก็จะทำให้ได้)  คนที่รู้จักพออยู่ทุกขณะ ความโลภ โกรธ หลง ก็ครอบงำได้ยาก แต่คนที่ไม่รู้จักพอ ความโลภโกรธหลงก็เข้าครอบงำได้ง่าย
(มีศีลธรรมในใจและมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก)  ทำให้ได้นะ ถึงเวลาโดนใครว่า โดนใครด่า อย่าท้อแท้นะ (มีธรรมะ มีความกตัญญู)  มีธรรมะคือสิ่งที่ดีงามที่อยู่ในใจศิษย์นะ ความกตัญญูก็คือรู้บุญคุณคน ไม่ใช่กตัญญูต่อพ่อแม่ ทุกคนล้วนมีคุณต่อเรา ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ธรรมะดี)  ไปทำความดี เอาธรรมะไปบอกคนอื่นๆ ถ้าอย่างนั้นจงรักษาความดีเหมือนดั่งเกลือรักษาความเค็มนะ ตอบอีกไหม ที่จริงแล้วศิษย์มีดี แต่มักไม่ค่อยเลือกทำดี ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาแต่นิสัยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พยายามดึงสิ่งที่ดีออกมา อย่าเห็นแต่ใจตัวเองจนลืมเห็นใจคนรอบข้าง อย่ามัวแต่ห่วงความรู้สึกตนเอง จนลืมห่วงคนที่อยู่รอบข้าง ที่เขารักศิษย์นะ ทำให้ได้นะ ฝึกจิตเมตตา จิตมีน้ำใจ จิตเสียสละ จิตอ่อนน้อมไม่ใช่เรื่องยาก อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ แต่ไม่ค่อยทำ ใช่ไหม 
(จริงใจซื่อตรง)  แม้คนไม่รักก็ต้องจริงใจซื่อตรง เพราะจะได้เปลี่ยนแปลงคนไม่รักให้กลายเป็นรัก ใช่หรือไม่ อย่าลำเอียงก็พอ
(การให้ทาน และการเสียสละ)  แต่ถ้าเสียสละแล้วยึดติดในผล ยึดติดในการหวังวอนขอ การให้ทานนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ ใช่ไหม (ใช่)  (การให้ทานโดยจิตใจบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทน)  การให้ทานจะยิ่งประเสริฐยิ่งขึ้นก็คือแม้ตัวตนก็ให้ได้ ความเป็นตัวตนก็ให้ได้ นั่นแหละเรียกว่าให้นิพพาน ให้ความสงบเย็น เคยให้สิ่งนี้กับคนอื่นบ้างไหม (บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ให้ทรัพย์ แต่เราให้ความรู้การปฏิบัติธรรม ให้คนรู้จักมีสติขึ้น)  แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากให้คือก่อนจะให้คนอื่น ศิษย์ต้องให้ตัวเองก่อน สงบได้หรือยัง เย็นบ้างได้หรือยัง ถ้าศิษย์เข้าถึงความสงบได้ เข้าถึงความเย็นได้ บางครั้งไม่ต้องพูด แต่การปฏิบัติตัวของเราจะทำให้รอบข้างเห็น มันต้องหลั่งล้นออกมาจากตัวนะ ความรู้แน่นแต่ปฏิบัติยังไม่แน่น ใช่ไหม (ใช่) 
(คืนกำไร)  คืนกำไร แล้วเรามีกำไรให้เขาหรือยัง แล้วทำได้หรือยัง (เกือบจะทำได้)  แล้วเมื่อไหร่จะทำ  (รักพ่อรักแม่ มีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน,รู้จักแบ่งปัน,มีความอดทน,ทำกรรมดี,ขอให้ลูกหลานเป็นคนดี)  เผื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีขึ้นจะทำให้ลูกหลานดีขึ้น ศิษย์รู้ไหมพ่อแม่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจนตราบลมหายใจสุดท้ายลูกหลานจะเป็นคนดีสามชั่วคน  แต่ถ้าพ่อแม่ปฏิบัติธรรมไม่ถึงที่สุดลูกหลานไม่ได้ดีหรอกนะ
(อยากให้คนทุกคนมีเมตตา อยากให้คนทั่วประเทศมาฟังธรรมอย่างนักเรียนในวันนี้)  อาจารย์ถามว่าศิษย์ศรัทธาอะไรในความดี แต่ศิษย์อยากให้คนทั่วโลกมีคุณธรรมปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ใช่หรือไม่
(มีจิตเมตตา อยากให้ผู้อื่นมาฟังธรรม)  ศิษย์หลายคนตอบอาจารย์ว่า อยากให้ทุกคนมีจิตเมตตา มีน้ำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ก็บอกไว้เสมอๆ นะศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่ปฏิบัติอย่างสุดจิต สุดใจ ใครจะปฏิบัติกับศิษย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์เอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยมี แล้วใครจะทำให้ศิษย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเราต้องทำก่อน เราต้องเริ่มก่อนทำให้เขาเห็น ประจักษ์ให้เขาดูว่า ใครไม่ดีไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะดี ใครไม่ทำไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะทำให้เขาเห็น ทำให้เขารู้ว่ายังมีความดีในโลก และความดีในโลกจะคุ้มครองคนดีเอง โดยไม่ต้องขอ ไม่ต้องเรียกร้อง ดีหรือไม่ (ดี) อาจารย์ขอให้ศิษย์เป็นหน่อเนื้อธรรมแห่งความดี บ่มเพาะความดีในใจตัวเองนะ ได้หรือไม่ (ได้) เริ่มต้นด้วยบุญ และมีคุณธรรม และก็ตามด้วยการประจักษ์แจ้งในธรรมแห่งตน ทำได้ไหม (ได้)  แต่จำไม่ได้แล้วใช่ไหม จำได้ไหม (ได้)
ศิษย์เอ๋ยแม้กระทั่งพระพุทธองค์ท่านยังกล่าวไว้ว่า ทำดีแม้ต้องฝืนทำ แม้ต้องทำด้วยน้ำตานองหน้า ท่านก็ให้เลือกทำดีเพราะความดีจะคุ้มครองคนดี อย่าเผลอไปทำชั่ว เพราะเมื่อความชั่วตกผล แม้ศิษย์จะมีกี่ภพกี่ชาติ ความชั่วก็จะติดตามไปทุกภพทุกชาติ ให้ศิษย์แก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้น ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ พบใครให้อ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา ซื่อสัตย์ ซื่อตรง รู้จักให้เกียรติ เคารพ ดีไหม (ดี)  เมื่อเราปฏิบัติได้ถูกต้องคราวนี้ก็ไม่ต้องกลัว คนอื่นมาปฏิบัติต่อเรา ไม่เป็นไร เขาจะด่าเรา เขาจะทำร้ายเรา เขาจะแช่งชักหักกระดูกเรา เราก็ขอให้เป็นการจบเวรจบกรรม คิดว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นทั้งดับและดี  ถ้าทุกขณะที่เขาจะด่าเรา ก็เป็นทุกขณะที่กำลังจะดับและเรากำลังจะได้ดี  ฉะนั้นเขาด่าอย่างไรเราจะต้องเอาดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เขาด่าเรา เราเอาชั่ว เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเมื่อเอาดี อย่าเอาแค่ดี แต่ต้องดีให้ถึงธรรม ธรรมที่ทำให้เราปล่อยวางตัวตน ไม่ก่อเกี่ยวกรรม ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้น เขาไม่ได้ว่าเรา แต่เขากำลังว่าธรรม คนที่กำลังว่าเรา แต่เขาก็คือธรรม ฉะนั้นเห็นธรรมในเขา เห็นธรรมในตัวเรา เราก็เข้าถึงธรรมที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะได้สิ้นเกิดสิ้นตายในชาตินี้ชาติสุดท้ายนะศิษย์เอย ดีไหม (ดี)  อยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากเกิดก็อย่าเกี่ยวกรรม แต่ถ้าอยากเกิดก็เกี่ยวไปเลย โกรธไปเลย ด่ากลับไปเลย แต่อาจารย์บอกไว้ก่อนนะ นรกน่ากลัวกว่าที่ศิษย์คิด เจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้เลย ศิษย์ร้องยังมีวันสุดเสียง แต่ร้องเจ็บปวดในนรกไม่มีวันสุดเสียง และเขาจะปลุกให้ศิษย์ฟื้นขึ้นมาแล้วก็รับกรรมอีก ฉะนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ตกนรก อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นกรรม ไม่ใช่ขอฟ้าแต่ขอตัวเอง ไม่ใช่ห้ามคนอื่นแต่ห้ามตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ว่าชาตินี้จะเป็นคนเพื่อพ้นทุกข์ หรือจะเป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นก็อยู่ที่ศิษย์นะ ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์แค่ชี้ทางแต่ศิษย์จะเดินหรือไม่เดินอยู่ที่ตัวศิษย์เอง อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต แล้วอาจารย์ไม่เคยประมาทกับการดำรงชีวิต ศิษย์จะดำรงชีวิตแล้วไปเกี่ยวกรรมหรือสิ้นกรรม คิดให้ดีๆ นะศิษย์

(ถ้าเราลืมไตรรัตน์ เราจะเข้าประตูสวรรค์ได้ไหม)  ศิษย์เอย หากลืมไตรรัตน์ แต่ถ้าจิตถึงแจ้งในธรรมก็เข้าได้ แต่สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์ที่ยังต้องกลับมาเกิดอีก เพราะกลายเป็นบุญแทน ไม่ใช่การพ้นทุกข์ (ถ้าจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องจำได้ ใช่ไหมครับ)  ไม่ใช่แค่จำได้อย่างเดียว ถ้าจะพ้นทุกข์ต้องเข้าถึงสภาวธรรมอันเดิมแท้ในตัวเอง ซึ่งสภาวธรรมนั้นก็มีอยู่บนฟ้าเบื้องบน และมีอยู่ในตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราจะกลับคืนฟ้าเบื้องบนที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็จะต้องสิ้นตัวตนให้ได้ตั้งแต่ชาตินี้ แต่ถ้าใจศิษย์ยังยึดติดในตัวตนว่ามีตัวตนเป็นแบบนั้นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาป ใช่หรือไม่  ฉะนั้นลองมองให้เห็นว่า เรามีสภาวธรรมอยู่และธรรมนั้นเรากลับคืนได้ไหม ถ้ากลับคืนไม่ได้ก็ยังหนีไม่พ้นบ่วงกรรม ใช่หรือไม่ แต่อย่างดีที่สุดก็แค่ไปฟังธรรมต่อ แต่ถ้าฟังธรรมต่อแล้วศิษย์ยังไม่เข้าถึงก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก อยู่ที่บุญกรรมศิษย์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวอาจารย์แล้ว (ก็แสดงว่าต้องจำไตรรัตน์ให้ได้ แล้วต้องเข้าถึงด้วย)  ศิษย์เอย แล้วการจำยากนักหรือ สิ่งที่ไม่ดีจำได้เยอะ แต่เรื่องดีๆ ทำไมจำไม่ได้ล่ะ ใช่หรือไม่  สิ่งที่ควรจำเรากลับไม่จำ สิ่งที่ควรลืมแต่เรากลับจำ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านะ
ศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ เลือกที่จะบำเพ็ญบ้างเถอะ เลือกที่จะเป็นคนดีบ้างเถอะ แล้วเลือกที่จะเดินตามที่อาจารย์บอกบ้างนะ ศิษย์เอย
มีโอกาสกลับมาอีกนะ มัวแต่กอดอกแล้วเข้าใจในธรรมะที่อาจารย์พูดบ้างไหม เข้าใจและไปปฏิบัติควบคุมอารมณ์ให้ได้ การงานจะได้ดีขึ้น อย่าดื้อนะ รู้จักมีศีลมีธรรม ใจเย็นๆ อย่าขี้บ่น เลือกที่จะเดินตามที่อาจารย์บอกบ้างนะศิษย์เอย
มีโอกาสมาช่วยงานอาจารย์นะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นอดทนให้ถึงที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องอะไร เข้มแข็งนะ ไม่ว่ามีเรื่องอะไรปัดเป่ากิเลสออกจากใจด้วยหลักธรรมที่ถูกต้อง ปัดเป่าความทุกข์ออกจากใจด้วยหัวใจแห่งธรรมนะศิษย์  มีโอกาสกลับมาอีกนะ    

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ดี”
      มีศรัทธาความดีงามในใจตน                   ฟื้นฟูธรรมงดงามหลั่งล้นออกมาได้
จิตดีงามความถูกต้องธรรมนำใช้                     ไม่กลืนหายไปเพราะนิสัยโทษทุกทุกสิ่ง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา