วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
เมื่อฟืนสิ้นไฟยังลุกโชติช่วง ความงดงามดั่งดวงจันทร์เฉิดฉาย
แม้เมฆหมอกไม่อาจบดบังกำจาย[๑] เงาสะท้อนภาพจันทร์ฉายให้คำนึง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ฟากฟ้าสีหม่นคล้ำดั่งยามราตรี ใจทุกข์เป็นคลื่นนทีโถมและทับ
เวลาห้วงพรากพลัดที่ยากยอมรับ สามารถดับลงเพราะเวลาทำหัวใจ
ยอมรับยอมใจยอมจะเป็นทุกข์ แลแปรทุกข์กลายเป็นแรงครั้งใหม่
ใช้ชีวิตจงอย่าเฝ้าเอาแต่ใจ ฝึกตามธรรมเป็นไทอยู่เรื่อยมา
ไม่ระดับลำดับไปในเหล่าความเพียร กลับดับเทียนแสงเดียวที่ตรงหน้า
แสงสว่างกลางใจนั้นไซร้คือปัญญา การสละเมตตาคนหนาคือหัวใจ
ทุกอย่างแบบเป็นแบบอย่างจิตมานะ วิริยะไม่หยุดพักเป็นเพราะขวนขวาย
ความรักเมตตาเย็นสบายเพราะรู้อภัย น้ำฝนสายดุจขอฝึกเนืองนิตย์
ปลุกเสกพระในตนฝนทั้งนั้น อยากรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่เรื่องผิด
ฝึกพิเคราะห์รอยตามหาแก่นความคิด ดีจงทำต่อไม่ติดอคติใด
ฮา ฮา หยุด
[๑] กำจาย กระจาย
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
เมื่อจิตไม่ลื่นไหลไปตามกิเลสอารมณ์และความเคยชินแห่งตัวตน ความยึดติดแห่งตัวตน ความสงบในจิตใจก็เกิดขึ้นได้ ความอิสระในตัวตนก็บังเกิดมีได้ แต่ใจของมนุษย์เคยชินกับการตามกิเลส อารมณ์ ตามความอยาก สนองตา สนองหู ใช่หรือไม่ (ใช่) พอไม่ได้ดูหงุดหงิดไหม (หงุดหงิด) พอไม่ได้ฟังในสิ่งที่อยากฟังเบื่อไหม (เบื่อ)
ฉะนั้นความสงบที่แท้จริงไม่ใช่การนั่งหลับตาหรอก แต่คือการไม่ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามความอยาก ความโลภความโกรธความหลง และความยึดติดแห่งตัวตน มนุษย์ก็สามารถพบความสงบได้ทันที
มนุษย์ทุกคนในโลกปรารถนาคนดี แต่มีน้อยคนที่จะทำดีใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราอยากได้ดีเราก็ต้อง (ทำดี) เพราะโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าอยากดีก็ต้องทำดี ถ้าอยากได้ความดีก็ต้องปฏิบัติ (ดี)
เมื่อเราเห็นอะไรดีเรารู้สึกดีเราก็อยากให้เพื่อนได้ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นการที่เขาเรียกให้เรามาฟังธรรมเป็นสิ่งดีไหม (ดี) แล้วคนที่ปริปากบ่นคนที่ชวนเพราะอะไรหรือ เพราะไม่เห็นคุณค่าความดีของเขา ไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่เขาจะยื่นให้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมทำดีไม่เห็นได้ดี นั่นเพราะว่าบางคนรู้สึกไวบางคนรู้สึกช้า ฉะนั้นถ้าเราทำดีแล้วเจอเพื่อนรู้สึกช้าจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) แล้วจะโกรธไหมว่าทำดีไม่ได้ดี (ไม่โกรธ) แล้วจะท้อการทำดีไหม (ไม่ท้อ)
เราอยู่ในโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาคนดี เรื่องดีๆ ฉะนั้นก็ต้องรู้จักหมั่นเพียรกระทำสิ่งที่ดี แต่บางครั้งทำดีแล้วจะได้ผลดีหรือเปล่า ชักไม่ค่อยมั่นใจใช่หรือไม่ เหมือนเรายกตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมหลายท่าน พยายามจะชวนเรามาฟังธรรมเพราะการฟังธรรมก่อเกิดปัญญา และนำพาสู่สิ่งที่ดีงาม แต่ขณะที่ชวนก็ต้องเจอคนที่ตัดพ้อต่อว่า บ่นอื้ออึงไม่ชอบใจไม่เอาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่ชวนยึดมั่นในความดีที่ตัวเองทำ และหวังผลในความดีนั้น ความดีนั้นก็หนีไม่พ้นต้องบังเกิดเป็นความทุกข์ในที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกข์เพราะความยึดถือ ถูกหรือไม่ (ถูก) แม้สิ่งที่เรียกว่าการบอกบุญให้เขามาฟังธรรม จะเป็นการสร้างบุญอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าบุญนั้นทำแล้วหวังผลยึดมั่นถือมั่นในตัวตน บุญนั้นก็หนีไม่พ้นความทุกข์ เหมือนกับวันนี้ท่านมานั่งฟังธรรม แต่มาฟังแล้วเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ไม่เป็นแบบนี้ บุญแห่งการฟังธรรมก็จะบังเกิดความทุกข์ ไม่สามารถก่อเกิดเป็นความสุขอันร่มเย็นได้ แต่ถ้าการมาฟังธรรม การบอกบุญ แล้วเราไม่ยึดมั่นไม่หวังผล ได้ก็ได้ ไม่ได้เราก็ทำเต็มที่แล้ว แถมยิ่งเขาพูดอย่างไรเราก็ไม่ยึด เราก็ปล่อยวาง เราก็เข้าใจ ชำระความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะก่อเกิดเป็นความร่มเย็นและกลายเป็นกุศลในฉับพลันที่เรากำลังพูดชวนเขา ดีไหม (ดี)
เหมือนตอนเรานั่งฟัง ไม่ยึด ฟังก็ดี พูดก็ดี ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจดี ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่หวังวอนขอ ไม่เรียกร้อง บุญที่ได้ฟังได้ชำระจิต ได้ปล่อยวางความยึดมั่น ไม่คาดหวัง บุญที่ฟังก็ก่อเกิดเป็นความสงบเย็นและกลายเป็นกุศล เราเคยพิจารณาจนถึงขนาดนี้บ้างไหม ไม่เคยเลยใช่ไหม เรียกเขาจนถึงที่สุด พอเขาไม่มาก็เสียใจ พอเขาไม่อยู่ไม่เอาก็ท้อใจ อย่างนี้กำลังหลงติดบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) มาฟังแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด มาฟังแล้วไม่เห็นเป็นอย่างที่หวัง นั่นก็คือหลงยึดบุญ ถูกไหม (ถูก) ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็มาจากความยึดติดในตัวตน
ฉะนั้นบุญที่แท้ก็ต้องเป็นบุญที่สามารถชำระล้างกิเลส ชำระล้างตัวตน และก่อเกิดเป็นความสงบเย็น นั่นถึงจะเรียกว่าชวนเขาก็ได้บุญ เขามาฟังก็บังเกิดบุญ ชวนเขามาไม่มา โดนว่าไม่ว่า ก็เป็นบุญเป็นกุศล
อยากให้เขารักเราก็ต้อง (รักเขาก่อน) ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมหนอรักเขาเท่าไร เขาไม่รักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ไหนธรรมะสอนว่ายิ่งให้ต้องยิ่งได้รับ ยิ่งเสียสละยิ่งต้องได้รับ แต่ทำไมหนอให้เขาดีก็แล้ว เขากลับไม่เห็นเราดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนั้นแปลว่าเรากำลังปฏิบัติผิดหรือธรรมะผิด เราปฏิบัติผิดหรือธรรมะหลอกลวง (เราปฏิบัติผิด) ถ้าสมมติว่าเรารักท่าน เราให้ดอกไม้ท่านด้วยความรัก รับไหม (รับ) แต่เราให้ดอกไม้แค่หนึ่งช่อ แล้วเราบอกว่าท่านต้องอย่างนั้น ท่านต้องอย่างนี้ ท่านต้องเป็นแบบนั้น ท่านต้องเป็นแบบนี้ อยากคืนดอกไม้เราเลยไหม
ความรักและความดีที่มนุษย์ยื่นให้ผู้อื่น บางครั้งก็เหมือนช่อดอกไม้เล็กๆ แต่ให้แล้วเต็มไปด้วยคำเรียกร้อง จนบางครั้งถึงแม้ว่าคุณจะดีแค่ไหนช่อดอกไม้จะงามเพียงใด บางครั้งเราก็อยากจะบอกว่า เอาคืนไปเถอะ ถูกไหม (ถูก) นี่คือความดีที่มนุษย์มอบให้แก่กันใช่หรือไม่ (ใช่) หนึ่งความดีแต่เต็มไปด้วยการเรียกร้องแล้วพอโดนเขาว่ากลับ ก็บอกว่า “ผิดตรงไหนที่ฉันหวังดี” ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอหวังดีทำไม่ได้ดีก็เกิดโมโหโกรธาแล้วก็ตบตี ฉะนั้นถึงจะเป็นความดีงาม แต่ถ้าเข้มงวดกับเขาจนเกินไปแล้วก่อเกิดเป็นการทำร้าย สิ่งที่ดีงามนั้นก็เป็นโทษ ถึงจะหวังดีแต่ความหวังดีนั้น ถ้าก่อเกิดเป็นความรับไม่ได้ แล้วทำร้ายผู้อื่น ความดีนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าความดีที่แท้จริง แต่กลับกลายเป็นโทษ หวังดีแล้วเอาแต่เรียกร้องไม่มีความเห็นใจและเข้าใจ การเรียกร้องนั้นก็กลายเป็นความหวังดีที่ขาดซึ่งคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเรายังอาจเรียกได้ว่าความดีไหม (ไม่)
ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ยิ่งตัวเองสูง คนยิ่งกดให้ต่ำ ยิ่งยอมให้ตัวเองต่ำและกล้ารับผิดแทนผู้อื่น คนจะยิ่งผลักดันให้เขาสูงขึ้น” แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ผิดไม่ยอมรับผิด เอาแต่โทษคนอื่น คนก็ยิ่งอยากกดให้เราผิด แต่ถ้าผิดแล้วกล้ายอมรับ กล้าเรียนรู้แก้ไข คนจะยิ่งดันให้เราสูงส่ง แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ยอมหักไม่ยอมงอ น่าเสียดายนะ
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า
จงเริ่มที่ตัวเอง อย่าไปเริ่มที่ผู้อื่น จงเรียกร้องที่ตัวเอง อย่าเผลอไผลไปเรียกร้องผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแม้จะดีงามขนาดไหน ความดีที่เอาแต่เรียกร้องผู้อื่นนั้นก็จะบังเกิดทุกข์ได้ ทำได้หรือเปล่า เริ่มปฏิบัติด้วยตัวเองไม่เรียกร้องใครได้หรือเปล่า (ได้) คงจะยากสักหน่อย เพราะคนที่บอกว่าได้นั้น พอเวลาตัวเองทำไม่สำเร็จก็อดคาดหวังให้คนรอบข้างต้องดีได้ดั่งใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อคนรอบข้างไม่ดีได้ดั่งใจเรา ก็เลยกลายเป็นทุกข์
ทำได้ดีทำได้เหมาะสมก็บังเกิดบุญใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทำได้ดีทำได้เหมาะสมและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน บุญนั้นก็ยังสามารถชะล้างเวรกรรมและก่อเกิดเป็นกุศล แต่ถ้าเกิดว่าเราทำดีแล้วเราเอาแต่เรียกร้อง บุญนั้นก็ไม่อาจจะเรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์
แล้วอย่างไรล่ะ เรียกว่าทำดี เราถามท่านหน่อยนะ พ่อแม่อยากให้ลูกได้ดีแต่เผอิญลูกทำผิด พ่อแม่ก็เลยโมโหและเฆี่ยนตี ถามว่าพ่อแม่ทำดีหรือไม่ดี (ทำดี) เราบอกให้ เหมือนจะดีแต่ไม่งาม ใจเป็นนายของกาย ถ้าใจไม่สะอาด กายจะบริสุทธิ์ไหม ถ้าใจไม่เที่ยงตรง การประพฤติจะบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม แม้พระพุทธะก็กล่าวไว้ว่า การทำดีสำคัญที่เจตนา ถามว่าพ่อแม่ตีลูกดีไหม หวังดีแต่ไม่งาม ใช่หรือไม่ (ใช่) คนบางคนทำงามแต่ใจไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ารักความดีต้องมองดีให้ออก ปฏิบัติดีให้ถูก แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติดีให้ถูก ท่านสอนบอกว่า การถือหัวใจแห่งความเมตตาเป็นหลัก ถือจริยะรู้จักอ่อนน้อม รู้จักถ่อมตน รู้จักให้เกียรติ ไม่จับผิด ไม่คิดร้าย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้คน และถือคุณธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า “ดี”
ถ้าพ่อแม่ตีด้วยความรัก แต่ผิดตรงที่ความเข้มงวดที่เต็มไปด้วยความรัก แล้วลงโทษ มันก่อเกิดความไม่พอใจ แล้วเคืองแค้นใจในที่สุด ก่อเกิดเป็นบาปให้กับลูก พ่อแม่ควรจะตีไหม
จำไว้นะ พ่อแม่ซื่อตรงก็ได้ลูกซื่อตรง พ่อแม่กตัญญูรู้คุณ ลูกก็เรียนรู้กตัญญูรู้คุณ พ่อแม่ขยันหมั่นเพียร ลูกก็ขยันหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรเราพยายามขยันหมั่นเพียรแต่ลูกกลับมองไม่เห็น เพราะบางครั้งเราให้ลูกเห็นเงินมากกว่าความดีในใจที่ควรสอนลูก ถูกไหม (ถูก) เราเลี้ยงลูกด้วยเงินมากกว่าความดีที่เราควรมีให้กับลูก ถามว่า ท่านให้เงินบ่อย แต่ท่านเคยเข้าใจลูกสักครั้งหนึ่งไหม ท่านให้เงินภรรยา แต่ท่านเคยให้ความรักความเข้าใจและเวลาภรรยาไหม
แล้วอย่างไรล่ะที่เรียกว่าทั้งดีทั้งงาม นอกจากดีงามแล้วยังสามารถเป็นปราชญ์แห่งยุคและเทพบนแดนโลกได้ด้วยนะ เพียงแค่ปฏิบัติดีให้ถูกต้อง
เราเจอใครสักคนหนึ่ง เขามีคุณค่าให้เราประทับใจตราตรึง นิสัยน่ารัก นิสัยถูกใจ เรารู้สึกเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่) มีคุณค่าให้กล่าวถึงให้รู้สึกชอบพอเรียกว่า ดี ใช่ไหม (ใช่) เหมือนไม่รู้จักแต่อยู่ๆ ได้รู้จัก พอเขาได้ปฏิบัติอะไรให้เราเห็นแล้ว เรานึกขึ้นได้เราจะรู้สึกว่า ทำถูกใจ ทำดีจัง รู้สึกชอบใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอยิ่งเรียนรู้กันไป คุณค่านั้นเป็นคุณค่าที่กล่าวถึงแล้วเราชอบแล้ว นิสัยยังดีจริงๆ ทำดีจริงๆ มีดีจริงๆ นั่นเรียกว่า ดีจริง แล้วในคุณค่าของความดีจริงนั้นยังปฏิบัติรักษาไว้ไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่เคยหายไปจากใจ ดีนั้นจริง แล้วยังเรียกว่า งดงาม ถูกไหม (ถูก) แล้วถ้าเกิดว่าปฏิบัติไม่เสื่อมคลายแล้วยังสามารถแสดงต่อผู้อื่นได้อย่างรุ่งโรจน์ ท่านเรียกว่า ความดีที่ยิ่งใหญ่
นี่แหละผลของความดีที่ทำอย่างไม่ย่อท้อ ปฏิบัติดีได้อย่างรุ่งโรจน์แล้ว ยังสามารถมองเห็นความเป็นจริงของความดีความร้ายและความเป็นคนได้อย่างทะลุทะลวง นี่แหละเรียกว่า ปราชญ์เมธีแห่งยุค แล้วเช่นไรล่ะถึงเรียกว่า เทพไทบนแดนดิน ตอบได้ไหม คือความดีนั้นก่อเกิดเป็นคุณธรรมอันหาค่าประมาณไม่ได้ หาที่สิ้นสุดของความดีงามนั้นไม่เจอ เขายังมีได้เรื่อยๆ ยังมีให้ไม่หยุดหย่อน เป็นความดีที่เข้าใจผู้คน เป็นความดีที่ให้ไม่เสื่อมคลาย เป็นความดีที่ให้อย่างไม่ย่อท้อ เป็นความดีที่ทำโดยไม่หวังผล นั่นแหละเรียกว่า เทพเทวาบนแดนโลก แล้วไยต้องรอให้ตัวเองตายแล้วถึงจะเป็นเทพเทวา ไยไม่ทำตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ความดีไม่ใช่สิ่งยาก แต่ยากตรงที่คนไม่ค่อยประพฤติปฏิบัติดีให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นความเมตตาคือที่พักแห่งใจ วิริยะคือถ้อยทีถ้อยอาศัย รู้จักเห็นใจให้อภัย นั่นก็คือการมีคุณธรรมอยู่ร่วมกัน และถือคุณธรรมแห่งความถูกต้องเป็นหนทางในการดำเนินชีวิต เช่นนี้จะปฏิบัติให้ถึงคำว่าดีไม่ได้เชียวหรือ แต่มนุษย์เสียอย่างเดียว รักเงินจนทำลายความเมตตา รักตัวเองจนทำลายคุณธรรม ห่วงสบายจนดูถูกดูแคลนทำร้ายผู้อื่นจริงไหม (จริง) เราถามท่านนะ เงินหนึ่งร้อยบาทซื้อคุณธรรมในใจท่านได้ไหม (ไม่ได้) แล้วได้เงินหนึ่งร้อยบาทแล้วสูญเสียคุณธรรมในใจคนได้หรือไม่ (ได้) จริงไหม (จริง) ถ้าสมมติว่าดอกไม้นี้จริงๆ เป็นดอกไม้เก่า พอคนมาถามเราว่าดอกไม้ใหม่หรือดอกไม้เก่า ถ้าเราบอกว่าดอกไม้ใหม่จะขายได้ในราคาหนึ่งร้อยบาท ตอนนี้เรากำลังเอาคุณธรรมแลกเงินหนึ่งร้อยบาทใช่หรือไม่ หนึ่งร้อยบาทสามารถซื้อคุณธรรมในใจได้ไหม (ไม่ได้) แต่เพื่อเงินหนึ่งร้อยบาทท่านสามารถสูญเสียธรรมในใจได้ จริงไหม (จริง)
เราถามท่านนะ เมตตาในจิตใจของมนุษย์ควรที่จะรักษาไว้ไหม (ควร) แต่บางครั้งกินอาหารหนึ่งมื้อ ก็อาจทำให้เราไร้ซึ่งเมตตาในจิตใจได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่) คนเราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่าจับผิดกัน อย่าดูถูกกัน ใจเขาใจเรา เราไม่ชอบให้ใครมาว่า มาจับผิด มาดูถูกเรา ฉะนั้นตัวเราอย่าขาดคุณธรรมในการปฏิบัติร่วมกันกับผู้อื่น อยู่ในโลก ถ้าขาดเมตตาในจิตใจ พระพุทธะเรียกว่า “โจร” อยู่ในโลกถ้าขาดคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น พระพุทธะเรียกว่า “อำมหิต” แรงไหม (แรง) คำพูดนี้
เป็นความจริง ลองคิดง่ายๆ เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่เขา เห็นแก่เราไม่เห็นแก่ผู้อื่น ใจดำไหม (ใจดำ) อยากกินไก่แล้วฆ่าไก่ โหดร้ายไหม (โหดร้าย) ไม่ชอบใจ เขาไม่ฟังเรา เขาไม่ชอบเรา เลยตบตีเขา ต่อว่าเขา ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) ฉะนั้นความดีไม่ใช่มีไว้เพื่อเรียกร้องใคร แต่ความดีมีไว้เพื่อรักษาคุณธรรมในใจ
มีคุณค่าให้กล่าวถึง เรียกว่า “ดี”
มีดีอยู่จริงๆ เรียกว่า “ดีจริง”
รักษาดีไว้ไม่เสื่อมคลาย เรียกว่า “ความดีที่งดงาม”
รักษาความดีไว้ไม่เสื่อมคลาย แล้วยังสามารถแสดงต่อผู้อื่น เอาความดีนั้นแสดงออกอย่างรุ่งโรจน์กว้างใหญ่ เรียกว่า “ความดีที่ยิ่งใหญ่”
เอาความดีมาแสดงอย่างรุ่งโรจน์แล้ว ยังสามารถให้ความดีนั้นมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เรียกว่า “ปราชญ์เมธีแห่งยุค”
ความดีนั้นก่อเกิดเป็นคุณธรรมที่มีคุณค่าอันคณานับยากหาที่สุดได้อย่างอัศจรรย์ เรียกว่า “เทพเทวาบนแดนโลก” เหมือนใครบางคนที่ท่านหวนคิดถึงแต่จากไปแล้ว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙)
ยากไหม ไม่ยากเลยนะ แต่อยู่ที่ว่า ทำหรือไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราแค่อยากให้ท่านเห็นว่า เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง การเป็นพุทธะบนแดนโลก การเป็นคนยิ่งใหญ่บนแดนโลก และการเป็นปราชญ์เมธีแห่งยุค ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อยู่ที่ว่าท่านเห็นคุณค่าความดีที่อยู่ในใจตัวเองไหม หรือท่านเอาแต่ดูถูกว่าตัวเองดีได้แค่นี้ ช่างน่าเสียดายนะ ทั้งที่ความดีของตัวท่านมีอยู่ แต่ท่านลืมคุณค่าในความดีนั้นไปเท่านั้นเอง แล้วก็แสดงออกอย่างไม่มีจริยะ ก็เลยกลายเป็นคนที่ดีแต่ไม่งาม
ฉะนั้นศึกษา บำเพ็ญ กราบไหว้พระ ชอบทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์เก่ง แต่ถ้ายังปฏิบัติดีและทำดีได้ไม่ถึงที่สุด ก็เป็นคนที่เก่งแค่การกระทำภายนอก แต่หาได้ลงแรงกระทำภายในไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราก็คาดหวังว่า การมาศึกษา การมาสนทนาธรรมกับท่านในครั้งนี้ คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย และหวังว่าการมาศึกษาสนทนาธรรมในครั้งนี้ จะช่วยปลุกความดีงามให้สถิตอยู่ในใจอย่างไม่เสื่อมคลาย ได้หรือไม่ (ได้) แต่อย่าขอเป็นแค่ดี แต่จงเป็นดีที่ยิ่งใหญ่ ดีที่มองทะลุทะลวง เป็นปราชญ์ เทพไทในแดนโลกนี้ ดีกว่าไหม (ดีกว่า) เพราะพุทธะที่แท้จริงช่วยคน จนหลงลืมความมีตัวตน แต่คนบางคนยึดติดดี ทำดีช่วยคนแต่ยังหวังผล ดีนั้นก็ไม่อาจทำให้เราประสบความเย็นและความสุขได้
พอเข้าใจไม่มากก็น้อย ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดีหรือเปล่า
การขอบคุณไม่มีประโยชน์ มิสู้การนำสิ่งที่ท่านฟังวันนี้ลองไปประพฤติปฏิบัติ ใครไม่ดี เราจะดี ใครไม่จริง เราจะจริง ใครไม่ปฏิบัติ เรานั่นแหละจะปฏิบัติ ใครไม่เริ่ม เรานี่แหละจะเริ่ม ขอให้เป็นหนึ่งความดีงาม ที่สามารถทำแล้วสะท้อนสะเทือนใจให้คนคิดอยากทำตาม โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูด เช่นนี้ถือว่าท่านบรรลุมรรคผลของความดี แต่ถ้ายังต้องพูด ยังต้องเรียกร้อง ถือว่าเรายังปฏิบัติไม่ถูกต้องนะ
เอาตัวเราเป็นธรรมให้เขาประจักษ์ เอาตัวเราเป็นความดีให้เขาเห็น ถ้าโลกนี้ไม่มีใครดี ฉันนี้จะดีให้ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีใครยอมดีจริง ฉันนี้จะดีจริงให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เป็นความจริงทุกสิ่งไปยากหลีกพ้น
ได้เล็งเห็นสัจธรรมสุขทุกข์ปน ทุกแห่งหนความจริงแท้อยู่ไม่ไกล
คนเข้มแข็งกล้ายอมรับความจริง คนอ่อนแอหวาดกลัวยิ่งทุกข์ทนใหญ่
ความทุกข์นั้นใช่ทุกข์ทนแต่อย่างใด แต่ทุกข์สอนให้เข้าใจชีวิตจริง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนเป็นเด็กดีของอาจารย์หรือยัง
เมื่อคิดถึงราชาอันเป็นที่เคารพรัก เริ่มจากเดินสรรเสริญสานงานค้างไว้
ทุกจุดหยุดด้วยธรรมออกจากใจ ใดที่ท่านปณิธานไว้อย่าลืมเลือน
บุญอนันต์เรื่องความที่เกิดเป็นไทย บุญแรงกล้าดีใจไม่ลอยเลื่อน
บำเพ็ญไม่เวลาไทยรู้มักลางเลือน ใจมีห้วงทั้งเหมือนตื่นเหมือนงง
สิ่งละอันพันละน้อยค่อยศึกษา ใจเป็นหนึ่งหล้าทั้งหล้าไม่ประสงค์
ปลายอันเดียวกันมุ่งสู่ทางสายตรง กุศลส่งหนทางนี้สู่เบื้องบน
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ถามหน่อยศิษย์เอย ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ในการปฏิบัติธรรม รักในการปฏิบัติธรรม ทุกขณะถ้าเราทำแล้วจิตเบิกบาน จิตปลอดโปร่ง จิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ การกระทำนั้นก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าหากทุกขณะที่เราทำไม่ว่าเราจะนั่งฟังหรือนั่งทำงาน ถ้าเราหม่นหมองเราอมทุกข์ สิ่งที่เราทำในขณะนั้นมันก็กลายเป็นบาปแก่ใจใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์มีวิชาหนึ่งที่สอนให้ศิษย์ปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะเลย เอาไหม (เอา)
แต่ศิษย์ต้องพยายามรู้เท่าทันใจให้ดี อย่าเผลอให้ใจมันเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวตก เหมือนที่มนุษย์บอกว่า เวลาใจดีก็เหมือนขึ้น (สวรรค์) เวลาใจร้ายก็เหมือนลง (นรก) ฉะนั้นถ้าเวลานั่งฟังธรรมแล้วรู้สึกดีก็เหมือน (ขึ้นสวรรค์) รู้สึกแย่ก็เหมือน (ตกนรก) อย่างนั้นตลอดสองวันนี้ ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (สวรรค์)
ฉะนั้นไม่ว่าเราทำงาน ไม่ว่าเราคุยกับเพื่อน ไม่ว่าเราเรียนหนังสือ ไม่ว่าเราจะออกไปข้างนอก ถ้าเราทำด้วยความสบายใจ ทำด้วยความเบิกบานใจ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความซื่อตรงหัวใจ ทุกขณะก็คือ ธรรม แล้วเราจะรอให้ใครมาทำให้เราตกนรกไหม (ไม่) ดั่งคำพูดว่า “ถ้าข้างในมันมีสุข ข้างนอกมันจะวุ่นวายอย่างไร เราก็สุขได้” ใช่ไหม (ใช่) ถ้าข้างในบริสุทธิ์ ข้างนอกมันจะทุกข์จะทนอย่างไร เราก็สามารถแปรความทุกข์ทนของคนให้เป็นความบริสุทธิ์และสุขใจได้ ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้ การที่เราเรียนรู้ธรรมะมาเยอะ เข้าวัดมาก็เยอะ ฟังธรรมมาก็มาก ธรรมก็สอนให้เราเอาบุญ อย่าเอาบาป เอาดี อย่าเอา (ชั่ว) แล้วถึงเวลาเอาบุญหรือเอาบาป (เอาบุญ) ถึงเวลาเอาดีเอาชั่ว (เอาดี) แต่พอเวลาโมโห ไม่เอามันแล้ว วางไว้ก่อน ตอนนี้ขอโมโหด่ามันก่อน แล้วพอกลับมาคิด ก็คิดว่าไม่น่าทำไปแบบนั้นเลย
ถ้าทุกขณะที่เกิดขึ้นเรามีสติรู้ทัน เราสามารถควบคุมใจได้ เห็นเขาไม่ดีอย่างนี้ แล้วเรารู้ทันว่า “ไม่เอาๆ เขาต้องไม่ทำให้ใจเราหม่นหมอง เดี๋ยวมันจะเป็นบาป เราจะไม่ทำ เราจะไม่เอา เขาจะไม่ทำให้เราเกิดกิเลส เขาจะไม่ทำให้เราโกรธ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นกรรมเป็นทุกข์ แล้วจะเวียนว่ายกันไม่จบสิ้น” ถ้าเราคิดได้ขนาดนี้ เวรกรรมจะเกิดไหม (ไม่เกิด) บาปจะเกิดไหม (ไม่เกิด) อย่างนั้นทุกขณะชีวิตก็คือการจบกรรม ทุกขณะชีวิตก็คือการหมดทุกข์ แต่ถ้าหากว่าเกลียดมัน ไม่ชอบ รำคาญ เบื่อ อะไรหนักหนาก็ไม่รู้ชีวิตนี้ อย่างนี้เรียกว่า เป็นกรรม เป็นเวร เป็นทุกข์ไหม (เป็น) เขาทำหรือเราทำ (เรา) ถึงเวลาเช่นนี้แล้วเป็นทุกข์ก็บอกว่า “หลวงพ่อช่วยล้างให้สะอาดหน่อยเถอะมันทุกข์เหลือเกิน” มันช้าไปหรือเปล่า ในเมื่อมนุษย์ทุกคนล้วนกลัวบาปกรรมล้วนกลัวทุกข์ แล้วถ้าหากรู้ว่าทำแล้วมันจะกลายเป็นทุกข์ เป็นบาป เป็นกรรม แล้วทำไมไม่หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทำไมรอไปสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยหยุด ทันไหม จะหยุดก่อนปัญหาเกิดหรือมีชีวิตเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้น ชีวิตที่ผ่านมาคือใครด่ามาเราด่ากลับ มันน่าเกลียดมาน่าเกลียดกลับ อย่างนี้เรียกว่า ก่อบาป ก่อทุกข์ ก่อกรรม ก่อเวร
เราบอกว่าไม่อยากมีเวรมีกรรม ถ้าอย่างนั้นเขาด่ามาก็ให้คิดว่าดีแล้วได้ละลายกรรม ดีแล้วได้ชะล้างกิเลส ดีแล้วได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ทุกขณะที่เขาทำอะไรมาคือดี มันมีแต่ความสุข ใช่ไหม ลองดูซิว่าพอเขาด่ามา เราก็บอกว่าสนุกดี เขาจะด่าต่อไหม (ไม่ด่า) เพราะเขาจะบอกว่าเราบ้า แล้วเรายอมบ้าเกินไหมล่ะ บางครั้งถ้ามันแบกรับมาแล้วมีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บปวดทุกข์ทน บางครั้งก็ยอมบ้ากับความเป็นจริงของโลกบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ใช่ไหม (ใช่) เพราะชีวิตปัจจุบันนี้ก็พร้อมที่จะทำให้คนที่ขาดสติ คนที่ขาดธรรมเป็นบ้าได้ตลอดเวลา จริงไหม (จริง) เหมือนอยู่ๆ เราต้องรับรู้การสูญเสีย การพลัดพราก เราต้องพบกับความไม่มี ถ้าเราขาดสติ ถ้าเราขาดธรรม ไม่ยอมรับความเป็นจริง เราจะยังเป็นคนที่ยืนอยู่บนโลกนี้ไหวหรือ
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี) ใจที่มีสุข ใบหน้าย่อมยิ้มแย้ม แต่ใจที่มีทุกข์ ใบหน้าย่อมหวานอมขมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ว่าธรรมเล็กธรรมน้อยก็คือ ธรรม แต่ทำให้เกิดกรรมดีหรือทำให้เกิดกรรมไม่ดี ขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ไปทางไหน ถ้ารู้สึกทำแล้วเบาบาง ทำแล้วมีความสุข มันก็เป็นบุญเป็นกุศล แต่ถ้าทำแล้วหวานอมขมกลืน ทำแล้วแอบมีความโกรธ ความยึดติด ความไม่พึงใจไม่ชอบใจ มันก็กลายเป็นบาป เป็นกิเลส เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราอยู่กับใครเราก็สามารถสร้างบุญได้ อยู่กับใครเราก็สามารถเจริญธรรม ปฏิบัติธรรมได้ แต่ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ชอบเป็นคนดีแค่อยู่ในวัด ชอบทำบุญให้คนในวัดแค่นั้น กับคนข้างนอกทำบาปหมดเลย ใช่ไหม พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมเราต้องรู้จักดำเนินทางสายกลาง สมมติว่า ถ้าชีวิตมันเป็นแบบนิ้วโป้งชูขึ้นดีไหม (ดี) แล้วเป็นแบบนิ้วโป้งชี้ลง (ไม่ดี)
ทางสายกลางคือการยอมรับความเป็นจริง เพราะไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรมันก็คือกลาง นี่แหละเรียกว่าปฏิบัติธรรม พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เราปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ ไม่มีใครบีบคั้นเราให้ทุกข์ทน นอกจากตัวเราเอง ไม่ว่านิ้วโป้งจะชี้ขึ้นหรือลงเราก็ต้องยอมรับว่ามันคือความเป็นกลาง เหมือนเขาชมเรา ดีไหม (ดี) แล้วเขาด่าเราล่ะ (ไม่ดี) จงกลางไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์รู้สึกไม่ดี หม่นหมอง หม่นหมองเสร็จยังรู้สึกว่า มันด่าฉันทำไม ทำไมมันทำแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนั้น เริ่มเกลียดเขาแล้ว เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยังบอกว่า มันด่าฉัน ฉันต้องด่ามันกลับ เริ่มยึดมั่น เริ่มเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าขณะที่เป็นแบบนี้ คิดว่ามันก็เป็นกลาง เราเรียนรู้ธรรมเพื่อยอมรับความจริงอันเป็นปกติ และรักษาความเป็นกลางนี้ให้ปกติ ดีไหม (ดี) เพราะถ้าใจผิดปกติก็เรียกว่า ผิดศีล ศีลคือความปกติ สมาธิคือความสงบ ภาวนาคือการเห็นแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทันทีที่ถ้าเขาทำอย่างนี้ก็รักษาปกติไว้ สงบไว้ มองเห็นแจ้งว่า มันเป็นกลาง ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ทันที ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าอยากด่าใคร เกลียดใคร โกรธใคร ก็กลายเป็นก่อเกิดกิเลส เวรกรรม การจองเวรจองกรรม การเกี่ยวกรรมและการก่อเกิดทุกข์ทนในใจ ศิษย์ก็รู้นี่ไม่มีใครบีบใจให้ศิษย์ทุกข์ได้ นอกจากศิษย์บีบใจตัวเอง ไม่มีใครด่าศิษย์ให้เจ็บ เท่ากับศิษย์ด่าตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนอาจารย์ถาม เขาด่าศิษย์กี่ครั้ง (ครั้งเดียว) จบไปหรือยัง (จบแล้ว) แต่คนที่รื้อฟื้น ฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่เรื่อยก็คือ (ตัวเราเอง) เอามาด่าแล้วด่าอีก ใช่ไหม (ใช่) ทั้งที่เขาด่าจบไปแล้วใช่ไหม (ใช่)
นี่แหละศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ตรงนี้ การสร้างบุญการปฏิบัติธรรมก็อยู่ตรงนี้ ทำไมต้องรอไปที่วัดใช่หรือไม่ (ใช่) แบบนี้เราก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ทุกข์ก็เป็นสิ่งไม่น่ากลัวแล้วใช่ไหม เราสามารถแก้ทุกข์ได้ทันทีใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่าถ้าเป็นแบบนี้ โดนคนด่าก็เฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) โดนคนเอาเปรียบก็ (เฉยๆ) โดนคนแย่งสามีไปก็ (...) เจอเรื่องอย่างนี้ทีไรเจ็บทุกที ของของใครใครก็หวง ถ้าถามฝั่งสามีว่า ถ้าวันหนึ่งภรรยาอยากจากเราไปได้บ่ได้ เงียบเลยเห็นไหม
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า เวลาเราศึกษาธรรมศิษย์ต้องมองให้มันกว้าง มองให้มันลึก เพราะธรรมคือความจริง สิ่งใดที่เป็นความจริงแล้วทำให้ใจเราสามารถปกติได้ นั่นคือเราเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าตอนนี้เขาจะไปแล้วศิษย์บอกว่า บ่ได้ๆ ใจมันปกติไหม (ไม่ปกติ) ฉะนั้นไม่ปกติมันเป็นธรรมไหม (ไม่) ไม่ปกติ แล้วถ้าเขายังจะไป โกรธเขาไหม เกลียดไหม ด่าเขาไหม เกิดเป็นกรรมไหม (เป็น) เขาไปก็ดีแล้วจริงไหม คิดให้ดีๆ นะ ศิษย์เอย เรารู้ตั้งแต่เกิดแล้วว่า “เรามา (คนเดียว) กลับก็ต้องกลับ (คนเดียว)” มาก็มาตัว (เปล่า) ไปก็ไป (ตัวเปล่า) เอาไปได้ไหม งกไว้ทำไมใช่ไหม
แล้วถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่) เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่) เขาทุกข์กับเราไหม (ไม่) อาจารย์แค่พูดตามความเป็นจริงนะ เพราะถึงเวลาศิษย์ก็ต้องไม่เอา เอาไปมันก็กลายเป็นเกี่ยวกรรมเอาไปแล้วศิษย์ดูแลเขาได้ไหม แล้วถ้าเขาไม่ได้ดั่งใจศิษย์ทนได้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
นั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง) จริงๆ อาจารย์อยากสอนธรรมนะว่า ยืนแล้วเมื่อยก็คิดเสียว่าเป็นธรรม คนเรามันก็มีเมื่อยบ้างไม่เมื่อยบ้าง ถ้ายึดติดแล้วบอกอาจารย์ว่าไม่ให้เมื่อย อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่ยอมรับความจริง คิดแบบนี้ก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติเวลาเราทำงาน เวลาเราไปเรียนหนังสือ เวลาเราออกไปข้างนอก เราเจอผู้คน ย่อมมีคนหลากหลายแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายที่ตัวสูงกว่า)
บางทีเราเจอคนสูง บางทีเราเจอคนเตี้ย ไม่ว่าเราจะเจอคนแบบไหน หรือคนแบบไหนจะปฏิบัติอย่างไรต่อเรา เราก็สามารถเอาสิ่งนั้นมาเป็นการประจักษ์ธรรมและปฏิบัติธรรมได้ เพราะทุกชีวิตล้วนคือธรรม ใช่ไหม (ใช่) ชีวิตอาจารย์ก็เป็นธรรม ชีวิตเขาก็เป็นธรรม แต่เราจะเห็นธรรมในตัวเขา หรือเราจะเห็นกิเลสในตัวเขา เราจะเห็นบุญในตัวเขา หรือเราจะเห็นบาปในตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเดินไปไหน ถ้าทุกคนก็พูดว่า “ไอ้เตี้ยกับไอ้สูง” แล้วเราถือสา เราโกรธ เราไม่ชอบ เราจะเห็นธรรมไหม (ไม่เห็น) เราจะยังมีธรรมกับเพื่อนไหม เราจะเดินกับเขาต่อไหม เราจะมีความสุขไหม (ไม่) ทำไมล่ะ เดินต่อแล้วเสียงมันชักหนาหู เขาแอบหัวเราะเรา ใจเราเริ่มฟุ้งไป ใจเราเริ่มปรุงแต่งไป ใจเราเริ่มถือสาหาความ ใจเราเริ่มไม่มองความจริง
ถ้าเราอยากอยู่กับผู้อื่นอย่างมีสุข เราอย่าเห็นว่าเราเป็นข้อบกพร่อง หรืออย่าเห็นว่าเราแย่ บางครั้งในแย่มันก็มีดีใช่หรือไม่ (ใช่) ในเตี้ยมันก็ยังมี (สูง) เพราะฉันเตี้ยมากๆ เธอถึงได้สูง ต้องขอบคุณฉันนะใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้เราอยู่กับใครเราก็จะไม่เป็นทุกข์ แต่มนุษย์เราชอบคิดไปเอง เขามองอย่างนั้นเขาหัวเราะเรา เขามองอย่างนั้นเขาแอบว่าเรา ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นไม่ใช่แค่รู้ธรรม แต่ธรรมยังสอนอีกว่าต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันใจ ไม่ใช่ทันเขาด่า แต่ทันใจเราว่ายอมรับความจริงไหม ใช่ไหม (ใช่) ถ้ายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม และไม่โกรธเขา เราก็มีสุขกับเขาได้
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนฝ่ายหญิง)
แล้วถ้ากลับไปคราวนี้เปลี่ยนบ้าง รู้จักถาม ร้อนไหมแม่ เป็นอย่างไร ก็มีคนเริ่มชมว่าเด็กคนนี้น่ารักจังรู้จักดูแลเอาใจแม่ ใช่ไหม แต่ถ้าบอกแม่ๆ ไปทำอย่างนั้นให้หน่อย เดี๋ยวหนูจะได้ไปนั่งพัก คนเขาจะมองอย่างไร (ไม่ดี) เพราะอะไร เราใช้แม่ใช่ไหม เราน่าจะทำเองใช่ไหม ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม การอยู่ร่วมกับคนอื่นนอกจากเราจะมองเห็นธรรมแล้วเราต้องรู้จักประพฤติธรรมด้วย ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาสมมติตัวท่านเป็นลูกและนักเรียนฝ่ายหญิงที่สูงวัยเป็นแม่ แล้วแสดงสาธิตให้ทุกคนในชั้นดูโดยท่านพูดว่า “แม่ไปทำทำไมเล่า เดี๋ยวหนูทำเอง แม่นั่งๆ” แล้วก็พูดกับนักเรียนที่นั่งอยู่ท่านหนึ่งเพื่อยกตัวอย่างต่อว่า “ให้แม่ฉันนั่งเดี๋ยวนี้ แกเป็นใคร”) อย่างนี้ได้ไหม ไม่ได้นะ รักแม่จนทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเรารู้จักมองเห็นธรรม รักษาธรรมในตัวเราแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติธรรมต่อพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่แต่ไม่ใช่ไป
ข่มเหงคนอื่น มันไม่ถูกใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถทำได้ แต่ขอให้ศิษย์มีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งและมีสติคอยรักษาใจและดำรงธรรมอยู่ตลอดเวลา ศิษย์ไปไหนคนมองก็ชื่นใจ ศิษย์ทำอะไรคนเห็นก็ดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนรัก เราก็ชอบ ใช่ไหม (ใช่) ไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนดูถูก เราก็ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนอื่นเขาจะดูถูกเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเราเองก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่กับใคร ไปกับใคร จงรู้จักปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องและดำเนินชีวิตอยู่ในคลองธรรม ไปทำอะไรมันก็น่ารัก น่าดู น่าชม ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำยากไหม (ไม่ยาก) แต่เราต้องรู้จักพิจารณาให้เกิดธรรม ทำให้เกิดธรรมจริงๆ ด้วย อย่าดีแต่พูด ถึงเวลาไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่)
อย่างที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์หวาดกลัวเรื่องความทุกข์ เราทุกคนไม่อยากมีทุกข์ แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร เราก็บอกว่า เข้าวัดเดี๋ยวก็ดับทุกข์ได้แล้ว จริงไหม (ไม่จริง) แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร พระพุทธะสอนไว้ว่า ที่ไหนที่เป็นทุกข์ ในที่นั้นก็เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และก็เป็นความดับทุกข์ และก็เป็นหนทางดับทุกข์ ซึ่งท่านบอกว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในกายอันยาวไม่เกินวานี้ แล้วมันจะดับทุกข์ได้ตอนไหน ตอนที่ยังมีสัญญาและใจนี้ แต่มนุษย์บอกว่า อาจารย์ เดี๋ยวตายทุกข์ทั้งหลายมันก็ดับหมดแล้ว ขอไปเที่ยวเล่นให้สบายใจก่อนเถอะอาจารย์ เดี๋ยวพอตายแล้วมันก็จบๆ กัน ทุกข์มันก็สิ้นกันแล้ว จริงไหม (ไม่จริง) ศิษย์เคยได้ยินไหม มันตายไปแล้ว แต่คนบางคนยังเผาพริกเผาขิงด่าแช่งมัน ขอให้มันไม่ไปสู่สุขคติ เคยได้ยินไหม (เคย) แล้วพอตายแล้วจะจบกันไหม (ไม่จบ)
แล้วเราเคยทำกับใครแบบนี้ไหม (ไม่เคย) ถ้าเคยทำแบบนี้เขาเรียกว่า คนจองเวรนะ
ฉะนั้นที่ใดเป็นที่เกิดทุกข์ที่นั่นก็สามารถเป็นที่ดับทุกข์ได้ อาจารย์แล้วมันจะดับทุกข์ได้อย่างไรล่ะ ก็เราเป็นคนเห็นเองว่าทุกข์มันเกิดจากไหน เรารู้เองว่าทุกข์มันมาได้อย่างไร ฉะนั้นเราจะจัดการทุกข์เองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเมื่อไรเราเห็นเองว่าทุกข์เกิดจากไหน เรารู้เองว่าทุกข์มาได้อย่างไร แล้วเราจัดการเองแก้ไขเอง ท่านบอกว่าคนที่ทำได้แบบนี้คือ คนที่เข้าใจทุกข์แล้วยังก่อเกิดปัญญาอันมหาศาลด้วย ทำได้ไหม (ได้) ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ได้ก่อให้เกิดการปฏิบัติภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมยังสอนเข้าไปอีกว่า เราจะสามารถกระทำแล้วดับทุกข์ได้ต้องหันกลับมาดูแล้วแก้ที่ตัวเรา เหมือนดั่งคำพูดที่ว่า ถ้าภายในมันสงบ ภายนอกวุ่นวายก็จัดการได้ แต่ถ้าภายในวุ่นวาย แม้ภายนอกจะสงบ เรานั่นแหละที่จะทำให้ภายนอกป่วนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรื่องธรรมคือเรื่องที่เราต้องมาจัดการกับใจของเราก่อนที่จะแสดงออก ถ้าเราไม่จัดการแล้วเราข่มมันไว้ หน้ามันก็บอกนะ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเจออะไรไม่ได้ดั่งใจ เริ่มต้นง่ายๆ อดทน นิ่ง ได้ไหม (ได้) เขาด่ามา อดทน ได้ไหม (ได้) นิ่งแล้วพิจารณาธรรม อาจารย์บอกว่ามันเป็นกลางอันเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกลางของเขาแต่เป็นกลางของเรา จำไว้ว่าจงรักษาความเป็นกลาง เพราะธรรมคือจิตพอดีอันเป็นปกติ ธรรมคือการยอมรับความจริงและรักษาจิตให้พอดีและเป็นปกติ ยากไหม (ไม่ยาก) ถ้ารักษาได้เราก็มีศีลใช่ไหม (ใช่) แต่เรารักษาไม่ได้ แล้วเราเบียดเบียนมันเลย ด่ามันเลย นี่แหละเราก็เริ่มไม่มีศีล ไม่มีความสงบ ไม่มีปัญญาเห็นแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเขาว่าอะไรมา เขาทำอะไรมา นิ่ง มีสติ มองให้เห็นธรรม มันจบเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)
กรรมมันสิ้นแล้ว ทุกข์มันไม่มีแล้ว วันนี้มันจบแล้ว
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า อดีต อนาคตไม่มี ท่านมีแต่ตอนนี้ แต่ทำไมมนุษย์ยังมีห่วงอดีต ห่วงอนาคต ก็เพราะมนุษย์ไม่เคยจบในวันนี้ ใช่ไหม (ใช่) “อาจารย์ หนูยังต้องห่วงคนนั้น หนูยังต้องดูแลคนนี้ จะให้หนูได้อย่างไรล่ะ” ใช่ไหม “หนูยังต้องไปสอบพรุ่งนี้” แต่ถ้าวันนี้ศิษย์อ่านเต็มที่ อ่านจนตีสอง ตีสาม ตีสี่ ตีห้า ถ้าอ่านแล้วมันไม่ยอมจบสักที พรุ่งนี้จะสอบรอดไหมล่ะ ใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าวันนี้ทำได้ไม่ดี ดูแลได้ไม่ดี แล้วพรุ่งนี้จะรอดไหมล่ะ (ไม่รอด) วันนี้สามีบอกว่า “จะออกไปข้างนอกนะ” ตีหนึ่งก็แล้ว ตีสองก็แล้ว ทำไมยังไม่กลับมา ทุกข์ไหม (ทุกข์) เราก็คิดในใจ สามีจะรถคว่ำไหม จะเป็นอะไรไหมแทนที่จะคิดดี กลับยิ่งคิดแช่งเขาอีกนะ แล้ววิตกกังวลอย่างนั้นจะได้อะไร (ไม่ได้) แล้วยังสร้างบาปให้กับตัวเองใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ธรรมจะสอนให้เรารู้ ว่าการยอมรับความจริง และรักษาความปกติของใจให้มันพอดี เมื่อเราอยู่กับใคร เราก็จะไม่ทุกข์ ในความเกินไปบ้าง ขาดไปบ้างของคน เพราะเราเป็นกลางแล้ว แต่บางทีที่เรารับไม่ได้ เราบอกว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเรายึดติด จึงอาจไม่รักษาความเป็นกลางได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยากไหม ฟังธรรมอาจารย์ ไม่ยากนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ตั้งคำถาม “ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรคือทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด”
(การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด) ศิษย์ว่าใช่ไหม อาจารย์ดีใจนะ ที่คนแรกตอบก็ตอบได้ดีนะ เพราะถ้ารู้สึกว่าเรามีความเกิดเมื่อไร เกิดในที่นี้ไม่ใช่เกิดออกมาเป็นตัวเป็นตนนะ เกิดตัวตนที่ยึดว่าเจ็บ ตาย ถ้าคิดแบบนี้ไม่ว่าเจ็บไม่ว่าตายมันก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าเรามองเห็นตามธรรมแล้วไม่เกิดตัวตนเข้าไปยึดถือ ความเจ็บแค่นั้น ความตายช่างมัน ความแก่ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอบได้ดีอาจารย์มีรางวัลนะ
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนที่ตอบคำถามเมื่อสักครู่)
ฉะนั้นความตายน่ากลัวไหม (น่ากลัว) ศิษย์เอ๋ยถ้าความเกิดมันน่ากลัวความตายก็ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะมันคือความจริงอันเป็นกลาง อาจารย์ถามหน่อยถ้าตอนนี้เพื่อนตายหมดแล้วเหลือเราอยู่คนเดียว ทำอย่างไรก็ไม่ตายเสียที อยากตายไหม จิตของเราแท้จริงมันไม่มีการเกิดดับ แต่สังขารมันต้องมีวันดับถูกไหม จำไว้นะศิษย์จิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคนหรือของศิษย์ทุกคนไม่มีวันเกิดดับ มันเป็นแค่การเปลี่ยนภพเปลี่ยนที่เปลี่ยนสถานะเท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่สภาวะธรรม ธรรมนั้นแหละก็จะผลักดันให้เรากลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้าจิตของเรายังยึดติดความมีตัวตน ต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะสิ้นสังขารแล้วคำว่า “ตัวตน” นี่แหละจะทำให้ศิษย์กลับไปภพชาติที่เป็นไปตามกรรมที่ศิษย์ยึดติดและสร้างสมไว้พอเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า กลัวตาย ถ้าเราไม่ยึดถือในตัวตน เรามองเห็นธรรมอันเป็นจริงแท้ในตัวเราแล้ว ความตายไม่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยังกลัวอะไรอีกไหม (ไม่กลัว) ตอนนี้น่าจะกลัวเผลอไปยึดกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาแอปเปิลไหม แอปเปิลนี้กินแล้วตาย เอาไหม (เอา ไม่กลัวความตาย) เพราะอะไร (เพราะตอนนี้ยังไม่มีเกิด) ศิษย์เอ๋ย เพราะตอนนี้ถึงจะกินไม่กินแอปเปิลอย่างไรก็ต้องตาย จริงไหม (จริง) คุยกับอาจารย์อยู่นี้ ศิษย์ก็กำลังตายอยู่นะ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์เรากำลังตายอยู่ทุกขณะนะ มีบางอย่างกำลังเจ็บอยู่ทุกขณะ มีบางอย่างกำลังตายอยู่ทุกขณะ ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติด มันจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ฉะนั้นกินแอปเปิลแล้วตาย เอาไหม (เอา) เพราะอย่างไรมันก็ต้องตาย เอาไม่เอาก็ต้อง (ตาย) แต่พอกินแอปเปิลแล้วอย่าทุกข์นะ
มีใครอยากได้แอปเปิลไหม เอาเพื่อตัวเองหรือเอาเพื่อคนอื่น
(ตัวเอง,คนอื่น) ถ้าเมื่อไหร่เอาไปเพื่อตัวเอง แปลว่าการเอานั้นจะก่อเกิดทุกข์ เพราะว่าเกิดความอยาก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราเอาไปเพื่อคนอื่น คือการได้สร้างบุญและรู้จักให้ ซึ่งอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นแบบนั้น ชีวิตศิษย์ทำเพื่อตัวเองมาเยอะแล้ว เปลี่ยนเป็นลองทำให้คนอื่นโดยที่ไม่ต้องหวังผลให้ตัวเองบ้างไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่)
ให้แล้วรู้จักเอาไปให้ต่อ ไม่เก็บไว้แต่ตัวเองนะ อาจารย์ให้เพราะอยากให้ศิษย์รู้จักให้ต่อนะ อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้อาจารย์ให้ไปแล้วมีคนขอเลย ศิษย์จะให้เขาไหม (ให้) แม้ตัวเองจะไม่ได้นะ แน่ใจนะ (แน่ใจ) ถ้าไม่ได้เอาไปให้กับคนที่เราอยากให้ ให้เขาไหม (ให้) อย่างนั้นศิษย์ก็ไม่ได้นะ เพราะอาจารย์บอกว่าถ้ามีคนมาขอคืน แล้วไม่ได้ให้กับคนที่ศิษย์อยากจะให้ แต่เป็นอาจารย์มาเอาคืน เท่ากับจริงๆ แล้วเราเหมือนไม่ได้อะไร ถูกไหม ทำใจได้ไหม (ทำใจได้) อาจารย์พูดธรรมให้ศิษย์ฟัง อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ได้ปฏิบัติธรรมทันที ถูกไหม
ที่อาจารย์สอนไว้ว่าอย่าก่อเกิดความเกิด เมื่อเกิดมีตัวตนเราหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกข์นั้นยังสอนให้เราเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเรื่องการได้แอปเปิลหรือไม่ได้แอปเปิล เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าใครออกมาอาจารย์จะให้แอปเปิล แต่แอปเปิลนี้อาจารย์บอกว่าไม่ให้เก็บไว้กับตัวแต่รู้จักให้ผู้อื่น ถ้าอาจารย์ไม่ให้ก็ถือว่าศิษย์กำลังให้ผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ย บางครั้งความเป็นจริงในโลกนี้เหมือนเราได้แต่จริงๆ ไม่ได้ เหมือนเรามีแต่จริงๆ มันไม่เคยมี แต่มนุษย์ก็ขออดจับมันสักนิด คว้ามันสักหน่อย แล้วก่อนมันจะไปหาใครก็ขอให้ทำใจก่อน ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นขอให้จับก่อนนะแล้วจะขอคืน
ในโลกความเป็นจริงใบนี้เราเหมือนเราคว้ามาได้ เราเหมือนเราครอบครองอะไรได้แต่จริงๆ แล้วถามลึกๆ มีอะไรที่เป็นของเราจริง มีอะไรที่เราถือได้จริง มีอะไรที่ตลอดชีวิตมันอยู่กับเราไม่ไปไหน (ความดี) ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์แค่ให้ศิษย์นึก ศิษย์พยายามหาความรัก ศิษย์พยายามหาเงิน ศิษย์พยายามหาเกียรติยศ แต่สิ่งที่ศิษย์หามาทำให้ศิษย์กำลังสูญเสียคุณธรรม สูญเสียความดี แล้วสิ่งที่ศิษย์ได้มานั้นมันคุ้มค่ากับคุณธรรมความดีในจิตใจที่ศิษย์สูญเสียไหม แต่ถ้าวันนี้เราเข้าใจธรรม ได้น้อยหน่อย มีน้อยหน่อย แต่ธรรมยังอยู่ในใจ แล้วได้ใจคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น ยอมบ้างไหม (ยอม) ยอมหรือ มาด้วยกันมันได้หน้า เราไม่ได้ เราเหนื่อยอยู่คนเดียวยอมไหม (ยอม) เอาไหมแอปเปิล (เอา) กลับไปนั่งนะเดี๋ยวขอคืน ให้คืนไหม (ให้) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ บางอย่างถ้าถึงเวลาเขามาขอคืนก่อนที่เราจะทำใจ บางทีอาจารย์ก็อยากจะบอกว่ายอมได้ สละได้ ให้ไปเถอะ อย่ารอจนกระทั่งมันถึงเวลาแล้วมันจากไปบางทีมันเจ็บปวดกว่านะ เพราะเพิ่งรู้จักมันไม่นานก็เสียแล้ว บางทียังรู้สึกดีกว่า รู้จักมานานแล้วครอบครองมันมานานแล้วนะอาจารย์ อาจารย์จะเอามันไปหรืออาจารย์
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าบางทีแค่เรียนรู้ แต่ไม่ต้องครอบครอง ไม่ต้องไขว่คว้า บางทีมันทำเราเจ็บปวดน้อยกว่า จริงไหม (จริง) เหมือนสิ่งที่ศิษย์พยายามคว้า ไม่ว่าเงิน ไม่ว่าความรัก ไม่ว่าชื่อเสียง ไม่ว่าความสุขสบาย เราหวังว่าจะได้มี หวังว่าจะได้มา แต่ถึงเวลาที่สุด พอกำลังจะสบาย ทำไมทุกข์ พอกำลังจะมี ทำไมเสีย ใช่ไหม เหมือนกับแอปเปิลที่เมื่อครู่เหมือนจะได้ อ้าว! ไม่ได้แล้วหรืออาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนที่ออกมาท่านหนึ่ง) เอาไหม (เอา) อย่างนั้นอาจารย์ขออย่างหนึ่ง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบได้ไหม แล้วเดี๋ยวอาจารย์ให้ไปนั่งเลย ให้แอปเปิลด้วย แถมรักษาด้วย ตัวเองตัดสินใจเอง ศิษย์เอย เหล้าบุหรี่มันทำให้ปากม่วง หน้าคล้ำ ตัวดำแล้วนะ ถ้าตอนนี้รับไปยังแก้ทัน ถ้าตอนนี้ไม่รับไป เป็นอะไรอย่ามาเรียกอาจารย์จี้กงให้ช่วยนะ พูดขนาดนี้แล้วยังไม่เอา เอาไหม (เอา) อย่าเผลอไปกินนะ เพื่อนชวนสักเป๊กสองเป๊กก็ไม่เอานะ เบียร์ก็ไม่กินนะ มนุษย์มักจะบอกว่า อาจารย์ เหล้ามันเป็นยา กินนิดกินหน่อยมันกระชุ่มกระชวยดีนะอาจารย์ ใช่หรือเปล่า เหมือนศิษย์ไปเล่นหวยใต้ดิน นิดๆ หน่อยๆ อาจารย์ พอนิดๆ หน่อยๆ ทำไมตอนนี้มันเริ่มเยอะ เริ่มเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเอาก็ไปนั่ง เอานี่แปลว่าต้องทำได้ ไม่กินตลอดชีวิต ไม่ทำมันตลอดชีวิตนะ ทำได้ไหมศิษย์ (ทำได้) ทำได้ก็ไปนั่ง อายุปูนนี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ ใช่ไหม ทำได้ไหม (ทำได้) ทำได้คือ (ไม่กิน) ไม่กินอะไร (ไม่กินเหล้า) เหล้าขาวก็ไม่กินนะ ยาดองเหล้าก็ไม่กินนะ เบียร์ก็ไม่กินนะ เอาไหม (เอา)
อาจารย์อุตส่าห์เชื่อมั่นในตัวศิษย์แล้วนะ ทำไมศิษย์ไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะใช่ไหม ทุกคนให้กำลังใจทำได้ไหม (ทำได้) มั่นใจไหม (มั่นใจ) เชื่อเขาไหม (เชื่อ) ปรบมือดังๆ หน่อย ยังไม่ต้องหักดิบก็ได้ อาจารย์ให้ค่อยๆ ลดได้ไหม จากปกติ วันละขวด วันละซอง ให้เหลือเป็นเดือนละซอง ค่อยๆ นะเพื่อตัวศิษย์เองนะ
ความเกิดเป็นตัวเป็นตนนี่น่ากลัวนะ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนเกิดอยากตามรสชาติที่ตัวเองเคยจำได้ นั่นก็เรียกว่าการเกิด ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนเกิดอยากสวย ปรุงแต่งตัวเอง นั่นก็คือการเกิดเป็นตัวตน ฉะนั้นเกิดกี่ที ก็ต้องทุกข์ทุกที เพราะทุกข์ต้องวิ่งไปตามอยากที่สนองตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราลองคิดแค่เพียงว่า แต่งสวยไปก็ (ตาย) แต่งหล่อไปก็ (ตาย) ให้มันจริงเถอะ ศิษย์รู้ไหมว่าอาจารย์เคยบอกไว้ว่าเสื้อผ้ามันก็เหมือนเอามาปิดถุงขี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนที่อาจารย์เคยพูดว่า ออกจากตาเรียกว่าขี้ตา ออกจากปากเรียกว่าขี้ปาก ออกจากมือเรียกว่าขี้มือ ฉะนั้นในตัวเรานี้เรียกว่าถุงขี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราชอบถุงขี้ไหม เรากำลังแต่งตาให้กับถุงขี้ เรากำลังแต่งหล่อให้กับถุงขี้ และเรากำลังหลงถุงขี้ แล้วเราก็ไปหาถุงขี้มาเพิ่มอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็ยังผลิตถุงขี้เพิ่มอีก ฉะนั้นทุกอย่างที่ออกมาจากเราก็เป็นขี้ อาจารย์พูดผิดไหม (ไม่ผิด) ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า สังขารเราก็เพียงแค่ยืมใช้ แต่ถ้ายึดติดถึงขนาดก่อบาปก่อกรรมก็ไม่ถูกต้องแล้ว ถ้ายึดติดแล้วทำให้ทำลายคุณธรรมในจิตใจก็เรียกว่าไม่ถูกต้อง ไม่ดีงามแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาเล่นอะไรกันหน่อยดีไหม การเล่นของอาจารย์ก็คือส่งแอปเปิล แอปเปิลอยู่ที่ตัวศิษย์หลายคนแล้วใช่ไหม อาจารย์จะให้แอปเปิลได้ผ่านหลายๆ มือ ดีไหม (ดี) ของบางอย่างบางทีมันอยู่กับเราแต่บางครั้งมันก็ไม่อยู่กับเรา ของบางอย่างบางทีมันเหมือนเป็นของเราแต่จริงๆ แล้วบางทีมันไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นอาจารย์อยากให้คนที่ได้รับรู้จักการพลัดพรากบ้าง คนที่มีให้รู้จักให้คนอื่นแล้วไม่มีบ้างได้ไหม (ได้) ได้นะถ้าอาจารย์บอกว่าหยุดแล้วแอปเปิลอยู่ที่ใคร ไม่ได้กลับมาคืนศิษย์ ศิษย์พร้อมจะให้คนคนนั้นไหม ศิษย์เอ๋ยเราอยู่ในโลกนี้ไม่วันนี้ก็วันหน้าไม่ให้ก็ต้องให้ใช่ไหม (ใช่) ถามจริงๆ หาเงินมาแทบตาย ถึงเวลาตายไปใครใช้เงินเรา (ลูกหลาน) บางทีเป็นลูกหลาน แต่บางทีไม่ใช่อาจจะเป็นเจ้าหนี้ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์เอย สิ่งที่ศิษย์หาแล้วศิษย์ว่ามันมี มันเป็นของเรา จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์จะรู้ว่าในตัวเราก็ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะมันไม่มีตั้งแต่ต้น แต่เราไปหลงเอาว่ามันเป็นของเราจริงไหม (จริง) ส่งไหม (ส่ง) อย่างนั้นนับหนึ่งถึงสิบดีไหม (ดี) พอแอปเปิลไปอยู่ที่มือใครเดี๋ยวอาจารย์ก็จะให้แอปเปิลนั้นต่อ แล้วคนนั้นก็ส่งต่อไปอีกดีไหม (ดี) คราวนี้แอปเปิลนี้จะได้ทุกคนเลยใช่หรือไม่ แล้วทุกคนจะได้มีแอปเปิลใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหลับตา) บางครั้งการเห็นมากก็ทำให้เรายึดติดใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าแอปเปิลมันผ่านมาก็จับให้มันดีๆ แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปนะ ถ้าถึงสิบแล้วมันไม่ได้ลงที่เราก็ถือว่าโชคมันผ่านไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ใช่หรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้พี่เลี้ยงและผู้ปฏิบัติงานธรรม เล่นเกมส่งสับปะรดพร้อมนักเรียนโดยให้หลับตา)
อยู่ด้วยกันต้องรับความแหลมคมของคนอื่น และก็ของตัวเองให้ได้นะ ตอนนี้ทุกคนหลับตานะ พร้อมหรือยัง นับหนึ่งถึงสิบนะ ถ้าแอปเปิลและสับปะรดไปอยู่ที่ใคร ก็ออกมารับจากอาจารย์เพิ่ม ดีไหม (ดี)
ลืมตาเลย ใครได้แอปเปิลออกมารับเพิ่ม โชคดีนะยังกลับมาเจอคนเดิมอีกนะ อาจารย์จะให้อีกดีไหม อาจารย์จะให้เพิ่ม แต่รู้จักให้ต่อนะ เอาไปให้ใครบ้าง (ให้น้อง) ลูกที่เพิ่งได้ใหม่คือของศิษย์นะ แต่ลูกที่ศิษย์เพิ่งเล่นคือส่งต่อนะ
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ได้สับปะรด)
จะเอาไว้หรือจะส่งต่อ (ส่งต่อ) สับปะรดอยู่ที่ตัวแปลว่าอะไรรู้ไหม (ต้องมีใจพร้อมรับกับทุกสิ่งได้) แต่เราต้องอย่าสร้างปัญหาเองนะ จริงๆ สับปะรดตามความหมายทางธรรมมีอีกอันหนึ่ง คือ บุกเบิก ฉะนั้นได้ไป ถ้ามีโอกาสก็ไปบุกเบิก เก็บไว้นะ เพราะอาจารย์อยากให้ไปบุกเบิก พร้อมกันอยู่แล้ว ลูกก็ไม่ต้องห่วงแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาให้ส่งผลไม้ไปข้างหลัง ให้ผู้ร่วมฟังเล่นเกมด้วย)
แอปเปิลอยู่ที่ใคร ผู้ร่วมฟังยืนขึ้น โชคดีนะได้สองลูกเลยหรือ ศิษย์ไม่ต้องตกใจ ดีแล้ว เก็บไว้เป็นมงคลกับตัวเองนะ และมงคลนั้นต้องรู้จักส่งต่อให้ผู้อื่นด้วยนะ ได้ไหม (ได้) หิวข้าวหรือยัง (ยัง) ยืนเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) อาจารย์จะต่ออีกสักนิดไหวไหม (ไหว) หรือจะลงไปกินข้าวก่อน (ไม่ลง)
เราคุยกันไปจนถึงเรื่องอะไรบ้าง พอจำได้ไหม อาจารย์พูดไปหลายเรื่อง เรื่องแรกคือการปฏิบัติธรรมเพื่อดำเนินชีวิต ใช่ไหม (ใช่) เราสามารถปฏิบัติได้ทุกขณะ แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนมีความจริงที่หนีไม่พ้น และความจริงที่หนีไม่พ้นนั่นก็คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งในความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น ก็มีอยู่ในทุกผู้คนและก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา หรือเรียกอีกหนึ่งว่า ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรม อันทำให้ทุกคนเสมอกัน ธรรม อันทำให้ไม่ว่าคนยากดีมีจนก็ต้องเจอเรื่องนี้เหมือนกัน ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกไว้ว่า “มนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เหมือนกัน จะโกรธเกลียดกันไปทำไม” เพราะถ้าเราไม่โกรธเกลียด บาปกรรมก็ไม่เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คุยกันมาตั้งเยอะแล้ว ศิษย์พอรู้ไหมว่าบาปกรรม มันเกิดจากการที่เราทำอย่างไรหรือ ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (ทำชั่ว) ทำชั่วคือไม่ดี ไม่ดีคือ (ทำชั่ว) สมมุติอาจารย์ให้แอปเปิลศิษย์ไป แต่อาจารย์บอกว่าเอากระเป๋าศิษย์มาอย่างนี้เรียกดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ให้จริงๆ นะ แล้วให้ไหม (ให้) แน่ใจนะ ถ้าทำอย่างนี้ได้จริงๆ อย่างนี้ก็ดีนะ ศิษย์จำไว้นะถ้าชีวิตมันต้องเจอเรื่องที่มันสุดแก้ได้ อับจนหนทาง ขอเพียงใจเราสู้ คนเรานี้ก่อนมาเราไม่มีมัน แล้วจะบอกเราสูญเสียมันหรือ ไม่ใช่นะเราไม่เคยสูญเสียอะไร แต่ความยึดมั่นทำให้เรารู้จักสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ไม่ท้อชีวิตศิษย์ไม่ยอมแพ้มัน ไม่มีก็หาใหม่ได้ จึงมีคำพูดคำหนึ่งว่า “ของเสียได้แต่ใจอย่าเสีย คนจากไปได้แต่ใจอย่าสูญหาย” ความชั่วก็คือ จิตใจที่เบียดเบียนอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของเราโดยไม่คิดคำนึงถึงคุณธรรมและความเมตตาในจิตใจ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์แค่อยากให้เขาเห็นว่าชั่วมันคืออะไร ถึงจะดีอย่างไรแต่ถ้าอยากได้ของผู้อื่นแล้วเบียดบังน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นจะดีอย่างไรก็ไม่เรียกว่าดีหรอก ใช่ไหม (ใช่)
นอกจากไม่ดี มันมีอะไรอีกที่สามารถชักชวนทำให้เราหลงผิดทางได้ ความโกรธ ใช่ไหม (ใช่) เมื่อเวลาความโกรธมันมา เราหยุดได้ไหม (ได้) หยุดได้โดยการ ศิษย์เอย เวลาเจอคนไม่ได้ดั่งใจ บางทีมันไม่ไหว มันกลั้นไม่อยู่แล้ว ทำไมมันเป็นแบบนี้นะ นี่คือความโกรธ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โกรธเวลาเกิดขึ้น แล้วจะทำอย่างไร ก็เข้าใจนะ โกรธมันก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทำไมอาจารย์ไม่ให้หนูโกรธ มันต้องปล่อยออกมา ถ้าไม่ปล่อยออกมามันจะอกแตก ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น เวลาโกรธทำอย่างไร วิธีง่ายๆ นะศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ มีใครในโลกสมบูรณ์แบบ ไม่ผิดผลาด เราคาดไว้แล้วไม่ผิดคาดเลย มีไหม (ไม่มี) เราว่าอย่างไร เขาว่าอย่างนั้น เราชมอย่างไร เขารู้จักทำอย่างนั้น เราพูดหนึ่ง เขารู้จักสอง สาม สี่ ห้า เขารู้ใจไปหมดเลย มีไหม (ไม่มี) ตลอดชีวิตห้าสิบปีที่ผ่านมาเจอคนแบบนี้บ้างไหม (ไม่เจอ) มีแต่บอกหนึ่ง เขาไปสอง บอกซ้ายเขาไปขวา แบบนี้เจอเยอะกว่า ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราจำไว้ในใจ เราจะเจอคนที่ผิดคาด เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) เราจะไม่โกรธ อาจารย์จี้กงเคยบอกแล้วไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบในโลกหรอก และก็ไม่มีอะไรเป็นได้ดั่งใจหรอก จริงไหม (จริง) คนที่เราบอกหนึ่งเขาก็หนึ่ง บอกสองเขาก็สอง ดูดีๆ นะ เขาอาจจะแอบขออะไรเรา แต่คนที่บอกหนึ่งแล้วไปสอง บอกสองแล้วไปสาม บางทีดูดีๆ นะ อย่าเพิ่งโกรธ มันอาจจะให้สติเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มองให้ชัด ก่อนจะโกรธ ก่อนจะเกลียด ก่อนจะด่าเขา เขาพูดจริงไหม ถ้าเขาพูดจริง อย่างที่อาจารย์บอก อดทนก่อน นิ่งก่อน แล้วมองดู รักษาใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยความโกรธออกไป อย่าปล่อยความเกลียดออกไป อย่าก่อกรรมบาป อย่าก่อเวรกรรม อย่าก่อทุกข์ ถ้าเราหยุดยั้งได้ ความโกรธก็ทำอะไรเราไม่ได้
เหมือนเราเล่นกับใจตัวเอง เรารู้จักเล่นเกมใช่ไหม (ใช่) อะไรเราก็จัดการได้ ไม่รู้วิธีเล่น ไม่อ่านคู่มือ แถมมั่วๆ ยังไปได้ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อาจารย์น่ะเก่งนะ แล้วอย่างนี้ความโกรธมาจากไหน มันก็มาจากใจเราเอง แล้วทำไมเราจัดการมันไม่ได้ล่ะ เราสร้างมันขึ้นมามันจะอยู่ในอาณัติเราไม่ได้หรือ มันจะฟังเราไม่ได้หรือ แล้วเราจะหยุดมันไม่ได้หรือใช่ไหม (ใช่) แล้วใครเกิดมาโกรธมาตั้งแต่แรกเกิดเลย ไม่มีใช่ไหม (ใช่) แล้วใครอยากมีโกรธไปตลอดชีวิต (ไม่เอา) แล้วจะเลี้ยงมันไว้ไหม (ไม่เลี้ยง) ฉะนั้นเจอคนขัดใจ มันเป็นธรรมดาไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เรายังไม่ได้เรื่องเลยเขาก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ในเมื่อเรายังจัดการอะไรได้เยอะแยะ ศิษย์บางคนเรียนก็เก่ง หาเงินหาทองก็เก่ง แต่จริงๆ ตัวเองไม่เก่ง ฉะนั้นเมื่อมีความโกรธมา เราเป็นนายมัน มันไม่ใช่นายเราถูกไหม บอกมันเลย ช่างหัวแก อย่าให้มันครอบงำ เพราะถ้าเมื่อไรครอบงำแล้วก่อเกิดเป็นบาป ก่อเกิดเป็นการเบียดเบียน ก่อเกิดเป็นการชิงชังเคียดแค้นแล้ว มันก็ไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นที่อาจารย์พร่ำพูดมาตั้งเยอะแยะ ไม่ได้ยากเลยในการปฏิบัติธรรม แต่อยู่ที่ว่าอย่าไปคิดควบคุมใคร ให้ควบคุมใจ ถ้าพูดแล้วมันจะกลายเป็นบาปกรรม ไม่พูดดีไหม (ดี) ถึงสิ่งที่พูดนั้นเป็นจริงแต่ถ้าจริงแล้วมันทำให้คนอื่นไม่ดี อย่าออกจากปากเราดีไหม (ดี) ดีคือทำไม่ทำ (ทำ) ทำนั่นคือพยายามไม่พูดใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติวันนี้อาจารย์ไปเจอคนนี้แล้วไม่ดี อาจารย์ก็ข่มไว้ในใจ จะไม่พูดจะไม่ก่อกรรมกับเขานะ แต่พอเจอเพื่อน มันไม่ไหวน่ะ พูดหน่อยเถอะ พอพูดเสร็จแล้ว เพื่อน
เห็นด้วย เพื่อนรักเรา ก็บอกว่าเขาแย่ กลายเป็นว่า เรากำลังร่วมสังฆกรรม แล้วก็ร่วมกันก่อกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์ทำแบบนั้นไหม
จำไว้นะอย่าเผลอ เพราะถ้าเกิดทุกเวลาทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตนี้ แล้วจบกรรมทุกขณะ ชาติหน้าก็ไม่มีแล้ว เพราะมันสิ้นทุกข์แล้ว มันสิ้นกิเลสแล้ว แต่จะทำไม่ทำ ถึงเวลาขอให้มีสติรู้เท่าทันและมองเห็นธรรมนะศิษย์ แม้มันจะอย่างไหนมันก็คือธรรม ที่เราต้องรักษาความเป็นกลางในใจ แล้วศิษย์จะพบพระพุทธะที่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องรอมาที่วัดก็ได้ ไม่ต้องรอมาเจอพระก็ได้ แต่เราจะเป็นพระบนโลกใบนี้ ที่ไปที่ไหนก็ทำให้คนเห็นธรรมและร่มเย็นในธรรม ดีกว่าไหม (ดี) ประเสริฐไหม (ประเสริฐ) ไปไหม (ไป)
อาจารย์ก็ได้แต่ส่งใจอวยพร ขอให้ศิษย์ไปให้ถึงธรรมอันนั้น ธรรมที่ไม่ได้อยู่ในใจอาจารย์ แต่มันอยู่ในใจศิษย์ทุกคน ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากอาจารย์พยายามยัดเยียดให้ศิษย์ แต่มันเกิดจากศิษย์ที่รู้ตื่น คิดได้ เห็นได้ ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกคนคือธรรมนะ ทุกเมล็ดพันธุ์คือธรรม แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกเมตตาธรรม กรุณาธรรม จริยธรรม สัตยธรรม หรือเลือกโกรธ เกลียด โลภ หลง เอาแต่ใจ เห็นแก่ได้กัน จำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีทางให้เลือกเดิน แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เห็นทุกข์เป็นธรรม”)
ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของศิษย์ทั้งหลายคือช่วงเวลาที่ศิษย์ได้เห็นธรรมในความทุกข์นั้น ใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ศิษย์กำลังสูญเสียคือเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นธรรม ธรรมที่มีเยอะมาก ธรรมที่มีจนบรรยายไม่หมด ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ศิษย์กำลังสูญเสียคือบุคคลที่ศิษย์รู้สึกรักใคร่ บุคคลที่ศิษย์รู้สึกรักได้จากศิษย์ไป แต่สิ่งที่เขาจากไป เขาทิ้งธรรมอันมหาศาลให้ศิษย์ได้รับรู้ แล้วเราจะแค่รู้หรือเอาไปปฏิบัติ เราจะแค่เห็น ซึ้ง น้ำตาไหล ถึงเวลานิสัยเราก็เหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นกลอนที่ศิษย์ช่วยอาจารย์วงยังเป็นกลอนที่ได้กล่าวถึงบุคคลอันเป็นที่เคารพรักได้จากไปแต่ได้ทิ้งธรรมให้ศิษย์ได้ระลึกถึงได้คิดถึง
“ฟ้าสีหม่นคนเป็นทุกข์เพราะพลัดพราก ห้วงเวลาที่ยากทำใจยอมรับ
จงแปรทุกข์กลายเป็นธรรมตามลำดับ แสงที่ดับกลับสว่างกลางใจคน
เมตตาสละเป็นแบบอย่างไม่หยุดพัก เป็นเพราะรักเมตตาเย็นดุจสายฝน
เสกรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่ตน ขอฝึกฝนตามรอยพระราชา
จงทำต่อจากจุดที่ท่านหยุดเดิน สรรเสริญด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรื่องความดีไม่มีห้วงเวลา ไทยทั้งหล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
สิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้มากที่สุดคือ คนที่มีโอกาสสบายที่สุดแต่ยอมลำบาก หัวใจนั้นยิ่งใหญ่ คนที่มีโอกาสสบายที่สุดแต่รู้จักสละตัวเองเห็นแก่ผู้อื่นนั้นคือหัวใจแห่งพระ ถ้าสรรเสริญท่านก็จงนำปณิธานของท่านนั้นมาประพฤติปฏิบัติให้ดี เพราะว่าเรื่องความดีไม่เคยสูญหายไปจากใจคน ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ก็อยากจบ แล้วจากศิษย์ด้วยความสุขและความปิติใจ ฉะนั้นขอให้ศิษย์ดำเนินชีวิต รู้จักนำพาชีวิตตัวเองไปให้ถูกทางและมีธรรมประจำใจนะ
อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงซ้ายกังวลขวาเลยนะ จงเป็นพระที่พึ่งให้กับตัวเอง และจงเป็นพระที่พึ่งให้กับผู้อื่น จงมีความร่มเย็นให้กับตัวเองและจงเอาความร่มเย็นนั้นเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมได้อย่างงดงามและถูกต้อง ใครไม่ดีอย่างไรช่างมันเถอะนะ ตัวเองดีหรือยัง ฉะนั้นลูกศิษย์ของอาจารย์มีแต่แก้ไขตัวเอง ไม่แก้ไขใคร เปลี่ยนชะตาตัวเองด้วยมือเราเองนะ อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนมันจำกัด เป็นศิษย์อาจารย์แล้ว ความเป็นตัวตนต้องยิ่งใหญ่เหนือคำจำกัด นั่นแหละถึงจะเรียกว่าพบธรรม ใช่หรือไม่ ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์พบแล้ว อาจารย์เจอแล้ว แล้วศิษย์ก็เคยได้ให้คำสัญญากับอาจารย์ไว้แล้ว แต่ศิษย์แค่ลืมไป หลงไป แค่นั้นเอง ฉะนั้นอาจารย์แค่มาปลุกให้ศิษย์ตื่น ตื่นแล้วมองความจริงให้เห็นธรรม ปล่อยวางตัวตนบ้าง เสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้าง มันไม่ยากหรอก บุญบารมีเกิดจากการให้ ให้จนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ประเสริฐที่สุดแล้วศิษย์ ให้จนไม่เหลือตัวตน ให้จนไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขของตัวเอง เห็นเขายิ้มได้ หนูสุขแล้วอาจารย์ เอาหัวใจนั้นไปนะศิษย์
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีก มีโอกาสกลับมาอีกนะ รู้จักระมัดระวังดูแลตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความโลภความหลงมันทำร้ายตัวเอง รักษาจิตรักษาใจให้ดีนะ ทำให้ได้นะ อย่าดื้อ ตั้งใจเรียน เป็นคนดี อย่าหลงไปกับรูปลักษณ์อันจอมปลอม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนประชุมธรรม ๑ วัน)
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เสียดายฟังไม่จบ มีโอกาสกลับมาทำให้จบนะ คนบุญคนดีของอาจารย์ หลงไปบ้างก็ดึงๆ กลับมานะ เสียสละอุทิศเพื่อประชาทำไม่ยาก แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยยอมทำ ตั้งใจทำให้ดีนะ จิตใจอันดีงามมีอยู่ในตัวศิษย์แล้ว แต่ต้องเข้มแข็ง จับมืออาจารย์ไหม มุ่งแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด ขอเพียงสำคัญคือจิตใจนะ สังขารมันเป็นแค่ร่างกายอันจอมปลอม ใจต้องเข้มแข็ง อาจารย์ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครหายไปก็เรียกกลับมา อ่อนแอไปก็ลุกขึ้นใหม่ กลับมาอีกนะ อาจารย์ไปแล้วนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เห็นทุกข์เป็นธรรม”
ฟ้าสีหม่นคนเป็นทุกข์เพราะพลัดพราก ห้วงเวลาที่ยากทำใจยอมรับ
จงแปรทุกข์กลายเป็นธรรมตามลำดับ แสงที่ดับกลับสว่างกลางใจคน
เมตตาสละเป็นแบบอย่างไม่หยุดพัก เป็นเพราะรักเมตตาเย็นดุจสายฝน
เสกรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่ตน ขอฝึกฝนตามรอยพระราชา
จงทำต่อจากจุดที่ท่านหยุดเดิน สรรเสริญด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรื่องความดีไม่มีห้วงเวลา ไทยทั้งหล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน