วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

2552-04-19 เปิดสถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น



西元二○○九年歲次己丑三月二十四日 仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมฮุ่ยอวี้  อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง
คนพากเพียรต้องมีแรงไม่เหือดแห้ง ต้องมีเลือดแห่งพุทธะอันเข้มข้น
เป็นคนดีล้วนต้องเคยสู้อดทน หากฝึกฝนขัดเกลาได้ย่อมดีเอง
เราคือ
หยรูอี้เซียนถง (如意仙童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานใหม่   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม


ปฏิบัติงานธรรมด้วยใจฟ้า ทุกเวลาทุกนาทีเป็นประโยชน์
แพร่งานธรรมกว้างไกลให้ช่วงโชติ จิตปราโมทย์ปัญหามาสำเร็จมี
คนใช้ใจใจก็ต้องสะอาด คนฉลาดฉลาดก็ต้องคุณธรรมปรี่
บำเพ็ญด้วยจิตสำนึกแห่งความดี อย่าได้มีอคติบั่นทอนใจ
เรื่องหน้าพระต้องรู้เห็นทำเป็นหมด จริยระเบียบทุกบทหยิบใช้ได้
มาว่างว่างปัจจุบันอย่าหนักไป ธรรมในใจบำเพ็ญจิตกุศลบุญ
ใช้อารมณ์ย่อมผิดตั้งแต่แรก เป็นคนแบกอารมณ์มากย่อมหัวหมุน
ที่ลงทุนเพียรไปกลับขาดทุน อย่าว้าวุ่นฝึกใจให้เย็นเย็น
อยู่ร่วมกันอย่าว่ากันให้รักกัน อย่าหักหาญน้ำใจด้วยลมปากเหม็น
ขัดแย้งกันต่างกันให้ใจเย็น คนไม่อาจเป็นพุทธะในวันเดียว
ฮิ ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง
ท่านต้องเข้าใจการเป็นผู้ลงแรงปฏิบัติธรรม การขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคืออะไร ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้วต้องจำไว้ว่าเราไม่กลัวความทุกข์ เราไม่กลัวความลำบาก เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมต้องเอาชนะให้ได้ และค้นหาทางออกให้เจอ ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมกลัวทุกข์ ท่านจะบำเพ็ญอะไร จริงไหม (จริง)  ขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญธรรมแล้วกลัวความลำบาก แล้วท่านจะสบายไปเพื่ออะไรล่ะ บำเพ็ญธรรมไม่มีคำว่าสบาย บำเพ็ญธรรมคือต้องยอมลำบากและเอาชนะทุกข์ให้ได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมให้มาฟังธรรมอีก ฟังไหม (ฟัง)  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว หรือขึ้นชื่อว่าคนปฏิบัติดีแล้ว ถ้าโดนคนว่า โดนคนเข้าใจผิด โดนคนกระแนะกระแหน โดนคนดูถูก ยังบำเพ็ญไหม (บำเพ็ญ)  ยังทำดีไหม (ทำ) จริงนะ (จริง)
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เมื่อยหรือยัง (ยัง) ถ้าอย่างนั้นเราลองเล่นอะไรกันหน่อยนะ จะดูความร่วมแรงร่วมใจกัน การทำงานอะไรก็ตามต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งพูดมากเสียงก็จะยิ่งดังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นลองดูซิว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นยากไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้หันหน้าจับคู่กัน แล้วตบมือกับคู่ของตัวเอง)
เราเป็นคนที่อยู่ในโลก เราไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จด้วยตัวเองเพียงคนเดียว บางทีต้องร่วมแรงร่วมใจกับผู้อื่น ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตีเขาแรง นอกจากเขาเจ็บเราก็เจ็บ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นรู้จักควบคุมกำลังตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นตัวเองจะเจ็บด้วย เขาก็จะเจ็บด้วย ระหว่างต่างคนต่างตีเจ็บไหม (เจ็บ, ไม่เจ็บ)  มีทั้งเจ็บและไม่เจ็บ คนหนึ่งรองรับ คนหนึ่งตี ดูซิว่าการตีแบบนี้กับการตีแบบต่างคนต่างชนกันนั้นอันไหนเจ็บกว่ากันนะ แต่เราเชื่อว่าปะทะกันแรงๆ พร้อมกันย่อมเจ็บกว่าคนหนึ่งตีอีกคนหนึ่งรับ ถูกไหม (ถูก)
ในความเป็นจริงการอยู่ร่วมกันนั้น ถ้าต่างคนต่างแรงมา ต่างคนต่างมีความคิดเห็นมา มันก็มีแต่จะกระทบกันให้เจ็บ สู้ถ้าเกิดเรายอมได้ให้อีกคนหนึ่งได้ตี อีกคนหนึ่งเป็นผู้รับ แปลว่าบางครั้งเราอยู่ร่วมกัน เราต้องเป็นคนฟังบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราฟังมากๆ แล้ว คนที่พูดมากๆ ก็ต้องรู้จักหยุดเพื่อเป็นคนฟัง  แต่ในโลกของความเป็นจริง จะมีใครยอมฟัง ในตัวเราเองเราเคยฟังเสียงตัวเรากี่ชั่วโมง แค่หนึ่งนาทียังฟังได้ไม่ครบเลย แล้วจะให้ใครฟังเสียงท่าน ถูกหรือเปล่า ฉะนั้นในสังคมเวลาเราอยู่ร่วมกันมีแต่คนต่างตีกันใช่หรือไม่ ใครล่ะจะฟังในเมื่อตัวเรายังไม่ฟังตัวเราเลย ตัวเราอยู่นิ่งๆ ฟังเสียงตัวเราสักหนึ่งนาทีได้ไหม (ได้)  จริงหรือ เห็นกลับบ้านฟังยังไม่ถึงหนึ่งนาทีก็หลับแล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญต้องทำในสิ่งที่ยากทำ ใครไม่ฟัง เรายอมฟัง เขาอยากพูดให้พูดไป เราฟังแบบรู้จักกลั่นกรองรับรู้ความคิดเห็น ไม่ใช่ฟังแบบพูดไปเถอะ ใช่หรือไม่ อย่างนั้นเราจะได้ประโยชน์อะไร กลายเป็นเราต้องใช้ความอดทนอดกลั้นในการข่มใจตัวเอง ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรม นอกจากต้องทนในสิ่งยากทน คือไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวความทุกข์ ไม่กลัวความท้อ อย่างที่สองก็คือ ต้องฝึกให้เป็นคนใจกว้างๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น นี่คือคุณธรรมที่เป็นเอกของความเป็นปราชญ์หรือเป็นกัลยาณชน ไม่มีอะไรที่เก่งแต่รู้อย่างเดียวเป็นคนรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทำได้ยากไหม (ไม่ยาก)  คนที่บอกว่าไม่ยาก ต้องเป็นคนที่มีจิตใจกว้างใหญ่เหมือนพระศรีอาริย์ ท้องใหญ่ใจกว้างจึงรับได้ทุกสิ่ง เราเห็นผู้บำเพ็ญธรรมลงพุงกันเป็นแถว ฉะนั้นลงพุงแล้วต้องรับเรื่องทุกอย่างได้ด้วย ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นคนที่จิตใจกว้างขวางไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น ไม่แบ่งเขาแบ่งเราจะเป็นผู้ที่สามารถรับฟังและรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มกระจ่าง
คนที่ยึดมั่นถือมั่นมากคนนั้นก็ทุกข์มาก ถูกไหม (ถูก)  คนที่มีอัตตาตัวตนมาก คนนั้นก็เจ็บปวดมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารู้จักบำเพ็ญแล้วปล่อยวาง บำเพ็ญแล้วเขาอยากไปก็ไป เขาจะไปไหนก็ตาม แต่บางครั้งก็ต้องมีจุดยืนด้วย ไม่ใช่ตามจนไร้จุดยืนก็ไม่ถูกต้อง เขาบอกว่ากินเจไม่ดี เราก็เลยไม่กินเจเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจุดยืนก็ต้องมี อะลุ้มอล่วยก็ต้องเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ วันหนึ่งท่านได้เห็น หรือต้องเจอกับตัว ลองคิดดูนะว่าเราจะจัดการเรื่องราวแบบนี้อย่างไร  มีชายคนหนึ่งไปที่วัด แต่เผอิญว่าตอนที่เขาไปวัด เขาถือถังใส่น้ำมาหนึ่งใบ มีคนถามเขาว่าไปไหน เขาก็บอกไปจับปลา เขาถามที่ไหน ที่วัด ท่านคิดว่าอย่างไร พอเดินไปสักพักหนึ่งก็ถึงสระน้ำ แต่สระน้ำนั้นกลับแห้งขอด ตอนเขาไป เขาเอาแมวไปด้วยหนึ่งตัว พอไปถึงสระน้ำแมวก็เริ่มดม แมวมีจมูกดีใช่ไหม พอได้กลิ่นหรือเห็นใต้ดินมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ แมวก็จะรู้ทันที ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราเดินผ่านไป เราเห็นคนทำอย่างนี้   ในใจเรารู้สึกอย่างไร นี่ในวัดนะ จับปลาด้วย แถมเอาแมวมาช่วยจับปลาอีก ใช่ไหม แมวนี่ก็จมูกดี พอเห็นอะไรอยู่ตรงไหนก็ไปเขี่ย เขาก็จับมาแล้วก็ใส่ถังทันที ทำกันอย่างมีความสุขสนุกสนานมาก ตรงไหนมีปลา จับมาใส่ถังทันที ถ้าท่านเห็นอย่างนี้ ท่านกำลังเดินผ่านคนที่ทำแบบนี้ ท่านคิดเห็นอย่างไร
(ไม่สบายใจ คิดว่าเขาไม่มีจิตเมตตา) คิดในใจว่าเขาไม่มีจิตเมตตา เราเดินผ่านมาแล้วผ่านไปใช่ไหม  (ตัวเองสร้างกรรมแล้วยังลากแมวไปสร้างกรรมด้วย, ชักชวนให้เขาไปปล่อยในหนองน้ำ, เตือนเขาว่ามันบาป, คิดว่าเขาอาจไม่ได้จับไปกินก็ได้)  บางคนคิดว่าเขาไม่ได้จับไปกิน อาจจะจับไปปล่อยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านอื่นล่ะ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้เราจะจัดการเรื่องแบบนี้อย่างไร (จะถามเขาก่อนว่าจะจับปลาไปทำอะไร ถ้าเขาจะเอาไปทำลายก็บอกเขาว่ามันบาปให้เอาไปปล่อย)  ใช่แล้ว เมื่อเวลาเราอยู่ร่วมกันหรือเราเห็นสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง เรารู้สึกไม่ดีหรือผิดแผก ก่อนที่จะด่วนสรุป ก่อนที่จะตัดสินใจ ทำไมเราไม่หัดถามให้ชัดเจน นิสัยอย่างหนึ่งของมนุษย์หรือคนทั่วไปคือชอบเดา เดาเสร็จแล้วเอาร้ายไว้ก่อน ดีไว้ทีหลัง ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่คนเราไม่ว่าจะทำเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ย่อมมีทั้งคนที่เห็นชอบและคนที่รังเกียจ ย่อมมีคนที่เข้าข้างและคนที่ไม่เข้าข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่เราอยากจะบอกท่าน เหมือนกันเราทำสิ่งใดก็ตามย่อมเป็นที่มองของคนหมู่มาก โดยเฉพาะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่แปลก ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วถ้าเราทำเหมือนเดิมคือเดาไว้ก่อน คิดร้ายไว้ก่อน มองแย่ไว้ก่อน เท่ากับเรากำลังปฏิเสธคนหรือไม่รู้จักรับฟังคน ไม่รู้จักเปิดกว้าง ยึดมั่นแต่ความคิดเห็นตน
เหมือนเวลาเราปฏิบัติธรรม คนยังไม่รู้คนยังไม่เข้าใจ เขาก็ต้องมองในแง่ร้ายไว้ก่อน เหมือนชายคนนี้จะไปช่วยปลาที่มันกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่เขาจะสามารถมองเห็นได้ไหม แล้วเขาจะสามารถช่วยได้หมดไหม เขาก็เลยยืมความฉลาดของแมวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วก็จะได้จับปลาได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามนุษย์เราเห็นก็คิดว่าคนนี้บ้าจริงๆ ขนาดในวัดยังจับปลาได้ ไม่ถามแล้วก็เดินไป เรากำลังทำบาปไหม (ทำ)  เราบาปไหม บาปที่คิดร้าย บาปที่ดูถูกคนโดยที่ยังไม่ได้ถาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนในสังคมเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  แล้วชอบเดาอย่างนี้ไหม (ชอบ)  แล้วปากเราถามได้ไหม (ได้)  แล้วทำไมเราไม่ถาม เรากลัวโดนเขาว่ายุ่งอะไรด้วยใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนว่ายุ่งอะไรด้วย วิธีการในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็คือ เมื่อเรามองสิ่งใดก็ตาม เมื่อเราเห็นคนกำลังทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือในหัวใจเรา ถ้าน้ำใสย่อมสะท้อนสิ่งต่างๆ ได้เด่นชัด ถ้าน้ำขุ่นย่อมสะท้อนอะไรไม่ได้เลย แถมมองได้อย่างสกปรกด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม คือต้องรักษาใจให้สะอาด เพื่อเวลาเรามองสิ่งใดจะได้มองได้อย่างแจ่มชัด ถูกต้องและรอบคอบ
ฉะนั้นอย่างที่สามสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมคือ ภายนอกดี ในหัวใจต้องดีด้วย ปฏิบัติภายนอกได้ ภายในใจต้องปฏิบัติได้ด้วย รักความสวยงามข้างนอก หัวใจก็ต้องรักให้ดีด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เข้าใจสิ่งที่เราพูดหรือเปล่า (เข้าใจ)  ฉะนั้นการมองสิ่งใดก็ตาม มนุษย์เรานั้นอดไม่ได้หรอกที่จะมองแล้วมุมนี้ก็ต้องเป็นมุมนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นด้านนี้ก็ต้องเห็นด้านนี้ ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราควรจะเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตไหม  (ไม่ควร)  เห็นด้านหน้าท่านก็ยังรู้ว่าเรามีด้านหลัง ถูกไหม เห็นหน้ามือท่านก็รู้ว่าเรามีหลังมือ เห็นมีมือเดียวท่านเดาได้ไหมว่าเราจะมีมือเดียวไปตลอดชีวิต ท่านยังเห็นว่ามีอีกมือหนึ่งใช่ไหม (ใช่)   แต่ความเป็นจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้ เวลาเราเห็นสิ่งใดก็อย่ายึดมั่นตายตัวว่าต้องเป็น อย่างนั้นไปตลอด เหมือนท่านเห็นเราวันนี้อย่างนี้ต่อไปเราก็จะอย่างนี้ไหม (ไม่)  เห็นเป็นอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไหม (ไม่) ท่านก็ยังรู้จักคาดเดาได้ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
ฉะนั้นเมื่อไรที่เรามองคน อย่าเห็นว่าคนนี้น่ารังเกียจก็น่ารังเกียจไปตลอดชีวิต คนนี้ดีก็จะดีไปตลอดชีวิต บางทีในดีอาจจะมีไม่ดี ในร้ายอาจจะมีดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่พวกตายตัว หัวดื้อหัวแข็ง มองไปอย่างไรก็หัวแข็งอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องเป็นหัวพลิกแพลงได้ด้วย  ฉะนั้นต้องกล้าที่จะเปิดใจให้กว้างและรับมุมมองใหม่ๆ ให้เป็นด้วย
เหมือนเรามีมือมีขา นั่นก็คือเรามีร่างกาย เรามีหัวใจ หัวใจและร่างกายนั้นต้องอยู่ในความคิดที่ถูกต้องและดีงาม อย่าเป็นคนที่จมปลักอยู่กับความคิดที่ตายตัว ยึดมั่น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างนี้คนที่ยึดมั่นและเปลี่ยนแปลงไม่ได้คือคนที่หาทุกข์ให้ตัวเองนั่นเอง ถูกไหม (ถูก)
เมื่อครู่เราสรุปว่ารักษาใจให้สะอาด อย่าสะอาดแค่เพียงภายนอก  อย่าปฏิบัติแค่เพียงภายนอก แต่ภายในไม่ได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกวันเรายังรู้จักอาบน้ำ แล้วหัวใจเราล่ะ เคยเอาธรรมะมาชำระล้างใจให้สะอาดบ้างหรือไม่ เราจะชำระล้างใจให้สะอาดด้วยการย้อนมองส่องตน หมั่นพิจารณาตัวเองก่อนว่าคนอื่น เราดีหรือยัง ก่อนคิดว่าร้ายคนอื่นลองถามใจเราดู เราเที่ยงตรงไหมที่จะไปตรวจสอบคนนี้ดีหรือคนนี้ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเวลาท่านมองอะไรต้องมองให้ถึงที่สุด อย่ามองแป๊บเดียว ถ้ามองแป๊บเดียวก็อย่าด่วนสรุป ไม่อย่างนั้นคนที่ด่วนสรุปก็กลายเป็นคนที่ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรอยากรู้ให้ชัดเจนถ้าไม่กล้าถามก็ดูให้ถึงที่สุด ถูกหรือเปล่า (ถูก) หรือไม่ก็ลองไปช่วยเขา ถ้าเกิดอ้าปากแล้วกลายเป็นยุ่ง ก็ถามเขามีอะไรให้ช่วยไหม พอช่วยไปสักพักแล้ว การที่เราจะโน้มนำคนก็ง่ายขึ้นเพราะเราไปลงแรงช่วยกับเขาถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราไม่ช่วยแถมยังบอกอย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้ เขาจะฟังไหมล่ะ (ไม่ฟัง)  เรากำลังทำงานอยู่ มีคนมาชี้นิ้วใช้ ท่านจะฟังไหม ไม่ฟังแถมรำคาญแถมไล่ตะเพิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราจะเปลี่ยนแปลงคน ถ้าไม่กล้าถามลองลงแรงเข้าไปช่วย พอช่วยเสร็จแล้วค่อยๆ พูด เออ ปลานี่มันน่าสงสารจริงๆ นะ รู้จักพูดแบบอ้อมๆ มันจะตายอยู่แล้ว ถ้าเราเอาไปปล่อยน้ำก็คงดีนะ เดี๋ยวเขาก็พูดออกมาเองว่าเขาจะปล่อยหรือเขาจะกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักพลิกแพลงและใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเป็นคนตายตัว
เรามีเรื่องอีกเรื่องที่ลืมไม่ได้ นั่นก็คือห้องพระนี้เมื่อวานนี้มีเรื่องน่ายินดีใช่ไหม (ใช่)  เรามีสถานธรรมอันใหญ่โต แต่ถ้าสถานธรรมใหญ่โตแต่ปราศจากคนที่ร่วมกันดูแล สถานธรรมใหญ่นี้ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ห้องพระนี้ถือเป็นที่ของทุกๆ คน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ห้องพระนี้จะก้าวหน้าและเดินต่อไปได้ก็ต้องเป็นของทุกๆ คนมาร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย ไม่มีสิ่งใดในโลกหรอกสำเร็จได้ด้วยน้ำมือเราเพียงคนเดียว ใช่หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนที่เรียกว่า    คนเบื้องหน้า คนเบื้องกลาง และคนเบื้องหลัง ถูกไหม (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานสับปะรดให้กับผู้ที่ดูแลรับผิดชอบสถานธรรม)
เมื่อรับปณิธานแล้วก็ต้องกล้าที่จะฟันฝ่าเผชิญกันนะ สับปะรดยังเปรี้ยวอยู่ ต้องอาศัยการบ่มเพาะถึงจะหวาน เข้าใจนะ นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น งานธรรมะยังอีกยาวไกล ขอให้สมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ อดทนแบกรับภาระอันใหญ่ให้ได้นะ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือขอนแก่น ที่ไหนก็คือห้องพระของบ้านเรา ปรบมือให้กับทุกคน ที่ช่วยทำงานวันนี้จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่ใช่แค่ฐันจู่แต่ยังมีคนอีกหลายๆ คน ที่ต่างมาร่วมแรงร่วมใจกัน มีเบื้องหน้าก็ต้องมีเบื้องหลัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นขอให้สมัครสมานสามัคคีอะลุ้มอล่วยกัน
บำเพ็ญธรรมยังกลัวความทุกข์อีกไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวจริงหรือ (จริง)  เราจะเอาชนะความทุกข์ได้อย่างไร ถ้ามนุษย์ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวพันอยู่กับสรรพสิ่งในโลก เมื่อไรที่เราเกี่ยวพันเมื่อนั้นเราต้องมีเยื่อใย เมื่อเรามีเยื่อใยเมื่อนั้นเราต้องมีห่วงหาอาทร เมื่อมีห่วงหาอาทรเมื่อนั้นเราย่อมมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากทุกข์น้อย เยื่อใยน้อย ห่วงหาอาทรน้อย เราก็ต้องรู้จักบำเพ็ญอย่างคนที่พึงพอใจในความเรียบง่าย
เคยเห็นคนที่ทุกข์ทั้งกลางวัน กลางคืน แล้วตอนนอนหลับไหม หลับก็ทุกข์ ตื่นก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ ทำงานก็ทุกข์ เคยเห็นคนทุกข์แบบนี้ไหม คนที่ทุกข์แบบนี้คือคนที่ไม่รู้จักควบคุมอายตนะ และไม่รู้จักประมาณตนถูกไหม (ถูก)  คนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความอยากของตัวเองได้ เรียกว่าตื่นก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ กินก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  พอกินอันนี้เข้าไปก็บอกว่าถ้ามันเปรี้ยวกว่านี้คงอร่อยกว่านี้ ถ้าหวานกว่านี้ก็คงอร่อยกว่านี้ ใช่ไหม (ใช่)  ขนาดกินก็ยังทุกข์ได้ ถูกไหม แล้วเคยเห็นคนนอนก็ทุกข์ไหม ถ้าเป็นที่บ้านก็คงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ นอนพลิกแล้วพลิกอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละนอนก็ทุกข์ ใช่ไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าอยากไม่ให้ตัวเองทุกข์ก็ต้องรู้จักควบคุมความอยากของตัวเองให้เป็น อยู่กับสิ่งที่มีและรับได้กับสิ่งที่เป็น ถ้าอยู่กับสิ่งที่มีแล้วบอกเค็มอีกนิดก็ดี หวานอีกหน่อยก็คงกลมกล่อม อย่างนี้ไม่มีวันมีสุขได้หรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่กินก็ทุกข์ ยืนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ ไปอยู่ที่ไหนทุกข์ก็ตามไปทุกที่เพราะใจไม่รู้จักพอ ใจไม่รับความเรียบง่าย หรือใจไม่รับสิ่งที่เกิดสิ่งที่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นกัน อยากหนีอย่างไรก็ต้องเจอ นั่นก็คือเกิดมามีชีวิตเราอยากมีความสุขแต่ไม่อยากมี ความโศก อยากมีรอยยิ้มไม่อยากมีความเศร้า ใช่ไหม (ใช่)  มีรักที่ใดก็ต้องมีเศร้าและโศกที่นั่น ถูกไหม ฉะนั้นไม่รักใครเลยจะได้ไม่เศร้า ไม่โศก ไม่ทุกข์ ดีไหม (ดี)  ทำได้หรือเปล่าเถอะ
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญถ้าไม่อยากทุกข์และอยากเอาชนะความทุกข์ให้ได้ สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างก็คือควบคุมตา หู จมูก ปาก และใจให้ดี เพราะถ้าควบคุมไม่ดีแล้ว ทั้งตา หู จมูก ปาก และใจจะนำพาชีวิตเราให้ถูลู่ถูกังไปกับความทุกข์ไม่จบสิ้น
“อยู่ร่วมกันอย่าว่ากันให้รักกัน อย่าหักหาญน้ำใจกันด้วยลมปากเหม็น”
มนุษย์มีอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดนั่นก็คือปาก ฆ่าคนได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จริงไหม (จริง)  แม้ตัวจะไม่อยู่แต่ปากนั้นก็ไปได้ไกลมาก  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมต้องระวังปากเหม็นๆ นี้หน่อยนะ ไม่อย่างนั้นปากเหม็นจะเป็นอาวุธที่คมกริบ ฟันทีไรคนก็เจ็บ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ทุกคนล้วนมีวาจาที่เชือดเฉือนทำร้ายคนได้ ถ้าพูดไม่รู้จักคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือคิดให้หนักๆ แล้วพูดก็ทำได้เหมือนกัน ใช่ไหม
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมไม่เข้มงวดผู้อื่นแต่เข้มงวดตัวเอง เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าเราเป็นคนเล่นกายกรรม  เรายืนอยู่ตรงนี้  และเอาเด็กอีกคนอยู่บนบ่าเรา สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดคืออะไร หันไปบอกเขาว่ายืนดีๆ หรือหันมาบอกเราว่ายืนดีๆ  เราควรบอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นเรื่องเกี่ยวพันกัน บางทีเราคิดว่าสิ่งที่เราทำหวังดีกับเขา แต่อย่าลืมนะว่าความหวังดีก็อาจจะทำให้เขานั้นล้มลงได้เพราะเรา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทำตัวเองให้ดีดีกว่า เป็นคนที่พูดแต่สิ่งที่ดีดีกว่า อย่าพูดสิ่งร้ายของใครเลย เพราะขนาดตัวเราเราก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดเรื่องร้ายของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ควรส่งเสริมกันคือเรื่องดีๆ สิ่งที่ควรลืมเลือนไปจากใจคือความไม่ดีของผู้อื่น เราอยากมีหัวใจอันบริสุทธิ์แล้วเก็บแต่สิ่งที่ดี หรือมีหัวใจอันบริสุทธิ์แต่เก็บสิ่งที่เน่าเหม็นของคนอื่นล่ะ
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม ใจเย็นๆ ยิ้มเยอะๆ ได้ไหม (ได้)  เป็นสิ่งที่ไม่ยากเลยใช่ไหม (ใช่)  ใจร้อนวู่วามก็มีแต่เสียหายและเจ็บปวด ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา หรือพูดน้อยหน่อยทำเยอะหน่อย อันไหนดีกว่ากัน พูดน้อยหน่อยทำเยอะหน่อยดีกว่าใช่ไหม (ใช่)  ใจร้อนวู่วามใครล่ะเจ็บปวด (ตัวเราเอง)  ใจร้อนหน้าบึ้งใครล่ะทุกข์ (ตัวเราเอง)  แล้ววันหนึ่งเรายิ้มกี่ครั้งเชียว ยิ่งกับคนในบ้านยิ้มไหม (ไม่ยิ้ม)  บางคนแปลกขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่กับคนนอกบ้านดี แต่อยู่ในบ้านไม่รู้จะอมหมากอมพลูไว้ทำไม ทำไมใจร้ายกับคนในบ้านจังเลย อยู่กับคนอื่นยิ้มพอเข้าบ้านหน้าตาบึ้งตึง ใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นทำอะไรไม่ได้ยิ้มเข้าไว้ อะไรๆ ก็ยิ้ม ใช่ไหม (ใช่)  อย่าทำปากตกนะ เดี๋ยวเขาบอกว่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งหน้าเด็กทำไมเธอดูแก่ ว่าใครไม่ได้นะต้องโทษตัวเราเอง
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ ขอให้สมปรารถนากับความตั้งใจกับการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนะ เรามาไม่ให้ลาภไม่ให้หวยไม่ให้เลขเด็ด ไม่มีรักษาโรค เพราะรอยยิ้มจะช่วยทำให้เรามีชีวิตที่ยืนนาน จิตใจที่สวยงามจะทำให้เราอายุมั่นขวัญยืน ใช่ไหม (ใช่)  คนที่เอาแต่หน้าบึ้งคิดร้ายอยู่ไม่ยืดนะ แต่คนที่รู้จักยิ้มแย้มทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส มองโลกในแง่ดีจะอายุยืนและเป็นที่รักของทุกผู้คนใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักดูแลตัวเองให้เป็น ความสุขไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกล ความสุขไม่ใช่เกิดจากผู้อื่นมาเติมเต็ม แต่ความสุขเกิดจากเรารู้จักเติมเต็มตัวเองให้เป็น และส่งเสริมผู้อื่นให้เป็น อย่าหวังว่าจะได้ความรักจากคนอื่นถ้าตัวเองยังรักตัวเองไม่เป็น ท่านจะไม่มีวันพบความสุขได้จากความรักเด็ดขาด เชื่อเราเถอะ ถ้าท่านยังรักตัวเองไม่เป็น ยังดูแลตัวเองไม่ได้ การมีคนอื่นมาเติมความรักให้ ท่านก็จะรักษาความรักนี้ได้ไม่ยืนนานหรอก จริงหรือเปล่า (จริง)
รักตัวเองให้เป็น อภัยตัวเองให้ได้ และนำพาชีวิตตัวเองให้ถูก การที่จะมีคนมารักเพิ่มอีกคนหนึ่ง หรือนำพาคนที่น่ารักอีกคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ามีชีวิตแล้วยังรักตัวเองไม่เป็น อภัยตัวเองไม่ถูก นำพาชีวิตตัวเองให้ดีไม่ได้ ไปเกี่ยวมาอีกคนหนึ่งก็หาปัญหามาใส่หัวเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)

ฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดีนะ ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว ฟันฝ่าต่อไป อย่ากลัวความทุกข์ยากนะ ความทุกข์ยากเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมต้องเดินเข้าหานะ มนุษย์เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญต้องรีบเดินเข้าไปช่วย ไม่ใช่เดินหนีตัวใครตัวมันนะ นี่แหละเรียกว่าจิตโพธิสัตว์ ขอให้ทุกท่านมีอยู่ในหัวใจนะ ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ไปแล้วนะ เหนื่อยหน่อยแต่ก็ขอให้กลับมามีพลังใหม่นะ

อ่านต่อ...

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

2552-04-13 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร



西元二○○九年歲次己丑三月十八日 仙佛慈悲訓
วันจันทร์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ฝึกงูใหญ่เป็นมังกรผงาดฟ้า ฝึกนกเป็นหงส์กล้าสง่าศรี
ฝึกมนุษย์ให้เป็นปราชญ์เป็นเมธี ฝึกคนดีให้ยิ่งใหญ่ด้วยปณิธาน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดา มองดูศิษย์รักด้วยความเป็นห่วง


ทำงานฟ้าด้วยศรัทธาและสองมือ ขุมพลังคือสามัคคีเป็นที่ตั้ง
งานทุกงานขัดเกลาตนไปพลาง ใจฟ้าตั้งไม่ติดอุปสรรคใด
ใช้ปัญญาแย้งขัดคนไม่แหนง ใครพลิกแพลงเป็นแกร่งสิ้นสงสัย
ยิ่งขึ้นมาเป็นอาจารย์บรรยายไซร้ ยิ่งต้องอ่อนน้อมใจเป็นสำคัญ
ฮา ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เกิดเป็นคนต้องมีความมุ่งมั่นที่สร้างสรรค์และยิ่งใหญ่ จะเป็นนกต้องเป็นนกที่ยิ่งใหญ่และบินให้สูง ถ้าจะเป็นงูใหญ่ก็ต้องเลือกเป็นมังกรที่บินให้ได้ ถ้าบำเพ็ญไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีแต่ปณิธานแต่ไร้หัวใจอันมุ่งมั่น สิ่งที่ศิษย์ตั้งนั้นทำไม่ถึง ไปไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์มาหาศิษย์ อาจารย์อยากถามปณิธานศิษย์คืออะไร มารับปณิธานวันนี้ หัวใจอะไรที่มุ่งมั่น มุ่งมั่นจะทำอะไร เข้าใจคำว่าบำเพ็ญธรรมหรือไม่  ทำไมเราต้องบำเพ็ญ ทำไมเราต้องช่วยคน การช่วยคนข้างนอกกับการปกโปรดยุคสามนี้ต่างกันอย่างไร ตอบคำถามอาจารย์ได้ไหม ดีแล้วทำไมต้องบำเพ็ญ ศิษย์ที่เริ่มต้นต้องตอบคำถามของอาจารย์ให้ได้ จำได้ไหมว่าอาจารย์ถามว่าอะไรบ้าง เพราะในห้องนี้มีผู้เพิ่งเริ่ม มีผู้เพิ่งเดินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว กับมีคนเก่า
ฉะนั้นอาจารย์จะถามแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม นั่นเป็นของคนกลุ่มแรก บำเพ็ญคืออะไร ทำไมเราต้องบำเพ็ญ แล้วทำไมเราต้องช่วยคน เราช่วยคนปกโปรดยุคสามครั้งนี้ต่างกับช่วยคนข้างนอกอย่างไร ศิษย์ต้องหาคำตอบให้ได้ ถ้าศิษย์หาคำตอบนี้ไม่ได้ ศิษย์จะเป็นกระบอกเสียงแทนฟ้าดินได้อย่างไร ถูกไหม (ถูก)  นี่คือคำถามเริ่มต้น คำถามพื้นฐานที่ศิษย์ต้องตอบให้ได้
กลุ่มที่สอง  พูดได้ดีแล้ว พูดได้เก่งแล้ว ตอบอาจารย์หน่อย อะไรเรียกว่าผู้บำเพ็ญ หินกับหยกต่างกันอย่างไร ทำไมเปรียบผู้บำเพ็ญเป็นหยก ปุถุชนกับกัลยาณชนต่างกันตรงไหน ใจฟ้ากับใจมนุษย์เป็นอย่างไร ถ้าบำเพ็ญมาในระดับหนึ่งยังแยกไม่ออกซึ่งสองความหมายที่อาจารย์พูดนี้ ศิษย์ต้องทบทวนอย่างหนัก ศิษย์เป็นอาจารย์บรรยายธรรมมาได้อย่างไร ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์ยังไม่ลงลึกนะ
กลุ่มสุดท้าย อาจารย์จะให้ใคร ศิษย์ต้องรู้แล้วนะ นั่นคือพวกที่บำเพ็ญมานานแล้ว อยู่ข้างหน้าเขา ตอบอาจารย์หน่อย คำว่า "เอกภาพ" คืออะไร ไม่ต้องออกนอกบ้านก็สามารถรู้ถึงสรรพสิ่ง รู้หนึ่งแจ้งถึงสิบคืออะไร ฉะนั้นศิษย์ต้องตอบอาจารย์ให้ได้ วันนี้อาจารย์ให้การบ้านที่ศิษย์ต้องไปลงแรง หาคำตอบให้เจอ บรรยายธรรม ธรรมตรงไหน หัวใจแห่งการบรรยายธรรมคืออะไร คงไม่ต้องให้อาจารย์พูด ศิษย์ก็รู้นี่ การอยู่ร่วมกับคนเป็นเรื่องทรมาน การมีชีวิตเป็นเรื่องที่ทรมาน แต่การไม่รู้แจ้งเห็นจริงไม่สามารถตัดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอาจารย์ว่าทรมานยิ่งกว่าการอยู่ร่วมกับคนในโลกอีกนะ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์เบื่อที่จะต้องมาเจอคน ศิษย์เบื่ออุปนิสัยของคน ทำไมศิษย์ไม่เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดที่มันน่าเบื่อยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ ชีวิตนี้ก็ทุกข์มากแล้ว แต่สิ่งที่ทุกข์หนักหนาสาหัสสากรรจ์ก็คือการไม่รู้หนทางหลุดพ้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์จะกลับมาใหม่ อาจารย์คงไม่ทำลายความสุขของศิษย์หรอกนะ  ตอบคำถามของอาจารย์มาให้ได้นะ ตัวแทนแห่งฟ้า ตัวแทนแห่งดิน หงส์และมังกร ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ อาจารย์พร้อมเมื่อไหร่ อาจารย์จะมาหาศิษย์
วันอังคารที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


รับหน้าที่บรรยายธรรมแทนฟ้า เที่ยงธรรมพิสุทธิ์กล้ากระจ่างชัด
ความสำรวมเคร่งครัดอย่าได้ขาด ธรรมวางจัดในชีพตนไม่เสื่อมคลาย
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อินอีกคราหนึ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักหิวกันหรือยัง


ทำงานต่อสานกันอย่าวู่วาม โปรดยุคสามมุ่งเก่าใหม่ผสาน
ปณิธานไม่ตามติดอ่อนมุ่งมั่น คิดต่างกันซ้อมแรงจิตกุศล
อะไรต้องก็เมื่อไรก็เมื่อนั้น เมื่อพร้อมกาลบ้านเดิมสุดถนน
ผลสุกงอมกลับรวมชีวิตต้น เดินอยู่บนสัจธรรมไม่เปลี่ยนใจ
เขาก็เรากันและกันเอ็นดู สามัคคีแตกเป็นหมู่จิตย่อมส่าย
คนเพิ่มต่อไม่ใจกว้างอย่างไร คนเริ่มแรกเมื่อใหม่ต้องประคอง
หมั่นส่งเสริมบำเพ็ญกันอย่างมีหลัก บรรยายธรรมใช้ปากย่อมบกพร่อง
ยึดหลักธรรมนำพาอย่างคล้องจอง ท่วงทำนองท่าทีงามผึ่งผาย
ฮา  ฮา  หยุด


เจี่ยง‍ซือ จึงจะสามารถที่จะนำพาให้ผู้อื่นได้

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้ผู้เขียนพระโอวาทบนกระดานเป็นผู้แต่ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์คิดว่าอาจารย์มาครั้งนี้ ศิษย์คงพร้อมที่จะตอบคำถามอาจารย์ได้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม กินไม่ใช่เพื่อหวังอิ่ม อยู่ไม่ใช่เพื่อหวังสบาย จุดหลักในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคือ รักษามโนธรรมสำนึกไม่ให้สูญหาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ศิษย์กินก็ต้องให้อร่อย แล้วก็ต้องอิ่ม หรือไม่อิ่มไม่เป็นไรแต่ต้องอร่อย อยู่ลำบากก็อยู่ไม่ค่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ อาจารย์น่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ลองนอนไม่มีเสื่อไม่มีหมอน ใช้แขนต่างหมอน ใช้ฟ้าเป็นผ้าห่ม ศิษย์จะนอนกันหลับลงไหม บ้านเมืองวุ่นวายขนาดนี้ สิ่งที่ทุกคนเรียกร้องและปรารถนาคือ ความสงบ ผู้คนหลงมัวเมาขนาดนี้ สิ่งที่ประชาชนและทุกคนเรียกร้อง ก็คือความถูกต้องและดีงาม ทำไมปราชญ์โบราณจึงไม่กลัวความยากลำบาก ทำไมปราชญ์โบราณจึงไม่หน่ายท้อ ทำในสิ่งที่ยากทำ รู้ว่าทำแล้วไม่มีวันสำเร็จก็ยังอยากจะทำ ก็เพราะว่า เผื่อว่าพุทธบารมีในการฝึกฝนบำเพ็ญตนนั้น จะช่วยคลี่คลายความทุกข์ยากในโลกให้เป็นความสงบ เผื่อจะน้อมนำหัวใจคนที่ลุ่มหลง ให้กลับมาเป็นผู้รู้ตื่น ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ต้องตอกย้ำความรู้ เพื่อที่จะได้เอากลับไปเป็นพลังในการแปรเปลี่ยนผู้คน ให้ตื่นจากความหลง และช่วยกันคลี่คลายบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ อย่ากลัวความยาก อย่ากลัวความลำบาก เดินผ่านคมมีดนั้นง่าย แต่ยอมอยู่เพื่อรักษามโนธรรมสำนึกนั้นยาก ความถูกต้องชอบธรรมต้องเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องรักษาให้ได้ ทุกขณะชีวิตไม่เคยละเมิดมโนธรรมสำนึกความดีงามในหัวใจ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต ถูกต้องแล้วหรือที่รักษากายแต่ไร้หัวใจอันดีงาม ถูกต้องแล้วหรือที่ห่วงร่างกายแต่ไม่ห่วงหัวใจที่ควรจะมีมโนธรรมสำนึกมากกว่านี้ อาจารย์รู้ใครๆ ก็รักร่างกาย ศิษย์ก็รัก แต่ถ้ารักร่างกายแล้วทำลายหัวใจ อาจารย์ขอเลือกมีหัวใจอยู่แต่ไร้ตัวดีกว่า ถูกไหม (ถูก)
ศิษย์รู้ไหม ความรู้ความเข้าใจของศิษย์หนึ่งคน ยังประโยชน์ต่อหมู่ชนอีกหมื่นพันคนได้ แต่ถ้าศิษย์ไม่รู้ไม่เข้าใจ ศิษย์จะช่วยใครสักคนหนึ่ง ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด ถูกหรือไม่ (ถูก)  บำเพ็ญเดินสามก้าวล้มหกก้าว ยืนหนึ่งครั้งล้มสิบครั้ง ศิษย์ยังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วเป็นอาจารย์บรรยายธรรมอย่างไรล่ะ ตัวเองยังยืนได้ไม่มั่นคง
ทำไมอาจารย์ถึงต้องถามว่าบำเพ็ญคืออะไร ทำไมเราต้องบำเพ็ญ แล้วทำไมเราต้องช่วยคน เพราะจิตเดิมแท้ของศิษย์ทุกคนคือ เห็นคนทุกข์แล้วทนนิ่งดูดายไม่ได้ นี่คือสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ทุกคน ถามศิษย์ลึกๆ ทุกคนสิ แต่เพราะอะไรมันถึงหายไป ถ้าสัญชาติเดิมของศิษย์หายไป ความเป็นพุทธภาวะจะมีได้อย่างไร จริงไหม ถ้าศิษย์สามารถทนนิ่งดูดายท่ามกลางที่คนอื่นเขาทุกข์ทรมานได้ ศิษย์จะเรียกว่าผู้บำเพ็ญได้อย่างไร ถ้าห่วงตัวเองมากกว่าห่วงคนอื่น ศิษย์รับหน้าที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมไปทำไม รับแล้วฆ่าตัวเองตายชัดๆ ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ไม่ได้ต้องการอยากได้กระดาษคำตอบเลย แต่อาจารย์อยากได้คำตอบจากหัวใจของศิษย์ทุกคน เพราะคำตอบนั้นจะเป็นคำตอบที่อยู่คู่กับศิษย์และเป็นหลักคุ้มครองศิษย์ไปตลอดชีวิต เมื่อไหร่ศิษย์ล้า เมื่อไหร่ศิษย์ท้อ ความเข้าใจนั้นแหละจะฉุดดึงให้ศิษย์กลับคืนขึ้นมา และยืนอย่างเข้มแข็ง แต่ถ้าศิษย์ฝากความรู้ไว้กับหนังสือ ฝากความเข้าใจไว้กับสมุด เมื่อไหร่ศิษย์ไม่อ่าน ศิษย์ก็ยืนไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  มีใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจได้ไหม ว่าความมุ่งมั่นที่แท้จริงของศิษย์คืออะไร เอาจากใจ กลั่นออกมาจากใจ กี่ปีๆ ก็ไม่เคยลืมเลือน
เราบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร เพื่อเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือ ห่วงแต่ทุกข์ของตัวเองหรือ บำเพ็ญธรรมแล้วหมั่นศึกษาอย่างไม่หน่ายท้อ และพยายามทำสิ่งที่ศึกษาให้ปรากฏเป็นจริง ไม่ให้รูปลักษณ์ แสง สี เสียง ในโลกเป็นตัวถ่วงความเจริญของจิตใจ ผลประโยชน์ไม่สามารถทำลายคุณธรรม ความตายไม่ทำให้อุดมคติสูญหาย เช่นนี้แล้วยังต้องกลัวอะไรกันอีกเล่า ถูกไหม (ถูก)
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่าศิษย์ต้องเป็นหยก อย่าเป็นหิน เพราะ
คุณสมบัติของหยก ๖ ประการ ไม่ต่างอะไรกับกัลยาณชน สิ่งที่ศิษย์ตอบมานั้นเอามาจากไหน
๑) สีของหยกมองกี่ครั้งๆ ก็ดูเย็นตา
๒) ความเหนียวของหยกคือ สติปัญญาของกัลยาณชน มองดูธรรมดาแต่ยิ่งวิเคราะห์ยิ่งมองค้นหาก็กลับรู้ว่าเขามีความรู้ที่ลุ่มลึกแอบแฝงอยู่ ดังที่ศิษย์พูดกันว่า นำประกายไม่สำแดงเด่น มองดูเหมือนคนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วมีความรู้เต็มเปี่ยม ไม่เคยอวดอ้างตน
๓) หยกแท้เคาะอย่างไรก็ใส ไกลใกล้ก็ได้ยิน หมายความว่า วาจากล่าวต้องสุภาพ น่าฟัง จับใจ แม้เสียงไม่ได้ยิน แต่ชื่อของการพูดของเขาก็สะท้อนใจว่า เมื่อไหร่ถ้าคนนี้ขึ้นพูด เรารู้เลยว่าเขาต้องพูดได้ดี หรือเมื่อไหร่ที่ผู้นี้พูด เรารู้ได้เลยว่าเขาพูดได้น่าฟัง ไกลใกล้ขนาดไหนเขาก็ได้ยิน
๔) คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของหยก ดัดงออย่างไรก็ไม่แตกหักง่าย มันคือความกล้าหาญ อดทนต่อความยากลำบาก แม้เจอความทุกข์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ยังรักษาความมุ่งมั่นในหัวใจ แม้ได้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ลุ่มหลง สูญเสียปณิธานความตั้งใจ
๕) หยกแม้จะมีเหลี่ยมมุม แต่ก็ไม่เคยทำร้ายผู้ใด นั่นคือบารมี นั่นคือความดีงาม ที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
๖) หยกถ้ามีตำหนิจะมองเห็นได้ชัด นั่นคือกล้ารับฟังคำกล่าวตักเตือนของผู้อื่นโดยไม่โกรธแค้นชิงชัง คนที่กล้ารับฟังคำตักเตือนของผู้อื่นจะเต็มเปรียบได้กับมหาสมุทรที่รองรับทุกสิ่ง หมู่มวลความรู้จะไหลหลั่งมาสู่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ตอบได้ใกล้เคียงอาจารย์บ้างไหม เดี๋ยวอาจารย์พูดจบอาจารย์จะเรียกศิษย์ตอบ วันนี้ตอบไม่ได้ ไม่ต้องกินข้าวไหวไหม (ไหว)  เสียงแค่นี้เองหรือ อาจารย์เพิ่งบอกไม่ใช่หรือ ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญไม่หวังเพื่อจะกินอิ่ม อยู่ก็ไม่ได้หวังเพื่อสบาย สิ่งสำคัญคือรักษามโนธรรมสำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องกิน แล้วก็ไม่ต้องนอน ดีไหม (ดี)  สิ่งที่ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ สำรวมระวัง พูดแล้วต้องทำให้ได้ พูดแล้วทำไม่ได้อย่าพูด การไม่ระวังคือภัย พูดมากคือปัญหา คุมสติตัวเองไม่ได้ มักจะไม่พบจุดจบที่ดี หวังแต่เอาชนะ หวังแต่เอาได้ดี สักวันย่อมสูญเสีย ฉะนั้นกัลยาณชน หัวใจต้องเที่ยงธรรม การปฏิบัติต่อผู้อื่นต้องสำรวมอ่อนน้อม และรู้จักเคารพ เดินอยู่บนความเมตตาหรือที่ศิษย์ชอบพูดกันว่า ทุกย่างก้าวเปรียบเหมือนน้ำแข็งบาง ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมไม่รู้จักระมัดระวัง คนที่จะต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองกระทำก็คือคนที่ไม่ระวังนั่นเอง ใช่ไหม
อยากนั่งหรือยัง (ยัง)  อาจารย์ตอบคำถามให้ศิษย์ไปกี่ข้อแล้วรู้ไหม สติอยู่กับตัวหรือเปล่า ตอบไปกี่ข้อแล้ว (สองข้อ)  เมื่อสักครู่ตอนที่ศิษย์กำลังฟังหัวข้ออยู่นั้น อาจารย์ได้ให้กลอนไว้นะ หวังศิษย์จะทำกันให้ได้ หวังโดยไม่อยากยึดติดความหวัง เป็นความหวังที่ว่างเปล่าเหลือเกิน จริงไหม เป็นความหวังที่ว่างเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "ผนึกกำลังกัน")
เหลืออีกไม่กี่คำตอบที่อาจารย์อยากจะพูด อาจารย์ลองหันกลับมาถามศิษย์บ้างดีกว่านะ ปิดสมุด ศิษย์ไม่ใช่นักเรียนแล้วนะ จบไปแล้วศิษย์จะถือสมุดขึ้นไปพูด ถือสมุดไปบรรยายให้คนอื่นฟังจริงๆ ได้หรือ (ไม่ได้)
คำถามที่อาจารย์ยังไม่ตอบ ใครจะตอบให้อาจารย์ฟังได้บ้างหรือจะให้อาจารย์เรียกว่าอย่างไร (คำถามที่เมื่อวานพระอาจารย์เมตตาคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรมในเรื่องของหัวใจในการบรรยายธรรมคืออะไร ขอตอบว่า หัวใจในการบรรยายธรรมคือ พูดได้ ทำได้ และพูดไม่ผิดต่อหลักธรรม ขอพระอาจารย์เมตตา)  นั่นคือหัวใจของทุกๆ คนที่จะเป็นอาจารย์บรรยายธรรม พูดได้ ต้องทำได้ ใช่หรือไม่ แต่หัวใจของศิษย์จริงๆ คืออะไร เราต้องการเป็นแค่อาจารย์บรรยายธรรมเพื่อบรรยายธรรมเท่านั้นหรือ หัวใจของศิษย์คืออะไร (ประกาศธรรมแทนฟ้า)  ประกาศธรรมแทนฟ้า แต่ถึงเวลาควรพูดศิษย์ไม่พูด ถึงเวลาไม่ควรพูดศิษย์กลับพูด มักเป็นอย่างนั้นทุกทีใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องแยกให้ออกนะเวลาไหนสมควรพูด เวลาไหนไม่สมควรพูด
จริงๆ แล้ว หัวใจของการเป็นผู้บรรยายธรรม อาจารย์ไม่อยากให้คำตอบเพราะมันเป็นคำตอบที่ศิษย์ต้องไปตอบกันเอาเอง แต่ละคนต้องมีคำตอบในหัวใจของตัวเอง ศิษย์จะเป็นอาจารย์บรรยายธรรมเพื่ออะไร หัวใจอะไรของการเป็นอาจารย์บรรยายธรรม อย่าได้แค่หลักการแต่ไม่ลงแรงจริงที่ตัวตน
ศิษย์มีความมุ่งมั่นจะทำอะไร (ศิษย์มุ่งมั่นจะแบ่งเบาภาระอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม)  ตอบได้ดี แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมไม่อยู่ ศิษย์ก็ยังคงต้องรักษาความมุ่งมั่นของศิษย์ต่อไปนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามีผู้นำแต่ถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักนำตัวเองให้เป็นด้วย คนบางคนรู้จักแต่เดินตามแต่ถึงเวลานำตัวเองไม่ได้
อาจารย์บรรยายธรรมต้องน้อมนำเบื้องบนและนำพาเบื้องล่าง เป็นเหมือนตัวประสานที่ดี
คำว่า “รู้หนึ่งแจ้งถึงสิบ” นั้นหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าแม้อาจารย์ที่อยู่เบื้องหน้าถ่ายทอดคำสั่งอะไรลงมา ศิษย์ก็สามารถแจกแจงรายละเอียดให้ผู้น้อยได้ฟัง แต่ถ้าเกิดพูดถึงการบำเพ็ญภายในหัวใจ รู้หนึ่งแจ้งถึงสิบหมายความว่าอย่างไร เพราะมีตัวตนจึงเกิดสรรพสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไร้ตัวตนสรรพสิ่งก็ไม่เกิด
“ไม่ต้องออกนอกบ้านก็เข้าใจทุกเรื่องราว” นั่นหมายความว่าอย่างไร ตอบอาจารย์ได้ไหม (ถ้าจิตเราสอดประสานกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่แบ่งแยก เขา เรา ฉัน สัตว์ คน สิ่งของ ไม่มีความยึดติดเหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จิตเราก็คือสภาวะธรรมชาติ หรือสภาวะพุทธะ เราไม่อาจแยกจากกัน เมื่อนั้นแล้วธรรมชาติภายนอกกับตัวฉันก็คือสิ่งเดียวกัน เมื่อร่างกายของฉันเป็นอะไรไป เราก็จะรู้ได้ ตัวเราจะรู้ได้ อย่างเช่น มือเราคัน เราก็จะรู้ว่ามือเราคัน เหมือนกันถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับธรรมชาติแล้วไซร้ เมื่อธรรมชาติเป็นอย่างไรตัวเราก็จะสามารถรู้ ล่วงรู้ได้ถึงความเป็นไปของธรรมชาติ)  ศิษย์กำลังตอบคำว่าเอกภาพนะ
ไม่ต้องออกนอกบ้านรู้ถึงสรรพสิ่ง นั่นหมายความว่า ตัวเราคือสภาวธรรม พุทธจิตเดิมแท้คือสภาวธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีสภาวธรรม ฉะนั้นไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโลก ไม่มีตัวตน เข้าใจไหม นั่นก็คือแม้จะอยู่ในบ้านเราก็เข้าใจสรรพสิ่งได้ เพราะว่าเรารู้จักตัวตนที่แท้จริง  แล้วสรรพสิ่งต่างอะไรจากตัวตนที่แท้จริง เราเห็นใบไม้ร่วง ชีวิตเราก็ร่วงหล่น  หรือเราเห็นผมดำเปลี่ยนเป็นผมขาว เราก็รู้ว่าสรรพสิ่งนั้นต้องเปลี่ยนแปลง  เรารู้ว่าชีวิตเราทนนิ่งอยู่ดูดายไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนในโลกก็เหมือนกัน
ศิษย์รักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร สภาวะข้างนอกก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น  ถ้าศิษย์เข้าใจหัวใจแรกเดิมของตัวเอง ศิษย์ก็จะเข้าใจมวลมนุษย์ทุกผู้คน ถ้าศิษย์สามารถฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้กลับมาปรากฏ ศิษย์ก็จะสามารถยังประโยชน์ทั่วแผ่นดิน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นหน้าที่ของการเป็นผู้บรรยายธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ถ้าศิษย์ไร้ความเข้าใจแล้วศิษย์จะช่วยใครได้แม้แต่ตัวเอง
ใจฟ้าเป็นอย่างไรล่ะ แล้วใจมนุษย์หรือใจศิษย์ล่ะ ใกล้เคียงกับฟ้าบ้างหรือยัง  ฟ้าไม่เคยยึดมั่นหมาย แต่มนุษย์ทำอะไรยึดมั่นหมาย ฟ้ามีอิสรเสรีเคลื่อนคล้อยไปตามธรรมชาติ แต่มนุษย์กลับมีพันธะผูกพัน
อาจารย์ตอบคำถามศิษย์เกือบหมดแล้วนะ แต่ศิษย์ตอบคำถามของอาจารย์ได้หมดหรือยัง  กลับไปลงแรงให้มากกว่านี้ ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป อาจารย์ก็คงไม่ต้องหวังอะไรแล้ว ใช่ไหม กิเลสอารมณ์ยังตัดกันไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อัตตาตัวตนทิฐิก็ยังลดกันไม่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไหร่ล่ะเมื่อไหร่จะทำได้
รักตัวเองไหม รักแล้วปล่อยให้ตัวเองเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ศิษย์รักตัวเองจริงๆ หรือ  ห่วงแต่ตัวแต่ไม่ห่วงใจ ห่วงแต่ตัวแต่ไม่ห่วงวิญญาณของตัวเองที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก  พยายามหน่อยนะศิษย์นะ
“หมั่นเพียรวิริยะก้าวหน้า จริงจังไม่เกียจคร้าน” คือประโยคสุดท้ายที่อาจารย์อยากให้ศิษย์  ใครรู้ว่าทำข้อสอบอาจารย์ไม่ได้ กลับไปซ่อมให้ดี  ผ่านไม่ผ่านศิษย์รู้แก่ใจตัวเอง ไม่ต้องให้อาจารย์ชี้ ไม่ต้องให้อาจารย์เรียก
อาจารย์คงต้องไปแล้ว มองศิษย์ให้เต็มตาอีกครั้งหนึ่ง เบื้องหน้าก็ใกล้ร่วงโรยเต็มทีแล้ว  นำพาตัวเองก็ยากแล้ว นำพาผู้อื่นยิ่งยากใหญ่ แต่ก็หวังว่าศิษย์ต้องทำให้ได้ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ไปไหน อยู่ที่ศิษย์ทุกคน แล้วหัวใจยิ่งใหญ่ได้อย่างไรถ้าไม่ใช่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
ตอกย้ำปณิธานความมุ่งมั่น ตอกให้ติดตราตรึงใจไม่มีวันลืมเลือน แม้จะล้มหรือลุกเป็นพันครั้ง ศิษย์ก็จะกลับมายืนเข้มแข็งได้ใหม่ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  หัวใจที่ไม่ท้อคือหัวใจที่กล้าแกร่ง จิตใจที่รู้จักสงสารผู้อื่นมากกว่าสงสารตัวเองคือจิตใจของผู้บำเพ็ญธรรมนะ ทำให้ได้
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระโอวาทศิษย์พี่เม่าเถียน


บุคลิกฝึกภายในงามภายนอก น้ำเสียงท่าทีบอกกิริยา
หยาบเกินไปไม่อาจเหนือเวลา ละเอียดเกินไม่อาจคลาคล่ำใช้งาน
เราคือ
เม่าเถียนศิษย์พี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนก้าวหน้าบ้างหรือไม่
พระโอวาทศิษย์พี่เม่าเถียน
วันนี้น้องที่มานั่งอยู่ที่นี่ก็ถือได้ว่าน่านับถือน้ำใจ สมควรแก่การตั้งปณิธานใดใดที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ เพราะว่าในขณะนี้กรุงเทพฯ วุ่นวายน้องทุกคนก็ยังเสียสละที่จะนั่งอยู่ที่นี่ได้ ถือว่าเป็นผู้ที่บุกน้ำลุยไฟไม่ครั่นคร้ามเช่นเดียวกัน ฉะนั้นในวันนี้การตั้งปณิธานนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การตั้งปณิธานที่สำคัญก็หมายความว่าตัวเองรับหน้าที่ที่สำคัญจึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนตรวจสอบ ย้อนมองส่องตนอยู่เสมอ อย่าได้เป็นผู้ที่ย้อนมองส่องตนเพียงนิดหน่อย หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมากหน่อย ทำให้ตนเองนั้นไม่สามารถที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น  เมื่อยามเป็นญาติธรรมจะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเป็นอาจารย์บรรยายธรรมหรือว่าที่อาจารย์บรรยายธรรมแล้วไม่ก้าวหน้าไม่ได้  ฉะนั้นในวันนี้ถือว่ามีแต่ทางเดินไปข้างหน้า ไม่มีทางถอยหลัง  เดินหน้าเพื่อที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ถอยหลังผิดปณิธานก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ อาจถึงขนาดตกนรกไป เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
บางคนเห็นการเป็นเจี่ยงซือเพียงแค่มีศักดิ์มีศรี มีศักดา มีอำนาจ ฉะนั้นนี่เป็นการเข้าใจที่ผิด เพราะว่าการเป็นเจี่ยงซือคือการแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น ฉะนั้นไม่ว่าในขณะหลับขณะตื่น ขณะที่อยู่คนเดียวหรือขณะที่อยู่กับคนจำนวนมากก็จำเป็นที่จะต้องมีลักษณะแห่งเจี่ยงซือ ต้องมีวิญญาณแห่ง
อาจารย์บรรยายธรรมบางท่าน เตี่ยนฉวันซือที่พูดบรรยายธรรมบางท่านมิใช่มีแค่มนุษย์ฟัง ถึงขนาดมีเทพเทวดาฟังก็ยังทำได้ แต่หากศิษย์น้องที่นั่งอยู่ในที่นี้คิดว่าที่เราพูดนั้นเราทำได้หรือไม่  ถ้าหากว่าเราพูดแล้วทำไม่ได้แปลว่า แม้กระทั่งตัวเราเองยังไม่ฟังตนเอง จะให้เทวดาที่ไหนมาฟัง จะให้ผีที่ไหนมาฟัง ถือว่าเป็นการที่ไม่เคารพตัวเองอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีดีเท่าไหร่ขอให้เอาออกมา แสดงออกมาด้วยการทำหน้าที่ของตน
จะบรรยายธรรมแต่ละครั้ง ไม่ใช่เห็นเพียงแค่กระดาษ ไม่ใช่เห็นเพียงแค่สแตนด์ หรือคนพูดและคนฟังเพียงไม่กี่คน เราต้องเห็นถึงความเป็นความตาย เห็นถึงการขึ้นเบื้องบนได้หรือไม่ของเวไนยสัตว์นั้นๆ ต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้ที่น่านับถือและน่ายกย่องแต่มิใช่จอมปลอม  ต้องพยายามแสดงจิตโพธิสัตว์และพุทธะออกมาจากภายใน จึงจะสามารถนำพาผู้อื่นได้  กล่าวเช่นนี้แล้ว น้องทุกท่านยังคิดว่าตัวเองเหมาะสมจะเป็นเจี่ยงซือหรือไม่ เหมาะไหม ไม่กล้าตอบแปลว่าไม่เหมาะใช่หรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นพี่สมมติใหม่ เจี่ยงซือทั้งห้องนี้ยกทิ้งให้หมด ทุกคนไม่ต้องเป็นเจี่ยงซือ ไม่ต้องเป็นเจี่ยงเอวี๋ยน ถามว่า ธรรมะเผยแพร่ไปให้ใครพูด ในที่สุดแล้วก็ยังจะต้องพึ่งพวกท่าน ประหนึ่งแล้วเหมือนเบื้องบนไม่มีทางเลือกแต่เบื้องบนก็ได้เลือกพวกน้องขึ้นมา  ขอให้น้องทุกคนทำตนเป็นทางเลือก ทำตนเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการถูกเลือกในครั้งนี้  แม้วันนี้คิดว่าตัวเองยังไม่ได้มาตรฐานก็ขอให้พยายามพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น อย่าเป็นคนที่ทิฐิสูง อ่อนน้อมต่ำ ขอให้เป็นผู้อ่อนน้อมมากๆ ให้คนมองแล้วเกิดความรู้สึกว่า นี่คืออาจารย์บรรยายธรรม มองเห็นได้ที่ไหน อาจารย์บรรยายธรรมนั้นมีบุคลิกภาพที่ดี มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ศีรษะจรดรองเท้า ทั้งการแต่งกาย ทั้งหน้าตา ทั้งน้ำเสียง ทั้งบุคลิก สิ่งที่พูดออกมา ย่อมแสดงถึงความเป็นเจี่ยงซือทั้งสิ้น จะว่าไปแล้วง่ายก็แสนง่าย ยากก็ตรงที่น้องนั้นไม่ยอมแก้ไขนิสัยความเคยชินผิดๆ ของตัวเองเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครคิดว่าตัวเองยังมีสิ่งที่ต้องแก้ไขยกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองจะกลับไปแก้ไขบ้างยกมือขึ้น หวังว่าน้องทุกท่านนั้นทำให้ได้อย่ามองเห็นว่าตัวเองนั้นด้อยค่า คนที่มาในวันนี้คงมีแต่คนที่เก่งและไม่เก่ง หวังว่าคงไม่มีคนเก่งที่ไม่ยอมทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเก่งมากไม่ยอมทำก็เหมือนอะไร มีก็เหมือนไม่มี ฉะนั้นในวันนี้บางคนเป็นคนเก่ง เก่งแล้วขอให้หัดให้ดีมากยิ่งขึ้นสามารถสื่อถึงธรรมะให้แทงทะลุไปถึงในจิตใจของเวไนยสัตว์ให้มาก ให้เขาสามารถตื่นรู้แม้เพียงขณะหนึ่ง ถือเป็นบุญกุศลมหาศาล แต่หากว่าพูดโดยไม่ได้เตรียมตัว หรือพูดไปตามเนื้อหาสาระที่ตัวเองรู้มา โดยไม่ได้นำพาถึงจิตใจไม่เอาจิตใจใส่ ไม่พูดด้วยความเข้าใจที่ออกมาจากใจของตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าจะพูดเป็นชั่วโมงก็หาได้เกิดกุศลใดไม่
วันนี้ศิษย์พี่มาที่นี่ด้วยอดใจไม่ได้ ใจหนึ่งอยากจะบอกให้น้องรับทราบถึงปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน ใจหนึ่งอยากจะจูงใจ อยากจะแนะนำ อยากโน้มน้าวน้องที่ยังไม่ก้าวหน้าดีให้ก้าวหน้าดีมากยิ่งขึ้น ใจหนึ่งอยากจะปรามน้องที่มีจิตใจไม่มั่นคงในทางธรรมให้มั่นคงในทางธรรมมากยิ่งขึ้น ใจหนึ่งอยากให้กำลังใจน้อง อันว่าพี่นั้นถือว่าเป็นพี่ที่เจอน้องมากที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลาย เจอน้องบ่อยที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลาย จึงเห็นน้องๆ นั้นได้ชัดมากยิ่งขึ้น  อยากจะเตือนสติน้องในหนทางชีวิตนี้ คนบางคนเกิดมามีคุณค่ามาก ตายไปแล้วไปไกลลิบลิ่วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด บางคนทำบ้างไม่ทำบ้างก็ครึ่งๆ กลางๆ ทั้งอยู่ในโลกและจากโลกนี้ไป การที่น้องนั้นจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นในเวลานี้ ฉะนั้นจึงขอให้ปล่อยวางเรื่องทางโลกให้มากและบำเพ็ญธรรมให้มากเช่นเดียวกัน งานธรรมะ งานฟ้า ให้มนุษย์นั้นเป็นผู้ทำ จึงหวังว่ามนุษย์เช่นน้องๆ นั้นสามารถที่จะทำได้ดีมากยิ่งขึ้น พัฒนาตัวเองอยู่เสมอๆ ทุกวันๆ ขอให้อ่านหนังสือธรรมะเพราะว่าความเข้าใจแห่งน้องนั้นมีความสำคัญต่อมวลเวไนยสัตว์เป็นอย่างยิ่ง วันไหนไม่อ่านหนังสือธรรมะจิตใจก็ตกต่ำมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เรานั้นเกียจคร้าน เวลาที่จิตท้อแท้ตกต่ำขอให้เอาธรรมะนั้นชำระล้าง
มีประสบการณ์มากกว่าก็ขอให้แนะนำคนอื่นด้วยความพินอบพิเทา ดังกลอนนำที่ศิษย์พี่ให้ไว้แล้ว มีคนที่หยาบมากเกินไป นิสัยเมื่อหยาบมากเกินไปเปรียบเสมือนจอบเสียม เมื่อใช้อย่างรุนแรงไม่กี่ครั้งก็มีอันต้องพังพาบ นิสัยคนละเอียดจู้จี้จุกจิกมากเกินไปก็เหมือนแจกันสลักเสลาสวยงาม แต่ทว่าไม่อาจจะทนการใช้งานอย่างหนักได้ จึงหวังว่าน้องทุกคนอย่าเป็นคนจู้จี้มากเกินไป ทั้งอย่าเป็นคนที่หยาบโลนมากเกินไป  ขอให้มีนิสัยแห่งผู้ดี  คำพูดหนักๆ ก็หาทางพูดให้เบา คำพูดเบาๆ ก็หาทางพูดให้เข้าใจและไม่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน
ในวันนี้ศิษย์พี่มาด้วยเวลาจำกัด เนื่องจากมาในเวลาที่น้องนั้นใกล้จะตั้งปณิธานแล้ว ถือว่าเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกันดีหรือไม่
ในวันนี้พูดถึงอาจารย์บรรยายธรรมมากแล้ว อยากจะเตือนเตี่ยนฉวันซือทุกท่าน เมื่อเป็นผู้นำแห่งอาจารย์บรรยายธรรมแล้ว จะรู้น้อยกว่าอาจารย์บรรยายธรรมมิได้ จำเป็นที่จะต้องรู้มากกว่า ฉะนั้นจึงเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้เช่นเดียวกัน
งานธรรมะเรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็คือการแพร่ธรรม เรื่องที่จุกจิกมากที่สุดก็คือเรื่องของคน แต่ว่าน้องทุกคนต้องทำทั้งสองอย่าง คืออยู่กับคนแล้วขอให้สมัครสมาสมานสามัคคีเหมือนดังพระโอวาทที่พระอาจารย์ให้ในวันนี้  ถ้าหากว่าผนึกกำลังกันได้ ก็ย่อมไม่มีใครทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าผนึกกำลังกันไม่ได้ ต่างคนยังเอาแต่ใจ ยังเห็นแก่ตัว ยังไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง อย่างนั้นแล้วย่อมไปไหนไม่ได้ไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  งานธรรมะไปไม่ไกล ตัวเองบำเพ็ญธรรมก็ไปไม่ไกลเช่นเดียวกัน
อีกทั้งอยากเตือนไปถึงอาจารย์บรรยายธรรมที่ไม่ได้มาในวันนี้ ขอให้รู้ว่าเรามีหน้าที่อะไร ให้ทำให้ดี อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องทางโลกมาก หน้าที่คือหน้าที่ ความรับผิดชอบคือความรับผิดชอบ
ขอให้ตั้งใจทำงานธรรมะให้ดีทุกคน ศิษย์พี่นั้นจดทั้งบาปและกุศลที่น้องทำ ขอให้น้องนั้นเป็นผู้คิดดีใฝ่ชอบ อย่าทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกันเองเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
ก็ขอให้ตั้งใจให้ดี อย่าได้ลืมเลือนปณิธานที่ตั้งในวันนี้  ขอให้ความสำเร็จที่ตั้งต้นในวันนี้สำเร็จไปถึงแดนฟ้า

รักษาตัวทุกคนเพราะว่าตอนนี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมนั้นก็มีร่างกายที่ไม่แข็งแรง น้องทุกท่านนั้นก็ควรที่จะมีร่างกายแข็งแรง ช่วยเป็นเสาหลักค้ำกันไปและค้ำกันมา เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ลาก่อน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา