วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

2551-06-28 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี


วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ควานหาสุขอันนิรันดร์ภายนอกกาย ไม่เท่าหาจากภายในใจดวงนี้
หากไร้ความเข้าใจตนรู้พอดี แม้ว่ามีก็ยังสุขไม่เคยพอ
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง (小皮仙童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านตั้งใจฟังหรือเปล่า

งำประกายมิสำแดงว่าเก่งกาจ อวดเร้าความสามารถกลับต้องพินิจ
โหมปลุกความกล้าต้องเมตตาจิต ใช้ชีวิตสู้องอาจที่ชนะใจ
เกิดเป็นคนไม่ท้อสร้างชีวัน คนขยันย่อมลิขิตหนทางได้
คนทำดีชะตาจึงเปลี่ยนใหม่ ทุกเมื่อในชีวิตเป็นบทเรียน
รู้สึกตนถูกผิดคือสำนึกโอตตัปปะ คนบทจะเปลี่ยนก็ฉับพลันเปลี่ยน
พึงเรียนยากมุ่งอุทิศทนจำเนียร ระลึกตนรู้เพียรรู้สู้อะไร
ยึดมั่นในตนมีทิฐิอัตตา บำเพ็ญรู้ประชาเพื่อประชาหน้าใส
สละและรู้นำพาด้วยใจ ผู้เดินตามสุขใจทุกชีวี
ต่างสำคัญต่างคุณค่าต่างเวลา ทว่าใช่ต่างค่าในตนนี้
กำลังตนดันผลักยืมใช่ที่ เป็นปึกแผ่นขึ้นดีกำลังตัว
ใจเป็นฟ้ามาแปดเปื้อนโลกีย์ ธรรมปกแผ่นดินฤดีกลับสลัว
ธรรมติดดินใจฟ้าผนึกตัว อยู่กลางภัยไม่กลัวประสบภัย
ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ขอเวลาหน่อยได้ไหม (ได้)  ฟังธรรมะเริ่มเหนื่อยแล้วใช่ไหม
(ไม่เหนื่อย)  ฟังธรรมะเป็นเรื่องยากใช่ไหม (ไม่ยาก)  ฟังธรรมะจริงๆ
ไม่ยาก แต่ต้องฝืนใจตัวเอง เป็นเรื่องยากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติธรรมะเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ต้องให้ตัวเองปฏิบัติเป็นเรื่องยากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนอื่น เราก็บอกว่า “ง่าย” แต่พออะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าต้องเป็นเรา เราจะบอกว่า “ยาก”  
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อะไรก็ตามที่เป็นปัญหาของผู้อื่น เราบอกว่า “ง่ายนิดเดียว ทำไมมองไม่เห็น” แต่พอปัญหามันกลับมาอยู่ที่ตัวเรา “ทำไมมันยากอย่างนี้” แล้วก็บอกว่า “คนที่พูดว่าง่าย ลองมาเป็นฉันบ้างสิ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงเวลาที่ปัญหาไม่ใช่เป็นของเราแล้ว กลับบอกว่า (ง่าย)  ทำไมอะไรอยู่กับตัวเราจึงเป็นเรื่องยาก อะไรอยู่กับผู้อื่นจึงเป็นเรื่องง่าย  ฉะนั้นเวลาเจอปัญหา คิดว่าเป็นของคนอื่นดีไหม (ดี, ไม่ดี)  ดีนะ เพราะว่าบางทีคิดว่าเป็นของผู้อื่น เลยให้คนอื่นรับผิดไปเต็มๆ ส่วนตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เหมือนฟังธรรมะสบายยังไง แต่ก็ยังบอกว่าลำบาก เคยคิดบ้างไหมว่า ฟังธรรมะอย่างนี้สบายก็สบายนะ พูดก็ไม่ต้องพูด ทำอะไรก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวมีคนทำโน่นทำนี่ให้กิน แต่ก็ยังบอกว่ายาก ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์เราเห็นใจตัวเอง เห็นใจง่าย  เข้าข้างตัวเอง เข้าข้างได้ง่าย ให้อภัยตัวเองก็ให้อภัยได้ง่าย  แต่พอถึงเวลาเป็นของคนอื่นแล้ว (ยาก)  แปลกไหม  ทำไมเราบอกว่าให้อภัยตัวเองเป็นเรื่องง่าย แต่พอให้อภัยผู้อื่นเป็นเรื่องยาก  โทษผู้อื่นเป็นเรื่อง (ง่าย)  โทษตัวเองเป็นเรื่อง (ยาก)  ฉะนั้นง่ายกับยาก เอาอะไรมาเป็นมาตรฐาน บางทีมนุษย์เราไม่มีมาตรฐานหรอก มาตรฐานขึ้นอยู่กับอารมณ์  อารมณ์ดี เรื่องยากๆ ก็เป็นเรื่องง่าย อารมณ์ไม่ดี เรื่องง่ายก็จะเป็นยาก
ฉะนั้นบางทีชีวิตยากหรือง่าย ได้ไม่ได้อยู่ที่อารมณ์ อยู่ที่มีใจทำหรือไม่มีใจทำ หรืออยู่ที่ว่าสู้ไม่สู้ เท่านั้นเอง ถ้าสู้แล้วแม้จะยาก บางทีก็
ฝ่าฟันจนกลายเป็นง่าย แต่ถ้าไม่สู้แล้ว แม้จะง่ายก็กลายเป็นยากได้ทันที จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนถามว่านั่งตรงนี้คิดให้ดีๆ ก่อนจะบ่นว่าลำบาก แท้จริงลำบากไหม (ไม่)  ถ้าชนะใจตัวเองไม่ได้ก็ลำบาก แต่ถ้าชนะใจตัวเองได้ก็ไม่ลำบาก
ควานหาสุขอันนิรันดร์ภายนอกกาย   ไม่เท่าหาจากภายในใจดวงนี้
ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าผมขาวหรือผมดำล้วนปรารถนา แต่หาสุขภายนอกไม่เท่าหาสุขภายใน อย่างนั้นถามท่านว่าสุขสบายกับสุขสงบ ท่านว่าอย่างไหนดีกว่ากัน (สุขสงบ)  แต่มนุษย์โดยทั่วไปมักสรรหาสุขสบายมากกว่าสุขสงบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  และสุขสบายจะหาได้ก็ต่อเมื่อมีเงิน ถูกไหม (ถูก)  อยากหาความสบายต้องมีเงิน แต่หลายครั้งพอได้เงินได้ความสบายแต่ไร้ความสุข ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ปรารถนาหาความสุขสงบ  แต่เมื่อมีความสงบ กลับอยู่ได้ไม่นานไม่รอด เราบอกว่าชีวิตวุ่นวายไปหาความสงบดีกว่า พอหาความสงบได้แต่ใจกลับอยู่ได้แป๊บเดียว แป๊บเดียวก็ต้องกลับบ้าน ต้องไปทำงาน ต้องไปโน่น ต้องไปนี่ ชีวิตบางคนพักได้แค่วันอาทิตย์  ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอขึ้นวันจันทร์สมองเริ่มทำงานทันที
ฉะนั้นเรามาเริ่มหาสงบกันก่อนดีไหม ถ้าเราหาความสงบได้ ความสุขก็อยู่ไม่ไกล  แล้วจะทำอย่างไรเราจะมีความสงบอันยืนนาน
ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนนั่งตรงนี้สงบไหม ห้องเงียบๆ แต่ใจเราเงียบไหม บางทีภายนอกเงียบ แต่ภายในกลับเงียบได้ไม่ตลอด เพราะว่าอะไรล่ะ  เคยได้ยินไหมว่า “หาที่อันสงบไม่เท่ากับหาสงบภายในใจ”  ที่ใดจะมีความสงบล่ะ ถ้าใจยังวิตกยังร้อนรุ่ม ไปอยู่ที่ใดก็ไม่สงบ ถ้าหัวใจยังมีความวิตกและร้อนรุ่มอยู่ และภายในหัวใจยังมีความยึดมั่นลุ่มหลงอยู่ ใครก็ทำให้เราสงบสุขไม่ได้ จริงไหม (จริง)
เมื่อครู่นี้เราบอกแล้วนะว่า ไปอยู่ที่ใดก็ไม่มีความสงบ ถ้าหัวใจเรายังวิตกทุกข์ร้อนและร้อนรุ่ม หรือยังกลุ้มกังวลอยู่ ถูกไหม (ถูก)  ไปอยู่ที่ใดก็ไม่สงบถ้าหัวใจเรายังมีสามสิ่งนี้อยู่ อยากอยู่กับใครแล้วมีความสงบเราต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น และไม่ลุ่มหลงเกินไป  ไปอยู่กับใครก็มีความสุขได้ มีความสงบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองดูสิคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ไปอยู่ที่ไหนจะมีความสุขไหม ไปอยู่ที่ไหนจะมีความสงบไหม “แกต้องฟังฉัน”  “แกต้องเชื่อฉัน”  แล้วเราจะหาวิธีการใดล่ะทำให้เราสงบ ปรับความคิดแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือเราต้องมีวิธีการ วิธีการที่จะทำให้มนุษย์มีความสงบคือ มีสติและมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรามีสติแล้วเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คุยกับใครปล่อยวางความยึดมั่น ไม่ลุ่มหลงตัวเอง รู้จักรับฟังเขา อยู่กับใครก็มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนไม่วิตกทุกข์ร้อน ไม่ร้อนรุ่ม ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กลุ้มใจจนเกินไป จิตใจสามารถสงบเย็น ที่ไหนก็ทำให้มีความสุขสงบได้
ฉะนั้นพอรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าหาความสงบเป็นเรื่องที่ไม่ใช่อยู่ภายนอก แต่จริงๆ  แล้วอยู่ภายในใจของเราเอง ปรับความคิด ปรับจิตใจ ปรับหัวใจภายในให้ได้ ภายนอกก็ยากจะมีผลต่อภายใน เคยได้ยินไหมว่าภายนอกสงบแต่ถ้าภายในวุ่นวายอยู่ที่ไหนก็วุ่นวาย ถ้าเขามีความสุขแต่หัวใจเราไร้สุขเราก็ยิ้มกับเขาไม่ออก ใช่ไหม (ใช่)  เราพูดยากไปไหม
(ไม่ยาก)  อย่าเป็นคนที่หาความสุขภายนอกแต่ลืมปรับหัวใจให้มีสุขเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่หัวใจ สู้ไม่สู้ก็อยู่ที่ใจ ไหวไม่ไหวก็อยู่ที่ใจ ถ้าท่านพูดว่าสู้ไหว แต่ถึงเวลาท่านไม่สู้ ไม่ไหวท่านก็หลอกเรานะใช่หรือไม่ (ใช่)
หากไร้ความเข้าใจตนรู้พอดี แม้ว่ามีก็ยังสุขไม่เคยพอ
แต่ก่อนมนุษย์บอกถ้ามีเงินแล้วจะมีความสุข แต่ตอนนี้เงินก็มีอยู่เต็มกระเป๋า แต่ทำไมนั่งตรงนี้กลับไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ก่อนบอกว่ามีคนที่มารักแล้วจะมีความสุขใช่ไหม (ใช่)  แต่ตอนนี้มีคนรักไหม (มี) แล้วตอนนี้สุขไหม (ไม่สุข)
ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะสนองสิ่งที่เราปรารถนาเต็มที่ แต่ถ้าหัวใจเราไม่รู้จักพอบ้าง ไม่รู้จักสุขบ้าง สิ่งที่มีนั้นก็ยังเติมได้ไม่เต็มเสียที กลายเป็นมีเพื่อมีไม่จบสิ้น กลายเป็นมีเพื่อทุกข์ทรมานกับความมีใช่ไหม (ใช่)
สมมติเรื่องการยืนการนั่ง สิ่งที่ท่านปรารถนาที่สุดสำหรับคนยืนคือการได้นั่ง สิ่งที่ปรารถนาสำหรับคนนั่งคือการได้ยืน แต่ตอนนั่งแล้วเรานั่งมีสุขไหม แล้วตอนที่เรายืนเรามีสุขไหม ทำไมต้องรอให้เสียโอกาสที่จะมีสิ่งนั้นไป แล้วจึงจะรู้ค่าความสุขของสิ่งนั้นล่ะ อย่างนี้ไม่เรียกว่าสายไปหรือ แล้วชีวิตเราเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไหม ตอนนั่งไม่มีความสุข ตอนยืนก็อมทุกข์ ฉะนั้นไม่ว่านั่งหรือยืนก็หาสุขไม่เจอ ทั้งที่ตอนแรกบอกว่ายืนตั้งนานแล้ว นั่งเสียทีคงดีนะ แต่พอได้นั่งก็กลายเป็นเมื่อไรจะได้ยืนเสียที ฉะนั้นถ้าเรามีสติและพึงพอใจอยู่กับปัจจุบันเราจะหาความสุขสงบได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราไม่มีสติและไม่พอใจกับปัจจุบัน เราก็จะมีความสุขอยู่กับฝันอนาคตทุกที ใช่ไหม (ใช่)
อยากให้คนอื่นเคารพรักเรา อยากให้คนอื่นให้เกียรติเรา แต่ถ้าตัวเราไม่ให้เกียรติตัวเอง ไม่เคารพรักตัวเอง ใครจะเคารพรักเรา ฉะนั้นไม่ต้องเคารพเราหรอก เคารพตัวท่านก่อนดีกว่านะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมตบมือตามที่ท่านนับ หนึ่ง และสอง และสาม และสี่)
อยู่ในโลกนี้เป็นแบบนี้ไหม เขาบอกหนึ่ง เราก็ทำแค่หนึ่ง พอเขาบอกสอง เราก็ทำแค่สอง แต่พอเขาบอกสาม เราทำสาม เราโดนว่าซื่อบื้อ แล้วตอนนี้พอเขาบอกว่าหนึ่งเราเลยทำ (สอง) บอกสองเราเลยทำ (สาม)  เขาก็ว่าเราอวดเก่ง ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเพราะอะไร เหมือนกับการปรบมือไหม (เหมือน)  ท่านเคยเป็นไหม
มีเรื่องๆ หนึ่ง ชายคนหนึ่งกำลังจะออกไปตลาด แต่ปรากฏว่าช่วงที่เขาก้าวออกมาจากบ้านนั้น อยู่ๆ ก็เกิดมีฝูงชนขนาดใหญ่ วิ่งกันเข้ามา แล้วก็มีคนบอกว่า วิ่งเร็วๆ เข้า  เขาก็วิ่งขึ้นเขา ลงห้วย ทั้งๆ ที่เขาจะไปตลาด เมื่อเขาวิ่งตามได้สักพักหนึ่งเขาเริ่มเหนื่อย แล้วเขาก็ถามฝูงชนว่าจะไปไหนกัน  ฝูงชนก็บอกว่า ออกกำลังกาย  เคยเป็นไหม คิดให้มากกว่านั้นสิ ที่ตอนนี้เราให้หนึ่งเป็นสอง  ท่านกลับหนึ่งเป็นหนึ่งอยู่นั่นแหละ
เหมือนชีวิตเรา เราเดินแล้วเรารู้จักวิ่ง เราวิ่งแล้วเรารู้จักเดิน แต่เราลืมการหยุดบ้างหรือเปล่า เหมือนเราวิ่งตามโลก วิ่งตามสังคม วิ่งตามผู้อื่น เกิดมาหาเงิน หาเงิน หาเงิน หาเพื่ออะไรล่ะ เคยไหม (เคย)  หาความสุข หาความสุข หาความสุข แล้วความสุขอยู่ไหนล่ะ  หาคนรัก หาคนรัก หาคนรัก แล้วคนรักทำไมไม่น่ารักล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  เราวิ่งตามกระแส วิ่งตามหัวใจ วิ่งตามอารมณ์ แต่เคยถามไหมว่า ก่อนจะวิ่ง วิ่งไปเพื่ออะไร แล้วถึงที่สุดได้อะไร แล้วก่อนจะวิ่งรู้ไหมว่า ทำยังไงจะหยุดเป็น
รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนฝูงชนที่วิ่ง เขามีเราก็ต้องมี แต่พอเขามีแล้วเขาหยุดเป็น แต่ทำไมเราหยุดไม่เป็น  ทำยังไงฉันจะไม่โกรธดี ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกว่าต้องโกรธ ก็ต้องโกรธไปตลอดชีวิต หยุดโกรธไม่ได้ เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ฉันต้องหาเงิน หาเงิน หาเงินตลอดชีวิต หาเพื่ออะไรล่ะ หาเพื่อมาให้รักษาโรค  รักษาโรคหายแล้วก็กลับไปใหม่ ไปหาเงินแล้วก็กลับมาเป็นโรค แล้วก็รักษาโรค ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะวิ่งออกไปตามกระแสแห่งใจ อารมณ์ กิเลส หรือโลก  ยั้งสักนิดหนึ่งดีไหม มีสตินิดหนึ่งดีไหม (ดี)  รถไม่มีเบรก ขึ้นไม่ขึ้น (ไม่ขึ้น)  แล้วชีวิตไม่มีเบรก ทำไมวิ่งตะบี้ตะบันกันไป จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วเบรกเพื่ออะไร ถึงเวลาหยุดเป็นไหม ไม่เป็น มันโกรธเต็มที่แล้วต้องโกรธให้ถึงที่สุด อยากแล้วก็ต้องอยากไปเรื่อยๆ หยุดอยากไม่ได้หรือ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนนานๆ แล้วก็ต้องนั่ง นั่งนานๆ แล้วก็ต้องยืน
(นักเรียนในชั้นได้ถ่ายรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ถ่ายไว้ในใจยังเก็บได้นานกว่าถ่ายไว้ในกล้องนะ ถ้าถ่ายไว้ในกล้อง เดี๋ยวท่านก็ลืมดู  สิ่งที่กลั่นกรองมาจากใจ บางทีได้อรรถรสมากกว่าสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากรูปภาพ ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเล่าด้วยความรู้สึก เล่าด้วยหัวใจยังได้คุณภาพมากกว่าดูภาพอย่างเดียว
เกิดเป็นคนไม่ท้อสร้างชีวัน คนขยันย่อมลิขิตหนทางได้
คนจนไม่น่ารังเกียจ แต่คนเกียจคร้านน่ารังเกียจยิ่งกว่า คนจนไม่น่าดูถูก แต่คนที่ขี้เกียจสันหลังยาวนั้นน่าดูถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลาตัวเองไม่ใช่ขัดเกลาผู้อื่น การบำเพ็ญธรรมการเข้าถึงธรรมก็ต่อเมื่อเรานำธรรมนั้นมาปฏิบัติ เราเอาธรรมนั้นมาย้อนมองส่องตน สิ่งใดดีพึงรักษาไว้ สิ่งใดไม่ดีรีบขจัดปัดทิ้งไป ดังคำกล่าวว่า “ถ้าใจเราสะอาดบริสุทธิ์สิ่งที่สะท้อนย่อมปรากฏแจ่มชัด แต่ถ้าใจเราสกปรกมีมลทิน สิ่งที่สะท้อนก็ย่อมสกปรก” เพราะแม้ว่าจะสะอาดอย่างไร พอตกลงไปในน้ำสกปรกมันก็สกปรกทันที ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรก็ตาม เราจึงต้องรู้จักที่จะตรวจสอบตัวเองก่อนที่จะไปตรวจสอบผู้อื่น มาตรฐานของเราต้องเที่ยงตรงก่อนจะไปวัดมาตรฐานผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราส่องกระจกทำไมกระจกบางอันเราชอบ บางอันเราไม่ชอบ เพราะอะไร กระจกที่เห็นชัดเจน อ้วนก็อ้วน ผอมก็ผอม เราถึงไม่ชอบ เพราะบอกความจริงเกินไป แต่ถ้ากระจกที่ส่องแล้วเพรียว พอไปยืนทีไรก็สูงเพรียวกลับชอบ แปลกไหมที่ความจริงกลับไม่ชอบ แต่ที่หลอกๆ กลับชอบ คุณสมบัติที่ดีของกระจกคือ “ยอมรับแต่ไม่ครอบครอง รับรู้แต่ไม่ยึดถือ” นี่คือคุณสมบัติที่ดีของกระจก กระจกสะท้อนเงาแห่งเปลวไฟ แต่เปลวไฟหาได้เผารนกระจกไม่ กระจกสะท้อนเงาแห่งสายฝนที่ทำให้เปียกปอน แต่กระจกหาได้เปียกปอนไม่ ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบใจ ถ้าหัวใจเราสามารถใสและสะท้อน สิ่งที่มากระทบก็กระทบได้แค่กายแต่หาได้ทำอันตรายหัวใจไม่ ถูกไหม แล้วเราสามารถรักษาความใสได้ดั่งกระจกหรือเปล่า (ได้)  รับรู้แต่ไม่ครอบครอง ยอมรับแต่ไม่ยึดมั่นได้หรือ (ได้)
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมหากเริ่มต้นทำได้เช่นกระจกก็เป็นก้าวแรกแห่งการฝึกฝนจิตใจไปสู่ความใสสะอาด  แต่ถ้าเกิดก้าวพ้นไปจากกระจก นั่นก็คือไม่มีกระจก แล้วกระจกจะสะท้อนอะไร ก็ไม่มีอะไรให้สะท้อนเพราะ “ไร้ตัวตน” แต่อย่าเพิ่งไปถึงขนาดนั้นเลย เอาแค่เป็นกระจกก็ยังไม่รอด เห็นแล้วยังยึดได้มั่นเลย “เมื่อวานนะสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นั้นมา ไม่รู้เชื่อได้หรือเปล่า” กลับไปก็ยังค้างคาใจ ตายไปแล้วก็ยังค้างคาใจอยู่ถูกไหม (ถูก)  ถ้าชอบก็ยังฝังใจจำ ถ้าไม่ชอบก็ยิ่งเจ็บลึกในหัวใจใช่หรือเปล่า ฉะนั้นหัวใจเราจึงเต็มไปด้วยขยะและสิ่งเน่าๆ เหม็นๆ เราจึงไม่สามารถสงบแล้ววางใจลงได้
ฉะนั้นหัวใจที่แท้จริงควรทำเป็นเช่นกระจกใส ยอมรับแต่ไม่ครอบครอง รับรู้แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะเรื่องราวในโลกนี้ตัวเราเอง ตัวคนที่เรารัก ทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  
เราเพียงยืมใช้แค่นั้นเอง ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยวาง แม้แต่กายเราเองสักวันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งมัน สิ่งที่เอาไปได้คือ “ความดีกับความชั่ว”  หรือ “บุญกับบาป”  หรือ “กุศลกับอกุศล”  ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์มักจะบอกว่า ทำดีไม่เห็นได้ดีแล้วเราจะทำดีไปทำไม คนอื่นเขาก็ไม่ดี เรื่องอะไรฉันจะต้องดี ต้องรอเขาดีก่อนสิ แล้วฉันถึงจะดี
ใช่ไหม (ใช่) แต่พอเขาทำดี เขาดีก็ดีไปเถอะ ฉันยังเลวอยู่ จริงไหม (จริง)
พอเขาดีแล้วดีมากๆ  เรากลับรันทดท้อใจ ฉันมันเลว เคยไหมที่จะบอกว่า เขาดีฉันจะต้องดีให้เหมือนเขา ท้อใจก็เขาดีอย่างนั้นฉันดีสู้เขาไม่ได้หรอกใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใครทำเลวปุ๊บ เรื่องอะไรจะทำดีก็เขาเลวกันหมด ฉันก็เลวตามสิ อย่างนี้ชีวิตนี้ในโลกนี้จะมีใครดีไหม (ไม่มี)
เราอยากจะบอกท่านอย่างหนึ่ง มนุษย์เหมือนกับน้ำ ถ้ารู้จักลดอุณหภูมิให้ดี น้ำที่ร้อนๆ  ก็กลายเป็นน้ำที่เย็น แต่ถ้าลดมากเกินไปน้ำที่เย็นก็จะกลายเป็นน้ำที่แข็ง
แต่ถ้าเพิ่มอุณหภูมิน้ำแข็งจะกลายเป็น (น้ำ) และถ้าเพิ่มมากเกินไปก็จะกลายเป็น (น้ำเดือด)  แล้วเพิ่มมากอีกจะกลายเป็น (ไอ)  ทำไมเราจึงบอกอย่างนี้ เพราะชีวิตคนเราก็เหมือนกันถ้าเพิ่มได้ดีเพิ่มได้เหมาะสม
สิ่งที่ดีก็ยังคงเป็นดี แต่ถ้าเพิ่มไม่ดีเพิ่มไม่เหมาะสม สิ่งที่ดีก็จะกลายเป็นร้ายทันที เหมือนกันเวลาเราบอกว่าถ้ามีคนทำดีแล้วฉันจะทำดีตาม เราทำอย่างนั้นไหม (ทำ)  จริงนะ (จริง)  นั่นก็คือน้ำเขาเย็นอยู่แล้วมันก็เหมือนกับคนที่ดี คนที่ดีก็คือคนที่เย็น ถ้าเราเพิ่มไม่ดี เรากลายเป็นเพิ่มความร้อน สิ่งที่เย็นก็กลายเป็น (ร้อน)  ถ้าเราเพิ่มความเย็นชากับคนที่ดีล่ะ สิ่งที่เย็นก็กลายเป็นสิ่งที่ตายด้าน ทั้งที่เขาควรจะได้เย็นต่อไปหรือทำดีต่อไป
ฉะนั้นเวลาเจอใครทำดีเราต้องรีบศึกษาเรียนรู้และให้กำลังใจเขา หรือพูดง่ายๆ  เจอคนทำดีเราต้องวางใจเป็นกลางอย่าอิจฉา อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ มิฉะนั้นแล้วเราอาจจะกลายเป็นคนที่ไปลดอุณหภูมิน้ำที่เย็นให้กลายเป็นน้ำแข็ง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเขาทำดีแล้วเราบอกว่าเธอดีจริงๆ ให้กำลังใจเขาต่อ รักษาอุณหภูมิให้เขาคงอยู่อย่างนี้ตลอดไป เขาก็จะเป็นคนดีที่ดีมั่นคง ฉะนั้นเมื่อเราอยู่กันในสังคมอย่าคิดว่าเขาดีแล้วเราไม่ต้องสนใจแล้วเขาจะไม่ได้รับผลกระทบมีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทางกลับกัน ถ้าเขาไม่ดีแล้วเราทำอย่างไรดี มนุษย์ชอบที่จะตัดสินพิพากษาและเหยียบย่ำซ้ำเติม แทนที่เราจะช่วยปรับอุณหภูมิให้น้ำที่ร้อนกลายเป็นน้ำที่เย็น เรากลับเพิ่มอุณหภูมิให้ร้อนแล้วกลายเป็นไอเดือด จากที่เขาควรจะได้กลับตัวกลับใจก็ไม่ต้องกลับตัวกลับใจแล้วเพราะถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมขนาดนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้มีคนอยู่สองแบบคือ คนอยู่เหนือเรากับต่ำกว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  เหนือเราก็พินอบพิเทา ต่ำกว่าเรา ก็กดขี่ข่มเหงถูกไหม (ไม่ถูก)
พึงเรียนยากมุ่งอุทิศทนจำเนียร ระลึกตนรู้เพียรรู้สู้อะไร
จริงๆ มนุษย์เรารู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม แต่บางครั้งอดเคยชินตามใจตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกเรื่องหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นกันก็คือ เราจะบอกว่าคนนี้ดีไม่ดีตอนไหนรู้ไหม  ในสายตาท่านคนไหนเรียกว่าดี  คนไหนเรียกว่าไม่ดี
(วัดที่การกระทำของเขา)  ถ้าเขาสำเร็จเรียกว่าดี ถ้าเขาล้มเหลวเรียกว่าไม่ดี (ไม่ใช่)  ฉะนั้นดูที่ผลการกระทำอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  อะไรที่เรียกว่าดี เรียกว่าไม่ดี  ไม่มีใครผิดนะ ทุกคนสามารถตอบได้ เพราะมาตรฐานของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว บางคนแค่นี้ยังไม่พอต้องอีกนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยกตัวอย่าง (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเรียกผู้ปฏิบัติงานธรรมสองคนออกมา)  เราถามท่านนะว่าสองคนนี้ ใครดีไม่ดี  (ยังบอกไม่ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้คนหนึ่งดึงเสื้อออกมาจากกางเกง)  ท่านว่าใครดีไม่ดี (ยังบอกไม่ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนคนเดิม เดินแบบนักเลง)
มนุษย์มักจะบอกว่าคนที่ดีเป็นแบบใจเรานึก เป็นแบบที่เราคาดฝัน และเป็นแบบที่เราพึงพอใจและเราบอกว่าดี ใช่ไหม (ใช่,ไม่ใช่)  มีทั้งใช่และไม่ใช่ แต่ส่วนใหญ่ถ้าเขาทำในกรอบที่เราคิดว่าดี และไม่เลยกรอบดีนี้ เรามักจะบอกว่าใช่ หรือบางทีเขาต้องแต่งตัวแบบนี้ ทำแบบนี้ เราจึงเรียกว่าดี สิ่งที่ไม่ใช่แบบที่เรากำหนดนั้นคือสิ่งที่เราเรียกว่าไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนกับความรัก มนุษย์มักจะบอกว่า เขาต้องทำให้เราพึงใจ เขาต้องทำอะไรตามใจเรา เขาต้องทำอะไรที่เราชอบและเป็นของเราคนเดียวเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเรารักเขาหรือเรารักตัวเราเองมากกว่า
(รักตัวเองมากกว่า) เราเอาเขามาเพื่อรักตัวเราเองหาใช่เรารักเขา
ฉะนั้นคนที่ดีแท้จริงคือต้องดีในแบบเขาไม่ใช่ดีในแบบเรา แต่มนุษย์มักจะบอกว่า คนที่ดีคือคนที่ต้องเป็นในกรอบที่เราคิด นอกกรอบนั้นไม่ใช่ ฉะนั้นเวลาที่เราจะเรียกว่าใครดี ไม่ดี จึงต้องรู้จักเปิดใจเป็นกลาง แม้คนๆ นั้นจะขัดใจขัดตาขัดระเบียบขัดกรอบเรา แต่บางทีเขาก็มีดีได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนสิ่งที่ท่านไม่คาดคิดว่าจะเจอเราแบบนี้ แล้วจะใช่
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม ไม่รู้ แต่ขอให้ท่านฟังในสิ่งที่เราพูด เอาสิ่งที่เราพูดในวันนี้ไปพิจารณาก็พอ เพราะตัวตนนี้หาใช่ของจริงไม่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่าลืมว่าสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งที่บางครั้งยึดถืออะไรไม่ได้ สิ่งที่ยึดถือได้คือสัจจะความเป็นจริงเท่านั้น เราเกิดมามีชีวิตเพื่อค้นหาความจริง และในความจริงนั้นมักจะอยู่ในความปลอม และสิ่งที่ดีอย่างถ่องแท้ มักจะอยู่ในสิ่งที่เลวร้าย ถูกหรือไม่ (ถูก)  สภาวะเลวร้ายมากเท่าใดกลับยิ่งผลักดันขับเคลื่อนให้คนนั้นดียิ่งขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดกลับสามารถทำให้ค้นพบคนที่อดทนที่สุด แล้ววันนี้ท่านจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากแล้วเป็นคนอดทนที่สุดหรือไม่ (เป็น)  รีบชมตัวเองเลย ไม่มียอมเลย อย่าลืมนะว่าอวดตัวเองมากมักไม่มีใครเชื่อในคำอวดอ้างนะ สู้ทำให้ดูดีกว่านะ ฉะนั้นทำดีกว่าพูด เหมือนกันเราพูดมากๆ ไปแต่ไม่ทำ ท่านก็ไม่เชื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยากจะพิสูจน์ได้อย่างไรล่ะ ก็ต้องทิ้งร่างกายนี้แล้วขึ้นไปพิสูจน์นะ ไปไหม จริงๆ นะ อยากรู้ว่าทำดีแล้วได้ดี จะพิสูจน์ได้อย่างไรล่ะ ต้องตายก่อนนะถึงจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นได้ผลจริงๆ แต่มนุษย์ทุกคนกลับกลัวตาย แต่พุทธะกลับกลัวการอยู่นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ไหม ไม่รู้หรอก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นและผู้ปฏิบัติงานธรรมเล่นเกมเลขคู่คี่ โดยท่านพูดว่าคู่ ให้แถวเลขคู่ไขว้มือเกี่ยวกันแล้วลุกขึ้นยืน และแถวเลขคี่นั่งลงปรบมือ ถ้าท่านพูดว่าคี่ให้แถวเลขคี่ไขว้มือเกี่ยวกันแล้วลุกขึ้นยืน ส่วนแถวเลขคู่นั่งลงปรบมือ)
เราอยู่ในโลกเราต้องเกี่ยวสัมพันธ์กันเราต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ใครจะอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจใครไม่ได้
ถึงแม้ว่าชีวิตเราจะทำตัวเหมาะสมแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าชีวิตของเราไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดี หน้าที่ของเราก็อาจจะทำให้มีผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เกิดเป็นคนอย่างแรกคือต้องวางตัวเองให้เหมาะสม อย่างที่สองก็คือต้องรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็คือ คนที่ไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี จะมีสถานการณ์ไหนเกิดขึ้น เราก็ต้องกล้ารับผิดชอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และจิตใจที่มั่นคง จิตที่มั่นคงและใบหน้าที่ยิ้มแย้มในการรับผิดชอบชีวิตจะสามารถแปรเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี และแปรเรื่องดีให้ดียิ่งขึ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่และวางตัวเองให้เหมาะสม
ฉะนั้นอยู่ในสังคมเราจะดูแลให้ตัวเองให้เหมาะสมและรับผิดชอบตัวเองได้ดี แล้วผู้อื่นก็จะไม่เดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เป็นอย่างไร มัวแต่ระวังคนอื่นลืมดูแลตัวเอง ฉะนั้นไม่ต้องระวังคนอื่นตอนนี้ทำตัวเองให้ดี ถ้าตัวเองดี เราก็จะไม่เดือดร้อนเพราะตัวเอง
ถ้ากฎเข้มงวดชัดเจน คนก็จะไม่กล้าผิด เวลาทำถูกเขาก็จะดีใจ เพราะถูกได้รางวัล ผิดต้องโดนลงโทษ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เวลานี้มนุษย์เราหละหลวม ดีไม่ให้กำลังใจ ผิดไม่ลงโทษ แต่ไม่ใช่ลงโทษแบบประหัตประหารเขานะ แต่ควรเตือนให้เขารู้ใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกม สลับแถวคู่คี่ แต่นักเรียนสับสน)
ชีวิตนี้ช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินในการจะดำรงชีวิต โดยเฉพาะการที่เราให้ใครมาเป็นผู้นำชีวิต ถ้าเราเอาคนสับสนมาเป็นผู้นำชีวิต ชีวิตนี้ตายแน่ๆ แล้วเคยคิดไหมว่าผู้นำชีวิตที่ฝากฝังไว้ด้วยกายและหัวใจนั้นเขาสับสนไหม แล้วชีวิตเราที่ปล่อยให้ใจเรานำตัวเองนั้น ใจเราเคยสงบนิ่งแท้จริง หรือว่ากำลังวุ่นวายสับสน ตัวเรานำตัวเราเอง แต่ตัวเรามีความหนักแน่นไหม บางทีแทบจะไม่มี เป็นคนดีก็ยังไม่อยากจะดีอย่างแท้จริง ไม่เคยมุ่งมั่นจะดีสักที เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ไม่ดี เมื่อชีวิตยังมุ่งมั่นไม่ได้สักอย่างหนึ่ง แล้วจะตัดสินและประสบความสำเร็จได้ง่ายไหม (ไม่ง่าย)
ฉะนั้นเกิดเป็นคน เมื่อรู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร เราต้องมีจุดยืนที่มั่นคง เกิดเป็นคน อย่างน้อยต้องเป็นคนดีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเองยังดีไม่พอ ไม่เป็นไร ให้คนอื่นดีก็ได้ แต่จะไม่ไปเพิ่มดีกรีให้ใครกลายเป็นคนร้อน ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราดำเนินชีวิต อย่าคิดว่ามีชีวิตของตัวเอง แล้วไม่เกี่ยวพันกับใคร  ตัวเราเองสบายแล้วคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มองง่ายๆ คนที่งกในการหาเงิน ชอบอะไรก็เก็บตุนสิ่งนั้นไว้เยอะๆ ซื้อมาเยอะๆ  มีคนเก็บตุนต้องมีคนขาดแคลน มีคนได้มากต้องมีคนอดได้ มีคนสบายย่อมมีคนลำบาก  ฉะนั้นอย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองมี สิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบ จะไม่นำพาคนอื่นเดือดร้อน ไม่จริง ถ้าสิ่งที่ตัวเองมีและรับผิดชอบนั้นเกินไป ทำอะไรมากกว่าตน เป็นธรรมดาที่จะต้องมีผลกระทบให้คนอื่นเดือดร้อน
เราอยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อเราได้ต้องรู้จักให้ เมื่อเรามีเราต้องรู้จักเสียสละ แล้วการมีของเราจะไม่เป็นการมีที่ทำให้คนอื่นแห้งแล้ง เมื่อไหร่ที่เราสบาย เราต้องรู้จักรีบที่จะไปลำบาก เพื่อให้คนอื่นได้สบาย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันใดที่เราสบาย วันใดที่เรามี อย่าลืมให้ อย่าลืมสละ โลกนี้จะเป็นโลกที่สันติและสงบได้ เพราะมีคนรู้จักปันน้ำใจ มีคนรู้จักเสียสละอุทิศให้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่เสียสละอุทิศให้ก็คือ คนที่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ได้ดี ไม่ต้องทำอะไรยากเลย บำเพ็ญธรรมคือ
หนึ่ง เริ่มต้นวางตัวเองให้เหมาะสม
สอง รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้สมบูรณ์
สาม รู้จักปันและสละให้
เท่านี้ก็เริ่มต้นการเป็นคนดีได้ไม่ยาก แล้วไกลเกินกระทำไหม
(ไม่ไกล)  ไม่ไกลเลย เป็นมนุษย์ขอเพียงอย่าตามใจตัวเอง อย่าขี้เกียจ เพราะเมื่อไหร่ที่ถึงเวลาต้องรับผิดชอบหน้าที่ อย่างท่านตอนนี้เป็นผู้ฟังก็ต้องรับผิดชอบในการเป็นผู้ฟังให้ดี  เชื่อไหมว่าแค่อ้าปากหาวเสียงดัง คนก็เสียสมาธิ หันมามอง  ฉะนั้นอย่าคิดว่าเล็กๆ น้อยๆ ตามใจตัวเองนิดหนึ่งแล้วจะไม่มีผลกระทบต่อผู้อื่น อ้าปากเบาๆ  เกรงใจคนอื่นบ้าง
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การเป็นเพื่อนกัน วันนี้ฉันไม่ซื่อตรงกับเธอแล้ว ฉันแอบไปลักขโมยของในบ้านเธอ ดีไหมล่ะ วันนี้เราเป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นพยาบาล แล้วบอกว่า “เหนื่อยแล้วกับการดูแลรับผิดชอบ ปล่อยตามยถากรรมละกัน ขอไปนั่งสบายสักพักหนึ่งเถอะ” ปล่อยทีหนึ่งเท่ากับเรากำลังฆ่าคนให้ตายโดยไม่รู้ตัว เอาง่ายๆ ถ้าแม่ครัวเกิดเบื่อล่ะ ทำกับข้าวแล้วถูกติหวานเกิน เค็มเกิน เปรี้ยวเกิน ทำน้อยไป ทำมากกว่านี้หน่อยสิ  แม่ครัวถูกว่าก็เลยไม่ทำแล้ว แล้วก็เปิดแก๊สทิ้งไว้แล้วก็ไปนอนพักสักงีบหนึ่ง แบบนี้ตายทั้งสถานธรรมแน่เลย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่ามองข้ามใคร อย่าดูถูกใคร ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะการให้กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ช่วงที่เขากำลังเบื่ออาจจะปลุกเร้าเขาขึ้นมา ให้คิดได้ว่า “เราเบื่อไม่ได้ๆ เราต้องทำต่อไป” ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ร่วมโลกกัน อย่าเห็นว่าสิ่งดีๆ จะต้องให้เฉพาะกับคนในบ้าน สิ่งดีๆ ที่บางทีชีวิตหนึ่งเราจำไม่รู้ลืม ก็เพราะคนที่ไหนไม่รู้ อยู่ๆ มาเอาใจเรา คนที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆ มาดูแลเรา แล้วเราก็ปลื้ม  จำได้เลยว่าเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็บอก “ป้าไปไหม หนูพาไป”  “ป้าหนูช่วยไหม”  ทำไมเราถึงจำเด็กคนนั้นได้ไม่รู้ลืม เขาเป็นญาติเราไหม เป็นลูกเราไหม ไม่ใช่ หรือบางทีเด็กทีไหนก็ไม่รู้ จำไม่รู้ลืมมาเรียกเรา “ป้า” ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองแค่คำพูดเล็กๆ ว่าไม่มีผลกระทบ  การกระทำนิดๆ หน่อยๆ แม้จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก แต่ถ้าเกิดช่วงนั้นเขากำลังแย่พอดี พอมาเติมอีกนิดหนึ่ง เราอาจจะเป็นสาเหตุของชนวนอันยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างสุดท้ายก่อนจะจากกัน เราถามท่านที่ฟังบ่อยๆ ว่า ระหว่าง “ความรู้พอ” กับ “ความไม่สิ้นหวังชีวิต” ควรมีสิ่งใด  (ควรมีทั้งสองสิ่ง)  ถูกหรือไม่ ความรู้พอทำให้เรารู้จักหยุดให้เป็น มีสุขให้ได้  ความไม่สิ้นหวังทำให้เรารู้จักสู้กับทุกข์ให้เป็น รับกับความจริงให้ได้ ฉะนั้นชีวิตขาดทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้ ความรู้พอและใจที่ไม่สิ้นหวัง
โดยเฉพาะเกิดเป็นคน หามามากขนาดไหนก็ยังต้องรู้จักพอบ้าง ทุกข์ขนาดไหนก็อย่าลืมปลุกเร้าชีวิตให้ไม่สิ้นหวังบ้าง ชีวิตยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะ ฉะนั้นวันนี้เราก็แค่นี้ ถ้ายังคิดว่าเรามาเล่นละครอีก ก็จนปัญญาแล้วนะ
(นักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “บางทีเราทำดีไปจนท้อ
ถูกคนเอาเปรียบอยู่ตลอด”)
ท่านพูดได้ดี บางทีคนในโลก เอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบ พอเรายอมมากๆ เขาก็ไม่มีวันสิ้นสุดสักที  เราอยากบอกท่านว่าหัวใจของผู้ที่รู้จักยอมอภัยไม่ถือโกรธเป็นหัวใจอันยิ่งใหญ่ แต่คนบางคนก็แปลก มาขอแต่กับเราคนเดียว ไม่ไปขอคนอื่นบ้าง จริงไหม (จริง)  บางทีเป็นกรรมร่วม บุญร่วมก็มี คนบางคนทำไมโชคดีเจอแต่คนทำดีๆ ให้ แต่บางคนทำไมเจอแต่คนที่มีแต่เอาจากเรา
ฉะนั้นถ้าอยากฝึกใจฟ้าเราจะบอกท่านว่า ใจฟ้าคือใจที่ยอมโดยไม่หวังผล ใจที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เพราะใจที่คอยคิดจะเอาแต่ของผู้อื่นนั้นคือใจของพญามาร ไม่ใช่ใจพุทธะ และจิตใจที่รู้จักยอมอภัยให้ผู้อื่นและยอมสละให้ผู้อื่นอยู่เป็นนิจ คือจิตใจที่โชคลาภวาสนาจะตอบแทนอยู่ไม่รู้จบ แต่อาจจะไม่ใช่ชะตาในชาตินี้ อาจจะเป็นชาติหน้า  เซียนน้อยองค์หนึ่งเคยบอกไว้ว่ามนุษย์บางคนเกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม บางคนเกิดมามีแต่บุญ โชคดีตลอด แต่บางคนเกิดมามีทั้งบุญและกรรม ฉะนั้นคนสองคนทำกรรมพร้อมๆ กัน ใครจะตกผลเร็วกว่ากัน อย่างนั้นดูรูปนะ เหมือนแก้วน้ำ



คนที่มีบุญเวลาทำบาปก็ยังเต็มช้า แต่คนที่มีทั้งบุญและบาปเวลาทำบาปจะ (เต็มเร็ว)  แล้วเวลาทำดีก็จะ (เต็มช้า)  เพราะว่าชีวิตเราเกิดมามีทั้งบุญและบาปมาพร้อมกัน แต่คนบางคนบุญกับบาปมีน้อย  ฉะนั้นเมื่อเวลามีสิ่งที่ไม่สมหวัง เราจะต้องเอาชนะใจให้ได้ เพราะคนที่รู้จักยอมโดยไม่ถือโกรธ คนที่ยอมจะให้โดยไม่หวังผล คนๆ นั้นคือคนที่ประเสริฐ ท่านดูพระพุทธองค์ก็ได้ ใครทำร้ายขนาดไหนท่านตอบโต้ไหม ท่านหนีไหม (ไม่) เอาตัวตนประจักษ์ให้เห็นอย่างถ่องแท้ ไม่หนีไม่ตอบโต้ เพราะมีแต่ความจริงเท่านั้นที่จะเป็นประจักษ์หลักฐานให้คนจริงเห็น  ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วทำดีอย่าหวังผล เพราะเมื่อไรที่ทำดีแล้วหวังผล นั่นคือการค้ากำไรเกินควรนะ ทำดีที่บริสุทธิ์คือทำดีที่ไม่หวังผล แม้เขาจะเอาเปรียบเราเท่าใดก็ตาม คิดเสียว่าติดหนี้ ให้เขาไปๆ แต่ถ้าวันไหนเราไม่ไหวจริงๆ ก็บอกว่า “ฉันยอมเธอขนาดนี้ เธอไม่เห็นใจฉันบ้างเลยหรือ” ถ้าเขามาเรียกร้องให้เราเห็นใจ อย่างนั้นเรากลับบอกเขาบ้าง “แล้วเธอไม่เห็นใจฉันบ้างเลยหรือ” เขาพูดคำนี้แน่นอน เพราะว่าคนบางคนนั้นเอาเปรียบไม่มีที่สิ้นสุด บางทีเราก็ต้องบอกเขาว่า “ฉันก็ลำบาก” ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถ้าจะไปถึงที่สุดของการเป็นผู้ประเสริฐก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไป ไหวไหมล่ะ ก็เพราะทำในสิ่งที่ยากจะทำจึงเรียกว่า “ผู้ประเสริฐ”  จึงเรียกว่า “ยอดคน”  แต่ถ้ายังทำในสิ่งที่ยังง่ายๆ  สิ่งที่ยากๆ ไม่ยอมทำ ท่านก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่วันยังค่ำ อย่าลืมนะว่าพุทธะบนแดนฟ้าน้อย แต่พญามารในโลกมนุษย์เยอะเหลือเกิน ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกท่านก็คือ ทำดีให้ถึงที่สุด ยิ่งลำบากก็ยิ่งเป็นการเคี่ยวกรำ ดูว่าใจของเราแกร่งจริงหรือแกร่งไม่จริง ก็เหมือนท่านเล่นฟุตบอล ก็อยากยิงประตู  แต่ถ้าอีกคนหนึ่งที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเราอยู่ใกล้กว่า เราก็ต้องยอมสละให้เขายิงประตูไป
เราจะไปแล้ว ใครมีอะไรจะถามอีกไหม ไม่ถามแล้วนะ ฉะนั้นขอเพียงให้มุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ ก่อน ถ้ายังไม่มุ่งมั่นตั้งใจ ถึงแม้ว่าดีไม่ดี ก็ยังไม่มีวันรู้หรอกถ้าท่านยังไม่ลองทำดูสักทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนท่านนั่งฟังตรงนี้สองวันก็บ่นจะแย่แล้ว หรือมาวันเดียว อีกวันหนึ่งก็ยังไม่ยอมมาเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากอยู่ที่ว่า “ทำหรือไม่ทำ” เท่านั้นเอง ถ้าหากเราทำได้มีหรือเรื่องยากๆ จะทำไม่ได้ แต่ถ้าเราบอกว่า “ไม่ได้”  ยังไงก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่ต้าเซียน
คนเมื่อมีทุกข์จะหาทางหนี และวิธีหนึ่งคือหาสุขกลบ
เรื่องจะวุ่นดั่งไม่มีวันบรรจบ เปลี่ยนระบบความคิดชีวิตดี
ไม่มีความสุขใดแทนที่ทุกข์ การที่ปลุกตนเองขึ้นใช่เพื่อหนี
แต่เพื่อให้มั่นใจอยู่ในความดี ขอให้มีมากขึ้นใช่น้อยลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
มันเป็นเช่นนั้น แต่ไรก็อย่างนั้น  อย่าไปเครียดกันแบบนั้น เรื่องล้วนแล้วเป็นเช่นนั้นเอง  
ต้องทำใจให้เป็น เรื่องราวไม่สืบสาว  การรู้มากไปแกว่งเท้า ทำให้ลังเลการปลงใจ  
* คนยิ่งเยอะจะมีแต่เรื่องแยะตาม  เป็นคนเอาความไม่สุขสันต์
** บุกลุยไฟบุกน้ำด้วยซ้ำไป  ไม่อาจทนแค่สิ่งนั้น  เล็กเล็กที่ตำใจได้ทุกคืนวัน  พึงรู้มันเป็นเช่นนั้น
*** คนทำใจเหมือนกัน ไม่เก่งเหมือนกันหนา  เมื่อไรที่ใจอ่อนล้า  เก็บถ้อยคำนี้ไว้ทำใจ    ซ้ำ (*, **, **, ***, ___)
ทำนองเพลง : ไม่ท้อ
ชื่อเพลง : ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
วันนี้เป็นวันดีอีกวันหนึ่งที่เราได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกๆ ท่าน ไม่ทราบว่าต้อนรับเราไหม (ต้อนรับ)  แม้เราจะเป็นคนพิการ พิการร่างกายแต่หัวใจไม่พิการ  เราไม่สะดวกเวลาเดินไปไหน อย่าเพิ่งรำคาญนะ ชีวิตก็ยากจะกำหนด ยากจะล่วงรู้อนาคตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าอนาคตที่จะเกิดขึ้นจะดีหรือร้าย จะออกมาสมบูรณ์หรือว่าบกพร่อง ฉะนั้นถ้าขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วเราต้องกล้ารับทุกสภาพ  ยอมรับความเป็นจริงในทุกรูปแบบ ชีวิตเราถึงจะก้าวหน้าต่อไป เราไม่สามารถเลือกรูปแบบของชีวิตได้ตลอด ฉะนั้นถ้าบางครั้งรูปแบบของชีวิตเสนอมาให้เราต้องย่ำแย่ สิ่งที่จะรับมือกับความย่ำแย่คืออะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่หัวใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์กลัวกันที่สุดคือความทุกข์ยาก ความลำบาก ความเจ็บปวด แต่จริงๆ แล้ว ในความทุกข์ยาก ความลำบาก ความเจ็บปวดนั้น ก็ยังมีสิ่งดีๆ แอบแฝงอยู่ และสิ่งดีๆ ก็คือภูมิปัญญาที่คิดได้ ก็คือหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่ามองว่าเราเกิดมาย่ำแย่เพียงคนเดียว อย่ามองว่าเราเกิดมาโชคร้ายอยู่คนเดียว จริงๆ แล้วในโลกนี้ยังมีคนแย่กว่า ยังมีคนโชคร้ายกว่า ใช่ไหม (ใช่)  
เมื่อสักครู่ร้องเพลงมีความสุขไหม (มี)  แล้วเรามาทำให้ท่านทุกข์ใจไหม (ไม่)  เพราะถึงที่สุดแล้วเรื่องราวอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เป็นเช่นนั้นเอง เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้ มีแต่ยิ้มสู้เข้าไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อวานก็คือเมื่อวาน วันนี้ก็คือวันนี้ อดีตผ่านไปแล้ว บางครั้งเรามัวติดกับอดีตไม่มีประโยชน์ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน  เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วแม้จะดีขนาดไหนแต่ถ้าปัจจุบันเลวร้ายท่านจะรับได้หรือไม่  ต้องรับให้ได้นะ ถ้ารับไม่ได้แล้วท่านจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร  ท่านเคยได้ยินไหมว่าความทุกข์มา อย่าทำให้เราท้อ แต่ความทุกข์มา ต้องทำให้เราฉลาด ถึงสูญเสียไปแต่อย่าให้ใจเสียศูนย์ เคยได้ยินไหม (เคย)  อะไรที่สูญเสียไปแต่หัวใจต้องไม่เสียศูนย์ ชีวิตทำให้เรารู้จักเสีย แต่ถ้าเราคิดได้เรามีปัญญา สิ่งที่เสียก็อาจจะเป็นสิ่งที่ได้ สิ่งที่ทุกข์ก็อาจจะกลับกลายเป็นสิ่งที่สุขด้วยปัญญาของเราเอง ไม่ใช่เกิดเป็นคน นิดๆ หน่อยๆ ก็บอกว่าไม่ไหว ไม่ได้ ไม่สู้  ระยะทางมีไว้เพื่อพิสูจน์ทั้งพลังกายและพลังหัวใจ  
ฉะนั้นถึงวันหนึ่งชีวิตจะต้องพิกลพิการหรือสูญเสียอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าหัวใจเราบอกว่าต้องสู้ ต้องสู้ต่อไป ปัญญาของเราก็จะค้นหาทางออกมาให้จงได้ว่าเราจะสู้อย่างไรเมื่อเราสูญเสีย  เราจะสู้อย่างไรเมื่อเราเจ็บปวด ขอเพียงไม่งอมืองอเท้า หัวใจนี้ก็ไม่มีวันเป็นผู้แพ้ได้หรอก ฉะนั้นท่านอย่ายอมแพ้คนพิการที่แม้จะพิการทางกายแต่หัวใจนั้นเข้มแข็งนะ
“เปลี่ยนระบบความคิดชีวิตดี”  มนุษย์นั้นมักจะพูดว่า สิ่งดีก็ต้องมีดี สิ่งร้ายก็ต้องมีร้าย  ไม่เสมอไปหรอกนะ  ในดีก็อาจมีร้าย และในร้ายก็อาจจะมีดี ใช่ไหม (ใช่)  
“ไม่มีความสุขใดแทนที่ทุกข์”  บางครั้งมนุษย์ต้องพบกับความเจ็บปวด พบกับความพลัดพราก จนทำให้สูญเสียพลังศรัทธาในตัวเอง  แต่อย่าลืมว่าความพลัดพรากเจ็บปวดทำให้เราเรียนรู้ว่ายังมีสิ่งที่งดงามยิ่งกว่าสิ่งที่เราสูญเสีย นั่นก็คือกำลังใจ ใช่ไหม (ใช่)  กำลังใจได้ตอนไหน ก็ได้ตอนที่เราแย่ที่สุด ทุกข์ที่สุด มิตรที่แท้ได้ตอนไหน คนที่ไม่รักเราจริงได้ตอนไหน (ทุกข์)  ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ ที่มนุษย์เรียกว่าเจ็บปวด แท้ที่จริงแล้วก็ยังมีกำลังใจที่งดงามรายล้อมอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ในโลกแห่งความเป็นจริงมีทั้งสิ่งที่เรียกว่าสวยงามและสิ่งที่เรียกว่าน่าเกลียด มีทั้งเรียกว่าดีและเรียกว่าร้าย  เราเลือกไม่ได้ แต่เรากำหนดชะตาชีวิตเราเองได้ ถึงเขาจะทำให้เราเจ็บปวดแต่เราก็สามารถไม่เจ็บปวดตามคำพูดได้ ถึงฟ้าจะทำให้เราต้องทุกข์ทน แต่เราไม่ทุกข์ทนและก็มีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
เราคือหนึ่งในแปดเซียนองค์ที่อัปลักษณ์ที่สุด รูปร่างก็แย่ที่สุดรู้ไหมองค์ไหน (ท่านหลี่เถียไกว่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีแต่รูปสวยๆ พระพักตร์ดีๆ เราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ที่สุด รูปร่างก็แย่ที่สุด แต่เราก็ยังเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ฉะนั้นอย่าดูถูกดูเบาตัวเอง ท่านยังหน้าตาดีกว่าเราเยอะ สภาพก็ดีกว่าเราเยอะ ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ในการมุ่งมั่นที่จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีให้ถึงที่สุด อย่างนั้นฟังสองวันนี้ มีโอกาสจะกลับมาฟังกันอีกไหม (มา)
(นักเรียนในชั้นร่วมร้องเพลง “ต้อนรับ” เพื่อเป็นการต้อนรับ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์)  
ยินดีต้อนรับเราจริงไหม (จริง)  ทุกท่านคงจะสบายดีนะ (สบายดี)  แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างก็ขอให้เข้มแข็งกันไว้นะ เราเห็นหน้าเกือบหมดทุกท่านแล้ว อยากนั่งกันหรือยัง (ยัง)  เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  
(นักเรียนในชั้นร่วมกันเรียนเชิญท่านหลีเถียไกว่ต้าเซียนนั่ง) ท่านรีบนั่งก่อนเถอะกว่าเราจะเดินไปถึงอีกไกลเลยนะ อาจารย์ของท่านมีองค์เดียวนะคืออาจารย์จี้กง เราเป็นแค่ผู้ช่วยหนุนนำเท่านั้นเองนะ นั่งเถิด
การจะรู้จักกัน จะพบเจอกันล้วนต้องมีบุญสัมพันธ์ร่วมกัน ถ้าไร้ซึ่งบุญสัมพันธ์ร่วมกันแล้วแม้เจอกันซึ่งๆ หน้าก็ไม่ใคร่จะรู้จัก แม้เห็นหน้ากันตรงๆ ก็ไม่คิดอยากจะยินดีใคร่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นักเรียนในชั้นนี้ต้องมีบุญร่วมกับเรามาไม่มากก็น้อย ใครที่อยู่ไม่ได้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเพราะเรากับเขาอาจจะไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา เรื่องในโลกนี้บางครั้งอย่าไปคิดให้มากเลย ว่ากันไปให้ถึงที่สุดมันเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  
มนุษย์เราทุกข์เพราะเรื่องอะไรกันบ้าง (ไม่มีเงิน)  จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่ได้ทุกข์เพราะไม่มีเงินนะ มีเงินแต่ไม่พอ น่าจะทุกข์เพราะว่ารู้สึกไม่พอเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือมีเงินแต่มีแค่ตัวเงินแต่หัวใจยังไม่รู้สึกว่ามีเสียที ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกับมีคนรักเยอะ ใจเรากลับไม่รู้สึกว่ามีใครรักเราจริงๆ เสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้จริงแล้วมีไหม (มี)  แต่หัวใจเรากลับไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่หัวใจรู้สึกพอ ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มี แม้เงินเพียงน้อยนิดเราก็ยิ้มได้ จริงไหม (จริง)  เคยได้ยินไหมว่า “มีมากก็เจ็บมาก มีน้อยก็เจ็บน้อย”  แล้วถ้าไม่มีจะเจ็บอะไร  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่กลายเป็นว่าชีวิตนี้ เกิดมาไม่มีเงินไม่ได้ อย่าลืมว่าเงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้  และซื้อหัวใจที่ทำให้เรารู้สึกพอไม่ได้ อย่าคิดว่าเงินสำคัญที่สุด เขาตอบได้ดีเพราะเขาเป็นกุญแจให้กับประตูของท่านทุกๆ บาน  ถูกหรือไม่ (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ร่วมตอบคำถาม)
(ทุกข์ในการเกิดแก่เจ็บตาย)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ตายก่อนตาย ดับก่อนดับ  ถ้าทำได้มีชีวิตอยู่จะพ้นทุกข์นิรันดร์”  เข้าใจปริศนาธรรมอันนี้ไหม เหมือนพระพุทธะท่านสำเร็จก่อนที่ท่านจะสูญสิ้นกาย ท่านดับกิเลสหมดสิ้นก่อนที่จะดับสิ้นกาย นั่นก็คือตายก่อนตาย ดับก่อนดับนั่นเอง  เราอยากหยุดความทุกข์ อยากพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องหยุดการเกิดให้ได้ เมื่อไรที่เราหยุดการเกิดได้ เมื่อนั้นเราก็สามารถพ้นทุกข์ได้  แต่มนุษย์ยิ่งเกิดมาก็ยิ่งมีแต่อยากไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะอะไรอีก  
(กายกับใจไม่เป็นดั่งที่ปรารถนา)  ส่วนใหญ่ใจจะไม่เป็นดั่งที่ปรารถนามากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องเกิดอย่างหนึ่งแต่ใจคิดอย่างหนึ่ง  ฉะนั้นมนุษย์ผู้ประเสริฐต้องพยายามเป็นในสิ่งที่ต้องเป็น อย่าพยายามเป็นในสิ่งที่น่าจะเป็นหรืออยากจะเป็น เราพูดยากเกินไปไหม  
ถามว่าสวย กับไม่สวย เราอยากเป็นอะไรมากกว่ากัน (สวย)  ถ้าตอนนี้เราเกิดมาเป็นคนไม่สวย เราควรจะเป็นในสิ่งที่ต้องเป็น หรือสิ่งที่น่าจะเป็นแล้วมีสุขกว่ากัน (ต้องเป็น)  ถ้าสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นนั้นไม่ใช่ของเรา แล้วเราต้องพยายามขวนขวาย ไม่ทุกข์ทรมานหรือ สู้เราเป็นในสิ่งที่เราต้องเป็นแล้วมีความสุข เคยเห็นไหมบางคนหน้าไม่สวยแต่จิตใจกลับสวย แต่บางคนสวยแต่รูปจูบไม่หอม อย่าลืมนะว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงมีถมเถไป
มนุษย์ทุกข์กับอะไรอีก (มีกิเลสมาก) กิเลสอะไรที่ทำให้ท่านทุกข์มากที่สุด ความโกรธหรือความอยาก (ความอยาก) (โลภ โกรธ หลง ไม่มีก็ไม่ทุกข์) แล้วตัดได้บ้างหรือยัง (ได้บ้างแล้ว) อะไรที่ตัดง่ายที่สุดระหว่างโลภ โกรธ หลง (โลภ) โลภตัดง่ายสุดใช่ไหม อย่างนั้นห้ามได้แอปเปิ้ลนะ ทุกข์เพราะ (ห่วง) มนุษย์ทุกคนล้วนมีอารมณ์ อารมณ์มีอยู่สองแบบคือ ปฏิเสธสมบูรณ์ กับยึดติดตายตัว ถ้าทำแล้วต้องได้ แล้วผลสรุปก็ต้องลงคำว่า “ได้”  ไม่มีทาง “ไม่ได้” ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพอได้คำตอบว่า “ไม่ได้” ก็เลยทำใจไม่ได้ ส่วนสิ่งที่บอกว่าต้อง “ไม่ได้” กลับ “ได้”  ขึ้นมาก็ทำใจไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ในโลกใบนี้มีเรื่องที่เราชอบและไม่ชอบ เมื่อไรสิ่งที่เราได้มา เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นสิ่งที่เราชอบเราก็เรียกว่า “สุข” แต่เมื่อไรกลายเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็เรียกว่า “ทุกข์” ฉะนั้นถ้าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราชอบและชัง เราจะสุขจะทุกข์ตรงไหน ใช่ไหม (ใช่) แต่เพราะมนุษย์ยังอดไม่ได้ จิตใจแกว่งไปชอบและไม่ชอบ
ความห่วงเป็นสิ่งที่ตัดได้ยากเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าห่วงไปถึงที่สุดแล้ว คนทุกคนมีชะตาเป็นของตัวเอง เราควบคุมกำหนดเขาไม่ได้ แล้วเราก็ตีกรอบระมัดระวังเขาไม่ได้ ถึงเวลาถ้าเขาเลือกจะทำไม่ดี แม้ท่านจะพยายามอบรมบ่มสอนให้ดีอย่างไร เขาก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
ตอนนี้แข็งแรงไหม (ไม่ค่อยแข็งแรง) มนุษย์เราเมื่อไรที่เจ็บปวด น่าจะดีใจนะ เพราะความเจ็บปวดเป็นตัวเตือนให้มนุษย์รู้ว่า มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ถ้าหากวันใดไม่เจ็บ ไม่ปวดเลย ตายทันทีเอาไหม (ไม่เอา)  โรคยังไม่ทันเข้ามาเลย แต่ไปแล้ว เอาไหม (ไม่เอา)  ความเจ็บปวดเป็นสิ่งเตือนให้มนุษย์รู้ว่าเรามีการดำเนินชีวิตที่ผิดปกติ เหมือนเมื่อไรที่เราเจ็บใจ ปวดใจ นั่นแปลว่าเรากำลังวางใจผิดปกติหรือ ความเจ็บเป็นสิ่งที่คอยเตือนให้มนุษย์รู้จักระมัดระวังรักษา แล้วเดินไปสู่ความปกติ  ฉะนั้นอย่ารังเกียจความเจ็บปวดเลย
(ความอยาก ถ้าเราตัดความอยากได้เราก็จะไม่ต้องทุกข์)  พูดได้ดีนะ  แต่สิ่งที่ยากนั่นก็คือจะทำอย่างไรให้ทำได้ตามที่พูด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะเราอยู่ในโลกนี้ที่อยากได้ อยากมี อยากเด่น อยากดัง  ฉะนั้นเมื่อได้ดีและเด่นดังแล้ว บางทีเราจึงรู้ว่าการเป็นคนธรรมดาสามัญนั้นดีที่สุด ยิ่งเด่นยิ่งดังคนก็ยิ่งจับผิดง่าย คนอิจฉาเยอะ  แล้วถ้าเด่นดังไม่ดีสมคำเด่นดัง คนก็ประณามหยามเหยียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้เป็นคนธรรมดาสามัญไม่ดีกว่าหรือ
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ได้อีกอย่างก็คือ เป็นคนเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือสาไปหมด  เรื่องหยุมหยิมก็เอาไปเป็นเรื่องเป็นราว พูดผิดหน่อยก็ไม่ได้ ทำอะไรขัดหูขัดตาหน่อยก็รำคาญ หรือที่มนุษย์ชอบพูดว่าเป็นคนหงุดหงิดง่าย  พอหงุดหงิดง่าย เห็นอะไรก็ทำให้อึดอัดรำคาญและเป็นทุกข์ใจ แต่สาเหตุที่ทำให้หงุดหงิดง่ายก็เพราะอารมณ์ไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเหตุแห่งทุกข์ของมนุษย์มีหลายอย่าง แต่เราอยากให้ท่านตอบแล้วเราจะไขปัญหาให้ท่านทีหลังดีไหม (ดี)  เพราะการศึกษาธรรม ไม่ใช่เพื่อมาให้ท่านเอาแต่ฟัง  แต่การศึกษาธรรมแล้วไปให้ถึงธรรมที่แท้จริงก็คือการรู้แจ้งประจักษ์จริงด้วยตัวเอง  เอาสิ่งที่เข้าใจนั้นไปลงมือและปฏิบัติจริงได้  ไม่ใช่ฟังแล้วเพียงเข้าใจ แต่ฟังแล้วต้องไปให้ถึงและเข้าให้ถึงซึ่งธรรมด้วยนะ
(ทุกข์เพราะความรัก)  ไปที่ไหนก็เจอคำตอบนี้เหมือนๆ กัน  ไม่มีความรักเลยดีไหมจะได้ไม่ต้องทุกข์ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าจะมีรักก็ต้องรักให้เป็น อย่ารักอย่างคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ อย่ารักอย่างคนที่รักตัวเองมากกว่ารักผู้อื่น  ถ้าเราส่งรักแท้ให้ มีหรือจะไม่ได้รักแท้ตอบ  ถ้าเราดูแลรักแท้ให้เป็น มีหรือเราจะไม่ได้รักแท้ตอบแทน  แต่มนุษย์มักจะบอกว่า เราจะรักใครได้ก็ต่อเมื่อเขาทำให้เราพึงพอใจ  สิ่งที่ทำให้เราพึงพอใจ หาใช่เรียกว่ารักแท้ แต่นั่นเรียกว่ารักตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ต้องเสียใจนะ อยากจะรักผู้อื่นเป็น ต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน ถ้ารักตัวเองไม่เป็นจะรักผู้อื่นเป็นไหม อยากจะรักผู้อื่น ต้องรักพ่อแม่ตัวเองให้ได้ก่อนนะ ไม่ต้องเศร้า เข้มแข็งไว้
เวลาทำดีทำเด่นแล้วมีคนอิจฉาท่านน่าจะดีใจนะ แปลว่าเราทำได้ดีได้เด่นจริงๆ เขาถึงอิจฉา แต่ถ้าไม่มีดีไม่มีเด่นให้เขาเห็นจริงๆ เขาไม่คิดอิจฉาหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ขนาดพระพุทธรูปมีใครบ้างไม่ติ ยังบอกเลยว่าองค์นั้นสวยกว่าองค์นี้ องค์นี้หน้าเหมือนผู้ชายองค์นี้ทำไมเป็นผู้ชายแต่หน้าเหมือนผู้หญิง ขนาดพระพุทธรูปยังโดนติเลยแล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ ย่อมมีคนชมและมีคนว่า ย่อมมีคนติและมีคนถากถางเป็นธรรมดา มองเสียว่ามีคนชมก็มีคนว่า แปลว่าเรามีดีไม่น้อยเขาถึงคิดอยากว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความสุขที่แท้จริงคือความว่างเปล่า ถ้าท่านเข้าใจถึงวุ่นวายได้ ท่านจะเดินเข้าไปสู่ความสงบเข้าใจไหม เหมือนมนุษย์อยากหาความสงบ อยากหาความสุข เราอยากบอกท่านว่าสิ่งที่สุขที่สุดนั่นก็คือสิ่งที่ธรรมดาที่สุด ถ้าพอใจกับสิ่งที่ธรรมดาที่สุดและมีความสุขได้คือสุขอันแท้จริง  มนุษย์ทุกคนมีใครบ้างที่ไม่มีความธรรมดาที่สุด มีอยู่ทุกคนแต่มนุษย์กลับไม่คิดว่ามันคือสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ที่สุดของการดับทุกข์คืออะไร ใช่กลับไปสู่ความว่างเปล่าหรือไม่ แต่จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนก็มาจากความว่างเปล่าไม่ใช่หรือ แล้วเรากำลังจะหาอะไร ไม่มีอะไรที่ต้องหา เพียงแค่สงบใจและพอใจในสิ่งที่ตัวเองพึงมีพึงได้ นั่นก็คือการกลับไปสู่ความสุขอันแท้จริงแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ทำให้เราได้รู้จักความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความพลัดพราก นั่นคือความจริงที่ทำให้เรารู้จักปล่อยวางสิ่งที่เราอยากจะยึด เพราะสัจจะความเป็นจริงของโลกใบนี้คือความไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่นอน ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง และไม่มีอะไรที่เรียกว่าตัวตน แม้ร่างกายนี้ก็หาใช่ของเราไม่ แม้เสื้อผ้าที่เราใส่ตัวนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เราล้วนยืมเขาใช้ เงินก็ผลัดกันชม ลองจับเงินดูแล้วลองพลิกๆ ดูแล้วมองให้ลึกๆ สิจะรู้ว่าเงินนี้ผ่านมากี่ร้อยกี่พันมือแล้ว และเราก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เงินนี้ผ่านเข้ามา ใครเป็นเจ้าของเงินนี้ได้อย่างแท้จริงเล่า ฉะนั้นทรัพย์สินผลัดกันชม ร่างกายสังขารเปรียบเหมือนศาลาที่ยืมใช้ชั่วครั้งชั่วคราว ฉะนั้นเราเป็นเพียงผู้มายืมอาศัย แต่เราจะมาอาศัยเพื่อสร้างสิ่งใดให้กับตัวเองนั่นสำคัญกว่า จริงไหม (จริง)  
“บุกลุยไฟบุกน้ำด้วยซ้ำไป   ไม่อาจทนแค่สิ่งนั้น”  
มนุษย์บางคนเก่งกาจสามารถ  ความรู้สามารถไปได้สูงที่สุดเท่าที่จะไปได้  ความสามารถสามารถบุกเบิกได้เท่าที่ตัวเองจะสามารถคิดค้นได้  แต่บางครั้งก็พ่ายแพ้ในเรื่องที่เล็กๆ น้อยๆ เอง จริงไหม (จริง)  ฝ่ายชายมักพ่ายแพ้อะไรมากที่สุด (ความผิดหวัง) จากอิสตรีใช่ไหม  มีใครบ้างไม่เจ็บปวดเพราะอิสตรี เข้มแข็งขนาดไหนก็พ่ายแพ้ความอ่อนโยน อ่อนโยนขนาดไหนก็พ่ายแพ้ความดื้อด้าน  ฉะนั้นเพราะความมีถึงทำให้มนุษย์ทุกข์
เราอยู่ในโลกนี้ มนุษย์ไม่สามารถเห็นได้แต่ดอกไม้หอม โดยไม่เห็นยาพิษ ไม่สามารถเห็นกิเลนหรือมังกรได้โดยไม่เห็นพญามารและปีศาจ  แต่สมัยนี้คงไม่มีกิเลนมังกรให้ท่านเห็นแล้วใช่หรือเปล่า  ยาพิษก็มองไม่เห็นแล้ว  มีแต่ดอกไม้หอม เราอยากจะบอกท่านว่าในดอกไม้หอมบางทีก็แฝงพิษ ในกิเลนมังกรบางทีก็แฝงอสรพิษชั่วร้าย จริงหรือไม่  เราเกิดเป็นคน ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักใคร่ศึกษาเรียนรู้ ไม่รู้จักยกระดับภูมิปัญญาก็จะทำให้เรานั้นยากที่จะแยกแยะว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรดีอะไรร้าย  ฉะนั้นเราจึงหลีกไม่พ้นที่จะต้องเผชิญต่อสู้กับอุปสรรคนานับประการ และสิ่งที่ไม่พึงประสงค์นานับแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เรามีจิตใจเข้มแข็งรับมือกับสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ก็คือ เราต้องกล้าที่จะฉีดพิษเข้าใส่ตัว
เคยได้ยินไหม อยากมีภูมิคุ้มกันสิ่งใดเราต้องฉีดพิษเข้าไปในตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตั้งแต่เด็กท่านก็ได้รับพิษ จึงเกิดภูมิคุ้มกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นอยากเอาชนะความทุกข์ อยากเอาชนะอุปสรรคที่ท่านหวาดกลัว ท่านจะต้องกล้าลงไปดำผุดดำว่ายในสิ่งที่ท่านกลัวนั้น ด้วยการศึกษาเรียนรู้อย่างมีจิตสำนึก และเรียนรู้อย่างย้อนมองส่องตนด้วยใจที่เป็นกลาง สิ่งที่มากระทบนั้นจะเกิดกี่ครั้งก็ตาม จะเป็นพิษร้ายก็ตาม สิ่งนั้นกลับเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้เราเกิดสติปัญญาและภูมิคุ้มกัน การอยู่ของความทุกข์ยากและความชั่วร้ายที่เราหวาดกลัว กลับจะทำให้เรายิ่งเข้าใจและมองได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น ฉะนั้นเมื่อมีทุกข์อย่ากลัวทุกข์ จงกล้าที่จะเผชิญกับความทุกข์แล้วมองให้ออกว่าทุกข์นั้นเป็นทุกข์แบบใด เป็นทุกข์ที่ต้องอาศัยเวลาในการเยียวยา หรือเป็นทุกข์ที่ต้องหาสาเหตุเพราะปัญหานั้นเกิดจากเรา เมื่อไรที่เรากล้าฉีดทุกข์ให้กับตัวเมื่อนั้นเราจะมีภูมิคุ้มกันแห่งความทุกข์  แล้วต่อไปทุกข์จะเกิดกี่ครั้ง ก็กลับทำให้เรามองเห็นตัวเองได้ชัดเจนขึ้น แล้วเอาชนะทุกข์ได้ไวยิ่งขึ้น ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ากลัวความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มองเห็นชีวิตได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น
(นักเรียนในชั้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิดจริงไหม)
จริง ถ้าไม่มีอุปสรรค เราหรือจะเป็นผู้แข็งแกร่ง ถ้าไม่มีภาวะที่บีบคั้นเราหรือจะได้วีรชน ฉะนั้นเราอย่ากลัวอุปสรรค อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะอุปสรรคและความยากลำบากทำให้คนจริงยิ่งจริงขึ้น ทำให้คนดียิ่งเป็นคนดีเข้มแข็งขึ้น แต่คนที่ไม่ใช่คนดีจริงจึงแพ้และหวาดกลัวอุปสรรค ถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทุกข์เพราะการเปรียบเทียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบตัวเองระหว่างอดีตกับปัจจุบัน อดีตเคยมี แต่ปัจจุบันไม่มีก็ทุกข์ อดีตไม่มี ปัจจุบันมีก็ทุกข์ เพราะมีในสิ่งที่ไม่อยากมี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์เปรียบเทียบสิ่งที่มีค่าและสิ่งที่ไม่มีค่า ถ้าเมื่อไรมนุษย์ไร้การเปรียบเทียบแล้ว เราก็จะมองเห็นทุกสิ่งนั้นเท่าเทียมกัน ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง หาได้มีสิ่งใดสูงค่าหรือด้อยต่ำค่ากว่ากันไม่ แต่เพราะว่าเป็นธรรมดาของโลกใบนี้ มีหนึ่งก็มีสอง มีสองก็มีสาม มีเด็กก็มีผู้ชรามีคนผอมก็มีคนอ้วน มีคนหน้าตาดีก็มีคนหน้าตาไม่ดี มนุษย์เราเลยอดยึดติดผูกพันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรารู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นและไร้การเปรียบเทียบแล้ว ความทุกข์จะกัดกินใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะแท้จริงแล้วสรรพสิ่งนั้นต่างเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่เนื้อแท้ภายในล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ล้วนอยู่ในวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตายไม่ต่างกัน สวยยังไงก็ต้องมีเกิดแก่เจ็บตาย เก่งยังไงก็ต้องมีเกิดแก่เจ็บตาย ดีขนาดไหนก็ยังมีเกิดแก่เจ็บตาย ฉะนั้นถ้าเกิดเรามองสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันก็คงไม่มีสิ่งใดที่สูงค่าสิ่งใดด้อยค่า สิ่งใดดีสิ่งใดร้ายหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ท่านทุกข์เพราะอะไรบ้าง (คิดมาก, ปัญหาเยอะ)  เราอยากบอกว่าบางทีปัญหาแก้เฉพาะหน้าอย่าคิดไกล มีปัญหาตรงนี้แก้แค่ตรงนี้ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงปล่อยไป ยอมรับกับพรุ่งนี้ มีชีวิตอยู่เพียงวันๆ หนึ่ง คิดมากแล้วรู้ได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตอยู่อีกไหม ฉะนั้นคิดแค่เท่าที่วันหนึ่งเจอและทำเวลาที่เหลือให้มีความสุข ชีวิตนี้ยังมีเรื่องสนุกๆ อีกเยอะไม่ใช่หรือ ฉะนั้นบางอย่างยอมรับได้ต้องยอมรับ ปลงได้ก็ต้องปลง สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับบุรุษก็คือความกล้าหาญสู้กับความจริง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าทำถึงที่สุดแล้วบทสุดท้ายจะล้มเหลว เราก็ต้องกล้ายอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ความเข้มแข็งกล้าหาญมีอยู่ในตัวท่าน อยู่ที่ท่านจะเอาออกมาใช้เมื่อใดเท่านั้นเอง
เราอยากบอกว่าชีวิตมนุษย์ เวลาที่สำคัญที่สุดคือเวลาขณะนี้ และคนที่สำคัญที่สุดคือคนที่อยู่ตรงหน้านี้ และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่เราทำระหว่างเขากับเราตรงนี้  ถ้าวันนี้ทำได้ดี ขณะนี้ทำได้เหมาะสม ขณะนี้ต่อหน้าคนนี้ทำได้ถูกต้อง อนาคตหรืออดีตเราก็ไม่ต้องกลุ้มกังวล ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์มีเวลาเดียวคือเวลาปัจจุบันนี้ และคนที่เราควรจะดีด้วยก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้  อย่ามัวแต่ห่วงคนข้างหลังจนลืมดูแลคนข้างหน้าที่อยู่ปัจจุบัน เพราะหลายต่อหลายคนชอบทิ้งคนที่อยู่ข้างหน้า มัวแต่ห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง จึงทำให้ต้องเสียโอกาสดีๆ ไปหลายต่อหลายครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในการเกิดเป็นคน สิ่งที่เราควรรักษาไว้ให้ดีที่สุดมีอยู่สามอย่าง คือ
“เวลา” ก็คือชีวิต ถ้ารู้จักรักษาเวลาก็เป็นผู้รักษาชีวิต ถ้าเป็นผู้รู้จักถนอมเวลาก็เป็นผู้รู้จักถนอมชีวิต แล้วมนุษย์เราเป็นคนรู้จักรักษาเวลาไหม ให้พักสิบนาที เรากลับพักเกิน เมื่อไรที่เราทำลายเวลา เราก็เท่ากับทำลายชีวิตตัวเองและทำลายชีวิตผู้อื่น  คนที่รักษาเวลาคือคนที่รักษาชีวิตตัวเองและรู้จักถนอมรักษาชีวิตผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ส่วน “โอกาส” ผู้ฉลาดมักจะไม่เป็นผู้เอาแต่รอโอกาส แต่จะทำทุกเวลาให้เป็นโอกาส ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้ว “คำพูด” ล่ะ ต่อให้เป็นม้าดีถ้าพูดผิดแล้วก็วิ่งตามคำพูดคืนไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาเวลาพูดมีอยู่สามอย่าง พูดแล้วทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้อย่าพูด พูดแล้วมีดีไหม ถ้าพูดแล้วไม่มีดีอย่าพูด พูดแล้วเป็นจริงไหม ถ้าพูดแล้วไม่เป็นจริงอย่าพูด เมื่อนั้นการมีชีวิตอยู่ของเราก็จะเป็นการมีชีวิตอยู่ที่มีคุณค่า คำพูดก็เป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ เรื่องอะไรที่ไม่ได้กลั่นกรองจะไม่พูดออกจากปาก เรื่องอะไรที่พูดแล้วทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีจะไม่ยอมพูดออกจากปาก ฉะนั้นขอให้รักษาสามอย่างให้ดี ท่านก็กลายเป็นคนที่มีค่าได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง” ทำนองเพลง “ไม่ท้อ”)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เพชรในตม”)
“เพชรในตม” แปลว่า บุคคลที่มีค่าที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งาน  มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่มีค่าอยู่ในตัว ที่ไม่เคยเอาออกมาใช้งาน  แล้วเราล่ะมีสิ่งที่มีค่าอยู่เช่นไรที่ไม่เคยเอาออกมาใช้งาน
ทำจริงย่อมไม่ย่อท้อ แม้จะเจอลำบากก็ไม่กลัว  แม้จะเจออุปสรรคก็ไม่ถอย เมื่อมุ่งมั่นแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด  แม้ตราบลมหายใจหมดสิ้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นนั้น  คนเราจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ต้องมีอุดมการณ์ต้องมีความมุ่งมั่น  ฉะนั้นจะเป็นคนดีขนาดไหนแต่ถ้าไร้ความมุ่งมั่น ไร้อุดมการณ์ ก็ย่อมไปไม่ถึง  เพชรก็ยังกลายเป็นเพชรที่อยู่ในตม ไม่มีวันถูกนำขึ้นมาเจียระไนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอุปสรรคความยากลำบากคือสิ่งที่เจียระไนจิตใจของเราให้เข้มแข็งและเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ากลัวอุปสรรค อย่ากลัวความทุกข์  เพราะเมื่อไหร่ที่เราเอาชนะความทุกข์ได้ สุขก็อยู่ที่หัวใจ  
วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้  จิตใจที่ยิ่งใหญ่ คือจิตใจที่กว้างไกลเหมือนท้องฟ้า ยอมรับได้ทุกสภาวะไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้าย ทำทุกอย่างโดยไม่หวังผลตอบแทน อุทิศตนเพื่อประชา  
เกิดเป็นคนเมื่อมุ่งมั่นอะไรแล้วขอให้ไปให้ถึงที่สุด ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อย่ามีชีวิตเพียงเพื่อตัวเอง แต่จงรู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นบ้าง ได้ไหม (ได้)  เอาอะไรให้เขาถ้าไม่ใช่ธรรมะ ให้เงินให้ทอง สักวันหนึ่งเขาก็กลับมาขออีก ไม่สู้ให้คุณธรรมความดีงาม โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำให้ได้ทำให้ดี ลำบากอย่างไรก็ไม่ท้อ ทำให้เขาเห็นว่าทำดีตัวเราก็ได้ดี  พยายามเข้านะ เชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ก็เป็นเพชรในตมได้  ค้นหาความดีงามของตัวเองให้เจอ แล้วรู้จักนำเอาความดีงามนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่น
(มีนักเรียนถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า คนกินสัตว์กันเยอะ ทำให้มนุษย์ทุกวันนี้มีใจเหมือนสัตว์ มีลูกที่ฆ่าพ่อแม่  ถามว่าสัตว์มาเกิดเป็นคนได้ไหม คนถึงมีใจเหมือนสัตว์)
เราอยากบอกว่าคนเกิดเป็นสัตว์ และสัตว์เกิดเป็นคน จริงๆ แล้วเป็นกงเวียนกงกรรม คนมีโอกาสเกิดเป็นสัตว์ สัตว์มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคน  ท่านเคยศึกษาประวัติพระพุทธองค์ใช่ไหม  แม้จะเป็นเพียงชาดก แต่ในชาดกนั้นถึงจะเกิดเป็นสัตว์แต่สัตว์บางตัวมีคุณธรรมยิ่งกว่ามนุษย์ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วถ้าสัตว์สามารถบรรลุคุณธรรมนั้นได้ สัตว์นั้นก็มีโอกาสจะเกิดเป็นคนเพราะจิตญาณนั้นไม่ต่างกัน อย่าเป็นมนุษย์ในคราบใจของสัตว์เลย อันนั้นน่ากลัวกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ในหัวใจของมนุษย์ทุกๆ คน หากใครมาทำร้ายเราลับหลัง เราโกรธไหม (โกรธ) ใครมาทำร้ายเราโดยที่เราไม่ได้อนุญาตเราเกลียดไหม (เกลียด)  แล้วสัตว์ที่ท่านฆ่าบางครั้งท่านทำร้ายเขาลับหลัง ทำร้ายเขาทีเผลอ ฆ่าเขาเพียงเพราะอยากเล่นสนุก อย่าไปสนใจเลยว่าคนเกิดเป็นสัตว์ หรือว่าสัตว์เกิดเป็นคน แต่สนใจที่ว่ามนุษย์เรามีใจที่ประเสริฐยิ่งกว่าสัตว์หรือเปล่า นั่นสำคัญกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราทำอะไรต่างหาก อย่ามัวสนใจคนอื่น ถ้าตัวเราทำได้ดีแล้ว คนอื่นก็ทำร้ายอะไรเราไม่ได้ ถ้าหัวใจเราวางได้ประเสริฐแล้ว ใครจะทำร้ายใจอันประเสริฐนี้ก็ทำร้ายไม่ได้
ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ท่านฆ่าชีวิตเราได้ แต่ท่านฆ่าหัวใจอันดีงามของเราออกไปจากใจเราไม่ได้” ให้ความสำคัญกับชีวิตให้ถูกต้อง การบำเพ็ญธรรม คือ เข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ดูแลตัวเองให้ดีและนำพาตัวเองให้ดีให้ได้ การจะนำพาผู้อื่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียวตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด แต่คิดจะไปเข้มงวดนำพาคนอื่น นั่นคือความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขออภัยนะ เราก็ไม่อยากพูดด้วยน้ำตาหรอก  แต่บางทีก็อดไม่ได้ ถ้ามนุษย์ยังมัวสงสัยอยู่ในเรื่องที่ไม่ควรสงสัยก็ไม่มีวันหลุดพ้นหรอกนะ วันนี้เราอาจจะถามคำถามหรือพูดหลักธรรมได้ไม่หมด แต่อยากให้ท่านเอาสิ่งที่เราพูดนี้ไปค่อยๆ พินิจพิจารณา ดูสิ่งจริงแท้ของชีวิตนั้นคืออะไร เกิดมาเพื่อเดินไปสู่การดับ แล้วในชีวิตนี้เราดับอะไรได้บ้าง ถ้าดับได้ก่อนดับนั้นคือผู้ประเสริฐ คือผู้ค้นพบทางอันแท้จริง ถ้าหากดับไม่ได้ก่อนดับ นั่นคือผู้หลง และยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ถึงแม้จะรับธรรมแล้ว แต่ถ้าไม่รู้จักสร้างบุญกุศลช่วยเหลือตัวเอง ฟ้าก็ไม่ช่วยหรอก ฟ้าช่วยคนที่รู้จักช่วยตนเท่านั้น วันนี้คงแค่นี้ หากทำให้ใครไม่พอใจก็อย่าได้ถือโทษโกรธเราเลยนะ มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก





พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “เพชรในตม
ปลุกเร้าความสามารถ กล้าองอาจสู้ชีวิต
คนขยันย่อมลิขิต ชะตาชีวิตในมือตน
ถูกผิดคือบทเรียน ยากจะเปลี่ยนมุ่งมั่นตน
รู้เพียรรู้สู้ทน อุทิศตนเพื่อประชา
รู้ตามและรู้นำ ต่างสำคัญต่างคุณค่า
ผลักดันตนขึ้นมา เป็นแผ่นฟ้าปกแผ่นดิน

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

2551-06-22 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา ( ๑ วัน )


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ใจสูงค่าเพราะเป้าหมายเพื่อเวไนย จิตยิ่งใหญ่สละอุทิศมิหวังผล
ประทีปน้อยจุดต่อเพื่อมวลชน การเริ่มต้นหนทางไกลใจหนึ่งเดียว
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ ความร่วมแรงร่วมใจประสานหนึ่งเดียว
ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยจึงกลมเกลียว ร้อนอารมณ์ทิฐิหยุดเดี๋ยวบำเพ็ญไว
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านสบายดีไหม

เรียนรู้ธรรมนำชีวิตสู่ทางแท้ ความผันแปรเตือนคนหลงให้รู้ตื่น
สรรพสิ่งทั้งดีร้ายสู้กล้ำกลืน ทุกสิ่งคืนธรรมดาและสามัญ
ใช้ธรรมคอยหล่อเลี้ยงเตือนสติ ยั้งอารมณ์กิเลสที่คอยหลงนั่น
ใจรู้พอดีกว่าฟุ้งเฟ้อทุกวัน ถือทิฐิอกุศลนั้นใครได้ดี
คุณค่าคนอยู่ที่ผลของงาน รู้สร้างสรรค์เพื่อผู้อื่นลดตระหนี่
ฝึกใจกว้างหมั่นอภัยอดทนมี ยิ่งยากดียิ่งทดสอบคนแกร่งจริง
ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน หมั่นสร้างบุญมิหวังผลอุทิศยิ่ง
แม้ต้องรับผลกรรมสนองตน จงเข้มแข็งสู้อดทนรับความจริง
ฮิ   ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เราอยู่ในโลกนี้ถึงจะเก่งขนาดไหน ถึงจะมีความรู้ความสามารถมากขนาดไหน แต่ทุกเรื่องที่สำเร็จได้ หาได้เกิดจากคนที่เก่งคนเดียวไม่ ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนหลายๆ คน ย่อมมีทั้งคนที่เก่งและคนไม่เก่งประสานกัน จึงเกิดเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่
เรื่องราวในโลกนี้ย่อมมีคนที่ทำได้และก็ทำไม่ได้ ย่อมมีทั้งคนที่เป็นงานและคนที่ไม่เป็นงานอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นเวลาคนที่เป็นงานอย่างหนึ่ง เราจะดูถูกคนเป็นงานแบบเดียวกับเราไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะเขาเป็นแบบหนึ่ง แต่เขาอาจจะไม่เป็นอีกแบบหนึ่ง สิ่งที่เขาเป็นอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่เป็นก็ได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าตนเองฉลาดไปเสียหมด และอย่าคิดว่าตนเองสำคัญไปเสียหมด เพราะในโลกนี้ทุกคนล้วนสำคัญ  วันนี้มีแต่ผู้ปฏิบัติงานธรรมเต็มไปหมด  แต่ไม่มีเราสักคนหนึ่งงานจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  ใช่ไหม ฉะนั้นก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ยกตัวเองจนข่มคนอื่นว่า “แหมเธอต้องเอาใจฉันสิ”  “ถ้าฉันไม่มานั่งเธอก็ทำงานไม่สำเร็จหรอก” ได้ไหม  (ไม่ได้)  

ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ยกตัวเองได้ก็ต้องข่มตัวเองเป็น ข่มตัวเองเป็นก็ต้องยกตัวเองได้ แต่อย่ายกให้มันสูงเกินไป คนจะมองแบบเหม็นขี้หน้าเอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอก ใจก็เหมือนกัน อย่ามองแค่ตัวเรา บางครั้งใจเราตกบางครั้งใจเรารู้สึกดีขึ้นเพราะอะไร (อารมณ์) ใช่ไหม ชีวิตของมนุษย์ทุกคนผันแปรเปลี่ยนตามอารมณ์ ถ้าชีวิตใช้อารมณ์เป็นผู้นำ อารมณ์ก็พาให้คำพูดและการกระทำเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย พออารมณ์ดีก็ (ดี)  อารมณ์ร้ายพูดก็ (ร้าย)  ทำก็ (ร้าย)  
ชีวิตที่ผันแปรไปตามอารมณ์ เป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนง่าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นเราควรมีชีวิตโดยเอาอารมณ์เป็นตัวนำดีหรือไม่ (ไม่ดี)   วันนี้มีคนชวน “มาฟังธรรมไหม” เราก็บอกว่า “เดี๋ยว!  ขอดูอารมณ์ก่อน”  ใช่ไหม  “อยากมากๆ ก็มา”  “ ไม่อยากก็ไม่มา”   ทำอย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ก็ยังเชื่ออารมณ์ของตัวเองไม่เชื่อใครหรอก แต่พอใช้อารมณ์นำชีวิตทีไร พังมากกว่าดี หรือดีมากกว่าพัง (พังมากกว่าดี)  แล้วยังเชื่ออีกไหม (เชื่อ) จบเลยไม่ต้องพูดต่อแล้ว ใช่หรือเปล่า
ชีวิตคนเรามีลุกขึ้นได้ก็ต้องมีล้มได้เป็นธรรมดา โทษใครไม่ได้  บางคนซุ่มซ่ามเองแท้ ๆ ไปชนโน่นชนนี่แล้วก็ด่าป้าย ด่าโน่น ด่านี่ ทั้งที่น่าจะหันมาว่าตัวเอง ว่าตัวเองนั่นแหล่ะ เซ่อซ่า ถูกไหม เช่นเดียวกัน ความทุกข์ที่ทำให้เราเจ็บปวด แท้จริงแล้วโทษคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เขาว่าเราเจ็บ เขาว่าเราร้าย แต่เราจำเป็นต้องเจ็บต้องร้ายตามเขาหรือไม่ (ไม่จำเป็น)  ขึ้นอยู่กับหัวใจเราเองต่างหาก ใช่หรือไม่  
ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบกายใช่ว่าใจต้องถูกกระทบไปด้วย สิ่งที่ทำให้กายเจ็บปวดใช่ว่าใจต้องเจ็บปวดตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เพราะมนุษย์เคยชินกับกายใจสัมผัสกัน กายปวดใจเลยต้องปวด แต่แท้จริงแล้ว กายปวดใจไม่ต้องปวดก็ได้ จริงไหม  ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมใจเราให้เป็น มนุษย์ควบคุมคนอื่นให้อยู่ในกำมือได้ อยู่ในอำนาจเราได้ แต่ทำไมเราควบคุมใจของเราให้อยู่ในอำนาจของตัวเราเองไม่ได้  อย่าลืมนะว่าตัวเจ็บใช่ต้องใจเจ็บ  เขาว่าให้เราทุกข์ ใช่ว่าใจเราต้องทุกข์ ทำอย่างไรให้ตัวเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ สิ่งที่มากระทบเป็นเพียงกระทบกายแต่หาได้กระทบใจ ความทุกข์ที่มาสัมผัสตัวหาได้สัมผัสใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ ความร่วมแรงร่วมใจประสานหนึ่งเดียว
ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยจึงกลมเกลียว   ร้อนอารมณ์ทิฐิหยุดเดี๋ยวบำเพ็ญไว
ทำงานร่วมกันเป็นธรรมดาที่ต้องทนกันบ้าง กระแทกกันบ้าง  ให้เราลืมมันไปก่อน เพราะถ้าเอามาเก็บไว้ในใจ เดี๋ยวมันจะยิ่งกัดใจให้เจ็บปวด พอกัดใจตัวเองทุกข์แล้ว ต้องพลอยให้คนอื่นทุกข์ไปกับเราด้วย  ฉะนั้นพอมีอารมณ์กระทบกระทั่งกัน บอกอารมณ์ในใจไว้
“หยุดเดี๋ยว!”   “ฉันขอไปช่วยคนก่อน”  “ฉันขอทำงานให้เสร็จก่อน”  พอลืมแล้ว ครู่เดียวเราก็กลายเป็นอีกคนที่ ฉันต้องโกรธหรือโกรธอย่างไรล่ะ แล้วทำไมต้องโกรธ ลืมไปเลย ใช่ไหม  ฉะนั้นอะไรที่ไม่ดีลืมให้มันง่ายๆ   อารมณ์เสียๆ ไม่ดีๆ ทำไมมาปุ๊บต้องทำปั๊บ เราบอก “เดี๋ยวก่อนๆ”  ไม่ได้หรือ พอผลัดไปบ่อยๆ ก็ลืมแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบกระทั่งใจทำให้เราโกรธ เราก็บอกว่า “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวค่อยโกรธ  ตอนนี้ขอใจเย็นก่อน”  เอาสิ่งที่ดีนำหน้าเอาสิ่งที่ไม่ดีทิ้งท้ายไว้ข้างหลัง ดีหรือไม่ (ดี)




กะร่องกะรอยได้ไหม จัดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คับแคบ ความกว้างความลึกนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใจของมนุษย์ถ้ากว้างเหมือนแม่น้ำ แม้จะถูกใครตัก แม้จะถูกใครถมสิ่งสกปรก ถ้ากว้างอย่างถึงที่สุด ใครมาตักเท่าไร สักวันหนึ่งก็เต็มขึ้นมาได้ ใครจะเทสิ่งสกปรกใส่ร้ายป้ายสีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าสักวันหนึ่งน้ำรู้จักถ่ายเท ความสะอาดก็กลับคืนขึ้นมาได้  

ชอบฟังธรรมะไหม ฟังก็บ่อยศึกษาก็มาก ใช่ไหม ๆ แต่แปลกนะ พอถึงเวลาแล้วก็ยังเป็นคนที่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม ไม่เคยเบาบางลงสักที  เราบอกว่าชอบฟังธรรมะ เราบอกว่าศึกษาธรรมะเข้าใจ แต่ทำไมเรากลับไม่สามารถตัดโลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ให้มันเบาบางลงได้ บางทีก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลยด้วยซ้ำไป ยังมีอารมณ์ ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธเท่า ๆ กับคนที่ไม่คิดจะมีธรรมก็มี แปลว่าเราได้เข้าถึงธรรมจริง ๆ  หรือไม่ ได้แต่รู้แต่เข้าไม่ถึง ได้แต่รู้แต่ไม่สามารถเอาสิ่งที่รู้นั้นไปตัดความไม่ดีออกไปจากใจได้ ใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เรารู้และเข้าใจนั้น สามารถตัดความไม่ดีในใจให้ออกไปจากตัวเราได้
เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์นั้นถนัดที่จะรู้ทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติกลับไม่ถนัดกระทำ ฉะนั้นสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเข้าใจ จึงเป็นแค่สัญญากับเวทนา สิ่งที่เป็นสัญญากับเวทนาสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการไตร่ตรอง ศึกษา เรียนรู้ จึงเกิดเป็นความจำและความเข้าใจ ที่มนุษย์ชอบฟังชอบศึกษา ก็คือทำให้เราเกิดสัญญาและเวทนา คือ ความจำและความเข้าใจ แต่ความจำและความเข้าใจไม่สามารถทำให้เราตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ สิ่งที่จะสามารถตัดกิเลส ตัดอารมณ์ได้ก็คือ ปัญญา แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ฉะนั้นศึกษาแล้ว แต่ไร้การลงมือปฏิบัติ สิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจก็จะเป็นเพียงแค่สัญญากับเวทนา หาใช่เกิดปัญญาไม่  ฉะนั้นเรารู้มาก เข้าใจมาก แต่ถ้าเราไม่เอาสิ่งที่รู้และเข้าใจมาลงมือปฏิบัติ เราก็เป็นแค่เพียงพวกหนอนหนังสือ หนอนพระธรรมแค่นั้นเอง ได้แต่อ่านแต่ถึงเวลากลับทำไม่ได้ ฉะนั้นอย่าเป็นพวกคงแก่เรียนในการศึกษาธรรม แต่ถึงเวลาลงมือปฏิบัติกลับทำไม่ได้  ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์เราเคยเอาไปปฏิบัติไหม (ไม่เคย)
มนุษย์บอกว่า “คนเราทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว”  แต่ถึงเวลาเราเชื่ออย่างนั้นไหม (ไม่เชื่อ)  มนุษย์กลับบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่ทำชั่วแล้วได้ดี เราจึงล้มเลิกความคิดที่ทำดีแล้วได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี กลายเป็นมิจฉาทิฐิ เกิดความเห็นผิดเรื่องกรรมเวร ไหนใครล้าเรื่องทำดีแล้วได้ดี ยกมือขึ้น ไม่มีเลยหรือ แปลว่าเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่เคยล้าไม่เคยท้อ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้ยังทำดีอยู่ไหม (ทำ)  ความดีที่เราท่านทำเป็นดีแบบหวังผล ดีแบบถนัดเป็นแม่ค้ากับพ่อค้า ทำหนึ่งหน่วยต้องได้ผลสองหน่วย อย่างนี้เขาเรียกทำดีไหม (ไม่)  เอาการทำดีมาเป็นการค้าขาย พอทำเสร็จแล้วต้องได้กำไรนะ เราไม่ได้กำไรเราจะไม่ทำ   อย่างนี้หาใช่การทำดีที่แท้ไม่  การทำทานอันบริสุทธิ์ต้องเป็นทานที่ไม่หวังผลใดๆ ทั้งสิ้น

เรายกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับบุญและบาป  คนบางคนโชคดีก็มีบุญมากกว่า บาปน้อยหน่อย คนบางคนเกิดมาโชคร้ายหน่อยก็มีทั้งบุญและบาปพอๆ กัน เราถามหน่อยว่า คนสองคนนี้คนๆ หนึ่งเกิดมาพร้อมบุญเยอะบาปน้อย อีกคนเกิดมาบุญและบาปพอๆ กัน เวลาเขาทำชั่วพร้อมๆ กัน ใครตกผลไวกว่ากัน

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปแก้วน้ำสองใบ)

สมมติคนดีคือคนที่มีแก้วเปล่ามีแต่บุญไม่มีบาป คนไม่ดีคือคนที่เป็นแก้วที่มีทั้งน้ำขุ่นๆ อยู่  เพราะฉะนั้นสองคนนี้เวลาทำบาปเท่าๆ กัน  ใครเต็มไวกว่ากัน (คนที่สอง)  และใครได้รับผลไวกว่ากัน (คนที่สอง)
เพราะฉะนั้นเราทำดีอย่าให้ต้องตกผลเป็นวัตถุเป็นชื่อเสียง เพราะบางครั้งคนเรามีเหตุปัจจัยแตกต่างกัน ทำไมคนนี้มีเงินมีหน้ามีตา แต่เขาทำชั่วกลับได้ดี ก็เพราะว่าบุญเก่าเขายังเยอะอยู่ แต่เราสิ หน้าดำคร่ำเครียดกว่าจะหาเงินได้ เพราะบุญเรามันน้อย กรรมเรามันเยอะ  ฉะนั้นเวลาเราทำกรรมนิดเดียวมันก็เลยตกผลไว
ฉะนั้นเวลามองบุญมองบาป มองคนทำดีมองคนทำชั่วต้องมองด้วยตาที่กว้างไกล ใจที่เปิดกว้าง แล้วเราจะสามารถเห็นดีเห็นชั่วได้อย่างชัดเจน  แต่ถึงที่สุดแล้วเราทำดีเพื่อหวังผลอันเป็นรูปนามหรือ ก็ไม่ใช่ ที่สุดของการทำดีก็เพื่อลดการยึดมั่น และให้รู้จักปล่อยวางและเดินไปสู่ความสงบสุขอันแท้จริงในหัวใจ สิ่งที่ทำให้เราสงบสุขที่แท้จริง มิใช่สิ่งที่มีรูปมีวัตถุ ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ แต่ความสุขที่แท้จริงคือความสุขอันสงบ ทำดีแล้วอิ่มใจไหม (อิ่มใจ)  ทำบุญแล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  แล้วทำไมยังต้องโลภหวังเป็นวัตถุ หวังเป็นชื่อเสียงอีกล่ะ ทำบุญหนึ่งหน่วยแต่หวังเกือบสิบหน่วย เอาเปรียบจริงๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้นเวลาทำบุญจึงต้องรู้จักทำด้วยทานอันบริสุทธิ์  คือการทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เวลาเราทำโดยไม่หวังผล ยิ่งเราทำมาก บาปที่มีอยู่ก็จะค่อยๆ ลดหายไป ลดหายไป ลดหายไป  เขาบอกว่าอยากล้างใจให้สะอาดทำอย่างไรล่ะ ไม่ต้องเอาสิ่งสกปรกออก แค่เติมน้ำสะอาดเข้าไปมากๆ แล้วสิ่งสกปรกก็จะถูกชะล้างออกไป
มนุษย์ทุกคนมีทั้งความดีและความไม่ดี มีทั้งสิ่งที่งดงามและสิ่งที่เลวร้าย เราอยากกำจัดสิ่งเลวร้ายในใจ ทำอย่างไรล่ะ  ไม่ต้องกด ไม่ต้องเขี่ย ไม่ต้องไปผลักดัน แค่พยายามเติมความดีในใจของเราให้มากขึ้น หรือขยายสิ่งดีในใจของเราให้เบ่งบานมากๆ พอมันบานมากๆ แล้วความชั่วจะมีอิทธิพลในใจเราไหม  เช่นเวลาใครชมว่าเราดี เราอยากจะเอาสิ่งที่ร้ายออกมาให้เขาเห็นไหมล่ะ ไม่มีหรอก  ถูกหรือไม่ (ถูก)  และถ้าทุกวันเราทำดีบ่อยๆ  เราจะร้ายต่อหน้าคนที่ชมว่าเราดีไหมล่ะ มันก็ร้ายไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากกำจัดความเลวร้ายก็สู้พยายามขยายสิ่งดีๆ ออกไปให้มากๆ ความร้ายก็จะทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นวันนี้ลืมตาให้กว้างๆ ความง่วงมันจะได้ทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ลืมตาโตๆ ไว้อย่างนี้ดูสิ “แกจะทำอะไรฉัน”  “ไอ้ขี้เกียจ ไอ้ง่วงนอน”  ว่ามันไปเลย ไม่ต้องหันไปว่าใครๆ นะ เพราะเธอทำท่าง่วงนอนฉันเลยง่วงนอนไปด้วย ได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนพอเขาหาวเลยหาวตาม พอเขาง่วงฉันก็เลยหลับตาม จริงหรือเปล่า (จริง)   เพราะว่าฟังก็มาก แต่พอให้ปฏิบัติไม่ค่อยยอมปฏิบัติสักเท่าไหร่ ใช่ไหม (ใช่)  
บางครั้งเราเห็นใครชอบเอาเปรียบเราก็รู้สึกขัดใจ เห็นใครควรจะพูดเพราะๆ กลับพูดคำหยาบๆ ควรพูดนิ่มๆ กลับพูดโผงผาง เอะอะโวยวาย เราเห็นแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ขัดตาแล้วก็เหนื่อยใจ ทำไมสังคมเป็นอย่างนี้นะ คนเราเอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบใหญ่ ใครยอมก็ยิ่งถูกข่มใหญ่เลย  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอย่างไร ทำให้สิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ กลายเป็นสิ่งที่เราเข้าใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเมตตา แปรเปลี่ยนใจเป็นกลาง ไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธ  เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มากระทบใจเราบ่อยที่สุด ทุกเวลาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่น คนเอาเปรียบ รักสบาย โกงงาน พูดดีๆ ไม่เป็นชอบเอะอะโวยวาย พูดดีๆ ก็ได้ แต่ไม่ค่อยชอบพูดดี ขอบเสียงดัง จู้จี้ ขี้บ่น เราอยู่กับคนพวกนี้แล้วเราเป็นอย่างไร เจอบ่อยๆ ก็เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยข้างนอกมาแล้ว พอเจอคนในบ้านเป็นอย่างนี้กลับมาถึงก็เลยเหนื่อยใจ
แต่เราถามท่านหน่อยว่า คนที่เราเห็นแล้วขัดใจขัดหูนั้น ตัวเราเคยเป็นเองไหม บางทีควรจะพูดดีกลับพูดร้าย บางทีควรจะใจเย็นแต่ใจร้อน ฉะนั้นเวลาเห็นเขา แล้วเห็นเราไหม เห็นเขาเป็นเขา เห็นเขาผิดเป็นเขาผิด แต่พอเห็นเราผิดกลับบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อไหร่สิ่งที่เราเห็นเขาผิดจะกลายเป็นสะท้อนว่าเราผิดบ้าง
เคยไหมตอนเด็กๆ แม่มีขนม เรามีพี่น้อง ถึงเวลาเราเลือกก่อน เราเอาอันนี้ดีกว่า พอถึงเวลากิน ให้ใครกินก่อน เราก็บอกว่า “พี่ขอกินบ้างสิ”  แต่พอถึงเวลาเรากิน เราบอกว่า “อย่ามาแย่งฉันนะ”  ใจแบบนี้เราก็เคยมี ฉะนั้นเวลาอยู่ในสังคมเห็นใครที่ถึงเวลาเอาหน้าก่อน แล้วเอาโทษทีหลัง ก็ถือเสียว่าเขาเหมือนเด็กที่ยังไม่โต เขายังไม่ประสีประสา เดี๋ยวพอเขาโตอีกหน่อย เขาก็จะรู้ว่า อย่างนี้มันนิสัยเด็ก
ฉะนั้นเวลามีเรื่องใดมากระทบ โดยเฉพาะคนที่ชอบขัดใจ เราเคยเป็นไหม ถึงเวลาเราเชื่อตัวเอง เขาบอกว่าซ้ายถูก เราก็ยังยืนยันว่า ขวาถูก  เราสมมตินะ เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ พอใครมาพูดว่ามันไม่ใช่ มันต้องเป็นอีกด้านหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม แล้วของเรามันเป็นสิ่งที่ผิด เรารับได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราโกรธไหม (โกรธ)  เราเคืองไหม (เคือง)  เราเคืองถ้ามีคนมาบอกว่าเราผิดและให้เราแก้ไข แต่ท่านรู้ไหม ถ้าเขาบอกว่าซ้าย แม้เราจะคิดว่าขวา แล้วเราบอกว่าซ้ายก็ได้ เราตามตามเขาไป พอเขาผิดแล้วเราเป็นอย่างไร “รอดตัวเพราะเขารับไป” แต่ถ้าเกิดว่าเขาบอกว่าซ้าย แล้วเรายังบอกว่าขวา ถึงเวลาผิดเราก็ต้องรับเอง
ฉะนั้นเวลาทำอะไรร่วมกันลองปล่อยความยึดมั่นของตัวเอง แล้วลองเชื่อเขาดู พอเชื่อเขาแล้ว ผลที่เกิดขึ้นเขาก็จะประจักษ์ด้วยตาตัวเองแล้วว่า เขาต้องรับผิดชอบนะ แต่ถึงเวลาเราอย่าโทษเขา เพื่อทำให้เราดูดี  เราต้องเป็นนางฟ้า เราต้องเป็นเทวดา  ถ้าผิดแล้วทำอย่างไร ไม่ใช่บอก “เห็นไหม เชื่อแกเลยได้ดีเลย”  แทนที่เขาจะสำนึก เขากลับย้อนว่า  “อ้าวแล้วทำเธอไม่ยืนยันล่ะว่าสิ่งที่เธอพูดมันถูก”   กลายเป็นทะเลาะกันไปอีก ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ฉะนั้นเวลามีอะไรมากระทบเราต้องย้อนมองตัวองแล้วพยายามทำใจให้เป็นกลาง ให้เกิดความเมตตาเข้าไว้ แล้วสิ่งที่มากระทบแม้จะแย้งกับเรา แม้จะตรงข้ามกับเรา เราจะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจและความเข้าใจได้ และสิ่งที่จะทำให้เราเคืองโกรธ ก็จะกลายเป็นโกรธน้อยลง และเห็นใจเข้าใจมากขึ้น
ในโลกนี้เราทุกข์กับคนมากกว่าทุกข์กับเรื่องราวอื่นใดในโลก ใช่หรือไม่  เรื่องที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดคือเรื่องของคน คนนั้นคนนี้และตัวเรา  ต่างก็คือคนมิใช่หรือ มองผู้อื่นแล้วอย่าลืมหันมาสะท้อนมองตัวเรา ตัวเราก็เป็นอย่างคนๆ นั้นที่เราเกลียดหรือเปล่า ถ้าเป็นเหมือนกันเราก็จะเริ่มเข้าใจเห็นใจและโกรธน้อยลง ถูกหรือไม่  เหมือนเวลาคนบางคนไม่ศรัทธาพ่อแม่ตัวเอง ไม่ศรัทธารักพี่น้องตัวเอง กลับศรัทธารักผู้อื่นมากกว่า พ่อแม่ตัวเองไม่ค่อยรัก แต่มองพ่อแม่คนอื่นน่ารักกว่าพ่อแม่ตัวเอง  แล้วพอถึงเวลาตัวเองก็มีนิสัยไม่ต่างกับพ่อแม่เลย เราเกลียดสิ่งไหนตัวเองก็มักจะเป็นสิ่งนั้น ไม่อยากเจอสิ่งไหนก็เจอสิ่งนั้น จริงไหม   
ฉะนั้นเรื่องในโลกที่มากระทบกายกระทบใจจะสลายได้ด้วยการที่ พออะไรมากระทบปุ๊บหันกลับมามองเรา เราเคยเป็นไหม พออะไรมองเห็นไม่พอใจปุ๊บ หันกลับมามองตัวเรา ตัวเราเคยมีนิสัยอย่างนั้นไหม พอเราหันมามองเรา เราจะเริ่มเปลี่ยนใจและเข้าใจว่าเรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อเห็นใจตนเองเราก็จะเห็นใจผู้อื่น  เมื่อเราเข้าใจตัวเองเราก็จะเริ่มเข้าใจผู้อื่น ตอนนั้นอารมณ์โกรธคืออะไร ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้สิ โกรธไม่เป็น” พอโกรธเขาเมื่อไรก็เหมือนโกรธตัวเอง ถ้าด่าเขาเมื่อไหร่ก็เหมือนด่าตัวเอง จริงไหม (จริง)  
ลองคิดให้ดีๆ นะ ทุกเรื่องที่มากระทบใจ ทุกเรื่องที่ขัดตา ขัดหู ขัดใจ ถามว่าที่เขาขัดตา ขัดหู ขัดใจน่ะ เราเคยเป็นคนหนึ่งที่ทำขัดหู ขัดตาคนอื่นไหม ฉะนั้นตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง กิเลสเป็นตัวนำ ก็เป็นธรรมดาที่จะผันแปรเปลี่ยนและถูกผิดได้ง่ายเป็นธรรมดา  ฉะนั้นถ้ารู้จักเอาธรรมเป็นที่ตั้งบ้าง เอาความเห็นใจเป็นที่ตั้งบ้าง เอาความเข้าอกเข้าใจ เมตตามาเป็นที่ตั้งบ้าง เราจะไม่มีใครในโลกที่ควรโกรธเลย เราจะไม่มีใครในโลกที่จะทำให้เรารักจนหลงเลย เพราะแต่ละคนสวยอย่างไร หล่ออย่างไรก็น่าเกลียดได้เหมือนกันถูกไหม  และเมื่อนั้นเวลาที่อะไรมากระทบแล้วเรารู้จักย้อนมอง อะไรมากระทบแล้วรู้จักตรวจสอบว่าตัวเองเป็นไหม รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ขอเพียงทุกครั้งที่มีอะไรมากระทบ นิ่งเข้าไว้ก่อน  อย่าเพิ่งหุนหันพันแล่น  โกรธตามโมโหตาม อย่างที่เราบอก ใจเย็นไว้ก่อนอย่าเพิ่งโมโห เพราะความใจเย็นและความนิ่งจะทำให้เรานั้นมีพลังและเกิดปัญญาในการมองทุกสิ่งได้อย่างเป็นกลาง ไม่เอียง ไม่เอน แต่จะสามารถมองได้อย่างตรง และวางเป็นกลาง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวางเก้าอี้อย่างเกะกะไว้ และให้อาจารย์บรรยายธรรมชายยืนเป็นตัวอย่าง โดยทำให้แต่งตัวไม่เรียบร้อย ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง  เนกไทผูกไม่เสร็จ ผมไม่เรียบร้อย แว่นตาคาดที่ศีรษะ)
ถามท่านนะ ฟังจนจบแล้วเดี๋ยวจะดูภาคปฏิบัติ  ท่านว่าอะไรควรจัดก่อนกันระหว่างเก้าอี้ที่เกะกะ กับคนที่แต่งตัวดูไม่เรียบร้อย จัดอะไรก่อนดี  (จัดคนก่อน)  เพราะอะไรถึงจัดคนก่อน  เขาบอกว่าเกะกะตา ที่ฟังไปนะเอาไปคิดด้วยนะ อย่าฟังแล้วฟังเลย
เรายังไม่บอกว่าใครถูกใครผิด มีใครมีความคิดเห็นอีก จัดอะไรก่อนดี (จัดเก้าอี้)  ทำไมถึงจัดเก้าอี้ (เก้าอี้พูดไม่ได้, จัดคนให้เรียบร้อยก่อน)  (จัดคนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปจัดเก้าอี้)  มีใครมีความคิดเห็นอีก จะตอบอย่างไรก็ตอบไปเลยนะ ดูสิว่าเราจะจัดอะไรกันก่อนดี
(จัดคนก่อน)  จัดคนก่อนเพราะอะไร (จัดตนเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยไปจัดคนอื่น)  จัดคนนั้นที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยหรือจัดตัวเรา (จัดคนนั้น)  จัดคนก่อนเพราะอะไรล่ะ (จัดคนก่อนแล้วค่อยมาจัดเก้าอี้)  
ระหว่างเก้าอี้ที่เกะกะกับคนที่แต่งตัวดูไม่เรียบร้อยจะไปช่วยใครก่อนดี (ช่วยคนก่อน)
ท่านอื่นล่ะ (กิเลสคน)  กิเลสใคร กิเลสเขาหรือกิเลสท่าน (กิเลสเรา)  ตอบได้ดีเหมือนกันนะ ทำไมเห็นเขาอย่างนี้แล้วมีกิเลสในใจล่ะ (เพราะทำไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้ารูปเข้ารอย) ใครไม่ถูกไม่ควร เขาไม่ถูก หรือเราไม่ถูก (ตัวเราไม่ถูกไม่ควร ไม่เข้ารูปเข้ารอย)  ไม่ถูกไม่ควรตรงที่ (เห็นเขาไม่ดี จะว่าเขาไม่ดีก็ไม่ใช่ จะสะท้อนตัวเราเอง จะไปว่าเขาไม่ถูกไม่ควรไม่ได้ ต้องกำจัดตัวเราก่อน)  กำจัดตัวเราก่อนหรือ กำจัดอย่างไรดี (กำจัดกิเลสจะได้พ้นทุกข์)  ตบมือให้ท่านนี้นะ เข้าใจตอบ เขามาไกลแต่ตอบได้ดีเหมือนกันนะ
ท่านอื่นล่ะ (ย้อนมองส่องตนว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า และหาหนทางแก้ไข)  
คนโคราชทำอย่างไร (จัดคนก่อนเพราะคนยังไม่เรียบร้อยอย่างอื่นก็ยังเรียบร้อยไม่ได้)  
เราอยากบอกว่าพอถึงเวลาเราเห็นอะไรไม่เรียบร้อยแล้ว อะไรที่เราควรจัด อย่างแรกเราต้องจัดใจเราก่อน เพราะถ้าเราเกิดเห็นอะไรไม่เรียบร้อย ใจเราวู่วาม ใจเราร้อน ไปพูดกับเขาถ้าเราไม่เตรียมใจให้ดี คำพูดนั้นอาจจะไม่สุภาพ ไม่น่าฟัง และคำพูดที่ไม่ได้กล่อมเกลาให้ดีเวลาเราพูดอาจจะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย ฉะนั้นก่อนจะไปพูดอะไร หรือจะไปจัดอะไรที่เราเห็นแล้วไม่เข้าตา ควรจัดใจเราก่อน “เราจะพูดอะไรดีนะ”  เราจะเตรียมใจอย่างไรดี และเราควรจะจัดอะไรก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เก้าอี้นะจัดง่าย แต่คนนะจัดยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  และบางอย่างเขาพอใจที่จะงามอย่างนี้ บางที่เราไม่ควรจะไปจัดอะไรด้วยซ้ำ  จริงไหม พ่อแม่สมัยนี้แต่งตัวเรียบร้อย แต่ลูกสมัยนี้ทำอย่างไรให้อยู่
ฉะนั้นฺสิ่งที่เราจะจัดเป็นอย่างแรก อย่าลืมจัดตัวเราเองให้รับสภาพกับความเป็นจริงที่มากระทบใจ แม้ความเป็นจริงนั้นจะเป็นบทเรียนที่ไม่น่ารักก็ตามถูกไหม (ถูก)  แม้ความเป็นจริงจะเป็นบทเรียนที่เกะกะหูเกะกะตาก็ตาม   แต่เราต้องเตรียมใจเราให้นิ่งก่อนทำใจเราให้พร้อมก่อนจะไปรับมือกับจิตใจ เมื่อทำใจพร้อมมีสติ  ปัญญาย่อมเกิด คิดให้ดีว่าควรทำไหมหรือปล่อยไปดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อุตส่าห์ฟังแล้วพอถึงภาคทฤษฏีกลับบอกว่าจัดเขาก่อนเลย เป็นธรรมดา นี่คือความเป็นจริงของมนุษย์ทุกคน เห็นอะไรขัดปุ๊บจัดมันเลย (เกะกะตา)
ฉะนั้นจำไว้นะ จำเรื่องของเรานี้เป็นตัวอย่าง ถึงเวลาเห็นอะไรขัดหูขัดตา อย่างเพิ่งไปจัดเขา จัดใจเราก่อน นิ่งพอหรือยัง มีสติรู้จักเกลาคำพูดให้ดีก่อนจะไปพูดหรือไปรับสภาพเป็นไหม เพราะว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีสติ ปัญญาก็ย่อมเกิด เมื่อใจเรานิ่งพลังย่อมมี ความเข้มแข็งของหัวใจในการก้าวไปเผชิญในโลกภายนอกจะมีพลังมากกว่า ฉะนั้นอย่ามีเพียงแต่สิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจ แล้วไม่เคยลงมือปฏิบัติสักที ไม่อย่างนั้นความรู้ความเข้าใจก็จะกลายเป็นแค่สัญญา เวทนา ปัญญาไม่เกิดเสียที ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราก็มาแค่นี้ล่ะนะ สิ่งที่เราอยากจะพูดให้ท่านรู้ก็พูดเกือบหมดแล้ว ฟังธรรมะวันเดียวไม่สามารถที่จะรู้ตื่น รู้แจ้งได้ทั้งหมด สิ่งที่เราชี้อาจจะไปไม่ถึง ถ้าท่านไม่ยอมลงมือกระทำหรือปฏิบัติ ฉะนั้นถึงแม้เราจะพูดได้กว้างและลึกขนาดไหน แต่ถ้าหัวใจท่านกลับ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วจะเป็นคนดีหรือคนร้าย จะเป็นคนประเสริฐหรือคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดคน ไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวที่กระทบ แต่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราต่างหาก ชีวิตอยู่ในกำมือเรานะ อย่าปล่อยให้ผันแปรไปกับสิ่งที่กระทบ แต่เราต้องรู้จักเอาสิ่งที่กระทบมาอยู่ในมือเรา และเราต้องควบคุมให้ได้ อย่าปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้มา แต่จงทำทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับชีวิตเราเอง ใช่ว่าเขาพูดร้ายแล้วเราต้องร้าย ใช่ว่าเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเราจะดีไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  
ฉะนั้นจำไว้นะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา อย่าโทษฟ้าอย่าโทษดิน อย่าโทษคนอื่น ชะตาชีวิตเราเป็นผู้กำหนดได้ จะดีหรือจะชั่วหาใช่ผู้อื่นกำหนดนะ  ล้วนเกิดจากตัวเองกำหนดตัวเอง   
วันนี้ที่นี่กว่าจะเสร็จได้ก็ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ จากคนหลายๆ ฝ่าย จากคนที่เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก แต่เราอยากบอกว่า เมื่อทำงานร่วมกันแล้ว การกระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา ยอมได้ต้องยอม ถอยได้ต้องถอย  อภัยได้ต้องอภัย ถ้ามัวแต่ถือตัวเองเป็นใหญ่ โดยที่ไม่สนใจคำพูดคนอื่น คนเช่นนี้ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญนะ  ผู้ที่บำเพ็ญแท้จริงคือ ถอยได้เป็นถอย ยอมได้เป็นยอม อภัยได้เป็นอภัย ยิ่งมีอุปสรรคมากเท่าไรยิ่งทำให้ใจเราแข็งแกร่งและก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อย่ากลัวความยากลำบาก  อย่ากลัวการทดสอบ เพราะบททดสอบและความยากลำบากคือตัวพิสูจน์ว่าคนเก่งหรือไม่เก่ง บททดสอบและความยากลำบากคือสิ่งพิสูจน์คนดีหรือไม่ดีอย่างแท้จริง  ฉะนั้นใครจะว่าอย่างไร ฉันจะดีให้ได้ อย่าหวั่นไหวเข้มแข็งไว้ ใครทำดีต้องได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดีเท่านั้น ที่สุดของความดี เคยทำให้ผู้อื่นได้ดีบ้างไหม ที่สุดของการเป็นคนดีคือ เคยสละให้ผู้อื่นเป็นคนดีถึงที่สุดได้ไหม แม้เราจะผิดบ้างให้เขาเป็นผู้ถูก แม้เราจะกลายเป็นร้ายบ้าง แต่ให้เขาเป็นคนดี นั่นแหละคือดีเหนือดี แต่คนในโลก ฉันต้องดีไว้ก่อน ฉันต้องถูกไว้ก่อน เธอผิดเธอร้าย นั่นคือดีสามัญ ดีทางโลกเท่านั้น แต่ดีทางธรรมยังไม่ถึงนะ คนดีทางธรรมคือคนที่ยอมแบกรับความอับอายหวานอมขมกลืนเพื่อผู้อื่นได้
เหนื่อยหน่อยนะ งานธรรมะยังอีกยาวไกล นี่แค่เริ่มต้นเหนื่อยเท่านั้นนะ พยายามเข้านะ หนทางยังอีกยาวไกล ขอให้มีพลังใจสู้ไม่ถอย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา