วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2550

2550-04-06 08 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร


西元二○○年歲次丁亥二月十九日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    คนยิ่งใหญ่ได้ด้วยการเสียสละ    ทุกคนต่างมีภาระไม่แตกต่าง
ชีวิตคนอยู่ที่ใครรู้จักย่าง    เป็นแนวทางอยู่ในธรรมอันสมควร
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์     เคียมคัล
องค์มารดา    ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
        ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

    ฉลาดรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตา    จงรู้ว่าทำดีให้คนยกย่อง
ทำไม่ดีไม่มีใครเขาอยากมอง    หวังศิษย์น้องรู้จักคิดชีวิตตน
ชีวิตคนมักเป็นไปตามความคิด    ชำระจิตของตนเองให้ตรงเที่ยง
การกระทำคำพูดอย่าเที่ยวเสี่ยง    จงหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่ควรมี
คุณสมบัติคนเกิดได้ด้วยการขัดเกลา    ทำตัวเราอย่าเที่ยววอนขอคนอื่น
คนไม่รู้มีทั่วไปได้ดาษดื่น    คนกล้ำกลืนยังรู้คิดมีน้อยคน
สามวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต    ปรับความคิดความประพฤติให้เป็นผล
ทำความดีที่จริงใจอบรมตน    อย่าเป็นคนอ่อนไหวจนยากคาดเดา
แม้เข้มแข็งอย่าก้าวร้าวตั้งแต่คิด    คนเป็นมิตรดูนอบน้อมใครก็ชอบ
ทำใจตนปล่อยวางจึงลงกรอบ    หมั่นตรวจสอบตนเองเถิดประเสริฐคุณ
หวังน้องนั้นตั้งใจฟังด้วยใช้จิต    แก้สิ่งผิดโดยเร็วเป็นอานิสงส์
อีกใจคอต้องหนักแน่นและมั่นคง    ต้องบรรจงบำเพ็ญทั้งนอกใน
ชีวิตคนเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด    แต่ใจผุดความกระจ่างดั่งจันทร์ใส
อย่าพลุ่งพล่านใช้อารมณ์อันร้อนไป    ชนะใครก็ไม่เทียมชนะตน
ความรุ่มร้อนทำให้คนนั้นล้มเหลว    แม้คนเลวมีความดีอยู่ในตน
อย่าเวียนว่ายในทุกข์สุขเป็นเบื้องต้น    แม้โลกวุ่นใจไม่ซนจะสบาย
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน    หวังน้องเพียรรักษาพุทธระเบียบ
ศึกษาตนศึกษาธรรมจิตราบเรียบ    ในความเงียบสะท้อนเห็นจิตแท้เดิม
จงตั้งใจอยู่ให้ครบนั่งให้ตรง    อย่าพะวงเรื่องรอบด้านที่เฝ้าเปลี่ยน
เอาอดีตกลับมาใช้เป็นบทเรียน    อย่าเดินเวียนในอัตตาไม่ตื่นธรรม
เป็นคนกรุงยุ่งฉลาดและพลาดง่าย    ความสงสัยจงแปรให้เป็นศึกษา
ความเข้าใจแปรให้เป็นปฏิบัตินา    ความอ่อนล้าแปรให้กำลังใจคน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    จรดวางพู่กันไว้บันทึกคะแนน
            ฮวา   ฮวา  หยุด

วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระนาจา

    เมื่อต้องเจอกับเรื่องที่ไม่ชอบ    มองให้รอบจึงไม่ง่ายอารมณ์ไหว
เกลียดแล้วใจร้อนโกรธวู่วามไป    สิ่งที่ได้ใช่หรือที่ต้องการ
        เราคือ
    ศิษย์พี่นาจา        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง
    ทำดีเสริมเพิ่มพลังแด่ชีวี    คุณความดีมีจังหวะลังเลสาย
ดีอยู่มากสร้างโอกาสกว่าทำลาย    บำเพ็ญหมายให้คนค้นพบตน
หากใจเห็นแก่สร้างวัตถุนัก    โลกกว้างไม่ตระหนักง่ายคิ้วย่น
โลกมีของทว่าค่ามีคน    ประโยชน์สิ่งจะให้จนว่างมัน
อาจมีวันต้องใจอะไรยิ่ง    แต่เหนือสิ่งใดใดหลายสถาน
ทบทวนให้ปัญญาไม่หยุดรู้งาน    สุขทำจนมีอุปาทาน ระวังตัว
เรื่องอะไรใช้สำนึกเป็นผู้นำ    คิดอย่างธรรมคุณเกิดสมานทั่ว
อย่าเงื่อนงำไปเรื่องนิสัยตัว    ทำด้วยแฝงประโยชน์ถัวไม่สมดุล
คำนึงผลอย่าสนองไม่สร้างเหตุ    ทันการต้องความสังเกตอะไรกรุ่น
ห้ามใจด้วยธรรมที่ศึกษาพรุน    ละเล่ห์กลอัตตาตุนถูกเวลา
บำเพ็ญมีที่คนพูดคิดทำ    หากแต่ทำหลายปีฤดีล้า
ขาดธรรมรังแต่ขาดชีวิตชีวา    รู้ธรรมดารู้เล่นรู้ปฏิบัติจริง
            ฮิ   ฮิ   หยุด

    จิตใจสั่นคลอน ขลุกด้วยนิวรณ์  มิเห็นวันหน้า  ยิ่งหนีสิ่งไหน ยิ่งต้องพบไปจังจังตรงหน้า หัวใจย่อมเหนือเวลา  ให้มีปรัชญาในการกระทำ
    บำเพ็ญให้ดี  ยากเข็ญก็ที  ไม่ดึงฟ้าต่ำ ศรัทธาเข้าใจ  กล้าฝึกฝนไป  เหมือนผู้ต้อยต่ำ  หัวใจรักมากยอกตำ  โลภหลงจ้องซ้ำ  อยู่ทุกเวลา
    แต่อย่าเข็ญใจ  กว่าใครจะสูงจรรยา  ล้วนต้องฟันฝ่า  ด้วยปัญญาที่แสนจริงใจ
    ยิ่งใหญ่ใจเย็น คิดต่างให้เป็น ถึงฝันวันใหม่ เปลี่ยนตามรูปการณ์ ไม่เปลี่ยนห้าวหาญ ทุกวันยิ้มได้ ถึงทำดีจากหัวใจ อ่อนฝึกตอนท้าย วุ่นวายผิดตา
    ต่างคนทำคุณ ไม่ติดรูปบุญ ไม่ทำเอาหน้า ที่ทำด้วยใจ มักเลือกชอบใจ ถึงทำดังว่า ทุกอย่างต้องใช้เวลา ที่มีอัตตาทบทวนนานนาน
    แต่อย่าถอนใจ หนทางแท้บำเพ็ญนาน แม้คุ้นเคยกัน ก็จำนรรจ์ เรียบร้อยตรึงใจ
ชื่อเพลง : จิตใจอย่าสั่นคลอน
ทำนองเพลง : ฉันทนาที่รัก
พระโอวาทพระนาจา
หาเจอหรือยังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหน เจอไหม เจอข้างนอกหรือเจอข้างใน (ข้างใน) มีคนเขาพูดว่า ถ้าพูดกับทำตรงกันก็เป็นคนที่มีวาจาสิทธิ์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดพูดอย่างทำอย่าง ก็ไม่อาจจะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์ขยันหาแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่ลืมค้นหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน มนุษย์พยายามค้นหาความเชื่อถือภายนอก แต่ลืมหาความเชื่อถือภายในใจตน ถูกไหม (ถูก)  บอกว่าพระองค์นี้น่าเคารพน่าเชื่อถือ แต่เคยหาความน่าเคารพน่าเชื่อถือในตัวเองไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไปไหว้พระองค์โน้น แขวนพระองค์นี้ดีกว่า เผื่อจะทำให้เราดูแล้วเป็นยังไง เพราะช่วงนี้เห็นห้อยพระองค์ใหญ่ๆ แพงยังไงก็สู้  ได้ยินว่าศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วห้อยกับเขาไหม เราไม่ได้ลบหลู่ แต่ถ้าท่านอยากหาความศักดิ์สิทธิ์ อยากหาความน่าเชื่อถือ อย่ามัวแต่ไปหาข้างนอก อย่ามัวแต่ไหว้ข้างนอก แต่ลืมมีไว้ในตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินไหมว่า ไม่ถือศีล พูดปด ชอบโกหกตลบตะแลง ไปขอพระขอเจ้า จะได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีทางได้หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศีลห้าก็ถือไม่ครบ แต่อธิษฐานจังเลย พระเจ้าองค์ไหนจะให้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ในทางกลับกันที่เขาบอกว่า “คนดีผีคุ้ม” นั้น ขนาดผียังคุ้มครองแล้วทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่คุ้มครอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ยังมีคนสงสัยเห็นหน้าเราก็ตั้งเครื่องหมายคำถามว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า การที่เราจะมองอะไรให้ชัดเจน หรือการที่เราจะดูอะไรให้แจ่มชัด  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ดวงตากับจิตใจ ถ้าตาเรามันขุ่น มองอะไรจะชัดไหม ถ้าตาเรามันเอียงมองอะไรจะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  แต่ถ้าตาเราดีหมดทุกอย่าง หูก็ไม่ตึงตาก็ไม่ฝ้าฟาง แต่ถ้าใจเรามันเอียง แล้วจะรู้เรื่องไหม  ฉะนั้นถ้าเราอยากรู้เรื่องราวในโลกให้แจ่มชัด อยากมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องไปเริ่มที่ไหน เริ่มปรับที่ตาเราก่อน แล้วก็ตรวจสอบหัวใจเรา น้ำยิ่งนิ่งยิ่งใส ยิ่งมองเห็นสรรพสิ่งได้แจ่มชัด มองได้จนถึงก้นบึ้ง จิตใจของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน ถ้ายิ่งนิ่งยิ่งใสก็วัดอะไรได้อย่างเที่ยงตรงและยุติธรรม ทำใจให้เที่ยงก่อนนะ จึงจะตรวจสอบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งใดล่ะที่จะทำให้เรามีตาที่แจ่มใสมีใจที่เที่ยงตรง เคยได้ยินไหมคนบางคนบอกว่า พระไตรปิฎกฉันอ่านจบไปหลายเล่มแล้วเปรียญธรรมฉันก็เรียนจนได้เปรียญแปด เปรียญเก้า แล้ว ศึกษาธรรมคัมภีร์เล่มไหนบอกมาฉันอ่านทะลุหมด แต่ถึงเวลาแล้วกลับไม่สามารถมองอะไรได้อย่างกว้างขวาง ยิ่งรู้ธรรมมากแล้วปล่อยวางไม่เป็นเปิดใจไม่กว้าง มองไม่เห็นตามความเป็นจริง ธรรมที่มีไว้ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเรียนเปรียญธรรม เปรียญแปด เปรียญเก้าแล้ว คนนี้มาสอนเราเหรอ รับไม่ได้จริงๆ ฉันจบปริญญาตรี ปริญญาโท เป็นถึงด๊อกเตอร์ คุณเป็นใครมาสอนฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอะไรที่ทำให้เรามีตาที่ใสและใจที่เที่ยงตรง
(ศิษย์พี่เมตตาเขียนสัญลักษณ์ บวก (+), ลบ (), คูณ (x), หาร (÷), มากกว่า (), น้อยกว่า () บนกระดาน)
ระหว่างคนต่อคน เรามองเขาเป็น + หรือเรามองเขาเป็น เรามองเขาเป็น x หรือเรามองเขาเป็น ÷ อย่างเช่น ฟังคนนี้ต้องหารสิบจึงจะหาความจริงได้เจอ ฟังคนนี้ขอติดลบไว้ก่อนเพราะไม่น่าเชื่อถือ แล้วถ้าเราอยากฟังคนให้ชัดเจนเราควรจะมองคนเป็นอย่างไร ระหว่างคนต่อคนและการมองสรรพสิ่งให้ชัดเจน เราควรมองเป็นอย่างไร (กลาง) เคยไหมมองบวกเกินไปก็หาผิดไม่เจอ มองลบเกินไปก็ดีไม่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมองเป็นอะไรดี (มองเป็นกลาง) หรือเขาเรียกว่า = ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนในโลกนั้นแปลก ชอบติดสัญลักษณ์ ถ้าชะตาต้องใจก็มองให้เห็นเป็น ฟังอะไรก็ดูดีไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งมองแล้วไม่ถูกชะตา เลยมองเป็นอะไร

(ศิษย์พี่เมตตาวาดสัญลักษณ์ )
แต่บางครั้งก็มองเป็น ( ) รู้ไหมคืออะไร อันนี้เรียกว่าอะไรรู้ไหม  บางทีมองไปมองมา ก็เห็นเขาว่าเราเป็นเหมือนกระโถน มีอะไรก็ว่ามาใส่ให้เราหมด แล้วเราก็เป็นประเภทที่ชอบแบกรับไปหมด เรื่องนี้ก็แบกมา เรื่องนั้นก็แบกมา พอรับเรื่องที่แบกมามากก็ไม่ไหวแล้ว โลกนี้มันวุ่นวายเหลือเกิน เบื่อจังเลย ท้อจังเลย แต่บางครั้งก็มองกลับเป็นแบบนี้ ไม่เอาแล้วไม่รับอะไรอีกแล้ว ใช่หรือเปล่า เป็นเหมือนคนที่ยืนบนภูเขา ไม่มีอะไรที่สามารถอยู่ได้ ทุกอย่างไหลออกหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ที่ท่านแล้วนะ เมื่ออยู่ร่วมกับคน ทำไมเราจึงรู้สิ่งที่แย่ๆ ของคนๆ นั้น แย่จนไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว เพราะเรามองมากกว่าหรือมองน้อยกว่า มองเขาติดลบหรือติดบวก หรือเราจะมองเท่ากับดี ฉะนั้นเมื่อมองออกมากๆ อย่าลืมหันมามองตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วมนุษย์มักจะพูดว่า “สถานการณ์สร้างวีรชน” แต่ในทางกลับกันวีรชนคนนี้ก็สามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
นั่งอยู่อย่างนี้อึดอัดไหม (อึดอัด)  เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย พอถึงเวลาสักครู่เขาก็ประเคนให้กิน ถึงเวลาเขาก็ยกน้ำมาให้ดื่ม แทบจะนวดให้ด้วยซ้ำ  เหนื่อย ไม่ได้เหนื่อยกายแต่เหนื่อยใจ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยต้องอดทนอะไรนานขนาดนี้ แล้วก็ไม่เคยต้องฟังใครพูดยาวขนาดนี้ ฉะนั้นต่อไปเวลาอยู่ข้างนอกเราเอาสิ่งนี้เป็นพื้นฐานเราจะอดทนฟังคนอื่นได้มากขึ้น ท่าทีง่ายๆ ในการอยู่ในสังคมก็คือให้พยักหน้าและยิ้มไว้เยอะๆ รับรองได้ว่าใครๆ ก็รัก  เราเชื่อว่าในที่นี้หลายคนเวลาเจอเรื่องที่ไม่ถูกใจ เราจะรู้สึกขี้เกียจฟังแล้วไปดีกว่า แล้วสุดท้ายก็ได้อารมณ์โกรธแถมหงุดหงิดอีก นั่นคือเวลาเจอหน้าใครอย่ารักและอย่าเกลียด จงมองเขาด้วยสายตาของคนธรรมดาที่ยังไม่มีอารมณ์อะไร ดีไหม (ดี)  จะได้ไม่รู้สึกเสียใจเวลาที่รักเขาเข้าแล้ว และไม่รู้สึกเสียดายที่เกลียดเขาไปก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)   
ก่อนจะคุยเรื่องธรรมะศิษย์พี่ต้องตกลงกับศิษย์น้องก่อน ศิษย์พี่ไม่ได้มาใบ้หวย ห้ามขอนะศิษย์พี่ไม่ให้หวย ศิษย์พี่ไม่ได้มาเล่นละครหลอกลวง หรือให้เชื่อเรื่องเข้าร่างเข้าทรง  ศิษย์พี่มาเพื่อจะแสดงถึงประจักษ์หลักฐานสัจธรรมที่มีอยู่ในชีวิตของทุกๆ คน มาเพื่อแสดงถึงประจักษ์หลักฐานของธรรมะที่มีอยู่ในตัวของศิษย์น้องทุกๆ คน ฉะนั้นถ้าจะมอง หรือถ้าจะสนใจ ขอให้สนใจและมองในคำพูดแต่ละคำที่ศิษย์พี่พูดดีกว่าจะสนใจร่างนี้  ร่างกายคนเราถึงเวลาก็ต้องเน่าสลายไป แต่พฤติกรรมคำพูดที่ดีงามจะอยู่ค้ำฟ้าค้ำดิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การมองอะไรเราต้องมองที่ประเด็นหลักไม่ใช่ประเด็นรอง เราจะหยิบจะฉวยอะไร เราต้องเอาที่แก่นไม่ใช่เอาที่เปลือกที่กระพี้ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์พี่เปรียบเหมือนทุเรียน ต้องปอกและต้องเอาเนื้อออกมากิน และต้องรู้จักคายเม็ดทิ้ง
เหมือนดังคำกล่าวว่า ธรรมะก็เหมือนเรือจ้าง เมื่อพายไปถึงที่แล้ว ก็ต้องวางธรรมลง ธรรมะช่วยให้คนพ้นทุกข์และหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเราพ้นทุกข์แล้วเราก็ต้องปล่อยวางธรรม ร่างกายบางครั้งให้ความสุขแต่บางครั้งก็ให้ทุกข์ ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักที่จะจับและปล่อยให้ถูกเวลา
เราตกลงกันแล้วนะ ห้ามขอหวยใดๆ แล้วที่ศิษย์พี่มาก็ไม่ได้ให้เชื่อเรื่องเข้าร่างเข้าทรง แต่ให้เชื่อเรื่องสัจธรรมความจริงในชีวิต ฉะนั้นถ้าจะบอกว่าเด็กคนนี้เก๊ ไม่จริงหรอก เพราะถึงเวลาเขาก็ตายไป ไม่ได้อยู่คงทนถาวร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่คำพูดและพฤติกรรมต่างหากที่ควรเอาไปคิดพิจารณา ศิษย์น้องก็เหมือนกัน ตัวจริงไหม ไม่จริง ตัวปลอมทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ตัวปลอมนั้นกลายเป็นจริงยิ่งกว่าจริง นั่นก็คือความประพฤติ  ความประพฤติและการปฏิบัติในชีวิตนี้ต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องจะนั่งหรือยืน (นั่ง)  ชีวิตไม่ได้มีแต่นั่งตลอด ต้องมียืนด้วยจึงจะเรียกว่าชีวิต ถูกไหม (ถูก)  แต่ชีวิตก็ไม่ใช่ว่าจะต้องยืนตลอดแล้วไม่ได้นั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งต้องนั่ง บางครั้งต้องยืนและบางครั้งก็ต้อง (นอน) ใช่ไหมจึงจะเรียกว่า ชีวิต ถ้าไม่ใช่ชีวิตก็คือ ยืนแล้วนั่งไม่ได้อีกต่อไป หรือนั่งแล้วยืนไม่ได้อีกต่อไป เขาก็เหลือชีวิตแค่ครึ่งเดียว  ฉะนั้นจำไว้นะผู้ใหญ่ที่อายุมากๆ ยังนั่งได้ ยืนได้ ให้รีบนั่งรีบยืน อย่าเอาแต่นั่งแล้วไม่ยืน หรืออย่าเอาแต่ยืนแล้วไม่นั่ง ไม่อย่างนั้นจะเหลือแค่ครึ่งชีวิต พอเหลือครึ่งชีวิตแล้วอีกครึ่งหนึ่งก็น้อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อายุมากแล้วต้องทั้งนั่ง ทั้งยืน อะไรมันจะได้ไม่ยึด เพราะยิ่งยึดยิ่งตายไว เห็นไหมว่าชีวิตสอนเราตลอด  เราได้มองหรือเปล่า ทำไมเรายิ่งแก่ก็ยิ่งยึด พอยึดแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บ) เจ็บแล้วตาย ใช่ไหม (ใช่)  
อาวุโสอายุมากๆ ถ้ายิ้มง่ายๆ ยิ้มบ่อยๆ เป็นการสร้างบุญ ทำให้คนรอบข้างเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาวุโสทำบุญไม่ยากหรอก แค่ยิ้มเยอะๆ อะไรๆ ก็บอกดี รับรองลูกหลานเข้าใกล้เยอะ
คุณความดีมีจังหวะลังเลสาย
สิ่งที่ศิษย์พี่ได้ยินบ่อยๆ และมนุษย์มักจะพูดในใจหรือพูดออกมาดังๆ ให้ฟ้าได้ยินเสมอๆ ก็คือ “เฮ่อ ทำดีแล้วไม่เห็นได้ดีเลย” “ทำแล้วก็โดนคนว่า”  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้ก่อนที่ศิษย์พี่จะมา ได้เห็นพระอาทิตย์ท่านแวะไปดูชาวโลก  วันนี้พระอาทิตย์แรงไหม (ไม่แรง)  พระอาทิตย์ท่านเล่าให้เราฟังว่า  เมื่อวานท่านส่องแสงแรงมากๆ แต่พอไปบ้านไหน หันไปทิศซ้าย หันไปทิศขวา เขาก็ทำหน้าหงิกใส่พระอาทิตย์ พูดว่า “ร้อนจริงๆ เลย”  ท่านพระอาทิตย์ท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เราจะขอแก้ตัวใหม่ เราจะให้เมฆมาช่วยบังพระอาทิตย์” แต่พอเมฆมาบังพระอาทิตย์ เขาก็ยังหันมามองพระอาทิตย์แล้วก็พูดว่า “อึดอัดจริงๆ เลย บรรยากาศไม่สดใสเลย” พระอาทิตย์ก็เลยฝากมาถามว่า “มนุษย์เอยจะเอาอย่างไรกันแน่”  ศิษย์น้องก็ไม่ต่างกับพระอาทิตย์ เวลาทำดี ก็มีทั้งคนชม มีทั้งคนว่า แต่ส่วนใหญ่จะโดนว่ามากกว่าชม ท่านดูพระอาทิตย์ ต่างกับเราไหม (ไม่ต่าง)  ฉะนั้นถึงแม้จะเป็นแค่เกษตรกร หรือจะเป็นศิลปิน วาดรูปได้สวยงามขนาดไหน แต่ว่าใช่จะเป็นที่ยอมรับ ต้องตาต้องใจของทุกๆ คน แม้จะลงแรงพากเพียรขนาดไหน แต่ก็ใช่ว่า ผลเก็บเกี่ยวจะงดงามเสมอไป
ถ้าเช่นนั้นเราควรจะมองตรงไหน หากเราทำดีเพียงเล็กน้อย แต่ไปที่ไหนกลับมีคนมากมายพูดว่า  “ดีจังเลย ขอบคุณนะที่ทำ”  เช่นนี้เราควรจะละอาย เพราะเราทำแค่นิดเดียว คนกลับชมมากมาย ถ้าเราทำอย่างสุดจิตสุดใจ สุดแรงเกิดที่มี  ทำเท่าที่ชีวิตจะทำได้ แต่กลับโดนด่าซะไม่มีดี ตอนนั้นเราควรจะภาคภูมิใจ แปลกไหม อย่าลืมนะว่า ยิ่งดีที่สุด ย่อมจะมีทั้งคนรักและคนเกลียด และเมื่อดีถึงที่สุดก็จะมีคนที่เกลียดที่สุดเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเราทำดีที่สุดแล้วมีคนเกลียดที่สุด มีคนด่า คนแช่ง คนชม คนว่า แสดงว่า ความดีของเรายิ่งใหญ่แล้ว เพราะหลายคนเริ่มมองเห็น หลายคนเริ่มสนใจ แสดงว่าเราทำได้ถึงดีแล้ว แต่ถ้าเราทำดีนิดหน่อยกลับมีแต่คนชมไม่ขาดปาก นั่นยังดีไม่พอนะ จริงไหม (จริง)
เราเป็นคนดีที่ต้องการคนชม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นพื้นฐานของการทำดี เราควรทำเพื่อความสบายใจ และเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข ที่สุดของการทำดี เราต้องถามใจลึกๆ ของเราว่าทำเพื่ออะไร เราไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ ไม่ได้ทำเพื่อให้คนชม แต่เราทำเพราะเราเห็นคนกำลังเดือดร้อน ทำแล้วเราสบายใจ แล้วเขาก็สบายใจ แต่ถ้าเกิดเราทำแล้วเราสบายใจ แต่เขากลับไม่สบายใจ เราก็ต้องหันมาพิจารณาสิ่งที่เราทำ ฉะนั้นถ้าเราทำดี แต่มีคนรังเกียจ เราจะหยุดทำดีไหม แล้วทำดีน้อยลงหน่อยดีไหม (ไม่ดี)  ส่วนใหญ่จะบอกว่า ถ้าเราทำดีระดับหนึ่ง แล้วโดนคนต่อว่า ส่วนใหญ่เราจะลดการทำดีไปเลย หรือไม่ก็เลิกทำไปเลย ซึ่งจริงๆ ไม่ถูกต้อง เมื่อเราทำดีระดับหนึ่งแล้วโดนคนว่า เราต้องหันกลับมาตรวจสอบตัวเองว่า เราทำดีผิดที่ผิดทางไหม อย่างเช่นเราอยู่ใกล้เข่งปลาทู เราฉีดน้ำหอมแล้วเดินเข้าไปบริเวณเข่งปลาทู ใครจะชอบเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราต้องการทำดีเพื่อช่วยคนไม่ดี เราก็อย่าแสดงออกมาว่าฉันดีเหลือเกิน ฉันเลิศเหลือเกิน ฉันประเสริฐ ถ้าเราแสดงอย่างนี้ก็ไม่มีใครตามเรา เมื่อคิดจะช่วยคน เราต้องทำตัวให้สามัญธรรมดา เราจึงจะช่วยคนได้ อย่าไปทำตัวเหมือนตัวเองรวยล้นฟ้า แล้วอยากช่วยเขา เพราะเห็นเขายากจนน่าสงสาร บางคนเขาก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นทำดีแล้ว ถ้าเกิดอุปสรรค เจอความยากลำบาก ต้องหันกลับมาตรวจสอบตัวเองว่าทำอะไรเกินไปหรือเปล่า แล้วค่อยๆ คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แล้วค่อยส่งดีออกไปใหม่ อย่าทำดีแล้วพอเจอปัญหาก็เลิกทำ เช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ฉะนั้นอยากเป็นคนดีที่สมบูรณ์แบบอย่างพื้นฐานไม่ยากเลย อย่าหวังลาภยศชื่อเสียง ทุกอย่างทำไปเพื่อความสบายใจของคนรอบข้าง เพื่อความสุขของคนรอบข้าง ไม่ปล่อยตัวเองให้ผ่านไปวันๆ อย่างไร้คุณค่า มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าและดีขึ้นๆ ทุกวัน ถ้าทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบที่ดีแล้ว ยากไหม (ไม่ยาก)  ชีวิตเกิดมาก็คือการก้าวหน้า แล้วเราคิดอย่างก้าวหน้าหรือถอยหลัง แต่ส่วนใหญ่ทำดีแล้วไม่ได้ดีก็เลยถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้คิดพิจารณาให้ดีนะ
โลกมีของทว่าค่ามีคน    ประโยชน์สิ่งจะให้จนว่างมัน
สิ่งของในโลกนี้ที่มีคุณค่า หรือไร้คุณค่า เพราะมีมนุษย์เป็นผู้กำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ก็อดไม่ได้ที่จะติดคุณค่าที่ตัวเองถือ และยึดมั่น แต่ถึงเวลาพอมันหมดประโยชน์แล้ว ค่านั้นก็หมดเช่นกัน แล้วเรามัวเฝ้ารักเฝ้าห่วง เฝ้าแสวงหามากๆ เพื่อทุกข์มากไปทำไมกัน
แต่ก่อนมีทุกข์ร้อยเรื่องแต่เดี๋ยวนี้มีทุกข์พันเรื่อง แต่ก่อนมีทุกข์พันเรื่องเดี๋ยวนี้มีทุกข์หมื่นเรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนคนเดียวก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว แต่เราก็ยังไม่วายหาคนมาเกี่ยว แล้วก็คิดในใจว่าไม่น่าเกี่ยวเขามาเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เมื่อเกี่ยวมาแล้วก็ต้องรู้จักเอาตัวให้รอด สิ่งที่มนุษย์บ่นเป็นเรื่องที่สอง “สามีก็ไม่ได้ดังใจ ลูกก็ไม่ไหว น้องก็ไม่ดี พี่ก็ไม่ได้เรื่อง เพื่อนร่วมงานก็เห็นแก่ตัว”  ก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ ถ้าเกิดวันหนึ่งเราต้องออกไปเที่ยวป่ามีสองอย่างให้เลือก ไม้ท่อนหนึ่งยาวๆ หนักด้วย กับอีกท่อนหนึ่งสั้นๆ เบาด้วย อยากถือไม้สั้นหรืออยากถือไม้ยาว
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นเลือกไม้สั้นและไม้ยาว)
ให้ศิษย์พี่ลองทายใจดูนะว่าอนาคตจะมีคู่หรือไม่มีคู่ ใครเลือกไม้สั้นน่าจะไม่มีคู่ ถ้าใครคิดจะมีคู่ก็ต้องคิดยาวๆ คิดเบาๆ ไม่ได้ต้องคิดหนักๆ ระหว่างผลไม้มีตำหนิและไม่มีตำหนิเลือกผลไหน ใครที่เลือกผลที่ไม่มีตำหนิแสดงว่าชอบคนหล่อๆ สวยๆ แต่ใครที่เลือกที่มีตำหนิอะไรฉันก็เอา
เมื่อสักครู่ใครเลือกไม้ยาว ใครเลือกไม้สั้น ขอตัวแทนตอบของแต่ละฝั่งด้วย (สาเหตุที่เลือกไม้ยาวเพราะว่าไม้ยาวอาจจะมีประโยชน์กว่า มีน้ำหนักที่หนักกว่า อาจจะป้องกันภัยได้) (ไม้ยาวสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้ เราอย่าคิดว่าไม้ยาวทำให้เราคนเดียวเราต้องเลือกไม้ยาวทำให้เราทุกคนผมถึงเลือกไม้ยาวตั้งแต่แรก)
ใครที่เลือกผลไม้มีตำหนิกับใครที่เลือกผลไม้ไม่มีตำหนิ เหตุผลอะไรถึงเลือกอย่างนั้น (เลือกผลไม้มีตำหนิเพราะเราคิดว่าให้คนอื่นได้กินผลไม้ดีบ้าง)  (คนทุกคนย่อมมีตำหนิ)  เขาตอบได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนทุกคนย่อมมีตำหนิ แต่ตำหนินั้นจะถูกสติ๊กเกอร์หรือโลโก้แปะติดเอาไว้หรือเปล่า  เวลาไปซื้อผลไม้มีตำหนิเขาจะเอายี่ห้อแปะติดไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่เลือกไม้ยาวหมายความว่า เป็นคนที่รู้จักคิดการณ์ไกลหรือเป็นคนที่กล้ายอมรับความลำบากก่อน ในโลกนี้ถ้าไม่ยอมลำบากก็ไม่มีวันประสบผลสำเร็จ ถ้าไม่รู้ผิดก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ชอบ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกอย่ายึดด้านใดด้านหนึ่งจนตายตัวหรือทำให้เราลำบากใจหรือเป็นทุกข์ใจ เช่นหาคนก็ต้องหาคนที่ประเสริฐไม่มีที่ติ ถ้าเป็นสามีฉันต้องดีหยดย้อย ถ้าเป็นภรรยาฉันต้องงามไม่มีที่ติ เป็นไปได้ไหม เป็นไปได้แค่ตอนต้นแต่ตอนท้ายพรุนเลย ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะอะไรจึงพรุน เพราะเราถูกยี่ห้อมันบังตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอยากจะมองให้เห็นความเป็นจริงและอยากจะเอาชนะทุกข์และเข้าใจทุกข์จนพบความสุขได้ก็จะต้องเป็นคนที่กล้าเผชิญความยากลำบากและพร้อมยอมรับคำตำหนิติเตียน และก็ต้องกล้าเผชิญความจริงกับคนที่มีดีมีร้าย ถ้าเรากล้าได้ขนาดนี้เราจะไม่ต้องทอดถอนใจเมื่อเจอกับคนประเภทต่างๆ เลย
หลายครั้งที่เราเบื่อเพื่อนจริงๆ รำคาญสามี ลูกทำไมไม่ได้ดั่งใจ แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า ก่อนจะว่าหางต้องดูหัว  ก่อนจะว่าลูกว่าสามีต้องดูคนชิดใกล้ เคยเห็นแม่ปูไหม แม่ปูเดินเบี้ยว ก็ว่าลูกว่าเดินเบี้ยว ลูกทำไมไม่ทำตัวให้ดีให้น่ารัก แต่แม่ก็ดีก็น่ารักได้เป็นบางวัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ลูกไม่กตัญญูจะด่าว่าลูกไม่ได้ จะโทษลูกส่วนเดียวไม่ได้ต้องหันไปมองพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ  สามีภรรยา ทำไมไม่ได้ดั่งใจเรา ครึ่งหนึ่งเราต้องรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากให้คนอื่นเดินดี เราต้องเดินดีก่อน อยากจะเข้มงวดกับคนอื่น เราต้องหันมาเข้มงวดกับตัวเรา อยากให้คนอื่นได้ดีเราก็ต้องทำให้ดีที่สุดก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งยิ่งหาผลไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วเรามั่นใจว่าลูกนี้ เราเพ่งมาร้อยรอบแล้ว  ไม่มีตำหนิแน่ๆ  แล้วเคยได้ยินไหมว่าสวยข้างนอกแต่เน่าข้างใน  แล้วเดี๋ยวนี้ผลไม้ก็เป็นแบบนี้นะ สวยข้างนอกแต่พอแกะออกมาข้างใน รสชาติทำไมเน่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้ยอมเลือกมีตำหนิบ้างดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรื่องที่สามที่มนุษย์ชอบบ่นให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็คือ โลกนี้ช่างเอียงเหลือเกิน ไม่ยุติธรรมเลย ฟ้าไม่เที่ยงธรรม ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ได้โอกาสเป็นตัวแทนมาแก้ตัว ส่วนใหญ่มนุษย์มักพูดว่า “โลกนี้ไม่ยุติธรรม บางคนทำดีแล้วไม่ได้ดี บางคนทำไม่ดีแต่ได้ดี” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกว่า หากคนชั่วเปรียบเหมือนเสือร้าย คนดีเปรียบเหมือนกระต่ายน้อย ถามว่า เสือร้ายกับกระต่ายน้อย ใครอยู่ได้ยืนยาวกว่ากัน (กระต่ายน้อย)  แล้วใครอยากเลี้ยงเสือมากกว่ากระต่ายน้อยบ้าง (ไม่มี)  เห็นไหม แล้วจะมาบอกว่า ฟ้าไม่ยุติธรรมได้อย่างไร เสือตอนนี้แทบจะมองไม่เห็น แต่กระต่ายเห็นอยู่ทั่วไป ฉะนั้นธรรมชาติยุติธรรมเสมอ สิ่งใดดี สิ่งนั้นมักจะมีคนอยากสืบต่อ สิ่งใดชั่วร้าย สิ่งนั้นมักจะถูกคนทำลาย การมองอะไรในโลกต้องมองให้ถึงที่สุด อย่ามองเห็นเขาแค่ตอนดี แล้วตอนร้ายไม่มอง ขอถามศิษย์น้องหน่อยว่า เวลาดี เราก็หน้าบานเป็นกระด้ง แล้วก็บอกเขาไปทั่ว แต่เวลาโชคร้ายมีใครป่าวประกาศบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดว่าโชคดีแล้วชนะคนอื่นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ อย่าคิดว่าโชคร้ายแล้วแพ้คนอื่นเป็นเรื่องเศร้าเสียใจ ไม่จริงหรอก แท้จริงแล้วในทุกข์ก็มีสุข ในสุขก็มีทุกข์ ในดีย่อมมีร้าย ในร้ายย่อมมีดี จริงไหม (จริง)  ดูง่ายๆ ในโลกใครๆ ก็อยากเด่นอยากดัง มีคนยกย่อง มีคนเชิดชู ถ้ามีคนนั่งอยู่ที่นี่ แล้วเรายืนอยู่คนเดียว แล้วทุกคนก็ปรบมือกันเกรียว เราภูมิใจไหม (ภูมิใจ)  ใครๆ ก็อยากรู้สึกดี ใครๆ ก็อยากเด่น แต่อย่าลืมนะว่า เด่นได้ก็ดับได้ ถูกชมได้ก็ถูกติได้ ฉะนั้นสิ่งที่พยายามมุ่งหวัง สิ่งที่ศิษย์น้องพยายามจะแสวงหา จะต่างอะไรกับดอกหญ้าและดอกกุหลาบ
(ศิษย์พี่เมตตาวาดรูปดอกไม้บนกระดานดำ)




คำถามเดิมๆ อยากเป็นดอกไหน ใครเลือกดอกสูงสุด ใครเลือกดอกกลางๆ ใครเลือกดอกเล็กสุด คนที่เลือกกลางๆ สมมติว่ามีคนถามว่า เธออยู่ฝ่ายไหนบอกมา อยู่ฝ่ายนี้ก็ไม่เอา อยู่ฝ่ายโน้นก็ไม่เอา ทำให้คนอื่นลำบากใจที่สุด เพราะจะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่เชิง
ศิษย์พี่จะบอกว่า โดยส่วนใหญ่มนุษย์ต้องการมั่งมีเพื่ออะไร แสวงหาเพื่ออะไร ก็เพื่ออยากจะให้เด่นให้ดัง ให้มีมากกว่าใครๆ เขา แต่เคยได้ยินไหมยิ่งมีมากก็ยิ่งเหนื่อยมาก แล้วก็ยิ่งเสียมาก เคยไหมแต่งตัวปอนๆ ใส่เสื้อขาดๆ ทุกวันลากรองเท้าเก่าๆ สักพักหนึ่งไม่ต้องขอก็จะมีคนอยากให้ แต่ถ้าทุกวันแต่งตัวดี จะไม่มีใครอยากให้อะไร มีแต่จะขอบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่กำลังจะบอกว่า บางครั้งในดีที่ศิษย์น้องหวังก็มีร้าย  แต่ในร้ายที่ศิษย์น้องชังก็มีดี ฉะนั้นอย่าได้ดูถูกดูเบาตัวเอง คุณค่าของมนุษย์ไม่ใช่อยู่ที่การมีลาภยศชื่อเสียงโดดเด่น โด่งดัง  แต่อยู่ที่รู้จักจุดยืนของตัวเอง และมุ่งมั่นในสิ่งที่ตัวเองกระทำอย่างไม่ท้อถอย คนนั้นถึงจะเรียกว่าน่าเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเป็นคนที่เห็นใครมีอะไรเราก็อยากมี ใครทำอะไรเราก็อยากทำ คนเช่นนั้นหาจุดยืนของตัวเองไม่ได้ หาคุณค่าของตัวเองไม่เจอ แต่เคยเจอไหม ถึงเขาจะเตี้ย ถึงเขาจะต่ำ แต่มองดูแล้วน่ารักจริงหนอ ถ้าใส่รองเท้าขาดออกไปนอกบ้านสองวันก็ไม่เอาเพราะอายเพื่อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากจะบอกศิษย์น้องว่าจงภาคภูมิใจ เมื่อความพึงพอใจ ในสิ่งที่ตนเองมุ่งมั่นแล้วตั้งใจ บางครั้งความภาคภูมิใจในสิ่งที่เราไม่มีนั่นแหละ มันเกิดคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีหญ้าที่อยู่คลุมโลกหรอก ทุกคนคงถอนหญ้าทิ้ง แล้วพยายามจะปลูกแต่ต้นไม้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมองธรรมชาติแล้วอย่าลืมหันมาย้อนดูตัวเรา ถ้ามองไม่เห็นคุณค่าที่ตัวเองมีแล้ว พยายามถีบตัวเองให้สูง ถีบไปเพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  สู้ขนาดนี้ แต่เรามีคุณค่า มีจุดยืนและมีความภาคภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ของเรา นั่นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือในการเกิดมาเป็นคน
เหมือนวันนี้ในชีวิตฉันทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันทำได้ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งฉันโตคือถือความจริงใจ แล้วจะมีไปจนถึงวันตาย ถ้าทำได้ขนาดนี้ก็ไม่เสียชาติเกิดที่เกิดเป็นคน ถูกไหม (ถูก)  หรือฉันทำอะไรไม่เป็นหรอก สิ่งที่ฉันทำเป็นคือกตัญญูรู้คุณ ใครทำดีมา ฉันจะดีตอบอย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลย ฉะนั้นการเป็นคน สำคัญอยู่ที่เรายึดหลักอะไรในการปฏิบัติประพฤติ ถ้ายึดหลักธรรมที่ดีสักอย่างหนึ่ง แล้วยึดให้อยู่จนตัวตาย คนนั้นก็มีคุณค่าและงดงาม ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นับถือได้เหมือนกัน
ฉะนั้นวันนี้ศิษย์พี่ไม่ได้มาขอให้ศิษย์น้องต้องปฏิบัติคุณธรรมทั้งร้อยแปดอย่างให้ได้ ขอเพียงให้ทำหนึ่งอย่าง แต่ทำอย่างไม่เคยหยุดและไม่เคยจางหาย จะยากจะจน จะถูกดูถูกดูแคลนก็ไม่เคยทิ้งธรรมนี้ มีอยู่คู่ใจตลอด ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ถือว่ายอดคนแล้ว ศิษย์น้องทำได้ก็น่านับถือไม่ใช่น้อย จริงไหม (จริง)  อย่าลืมนะถึงจะเป็นน้ำน้อย แต่ถ้าเกิดหยดด้วยความหนักแน่นและมั่นคง ก็สามารถเกิดการสะเทือนที่วงกว้างได้ ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์เรา ถ้ามุ่งมั่นจริงใจแล้วถือจนตัวตายก็สามารถทำให้เกิดสะท้านสะเทือนต่อคนรอบข้างได้เช่นกัน จริงไหม (จริง)  เอาแค่ว่าถ้าเราเป็นคนมีน้ำใจ มีอะไรฉันแบ่งตลอด มีอะไรฉันให้ได้ตลอด ถ้าทำได้เช่นนี้ ศิษย์น้องก็เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งแล้ว ยากไหม (ไม่ยาก)  
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นลุก,นั่ง ตามคำสั่ง)
ศิษย์น้อง เขาพูดกันไว้ว่า การลงโทษเป็นการส่งเสริมให้คนที่รักชั่วไม่กล้าทำชั่ว การให้รางวัลเพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก เพื่อเราจะได้ส่งเสริมคนดีให้ดียิ่งขึ้น คนชั่วให้ชั่วน้อยลง
แปลกนะมนุษย์ทุกคนจริงๆ แล้วไม่ชอบให้ใครมาตีกรอบเพราะจะรู้สึกอึดอัด ใครมากำหนดบทลงโทษรู้สึกไม่ชอบเลย แต่ยิ่งตีกรอบยิ่งกำหนดบทลงโทษมนุษย์กลับรู้จักเข้มงวดกวดขันตัวเอง ถ้าศิษย์พี่ไม่ได้บอกว่าจะมีบทลงโทษเขาจะเข้มงวดตัวเองไหม ฉะนั้นอย่าอึดอัดกับกรอบคนรอบข้าง อย่าเบื่อหน่ายกรอบของสังคมเพราะถ้าใครสามารถอยู่ในกรอบแต่มีอิสระและมีเสรีได้คนนี้ก็เก่งไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังศิษย์พี่พูดมากๆ ก็เริ่มง่วงเริ่มเบื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์พี่หันกลับมาถามว่าอะไรล่ะที่ศิษย์น้องสามารถมีธรรมแล้วมีไปได้ตลอดชีวิต ถ้าพูดแล้วต้องทำและรักษาให้ได้ไปตลอดชีวิตนะ เหมือนเราคิดจะเอาธรรมนี้ไปให้ใครแล้วมีไว้ไปตลอดชีวิต (กตัญญู) เราจะกตัญญูกับใครบ้าง (พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ)
ศิษย์พี่คิดว่าศิษย์น้องทุกคนก็มีธรรมไม่มากก็น้อย แล้วธรรมอะไรที่เราคิดว่าเรามีไว้ในชีวิตแล้วเป็นมงคลกับตัวเรา ถึงแม้แต่ก่อนไม่มี แต่วันนี้และนับต่อๆ ไปจะพยายามมีให้จงได้ ลองคิดสิว่าเราอยากมีอะไรไว้ประดับชีวิตของเรา (ทำดีเท่านั้น) ทำดีเท่านั้นคือทำดีอะไรที่เป็นความดีก็จะทำหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดไม่ได้ดีขึ้นมาจะทำไหม (ทำ)  แต่ก็ยังทำไปเรื่อยๆ ใช่ไหม  ศิษย์น้องยิ่งตีกว้างพอถึงเวลาเราก็จะจับไม่ได้ว่าเราจะทำอะไร ถูกไหม อย่างเช่นถ้าศิษย์น้องบอกว่าอยากจะเป็นคนที่มีแต่ให้ไปตลอดชีวิตดูแคบและทำได้ง่ายกว่าไหม มีอะไรก็ให้สมมติว่าเราไม่มีเงินทองไม่มีอะไรแต่เรามีคำพูดดีๆ เราก็อยากให้ง่ายกว่าไหม (มีความเมตตากรุณา)  ศิษย์น้องความเมตตาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แล้วบางครั้งเรารักคนได้ไม่เต็มใจไม่ค่อยเต็มหัวใจ ย่อมมีคนที่เรารักและยังมีคนที่เกลียดแล้วอะไรที่เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรามีเมตตาตลอดรู้ไหม ถ้าอยากจะมีเมตตาสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในความมีเมตตาคือความเข้าใจและรับได้ ถ้าพยายามเข้าใจยังไงก็เกลียดเขาไม่ลง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็เกลียดลง ใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่เราจะมีในตัวเราง่ายๆ เอง ไม่ยากใช่ไหม (สัจจะ) เป็นคนที่มีสัจจะดีนะและก็ไม่ยากเกินไป จำไว้ว่าถ้าจะรักษาสัจจะต้องคิดก่อนพูดเมื่อพูด อะไรก็ต้องนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะทำด้วย แล้วสัจจะก็จะไม่หนีไปไหนจากตัวเรา (มีน้ำใจและจริงใจ) ศิษย์พี่ให้เลือกอย่างเดียว (มีน้ำใจ)  เพราะน้ำใจจะง่ายกว่า จริงใจบางทีจะยาก ใช่ไหม (คุณธรรม)  คุณธรรมอะไรที่จะประจำใจเรา (ความซื่อสัตย์)  (อยากจะกล้าที่จะเห็นความผิดของตัวเองและกล้าที่ยอมรับผิดและก็กล้าที่จะขอโทษ) ตอบได้ดีคนที่มีความกล้าสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในความกล้าก็คือการศึกษาหรือคุณธรรม ถ้ากล้าแต่ไร้คุณธรรมก็ง่ายที่จะเป็นมหาโจรนี่คือคำของปราชญ์โบราณกล่าวไว้นะอย่าตกใจ แต่ถ้าเรามีความกล้าและมีธรรมอยู่ในใจเสมอ ความกล้านั้นจะทำให้เราสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามได้ (ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  เพราะยิ่งอ่อนน้อมมากเท่าไรก็เป็นที่รักของทุกคนได้มากเท่านั้น (ความเพียรที่จะขัดเกลาตัวเอง) อย่าเกียจคร้านก่อนนะเพราะความเกียจคร้านเป็นอุปสรรคของความเพียร (การให้อภัยและเปิดโอกาสให้คนที่ทำผิดได้แก้ตัวใหม่) คือรู้จักให้อภัย (ให้ความรักกับเพื่อนมนุษย์สิ่งแรกที่จะทำคือรักครอบครัวและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำสำเร็จแล้วและอีกหลายโครงการ) การทำดีเพื่อเป็นประโยชน์ของสังคมเป็นสิ่งที่ดี แต่วันนี้สิ่งที่ศิษย์พี่จะให้ศิษย์น้องพูดคือการทำเพื่อตัวเราเอง คนเราจะสามารถไปถึงที่สุดของความดีได้ ต้องมีจุดยืนถ้าไม่มีจุดยืนเราก็ง่ายที่จะหวั่นไหวและลื่นไหลไปตามกระแสโลก ใช่หรือไม่  จุดยืนของศิษย์น้องก็คือสละเวลาทำเพื่อผู้อื่น นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่อยากฟังมากกว่า เพราะคนโดยส่วนใหญ่มีเวลาทำเพื่อตัวเอง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะยอมสละเวลาทำเพื่อผู้อื่น ฉะนั้นถ้าเกิดในที่นี้มีใครสักคนบอกว่าเมื่อไรที่ผมว่างผมจะขอสละเวลาทำเพื่อคนอื่น ก็ดีไม่น้อยเลย ใช่ไหม (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่สิ่งที่ศิษย์น้องมักจะบ่นให้เข้าหูอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ไม่มีแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่จะยกตัวอย่างง่ายๆ มีต้นไม้ต้นหนึ่งจะเหี่ยวแห้งตายอยู่แล้วและยังอยู่ใต้ก๊อกน้ำที่ใหญ่ก๊อกหนึ่ง ก๊อกน้ำก็พูดบอกว่า “ฉันเห็นใจเธอจริงๆ นะเธอแห้งจนใกล้จะตายแล้ว แต่ทำยังไงได้ ไม่มีใครมาหมุนฉัน น้ำเลยไหลไม่ได้” เหมือนศิษย์น้อง ฉันเห็นใจเธอจริงๆ นะแต่ถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้รับรองฉันจะช่วยเธอเต็มที่ เหมือนกันไหม  จนต้นไม้นั้นตายไปแล้ว ก๊อกน้ำนั้นก็ได้แต่สงสารแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย มนุษย์เราเป็นเหมือนก๊อกน้ำเลย ให้ได้แต่มักจะบอกว่าต้องรอคนหมุน ต้องรอคนจี้จุดใจดำก่อน หรือต้องรอเวลาก่อนหรือพูดง่ายๆ มนุษย์เป็นเหมือนน้ำค้างหยดหนึ่งจะไปช่วยอะไรใครได้ แต่เคยไหมหยดน้ำค้างหยดหนึ่งจากใบหนึ่งสู่ใบหนึ่งสู่อีกใบหนึ่งกลายเป็นน้ำที่ใหญ่ได้และทำให้ต้นไม้นี้ชุ่มชื่นได้เหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์น้องตอนนี้ทุกคนเหมือนกันหมด ฉันเป็นได้แค่ก๊อกน้ำ ฉันเป็นได้แค่หยดน้ำทำอะไร
ไม่ได้หรอกแค่ตัวเองก็ยังไม่รอดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในการเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ก็คือ อย่าปล่อยให้ความปรารถนาอยากได้ใคร่ดีมาบดบัง จนทำลายความงดงามในใจ หรือทำให้ต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียวและต้องทะเลาะกับคนรอบข้างเลย การเป็นคนขอเพียงทำให้คนรอบข้างมีความสุขไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  ทำอย่างไรศิษย์น้องรู้ แต่มักจะบอกว่าปากหนักพูดไม่ออก ทำอย่างไรให้พ่อแม่ยิ้มได้ ทำอย่างไรให้ลูกมีความสุขรู้ไหม ทำอย่างไรให้พ่อแม่ที่อยู่ใกล้ๆ สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ก็รู้แต่ทำไหม ไม่ทำ ยังเป็นก๊อกน้ำอยู่วันยังค่ำ (มีความอดทน)  โดยเฉพาะวัยรุ่นถ้าไร้ความอดทนก็จะกลายเป็นคนที่โมโหง่าย ทำอะไรก็ยากที่จะสำเร็จ ในโลกนี้พูดง่ายทำยาก แต่การรักษายิ่งยากเข้าไปใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  เราคิดว่าเราจะมีความซื่อตรง เราพูดแล้วพอทำเราทำได้ แต่รักษาให้อยู่กับเราแล้วไม่ไปไหนเป็นเรื่องที่ยาก แต่ศิษย์พี่ก็คิดว่าในที่นี้คงมีคนทำได้ไม่น้อย แต่ทำได้ก็ไม่ใช่ยึดมั่น ฉันซื่อตรงพูดแล้วพลิ้วไม่ได้ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องเป็นคนดีอย่างไม่หวังผล ยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วยิ่งใครรู้ว่ามาวันเดียวไม่มาอีกแล้ว ฟังให้ได้เต็มที่หน่อยดีไหม (ดี)  สงสารคนที่เขาพามา กว่าจะพามาได้หนึ่งคน แต่เขาบอกว่ามาได้แค่วันเดียว
ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องใจเย็นมากขึ้น ไม่ใช่อายุมาก ยิ่งใหญ่มากก็ใจร้อนมาก หลายคนนั้นพอมีตำแหน่งใหญ่ขึ้น วุฒิภาวะสูงขึ้น ก็ใจร้อนมากขึ้น ได้ไหม (ไม่ได้)  ยิ่งอายุมาก ยิ่งต้องใจเย็นมากๆ แล้วต้องมีมุมมองที่เปิดกว้าง วัยโน้นกับวัยนี้มีความคิดต่างกัน แต่เราต้องเปิดกว้าง ยอมรับทุกความคิด จิตใจยิ่งเปิดกว้างมากเท่าไร เราก็ยิ่งมองเห็นสภาพของโลกความเป็นจริงได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  สิ่งที่ศิษย์พี่อธิบายมาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็หวังว่าศิษย์น้องจะเอาไปคิด เอาไปใช้ อย่ามองแล้วติดแต่รูปนี้ รูปนี้ไม่ช่วยอะไร ร่างนี้ไม่ช่วยอะไรศิษย์น้องนะ เพราะถึงเวลาที่ศิษย์พี่ไปแล้ว สิ่งที่ช่วยศิษย์น้องคือ คุณธรรมที่จะเอาไปใช้ประจำใจ มีเงิน มีตำแหน่ง มีหน้าที่แล้ว แต่มีธรรมแล้วหรือยัง ไม่ใช่ธรรมนี้หรอกหรือที่ทำให้การอยู่ร่วมกันระหว่างคนมีความสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ระหว่างพี่กับน้องเราต้องมีอะไร ถ้าไม่ใช่ความเสียสละและความจริงใจกัน ระหว่างสามีและภรรยา ถ้าไม่มีความซื่อตรง จริงใจกัน ครอบครัวก็ไม่มีความสุข ระหว่างเราที่เป็นลูกกับพ่อแม่ ถ้าไม่มีความกตัญญูรู้คุณและไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เอาแต่ดื้อหัวรั้น คนที่ทุกข์ก็คือเราไม่ใช่หรือ ฉะนั้นยอมท่านหน่อยจะเป็นอะไร ดื้อไปคนที่เจ็บตัวก็คือตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ในโลกให้ได้ก็จงให้ สละได้ก็จงสละ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง เหมือนวันนี้จะยอมสละความยึดมั่นถือมั่น แล้วเอาคำพูดศิษย์พี่ไปฟัง ไปใช้บ้างหรือไม่ พูดเหมือนเดิมทุกๆ ทีที่จะกลับ อย่าคิดว่า มาหลอกเลย เพราะสิ่งที่ศิษย์พี่พูดทุกคำ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นจริงและทุกๆ คนที่ทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ ผู้ปฏิบัติงานธรรม ล้วนลงแรงเพื่อทุกๆ ท่านด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง เพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อให้ท่านมาขอบคุณเขา แต่เพื่อให้ท่านเอาชีวิตตัวเองให้รอดและให้มีความสุข และนำไปเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง นี่คือจุดมุ่งหมายในการศึกษาและปฏิบัติธรรม ช่วยตนและช่วยผู้คน ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่ไม่ได้มาสอนให้เปลี่ยนศาสนาใหม่ ศิษย์พี่มาพูดเรื่องธรรมะทั้งนั้น มีไหมที่บอกให้เปลี่ยนศาสนา (ไม่มี)  แล้วอีกอย่างศิษย์น้องมักพูดว่า ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีแต่จีน ไม่เห็นมีไทยบ้างเลย จะบอกให้ก็ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายไทยจะมาได้อย่างไร ในเมื่อท่านบรรลุไปถึงปณิธานของท่านเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นฝ่ายจีน ปณิธานของท่านยังไม่ลุล่วง จึงต้องมาสานปณิธานให้สำเร็จ แต่พุทธะฝ่ายพุทธล้วนสำเร็จแล้วกลับคืนขึ้นไปสู่เบื้องบนแล้ว ท่านกลับมาไม่ได้แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่ท่านลงมา ศิษย์น้องต้องบอกว่า ของปลอม ฉะนั้นอย่าพูดว่า มีแต่จีน เมื่อขึ้นไปสู่ข้างบนแล้ว จีน ไทย อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ล้วนมี
พุทธจิตธรรมญาณเดียวกัน
ขอเพียงปฏิบัติให้ดี ชีวิตนี้ก็มีค่ามีความหมายแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้มาขอเก็บตังค์ด้วยนะ ตั้งแต่มามีแต่ให้ตลอดเลย ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่ชัดเจน ทำอะไรชัดเจน ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำอะไรต้องชัดเจน เมื่อเราชัดเจนจะนำพาคนอื่นก็ง่าย  แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ชัดเจน เห็นแล้วขมุกขมัวก็ไม่มีใครอยากตามเราหรอก ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นปฏิบัติธรรมต้องชัดเจน เงินทองต้องชัดเจน ใช่ไหม (ใช่)  
ถึงเวลาศิษย์พี่ก็ต้องไปแล้ว รบกวนเวลาศิษย์น้องมาเยอะแล้วเหลืออีกสองวันที่จะมาฟังธรรมก็ขึ้นอยู่กับศิษย์น้องแล้ว เหมือนศิษย์น้องถามศิษย์พี่ว่ามาอย่างไร แล้วจะไปอย่างไร แต่มาอย่างไรอยากรู้เหรอ (อยากรู้) เรื่องของคนอื่นอยากรู้ๆ ทำไมไม่ถามตัวเองล่ะ อย่าสนใจเลยว่ามาอย่างไร แต่ถามตัวเองเถอะว่า ตัวเองจะกลับไปอย่างไร ศิษย์พี่รู้ทางกลับของตัวเองทั้งตัวจริงและตัวปลอม แต่ศิษย์น้องรู้ทางกลับของตัวจริงหรือยัง จะไปที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเรานะ
วันนี้หรือชีวิตนี้ศิษย์น้องเกิดมาเพื่อชดใช้บาปเวร ฉะนั้นอย่ามัวแต่เสวยสุข จงรู้จักสร้างบุญกุศลด้วย เพื่อจะได้เอาบุญนี้ให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แล้วทำบุญอย่างไรจึงจะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน ก็คือทำโดยไม่ยึดติดผล ทำด้วยใจบริสุทธิ์ หน้ายิ้มใจปรารถนา แล้วมือกระทำ เมื่อไรที่กายใจเป็นหนึ่งในการกระทำสิ่งดี เมื่อนั้นแหละคือการทำดีถึงที่สุดแล้ว แต่หลายคนหน้าไม่ยิ้มแต่ใจยังต้องทำ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า “บุญที่บริสุทธิ์” หรือว่าหน้ายิ้มแต่ใจไม่อยากทำ ฉะนั้นที่สุดของบุญก็คือ หน้ายิ้ม ใจก็บริสุทธิ์ ความคิดก็โปร่งโล่ง ส่วนคนที่รับนั้นจะดีไม่ดีไม่เป็นไร เราทำเต็มที่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
หมดเวลาแล้ว คนทุกคนมีเวลาจำกัด ฉะนั้นทุกเวลาทุกนาทีขอให้พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อยไหมปั้นซื่อ (ไม่เมื่อย) เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  คิดถึงเราไหม (คิดถึง) อย่างไรคำหวานใครๆ ก็อยากฟัง ใช่หรือเปล่า  
ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ อย่าคิดว่าเรามาหลอกเลย 


วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    ฟ้าผ่าเปรี้ยงสะดุ้งถึงใจจิต     กลัวความผิดที่ตัวเองนั้นได้สร้าง
ถ้าหากฟ้าลงโทษศิษย์อย่างจริงจัง    ศิษย์จะยังสงบสุขได้อย่างไร
        เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่โลกมนุษย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

    มองชีวิตตัวเองแล้วอย่าส่ายหัว    ยิ่งรู้ตัวศิษย์จะต้องยิ่งแก้ไข
จึงจะไม่อยู่กันอย่างทนกันไป    เปิดฟ้าใหม่ให้บำเพ็ญและทบทวน
เมื่อมีสุขทำใจให้รู้จักทุกข์    เมื่อมีทุกข์รู้จักคิดแง่ดีด่วน
ในโลกนี้ฟ้าดินคนแปรปรวน    ขอชักชวนศิษย์มองทั้งนอกใน
โลกอยู่ยากศิษย์ทุกข์มากแต่ต้องทน    เกิดเป็นคนทุกทุกวันเอาใจใส่
ความกระตือรือร้นลดลงไปตามวัย    คนมีใจใจไม่มีวันหมดแรง
จงฝึกกายฝึกระเบียบและฝึกจิต    ฝึกปัญญาค่อยค่อยคิดค่อยค่อยแต่ง
แต่งความคิดแต่งจิตใจกายออกแรง    ปณิธานที่เคยแล้งกลับฟื้นคืน
            ฮา  ฮา หยุด



    ศิษย์เอยบำเพ็ญพริบตาจนมาบัดนี้  เจ้ายินดีฝึกหรือทำเอาแค่พ้นไป  คนเห็นแก่ตัวนิ่งนอนไร้หัวใจ  ศิษย์ไม่สนใจใคร จนเกือบเหมือนกัน
    หากเจอเรื่องราวยุ่งยากเจ้าทนได้ไหม  ใช่ว่ากล้าแต่ย่ามใจให้ติดค้างกัน  กว่าจะพบเจอกันก็อยากให้รักกัน สิ่งใดถือครองนานระวังจะเผลอใจ
    บำเพ็ญธรรมต้องพร้อม ยอมรู้ยอมเปลี่ยน มีดีไปแล้วเพี้ยนเอาผิดรอบกาย  มีศิษย์ดื้อนัก อยากแต่ถอนใจ   มาไกลแค่ไหนต่างรู้ตัว

ทำนองเพลง : โกหกหน้าตาย
ชื่อเพลง : พริบตาเดียว
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ขอให้หันหน้าไปทางโต๊ะพระ การเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องแปลกประหลาด ใช่หรือเปล่า เวลาส่องกระจกเราจะมองเห็นตัวเราเหมือนดั่ง
ผีร้ายหรือเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรานั้น เหมือนดั่งผีร้าย หรือเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหนใครว่าเหมือนผีร้ายบ้าง ไหนใครว่าเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง แล้วใครว่าเหมือนทั้งสองอย่างเลยยกมือขึ้น
สิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรานั้นอาจจะเหมือนดั่งผีร้าย หรือเหมือนดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเราทำตนแบบไหน จิตใจของเราก็เป็นแบบนั้น จริงหรือไม่ (จริง)  ยามที่เราโกรธ หมายความว่าจิตใจของเราโกรธ ยามนั้นจิตใจของเราย่อมเป็นดั่งผีร้าย เวลาเรามองคนอื่นเราอาจจะมองไม่เห็นจิตใจเขา  แต่เรามองเห็นจิตใจของตัวเองไหม (เห็น)  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นวิญญาณ ตัวของศิษย์ทุกคนนั้นมีวิญญาณหรือไม่ (มี)  ตอนนี้วิญญาณของศิษย์เหมือนดั่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือดั่งผีร้าย หรือว่าเป็นวิญญาณที่ล่องลอยจนหาคำตอบไม่ได้ว่าตัวเองนั้นล่องลอยหรือไม่ จริงๆ แล้วตัวเรามิได้ล่องลอย  เพราะประกอบไปด้วยสังขาร ประกอบไปด้วยเลือด เนื้อ น้ำหนอง น้ำเหลือง ผิวหนัง ผม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันเราดูแลตัวของเราเองดีสุดความสามารถ ตรงไหนแต่งได้แต่ง ตรงไหนสวยได้สวย ตรงไหนหล่อได้หล่อ แต่ว่าเราได้ดูแลจิตใจของเราดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ เพราะว่าเจอคนที่บ้านแล้วยังโกรธอยู่ จริงหรือเปล่า (จริง)  เขาทำให้เราโกรธใช่ไหม (ใช่)  เขาผิดหรือเปล่า แล้วเราเจ็บที่ไหน (เจ็บที่ใจ)  จะทำอย่างไรกับใจของเราดี ตรงไหนเจ็บก็ตัดตรงนั้นทิ้งเลยดีไหม เวลาที่เป็นมะเร็งตรงไหนหมอมักจะตัดตรงนั้นทิ้งเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้ใจของเราเป็นมะเร็งไหม แล้วมันลามหรือยัง หรือมันกินหมดแล้ว
ใจของเรา เราไม่ได้ดูแลมันเป็นอย่างดี จริงหรือไม่ (จริง)  เรามักจะปล่อยไปตามสบาย สุขก็ว่าตามสุข ทุกข์ก็ว่าตามทุกข์ เกลียดก็ว่าตามเกลียด โกรธก็ว่าตามโกรธ  เบื่อก็ว่าตามเบื่อ เครียดก็ว่าตามเครียด จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่านี่คือการดูแลจิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าหากว่าเราดูแลจิตใจของเราอย่างดี ทุกวันนี้เราจะสบายใจ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ทุกวันนี้ เราเข้าใจคนอื่นหมดเลย ยกเว้นไม่เข้าใจใคร (ตัวเอง)  มีความสับสนในสิ่งที่ตนเองทำ มีความสับสนในสิ่งที่ตัวเองพูด ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ แล้วก็ไปไหว้พระขอพร ถามว่าเราให้พรตัวเองไหม (ไม่)   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กับตัวเราเอง บอกว่าไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ในกระเป๋าไม่มีเงิน อยากจะรวย แต่มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีพันก็อยากได้หมื่น มีหมื่นก็อยากได้แสน คนมีแสนก็อยากได้ล้าน คนมีล้านก็อยากได้สิบล้าน พอไหม (ไม่พอ)  ตั้งแต่เด็กจนโตเรารวยขึ้นหรือเปล่า เมื่อก่อนอยากได้เงินเราขอใคร (พ่อแม่)  แต่ตอนนี้หาเงินเองได้แล้ว แสดงว่าตอนนี้รวยขึ้นจริงหรือไม่ พอหรือยัง ปีนี้หาเงินได้มากกว่าปีที่แล้วหรือเปล่า ต้องถามใหม่ว่า ปีนี้ซื้อของที่อยากได้ลดลงหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีเงินในกระเป๋าเวลาไปเจอของที่เราชอบ ยังไงเราก็ต้องรีบซื้อ แถมยังบอกอีกว่าถ้าไม่รีบซื้อเดี๋ยวมันจะหมด ของที่เราอยากได้เราซื้อไหม (ซื้อ) คนรวยหรือคนจนที่ทำแบบนี้ได้ (คนรวย)  ยิ่งเราซื้อของที่เราอยากได้มากขึ้นเท่าไหร่ก็แปลว่า เรารวยมากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง) ทุกๆ วันเราก็ยังมีชีวิตไปเรื่อยๆ จริงหรือไม่ (จริง) ถามว่าเราใช้ชีวิตหรือชีวิตใช้เรา ที่ถูกต้องเราควรจะใช้ชีวิต แต่ทุกวันนี้กลายเป็นชีวิตใช้เราเพราะถ้าหากว่าเราสายตาสั้นหรือสายตายาว เราก็ต้องหาแว่นใส่ เห็นเพื่อนบ้านมีทีวีจอใหญ่กว่าเรา เราอยากได้ไหม เห็นคนอื่นเขาใช้เงินสบาย ฟุ่มเฟือย เราเห็นแล้วอยากฟุ่มเฟือยไหม ฉะนั้นทุกวันนี้เราให้ความอยากนำพาเรา เราไม่ได้ใช้ชีวิต แต่กลายเป็นชีวิตมาใช้เรา เพราะเราใช้ชีวิตตามความอยากของเรา เรามีความอยากเหมือนที่คนดีต้องการ หรือเรามีความอยากเหมือนคนมีกิเลสต้องการ หลายๆ คนก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำตามแบบคนดีทำ แต่ว่าใจมันอดไม่ได้ ใจมันยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังไม่ได้ฝึกมาให้พร้อม เพราะฉะนั้นใจของเราจึงทำตามใจตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
อุปสรรคที่มีมากที่สุดก็คืออารมณ์ จริงหรือไม่ (จริง) ทำอย่างไรดีกับอารมณ์ของเรา ถามว่าฟังธรรมะแล้วจะดับอารมณ์ได้หรือเปล่า (ได้) ถ้าเช่นนั้นเมื่อกลับไปแล้วห้ามโมโหคนที่บ้านทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะคนนั้นน่าโมโห จริงๆ เลย ใช่หรือไม่ เวลาคนนั้นเขาตายเราร้องไห้หรือเปล่า (ร้อง) ร้องทำไม เวลาเขาจะตายเรารีบไปจุดธูป รีบพาไปหาหมอ จริงหรือไม่ (จริง) อย่างนี้เขาเรียกว่ารักจริงหรือเกลียดจริง (รักจริง)  แล้วเราว่าเขาทำไมล่ะ เราชอบไหมเวลามีคนมาว่าเรา แล้วเราชอบว่าคนอื่นไหม (ชอบ)
เมื่อสักครู่ได้ยินเสียงฟ้าผ่ารู้สึกเป็นอย่างไร (สะดุ้ง) ฟ้าผ่า ฝนตกขังคนอยู่ในบ้านจริงหรือไม่ (จริง)  ฝนเป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางของคน ทุกวันนี้ชีวิตของเราก็มีอุปสรรคมากมาย อุปสรรคที่มากั้นขวางไม่ให้เราเดิน ฝนตกเป็นเรื่องของธรรมชาติ อุปสรรคก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน ถามว่าทุกวันนี้ชีวิตเรามีอุปสรรคไหม (มี)  เป็นธรรมชาติไหม (เป็น)  คิดตามนั้นหรือเปล่า เราจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ว่าเราคิดอย่างไร เราคิดอะไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น เหมือนเราคิดโกรธคนอื่น เราก็ต้องไประบายอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเกลียดใครเราก็ต้องไปทำร้ายเขา เรารักใครเราก็ต้องหาทางไปช่วยเขาจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นอุปสรรคนั้นเป็นธรรมชาติ หากเราคิดว่าอุปสรรคนั้นคือธรรมชาติ เราจะดำเนินชีวิตได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น  ธรรมชาติที่อยู่ในชีวิตของเราเป็นอย่างไร ธรรมชาติของเราฝนตกบ่อยหรือเปล่า (ไม่บ่อย)  น้ำท่วมหรือยัง น้ำตาท่วมหรือยัง อุปสรรคในชีวิตของเราก็มีมากมายทำจนเราเหนื่อย ทำจนเราท้อ เซ็ง แล้วก็เครียดด้วย แล้วเราหาทางออกให้กับชีวิตอย่างไร เราจะปล่อยชีวิตของเราไปเรื่อยเปื่อยได้หรือไม่ (ไม่ได้)
โดยธรรมชาติของคนเราชอบฟังธรรมะ แต่มักจะชอบฟังธรรมะหลังจากที่แก้ปัญหาของตัวเองได้เสียก่อน ถึงจะอยากฟังธรรมะจริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้มานั่งฟังธรรมะใจลึกๆ ก็ยังฝืนๆ อยู่ เพราะฉะนั้นเรามานั่งฟังธรรมะทั้งๆ ที่เรานั้นยังมีปัญหาชีวิตอยู่ ธรรมะจึงให้ทางออกแก่ศิษย์ ในคนที่รับธรรมะรับหลักการการทำดีไปปฏิบัติก็จะมีทางออกให้กับชีวิต ทางออกของชีวิตก็คือการที่เรานั้นต้องยอมรับผิดบ้าง ทุกคนทำงาน ทุกคนพูด ทุกคนคิดอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการที่เราจะพูดผิดบ้าง คิดผิดบ้าง ทำผิดบ้างจึงเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากว่าผิดซ้ำซาก พูดก็ผิดซ้ำซาก ทำก็ทำผิดอยู่ซ้ำซาก อย่างนี้ธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  อันนี้ไม่ธรรมดา เหมือนกับเรามีกระดาษขาวใบหนึ่ง แล้วตรงกลางมีจุดสีดำอยู่จุดหนึ่ง ทุกครั้งที่ให้เราจุด เราก็จุดอยู่ที่จุดสีดำอันนี้ ถามว่าคนนี้ผิดซ้ำซากไหม (ผิดซ้ำซาก)  บอกให้เขาไปแต้มตรงอื่นบ้าง แต่ว่าทำไม่ได้ ทุกครั้งก็จะมาแต้มตรงนี้ จนกระดาษขาด มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ตอนนี้เรามีนิสัยความเคยชินของเราอยู่มากมาย ซึ่งเราเป็นผู้รู้ดีที่สุด และสับสนใจกับมันมากที่สุด แต่อย่าเคยชินจนกระดาษของเรานั้นมันขาด เพราะถ้าขาดก็อาจจะแก้ยาก และไม่รู้ว่าคนที่เรา ไปทำผิดกับเขาไว้ เขาจะยอมรับกระดาษแผ่นใหม่หรือเปล่า เพราะฉะนั้น บางเรื่องในชีวิตของศิษย์นั้นยังแก้ได้ อยากแก้ไหม (อยาก) อยากแก้ต้องเหนื่อยหน่อย อาจจะต้องหากะละมังมารองน้ำฝนที่ตกหนัก ยิ่งเราปล่อยให้อารมณ์ของเราตกหนักไปเท่าไร เราก็ยิ่งต้องวิ่งวุ่นมาหากะละมังมารองฝนมากขึ้นเท่านั้น หากว่าใจของเรามันไม่หยุดตก ใจของเราไม่หยุดคิด ใจของเราไม่หยุดทำงาน อารมณ์ของเรายังขุ่นมัวอยู่เสมอ เราก็จะต้องเหนื่อยเป็นทวีคูณ ฉะนั้นพูดมาถึงตรงนี้คือให้รู้จักที่จะยอมรับในความผิดของตัวเอง เป็นทางออกเบื้องต้น คนที่เราทะเลาะด้วย คนที่เราโกรธด้วย คนที่เราเห็นว่าเขาผิด  ถ้าหากว่าเราไปเป็นเขา เราอาจจะเห็นว่าตัวเราผิด  คนที่ยอมคนอื่นน่าสงสารหรือไม่ (น่าสงสาร) ถามว่าศิษย์จะทำตัวเป็นคนน่าสงสารสักนิดหนึ่งได้หรือไม่ (ได้) ถ้าหากว่าคนสองคนทะเลาะกันอยู่ คนหนึ่งเงียบ แต่คนหนึ่งเถียง ศิษย์จะสงสารใคร (คนที่เงียบ)  แล้วศิษย์เคยเงียบหรือไม่ ยากเลยใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นศิษย์ก็ยังดูแล้วไม่น่าสงสารจริง ยังมีแรงเถียงอยู่ ขอให้แปรแรงนี้เป็นพลังขับเคลื่อนตัวเองไปแก้ไข ดีหรือไม่ (ดี)
เห็นหน้าศิษย์คราวนี้หน้าเหี่ยวกันไปเยอะ มันช้ำระกำใจอะไรกันนักหนา มันมีทุกข์มากมายอะไรกันนักหนา ศิษย์ที่เป็นคนใหม่ หน้าเหี่ยวๆ ยังรู้สึกว่าเป็นธรรมดา  เขายังไม่ได้ฟังธรรมะ ยังไม่เคยรับการสั่งสอนจากอาจารย์ แต่ศิษย์อาจารย์คนที่เจอกันบ่อยๆ ฟังกันบ่อยๆ ทำไมถึงได้เหี่ยวใจกับความทุกข์ ทำหน้าตาให้เหี่ยวย่นมีแต่รอยแห่งความคิดอยู่มากมาย คนคิดมากคิดถึงไหนถึงจะพอ  คิดจนความดันขึ้น คิดจนเส้นเลือดในสมองแตกไป คิดจนตายไป ถามว่าหยุดคิดไหม (ไม่หยุด) อย่าคิดจนป่วยไข้ดีหรือเปล่า (ดี) อย่าคิดจนเป็นคนที่ทำใจไม่ได้ หากว่าศิษย์นั้นฟังอาจารย์มาเสียนานแล้วยังปล่อยวางไม่เป็น อาจารย์บอกว่าลดมือลงมาบ้าง เข้าใจคำว่าลดมือหรือไม่  ปล่อยวางแปลว่าอะไร  อันหนึ่งคือการปล่อยไปเลย ทำยากไหม (ยาก) วางยากไหม วาง พอทำได้หรือไม่ (ได้) แต่บางคนวางก็ยังไม่ได้ แค่เอาไปวางไว้ก่อน ยังหยุดคิดไม่ได้เลย เท่ากับว่าศิษย์ปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ มันก็ยังอยู่ในมือของเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ายังทำไม่ได้ให้ทำอย่างไร บางคนเทินความทุกข์ไว้สูงกว่าศีรษะอีก บางคนยกไว้สูงอยู่ระดับศีรษะของเรา บางคนยกไว้สูงระดับหน้าท้องของเรา แต่อาจารย์บอกลดมือลงอีกหน่อยได้ไหม (ได้)  ชีวิตจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ลดมือลง จับให้สบายๆ ดีหรือไม่ จับความทุกข์ของเราให้สบายๆ หน่อยได้หรือเปล่า คนที่บอกว่าไม่ได้ที่ยืนอยู่ข้างๆ นี้ คือทำใจไม่ได้ใช่ไหม ศิษย์หน้าตาเหี่ยวๆ ทั้งหลายทำใจได้ไหม ปล่อยได้ไหม วางได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ลดมือได้ไหม (ได้)  ลดมือในที่นี้ก็คือลดใจของเราลง ถ้ามีความทุกข์เพราะมีความรัก ก็รักให้ (น้อยลง) มีความทุกข์เพราะมีความโลภก็โลภให้ (น้อยลง) มีความทุกข์เพราะมีความโกรธก็โกรธให้ (น้อยลง) มีความทุกข์เพราะมีความหลง ก็หลงให้ (น้อยลง) หากว่าศิษย์ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลงได้ ศิษย์จะเป็นผู้ที่มีกุศล สังเกตไหมว่าเราทำบุญสร้างกุศล ทำบุญนั้นง่ายกว่า ศิษย์ให้อะไร ก็จะได้ผลบุญนั้นมา แต่หากว่าให้เท่าไรก็ยังไม่เป็นกุศลเสียที เพราะว่าอะไร เพราะว่าใจที่ให้ไป ก็ยังมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง  
กุศลเป็นเรื่องที่สร้างยากกว่า แต่บาปเวรนั้นสร้างง่ายกว่ามาก เพราะว่าเราอยู่กับคนจำนวนมาก อยู่กับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเสมอ เราจึงเป็นคนที่มีโอกาสสร้างบาปเวรได้มากกว่า แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเราอยากสร้างกุศล เราก็จำเป็นที่จะต้องสร้างที่เดิม ที่ๆ เราสร้างบาปเวรไว้ มิได้เปลี่ยนที่ไป  เราจะสร้างกับคนที่ใกล้ตัวแล้วมีมหากุศลมากที่สุด ก็คือพ่อแม่ เราจะสร้างกับคนที่เป็นญาติพี่น้อง ยังไม่เท่าสร้างกับผู้อื่น เพราะว่าญาติพี่น้องเป็นผู้ที่เรานั้นรักใคร่ชอบพออยู่แล้ว การที่เราให้เขานั้นจึงเป็นเรื่องที่ง่าย แต่หากสร้างกับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร ถามว่าสร้างยากหรือเปล่า (ยาก)  คนที่เราไม่รักเขาเลย ไม่ห่วงเขาเลย ไม่เมตตาเขาเลย  แล้วเราต้องไปทำบุญสร้างความดีกับเขา ยากไหม (ยาก)  แต่ถามว่าทำกับใครได้มากกว่ากัน (ทำกับผู้อื่นได้มากกว่า) ฉะนั้นเราจึงควรที่จะทดสอบตัวเองว่าตัวเองนั้นมีกำลังสติ กำลังปัญญา และกำลังใจมากเท่าไหร่ในการที่เรานั้นจะให้ผู้อื่น การให้จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก สามารถกำจัดความตระหนี่ได้  สามารถกำจัดความโลภได้ ยิ่งถ้าใครเป็นคนกรุงเทพฯ วันๆ เจอคนเยอะมาก โอกาสที่เราจะสร้างความดีเยอะไหม (เยอะ)  โอกาสที่เราจะสร้างความผิดบาปเยอะไหม (เยอะ)  ทุกๆ วันที่เราทดสอบตัวเอง ออกไปข้างนอกเผชิญผู้คน เราจะสร้างสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี เคยเจอไหมทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วยังโดนด่า เคยไหม (เคย) ยินดีด้วย  แสดงว่าศิษย์นั้นยังทำดี เราเคยเข้าใจคนอื่นผิดไหม (เคย)  แล้วคนอื่นจะเข้าใจเราผิดได้ไหม (ได้)  คนอื่นก็ย่อมเข้าใจเราผิดได้เช่นเดียวกัน ในขณะที่เรานั้นทำความดี ยิ่งเป็นความดีที่ใช้เวลาเพียงสามนาทีห้านาที ยิ่งเวลานั้นเร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสให้คนอื่นนั้นเข้าใจผิดเรามากขึ้นเท่านั้น ก็ยิ่งต้องดูการตัดสินใจของเราว่าดีมากแค่ไหนด้วย
เวลาเราโดนว่า แล้วไปปรึกษาคนอื่น เราทุกคนมักมีคนที่เราชอบปรึกษาด้วย แต่ว่าปรึกษาคนมากี่คนเราก็ยังไม่ได้คำตอบเสียที ไม่ใช่เขาจะไม่ให้คำตอบแก่เรา  แต่เป็นเพราะว่าใจของเรานั้นไม่มีคำตอบ ใจของเรายังสับสน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะอยู่ในโลกนี้อย่างสงบสุข อย่างเข้าใจชีวิต รู้เท่าทันทุกเหตุการณ์นั้น จำเป็นที่จะต้องกลับมาพิจารณาตนเอง จำเป็นที่จะต้องมาดูตัวเองว่าเรานั้นเป็นอย่างไร เราเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ก็ต้องยอมรับไปตามนั้นว่าเอาแต่ใจตัวเอง ทุกครั้งที่มีคนมาว่าเรา เอาแต่ใจตัวเอง นอกจากไม่โกรธเขายังต้องขอบคุณอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์คิดว่ามีคนกี่คนที่กล้าบอกว่าศิษย์ไม่ดีตรงไหน มีไหม ในสังคมกรุงเทพฯ ในสังคมคนเมือง หรือสังคมไหนๆ ก็แล้วแต่ เวลาอยากจะบอกว่าคนนั้นไม่ดีทำอย่างไร เราก็นินทาเขาลับหลัง จริงหรือไม่ (จริง)  วันหนึ่ง ถ้ามีคนมาบอกเราว่าเราไม่ดีตรงไหน นอกจากไม่ว่าเขาแล้วยังต้องขอบคุณ เพราะกระจกที่บ้านเราสร้างได้ เราซื้อได้ เราหามาได้ ส่องให้เนียนให้สวยให้หล่อมากแค่ไหน ก็ทำได้ แต่คนที่มาส่องเราให้เห็นตัวเอง มีไหม  ถ้าหากว่าเรายังหลอกตัวเอง เราก็ไม่สามารถที่จะเห็นตัวเองได้ชั่วชีวิต เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมารู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง รู้จักชีวิตเข้าใจชีวิตมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงจะสามารถเข้าไปถึงความสุขที่เราต้องการได้
ทุกวันนี้ทีวี บันเทิง หนัง เพลง ร้านอาหารที่ถูกใจหรือที่ที่เราชอบไปเที่ยว ทำให้เรามีความสุขจริงหรือเปล่า เมื่อภาพหยุดใจของเราก็คิดต่อเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ความกลุ้มกังวลนั้นอยู่ในใจ ฉะนั้นจึงต้องชำระจิตใจของตนเอง มิใช่ไปหามาเพิ่มเป็นวัตถุเป็นพันธะเป็นภาระ อยากจะมีความสุขไหม (อยาก)  ต้องทำจิตใจของตนเองให้มีธรรมะมากขึ้น ทำได้หรือไม่ (ได้)
เวลาเราเจอคนที่เขาเป็นคนดี เรารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนดี (ไม่รู้) เมื่อใดที่เขาช่วยเราก็แสดงว่าเขาเป็นคนดี จริงหรือไม่ (จริง) เมื่อไหร่ที่เขาไม่ช่วยเราแปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี จริงหรือไม่ (ไม่) ขอให้ศิษย์นั้นมีสายตาที่แจ่มใส มองคนอื่นก็จงมองว่าเขาเป็นคนดี ไม่ใช่ไปมองเขาก่อนว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่ถึงแม้ว่าศิษย์หลายๆ คนจะอยู่ในสภาพที่เวลาเจอคนแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่เรายังจำเป็นต้องทำดีกับเขาไหม (ยังจำเป็น) เพราะว่าเรานั้นเป็นคนดี เราจึงต้องทำดี ทำดีบางเวลาได้ไหม (ไม่ได้) ทำดีตลอดเวลาได้ไหม (ได้) คนในโลกมนุษย์บอกว่าทำดีตลอดเวลามันเกินไป เกินไปหรือเปล่า อาจารย์อยากบอกว่าคิดอย่างนี้ก็เกินไป การทำดีนั้นไม่ได้เหนื่อยยากลำบากอย่างที่ศิษย์คิด แต่การที่ศิษย์จะทำความดีหรือไม่ อยู่ที่ศิษย์นั้นคิดว่าจะทำดีหรือไม่ เมื่อเราคิดอะไรการกระทำของเราก็จะเป็นอย่างนั้นตลอด เพราะฉะนั้นการกระทำที่เราทำอยู่ทุกวันนี้จึงเป็นเพราะว่าความคิดของเรานั้นยังไม่เข้ารูปเข้ารอยและความคิดของเรานั้นยังไม่สะอาด ยังไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้ แต่หากว่าเรามองโลกในแง่ดีได้ ทุกๆ วันของเราก็จะเป็นวันที่เราได้ อยากได้ไหม ต้องเอาความดี คิดดี ทำดี มาแลก ทำได้หรือไม่ (ได้)
ในสังคมของคนที่เจริญแล้วในด้านวัตถุ อย่างเช่นในปัจจุบัน ทำให้คนคิดอะไรแล้วเกิดความรู้สึกสับสน ซับซ้อนมาก เพราะว่าทุกวันนี้คนรู้สึกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ศิษย์ชอบบุญติดจรวด แต่ไม่ชอบกรรมติดจรวด ทุกครั้งเวลาที่ทำอะไรไปแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี อย่าตัดพ้อต่อว่า อย่าท้อใจ อย่าบ่น ทำได้ไหม  
คนที่ทำดีมากๆ ก็รู้สึกว่าตนเองทำเท่าไรก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า คนที่ทำดีจนซื่อ จนเซ่อ ไม่สามารถที่จะพลิกแพลงอะไรได้ในโลกนี้ ก็ยังพอมีกันอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นเวลาศิษย์เห็นใครดูเซ่อซ่า ทำดีแล้วก็เหมือนกับคิดอะไรเองไม่เป็น ไม่มีปัญญาที่จะพลิกแพลง ไม่มีปัญญาที่จะคิดอ่านใดๆ เท่ากับเราซึ่งฉลาดปราดเปรื่องมาก ขอให้ศิษย์ปรับใจตนเองนั้นให้เซ่อซ่าตามไป ให้คิดอะไรโง่ๆ เป็นเสียบ้าง เพราะคนแบบนี้ในโลกนี้มีน้อย ฉะนั้นใครจะฉลาดปราดเปรื่องเท่าศิษย์ล่ะ  เขาดูแล้วเซ่อซ่า เราก็ลองปรับตัวเองไปในมุมของเขา แล้วเราจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น
การสอนคนโง่ให้เป็นคนฉลาดทำได้ไหม การสอนคนฉลาดให้เป็นคนโง่ ทำได้ไหม ถามว่าการสอนคนโง่ให้เป็นคนฉลาด กับ การสอนคนฉลาดให้เป็นคนโง่ อะไรง่ายกว่ากัน การสอนคนฉลาดให้เป็นคนโง่นั้นง่ายกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มันโง่ไม่ลง มันทำไม่ได้จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จึงบอกว่าศิษย์คิดอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าศิษย์คิดฉลาด ศิษย์ก็จะเป็นคนฉลาด แล้วคนฉลาดก็จมไม่ลง ศิษย์คิดเป็นคนโง่ ศิษย์ก็ทำอะไรแบบโง่ๆ  ถึงเวลาแล้วเป็นอย่างไร หากคนโง่เป็นคนฉลาดได้ก็ถือว่ากำไร หากคนฉลาดเป็นโง่ได้ก็ถือว่าเป็นกำไรเช่นกัน เคยเห็นไหม ทำไมเขาได้อย่างนั้น ทำไมเราไม่ได้ เพราะเราทำหน้าตาดุตลอดเลย ถึงเวลาคนอื่นจะกล้าเข้าใกล้หรือไม่ (ไม่กล้า) คนฉลาดก็ต้องปั้นหน้าดุไว้ก่อน ดูเข้มๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขารู้ว่าเราโง่ จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าไปคิดมาก ชีวิตนี้เป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่เราต้องพูดอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่เราต้องคิดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ศิษย์แค่รู้จักพูดดี คิดดี แล้วสุดท้ายทำดี ก็พอแล้ว  พูดอะไรก็คิดสักหน่อย การพูดจานั้นคนชอบพูดเสียงดัง ชอบพูดแรง ไม่ใช่ว่าเขาพูดผิด เพียงแต่ทุกอย่างมันต้องมีจังหวะ ต้องมีเวลาที่ควรจะเป็นใช่หรือไม่ บางทีต้องดุก็ต้องดุ ถ้าหากว่าลูกทำผิด แล้วศิษย์ก็ไปปลอบ ถามว่ารู้เรื่องไหม   (ไม่รู้) มันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเด็ก ฉะนั้นการเลี้ยงลูกจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะว่าต้องมองให้ออกถึงจะสามารถเลี้ยงได้ดี มองไม่ออกก็เลี้ยงดีไม่ได้ หากว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่มีบุญกับเรา เราเลี้ยงอย่างไรเขาก็จะดีกับเรา แต่หากเด็กคนนั้นเป็นคนที่มีกรรมกับเรา เราเลี้ยงให้ดีแค่ไหนเขาก็จะผลาญเรา ฉะนั้นเรื่องกรรมเรื่องบุญนั้นจึงเป็นเรื่องที่แฝงอยู่ในทุกๆ เรื่องที่ศิษย์ทำ
บางทีศิษย์คิดอย่างคนที่คิดยากเกินไป แล้วไม่มองถึงเรื่องเหตุต้นผลกรรม ไม่มองสิ่งที่มองไม่เห็นเลย เป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์และคิดอะไรด้วยเหตุด้วยผล อาจารย์ว่าเหตุผลคนสมัยนี้สร้างได้ เหตุผลที่ดีและมีจริงๆ ก็มีอยู่ ฉะนั้นเวลามองคนอื่น มองในแง่ดีไว้ก่อน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดีแล้วชีวิตของเรานั้นก็จะแจ่มใสมากขึ้น ทุกวันนี้เราแจ่มใสไหม รู้จักแจ่มใสไหม (รู้)  ตั้งแต่เล็กจนโต โลกดีขึ้นหรือว่าแย่ลง (แย่ลง)  แสดงว่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ตั้งแต่เกิดมามีอะไรดีขึ้นมาไหม (มี)  แล้วแน่ใจไหมว่ามันจะดีอย่างนี้ตลอด (ไม่แน่ใจ)  แล้วเตรียมตัวอย่างไรบ้าง จริงหรือเปล่าว่าตัวเองทำใจไว้ตั้งแต่ตอนมีความสุข (จริง)  ตอนมีความสุขไม่เห็นมีใครเตรียมใจไว้เลยสักคน แล้วบอกว่าเตรียมใจได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ตั้งแต่มาอาจารย์พูดถึงจิตใจและจิตใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้จิตใจของศิษย์ได้วางลง ได้เบาลงและสับสนน้อยลงบ้างหรือยัง คิดว่าน้อยลงหรือยัง (น้อยลง)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักใจของตนเองอย่างแท้จริง รู้จักคิด รู้จักจิตใจ รู้จักตนเอง รู้จักให้กำลังใจตนเองและมองโลกในแง่ดี เพื่อที่เรานั้นจะได้ไปสู่ทิศทางที่ดีมากขึ้น การที่มีจิตใจดีจึงจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ดี คนที่ยังบำเพ็ญธรรมไม่ดีก็เพราะว่ายังมีจิตใจที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่
ศิษย์เอ๋ยการที่เราเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ทุกข์มากไหม (ทุกข์มาก)  อาจารย์ได้พูดแล้วเรามีทุกข์เป็นธรรมชาติ  เวลาเรามีสุขเราลืมทุกข์หรือเปล่า (ลืม)  เวลามีทุกข์แล้วลืมสุขหรือเปล่า (ลืม)  เวลามีสุขเราก็ลืมความทุกข์ไปเลยเพราะว่าความสุขนั้นกระตุ้นคน ยั่วใจคนให้รู้สึกดีไปหมด แต่เวลาที่เรามีทุกข์เราลืมความสุขไปไหม เวลาเรามีทุกข์เราก็ลืมสุข เวลาเรามีสุขเราก็ลืมทุกข์ไปเสียสิ้น อาจารย์อยากให้ศิษย์จับเอาความสุขและความทุกข์นั้นมารวมไว้ในชามใบเดียวกัน นำมากวนใหม่แล้วแบ่งครึ่ง ให้ใจของศิษย์นั้นมีทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน ในยามที่เรามีทุกข์เราก็มีความสุขด้วย มีความสุขได้อย่างไร ในขณะที่ศิษย์มีทุกข์นั้น ยิ่งได้ ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งมีปัญหา ศิษย์ยิ่งได้ การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ตอนที่มีปัญหา เมื่อแก้ปัญหาได้เราก็จะมีความสุข แล้วจะภาคภูมิใจในตนเอง ฉะนั้นเวลาที่เรามีทุกข์ จึงเป็นเวลาที่เราจะได้ เพียงแต่ว่าเราจะได้เมื่อไร เราจะได้ก็ต่อเมื่อเราคิดได้ เราจะได้ก็ต่อเมื่อเราปลงตก เราจะได้ก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาแล้วหาทางออกเจอ เราก็จะได้ ฉะนั้นความทุกข์ก็ไม่เลว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขเป็นอย่างไร ความสุขทำให้คนเหลิง ทำให้คนหลง ทำให้คนคิดไม่ได้ ทำให้คนปลงไม่ได้ ฉะนั้นในขณะที่เรามีความสุข เราจึงควรเอาความทุกข์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพื่อดึงตัวเราไม่ให้หลง เพื่อดึงตัวเราให้อยู่ในที่ในทางในกรอบ ฉะนั้นความสุขและความทุกข์จึงเป็นสิ่งที่มาคู่กัน
ถ้าหากว่าวันนี้อยากได้ความสุข ก็จำเป็นที่จะต้องมีความทุกข์ ยิ่งความทุกข์ก็ยิ่งได้ เมื่อเรามีความทุกข์เราจะรู้จักคิด คิดได้ดีกว่าการอ่านหนังสือธรรมะและดีกว่าใครมาปลอบใจเราอีก เพราะฉะนั้นต้องมีความทุกข์จึงจะได้ ได้อะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ได้สุข อย่าคิดแต่สุขกับทุกข์ อย่าคิดแต่รวยกับจน อยากรวยไหม (อยาก)  อยากรวยต้องจนก่อนได้หรือไม่ (ได้)
ศิษย์เอยบำเพ็ญพริบตาจนมาบัดนี้
บำเพ็ญพริบตา สิบปีก็เดี๋ยวเดียว ห้าปีก็เดี๋ยวเดียว แล้วเรามีดีขึ้นหรือยัง หรือดีลง เคยสังเกตไหมว่ายิ่งอยู่เราก็ยิ่งรู้สึกผิดเยอะจริงๆ เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อันนี้เป็นเพราะอะไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง พริบตาเดียว)
อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนเป็นคนที่มีความศรัทธา มีหัวใจ แล้วก็มีความมุ่งมั่น แต่ทุกวันนี้ในระดับที่ศิษย์ฝึกฝนหรือในระดับที่อาจารย์สอนศิษย์ พูดให้ศิษย์เป็นคนดีคนหนึ่งของสังคม เป็นคนดีคนหนึ่งของโลก เป็นคนที่น่ารัก แต่ถ้าถามศิษย์ของอาจารย์ว่าใช่คนบำเพ็ญธรรมหรือไม่ จะบอกว่าใช่ก็ไม่กล้า จะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้ ธรรมะที่ศึกษายังไม่สามารถทำให้ศิษย์นั้นเอาตัวรอดได้ ศิษย์ต้องเป็นทั้งคนที่มีความดีแล้วและมีความเข้าใจในธรรมะ ศิษย์ต้องเอาตัวให้รอดต้องบำเพ็ญธรรมดีโดยสวัสดิภาพ จึงจะสามารถเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นได้ เมื่อนั้นธรรมะที่ศิษย์ศึกษาก็ไม่ใช่แค่ธรรมะแห่งชีวิต แต่เป็นธรรมะแห่งการหลุดพ้นจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้ศิษย์เอ๋ย ยิ่งบำเพ็ญมานานแทนที่จะรู้เรื่องมากขึ้นแต่กลับดื้อมากขึ้น แทนที่จะเข้าใจมากขึ้นแต่กลายเป็นติดในรู้ติดในกุศลมากขึ้น ทำให้อาจารย์ทุกข์ใจมากไม่รู้ว่าจะพยุงหรือประคองศิษย์ไปทางไหนดี คนเราต้องมีเป้าหมายต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องสำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มาขัดห้องน้ำทำครัวที่สถานธรรม ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์กำลังทำอะไร ศิษย์รู้เพียงว่าศิษย์มาล้างชาม ขัดห้องน้ำ ทำครัว ศิษย์คิดว่าศิษย์มาทำความดีหรือคิดว่าศิษย์มาสร้างกุศลบำเพ็ญธรรมแค่นั้นหรือ อาจารย์จะบอกให้ศิษย์กำลังมาช่วยอาจารย์ในการเผยแพร่ธรรมะ เพื่อช่วยคนให้ขึ้นจากทะเลทุกข์ซึ่งเป็นงานยุคสาม วาระปลาย ที่ต้องทำเพราะว่าภัยมาเร็วกว่าที่คนคาด ถึงแม้ว่าจะดึงไว้อย่างไร แต่ก็ยังมา ทุกวันนี้ศิษย์ก็แทบจะนอนไม่หลับเวลาที่มีข่าว ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่ภัยยังไม่ถึงตัวศิษย์เลยนะ ยังไม่ใกล้ตัวเลย เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องรู้ว่าเวลาที่ศิษย์ล้างจาน ทำกับข้าว ขัดห้องน้ำ กำลังเช็ดถู หรือกำลังพูดธรรมะให้คนฟัง ศิษย์กำลังทำอะไร อย่าเป็นคนดื้อรั้น ดื้อเงียบ อย่าเป็นคนเข้าใจยาก อย่าเป็นคนอยู่ยาก อย่าเป็นคนใช้ยาก อย่ารักสบายเลือกเอาแต่ว่าไม่เหนื่อยๆ อาจารย์จะบอกให้ เวลาทำงานก็ทำงานให้หนักๆ เวลาพักก็พักให้เต็มที่ เข้าใจคำว่าทำงานหนักๆ แล้วพักเต็มที่ไหม ทุกวันนี้ตอนทำงานก็ทำไปพักไป ไม่ว่าจะเป็นงานทางโลกหรืองานทางธรรมก็แล้วแต่ เวลาทำงานก็ทำไปด้วย พักไปด้วยเพราะกลัวเหนื่อย เวลาพักไปด้วยหัวสมองก็ทำงานไปด้วย เวลานอนก็นอนไม่หลับ เวลากินก็เลือกกิน แล้วบอกว่าทำไมป่วย ใช่หรือเปล่า ศิษย์ต้องปรับพฤติกรรมการอยู่ พฤติกรรมการกิน และการพักผ่อนของตัวเอง ต้องเป็นคนที่รู้ว่าตัวเราอยู่ในขั้นไหน แล้วเราจะทำอะไร แล้วเราทำอะไรอยู่ เมื่อเวลาที่เราพักผ่อนขอให้ใจของเราพักผ่อนไปด้วย เวลาศิษย์ทำงานขอให้ทำงานได้อย่างจริงจัง ไม่ต้องกลัวเหนื่อย เกิดมาก็เหนื่อยแล้ว ใช่หรือไม่ ถ้าอยู่ไม่เป็นจะยิ่งเหนื่อย อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคนมาก และอยากจะให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่แม้ว่าจะมีความขี้เกียจอยู่บ้าง เอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาตน พัฒนาธรรม พัฒนาบุคลากร ทำตัวเราให้เป็นแบบอย่าง สาธิตให้เขาดูว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าทำแบบหลอกให้เขาเชื่อ หรือคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงชินเราเอง อย่างนี้ใช้ไม่ได้ นิสัยส่วนตัวและความเคยชินที่ไม่ดีต้องแก้ เพราะนิสัยความเคยชินส่วนตัวนั้นย่อมสะเทือนได้ตั้งแต่บ้านและสังคมและธรรมะ
ศิษย์ต้องเป็นคนที่มีปณิธาน มีเป้าหมายที่สูงส่ง ต้องรู้ว่าตนเองทำอะไรอยู่ จึงจะสามารถที่จะทำอะไรก็แล้วแต่ได้อย่างที่ใจต้องการ หลายๆ ปีมานี้ แม้เราจะมีความตั้งใจทำอะไร แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เหมือนกันในทางโลก ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาศิษย์รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่เข้าใจตนเอง เราไม่รักตนเองจริงๆ  คนรักตนเองต้องรู้จักฝึกฝน ฝึกนี้ฝึกอะไรบ้าง อาจารย์ต้องการให้ฝึกสี่อย่าง (๔ ฝึก) คือ  
.  ฝึกกาย  ฝึกกายคือการบำเพ็ญ คือการปฏิบัติ
.  ฝึกระเบียบ  คือทำตนให้เป็นคนที่คนอื่นไม่ต้องคาดเดามาก รู้จักมีแบบแผน รู้จักการดำเนินชีวิต รู้จักหลักการ แล้วทำให้ใกล้เคียงมากที่สุด เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง สถานธรรมมีกฎของสถานธรรม ฉะนั้นศิษย์ต้องทำทุกๆกฎ ทุกๆระเบียบ ให้ใจของเรานั้นเป็นระเบียบมากที่สุด
.  ฝึกจิต  ฝึกจิตของเรา ต้องให้จิตใจของเรานั้นไม่สับสนว้าวุ่นมาก ต้องรู้จักที่จะประมาณตน และใช้จิตใจของเราในทางที่ถูกที่ควร อย่าปล่อยให้จิตของเราเหนื่อยเพราะว่าคิดไม่ได้ ปลงไม่เป็น
.  ปัญญา  ฝึกปัญญายากหน่อย เหมือนกับคนลับมีด ต้องมีหินลับมีดและต้องมีมีดถึงจะฝนกันได้ การฝึกปัญญานั้นจึงเป็นเรื่องที่ หากว่าเราทำกาย ทำระเบียบ ทำจิตของเราให้ดีแล้ว เราจะสามารถฝึกปัญญาได้ เป็นโดยธรรมชาติอัตโนมัติ
การบำเพ็ญธรรมนั้น ถ้ามองว่าง่ายจึงเป็นเรื่องง่าย  ถ้ามองว่ายาก จึงเป็นเรื่องยาก เคร่งครัดและเข้มงวดกับตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นบอก เมื่อยามที่เราส่งเสริมคนอื่นเป็น  อย่าลืมส่งเสริมตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้เราเป็นคนที่อยากจะเรียบง่าย แต่กลายเป็นคนมักง่าย  
หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้น จะลึกซึ้งเข้าใจในจิตใจของอาจารย์ วันที่ศิษย์ดีขึ้น เป็นวันที่อาจารย์นั้นดีใจเป็นที่สุด วันที่ศิษย์คิดได้คือวันที่อาจารย์ยิ้มให้ศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทครอบคำว่า “เสรีมีแบบแผน”)
คนไทยมีนิสัยรักอิสระ ชอบความสบาย อยู่อย่างสบายใจ ใจเย็น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าใจเย็นมากเกินไปบางทีกลายเป็นเกียจคร้าน
ถ้าเสรีแล้วเราจะให้ใครคุม คนไทยในสมัยโบราณยิ่งใหญ่ได้เพราะอะไร เพราะว่าเขาใช้ความเสรีได้ถูกทาง เสรีและควบคุมตัวเอง แต่คนในสมัยนี้ไม่ใช่  เสรีแปลว่าไม่ควบคุม เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรก็ทำ เราจะคิดอะไรก็คิด เราจะพูดอะไรก็พูด เราไม่สนใจใคร อันนี้เป็นความเสรีที่เอาข้อเสียมาใช้ แต่เสรีในด้านดีนั้นไม่ได้เอามาใช้
ฉะนั้นในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน ศิษย์เป็นคนที่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นความเสรีในการบำเพ็ญธรรมแบบไทยๆ ทำอย่างไร มีอิสระตั้งแต่ศิษย์นั้นถือกำเนิดในแผ่นดินนี้ และความเป็นไทยนั้นก็เป็นสิ่งที่จะคงไว้และควรที่จะรักและหวงแหน แต่ความเสรีนั้นจะต้องมีแบบแผน มีหลักการของความเป็นคนอยู่ด้วย ต้องรู้หลัก ต้องรู้รอง ต้องรู้คิด ต้องรู้ธรรม ต้องเข้าใจและเข้าถึง ต้องมีหลักการในความเป็นคนให้ได้ ไม่ใช่เรานั้นอยากทำอะไรก็ทำ เวลาไม่ทำก็หาหลักการเข้าข้างตัวเอง อย่างนี้ไม่ได้
อยากให้ศิษย์เป็นผู้ที่มีความเสรีเหมือนดังรากดั้งเดิมที่ศิษย์ถือกำเนิด อยากให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมะแล้วเอาความเป็นไทยเข้าไปประยุกต์ได้ แล้วต้องทำให้ดีด้วย แต่อย่าได้เป็นคนที่เสรีจนกลายเป็นคนรักสบายติด
ขี้เกียจ อย่าได้เป็นคนมักง่าย แต่ให้เป็นคนเรียบง่าย ให้เป็นคนที่สมถะ รู้จักพอ เข้าใจชีวิต และเป็นผู้ที่คนอื่นมองได้ว่าเรานั้นเป็นผู้ที่เป็นแบบอย่างของผู้บำเพ็ญ เหมือนบางคนพูดว่าประหยัด แต่ว่าในความประหยัดนั้นคือ ความตระหนี่ อย่างนี้นั้นผิดทางไหม (ผิดทาง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนในชั้น)  
คนเก่าอยากได้ผลไม้ไหม (อยาก) อยากได้แล้วขยันมาสถานธรรมหรือเปล่า อย่าพยักหน้าไปอย่างนั้นๆ ชีวิตนี้ไม่มีกำไร ทำอะไรก็ขาดทุน ยกเว้นฟังธรรมะคือกำไรชีวิต คนพูดพูดดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่พูดไปมีคำหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกตื่นใจขึ้นมา มันก็เหมือนกับมีคนมารดน้ำ มีคนมาพรวนดิน ให้ต้นไม้ในจิตใจของเราเติบโตมากยิ่งขึ้น มีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจไปทำอะไรอีกตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นชีวิตทุกวันผ่านไป ทุกคนมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันหมด เพียงแต่ว่าใครจะรู้จักเสียสละเวลามาทำในสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
ปกติศิษย์ออกไปข้างนอกทำอะไรก็ต้องเสียเงิน หาเงินกันจนหน้าดำคร่ำเครียด มาฟังธรรมะไม่เสียเงินแต่ไม่เอา   อย่าบอกว่ารอให้แก้ปัญหาชีวิตของเราได้แล้ว แล้วเราค่อยมาฟังธรรมะ เพราะถ้าทำอย่างนั้นเท่าไรศิษย์ก็ไม่เจอทางออก ธรรมะจึงให้ทางออกกับจิตใจ ถึงแม้เรื่องราวที่ศิษย์เผชิญอยู่ไม่มีทางออก แต่ว่าจิตใจของศิษย์มีทางออกแล้ว  ฉะนั้นขยันฟังธรรมะกันให้มากๆ คนที่ไม่ฟังธรรมะจะเป็นคนที่หยาบกระด้างไปเรื่อยๆ  คนที่ไม่รู้จักฟังคนอื่นจะเป็นคนที่ขาดทุนชั่วชีวิต เพราะฉะนั้นจงฟังผู้อื่น แม้กระทั่งเด็ก แม้กระทั่งผู้ใหญ่ หรือคนแก่ที่ช่างบ่น ศิษย์ฟังแล้วศิษย์จะได้
เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาให้เรามาฟังธรรมะ ศึกษาธรรม มาศึกษาเถอะ อย่ามัวเลือก อย่ามัวเกี่ยง อย่ามัวอ้าง อย่าบอกว่าไม่มีเวลา เพราะถ้าศิษย์ไม่มีชีวิตแล้ว ต่อให้ศิษย์อยากฟังก็ไม่ได้ฟัง วิญญาณมากมายในโลกนี้ที่ต้องการฟังธรรมะ แต่ไม่ได้ฟัง เพราะถึงเวลาต้องไปใช้บาปของตัวเอง
ในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่บ้าน จะบอกว่ายากลำบาก ก็ไม่ยากลำบากมาก เพราะฉะนั้นจงอย่าได้หมกมุ่นแต่กับเรื่องการหาเงินทอง อย่าหมกมุ่นกับเรื่องงานที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด จงให้เวลากับหัวใจ กับวิญญาณ ให้ธรรมะกับตนเองบ้าง ไว้ใช้ในยามที่ตนเองมีทุกข์ ซึ่งก็เกือบตลอดเวลาที่คนมักจะมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อาจารย์แจกทอฟฟี่เพราะจะได้ไปทั่วถึงหน่อย อาจารย์เปิดกว้างให้กับศิษย์ทุกคนได้เข้ามาศึกษา อาจารย์เปิดกว้างให้กับการแพร่ธรรม เวลาที่ศิษย์นั้นได้รับธรรมะ ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ก็เหมือนกับเวลาที่อาจารย์โปรยทอฟฟี่ นี่คืออาจารย์พยายามที่จะเดินให้ถึงศิษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แต่เวลาที่อาจารย์แพร่ธรรมนั้นก็เหมือนกับเวลาที่อาจารย์โยนแอบเปิ้ลไปให้ศิษย์หรือโปรยทอฟฟี่ให้ แล้วศิษย์ที่ไม่ได้ก็ยังมี คนที่ไม่ได้รับธรรมะก็ยังมี แต่ธรรมะไม่ได้เผยแพร่ตลอดมีวันปิดและอาจารย์ก็มีวันที่จะไม่มา ดังนั้นช่วงนี้เราได้เจอกันถือว่าเป็นบุญไหม เป็นบุญต่อกัน มีบุญสัมพันธ์กันและได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวสงสัยโดยไม่ศึกษา คนเรามีความสงสัยได้ทุกคน แต่ต้องศึกษา จริงหรือไม่ ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้ ถ้าศึกษาแล้วไม่รู้ อาจารย์จะยอมปล่อยศิษย์ไป ศิษย์ที่นั่งอยู่แถวหน้าใกล้ๆ อาจารย์ แต่ไม่ได้รับทอฟฟี่ อย่างนี้เขาเรียกว่า ใกล้เกลือกินด่าง คือหมายความว่า คนที่มีโอกาสได้สูงแต่กลับไม่ได้ ใช่หรือไม่ วันนี้ไม่ได้ทอฟฟี่จากอาจารย์ก็กลายเป็นคนใกล้เกลือกินด่าง แต่อาจารย์ก็พยายามเอามาให้ ศิษย์ต้องพยายามสร้างโอกาสให้กับตัวเอง
อาจารย์จับมือศิษย์ ศิษย์จะได้รู้ว่าฟ้าอยู่ไม่ไกล นิพพานอยู่ไม่ไกล จงใช้ชีวิตและนำธรรมะไปใช้ในชีวิตของตัวเองให้ดี แล้วก็มุ่งไปสู่ความ
หลุดพ้นที่ศิษย์เคยมองว่าไกลเกินเอื้อม บนแดนฟ้าเบื้องบนไม่มีคนไม่ดี เพราะฉะนั้นวันนี้ศิษย์ยังลังเลอยู่ว่าศิษย์นั้นเป็นคนดีหรือเปล่า ทุกวันนี้ใช้ชีวิตรัดกุมพอไหม ควบคุมตัวเองได้หรือเปล่า วันหน้าหากศิษย์สามารถสำเร็จธรรมได้ ศิษย์จะมีเสรียิ่งกว่าที่บอกว่าเกิดมาเป็นคนชาติไทย ยิ่งกว่าที่บอกว่าเกิดมาเป็นคนเสียอีก ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีเสรีเพียงเท่านี้ ศิษย์ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังไม่รู้จักคำว่าระเบียบเลย หากว่าวันหลังศิษย์เสรียิ่งกว่านี้ศิษย์จะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร เพราะว่าความเสรีหากมากเกินไปมักทำให้คนเสียคน แต่ถ้าหากว่าเสรีแล้วมีแบบแผนด้วยศิษย์คงไม่เสีย
วันนี้เราเจอหน้ากัน ไม่ใช่วันสุดท้าย ฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะร้องไห้ คร่ำครวญให้มากเกิน ศิษย์ยกมือไหว้อาจารย์ปลกๆ วันนี้อาจารย์จับมือศิษย์ ไม่ใช่ให้ศิษย์นั้นมาไหว้พระขอพร หรือดีใจที่ได้จับมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่า  ฟ้ากับมนุษย์นั้นใกล้กันมาก แต่มนุษย์ทำตัวห่างไกล ฟ้าในใจของศิษย์คือมโนธรรมสำนึกที่คอยบอกศิษย์ สอนศิษย์อยู่ตลอดเวลา คนที่ไม่มีมนุษยธรรม ไม่มีแม้ธรรมะแห่งการเป็นมนุษย์นั้น
ไม่สามารถที่จะกลับคืนเบื้องบนได้ การที่ศิษย์ไหว้พระขอพรจึงมิใช่การบำเพ็ญธรรม แม้ว่าศิษย์จะไหว้พระอยู่ทุกวัน แต่การไหว้พระไม่ใช่การบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมคือการฝึกฝนตนให้ตนเองสามารถที่จะได้ชื่อว่าเป็นพุทธะเดินดินได้ ซึ่งศิษย์ทุกคนก็สามารถเป็นพุทธะเดินดินได้ แสดงความเมตตาออกมาทางสายตา ทางคำพูด ท่าทาง การกระทำ ให้กระแสแห่งความเมตตานั้นชำระล้างและชุ่มชื้นไปในใจของคนทุกๆ คน อย่าได้มีท่าทางที่ดุมากเกินไป หมั่นยิ้มบ่อยๆ การยิ้มให้คนเป็นการให้ที่ดีที่สุด ศิษย์หลายๆคนที่บำเพ็ญที่นี่ เป็นคนที่หน้าตาจะดุหน่อย ฉะนั้นก็ยิ่งจำเป็นต้องยิ้มให้มากหน่อย เพราะการยิ้มหรือไม่ยิ้มของเรานั้นสะเทือนถึงงานธรรม
รักษาร่างกาย รักษาจิตใจให้เข้มแข็งนะศิษย์นะ เอาชนะอุปสรรคที่เป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตศิษย์ อาจารย์เอาใจช่วย
วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่เป็นอยู่     ทั้งที่รู้แต่กลับทำไม่ได้
อยากปล่อยวางอยากสบายอยากสุขใจ    แต่สุดท้ายความทุกข์กลับมาแทน
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    อย่าได้ปั้นน้ำเป็นตัว    ยั่วยุพูดให้แตกแยก
นินทาเรื่องที่ว่าแปลก    พูดให้แบกวจีกรรม
อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสี     คนดีไม่พูดมุสา
รักษาคำสัตย์วาจา    สำรวมวาจาจริงใจ
อย่าเห็นพูดไม่สำคัญ    อย่าทำสวนทางคำพูด
คิดให้ดีก่อนจึงพูด    อย่าพูดเพราะอารมณ์ไป
พูดอย่างทำอย่างไม่ดี    พูดทีเก็บกลับไม่ได้
พูดไปคิดไปเหนื่อยไหม    ทำไปคิดไปไม่ดี
พูดไปแล้วค่อยคิดได้    ทำไปคิดได้พลาดที
คิดได้ค่อยพูดฝึกมี    คิดพูดทำทีระวัง
            ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
วันนี้ยังหวังว่าอยากจะเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกไหม (อยาก)  ถ้าอยากเจอจริงๆ ต้องกลับไปพร้อมกับเราเอาไหม คนที่กล้าพูดว่าเอา ก็แปลว่าตอนนี้ยอมสละชีวิตได้แล้ว แต่จะไปถึงหรือเปล่าก็ต้องขึ้นอยู่ที่ตัวท่านแล้วนะ  
เราเคยได้ยินมนุษย์บ่นกันว่า มนุษย์นั้นเก่งจริงๆ เหล็กตันๆ ยังสามารถทำให้บินขึ้นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยคิดไหมว่ากายเราที่หยาบๆ นี้ก็สามารถทำให้บริสุทธิ์และเบาลอยขึ้นเบื้องฟ้าได้เหมือนกัน ขนาดเหล็กมนุษย์ยังทำจนลอยขึ้นฟ้าได้ คนเป็นร้อยเหล็กก็ยังบรรทุกและลอยขึ้นฟ้าไปได้ นับประสาอะไรกับดวงจิตของเราที่เต็มไปด้วยอัตตา ความยึดมั่นถือมั่น หากวันหนึ่งเราจะปล่อยวางแล้วกลายเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์สะอาดใสแล้วทำไมจะกลับคืนเบื้องบนไม่ได้ล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  ขึ้นอยู่กับว่าคนเราจะทำหรือไม่ทำ หรือว่าคิดแล้วก็จบอยู่ที่แค่คิด ไม่ลงมือทำอีกต่อไป เราจะดูถูกตัวเอง หรือเราจะดูผิดตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  
การมาศึกษาธรรมก็เพื่อความหลุดพ้น เพื่อหาทางพ้นทุกข์ แต่คนเรามักจะพูดว่าฉันยังอยู่ห่างไกล หรือไม่ก็พูดว่า ดีแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ถามว่าคนที่บอกว่าดีแค่นี้ ถ้าเพิ่มแรงอีกนิด ขยันอีกหน่อย ฝืนใจอดทนอีกเยอะๆ คนที่ดีแบบนี้จะดีได้อีกไหม (ได้)  ก็ได้ แล้วคนที่ดีแค่นี้สามารถพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  
ปกติสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาตัวเปล่า แต่วันนี้เราลองถือผลไม้มาสี่ลูกเท่าที่มือจะถือได้ ถือไปได้แค่ไม่กี่นาทีเราก็รู้สึกเมื่อยแล้ว ถ้าเราลองถือไปทั้งปีทั้งชาติถือจนตราบวางวาย เมื่อยไหม (เมื่อย)  แล้วมือจะทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วใจเราล่ะ ที่แบกความยึดมั่นถือมั่น แบกลูกแบกหลานไว้ในหัวใจ ทำอะไรได้บ้าง แบกแล้วลูกหลานเขาจะตามเราไปไหม (ไม่ไป)  แบกเงินทองทรัพย์สินแทบแย่ แล้วเงินทองบอกให้มันอยู่นิ่งๆ กับเรา มันจะอยู่ไหม (ไม่อยู่)  อย่าลืมนะว่าสมบัตินั้นผลัดกันชม เมื่อรู้ขนาดนี้เรายังแบกไหม เราไม่แบกแล้วนะ ถ้าท่านยังแบกก็แบกต่อไปเถอะ เพราะคนที่ทุกข์คือคนที่แบก แต่คนที่หมดทุกข์คือคนที่ยอมปล่อยวางนั่นเอง เหมือนวันนี้เราปล่อยอะไรได้บ้าง (เรื่องงาน)  ใครปล่อยเรื่องครอบครัวได้บ้าง ใครปล่อยเรื่องภาระหน้าที่ได้บ้าง ถ้าอยากปล่อยจริงๆ ต้องเอาโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่บ้านนะ ตอนนี้ปล่อยได้แต่พอยกโทรศัพท์ “มาอีกแล้ว” แต่ก็ต้องกดฟังจนได้   ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้เรามาคุยว่า เราจะแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ได้อย่างไร แต่เราจะแก้ปัญหาทุกข์ได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องหาเหตุให้พบก่อนว่าทุกข์มันมาจากไหน และทุกข์มันอยู่แห่งหนใด อย่างนั้นถามท่านในที่นี้ ก่อนที่จะให้เราบอก ท่านคิดว่าทุกข์มาจากไหน (จากใจ, ความคิดของตัวเราเอง, การกระทำ, จากความคาดหวัง)   วันนี้ใครที่ยังไม่ได้ผลไม้รีบตอบดีไหม วันนี้ได้เพื่อจะเสีย เอาไหม
จริงๆ วันนี้เราเสียมาเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ เราก็ต้องได้อะไรกลับไปบ้าง แต่พอเราได้แล้วเราก็ต้องรู้จักเสียสละเพื่อจะได้กลับมา เคยไหมคนรอบข้างทำอย่างไร เราก็ไม่ทุกข์ แล้วทุกข์มาจากไหน (จากการกระทำของคนรอบข้าง, เพราะเราไม่รัก, เราไม่สน, ทุกข์เพราะอยากได้อยากมี, ความโกรธ, ความหลง, ทุกข์เพราะร่างกาย, คิดมากกลุ้มกังวล, การไม่ปลง, เป็นห่วง, กังวล, กิเลส, ความโลภ, ทำใจไม่ได้, เพราะคาดหวังแล้วไม่ปล่อยวาง, ทุกข์เพราะไม่ให้อภัย, คิดไม่จบซะที, พลัดพราก)
ชะตาชีวิตส่วนหนึ่งฟ้ากำหนด แต่อีกส่วนหนึ่งมนุษย์กำหนด ถึงแม้ตอนนี้ฟ้ากำหนดให้เราไม่มีแขน แต่เคยเห็นไหมว่าคนไม่มีแขนกลับมีความสุขมากกว่าคนที่มีแขนครบ แปลกนะ ทุกท่านก็ทราบว่าทุกข์เพราะอะไรยิ่งคิดถึงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บแต่ทำไมถึงเลิกคิดไม่ได้ เคยเดินไปถึงวังวนแห่งความทุกข์ที่สุดของทุกข์ก็คือกลับมาสุข ที่สุดของสุขก็คือกลับมาทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่กว่าจะเดินไปถึงที่สุดของทุกข์ได้ บางครั้งมนุษย์ก็กลับยอมแพ้เสียก่อนที่จะได้พบความสุข
ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อให้ท่านรักสบายกลัวลำบาก แต่การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือให้ท่านมีจิตใจที่กล้าหาญต่อสู้กับความทุกข์ ไม่ยอมแพ้ความยากลำบาก เพราะที่สุดของความยากลำบาก ก็คือความสบายนั่นเอง แต่ที่สุดของความสบายนั่นก็คือความยากลำบาก ฉะนั้นถ้าท่านไม่กล้าที่จะสู้กับความยากลำบาก ไม่กล้าที่จะสู้กับทุกข์ ท่านจะเอาชนะทุกข์แล้วเดินไปหาสุขได้อย่างไร
เคยเจอไหมยามสว่างที่สุดเรากลับสะดุดหกล้มมากกว่ายามมืดที่สุด ยิ่งสว่างเราก็ยิ่งคะนองประมาท แต่ยิ่งมืดเรากลับยิ่งระวัง แล้วเคยเห็นความมืดไหมเวลาฟ้ามืด เวลาบ้านหรือในห้องมืด สิ่งที่ทำได้คือควรทำอย่างไร สมมุติว่าอยู่ในห้องนี้ไฟดับลง เราควรจะทำอย่างไร ให้อยู่นิ่งๆ ก่อนแล้วพยายามปรับสายตาให้ได้ ถ้าเกิดว่าไฟดับแล้วลุกขึ้นทันทีเราเจ็บแน่ ความทุกข์ก็เหมือนกันเมื่อความทุกข์มาเผชิญอยู่ตรงหน้า ขอให้นิ่งแล้วตั้งสติมองให้ดีๆ ว่าทุกข์มาจากไหน
มนุษย์ตายเพราะความเย็นมากกว่าตายเพราะความร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์ที่เกิดส่วนใหญ่มาจากอะไรอันดับแรก คือคนที่รัก ใช่ไหม (ใช่)  เราทุกข์เพราะคนที่เรารักที่สุด แล้วเพราะอะไรคนที่เรารักที่สุดทำให้ทุกข์ที่สุด
ชีวิตนี้หวานอมขมกลืนมากหรือ เรารู้นะว่าบางท่านในชีวิตแต่ละก้าวผ่านมา แต่ละเวลาของช่วงชีวิตนั้นไม่ง่ายเลย บางคนเกิดมาบนกองเงินกองทอง มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง แต่บางคนสิ่งที่ได้มาต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา  แต่สิ่งที่เราอยากบอกกับทุกๆ ท่านก็คือ ถึงที่สุดของชีวิตแล้วก็คือ ความว่างเปล่า  บางครั้งเรากำลังเสียใจกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน เสียใจกับสิ่งที่ท้ายที่สุดแล้ว  เราก็กำหรือหยิบอะไรไปไม่ได้ รู้ว่าคิดมากไปก็เจ็บปวดใจ รู้ว่ารักมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น แต่ในเมื่อรักไปแล้ว ทุกข์ไปแล้วจะทำอย่างไรดี ถ้าเราพูดว่าปลงเถิด วางเถิด ท่านก็จะพูดว่า “พยายามอยู่ แต่มันปลงไม่ได้ อยากวางอยู่ แต่มันวางไม่ลง” ใช่ไหม (ใช่)  
ถ้าเราโยนผลไม้ไปลูกหนึ่งให้ท่านรับ รับได้ไม่ได้ไม่เป็นไร ในสิบลูกขอให้ได้สักหนึ่งลูก ท่านรู้สึกว่ามีความหวังใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่าในสิบลูกท่านต้องเอาลูกนี้ ลูกอื่นห้ามเอา และต้องจำให้ได้นะ ต้องหาให้เจอ ถ้ารับไม่ได้ชีวิตจบกันยากไหม (ยาก)  กลัวไหม (กลัว)  ใครจะลองเล่นเกมนี้ดูไหม เอาไหม (ไม่) สมมติว่าให้คนที่รักของท่านคือ ผลไม้ลูกนี้แต่จะอยู่ในสิบลูก แต่ท่านต้องหาให้เจอและรับให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ชีวิตเขาจะสั้น เอาไหม (ไม่เอา) เพราะอะไรไม่เอา เพราะกลัวผิดหวัง กลัวชีวิตสั้น กลัวเขาจะต้องมาสูญสลายเพราะน้ำมือเราใช่ไหม (ใช่)  แล้วคนที่ท่านสร้างขึ้นมา ไม่เหมือนกับผลไม้ที่เรากำหนดให้ท่านเล่นเกมนี้อยู่หรือ ใช่ไหม (ใช่) ท่านไม่ได้เป็นคนสร้างผลไม้นี้เองหรือ ท่านเป็นเป็นคนสร้างเองนะ แล้วเขาจะอายุยืนหรือสั้น ถึงท่านจะรับผลไม้ได้ เขาอายุยืนไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าเกิดเขาไม่รักตัวเอง เขาก็อายุสั้นเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถึงวันนี้ท่านรับผลไม้ไม่ได้ เขาจะอายุสั้น แต่ถ้าเกิดว่าเขารู้จักสู้ชีวิตไม่ยอมแพ้ ชะตาชีวิตจะอยู่ที่มือท่านหรือมือเขา  เกมชีวิตของคนที่ท่านรัก คนที่ท่านห่วง ท่านกำหนดไม่ได้ แล้วท่านก็ต้องเล่นเกมนี้ทุกคน เมื่อไรมีรัก ท่านลงเล่นเกมนี้ทันที และเมื่อไรท่านพลาดหวัง เกมเริ่ม เริ่มต้น คาดหวังว่าเขาต้องเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเขาตกลงไป ผิดหวังไหม เจ็บปวดไหม (เจ็บปวด) แล้วใครเป็นผู้เริ่มเล่นเกม (ตัวเรา) ฉะนั้นอยากมีสุข จงพอใจในสิ่งที่เขาเป็น แต่อย่ามีสุขในสิ่งที่เขาต้องเป็นแบบที่เราหวัง ทำได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นขอให้ลูกมาตรฐานเท่านี้ ขอให้สามีมาตรฐานเท่านี้ แต่ถ้าถึงเวลา เขาตกไปมากกว่านี้ ทำใจได้ไหม เมื่อเขาไม่เหลือมาตรฐานให้เห็นเลยว่าจะมีดี ไม่อยากเล่นเกมผลไม้ก็คิดให้ดีดีนะ สุขในสิ่งที่เขาเป็นแต่อย่าสุขในสิ่งที่เราอยากให้เป็น เมื่อไรที่เราคาดหวัง เมื่อนั้นเรากำลังเริ่มต้นเล่นเกมรับผลไม้จริงไหม (จริง) และจงจำไว้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าคนที่ท่านรักมากแค่ไหน จำไว้ว่าไม่มีใครอยากให้เขามาชี้หน้าว่าเธอกำลังทำผิด เธอกำลังไม่ดี ลูกกำลังทำผิด
ถามตัวท่านเอง รักมากแค่ไหนแต่ถ้ามีคนมาชี้หน้าก็รับไม่ได้ เมื่อเขารับไม่ได้ ผลที่สะท้อนกลับมาก็คือ การประชดประชัน ถามตัวท่านเองถ้ามีใครมาชี้หน้าว่า ตัวท่านผิด รับได้ไหม ตอนนี้เห็นเขาผิดแล้วพยายามยัดเยียดความผิด ให้เขายอมรับให้ได้ เขาจะรับไหม สู้พูดบอกว่า ไม่เป็นไรเราผิดด้วยกัน ไม่เป็นไรแม่ผิดเอง ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แทนที่จะว่าลูกผิดและให้เลิกเล่นเกมเถอะ แต่บอกว่าแม่ผิดเองที่ไม่มีเวลาให้ลูก พี่ผิดเองที่ไม่ดูแลน้อง น้องเลยหกล้มทำให้น้องเจ็บ เพราะพี่ไม่ดี ถ้าพูดอย่างนี้สิบครั้ง แต่ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทำใจเถอะว่า เราเกิดมาเพื่อใช้กรรมเขา แต่ถ้าหากพูดแล้วสามครั้ง เขารู้สึกอยากร้องไห้ แล้วพูดว่าผมขอโทษ ดีใจเถอะว่า เขาเกิดมาเพื่อมาใช้หนี้เรา
ฉะนั้นจำไว้ว่า คนในโลกแม้จะทำผิดขนาดไหน ก็อยากได้คนให้อภัย และอ้าแขนเปิดใจกว้างและรับว่าเราผิดด้วยกัน ถูกไหม (ถูก)  ลองวันนี้ท่านไปทำผิด ถามว่า ทำไมถึงทำผิด ร้องไห้ตีเขาก็ไม่มีประโยชน์ สู้ร้องไห้แล้วกอดเขาว่าแม่ผิดเองลูก ที่ไม่ได้ช่วยลูกให้ทันการณ์ แต่ก็อย่ารักและตามใจเดี๋ยวจะเหลิงหมด ใช่ไหม (ใช่)  ปกป้องมากเกินไปก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักสู้คนอีก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับนักเรียนที่มาจากประเทศลาว)
มาฟังอะไรต้องเอาไปให้ได้ เขามาตั้งไกลขนาดนี้เขายังอยู่จนครบ เราอยู่ใกล้ขนาดนี้เรายังไม่อยากอยู่ให้ครบเลย ใช่หรือเปล่า
ถ้าเราพูดคร่าวๆ ทุกข์ที่เราอยากจะบอกท่านมีอยู่สามอย่าง  อย่างแรก ทุกข์เพราะคนรัก อย่างที่สอง ทุกข์เพราะสิ่งของ  อย่างที่สาม ทุกข์เพราะตัวตนเอง  แยกเป็นข้อใหญ่ๆ แต่ถ้าอยากได้ข้อเล็กๆ ข้อเดียว ส่วนใหญ่ทุกข์เพราะตัวเองทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่น่าเศร้าของมนุษย์มากที่สุดนั่นก็คือทุกข์เพราะสิ่งของ เราเห็นสังคม เห็นชีวิตคน ฆ่ากันเป็นผักเป็นปลา ทำลายกันได้โดยไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจ ถ้าเกิดเราเทียบแล้วเงินตรงนี้กับชีวิตคนตรงนี้ชั่งน้ำหนักอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต) แต่บางทีเพียงของสิ่งเดียวเราถึงกับยอมฆ่าคนทั้งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนคนที่ล้มละลาย หรือคนที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง เขายอมปลิดชีพตนเองเพราะยอมรับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียและกลายเป็นคนล้มละลาย แต่ถ้าถามเขาหน่อยก่อนที่จะปลิดชีพฆ่าตนเอง ระหว่างชีวิตคนกับเงินที่หายไปแล้ว อะไรมีค่ามากกว่ากัน ไม่เพราะว่ามีชีวิตหรือจึงมีเงินทอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเงินทองสำคัญกว่าชีวิต หรือพูดง่ายๆคือ เงินทองสำคัญจนทำให้ห่วงหน้าตาไม่ห่วงชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือบางทีเราเห็นของแตกไปแล้ว เป็นของรักของหวงของเรา แต่เราโมโหจนตาย คุ้มไหมกับสิ่งที่เราโมโห เราต้องทำร้ายคนรอบข้างเพราะสูญเสียของสิ่งหนึ่ง เคยไหมอะไร โมโหเพื่อน โมโหพี่น้อง โมโหภรรยา เพราะว่าทำสิ่งที่เรารักหายไป โมโหแทบเป็นแทบตาย บางครั้งไม่มองหน้ากันไปเป็นปีๆ เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามว่าถึงที่สุด ระหว่างคนๆหนึ่งกว่าจะทำให้เขารักก็แทบแย่แล้วนะ แต่ทำให้เขาเกลียดง่ายไหม พูดคำเดียวเกลียดได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะเกลียดหมดใจหรือเปล่า ถ้าไม่มีพื้นฐานการเกลียดอยู่ก็คงเกลียดไม่หมดใจ แต่บางคนก็มีพื้นฐานของความเกลียดอยู่แล้วพอพูดอีกนิดก็เกลียดจริงๆ หรือไม่ต้องพูดอะไรแค่เห็นหน้า สุดจะเกลียดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ของถามหน่อยว่าการทำให้คนเกลียดนะง่าย แต่เราจะเพิ่มให้คนเกลียดไปทำไม เพราะหันไปก็มีแต่คนทำหน้าบึ้งถ้าหันไปอีกทางหนึ่งมีแต่คนทำหน้ายิ้ม อยากอยู่ที่ไหน (หน้ายิ้ม) แล้วเลิกเกลียดเขาได้ไหม
ท่านนับถือศาสนาพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ สิ่งแรกที่ท่านคิดคือ ธรรมะที่จะไปโปรดยากเกินไป ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะรู้ตรงนี้ได้ หรือรู้แล้วก็คงทำไม่ได้ แต่ท่านก็ยังคงหาทางที่ง่ายที่สุดแล้วทำ นี่คือสิ่งที่เราเคารพและนับถือมาทุกรุ่นทุกสมัย สิ่งใดที่ยากลำบาก พระพุทธเจ้าเลือกที่จะเข้าไปทำ สิ่งใดที่สบายที่เสวยสุขท่านถอยและสละหลีก  นี่คือหนทางที่ท่านเลือกแล้วเราก็ยังเคารพ ฉะนั้นเราอยากได้คนที่รักเรา เราอยากได้คนที่เคารพเรา ก็ให้เลียนแบบพระพุทธเจ้า รู้ว่ายากก็ยังทำ รู้ว่าไม่สบาย ลำบากก็ยังสู้ เพราะสิ่งที่ได้มาน่าเชิดชู ตายไปแล้วคนก็ยังพูดถึงไม่จบไม่สิ้น เคยได้ยินไหม “ชาติเสือยังไว้ลาย  ชาติชายยังไว้ชื่อ”  แล้วเราชาติหญิงล่ะ ไม่ต้องเสียกำลังใจ มองดูแล้วหญิงมากกว่าชายอีกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าเรื่องดี เรื่องธรรมะผู้หญิงก็ไม่น้อยหน้าชายเหมือนกัน แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จจะเห็นเป็นฝ่ายชายมากกว่าก็ตาม
ทุกข์ที่สาม คือทุกข์เพราะตัวเอง เราทุกข์เพราะตัวเองมีอะไรบ้าง (งานที่ทำไม่สำเร็จ เพราะงานที่ผมทำเป็นงานของเยาวชน ซึ่งผมคิดว่าในตัวผมเองร่างกายกายเนื้อผม ผมอาศัยเขาอยู่ ผมสละหมดทุกอย่าง ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของผม แม้กระทั่งเลือดผมก็สละให้ทุกสามเดือน ผมกลัวอย่างเดียวว่างานที่ผมทำจะไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสดีแล้ว ผมจะขอให้ท่านให้กำลังใจผมต่อสู้งานนี้ให้สำเร็จ)  
สิ่งที่ทำถ้าดี ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ฟืนสิ้นไฟยัง” ปณิธานความมุ่งมั่นของคน ถ้าดีจริง แม้ตัวเราจะจบสิ้นไปก็ต้องมีคนสานและสืบต่อ ฉะนั้นทำแล้วปล่อยวางอย่ายึดติด ทำถึงที่สุดแล้ว แม้จะไม่ได้ผลดีดังต้องการ แต่ก็จงภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำ ใครทำดีมีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ให้กำลังใจ
พูดดีพูดง่าย แต่พูดให้ถึงใจพูดยาก ใช่ไหม (ใช่)  พูดให้ถึงจิตใจตัวเองเป็น พูดดีๆ เราเชื่อว่าทุกคนพูดได้ แต่พูดแล้วค้นหาใจให้เจอว่าใจเราเป็นอย่างไร แล้วเอาออกมาให้ได้ พูดอย่างนี้จึงจะมีความหมายกว่านะ อย่ามัวแต่หวังว่าคำพูดนี้ต้องดี แต่พูดสิ่งที่มันออกมาจากใจ อันนี้มีค่ามากกว่า
(ทุกข์เพราะจิตที่ยังยึดมั่นถือมั่น)
อยากหยุดไม่ให้คิด อยากหยุดไม่ให้โกรธแต่ว่าโกรธไปแล้ว คิดไปแล้ว ฉะนั้นต้องพยายามฝืนตัวเองให้ได้นะ บางทีหลงตัวเองว่าแน่แล้ว ถูกแล้ว ใครพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
(สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง)  ลองถามในที่นี้ว่าใครไม่เคยป่วยเลยอย่างนั้นทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาดีไหม (ดี)  
(อยากได้อยากมี) ยังอยากได้อยากมีอยู่ใช่ไหม ไม่ผิดแต่ในความอยากได้อยากมีจะต้องมีคำว่า “พอ” ถ้าพอไม่ได้ ขอถามหน่อยว่า  ถ้าขึ้นรถแต่รถไม่มีเบรกจะขึ้นไหม (ไม่ขึ้น) แล้วคนๆ หนึ่งทำอะไรหยุดไม่เป็นใครเขาจะเอา ใครเขาจะคบแม้ตัวเราก็ยังเหนื่อยเลย ฉะนั้นต้องรู้หยุดให้เป็น
(เพราะห่วงพ่อห่วงแม่) ห่วงได้แต่ถึงเวลาทุกคนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง เราทำให้ดีที่สุดก็พอ
(เพราะตัวเองไม่รู้จักหยุดตัวเอง ไม่รู้จักหยุดที่จะรักหยุดที่จะโลภหยุดที่จะอาฆาตแค้นผู้อื่นก็ยังเป็นทุกข์อยู่) แล้วรู้ขนาดนี้จะทำอย่างไร (เราต้องปล่อยวาง,ให้อภัย,เขารักเรามากเราก็รักมากเขารักเราครึ่งหนึ่งเราก็รักครึ่งหนึ่ง) แต่ถ้าเกิดว่าวันนี้ความรักไม่สมดุล เขารักเราครึ่งหนึ่ง แต่เรารักเขามากกว่าครึ่งหนึ่ง (ต้องรู้จักตัดตัวเองไม่มีใครผิดเขาไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว) คิดให้ได้อย่างนี้ตลอดนะว่าเขาไม่ใช่ของเรา แต่เราไม่เคยเห็นคนอิ่มในความรักเลยจริงไหม (จริง)  วันนี้เขารักได้ระดับนี้พรุ่งนี้ก็หวังว่าเขาต้องรักได้อีกระดับห้ามต่ำกว่านี้ พอวันนี้เขาไม่โทรมาเลยกระวนกระวายใจ ถ้าเราบอกว่าอยากหยุดทุกข์ก็คือคำว่า “พอแล้ว” อะไรๆ ก็พอแล้วอะไรๆ ก็ดีแล้ว แต่ที่เราทุกข์เพราะว่ายังไม่พอ ยังไม่ดี ยังไม่ได้
ทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เพราะกลัวลูกไม่มีหน้ามีตา) ถ้าเกิดเราทำให้เขามีหน้ามีตาเหมือนเราสร้างชื่อเสียงไว้เต็มที่เลย แต่วันนี้ลูกกลับไม่รู้คุณค่าของชื่อเสียงที่เราสร้างเขากลับปล่อยสะเปะสะปะ สิ่งที่สร้างมาคุ้มไหม ถ้าวันนี้เราสร้างให้เขาอยู่ตำแหน่งนี้ แต่ถึงเวลาแล้วเขาไม่ได้ทำเอง เขาเกิดก้าวพลาดขึ้นมา ไม่เท่ากับเอาเขาขึ้นแท่นแล้วประจานต่อหน้าธารกำนัลหรือ  
(ทุกข์เพราะรักตัวเองกลัวความพ่ายแพ้)  แล้วใครในโลกที่ไม่เคยแพ้ ชนะแล้วเราก็ต้องรบต่อ แต่แพ้แล้วทำให้เรารู้จักชนะแล้วไปรบต่อ แล้วเราจะวิ่งวนชนะและแพ้อีกเท่าไรถึงจะหยุด เอาชนะใจตัวเองด้วยการพอแล้วดีกว่า เคยไหมว่ายืนตรงนี้ศักดิ์ศรีฉันเท่านี้ดีพอแล้ว ต่อไปใครจะยืนได้สูงกว่าเหนือกว่าฉันยินดีด้วย แต่ตรงนี้เราทำได้ดีใครก็ชื่นชม แม้จะมีคนเดินล้ำหน้าไป แต่เขาก็ยังภูมิใจที่ทำตรงนี้ได้
(ทุกข์เพราะกลัว) กลัวไปหมดเลยใช่ไหมกลัวตายกลัวเจ็บกลัวประสบอุบัติเหตุกลัวพลัดพรากเป็นธรรมดา ทุกคนกลัวไหมอยู่ในโลกนี้ (กลัว) กลัวทุกคนเราเชื่อไม่มีใครในโลกไม่กลัว ถามว่ากลัวตายไหม (กลัว)  กลับเจ็บไหม (กลัว)  กลัวสูญเสียไหม (กลัว) เพราะกลัวเราจึงดิ้นรนถ้าไม่กลัวเราก็ไม่ดิ้นรน แต่สิ่งที่กลัวใครหนีพ้น หนีพ้นอย่างไรก็ต้องเจอ ฉะนั้นอย่ากลัวแต่จงตั้งจิตตั้งใจและมีสติให้ดีเมื่อมันมาอยู่ตรงหน้า สติและปัญญาจะทำให้เราผ่านความกลัวไปได้
เมื่อวานหรือวันนี้มีหัวข้อหนึ่งบอกว่าจงภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วเป็นให้ดีแล้วเป็นให้ได้ บางทีไม่ต้องไปเทียบกับใครถ้าเราไม่ภูมิใจในคุณค่าที่ตัวเองเป็น เรานั่นเองจะทุกข์เพราะต้องดิ้นรนเปรียบเทียบกับคนทุกคนไปเรื่อยๆ
(ทุกข์เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้อยากมีเหมือนคำว่า
“ไปไม่ถึงดวงดาว”) ทุกคนมีดวงดาวให้ฝันใช่ไหม (ใช่)  ถ้าความสามารถฝันไม่ถึงดาวดวงนี้ก็ไปอีกดวงหนึ่งก็ได้ โลกนี้ไม่มีดาวดวงเดียวมองไปบนฟ้ามีตั้งหลายดวง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝันถึงดวงดาวที่สามารถไปถึงไม่ดีกว่าหรือ
ถ้าช่วยได้เราก็อยากจะช่วยให้ทุกคนพ้นทุกข์ แต่จงจำไว้ให้ดีว่าทุกข์เกิดเพราะเราหวัง เพราะเรายึดมั่นเพราะเรามีตัวตน จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่มีตัวตนนั่นคือมีที่ให้ทุกข์อยู่ เมื่อไรที่ไร้ตัวตนเมื่อนั้นทุกข์จะอยู่ที่ใด เงินหามาเพื่อบำรุงเลี้ยง แต่ไม่ใช่เรากลายเป็นทาสของเงิน ฉะนั้นถึงเป็นหนี้ก็มีสุขได้ ถึงเป็นทุกข์แต่เราก็มีสุขได้ด้วยการคิดเป็นคิดได้
วันนี้สิ่งที่เราจะมาบอกท่านคือเรื่องคำพูดแต่กลายเป็นพูดเรื่องทุกข์จนจะหมดเวลาแล้ว
(นักเรียนในชั้นเรียนกล่าวขอบคุณท่านหันต้าเซียนเมตตา)
เราต้องขอบคุณทุกท่านต่างหากที่ทำให้เราได้มาผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกัน ถ้าไม่มีมนุษย์ที่ทุกข์ยาก จะมีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
สิ่งที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันก็คือ คำพูดคำจา ใช่ไหม (ใช่)  อยากพูดให้เขารัก อยากทำให้เขารัก ทำอย่างไร ก็แค่อ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาไพเราะอ่อนหวาน อยากให้เขาเกลียด อยากให้เขาชัง ก็หยิ่งยโสโอหังดูถูกเขา ท่านรู้ไหม (รู้)  ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากได้คืออยากได้คนรัก หรืออยากได้คนชัง (คนรัก)  แต่คำพูดที่เราพูดคือพูดแบบคนน่ารัก หรือพูดแบบคนน่าชัง เคยได้ยินไหมว่า “สนิทแค่ไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ความเกรงใจกัน ความเคารพซึ่งกันและกัน ความให้เกียรติกัน ความสุภาพอ่อนน้อมต่อกัน”  
ใช่ไหม (ใช่)  หลายคนในที่นี้พูดอ่อนน้อมพูดสุภาพกับคนนอกบ้านเป็น แต่กับคนในบ้าน กลับกันเองเกินไป บอกว่าไม่เป็นไรหรอกกันเอง จะรู้สึกอย่างไรช่างปะไร ฉะนั้นยิ่งสนิท ยิ่งรักสิ่งที่ขาดไม่ได้ขอสองคำ “ขอบคุณ” กับ
“ขอโทษ”  เคยอยากได้ไหม (เคย)  อยากได้มากแต่ทำไมหาได้ยากในบ้านเรา แล้วเคยไหมว่าอยากได้แต่ตัวเราก็ปากหนัก พูดไม่ได้ อยากให้ความดีมีพลังก็ต้องเติมเชื้อไฟแห่งความดี อยากให้ความชั่วลดกำลังเราก็ต้องดับไฟแห่งความชั่วในตัวตน ฉะนั้นจำไว้นะถึงสนิทแค่ไหนคำว่า “ขอบคุณ” กับ “ขอโทษ” ก็ขาดไม่ได้  หน้าตาก็ยังต้องรักษาไว้นะ ไม่ใช่มาจากที่ทำงานบึ้งอย่างไรก็บึ้งอย่างนั้น แถมเอามาระเบิดที่บ้านอีก ได้หรือเปล่า
ฉะนั้นเมื่ออยู่ด้วยกันในบ้าน ต้องรู้จักถ้อยที ถ้อยอาศัย วาจายังคงต้องไพเราะอ่อนหวาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอถามคำถามหนึ่งนะ ถ้าเปิดประตูเข้ามาในบ้าน คำพูดแรกที่จะทำให้คนที่เรารักยิ้มมากที่สุดคืออะไร สามีจะตอบว่าอะไรเมื่อเจอภรรยา (เหนื่อยไหม)  ภรรยาจะตอบว่าอย่างไรให้สามีชื่นใจ (ไม่เหนื่อย)  ตอบแค่นั้นหรือ “แล้วคุณหละเหนื่อยไหม ดื่มน้ำเย็นๆ หน่อยไหม” ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าเป็นลูกเปิดประตูออกมา ควรจะพูดว่าอย่างไร (วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทานข้าวหรือยัง)  ตอบได้ดี (สวัสดีครับพ่อแม่)  บางทีแค่คำทักทายก็พอ ไปก็บอกกล่าว “แม่ผมไปแล้วนะ” กลับก็บอก “แม่ผมมาแล้วนะ” แต่บางทีคำง่ายๆ เหล่านี้เรากลับไม่เคยพูด ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ ประโยคอะไรง่ายๆ ก็ได้ ขอแค่คิดถึงกัน พูดถึงกันบ่อยๆ หรือไม่บางทีไม่ต้องพูดถึง เจอหน้าก็กอดเลยหรือไม่ก็หอมแก้มทีหนึ่งแค่นี้แม่ก็ชื่นใจ หรือสามีเมื่อเจอภรรยา ก็พูดว่ารักที่สุดเลย ชื่นใจไหม บางทีคำง่ายๆ คำพื้นฐาน เราอย่าขาดไปจากหัวใจนะ เพราะใครๆ ก็ชอบน้ำตาล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่แปลกเมื่อพูดตรงๆ ก็ว่าขวานผ่าซาก พูดอ้อมเกินไปก็ว่า เยิ่นเย้อ พูดหวานเกินก็ว่า เลี่ยน แล้วจะเอาอย่างไร ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะตรง จะหวาน จะอ้อม ถ้าเราอยากให้ครอบครัวมีความสุข ชีวิตมีความสุขเราก็ต้องพยายามที่จะเข้าใจและในบางครั้งเราก็ต้องรู้จักประยุกต์ใช้สามอย่างนี้ให้เหมาะ ถ้าเราพูดตรงแล้วเขาไม่ชอบ เราก็ต้องรู้จักอ้อม ถ้าอ้อมแล้วยังไม่ชอบก็ต้องรู้จักหวานหยอด แต่ถ้าหวานแล้วเขารู้สึกเลี่ยนเราก็ต้องรู้จักอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบ แต่ถ้าเราพูดว่า “ภรรยาบ้านนั้นดี” ภรรยาบ้านนี้จะรู้สึกอย่างไร เขาจะยิ้มออกไหม (ไม่ออก)  บางอย่างเราต้องดูให้ออก มองให้เป็น คนในโลกมีหลายแบบมีหลายลักษณะ แต่ความต้องการพื้นฐานเหมือนกันหมด รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนชมมากกว่าชอบคนด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จงส่งมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับเขาดีไหม (ดี)  
วันนี้มาพอสมควรแล้วนะเราก็คงต้องขอเวลาและขอตัวลากลับ ยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรมขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ศึกษาธรรมพูด กระทำก็ขอให้คิดให้ดีๆ พิจารณาให้รอบคอบ อย่าปากเปราะปากเบา อย่าปล่อยไปตามอารมณ์จนไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนรอบข้าง ใช่ไหม พูดทำขอให้คิดให้ดีๆ เพราะคนที่เดือดร้อนคือคนที่เรารักมากที่สุด ยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วจำไว้ว่าอย่าเป็นคนที่กอบความดีใส่ตนเองแล้วเอาความชั่วใส่คนอื่น เป็นคนบำเพ็ญธรรมหรือเป็นมนุษย์คนหนึ่ง จะคบกับคนที่ทุกเมื่อเอาแต่ชมตนเอง แล้วว่าคนอื่น ทุกวันมัวแต่จ้องมองความผิดของคนอื่นแต่ไม่เคยหาความดีของคนอื่นเจอ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอยู่กับใครแล้วทุกวันเอาแต่จับผิด รำคาญหรือไม่ เบื่อไหม ฉะนั้นสังคมจะสงบสุขได้ก็ด้วยการมองหาความดีของกันและกัน และไม่   ชื่นชมตัวเองแต่กล้าที่จะประนามตัวเอง พูดง่ายๆ คือ เป็นคนที่กล้ารับผิดแต่ส่งความชอบให้กับผู้อื่น ทำได้ไหม (ได้) ลองคิดดูถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้น ทุกคนต่างยอมรับว่า ผมผิดเอง ฉันผิดเอง สังคมจะดีไหม แต่ถ้าเกิดมีความผิดเกิดขึ้น ก็โทษว่าแกนั้นแหละผิด ก็จะมีแต่เจ็บปวด ใช่หรือไม่ ฉะนั้น คนฉลาดจึงรู้จักเอาข้อดีของผู้อื่นมาปรับปรุงข้อด้อยของตนเอง จำไว้ว่าคนในโลกไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทุกคนมีดีมีเสีย มีข้อตำหนิข้อชื่นชม ฉะนั้นอยากอยู่กันอย่างมีความสุขจงหาแต่สิ่งที่น่าชื่นชม อย่าเกิดมาเพื่อจับผิด เพราะคนที่จับผิดคือคนที่โง่ที่สุด ใช่หรือไม่
วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ขอให้สิ่งที่ได้ในสามวันนี้จงก่อเกิดประโยชน์ต่อชีวิต มีความสุขทั้งตัวท่านเองและครอบครัว ด้วยการนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง ฟังแต่ไม่ทำไม่มีประโยชน์นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาแต่ฟัง เอาแต่คิด แต่ไม่ได้ลงมือพิสูจน์ ก็ไร้ค่า ใช่หรือไม่ หรือเอาแต่คิดเอาแต่ฟัง แต่ไม่ลงมือกระทำ ก็น่าเสียดาย จริงหรือไม่ ฉะนั้นเกิดมาทั้งที เมื่ออยู่แล้วก็ต้องให้คนรัก จากไปแล้วเขาต้องคิดถึงนี่ถึงจะควรค่าแก่การเกิดมาเป็นคน ใช่หรือไม่ ไม่ใช่อยู่แล้วเขาก็อยากให้ตายไปเถอะ พอตายไปจริงๆ ดีใจเหลือเกิน อย่างนี้น่าเสียดายจริงหรือไม่ มอบความสุขให้แก่กันเถอะนะ มอบสิ่งที่ดีให้แก่กันเถอะ แล้วสิ่งที่ดีคืออะไร รอยยิ้มอย่างไรล่ะที่ให้ง่ายที่สุด แล้วก็ความจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงจากไปด้วยความสุขนะ ใช่หรือไม่ ขอให้ประพฤติปฏิบัติ พูดจา กระทำ โดยการตรึกตรองอย่างคิดชอบแล้ว อย่ายึดมั่นถือมั้นจนกลายเป็นคนดื้อดึง วันนี้คงเท่านี้ กำลังที่เรามีทั้งหมดอยากมอบให้คนที่กำลังรู้สึกท้อแท้ในการทำความดี พลังที่เรามีทั้งหมดอยากส่งมอบให้กับทุกคนที่เหนื่อยล้าในการต่อสู้ชีวิต อย่ายอมแพ้นะ เกิดเป็นคนตราบที่ยังมีลมหายใจสู้ต่อไป แล้วสู้ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคนที่ชื่อว่า ผู้ประเสริฐ อะไรที่ทำให้เราประเสริฐ คิดแล้วทำ อะไรที่คิดแล้วทำแล้วไม่ประเสริฐ หยุดเสีย



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เสรีมีแบบแผน”
    ความดีมีอยู่มากมายให้คนสร้าง    คนใจกว้างไม่เห็นแก่ตนสร้างง่าย
ให้สิ่งของจะมีวันต้องจนใจ    เหนือสิ่งใดให้ปัญญาไม่มีจน
ทำอะไรใช้สำนึกคุณธรรม    อย่าเงื่อนงำไปด้วยแฝงประโยชน์ผล
อย่าสนองความต้องการด้วยเล่ห์กล    อัตตาคนที่มีรังแต่ทำลาย



พระอาจารย์จี้กงเมตตา
ประทานโอวาทส่งเสริมเตี่ยนฉวันซือ และเจี่ยงซือ
ในงานประชุมธรรม ณ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน
วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๐
เตี่ยนฉวันซือเมตตาถามว่าทางจีนเป็นอย่างไร ทางลาวเป็นอย่างไร อาจารย์อยากถามว่าไท่อินจงซินเป็นอย่างไรมากกว่า ต้นไม้จะเจริญเติบโตได้ก็เพราะราก ส่วนอื่นของต้นไม้ส่วนไหนจะเหี่ยวจะแห้งก็ยังช่วยได้หมด แต่หากว่ารากเหี่ยวแล้วไม่สามารถช่วยได้เลย จริงไม่จริง (จริง)  เพราะฉะนั้นศิษย์ที่อยู่ที่นี่ บำเพ็ญที่นี่เจี่ยงซือที่รับผิดชอบที่นี่ เป็นเตี่ยนฉวันซือที่มารับผิดชอบที่นี่ หรือญาติธรรมของที่นี่จึงต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นหน่อย ต้องทำตนให้เป็นคนที่ใจกว้าง และต้องเป็นผู้ที่ยอมเสียเปรียบจึงจะสามารถช่วยได้ คนที่ยิ่งอยู่ที่นี่มากวันกว่าคนอื่นเท่าไหร่ ถ้าอยู่สามร้อยหกสิบห้าวันเลย ก็ยิ่งต้องเสียสละมาก ยิ่งอยู่น้อยลงไปอีก เช่นถ้าอยู่สองร้อยวัน ก็เสียสละน้อยลงมา มาปีละหนึ่งวันก็เสียสละปีละหนึ่งวัน คนที่เสียสละเป็นผู้ที่ฝึกการเป็นโพธิสัตว์ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นจะทบทวนตัวเองและช่วยๆ กัน ความยิ่งใหญ่ของวันนี้ที่ศิษย์มีก็เพราะว่าศิษย์ทำทุกวัน ความดีที่มีในวันนี้ก็เพราะศิษย์นั้นยังทำ เมื่อไหร่ไม่ทำเมื่อนั้นก็ไม่ดี ศิษย์อยากเป็นคนดีศิษย์ก็ต้องทำทุกวัน
ทางลาวก็ลงแรงให้มากหน่อย ทางจีนก็ระวังให้มากหน่อย พูดอย่างนี้ได้ไหม
คนเป็นเจี่ยงซือ จะบอกว่าทำตัวให้มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปก็ย่อมทำได้ แต่จะปิดปากปิดตาปิดหูก็ย่อมทำได้ ศิษย์จะเป็นคนที่มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ หรือไม่มีบทบาทก็ได้ขึ้นอยู่กับศิษย์เอง ศิษย์จะบอกให้คนอื่นทำนั่นก็เป็นกุศลของคนอื่น เวลาศิษย์กลับมาอีกทีก็ถอยหลัง คนอื่นไม่รู้แต่ศิษย์รู้ แล้วปัญหาในชีวิตของศิษย์เองก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นเพราะเรามีชีวิตในส่วนของตัวเองมากเกินไป
ศิษย์เอ๋ยวันนี้ศิษย์เดินตามอาจารย์มา อาจารย์ไปช่วยคนอื่น แต่ศิษย์อยากช่วยตัวเอง เช่นนี้จะไหวเหรอ พัฒนาตัวเองทุกคน ทำได้ดีกว่านี้ ศิษย์เป็นคนมีศักยภาพและทำได้ดีกว่านี้  ศิษย์เป็นคนมีมือมีเท้า แต่อาจารย์ไม่มีมือไม่มีเท้า ศิษย์คิดว่าทำได้ดีกว่าอาจารย์ไหม  แน่นอน อยู่ที่ทำหรือเปล่า

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2550

2550-01-20 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์


西元二○○七年歲次丙戌十二月二日                        大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๐ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐          สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  ทุกข์ระงมห่มโลกให้หม่นเศร้า              แม้ชาญเชาวน์[๑]ยังไม่อาจช่วยพ้นได้
ฟ้าส่งสายทองฉุดคืนช่วยเวไนย              หวังเมธีท่านตื่นใจเหลียวบำเพ็ญ
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง          ฮวา ฮวา

  คนไม่รู้มักไม่รู้ว่าตนไม่รู้                      ชีวิตอยู่อย่างอัตคัตนอกหรือใน
พิจารณาอันความดีทั้งใกล้ไกล              ทำอะไรให้ภูมิใจชีวิตตน
เกิดเป็นคนต้องรู้จักประมาณ                วัฏสงสารต้องเวียนเพื่อจักพ้น
ความลำบากนั้นมีเพื่อให้อดทน              รู้จักตนคนทุกคนล้วนเท่าเทียม
อย่ายึดมั่นในตัวตนต่อวัตถุ                    อาจบรรลุความทุกข์ดุจเดียวกับกิเลส
ขอจงรู้เสียสละไม่เทวษ[๒]                      สังคมประเทศต้องเริ่มต้นจากตัวเรา

อันดวงญาณยังหม่นเศร้าอารมณ์ขึ้นลง    สิ่งภายนอกส่งผลตรงต่อท่านได้
เพราะจิตใจยังไม่รู้ตัวจริงไซร้                จึงขอน้องให้ตั้งใจฟังธรรมา
ฟื้นฟูจิตดวงเก่าให้สะอาดเอี่ยม              จิตใจเทียมฟ้าสว่างและสดใส
ฝุ่นธุลีถูกขจัดจากจิตใจ                        ทั้งนี้ใช่เปลี่ยนสิ่งใดนอกจากตน
คนไม่คิดจะทำย่อมไม่ยอมเปลี่ยน           ประสบการณ์สู่บทเรียนฝึกฝนซ้ำ
พิจารณาทั้งคำพูดการกระทำ               ขอให้นำจากจิตใจวิสุทธิ์งาม
บัณฑิตทำงานเพื่อจิตใจนี้                     โดยไม่มีความเคลือบแคลงแข่งเหตุผล
เอาชนะตนอย่าได้เฝ้าเห็นแก่ตน              ความมงคลอยู่ที่รู้ซึ่งคิดเป็น
ในวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต                  เป็นนิมิตหมายเริ่มประเดิมตน
ขอให้รู้รักษาระเบียบทุกผู้คน                 แม้อับจนกายไม่อับจนใจ
จงนั่งฟังให้อยู่ครบทั้งสองวัน                 จงแข่งขันกับความง่วงของตนหนา
ด้วยชีวิตจิตไม่อาจตีราคา                     ให้ปัญญาทยอยเลิศล้ำด้วยเพียร
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้              ขอน้องมีความตั้งใจให้มากมาก
อันสังขารแสนจำกัดอาจลำบาก             พี่ขอฝากช่วยฉุดตนด้วยธรรมตรง
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน                                                                                                     ฮวา ฮวา หยุด







วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐       สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระนาจา

  คนฉลาดอย่ายกตนข่มใครเขา             คนโง่เขลารู้รับฟังน้อมศึกษา
มนุษย์ล้วนรักคนน้อมจำนรรจา              มีเมตตาขยันอุตส่าห์จึงน่าดู
                        เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดา        ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีศึกษาธรรมกับศิษย์พี่หรือเปล่า

  ปัญญาคนบำเพ็ญเพียรฝึกลุ่มลึกผาย   ทุ่มใจกายทั้งมานะอยู่เสมอ
ปฏิบัติด้วยธรรมะก่อนจะได้เจอ             ปัจจุบันเจอแล้วต้องเพียรกว่าเดิม
ศึกษาอย่างธรรมชาติรู้การให้ไป            ความถ่องแท้เข้าใจธรรมส่งเสริม
ใจเที่ยงตรงแง่ดีคิดประเดิม                   ทิฐิกันไม่ต่างเริ่มปฏิบัติธรรม
ใจธรรมเกิดแต่ผู้ที่บำเพ็ญ                     มองตนเห็นอย่างทะลุไม่ถลำ
ชนะตนตั้งชีวิตอย่างผู้นำ                       พูดกระทำรู้พึงเป็นคนดี
ฤดีอย่าเอนเอียงเสียงและภาพ               เดินสายกลางอย่าฉาบฉวยฉะนี้
พึงไว้ธรรมใช้เป็นปกติดี                        อาศัยรองเพื่อหลักนี้อยู่ประจำ

อนุสัย[๓]เป็นเพียงเหตุมาแต่ตน                กิเลสซ้อนซ่อนกลดั่งจมน้ำ
ซึมซับโลกผลประโยชน์อมพะนำ            แก้ไขซ้ำด้วยความฝืนกำลังดี
ฝึกตนแกร่งเห็นจำทนสารพัด                 คำผิดกลืนทันอาจด้วยสติ
กล้าใจกว้างเต็มส่วนไร้อริ                     กว่าชำนิ[๔]ลงแรงมาราคาครู
ฮิ  ฮิ   หยุด
พระโอวาทพระนาจา
เราเคยทำใจของเราที่เศร้าๆ ให้กลายเป็นใจที่ครึกครื้นได้ไหม (ได้)   เราเคยทำใจตัวเองหรือเปล่า โดยปกติเราถนัดแต่ปล่อยใจไปตามสภาพใช่ไหม (ใช่ตอนนี้บรรยากาศอึมครึม ใจเราก็อึมครึม ตอนนี้บรรยากาศเงียบเหงา ใจเราก็เงียบเหงาใช่ไหม (ใช่แล้วชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับภายนอกหรือขึ้นอยู่กับตัวเรา (ตัวเราชีวิตนี้เราเอาภายนอกเป็นหลักใหญ่หรือตัวเราเป็นหลักใหญ่ (ตัวเราแล้วทำไมเราต้องปล่อยตัวเราไปตามสภาวะแวดล้อมเสมอล่ะ บางครั้งเราก็ฝืนบางครั้งเราก็ขัดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่
มีคำกล่าวไว้ว่า “การรู้จักพูดจาเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าพูดแล้วทำลายความเป็นจริงก็ไม่ควรที่จะพูด” เพราะว่าพูดแล้วทำให้เขากลายเป็นคนที่ยึดติดถือมั่น และทำลายความจริง เราควรที่จะรักษาความจริงมากกว่าความยึดติดถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มนุษย์ทุกคนชอบคำหวาน  แต่บางครั้งก็ต้องรู้จักไม่พูดบ้าง  เพราะถ้าพูดบ่อยๆ แล้วเขาอาจกลายเป็นคนที่ (เหลิงใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ถ้าเกิดไม่พูดเลยก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะเขาจะเสียน้ำใจ  หรือเขาจะไม่รู้จักตัวเอง เราเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้เป็นคนฉลาด มองคนออกว่าคนนี้ควรจะชมหรือคนนี้ควรจะพูดความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่
เรื่องราวในโลกมีมากมายหลายอย่าง จะยึดอะไรเป็นมาตรฐานตายตัวอย่างเดียวไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงต้องดูให้ออก  อย่าเป็น        “ปลาหมอตายเพราะปาก”  เราต้องรู้จักพูด รู้จักระมัดระวัง 
อยากฟังเราพูดธรรมะไหม (อยากแล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง          สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มาในงานประชุมธรรมเลย จะทำอย่างไร ดึงใจเราขึ้นมาเองไม่ได้หรือ  ความมุ่งมั่นตั้งใจ การกระทำสิ่งใดก็ตาม ให้คนชี้ ให้คนผลัก ให้คนดึง ก็ไม่เท่ากับตัวเราชี้ ตัวเราผลัก ตัวเราดึงด้วยตัวเอง
ฉะนั้นทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือใจเราเข้าใจเพียงใด มุ่งมั่นเพียงไหน และจะอดทนฟันฝ่าได้หรือไม่ คนอื่นนั้นเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเท่านั้นเอง
เราเห็นคนในโลกมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งเวลาเรียนรู้อะไร ก็เรียนรู้ได้ไว แต่คนอีกประเภทหนึ่งเรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้ (ช้าดั่งคำพูดว่า ความรู้เรียนทันกันหมด แต่ปัญญาความเข้าใจไม่อาจเท่าเทียมกันใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นคนบางคนเรียนหนึ่งอย่างเขาอาจจะได้ถึงเจ็ดส่วน แปดส่วน แต่บางคนเรียนหนึ่งอย่าง แต่อาจได้แค่หนึ่งส่วน ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นในโลกจึงมีคนที่สมองเร็วกับคนที่สมองช้า พูดง่ายๆ คือคนที่โง่และคนที่ฉลาด
คนฉลาดมีปัญญาเหมือนคนที่รวยทรัพย์สินไหม คิดให้ดีๆ นะ คนฉลาดคิดอะไรก็คิดให้เป็นเงินเป็นทอง  แต่คนโง่มักบอกว่าไม่เอา คิดไม่ออกใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคนฉลาดคิดอะไรก็สามารถคิดเป็นเงินเป็นทอง
ถ้าเราพูดว่าคนฉลาดเปรียบเหมือนคนรวย คนรวยแบบไหนที่รวยแล้วท่านเกลียดมากๆ  ฉลาดแกมโกงถูกไหม (ถูกคนรวยทรัพย์กับคนรวยปัญญาเหมือนกันนะ  เราว่ามองไปแล้วเหมือนกัน  ถ้ารวยทางปัญญาแล้วโกงคนก็ไม่ชอบ รวยทรัพย์แล้วได้เงินเยอะแล้ว ยังโลภและโกงทำผิดกฎหมายอีก เราก็รังเกียจ ถูกหรือไม่ (ถูก)
คนที่ฉลาดอย่างไรที่เราไม่ชอบ  ทำนากินแรงบนหลังคน บางคนฉลาดรู้หลบเป็นปีก  รู้หลีกเป็นหาง  เวลาได้รับผลประโยชน์มาเป็นคน แรก แต่ถึงเวลาออกแรงถอยหลังเป็นคนแรก  ใช่หรือเปล่า (ใช่
แล้วมีอะไรอีกที่คนฉลาดแล้วเราไม่ชอบ  เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าฉลาดแล้วมีแต่ทำเพื่อตนเองอย่างเดียว แต่ไม่เคยทำเพื่อผู้อื่นบ้าง  ความฉลาดที่เราเห็นนั้นก็รู้สึกรำคาญหูรำคาญตา เอาแต่ได้เหลือเกินไม่เคยคิดให้คนอื่นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่
เราอยากบอกว่าคนฉลาดก็เหมือนคนที่รวยทางปัญญา จึงต้องรู้จักเป็นคนที่อย่าดูถูกคนและก็ต้องรู้จักเอาความฉลาดไปช่วยเหลือผู้คน ความฉลาดนี้ถึงจะเป็นความฉลาดที่น่ารัก
อยู่กับคนโง่มากๆ อยู่กับคนที่เรียนรู้ช้า รำคาญไหม (รำคาญ) เคยไหมที่ต้องอยู่กับคนที่สอนครั้งหนึ่งแล้วไม่เข้าใจ สอนครั้งที่สองก็ยังไม่เข้าใจ สอนครั้งที่สาม ก็ยังไม่เข้าใจ เราว่าเขาโง่ได้ไหม
โลกนี้มีคนสองประเภทคือคนรู้ก่อนกับคนรู้หลัง ฉะนั้นคนฉลาดจึงต้องรู้จักอดทนที่จะถ่ายทอดให้กับคนรู้ทีหลัง  และคนรู้ทีหลังเมื่อถูกเขาว่าโง่ครั้งที่หนึ่งแล้วต้องอดทนให้ได้ ถูกเขาว่าครั้งที่สองอดทนได้ไหม (ได้) ถูกเขาว่า โง่ ครั้งที่สามอดทนไหวไหม (ไม่ไหว) บางคนก็บอกว่าไม่เอาๆ แล้วใช่หรือไม่ (ใช่
ฉะนั้นคนฉลาดก็ต้องอดทนและเพียรพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับคนโง่ ส่วนคนโง่ก็ต้องอดทนที่จะเรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจเหมือนกัน จึงบอกว่ายิ่งฉลาดมากเท่าใดก็เหมือนภูเขาที่สูง ภูเขาบางภูเขาสูงแล้วแต่ต้นไม้อุดมสมบูรณ์เพราะเก็บกักน้ำได้ แต่ภูเขาบางภูเขาสูงแค่นิดเดียว แต่ต้นไม้ดูเหี่ยวแห้งเพราะเก็บกักน้ำที่มีคุณค่าไม่ได้  เราอยากฉลาดแบบภูเขาที่อุดมสมบูรณ์หรือภูเขาที่เหี่ยวแห้งแคระแกรน ความฉลาดก็ขาดไม่ได้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน ใช่หรือไม่  (ใช่) ไม่ใช่บอกฉันฉลาด ฉันรวย คนอื่นโง่หมดเลยได้ไหม (ไม่ได้) ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภูเขาที่ไร้น้ำใจ แห้งแล้ง ฉะนั้นมองเห็นเขาอย่าลืมย้อนมองดูตัวเรา กำลังหลงตัวเองไปไหม กำลังคิดว่าตัวเองเก่งแน่เกินไปอยู่หรือเปล่า แต่อย่าลืมว่าถ้าไม่มีคนโง่ แล้วจะมีคนฉลาดหรือฉะนั้นคนโง่กับคนฉลาดต้องรู้จักพึ่งพาอาศัยกัน และคนโง่ขาดไม่ได้ซึ่งการรู้จักน้อมรับฟังการเรียนรู้ 
แล้วเคยได้ยินไหม ฉลาดทางโลกแต่โง่ทางธรรม ฉลาดทฤษฎีแต่โง่เรื่องการปฏิบัติ ฉลาดในความรู้การศึกษาแต่อับจนโชควาสนา  บางคนโง่แต่วาสนาดี รู้จักใช้ภูมิปัญญา ใช่หรือเปล่า (ใช่อย่างนั้นเราเกิดมาเป็นคนโง่หรือว่าฉลาดดี
น้ำยิ่งอยู่ต่ำมากเท่าไรก็เป็นแหล่งรวมของสรรพสิ่งได้มากเท่านั้น คนยิ่งยอมรับว่าตัวเองโง่หรือไม่รู้มากเท่าไรก็จะมีคนที่อยากจะถ่ายทอดความรู้ให้มากเท่านั้น ถ้ามาวันนี้ แล้วคิดว่าฉันเก่ง รู้แล้ว เคยได้ยินแล้ว พอแล้ว วันนี้เราจะไม่ได้อะไรเลย  ฉะนั้นเราอย่าได้ใช้แต่แรงทางร่างกาย แต่เราต้องได้พลังแห่งปัญญาในการฟังธรรมะด้วย
แรงทางร่างกายไปหาซื้อที่ไหนก็ได้ แต่พลังทางปัญญาไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ จะได้ก็ต่อเมื่อเรายอมเป็นคนที่โง่ ยอมโดนคนอื่นว่า แต่ถ้าเราบอกว่าเราฉลาด พอพลาดสักครั้งก็จะมีคนพูดว่านี่หรือคนฉลาด โง่แท้ๆ มันเจ็บนะ เจ็บกว่ากันอีก  ฉะนั้นยอมโง่ก่อนดีกว่าให้เขามาชี้หน้าด่า เจ็บใจเหลือเกิน 
ใครๆ ก็อยากฟังคำพูดดีๆ คำพูดที่พูดแล้วรู้จักพูด พูดแล้วทำให้คนฟังๆ แล้วรู้สึกว่ามีคุณค่า มีกำลังใจ ใช่หรือไม่ (ใช่เราถามคำถามง่ายๆ คนในโลกรักคนประเภทไหน แล้วเกลียดคนประเภทไหน ตอบได้ไหม โดยทั่วไปคนในโลกจะรักคนดีเกลียดคนชั่ว  แล้วคนประเภทไหนที่เรารัก (คนที่มีเมตตา)
ในโลกนี้มีความทุกข์นานัปการ  บางทีเราไม่อยากได้ก็จำต้องได้ ไม่อยากเจอก็จำต้องเจอ  ฉะนั้นบางทีก็ต้องรู้จักฝืนทวนกระแสของจิตใจตัวเองบ้าง ไม่มีอะไรในโลกนี้จะถูกใจเราไปทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเคยเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจครั้งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์มาแล้ว  เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้เรารู้ว่าทำอะไรต้องมีสติใช่ไหม (ใช่)  ถ้าสติไม่อยู่กับตัว คนที่อันตรายที่สุดก็คือตัวเรา เมื่อเราอันตรายที่สุด แล้วเราจะไปช่วยใครได้  ตัวเองก็เอาตัวไม่รอด แถมช่วยใครก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคนนั่นคือ สติ เมื่อมีสติแล้วปัญญาจึงเกิด
มนุษย์ในโลกรักคนประเภทไหน หนึ่งมีน้ำใจ สองเป็นคนใจดี     ขี้สงสาร สามเป็นคนที่ขยัน อดทน ลำบากไม่เคยบ่น
สามอย่างนี้มีในตัวเราไหม ถ้ามีได้ครบ ใครๆ ก็รัก ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ชอบ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนขี้สงสารมีน้ำใจ แต่ขี้เกียจก็ไม่มีใครเอา ฉะนั้นอย่าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ขยันแต่เป็นคนที่ขี้เกียจ ขยันแต่แล้งน้ำใจ สงสารใครไม่เป็นก็ไม่มีใครชอบ  ฉะนั้นอยากเป็นที่รักของคนต้องรู้จักเมตตาคน มีน้ำใจและต้องขยันอดทนด้วย
เรามาเรียนรู้ความโง่ ฉลาดทางธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเคยคิดว่าตัวเองเก่งไหม คิดว่าฉันก็เก่งไม่ย่อยเช่นกัน มีใช่หรือไม่ หนึ่งอย่างแล้วนะ
เคยมีไหมที่มีเรื่องแล้ว ทำไปแล้วรู้สึกเสียใจภายหลัง (มี)  มีใช่ไหม มีเกือบทุกคนด้วย ไม่มีคนไหนในโลกที่ไม่เคยเสียใจในอดีต ทุกคนมีความหลังที่ไม่ค่อยน่าดูเยอะเหมือนกัน  อย่างที่สองแล้วนะ
อย่างที่สาม เคยพลาดในเรื่องที่ไม่คิดว่าจะพลาดไหม
อย่างที่สี่ เคยไหมถามอะไรก็บอกว่ารู้หมด แต่ถึงเวลากลับหลงเอง ถ้าทั้งสี่อย่างนี้ท่านเป็นหมดสรุปว่าโง่แท้ๆ เพราะปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า คนโง่ที่หลงว่าตัวเองฉลาดมักจะมีเรื่องให้ต้องเสียใจอยู่เสมอ คนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดมักจะคิดว่าตัวเองไม่มีวันผิดพลาดเพราะตัวเองรู้แล้ว คนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดมักจะไม่ชอบถามไถ่อะไรใครเพราะคิดว่าตัวเองนั้นได้รู้มาแล้ว
การเป็นคนโง่แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะอะไรรู้ไหม ข้าศึกมาประชิดเมืองแล้วค่อยหล่อหลอมอาวุธทันไหม ไม่ทันใช่หรือไม่ มีวัวเป็นสิบตัวปล่อยให้วัวหายแล้วล้อมคอกดีไหม (ไม่ดี)  แล้วทำไมคนในโลกถึงชอบเป็นแบบนี้ ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วค่อยคิดว่าเราจะผิดหวังได้ด้วยหรือ เราไม่มีทางหลง เราไม่มีทางโง่หรอก
ฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องของคนที่อายุมาก หรือเป็นเรื่องของคนที่มีทุกข์แล้วค่อยมาศึกษา แต่ธรรมะนั้นเป็นเรื่องของคนที่รู้จักเตรียมอาวุธไว้รับมือกับความทุกข์และศัตรูที่จะมากระทบจิตกระทบใจ ถามท่านนะ
คนในโลกมักจะพูดว่า ธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ ธรรมะเป็นเรื่องของคนอายุใกล้เข้าโลง  ใช่ไหม  บางคนพูดว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนมีทุกข์ คนมีสุขไม่จำเป็นต้องฟังธรรมะใช่ไหม (ใช่)  คิดอย่างนี้โง่แท้ๆ ทำไมเราต้องให้ความทุกข์มา แล้วเราค่อยหล่ออาวุธมาป้องกันความทุกข์หรือ ฉะนั้นธรรมะจึงเหมาะกับคนที่มีปัญญารู้จักเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ
ใครในโลกจะแข็งแรงไม่มีความทุกข์ ใครในโลกจะมีความสุขอย่างเที่ยงแท้ และสามารถปกป้องจิตใจ ให้แม้แต่อะไรมากระทบใจก็ยังนิ่ง ไม่โกรธไม่เศร้า ปลงได้คิดตก ทำได้ไหมหากมีความโกรธ มีการพลัดพราก มีความสูญเสีย มีความตายมากระทบใจ ฉันทำใจได้ฉันไม่เศร้า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ปล่อยวางไม่ยึดติดทำได้ไหม (ไม่ได้) ถึงเวลามีใครมาทำให้โมโห ฉันโกรธใช่ไหม (ใช่) ใครมาทำให้ฉันสูญเสีย ฉันรับไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นธรรมะจึงเป็นเรื่องของคนที่ฉลาดรู้จักเตรียมพร้อมเสมอ ถูกหรือไม่ ฉะนั้นเราอย่าดูเบาคุณค่าของธรรมะ
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สนใจมาศึกษาธรรมะ เพราะว่ามนุษย์สนใจสิ่งที่น่ารื่นรมย์น่าพิศมัยมากกว่าความเป็นจริง ถูกไหม (ถูก) ไปวัดมีแต่เหี่ยวๆ มีแต่แก่ๆ มองไม่สดชื่นเลยไปเที่ยวดีกว่า มีแต่สาวๆ หนุ่มๆ แต่สาวๆ หนุ่มๆ ไม่เหี่ยว ไม่แก่หรือ สาวๆ หนุ่มๆ บางครั้งตายก่อนคนแก่ก็เยอะไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอย่ามัวสนใจแต่สิ่งที่ตาชอบ หูชอบ ใจชอบเป็นนิจศีลเสมอ มิได้นะ เพราะว่าเมื่อใดที่ชีวิตฉันอยู่แต่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบฉันไม่อยู่รับรองเป็นทุกข์แน่ เพราะในโลกของความเป็นจริงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราชอบทั้งหมด เราต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่ชอบจนเราชอบได้ ถึงจะเก่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นเดียวกัน คนในโลกถามว่าเข้ามาสถานธรรมเอาไหม ยังไม่เอาเพราะไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดท่านมีชีวิตอยู่ ท่านจะรู้ว่ามีชีวิตอยู่ถือตามหลักความจริงดีกว่าถือตามหลักสิ่งที่ชอบ เพราะความชอบจะทำให้เราต้องเป็นทุกข์มากกว่าความเป็นจริง ใช่ไหม
ถามว่าคนที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดคือคนที่เรารักที่สุด แล้วคนที่ทำให้เราตายได้ไวที่สุดคือคนที่เรารักมากที่สุดจริงหรือไม่(จริง)
บำเพ็ญธรรมคืออะไร และผู้บำเพ็ญธรรมควรบำเพ็ญอย่างไร  ศิษย์พี่ถามง่ายๆ ศิษย์น้องมาฟังตรงนี้ พอมองเห็นใช่ไหมว่า ถ้าขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมควรเป็นแบบไหน ระหว่างส้มลูกเล็กหรือว่าส้มลูกใหญ่ และมองเห็นผู้ปฏิบัติเป็นแบบสาลี่ช้ำจนน้ำไหล หรือว่าสาลี่ไม่ช้ำ หรือในความคิดของท่านขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมแล้วภายนอกควรจะเป็นอย่างไร (สาลี่ไม่ช้ำ, ส้มลูกเล็ก, ส้มลูกใหญ่)
ขึ้นชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ควรเป็นส้มลูกเล็กหรือส้มลูกใหญ่ ควรเป็นสาลี่ช้ำหรือไม่ช้ำ (ส้มลูกเล็ก)  ทำไมคิดว่าเป็นส้มลูกเล็ก
(เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมในปัจจุบันมีน้อย ผู้ไม่ปฏิบัติธรรมเป็นฝ่ายทางโลกมีมากกว่าเปรียบเสมือนส้มลูกใหญ่ ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมเป็นส้มลูกเล็กที่มีจำนวนน้อย เราจะทำอย่างไรให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีจำนวนน้อยได้แพร่ธรรม)  ตอบได้ดี  ถ้าอย่างนั้นส้มลูกเล็กรีบๆ มาเป็นส้มลูกใหญ่นะ มีอีกไหม เราเชื่อว่าแนวความคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิที่จะตอบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ดก ต้นที่สองผลใหญ่แต่มีผลน้อย)

โลกซับซ้อนซ่อนซ้ำด้วยความเห็นแก่ตน           ฝืนจำทนกลืนผิดลงใจกว้างเต็ม






(เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมได้ปฏิบัติธรรมมา คือมีความรู้ในเรื่องธรรม เปรียบเสมือนมีความรู้มาก)  ก็คือมีความรู้ทางธรรมเยอะ ใช่หรือไม่ คนมีความรู้ทางธรรมเยอะจำไว้นะ เพราะแต่ละความคิดของนักเรียนในชั้นเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรับฟังและเก็บไปพิจารณาว่าเรามีแบบนั้นไหม ใช่ไหม (ใช่)  เป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีความรู้เยอะจึงเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งวัยผู้ใหญ่และวัยเด็ก เขาบอกว่าคนที่ปฏิบัติธรรมก็เหมือนสาลี่ที่เคยช้ำมาก่อน กดเท่าไหร่ก็มีน้ำตารินไหล  คนบางคนเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม เพราะว่าบางทีเคยผิดหวัง เคยมีความทุกข์มาก่อน จึงหันเหมาศึกษาธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ดีนะ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสาลี่ช้ำทุกคนไป จริงไหม (จริง)  ศิษย์พี่จะถามผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วนะว่า เป็นส้มลูกเล็กหรือส้มลูกใหญ่ สาลี่ช้ำหรือสาลี่ไม่ช้ำ  ไม่มีใครตอบสักคนเลยหรือ
ศิษย์พี่อยากถามอย่างหนึ่งนะ ขึ้นชื่อว่า ผู้บำเพ็ญธรรม ในสายตาของนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม ถ้าเป็นคนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์และก็ดูฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เราจะนับถือไหม หรือคิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วยังกินจุอีก ปล่อยตัวอ้วนขนาดนี้  แต่งตัวเยอะไม่รู้จักปลงเลย อย่างนี้ไม่น่าเคารพ ใช่ไหม(ใช่เคยไหมที่เห็นพระอ้วนแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเคารพ พระผอมๆ ดูแล้วน่าเคารพกว่า
อย่างที่สอง เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแต่หน้าเหี่ยว ไม่มีความสุขเลย เหมือนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา ใครจะเดินตามมาปฏิบัติธรรม  ฉะนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องยอมเป็นคนที่รู้จักพอเหมาะพอดี อ่อนน้อมถ่อมตน และรู้จักรับฟังคำพูดซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย  คนที่อ่อนน้อมมากที่สุดคือคนที่รับฟังคำพูดคนอื่นมากที่สุด  ไม่ว่าเสียงดีหรือไม่ดี  ภายนอกเล็กแต่ภายในจิตใจต้องยิ่งใหญ่ ภายในทำไมจึงต้องยิ่งใหญ่ เพราะว่าถ้าไม่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เราจะไม่สามารถเผชิญกับโลกภายนอกที่น่ากลัวหรือวุ่นวายได้ แต่คนในโลกส่วนใหญ่ ข้างนอกใหญ่ข้างในเล็ก ข้างนอกดูสมบูรณ์ แต่ข้างในดูเว้าแหว่ง  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมข้างนอกต้องปกติพอดีและข้างในต้องรู้จักสมบูรณ์ สุขุม และสุภาพละเมียดละไมในตัว  เพราะมีแต่คนที่รู้จักความสมบูรณ์และพอดีจึงสามารถเติมความสุขให้กับผู้อื่นได้  แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมภายในยังเว้าแหว่งและบกพร่องอยู่เสมอ จะไปเติมพลังเชื้อให้กับใครได้ และจะเรียกร้องนำพาใครได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเราควรเป็นส้มที่สมบูรณ์ ไม่เล็กเกินไปและก็ไม่ใหญ่เกินไป  จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่าต้องรู้จักอ่อนน้อมให้พอดี  มีคำกล่าวว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมอ่อนน้อมให้สรรพสิ่งแต่ไม่ยอมอ่อนแอให้กับความเลวร้าย” จำคำพูดศิษย์พี่ไว้นะ ศิษย์พี่กำลังบอกแนววิธีการปฏิบัติบำเพ็ญตนแบบรูปลักษณ์ เพื่อเอามาเป็นการประพฤติในตัวตน
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมควรบำเพ็ญขัดเกลาตัวเองอย่างไรที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญ
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปต้นไม้สองต้น ต้นที่หนึ่งผลเล็กแต่





ดูออกไหมเป็นรูปอะไร (ต้นไม้)  เราฝึกฝนบำเพ็ญธรรมควรเป็นต้นไม้ต้นไหน (ควรเป็นต้นที่มีผล) เพราะอะไร (เพราะว่าการปฏิบัติธรรม เราต้องหมั่นปฏิบัติและฝึกฝน ถึงบางครั้งจะเล็กน้อย แต่ให้ทำสม่ำเสมอทุกวัน) ให้ตกผลบ่อยๆ เหมือนผลที่ออกเยอะๆ ก็ตอบได้ดีนะ (ต้นใหญ่ จะได้หนักแน่นและมั่นคง มีจิตใจที่แน่วแน่)  ไม่มีใครตอบผิด ตอบตามความรู้สึก ศิษย์พี่ไม่ว่านะ (เอาทั้งสองต้นเลย ปฏิบัติธรรมจากผลเล็กกลายเป็นผลใหญ่ แตกสาขาจากผลเล็กกลายเป็นผลใหญ่)  แต่อยู่ๆ ถ้าจากผลดกขนาดนี้แล้วเหลือน้อยขนาดนี้ เป็นไปได้ไหม (ต้องเป็นหลายๆ ต้น จากสาขานี้ไปต้นหนึ่ง เป็นสองต้น ต่อไปก็เป็นหลายๆ ต้น)  เขาบอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะ มีหนึ่งต้นแล้วต้องมีต้นที่สอง ต้องรู้จักแผ่ไปเรื่อยๆ ตอบได้ดีนะศิษย์น้อง เห็นไหมว่าแนวความคิดของศิษย์น้องแต่ละคนมีปัญญา (ต้นที่หนึ่ง เพราะว่ามีผลดก สามารถที่จะนำผลเหล่านั้นไปขยายผลให้ได้มากที่สุด) ปรบมือให้หน่อยนะ
คราวนี้อยากรู้ไหมว่าศิษย์พี่อยากเป็นต้นไหน (อยากรู้) จริงๆแล้ว ศิษย์น้องต้องเหมือนทั้งสองต้น ตอนเพิ่งเริ่มมาบำเพ็ญ มีความอยาก มีความต้องการ มีจิตใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม พอเราเข้าใจธรรมะเรารู้สึกว่าดี อยากไปช่วยคนโน้น อยากไปช่วยคนนี้ มีแต่คนที่อยากช่วยเต็มไปหมดเหมือนต้นไม้ประเภทนี้ แต่พอยิ่งบำเพ็ญนานๆ เข้า เหลือเพียงเท่านี้ คนที่จะช่วยนับได้เลย คัดไปคัดมาเหลือไม่กี่ลูกเอง นี่คืออย่างแรก
 อย่างที่สองที่ศิษย์พี่อยากบอกก็คือว่าเมื่อเราบำเพ็ญธรรม แต่ก่อนความอยากเรามีเต็มไปหมด บางครั้งความอยากที่ตกผลบางทีลูกก็สวย บางทีลูกก็ไม่สวย บางทีลูกก็ใหญ่ บางทีก็ลูกเล็ก แล้วพอมากๆ เข้าเราก็วุ่นวาย เวลาดูแลก็ไม่ทั่วถึง  เมื่อเราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ความอยาก ความรู้สึกชอบชังในใจตน อันไหนควรอยาก อันไหนควรชัง อันไหนควรชอบ ทุกครั้งที่พูด กระทำ คิด อย่าลืมว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญ คิดให้ดีๆ ก่อนที่จะตกผล ทุกครั้งที่ตกผลต้องเป็นผลที่คิดดีแล้ว เลือกมาดีแล้วจากสิบลูกให้เหลืออยู่สามลูก การกระทำที่ผ่านการคิดคำนวณและคัดเลือกอย่างดีแล้ว จะทำให้ผลที่เราได้ทั้งใหญ่ทั้งหอมหวานและก็พิเศษกว่าใครๆ เลย
เช่นเดียวกัน การบำเพ็ญตนไม่ใช่การทำตามใจตนเองทุกอย่างไม่ใช่คิดสิบอย่างทำสิบอย่าง แต่ในสิบอย่างนี้ต้องเลือกให้เหลือดีหนึ่งอย่างหรือสองอย่างแล้วเอาไปทำ ความคิด การปฏิบัตินั้นจึงจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญตน คือรู้จักคัดเลือกให้เหลือสิ่งที่ทนและเข้มแข็ง สามารถตกผลให้ผู้อื่นได้ลิ้มรสหอมหวาน นี่คือการบำเพ็ญตนในสังคม  ถ้ามีสิบปล่อยให้ออกทั้งสิบอย่าง มันก็ย่อมมีทั้งผลดีและผลเสีย และผลนั้นก็แค่ราคาตามท้องตลาด แต่ในสิบอย่างถ้ารู้จักคิดพิจารณาคัดเลือก ผลที่ออกมาก็จะราคาดีสามารถส่งออกนอกได้
ฉะนั้นเราจะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติที่มีค่ายิ่งใหญ่และหอมหวานก็ต่อเมื่อคนนั้นต้องรู้จักคัดเลือก ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำ ต้องเลือกสรรให้ดี อย่าตามใจอารมณ์จนเกินไป  ถ้าทำเช่นนี้ได้ ศิษย์น้องก็จะเปลี่ยนจากต้นที่หนึ่งกลายเป็นต้นที่สอง ความคิดเราก็จะได้ไม่ถูกปิดทิ้ง เหลือแต่ความคิดที่ดูแล้วน่าส่งเสริมให้ทำต่อ แล้วไม่ใช่ต้นไม้ประเภทนี้หรือที่หายากในโลก และมีผลน้อยเหลือเกิน ต้นที่หนึ่งมีอยู่ทั่วตามท้องตลาด ราคาก็ธรรมดา  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักคิด พูด ทำ คัดเลือกกลั่นกรองให้ดี การกระทำที่ออกมาจะได้มีคุณค่าไม่เสียเปล่า ไม่เป็นแค่ราคาคุย
ในกลอนที่ศิษย์พี่ให้ยังมีปริศนาความนัยอยู่ข้างในที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องไขออกมา เหมือนในตัวเราก็มีปริศนาอยู่ภายใน ปริศนานั้น คือหัวใจแห่งกลไกการทำงานในร่างกายนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่
เป็นคนอยู่ในสังคม ทุกคำพูด ทุกการกระทำ ทุกความคิดต้องรู้จักพินิจพิจารณาก่อนที่จะพูดจะทำออกไป ถ้าทุกคนอยู่ในโลกที่ดี รู้จักบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรมก็เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
จะเป็นคนศึกษาธรรม บำเพ็ญธรรม คุณธรรมที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคนมีอะไรบ้าง (มีน้ำใจ, มีสติปัญญา, มีความจริงใจ, มีคุณธรรม, มีความเมตตา, มีความศรัทธา, มีความสัตย์, มีความกตัญญูมีความกตัญญู ไม่เถียงพ่อแม่ ใช่ไหม อะไรอีก (มีความซื่อตรง, มีความเสียสละ, มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, มีคุณธรรมในความเป็นคน) คุณธรรมในความเป็นคนคืออะไรล่ะ (จิตใจอ่อนน้อม, รู้จักเสียสละ) (มีความซื่อสัตย์สุจริต, เป็นคนดี, มีจิตใจงดงาม, โอบอ้อมอารี, มีความขยันอดทน, มีระเบียบวินัย, ไม่ฆ่าสัตว์, รู้จักช่วยเหลือผู้คน, มีสัจจะจริงใจ, คิดดีทำดีพูดดี, มานะบากบั่น, เป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่น, มีน้ำใจ, รู้จักทำดี, มีคุณธรรมจริยธรรม, รู้จักผิดชอบชั่วดีและรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ)  คนในโลกนี้รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ แต่ถามว่ารับผิดชอบไหม รับชอบแต่ไม่รับผิด (เอาใจเขามาใส่ใจเรา, รู้จักให้อภัย, ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม, รู้จักรักษากฎระเบียบของสังคม , ไม่เสแสร้งหลอกลวงคนอื่น, ไม่ลักขโมยของคนอื่น)  เอาศีลห้ามาก็ถือว่าเป็นคนดีแล้วใช่ไหม (มีความมั่นใจในตัวเอง, ไม่พูดโกหก)  ความมั่นใจบางทีมีมากเกินไปก็ไม่ดีนะ มั่นใจแล้วก็ต้องรู้จักรับฟังคนอื่นด้วย พื้นฐานของความเป็นคน (ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่ลักทรัพย์, เป็นคนซื่อตรง)  มีใครตอบอีกไหม ไม่ตอบศิษย์พี่จะบอกบ้างแล้วนะ (ไม่ดื่มสุรายาเมา, ละเว้นอบายมุข)  เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบแล้วการพนันเล่นได้ไหม (ไม่ได้)  (ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)  ส่งเสริมกินเจ เริ่มจากไม่กินสัตว์ใหญ่ก่อนหรือที่เขาพูดว่ามีสัตว์ในโลกสามประเภท ไม่กินสัตว์สามประเภทนี้ก็กินเจได้ สัตว์ที่อยู่บนฟ้าห้ามกิน สัตว์อยู่บนดินห้ามกิน สัตว์อยู่ในน้ำห้ามกิน เอาไหม
ฉะนั้นสิ่งแรกในการฝึกฝนบำเพ็ญตนและขาดไม่ได้คือ 
๑) ต้องมีใจเมตตา 
๒) มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป 
๓) มีปัญญารู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี 
๔) มีความกล้าหาญ 
ถ้าขาดความกล้าหาญ แม้มีใจเมตตาแต่ไม่ลงมือกระทำก็เปล่าประโยชน์  มีปัญญาคิดแยกแยะผิดชอบชั่วดีแต่ขาดลงมือตัดสินใจทำก็ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นพื้นฐานของความเป็นคนสี่อย่างนี้ศิษย์น้องต้องพยายามมีและเป็นให้ได้ อย่าขาด เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป คนนั้นก็ยากเรียกว่าคนผู้ประเสริฐได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า อยากเป็นคนประเสริฐในโลก อีกสิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ในโลกนี้คือมิตรกับอาจารย์ อยู่ในโลกมิตรเปรียบเหมือนบิดามารดา ศัตรูที่เรารังเกียจชิงชังเปรียบเหมือนอาจารย์ ในโลกนี้เรามีทั้งคนที่เรารักและชอบ คนนี้เป็นเพื่อนกัน รู้จักชี้นำและไปไหนก็ไปกับเราด้วย เขาก็เปรียบได้กับบิดามารดาคนที่สอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างหนึ่งที่มนุษย์เจออยู่ในสังคมบ่อยๆ นั่นก็คือศัตรูตัวร้าย ในโลกมีใครบ้างที่เราไม่เกลียด มีคนชอบก็ย่อมต้องมีคนที่เราเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไหร่เจอคนเกลียดจงคิดว่าคนเกลียดนั้นเหมือนฆ้อนที่คอยกะเทาะให้เรามองเห็นจิตใจ ฆ้อนที่คอยกะเทาะให้เราหลุดจากความยึดมั่นถือมั่น แล้วกลายเป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง ฉะนั้นศัตรูที่ร้ายที่สุดจึงเปรียบเหมือนครูบาอาจารย์ แต่คนในโลกนั้นแปลกไม่มีวันเจอมิตรแท้และไม่ชอบศัตรูร้ายกาจที่เป็นอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  พ่อแม่เราคู่เดียวก็รำคาญจะแย่แล้ว เรื่องอะไรจะเอาเพื่อนมาเป็นพ่อแม่ให้รำคาญหัวใจอีก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศัตรูจะร้ายก็ไม่เกี่ยวกันอย่ามายุ่งอะไรกับฉัน ใช่หรือเปล่า แต่ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ บิดามารดาคนที่สองขาดไม่ได้ ศัตรูตัวร้ายที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ไม่ควรที่จะไม่มี เพราะสองสิ่งนี้เป็นผู้ที่ไปไหนไปกับเรา
อยู่ที่ไหนเราจะต้องมีสองสิ่งนี้เสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องร้องเพลงบ่อยๆ ในสามคนย่อมมีครูเรา หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า คนหนึ่งทำดีก็เหมือนเป็นมิตรที่ดี คนหนึ่งทำชั่วก็เปรียบเหมือนอาจารย์ที่ดี ฉะนั้นเราอยู่ในสังคมถ้าทุกขณะคิดอย่างนี้เราจะไม่มีคนที่เรารู้สึกรังเกียจและไม่เข้าใจ ไม่ว่าแง่ซ้าย แง่ขวา แง่บวก แง่ลบ ล้วนให้คุณค่าที่ดี จริงหรือไม่ (จริง) 
ต่อไปนี้หลังจากศิษย์พี่ไม่อยู่แล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้องก็คือว่า อยู่ในโลกนี้ให้รู้จักคิดเผื่อไว้บ้าง วันนี้เศร้าไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะมีความสุข วันนี้มีความสุขไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะเศร้า ฉะนั้นในความสุขนี้เรามองเห็นทุกข์ได้มากเท่าไร เราก็จะสามารถควบคุมความทุกข์นี้ให้อยู่ในมือหรือปล่อยทิ้งจากมือได้มากเท่านั้น โลกนี้เป็นโลกใบใหญ่ที่มีความทุกข์เต็มไปหมด การที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ก็คือต้องเริ่มต้นควบคุมเอาชนะที่ความคิด  ถ้าทุกวันเอาแต่กิเลสอารมณ์มานำความคิด ความทุกข์เศร้าย่อมเป็นเงาตามตัวเป็นแน่แท้ แต่ถ้าเกิดทุกวันรู้จักเอาธรรมะมานำชีวิต ความสงบร่มเย็นไม่หนีหายไปจากตัวเรา  ฉะนั้นทุกครั้งที่ศิษย์น้องจะทำอะไรขอให้คิดดูว่าทำแล้วมีธรรมไหม ถ้าทำแล้วเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก ลองยั้งสักนิดหนึ่ง แล้วอารมณ์  ความรู้สึกนั้นจะได้ไม่ต้องทำให้เรามีความทุกข์ในบั้นปลายดีหรือเปล่า (ดี)  ทำแล้วเห็นแก่ตัวเกินไปไหม เคยคิดถึงหัวอกคนอื่นหรือเปล่า ถ้าทำแล้วเห็นแก่ตัวเป็นหลัก คนอื่นเป็นรองก็ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง 
เคยไหมอยู่ในโลกคิดถึงผู้อื่นเป็นส่วนใหญ่ตัวเองส่วนน้อย แม้จะทุกข์แม้จะเศร้าก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับคิดถึงตัวเองส่วนใหญ่ ผู้อื่นส่วนน้อยใช่หรือไม่ (ใช่) การคิดถึงผู้อื่นส่วนใหญ่ ตัวเองส่วนน้อยในเศร้ายังมีสุข แต่ถ้าเกิดคิดถึงตัวเองส่วนใหญ่ ผู้อื่นส่วนน้อย ในสุขนั้นมีเศร้าเป็นแน่แท้ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ความทุกข์เกิดจากการไม่รู้พอ เมื่อไรที่เรารู้พอ เมื่อนั้นเราจะมองโลกได้อย่างแจ่มชัด แต่ถ้าเมื่อไรเรายังไม่รู้พอ เรายังมองโลกได้บิดเบี้ยว มองใครก็ไม่ตรงแล้ว  ฉะนั้นอยากดับความทุกข์จงดับความอยากในตัวตน ถ้าดับความอยากในตัวตนได้เราก็จะมีปัญญาที่เห็นธรรมได้ชัดเจนขึ้น เห็นโลกได้สดใสขึ้น ไม่มีกิเลสอารมณ์มาเหนี่ยวรั้งให้รำคาญใจ
วันนี้ศิษย์พี่อยากพูดธรรมะมากๆ แต่เวลามีจำกัด อยากอยู่นานๆ อยากพูดเยอะๆ แต่รู้ว่าสมองศิษย์น้องก็จำกัด ได้หัวลืมหาง ได้หางลืมหัว  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นรู้จักคัดเลือกหน่อยนะ เหมือนต้นไม้รู้จักคัดเลือกสิ่งที่ดี อยากเป็นคนที่ข้างนอกเล็กแต่ข้างในยิ่งใหญ่และมั่นคงได้  อย่างแรกเราต้องรู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อเดินไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด  อย่างที่สองคนที่จะบรรลุหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ได้นั้น ต้องเป็นคนที่รู้จักมีอุดมคติในตัวตน หรือมีปณิธานเป้าหมายในดวงใจ จึงจะสามารถไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ และรู้จักเอาภายนอกเป็นบทเรียนสอนตน และเอาภายนอกนั้นมาเป็นข้อเตือนใจตน คนอื่นเขาผิดแล้วเราจะต้องไม่เผลอผิดแบบเขา ใบไม้ร่วงหล่นแล้ว ชีวิตเริ่มมากขึ้นแล้ว เราจะต้องมีความรู้ มีคุณธรรมมากขึ้นอย่างที่ใบไม้ร่วงหล่น ทุกเวลาที่ชีวิตผ่านไป เราสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับผู้อื่นหรือยัง คุณค่าของมนุษย์ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แล้วศิษย์พี่ก็เชื่อว่าศิษย์น้องทุกๆ คน แม้จะตัวเล็กๆ แต่จิตใจยิ่งใหญ่ได้ด้วยความมุ่งมั่นประพฤติปฏิบัติที่จะกระทำ แต่เราจะประพฤติปฏิบัติอะไรล่ะ อุดมคตินี้หรือปณิธานนี้ต้องเกิดจากตัวศิษย์น้องเอง นับจากวันนี้ไปจะทำอะไร ตายไปแล้วก็คุ้มแล้วที่เกิดมาเป็นคนในชาติ ไม่ใช่เพราะปณิธานที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์น้องเหมือนกับศิษย์พี่ เหมือนกับพระอาจารย์จี้กง หรือเหมือนกับพระพุทธะบนโต๊ะนี้ได้ก็คือจิตใจที่ยิ่งใหญ่ แต่ใจที่ยิ่งใหญ่นี้ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและรับฟังคำพูดคน 
วันนี้ได้คำว่า เข้าใจให้ตรงกัน  สิ่งที่ศิษย์พี่สื่อไปนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตรงกับใจใครบ้างไหม การบำเพ็ญร่วมกันในสังคม สิ่งที่เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ ทุกคนต่างมีธรรมะแต่ทุกคนเข้าใจธรรมะกันคนละเรื่องคนละแบบ แล้วแต่ละแบบก็ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก แต่ธรรมะที่ดีคือธรรมะที่รู้จักอะลุ่มอล่วยและรับฟังกัน  ฉะนั้นเราจะเป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่และไปด้วยกันได้ก็คือเรายอมเข้าใจให้ตรงกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างยึดมั่นตัวเอง แล้วอย่างนี้จะบำเพ็ญอะไรถ้าไม่มีใครยอมผิดบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับการอยู่ในสังคมในครอบครัว ถ้าทุกคนต่างเข้าใจกันคนละแบบแล้วเราจะทำงานกันได้รู้เรื่องไหม  เข้าใจคนละแบบได้ แต่ถึงเวลาเมื่อรวมกันแต่ละแบบต้องสามารถประสานและรวมตัวกันได้ดี
เหมือนกับการที่ศิษย์พี่พูดธรรมะถามว่าปัญญาความเข้าใจของแต่ละคนจะได้รับเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) จำที่ศิษย์พี่พูดตอนแรกได้ไหม ความรู้สามารถเรียนทันกันหมด แต่ปัญญาความเข้าใจไม่อาจเท่าเทียมกัน  นี่คือข้อดีเมื่อไม่เท่าเทียมกันก็ต้องสามารถประสานแล้วไปด้วยกันได้ เราถึงจะสามารถมองเห็นโลกใบนี้ได้อย่างทุกแง่ทุกมุม  ถ้าทุกคนพูดธรรมะเห็นซ้ายก็ซ้ายหมด เห็นขวาก็ขวาหมด อย่างนี้เรือก็ไปไม่รอดใช่ไหม (ใช่)  ต้องมีทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง  แต่ซ้ายขวาหน้าหลังต้องยอมที่จะอะลุ่มอล่วยกันและรับฟังกันนะ  เข้าใจที่ศิษย์พี่พูดไหม (เข้าใจ)
มีหลายอย่างที่อยู่ภายใจในใจของศิษย์น้องแต่ละคน ที่เป็นปัญหา ที่เป็นนิสัย ที่แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้  ฉะนั้นไม่มีใครชี้ไม่มีใครแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเองนะ  ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐมีปัญญาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น เกิดมาเรามีความก้าวหน้า แต่บางครั้งถ้าก้าวแล้วทำให้เรายิ่งผิด หยุดแล้วคิดให้ดีๆ ก่อนจะก้าวต่อไป ไม่มีใครเตือนใจตัวเราได้เท่ากับเราเอง  ดูแลรักษาตัวเองให้ดี ให้เข้มแข็งทั้งกายใจ มุ่งมั่นทำสิ่งใดแล้ว แม้ตายก็ไม่ถอยนะ  ดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกนะ  ขอให้ทุกคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไปแล้วนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “เข้าใจให้ตรงกัน
     คนบำเพ็ญเพียรทั้งกายใจด้วยธรรมะ   ก่อนมานะจะต้องรู้ธรรมอย่างถ่องแท้
เข้าใจธรรมให้ตรงกันไม่ต่างแง่                  ธรรมเกิดแต่ผู้ที่ปฏิบัติอย่างเห็นตน
พึงตั้งตนอย่างเป็นกลางอย่าเอนเอียง         อย่าใช้ธรรมไว้เป็นเพียงเพื่อหลักเหตุผล



[๑] เชาวน์       ปัญญาหรือความคิดฉับไว , ปฏิภาณไหวพริบ
[๒] เทวษ         การคร่ำครวญ , ความลำบาก
[๓] อนุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน มี ๗ อย่าง คือ ๑. กามราคะ ความกำหนัดในกาม  ๒. ปฏิฆะ ความหงุดหงิด ๓. ทิฏฐิ ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ ความถือตัว ๖. ภวราคะ ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา ความไม่รู้จริง

[๔] ชำนิ   รู้ชัดเจน , เชี่ยวชาญ , คล่องแคล่ว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา