西元二○○七年歲次丙戌十二月初二日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่
๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ทุกข์ระงมห่มโลกให้หม่นเศร้า แม้ชาญเชาวน์[๑]ยังไม่อาจช่วยพ้นได้
ฟ้าส่งสายทองฉุดคืนช่วยเวไนย หวังเมธีท่านตื่นใจเหลียวบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
คนไม่รู้มักไม่รู้ว่าตนไม่รู้ ชีวิตอยู่อย่างอัตคัตนอกหรือใน
พิจารณาอันความดีทั้งใกล้ไกล ทำอะไรให้ภูมิใจชีวิตตน
เกิดเป็นคนต้องรู้จักประมาณ วัฏสงสารต้องเวียนเพื่อจักพ้น
ความลำบากนั้นมีเพื่อให้อดทน รู้จักตนคนทุกคนล้วนเท่าเทียม
อย่ายึดมั่นในตัวตนต่อวัตถุ อาจบรรลุความทุกข์ดุจเดียวกับกิเลส
ขอจงรู้เสียสละไม่เทวษ[๒] สังคมประเทศต้องเริ่มต้นจากตัวเรา
เพราะจิตใจยังไม่รู้ตัวจริงไซร้ จึงขอน้องให้ตั้งใจฟังธรรมา
ฟื้นฟูจิตดวงเก่าให้สะอาดเอี่ยม จิตใจเทียมฟ้าสว่างและสดใส
ฝุ่นธุลีถูกขจัดจากจิตใจ ทั้งนี้ใช่เปลี่ยนสิ่งใดนอกจากตน
คนไม่คิดจะทำย่อมไม่ยอมเปลี่ยน ประสบการณ์สู่บทเรียนฝึกฝนซ้ำ
พิจารณาทั้งคำพูดการกระทำ ขอให้นำจากจิตใจวิสุทธิ์งาม
บัณฑิตทำงานเพื่อจิตใจนี้ โดยไม่มีความเคลือบแคลงแข่งเหตุผล
เอาชนะตนอย่าได้เฝ้าเห็นแก่ตน ความมงคลอยู่ที่รู้ซึ่งคิดเป็น
ในวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต เป็นนิมิตหมายเริ่มประเดิมตน
ขอให้รู้รักษาระเบียบทุกผู้คน แม้อับจนกายไม่อับจนใจ
จงนั่งฟังให้อยู่ครบทั้งสองวัน จงแข่งขันกับความง่วงของตนหนา
ด้วยชีวิตจิตไม่อาจตีราคา ให้ปัญญาทยอยเลิศล้ำด้วยเพียร
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้ ขอน้องมีความตั้งใจให้มากมาก
อันสังขารแสนจำกัดอาจลำบาก พี่ขอฝากช่วยฉุดตนด้วยธรรมตรง
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน ฮวา
ฮวา หยุด
วันอาทิตย์ที่
๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระนาจา
คนฉลาดอย่ายกตนข่มใครเขา คนโง่เขลารู้รับฟังน้อมศึกษา
มนุษย์ล้วนรักคนน้อมจำนรรจา มีเมตตาขยันอุตส่าห์จึงน่าดู
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีศึกษาธรรมกับศิษย์พี่หรือเปล่า
ปัญญาคนบำเพ็ญเพียรฝึกลุ่มลึกผาย ทุ่มใจกายทั้งมานะอยู่เสมอ
ปฏิบัติด้วยธรรมะก่อนจะได้เจอ ปัจจุบันเจอแล้วต้องเพียรกว่าเดิม
ศึกษาอย่างธรรมชาติรู้การให้ไป ความถ่องแท้เข้าใจธรรมส่งเสริม
ใจเที่ยงตรงแง่ดีคิดประเดิม ทิฐิกันไม่ต่างเริ่มปฏิบัติธรรม
ใจธรรมเกิดแต่ผู้ที่บำเพ็ญ มองตนเห็นอย่างทะลุไม่ถลำ
ชนะตนตั้งชีวิตอย่างผู้นำ พูดกระทำรู้พึงเป็นคนดี
ฤดีอย่าเอนเอียงเสียงและภาพ เดินสายกลางอย่าฉาบฉวยฉะนี้
พึงไว้ธรรมใช้เป็นปกติดี อาศัยรองเพื่อหลักนี้อยู่ประจำ
อนุสัย[๓]เป็นเพียงเหตุมาแต่ตน กิเลสซ้อนซ่อนกลดั่งจมน้ำ
ซึมซับโลกผลประโยชน์อมพะนำ แก้ไขซ้ำด้วยความฝืนกำลังดี
ฝึกตนแกร่งเห็นจำทนสารพัด คำผิดกลืนทันอาจด้วยสติ
กล้าใจกว้างเต็มส่วนไร้อริ กว่าชำนิ[๔]ลงแรงมาราคาครู
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทพระนาจา
เราเคยทำใจของเราที่เศร้าๆ ให้กลายเป็นใจที่ครึกครื้นได้ไหม
(ได้) เราเคยทำใจตัวเองหรือเปล่า โดยปกติเราถนัดแต่ปล่อยใจไปตามสภาพใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้บรรยากาศอึมครึม
ใจเราก็อึมครึม ตอนนี้บรรยากาศเงียบเหงา ใจเราก็เงียบเหงาใช่ไหม (ใช่) แล้วชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับภายนอกหรือขึ้นอยู่กับตัวเรา
(ตัวเรา) ชีวิตนี้เราเอาภายนอกเป็นหลักใหญ่หรือตัวเราเป็นหลักใหญ่ (ตัวเรา) แล้วทำไมเราต้องปล่อยตัวเราไปตามสภาวะแวดล้อมเสมอล่ะ
บางครั้งเราก็ฝืนบางครั้งเราก็ขัดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวไว้ว่า “การรู้จักพูดจาเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าพูดแล้วทำลายความเป็นจริงก็ไม่ควรที่จะพูด” เพราะว่าพูดแล้วทำให้เขากลายเป็นคนที่ยึดติดถือมั่น
และทำลายความจริง เราควรที่จะรักษาความจริงมากกว่าความยึดติดถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนชอบคำหวาน
แต่บางครั้งก็ต้องรู้จักไม่พูดบ้าง เพราะถ้าพูดบ่อยๆ แล้วเขาอาจกลายเป็นคนที่ (เหลิง) ใช่หรือเปล่า
(ใช่) แต่ถ้าเกิดไม่พูดเลยก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเขาจะเสียน้ำใจ หรือเขาจะไม่รู้จักตัวเอง
เราเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้เป็นคนฉลาด
มองคนออกว่าคนนี้ควรจะชมหรือคนนี้ควรจะพูดความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องราวในโลกมีมากมายหลายอย่าง จะยึดอะไรเป็นมาตรฐานตายตัวอย่างเดียวไม่ได้
ผู้มีปัญญาจึงต้องดูให้ออก อย่าเป็น “ปลาหมอตายเพราะปาก” เราต้องรู้จักพูด
รู้จักระมัดระวัง
อยากฟังเราพูดธรรมะไหม (อยาก) แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มาในงานประชุมธรรมเลย
จะทำอย่างไร ดึงใจเราขึ้นมาเองไม่ได้หรือ ความมุ่งมั่นตั้งใจ
การกระทำสิ่งใดก็ตาม ให้คนชี้ ให้คนผลัก ให้คนดึง ก็ไม่เท่ากับตัวเราชี้ ตัวเราผลัก
ตัวเราดึงด้วยตัวเอง
ฉะนั้นทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือใจเราเข้าใจเพียงใด
มุ่งมั่นเพียงไหน และจะอดทนฟันฝ่าได้หรือไม่
คนอื่นนั้นเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเท่านั้นเอง
เราเห็นคนในโลกมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งเวลาเรียนรู้อะไร
ก็เรียนรู้ได้ไว แต่คนอีกประเภทหนึ่งเรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้ (ช้า) ดั่งคำพูดว่า
“ความรู้เรียนทันกันหมด
แต่ปัญญาความเข้าใจไม่อาจเท่าเทียมกัน” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนบางคนเรียนหนึ่งอย่างเขาอาจจะได้ถึงเจ็ดส่วน
แปดส่วน แต่บางคนเรียนหนึ่งอย่าง แต่อาจได้แค่หนึ่งส่วน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นในโลกจึงมีคนที่สมองเร็วกับคนที่สมองช้า
พูดง่ายๆ คือคนที่โง่และคนที่ฉลาด
คนฉลาดมีปัญญาเหมือนคนที่รวยทรัพย์สินไหม คิดให้ดีๆ นะ
คนฉลาดคิดอะไรก็คิดให้เป็นเงินเป็นทอง แต่คนโง่มักบอกว่าไม่เอา
คิดไม่ออกใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคนฉลาดคิดอะไรก็สามารถคิดเป็นเงินเป็นทอง
ถ้าเราพูดว่าคนฉลาดเปรียบเหมือนคนรวย
คนรวยแบบไหนที่รวยแล้วท่านเกลียดมากๆ
ฉลาดแกมโกงถูกไหม (ถูก) คนรวยทรัพย์กับคนรวยปัญญาเหมือนกันนะ เราว่ามองไปแล้วเหมือนกัน ถ้ารวยทางปัญญาแล้วโกงคนก็ไม่ชอบ
รวยทรัพย์แล้วได้เงินเยอะแล้ว ยังโลภและโกงทำผิดกฎหมายอีก เราก็รังเกียจ
ถูกหรือไม่ (ถูก)
คนที่ฉลาดอย่างไรที่เราไม่ชอบ ทำนากินแรงบนหลังคน บางคนฉลาดรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง เวลาได้รับผลประโยชน์มาเป็นคน แรก แต่ถึงเวลาออกแรงถอยหลังเป็นคนแรก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วมีอะไรอีกที่คนฉลาดแล้วเราไม่ชอบ เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าฉลาดแล้วมีแต่ทำเพื่อตนเองอย่างเดียว
แต่ไม่เคยทำเพื่อผู้อื่นบ้าง
ความฉลาดที่เราเห็นนั้นก็รู้สึกรำคาญหูรำคาญตา เอาแต่ได้เหลือเกินไม่เคยคิดให้คนอื่นเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยากบอกว่าคนฉลาดก็เหมือนคนที่รวยทางปัญญา
จึงต้องรู้จักเป็นคนที่อย่าดูถูกคนและก็ต้องรู้จักเอาความฉลาดไปช่วยเหลือผู้คน
ความฉลาดนี้ถึงจะเป็นความฉลาดที่น่ารัก
อยู่กับคนโง่มากๆ อยู่กับคนที่เรียนรู้ช้า รำคาญไหม (รำคาญ) เคยไหมที่ต้องอยู่กับคนที่สอนครั้งหนึ่งแล้วไม่เข้าใจ
สอนครั้งที่สองก็ยังไม่เข้าใจ สอนครั้งที่สาม ก็ยังไม่เข้าใจ เราว่าเขาโง่ได้ไหม
โลกนี้มีคนสองประเภทคือคนรู้ก่อนกับคนรู้หลัง
ฉะนั้นคนฉลาดจึงต้องรู้จักอดทนที่จะถ่ายทอดให้กับคนรู้ทีหลัง และคนรู้ทีหลังเมื่อถูกเขาว่าโง่ครั้งที่หนึ่งแล้วต้องอดทนให้ได้
ถูกเขาว่าครั้งที่สองอดทนได้ไหม (ได้) ถูกเขาว่า
“โง่” ครั้งที่สามอดทนไหวไหม (ไม่ไหว) บางคนก็บอกว่าไม่เอาๆ แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นคนฉลาดก็ต้องอดทนและเพียรพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับคนโง่
ส่วนคนโง่ก็ต้องอดทนที่จะเรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจเหมือนกัน จึงบอกว่ายิ่งฉลาดมากเท่าใดก็เหมือนภูเขาที่สูง
ภูเขาบางภูเขาสูงแล้วแต่ต้นไม้อุดมสมบูรณ์เพราะเก็บกักน้ำได้ แต่ภูเขาบางภูเขาสูงแค่นิดเดียว
แต่ต้นไม้ดูเหี่ยวแห้งเพราะเก็บกักน้ำที่มีคุณค่าไม่ได้
เราอยากฉลาดแบบภูเขาที่อุดมสมบูรณ์หรือภูเขาที่เหี่ยวแห้งแคระแกรน ความฉลาดก็ขาดไม่ได้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ใช่บอกฉันฉลาด ฉันรวย คนอื่นโง่หมดเลยได้ไหม (ไม่ได้) ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภูเขาที่ไร้น้ำใจ แห้งแล้ง
ฉะนั้นมองเห็นเขาอย่าลืมย้อนมองดูตัวเรา กำลังหลงตัวเองไปไหม
กำลังคิดว่าตัวเองเก่งแน่เกินไปอยู่หรือเปล่า แต่อย่าลืมว่าถ้าไม่มีคนโง่
แล้วจะมีคนฉลาดหรือฉะนั้นคนโง่กับคนฉลาดต้องรู้จักพึ่งพาอาศัยกัน และคนโง่ขาดไม่ได้ซึ่งการรู้จักน้อมรับฟังการเรียนรู้
แล้วเคยได้ยินไหม ฉลาดทางโลกแต่โง่ทางธรรม
ฉลาดทฤษฎีแต่โง่เรื่องการปฏิบัติ ฉลาดในความรู้การศึกษาแต่อับจนโชควาสนา บางคนโง่แต่วาสนาดี รู้จักใช้ภูมิปัญญา
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นเราเกิดมาเป็นคนโง่หรือว่าฉลาดดี
น้ำยิ่งอยู่ต่ำมากเท่าไรก็เป็นแหล่งรวมของสรรพสิ่งได้มากเท่านั้น
คนยิ่งยอมรับว่าตัวเองโง่หรือไม่รู้มากเท่าไรก็จะมีคนที่อยากจะถ่ายทอดความรู้ให้มากเท่านั้น ถ้ามาวันนี้ แล้วคิดว่าฉันเก่ง รู้แล้ว เคยได้ยินแล้ว พอแล้ว
วันนี้เราจะไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้นเราอย่าได้ใช้แต่แรงทางร่างกาย
แต่เราต้องได้พลังแห่งปัญญาในการฟังธรรมะด้วย
แรงทางร่างกายไปหาซื้อที่ไหนก็ได้
แต่พลังทางปัญญาไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ จะได้ก็ต่อเมื่อเรายอมเป็นคนที่โง่ ยอมโดนคนอื่นว่า
แต่ถ้าเราบอกว่าเราฉลาด พอพลาดสักครั้งก็จะมีคนพูดว่านี่หรือคนฉลาด โง่แท้ๆ มันเจ็บนะ
เจ็บกว่ากันอีก
ฉะนั้นยอมโง่ก่อนดีกว่าให้เขามาชี้หน้าด่า เจ็บใจเหลือเกิน
ใครๆ ก็อยากฟังคำพูดดีๆ คำพูดที่พูดแล้วรู้จักพูด
พูดแล้วทำให้คนฟังๆ แล้วรู้สึกว่ามีคุณค่า มีกำลังใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราถามคำถามง่ายๆ
คนในโลกรักคนประเภทไหน แล้วเกลียดคนประเภทไหน ตอบได้ไหม โดยทั่วไปคนในโลกจะรักคนดีเกลียดคนชั่ว แล้วคนประเภทไหนที่เรารัก (คนที่มีเมตตา)
ในโลกนี้มีความทุกข์นานัปการ บางทีเราไม่อยากได้ก็จำต้องได้
ไม่อยากเจอก็จำต้องเจอ
ฉะนั้นบางทีก็ต้องรู้จักฝืนทวนกระแสของจิตใจตัวเองบ้าง ไม่มีอะไรในโลกนี้จะถูกใจเราไปทุกอย่าง
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเคยเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจครั้งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์มาแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้เรารู้ว่าทำอะไรต้องมีสติใช่ไหม (ใช่) ถ้าสติไม่อยู่กับตัว
คนที่อันตรายที่สุดก็คือตัวเรา เมื่อเราอันตรายที่สุด แล้วเราจะไปช่วยใครได้ ตัวเองก็เอาตัวไม่รอด แถมช่วยใครก็ช่วยไม่ได้
ฉะนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคนนั่นคือ “สติ” เมื่อมีสติแล้วปัญญาจึงเกิด
มนุษย์ในโลกรักคนประเภทไหน หนึ่งมีน้ำใจ
สองเป็นคนใจดี ขี้สงสาร
สามเป็นคนที่ขยัน อดทน ลำบากไม่เคยบ่น
สามอย่างนี้มีในตัวเราไหม ถ้ามีได้ครบ
ใครๆ ก็รัก ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ชอบ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนขี้สงสารมีน้ำใจ
แต่ขี้เกียจก็ไม่มีใครเอา ฉะนั้นอย่าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
ขยันแต่เป็นคนที่ขี้เกียจ ขยันแต่แล้งน้ำใจ สงสารใครไม่เป็นก็ไม่มีใครชอบ ฉะนั้นอยากเป็นที่รักของคนต้องรู้จักเมตตาคน
มีน้ำใจและต้องขยันอดทนด้วย
เรามาเรียนรู้ความโง่ ฉลาดทางธรรม
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยคิดว่าตัวเองเก่งไหม คิดว่าฉันก็เก่งไม่ย่อยเช่นกัน มีใช่หรือไม่
หนึ่งอย่างแล้วนะ
เคยมีไหมที่มีเรื่องแล้ว
ทำไปแล้วรู้สึกเสียใจภายหลัง (มี)
มีใช่ไหม มีเกือบทุกคนด้วย ไม่มีคนไหนในโลกที่ไม่เคยเสียใจในอดีต
ทุกคนมีความหลังที่ไม่ค่อยน่าดูเยอะเหมือนกัน
อย่างที่สองแล้วนะ
อย่างที่สาม
เคยพลาดในเรื่องที่ไม่คิดว่าจะพลาดไหม
อย่างที่สี่ เคยไหมถามอะไรก็บอกว่ารู้หมด
แต่ถึงเวลากลับหลงเอง ถ้าทั้งสี่อย่างนี้ท่านเป็นหมดสรุปว่าโง่แท้ๆ
เพราะปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “คนโง่ที่หลงว่าตัวเองฉลาดมักจะมีเรื่องให้ต้องเสียใจอยู่เสมอ
คนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดมักจะคิดว่าตัวเองไม่มีวันผิดพลาดเพราะตัวเองรู้แล้ว
คนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดมักจะไม่ชอบถามไถ่อะไรใครเพราะคิดว่าตัวเองนั้นได้รู้มาแล้ว”
การเป็นคนโง่แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะอะไรรู้ไหม
ข้าศึกมาประชิดเมืองแล้วค่อยหล่อหลอมอาวุธทันไหม ไม่ทันใช่หรือไม่
มีวัวเป็นสิบตัวปล่อยให้วัวหายแล้วล้อมคอกดีไหม (ไม่ดี) แล้วทำไมคนในโลกถึงชอบเป็นแบบนี้
ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วค่อยคิดว่าเราจะผิดหวังได้ด้วยหรือ เราไม่มีทางหลง
เราไม่มีทางโง่หรอก
ฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องของคนที่อายุมาก
หรือเป็นเรื่องของคนที่มีทุกข์แล้วค่อยมาศึกษา แต่ธรรมะนั้นเป็นเรื่องของคนที่รู้จักเตรียมอาวุธไว้รับมือกับความทุกข์และศัตรูที่จะมากระทบจิตกระทบใจ
ถามท่านนะ
คนในโลกมักจะพูดว่า ธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่
ธรรมะเป็นเรื่องของคนอายุใกล้เข้าโลง
ใช่ไหม บางคนพูดว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนมีทุกข์
คนมีสุขไม่จำเป็นต้องฟังธรรมะใช่ไหม (ใช่)
คิดอย่างนี้โง่แท้ๆ ทำไมเราต้องให้ความทุกข์มา แล้วเราค่อยหล่ออาวุธมาป้องกันความทุกข์หรือ
ฉะนั้นธรรมะจึงเหมาะกับคนที่มีปัญญารู้จักเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ
ใครในโลกจะแข็งแรงไม่มีความทุกข์
ใครในโลกจะมีความสุขอย่างเที่ยงแท้ และสามารถปกป้องจิตใจ ให้แม้แต่อะไรมากระทบใจก็ยังนิ่ง
ไม่โกรธไม่เศร้า ปลงได้คิดตก ทำได้ไหมหากมีความโกรธ มีการพลัดพราก มีความสูญเสีย มีความตายมากระทบใจ
ฉันทำใจได้ฉันไม่เศร้า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ปล่อยวางไม่ยึดติดทำได้ไหม (ไม่ได้)
ถึงเวลามีใครมาทำให้โมโห ฉันโกรธใช่ไหม (ใช่) ใครมาทำให้ฉันสูญเสีย
ฉันรับไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นธรรมะจึงเป็นเรื่องของคนที่ฉลาดรู้จักเตรียมพร้อมเสมอ ถูกหรือไม่
ฉะนั้นเราอย่าดูเบาคุณค่าของธรรมะ
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สนใจมาศึกษาธรรมะ
เพราะว่ามนุษย์สนใจสิ่งที่น่ารื่นรมย์น่าพิศมัยมากกว่าความเป็นจริง ถูกไหม (ถูก)
ไปวัดมีแต่เหี่ยวๆ มีแต่แก่ๆ มองไม่สดชื่นเลยไปเที่ยวดีกว่า มีแต่สาวๆ หนุ่มๆ
แต่สาวๆ หนุ่มๆ ไม่เหี่ยว ไม่แก่หรือ สาวๆ หนุ่มๆ บางครั้งตายก่อนคนแก่ก็เยอะไป
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่ามัวสนใจแต่สิ่งที่ตาชอบ หูชอบ ใจชอบเป็นนิจศีลเสมอ
มิได้นะ เพราะว่าเมื่อใดที่ชีวิตฉันอยู่แต่สิ่งที่ชอบ
สิ่งที่ไม่ชอบฉันไม่อยู่รับรองเป็นทุกข์แน่
เพราะในโลกของความเป็นจริงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราชอบทั้งหมด เราต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่ชอบจนเราชอบได้
ถึงจะเก่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นเดียวกัน คนในโลกถามว่าเข้ามาสถานธรรมเอาไหม
ยังไม่เอาเพราะไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านมีชีวิตอยู่
ท่านจะรู้ว่ามีชีวิตอยู่ถือตามหลักความจริงดีกว่าถือตามหลักสิ่งที่ชอบ
เพราะความชอบจะทำให้เราต้องเป็นทุกข์มากกว่าความเป็นจริง ใช่ไหม
ถามว่าคนที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดคือคนที่เรารักที่สุด
แล้วคนที่ทำให้เราตายได้ไวที่สุดคือคนที่เรารักมากที่สุดจริงหรือไม่(จริง)
บำเพ็ญธรรมคืออะไร
และผู้บำเพ็ญธรรมควรบำเพ็ญอย่างไร ศิษย์พี่ถามง่ายๆ
ศิษย์น้องมาฟังตรงนี้ พอมองเห็นใช่ไหมว่า ถ้าขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมควรเป็นแบบไหน
ระหว่างส้มลูกเล็กหรือว่าส้มลูกใหญ่ และมองเห็นผู้ปฏิบัติเป็นแบบสาลี่ช้ำจนน้ำไหล
หรือว่าสาลี่ไม่ช้ำ
หรือในความคิดของท่านขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมแล้วภายนอกควรจะเป็นอย่างไร
(สาลี่ไม่ช้ำ,
ส้มลูกเล็ก, ส้มลูกใหญ่)
ขึ้นชื่อว่า “ผู้ปฏิบัติธรรม” ควรเป็นส้มลูกเล็กหรือส้มลูกใหญ่ ควรเป็นสาลี่ช้ำหรือไม่ช้ำ (ส้มลูกเล็ก) ทำไมคิดว่าเป็นส้มลูกเล็ก
(เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมในปัจจุบันมีน้อย ผู้ไม่ปฏิบัติธรรมเป็นฝ่ายทางโลกมีมากกว่าเปรียบเสมือนส้มลูกใหญ่
ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมเป็นส้มลูกเล็กที่มีจำนวนน้อย
เราจะทำอย่างไรให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีจำนวนน้อยได้แพร่ธรรม) ตอบได้ดี
ถ้าอย่างนั้นส้มลูกเล็กรีบๆ มาเป็นส้มลูกใหญ่นะ มีอีกไหม
เราเชื่อว่าแนวความคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิที่จะตอบได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ดก ต้นที่สองผลใหญ่แต่มีผลน้อย)

โลกซับซ้อนซ่อนซ้ำด้วยความเห็นแก่ตน ฝืนจำทนกลืนผิดลงใจกว้างเต็ม
(เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมได้ปฏิบัติธรรมมา
คือมีความรู้ในเรื่องธรรม เปรียบเสมือนมีความรู้มาก) ก็คือมีความรู้ทางธรรมเยอะ ใช่หรือไม่
คนมีความรู้ทางธรรมเยอะจำไว้นะ เพราะแต่ละความคิดของนักเรียนในชั้นเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรับฟังและเก็บไปพิจารณาว่าเรามีแบบนั้นไหม
ใช่ไหม (ใช่) เป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีความรู้เยอะจึงเป็นสิ่งที่ดี
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งวัยผู้ใหญ่และวัยเด็ก
เขาบอกว่าคนที่ปฏิบัติธรรมก็เหมือนสาลี่ที่เคยช้ำมาก่อน กดเท่าไหร่ก็มีน้ำตารินไหล คนบางคนเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม
เพราะว่าบางทีเคยผิดหวัง เคยมีความทุกข์มาก่อน จึงหันเหมาศึกษาธรรม ใช่หรือไม่
(ใช่) ตอบได้ดีนะ
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสาลี่ช้ำทุกคนไป จริงไหม (จริง)
ศิษย์พี่จะถามผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วนะว่า เป็นส้มลูกเล็กหรือส้มลูกใหญ่
สาลี่ช้ำหรือสาลี่ไม่ช้ำ
ไม่มีใครตอบสักคนเลยหรือ
ศิษย์พี่อยากถามอย่างหนึ่งนะ
ขึ้นชื่อว่า “ผู้บำเพ็ญธรรม”
ในสายตาของนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม
ถ้าเป็นคนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์และก็ดูฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เราจะนับถือไหม
หรือคิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วยังกินจุอีก ปล่อยตัวอ้วนขนาดนี้ แต่งตัวเยอะไม่รู้จักปลงเลย
อย่างนี้ไม่น่าเคารพ ใช่ไหม(ใช่) เคยไหมที่เห็นพระอ้วนแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเคารพ
พระผอมๆ ดูแล้วน่าเคารพกว่า
อย่างที่สอง
เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแต่หน้าเหี่ยว ไม่มีความสุขเลย เหมือนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ใครจะเดินตามมาปฏิบัติธรรม ฉะนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องยอมเป็นคนที่รู้จักพอเหมาะพอดี
อ่อนน้อมถ่อมตน และรู้จักรับฟังคำพูดซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คนที่อ่อนน้อมมากที่สุดคือคนที่รับฟังคำพูดคนอื่นมากที่สุด ไม่ว่าเสียงดีหรือไม่ดี ภายนอกเล็กแต่ภายในจิตใจต้องยิ่งใหญ่ ภายในทำไมจึงต้องยิ่งใหญ่
เพราะว่าถ้าไม่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เราจะไม่สามารถเผชิญกับโลกภายนอกที่น่ากลัวหรือวุ่นวายได้
แต่คนในโลกส่วนใหญ่ ข้างนอกใหญ่ข้างในเล็ก ข้างนอกดูสมบูรณ์
แต่ข้างในดูเว้าแหว่ง ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมข้างนอกต้องปกติพอดีและข้างในต้องรู้จักสมบูรณ์
สุขุม และสุภาพละเมียดละไมในตัว
เพราะมีแต่คนที่รู้จักความสมบูรณ์และพอดีจึงสามารถเติมความสุขให้กับผู้อื่นได้
แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมภายในยังเว้าแหว่งและบกพร่องอยู่เสมอ
จะไปเติมพลังเชื้อให้กับใครได้ และจะเรียกร้องนำพาใครได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเราควรเป็นส้มที่สมบูรณ์
ไม่เล็กเกินไปและก็ไม่ใหญ่เกินไป จริงๆ
แล้วอยากจะบอกว่าต้องรู้จักอ่อนน้อมให้พอดี
มีคำกล่าวว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมอ่อนน้อมให้สรรพสิ่งแต่ไม่ยอมอ่อนแอให้กับความเลวร้าย”
จำคำพูดศิษย์พี่ไว้นะ ศิษย์พี่กำลังบอกแนววิธีการปฏิบัติบำเพ็ญตนแบบรูปลักษณ์
เพื่อเอามาเป็นการประพฤติในตัวตน
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมควรบำเพ็ญขัดเกลาตัวเองอย่างไรที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปต้นไม้สองต้น ต้นที่หนึ่งผลเล็กแต่
ดูออกไหมเป็นรูปอะไร (ต้นไม้) เราฝึกฝนบำเพ็ญธรรมควรเป็นต้นไม้ต้นไหน
(ควรเป็นต้นที่มีผล) เพราะอะไร (เพราะว่าการปฏิบัติธรรม
เราต้องหมั่นปฏิบัติและฝึกฝน ถึงบางครั้งจะเล็กน้อย แต่ให้ทำสม่ำเสมอทุกวัน)
ให้ตกผลบ่อยๆ เหมือนผลที่ออกเยอะๆ ก็ตอบได้ดีนะ (ต้นใหญ่ จะได้หนักแน่นและมั่นคง
มีจิตใจที่แน่วแน่) ไม่มีใครตอบผิด
ตอบตามความรู้สึก ศิษย์พี่ไม่ว่านะ (เอาทั้งสองต้นเลย
ปฏิบัติธรรมจากผลเล็กกลายเป็นผลใหญ่ แตกสาขาจากผลเล็กกลายเป็นผลใหญ่) แต่อยู่ๆ ถ้าจากผลดกขนาดนี้แล้วเหลือน้อยขนาดนี้
เป็นไปได้ไหม (ต้องเป็นหลายๆ ต้น จากสาขานี้ไปต้นหนึ่ง เป็นสองต้น ต่อไปก็เป็นหลายๆ
ต้น) เขาบอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะ
มีหนึ่งต้นแล้วต้องมีต้นที่สอง ต้องรู้จักแผ่ไปเรื่อยๆ ตอบได้ดีนะศิษย์น้อง
เห็นไหมว่าแนวความคิดของศิษย์น้องแต่ละคนมีปัญญา (ต้นที่หนึ่ง เพราะว่ามีผลดก
สามารถที่จะนำผลเหล่านั้นไปขยายผลให้ได้มากที่สุด) ปรบมือให้หน่อยนะ
คราวนี้อยากรู้ไหมว่าศิษย์พี่อยากเป็นต้นไหน (อยากรู้) จริงๆแล้ว ศิษย์น้องต้องเหมือนทั้งสองต้น
ตอนเพิ่งเริ่มมาบำเพ็ญ มีความอยาก มีความต้องการ มีจิตใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
พอเราเข้าใจธรรมะเรารู้สึกว่าดี อยากไปช่วยคนโน้น อยากไปช่วยคนนี้
มีแต่คนที่อยากช่วยเต็มไปหมดเหมือนต้นไม้ประเภทนี้ แต่พอยิ่งบำเพ็ญนานๆ เข้า
เหลือเพียงเท่านี้ คนที่จะช่วยนับได้เลย คัดไปคัดมาเหลือไม่กี่ลูกเอง
นี่คืออย่างแรก
อย่างที่สองที่ศิษย์พี่อยากบอกก็คือว่าเมื่อเราบำเพ็ญธรรม
แต่ก่อนความอยากเรามีเต็มไปหมด บางครั้งความอยากที่ตกผลบางทีลูกก็สวย
บางทีลูกก็ไม่สวย บางทีลูกก็ใหญ่ บางทีก็ลูกเล็ก แล้วพอมากๆ เข้าเราก็วุ่นวาย
เวลาดูแลก็ไม่ทั่วถึง
เมื่อเราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ความอยาก
ความรู้สึกชอบชังในใจตน อันไหนควรอยาก อันไหนควรชัง อันไหนควรชอบ ทุกครั้งที่พูด กระทำ
คิด อย่าลืมว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญ คิดให้ดีๆ ก่อนที่จะตกผล ทุกครั้งที่ตกผลต้องเป็นผลที่คิดดีแล้ว
เลือกมาดีแล้วจากสิบลูกให้เหลืออยู่สามลูก
การกระทำที่ผ่านการคิดคำนวณและคัดเลือกอย่างดีแล้ว
จะทำให้ผลที่เราได้ทั้งใหญ่ทั้งหอมหวานและก็พิเศษกว่าใครๆ เลย
เช่นเดียวกัน การบำเพ็ญตนไม่ใช่การทำตามใจตนเองทุกอย่างไม่ใช่คิดสิบอย่างทำสิบอย่าง
แต่ในสิบอย่างนี้ต้องเลือกให้เหลือดีหนึ่งอย่างหรือสองอย่างแล้วเอาไปทำ ความคิด
การปฏิบัตินั้นจึงจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญตน คือรู้จักคัดเลือกให้เหลือสิ่งที่ทนและเข้มแข็ง
สามารถตกผลให้ผู้อื่นได้ลิ้มรสหอมหวาน นี่คือการบำเพ็ญตนในสังคม ถ้ามีสิบปล่อยให้ออกทั้งสิบอย่าง
มันก็ย่อมมีทั้งผลดีและผลเสีย และผลนั้นก็แค่ราคาตามท้องตลาด แต่ในสิบอย่างถ้ารู้จักคิดพิจารณาคัดเลือก
ผลที่ออกมาก็จะราคาดีสามารถส่งออกนอกได้
ฉะนั้นเราจะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติที่มีค่ายิ่งใหญ่และหอมหวานก็ต่อเมื่อคนนั้นต้องรู้จักคัดเลือก
ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำ ต้องเลือกสรรให้ดี
อย่าตามใจอารมณ์จนเกินไป ถ้าทำเช่นนี้ได้
ศิษย์น้องก็จะเปลี่ยนจากต้นที่หนึ่งกลายเป็นต้นที่สอง ความคิดเราก็จะได้ไม่ถูกปิดทิ้ง
เหลือแต่ความคิดที่ดูแล้วน่าส่งเสริมให้ทำต่อ แล้วไม่ใช่ต้นไม้ประเภทนี้หรือที่หายากในโลก
และมีผลน้อยเหลือเกิน ต้นที่หนึ่งมีอยู่ทั่วตามท้องตลาด ราคาก็ธรรมดา ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักคิด
พูด ทำ คัดเลือกกลั่นกรองให้ดี การกระทำที่ออกมาจะได้มีคุณค่าไม่เสียเปล่า
ไม่เป็นแค่ราคาคุย
ในกลอนที่ศิษย์พี่ให้ยังมีปริศนาความนัยอยู่ข้างในที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องไขออกมา
เหมือนในตัวเราก็มีปริศนาอยู่ภายใน ปริศนานั้น คือหัวใจแห่งกลไกการทำงานในร่างกายนี้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เป็นคนอยู่ในสังคม
ทุกคำพูด ทุกการกระทำ ทุกความคิดต้องรู้จักพินิจพิจารณาก่อนที่จะพูดจะทำออกไป ถ้าทุกคนอยู่ในโลกที่ดี
รู้จักบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรมก็เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
จะเป็นคนศึกษาธรรม
บำเพ็ญธรรม คุณธรรมที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคนมีอะไรบ้าง (มีน้ำใจ, มีสติปัญญา, มีความจริงใจ, มีคุณธรรม,
มีความเมตตา, มีความศรัทธา, มีความสัตย์,
มีความกตัญญู) มีความกตัญญู
ไม่เถียงพ่อแม่ ใช่ไหม อะไรอีก (มีความซื่อตรง, มีความเสียสละ, มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, มีคุณธรรมในความเป็นคน) คุณธรรมในความเป็นคนคืออะไรล่ะ
(จิตใจอ่อนน้อม, รู้จักเสียสละ)
(มีความซื่อสัตย์สุจริต, เป็นคนดี, มีจิตใจงดงาม, โอบอ้อมอารี,
มีความขยันอดทน, มีระเบียบวินัย, ไม่ฆ่าสัตว์, รู้จักช่วยเหลือผู้คน,
มีสัจจะจริงใจ, คิดดีทำดีพูดดี, มานะบากบั่น, เป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่น, มีน้ำใจ,
รู้จักทำดี, มีคุณธรรมจริยธรรม,
รู้จักผิดชอบชั่วดีและรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ) คนในโลกนี้รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ
แต่ถามว่ารับผิดชอบไหม รับชอบแต่ไม่รับผิด (เอาใจเขามาใส่ใจเรา, รู้จักให้อภัย,
ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม, รู้จักรักษากฎระเบียบของสังคม , ไม่เสแสร้งหลอกลวงคนอื่น,
ไม่ลักขโมยของคนอื่น)
เอาศีลห้ามาก็ถือว่าเป็นคนดีแล้วใช่ไหม (มีความมั่นใจในตัวเอง,
ไม่พูดโกหก)
ความมั่นใจบางทีมีมากเกินไปก็ไม่ดีนะ
มั่นใจแล้วก็ต้องรู้จักรับฟังคนอื่นด้วย พื้นฐานของความเป็นคน
(ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่ลักทรัพย์, เป็นคนซื่อตรง) มีใครตอบอีกไหม ไม่ตอบศิษย์พี่จะบอกบ้างแล้วนะ
(ไม่ดื่มสุรายาเมา, ละเว้นอบายมุข)
เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบแล้วการพนันเล่นได้ไหม (ไม่ได้) (ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) ส่งเสริมกินเจ
เริ่มจากไม่กินสัตว์ใหญ่ก่อนหรือที่เขาพูดว่ามีสัตว์ในโลกสามประเภท ไม่กินสัตว์สามประเภทนี้ก็กินเจได้
สัตว์ที่อยู่บนฟ้าห้ามกิน สัตว์อยู่บนดินห้ามกิน สัตว์อยู่ในน้ำห้ามกิน เอาไหม
ฉะนั้นสิ่งแรกในการฝึกฝนบำเพ็ญตนและขาดไม่ได้คือ
๑) ต้องมีใจเมตตา
๒) มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป
๓) มีปัญญารู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี
๔) มีความกล้าหาญ
ถ้าขาดความกล้าหาญ
แม้มีใจเมตตาแต่ไม่ลงมือกระทำก็เปล่าประโยชน์
มีปัญญาคิดแยกแยะผิดชอบชั่วดีแต่ขาดลงมือตัดสินใจทำก็ไม่มีประโยชน์
ฉะนั้นพื้นฐานของความเป็นคนสี่อย่างนี้ศิษย์น้องต้องพยายามมีและเป็นให้ได้
อย่าขาด เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป
คนนั้นก็ยากเรียกว่าคนผู้ประเสริฐได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “อยากเป็นคนประเสริฐในโลก อีกสิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ในโลกนี้คือมิตรกับอาจารย์” อยู่ในโลกมิตรเปรียบเหมือนบิดามารดา ศัตรูที่เรารังเกียจชิงชังเปรียบเหมือนอาจารย์
ในโลกนี้เรามีทั้งคนที่เรารักและชอบ คนนี้เป็นเพื่อนกัน
รู้จักชี้นำและไปไหนก็ไปกับเราด้วย เขาก็เปรียบได้กับบิดามารดาคนที่สอง ใช่หรือไม่
(ใช่)
อย่างหนึ่งที่มนุษย์เจออยู่ในสังคมบ่อยๆ
นั่นก็คือศัตรูตัวร้าย ในโลกมีใครบ้างที่เราไม่เกลียด
มีคนชอบก็ย่อมต้องมีคนที่เราเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไหร่เจอคนเกลียดจงคิดว่าคนเกลียดนั้นเหมือนฆ้อนที่คอยกะเทาะให้เรามองเห็นจิตใจ
ฆ้อนที่คอยกะเทาะให้เราหลุดจากความยึดมั่นถือมั่น แล้วกลายเป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง
ฉะนั้นศัตรูที่ร้ายที่สุดจึงเปรียบเหมือนครูบาอาจารย์ แต่คนในโลกนั้นแปลกไม่มีวันเจอมิตรแท้และไม่ชอบศัตรูร้ายกาจที่เป็นอาจารย์
ใช่ไหม (ใช่)
พ่อแม่เราคู่เดียวก็รำคาญจะแย่แล้ว เรื่องอะไรจะเอาเพื่อนมาเป็นพ่อแม่ให้รำคาญหัวใจอีก
ถูกหรือไม่ (ถูก) ศัตรูจะร้ายก็ไม่เกี่ยวกันอย่ามายุ่งอะไรกับฉัน
ใช่หรือเปล่า แต่ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ บิดามารดาคนที่สองขาดไม่ได้
ศัตรูตัวร้ายที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ไม่ควรที่จะไม่มี
เพราะสองสิ่งนี้เป็นผู้ที่ไปไหนไปกับเรา
อยู่ที่ไหนเราจะต้องมีสองสิ่งนี้เสมอ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์น้องร้องเพลงบ่อยๆ
ในสามคนย่อมมีครูเรา หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า
คนหนึ่งทำดีก็เหมือนเป็นมิตรที่ดี คนหนึ่งทำชั่วก็เปรียบเหมือนอาจารย์ที่ดี
ฉะนั้นเราอยู่ในสังคมถ้าทุกขณะคิดอย่างนี้เราจะไม่มีคนที่เรารู้สึกรังเกียจและไม่เข้าใจ ไม่ว่าแง่ซ้าย แง่ขวา แง่บวก แง่ลบ ล้วนให้คุณค่าที่ดี จริงหรือไม่
(จริง)
ต่อไปนี้หลังจากศิษย์พี่ไม่อยู่แล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้องก็คือว่า
อยู่ในโลกนี้ให้รู้จักคิดเผื่อไว้บ้าง วันนี้เศร้าไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะมีความสุข
วันนี้มีความสุขไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะเศร้า
ฉะนั้นในความสุขนี้เรามองเห็นทุกข์ได้มากเท่าไร
เราก็จะสามารถควบคุมความทุกข์นี้ให้อยู่ในมือหรือปล่อยทิ้งจากมือได้มากเท่านั้น
โลกนี้เป็นโลกใบใหญ่ที่มีความทุกข์เต็มไปหมด
การที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ก็คือต้องเริ่มต้นควบคุมเอาชนะที่ความคิด ถ้าทุกวันเอาแต่กิเลสอารมณ์มานำความคิด
ความทุกข์เศร้าย่อมเป็นเงาตามตัวเป็นแน่แท้
แต่ถ้าเกิดทุกวันรู้จักเอาธรรมะมานำชีวิต ความสงบร่มเย็นไม่หนีหายไปจากตัวเรา ฉะนั้นทุกครั้งที่ศิษย์น้องจะทำอะไรขอให้คิดดูว่าทำแล้วมีธรรมไหม
ถ้าทำแล้วเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก ลองยั้งสักนิดหนึ่ง แล้วอารมณ์ ความรู้สึกนั้นจะได้ไม่ต้องทำให้เรามีความทุกข์ในบั้นปลายดีหรือเปล่า
(ดี) ทำแล้วเห็นแก่ตัวเกินไปไหม
เคยคิดถึงหัวอกคนอื่นหรือเปล่า ถ้าทำแล้วเห็นแก่ตัวเป็นหลัก คนอื่นเป็นรองก็ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง
เคยไหมอยู่ในโลกคิดถึงผู้อื่นเป็นส่วนใหญ่ตัวเองส่วนน้อย
แม้จะทุกข์แม้จะเศร้าก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับคิดถึงตัวเองส่วนใหญ่
ผู้อื่นส่วนน้อยใช่หรือไม่ (ใช่) การคิดถึงผู้อื่นส่วนใหญ่
ตัวเองส่วนน้อยในเศร้ายังมีสุข แต่ถ้าเกิดคิดถึงตัวเองส่วนใหญ่ ผู้อื่นส่วนน้อย
ในสุขนั้นมีเศร้าเป็นแน่แท้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์เกิดจากการไม่รู้พอ
เมื่อไรที่เรารู้พอ เมื่อนั้นเราจะมองโลกได้อย่างแจ่มชัด
แต่ถ้าเมื่อไรเรายังไม่รู้พอ เรายังมองโลกได้บิดเบี้ยว มองใครก็ไม่ตรงแล้ว ฉะนั้นอยากดับความทุกข์จงดับความอยากในตัวตน
ถ้าดับความอยากในตัวตนได้เราก็จะมีปัญญาที่เห็นธรรมได้ชัดเจนขึ้น
เห็นโลกได้สดใสขึ้น ไม่มีกิเลสอารมณ์มาเหนี่ยวรั้งให้รำคาญใจ
วันนี้ศิษย์พี่อยากพูดธรรมะมากๆ
แต่เวลามีจำกัด อยากอยู่นานๆ อยากพูดเยอะๆ แต่รู้ว่าสมองศิษย์น้องก็จำกัด
ได้หัวลืมหาง ได้หางลืมหัว จริงไหม
(จริง) ฉะนั้นรู้จักคัดเลือกหน่อยนะ
เหมือนต้นไม้รู้จักคัดเลือกสิ่งที่ดี
อยากเป็นคนที่ข้างนอกเล็กแต่ข้างในยิ่งใหญ่และมั่นคงได้
อย่างแรกเราต้องรู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อเดินไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด อย่างที่สองคนที่จะบรรลุหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ได้นั้น
ต้องเป็นคนที่รู้จักมีอุดมคติในตัวตน หรือมีปณิธานเป้าหมายในดวงใจ
จึงจะสามารถไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ และรู้จักเอาภายนอกเป็นบทเรียนสอนตน
และเอาภายนอกนั้นมาเป็นข้อเตือนใจตน คนอื่นเขาผิดแล้วเราจะต้องไม่เผลอผิดแบบเขา
ใบไม้ร่วงหล่นแล้ว ชีวิตเริ่มมากขึ้นแล้ว เราจะต้องมีความรู้ มีคุณธรรมมากขึ้นอย่างที่ใบไม้ร่วงหล่น
ทุกเวลาที่ชีวิตผ่านไป เราสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับผู้อื่นหรือยัง
คุณค่าของมนุษย์ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง
แล้วศิษย์พี่ก็เชื่อว่าศิษย์น้องทุกๆ คน แม้จะตัวเล็กๆ
แต่จิตใจยิ่งใหญ่ได้ด้วยความมุ่งมั่นประพฤติปฏิบัติที่จะกระทำ
แต่เราจะประพฤติปฏิบัติอะไรล่ะ อุดมคตินี้หรือปณิธานนี้ต้องเกิดจากตัวศิษย์น้องเอง
นับจากวันนี้ไปจะทำอะไร ตายไปแล้วก็คุ้มแล้วที่เกิดมาเป็นคนในชาติ ไม่ใช่เพราะปณิธานที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์น้องเหมือนกับศิษย์พี่
เหมือนกับพระอาจารย์จี้กง หรือเหมือนกับพระพุทธะบนโต๊ะนี้ได้ก็คือจิตใจที่ยิ่งใหญ่
แต่ใจที่ยิ่งใหญ่นี้ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและรับฟังคำพูดคน
วันนี้ได้คำว่า “เข้าใจให้ตรงกัน” สิ่งที่ศิษย์พี่สื่อไปนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตรงกับใจใครบ้างไหม
การบำเพ็ญร่วมกันในสังคม สิ่งที่เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ
ทุกคนต่างมีธรรมะแต่ทุกคนเข้าใจธรรมะกันคนละเรื่องคนละแบบ
แล้วแต่ละแบบก็ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก
แต่ธรรมะที่ดีคือธรรมะที่รู้จักอะลุ่มอล่วยและรับฟังกัน ฉะนั้นเราจะเป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่และไปด้วยกันได้ก็คือเรายอมเข้าใจให้ตรงกัน
ไม่ใช่ต่างคนต่างยึดมั่นตัวเอง แล้วอย่างนี้จะบำเพ็ญอะไรถ้าไม่มีใครยอมผิดบ้าง
ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับการอยู่ในสังคมในครอบครัว
ถ้าทุกคนต่างเข้าใจกันคนละแบบแล้วเราจะทำงานกันได้รู้เรื่องไหม เข้าใจคนละแบบได้ แต่ถึงเวลาเมื่อรวมกันแต่ละแบบต้องสามารถประสานและรวมตัวกันได้ดี
เหมือนกับการที่ศิษย์พี่พูดธรรมะถามว่าปัญญาความเข้าใจของแต่ละคนจะได้รับเหมือนกันไหม
(ไม่เหมือน) จำที่ศิษย์พี่พูดตอนแรกได้ไหม ความรู้สามารถเรียนทันกันหมด
แต่ปัญญาความเข้าใจไม่อาจเท่าเทียมกัน นี่คือข้อดีเมื่อไม่เท่าเทียมกันก็ต้องสามารถประสานแล้วไปด้วยกันได้
เราถึงจะสามารถมองเห็นโลกใบนี้ได้อย่างทุกแง่ทุกมุม ถ้าทุกคนพูดธรรมะเห็นซ้ายก็ซ้ายหมด
เห็นขวาก็ขวาหมด อย่างนี้เรือก็ไปไม่รอดใช่ไหม (ใช่) ต้องมีทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง แต่ซ้ายขวาหน้าหลังต้องยอมที่จะอะลุ่มอล่วยกันและรับฟังกันนะ เข้าใจที่ศิษย์พี่พูดไหม (เข้าใจ)
มีหลายอย่างที่อยู่ภายใจในใจของศิษย์น้องแต่ละคน
ที่เป็นปัญหา ที่เป็นนิสัย ที่แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้
ฉะนั้นไม่มีใครชี้ไม่มีใครแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเองนะ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐมีปัญญาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
เกิดมาเรามีความก้าวหน้า แต่บางครั้งถ้าก้าวแล้วทำให้เรายิ่งผิด หยุดแล้วคิดให้ดีๆ
ก่อนจะก้าวต่อไป ไม่มีใครเตือนใจตัวเราได้เท่ากับเราเอง ดูแลรักษาตัวเองให้ดี ให้เข้มแข็งทั้งกายใจ
มุ่งมั่นทำสิ่งใดแล้ว แม้ตายก็ไม่ถอยนะ
ดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกนะ ขอให้ทุกคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง
สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไปแล้วนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เข้าใจให้ตรงกัน”
คนบำเพ็ญเพียรทั้งกายใจด้วยธรรมะ ก่อนมานะจะต้องรู้ธรรมอย่างถ่องแท้
เข้าใจธรรมให้ตรงกันไม่ต่างแง่ ธรรมเกิดแต่ผู้ที่ปฏิบัติอย่างเห็นตน
พึงตั้งตนอย่างเป็นกลางอย่าเอนเอียง อย่าใช้ธรรมไว้เป็นเพียงเพื่อหลักเหตุผล
[๑]
เชาวน์ ปัญญาหรือความคิดฉับไว , ปฏิภาณไหวพริบ
[๒]
เทวษ การคร่ำครวญ , ความลำบาก
[๓]
อนุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน มี ๗ อย่าง คือ ๑. กามราคะ ความกำหนัดในกาม
๒. ปฏิฆะ ความหงุดหงิด ๓. ทิฏฐิ
ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ ความถือตัว ๖. ภวราคะ
ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา ความไม่รู้จริง
[๔]
ชำนิ รู้ชัดเจน , เชี่ยวชาญ , คล่องแคล่ว