วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2550

2550-01-13 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี



西元二○○七年歲次丙戌十一月二十四日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐             สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  อยากเปลี่ยนโลกจะต้องมาเปลี่ยนตน    เปลี่ยนบุคคลใช่ว่าปัญหาจะหาย
เปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนความคิดจากภายใน    เป็นคนใหม่ในคนเดิมอยู่ทุกวัน
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา     ฮวา  ฮวา

  ชีวิตนี้คือสิ่งใดใคร่ครวญเถิด               เมื่อได้เกิดจะต้องรู้คุณค่า
อันเวลามีน้อยนิดใช้ปัญญา                   สิ่งหามาใช่หรือไม่ที่ต้องการ
ประสงค์สุขแต่ความทุกข์มีตลอด            ตัวอยู่รอดใจไม่รอดใช่ไหมหนา
วันเวลาผ่านดั่งไร้ชีวิตชีวา                     จากปัญหาหนึ่งไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง
จงย้อนมองส่องชีวิตคิดเป็นคุณ              อย่าเวียนว่ายทั้งกายหมุนไม่หยุดหย่อน
ชีวิตคนเปรียบได้ดุจละคร                     แต่อย่าเล่นละครกับชีวิตตน
ปัจจุบันสำคัญกว่าอดีต                        เปิดใจออกอย่ากีดกันด้วยความทันสมัย
ธรรมะนั้นปฏิบัติเหนือยุคสมัย                เพียงใช้ใจอันวิสุทธิ์ไปบำเพ็ญ
ผู้ปฏิบัติศึกษาธรรมอย่างเข้าใจ              อันภายในใช่ใกล้ไกลแต่สอดคล้อง
ความถูกต้องขอจงปิดตามอง                 จะยกย่องตนเองได้ยากกว่าใคร
ปัญญาคือการทวนกลับสู่แก่นแท้           โลกเปลี่ยนแปรไปตามค่านิยมหนา
แต่บำเพ็ญใช่การเดินตามกันนา             น้องเมธาศึกษาธรรมเข้าใจตน
ในวันนี้ฟังธรรมะเปิดจิตกว้าง                ฟ้ามีทางคนไร้ทางธรรมะช่วย
พันธนาการที่แล้วมาจะอำนวย              จะได้ช่วยให้ศิษย์น้องรู้ปลงเป็น
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ                    เรียนให้พบพระพุทธะในตนหนา
รักษาซึ่งระเบียบตลอดเวลา                  ทรงคุณค่าอันสูงแห่งมนุษย์เทอญ
จงตั้งใจศิษย์พี่อยู่คุมชั้นเรียน                 จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                                     ฮวา  ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐            สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระนาจา

  ลดความแข็งกระด้างลงมาหน่อย          ยึดมั่นเพียงเล็กน้อยยิ่งปวดหัว
เมตตามีเล็กน้อยโปร่งโล่งตัว                 เรื่องน่ากลัวของคนคือไม่รู้ตน
                        เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานถงซิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์น้องทุกคนต้อนรับเราไหม
  ปัญหาทั้งรูปนามแก่นเหมือนกัน           ใจเห็นให้มองพลันทะลุเปลือก
บางอย่างมุมแง่ต่างประสาเลือก             กำกับแก่นเปลือกทุกเปลือกสิ้นลาย
ยึดอัตตาตายตัวเปิดตาห่าง                   ติดยึดกุมไม่กว้างทัศนวิสัย
การฟังรับพร้อมพิจารณาคือกำไร          เห็นตามจริงทุกใจมีเสรี
กฎแนวทางอยู่ด้วยปัญญาคน                ใดเหนือแต่ในสับสนวินัยนี้
แตกท่ามกลางสภาวะต่างก็ชี้                 บำเพ็ญมีเมตตากันล้ำกฎเกณฑ์
จิตมีหนึ่งเดียวต่างคือพุทธา                   งามสมเป็นเมธาแต่ถูกเร้น
รักษาดุลย่อมตัวลงควรเป็น                   ไม่ลำเค็ญไม่ได้สอบดูสมดุล
คุณธรรมสมจึงสอดส่องปรานีคน           วาจาค้นเหมาะคล้องหนาวกลายอุ่น
แม้สว่างมืดได้กลับเวียนหมุน                 คนมีบุญร้อนใจสำรวจตน
บำเพ็ญฝึกไปสลับคนอยู่ร่วม                 ไม่ปรับใจหัวท่วมอารมณ์หม่น
รู้จริงสิ่งสัมพันธ์การเพียรตน                 ทำจริงความอดทนส่งเสริมธรรม
                                                                                            ฮิ  ฮิ   หยุด
พระโอวาทพระนาจา
เคยไหมที่ก่อนออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ตอนแรกเห็นมากันเยอะแยะ แต่พอไปถึงปลายทางคนกลับเหลือน้อยลง  บางทีเรามีจุดมุ่งหมายบอกว่าไปที่นี่ด้วยกันไหม เขาบอกว่าไป แต่พอถึงวันเวลานัด มีเหลือกี่คน ตรงตามจำนวนที่เราเห็นตั้งแต่แรกไหม  (ไม่ตรง) เพราะระหว่างทางก็เป็นการคัดเลือกคนด้วยว่าจะมุ่งมั่นจริงแท้แค่ไหน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าเขาบอกว่าวันนี้มาฟังธรรมะ  ในสิบคนเหลือกี่คน (คนเดียว)  สมมติวันนี้ท่านอยากไปทำบุญ โทรศัพท์ชวนเพื่อน แล้วเขาบอกว่า  ดีนะ น่าสน อยากไป  แต่ถึงเวลาจริงๆ เหลือกี่คน บางทีก็เหลือแค่คนสองคนเอง ใช่หรือไม่
ยังไม่ต้องคิดว่าเราเป็นใครมาจากไหน จริงหรือปลอมอย่างไร แต่ลองฟังสิ่งที่เราพูดดูก่อน  ฟังสิ่งที่เราพูดทุกคำแล้วลองดูว่าจริงหรือเท็จ ถูกหรือผิด  อย่าให้ปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามาหลอกลวงเราได้  ดังนั้นเราจะต้องมีสติพินิจพิจารณาทุกคำพูดที่กล่าวมา ถูกไหม (ถูก)
เราศึกษาหลักธรรมเพื่อเอาแต่วอนขอได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าการศึกษาหลักธรรมเป็นเรื่องของเหตุและผล และการกระทำของตน  ฉะนั้นเราศึกษาธรรมะนั้นจะโชคดีหรือโชคร้าย ขึ้นอยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือขึ้นอยู่ที่การกระทำของบุคคล (การกระทำของบุคคล)
ชะตาชีวิตมนุษย์มีทุกข์ มีสุข มีได้ มีเสีย ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ฟ้าเบื้องบน แต่ขึ้นอยู่ที่การกระทำของ (ตัวเอง)  ทำไมเราพูดเรื่องนี้ เพราะว่าเราอยากให้ท่านรู้ว่าการมาศึกษาหลักธรรมมาเรียนรู้เรื่องเหตุและผล
เคยได้ยินไหมว่าที่เราอ่อนแอเป็นเพราะว่าตลอดมาเราทำร้ายร่างกายของเราเอง  ใช่ฟ้าลงโทษให้ท่านอ่อนแอทันทีเลยไหม  ถ้าท่านเข้มแข็งฟ้าลงโทษให้ป่วยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วคนที่ป่วยเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าเลือกกินหรือเปล่า นอนพักผ่อนไม่พอใช่หรือไม่ วันๆ เอาแต่เที่ยวไม่รู้จักพักผ่อนหรือเปล่า
เรามาศึกษาหลักธรรมจึงต้องรู้หลักของธรรมะที่ถูกต้องก่อนว่าธรรมะสอนให้เรารู้จักพึ่งตัวเอง ไม่ใช่พึ่งผู้อื่น  ธรรมะยังสอนอีกว่าอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องรู้จักคิดพิจารณาด้วยถึงจะเชื่อ แล้วเมื่อเชื่อก็อย่าเชื่อจนถึงที่สุด ต้องรู้จักระมัดระวังไว้บ้าง
เราจะบอกว่าตาข่ายของฟ้านั้นแจ่มชัด ใครทำดีย่อมได้ดี เที่ยงตรงแน่แท้ไม่บิดเบือน  กฎแห่งกรรมกำหนดไว้ว่าใครทำอะไรผลย่อมได้อย่างนั้นแน่นอน  ฉะนั้นคนที่เอาแต่ได้ คิดทำร้ายผู้อื่น แม้วันนี้จะไม่ได้รับผลแต่อนาคตต่อไปก็ต้องมีกรรมตกถึงเขาเป็นแน่แท้
วันนี้เรามาเพื่อยืนยันว่า ใครทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น  ปัจจุบันนี้เราเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าอดีตเราเคยทำมา อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบันนี้ว่าเราทำอะไร หมอดูทำนายก็ไม่เท่ากับตัวเรากำหนดชะตาชีวิตตัวเราเอง
วันนี้เราลองมาทำอะไรที่เหนือชะตาลิขิตดีไหม (ดี)  แม้หมอดูทำนายว่าจะโชคร้าย แต่เราสามารถเปลี่ยนเป็นโชคดีได้  มาเรียนรู้การฝืนชะตาตัวเอง มีชีวิตเหนือชะตาลิขิต  อะไรที่เป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์หรือเรื่องเหนือความคาดหมาย มนุษย์มักสนใจ แต่อะไรที่เป็นจริงเห็นอยู่ทุกๆ วันมนุษย์กลับมองข้าม แล้วมักจะเลือกสิ่งที่ดีมากกว่าเลือกสิ่งที่ร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราจะบอกว่าถ้าอยากจะมีชีวิตเหนือชะตาลิขิต ต้องกล้าที่จะสู้สิ่งชั่วร้าย และต้องกล้าที่จะฝืนความยากลำบาก  ถ้าเกิดไม่กล้าทั้งสองอย่างนี้ก็เรียนบทนี้ไม่ได้  ในเมื่อฟ้าทำให้เราจน แต่เราสามารถจะฝืนความจนทำให้เรามั่งมีศรีสุขได้ด้วยการต่อสู้กับความยากลำบาก  วันนี้ฟ้าลงโทษส่งคนมาว่าเรา แต่เราจะพยายามคิดให้ดีจนได้
ลดความแข็งกระด้างลงมาหน่อย
ยึดมั่นเพียงเล็กน้อยยิ่งปวดหัว

เมตตามีเล็กน้อยโปร่งโล่งตัว
เรื่องน่ากลัวของคนดีคือไม่รู้ตน
คนในห้องนี้หลายคนยังดื้อ คิดว่าไม่ฟัง ไม่เชื่อ ใช่ไหม (ใช่)  ลองยึดมั่นถือมั่นอะไรสักอย่างแล้วบอกว่า ไม่เชื่ออย่าไปเชื่อ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราลองปล่อยความยึดมั่น สมองเราก็จะโล่งทันที  ฉะนั้นเจอคนที่ไม่ชอบ เจอคนที่เกลียด ก็อย่าไปยึดมั่นเกลียดเขาจนวันตาย แต่จงปล่อยแล้วเมตตา สมองที่เกลียดเขาจนทิ่มแทงหัวใจก็จะเบาไปทันที
เคยเจอใครแล้วเกลียดมากๆ ไหม ยิ่งยึดความเกลียดไว้ก็เหมือนกำหินไว้ในมือ ยิ่งกำก็ยิ่งแน่น คนที่เราเกลียดก็เหมือนหนาม ยิ่งกำก็ยิ่งเจ็บ ฉะนั้นปล่อยวาง อย่าเกลียดเขาเลยดีกว่า ไม่เจ็บตัวด้วย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนอยู่ด้านข้าง)
จะยืนอยู่จนกระทั่งเรากลับไหมศิษย์น้อง ใครจะยืนอยู่จนกระทั่งเรากลับยกมือขึ้น  เราเห็นผู้ปฏิบัติงานธรรมเวลาทำอะไรพอเมื่อยก็นั่ง แล้วก็หนีไปในที่สุด บำเพ็ญธรรมสิ่งที่สำคัญที่สุดในจิตใจที่ขาดไม่ได้คือความมุ่งมั่นถึงที่สุด ถ้ายืนแค่นี้ ยืนไม่ถึงที่สุดก็ยากบำเพ็ญได้สำเร็จ
อยากฟังนิทานก่อนหรือรู้จักตัวเราก่อน (รู้จักตัวเราก่อน)  อุตส่าห์บอกว่าฟังอะไรแล้วคิดให้ดีๆ เราเห็นตลอดชีวิตท่านยังไม่รู้จักตัวเองเลย ต้องให้หมอดูช่วยดูหน่อยว่าฉันเป็นคนเช่นไร ถ้ารอให้รู้จักตัวท่านก่อนก็คงไม่ได้ฟังนิทานวันนี้แน่เลย ใช่ไหม (ใช่)
เราเห็นท่านนั่งฟังเรารู้ว่าท่านเหนื่อย ท่านเมื่อย ท่านอ่อนล้า เราก็เลยรีบลงมา เพื่อทำให้ท่านฟังธรรมแล้วทำให้ท่านกระชุ่มกระชวยแล้วได้อะไรกลับไปบ้าง ไม่อย่างนั้นก็น่าเสียดาย มานั่งให้เมื่อยหลังโดยไม่ได้อะไรเลย ได้อย่างเดียวคือเมื่อยหลังกลับบ้าน
ความน่ากลัวของมนุษย์อยู่ตรงที่ว่าเราไม่สามารถควบคุมความคิดของมนุษย์ทุกคนให้เป็นเหมือนอย่างที่เราคิดได้  สิ่งใดที่อยู่ในตัวคนแล้วทำให้เราอุ่นใจ ไม่ว่าเขาจะคิดร้ายหรือคิดดี เขามีสิ่งนี้เขาคงไม่ร้ายเกินไปหรอก คืออะไรรู้ไหม มีธรรมะในหัวใจ
ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จัก แต่ว่าเรารู้อยู่อย่างเดียวว่าเกิดเป็นคนต้องดีให้ได้ ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ถึงเราจะควบคุมไม่ได้แต่เราก็อุ่นใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคนในโลกนี้บอกว่าเราตอบไม่ได้หรอกว่าฉันจะเป็นคนดีได้ไหม น่ากลัวใช่หรือไม่
สิ่งที่มนุษย์ควรปลูกฝังและมีอยู่ในชีวิตของทุกๆ คน มิใช่แค่ความรู้แต่เป็นคุณธรรมที่ควรมีในหัวใจ ฉะนั้นอยากเลือกเพื่อน อยากเลือกแฟน อยากเลือกใครก็ตามที่เป็นคนที่เรารักจงดูที่คุณธรรม ถ้าเขายังมีคุณธรรมก็ยังฝากหัวใจสักครึ่งหนึ่งได้ แต่ถ้าเลือกแฟนที่ไม่มีคุณธรรมในหัวใจ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งกับเขาเลย เหล้าก็กิน บุหรี่ก็สูบ ศีลไม่นับถือ  คนไม่มีศาสนาน่าคบไหม ใครกล้าพูดว่าตัวเองไม่มีศาสนา คนที่อยู่ด้วยต้องระวังๆ หน่อยนะ
อยากรู้ไหม พุทธะ กับ มนุษย์ต่างกันตรงไหน อยากรู้ก็ต้องเล่านิทานเรื่องนี้ให้ฟัง  เรื่องแรกเรื่องพระสองรูป เรื่องที่สองเรื่องคนสองคน เอาเรื่องไหนดี (พระสองรูป)  ธรรมชาติของคนเราชอบรู้เรื่องของคนอื่นมากกว่าของตัวเอง สนใจเรื่องพระมากกว่าสนใจเรื่องของตัวเองใช่หรือเปล่า
เรื่องก็มีอยู่ว่ามีพระสองรูป พระรูปหนึ่งรวยมาก พระอีกรูปหนึ่งยากจน แต่พระสองรูปมีความมุ่งมั่นเหมือนกันอย่างหนึ่งคือจะไปที่ทิเบต  พระที่รวยก็บอกว่าอยากไปก็ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล ตอนนี้ยังเก็บเงินอยู่ยังต่อเรือได้ไม่สำเร็จเพราะว่าเงินยังไม่ครบ แต่พระยากจนก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เป็นพระมีบาตรใบเดียวก็ไปถึงได้ พระรวยก็หัวเราะว่าจะไปถึงได้อย่างไรไกลก็ไกล ลำบากก็ลำบาก
เวลาผ่านไปห้าปี พระที่พยายามต่อเรือเพื่อไปทิเบตก็ยังหาเงินได้ไม่ครบ เพราะรู้สึกว่าเรือเล็กไป ต้องเอาเรือใหญ่ดีกว่า เรือแบบนี้ไม่สวย ฝ่าคลื่นไม่ได้ เรือก็เลยต่อไม่เสร็จ  ส่วนพระที่ยากจนถือบาตรใบเดียว ไปถึงเรียบร้อยแล้วก็กลับมาหาพระรวย บอกว่าอาตมามีแค่บาตรใบเดียวอาตมาก็ไปถึงได้ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น  จบแล้วนะเรื่องที่สอน  อะไรที่ทำให้พุทธะต่างจากมนุษย์ คิดดูนะ
เรื่องที่สอง มีชายสองคนถูกท้าให้ถือของตลอดชีวิต  คนหนึ่งถือต้นหญ้าหนึ่งต้นที่แห้งแล้ว แต่อีกคนถือต้นหญ้าที่แห้งแล้วหนึ่งมัด แล้วรักษาให้ได้นานที่สุด สิบปีมาเจอกัน  ถามว่าพอครบสิบปี ใครรักษาต้นหญ้าอยู่มากกว่ากัน  ปรากฏว่าคนที่ถือหญ้าต้นเดียวนั้นทำหาย แต่ไปเอาต้นหญ้าที่ไหนมาไม่รู้ แล้วก็อ้างว่าเป็นต้นนี้ แต่คนที่ถือต้นหญ้ามัดใหญ่กลับรักษาได้ดีกว่า  จบ
รู้หรือยังว่าอะไรที่ทำให้พุทธะต่างจากมนุษย์  (ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น)  ความมานะพยายาม ทำให้มนุษย์ต่างจากพุทธะ  ความมานะพยายามของมนุษย์มีเท่านี้ แต่ของพุทธะมีไม่สิ้นสุด  ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเราเอง  ความเพียรของศิษย์น้องทำให้เกิดความสำเร็จ
คนบางคนมีแต่ความมุ่งมั่น แต่ไร้การกระทำที่แท้จริง  เราพูดว่าเป้าหมายของการเป็นพุทธะ ก่อนที่จะไปถึงพุทธะขอเป็นคนดี แต่ถ้าเราเป็นคนที่ไม่มีความมุ่งมั่นหรือเอาแต่คิดแต่ไม่ลงมือกระทำจริง พอจะทำก็บอกว่ายาก  ต้องขออย่างนั้นขออย่างนี้ก่อน ต้องมีตรงนั้นก่อนแล้วค่อยไปทำ  เหมือนกัน มาฟังธรรม เดี๋ยวก่อนนะ ขอทำอันนี้ อันนั้นให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไปฟัง  สังเกตว่าคนแบบนี้ยากจะมาฟังธรรมบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)
ผู้ปฏิบัติงานธรรมก็เหมือนกัน บอกอาจารย์ว่าศิษย์ยังไม่พร้อม ขอให้พร้อมก่อนศิษย์เดินเต็มที่แน่นอน ขอมีเงินเยอะๆ ก่อน แต่เมื่อไหร่จะเยอะล่ะ เหมือนกับการเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านคิดว่าท่านสามารถไปถึงได้ไหม (ได้)  แต่มนุษย์ก็จะบอกว่ายังไม่พร้อม กลัวลำบาก ปฏิปทาของพระพุทธองค์คือ สบายไม่เอา ยากๆ สู้  สุขไม่เอา ขอไปหาทุกข์ หญ้าหนึ่งต้นเปรียบได้กับการแบกรับชีวิตคนหนึ่งคน แต่หญ้าหมื่นต้นเปรียบได้กับการแบกรับชีวิตของมหาชน
พุทธะต้องเอาชนะความทุกข์ความยากให้ได้ ถ้าเอาชนะได้ก็หาทางพ้นทุกข์ให้กับตัวเองได้ แล้วทำไมจะหาทางช่วยคนในโลกไม่ได้ เรียกว่าถ้ามุ่งมั่นอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด แม้จะเกิดจะตายก็ไม่เปลี่ยนแปลงปณิธาน แม้ว่าทำแล้วไม่สำเร็จก็ยังจะทำ นี่คือจิตใจที่ต่างกันระหว่างมนุษย์กับพุทธะ
พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่าแม้ร่างกายจะเจ็บป่วยหรือถูกใครทำร้ายก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนทั้งโลกทำร้ายเราไม่ได้คือธรรมที่อยู่ในหัวใจ เราจะต้องค้นและหาให้เจอ และการค้นเจอนี้ไม่ได้ช่วยแค่ตนแต่ยังสามารถช่วยผู้คนได้
ศิษย์น้องชอบพูดว่าตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปช่วยใครได้ แต่ท่านเคยรู้ไหมว่าช่วงที่เอาตัวเองให้รอดนั้นแน่ใจหรือว่าจะไม่ทำความเดือดร้อนต่อผู้คน  แต่ถ้าทุกขณะจิตคิดว่าเรากำลังแบกชีวิตคนมากมาย เราจะไม่กล้าทำอะไรที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเลย
ศิษย์พี่อยากถามว่า นับจากนี้ไปศิษย์น้องจะถือต้นหญ้าต้นเดียวหรือกล้าแบกรับหญ้าทั้งฟ่อน  อย่าลืมนะว่าคนชั่วหนึ่งคนสามารถทำลายโลกให้เป็นจุลได้  ฉะนั้นถ้าทุกข์อกทุกข์ใจ ขอเพียงคิดแค่ว่าหนึ่งความมุ่งมั่นของเรานั้นสามารถกระทบกระเทือนหมื่นพันคนได้ คนทุกคนก็ยากจะทำร้ายใคร แล้วคนทุกคนก็สามารถมีจิตโพธิสัตว์ได้
การมุ่งมั่นเดินไปถึงหนทางพุทธะเป็นเรื่องยากไหม ถึงจะยากลำบากแค่ไหนขอให้มีความมุ่งมั่นให้ถึงที่สุดก็เรียนเป็นพุทธะได้  ฟังธรรมะสองวันเพิ่มเป็นสามวันดีไหม (ไม่ดี)  ว่าแล้วไม่เอา ศิษย์น้องก็เหมือนพระรวยนั่นแหละ รวยทางโลกแต่จนทางธรรม
สองวันมุ่งมั่นอยากเป็นคนดี แต่ดีถึงที่สุดไหม (ไม่)  ฉะนั้นจะทำสิ่งใดต้องมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด  เคยได้ยินไหม คนเรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใดแล้วถึงที่สุดก็เป็นเทพไทบนแดนโลกได้  ฟังแล้วการเป็นพุทธะไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)
แต่มีปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ว่าแม้จะมีความมุ่งมั่นถึงที่สุด แม้จะมีจิตใจที่ต่อสู้ไม่กลัวความยากลำบาก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของมนุษย์ก็คือมนุษย์ยังอดโลภไม่ได้ หลงไม่หยุด  แล้วจะทำอย่างไรที่เมื่อแม้เรามีความโลภมีความอยาก เราก็ยังมุ่งมั่นเป็นพุทธะที่ถูกต้องได้
ความโลภความอยากนั้นต้องไม่เป็นความโลภหรือความอยากที่ทำร้ายตนเองจนสูญเสียคุณธรรมภายใน  เป็นความโลภความอยากที่จำเป็นและพอเหมาะพอดี
เหมือนทุกคนพูดว่าเราหาเงินเพราะว่าจำเป็นต้องมีเงิน ไม่มีเงินไม่มีชีวิต แต่ตอนนี้เราหาเกินจำเป็นหรือเปล่า เรามีเกินความต้องการไหม เราหลงจนเกินไปไหม เราโกรธจนบ่อยเกินไปหรือเปล่า  ฉะนั้นอย่ามีจนหยุดไม่ได้
ศิษย์พี่ก็บอกเสมอว่าขึ้นรถที่เบรกเสียจะกล้าขึ้นไหม (ไม่ขึ้น)  มีชีวิตหยุดไม่เป็น หยุดไม่ได้ก็เหมือนตายทั้งเป็น จะหลับก็หลับไม่ลง สมองคิดแต่จะหาเงินงกๆๆ จนเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเวลาที่คิดจะทำอะไร ขอให้ยั้งคิดให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่วแล่น ความคิดชั่ววูบหรือผลประโยชน์มาบังตาจนมองไม่เห็นแล้วทำลายความดีงามในหัวใจตัวเอง ไม่เช่นนั้นแล้วอยู่ในโลกจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะอยู่แล้วเอาแต่สร้างเวรกรรมทำให้คนเขารู้สึกไม่ดี
อย่างที่สองที่ทำให้มนุษย์ดีไม่ถึงที่สุดคือ คนที่ไม่อยู่ในมาตรฐานที่ควรจะเป็น เราก็เลยรับไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ศิษย์พี่ถามหน่อยว่าต้นไม้หนึ่งต้นจะมีผลขนาดเท่ากันและรสชาติเหมือนกันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในต้นหนึ่งยังมีทั้งลูกใหญ่ลูกเล็ก รสดีรสไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  คนๆ หนึ่งก็ย่อมมีดีมีเลว แต่ทำไมเราถึงให้อภัยเขาไม่ได้ พอให้อภัยไม่ได้จิตโพธิสัตว์ก็เลยแตกเป็นจิตพญามาร
แต่ถ้าศิษย์พี่บอกว่าคนในโลกนั้นบางครั้งเป็นธรรมดาที่ทำเกินกฎเกณฑ์ พอเขาทำเกินกฎเกณฑ์เราไปตีตราว่าเขาร้ายเขาเลว ก็ย่อมไม่มีใครยอมใช่หรือไม่ (ใช่)
ในห้องนี้มีใครคิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวบ้างยกมือขึ้น  คนที่ไม่ยกมือศิษย์พี่ไม่เชื่อหรอก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เห็นแก่ตัวก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครว่าตัวเองใจร้ายที่สุดเลย ใครว่าตัวเองเป็นฆาตกรบ้าง คนที่ไม่ยกมือไม่เคยฆ่ายุงหรือไม่เคยฆ่าแมลงสาบกันหรือ ก็ทำกันมาหมด แล้วบอกว่าตัวเองไม่ใช่ฆาตกร สัตว์ตัวเล็กๆ ยังทำได้ลงคอ ฆ่ามาหมด ไม่มีใครใจร้ายเกินมนุษย์แล้วนะ คนที่เมตตาจริงๆ สัตว์เล็กๆ ต้องฆ่าไม่ลง มดมีมีดไหม (ไม่มี)  มดสู้อะไรเราได้ไหม ตัวก็เล็กกว่า
ฉะนั้นเวลาเจอคนที่ชอบกินแรงผู้อื่น เจอคนที่ชอบคดโกงเรา เจอคนที่ชอบเอาแต่ได้ เอาผลประโยชน์มาล่อเรา บอกให้ลงทุนสองพันเดี๋ยวได้ห้าหมื่นแต่ถึงเวลากลับไม่ให้อะไรเราเลย เราเกลียดมากเราโกรธเขามาก แต่ถ้าเรามองให้ถึงที่สุดแล้วแม้การกระทำหรือความประพฤติที่แสดงออกจะต่างกันแต่ ลึกๆ แล้วคือมีความโลภเหมือนกัน
ทุกคนหนีไม่พ้นโลภโกรธหลง บางทีเพราะกิเลสที่ครอบงำจึงทำให้ผลของการกระทำนั้นต่างกัน ถ้ากิเลสครอบงำแล้วไม่มีธรรมยับยั้ง การกระทำนั้นก็อาจจะส่งผลมากกว่าคนที่โลภตามปกติธรรมดา
ฉะนั้นขอให้คิดเสียว่าตัวเรายังโลภโกรธหลง ตัวเรายังเคยทำร้ายคนอื่นได้ คนอื่นที่ทำผิดคิดร้ายได้ก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ให้อภัยเขาเสียเถอะ เราก็จะมีความสุขไม่คิดเก็บความแค้นไว้สุมอก  เมื่อเราโกรธคนยาก อภัยคนง่าย การเดินหนทางพุทธะก็ไม่ใช่เรื่องยาก และคิดเสียว่ายิ่งเจอความยากลำบากกลับจะยิ่งฝึกให้ใจเข้มแข็งและหนักแน่นในการเป็นคนดี
ฉะนั้นถ้าเขาเป็นมารเราต้องเป็นพุทธะ แล้วถ้าทุกคนเป็นพุทธะแล้วเราเป็นมารเลยดีไหม เราก็ต้องเป็นพุทธะด้วย
เราจะเล่านิทานให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก่อนจะเล่านิทานขอถามปัญหาก่อน  อะไรเอ่ย ครอบคลุมคนให้อยู่ในขอบเขต แล้วก็ทำให้คนที่อยู่ในขอบเขตนั้นกลายเป็นคนซื่อสัตย์ได้  ครอบคลุมให้คนอยู่ในขอบเขตแต่คนในขอบเขตก็ยังสับสนได้ บางทีเราอยู่ในขอบเขตเราก็ยิ่งอึดอัด ยิ่งสับสน (กฎเกณฑ์)
มนุษย์เราอาจอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และขอบเขต แต่ยิ่งอยู่ในกฎเกณฑ์ยิ่งอยู่ในขอบเขตมากเท่าไรเราก็ยิ่งสับสนในกฎเกณฑ์และขอบเขตนั้น  บางครั้งเราเอากฎเกณฑ์นั้นมาวัดบุคคลด้วย วัดไปวัดมากลายเป็นขังคนที่อยู่ในกฎเกณฑ์
อย่าลืมนะว่ากฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นมามีพื้นฐานมาจากใจที่เมตตาอยากให้ทุกคนอยู่ในกรอบความประพฤติอันดีงาม ฉะนั้นแม้กฎนี้จะถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นได้ ไม่ใช่ใครผิดแล้วก็ต้องว่าเขาเสียๆ หายๆ
ฉะนั้นถ้าเราเจอคนผิดจากบรรทัดฐานที่ควรจะเป็น เราต้องไม่ลืมว่าพื้นฐานของกฎมาจากหัวใจที่เมตตา อยากช่วยให้คนได้ดี  ถ้าเขาผิดไปจากกฎเราต้องให้อภัยและชี้นำให้ถูกทาง ไม่ใช่ไปตราหน้าว่าคนนี้เลวก็ต้องเลวตลอดชีวิต  ฉะนั้นกฎเกณฑ์มีเพื่อให้คนเดินทางที่ถูก และคนที่มีกฎนั้นก็คือคนที่มีเมตตากับคน
อยากฟังนิทานไหม (อยาก)  มาดูคนที่ถือกฎเกณฑ์ แต่ทำให้กฎเกณฑ์มีค่าล้ำกว่ากฎเกณฑ์
มีผู้ปกครองเมืองหนึ่ง  วันหนึ่งเขาจับนักโทษทำผิดได้ ถามนักโทษแล้ว นักโทษยอมรับว่า ผมผิดจริงๆ เพราะเขาโกหกผม ผมเลยตีเขาหัวแตก
ผู้ปกครองเมืองก็เลยบอกว่า เจ้ารู้ไหม ว่าการทำร้ายคนต้องถูกตัดนิ้วเท้า”  ชายคนนั้นบอกว่า ไม่เป็นไร ผมยอมรับ
ผู้ปกครองเมืองก็บอกว่า คิดให้ดีๆ  เราให้เวลาสามวัน  ถ้าคนที่ท่านทำร้ายนั้นเขายอมยกโทษให้ ท่านก็จะไม่ถูกทำร้าย
ผ่านไปสามวัน คนที่ถูกชายคนนั้นทำร้ายก็ไม่มายกโทษ ผู้ปกครองเมืองจึงบอกว่า เราจะช่วยท่าน เพียงท่านไปขอโทษเขา แล้วท่านจะได้ไม่ต้องถูกตัดนิ้วเท้า
ชายคนนั้นตอบว่า ไม่เอา ผมแค้น”  ผู้ปกครองเมืองก็พูดว่า คิดให้ดีๆ นะ  วันนี้วันสุดท้ายแล้ว”  ชายคนนั้นบอกว่า ตัดนิ้วก็ตัดไป ผมผิดผมก็รับผิด
ถึงเวลาชายคนนั้นก็ถูกตัดนิ้วเท้า อยู่มาวันหนึ่งผู้ปกครองเมืองถูกคนรังแกและตามจับ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนดีเลยมีคนมาบอกให้เขาหนีไป  ช่วงที่ผู้ปกครองเมืองจะหนีนั้นต้องผ่านกำแพงเมือง และคนที่เคยถูกตัดนิ้วเท้าทำหน้าที่เป็นคนคุมกำแพง ปรากฏว่าชายคนนั้นปล่อยผู้ปกครองเมือง
ผู้ปกครองเมืองจึงถามคนที่เขาเคยตัดนิ้วเท้าว่า ท่านไม่โกรธเราหรือ เราเคยสั่งตัดนิ้วเท้าท่านทิ้ง
ชายคนนั้นตอบว่า ก่อนที่ท่านจะลงโทษ ท่านยังให้เวลาผมสามวันในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง การกระทำของท่านนั้นถึงจะทำตามกฎแต่ในกฎนั้นยังมีเมตตาอยู่ สิ่งถูกต้องต้องรักษา แต่เมตตาท่านก็มี ผมไม่โกรธท่าน ท่านคือสิ่งที่ถูกต้องที่ผมต้องรักษาไว้  จากนั้นชายคนนั้นก็ปล่อยผู้ปกครองเมืองไป
ฉะนั้นในชั่วชีวิตหนึ่งยิ่งเราเจอคนเลวคนร้ายมากแค่ไหน ยิ่งเป็นช่วงทดสอบใจเรามากเท่านั้น ยิ่งเจอร้ายมากเท่าไร เรายิ่งต้องดีให้ได้ เพราะนั่นคือการกลั่นกรองความเป็นคนดีที่แท้จริง  ฉะนั้นเจอคนเลวคนร้าย เจอคนหลอกลวงโป้ปดมดเท็จ อย่าหวั่นไหว ต้องมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด จำไว้นะ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้บางครั้งเราเห็นคนอื่นดีไม่ขึ้นก็เพราะว่าเราคาดหวังให้เขาต้องดีมากเกินไป เราเรียกร้องตัวเขามากเกินไปแต่ไม่เคยเรียกร้องให้ตัวเองทำความดี  เรากำหนดคนอื่นให้เขาต้องดีอย่างนี้ ลูกต้องดีอย่างนั้น แล้วตัวเราได้มาตรฐานอย่างที่เรียกร้องเขาไหม  เอาแต่มองคนอื่นแก้คนอื่น แต่ไม่เคยมองตัวเอง แก้ไขตัวเองใช่หรือไม่
อยากเรียนรู้ฝึกฝนจิตพุทธะ ต้องคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น คิดถึงตัวเองให้น้อยลง แต่ถ้าวันไหนคิดถึงคนอื่นมากเกินจนเห็นคุณค่าตนเองน้อยลง ต้องกลับมายกตัวเองให้ขึ้นนิดหนึ่ง
มนุษย์เราพอเห็นคนอื่นดีมากก็เห็นตัวเองไร้ค่า แต่ในทางกลับกัน คนบางคนเห็นค่าตัวเองมากก็ดูถูกคนอื่นว่าไร้ค่า เราต้องมองทุกคนให้เสมอภาค ถ้าเรามองทุกคนเสมอภาค เราก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  มองให้ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เราก็จะได้ไม่รักลูกเรามากกว่ารักลูกคนอื่น
วันนี้สิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยากเลย  วันนี้เรามาศึกษาเรียนรู้การเป็นพุทธะบนแดนโลก ไม่ใช่ให้ท่านต้องออกจากงานหรือเลิกเรียน แต่ไม่ว่าจะทำงาน เรียนหนังสือ หรืออยู่ในครอบครัวก็สามารถเป็นโพธิสัตว์ได้ เข้าใจไหม
ผู้สูงอายุเราจะกระซิบบอกให้ว่า บำเพ็ญอย่างไรให้ตัวแก่แต่ใจไม่แก่  ถ้าบำเพ็ญได้ตายไปก็ตัวเบา แต่ถ้าบำเพ็ญไม่ได้ตายไปก็ต้องหนัก ขุ่น และเจ็บปวด  คิดหรือว่ากายนี้คือของเราตลอดชีวิต คิดหรือว่าหน้านี้คือหน้าของท่านไปตลอดชีวิต  ฉะนั้นอยู่ในโลกเราต้องรู้จักคิดเผื่อบ้าง แล้วเราจะรู้จักรักทุกๆ คน
ถ้าอยากเป็นพุทธะในแดนโลกไม่ยากเลย สามารถทำให้อากาศหนาวกลายเป็นอากาศอุ่นได้ด้วยคำพูด  วันนี้แม้อากาศหนาว แต่ถ้าเราบอกเขาว่าได้ข่าวว่าที่บ้านไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว คราวนี้คนฟังจะร้อนเป็นไฟเลยจริงไหม (จริง)
แต่ศิษย์พี่ไม่ได้สอนบทนี้ แต่สอนให้รู้จักพูดให้เป็นแล้วเราจะสามารถเอาชนะสภาวะแวดล้อมได้ด้วยกำลังใจของกันและกัน แล้วเคยทำให้อุ่นกลายหนาวได้ไหม (ได้)
นั่งสบายๆ อย่างนี้ทำให้หนาวได้โดยพูดกับเขาว่า เธอกลับไปตกงานแน่ๆ ฟังแล้วหนาวไหม  ฉะนั้นพูดอะไรขอให้คิดให้ดี บางครั้งความจริงนั้นอาจทำให้คนต้องเจ็บปวดก็ควรจะอ้อมๆ นิดหนึ่ง อย่าพูดตรงเกินไป
ศิษย์พี่ถามนะ เราเห็นคนโมโหอยากให้เขาใจเย็นพูดอย่างไร  แล้วทุกวันมนุษย์เราต้องเจอคนโกรธ คนโลภ แล้วก็คนหลง เราต้องรู้จักรับมือกิเลสร้ายสามตัวนี้ให้เป็น  ถ้าเรารับมือได้ มองให้ออกด้วยการใช้สติปัญญาและความนิ่ง เหมือนเวลาที่เรายืนนิ่ง เราจะเห็นโลกเคลื่อนไหว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเคลื่อนไหวตามโลก เราจะมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วจะรับมือกับคนโลภอย่างไร  เราจะต้องให้อภัย อดทนและเสียสละมากๆ  แต่เราจะให้เขากี่ครั้งถึงจะพอ ถ้าเขาขอเราเรื่อยๆ เราจะให้เขากี่ครั้ง
ศิษย์พี่จะบอกศิษย์น้องว่า การให้นั้นดี แต่ถ้าให้เกิน ๓ ครั้งควรหยุด แล้วบอกเขาว่า ฉันไม่อยากให้เธอนิสัยเสีย จากนี้จะไม่ให้แล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
อย่าลืมว่าความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี การรู้จักให้เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามากเกินไปแล้วทำให้เขาเสียนิสัย ต้องหยุดให้  เหมือนแม่ที่ตามใจลูกมากๆ ลูกจะเสียคนจะลำบากไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์พี่คุยตั้งหลายเรื่อง ขอให้เอาอะไรจากศิษย์พี่ไปบ้างนะ ไม่ใช่มาเพื่อให้เชื่อในเรื่องยืมร่าง แต่อยากให้เชื่อในเรื่องประจักษ์หลักฐานแห่งคุณธรรมที่มนุษย์มีอยู่ แล้วถ้าเราเอาธรรมในหัวใจมาส่งให้กับผู้คน มาช่วยเหลือคน และอุทิศเสียสละตนเพื่อผู้อื่น เราก็สามารถเดินบนหนทางของการเป็นพุทธะได้ ไม่ยากเลยใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเราเดินไปบนทางพุทธะได้จะกลัวอะไรกับการเกิดแก่เจ็บตาย เพราะเราตายก่อนตายเสียอีกใช่ไหม
คนบำเพ็ญธรรม เมื่อเราอยู่ก็ต้องให้เขารัก เมื่อจากไปก็ต้องให้เขาคิดถึง ไม่ใช่อยู่แล้วเขาก็รังเกียจ
เรามีหลักธรรมให้ยึดมั่นบำเพ็ญฝึกฝน แต่หลักธรรมนั้นต้องรู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ด้วย อย่ายึดมั่นอย่างตายตัว อย่าวัดที่ตัวเราคนเดียว
วันนี้ท่านมาฟังธรรมอย่าเอาเราเป็นตัววัดธรรมะ มองธรรมต้องมองให้เห็นซึ่งธรรม ไม่ใช่มองเห็นแค่ตัวบุคคล เช่นนี้เรียกว่าไม่ได้มาศึกษาธรรม
ศิษย์พี่มาหลายครั้งทำให้ศิษย์น้องมักจะวัดธรรมะนี้แค่การยืมร่าง  ไม่ได้นะ เราต้องมองที่ธรรมะ ศิษย์พี่ไม่ได้มาเพื่อให้เชื่อเรื่องการยืมร่าง แต่ให้เชื่อหลักธรรมที่ศิษย์พี่พูด เชื่อแล้วดีมีประโยชน์ เพราะรูปร่างคือความว่างเปล่า
ธรรมะ ที่ไม่มีรูปร่างคือสิ่งจริงแท้  เมื่ออยู่ในคนทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนประเสริฐหรือยิ่งกว่าประเสริฐได้ อย่าฟังไปแล้วกลับไปก็เหมือนเดิม  เอาไปใช้เถอะ ชีวิตจะได้มีสุข
อย่ากลัวทุกข์เพราะทุกข์ทำให้เรารู้จักสุข จำไว้ว่าเรียนรู้ทุกข์ก่อนจึงได้พบสุข เรียนรู้การอยู่ในโลกก็ต้องเรียนรู้การเสียสละในโลกเป็นด้วย เรียนรู้การมีสุขในโลกก็ต้องเรียนรู้การมีทุกข์ให้เป็นด้วย เรียนรู้การเกลียดคนได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักคนเป็นด้วย เราหนีไม่พ้นสองเรื่องนี้ ฉะนั้นจงเข้าใจแล้วมองให้แจ่มชัด
ไม่มีใครทำให้เราทุกข์นอกจากตัวเราเอง ถ้าศิษย์พี่บอกให้ร้องไห้ แต่ศิษย์น้องบอกว่ายังไงก็ไม่ร้องจะร้องได้ไหม  ความทุกข์ก็เหมือนกันแม้จะมาอยู่ตรงหน้าทำให้เรารู้จักความผิดหวัง ทำให้เรารู้จักเศร้าเสียใจ แต่ถ้าเราไม่ทุกข์ ความทุกข์นั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้
ขอให้มีสติปัญญา อยู่ในโลกแต่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่เหนือกิเลสและมายาของโลกให้ได้ ดีไหม (ดี)
ไม่รู้เจอกันวันนี้แล้วจะได้เห็นหน้ากันอีกวันไหน การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่การมาประชุมธรรมเท่านั้น แต่การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือทุกขณะจิตคิดถึงคุณธรรมเป็นหลัก  คิดว่าทำอย่างนี้แล้วกลายเป็นคนกตัญญูไหม เป็นคนไม่รับผิดชอบไหม
ขอให้ทำอะไรคิดพิจารณาให้ดี ทุกขณะจิตไตร่ตรองให้รอบคอบ ยามดำรงชีวิตก็สามารถฝึกฝนขัดเกลาตัวเราเองให้ดียิ่งขึ้นให้จงได้
โลกเปลี่ยนไปไม่เท่ากับหัวใจของศิษย์น้องเปลี่ยนแปลง  ฉะนั้นศิษย์พี่ขอย้ำ อยากเดินบนหนทางพุทธะ ยากลำบากอย่าได้กลัว ทุกข์อย่าได้ท้อถอย มุ่งมั่นแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด แม้ไม่สำเร็จก็ไม่ถอยสักก้าวหนึ่ง  แม้การเกิดการตายก็ไม่เปลี่ยนแปลงปณิธานความตั้งใจ จิตเช่นนี้จึงจะสามารถเปลี่ยนมนุษย์เป็นพุทธะได้ ทำให้ได้นะ  ศิษย์พี่เชื่อว่าศิษย์น้องทำได้


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ดูคนให้ดูที่การกระทำ                        สิ่งที่พูดเป็นประจำคือสิ่งไหน
สิ่งที่ทำเป็นประจำคือสิ่งใด                   ลักษณะในศิษย์เกิดจากสิ่งประจำ
                        เราคือ
  หนันผิงจี้เตียน               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่ถงซิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า

    จิตใจสั่นคลอน ขลุกด้วยนิวรณ์[๑] มิเห็นวันหน้า  ยิ่งหนีสิ่งไหน ยิ่งต้องพบไปจังจังตรงหน้า หัวใจย่อมเหนือเวลา ให้มีปรัชญาในการกระทำ
    บำเพ็ญให้ดี ยากเข็ญก็ที ไม่ดึงฟ้าต่ำ  ศรัทธาเข้าใจ กล้าฝึกฝนไป เหมือนผู้ต้อยต่ำ  หัวใจรักมากยอกตำ โลภหลงจ้องซ้ำ อยู่ทุกเวลา
    แต่อย่าเข็ญใจ กว่าใครจะสูงจรรยา ล้วนต้องฟันฝ่า ด้วยปัญญาที่แฝงจริงใจ
ทำนองเพลง : ฉันทนาที่รัก
ชื่อเพลง : จิตใจอย่าสั่นคลอน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราเป็นคนดีแค่นี้พอไหม (ไม่พอ)  ก็เหมือนกับการคุย คุยก็คุยได้ทุกวัน คุยก็คุยได้ทุกคน ยิ่งอารมณ์ดีก็ยิ่งคุย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความเป็นคนดีก็เหมือนกัน แม้เราเป็นคนดีอยู่แล้ว เราก็ยังสามารถดีอีกได้ ยิ่งเจอคนมากเราก็ยิ่งต้องดีมากขึ้น เราอารมณ์ดีเราก็ยิ่งต้องดีมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าหากว่าอารมณ์ไม่ดีล่ะ ความเป็นคนดีหายไปหรือเปล่า (หาย)  ไหนใครว่าหากอารมณ์ไม่ดีความดีหายหมดเลย ยกมือขึ้น ยังมีหลายๆ คนไม่ยก แปลว่ายังไม่รู้จักตัวเอง หรือว่าหยั่งเชิงก่อน เดี๋ยวความผิดพลาดน้อยจะกลายเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง จริงหรือไม่ (จริง)
เราก็หยั่งเชิงไปทุกเรื่อง หยั่งเชิงจนทุกวันนี้รู้สึกว่าทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย เราไม่กล้าเสี่ยงกับชีวิตตัวเอง แต่เราเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงมากๆ เลยกับทุกๆ เรื่องจริงหรือไม่ (จริง)  สรุปแล้วศิษย์นั้นเสี่ยงกับชีวิตตัวเองหรือเปล่า (เสี่ยง)  เห็นสามีกลับมาบ้านหน้าตาบูดเบี้ยวก็ยังเสี่ยงเข้าไป รู้ไหมว่าการที่เราเสี่ยงกับครอบครัวเป็นการเสี่ยงมากเลยเพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานของเรา การที่เรานั้นเป็นคนบำเพ็ญธรรม เราต้องบำเพ็ญที่ตัวเรามากที่สุด และการปฏิบัติธรรมนั้นต้องใช้กับครอบครัวมากที่สุดเลย เพราะคนที่ยั่วโมโหเราเก่งที่สุดอยู่ที่บ้าน คนที่พูดเก่งขี้บ่นที่สุดก็อยู่ที่บ้าน คนที่รู้ใจเรามากที่สุดก็อยู่ที่ (บ้าน)  ร้องไห้ร้องที่ (บ้าน)  หัวเราะๆ ที่ (บ้าน)  จริงๆ แล้วก็ควรจะหัวเราะที่บ้าน แต่ทุกวันนี้เราหัวเราะที่อื่น เราให้เวลากับคนในครอบครัวของเราน้อยลง เพราะว่าชีวิตมันอยู่ยากมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตอยู่ยากเพราะตัวเราเป็นต้นเหตุของความยาก ทำตัวเราให้ง่ายหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  โกรธแค่ห้านาทีพอไหม ห้านาทีบ่นกี่คำ เกินห้าร้อยคำหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน คนมีความสามารถมากก็บ่นมาก บ่นมากหน่อยก็ถูกคนอื่นเกลียดมากหน่อย ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
คนที่ถูกคนอื่นเกลียดอยู่ตลอดเวลาเป็นคนดีไหม เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะทุกวันนี้เราก็มีคนเกลียด แต่เราก็มั่นใจว่าเราเป็นคนดี ถูกไหม (ถูก)  เพราะฉะนั้นการเป็นคนดีต้องทำดี ทำผิดต้องรับผิด อย่ายึดติดกับความดีนั้นๆ
อย่าบอกว่า ตั้งแต่แต่งงานมาชามที่บ้านมีแต่ฉันล้างอยู่คนเดียวพวกเธอไม่เคยล้างเลย เป็นการยึดติดกับความดีหรือเปล่า เป็นการแสดงออกถึงการยึดและจดจำอยู่ในสัญญาของเราว่าเราทำอยู่คนเดียว แล้วคำพูดประเภทนี้ส่อน้ำเสียงอะไรออกมาด้วย ก็แล้วแต่คนจะมอง ตั้งแต่น้อยใจ ไม่พอใจ เบื่อ เซ็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าคนที่ฟังเรามีความเข้าใจเรามากๆ เขาก็จะเห็นใจเรา ยอมล้างชามให้มื้อหนึ่งก็ได้ ดีหรือเปล่า (ดี)  แต่ถามว่าคนล้างชามมาตลอดตั้งแต่แต่งงาน พอใจหรือยัง (ยัง) 
ชีวิตจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักที่จะรักษาความสุขนั้น แล้วเรารู้จักที่จะเปลี่ยนสิ่งที่ร้ายเป็นสิ่งที่ดี มีความพอใจในชีวิตของตัวเอง ชีวิตยากมากขึ้นเพราะคนไม่ได้อยากได้แค่ปัจจัยสี่ แต่อยากได้ปัจจัยห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ร้อย พัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายเรื่องที่เราคิดก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราก็ต้องพยายาม
มาที่นี่สองวัน เราพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญธรรม ฟังแล้วรู้สึกว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่ใช่ การบำเพ็ญเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ปฏิบัติ แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่พูดอย่างเดียว
เราจะเป็นคนพูดหรือเป็นคนทำ (คนทำ)  ทุกวันนี้ทำหรือพูด มากกว่ากัน ทุกวันนี้เราพูดมากกว่าทำ หลังจากนี้เรากลับไปเราทำมากกว่าพูด ทำได้ไหม (ทำได้)  แต่พอตอนโมโหก็คิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตัดความโมโหทิ้ง เราโมโหคนอื่นแต่ความโมโหอยู่ที่เรา จึงต้องตัดใจเรา ตัดใจเราเจ็บไหม กำลังบ่นอย่างลื่นไหล เมื่อสติตามทันว่าบ่นไม่ดี เราหยุดทันทีเลย ทำได้ไหม
เคยไหมบ่นๆ ไปแล้ว สติบอกว่าพอแล้ว (เคย)  ถ้าเราหยุดด้วยตัวเราเอง บอกว่าหยุดบ่นเดี๋ยวนี้เราจะไม่โกรธตัวเองเลย แต่ถ้าหากว่ากำลังบ่นๆ อยู่ แล้วคนที่เรากำลังบ่นอยู่ เขาบอกว่าหยุดเถอะ แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มมาก แต่ว่าโกรธไหม โกรธร้อนที่ไหน (ที่ใจ)  เพราะฉะนั้นจึงต้องมาพิจารณาใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สังคมสมัยนี้ศิษย์ทำสิ่งใดก็ทำตามๆ กันไปต้องย้อมผมออกสีแดงๆ นิดหนึ่ง เรียกว่าสวยงาม ศิษย์กระโจนไปตามค่านิยมและความทันสมัยนั้นโดยที่ไม่เคยสงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าดีหรือเปล่า เราต้องรู้จักตัวเอง ค่านิยมมากมายเราต้องดูและพิจารณาอย่างคนที่มีสติแล้วเราจะรู้ว่าเมื่อเราไม่กระโจนไปตามค่านิยมต่างๆ ทั้งหมดเราจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตง่ายมากขึ้น
ย้อมผมแต่ละครั้งใช้เงินมากไหม (ใช้เงินมาก) แล้วเราจำเป็นต้องหาเงินมากขึ้น ยิ่งหาเงินมากก็ยิ่งเหนื่อยมาก เหนื่อยมากก็ยิ่งเครียดมาก เครียดลงที่ไหน เราก็เครียดลงใจของเรา
เห็นไหมว่าสภาพแวดล้อมทุกอย่างมีผลต่อเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องหัดมาระงับภายในจิตใจของเราที่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าเราคิดอะไร ภายในของเราที่ไม่เคยมีใครมาสอนได้ถึงใจของเราเลยว่าใจของเราควรจะอย่างไร สอนให้ศิษย์รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร แล้วไม่มีใครเคยสอนไปถึงใจของศิษย์เพราะว่าศิษย์นั้นปิดประตูไว้ เราปิดใจไว้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรที่จะขจัดคืออะไร
สิ่งที่เราควรระงับหรือเบาบางลงคือสิ่งที่เป็นสิ่งภายนอก เพราะเมื่อไรที่ภายนอกยังรุมเข้ามาหา ใจภายในของเราก็จะนิ่งไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งที่อยู่นอกประตูเรียกว่า ภายนอกภายนอกประตูมีอะไรบ้าง ประตูมีอะไรบ้าง  (หู ตา จมูก ลิ้น กาย  ใจ) ใจยังเป็นเพียงแค่ด่านหนึ่งของประตู สิ่งที่อยู่ภายนอกประตูเป็นสิ่งที่เรียกว่า สิ่งภายนอกเรามองเห็นได้
ศิษย์มักมีกฎเกณฑ์ยึดถือว่าสิ่งภายในจะต้องเป็นสิ่งที่ดี แม้แต่องค์พระที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงนี้เป็นภายนอกหรือภายใน  ถามว่าตายแล้วยกไปได้ไหม ถ้ายกไปได้ถือว่าภายใน ถ้ายกไปไม่ได้ก็ภายนอก ธรรมะที่แท้จึงเป็นธรรมะที่ไร้รูป จริงหรือไม่ (จริง) 
ทุกวันนี้เรายึดบางคนไว้เป็นธรรมะสำหรับเรา เรื่องบางเรื่องเป็นธรรมะสำหรับเรา ความคิดบางความคิด ทัศนคติบางอย่างเป็นธรรมะสำหรับเรา แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่บุคคล คำสอน หรือแม้กระทั่งรูปที่ศิษย์เห็นทั้งหมดนี้ พิธีการหรือสิ่งใดก็ตามเป็นแนวทางเพื่อนำไปสู่ธรรมะ กฎระเบียบมีไว้ก็เพื่อครอบคลุมให้ศิษย์นั้นอยู่กันอย่างสามัคคี แต่หากว่าเราไปยึดสิ่งนี้เป็นธรรมะย่อมไม่ถูกทั้งสิ้น อาจารย์ถามว่าเอาธรรมะกลับไปทำที่บ้านได้ไหม (ได้)  ธรรมะไม่มีรูปจึงอยู่กับศิษย์ได้ทุกที่ ศิษย์อยู่ที่ไหนศิษย์ก็สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ ศิษย์อยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ ไม่ว่าศิษย์จะเจอความยากลำบากหรือความสบายก็สามารถที่จะเอาธรรมะมาใช้กับศิษย์ได้ เพราะธรรมะไร้รูปอยู่ในใจของเรา ใจของเราก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือใจ  เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็บำเพ็ญธรรมได้
อยากจะบำเพ็ญธรรมหรือยัง (อยาก)  เวลาเจอคนเสียงดังให้พูดยิ่งเบา เมื่อสักครู่อาจารย์เจอศิษย์เสียงดังมาอาจารย์เลยต้องพูดเบาหน่อย มีคนเสียงดังอยู่ที่บ้าน เวลาเขาเสียงดัง ให้เราพูดเบาๆ แล้วเขาจะรู้ตัวทันทีเลยว่าเขาเสียงดังเกินไปแล้ว ทำได้ไหม (ได้)
ต้องควบคุมสีหน้าให้ได้ ในร่างกายของเรามีอย่างเดียวที่เราไม่เห็นคืออะไร สิ่งที่เรามองไม่เห็นเลยคือหน้าของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาไปส่องกระจกต้องพยายามทำหน้าให้สวยที่สุด ทำหน้าอย่างไรจึงน่ารัก ต้องน่ารักกับคนที่เขามีอารมณ์ใส่เรา      ถ้าเราทำหน้าเป็นพญามาร เขาอยากดูไหม ยิ่งเห็นยิ่งโมโห ถ้าเราทำหน้าเป็นพระโพธิสัตว์กวนอินสวยไหม (สวย)  ฉะนั้นเวลาโมโหให้เชิญพระโพธิสัตว์กวนอินลงมาอยู่ตรงหน้า ดีหรือเปล่า (ดี)
ร้อนหรือเปล่า (ไม่ร้อน)  อย่างนี้โกหกหรือเปล่า อย่างนี้เรียกว่าไม่โกหกเพราะอะไร เพราะว่าพูดไปเพื่อประสงค์ดี ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี และพูดไปก็ไม่ได้เบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นคำพูดประเภทนี้จึงไม่ใช่คำพูดโกหก
ในชีวิตของศิษย์ทุกๆ วันนั้นก็มีการโกหกอยู่ประจำ  ยิ่งคนค้าขายก็ยิ่งมีโอกาสโกหกมากขึ้นเท่านั้น อาจารย์อยากให้ศิษย์จำไว้ เริ่มต้นในการแก้ไขคำพูด อย่าพูดโกหก คนที่พูดโกหกทำให้ตนนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ตนนั้นเป็นผู้ที่ไม่มีคุณธรรม เพราะว่าคนเรานั้นต้องพูดทั้งวัน หากพูดแล้วต้องโกหกสู้ปิดปากเงียบดีกว่า   ถ้าหากว่าเราไม่ได้โกหกตอนต้นเรื่องไว้ เราก็ไม่ต้องโกหกไปจนถึงตอนจบ แต่ถ้าตั้งแต่ต้นเริ่มโกหก เราจะต้องโกหกไปทั้งเรื่องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ชีวิตที่เป็นสุขจึงต้องอยู่อย่างไม่ระแวง จำเป็นต้องอยู่อย่างเปิดเผยและสง่างาม จะสง่างามหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์จะใช้ตาไหนมอง ถ้าใช้ตาที่มีกิเลสมอง     ศิษย์ก็ยังบอกว่าคนขับรถเบนซ์มาสง่าผ่าเผย แต่หากว่าศิษย์ใช้ปัญญามอง แม้กระทั่งขี่จักรยานมาก็สง่าเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์จะให้ท่องอายตนะภายนอกทั้งหก หากท่องได้ครบก็นั่งลงได้ ดีหรือไม่ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ท่องเร็วกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม (ได้) 
เห็นไหมว่า อะไรที่ทำอย่างช้าๆ และมีจังหวะทำให้การผิดพลาดมีน้อย แต่หากยิ่งถูกเร่งให้เร็วด้วยเวลา เราก็ยิ่งเพิ่มความรีบ ความเร็ว และทำให้เสียงไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือเป็นจังหวะทีละครั้งให้พร้อมกัน)
ยิ่งปรบมือก็ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรื่องที่อาจารย์สอนมีอยู่สองเรื่อง คือบางเรื่องยิ่งทำยิ่งรีบก็จะยิ่งเสียเรื่อง  ส่วนบางเรื่องนั้นยิ่งทำก็จะเกิดความชำนาญก็จะยิ่งพร้อมเพรียง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรื่องแรกสอนให้ศิษย์ทำงานให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนและไม่รีบร้อนมากเกินไป  เรื่องที่สองสอนให้ศิษย์รู้ว่าศิษย์นั้นต้องทำอะไรบ่อยๆ ถึงจะชำนาญ
เวลาที่เราเห็นคนอื่นทำอะไรผิดพลาดไปสักนิด แต่หากว่าไม่ได้กระทบกระเทือนสิ่งใดเลย ไม่ได้เป็นบาปกับกุศลใดๆ เลย ไม่สะเทือนถึงคนอื่นเลย ถามว่าเราจะแฉเขาหมดเลย หรือว่าเราจะปิดปากของเราคนเดียว เราก็ปิดปากของเราคนเดียวดีกว่าใช่หรือไม่ อย่าได้ดูความผิดความถูกของคนอื่นจนชัดเจนมากเกินไป
ทุกวันนี้ศิษย์ทะเลาะกันก็เพราะว่าคนอื่นทำผิด จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วเวลาตัวเองทำผิดทะเลาะกับใคร เวลาเราทำผิดเราพยายามปิดให้มิดเลย ไม่ให้เห็นรอยเลย แต่เวลาคนอื่นทำผิดทำไมเราจ้องเอาๆ ยุติธรรมไหม (ไม่ยุติธรรม)  เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าการที่มองเห็นคนอื่นผิดหรือถูกอยู่เป็นประจำ เป็นการทำให้ตาสกปรก ถ้าหากว่าความผิดของคนอื่น ความไม่ดีของคนอื่นเข้าตาเรา ตาเราก็สกปรกใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องไม่ดีเข้าหูเราหูเราก็ (สกปรก)  ถ้าหากว่าเรารู้เช่นนี้แล้ว เราต้องควบคุมตากับหูเราให้มาก
ตาและหูของเราเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากหรือไม่ (ยาก, ไม่ยาก)  อาจารย์บอกแล้วคนที่บอกว่ายากคือคนที่ทำ คนที่บอกไม่ยากคือคนที่พูด ใช่หรือไม่
คนมักมองว่าความสุขเป็นสิ่งธรรมดาที่ควรจะเป็น ส่วนความทุกข์เป็นความผิดปกติใช่ไหม ทุกคนจึงคิดว่าจริงๆ แล้วฉันควรจะสุขกว่านี้ แต่ชีวิตทุกวันก็ทุกข์อยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเทียบ ๑ วันมี ๒๔ ชั่วโมง  ๑ ปีมี ๓๖๕ วัน ถามว่าทุกข์มากกว่าสุขหรือสุขมากกว่าทุกข์ (ทุกข์)  มีความทุกข์มากกว่าความสุข เพราะฉะนั้นความทุกข์เป็นปกติของชีวิตเราหรือเปล่า (เป็น)  ปกติก็คือเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นความทุกข์เป็นปกติของชีวิตเรา ตรงข้ามกันความสุขเป็นสิ่งผิดปกติ
เมื่อมีโอกาสที่จะมีความสุขต้องรู้จักรักษาความสุข และหากสามารถพูดสิ่งใด ทำสิ่งใด คิดอะไรที่ทำให้ผู้อื่นนั้นมีความสุขมากยิ่งขึ้น เราก็ควรที่จะสร้างความสุขนั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าหากว่าตัวเราไม่มีสุข ศิษย์ต้องหัดและรู้จักสร้างความสุขให้กับคนอื่น ตัวศิษย์ถึงมีสุข ทำได้ไหม (ทำได้)  ความสุขที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าความสุขใดๆ คือความสุขที่เราเห็นผู้อื่นมีสุข ไม่ใช่ความสุขที่เรานั้นสุขอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นต้องรู้จักสร้างความสุขให้ผู้อื่น เราจึงจะมีความสุข  ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าชีวิตของเราไม่ค่อยสะดวก ไม่ราบรื่น เราต้องสร้างความสะดวกให้ผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์สอนวิธีไปสร้างสุขสร้างความราบรื่นให้ตัวเองง่ายๆ ถ้าเรารู้สึกว่าชีวิตของเรานั้นไม่สะดวกเลย เราต้องสร้างความสะดวกให้แก่ผู้อื่น  ถ้าเรารู้สึกว่าเราถูกผู้อื่นทำให้เราทุกข์ใจประจำ เราต้องอย่าสร้างความทุกข์ใจให้ใครเลย  แต่หลายๆ คนในโลกปัจจุบันนี้ นอกจากวิวัฒนาการทันสมัยแล้ว ใจของศิษย์ก็ยังทันสมัย แล้วก็อยากได้กรรมกับบุญทันสมัยด้วย เห็นคนอื่นทำกรรมทำบาป ก็ถามว่าทำไมเขาถึงยังได้ดีอยู่ ทำไมกรรมไม่ตามสนองเขาล่ะ อยากให้กรรมติดจรวดให้คนอื่น แต่อยากได้บุญติดจรวดให้ใคร (ให้ตัวเราเอง)  ทำทานไปห้าบาทแล้วอยากจะให้ส่งผลกลับมาห้าล้านเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามว่าบุญติดจรวดไหม (ไม่ติด)  ถ้าเอาแต่จ้องเอาแต่รอจะไม่ได้ ถ้ารู้จักที่จะเข้าใจว่าบุญเป็นอย่างไร บุญจะมาง่ายกว่า แต่ที่สำคัญคือชีวิตของศิษย์ทุกวันนี้เป็นชีวิตที่มีกรรมมากกว่าบุญ  เชื่อไหมว่าตัวเองมีกรรมมากกว่าบุญ (เชื่อ)  ทุกคนสัมผัสได้กับชีวิตของเราทุกวันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นชีวิตที่มีกรรมมากกว่า  เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำบุญทำกุศลอะไรไป ขอเพียงแค่ใช้กรรมก็ดีหนักหนาแล้ว
มีคำพูดบอกว่าคนเกิดมาใช้กรรม แล้วตอนนี้เรายังอยากมีบุญวิ่งมาให้ทันไหม อาจารย์ต้องบอกว่าอยากให้บุญมาทันก็ต้องใช้กรรมให้หมด อาจารย์ใช้กรรมให้ศิษย์ไม่ได้ แต่อาจารย์นั้นแบกกรรมไว้ชั่วคราวได้ กันให้ศิษย์พอได้บ้าง ขึ้นอยู่กับเหตุบุญกรรมปัจจัยของแต่ละคน คนมีสำนึกมากหน่อย แม้กระทั่งผี วิญญาณ เจ้ากรรมนายเวรยังสงสาร คนอย่างนี้อาจารย์ช่วยได้ แต่หากทำตัวไม่น่าสงสารเลย ศิษย์เอ๋ย เวลาเห็นคนอื่นทำผิดแล้วเที่ยวโพนทะนา
พูดดีไม่เป็น พูดไม่ดีเก่ง ทำดีไม่เป็น ทำไม่ดีเก่ง สำนึกก็ไม่เคยสำนึก ยอมรับผิดก็ไม่ยอม
คนที่เคยทำผิดอยู่ เมื่อให้ไปทำสิ่งที่ถูกจะทำได้ไหม ยากหน่อย หากว่าทำผิดให้ยอมรับผิด ง่ายหรือเปล่า อาจารย์จะบอกว่าการยอมผิดง่ายกว่าการที่ให้ศิษย์ไปทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่แม้กระทั่งยอมรับผิดมีสำนึกศิษย์ทำไหม มันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตที่ผ่านไปๆ ศิษย์ก็เลยมีแต่อารมณ์
อารมณ์มีผลดีต่อเราไหม (ไม่ดี)  อารมณ์มีอารมณ์อะไรบ้าง (โกรธ หลง รัก โลภ อารมณ์ร้อน)  ถูกคนแหย่โกรธหรือไม่โกรธ ตอนนี้ร้อนหรือไม่ร้อน (ไม่ร้อน)  ตอนนี้ไม่ร้อน แต่ในชีวิตจริงมีคนแหย่มากไหม ยิ่งแหย่ยิ่งร้อนหรือเปล่า
อาจารย์สอนให้ ง่ายๆ สั้นๆ คนที่เป็นวัยรุ่นมักถูกความรักรุม ขอให้รักตัวเองให้มากกว่า รักคนอื่นไม่ห้ามแต่ถึงเวลาถ้าหากว่าอกหักแล้วให้รักตัวเองให้มากๆ ศิษย์ของอาจารย์เป็นวัยรุ่นเยอะ อาจารย์ให้เกราะไปคุ้มกันใจศิษย์ไม่ได้แต่อาจารย์ให้ธรรมะเป็นเครื่องป้องกันภัยให้ศิษย์ได้
อันว่าสิ่งที่เป็นภัยและสิ่งที่ไม่ใช่ภัยแท้จริงแล้วก็เป็นสิ่งเดียวกัน ความดีเกิดกับคนๆ หนึ่ง ความชั่วก็เกิดกับคนๆ นั้นด้วยเช่นเดียวกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีคนนั้นเป็นโพธิสัตว์บางทีคนนั้นเป็นพญามารขึ้นอยู่กับว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นอยู่ในช่วงเวลาไหนและอารมณ์ไหน ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้จักที่จะควบคุมให้ตัวเองนั้นเป็นพุทธะตลอดเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อมีจิตใจแห่งพญามารซ่อนเร้นอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องรู้จักทำให้หมดไป
อาจารย์บอกให้ศิษย์โกรธเพียงห้านาที ศิษย์ของอาจารย์หลายๆ คนไม่ใช่ห้านาทีแต่เป็นห้าวันเลย ยิ่งคนๆ นั้นเรารักมากเท่าไร ยิ่งเราหลงมากเท่าไร เราก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)  ยิ่งเป็นคนสนิทชิดเชื้อใกล้ตัวมากเท่าไร เราก็ยิ่งโกรธเขามากเท่านั้น
ถ้าหากว่าเขาทำแก้วใบที่เรารักแตก เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ศิษย์สูญเสียสมบัติไปทั้งใบศิษย์ยังไม่โกรธเลย แต่หากว่าคนๆ นั้นพูดจาทำร้ายจิตใจเรา อย่างเช่นเราไม่ชอบฟังเรื่องนี้แล้วมาพูดเรื่องนี้ให้เราฟัง หรือชมแต่คนอื่นแล้วไม่ชมเรา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่สะเทือนต่ออารมณ์ของศิษย์นั้น ศิษย์กลับโกรธมากยิ่งกว่าศิษย์นั้นเสียแก้วใบรักไปสักใบหนึ่งอีก
ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักระงับอารมณ์ของเรา การระงับอารมณ์แล้วทำให้เราเป็นคนดูเฉยๆ เหมือนต้นไม้ใบหญ้าไร้ชีวิตชีวาหรือเปล่า เรายังมีชีวิตชีวาได้เพียงแต่เราต้องรู้จักกาลเทศะ ขณะที่มีงานศพอยู่เราจะไปนั่งคุยหัวเราะ ได้ไหม (ไม่ได้)  ในขณะที่คนอื่นกำลังเฮฮา เราไปทำหน้าเศร้าๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นการทำตัวจึงขึ้นอยู่กับกาลเทศะด้วย
การรู้จักกาลเทศะนั้นเกิดจากจิตใจที่รู้จักแบ่งแยกและแยกแยะเป็น ถามว่าศิษย์ของอาจารย์รู้จักแยกแยะเป็นไหม (เป็น)  โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่มีสติปัญญาครบถ้วน มีความฉลาดเฉลียวดีจึงจะสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่พอถึงเวลากลับทำให้อารมณ์ของเรานั้นเป็นใหญ่จนไม่สามารถควบคุมตัวเองไหว จริงหรือไม่
คิดว่าอะไรทำลายชีวิตเรา อารมณ์ของเราทำร้ายชีวิตของเรา อารมณ์นั้นอยู่ภายใน คนที่มองเห็นอารมณ์ของตัวเองก็สามารถที่จะเอาชนะตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่มองไม่เห็นตัวเองก็ไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ บางคนทนให้คนอื่นนั้นพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไม่ได้เลย เพราะว่าอะไร เพราะว่ามีความคิดของตนเป็นใหญ่ คนมักมองว่าตนเองมีความรู้ มีความสามารถ เป็นที่นับถือ ทำไมถึงต้องยอมให้คนอื่นมาพูดสิ่งที่เราไม่ชอบฟังอยู่ได้ ทนรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูดในสิ่งที่ความคิดเห็นไม่ตรงกับเราไม่ไหว เพราะว่าเรานั้นมีอัตตา มีความเห็นแก่ตนเป็นที่ตั้ง คือเห็นแก่ตนเองไม่เห็นแก่ผู้อื่น จึงต้องมาแก้ให้ถูกจุดก็คือต้องรู้จักแก้อัตตาของตัวเอง และแก้ความเห็นแก่ตนในตนเอง
อะไรที่ด่วนจากที่เคยชำนาญก็กลายเป็นผิด จากเก่งก็กลายเป็นโง่ไปเลย  เพราะฉะนั้นคนเราเมื่อถูกจำกัดด้วยเวลาอยู่แล้ว เราต้องรู้จักเร่งตัวเอง อย่าไปเร่งคนอื่น คนอื่นก็มีความคิดความอ่านเช่นเดียวกันกับเรา เมื่อเขามองเราทำ เขาก็จะทำตามเอง  ฉะนั้นจงเร่งตัวเอง อย่าไปเร่งคนอื่น
อารมณ์ตื่นเต้นสับสนเป็นอารมณ์วัยรุ่น ถ้าใครพูดว่าตื่นเต้นสับสนแสดงว่ายังเป็นวัยรุ่นอยู่ คนแก่อายุ 50,70 อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นนิ่งมากเลย ไม่ตื่นเต้นไม่สับสน คนแก่แล้วเขาก็ยังมีอะไรสอนเราได้ เขานั่งนิ่งๆ ให้เราดูในขณะที่เรานั่งไม่ติด เขาพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่ติดขัดในขณะที่เราพูดไปติดอ่างไป จริงหรือเปล่า (จริง)  แสดงว่าความคิดเขาแจ่มชัด ศิษย์ของอาจารย์เองก็เหมือนกัน ทุกอย่างต้องผ่านการฝึกฝนเช่นเดียวกัน ในที่สุดเราก็จะกลายเป็นคนแก่  ทุกคนต้องผ่านบนเส้นทางเดียวกันทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ยังไม่ปลง วันหน้าก็ต้องปลง รู้จักปลงให้เร็วหน่อย อย่าให้ตัวเองเสียใจทีหลังเรื่องแล้วเรื่องเล่าโดยที่ยังคิดไม่ได้สักที
นิวรณ์ ๕  อาจารย์ให้เพลงไว้ และในเพลงบอกว่า จิตใจสั่นคลอน ขลุกด้วยนิวรณ์มิเห็นวันหน้า  นิวรณ์ทำให้อนาคตคนดับวูบ ทำให้อนาคตของเรานั้นไม่แจ่มใส คือมืดมัว  นิวรณ์ที่ทำให้จิตใจสั่นคลอนและไร้อนาคตนั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง (ความพอใจรักใคร่, ความคิดร้ายพยาบาท, ความหดหู่เซื่องซึม, ความฟุ้งซ่านร้อนใจ, ความลังเลสงสัย)
ถามว่าห้าข้อนี้เราเป็นเกือบหมดไหม  ห้าข้อนี้ศิษย์ของอาจารย์แฝงใจห้าสิ่งนี้อยู่ในงานทุกชิ้น อยู่ในการดำเนินชีวิตทุกๆ ชั่วโมง อยู่ในใจของศิษย์ตลอดเวลา
๑.ความรู้สึกพอใจในกามส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ชาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมองรูปให้เป็นรูป สักแต่ว่าเห็นอย่าได้รู้สึก อย่าได้คิดร้าย 
๒. ความคิดร้ายและพยาบาท คือจิตใจรู้สึกโกรธเกลียดใครเคืองใครจนเรานั้นฝังใจจำ 
๓. ความหดหู่และเซื่องซึม อาการนี้ถ้าเป็นมากจะทำให้เป็นโรคประสาทได้  คนสมัยนี้เป็นโรคประสาทกันมาก เพราะว่าปล่อยให้จิตใจของตัวเองนั้นหดหู่และเศร้าซึม หนักเข้าก็วนอยู่แต่เรื่องของตัวเอง คิดอะไรก็วนๆ ซ้ำๆ  เราจึงต้องตามทันจิตของเรา 
๔. ฟุ้งซ่านและร้อนใจ  คนที่มีปัญญามากเกินไปจะเกิดความฟุ้งซ่าน รำคาญจนคิดอะไรไม่ออก อาการนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับคนฉลาด เรียกว่า ฉลาดแต่เอาตัวไม่รอด ชนะมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ไม่สามารถชนะใจตนเอง ชนะใครก็ไม่สู้กับชนะใจตัวเอง เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าถ้าหากเราเกิดความฟุ้งซ่าน แปลว่าเราขบคิดอยู่ตลอดเวลา หาทางอยู่่ตลอดเวลา สุดท้ายแล้วก็ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
เคยรำคาญคนอื่นไหมว่าทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้สักที เคยเห็นคนทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมดไหม (ไม่เคยเห็น)  อาจารย์ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิด เป็นไปไม่ได้ที่คนในบ้านเดียวกันจะคิดเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่ทุกๆ คนจะเป็นเหมือนๆ กัน แต่อย่างหนึ่งที่ศิษย์เหมือนกันคือ มีตาไว้ดูสิ่งที่ดี จับผิดคนอื่นเรียกว่าดีหรือเปล่า (ไม่ดี)
ทุกคนมีตา มีหูเหมือนกัน หูมีไว้ทำอะไร (ฟัง)  ฟังสิ่งที่ดีหรือเปล่า (สิ่งที่ดี)  เวลาใครนินทากันเขากระซิบกันต้องไปฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง)  มีปากเหมือนกันหรือเปล่า (มี)  เขาว่าเรา เราทำอย่างไร (เดินหนี)  ทำอย่างไรอีก (เงียบ)  ดื้อเงียบหรือเปล่า
จริงๆ แล้วการที่คนตรงข้ามมีอารมณ์โมโห ไม่ว่าเราจะเงียบ หรือพูดให้น้อยที่สุด พูดให้มากที่สุด ต่อให้เราทำหน้าเฉยๆ ทุกอย่างก็ยังเป็นการยั่วคนตรงข้ามทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะทำอย่างไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
เดินหนีหรือเถียงยิ่งไปกันใหญ่เลย (ยิ้มสู้)  ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีพยายามอย่าทำให้คนอื่นโมโห แล้วถ้าคนอื่นโมโหก็พยายามคิดว่าเราเป็นถังขยะให้คนอื่นนั้นทิ้งมาเลย แต่เราอย่าเอาขยะนั้นไปปาเขาดีหรือไม่ เราไม่ชอบคนอื่น เราก็ต้องไม่ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นปากของเราต้องพูดในสิ่งที่ดี
๕. ความลังเลสงสัย ในที่นี้ไม่ได้พูดถึงสงสัยอาจารย์ แต่พูดถึงการทำงาน หรือการที่เราจะไปทำดี เราเกิดความลังเลสงสัยจนเราจะไม่สามารถที่จะทำดีได้ เช่น เราจะให้เงินขอทาน 5 บาท เราคิดก่อนให้ว่าเป็นขอทานจริงหรือปลอม ต่อให้เราทำไปก็ไม่ได้บุญไม่ได้กุศล เป็นต้น
ฉะนั้น นิวรณ์ห้า หมายถึง เครื่องสกัดกั้นความดีทั้งห้าประการซึ่งมีอยู่ในศิษย์ตลอดเวลา ทั้งในเรื่องของการทำดี ในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องของความคิด ในเรื่องของจิตใจนั้นแฝงอยู่เสมอๆ  สิ่งนี้จริงๆ  เป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นน่าจะรู้อยู่แล้ว  แต่ในสมัยนี้คนไม่ได้รู้ธรรมะไว้เพื่อปฏิบัติ การเป็นคนดีก็เป็นคนดีอย่างฉาบฉวยไม่ได้ดีโดยเนื้อแท้
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องฟังธรรมะในวันนี้เพื่อการปฏิบัติ ความดีจึงอยู่กับตน ความดีจึงคุ้มครองตนได้ คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้  เพราะฉะนั้นคำว่า "ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้"  จึงหมายความว่า สามารถรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงอันเกิดจากภัยภายนอกทั้งสิ้น แต่ว่าก็ยังไม่รอดพ้นภัยภายในใช่หรือไม่ ภัยภายในก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง คนมักแพ้ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ถามว่าโลภ โกรธ หลง เป็นอย่างไรบ้าง มีคนเอาเงินมาต่อเงิน บอกว่าถ้าศิษย์ลงเงินสามพัน ศิษย์จะได้หกพัน เอาไหม (เอา)  บอกว่าซื้อเลขสองตัวนี้แล้วศิษย์ของอาจารย์จะถูกหวย เสี่ยงแค่แปดสิบบาทเสี่ยงเลยเอาไหม (เอา)  เห็นไหมว่าทั้งสองเรื่องคือเรื่องที่เอาความโลภของศิษย์นั้นมาเป็นข้อต่อรองกับศิษย์เองทั้งนั้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง "จิตใจอย่าสั่นคลอน" ทำนองเพลง "ฉันทนาที่รัก")
บำเพ็ญให้ดี ยากเข็ญก็ที ไม่ดึงฟ้าต่ำ
ฟ้านั้นอยู่สูง ศิษย์เงยหน้ามองเห็นฟ้านี่คือฟ้าภายนอก แต่ในตัวศิษย์นั้นก็มีฟ้าเช่นเดียวกัน ฟ้าในตัวก็คือความสำนึก คือจิตสำนึก แม้ว่าเราจะมีความลำบากยากเข็ญสักเท่าไรก็อย่าดึงสำนึกของตัวเองให้ต่ำลง เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) 
ทุกคนมีสำนึกอยู่แล้วและจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังสำนึกของตัวเองด้วย    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เวลาที่จะบอกคนชี้แนะคน เมื่อไม่สามารถที่จะพูดให้ศิษย์ฟังได้ก็มักที่จะให้ศิษย์นั้นสำนึกเอาเอง แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เชื่อฟังจิตสำนึกของตัวเองทั้งนั้น
เวลาที่เรารู้มากกว่าคนอื่นเขาเรียกว่า มีความรู้ หรือรู้ในสิ่งที่เราศึกษามาเขาก็เรียกว่า รู้ เช่นเดียวกัน
การรู้มี ๓ อย่าง คือ
๑.การรู้จัก คือ การที่ไม่ต้องมีความรู้มาก แค่มอง แค่ฟัง แค่สัมผัส ก็เรียกว่าเป็นการรู้จักแล้ว  การรู้จักนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้เพราะฉะนั้นหลายๆ คนจึงมีความรู้จักเยอะ
๒.การรู้จริง คือ ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาการเรียน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีความรู้จึงไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จริง คนจึงอาศัยช่องว่างตรงนี้แบ่งคนเป็นชนชั้น คือชนชั้นปัญญาชนและชนชั้นที่ไม่มีความรู้  ชาวบ้านธรรมดา คนที่มีความรู้จากการศึกษามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งฟังคนอื่นได้น้อยลง การรู้จริงจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถที่จะพยายามและทำได้
๓.การรู้แจ้ง  การรู้แจ้งนั้นไม่แบ่งด้วยชนชั้น ไม่แบ่งด้วยปัญญาชนหรือชาวบ้าน เพราะว่าการรู้แจ้งเกิดจากการปฏิบัติ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติลงมือทำเราย่อมรู้จักดี อย่างเช่นคนที่มีความรู้กลับทำขนมไม่เป็น แต่คนที่ไม่มีความรู้กลับทำขนมเป็น จริงหรือไม่ (จริง)  คนมีความรู้ใช้วิธีการอ่านจากตำรา ต่อให้รู้ตำรา ๕ สูตรแต่ว่าทำได้ไหม  เพราะฉะนั้นคนที่รู้แจ้งจึงเป็นคนที่มีการปฏิบัติลงแรงเท่านั้น ศิษย์ต้องเลือกเอาว่าศิษย์นั้นอยากจะเป็นคนรู้แจ้งหรืออยากจะเป็นคนรู้จริง หรือเป็นแค่เพียงคนรู้จักธรรมะเท่านั้น
มนุษย์นั้นอยู่ร่วมกันด้วยปัญหาอันสลับซับซ้อนทับถม จนยากที่จะบอกว่าจะเริ่มแก้จากตรงไหน  ในการบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน ศิษย์มักจะมีปัญหาที่ทับถม  แต่ในที่สุดแล้วทุกๆ เรื่องต้องมีผู้เสียสละ
ในการที่จะยอมเสียเปรียบบ้าง ในการที่ตัวเองนั้นจะเป็นผู้เริ่มต้นแก้ไขบ้าง ยอมขาดทุนบ้าง ถ้าหากว่าให้เงินร้อยหนึ่งไปซื้อของมาแปดสิบ อันนี้เรียกว่าอะไร เรียกว่าฉลาดหรือโกง (โกง) มนุษย์ในสมัยนี้ก็ใช่เล่ห์เหลี่ยมทำนองนี้แล้วบอกว่านี่คือความฉลาด  ถ้าหากว่าให้เงินร้อยบาทไปซื้อของกลับร้อยบาทคือความซื่อสัตย์  แต่คนในสมัยนี้หาความซื่อสัตย์ยากเต็มที แต่ถ้าหากว่าเมื่อไหร่ที่เรายังเป็นคนที่เขาให้ร้อยแล้วเราไปซื้อร้อย เราก็ยังต้องเชื่อว่าโลกนี้ยังมีคนดีจริงหรือเปล่า (จริง) อย่างน้อยก็ยังมีเราตั้งคนหนึ่งใช่หรือไม่
คนทุกคนที่เป็นมนุษย์ก็มีโอกาสที่ได้จะชื่อว่าเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น  ถ้าให้ร้อยแล้วซื้อร้อยยี่สิบหมายถึงอะไร หมายความว่าเมตตา เพราะว่าการทำดีก็คือการยอมขาดทุนนั่นเอง 
เข้าใจหรือยังว่าการทำดีทำอย่างไร  ทำดีแปลว่ากินเนื้อตัวเอง ยอมขาดทุน ง่ายหรือไม่  แต่ว่าถ้าให้ร้อยแล้วซื้อร้อยยี่สิบ คนในโลกเรียกว่าอะไร (โง่) ศิษย์อาจารย์เลยไม่ยอมโง่เลยสักครั้งเดียว ทุกคนเลยไม่อยากเป็นคนโง่ ไม่อยากเสียเปรียบ 
ถ้าให้ร้อยไปซื้อสองร้อยเป็นอย่างไร มีใครเป็นบ้าง ให้ร้อยไปซื้อสองร้อยไม่เรียกเมตตานะ เรียกว่าทำให้ผู้รับเสียนิสัย ในบางกรณีก็สามารถทำได้ แต่ว่าไม่ใช่กับทุกกรณี เพราะว่ามนุษย์มีสัญชาติญาณของการไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่เสมอๆ 
ฉะนั้นถ้าหากว่าเราให้คนอื่นอย่างที่ไม่ให้เขารู้คุณค่าด้วย เขาก็จะเกิดความเคยชิน หรือว่าเคยตัว เกิดความลื่นไหลไปสู่ที่ต่ำ เพราะฉะนั้นของทุกชิ้นที่ให้คน ต้องรู้จักให้คุณค่าเขาไปด้วย ให้ความคิดเขาไปด้วย
การทำความดีคือ การยอม การที่ยอมเข้าเนื้อเป็นการทำความดี แต่ว่าอาจารย์สอนศิษย์อย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าจะให้ศิษย์เข้าเนื้อจนเหลือแต่กระดูก อาจารย์สามารถที่จะอธิบายให้ศิษย์ฟังง่ายๆ ดังนี้ ในเมื่อความโลภออกมาในลักษณะต่างๆ ยังมีหัวใจของความโลภ ความดีก็มีหัวใจของความดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าศิษย์จะทำอะไรขอให้ศิษย์ยึดมั่นว่าเราจะทำความดี บางทีก็ทำบางสิ่งออกมาอย่างตรงกันข้าม แต่ภายในเนื้อแท้ก็ยังเป็นเนื้อแท้ หวังว่าศิษย์กลับไปหัดชื่นชมคนอื่น เห็นสิ่งที่ดีในสิ่งที่ไม่ดี คิดดีได้ในสภาพการณ์ที่เลวร้าย ชีวิตจะได้มีความสุขมากยิ่งขึ้น พูดแล้วเหมือนง่าย แต่ทำยาก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า เหรียญ 2 ด้าน)
เข้าใจความหมายของคำว่า เหรียญสองด้าน หรือไม่ ขอเหรียญให้อาจารย์สักเหรียญหนึ่ง เหรียญมีกี่ด้าน (สองด้าน)  เหรียญมีสองด้าน ใช้ทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเอาด้านหัวขึ้น แล้วก้อยจะอยู่ตรงไหน (ล่าง)  แล้วถ้าเราเอาก้อยขึ้นหัวอยู่ไหน (ล่าง)  เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ามีสองด้านแต่ว่าด้านที่ขึ้นมาชูหน้าชูตาก็มีอยู่ด้านเดียว จริงหรือไม่ (จริง) 
ในสังคมนี้คนจนเยอะ คนรวยมาก คนมีคุณธรรมมีน้อย คนที่ไม่มีคุณธรรมมีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรเราจะพลิกด้านของสังคมได้ ทำอย่างไรเราจะพลิกด้านของโลกได้ เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักที่จะมามองตัวเอง ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะรู้จักตัวเองได้ เราก็ย่อมรู้จักโลกได้
เหรียญมีสองด้านเสมอ สังคมทุกสังคมก็มีสองด้านเสมอ ทุกๆ ที่มีขาวและมีดำ เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักด้านสองด้านหรือไม่ (จำเป็น)
การที่เรารู้จักด้านที่สอง สมมติว่าเรารู้ด้านที่หนึ่งดีอยู่แล้ว แต่เราไปขวนขวายใฝ่รู้ด้านที่สอง ถามว่าเรายังเป็นคนดีหรือเปล่า ความรู้ในโลกนี้ท่วมท้นล้นมากเกินไป ทุกคนย่อโลกลงมาให้เล็กแล้วก็ต้องรู้ทุกๆ อย่าง แต่ว่ารู้ทุกอย่างก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกๆ อย่างนั้นมีประโยชน์กับเรา จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการไม่รู้บางเรื่องจึงยังเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้เราเป็นคนไม่ต้องรู้ทุกๆ อย่างในโลกนี้ เราก็สามารถมีอายุถึงร้อยปีได้ จริงหรือเปล่า (จริง)
คนที่รู้มากก็เกิดความวุ่นวายมาก คนที่รู้น้อยก็เกิดความสงบมาก ฉะนั้นถามว่าความสงบมาจากตรงไหน ความสงบจึงมาจากการรู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้ บางเรื่องก็เป็นความถนัดหรือเรื่องเฉพาะในการดำรงอยู่ของคน ไม่รู้ก็ไม่ได้ แต่ถ้าหากรู้ทุกๆ อย่าง ศิษย์ใช้เวลาทั้งหมดในการเรียนรู้ ศิษย์ต้องเรียนจนแก่เฒ่า ศิษย์ต้องเรียนจนตาย ความรู้ในโลกนี้ก็ยังไม่หมด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นรู้สิ่งภายนอกจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็น แต่การรู้จักจิตใจของตนภายในจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นมากๆ อาจารย์จะยกตัวอย่างคำพูดสองคำ คำพูดคำแรกบอกว่า อยู่กับตนระวังความคิด  อยู่กับมิตรระวังคำพูด  อีกคำพูดหนึ่งบอกว่า คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ  คนโง่คิดมากจะเกิดประโยชน์  คำพูดสองคำนี้เปรียบประหนึ่งว่าเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งบอกว่าอยู่กับตนระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคำพูด  ด้านที่สองพูดถึงว่าคนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ ทุกวันนี้เราเข้าเนื้อหรือยัง คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ คนโง่คิดมากจะเกิดประโยชน์ สองเรื่องนี้เหมือนกันตรงไหน นึกออกไหม
ทุกวันนี้คนฉลาดก็คิดมาก จริงหรือเปล่า ก็เลยเข้าเนื้อกันไม่จบไม่สิ้นจริงไหม (จริง)  ส่วนคนโง่ก็เป็นอย่างไร (ไม่คิดเลย) ทำอะไรก็ไม่คิดเลย ไม่คิดหน้าไม่คิดหลัง ก็เลยไม่ได้ประโยชน์สักที ใช่หรือไม่  โลกก็เลยไม่มีความสมดุลอย่างนี้ จริงหรือเปล่า
คนที่ยึดติดในรูปแบบ การทำอะไรจะมีข้อจำกัดมาก ส่วนคนที่ไม่ยึดติดในรูปแบบ ทำอะไรก็จะออกมาจากปัญญาล้วนๆ  แต่ทว่าเรื่องของปัญญาไม่สามารถที่จะเลียนแบบกันได้ คนคิดได้กับคนคิดไม่ได้ สอนกันให้ตายก็ไม่รู้  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหัดฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่มีความรู้ คือฟังมาก อ่านมาก พิจารณามาก สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความรู้ มีปัญญามากยิ่งขึ้น แต่การที่เรานั้นถูกกรอบตีไว้ ถ้าหากว่าอยากจะพลิกแพลงได้ในกรอบหรือกฎ ระเบียบนั้นๆ จำเป็นที่จะต้องจับหัวใจของกฎให้ออกก่อน จับหัวใจของรูปแบบให้ออกก่อน เราก็จะสามารถพลิกแพลงได้อย่างวิเศษ
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนประโยค ๒ บรรทัดบนกระดาน)
อยู่กับตนระวังความคิด  อยู่กับมิตรระวังคำพูด
คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ  คนโง่คิดมากจะเกิดประโยชน์
เหรียญด้านที่หนึ่งเป็นบรรทัดบน เหรียญด้านก้อยเป็นบรรทัดล่าง ที่อยู่ข้างล่าง คำพูดสองประโยคนี้เหมือนกันตรงไหน  เหรียญนี้เป็นเหรียญของคำว่าคิด ข้างบนมีคำว่าคิด ข้างล่างมีคำว่าคิด การที่เรานั้นจะพลิกเอาด้านไหนขึ้นมาใช้ย่อมต้องมองกาลเทศะว่าเราควรที่จะใช้เหรียญด้านไหนเพื่อทำอะไร
ทั้งสองประโยคนี้เป็นเหรียญสองด้านของคนที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก แต่เป็นเหรียญที่พูดถึงความคิดเหมือนกัน  เหรียญสองด้านย่อมหมายถึงความแตกต่างแต่สอดคล้องลงตัว  ในทุกวันดำรงอยู่ในความแตกต่างมากไหม ยิ่งทางโลกทางธรรมยิ่งต่างกันมากเลย  ทางธรรมสอนให้ช่วยผู้อื่นอย่าเห็นแก่ตน ทางโลกสอนให้เอาเปรียบคนยิ่งเอาเปรียบมากเท่าไหร่ก็ดี  สับสนไหม  ถ้าศิษย์จะดำรงตนเป็นคนดี มีศีล มีธรรม ศิษย์ก็ต้องรู้จักที่จะเสียสละให้คนอื่น  แต่หากศิษย์แค่อยากจะเกิดมาเพื่อรับความสุขสบาย ศิษย์ก็ต้องเอาเปรียบคนอื่น 
ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยืนนาน ไม่มีใครมีความสุขได้อย่างตลอดกาล ความสุขอยู่สั้นแต่ความทุกข์อยู่นาน  ฉะนั้นอาจารย์จะสอนให้ศิษย์รู้จักที่จะมองความสุขในความทุกข์ เมื่อทุกข์ถึงที่สุดแล้วก็จะสุขเอง เหรียญก็จะพลิกกลับด้านขึ้นมาเอง ศิษย์ไม่ต้องห่วง  อยู่กับโลกอย่าประมาทโลก อยู่กับสังคมอย่าประมาทสังคม อยู่กับคนอย่าประมาทคน อยู่กับตนอย่าประมาทตน อยู่กับกายอย่าประมาทกาย อยู่กับใจอย่าประมาทใจ อยู่กับคำพูดอย่าประมาทคำพูด ขอให้ศิษย์นั้นได้สัมผัสทุกๆ อย่าง ซึมซับคุณค่าแต่อย่ายึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นๆ
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดรูปสามเหลี่ยมขึ้นมารูปหนึ่ง)

 







อาจารย์จะสอนให้ศิษย์นั้นรู้จักใช้ชีวิต มุมที่หนึ่งเป็นบ้าน บ้านสำคัญมาก แต่อย่าเป็นคนที่ติดแต่ในบ้าน รักแต่ในบ้าน โปรดแต่คนในบ้าน  มุมที่สองคืองาน  มุมที่สามคือเรื่องส่วนตัว
ทุกคนมีสามเรื่องนี้ไหม สามเรื่องนี้จงแบ่งทุกๆ เรื่องให้มีความสำคัญเท่าๆ กัน บางคนชอบเน้นงาน บ้านพังไหม (พัง)  บางคนชอบเน้นบ้าน งานพังไหม (พัง)  บางคนเน้นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ทั้งบ้านทั้งงาน พังไหม (พัง)  เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้วถามว่าธรรมะอยู่ไหน อาจารย์พูดสำหรับศิษย์คนที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นอยากบำเพ็ญธรรม แต่หากว่าตัวเองนึกอยากบำเพ็ญธรรมแล้วธรรมะอยู่ที่ไหน
(พระอาจารย์เมตตาให้เปลี่ยนคำว่า เรื่องส่วนตัวจากสามเหลี่ยมรูปแรก เป็นคำว่า งานธรรมะ)
 







งานธรรมะไม่ได้ใช้เวลางานของศิษย์ งานธรรมะไม่ได้ใช้เวลาที่บ้านของศิษย์ แต่งานธรรมะคือการเอาเวลาส่วนตัวมา แปลว่าเราจะมีโลกส่วนตัวของเราน้อยลง แต่เราจะมีเรื่องส่วนรวมมากขึ้น ใช่หรือไม่
คนบำเพ็ญธรรมจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักเสียสละตัวเองออกไปช่วยคนอื่น ในขณะเดียวกันก็ยังต้องดีต่อที่บ้าน ดีต่องานของตนเอง ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรมแล้วคนที่ทำงานก็เกลียดเรา คนที่บ้านก็ยังไม่เข้าใจเรา แสดงว่าเรายังควบคุมตัวของเราได้ไม่ดี แต่ก็มีปัจจัยอื่นอย่างเช่น คนที่มีกรรมร่วมกับคนที่บ้านมา มีกรรมร่วมกับคนที่ทำงานมา แล้วมาเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ก็ต้องใช้หนี้ไป ศิษย์ก็ต้องยอมรับไปตามนั้น หากว่าศิษย์นั้นแก้เท่าไหร่ๆ แล้วก็ยังไม่ดีขึ้นในสายตาของเขา ขอให้ศิษย์รู้จักที่จะสร้างทาน ทำบุญให้เขา อุทิศเมตตาจิตให้เขาและรู้จักที่จะขออภัย พูดอย่างนี้เหมือนคนที่ชูมือสองข้างยอมแพ้หรือเปล่า ศิษย์อาจจะแพ้คนอื่นในการที่ต้องยอมก้มหัว แต่หากศิษย์ยอมก้มหัวให้คนอื่นได้คือการเอาชนะใจตัวเอง เมื่อเราเอาชนะใจตัวเองได้ ก็ชนะโลกทั้งโลก
วันนี้หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้อะไรไปมากมายให้กับชีวิตของตัวเองที่ใช้มาตั้งนานแล้ว อาจารย์อยากให้ศิษย์ใช้เวลาค่อยๆ ศึกษาและทำความเข้าใจอะไรที่ไม่รู้คือความท้าทายตัวเองให้เราหาความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น อะไรที่เรารู้อยู่แล้วจำเป็นจะต้องปฏิบัติให้ดีมากยิ่งขึ้น
ชีวิตสั้นมาก บางคนใช้เวลาถอนใจกับชีวิตของตนเองนั้นมาเป็นสิบปี บางคนจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเองมาเนิ่นนาน มีชีวิตอยู่่ด้วยการที่ไม่เข้าใจคนอื่นเลย อาจารย์นั้นหวังดีกับศิษย์มากมาย นอกจากอยากให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้และอยู่อย่างมีความสุขแล้ว อาจารย์ยังหวังให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไปได้ ถ้าหากว่าชาตินี้เรามีความรู้สึกว่าทุกข์ ทุกข์ขนาดหาทางออกไม่ได้ ในเมื่อชาตินี้เรายังมีสติ แล้วยังบอกว่าเรานั้นสงสารตัวเองจับใจ แล้วศิษย์คิดว่า ถ้าชาติหน้าเกิดมาพิการ ชาติหน้าเกิดมาเป็นหมู หมา กา ไก่ให้เขาเลี้ยง หรือชาติหน้าศิษย์ของอาจารย์ไม่ได้ฟังธรรมะ ก่อกรรมทำเข็ญมากยิ่งกว่านี้ ศิษย์ว่าจะมีอะไรที่ดีกว่าชาตินี้บ้าง ชาตินี้ยังเป็นชาติที่ดีที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
ใช้เวลาทุกนาทีให้เป็นประโยชน์ ฟังอาจารย์แล้วให้เกิดความเข้าใจในคำพูดของอาจารย์ เห็นคุณค่าและความสำคัญในตนอย่างที่อาจารย์นั้นเห็นศิษย์มีค่าในขณะนี้ อาจารย์นั้นมีความห่วงใยศิษย์หมดใจ หวังให้ศิษย์นั้นดีกว่านี้ เข้มแข็งกว่านี้ อย่าอยู่อย่างคนที่ขี้เหงา คิดอะไรไปเรื่อย พูดอะไรไปเรื่อย
ที่จริงแล้วศิษย์ที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ทำงานธรรมะได้ดี แต่อย่าให้งานธรรมะนั้นมาหนักอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีความรักและสามัคคี รักและทะนุถนอมน้ำใจของคนที่อยู่ร่วมกัน คนอยู่ร่วมกันก็คือวาสนา ศิษย์อย่าทำลายวาสนา คนทุกคนนั้นมีความรัก มีความห่วงใย แต่บางคนก็เป็นคนปากหนัก ใจร้อน บางคนก็เป็นคนขี้หงุดหงิด เพียงแต่ศิษย์นั้นมองให้ทะลุไปถึงจิตใจเขา ศิษย์ก็จะไม่อยากโกรธใครเลย วาสนาที่ได้อยู่ร่วมกันนั้นเป็นวาสนาที่ต้องสั่งสมมาหลายชาติ บางครั้งหนึ่งชาติ สองชาติ สามชาติ ถ้าอยู่ร่วมกันด้วยดีก็ถือว่าเป็นวาสนาดี ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วยังไม่ดี ก็ขอให้เรานั้นหันมามองตัวเราเองให้มาก อย่ามีชีวิตอยู่อย่างเสียเวลาเปล่า เกิดมาเป็นชายก็ดี เป็นหญิง เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่หรือแก่เฒ่าก็ดีทั้งนั้น ดีตรงที่ทุกคนรู้จักที่จะมาฟังธรรมะและรู้จักที่จะบำเพ็ญตัวเอง
อาจารย์ห่วงศิษย์หมดใจ หวังว่าศิษย์นั้นจะรักษาบุญสัมพันธ์ของตัวเองให้ดีๆ อย่าได้ไปจดจ้องเพ่งมองแต่ความทุกข์ ขอให้มองไปรอบๆ ในโลกนี้เป็นแค่เหรียญ 2 ด้านที่ศิษย์นั้นจะเลือกมองอะไร เลือกทำอะไร เลือกคิดอะไร
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ ศึกษาธรรมะให้เพิ่มขึ้นมากๆ อย่ามัวแต่คิดถึงแต่เวลาของตัวเอง อย่ามัวคิดถึงแต่ตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเผากุศล เผาวาสนาแห่งผู้บำเพ็ญ เผาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชาติที่แล้ว ชาติก่อนๆ นี้และชาติปัจจุบันได้เป็นจุณ






[๑] นิวรณ์       สิ่งห้ามกันจิตไว้มิให้บรรลุความดี มี ๕ ประการคือ  ๑. ความพอใจรักใคร่  ๒. ความพยาบาท  ๓. ความง่วงเหงาหาวนอน  ๔. ความฟุ้งซ่านรำคาญ  ๕. ความลังเลใจ
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา