วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2549

2549-06-10 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช


西元二○○六年 歲次丙戌 五月十五日       大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
                                           สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

รักษาซึ่งประเพณีอันดีงาม          วัฒนธรรมสืบทอดความมีแบบแผน
ความเป็นไทยอิสระอย่างเหนียวแน่น   แต่อย่าแทนที่ไทด้วยใจไร้ทิศทาง
            เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา             ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

ใช้ธรรมะชำระใจสะอาดเกลี้ยง      นำเอาเสียงที่ได้ยินลงสู่จิต
อย่าฟังธรรมด้วยจิตใจที่ปกปิด        อย่ายึดติดทำให้ฟังความเพี้ยนไป
ทำชีวิตตนเองให้สมคุณค่า           ในชาตินี้ได้เกิดมาคือบุญใหญ่
อย่าได้เสียโอกาสดีบำเพ็ญไว         จงทำได้แต่ในสิ่งที่ดีงาม
มาค้นคว้าชีวิตจิตใจตน              มาฝึกฝนความลำบากรู้จักชีวิต
อย่ามองข้ามแม้สิ่งอันน้อยนิด        ทั้งความคิดอย่าปล่อยให้เตลิดไป
มาศึกษาสองวันเพื่อเข้าใจขึ้น         ความเมามึนจะกลายเป็นความกระจ่าง
คนฟังธรรมต้องปฏิบัติเป็นแนวทาง     จงรู้วางในอัตตาบังเกิดคุณ
คนฉลาดอันตรายยามมีความโลภ     สองมือโอบจะได้มากสักเพียงไหน
คนบำเพ็ญต้องตัดละโลภโกรธไป      คนเปิดเผยจริงใจเป็นสุขดี
จงปล่อยให้จิตใจตนพ้นพันธนาการ    เรื่องวันวานไม่สำคัญเท่าวันนี้
เรื่องพรุ่งนี้ดีขึ้นเพราะทำวันนี้         ขอน้องใช้ชีวีให้เต็มที่เทอญ
อย่าประสบความสำเร็จอย่างเกียจคร้าน อันการงานทำให้คนมีค่าขึ้น
จงอย่าคิดเอาเปรียบใครใจเป็นอื่น     คนสามารถกลืนขมได้ปราชญ์แห่งโลก
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม       ขอน้องนำศรัทธากว่าสงสัย
มีปัญญาอย่ามีอวิชชาใด             คนตั้งใจได้ดีเสมอมา
จงรักษาระเบียบแห่งพุทธะ           เอาชนะตนเองที่ง่วงหงาว
อยู่แดนดินแต่มีใจจะเอื้อมดาว        ศิษย์น้องคราวนี้โอกาสมารอคอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป       จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                               ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระนาจา

อยากประสานรอยแตกแยกให้เหมือนเดิม สู้ยอมรับและหมั่นเติมอภัยไว้
สีขาวดำอย่างเหมาะสมยังงามได้        นับอะไรกับมนุษย์ที่ต่างกัน
            เราคือ
ศิษย์พี่นาจา           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

มนุษย์มักมีความคิดยึดติด          กลางใหม่คิดอะไรมักเผลอผิวเผิน
กลางเก่าคิดความเดิมแอบประเมิน     เพื่อมาปรุงความเจริญให้สถาพร
หัวใหม่คิดทว่าอย่าขาดกฎ           โลกเหมือนเปลี่ยนไปหมดอย่างซับซ้อน
ทำอะไรยังคงไว้ซึ่งขั้นตอน           เพ่งใจอยู่หัวก่อนพบแยบยล
คนสร้างแนวทางทางสร้างเมธี        ใจอันที่ไม่การุณหดหู่หม่น
อัตตามาแต่รู้มั่นในตน              ชนะยากจึงอยู่ทนประลองชัย
สดับเห็นตามความอยากให้เป็น       ชีวิตจริงความเศร้าเป็นจนสลาย
ความโศกซุกซ่อนก็ไม่มลาย          แฝงรอยแตกแยกใจในวิญญา
เคยชินในดวงชีวิตติดกับดัก           เป็นการแบกใจหนักดำเนินหนา
คนไม่เข้ากันยากสังคมนา            พิศหลายสิ่งทุกปัญหาแก้ไขตน

วาจาแย้งพาสูญเสียสาวไส้           วาจาใหญ่ขัดเสียจิตต่างหม่น
วาจาคนยิ่งพลังกล่าวสมตน          วาจาดลคนนิ่งได้บางวาจา
มีอารมณ์เหนือพิจารณาเพราะห้าวหาญ ตรองเหมือนกันทว่าน้อยความกล้า
รักษาความห่างจงใช้คู่ปัญญา         ดับไฟมาใจแม้ยังวู่วาม
การอภัยคนแจ้งลำบากต้องทำ        สติอยู่ท่ามกลางเรื่องตรงข้าม
แม้ขมขื่นไม่ทนหน่ายพยายาม        รู้กลางความแตกต่างอย่างเข้าใจ
                                                  ฮิ  ฮิ   หยุด

                        พระโอวาทพระนาจา
วันนี้มาทำอะไรกัน (ฟังธรรมะ)  ฟังธรรมะก็ต้องได้ธรรมะไม่ใช่มาฟังธรรมะแล้วหลับจนเต็มอิ่มเลย ทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องไม่ลืมว่าตัวเองตั้งใจจะทำอะไรอยู่ เกิดเป็นคนเหมือนๆ กันแต่บางครั้งคนเราก็ลืมตัวได้ เคยไหมเดินออกจากบ้านไป แล้วลืมว่าเราจะไปไหน ออกมาจากห้องแล้ว ลืมไปว่าเราจะหยิบอะไร ลืมของลืมได้แต่อย่าลืมตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนบางคนในหนึ่งชีวิต เรามีสถานะความเป็นคนหลายสถานะ บางคนมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ บางคนเป็นทั้งพ่อ แม่ เจ้านาย ลูก น้องสาว ฉะนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมสถานะที่ตนเองเป็นอยู่ ถูกไหม (ถูก) เคยไหมพ่อทำตัวเป็นเด็กๆ เอาแต่ใจ น้อยๆ ก็น่ารักแต่ถ้ามากเกินไปก็น่ารำคาญใช่ไหม (ใช่) ภรรยาบางคนมีสามีเหมือนมีลูก หรือบางคนมีภรรยาเหมือนมีน้องสาว  ฉะนั้นเกิดเป็นคนเราอย่าลืมสำนึกในความเป็นตัวตนของเราว่าในหนึ่งชีวิตเรามีฐานะอะไรบ้าง และจงดำรงตำแหน่งฐานะตรงนั้นให้มีความรับผิดชอบสูงสุด แค่นี้ความผิดพลาดในโลกก็ยากจะเกิดขึ้นจริงไหม (จริง) แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ชอบรักสบาย เอาเปรียบผู้อื่น กินแรงผู้อื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)
อย่างนั้นเราจะเป็นที่รักของคนอื่นทำอย่างไร ไม่ต้องเอาโซ่ล่ามก็ได้นะเขาก็จะรักเราตลอดไป อะไรที่จะทำให้คนเขารักเรา ใช้การแต่งตัวสวยๆ อย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ความสวยอย่างไรมันก็มีวันร่วงโรย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใช้ความดีอย่างไรที่จะมัดใจเขาให้อยู่หมัดไม่ไปไหน ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายความคิดจะต้องไม่เหมือนกัน ฝ่ายหญิงต้องมีแบบหนึ่ง ฝ่ายชายต้องมีแบบหนึ่ง ถูกหรือเปล่า (ถูก) จะมัดใจหญิงอย่างไรให้อยู่หมัด คนโบราณเขาบอกว่า อย่ามัวไปมัดใจผู้อื่นข้างนอกจนลืมมัดใจคนในบ้านรักคนอื่นเป็นแต่ไม่สามารถรักคนในบ้านเป็น อย่างนี้ก็เรียกว่าเหลวไหลสิ้นดี อดทนกับคนข้างนอกบ้านได้ แต่อดทนกับคนในบ้านไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอะไรที่จะทำให้เราสามารถมัดใจเขาได้ (ความจริง) บางทีจริงใจอย่างเดียวแต่ถ้าจริงใจไม่ถูกคน เขาก็ไม่รักตอบก็มี ขอให้เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน รักโดยไม่หวังผล รักโดยไม่ครอบครอง ความรักนั้นจะสามารถยืนยงคงกระพันได้ จริงไหม (จริง)
ลองรักแล้วบอกว่าเขาต้องตอบ พอเขาไม่ตอบเราก็ปฏิบัติต่อเขาไม่ดี แล้วอย่างนี้เราจะผูกให้เขารักเรานานๆ ได้ไหม (ไม่ได้) อยากให้เขารักเรา เราต้องขยัน มีความรับผิดชอบ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รับได้ทุกสภาวะไม่ว่าเราจะสวยหรือแก่แล้ว รักเราได้แม้ตอนเราเข้มแข็งและอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยากรักใครจริง ต้องเริ่มต้นที่ตัวเรานั้นต้องรักคนอื่นเป็นก่อน
เคยไหมด้วยความรัก ด้วยความหวังดี แต่พอเขาไม่ดีอย่างที่เราคิด ไม่ดีอย่างที่เราหวังเราก็เลยระเบิดอารมณ์ออกมา พอระเบิดอารมณ์ออกมา ตอนนี้เข้าหน้าติดไหม (ไม่ติด) คุยได้อย่างไม่สนิท แม้จะเคยรักกันขนาดไหนแต่ถ้าทะเลาะกันหนึ่งครั้ง ต่อไปเวลามองหน้ากันก็มองไม่เต็มตา จริงไหม (จริง) จะพูดว่าหวังดีเขาก็ไม่เชื่อเราแล้ว ฉะนั้นรักใครมากอย่างไร ถ้าเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด อดทนหน่อย ให้อภัยมากๆ หน่อย อย่าปล่อยอารมณ์ออกมา ถ้าปล่อยอารมณ์ออกมามีสิบอย่างพูดสิบอย่าง ไม่มีใครคบหรอก เคยได้ยินไหมมีความรู้สึกสิบอย่างต้องพูดสักสามพอ เก็บไว้เจ็ด เห็นอะไรที่ไม่ชอบบางครั้งก็ต้องรู้จักเก็บอารมณ์ แล้วก็ให้อภัย เพราะว่าแก้วแตกประสานอย่างไรให้สวยเหมือนเดิมก็ไม่ได้ ความรู้สึกที่สูญเสียไปแล้วเรียกให้กลับมาเหมือนเดิมก็เรียกได้ยาก แล้วเราจะยอมรับความแตกต่างของคนได้อย่างไรล่ะ ถ้าเขาเป็นไม่ได้อย่างที่เราคิด เราจะยอมรับเขาอย่างไร บางทีก็เป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าหากเขาทำในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงและไม่ควรจะทำด้วย ถูกหรือเปล่า (ถูก)
เรามาเรียนรู้วิธียอมรับความแตกต่าง เพื่อไม่ให้เกิดใจที่แตกแยกดีไหม (ดี) เหมือนใจเราถ้าใจเรารวมกันเป็นหนึ่งทำอะไรก็ต้องมีพลัง แต่ถ้าหากใจมันแตกเป็นสอง ทำอะไรก็จะเกิดความละล้าละลัง แรงที่จะทำมันก็ไม่เต็มที่ จริงไหม (จริง) เหมือนกันถ้าครอบครัวมีความกลมเกลียวสมัครสมาน พ่อว่าซ้าย แม่ก็ว่าซ้าย พ่อว่าขวา แม่ก็ว่าขวา เวลาทำอะไรก็ย่อมสำเร็จ แต่ถ้าหากว่าครอบครัวหนึ่ง พ่อว่าซ้าย แม่ว่าขวา ก็ย่อมเป็นอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันลืมไม่ได้คือคำว่า ถ้อยทีถ้อยอาศัยและรู้จักเคารพเขาเคารพเรา อยากให้เขาเคารพเราแต่เราทำตัวไม่น่าเคารพ ใครจะเชื่อถือ
ฉะนั้นการอยู่ในโลกจึงไม่ใช่เรื่องยาก สามารถมีความสุขได้ สามารถเป็นที่รักได้ สามารถเป็นที่น่าเชื่อถือได้ แล้วก็สามารถอยู่อย่างคนพ้นทุกข์ได้ เอาไหม (เอา)
เหมือนเราอายุน้อยๆ มีกำลังวังชา พอเดินไปไหนกับคนแก่แล้วต้องพาคนแก่เดิน เรารู้สึกว่าทำไมเดินช้าอย่างนี้ น่ารำคาญ อย่างนี้ถูกไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายสูงอายุออกมาเดินแข่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
เห็นไหมว่าในความแตกแยก บางทีก็มีความน่ารักได้ถ้าเรารู้จักใช้ เราจะใช้อะไรเป็นตัวประสานความสัมพันธ์ ใช้ความสนุกสนาน หรือใช้อารมณ์ที่น่าเบื่อน่ารำคาญ เคยไหมอยู่กับผู้ใหญ่ถ้าใจเรารู้สึกน่าเบื่อน่ารำคาญ อยู่กับท่านก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าเราอยู่กับท่านด้วยจิตใจที่รัก อยากให้ท่านมีความสุขมีความสดชื่น เอาตัวนี้เป็นตัวประสานอยู่ด้วยกันก็เป็นสุขได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ารำคาญคนแก่นะ จำไว้ว่าวันนี้เรายังหนุ่มแต่ต่อไปเราก็แก่ ถ้าตอนนี้เรารำคาญเดี๋ยวลูกหลานก็จะทำกลับกับเราบ้าง และจะรำคาญมากกว่าเราเป็นเท่าตัว เพราะคนสมัยนี้อดทนได้แค่นี้ คนรุ่นหลังก็ยิ่งอดทนได้นิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งดีๆ พยายามขยายให้มาก สิ่งที่ไม่ดีรีบหดให้น้อย เพื่อจะได้ไม่ส่งต่อรุ่นหลัง และในทางกลับกันคนอายุมากก็อย่าดูถูกเด็กรุ่นหลัง เพราะบางครั้งเด็กรุ่นหลังก็แซงคลื่นลูกหน้าได้เหมือนกัน
ฉะนั้นเด็กพูดอะไร ก็บอกว่ารำคาญ คบเด็กสร้างบ้านไม่คบหรอก อยู่กันอย่างนี้มีความสุขไหม (ไม่มี) กลายเป็นเด็กก็เบื่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็รำคาญเด็ก ครอบครัวจะประสานกันได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักฟังเด็กบ้างและเด็กจะขาดไม่ได้เลย อยากเป็นเด็กที่น่ารักต้องมีมารยาทและรู้จักเคารพนบนอบ ส่วนผู้ใหญ่อยากจะอยู่กับใครให้มีความสุข ต่อเด็กต้องมีเมตตามากๆ ใช่ไหม อยู่กับใครเขาก็จะรักเรา ฉะนั้น อยากอยู่กับเราอย่างมีความสุขก็ต้องคิดในทางที่ดี
เรากับท่านมีอะไรต่างกันไหมศิษย์น้อง มองภายนอกเราไม่ต่างกัน มีผม มีตา มีจมูกเหมือนกับท่านไหม หูเราก็มีครบสองข้าง ปากเราก็มีปากเดียวใช่ไหม เราก็เหมือนกัน คนทุกคนเหมือนกัน แต่ในความเหมือนก็มีความต่าง ในความต่างก็มีความเหมือน อยู่ที่เราจะเลือกมองสิ่งไหน ถ้าเรามองว่าเป็นคนเหมือนๆ กัน ก็คุยกันได้ แต่ถ้ามองว่าเป็นคนไม่เหมือนกัน บางทีก็คุยไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนในโลกนี้แม้จะยิ่งใหญ่ปานใด แม้จะร่ำรวยขนาดไหน แต่คนทุกคนล้วนมาจากเล็กๆ ก่อนทั้งนั้น แม้จะมีความรู้มากมายขนาดไหน แต่ก่อนก็เคยโง่มาก่อนทั้งนั้น เราอยากจะบอกว่าเล็กกับใหญ่ต่างกันตรงไหน ท่านก็เคยเล็กมาก่อน จึงยิ่งใหญ่และเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นเราอยากอยู่ร่วมโลกกัน จึงอย่าดูหมิ่นดูเบากัน เพราะเกิดเป็นคนถ้าดูถูกใครแล้ว คนนั้นยากจะเจริญ และคนนั้นยากจะอยู่ร่วมกับใครได้อย่างมีความสุข
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงเล็กๆ ใหญ่ๆ โดยใช้มือทำท่าประกอบ)
ไม่ใช่ว่าเราจะใหญ่เสมอไป บางครั้งเราก็ต้องกลายเป็นเล็กได้ และบางครั้งเล็กก็กลายเป็นใหญ่ได้ อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง เห็นเล็กๆ อย่างนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีค่ามีความสำคัญต่อโลกได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติอะไร ถูกหรือเปล่า (ถูก)
(สิ่งศักดิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่าใครทำท่าผิดบ้างให้ยกมือ)
เก่งมากกล้ายอมรับ เราอยู่ในโลกนี้ บางทีถ้าเราผิดว่าไปตามผิด อย่าผิดแล้วทำกลมกลืนว่าตัวเองถูก คนอย่างนี้ไม่ดีเลย ทำให้คนที่ตั้งใจทำพลอยหมดกำลังใจไม่อยากทำ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่ง นำกระดาษไปเช็ดที่โถส้วม และอีกท่านหนึ่งนำก้านธูปไปจิ้มมูลสัตว์)
กระดาษนี้หนักไหม (ไม่หนัก) กล้าจับไหม เขาเช็ดด้านนี้ กล้าโดนไหม เห็นไหมว่ากระดาษใบเดียว จากที่ตอนแรกเราว่ามันเบา มันกลายเป็นหนักทันที เพราะว่าสกปรก ใช่หรือไม่ แล้วถ้าหากว่ากระดาษใบเดียวกัน ขออาสาสมัครหนึ่งคน ใครจะยอมจับหนึ่งใบ จับมือซ้ายหรือขวาดี แต่มืออันหนึ่งต้องเปื้อนใช่ไหม แต่ถ้าหากเราบอกว่ามันเปื้อนทั้งสองอันล่ะ หนักไหม (หนักขึ้นหน่อย) หนักที่ไหน (หนักที่ใจ) เห็นไหมว่าหลายเรื่องในโลกนี้ จะหนักหรือเบาอยู่ที่อะไร (ใจ)  ถามจริงๆ กระดาษเปื้อนโถส้วมมันหนักไหม (ไม่) แต่ทำไมเรารู้สึกหนัก เพราะใจเรารู้สึกรังเกียจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วในโลกนี้มีอะไรบ้างที่เรารังเกียจ มีอะไรบ้างที่เราพบเราปฏิเสธรับไม่ได้
ถ้าก้านธูปนี้ตกอยู่กับพื้น เราเก็บขึ้นมาทันที เราก็ว่ามันเบาถูกไหม แต่ถ้าก้านธูปนี้มันตกอยู่กับพื้น แล้วเรารู้ว่ามันเปื้อนมูลสัตว์มา ไม่รู้ว่าเปื้อนด้านไหน มันหนักขึ้นทันทีใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเราเดินมาจากไหนไม่รู้ หยิบมันไปทิ้ง ก็ไม่หนักใช่ไหม
เรื่องราวในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นทุกข์ทั้งแปด ความพลัดพราก ความตาย การเจ็บป่วย และอีกหลายอย่างในทุกข์ทั้งแปด พอเราพบเจอเราก็รู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะรับไหว และพอเจอกับตัวเอง เราก็ตั้งป้อมปฏิเสธไม่เอา แล้วเราก็ทุกข์ แต่ถามว่าใช่ความเจ็บปวดหรือไม่ที่ทำให้เราทุกข์ การป่วยเป็นโรคทำให้เราทุกข์มากไหม แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าความคิดฟุ้งซ่าน ทำให้เรายิ่งทุกข์หนักมากกว่าเดิมจริงไหม
เหมือนตัวอย่างง่ายๆ มีชายคนหนึ่งป่วย นอนปวดท้องอยู่โรงพยาบาล อีกคนหนึ่งก็ปวดท้องเหมือนกัน ปรากฏผลตรวจออกมา คนหนึ่งเป็นมะเร็ง อีกคนเป็นโรคกระเพาะ แต่พยาบาลวางผลตรวจสลับเตียงกัน เอาผลตรวจของคนที่เป็นมะเร็งไปให้คนที่เป็นโรคกระเพาะ แล้วคนเป็นโรคกระเพาะนั้นเกิดอยากรู้ว่าปวดมานานแล้วไม่หายสักที ก็ถามหมอว่าเป็นอะไร พอหมอหยิบผลตรวจขึ้นมาดู ก็บอกว่าเสียใจด้วยคุณเป็นมะเร็งในกระเพาะ ถ้าหมอบอกว่าท่าทางท่านคงจะอยู่ได้ไม่นาน นอนหลับไหม พอวันรุ่งขึ้นชายคนนี้ก็กลับมาถามหมออีกว่า ผมเป็นโรคมะเร็งจริงหรือ ผมนอนไม่หลับทั้งคืนเลย หมอบอกว่าไม่ใช่ คุณเป็นโรคกระเพาะ หายเป็นปลิดทิ้งเลยไหม
บางทีมนุษย์ไม่ได้ตายเพราะความทุกข์หรอก แต่ตายเพราะความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ได้ตายเพราะโรคมะเร็งหรอก แต่ตายเพราะทำใจไม่ได้ ใช่ไหม  ไม่ได้ตายเพราะอกหักหรอก แต่รับไม่ไหวเพราะถูกหักอก ไม่ตายเพราะหมดตัวหรอก แต่เพราะใหญ่แล้วเล็กไม่เป็น เราอยู่ในโลกนี้อย่าให้ความคิดนั้นฆ่าเรา เหมือนคนอื่นว่าเราก็ไม่เจ็บปวดเท่าเราว่าซ้ำตัวเอง แต่ถ้าคนอื่นว่าเราโง่ แต่ฉันบอกว่าฉันน่ะฉลาด เราเจ็บไหม ฉะนั้นเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ตัวเรา อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเราไม่ฟุ้งซ่าน เราก็ดับทุกข์ได้เป็นร้อยๆ  เรื่องแล้วจริงไหม
เวลาที่เราได้รับเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด หรือเจอปัญหา ขอให้ตั้งสติแล้ววางใจให้สงบ เอาใจที่สงบนี้กล้าไปเผชิญรับกับเรื่องราวที่มากระทบด้วยความเข้มแข็ง เมื่อเรามีสติยั้งคิด อะไรที่มากระทบเราก็จะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่ถ้าหากว่ามีเรื่องมากระทบแล้วใจเราวุ่นวายสับสน เราจะมองเห็นอะไรได้แจ่มชัดไหม ถ้าหากว่าบางครั้งมีเรื่องมากระทบ เราขอร้องไห้ก่อน เดี๋ยวค่อยทำใจ ร้องไปเลย ร้องให้เต็มที่ ร้องเสร็จแล้วตั้งสติ มองให้ดี แล้วสู้ต่อไป อย่าร้องอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง อย่าไปจมอยู่กับอารมณ์ เพราะอารมณ์นั้นไม่เคยทำให้ใครได้ดี ให้เรียกสติปัญญาคืนมา เราถึงจะสามารถรับแล้วเดินต่อไปได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้น มนุษย์เกิดมาต้องก้าวต่อไป อย่าให้อารมณ์อะไรมาชักพาทำให้เราจิตใจหดหู่เลย ท่านเกิดมาพร้อมกับใจที่ว่างเปล่า แต่วันไหนที่รับเรื่องไม่ดีใจรู้สึกเป็นทุกข์ ฉะนั้น ก็เอาออกสิ ในเมื่อเก็บไว้แล้วทำให้เราทุกข์ใจ ทำไมไม่เทมันทิ้ง แล้วเก็บแต่เรื่องดีๆ ไว้สบายใจกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ เคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม มีพระและเณรสององค์กำลังจะเดินข้ามแม่น้ำ แต่ปรากฏว่ามีหญิงคนหนึ่งกำลังจะเดินข้ามแม่น้ำเหมือนกัน แต่เผอิญไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำ ผู้หญิงเวลาข้ามแม่น้ำจะดูไม่งาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าถกกระโปรงก็จะดูไม่สวย พระก็เลยบอกว่าโยมมานี่ อาตมาจะช่วยอุ้มข้ามแม่น้ำ พออุ้มข้ามเสร็จแล้วก็วาง วางเสร็จแล้วก็เดินกลับวัดไป เณรคนนั้นก็เดินตามด้วยความรู้สึกว่า ทำไมหลวงพ่อทำแบบนี้ ไปจนถึงวัดแล้วก็อดรนทนไม่ได้ ก็ถามหลวงพ่อว่า อุ้มสีกามันบาปไม่ใช่หรือ หลวงพ่อบอกว่า เจ้ายังถือสีกามาจนถึงวัดอีกหรือ หลวงพ่อวางสีกาไว้ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว  เช่นเดียวกันถ้าเราเห็นใครทำผิด นิสัยไม่ดีเลย เชื่อไหมตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้เรายังจำได้ เขากลายเป็นคนดีไปแล้ว แต่เรายังลากความไม่ดีของเขามาจนตัวเราไม่ดีใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น ความไม่ดีของคนอื่นเห็นแล้ววางซะ อย่าลากมาเก็บไว้ในใจเลย เก็บแต่สิ่งดีๆ ไว้ไม่ดีกว่าหรือ อยู่ร่วมกันจะได้มองกันได้อย่างเต็มตา
เมื่อสักครู่เราบอกวิธีอยู่ร่วมกันทำอย่างไรจะได้ไม่ทุกข์ เราจะเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากเราอยู่ร่วมกัน ภายในใจเรารู้สึกไม่ทุกข์ตลอดเวลา เชื่อไหมว่าในโลกนี้จะมีแต่เรื่องที่มีความสุข
เรื่องอะไรในโลกที่ทำให้เรารู้สึกต้องขอบคุณ และต้องขอโทษบ้าง แล้วถ้าหากว่าเราอยู่ในโลกนี้ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรา เรารู้สึกขอบคุณตลอดเวลา ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณกาลเวลาที่ทำให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคนต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความดับเป็นธรรมดา ขอบคุณความทุกข์ที่สอนให้เรารู้ว่าชีวิตนี้ไม่ใช่แค่สุขอย่างเดียว แต่ยังมีทุกข์ที่เป็นเพื่อนอยู่กับเราไม่ไปไหน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าในใจเรารู้สึกขอบคุณตลอดเวลา เราจะโกรธอะไรลงไหม เราจะว่าฟ้าว่าดิน เราจะว่าคนที่เรารัก และเราจะว่าใครไหม
จิตที่รู้จักขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่ทุกๆ ขณะ จะทำให้เรามีความสุขและพ้นทุกข์ได้ แม้ไม่มีเราก็ขอบคุณ เพราะความไม่มีจึงทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งในโลกไม่ใช่ของฉัน ถึงเวลาก็ต้องไปใช่ไหม (ใช่) แล้วโดยปกติเราจะขอบคุณต่อเมื่ออะไรล่ะ ใครตอบได้
(ขอบคุณเมื่อเราสมหวัง) แล้วถ้าหากผิดหวังจะขอบคุณไหม (ไม่ขอบคุณ) ทำไมไม่ขอบคุณล่ะ ไม่เคยคิดหรือว่า ไม่ใช่เพราะว่าผิดหวังร้อยครั้ง จึงมีสมหวังหนึ่งครั้งจริงไหม (จริง) ถามจริงๆ ชีวิตท่านสมหวังทั้งสิบครั้งไหม (ส่วนมากผิดหวัง) หรือไม่ใช่เพราะผิดหวังสิบครั้ง พอมีสมหวังเราจึงรู้ค่าของความสมหวังว่ามีค่าขนาดไหน เพราะผิดหวังมาเยอะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้รู้จักความสมหวังเป็นสุขอย่างนี้นี่เอง
(ขอบคุณเมื่อเห็นทุกคนในโลกนี้มีความสุข) น่าจะบอกว่ารู้สึกขอบคุณถ้าในโลกนี้มีสันติสุข คนไม่ทำร้ายกัน แต่ถ้าหากว่าขอบคุณที่โลกนี้ไม่สันติสุข ได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเปลี่ยนเป็นขอโทษจริงๆ ที่ทำให้โลกนี้ไม่มีสันติสุข อย่าคิดว่าเป็นเฉพาะคนกลุ่มนั้นทำให้โลกวุ่นวาย ตัวเราก็สามารถเป็นภัยและทำให้สังคมวุ่นวายได้ ถ้าเราคิดแบบยึดติด คิดแบบไม่เปิดใจกว้างถูกไหม (ถูก) คนที่คิดแบบยึดติดและรักพวกพ้องตัวเองไม่รักพวกพ้องใคร คนนั้นสามารถทำอันตรายสังคมได้ แล้วเราเป็นไหม บางทีมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาห้ามใครแย้งนะ แม่ว่าอย่างนี้ลูกก็ต้องว่าอย่างนี้ ฉันว่าอย่างนี้เธอก็ต้องตามอย่างนี้ แล้วเคยไหมเวลาทำงานมีสองกลุ่ม รักกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มโน้นเป็นไหม (เป็น) ฉะนั้นเราก็สามารถเป็นตัวก่อภัยย่อมๆ ได้เหมือนกัน ถ้าเราทุกคนมีความยึดติดและรักเฉพาะพวกพ้องตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
เล่านิทานให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งเอาไหม (เอา) คนที่มีความรักมากๆ สามารถก่อภัยได้ เป็นไปได้ไหม (ได้) และคนที่มีความรักก็สามารถฆ่าตัวเองตายได้ จริงไหม (จริง) เหมือนง่ายๆ มีพระองค์หนึ่ง จำวัดอยู่ในกุฏิ ปรากฏว่ามีขโมยย่องเข้ามา แล้วก็เปิดลิ้นชักเห็นเงินเต็มเลย พอจะหยิบเงินหันมาเจอพระพอดี ขโมยตกใจ พระบอกว่า โยมจะเอาไปก็ได้ แต่เหลือให้อาตมาไว้ใช้พรุ่งนี้หน่อยนะ ขโมยพอเอาเงินไปแล้ว ก็เดินย่องออกไป พระก็บอกว่า โยมเอาเงินของเขาไปไม่ขอบคุณหน่อยหรือ จริงๆ แล้วถ้าหลวงพ่อไม่ยอมตั้งแต่แรก หลวงพ่อรักเงิน ป่านนี้หลวงพ่อคงไม่อยู่แล้วใช่ไหม (ใช่) พอขโมยไปเรียบร้อย รุ่งเช้าตำรวจจับขโมยได้ ก็มาถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อขโมยคนนี้ได้มาขโมยของในวัดไหม หลวงพ่อก็บอกว่าเปล่า ขโมยก็นั่งเงียบ หลวงพ่อบอกต่อว่า ก็ตอนมาเอาไปยังขอบคุณหลวงพ่อเลย หลวงพ่อจะว่าเขาเป็นขโมยได้อย่างไร พอขโมยคนนี้พ้นโทษ คนแรกที่เขาอยากหาคือใคร (หลวงพ่อ) เพราะอะไร เพราะความไม่ยึดติด เห็นของๆ ตัวเองก็เหมือนของทุกๆ คน ถ้าอยากจะหมดทุกข์ให้ถึงที่สุดแล้วไม่มีทุกข์เลย นั่นก็คือไม่มีอะไรในโลกเป็นของตน เมื่อนั้นท่านจะหมดทุกข์ได้นะศิษย์น้อง แม้กระทั่งสิ่งที่รักที่สุด ทำได้ไหม
จำไว้นะเราทุกข์เพราะว่า อันนี้ของๆ เรา อันนี้ไม่ใช่ของๆ เรา จริงไหม (จริง) คนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าหากวันนี้มีเด็กคนหนึ่งเดินแล้วก็ล้มไป เรารู้สึกว่าน่ารัก แต่ถ้าเมื่อไหร่เป็นลูกเรา ก็บอกว่าระวังลูก มีแต่ความกังวลใช่ไหม (ใช่)
เหมือนกับชายคนหนึ่ง เป็นนักรบ รบกี่ครั้งก็ชนะ คนกี่หมื่นกี่แสนก็ไม่เคยกลัว เอาชนะได้หมด แต่เขามีจุดอ่อนอยู่ข้อหนึ่งคือ เขามีแก้วเจียระไนใบหนึ่ง เป็นแก้วที่บางที่สุดเท่าที่ช่างใดๆ ในโลกนี้จะทำได้ กลับมาจากรบเมื่อไหร่ เขาจะต้องมาเปิดดูว่ายังอยู่ไหม ปรากฏว่า พอวันนั้นเขากลับมาจากรบเสร็จ ภูมิใจรบชนะ ได้เกียรติยศ ได้เงินทอง ก็มาเปิดดูแก้ว แล้วก็เอามาชื่นชม แต่ในขณะชื่นชมอยู่นั้น มือเกิดลื่น แก้วก็กลิ้งตกลงมาแต่รับทัน ยังไม่แตก แต่เชื่อไหมว่าตอนนั้น ใจมันหายไปเลย ใช่ไหม (ใช่) แล้วเขาก็คิดได้ว่า เราเป็นชายอกสามศอก รบกี่ศึกไม่เคยกลัว แต่เพียงแค่แก้วใบเดียวเท่านั้น พอคิดได้ก็เขวี้ยงแก้วทิ้งเลย ไม่เอาแล้ว แล้วเราล่ะทำใจได้ไหม สิ่งที่รักที่สุด คือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด ของที่หวงที่สุดคือของที่ทำให้เจ็บช้ำที่สุด
อยากพ้นทุกข์ อยากมีสุขในชีวิตคิดเสียว่าลูกเขาก็คือลูกเรา ลูกเราก็คือลูกเขาดีไหม คิดได้จะได้ปล่อยบ้างนะ ไม่อย่างนั้นก็ห่วงลูกไม่จบไม่สิ้น ถ้าทำได้แบบนี้ ศิษย์น้องคงมีความทุกข์น้อยและก็คงมีสุขมากขึ้น ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้น วันพรุ่งนี้จะหายทุกข์ได้อย่างไร ถ้าวันนี้ยังตัดทุกข์ไม่เป็นเลย ถูกหรือไม่ (ถูก) ทำวันนี้เป็นเรื่องที่ยากไหม (ยาก) ยากตรงที่ทำอย่างไร ให้คิดว่านี่ไม่ใช่ของเรา นี่ไม่ใช่ลูกเราเพราะตอนแรกยังคิดว่าเขาคือลูกเรา แต่จำไว้ว่าถึงเวลาลูกก็ต้องมีทางของลูก เราสอนให้เขาดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาไม่เอาดี เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้) ก็คิดเสียว่าปล่อยไปตามเวรตามกรรมแล้วกัน
เงินวันนี้อยู่กระเป๋าเรา พรุ่งนี้มันหายไป เงินสิบบาทหายไปร้องไหม (ไม่ร้อง) ทองหนึ่งบาทร้องไหม (ร้อง) แต่ร้องเสร็จแล้วกลับมาตั้งสติ มันไปแล้วต่อไปฉันต้องหาให้ได้สองบาทเลย ดีไหม (ดี) แต่ไม่ใช่ว่าไปโทษคนอื่นขโมยเอาไปนะ เพราะของในโลกนี้มีมาแล้วก็มีไป วันนี้ได้วันต่อไปก็อาจเสีย ถ้าอย่างนั้นไปเล่นลอตเตอรี่ดีไหม (ไม่ดี) ชีวิตนี้ยังไม่รู้เลย ยังเอาเงินที่มั่นคงอยู่ ไปเสี่ยงกับเงินที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า เหมือนสติสามารถทำให้เรารู้เนื้อรู้ตัว แต่อารมณ์เป็นอะไรที่ทำให้เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะฉะนั้นอย่าเชื่ออารมณ์มาก เชื่อสติดีกว่า เพราะบ่อยครั้งมนุษย์เราฟังอารมณ์มากกว่าสติ และเพราะคบอารมณ์บ่อยๆ เราเลยกลายเป็นคนต้องเสียใจวันละหลายร้อยหน ถูกไหม (ถูก)
วาจาแย้งพาสูญเสียสาวไส้
คำพูดของคนถ้าหากใครพูดอะไรแล้ว เราเอาแต่แย้งตลอด ทำงานก็ร่วมกันยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งก็ต้องรู้จักยอมให้เขาพูดก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่าต้องเป็นอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่ายังพูดไม่จบ แล้วก็แย้งก่อน อย่างนี้ก็ทำให้อยู่ร่วมกันยาก บางทีเวลาเราไม่พอใจคำพูดของเขา แล้วเราจะเอาเหตุผลมาแย้งก็มักจะว่าเขาในทางเสียๆ หายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจำไว้นะ พูดผิดครั้งหนึ่งต่อให้เป็นม้าดีขนาดไหน ก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ฉะนั้นพูดอะไรต้องรู้จักระมัดระวัง ดีไหม (ดี)
วาจาใหญ่ขัดเสียจิตต่างหม่น
ถ้าหากเสียงส่วนใหญ่เขาบอกแบบนี้ แต่เราหนึ่งคนไม่เห็นด้วย ก็ทำให้สังคมที่อยู่ร่วมกัน อาจจะเกิดความบาดหมางได้ ฉะนั้นอยู่ร่วมกันบางครั้งต้องลดความเป็นตัวตน ฟังเสียงส่วนรวมบ้าง ได้หรือเปล่า (ได้)
สรุปคือ เราอยากหมดความทุกข์ได้ อย่างแรกก็คือ (ไม่ยึดติด, มีใจขอบคุณ, มีความรักให้กัน) รักแบบไม่ครอบครองนะ (ให้รู้จักปล่อยวาง, ไม่เก็บมาคิดฟุ้งซ่าน, รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน, ไม่เอาความคิดของผู้อื่นมายึดติดให้ตัวเองทุกข์ใจ, ไม่ยึดติดกับสิ่งของ) ถ้าหายไปแล้วก็แล้วไป อย่าไปทุกข์กับมัน ใช่ไหม (ใช่)
บางครั้งถ้าชีวิตต้องเจอเรื่อง เจอปัญหา เจอคนว่า ขอให้ศิษย์น้องเอาไปคิดนะ ถ้าในใจเรารู้สึกขอบคุณตลอดเวลา เราก็จะโกรธเขาไม่ลง  ถ้าในใจรู้จักปล่อยวางไม่ยึดมั่นตัวเขาตัวเรา หากเขากำลังว่าเรา คิดเสียว่าเขาหวังดี เขาก็เหมือนเรา เขาก็เหมือนกระจก เขาเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น เราก็จะไม่โกรธเขา แล้วถ้าหากว่าใครมาทำให้เราเจ็บปวด ก็รู้จักใช้ความเมตตากับเขาให้มากเราจะได้ไม่โกรธไม่แค้นเขา แล้วการอยู่ในโลกนี้ ความสุขจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่มีธรรมประจำใจ เลือกเอาก็ได้ ศิษย์น้องอยากเลือกเอาอะไรเป็นธรรมประจำใจ รู้จักขอบคุณอยู่ตลอดเวลาก็ได้ รู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่ตัวเขา นี่ตัวเราก็ได้ รู้จักเมตตา รักทุกๆ คนอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เลือกเอานะ ชีวิตนี้ไม่มีใครชี้ทางพ้นทุกข์และทำให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าคนนั้นไม่เดินตามทางที่ชี้ ถูกไหม (ถูก)
เราศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อความหลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องหลุดพ้นเป็นถึงพระอรหันต์ เป็นพระพุทธะหรอก หลุดพ้นจากความทุกข์ที่มันเกาะกินใจ ที่เวลามันมากระทบทีไรแล้วเราปล่อยไม่ได้สักที เอาแค่นี้ก่อน ยากไหม (ไม่ยาก) อยากเป็นที่รักของใครๆ ก็จงรู้จักมีน้ำใจแล้วก็ให้แต่สิ่งที่ดีๆ เรารักใครก็ตามแต่เราไม่เคยให้อะไรใครเลย เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าเรารักเขาจริง แต่ให้แล้วต้องไม่ให้จนทำให้เขาเสียคน เหมือนลูกให้มากเกินก็เสียนิสัย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นตอนไหนควรให้ ตอนไหนไม่ควรให้ ต้องรู้จักด้วย สุดท้ายเป็นคนในโลกยืดได้ก็หดได้ บางครั้งใหญ่ได้ก็เล็กได้ เราจะได้เป็นคนที่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาเป็น
อย่างนั้นวันนี้ก็แค่นี้ล่ะนะ มีโอกาสคงได้พบกันอีกนะ การศึกษาธรรมะไม่ใช่มีแค่สองวัน ชีวิตเรายังมีเรื่องให้ต้องศึกษาอีกเยอะ แต่การจะเข้าใจชีวิตได้อย่างแท้จริงต้องลงมือปฏิบัติ เราถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆ เอาแต่ฟังแต่ไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ เอาแต่ทำแต่ไม่เคยมาฟังเลยก็ไม่ดี ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นฟังกับทำต้องประสานกันให้กลมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ศิษย์พี่ก็แค่นี้ล่ะนะ อย่าคิดว่ามาเล่นละครเลยนะ มีโอกาสเข้ามาผูกบุญสัมพันธ์กันนะ ขอให้ตั้งใจฟัง ศึกษาบำเพ็ญธรรม อย่าได้เบื่อหน่าย อย่าได้ท้อนะ อยู่บนโลกนี้ถึงเวลาเรายืมเขามาใช้ สักวันเราก็ต้องคืนไป ฉะนั้นทำร่างกายนี้ให้ดี สร้างแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์กับผู้อื่นด้วยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สถานธรรมฉือเหริน นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถึงตัวดำแต่ใจต้องไม่ดำ            ถึงเสียงดังแต่ทำตัวยิ้มง่าย
ถึงพูดตรงจริงใจแต่ก็เกรงใจ          ศิษย์คนใต้น่ารักรู้จักใจเย็น
            เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่สถานธรรมฉือเหริน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว          ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า

จิตกลมเกลี้ยงด้วยบำเพ็ญและขัดเกลา ฝึกใจกลมชมเชาว์ฉลาดง่าย
สุขเพราะยอมรับดับทุกข์วุ่นวาย       เคยทุกข์ไปมีสัมปชัญญะละอาวรณ์
ศึกษาธรรมในเบื้องแรกเปิดกว้าง      ในท่ามกลางเหลาะแหละต้องใจร้อน
จงตั้งต้นที่ใจไม่พเนจร              กระแท่นและกระท่อนสุดที่จะบำเพ็ญ
ก่อนหลังสมมติมีธรรมขานไข         ปริศนาไขขานธรรมดั่งภาพเห็น
โลกดำรงอยู่ด้วยไม่ต้องเป็น          ภาวะธรรมเป็นสิ่งเร้นสถิตใน
ยากได้ดีที่โลภจนพะวักพะวน         รอแต่สุดท้ายผลคืออะไร
เคลือบแคลงแม้แต่ธรรมอันใดใด      ปล่อยวางต้องยังใจเป็นสำคัญ
                                            ฮา  ฮา   หยุด

               พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มาฟังธรรมะเป็นวันที่สองแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้นหรือยัง  มีมุมมองที่หลากหลาย ที่สามารถบันดาลสร้างสุขให้ตัวเองได้หรือยัง ชีวิตเป็นทุกข์ใช่หรือไม่  แล้วหามุมมองที่ทำให้ตัวเองเป็นสุขได้บ้างหรือยัง
ความสุขหรือความทุกข์นั้นอยู่ที่ไหน หากเราทำใจของตัวเราให้เบิกบานเป็นคนยิ้มง่ายมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี คิดดีทำดี เราย่อมมีความสุขมากยิ่งขึ้น  อาจารย์ถามว่า  รู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้นหรือยัง  ทุกวันนี้รู้จักอะไรในชีวิตของตัวเองบ้าง รู้จักคนรอบข้างของเรา เรารู้จักอุปนิสัยใจคอของเราและเราก็รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี  แต่ว่ายังมีข้อจำกัด ก็คือว่า มักไม่กล้าในสิ่งที่เรารู้  เมื่อเราไม่กล้าจึงไม่อาจดีขึ้นได้  ชีวิตไม่ใช่การเล่นลอตเตอรี่หรือการเล่นหวย ไม่มีการถูกรางวัลที่หนึ่ง  ถ้าหากว่าเรานั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขตัวเองได้ เราย่อมไม่มีความสุขมากขึ้น ถ้าอยากมีความสุขมากขึ้น ต้องทำอย่างไร
ข้อที่ ๑ ทำตัวเหมือนเดิมทุกประการ
ข้อที่ ๒  ทำบ้างไม่ทำบ้าง
ข้อที่ ๓ ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้ว่าไม่ดีให้ดีขึ้น
เลือกข้อไหน  (ข้อที่สาม)  เลือกทำส่วนนั้นจริงหรือเปล่า ทุกวันนี้ปัญหาที่มีอยู่ก็คือว่า รู้ว่าอะไรดีแต่ว่าทำไม่ทำ (ไม่ทำ)  หรือทำบ้างไม่ทำบ้าง ถึงแม้ว่าศิษย์จะรู้ว่าข้อที่สามเป็นสิ่งที่ศิษย์ควรเลือก แต่พอถึงเวลา ก็เลือกข้อหนึ่งและข้อสอง เพราะว่าปัจจัยในชีวิตต่างๆ หนุนนำหนุนเนื่องให้ชีวิตไม่สามารถดีขึ้นได้จริงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บ้านเรานั้นใครเลือก แฟนเราใครเลือก จะมีลูกกับแฟนคนนี้ใครเลือก แล้วบอกว่าไม่ได้เลือก เลือกหรือเปล่า งานที่ทำอยู่ใครเลือก ทุกอย่างที่เลือกมานั้น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้น  ถ้าหากว่าเราไม่ทำงานชิ้นนี้อาจไม่มีเงินใช้ เพราะฉะนั้นทำงานชิ้นนี้ไปก่อน แต่ทำงานแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่  งานทุกชิ้นมีความสำเร็จ เราไปถึงจุดสูงสุดของงานนั้นหรือไม่ เราไม่อาจถึงเพราะว่าเรานั้น เราไม่พอใจ ไม่ยินดี ไม่เต็ม ไม่เข้าใจ ไม่ตั้งใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงไปสู่จุดที่ดีที่สุดไม่ได้ ถ้าอยากไปถึงสิ่งที่ดีที่สุดต้องใช้อะไร (พยายาม)  เราจึงต้องลงแรง  เอาใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น ถ้าหากคนคิดอะไรก็ได้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น สมหวังดังปรารถนา มันจะดีขึ้นไหม  แน่ใจหรือเปล่าว่าเราจะไม่ทำสิ่งที่ดีๆ  นั้นให้แย่ลงไปอีก  สมมติว่าเราได้เงินอย่างที่ต้องการแล้ว  แต่ไม่มีวันใช้เงินนี้ไปจนถึงความจน  เพราะว่าเหตุการณ์ในชีวิตปัจจัยต่างๆ   หนุนเนื่องให้เรานั้นแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ   เริ่มจากสิ่งที่เรารู้สึกว่า ดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วเปลี่ยนให้มันดียิ่งขึ้น  จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี  เริ่มตั้งแต่วันนี้     ที่เรารู้สึกว่าทำแล้วให้มันดีขึ้น  กับการที่ไปฝันเฟื่องว่าเรานั้น พอมีสิ่งที่ดีมากกว่านี้แล้วเราให้มันดีขึ้นไป สิ่งที่ดีๆ  ที่เราอยากได้นั้น ถามว่าบางคนนั้นทั้งชีวิตยังไม่ได้เลย แล้วศิษย์อยากได้นั้นเป็นการฝันเฟื่องมากไปหรือเปล่า  ตอนนี้ตื่นอยู่หรือหลับอยู่  ตื่นอยู่แล้วใจหลับหรือใจตื่น  (ตื่น)  ถ้าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งได้ก็ดีใช่ไหม อย่างนี้ใจหลับหรือใจตื่น
ในชีวิตนี้ ชาตินี้ มีคนที่เรานั้นชอบบ่นเขาอยู่ แล้วเราก็มักจะบ่นคนไม่กี่คน จริงหรือเปล่า (จริง)  ใครที่ถูกเราบ่นก็ถูกเราบ่นเรื่อยไป การขี้บ่นนั้นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนแก่ แต่เป็นเรื่องของคนรู้มาก เพราะว่าเรารู้มากกว่าเขา เราเลยบ่นเยอะ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการรู้มากๆ ทำให้มีความสุขไหม
เวลาคนที่นินทากันเราแอบฟังหรือเปล่า (ฟัง)  ฟังทำไม ความอยากรู้ไม่ใช่คุณธรรมของผู้บำเพ็ญ ความอยากรู้อยากเห็นมิใช่คุณสมบัติที่สตรีนั้นพึงประพฤติ เพราะว่าคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นจะหลุกหลิก เป็นผู้หญิงนั้นต้องสุภาพและนุ่มนวล จริงหรือเปล่า (จริง) ใครที่คิดว่าทุกวันนี้เราเป็นคนสุภาพนุ่มนวลสุภาพสตรี ยกมือขึ้น ผู้ชายนั้นจะต้องทำเป็นเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง จึงจะสามารถทนไหว จริงหรือไม่ (จริง)
การเป็นคนนั้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ยากพอสมควรทีเดียว แต่เราก็เป็นคนอยู่ทุกวัน ทุกวันลืมตามาก็ยังเป็นคน ตั้งอยู่บนความยากต่างๆ นานา มีความสมใจและไม่สมใจอยู่ตลอดเวลา มีสิ่งที่สมหวังและไม่สมหวังตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นอย่างนี้มีแต่ความทุกข์ขมระทมใจ แต่ว่าเราอยากมีความสุขมากขึ้นไหม (อยาก)  การที่เรานั้นอยากมีความสุขมากขึ้นจึงมีแต่เรานั้นเป็นผู้มอบให้ตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ไม่ใช่อยากจะได้อะไรก็ไปหาซื้อมา อยากได้เงิน ไม่มีเงินก็ไปกู้มา อย่างนี้เป็นความสุขหรือไม่ (ไม่)  เราต้องหาความสุขใส่ให้ถูกที่ ความสุขเกิดที่ไหน (ใจ)  ทุกคนตอบได้ความสุขอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอก ความสุขไม่ได้อยู่สังขาร จริงหรือไม่ (จริง)  คนอื่นนั่งโซฟา เรานั่งพื้นมีความสุขเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  คนอื่นเขาขับรถไป เราเดินไป มีความสุขเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  คนอื่นกินข้าวได้เยอะแยะ เราเป็นพวกกินข้าวไม่ค่อยลง มีความสุขเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  คนอื่นมีสุขภาพแข็งแรง ส่วนเรานั้นเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มีความสุขเหมือนกันไหม เริ่มตอบเบาลงเรื่อยๆ จงมีความสุขให้เหมือนกัน เพราะความสุขนั้นอยู่ที่ใจ ใจอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้นความสุขอยู่ที่ตัวเรานั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในปัจจุบัน ตอนนี้เหตุการณ์ทางใต้ไม่สงบสุข แต่ว่าเรานั้นมีจิตใจที่สงบสุขดี เรามีความสุขไหม (มี)  ทุกคนกลัวตายใช่ไหม (ใช่)  ความตายเป็นที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  อยู่แล้วทุกข์ทุกวัน เพราะฉะนั้นตายดีไหม (ไม่ดี)  อยู่แล้วมีความทุกข์ ตายก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นอยู่ให้มี(ความสุข)  อยู่ให้มีความสุข
อาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีคุณยายอยู่คนหนึ่งชื่อว่าคุณยายเจ้าน้ำตา คุณยายคนนี้วันที่ฝนตกเขาก็ร้องไห้ วันที่แดดออกก็ร้องไห้ ร้องทำไม ก็มีคนถามว่าร้องทำไม ยายบอกว่ามีลูกสาวอยู่สองคน ลูกสาวคนแรกแต่งงานไปกับเจ้าของร้านรองเท้า อีกคนหนึ่งแต่งงานไปกับเจ้าของร้านร่ม วันที่แดดออกก็กลัวว่าลูกสาวขายร่มจะขายไม่ดี ก็ร้องไห้ ส่วนวันที่ฝนตกก็กลัวไม่มีใครไปซื้อรองเท้าของลูกสาวอีกคนหนึ่ง ก็ร้องไห้ ร้องไห้ทุกวันเลย คนที่เป็นนักบำเพ็ญพรตคนนี้จึงแนะนำคุณยายเจ้าน้ำตาบอกว่าให้คิดอย่างนี้ วันไหนฝนตกลูกสาวคนสาวคนขายร่มก็ขายดี  วันไหนแดดออก ลูกสาวคนที่ขายรองเท้าก็ขายดี  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณยายเจ้าน้ำตาก็หัวเราะทุกวันเลย นิทานเรื่องนี้เป็นมุมมองความคิด ว่าคิดอย่างไรกับชีวิตนี้ หากว่าเราคิดไปในทางที่ดีชีวิตเราก็ดีขึ้น  ถ้าหากว่าเราคิดไปในทางที่ไม่ดี ชีวิตก็ไม่อาจจะดีขึ้นได้ ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ของอาจารย์คิดดีกับชีวิตหรือยัง  พอใจกับความจนของตัวเอง พอใจในครอบครัวของตัวเอง พอใจในร่างกายของตัวเอง พอใจกับวัตถุของตัวเองที่มีอยู่หรือยัง (พอใจ)  แต่ยังไม่มีความสุข เพราะว่าเรานั้นไม่ได้เกิดความพอใจจริงๆ ใช่หรือไม่
วันนี้มาที่นี่ไม่ได้ให้มานั่งฟังธรรมะเพื่อผ่านไปสองวัน แต่การมานั่งที่นี่เพื่อมาชุบชีวิตใหม่ ชุบชีวิตจากคนที่เคยมีแต่ความทุกข์ ชุบชีวิตจากคนที่ไม่เคยรู้จักตัวเอง ให้กำหนดทิศทางของตัวเองได้ดีมากขึ้น เมื่อเราเดิน เราต้องมีเป้าหมายว่าจะเดินไปที่ไหน  ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ที่ไหน จะทำอะไรก็ดี เราต้องมีเป้าหมายเราถึงจะไม่ลอยเคว้งคว้าง แต่ศิษย์ลองมองภาพใหญ่ ชีวิตของศิษย์เดินไปทางไหน ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ศิษย์ระบุได้ว่าศิษย์จะไปตลาด ศิษย์จะไปทำงาน จะเดินไปที่แห่งไหนศิษย์ย่อมรู้ แต่ในชีวิตของศิษย์ทั้งชีวิตที่เป็นภาพใหญ่ ศิษย์ลองมองสิว่าที่ใช้ชีวิตทุกวันนี้เพื่ออะไร เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น เจอใครที่ต้องตาต้องใจก็แต่งงานมีลูก เลี้ยงลูก และมีหลาน และมีชีวิตอย่างนี้ไปทุกวัน
เป้าหมายอยู่ตรงไหน เป้าหมายที่เป็นภาพรวมอยู่ที่ใด เพื่อใช้ชีวิตนั้นให้ครบ แล้วศิษย์นั้นก็ถึงเวลาก็ต้องลาชีวิตนี้ไป ใช่อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าหากใครมีชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายจึงเป็นเรื่องน่าเศร้า ถ้าหากว่าเกิดมามีชีวิตเพื่อลูกหลาน มีชีวิตเพื่อคนรอบตัวทำให้เรานั้นมีความสุขมากขึ้นไหม (มี)  การที่เรานั้นมีใครสักคนหนึ่งให้เราหวังดีแล้วเขาดีขึ้นมาตามที่เราหวัง ทำให้เรามีความสุข แต่นี่เป็นความสุขของปุถุชน คือหวังดีกับคนที่เป็นคนของเราเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติเพื่อนสนิทมิตรสหาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าการที่เรานั้นมีคนอยู่แค่นี้ให้เรานั้นหวังดีปรารถนาดีทำให้ชีวิตของเรานั้นก็ยังเป็นชีวิตที่เล็กๆ อยู่ แต่หากว่าเรานั้น ลองปรารถนาดีกับคนที่เรานั้นไม่รู้จักเลยทำได้ไหม (ทำได้)
สมมติว่าในกระเป๋าเรามีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง แล้วเราเกิดเห็นว่าคนๆ นั้นไม่มีเงินใช้ เราเอาไปให้เขาได้หรือเปล่า (ได้)  หมดตัวเลย  ถึงมีสุภาษิตคำหนึ่งบอกว่า คนฉลาดคิดมากจะเข้าเนื้อ คนโง่คิดมากหน่อยมีประโยชน์ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนฉลาดหรือคนโง่ (คนโง่)  ตอนนี้อาจารย์เห็นตอบเบาลงเพราะว่ากลัวเข้าเนื้อ เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นคนฉลาดจริงหรือไม่ (จริง)  จะช่วยใครก็ไม่ทุ่มเท แต่ว่าจริงๆ  แล้วการช่วยเป็นการใช้เงินหรือเปล่า (ไม่)  การช่วยของอาจารย์นั้นแค่เอาจุดอ่อนของศิษย์มาพูดเท่านั้น เพราะว่าศิษย์ในยุคปัจจุบัน เห็นเงินเป็นเรื่องใหญ่มาก จริงหรือไม่ (จริง) ไม่มีเงินเหมือนไม่มีชีวิตเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถามว่าทุกวันนี้มีเงินหรือเปล่า (ไม่มี)  ก็ยังไม่มี  แต่ว่าไม่มีเงินเหมือนไม่มีชีวิตเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วตอนนี้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นศิษย์ต้องมองให้ชัดว่า เวลาที่เรานั้นช่วยแต่คนในบ้าน ความดีของเราก็เป็นความดีเล็กๆ  เป็นความดีในบ้าน แต่หากว่าเรานั้นไปช่วยผู้อื่นบ้าง ใครก็ได้ คนที่ชีวิตนี้ศิษย์อาจจะเจอเขาเพียงรอบเดียว ศิษย์อาจจะมีโอกาสที่จะทำดีกับเขาเพียงครั้งเดียว เป็นคนประเภทไหน คนแปลกหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่กับคนในบ้าน มีโอกาสทำความดีกับเขาทุกวันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าหากทำอยู่ทุกวัน วันหนึ่งไม่ทำโดนด่าไหม (โดน,ไม่โดน) มีคนบอกโดน มีคนบอกไม่โดน
คนในบ้านเราจำเป็นที่จะต้องเอ็นดู คนในบ้านเราจำเป็นที่จะต้องถามเขาบ่อยๆ ว่าเหนื่อยไหม เคยถามคนในบ้านไหม (ไม่เคย)  คำถามที่เราควรจะถามเขาอีกเพิ่มขึ้นสักคำถามหนึ่ง คืออะไร (หิวไหม,สบายดีไหม)  ไปถามเขาว่าสบายดีไหมเดี๋ยวเขาบอกว่า ไม่มีตาหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนในบ้านเป็นโรคประหลาดพูดดีด้วยไม่ได้ พูดไม่ดีก็ทำไม่ได้  ไม่พูดก็ไม่ได้ พูดมากก็ไม่ได้  ใครเอาใจยากที่สุด (คนในบ้าน)  คนในบ้านเอาใจยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเอาใจคนในบ้านได้ คนนอกบ้านก็สบายเลย เพราะฉะนั้นบ้านเราเป็นสนามฝึกใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เขาว่าเราทุกวันเป็นครูฝึกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เขาอยากให้เราอดทน แล้วเราทนได้ไหม (ได้) ไหนใครทนคนในบ้านได้ยกมือขึ้น ปรบมือให้ตัวเองหน่อย แต่เวลาเราทำความดีนั้น เรามักมองไม่เห็นความดีของคนในบ้าน คนที่อยู่ในบ้านเรามักจะบอกว่าไม่ค่อยดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนดีอยู่ไหน (นอกบ้าน) อยู่เชียงราย คนในบ้านเราที่นครฯ นี่ไม่ค่อยดี แต่คนดีไปอยู่เชียงราย  แล้วต้องรอคนเชียงรายนานๆ มาทีหนึ่งไหวไม่ไหว (ไม่ไหว)  เพราะฉะนั้นเราอยากให้คนอื่นดีกับเรา เราต้องดีตอบ อยากให้คนในกระจกยิ้มกับเรา เราต้องยิ้มตอบ เพราะฉะนั้นถามว่าเหนื่อยไหม พอไหม (ไม่พอ)
ถามอะไรได้อีก คำถามของผู้ชายมักจะแข็งกระด้าง เพราะฉะนั้นผู้หญิงต้องรู้จักนิสัยของผู้ชาย ถ้าเขาถามก็ดีหนักหนาแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นถามไม่ดีเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้างต้องทำอะไร (ต้องอดทน, ต้องใจเย็น)  ก็เพราะใช้แต่คำว่าใจเย็นกับอดทน ก็เลยต้องทนและก็เย็นอยู่เสมอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจน่ะมันเย็น แต่หน้าน่ะแดงไปหมดแล้ว (ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส,สู้ต่อไป) เขาพูดกับเราถึงแม้ว่าบางทีฟังแล้วเรารู้สึกไม่ค่อยสบายหู หรือไม่ค่อยสบายใจ แต่ศิษย์เอ๋ยยิ้มเป็นเรื่องง่ายใช่หรือเปล่า การจะทำให้ใบหน้ายิ้ม ตายิ้ม ใจยิ้ม เป็นเรื่องที่ทำยากใช่หรือไม่ เพราะว่าเรานั้นมีจิตใจที่ยังไม่เบิกบานพอ ถ้าหากว่าจิตใจไม่เบิกบานเพราะเราไม่มองโลกในแง่ดี การจะมองโลกในแง่ดีมองจากสายตาของใคร ไหนลองหลับตา แล้วลืมตา  นี่คือตาใคร นี่คือตาเราเอง ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ต้องมองจากตาเราเอง ถ้าเราลืมตาแล้วยังเห็นสิ่งที่ไม่ดี ใจของเราดีไม่ดี เราต้องแก้ที่ไหน แก้ที่ใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าใจของเราแก้แล้ว ในโลกนี้จะกลายเป็นเรื่องง่าย ถ้าหากว่าใจของเราแก้แล้วทุกอย่างในโลกนี้จะมีความสุข ถ้าหากแก้แล้วทั้งตัวเราและคนรอบข้างจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อไม่เชื่อ  ทุกวันนี้อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นใช่หรือไม่ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทุกวันนี้ ทำตัวเราให้แย่ลงใช่หรือไม่  ถามว่าหนึ่งวันจะมีความสุขได้หนึ่งเรื่องไหม ถ้าใครเริ่มหาไม่ได้ เพราะอะไรเริ่มหาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ แสดงว่าคนนั้นเป็นคนที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทำตัวเองให้แย่ลง แม้จะอยู่ท่ามกลางความทุกข์ แต่ก็ยังสุขใจได้ใช่หรือเปล่า มีหนี้มาก  ลูกไม่ฟัง สามีไม่ดี กับข้าวอาหารไม่พอกิน ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เราคิด แต่ว่าในท่ามกลางความทุกข์นี้เรามีความสุขได้ไหม (ได้)  ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่มีวันได้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์บอกว่าได้ มันก็ได้ เพราะว่ามันอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าตัวเราพูดว่าไม่ได้ แล้วใครจะช่วยให้ศิษย์ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์มาเพื่อพูด บอก พอกลับไปทำต้องใครทำ  ไม่รู้ฟังอาจารย์จบไปแล้ว ทำตัวเหมือนเดิม เลือกข้อ  ก ทำตัวเหมือนเดิมจะมีอะไรดีขึ้นไหม  เลือกข้อ ข  ดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่  เลือกข้อ ค ทำตัวให้ดีขึ้น ทุกอย่าง ดีไหม ฉะนั้นจงเลือกเงื่อนไขที่ดี   คำถามคำตอบของอาจารย์ง่าย ทุกครั้งที่ศิษย์พบความทุกข์ ทั้งที่ศิษย์ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าทำให้ดีที่สุด แต่เวลาศิษย์ไปทำมักจะเลือกดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช่หรือไม่  ผลทุกวันนี้ในชีวิต ดีบ้างไม่ดีบ้างโทษใครได้ไหม ก็โทษใครไม่ได้ ต้องทำตัวเราเท่านั้นจริงหรือเปล่า
วิธีการใช้ชีวิตของคนก็เหมือนกับการเขียนหนังสือ ตัวหนังสือต้องกว้างแล้วต้องพยายามเบียดเข้าไปในที่แคบๆ ในรอบข้างศิษย์นั้นมักจะพบพื้นดินและต้นไม้อยู่เสมอ พื้นดินและต้นไม้ที่อยู่รอบข้างนั้น เป็นตัวอย่างให้ศิษย์นั้นได้มองเห็น ลองมองไปข้างๆ ต้นไม้ที่เรามองเห็นชัดนี้เป็นต้นไม้ต้นใหญ่หรือต้นหญ้า คือต้นไม้ต้นใหญ่ ใช่หรือไม่เปรียบเสมือนมนุษย์เกิดมาท่ามกลาง เหมือนกับมีดินหรือมีธรรม เป็นผู้ให้ศิษย์นั้นเจริญเติบโต หากศิษย์นั้นรักแต่ตัวเอง ศิษย์ก็เปรียบเสมือนแค่ต้นหญ้า หากว่าศิษย์รักคนอื่น รักที่จะเติบโตขึ้นมาแผ่กิ่งก้านสาขาก็เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เหลือร่มเงาให้แก่ผู้อื่น ทุกวันนี้เราลองดูว่าเรานั้นอยู่บ้านแล้ว ถ้าหากวันหนึ่งเราไม่อยู่บ้านจะมีใคร เอะใจไหมว่าเราอยู่หรือไม่อยู่ นอกจากคนในบ้านมีคนอื่นรู้ไหม เพราะว่าเรานั้นไม่ค่อยที่จะให้ร่มเงากับผู้อื่น  เราอาจจะยังเป็นผู้ที่ไม่ได้เสียสละให้กับผู้อื่นมาก  ทำไมในการเสียสละจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่ายิ่งเสียสละไปก็ยิ่งได้ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้มา ในที่นี้คืออะไร  เช่น สิ่งที่ไม่มีรูป  ความอิ่มอกอิ่มใจ ยิ่งให้ก็เลยยิ่งได้กลับเข้ามา แต่เราไม่ให้ใจเราอิ่มได้ไหม (ไม่ได้)  อิ่มอกอิ่มใจกับอิ่มท้องเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  ถ้าหากว่าเราอยากอิ่มใจ เราต้องเป็นผู้ให้คนอื่น ถ้าเราอยากอิ่มท้องก็ให้ตัวเอง อยากอิ่มท้องหรืออยากอิ่มใจ (อิ่มใจ)  บางครั้งเราก็ต้องเลือกเสียสละในส่วนของเรานั้นให้ผู้อื่นบ้าง เรียนรู้การให้แล้วจิตใจของเรานั้นจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าไม่ให้ใคร ให้แต่ตัวเองแล้วศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาผู้ที่เขียนกระดาน)
เห็นไหมว่าคำกว้างๆ ก็เขียนตัวเล็กลงไปได้ ส่วนที่แคบๆ ก็เขียนตัวกว้างๆ ลงไปได้ ใช่หรือเปล่า  มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ บางทีความผิดพลาดในชีวิตของเรามาก แต่เวลาเราแก้ๆ เฉพาะตรงที่มันผิดจริง แต่ถามว่าเมื่อผิดพลาดยาวหนึ่งเมตร แล้วเราแก้แค่สิบเซ็นติเมตร สามารถสมดุลกันได้ไหม (ไม่ได้)   ตัวหนังสือเป็นสิ่งที่สามารถจะเบียดเข้าเบียดออกได้ แต่ชีวิตไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้เวลาเราแก้สิ่งใดไป แล้วเราบอกว่าทำไมเรายังไม่ดีขึ้น ต้องถามว่าจริงๆ แล้วเราพลาดมากแค่ไหนกับในช่วงนั้นๆ ของชีวิต แล้วเราแก้ได้อย่างสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เราผิดหรือเปล่า เราอย่าเพิ่งเหนื่อย หมดกำลังใจ อย่าเพิ่งบอกว่าเราแก้แล้วทำไมไม่ดีขึ้น จริงๆ แล้วเราแก้ไม่สมกับสิ่งที่เราผิดไป แต่การที่จะบอกว่า อย่างนั้นแก้ให้หมดเลย ก็ดูจะเป็นการเหนื่อยมากเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอเพียงแต่ศิษย์นั้นไม่ท้อใจที่จะแก้ ขอให้แก้ไปเรื่อยๆ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ขอให้ศิษย์นั้นแก้ไขมากกว่าเวลา อย่าถูกจำกัดด้วยเวลา อย่าได้ถูกจำกัดด้วยกำลังใจของตัวเอง ไม่ใช่เมื่อมีกำลังใจก็แก้ เมื่อไม่มีกำลังใจก็ไม่ยอมทำอะไรเลย ขอให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเวลา ผ่านไปแล้วเรายังแก้อยู่ ขอให้ทำทุกอย่างให้เสมอต้นเสมอปลาย
ชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ชีวิตนี้คือความเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกับคนอีกหลายๆ คน โดยเฉพาะคนในบ้านที่เรานั้นรู้ว่าเขาเป็นคนดี แต่ว่าเรานั้นยังไม่เคยดีกับเขา อะไรที่มากกว่าคนหนึ่งคนเป็นเรื่องยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ยากหรือไม่ (ยาก)  เราแก้ของเรา เขาอาจจะไม่แก้ แต่ว่าการที่คนอื่นไม่แก้ แล้วเราบอกว่าถ้าอย่างนั้นทำชีวิตของเราให้แย่ลงไปด้วยได้หรือเปล่า
ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า แล้วเราบอกว่างั้นเราทำชีวิตของเรา ตัวเราเอง เรารักตัวเองหรือไม่ ไม่ใช่รักตัวเองแล้วทำทุกอย่างให้ตัวเองพอใจ อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่ารักตัวเอง เรียกว่า วางยาพิษตัวเอง บางทีเรายอมฝืนใจตัวเองบ้าง อาจารย์จะสอนศิษย์เรื่องๆ หนึ่ง ต้องยกนิทานขึ้นมาก่อน นกอีกากับนกนางนวล นกสองตัวนี้มีสีที่ต่างกันหรือเปล่า อีกาสีดำ นางนวลสีขาว อีกานั้นเขาไปย้อมสีทุกวันถึงดำ แล้วนกนางนวลไปอาบน้ำทุกวันถึงขาว เพราะฉะนั้นสีขาวและสีดำเป็นธรรมชาติ สมมติว่าโลกนี้บอกว่าสีขาวคือความสะอาด แล้ววันนี้อีกาเป็นสีดำเขาสกปรกหรือเปล่า ถ้าสีดำคือความสกปรก แล้วนกนางนวลสีขาวนั้นเขาสะอาดเกินไปหรือเปล่า ฉะนั้นในหลายๆ  เรื่อง เวลาที่มองเรื่องใดๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเรามอง ความคิดของตัวเราเอง เรื่องนั้นอาจจะไม่ถูกใช่หรือไม่ เพราะมาตรฐานในใจเราอาจจะบอกว่าความสกปรกคืออะไร ความสะอาดคืออะไร แต่เรื่องที่ศิษย์เจอปัญหาในชีวิตนั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนสีขาวและสีดำของอีกา แต่มันสีขาวๆ  ดำๆ  เลยใช่หรือไม่   หลายๆ  เรื่องในชีวิตของเรานั้น เหมือนกับเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เหมือนกับว่าเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเลย  ทีนี้เราจะ
ดิ้นรนเปลี่ยนแปลงนั้นเราต้องเริ่มที่ตัวเอง เราไม่สามารถเปลี่ยนผู้อื่นได้ มีแต่เปลี่ยนตัวเองได้ ทุกวันนี้สิ่งที่เราเจออยู่ทุกวันเรียกว่าชะตากรรม หรือบางคนไปดูหมอดูดวง ชะตากรรมของเราเกิดจากอะไร  เกิดจากนิสัยของเรา นิสัยของเราแก้ได้ไหม แล้วเราแก้หรือเปล่า แก้ไม่แก้ ไหนใครว่าจะแก้ยกมือขึ้น เวลาเจอสนามทดสอบเป็นคนใกล้ตัว  เวลาเจอเขามายั่วโมโห เวลาเจอเขาพูดไม่ถูกหู อดทนไว้ ชะตากรรมของเราเนั้นเกิดมาจากนิสัย นิสัยของเรานั้นก็เกิดมาจากความเคยชินของเรา  ความเคยชินที่ทำอยู่ทุกวัน ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนที่มัดผม ผู้หญิงที่ผมยาว มัดผมทุกวัน ถ้าหากมัดทรงนี้ทุกวันๆ ปล่อยผมออกมา ผมมันก็จะเป็นร่องรอยของการถูกมัด อันนั้นเรียกว่าความเคยชิน ความเคยชินเกิดจากอะไร พฤติกรรม ก็คือการกระทำของเรา ถ้าการกระทำของเราเป็นอย่างนี้ทุกๆ วันมันกลายเป็นความเคยชิน ความเคยชินกลายเป็นนิสัย นิสัยกลายเป็นชะตากรรม  เพราะฉะนั้น พฤติกรรมมาจากอะไร มาจากความคิด ความคิดอยู่ที่ไหน ความคิดก็อยู่ในตัวของเรา  ถ้าจะแก้ชะตากรรมต้องแก้ที่ไหน ต้องแก้ที่ความคิดของตัวเอง  ขงจื่อพูดไว้ให้ปราศจากสี่ประการ
      หนึ่ง   อย่าเดา
      สอง    อย่าตัดสินโดยพลการ
      สาม   อย่าถือตนเป็นใหญ่
      สี่      อย่าเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ขงจื่อได้พูดสี่ประการนี้คือ ไม่ให้เราทำสี่ประการนี้เนื่องด้วยอะไรทุกวันนี้ถ้าหากว่าเรามองไปในชีวิตของตัวเราเอง หลายๆ เรื่องเราเห็นแค่หัวแล้วเราก็เดาหาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเดายิ่งวุ่นวาย ไม่รู้สักเรื่องหนึ่งมีความสุขมากขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะฉะนั้น การเดาทำให้เป็นเรื่อง การเดาทำให้เรามีปัญหามากขึ้นจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นอย่าเดาดีไหม(ดี)
ข้อสอง อย่าตัดสินโดยพลการเราอยู่ด้วยกันหลายๆ คน การที่เราคิดอยู่คนเดียว ถูกอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าเราบอกว่าถูกคนอื่นอาจจะบอกผิด เหมือนกับเรื่องอีกากับนกนางนวล มันขึ้นอยู่กับว่าคนจะมองโลกแบบไหน คนหนึ่งบอกว่าสีขาวคือความสะอาด เพราะฉะนั้นเขาบอกว่านกนางนวลสะอาด อีกคนบอกว่าถึงแม้อีกาจะสีดำแต่ว่าก็สะอาดแบบอีกา เพราะว่ามันเป็นสีดำตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นสองคนนี้มีความคิดเหมือนกันไหม (ไม่ เหมือนกัน)  สองคนนี้มีความคิดไม่เหมือนกันเรื่องนี้พูดออกมาค่อนข้างชัดเจน ว่าสีขาวและสีดำเป็นความคิดที่แตกต่าง แต่ในชีวิตของคนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่ามาก อะไรที่บอกว่าถูก อะไรที่บอกว่าผิด ผิดในความคิดของอีกคนก็ผิดอยู่วันยังค่ำ ถูกในความคิดของอีกคนก็ถูกอยู่วันยังค่ำ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใครได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดใครได้ เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันให้คุยกันปรึกษาหารือกัน อย่าตัดสินโดยพลการ ดีหรือไม่ (ดี)
ข้อสาม อย่าถือตนเป็นใหญ่
(สิ่งศักดิ์เมตตาให้นักเรียนหมายเลข ๑๕  อธิบาย)
(บางครั้งการทำงานเราอาจจะมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โต เราก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นใหญ่ในการทำงาน  ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาอยู่ในที่ทำงานเราเป็นใหญ่ หากกลับมาที่บ้านทำตัวเป็นใหญ่ จะทำให้เราอยู่กับครอบครัวไม่ได้) แล้วเมื่อไหร่จะเป็นเซียน
(สิ่งศักดิ์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมาอธิบายข้อสี่)
(อย่าเอาความคิดตนเป็นใหญ่ เนื่องจากผมเป็นพ่อบ้านทั้งลูกทั้งเมียต้องฟังผมตลอดเพราะฉะนั้นต้องเอาความคิดผมเป็นใหญ่ ความคิดของผู้อื่นนั้นไม่ถูกต้องก็ต้องเป็นความคิดของผม ซึ่งไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
สี่ข้อนี้ทำให้เรานั้นอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เราเดาก็แย่แล้ว ถ้าหากว่าเรายังถือตัวเองเป็นใหญ่ แล้วถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ลำบากไม่ลำบาก (ลำบาก)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของศิษย์ได้หรือไม่ เพราะว่าเรานั้นตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองทั้งสิ้น ในวันนี้ตั้งแต่อาจารย์มา อาจารย์ไม่พูดอะไรที่นอกตัวศิษย์เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่พูดอะไรที่ศิษย์ทำไม่ได้เลย มีแต่พูดสิ่งที่ศิษย์นั้นยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นเรากลับไปทำทุกอย่างก็จะดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ตั้งใจที่จะแก้ไขตัวเองนี้ คือผู้ที่ได้รับชื่อว่าเป็น ผู้บำเพ็ญธรรมหากว่าใครไม่ตั้งใจที่จะแก้ไขตัวเองคนๆ นั้นก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจึงเป็นผู้ที่ตั้งใจแก้ไขตนเองเท่านั้น หากว่ามาสถานธรรมบ่อยๆ แล้วไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ยอมรับในความผิดของตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง มองไม่เห็นตัวเองและโทษผู้อื่นผิดอยู่ร่ำไป คนๆ นั้นจึงไม่ใช่ผู้ที่จะบำเพ็ญธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอื่นอาจจะมองว่าก้าวหน้ามากขึ้น แต่ก้าวหน้ามากแค่ไหนต้องอยู่ที่ว่าจิตใจของเรานั้นได้ถูกยกระดับมากขึ้นหรือไม่ การยกระดับจิตใจนั้นไม่ใช่เอาอะไรมาค้ำไว้ให้อยู่ แต่เป็นการเอาคุณธรรมนั้นมาใส่ใจและยกให้มันสูงขึ้น จริงหรือเปล่า (จริง)  จะบอกว่าผู้อื่นนั้นคุณธรรมเป็นแบบนี้ทำสิ แล้วตัวเองไม่ทำ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร จริงหรือไม่ (จริง)  หรือบอกว่าคนโน้น คนนี้ ทำผิดคุณธรรมแล้วตัวเองนั้นไม่รู้จักทบทวนตัวเองได้ หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะทบทวนตัวเอง ใช้คุณธรรมไปประณามผู้อื่น เราจะเสียเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทางใต้นี้เป็นวงการธรรมที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนนั้นยิ่งใหญ่ให้สมกับที่มีพลังร่วมกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
การฟังธรรมะและการปฏิบัติต้องคู่กัน หากฟังแล้วไม่แก้ หรือแก้เฉพาะตรงที่ตัวเองเห็นว่าควรแก้ โดยไม่สนใจคนอื่นพูดว่าเรานั้นควรแก้ที่ไหน ย่อมไม่อาจที่จะก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น เวลาคนอื่นบอกให้เราแก้อะไร ลองดูว่าเรานั้นแก้ได้ไหม พอทำไหวไหม อย่าคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง หรือเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกว่าศิษย์เอ๋ย แก้ตรงนี้ ศิษย์ก็แก้เฉพาะตรงที่ศิษย์นั้นคิดว่าโดนใจ อย่างนี้ไม่ย่อมก้าวหน้า จงทำให้ตัวเองนั้นมีสง่าราศีอย่างผู้บำเพ็ญ ทำให้ตัวเองนั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอให้มีความเป็นผู้บำเพ็ญทุกที่ อยู่ในบ้านก็เป็นผู้บำเพ็ญ ออกนอกบ้านก็เป็นผู้บำเพ็ญ ทำได้ไหม (ได้)  เป็นคนเก่าแล้ว สามัคคีร่วมมือ ให้เมฆดำผ่านไป ให้ฟ้าที่สดใสตะวันที่เฉิดฉายเข้ามาแทนที่ เข้าใจไหม ร่วมมือกันให้ดี
เบื่อแล้วหรือยัง (ยัง)  พูดจริงหรือเปล่า เป็นคนอย่าเบื่อง่าย เพราะคนที่เบื่อง่ายแสดงว่าไม่มีความอดทน ถ้าหากไม่อดทนอยู่ในโลกนี้ยากไหม ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้ให้ง่ายขึ้นก็ต้องทนให้เป็น ร้อนก็ต้องทน หนาวก็ต้องทน หิวก็ต้องทน
บำเพ็ญธรรมศิษย์เอ๋ย ต้องเป็นคนติดดิน เป็นคนสมถะ เรียบง่าย แล้วอย่าหวังว่าจะอยากได้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อย่าได้คิดฟุ้งซ่านไปนอกเรื่องนอกราวใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมคือการแก้ไขจิตใจ ไม่มีอะไรที่เป็นปาฏิหาริย์กับชีวิตถ้าศิษย์ไม่ทำใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อศิษย์ทำจนถึงที่สุด เมื่อศิษย์ลำบากจนไม่รู้จะหาใครช่วย ยามนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยศิษย์เอง โดยที่ศิษย์นั้นไม่ต้องขอ แต่หากว่าศิษย์ไม่ทำ ทำไม่เต็มที่แล้วอยากจะได้ให้คนช่วย ศิษย์อยากช่วยไหมคนประเภทนี้
รู้สึกว่าเราอยู่กันนานแล้ว ศิษย์รู้สึกว่ามีความคุ้นเคยมากขึ้นไหม อยู่กับอาจารย์ไม่ต้องกลัว เพราะว่าสิ่งน่ากลัวบนโลกนี้ไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นตัวของศิษย์เอง ยามที่ศิษย์ดีก็ดีใจหาย ยามเวลาเราร้าย ก็ร้ายเหลือเชื่อจริงหรือเปล่า (จริง)  อาจารย์ไม่ได้ว่าเรา แต่เราเป็นอย่างนี้ แล้วไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น ต้องทำสม่ำเสมอทุกวันทุกเวลา ในขณะที่เรามีความโมโหขึ้น เราสามารถระงับได้ไหม ตอนที่เราโมโห หากไม่เคยฝึกฝน ก็จะระงับไม่ได้ จนเมื่อเรื่องผ่านไป เราถึงระงับความโมโหนั้นได้ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ขยับเวลา ที่จะระงับความโมโห ให้เร็วขึ้นทุกครั้ง จนกระทั่งเราสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้เราโมโหแล้ว และสามารถระงับได้ทันทีถ้าหากว่าเรามีอารมณ์โมโหแล้วเราระงับได้เลย เรียกว่ามีสติตามทัน การที่เราโมโหบ่อยๆ  ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  คนที่มีอารมณ์โมโหบ่อยๆ  ผิวหน้าจะเหี่ยวย่น เป็นโรค ไม่มีราศรี ไม่มีน้ำมีนวล แต่ทำให้มีราศรีแห่งผีร้ายอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นการโมโหจึงเป็นเรื่องที่ไม่ดี แล้วเวลาที่คนอื่นเขาทำให้เราไม่ถูกใจเราควรทำอย่างไรดี คำพูดง่ายๆ ที่ได้ยินกันมานาน เขียนง่ายมากแต่ทำได้ยาก คือคำว่าอภัย ฉะนั้นจงอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง อย่าอภัยให้แก่คนบางคนหรืออภัยให้เฉพาะคนที่เดินมาขอโทษเราเท่านั้น แต่จงอภัยให้คนทุกคน เพราะเราเองก็ทำผิดเช่นกัน และเมื่อเราทำผิดก็หวังให้ผู้อื่นอภัยให้ ถ้าเราทำถูกก็หวังให้ผู้อื่นชื่นชม แต่หากว่าคนไม่ชมเรานั่นก็ปากเขา และถ้าหากว่าเราเห็นคนอื่นผิดแล้วเราไม่ให้อภัยนั่นก็ใจเรา ฉะนั้นหากว่าเราไม่ยอมอภัยให้ผู้อื่น ก็เป็นเหมือนไฟที่อยู่ในใจเรา ซึ่งร้อนกว่าไฟที่อยู่ข้างนอก เวลาที่เรามีอารมณ์โมโห ก็เหมือนกับเราจุดไฟหนึ่งกองสุมใจไว้ ใจเราคงรับไม่ไหว เพราะฉะนั้นการให้อภัยผู้อื่น ก็เป็นการให้อภัยตัวเองด้วยเช่นกัน อย่าไปให้คนอื่นให้อภัยเรา แต่จงให้อภัยผู้อื่น
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ยอมรับแตกต่างจึงไม่แตกแยก”)
ในการที่เราออกไปไหน หนทางก็มีความแตกต่างกันอยู่ แม้กระทั่งในสถานธรรมเอง ก็ยังมีความแตกต่าง คนกินข้าวหม้อเดียวกันคิดไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องยอมรับในความแตกต่าง ในวิธีคิดของแต่ละคน ในสิ่งที่เป็นตัวตนเองของเขา เพื่อที่เราจะไม่แตกแยกกับใคร โดยเฉพาะในตอนนี้ อาจารย์ให้โอวาทอย่างนี้ เพราะที่นี่เป็นภาคใต้ อาจารย์อยากให้ศิษย์อยู่ท่ามกลางความแตกต่างได้อย่างไม่แตกแยก และมีความสุขท่ามกลางความวุ่นวาย ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ ความสุขเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่อยู่ได้นาน ฉะนั้นจงอยู่กับความสุขให้มีความสุข เพราะว่าความสุขนั้นแค่พริบตาเดียว แต่อยู่กับความทุกข์ก็ให้มีความสุขใจ เพราะนั่นคือความสุขที่แท้จริง ทุกวันนี้ใครยังมีความทุกข์อยู่ ศิษย์เอ๋ยแสดงว่าศิษย์มีขุมพลังอันมหาศาล ที่สามารถเอามาเป็นความสุขได้ แต่หากทุกวันนี้ ศิษย์ของอาจารย์มีความสุขอยู่บนกองวัตถุนั้นย่อมไม่จีรัง  ยอมรับความแตกต่าง ในตัวเรามีความแตกต่างมากมาย ในสังคม บ้านเมือง แต่ทุกคนมีอิสระในตัวเอง จงอย่าให้อิสระนั้นหวนมาทำร้ายเรา เพราะว่าเรานั้นอยากจะได้ความเสรีมากเกินไป กฎมีไว้ก็เพื่อคุมให้ทุกคนเดินตามกันเป็นลู่เป็นทางไม่แตกกระสานซ่านเซ็น แต่กฎนั้นไม่ได้มีไว้บังคับใคร
อาจารย์ขอทิ้งท้ายไว้กับศิษย์ที่น่ารักทั้งหลายที่อยู่ในการบำเพ็ญธรรมในภาคใต้นี้ แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ถึงแม้ว่าท่าทีภายนอกจะมีความอ่อนน้อม แต่ภายในก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทุกคนมีพลังเป็นของตัวเอง แต่อย่าให้มันแข็งเกินไป เราจะอ่อนได้ก็ต่อเมื่อวาจาของเรานั้นอ่อนลง สีหน้าแววตาท่าทางนั้นอ่อนลง และที่สำคัญที่สุดศิษย์จะอ่อนลงได้อย่างมีความสุข เมื่อจิตใจของศิษย์นั้นอ่อนโยนลง ขอมีความอ่อนโยนให้มากขึ้น เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อาจารย์ไม่มุ่งหวังให้ทุกคนนั้นเชื่อที่อาจารย์มา แต่อาจารย์มุ่งหวังอยากให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาธรรม และหาทางปฏิบัติให้เข้ากับตัวเองให้มาก เป็นเด็กดี เห็นศิษย์มากๆ อย่างนี้  ในใจลึกๆ อาจารย์รู้สึกว่าปลื้มปิติในตัวศิษย์ทุกคน ที่รู้จักที่จะเสียสละเวลารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำงานธรรมะ ทุกๆ คนก็ยังอยู่ในท่ามกลางการบำเพ็ญ ทุกๆ คนก็ยังเผชิญอุปสรรค ใจอาจารย์ทั้งรักและสงสารศิษย์ ใจอาจารย์ทั้งห่วงและพะวงในตัวศิษย์ อย่าใช้อารมณ์ในการที่จะสู้รบประหัตประหารกัน ขอให้ใช้สิ่งดีๆ สร้างสิ่งดีๆ ขอให้อยู่ร่วมกัน การบำเพ็ญธรรมเป็นธรรมชาติ แท้จริงแล้วไม่มีการบังคับ ไม่มีการเคี่ยวเข็ญ แต่ศิษย์เอ๋ยเจ้าเป็นปุถุชน เป็นคนอ่อนแอ ไม่กระตุ้น ไม่เตือน ไม่บังคับ เมื่อเจออุปสรรคศิษย์ก็ไม่ดีขึ้น หรือว่าดีขึ้นก็มักจะดีแค่ช่วงหนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ทำอย่างไรล่ะ ศิษย์ลองเป็นอาจารย์ ลองคิดดูสิว่าชาตินี้ที่ทุกข์อย่างนี้ มันพอแล้วหรือยัง ชาตินี้ที่เป็นอยู่อย่างนี้ มันจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลยหรือ ช่วยตัวเองหน่อยนะศิษย์นะ ดูแลและรักตัวเองเหมือนที่อาจารย์นั้นรักพวกเจ้า และมุ่งหวังให้พวกเจ้านั้นดีขึ้น ใช้ศรัทธาใช้ปัญญาในการบำเพ็ญ อย่าใช้อวิชชาในการบำเพ็ญ อย่าได้เป็นคนที่สุกเอาเผากิน หนักไม่เอาเบาไม่สู้
เรื่องในโลกนี้มันเป็นเรื่องซับซ้อน ธรรมะสามารถแก้ไขได้ ธรรมะสามารถทำให้ศิษย์นั้นดีขึ้นได้ แต่ศิษย์นั้นต้องใช้ปัญญามากๆ บางทีเวลาเราพูดบอกว่าได้ จริงๆ การพูดว่าได้ก็อาจจะไม่ได้ บางทีเราคิดว่าเราควรจะพูดว่าไม่ได้ แต่การพูดว่าไม่ได้ ปฏิเสธทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ อย่ารอให้ชีวิตนี้มันสายเกินไป แล้วค่อยมาคิดได้ อย่ารอให้อะไรๆ มันแก้ไม่ได้แล้วศิษย์ค่อยมาคิดแก้ อย่ารอให้อะไรมันแย่กว่านี้แล้วศิษย์ค่อยมีกำลังมาเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนตอนนี้อาจจะไม่เหนื่อยมาก เปลี่ยนวันหน้ายิ่งศิษย์ดึงเวลาไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้น อาจารย์หวังให้ศิษย์ที่นี่รักและกลมเกลียวกัน อาจารย์หวังให้ทุกๆ คนบำเพ็ญธรรมให้ดี ยกระดับจิตใจของตัวเองให้สูงมากขึ้น ทำได้ไหม (ได้)
ลาศิษย์ทุกคนด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ยอมรับแตกต่างจึงไม่แตกแยก

    ความคิดเก่ามาปรุงความคิดใหม่         เหมือนเปลี่ยนไปทว่าหัวใจยังอยู่
สร้างแนวทางอันมาแต่ที่ไม่รู้                 การมั่นอยู่จึงยากเห็นตามความจริง
ความเศร้าโศกซุกซ่อนในรอยแตกแยก        ดวงใจแบกการไม่เข้ากันทุกสิ่ง
หลายขัดแย้งพาสูญเสียพลังยิ่ง              คนจิตนิ่งพิจารณาเหนืออารมณ์
จงหาความเหมือนกันมาอภัย                คนแจ้งใจแม้ลำบากไม่ขื่นขม
อยู่ท่ามกลางความแตกต่างอย่างน่าชม      ใจเกลี้ยงกลมเพราะยอมรับดับทุกข์ไป
มีความธรรมในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด  ก่อนและหลังสมมุติมีธรรมขานไข
ดำรงอยู่ด้วยธรรมเป็นสิ่งที่ดีได้              แต่สุดท้ายแม้แต่ธรรมยังต้องวาง



รายละเอียดการแก้ไขข้อมูล
------------------------
v.1.1 10 พ.ค. 49
------------------------
- เปลี่ยนรูปแบบของเอกสาร
- แก้ไขคำผิด และแก้ไขคำเพิ่ม

[แก้]

หน้า 3  บรรทัด 2 (จากล่าง)
จาก คนคุ้นเคยไม่ลืมเกรงใจด้วย
แก้เป็น คนคุ้นเคยกันไม่ลืมเกรงใจด้วย

หน้า 5  บรรทัด 10
จาก เราก็หลงไหลไปตามความชั่ว
แก้เป็น เราก็หลงใหลไปตามความชั่ว

หน้า 15  บรรทัด 3
จาก คงอยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความยากอยู่
แก้เป็น คงยากหน่อยนะ ตราบใดที่ยังมีความอยากอยู่

หน้า 29  บรรทัด 2
จาก วันนี้เราคบกับเรา
แก้เป็น วันนี้เขาคบกับเรา

หน้า 29  บรรทัด 11
จาก เสร็จสร้างความเดือนร้อน
แก้เป็น เสร็จสร้างความเดือดร้อน

หน้า 30  บรรทัด 10
จาก นั้นคือพ่อแม่ใช่ไหม
แก้เป็น นั่นคือพ่อแม่ใช่ไหม

------------------------
v.1.2 15 มิ.ย. 49
------------------------
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท ณ เซิ่งเต๋อ วันที่ 21 พ.ค. 49
[แก้]
หน้า 19  บรรทัด 5
จาก สุดจะเปลี่ยนใคร
แก้เป็น สุดจะเปลี่ยนใจ

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท ณ ฉือเหยิน วันที่ 11 มิ.ย. 49
[แก้]
หน้า 18  บรรทัด 3 (จากล่าง)
จาก อย่าหลงภาพมายาติดโลกีย์
แก้เป็น อย่าหลงภาพมายาจนติดโลกีย์


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2549

2549-06-03 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์



西元二○○六年歲次丙戌 五月初八日                大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  ฟ้าสว่างแต่ใจคนยังมืดครึ้ม             รู้หยิบยืมกายปลอมบำเพ็ญแท้
อันจิตญาณแห่งตนนั้นต้องดูแล           การเปลี่ยนแปรอาจไม่แย่เสมอไป
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์     เคียมคัล
องค์มารดา       ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                   ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  ในจิตใจอย่าได้มีความลอยเลื่อน         มีสติคอยเป็นเพื่อนข้ามอุปสรรค
ย้อนมองเห็นตนเองให้รู้จัก                การจะพักอย่าพักที่ความวุ่นวาย
ชีวิตคนทนยากฝืนมากครั้ง                ดันทุรังแก้ผิดที่ปัญหาใหญ่
ถนัดทำเรื่องง่ายให้ยากไป                 ไม่รู้ใจคนอื่นและตัวเอง
กาลเวลาไหลไปดุจสายน้ำ                 ต่างมองข้ามสิ่งที่เป็นสุขในทุกข์
ชะตากรรมมาด้วยนิสัยอันล้มลุก          ขอจงปลุกใจของตนตื่นขึ้นจริง
ในครานี้ชวนน้องท่านบำเพ็ญจิต           เริ่มตั้งแต่ความคิดให้กระจ่าง
ขัดเกลาซึ่งความเคยชินเรื่องบางอย่าง   ทำใจกว้างแปรนิสัยของตนเอง

อันปัญหาแก้ตรงที่ใดสาเหตุ               ตัดกิเลสอย่าเสียดายทำลายจิต
ขอศิษย์น้องจิตใจอย่าได้ติด               ศึกษานิดบำเพ็ญธรรมด้วยลงแรง
การบำเพ็ญใช่วัดที่ปฏิบัติมาก             ทว่าหากต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง
อันกายใจวาจาอยู่ในครรลอง             ต้องประคองจิตใจให้มั่นคง
ในยุคนี้โปรดกว้างสู่ทุกผู้                  พินิจดูอยากพ้นเวียนว่ายหรือไม่
จะเป็นดั่งที่เคยมาเพื่ออะไร               สุขที่ได้ในจิตใจเย็นหรือยัง
สองวันนี้ศึกษาธรรมกระจ่างแท้           มาเปลี่ยนแปรตนเองอย่างผู้รู้
บ้างครึ่งหลับครึ่งตื่นฝืนน่าดู               ผิดเป็นครูแต่อย่าพลาดบ่อยครั้งไป
การบำเพ็ญเป็นเรื่องของภายใน          ปฏิบัติไซร้เป็นเรื่องของภายนอก
ทั้งนอกในยากตัดสินด้วยคำบอก          ปัญญาออกไม่เดินผิดจนตัวตาย
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                และเคารพวินัยแห่งสถาน
อากาศร้อนขอจิตใจยังชื่นบาน            ทรมานกลายสบายหากจิตพ้นกิเลส
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป            ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
หวังศิษย์น้องตั้งใจมากขึ้นทุกวัน          รู้สำคัญหลักรองแยกแยะเป็น
อีกขอเตือนเหล้าบุหรี่อย่าแตะต้อง        จิตมัวหมองจะสดใสแม้ชั่วครู่
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                  ฮวา  ฮวา   หยุด



วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๔๙     สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  เกิดความแข็งกระด้างเมื่อชำนาญ      เกิดความหวั่นเมื่อยังรู้น้อยอยู่
เป็นช่องว่างของคนทำและคนดู           ต้องเรียนรู้อยู่ร่วมกันด้วยยินดี
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  หลายชีวิตชอบจมกับเรื่องเก่า           หลายเรื่องราวในเวลาบั่นทอนชีพ
ยามนี้แดนโลกวุ่นขาดประทีป             กระไรรีบจนไม่ช่วยอะไรใคร
ม่าน เมฆินทร์[๑] คล้ายสิ้นจากฟ้าส้ม       ใจต้องลมร่างทุกข์บังเกิดใหม่
กิเลสพัดแปรรูปไม่ยอมให้                 คิดปลงใช่เพราะระอาเป็นอารมณ์
บำเพ็ญใจแต่แปรตนมีเท่าไร              ชีวิตคนไม่พังใจที่โหม
แต่ปัญหาซึ่งตึงมาจู่โจม                   แรงกำลังไม่ล้มเพราะกำลังใจ
                                                                        ฮา ฮา  หยุด



        คนไม่รู้คือคนไม่ผิด บางคนเบือนบิดสมอ้างกันไป ไม่เรียนรู้ใด
เห็นทีไม่ไหวแล้วนั่น
น่าหวาดรับหน้าคน
ความเห็นของทุกคนใช้อย่างจริงจัง เป็นอัตตากลางจิตใจทะนง
ปลาร้าไหม ไม่เคยเห็นใช่หรือไม่ แปลว่าในโลกนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บอกว่าในโลกใบนี้เรื่องหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง หรือเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเลวร้าย แต่อาจจะกลับกลายเป็นดี  และอาจจะกลับกลายเป็นที่
ชื่นชอบ และสืบทอดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ก็ได้ อยู่ที่อะไร อยู่ที่ใจของเราใช่หรือไม่
คำกล่าวที่ว่า งานที่ออกมา คุณภาพที่ออกมาเรียบร้อย หรือฝีมือที่ออกมา
ล้ำเลิศ ล้วนเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน

ล้ำเลิศ ล้วนเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน บางคนอาจจะบอกว่าปัจจัยภายนอก ยิ่งทำดีมากเท่าไรเงินยิ่งมากขึ้น แต่ถ้ากังวลถึงเงินมากเกินไปงานนั้นก็อาจจะออกมาไม่ดีก็ได้ และงานที่ทำพร้อมๆ กันสองคน คนหนึ่งทำเพราะใจรัก อีกคนทำเพราะหวังเงินทอง เมื่อเอามาวางใกล้ๆ กัน ผลที่ชี้ชัด คนที่ทำด้วยใจรักเป็นอย่างไร ดูดีกว่าคนที่ทำเพื่อหวังเงินทองใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยปลูกข้าวไหม หวังอยากให้มันดีมากๆ แต่เก็บเกี่ยวได้ดีอย่างที่คิดไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเราปลูกด้วยใจรัก ปลูกด้วยการลงแรงเอาใจใส่ ลำบากอย่างไรก็อดทนทำผลออกมาย่อมดีกว่าคนที่ทำแบบขอไปทีและหวังแต่เงิน ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกขึ้นอยู่กับใจเรา เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็กลายเป็นไปได้ด้วยใจของเรานั่นเอง
ดูดี จะแต่งองค์ให้งดงามขนาดไหน แต่ถ้าเราขาดจิตใจที่น่ารักแล้วคนนั้นก็กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจได้ทันที แต่ในทางกลับกัน ถึงแม้ปัจจัยภายนอกเราจะไม่สวยแต่ปัจจัยภายในเราพยายามที่จะให้สวยให้งามให้ดี คนก็รักเราได้
แล้วเราทำอย่างไรดีล่ะถึงจะกลายเป็นคนที่น่ารักได้ (ทำดี)  ทำอย่างไรล่ะ เคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหมว่าถ้าได้ส้มหนึ่งใบเอาไปกินก็กินได้แค่คนเดียว เพียงแค่วันเดียว แต่ถ้าได้ส้มหนึ่งใบ แล้วรู้จักแกะแบ่งให้คนอื่นกินก็จะได้กินส้มหลายคน
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเกิดก่อนหรืออารมณ์เกิดก่อน (เราเกิดก่อน)  เกิดเราก่อนแล้วมีอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอารมณ์มันมาชี้ให้เราไปแล้วเราต้องไปตามไหม  ชี้ให้เราต้องตกเหวแล้วเราต้องตกเหวตามไหม  ชี้ให้เราต้องเกลียด เราต้องเกลียดตามไหม (ไม่)  ฉะนั้นเราต้องเป็นนายของอารมณ์  ไม่ใช่กลายเป็นทาสของอารมณ์ถูกหรือไม่ (ถูก)  มาฟังนิทานง่ายๆ เรื่องหนึ่ง
ขี่ม้าแล้วม้าก็พาไป พอขี่ม้าไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าจากที่ที่เคยไปไม่ค่อยจะถึง  ม้าก็สามารถพาไปถึงจนได้  จากที่แต่ก่อนไปแค่นี้ก็หมดแรงแล้ว  แต่ม้าพาไปได้ไกลเท่าที่ต้องการได้ ก็เลยรู้สึกดีใจว่าต่อไปไม่ต้องเดินแล้ว เอาม้าอย่างเดียวนั่นแหละพาเราไปได้ทุกๆ ที่ แต่แล้ววันหนึ่งใช้งานม้าหนักมาก พอม้าป่วยจะไปไหนก็ยังไปไม่ได้ต้องรักษาม้าก่อน  พอม้าดีขึ้นมานิดหนึ่งเขาก็ใช้งานอีก  ปรากฏว่าแทนที่จะหายก็เลยตาย คราวนี้พอจะไปไหนมาไหนก็ไปไม่ไหวแล้ว เพราะไม่มีม้า เดินไปนิดเดียว ก็รู้สึกเมื่อยจังเลย เดินไปอีกนิดหนึ่งทำไมมันลำบากขนาดนี้  พอเจอเข้าอย่างนี้บ่อยๆ ใจไม่สู้แล้วก็เลยไม่ไปไหน จากที่เดินไหวก็กลายเป็นคนขาเปลี้ยหมดแรง ท่านคิดว่าม้าตัวนี้เป็นอะไรในใจเรา
วันไหนรถเสียไม่ไปไหนเลย ไม่ยอมพึ่งตัวเองเลย
ให้เป็นสภาพกลางที่ไม่ทำให้ตัวเองหวั่นไหวได้ แต่ใจที่ยิ่งใหญ่แบบทะเลเป็นใจ
แบบไหน เป็นใจที่ตักเท่าไหร่ก็เหมือนไม่หายไปจากทะเลเลย ตักเท่าไหร่ก็ไม่มีวัน
เหือดแห้งยังเสมือนว่าเท่าเดิม







        คนจะรู้ไม่ลืมรู้หลัก ปัญหาถึงพักเพราะเกาที่คัน หากลืมนานนาน
*       กล่าวถึงคนไม่รู้ ทำผิดหลายครั้ง ไม่โดนโทษนักแต่ผลไม่ต่าง
        คนไม่น้อยทำดีทุกอย่าง เพียงยังดูห่างไม่ทุ่มเทลง เข้าใจหรืองง เรื่องขี้ผงเข้าตา     ( ซ้ำ  * )

                             ชื่อเพลง : คนไม่รู้คือคนไม่ผิด
                             ทำนองเพลง : คุณไม่รักทำไมไม่บอก

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้ทานอาหารเจ อร่อยไหม  ตอนแรกก็ไม่กล้ากิน พอกินแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร  อร่อยจนหยุดไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยเห็นอาหารเจที่มี
แล้วท่านเคยคิดไหมว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดหรือเรื่องที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ บางทีก็สามารถบันดาลได้ด้วยตัวเราเอง อย่างเช่นปลาร้าเจ ท่านคิดออกไหมว่าทำอย่างไร แล้วสมัยก่อนปลาธรรมดาอยู่ๆ กลายเป็นปลาร้าได้อย่างไร
ในโลกใบนี้เรื่องที่มนุษย์คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน (ภายใน)  แต่เรื่องบางเรื่องก็เกิดด้วยความบังเอิญก็มี ปลาร้าอาจจะเกิดมาจากการทิ้งปลาไว้นานจนบูด แล้วคนที่รู้สึกเสียดายที่ปลาร้าต้องบูด ก็เลยเอามาต้ม พอต้มแล้วก็ทำอาหาร คนก็เกิดชอบ ใครจะไปรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรื่องที่บางคนคิดว่ากลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย บางทีถ้าเรารู้จักหาแง่มุม มีปัญญาไตร่ตรองแก้ไขให้ดีก็อาจจะเกิดเป็นสิ่งที่ดีได้ เห็นไหมว่าปลาเน่าๆ ยังกลายเป็นของเอร็ดอร่อยได้ แล้วทุกคนก็ชื่นชอบใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่เราพูดอย่างนี้ไม่ได้สนับสนุนให้มากินปลาร้านะ แต่เราอยากจะ
ถ้าใจเรารู้จักคิดให้ดีก็อาจจะสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นมาได้  ดั่ง
เกิดความแข็งกระด้างเมื่อชำนาญ    เกิดความหวั่นเมื่อยังรู้น้อยอยู่
หลายครั้งที่เวลาทำงานตอนแรกๆ ยังไม่ชำนาญ ยังไม่คล่องจะรู้สึกประหม่า  และก็หวั่นวิตกว่าจะถูกใจไหม จะดีหรือเปล่า แต่พอทำไปนานๆ  ความเชื่อมั่นก็ยิ่งมากขึ้น พอเชื่อมั่นมากขึ้นก็ยึดติดมากขึ้นเป็นเงาตามตัว  เคยเห็นต้นไม้ไหม ตอนมันอ่อนๆ ดัดอย่างไรก็ไปตามนั้น แต่พอยิ่งแก่แล้วเป็นอย่างไร (ดัดยาก)  กลายเป็นแก่วัดแก่วาใช่หรือไม่ (ใช่)  คนก็ไม่ต่างจากต้นไม้  อายุยังน้อย เป็นเด็กพูดอย่างไรก็ยังเชื่อ แต่พออายุมากแล้ว ดัดอย่างไรก็ไม่ไหวแล้ว  พูดยังไงก็ไม่เอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเคยได้ยินไหมว่า ยิ่งแข็งยิ่งใกล้กับความตายมากเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเราจะอายุมาก ถึงแม้ว่าเราจะเรียนรู้มาก จะชำนาญมาก แต่ความอ่อนน้อมต้องขาดไม่ได้ในตัวคน เคยได้ยินไหมว่า ยิ่งบอกว่าตัวเองไม่รู้มากเท่าไหร่ คนยิ่งเพิ่มเติมให้เราได้รู้มากขึ้น แต่ถ้าพูดว่าตัวเองรู้มากเท่าไหร่ คนยิ่งไม่อยากสอนอะไรเรามากเท่านั้น  ฉะนั้นอยากเป็นคนที่มีความรู้เยอะๆ ก็ต้องอ่อนน้อม และบอกว่าตัวเองยังรู้น้อยดีกว่า ใครๆ ก็จะได้มาช่วยเติมความรู้ให้ ต้องยอมโง่ก่อนถึงจะฉลาด ดั่งคำกล่าวว่า ต้องยอมเก่า ถึงจะได้ใหม่
ในเมื่อเราเห็นแล้วว่า เขายิ่งเก่งก็ยิ่งยึดมั่น ยิ่งอัตตาสูงเราเห็นแล้วไม่ใช่กลับรู้สึกโกรธ แต่เราต้องวางให้ได้ก่อน ไม่ใช่เห็นก่อนแต่ผูกความโกรธไว้ อย่างนี้เห็นไปก็ไม่มีประโยชน์  เห็นใครไม่ดีก็ปล่อยวางเสีย ในเมื่อเราเป็นผู้ที่รู้แจ้งก่อนเขา ทำไมเราจึงไม่ปล่อยก่อน
ทำงานธรรมะมีวันเหนื่อยไหม มีวันท้อมีวันล้าไหม  เราอยากบอกว่า ท้อได้ ล้าได้ เหนื่อยได้ แต่เมื่อท้อแล้ว ล้าแล้ว เหนื่อยแล้ว ลุกขึ้นมาสู้หรือเปล่า  ไม่ใช่ท้อแล้ว ล้าแล้ว ก็จมอยู่กับความท้อ ความล้านั้น ไม่ยอมสู้อีก อย่างนี้ก็น่าเสียดายที่เกิดมานะ  ในเมื่อยังมีร่างกาย และจิตใจ อย่าเป็นคนยอมแพ้อะไรง่ายๆ ลมหายใจยังมีวันเข้าแล้วก็ออก คนเราบางครั้งมีความเข้มแข็ง แต่บางวันก็มีความอ่อนแอเป็นธรรมดา แต่เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วต้องกลับมาเข้มแข็งอีกให้ได้
มนุษย์โลกนั้น ถึงแม้ว่าสายตานี้จะจำกัด มองอะไรก็มองได้ไม่ไกลมาก หูก็ฟังได้จำกัด แต่ปัญญาและจิตใจทำให้มนุษย์สามารถมีตาเหนือตาคนอื่นได้ มีหูที่ได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิดได้ แต่อยู่ที่ว่าใจเรานั้นจะวางใจยังไง เราถึงจะสามารถมีปัญญาที่เลิศล้ำและมีหูที่กว้างไกล
ในโลกนี้ใครๆ ก็ชอบความรัก เป็นที่รักดีกว่าเป็นที่ชังใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราเคยรักอะไรบ้างในโลกนี้ (พ่อแม่)  บางคนบอกว่ารักพ่อรักแม่ รักตอนที่ท่านจากไปแล้วหรือรักตอนที่ท่านยังอยู่ กระทำดีกับท่านตอนที่ท่านยังอยู่หรือตอนที่ท่านจากไปแล้ว ดีตอนจาก รู้คุณค่าตอนท่านจากไปแล้วใช่หรือไม่ อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)
วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องความรักดีไหม (ดี)  ใครๆ ก็ชอบที่จะมีรัก เรามาเริ่มต้นเรียนรู้จากการรักตัวเองให้เป็นก่อน ถ้ารักตัวเองเป็นแล้วรักผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเกิดเรารักตัวเองไม่เป็น การรักผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่สับสนเหลือที่
เราทำอย่างไรล่ะถึงจะรักตัวเองเป็น เทียบง่ายๆ เรารักชอบการวาดภาพ รักชอบการปรุงอาหาร หรือรักชอบการแต่งตัวสวยงาม เมื่อเรามีความรักชอบ พอรักชอบแล้วเราก็มีจิตใจที่มีความสุขที่ได้ทำ สามารถบันดาลหรือทำอะไรๆ ได้อย่างเต็มที่ ด้วยใจที่เรารัก ด้วยใจที่เราชอบได้
ฉะนั้นสิ่งที่รักชอบมีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อมนุษย์มีใจรักสิ่งใดก็ตามเราจะสามารถทุ่มเทกับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่และมีความสุข สามารถทำสิ่งที่ธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา และสามารถทำสิ่งที่ขี้เหร่อัปลักษณ์ให้กลายเป็นสิ่งที่สวยงามได้ขอเพียงเรามีใจรัก ฉะนั้นทุกหน้าที่หรือทุกๆ คนล้วนปรารถนาว่าขอให้คนนั้นรักเราเถอะ ถ้ารักแล้วเขาจะอยู่กับเราอย่างมีความสุข และเขาจะเต็มที่กับเราทุกๆ อย่าง หรือในหน้าที่การงานใดก็ตาม ขอให้ลูกน้องทำด้วยใจรัก ถ้าเขาทำด้วยใจรัก เขาจะเต็มที่และมีความสุข และทุ่มเทกับงานด้วยใจจริงใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ามนุษย์เราอยากมีความสุขในสิ่งใด จงรักสิ่งนั้น ถ้าเรารักเราก็พร้อมจะทุ่มเท และก็พร้อมจะมีความสุข และก็พร้อมจะสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่คาดคิดให้กลายเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อได้  อย่างเช่นง่ายๆ คนสวยกับคนไม่สวย คนส่วนใหญ่รักคนสวยหรือคนไม่สวย (คนสวย) แรกๆ เราคงเลือกคนสวย แต่ถ้าคนสวยมีใจที่ไม่น่ารัก แต่คนไม่น่ารักกลับมีใจที่สวยงาม อยู่นานไปเรากลับเปลี่ยนใจไปรักคนไม่สวยมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าลืมนะว่าแม้ปัจจัยภายนอกจะส่งเสริมขนาดไหน แต่ถ้าปัจจัยภายในไม่ส่งเสริมด้วยความน่ารักนั้นก็เปล่าประโยชน์ คนเราถึงแม้ภายนอกจะ
แล้วทำอย่างไรล่ะถึงจะเป็นคนดี (ต้องเป็นคนเสียสละช่วยเหลือคนยากจน)  ทำอย่างไรล่ะถึงจะเป็นคนน่ารัก ไปช่วยคนไกลแต่ไม่เคยมีน้ำใจกับคนใกล้บ้านก็ไม่ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ดัดนิสัยตนเองให้เป็นคนดี, มีอะไรก็แบ่งปัน, ทำความดีไม่ให้ตนเองเดือดร้อน)  ทำความดีแล้วมีเดือดร้อนด้วยหรือ (เวลาบริจาคอะไรแล้วทำเกินตัว)  ต้องรู้จักประมาณตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ส่วนใหญ่พอให้อะไรใครไปแล้วต้องได้รับคำขอบคุณตอบ แต่เคยไหมเวลาให้อะไรไปแล้วพูดว่าขอบคุณนะที่ช่วยรับ เคยไหม ลองคิดอย่างนี้บ้างสิ เราจะได้ไม่หวังผล เพราะว่าดีที่เขารับเราจึงได้เปิดใจเสียสละ
(กตัญญูรู้คุณ, มีความปรารถนาดีแก่ผู้อื่น, พูดเพราะๆ )  พูดเพราะแต่หน้าบึ้ง ให้ของคนแต่หน้าไม่เต็มใจให้ คนรับก็ไม่อยากรับ พูดเพราะแต่เหมือนปากหวานก้นเปรี้ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พูดดี คิดดี มีความเสียสละ, คิดดีพูดดีทำดี)  คิดดีพูดดีทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งคนทำตัวน่ารักก็อดคิดร้ายไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ่อยครั้งที่เราอยากจะเป็นคนน่ารักแต่ใจก็อดคิดร้ายคิดระแวงไม่ได้อยู่เสมอๆ ใช่ไหม (ใช่)  ในมนุษย์เรามีสองใจเสมอ ใจหนึ่งคืออยู่ฝ่ายธรรมะ อีกใจหนึ่งคืออยู่ฝ่ายอธรรม เมื่อไรใจอยู่ฝ่ายอธรรมมีแรงมากกว่าใจฝ่ายธรรมะ เราก็เผลอทำผิดทำพลาด ทั้งที่จริงๆ แล้วอยากเป็นคนดีอยากเป็นคนน่ารัก พอพลาดหนึ่งครั้งหรือสองครั้งก็ปล่อยให้ตัวเองเลวร้ายลงไปอีกตกต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้น เมื่อไหร่ที่มีความไม่ดีเกิดขึ้นในจิตใจตั้งสติไว้นะ แล้วถามตัวเองว่าเราจะปล่อยให้อารมณ์ หรือความรู้สึกหรือใครก็ตามที่มากระทบกระแทกใจเรา เผาลนใจให้เรายิ่งแย่ลงไปหรือเปล่า หรือใครก็ตามที่มาทำร้ายเราให้เจ็บปวดนั้น เราอยากปล่อยให้เขาลากถูลู่ถูกังเราตามไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่เขากำลังทำไหม  ถ้าเกิดเขามากระทบใจหรือมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราคิดดีไม่ได้  เราตั้งสติแล้วถามตัวเองว่าถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเราไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาบังคับใจสักพักหนึ่ง เชื่อไหมว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ ถ้าเราไม่เพิ่มน้ำหนักให้อารมณ์เราไม่ปล่อยตัวปล่อยใจ
มนุษย์เกิดมาไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นทาสของอารมณ์  ถามท่านนะ
มีชายคนหนึ่งแต่ก่อนไปไหนมาไหนก็อาศัยเท้าสองข้างนี่แหละ ไกลขนาดไหนก็ไปได้ ลำบากลำบนก็เดินไหว  แต่พอไปได้สักพักหนึ่ง มีคนบอกว่าทำไมไม่ลองซื้อม้าสักตัวหนึ่งล่ะ แล้วให้ม้าตัวนี้พาไปไหนมาไหนจะได้ไม่ลำบาก  เขาก็เห็นดีด้วย พอซื้อม้ามาได้หนึ่งตัว จากที่ไปไหนเคยใช้เท้าเดินไปก็ไม่ต้องใช้
(เป็นตัวของเรา)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เป็นร่างกายของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใช้งานมากๆ มันก็เหมือนม้า ป่วยเดินไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่านอกจากเป็นร่างกายแล้ว
ม้าสามารถเป็นอะไรได้อีกไหม เป็นคนรักเราได้ไหม (ได้)  ตอนแรกเราไม่เคยมีคนรัก พอมีคนรักก็รู้สึกดี พาไปไหนต่อไหน แต่พอไม่มีคนรักก็เหมือนอยู่คนเดียวไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(เป็นพาหนะ)  ก็จริงนะบางคนไปไหนมาไหนติดกับการต้องขับรถ
(สิ่งดีในใจเรา, เป็นสิ่งของที่ไม่ควรยึดติด)  แล้วของอะไรล่ะ (ของนอกกาย)  ของนอกกายอะไรล่ะ เงินเป็นม้าได้ไหม มนุษย์มักจะบอกว่าต้องมีเงิน พอมีเงินไปไหนมาไหนได้คล่อง ไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่พอไม่มีเงินก็ไปไหนมาไหนไม่ได้  จริงหรือ  ไม่มีเงินไปไหนมาไหนได้ แต่ต้องยอมลำบากหน่อย อาศัยขาสองข้างที่เรามี อาศัยกำลังใจที่สู้ไม่ถอย ไกลขนาดไหนก็ไปถึงได้
(เป็นเหมือนผู้มีพระคุณ)  ม้าบางทีเหมือนพ่อแม่เรา ที่ให้คุณกับเรา สามารถทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ สามารถทำให้เรารู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้
(เป็นเพื่อนที่รู้ใจ) พอขาดไปใจก็เลยสลาย ฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าในโลกนี้ถ้าเรารู้ว่าสิ่งนี้มีคุณค่า เราเรียนรู้ที่จะรัก ในความรักนั้นเราต้องรู้จักเติมความเข้าใจ เติมปัญญา เติมความเพียร และเติมความอดทนด้วย อย่ารักอย่างเดียวอย่างหน้ามืดตามัว
อยู่ในโลกไม่ว่าจะเป็นลูก ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ เราต้องรักด้วยจิตใจที่มีความอดทนได้ด้วย รักด้วยจิตใจที่ใช้ปัญญาเป็นด้วยแล้วความรักจะไม่ทำให้ตาของเรามืดบอด เมื่อใช้ความรักด้วยปัญญาด้วยสติ ด้วยความอดทนและความเพียร ถ้าเมื่อไรความรักนั้นเกิดปัญหาขึ้นมา เราจึงต้องไตร่ตรองให้ดีว่าเรารักอย่างบีบคั้นหรือว่าเรารักอย่างครอบครองไหม หรือว่าเรารักอย่างรีบร้อน ให้เกิดผลทันทีหรือเปล่า ถ้าเป็นความรักที่ฝืนธรรมชาติ เป็นความรักที่บีบคั้น เราต้องรีบแก้ไข ไม่อย่างนั้นแล้วความรักจะกลายเป็นของขม และทำร้ายหัวใจ ฉะนั้นรักต้องรักให้เป็นนะ แล้วเราจะสามารถอยู่ในโลกกับทุกคนได้อย่างมีความสุข
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทคนไม่รู้คือคนไม่ผิด ทำนองเพลง คุณไม่รักทำไมไม่บอก)
คนไม่รู้คือคนไม่ผิด แต่อย่าเอามาอ้างตัวเองบ่อยๆ นะว่าตัวเองไม่รู้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้น และผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมกันร้องเพลง)
เรื่องราวในโลกนี้ไม่มีทางที่ทุกท่านจะเรียนรู้ได้หมด แต่สิ่งที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ไวยิ่งขึ้น นั่นก็คือ การรู้จักรับฟัง การรับฟังจะทำให้เราเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น การเอาแต่อ่านจะทำให้เรารู้น้อย แต่การรับฟังคนอื่นมากๆ นั้น ก็เหมือนย่อจากคนที่เขาอ่านแล้วมาพูดให้เราเข้าใจยิ่งขึ้น  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รับฟังทั้งคำติ และคำชม อย่าเลือกแต่คำที่ชมคำที่หวาน บางครั้งคำแรงๆ คำกระแทกก็ต้องรู้จักเอามาพิจารณาด้วย
วันนี้ลองดูหน่อยไหมว่า ใจของมนุษย์เรานี้กว้างใหญ่ขนาดไหน เราคิดว่าใจเรากว้างหรือแคบ (กว้าง, แคบ)  มีทั้งบอกว่าแคบและบอกว่ากว้าง  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ก็ไม่ยากเลย เอาคำติกับคำชมนั่นแหละ มาเป็นตัววัดใจของเราเวลาเราโดนคนว่าก็เหมือนเขาตักน้ำออกจากใจเรา ตักแล้วน้ำพร่องไปแล้วกลับมาเต็มเหมือนเดิมได้อีกไหม หรือพร่องเท่าไรก็เท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นใจของเราก็เหมือนกับน้ำในหนองในบึง ถูกวิดขึ้นมาแล้ว ยิ่งถูกวิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแห้ง
ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้ก็คือใจเราแคบ  ใช่ไหม (ใช่)  โดนใครว่านิดหนึ่ง ก็เหมือนน้ำในหนองในบึงถูกตักออก มีแต่แห้งลงๆ  แต่ถ้าหากว่าโดนใครว่าทีหนึ่ง ตักไปแล้วก็กลับมาเต็มได้เหมือนเดิม โดนใครชมทีหนึ่งแม้จะเพิ่มอย่างไรก็ยังกลับมาเท่าเดิมได้ คนนี้ใจก็เหมือนแม่น้ำที่กว้างขึ้นมานิดหนึ่ง หรือตาน้ำที่พร้อมจะให้กำลังใจตัวเองขึ้นมาใหม่ สามารถแปลคำติคำชม
ฉะนั้นการอยู่ร่วมกับคนจึงเป็นการฝึกใจที่ดี ทำอย่างไรเราถึงจะสามารถอยู่ร่วมกันคนแล้วประสานกลมกลืนแล้วใจกว้างใหญ่ได้ ง่ายๆ คิดดีเข้าไว้จะได้ช่วยลดทอนความเลวร้ายในใจที่มันอยู่นี้ เมื่อไรที่เราคิดดีตลอดความเลวร้ายก็ยากจะส่งผลทำร้ายตัวเราแล้วออกไปทำร้ายผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าเขาคงมีเจตนาดีแม้จะพูดไม่เพราะ คิดให้อภัย คิดเมตตา พยายามเข้าใจ การคิดดีเข้าไว้จะช่วยลดทอนความเลวร้ายที่อยู่ในใจให้หมดอำนาจและทำให้เรามีความสุขได้  ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกเรารักทุกคนไม่ได้ ยังเลือกที่รักมักที่ชัง เราก็ยังฝึกจิตใจให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในโลกนี้ไม่ได้ ต้องรักทุกคนเท่าๆ กัน ต้องมีจิตเมตตาทุกคนเท่าๆ กัน ถ้าฝึกจิตอย่างนี้ได้การจะหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ก็เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้ายังฝึกจิตตรงนี้ไม่ได้ก็ยากจะพ้นทุกข์
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ก่อน เรื่องสุดท้ายที่อยากจะบอกก็คือ มนุษย์เฝ้าแสวงหาทรัพย์กัน  ทรัพย์ที่หาเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอสักที  ถ้ารู้จักแต่หา แต่ไม่รู้จักให้ คนนั้นก็ไม่มีวันเติมเต็มหัวใจของการหาได้พอสักที วันนี้ที่มั่งมีอยู่ได้เพราะว่าแต่ก่อนเคยสร้างบุญสร้างกุศลมา แต่ถ้าวันนี้เกิดมาเป็นคนที่ยังไม่ค่อยมั่งมีแล้วอยากจะเป็นคนมั่งมี ก็จงรู้จักสร้างบุญสร้างกุศลขยันหมั่นเพียรในการประกอบสัมมาอาชีพ ไม่กลัวความยากลำบาก ไม่เลือกงานหนักไม่เลือกงานเบา อดทนเพียรพยายามต่อสู้กับอุปสรรคทุกๆ อย่าง แม้แต่ก่อนไม่มี แต่ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ย่อมมีจนได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเกิดมามีเงินแล้วรักแต่สบาย เกียจคร้านเลือกงาน ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แม้วันนี้มีแต่ต่อไปความมีนั้นก็ย่อมหมดได้  อยากร่ำรวยต้องรู้จักให้และก็ต้องรู้จักขยันซื่อตรง  เงินอยู่ไม่ไกลหรอก อยู่ที่มือและใจเราขยันหรือไม่
วันนี้ก็ขอผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงง่ายๆ สั้นๆ แค่นี้ มาในโลกนี้ก็ต้องไป ไม่มีใครมาแล้วอยู่ยงคงกระพัน  ฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่จงใช้คุณค่าแห่งชีวิตนี้ให้ดีที่สุด เพื่อให้ประโยชน์กับผู้อื่นมากที่สุด อย่ามีชีวิตเพียงเพื่อตนเองและเห็นแก่ตนเองจนเกินไปเลย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและหน้าชิงชัง  ไม่ใช่มาเพื่อให้เชื่อในเรื่องเข้าร่างเข้าทรงนะ แต่มาเพื่อประจักษ์หลักฐานเกี่ยวกับหลักสัจธรรมที่มนุษย์สามารถประพฤติปฏิบัติและนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ เริ่มต้นที่การดำรงชีวิตที่ถูกต้องและดีงามก่อน ถ้ายังดำรงชีวิตอย่างถูกต้องไม่ได้ ดีไม่ได้ จะพูดถึงความหลุดพ้นก็เป็นเรื่องยาก มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ
ประวัติโดยย่อของท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ท่านหลันต้าเซียนเกิดในราชวงศ์ถังของจีน ในแปดเซียนมีเจ็ดท่านเป็นผู้ชาย หนึ่งท่านเป็นผู้หญิง ท่านเป็นชายและเป็นองค์ที่อาวุโสน้อยที่สุด เมื่อวัยเยาว์ท่านเป็นบุตรกำพร้าไม่มีพ่อแม่ และฐานะยากจน ในแปดเซียนท่านเป็นองค์ที่ไปไหนก็สบายๆ ปลงตกได้ ตอนที่ท่านบำเพ็ญ แต่ละวันท่านก็ร้องเพลงสนุกสนาน ในหน้าหนาวท่านก็จะนอนบนที่มีหิมะ หน้าร้อนท่านก็ใส่เสื้อกันหนาว ใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว ถ้าท่านมีเงินท่านก็นำไปช่วยคน ช่วยเหลือเด็กๆ คนที่เคยเห็นท่านตั้งแต่เขายังหนุ่ม จนตัวเขาแก่ชราแล้วก็ยังเห็นท่านเป็นวัยรุ่นเหมือนเดิม จึงประจักษ์ได้ว่าท่านสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตอนที่ท่านสำเร็จธรรม ท้องฟ้ามีแสงเป็นสายรุ้งงดงาม ท่านมีของวิเศษประจำกายเป็นกระเช้าดอกไม้
วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๔๙  สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อย่าได้กล่าววาจาที่เป็นเท็จ              อย่ากล่าวคำอันเป็นเหตุให้แตกแยก
คนรู้มากชอบหลงเรื่องที่ว่าแปลก         ใจเป็นแฉกศิษย์ยังหลงอยู่ร่ำไป
                   เราคือ
  อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา      ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ   แฝงกายกราบเบื้องหน้า
องค์มารดา แล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะเข้าใจหรือเปล่า

  อย่าไปเครียดอย่าไปรอเฉลย            ใจวุ่นเลยง่ายกลับยากแก้ไข
ความทุกข์เอ๋ยศิษย์ข้าขื่นฤทัย             ขออย่าได้เชยชิดลืมเวลา
อารมณ์เศร้าลิขิตคิดแทบไม่ออก          วิตกนอกใจประดังไม่ร้อนหน้า
ใจแกร่งเรื่องคล้อยตามเป็นธรรมดา      เที่ยวติดทุกอย่างหนาวัฏฏะวน
ใช้กำลังกันขัดกันใช่เมธี                   ความล้าอ่อนยามนี้เมื่อไหร่พ้น
มีสติอยู่ในการปฏิบัติตน                   อุปาทานแกร่งยิ่งทุกข์ทนเป็นพยาน
คนเก่งกว่าเมื่อเคลื่อนชนะตาม           ฉกาจยามแกร่งนั้นหวั่นแสนหวั่น
ฉลาดแต่หมั่นยอมให้นานนาน             คนจริงเรื่องรับทรมานไม่สะพรึง
                                                                         ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
การพูดธรรมะเป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  การพูดดีเป็นเรื่องง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  การพูดดีก็คือการพูดธรรมะเพราะฉะนั้นเมื่อไรที่เราพูดดีก็คือพูดธรรมะ อย่างนี้แล้วทุกคนพูดธรรมะ ได้หรือไม่ (ได้)  แต่โดยส่วนใหญ่เรามีคำพูดที่ดีและมีคำพูดที่ไม่ดีไปในคำพูดจาของเราด้วยในหนึ่งวันเสมอ  ทำอย่างไรจึงจะถอดคำพูด ถอดความคิดที่ไม่ดีออกไปแล้วเหลือไว้แต่คำพูดที่ดีๆ (ตั้งจิตให้มั่น ระงับความโกรธไว้ในจิตใจ ไม่แสดงออกมา)  อันนี้ก็เป็นคำพูดดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาพูดธรรมะอยู่ไหม (พูดอยู่) ถามว่าทุกคนทำได้ไหม (ทำได้)  อย่างนั้นกลับไปห้ามด่าว่าคน ห้ามบ่นทำได้ไหม เด็กๆ ห้ามเถียง ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดเพื่อยุแยง ทำได้ไหม (ทำได้)  คนมักไม่กล้าที่จะพูดให้ผู้อื่นผิดใจ แต่เรากล้ายุแยงตะแคงรั่ว ขัดกันหรือเปล่า (ขัดกัน) เราไม่กล้าพูดให้คนอื่นผิดใจแต่เรากล้าที่จะพูดยุแหย่ จริงไหม (จริง)
รู้ว่าเขาทำผิดแต่เราไม่กล้าพูดว่าเขา ทำไม่ถูกใช่ไหม ไม่ค่อยกล้าพูด ถ้าไม่สนิทไม่พูดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าเราเอาเรื่องคนๆ นั้นไปนินทาให้ผู้อื่นฟังเป็นการพูดยุแยงตะแคงรั่ว กล้าไหม  จริงๆ จะบอกว่ากล้าก็ไม่ค่อยกล้าเพราะต้องแอบพูดเบาๆ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พูดเบาๆ แสดงว่าดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  มนุษย์โลกคิดอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้ว่าเราจะเอาคำพูดที่ไม่ดีออกไปจากคำพูดดีๆ ของเราได้อย่างไร
ประการแรกง่ายๆ คือคิดก่อนที่จะพูด ยิ่งคิดมากเท่าไรก็ยิ่งพูดน้อยลงเท่านั้น คนที่มีคุณธรรมจึงเป็นผู้ที่พูดน้อย หากเราทำได้เราก็กลายเป็นผู้มีคุณธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะบำเพ็ญคุณธรรม ทำยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าทำตนให้ดีไม่ยาก ทำตัวให้มีคุณธรรมไม่ยาก ยากตรงที่ไม่ยอมทำ
มนุษย์แต่ครั้งโบราณไม่ได้ยินดีที่ความยากจนหรือความร่ำรวย ประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ต้องวางแผน เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็ไม่ยโส ฟังอย่างนี้แล้วเราเป็นเหมือนคนโบราณหรือเปล่า จริงๆ แล้วศิษย์ที่นี่มีความใกล้เคียงกับคนโบราณมาก ศิษย์ทุกคนมีชีวิตเรียบง่ายสมถะ ซึ่งผู้ที่บำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์นั้นจะต้องมีชีวิตที่เรียบง่าย ศิษย์นั้นก็เป็นคนที่ทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรมได้ ศิษย์นั้นก็มีคุณธรรมอย่างผู้ที่อยู่ในสมัยโบราณ หากพูดอย่างนี้แล้วการบำเพ็ญธรรมก็ไม่ยาก ดูไปดูมาก็อยู่ที่ตัวเราเอง ถามว่าบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร (เพื่อหลุดพ้น) ฟังคำว่าหลุดพ้นสูงอีกแล้ว ถามว่าทุกวันนี้ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์)  อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ต้องทำอย่างไรทุกข์ (ต้องดับทุกข์)  เมื่อทุกข์ดับเรียกว่านิพพาน
ฉะนั้นการที่จะไปนิพพานได้ก็ต้องหลุดพ้น การหลุดพ้นไกลหรือไม่ไกล หลุดพ้นไกล นิพพานไกล แต่ดับทุกข์ไกลไหม (ไม่ไกล)  เราดับทุกข์ตัวเราก็ถึงนิพพานเลย แต่เป็นนิพพานที่ตัวเราเอง ที่ใจเราเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์พูดฟังยากหรือเปล่า (ไม่ยาก)  จริงๆ แล้วทุกๆ คนในโลกนี้พูดฟังไม่ยาก แต่เรามักจะไม่ได้มองในคำพูดของคน คนทุกวันนี้ชีวิตมีความสุขน้อยลงเรื่อยๆ ตอนเด็กๆ เหมือนความสุขจะมีเต็มแก้ว โตไปความสุขยิ่งลดน้อยลง บางคนแม้กระทั่งแก้วเปล่ายังไม่สามารถนิยามได้ ต้องเป็นแก้วที่น้ำเหือดหายจนตกไว้จนเป็นคราบสีขาวๆ เลย คือความสุขนั้นหาไม่ได้เลยในชีวิต แต่ถามว่าความสุขนั้นเคยอยู่กับเราไหมในชีวิต (เคย)  แล้วความสุขนี้คนอื่นเอามาให้ ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ทุกวันนี้เราให้ความสุขของเราขึ้นอยู่กับมือ คำพูด สีหน้า สิ่งรอบๆ ตัว ขึ้นอยู่กับโลกนี้ กับเงินทอง กับปากท้องด้วย  ถ้าหากว่าเราได้อย่างที่เราคิดทุกอย่างเราจะมีความสุข จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่าความอยากของศิษย์มีมากไหม (มาก)  ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะได้อย่างที่เราอยากได้ทุกอย่าง (ไม่ได้) เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เราอยากได้เป็นไปไม่ได้เราจึงต้องทำความอยากของเราให้น้อยลง อยู่ดำรงชีพให้เหมาะสมกับตน เราจึงจะมีความสุขมากขึ้น ตอนนี้ข้าวสารมีน้อยแทบไม่พอกรอกหม้อ เงินในกระเป๋าก็ไม่ค่อยพอใช้ แต่ว่าความสุขของเราอยู่ที่ไหน (ความสุขอยู่ที่ใจ)
ใจต้องการเงินทองไหม (ต้องการ)  ใจก็เลยทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจต้องการเงินทองน้อยกว่าที่มีอยู่ในกระเป๋า มีทุกข์ไหม (ไม่มี)  ถ้าใจต้องการเงินน้อยกว่าเงินที่อยู่ในกระเป๋า เราก็จะไม่มีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นควักออกมาดูว่าเงินในกระเป๋าเรามีอยู่เท่าไหร่  สมมติว่าตอนนี้เงินในกระเป๋าเรามีอยู่ห้าสิบบาท เราต้องมีความต้องการน้อยกว่าห้าสิบบาท เราถึงมีสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้ไหม ทำยากไหม ถามว่าในกระเป๋ามีเงินอยู่หนึ่งพัน จะเอาไปทำอะไร มีเงินอยู่หนึ่งพันก็เก็บเงินหนึ่งพันไว้ในกระเป๋านั่นแหละ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถามว่าจะนำเงินไปทำอะไร  บอกว่ามีเงินเยอะๆ ทำให้ใจเย็นหน่อยใช่ไหม ถามว่าตอนนี้ใจเย็นหรือเปล่า (ใจเย็น)  เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาดูว่า จริงๆ แล้วความอยากที่เรามี เราอยากเพื่ออะไร ถ้าเราอยากเพื่อตัวเองได้ เพื่อตัวเองสมบูรณ์ เพื่อตัวเองพอใจ อย่างนี้เป็นกิเลส อย่างนี้ไม่ทำให้เกิดความสุขมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์จึงบอกว่า ดำรงตนพอเท่าที่ตัวเรามี
คนในโลกนี้มีคนสูง คนต่ำ คนดำ คนขาว คนรวยคนจน แต่ถามว่าทุกคนรวยจน ดำขาว เท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน)  เมื่อศิษย์มองออกไปข้างนอก มองไปด้วยสายตาอันแจ่มชัด ก็เห็นอยู่แล้วว่าโลกนี้มันไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นศิษย์จะทำให้ทุกคนรวยเหมือนกันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วศิษย์เป็นคนจนในนั้นเป็นอะไรไหม  ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนรวย คนอื่นก็เป็นคนจนซินะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเป็นคนจนคนอื่นจะได้รวยดีไหม (ดี)  ไม่ใช่ว่าอาจารย์สอนศิษย์บ้าๆ บ๊องๆ นะ แต่อาจารย์อยากจะให้ศิษย์เกิดความพอใจในตนเอง  เกิดมาหากสายตาสั้น เกิดมาหากผมหยิก เกิดมาหากไม่สวย เกิดมาหากมีเท่านี้ก็พอใจเท่านี้ เพราะว่าอะไร สิ่งที่มีค่า ไม่ใช่นอกกาย ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์นั้นส่องกระจกแล้วมองเห็นนี้
สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาคืออะไร (จิตใจ)  สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ จิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเราสวยงามไหม (สวยงาม)  จิตใจของเราสวยงาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีค่าที่สุดตั้งแต่เกิดมาคือ จิตใจ อยู่กับเราตลอดไม่ว่าจะยากดีมีจน อยู่กับเราตลอดไม่ว่าเราจะท้อ หรือเราจะมีกำลังใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจิตใจนั้นอยู่สู้กับเราเสมอ แต่ถ้าเราสู้ปากท้องของเราไม่ได้ แสดงว่าเราเป็นคนกลัวลำบากหรือเปล่า ถึงเราจะกลัวลำบากหรือไม่ เราก็ลำบากอยู่แล้วจริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นเราอย่ากลัวในสิ่งที่ตนเองเป็น
ศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว  ไม่ว่าศิษย์นั้นจะมีคู่อริ ศัตรู ไม่ว่าศิษย์นั้นจะได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากได้ ไม่ว่าศิษย์นั้นจะเป็นอะไร ศิษย์ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้วในโลกนี้  ใจของเราก็ยังเป็นใจที่ตรงดีอยู่ คือ ยังคิดดีได้ ยังพูดดีได้ ยังแยกแยะผิดถูกออก  ถ้าหากว่าใจของเราบ้าๆ บอๆ เหมือนคนที่สติไม่เต็มที่ศิษย์เห็นทั่วๆ ไป อย่างนั้นเขาบกพร่อง ศิษย์ไม่บกพร่องเลย จิตใจของศิษย์นั้นกลมและสวยงาม ถึงแม้ตอนนี้จะแปดเปื้อนด้วยกิเลส แต่ก็ยังสวยงามอยู่ ทุกคนยังสวยงามอยู่ ฉะนั้นอาจารย์จึงไม่กลัวเลยที่จะเลือกให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรม และอยากให้ศิษย์บำเพ็ญเพื่อให้ตัวเองนั้นหมดทุกข์ เพื่อไปให้ถึงความดับทุกข์ อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนทำได้ แต่ ณ. วันนี้บางคนอาจจะทำน้อยเกินไป
เมื่ออาจารย์ให้มองไปที่โต๊ะพระ ศิษย์เห็นอะไร ใครเห็นตะเกียงยกมือขึ้น ใครเห็นผลไม้ยกมือขึ้น ใครเห็นองค์พระยกมือขึ้น เห็นไหมว่าคนมีความหลากหลาย เมื่อบอกว่าตรงนี้เห็นอะไร แต่ละคนก็เห็นไม่เหมือนกัน บนโต๊ะพระโต๊ะหนึ่งมีความหลากหลายที่อยู่บนนี้ เปรียบเสมือนเรื่องราวและปัญหาที่ศิษย์เจอเรื่องหนึ่ง บางคนนั้นมองเห็นดอกไม้ก่อนหรือบางคนเห็น บางคนมองเห็นองค์พระก่อน บางคนมองเห็นตะเกียงก่อน บางคนมองเห็นธูปก่อน กระถางธูปก่อน แต่ละคนมองเห็นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะให้ทุกคนคิดอะไรๆ ออกมาเหมือนกันได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อศิษย์นั้นแก้ปัญหาให้ตัวเองศิษย์ก็แค่รู้จักตัวเองให้มากขึ้น เมื่อศิษย์แก้ปัญหาผู้อื่น ต้องรู้ว่าเขาคิดอะไร ทำไมถึงทำอย่างนั้น ศิษย์ถึงจะช่วยคนอื่นแก้ได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้จักตัวเองมากพอ ย่อมแก้ปัญหาให้กับผู้อื่นไม่ได้
การฟังให้เข้าใจมีผลมากต่อการปฏิบัติในวันข้างหน้า ถ้าหากว่าสิ่งใดที่เราไม่เข้าใจ เราก็ย่อมปฏิบัติไม่ได้ หรือเมื่อปฏิบัติก็ปฏิบัติอย่างผิดๆ  ถูกๆ  เพราะฉะนั้นการที่ฟังธรรมะให้เข้าใจ ก็เพื่อปฏิบัติให้มีความถูกต้อง อย่าคิดว่าเราฟังธรรมะมานาน บำเพ็ญมานานแล้ว จะคิดได้อย่างถูกต้องเสมอไป คนนั้นมักจะเผลอออกนอกเส้นทางเสมอ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญจึงมีคำกล่าวว่า ย้อนมองส่องตน สำรวจตนเอง ทบทวนและแก้ไข คนยิ่งเดินทางนานเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องสำรวจและแก้ไข พิจารณาตนเองให้มากๆ  ความหลงไม่เข้าใครออกใคร ทุกคนอาจเป็นผู้หลงได้ หากว่าเราให้คนอื่นมาเตือน แสดงว่าเรานั้นแย่จนเกินไป แต่หากเมื่อคนอื่นเตือนแล้ว เรายังไม่ชอบใจฟัง เราก็ยิ่งแย่มากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเวลาที่คนอื่นมาบอกว่าเราไม่ดี เราโมโหหรือไม่ (โมโห)  ถามว่าดีไหม (ไม่ดี) ก็ไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกนี้มีคนพูดตรงๆ  บ้างดีหรือเปล่า (ดี)  แต่เราอย่าเป็นคนพูดตรงเสียเอง เพราะคนพูดตรงมักปากแตกจริงหรือเปล่า (จริง)  เราจะพูดตรงอย่างไรไม่ให้ปากแตก พูดอ้อมๆ คนก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามีใครมาบอกเราว่า เราไม่ดีตรงไหน ถึงแม้ว่าคำพูดเขาจะไม่น่าฟังศิษย์ว่าคนๆ นี้หวังดีกับเราไหม (หวังดี)  เวลาเราไปส่องกระจก มีอะไรติดฟัน ติดหน้า หรือติดผม เรารู้ไหม (รู้)  แต่พฤติกรรมของเราต้องให้ผู้อื่นเป็นคนส่องจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนจ้องจับผิดเราอยู่เต็มไปหมด แสดงว่าเขารักเรามาก จนมองไม่เห็นคนอื่นในสายตา นอกจากเรา ศิษย์คิดอย่างนี้แล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  คิดอย่างนี้ดีกว่า ความคิดร้ายๆ ที่มีมาไม่ทำให้อะไรดีขึ้น คิดดีขึ้นหน่อย ชีวิตก็ถูกยกระดับมากขึ้นหน่อย ทำดีขึ้นอีกหน่อยจิตใจก็สูงส่งขึ้นอีกจริงหรือไม่ (จริง)
การที่บอกว่า ถ้าหากทำดีเดี๋ยวถูกคนอื่นเขาเอาเปรียบ เราขาดทุน เป็นความคิดของผู้ที่ไม่ศึกษาธรรม แต่ในวันนี้เราศึกษาธรรมแล้ว สิ่งที่คนอื่นเขาว่าเราเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี)  บางคนถูกว่าทุกวันเลยคนที่ถูกว่าทุกวัน ถูกว่าทั้งวัน ถูกว่าไม่ซ้ำคน เป็นการที่เราได้ฝึกความอดทน คนจริง คนเหนือคน คือคนที่ทนในสิ่งที่ผู้อื่นนั้นทนไม่ได้อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะถูกว่า จนกว่าศิษย์จะทนตัวเองไม่ได้ แล้วแก้ไขตัวเองเสีย
ทุกคนยอมรับอยู่แล้วว่าตัวเองมีสิ่งที่ไม่ดี คนอื่นที่ว่าเรานั้น เป็นเพียงเขามาสะกิดเรา แต่ถ้าเราไม่สะกิดตัวเองบ้าง เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ย จงแก้ไขตัวเอง ในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าเราผิด เราก็แก้ไขสิ่งนั้น อาจารย์ให้ศิษย์นั้นแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อาจารย์ให้ศิษย์นั้นแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองนั้นรู้อยู่แล้วว่าตัวเองนั้นผิด เพราะว่าความรู้สึกผิดของเรานั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนี้ผิดอย่าง พรุ่งนี้ผิดอีกอย่าง มะรืนผิดอีกอย่าง เรายังเป็นมนุษย์ผู้มีความผิดอยู่ประจำ ฉะนั้นแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองรู้ว่าผิด หากเป็นคนที่รู้สึกว่าความผิดข้อนั้นแก้ยาก ให้จดและเขียนออกมา แต่หากศิษย์นั้นเป็นคนที่เขียนหนังสือไม่เป็น ใช้วิธีการขีด หนึ่งขีด แล้วใช้สมองจำว่า หนึ่งขีดนั้นคืออะไร เมื่อเรานั้นไม่อยากถูกคนอื่นว่าเราจึงต้องแก้ไขตัวเอง
เรามาพูดเรื่องในบ้านบ้าง ในบ้านของเรามีคนที่ชอบว่าเราที่สุดอยู่ เขาหวังดีไหม (ดี)  คนเรามีสุขต้องมีสุขออกมาจากภายในและเมื่อสังคมในโลกนี้อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ภายในของสังคมคือบ้าน เราต้องมีสุขตั้งแต่ในบ้านไปสู่สังคมจริงหรือเปล่า (จริง)  เปิดประตูบ้านออกไปต้องยิ้มให้คนอื่น แต่จริงๆ แล้วภายในบ้านทะเลาะกัน ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ ง่ายๆ ที่สุดก็คือ ยิ้ม  ทุกคนยิ้มเป็นไหม (เป็น)  แต่เวลาทะเลาะกันมักยิ้มไม่ออก ฉะนั้นทำอย่างไรถึงยิ้มออก (ไม่ทะเลาะกัน)  บอกว่าไม่อยากทะเลาะกันก็ต้องมีผู้เสียสละ
ผู้เสียสละนั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่า (ใช่)  ผู้เสียสละนั่งอยู่ตรงนี้แต่ถามว่าที่บ้านยังทุกข์ไหม (ทุกข์)  แสดงว่ายังเสียสละไม่ถึง ต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละอย่างสูง เสมือนหนึ่งพระโพธิสัตว์เสียสละให้เวไนยอย่างนั้น ถ้าหากว่าคนในบ้านว่าเราทำอย่างไร (นิ่ง)  นิ่งแบบไหน (อดทน)  ถ้าหากว่าคนในบ้านว่าปุ๊บ เรานิ่งแล้วเราบอกว่า กำลังอดทนอยู่  ฉันใช้ความอดทนกับเธอมากแล้วนะ นิ่งไว้แต่ในใจพูดอย่างนี้  ท่าจะออกมาเหมือนคนชวนตี ใช่หรือไม่ ( ใช่ ) เพราะฉะนั้นนิ่งแล้วต้องยิ้มด้วย ยากไหม (ยาก)  อาจารย์แนะนำยิ้มพอประมาณ ถ้ายิ้มมากไปอาจจะเหมือนการเยาะเย้ยไป
อาจารย์จะบอกให้ เวลาคนในบ้านโมโหและว่าเรา ต่อให้เราทำอย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็ยังโมโห เขาก็ยังว่ายังบ่น แต่อาจารย์ไม่ให้ศิษย์นั้นโต้ตอบ ไม่ให้พูดมากเกินไป ไม่ให้ใช้อารมณ์โต้ตอบ เพราะในขณะที่คนโมโหนั้นมักจะไม่มีเหตุผล  เพราะฉะนั้นไม่ว่าศิษย์จะทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นอย่างนั้น แต่พอหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ศิษย์เอ๋ยเจ้ายังโมโหไหม ศิษย์ต้องฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่คนโมโหพูด แล้วทำตามที่เขาพูดเป็นการแสดงว่าเราพูดรู้เรื่อง เราได้ฟังเข้าใจแล้ว นี่เป็นการที่เราแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบที่ดีที่สุด ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่า แม้กระทั่งในบ้านยังต้องมีคนที่เสียสละ คือ ศิษย์นั้นต้องเสียสละที่จะยอมให้คนอื่นว่า หรือโมโห แต่เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของเราแล้ว นานๆ เข้า เขาก็จะรู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้อย่างปัจจุบันทันด่วน ในทันทีและหมดได้เลย แต่ศิษย์ต้องแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้เวลา ศิษย์ต้องรู้จักค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง พูดในสิ่งที่ดี และอย่าใช้อารมณ์กับคนในบ้าน ทุกอย่างจะดีมากขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกันเวลาศิษย์บอกว่า ใจอยากจะรวย รวยทันทีได้ไหม (ไม่ได้)  เงินต้องใช้เวลาในการสั่งสมใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่มักมีเหตุการณ์ฉุกเฉินทำให้เงินที่เราสะสมนั้นหมดไป แต่การสะสมความดีกับคนในบ้านไม่เหมือนกัน ผิดกันอย่างลิบลับ ศิษย์สามารถที่จะสั่งสมความดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนในบ้าน คนๆ นั้นที่เคยโมโหว่าศิษย์นั้น จะกลายเป็นผู้ที่รู้จักอภัย เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นสั่งสมความดีกับคนในบ้าน จะต้องเป็นเรื่องที่อาศัยความอดทนอย่างมาก ยิ่งกว่าการทำความดีให้คนอื่นๆ ศิษย์ต้องเป็นผู้ที่ลงทุนลงแรงไปก่อน ศิษย์ต้องเป็นผู้ที่เสียสละทำก่อน แล้วบ้านศิษย์จะมีความสุขมากขึ้น เมื่อบ้านมีความสุขมากขึ้น ใครมีความสุข (ตัวเรา)  อย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวัน ทะเลาะหรือตีกันทุกวันมีความสุขไหม (ไม่มี)  เราได้แสดงสิ่งที่เป็นอารมณ์ของเราโต้ตอบไปเช่นเดียวกัน ถามว่ามีอะไรดีขึ้นไหม (ไม่มี)  นับวันยิ่งเลวร้ายลงทุกทีจริงหรือเปล่า (จริง)  เปลี่ยนครอบครัวดีไหม (ไม่ดี)  ความคิดของคนรุ่นใหม่ใจร้อน เปลี่ยนครอบครัว แต่เปลี่ยนเท่าไหร่ก็เปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ต่อให้มีครอบครัวใหม่อีกเป็นสิบ ก็เหมือนเดิมจริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นเราก็พอใจให้เขาพูด เมื่อพอใจให้เขาพูดให้เขาได้ระบายในสิ่งที่เป็นความในใจเขา และเราเป็นผู้ที่เสียสละแก้ไข เมื่อทุกอย่างดีขึ้น ทั้งศิษย์มีธรรมะ และเขามีธรรมะก็เรียกว่าเราได้บำเพ็ญอยู่ในบ้าน จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเป็นผู้บำเพ็ญกับผู้บำเพ็ญนั้นย่อมไม่ทะเลาะซึ่งกันและกันจริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าผู้บำเพ็ญยังทะเลาะซึ่งกันและกัน แสดงว่าไม่มีความเป็นผู้บำเพ็ญจริงหรือไม่ (จริง)  ถึงแม้ว่ามาสถานธรรมทุกวัน ถึงแม้ว่าไหว้พระทุกวัน แต่ยังเที่ยวชวนคนอื่นทะเลาะ แสดงว่าเราไม่มีความเป็นผู้บำเพ็ญจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงบอกว่า บำเพ็ญนั้นบำเพ็ญที่ใจ ใจของศิษย์ต้องได้รับการบำเพ็ญจริงหรือเปล่า (จริง)  อารมณ์อยู่ในใจ ความคิดก็อยู่ในใจของเราเช่นเดียวกัน
(พระอาจาย์ให้นักเรียนในชั้นยกมือขวาขึ้นสัมผัสกับตัวเอง)
ทุกวันนี้เราไม่ได้สัมผัสกับตัวเอง หมายถึงทุกวันนี้เราปล่อยให้ใจของเราคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ เราปล่อยให้ตัวของเราทำอะไรก็ได้ที่เราอยากให้เป็น เราไม่ได้มารู้จักตัวเอง ไม่ได้สัมผัสตัวเอง ฉะนั้นถ้าหากเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป เราคงไม่ได้ดับทุกข์แน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หันกลับมาสัมผัสตัวเองและรู้จักตัวเอง การที่เราพูดว่าคนอื่นก็เหมือนกับว่าเราไปสัมผัสผู้อื่น แต่ในขณะที่เราว่าผู้อื่น สัมผัสผู้อื่นนั้นเราสัมผัสตัวเองไหม ในขณะที่เราว่าผู้อื่นใจของเราโมโห ตอนนั้นเราว่าผู้อื่นด้วยความโมโหเราสัมผัสถึงจิตตัวเองไหมว่าเรามีอารมณ์โมโห ฉะนั้นในทุกๆ วัน อาจารย์จึงอยากเรียกให้ศิษย์สัมผัสตัวเอง ให้รู้จักตัวเองให้ค้นหาตัวเอง เมื่อค้นพบแล้วว่าเราเป็นคนเช่นไรเราย่อมรู้ว่าเราจะก้าวไปทางไหน หากยังรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมาย ก้าวไปเรื่อยๆ แสดงว่าเรายังไม่รู้จักตัวเองพอ
อาจารย์นั้นไม่ใช่ผู้ที่บำเพ็ญอย่างผู้ที่เป็นสุภาพชน เพราะฉะนั้นหลายๆ ครั้งคำศัพท์ที่อาจารย์พูดไปก็อาจจะฟังแล้วไม่สุภาพ แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจำเป็นจะต้องมีความเป็นสุภาพชนเพราะว่าในปัจจุบันการบำเพ็ญของศิษย์รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน พูดจาขัดหู ผิดหูกันนิดเดียวก็ทะเลาะกันแทบตายแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์จะเลียนแบบอาจารย์ศิษย์ก็คงจะต้องโดนรุมว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอบอกว่าจะต้องโดนรุมว่าก็บอกว่าทนไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นอยากเป็นแบบอาจารย์ก็ต้องโดนว่า ทนไหวหรือไม่ (ไหว)
เดี๋ยวคนนี้คาใจคนนั้น เดี๋ยวคนนั้นคาใจคนโน้น เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าพูดไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการพูดๆ ดีนั้นยากหรือง่าย ลองเอามือจับปากตัวเอง ถามปากตัวเองซิว่ายากหรือง่าย คนพูดไม่ดีเพราะว่ามีอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรถึงจะเอาอารมณ์ออกจากใจ (ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากครอบครอง, ปล่อยวางเป็นบางครั้ง) ถามว่าถ้าปล่อยวางเป็นบางครั้ง บอกว่ากินข้าวเป็นบางมื้อได้ไหม
เมื่อครู่ถามว่า จะทำอย่างไร ที่จะหยิบอารมณ์ออกจากการกระทำของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  คำถามแรก ถามว่าทำอย่างไรจึงจะเอาคำพูดที่ไม่ดีออกจากคำพูดที่ดีดี คำตอบก็คือ ต้องรู้จักคิดก่อนที่จะพูด ทำอย่างไรจึงจะเอาอารมณ์ออกจากการกระทำ คำตอบก็คือ คิดก่อนที่จะทำ  อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การกระทำเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก ฉะนั้นเราต้องทำสิ่งที่อยู่ภายในให้ดี จึงจะแสดงออกมาได้อย่างดี หากใจเราไม่ดี ก็แสดงออกมาไม่ดีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบอกว่า การที่เรานั้นจะเอาอารมณ์ออก อารมณ์คือสิ่งที่อยู่ภายใน ฉะนั้นจะต้องมีความคิด ความคิดก็เป็นสิ่งที่อยู่ภายใน เอาสิ่งที่อยู่ภายในต้านสิ่งที่อยู่ภายใน คือให้เรารู้จักคิดก่อนที่เราจะทำออกมา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ใจและความคิดนั้น เป็นสิ่งที่อยู่ภายในเช่นเดียวกัน ใจนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดจริงหรือไม่ (จริง)  แต่ความคิดเป็นเปลือกนอกของจิตใจ ความคิดนั้นมีความหยาบขึ้นออกมาจากจิตใจ ถ้าจิตใจของเราละเอียดความคิดของเราก็จะละเอียด หากจิตใจหยาบความคิดของเราก็ออกมาหยาบ หากเป็นคนที่คิดอะไรในแง่ร้าย แสดงว่าใจของเรานั้นยังหยาบอยู่ ต้องได้รับการขัดเกลาจริงหรือเปล่า (จริง)  ตอนนี้เรามองตัวเองแล้วเราเป็นคนที่มีจิตใจหยาบหรือละเอียด หยาบบ้าง ละเอียดบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)  ดีบ้าง ไม่ดีบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)  งั้นบ้างวันก็จน บางวันก็รวยใช่ไหม (ใช่)  แล้วถามว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนเต็มคนหรือเปล่า (เต็ม)  เราเป็นคนเต็มคน เป็นคนดีก็ต้องคิดดีทำดี เป็นคนไม่ดีเขาก็คิดไม่ดีทำไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นคนไม่ดีเขาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน เราเป็นคนดีบอกว่าดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงคนไม่รู้คือคนไม่ผิด)
คำๆ นี้เป็นคำที่คนไม่รู้คือคนไม่ผิด แต่รู้นิดหน่อยผิดไหม (ผิด) หลายๆ คนเป็นคนที่รู้แต่ว่ารู้ไม่จริง รู้นิดหน่อยแล้วทำไป เราต้องรู้ให้ดีก่อนถึงจะทำ ถ้ารู้บ้างไม่รู้บ้างรู้หน่อยรู้น้อยพอทำไปก็เป็นสิ่งที่ผิดเช่นเดียวกัน แต่ว่าในเพลงๆ นี้มองผิวเผินอาจารย์ฟังแล้ว ท่านหลันต้าเซียนพูดว่าคนไม่รู้ไม่ผิด แต่ผลไม่ต่างกัน แปลว่าเวลาเราทำอะไรถึงแม้คนจะบอกว่าเขาไม่รู้เขาก็ไม่ผิดก็จริง แต่ผลที่กระทำออกมานั้นเหมือนกัน บาปเป็นบาป กรรมเป็นกรรมต้องสนองเช่นเดียวกัน
เรื่องหลายๆ เรื่องที่อยู่ในชีวิตนี้คือหลายๆ เรื่องที่เอามาประกอบกัน ถ้าหากว่าเป็นคนที่ปากหวานมากขึ้น ปากหวานแต่อย่าก้นเปรี้ยวจึงจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขมากขึ้น บางทีเรากล่าวขอบคุณออกไป แต่ใจยังไม่ขอบคุณเลย เพราะฉะนั้นพูดไปแล้วทำให้จิตใจนั้นมีความจริงใจตามไปด้วย พอนานๆ เข้าเราฝึกฝนเราก็จะเป็นคนที่จริงใจแล้วก็เป็นคนที่พูดดีและปากหวานได้
ทุกวันนี้พูดไปแล้วมีคนฟังหรือเปล่า (มี)  ฉะนั้นคนที่ฟังเราเขาอุตส่าห์ฟัง อุตส่าห์เสียสละฟังเรา เราก็ต้องพูดให้ดี ถ้าเราพูดไม่ดีแล้วครั้งหน้าเขาจะฟังเราไหม (ไม่ฟัง) คำว่าไม่ฟังไม่ได้หมายความว่าเขาเดินหนีเรา แต่หมายความว่าแม้เขายืนอยู่ตรงนี้แต่สิ่งที่เราพูดเราก็พูดไป แต่เขาก็ไม่ได้เก็บเอาไปใส่ใจ
เพราะฉะนั้นอย่าทำจนกระทั่งศิษย์ขาดมิตร อย่าอยู่ในโลกนี้จนขาดมิตร แต่ให้อยู่แล้วมีมิตรมากขึ้น ผู้บำเพ็ญนั้นไม่ทำร้ายใครต้องให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น ผู้บำเพ็ญนั้นย่อมมีสิ่งที่ดีๆ เสมอ ถ้าทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่อย่างเบื่อหน่ายและท้อแท้ ศิษย์ลองดูสิว่าเจ้าห่างไกลการเป็นผู้บำเพ็ญมากแค่ไหน
มนุษย์ยิ่งมีไฟฟ้าใช้ใจก็ยิ่งมืด ตอนนี้หากบ้านใครไม่ค่อยมีไฟฟ้ามีบ้างไม่มีบ้างแสดงว่าบ้านนั้นสว่างนะ เพราะฉะนั้นความลำบากไม่ได้ทำให้คนมืดนะ แต่ความสบายต่างหากที่ทำให้คนใจมืด อาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์ที่นี่ใกล้เคียงกับการที่จะบำเพ็ญบรรลุได้ง่ายกว่าเพราะว่าอยู่ในความลำบากมากกว่า
ผู้ร่วมฟังเมื่อไหร่จะมาเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมสักที อาจารย์มากี่ปี คนที่นี่ก็ยังต้องให้คนจากที่อื่นมาช่วย การช่วยไม่ใช่ไม่ดี แต่แสดงให้เห็นถึงความไม่ก้าวหน้าของศิษย์
คนรู้มากชอบหลงเรื่องที่ว่าแปลก คนรู้มากคืออะไร คืออาจจะอยู่มานาน อาจจะมีความรู้สูง อาจจะเป็นคนที่เก่งแล้วก็เป็นคนที่ฉลาด เรียนรู้ได้ไว อันนี้เป็นคนรู้มาก แต่ชอบหลงเรื่องที่ว่าแปลกเป็นอย่างไร ธรรมะแท้จริง บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเรื่องที่แปลก ทุกอย่างคือธรรมชาติ แต่ว่าหลายๆ คนนั้น ชอบที่จะฟังเรื่องที่แปลก ชอบฟังปาฏิหาริย์ ชอบอิทธิฤทธิ์และชอบฟังเรื่องเหลือเชื่อ ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญตนนั้น ตัวเองแปลกที่สุดแล้วเรื่องอะไรก็ไม่แปลกในโลกนี้ มีแต่เราเป็นที่สั่งสมความแปลก เราเป็นคนที่ชอบฟังมาก ยิ่งฟังมากก็จะยิ่งเพี้ยนมาก ฉะนั้นเวลาฟัง จงฟังแต่หลักธรรมะฟังให้มาก ไม่มีสิ่งใดสามารถเยียวยาจิตใจเรานั้นได้ดีเท่าหลักธรรม เรื่องอะไรที่เป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นไม่ทำให้จิตใจนั้นสูงส่งมากขึ้นเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เวลาที่คนลือกันก็ลือกันแต่เรื่องแปลกๆ เรื่องธรรมดาก็ไม่อยากจะลือ ไม่อยากจะพูดถึง แต่การฝึกจิตใจนั้นไม่มีเรื่องแปลก มีแต่เรื่องของความอดทนที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการฝึกฝนให้เกิขึ้น ฉะนั้นการฟังเรื่องแปลก การพูดเรื่องแปลก การคิดอะไรแหวกแนวทั้งหลายต้องมีหลักธรรมหนุนด้วย พูดเพราะไม่รู้  หรือเพื่อให้คนอื่นฟังตัวเองมากๆ เท่านั้นไม่มีประโยชน์
อารมณ์เศร้าลิขิตคิดแทบไม่ออก วิตกนอกใจประดังไม่ร้อนหน้า
คนที่มีความเศร้าหมองในจิตใจมาก จะทำให้คิดอะไรที่สร้างสรรค์ไม่เป็น ความคิดสร้างสรรค์นั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อจิตใจของเรานั้นเบิกบาน
วิตกนอกใจประดังไม่ร้อนหน้า วิตกนอกใจเป็นอย่างไร ปกติวิตกในใจ แต่อาจารย์บอกว่าวิตกนอกใจ คือหลายเรื่องนั้นเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้แล้วศิษย์ก็มีความห่วงในเรื่องนั้นๆ อยู่ แต่อาจารย์จะบอกว่า บางทีลองเอามันมาอยู่นอกใจบ้าง เราอย่าเป็นตัวละครในปัญหานั้น ให้เราลองดึงตัวเองออกมาอยู่นอกโลก แล้วมองลงไปในโลก เราจะเห็นปัญหาชัดมากขึ้น และมองประเด็นอย่างคนที่รู้ว่าประเด็นจริงๆ คืออะไร เพราะถ้าประเด็นของเรากับประเด็นของคนอื่นไม่เหมือนกัน จะทำให้เรานั้นคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
ใจแกร่งเรื่องคล้อยตามเป็นธรรมดา เมื่อศิษย์รู้ว่าศิษย์นั้นคิดได้ถูกต้อง ทำได้ถูกต้อง ศิษย์เอ๋ยบางทีศิษย์อาจจะสู้คำพูดที่รุมโหมกระหน่ำเข้ามาไม่ได้ แต่ใจของศิษย์ต้องแกร่ง เมื่อศิษย์แกร่งแล้วทุกอย่างจะคล้อยตามศิษย์ เพราะว่าศิษย์นั้นไม่ได้อ่อนแอ ศิษย์ไม่ใช่คนที่ไหลไปตามกระแสเวลา แต่ความแกร่งของศิษย์อยู่เหนือเวลา
เที่ยวติดทุกอย่างหนาวัฏฏะวน ถ้าหากว่ายึดติด ติดกิเลส ติดความอยากได้ใคร่มีทุกอย่าง ชะตากรรมก็จะหมุนวนเวียน
คนเก่งกว่าเมื่อเคลื่อนชนะตาม ฉกาจยามแกร่งนั้นหวั่นแสนหวั่น
ฉลาดแต่หมั่นยอมให้นานนาน   คนจริงเรื่องรับทรมานไม่สะพรึง
อาจารย์พูดถึงคน 4 ประเภท บรรทัดแรก คนเก่ง เมื่อเคลื่อนชนะตาม  คนเก่งมักทำอะไรประสบความสำเร็จทุกอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในความเก่งนั้น ก็มีความน่าหวาดหวั่นอยู่เมื่อเก่งแล้วเป็น ฉกาจ คือยิ่งกว่าความเก่งอีก ยามแกร่งนั้นหวั่นแสนหวั่นๆ เคยไหมคนเก่งแล้วทำอะไรพลาดเพราะว่าตัวเองนั้นเก่งมากเกินไป เพราะฉะนั้นในความเก่งจึงต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักตัวเอง รู้จักว่าความคิดของเราคืออะไร ทำอะไรจงรับฟังเสียงของผู้อื่นดังเสียงสวรรค์ สิ่งที่คนอื่นพูดมักจะมีประโยชน์อยู่ในนั้นด้วยถ้าหากว่าศิษย์นั้นฟัง ถ้าหากว่าศิษย์มีปัญหากับข้อสอบ ศิษย์ยังเปิดหนังสือได้ ใช่หรือไม่ แต่ว่าชีวิตในโลกไม่มีใครเป็นตำราให้ศิษย์จนกว่าศิษย์นั้นจะใช้หูไปรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูดนั่นแหละคือตำรา ฉลาด แต่หมั่นยอมให้นานๆ คนฉลาดมักไม่ยอม คนจริงหรือเปล่า เพราะว่าเราฉลาดมากเกินไป แต่การยอมคนนั้นเป็นคุณอย่างยิ่ง ชนะเพื่ออะไร ชนะแล้วได้อะไร มีอะไรดีบ้าง แจกแจงออกมาศิษย์จะรู้ว่าการยอมคนนี้มีประโยชน์มากยิ่งกว่าการชนะอีก บรรทัดสุดท้ายเรื่องของ คนจริง อาจารย์หวังว่าคนทั้งหมดสี่ประเภทที่พูดมานี้ ภายในคือคนจริงที่มีความเก่ง มีฉกาจและมีความฉลาดอย่างถูกทาง แม้ว่าจะเจอเรื่องที่ทรมานใจ จะเจอเรื่องที่ลำบากก็ไม่สะพรึงกลัว

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า กำลังใจทะลุเหล็ก)
เหล็กเป็นสิ่งที่แข็งมาก แต่ถ้าคนมีกำลังใจจะสามารถเอาชนะได้ แต่คำว่าชนะ ไม่ใช่หมายความว่าต้องเป็นอย่างที่เราคิด เวลามักทำให้คนทุกคนชนะอยู่แล้ว เพียงแต่ทุกคนนั้นอย่าได้วาดภาพของชัยชนะอย่างที่เราคิด คนแพ้ตายไหม (ไม่ตาย) ไม่มีคนในโลกคนไหนที่แพ้แล้วตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ย น้ำทะลุหิน แต่กำลังใจทะลุเหล็ก ถ้าศิษย์ทำอะไรก็แล้วแต่อย่างคนที่จิตใจของศิษย์เป็นใจที่มีกำลัง และศิษย์มีกำลังใจที่จะไปทำ ไม่ว่าเรื่องยากเท่าไหร่ศิษย์จะผ่านได้
        เมื่อทุกข์คืนวันแสนนาน   แต่หมั่นยอมรับเรื่องจริง
เวลาเรามีความทุกข์ กลางคืนก็นอนไม่หลับใช่ไหม (ใช่)  กลางวันก็เหนื่อย แสงอาทิตย์ที่เคยรู้สึกว่ามันไม่ร้อนมันก็ร้อน ร้อนจนทนไม่ไหว กลางคืนก็นั่งได้ทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน นั่นเป็นเพราะว่าทุกข์หนัก แต่ความทุกข์ที่อยู่ในใจอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเอาทุกข์ออกมานอกใจ ศิษย์จะได้ไม่ล้มตึงจะได้อยู่ได้ ให้หมั่นยอมรับเรื่องจริงให้มาก ทุกคนเกิดมาในโลกนี้มีโรคภัย มีทางตัน แต่ศิษย์ต้องเอากำลังใจไปสู้ให้มากๆ
ไม่จบไม่ทันไม่สามารถหลุดพ้น เพราะฉะนั้นการที่ปัจจุบันมนุษย์หลายๆ คนเป็นคนที่ต้องแบกรับเคราะห์ไว้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นยอมรับมัน คิดได้กับมัน ปลงตกกับมัน ทุกคนต้องรักตัวเองให้มากๆ ด้วยการทำในสิ่งดีๆ นั้นให้ตัวเอง
อาจารย์ขอให้กำลังใจศิษย์ทุกคน งานธรรมในอีสานเป็นงานธรรมที่มีอนาคตขอเพียงแต่ศิษย์นั้นร่วมมือร่วมใจ หลายๆ คนก็เป็นคนที่มีเลือดอีสาน ศิษย์เอ๋ย เจริญปณิธานของตัวเองให้ดีที่สุด วันนี้เพิ่งเริ่ม อย่าเพิ่งผิดใจกัน ใครที่ยังมีแรงมาช่วย อาจารย์ก็ดีใจ เพียงแต่คนในพื้นที่บุรีรัมย์ ขอนแก่น ยโสธร อุบลฯ อาจารย์อยากให้ร่วมมือกัน เมื่อศิษย์เป็นปึกแผ่นเดินไปตรงไหนก็ไม่ลำบาก ถ้ามัวมาแบ่งกันเดินไปตรงไหนมันก็ลำบากตั้งแต่ยังไม่ทันเดินเข้าใจไหม (เข้าใจ)  หลายๆ คนนั้นเพิ่งรับธรรมะเป็นการยากที่จะให้เข้าใจธรรมะ ขอให้มีเวลาว่างกลับมาศึกษาเพิ่มได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าเขาลืมเราไปนานไม่มีใครโทรศัพท์ไปตาม ไม่มีใครเรียกเราก็เรียกตัวเราเองมาได้ไหม (ได้)  ชีวิตของเราไม่แขวนอยู่กับใคร อย่ารอให้คนอื่นเขาเรียกแล้วเราถึงจะบำเพ็ญนะศิษย์นะ
อาจารย์ไม่มีเวลาแล้ว อยากจะพูดอีกมากมายก็ไม่มีเวลาแล้ว รักษาตัวเองทุกๆ คนนะศิษย์นะ ลาก่อนนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   กำลังใจทะลุเหล็ก
  เรื่องราวในโลกแดนนี้วุ่นไม่สิ้น          คล้ายเมฆินทร์ต้องลมพัดแปรรูปร่าง
ทุกข์ไม่แปรแต่ใจปลงคนไม่พัง            ใจที่มีซึ่งกำลังไม่ล้มตึง
อย่าเครียดไปเลยศิษย์เอ๋ย                ทุกข์เชยอย่าเศร้าลิขิต
ใจแกร่งเรื่องคล้อยดังคิด                 ใจติดทุกอย่างขัดกัน
กำลังในยามอ่อนล้า                       แกร่งยิ่งกว่ายามแกร่งนั้น
เมื่อทุกข์วันคืนแสนนาน                   แต่หมั่นยอมรับเรื่องจริง



[๑] เมฆินทร์        เมฆ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา