วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2548

2548-10-22 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก



西元二00五年歲次乙酉九月二十日                             大衆恭求仙佛慈悲指示訓
  วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
                                                      สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

   คนทางใกล้ทางไกลล้วนมาถึง                      สำแดงซึ่งบุญสัมพันธ์พลันอยู่ร่วม
ศึกษาธรรมแลกเปลี่ยนกันด้วยสำรวม           ไม่หละหลวมด้วยจิตใจใฝ่ระวัง
               เราคือ
   องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา        ถามศิษย์น้องชายหญิงเกษมฤๅ  ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

   การเป็นคนต้องรู้จักใช้ชีวิต                            ถูกลิขิตด้วยกรรมเก่าแก้ไขได้
ด้วยสำนึกฝึกตนเปลี่ยนแปลงใจ                     ให้วุ่นวายกลายสงบรู้ควรทำ
ธรรมวิเศษใจคนต้องวิเศษด้วย                        ความสำรวยวิถีคนไร้คุณค่า
ต้องรู้จิตคิดอะไรตลอดเวลา                            ใช้ปัญญาพิจารณาคิดก่อนทำ
จงอย่าให้ความไม่รู้ทำจิตขุ่น                            หัดยืดหยุ่นในเวลาที่ผ่านยาก
ฝึกชีวิตดีงามด้วยความลำบาก                       อุปสรรคมากจึงรู้จักตัวตนจริง
สามวันนี้ศึกษาธรรมฟื้นฟูจิต                           ทุกคนต่างเคยทำผิดไม่แตกต่าง
แต่จะมีกี่คนหาแนวทาง                                    แก้ไขสร้างชีวิตใหม่ในชีวิตเดิม
ความเพลิดเพลินเจริญใจพาตกต่ำ                 ขอให้คลำทางสว่างอยู่ในจิต
ขอศิษย์น้องจิตใจอย่าได้ปิด                            ชั่ววูบคิดสวรรค์นรกต้องเลือกเอง
จงรักษาพุทธระเบียบให้เคร่งครัด                   แลวางจัดการวางตนเป็นดุจปราชญ์
สามวันนี้อย่าผ่านไปด้วยประมาท                  คนฉลาดรู้จักคิดรู้จักตรอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป                       ชาตินี้จงมาตั้งใจบำเพ็ญธรรม
อย่าปล่อยให้ความรู้มากเข้าครอบงำ            การปฏิบัติสำคัญกว่าการคิดเอง
               ฮวา  ฮวา  หยุด  จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน                                                                                          


วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระนาจา
   จงแข่งขันกับตนเองในทุกวัน                         เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้คงไว้
ยิ่งเสาะหายิ่งค้นพบพลังแห่งใจ                       ที่ไม่อาจหมดไฟตราบสิ้นลม
          เราคือ
   ศิษย์พี่นาจา                                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

   มีปัญหาอย่าเพิ่งออกความเห็น                   อย่าชอบเดากันเป็นเรื่องปกติ
คิดเป็นตุเป็นตะน่าตำหนิ                                 หนาวเย็นเยือกสัจจะที่ถูกเปลือย
ทำใจเย็นเป็นไม่อย่าคะนอง                             ใจอยู่นอกสมองหนักชีวาเหนื่อย
ชีวิตมีภยันตรายอยู่คิดอย่าเอื่อย                    สลัดเนือยฉลาดคนใจดีงาม
คนสบายใจเย็นย่อมแอบสำราญ                    ยึดถือมั่นเชื่อซ่อนภัยคุกคาม
วางตัวตนหัดจนไม่วู่วาม                                  ความเกร็งหามในจิตอวิชชางำ
รู้ซึ้งพอเหมาะสัมผัสเรื่องคน                            วาจาคนแรงอย่างนี้ใดถลำ                    
มือแน่นกำดีรู้ไม่กระทำ                                     ราบรื่นประจำหลังฝึกสิ่งที่กังวล
ข้อคิดเตือนใจไร้คนสนอง                                 ขาดมุมมองนี้พลังตรองสับสน
ปัญญาคู่รู้สรรค์สร้างเรียกตน                         ย้อนมองตนกี่ครั้งจึงเข้าใจ
มากู่ร้องคนในบำเพ็ญแกร่ง                             เพิ่งเช้าใหม่หมดแรงหรือไฉน
คนคิดได้ด้วยให้ความตั้งใจ                              สลัดความหมดใจหวังตนเอง
ทุกข์ใจเองใครไม่แบ่งกังวล                              เอื้อพวกตนกลับแข่งกันข่มเหง
นิสัยคิดไม่แก้แพ้ภัยเอง                                    ทะเลเพลงความทุกข์ก้องดวงใจ
                                                                                                                                                          ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทพระนาจาเมตตา

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นที่อยากจะฟังอาจารย์บรรยายธรรมพูดต่อหรือฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
อยากฟังเขาพูดก่อน แล้วค่อยฟังเราดีหรือเปล่า คนไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน ใครจะฟังเด็กตัวน้อยๆ กับผู้ใหญ่ตัวโตๆ  เห็นไหมว่านิดหน่อยก็ให้กำลังใจคนพูดได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)   จริงๆ ถ้าเราคิดมากหน่อย เราเลือกทั้งสองคนเลย แต่ขอคนละเวลา  การเลือกของเราก็ไม่ทำร้ายจิตใจใครโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  ถ้าเราบอกเลือกเด็กดีกว่า ผู้ใหญ่ก็อาจจะน้อยใจได้  ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกัน เราต้องพยายาม คิดถึงอกเขาอกเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นท่านฟังมาครึ่งวันแล้ว รู้สึกเครียด รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเมื่อย แล้วก็รู้สึกเบื่อ ใช่ไหม แล้วหัวข้อต่อไปเป็นหัวข้อที่สำคัญ เราก็เลยมาขอคั่นรายการสักครู่ ได้ไหม (ได้)  เพื่อให้ท่านผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง แต่ว่าจะผ่อนคลาย แล้วสมองปลอดโปร่งได้ก็คือต้องเป็นอย่างไร (ออกกำลังกาย)  ทั้งที่รู้ว่าออกกำลังกายดี แต่บางทีความเคยชินของมนุษย์ก็ทำให้เราขี้เกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนเสนอความคิดแล้วว่าให้ออกกำลังกาย การปฏิบัติตามสิ่งที่คนอื่นบอกไม่ค่อยยาก  ถ้าสิ่งนั้นไม่ฝืนกับความรู้สึก แต่หากวันหนึ่งเราต้องทำอะไรที่ฝืนความรู้สึก ถ้าเรายอมทำจะมีความสุขได้ไหม อย่างเช่นเขามาด่าท่าน ให้ท่านโกรธ ถ้าท่านทำตามความโกรธในใจที่เกิดขึ้น ท่านจะทุกข์ไหม  บางครั้งจึงต้องฝืนกับความรู้สึกด้วยการไม่โกรธ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นอย่าคิดว่าการฝืนความรู้สึก หรือฝืนอารมณ์ตัวเองจะเป็นทุกข์เสมอไป บางทีอาจมีความสุขมากกว่าก็ได้  บางครั้งเราต้องฝืนอารมณ์ หรือความรู้สึกตัวเองบ้าง ถ้าทำได้บางทีมันก็ไม่ยาก  เหมือนนั่งตรงนี้ ฝืนความรู้สึกตัวเองไหม (ฝืน)  แต่ว่าพลังของมนุษย์นั้นเป็นพลังที่ไม่จำกัด บางทีถ้าเราพูดว่า “ทำไม่ได้” อย่างไรๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าเราพูดว่า “ฉันทำได้” ยากแค่ไหนบางทีเราก็ไปถึงได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านง่ายๆ ว่าสุขกับทุกข์ เกิดจากภายนอก หรือเกิดจากภายใน รอยยิ้มเสียงหัวเราะ หรือน้ำตา เกิดจากภายนอก หรือเกิดจากภายใน (ภายใน)  ถ้าวันนี้อารมณ์ดี ใครด่าเรา เราก็หัวเราะ แต่ถ้าวันนี้ออกจากบ้านมาอารมณ์มันแย่สุดๆ ใครชมอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก  นี่คือจากภายในสู่ภายนอก แต่ในทางกลับกันถ้าใจท่านปกติ ใครพูดดี เราก็รู้สึกยิ้ม ใครพูดร้ายเราก็รู้สึกไม่ดีไปนิดหนึ่ง ถ้าเดินไปอีกสี่ก้าวเขาด่าอีก ความรู้สึกก็แย่ลงไปอีก แล้วถ้าทั้งวันมีแต่ถูกด่าไม่ถูกชม อย่างไรก็ยิ้มไม่ขึ้น จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรามีพลังใจที่เหลือเฟือ เป็นพลังที่ไม่มีวันหดหาย สิบก้าวที่เดินไปก็โดนว่าทั้งสิบก้าว เดินไปอีกสิบก้าวก็คิดว่าถูกว่าอีก เราก็คิดว่าดีเหมือนกันมีคนช่วยชี้แนะฉันจะได้แก้ไข  มีกระจกที่เป็นคน ถ้าเดินไปทั้งวันเขายังว่าอีก “เออก็ดีเหมือนกันนะ คนเราที่เคยชมกันอยู่ก็อาจจะว่าก็ได้” แปลว่าความสุขหรือความทุกข์ รอยยิ้มหรือคราบน้ำตา ไม่ใช่เกิดจากภายนอกอย่างเดียวนะ แล้วไม่ใช่เกิดจากคนที่บังคับให้ท่านทุกข์ อยู่ที่ว่าเขาขุดหลุมแล้วเราจะกระโดดลงไป ให้เขาฝังแล้วกลบตายไหม ถ้าเขาว่าจนเราเจ็บปวด แต่ถ้าเรายืนอดทน ไม่กระโดดไม่สนใจ คนว่าจะตายก่อนจริงไหม คนๆ นี้ว่าอย่างไรก็ไม่บ่นเลย ไม่โกรธเลยยิ่งเรานิ่งมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้เขายิ่งเต้นมากเท่านั้น เรามีพลังใจที่ยิ่งใหญ่นะ จงเอาพลังใจนี้ไปคิดในทางที่ถูก แล้วทางที่ดีเราจะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขได้ แล้ววันนี้ท่านจะยอมขุดหลุมฝังตัวเองให้นั่งเมื่อยแล้วตายทั้งเป็นบนเก้าอี้ไหม เราเดินไปกับเพื่อน เราใส่เสื้อเก่าๆ เพื่อนใส่เสื้อใหม่ๆ  “เดินกับเขาอายจังเลย เขามีทองเราไม่มีทอง ทองเราเส้นเท่าขี้มดเลย” เรากำลังขุดหลุมฆ่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังคิดให้ตัวเองทุกข์เอง ฉะนั้นสุขกับทุกข์เกิดจากที่ใดกันแน่ สืบให้ถึงที่สุดแล้วดับมันที่ต้นเหตุ แล้วเราจะรู้ว่าความสุขกับความทุกข์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องที่ใครเป็นผู้กำหนด แต่เรากำหนดเองทั้งนั้น ใช่ไหม

“จงแข่งขันกับตนเองในทุกวัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้คงไว้”
 เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อเทิดทูนกับความสุขเพื่อสร้างสรรค์หรือทำลายตัวเอง เอาแบบไหน สร้างสรรค์ให้ตัวเองมีความสุขและคนรอบข้างมีความสุข หรือสร้างสิ่งที่มาเป็นเหตุทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่น
สังเกตไหมว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่ที่เวลาโกรธ ไม่พอใจ  หรือแค้น เพราะว่าเขามีความทุกข์แน่นอยู่ในอก ทำอย่างไรจะระบายให้คนตรงข้ามมันทุกข์ และรับรู้ว่า ฉันกำลังทุกข์ เพราะเธอนะ ทำฉันทุกข์ เพราะนายทำให้ฉันเจ็บ   ให้สังเกตตัวท่านว่าโมโห เพราะอะไร ทำไมถึงอยากพูดความโมโหออกไป ก็เพราะว่าเก็บไม่อยู่แล้ว ความทุกข์ต้องระบายออกไปใช่หรือไม่ อย่างแรกคือต้องยอมรับเขาทำให้เราโกรธ เขาทำให้เราเจ็บ บอกไปเลย  เราเจ็บแล้วกับสิ่งที่เขาทำ แต่ต่อไปนี้เราขอโทษ แล้วเราจะพยายามไม่ทำให้โกรธอีก  บางทีถ้าเรากล้ายอมรับ ตอนที่เขากำลังว่า เรายืดอกกล้ายอมรับเขาจะหยุดไหม แต่ถ้าเมื่อไรเรายิ่งแย้งเขา เขาก็ยิ่งตามรังควานเราไปสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าท่านจะรับรู้ว่าเขากำลังทุกข์เพราะท่าน บางครั้งท่านก็ต้องยอมรับ แบกรับความทุกข์ของเขาส่วนหนึ่ง เขาจะได้หยุด คนเราอยู่ในโลกมีสองแบบ แบบหนึ่งพยายามทำตัวเองเป็นคนขาว กับแบบหนึ่งแม้ขาวก็ยอมสกปรก ท่านจะยอมเป็นแบบไหน วันนี้สิ่งที่เรามาคุยกับท่านไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยนะ แต่เป็นเรื่องการดำรงชีวิตอยู่
 “ยิ่งเสาะหายิ่งค้นพบพลังแห่งใจ ที่ไม่อาจหมดไฟตราบสิ้นลม”
มนุษย์เรามีพลังใจที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราสู้ เราทำได้ ยิ่งลำบากมากแค่ไหนก็ไปถึง แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ไหวแล้ว แพ้แล้ว ยอมแล้ว แม้ใกล้แค่ตรงนี้เราก็ไปไม่ถึง จิตใจเราเป็นสิ่งสำคัญนะ เชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่พลังเรามีอยู่ และทำให้ดี ทำให้สำเร็จ
ยินดีต้อนรับเราไหม ถ้าไม่ยินดีเราจะได้กลับเลย เอาแค่นี้พอไหม น้อยๆแต่ได้คุณค่า ดีกว่ามากๆ แล้วฟังไม่รู้เรื่องเลย จะฟังกันอีกไหม หรือฟังกันแค่นี้พอแล้ว (เอาอีก) จะสนองกิเลสท่านดีหรือเปล่า (เป็นกิเลสที่ดี) เป็นกิเลสที่ดีหรือ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ เวลาเชื่อสายตาแล้วจะไม่ใช้ความคิด  เวลาเชื่อมั่นความคิดแล้วจะไม่เชื่อมั่นสายตา จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเห็นก็ต้องคิด  เวลาคิดก็ต้องเห็นด้วย   เกิดเป็นคนสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ รู้ไม่จริงอย่าทำพูดมาก  แล้วไม่รู้อย่าเดาส่ง  และอีกอันหนึ่งคือรู้แล้วอย่ายึดมั่นตายตัว  คนสามประเภทนี้ถ้าอยู่ที่ไหนก็พังที่นั่น สามารถปั้นน้ำให้เป็นตัวได้  และสามารถเอาความรู้ที่มีอยู่ทำร้ายผู้อื่นได้ จริงหรือไม่ (จริง) 
เมื่อยหรือยัง  บางทีเราก็ต้องทำอะไรที่ขัดความรู้สึกบ้าง เพราะชีวิตนี้อย่ายอมทำอะไรตามอารมณ์ประจำๆ  เรามีชีวิตอยู่เดินไปตามอารมณ์ตลอดเวลา จริงไหม (จริง)  อารมณ์อยากโทรหาคนที่เรารัก  อารมณ์ไม่อยากคุยแล้วก็วางหู  คนที่ทำอะไรตามอารมณ์นี้เหนื่อยไหม  เหนื่อยนะ  ยิ่งต้องวิ่งตามอารมณ์ แล้วยังเป็นทาสอารมณ์ให้ทันด้วย   ตอนนี้ไฟโกรธแล้วฉันก็ต้องโกรธ  ตอนนี้ให้หัวเราะแล้ว ฉันต้องหัวเราะ  ตอนนี้ให้ฉันร้องไห้แล้ว  ฉันต้องร้องไห้  เราเป็นทาสอารมณ์กันเกือบทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงที่สุดอารมณ์ก็หมดไป แต่ทำไมอารมณ์ที่วูบมาวูบไป จึงมีอิทธิพลต่อมนุษย์  ถ้าวันหนึ่งเกิดอารมณ์วูบมา เรากลับนิ่งเฉย  เรากลับสงบเย็นล่ะ ลำบากไหมที่จะฝืน  (ลำบาก)  การฝืนตัวเองเป็นเรื่องยาก   แต่ถ้าไม่ลองฝืนดูบ้างจะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่ได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเชื่อในพลังความสามารถของทุกท่านนะ ว่าทำได้ 
ความสุขมีแค่นิดเดียว อยู่ที่ว่าเราจะรอคนอื่นทำให้เราสุข หรือตัวเราจะมีแต่ความสุขแล้วเอาให้คนอื่น  เคยเห็นไหมที่คนอื่นทำให้เราสุข ทำให้เรายิ้มได้  แล้วถ้าวันไหนเราเป็นสุข ไปอยู่ที่ไหนก็ยิ้มให้คนอื่นดีไหม  ไม่ใช่อยู่ที่ไหนก็บอกให้คนอื่นไปไกลๆ  จงทำตัวเองให้มีความสุข  และเป็นความสุขที่สามารถไหลรินเอื้อเฟื้อผู้อื่นได้  คนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็เป็นที่ต้องการของทุกคน ใช่หรือไม่
คนที่เดาส่งๆ คนที่ชอบออกความเห็นทั้งที่ตนเองไม่รู้จริง  ผลสุดท้ายพอรู้ความจริง คนที่พูดไปโดยไม่มีข้อมูลพื้นฐานเลย คนนั้นก็หนาวเอง  เช่น ได้ยินมาว่าคนนั้นไม่ดี  เราก็เอาไปพูดต่อ พอถูกถามว่าแล้วไม่ดีอย่างไรล่ะ เราไม่รู้แต่กลัวเสียหน้าก็ตอบไปว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น  เคยเป็นไหม แล้วพอถึงเวลาจริงๆ เราก็ต้องตายเพราะคำพูดเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า การที่เราจะพูดอะไรกับใครสักคนหนึ่งก็ตาม หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ดีงาม แต่เขาไม่เห็นด้วย เขาไม่ชอบ คนที่ท่านเดินไปเตือน คนที่ท่านเดินไปบอก จากมิตรดีดีอยู่ก็อาจจะกลายเป็นศัตรู ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราพูดเราเตือนด้วยความดีความถูกต้อง เห็นใจ  แต่พูดๆ ไปแล้ว ถ้าเขาเข้าใจเห็นด้วยก็เสมอตัว  แต่ถ้าพูดไปมากเกิน พูดไปแล้วฟังแล้วไม่ดี เขาก็อาจจะเห็นท่านเป็นศัตรูทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเวลาเราจะกล่าววาจาอะไรออกไป ไม่ว่าจะเตือนด้วยความหวังดีหรือชี้แนะแนวทางอะไรก็ตาม ต้องรู้จักคิดให้ดีๆ นึกให้ดีๆ พูดไปแล้วอย่างมากสุดก็เสมอตัว อย่างนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่พูดเลยก็มีทั้งดีและไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะพูดอย่างไร พูดทำให้เขาเปิดใจกว้างๆ ดีกว่า  พูดหนึ่งอย่างแต่สามารถทำให้เขาคิดแตกเป็นสองเป็นสามเป็นสี่ได้ อย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือ พูดให้เขามีแง่คิด พูดให้เขาได้เปิดปัญญา ย่อมดีกว่าพูดแล้วชี้ชัดไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า พูดโดยนัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความหมายมากกว่านั้น เหมือนเช่นจะบอกคนนี้ ว่าถ้าอ้วนมากกว่านี้จะดูไม่สวย ขนาดนี้กำลังดี แต่เขากำลังกินอยู่ จะบอกเขาอย่างไร พูดให้เขาได้คิดว่าถ้าเขากินมากกว่านี้เดี๋ยวเขาจะอ้วนนะ เขาก็กินไอศกรีมไปถ้วยที่สองแล้ว แล้วก็กินเป็นถ้วยที่สาม พูดอย่างไรให้เขาได้คิด (ไอศกรีมทำให้อ้วน)  แต่ไม่ได้บอกเขาอ้วน ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าหู  เพราะเขากินถ้วยที่สองแล้ว เราช่วยกันเพราะเราอยู่ในโลกเราไม่พูดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ทานมากกว่านี้ไม่สวยนะครับ)  ฟังดูดีไหม สำนวนแบบนี้ต้องให้ผู้ชายพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้หญิงคิดไม่ค่อยออกใช่หรือไม่ (ใช่)  (หุ่นอย่างนี้ก็ดีแล้ว)  แต่เขาจะไม่หยุดกินไอศกรีมน่ะสิ 
โดยส่วนใหญ่มนุษย์พอพูดคำว่า “ไม่” จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  “หยุด” จะขยับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะบอกให้คนหยุดกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องยาก  ยิ่งถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งไม่ดี เราจะยืนเฉยๆ แล้วเป็นคนพูดไม่เป็นได้ไหม (ไม่ได้) แล้วยิ่งถ้าคนนั้นเป็นลูก เป็นสามี เป็นภรรยาเราล่ะ จะไม่พูดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะพูดอย่างไรล่ะ ทำให้เขารู้ว่าเราห่วงนะ อย่าทำเลย อย่างตอนนี้ถ้าคนนี้เป็นลูกท่าน คิดว่าทำอย่างไรให้เขาหยุดกินไอศกรีม (อ้วนแล้วนะเดี๋ยวไม่รักนะ)  เราว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นขนาดนี้กำลังดี ถ้ามากกว่านี้เดี๋ยวจะรักน้อยลงนะ น่าจะดีกว่านะ (กินมากเดี๋ยวจะไม่สบาย)  เป็นแบบผู้ใหญ่ห่วง ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ตอนนี้ดูสมบูรณ์ดีแล้ว อย่ากินเลย)  คิดให้ดีๆ นะ จะพูดอย่างไรให้คนเขาหยุด หยุดแล้วหยุดจริงๆ นะ ไม่ทำต่อ ฉะนั้นตอนพูดเราต้องคิดให้ดีๆ นะ (ไอศกรีมร้านนี้อร่อยดีนะ แต่จะต้องเสียเงินไปซื้อยาลดความอ้วน)  เราว่าเรามีเจ้าอื่นที่อร่อยกว่านี้ วันนี้อย่าเพิ่งกินพรุ่งนี้ค่อยไปกินกันใหม่ หยุดทันทีไหม แม้จะกินไม่หมดก็ยังหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะบอกว่าเก็บพุงไว้ก่อน ยังมีอีกเจ้าหนึ่งอร่อยกว่านี้อีก  พอไปถึงรถสตาร์ทไม่ติด เอาเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน พอถึงพรุ่งนี้รถเข้าอู่ไปแล้ว  ฉะนั้นปัญญาของมนุษย์มีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะพูดอย่างไรให้เขาหยุดในสิ่งที่เราไม่อยากให้เขาทำ  แต่จะพูดอย่างไร เป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้ธรรมะเรื่องการเห็นอกเห็นใจกัน ดีไหม (ดี)  แต่ก่อนจะพูดธรรมะเรื่องนั้น เรามาคุยกันต่อดีกว่าว่า ถ้าพูดให้เขาหยุดเป็นได้ ก็ต้องพูดให้เขาเดินต่อไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้คนที่เรารู้จักคนหนึ่งท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เราจะพูดอย่างไรให้เขาฮึดขึ้นสู้ เดินเข้าไปเตือนว่าไม่ต้องคิดมากคนที่แย่กว่าเราก็ยังมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  (เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเลย, คนเรามีเวลาตั้งเยอะเราสามารถทำอย่างอื่นได้)  เวลายังเหลืออยู่สามารถทำอย่างอื่นได้อีกวันนี้อย่าท้อเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าคิดได้นอกจากจะช่วยผู้อื่นแล้วยังช่วยตัวเองเวลาท้อใจได้ด้วย แล้วท่านจะทำอย่างไร  พูดอย่างไรแล้วโดนใจให้เขาลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (มีมืดเดี๋ยวก็มีสว่าง)  ง่ายๆ แต่ได้ใจความนะ แต่ตอนนี้มันมืดจะแย่แล้วไม่เห็นสว่างเลย (มันมีทุกข์ก็ต้องมีสุข, สิ่งที่ผ่านไปแล้วขอให้เป็นข้อคิดเตือนใจนะ)  อยู่ที่ว่าเราจะยื่นกำลังใจให้กับใครบ้างหรือเปล่า ตอนนี้เขาท้อแท้ หมดแรงจะทำอะไรแล้ว เราจะพูดอย่างไรให้เขาลุกขึ้นสู้ (สู้เพื่อชีวิตมีชีวิตเพื่อสู้, มีชีวิตอยู่ต้องสู้ต่อไป, หลังฝนตกฟ้าย่อมสดใสเสมอ)  ถามจริงๆ นะสิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดนี่ ทำให้คนที่ท้อแท้ลุกขึ้นมาได้จริงๆ ไหม (ไม่ต้องน้อยใจเวลาเราเกิดมาก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว, ทะเลยังมีคลื่น ชีวิตที่ราบรื่นย่อมมีอุปสรรค)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมถ้าเราคิด เราก็สามารถทำในสิ่งที่ดีงามได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ปัญหามีไว้ให้แก้อย่าไปท้อ)  ชีวิตไม่ใช่เป๊ปซี่บางครั้งอาจจะไม่ดีที่สุด  เวลาที่จะช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ บางทีจะต้องพยายามก้าวอยู่เหนือและมองให้เห็นมากกว่านั้น แล้วเราจะดึงเขาขึ้นมาจากความทุกข์ยากได้
ตอนแรกเราพูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า มนุษย์นั้นมีอยู่สองแบบ  แบบหนึ่งพยายามทำตัวเองให้ดี กับอีกแบบหนึ่งคือขาวแล้ว แต่กลับพยายามคลุกให้ตัวเองเป็นสีดำ  วันนี้สิ่งที่ท่านกำลังศึกษาบำเพ็ญ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านได้ยินมา ก็คือไปนั่งสมาธิวิปัสสนา แล้วทำจิตใจให้สงบเพื่อค้นหาความสว่างที่แท้จริง  ตามหลักธรรมเรียกว่าศึกษาแบบอรหันต์ ศึกษาแบบสำเร็จในตัวเองคนเดียว ทำตัวเองให้ขาวจนถึงที่สุด แต่วันนี้สิ่งที่ท่านกำลังศึกษาและบำเพ็ญก็คือ วิธีแห่งโพธิสัตว์ แม้ตัวเองจะขาวก็ยอมที่จะกระโดดลงไปในสิ่งที่สกปรก เพื่อควานหาสิ่งที่ดีไปฉุดช่วยเขา แม้ตัวเองยังขาวไม่พอก็ยอมกระโดดเข้าไปในความสกปรกเพื่อให้ตัวเองขาวให้ได้ท่ามกลางความสกปรก ท่านเคยได้ยินไหมว่าในหมู่ของคนทั้งหลาย ถ้ามีคนดีที่แท้จริง  คนที่ไม่ดีเมื่ออยู่ร่วมกับคนดี  สักวันย่อมสำนึกและอยากเจริญรอยตาม กับอีกแบบหนึ่งท่านเคยได้ยินไหมว่า  ในหมู่ของคนทั้งหลายใครๆ ก็เป็นคนดีทั้งหมด  แต่วันนี้มีคนบอกว่า ผมไม่ดี ผมชั่ว เอาความดำของตนเองเพื่อทำให้คนอื่นเป็นคนขาว เคยได้ยินไหม (เคย) คนบนโลกส่วนใหญ่จะเอาความขาวไปทำให้เขาเห็นความดำ  คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ  เธอดีแล้วเธอก็ดีไป เธอขาวแล้วเธอก็ขาวไป ฉันยังเลวอยู่  แต่ถ้าวันหนึ่ง เราเปลี่ยนเป็นเราไม่ดี เรามันเลว คุณดีแล้ว ดีจริงๆ นั่นก็คือยอมเป็นคนสีดำ เพื่อให้เขาเปลี่ยนเป็นสีขาว นี่คือการบำเพ็ญแบบโพธิสัตว์  การบำเพ็ญท่ามกลางสังคม แล้ววันนี้สิ่งที่ท่านมาศึกษาคือการศึกษาแบบโพธิสัตว์  ถ้าท่านไม่ถนัดแบบโพธิสัตว์ท่านก็เลือกแบบอรหันต์ สำเร็จด้วยตัวเองคนเดียว แต่วันนี้เรามาบอกให้ท่านรู้อีกทางหนึ่งคือ แม้ว่าเราจะยังไม่ดีพอ ในความไม่ดีของเรา เราก็ยังสามารถผลักดันให้คนอื่นกลายเป็นคนดีได้ด้วยจิตใจที่กล้ายอมรับ ซึ่งน้อยคนนักที่คนในสังคมจะยอมรับว่าตนเองเป็นคนไม่ดี  ฉันเป็นคนผิด ฉันเป็นคนเลว ไม่ค่อยมีนะ  วันนี้เราจะเป็นคนหนึ่งที่ยอมให้ตนเองดำเพื่อให้คนอื่นขาวเอาไหม (เอา) 
(นักเรียนคนหนึ่งถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เราจะบำเพ็ญทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กันได้ไหม)  ได้ แล้วแต่เป็นบางครั้ง เช่นในขณะที่อยู่บ้านเราก็ฝึกแบบอรหันต์ทำจิตใจให้สงบ  อย่าฟุ้งซ่าน หรือบางทีถ้าออกไปข้างนอก เจอคนก็วุ่นวายสับสนไปหมด เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถมีสมาธิอยู่ทุกขณะจิต  คุยกับใครก็มีสมาธิ เพราะเมื่อไรมีสมาธิก็เกิดปัญญา แล้วถ้าใจไม่นิ่งก็มองอะไรไม่เด่นชัด เหมือนน้ำที่ขุ่น ยิ่งแกว่ง มองอย่างไรก็ไม่เห็นตะกอนและไม่เห็นความใส
เราจะทำอย่างไรถึงจะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ เราเห็นใจคนอื่นจริงๆ ไหม แล้วเราเห็นตัวเองจนไม่เห็นใครหรือไม่  มนุษย์มีสองแบบ
1.      ถ้าไม่เห็นตัวเองมากเกินไป ก็เห็นผู้อื่นน้อยเกินไป
2.      ไม่เห็นผู้อื่นมากเกินมากเกินไป ก็เห็นตัวเองน้อยเกินไป
สองอย่างนี้ไม่ดีทั้งคู่ เห็นผู้อื่นมากเกินไปก็ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง  เห็นตนเองมากเกินไปก็ดูถูกคนอื่นอยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรจะเป็นตัวตรวจสอบว่าเราจะไม่เป็นแบบนั้น (มองโลกในแง่ดี, ทำตัวดีต่อเขา เขาก็จะทำดีต่อเรา, เอาใจเขามาใส่ใจเรา, ยิ้มแย้มแจ่มใสและทำดีกับเขา  ปรึกษาหารือ พูดคุยกัน, อ่อนน้อมถ่อมตน, ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน, ยอมรับและให้อภัยความผิดของผู้อื่นบ้าง)  คนประชุมธรรมสองวันตอบบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวจะได้ให้ผลไม้ (อ่อนน้อมถ่อมตน)  ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แม้จะคุยกับเด็กก็ต้องอ่อนน้อมไหวไหม (ไหว) ถ้าเรามีความสุขชีวิตชีวาสดใสก็ไม่ทำให้เดือดร้อนใครใช่หรือเปล่า (ยอมรับและให้อภัย) ยอมรับและให้อภัยความผิดของผู้อื่นบ้าง (รู้จักให้และแบ่งปัน) เป็นคนที่รู้จักให้และแบ่งปัน เดี๋ยวมีคนขอจะแบ่งไหม (แบ่ง) แบ่งนะ
ใครคิดออกก่อนเราจะเฉลย เป็นเรื่องพื้นๆ เองแต่บางทีเรามองข้ามไป ใช่หรือไม่ เรื่องที่เห็นอกเห็นใจและทำให้เราสามารถเข้าใจผู้อื่นได้และไม่มองข้ามหัวอกเขา ไม่ยาก อะไรล่ะ (ให้เขาก่อนก่อนที่เขาจะให้เรา) เราต้องให้เขาก่อน ก่อนที่เขาจะให้เรา แปลว่าให้เพื่อจะหวังให้เขาให้กลับคืน ให้จะให้ก็ให้ไปเลย อย่าว่าจะได้ตอบแทน (มองในสิ่งที่ดีของเขา) จงมองในส่วนที่ดี ส่วนที่ไม่ดีก็มองข้ามไป (การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่) การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ แม้เขาจะทำผิดเราก็ให้อภัย ไม่ใช่เฉพาะคนเป็นลูกหรือสามีเรา คนอื่นก็ได้นะ (ใช้พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา )  เคยไหมถึงเวลาอะไรก็เมตตา แต่ทำใจไม่ได้แล้ว  (สนใจและให้ความช่วยเหลือเขา) สนใจและช่วยเหลือเขา  เราบอกดีไหม อยากรู้ไหม  ถ้าเราเข้าใจและพยายามเห็นใจ เมื่อนั้นแหละความเข้าใจและความเห็นใจเป็นสิ่งที่ดีจะทำให้เราเปิดใจกว้าง เมื่อเราเปิดใจกว้างแล้วเขามีข้อคิดหรือมุมมองที่แตกต่างหรือเขาจะทำอะไรที่พิลึก เราก็พยายามเข้าใจและเห็นใจ ก็จะทำให้เราอยู่กับเขาได้นาน และเป็นรากฐานในการอยู่ร่วมกัน เวลาที่ท่านไม่สามารถเห็นอกเห็นใจเขาได้เพราะไม่เข้าใจ ทำไมเขาจึงทำอย่างนี้ (ถ้าสิ่งที่เขาทำเดือดร้อนคนอื่นมากๆ เราจะเห็นใจได้ไหม) ท่านเคยได้ยินบทของพระเยซูคริสต์พูดไหม มีอยู่บทหนึ่งบอกว่า มีหญิงโสเภณีอยู่คนหนึ่ง พอชาวบ้านรู้เข้าก็เอาหินปาเขากันหมด แต่พระเยซูคริสต์พูดบอกว่า คนที่จะตัดสินว่าเขาผิดได้ คนนั้นต้องไม่เคยผิดเลยทั้งชีวิต ถึงจะลงโทษเขาได้ หัวอกเดียวกัน ท่านเคยผิดไหม วันนี้ท่านโมโหแค่ตีลูก แต่คนอื่นเขาโมโหแล้วเขาฆ่า มันต่างอะไรกับคนวิ่งหนีสิบก้าวกับคนวิ่งหนีร้อยก้าว เอาจิตใจตรงนั้นไปเห็นใจเขา แล้วท่านจะช่วยเปลี่ยนคนร้ายให้กลายเป็นคนดีด้วยความเห็นใจและใจกว้างอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ต้องค่อยๆ สอนเขานะ ท่านต้องเหนื่อยกับคนนี้หน่อย และคนที่ท่านกำลังจะเปลี่ยนแปลงนี้ก็สามารถทดสอบใจท่านได้ทุกเวลา จริงไหม จำไว้นะเมื่อไรที่ท่านโกรธแล้วท่านแค่ฆ่ามดจนตาย แล้วคนอื่นโกรธแล้วฆ่าคนตายต่างกันไหม ผลก็คือเขาตายเหมือนกันจริงไหม ท่านด่าแล้วคนนี้เจ็บ แต่คนนี้ด่าแล้วคนทั้งโลกเจ็บปวดหมด ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราเปิดใจกว้างเท่าที่จะกว้างได้ เราจะเห็นอกเห็นใจทุกคน และเราจะโกรธใครไม่ลงเพราะเราก็เคยผิด เมื่อนั้นปัญญาเกิด เมื่อนั้นจิตเมตตาย่อมมี เรื่องยากไหม ฝึกความเข้าใจฝึกความเห็นใจ คนเราจะไม่เข้าใจจะไม่เห็นใจก็ต่อเมื่อยึดมั่นถือมั่นความคิดตัวเองอย่างตายตัว แม่ว่าหนึ่งก็ต้องหนึ่ง ลูกห้ามเป็นสองเป็นสามนะ แม่โกรธแม่รับไม่ได้ มันเป็นไปได้ไหม วันนี้อายุตอนสิบขวบคิดแบบนี้ไหม วันนี้ตอนอายุสามสิบคิดอีกอย่างหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับเด็กใช่หรือไม่
อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรา นั่นก็คือ จะเรียกให้คนอื่นเคารพเรา เราเคยเคารพคนที่สูงกว่าได้ดีหรือยัง จะเรียกให้ลูกกตัญญูรู้คุณเรา เรากตัญญูรู้คุณพ่อแม่ถึงที่สุดไหม นี่คือทำให้ได้ก่อนแล้วถึงเรียกคนอื่นทำ ถ้าตัวเองทำไม่ได้ดี ลูกหันมาถามแม่ “แล้วแบบไหนที่เรียกว่าดี” จริงไหม (จริง)  กับอีกแบบหนึ่งก็คือ ถามจริงๆ นะ ถ้าเด็กรู้จักคิดตั้งแต่แรกก็คงไม่ทำตัวให้น่ารังเกียจน่าอดสู ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเคยเห็นไหมคนบางคนอยู่ในโลกทำตัวน่ารังเกียจ ส่วนบางคนทำตัวได้น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมาจริงๆ ใช่หรือไม่ ส่วนคนบางคนทำตัวได้น่าสงสารจริงๆใช่หรือไม่ วันนี้เราเห็นท่านน่าเสียดายกับน่าสงสารจริงๆ นั่งฟังแล้วเหมือนหูซ้ายมันทะลุหูขวา  เราไม่ได้พยายามเอาความคิดเราไปใส่ความคิดท่านนะ แต่เรากำลังพูดเพื่อเปิดประตูแห่งความคิดให้ออกกว้าง ไม่ใช่จะพยายามยัดเยียดใส่อะไรเข้าไปในสมองท่านนะ แต่พูดเพื่อให้ท่านมองโลกกว้าง มีใจที่กว้างขึ้นอีก เพราะความคับแคบของใจเราหรือเปล่านะ ทำให้เรายอมคนบางคนไม่ได้
เพราะความคับแคบของใจหรือเปล่านะ จึงทำให้เราตัดสินคนผิดๆ ถูกๆ ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เหมือนท่านที่มาที่นี่ ถ้าในห้องปิดไฟหมดเลย (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ปิดไฟในห้องทั้งหมด) เป็นยังไง (มืด) ถ้าเข้ามาในบ้านหลังหนึ่งมันมืดไร้ความสว่าง อยู่ไหวไหม (ไม่ไหว) อยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าในห้องนั้นมันตีแคบขึ้นมาอีกอึดอัดไหม ในนี้มีร้อยกว่าคนแต่ห้องมีแค่หนึ่งตารางเมตร อยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไรถึงอยู่ไม่ได้ บ้านก็เหมือนใจ ใจก็เหมือนบ้าน ใจเราเป็นอย่างไร เคยมองใครสว่างบ้างไหม เคยมองใครแล้วสดใสไหม (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เปิดไฟในห้อง)  คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก แล้วเราเคยเป็นคนที่ทำตัวเองเป็นคนคับแคบไหม ใครอยู่ด้วยแล้วยิ้มไม่ออก อยู่แล้วก็อึดอัด เป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเขาได้ดี รับไม่ได้ใช่หรือไม่ จำไว้นะ ถ้าฟ้ายังให้เขามีชีวิตอยู่แปลว่าเขายังมีความดีที่พอจะแก้ไข ถ้าเขาชั่วแล้วฟ้าเก็บทันที ก็แปลว่าเขาถึงเวลาแห่งกรรมเขาแล้ว ใช่หรือไม่ มนุษย์ทุกคนเกิดมามีกรรมนะ แล้วกรรมมาจากไหน ถ้าไม่ตัวท่านเองเป็นคนกำหนด
ฉะนั้นการบำเพ็ญก็คือยอมฝืนความรู้สึกตัวเองบ้าง ลองคิดดูนะ มีลูกหนึ่งคนลูกอยากได้อะไรก็ตามใจตลอด ไม่เคยขัด เสียคนไหม แล้วตัวท่านล่ะเสียนิสัยไหม อยากกินก็กิน อยากไปไหนก็ไปในสิ่งที่ชอบ แต่เคยฝืนความรู้สึกไหม วันนี้กินน้อยหน่อยกินให้พอดี กินให้กลางๆ ไม่ให้กินแล้วเพราะจะอ้วน พูดน้อยๆหน่อย พูดมากแล้วสามีก็รำคาญ ลูกก็เบื่อ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรมก็คือย้อนมองตนเองแล้วทำในสิ่งที่ให้ไปแล้วเขามีความสุข ถ้าให้เขาแล้วไม่มีความสุข ก็อย่าไปให้ อย่างนั้นไม่ใช่เรียกคนบำเพ็ญใช่หรือไม่ และบางครั้งแม้ตนเองจะให้บทเรียนที่ตนเองเป็นคนผิดบ้างก็ต้องยอมให้ ลองให้เขาถูก เผื่อความถูกนั้นจะทำให้เขารู้จักสำนึกแก้ไขดีขึ้นใช่หรือไม่
เรารู้วันนี้ฟังมากๆ ท่านเบลอแล้วใช่ไหม อย่างนั้นวันนี้เราหยุดแค่ตรงนี้แม้เราจะยังพูดไม่จบแต่มีโอกาสแล้วเราค่อยมาคุยกันต่อดีไหม (ดี)  อย่างนั้นมีโอกาสท่านกลับมาศึกษาเพิ่มเติมเยอะๆ นะ เพราะวันนี้เรารู้ว่าสมองท่านมีจำกัดเหลือเกิน อัดอะไรมากๆ ต้องระเบิดแน่ๆ ใช่ไหม (ใช่) (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนออกมาสี่คนโดยให้เวลาหาไม้ที่มีค่ามากที่สุด)  เราให้เวลา 3 วินาที ให้ท่านไปหาให้ได้มากที่สุด มีอะไรก็ได้ที่มากที่สุด ไม้อะไรที่หาแล้วรู้สึกว่ามีค่ามากที่สุด หาที่นี่ ข้างล่าง ข้างนอก ข้างใน ก็ได้ แค่ภายใน 3 วินาที
อันนี้คือไม้กวาด อันนี้คือก้านธูป อันนี้ไม้ชี้ อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าสิ่งที่ท่านหาอยู่นี้ จงทำให้มีความสุข และทำให้เพื่อนในห้องนี้มีความสุขในสิ่งที่เราหามาได้ ลองคิดนะ ทำได้ไหม 
บางทีเราเกิดมา เราก็ต้องหาใช่ไหม แต่หามาจนถึงที่สุด บางทีอะไรคือความสุข เหมือนชีวิตต้องเรียนใช่หรือไม่ แต่เรียนแล้วอะไรคือความสุข รู้แต่ว่ามีหน้าที่ต้องเรียน รู้แต่ว่ามีหน้าที่ต้องหา ใช่หรือไม่ หาในสิ่งที่เราหา มักจะหาเฉพาะข้างนอกมากกว่าข้างใน
เสียดายยังพูดไม่หมด แต่คิดว่าถ้าพูดมากกว่านี้ บางคนก็อาจจะไม่ไหวแล้ว เอาไว้มีโอกาส เราค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกมากๆ กว่านี้ดีไหม (ดี)  แต่อยู่ที่ว่าท่านจะให้เวลากับตัวเองในการคิดหาหลักธรรมบ้างหรือเปล่า ธรรมะมีไว้เพื่อน้อมนำจิตใจตัวเอง ธรรมะมีไว้เพื่อตรวจสอบแก้ไขตัวเอง ไม่ให้ตัวเองนั้นเป็นคนที่หลงตน และธรรมะมีไว้เพื่อเกื้อหนุน ช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่ช่วยแต่ตนเองไม่ช่วยใคร และธรรมะมีไว้เพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดติด แม้ความคิดนั้นจะแตกต่างกัน แต่จงเปิดใจให้กว้าง พร้อมรับมุมมองที่แตกต่าง แล้วเราจะรักคนทุกคนได้ ไม่เกลียด ยินดีที่รับเขาเป็นอย่างนั้น ยินดีที่รู้ว่าเขาคือคนที่เราไว้ใจและพร้อมจะบอกความเป็นจริง แต่เพราะอะไรที่เขาไม่กล้าบอกเราเมื่อเขาทำผิด เพราะเรารับไม่ได้ หรือไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างไรถ้าพูดด้วยกันไม่ได้และก็ไม่เคยเข้าใจซึ่งกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
จงมีจิตใจที่เปิดกว้าง รับทุกๆ ผู้คน ไม่แบ่งเขา ไม่แบ่งเรา ไม่ถือว่านี่ลูกฉัน นี่ลูกเขา เข้าใจเขาทั้งลูกเขาและลูกฉัน มีจิตใจที่เที่ยงตรง ไม่ลำเอียง  สิ่งนี้พูดมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้นะ แต่ถึงเวลา ลูกฉันมาก่อน ลูกคนอื่นไว้ทีหลัง ใช่ไหม (ใช่)  ฉันสบายไว้ก่อน คนอื่นเหนื่อยไปเถอะ ได้ไหม (ไม่ได้) 
วันนี้แม้เราจะพูดไปมากมายขนาดไหน แต่ถ้าถึงเวลาท่านไม่เลือกที่จะทำ ก็เปล่าประโยชน์ที่นั่งฟังไป อย่าลืมนะ ทุกข์ สุข เกิดจากใจเราเองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภายนอกจะมีอิทธิพลหรือไม่ อยู่ที่เราจะลากไปกับความคิดที่เขากำลังใส่ให้หรือเปล่า ทำตัวเองให้ดีแล้วค่อยไปเรียกร้องผู้อื่น หรือทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องเรียกร้อง เดี๋ยวเขาก็ทำให้เราเอง เขาก็ทำตามเราเอง ถ้าความดีที่เราทำมันพิสูจน์ตัวของมันเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้คงต้องจากลาไปแล้ว ขอให้ท่านมีความสุขในการนั่งฟังธรรมะ ด้วยจิตใจที่กระตือรือร้นกระปรี้กระเปร่า ยิ่งฟังธรรม จิตใจยิ่งอิ่มเอิบในการฟังธรรม ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วมีแต่จิตใจหดหู่ อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำที่เราบอกได้นะ เป็นผู้บำเพ็ญธรรมทำอย่างไร จะบำเพ็ญโพธิสัตว์หรือบำเพ็ญอรหันต์ (โพธิสัตว์)  เข้าใจนะ ถึงเวลาเราคงต้องไปแล้ว ขอให้ท่านตั้งใจฟังนะ อย่าคิดว่าเรามาเล่นละครหลอกเลย วันนี้เรามาเปิดกุญแจแห่งความรู้ในหัวใจท่านให้กว้างยิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เข้มแข็งอดทนเรียบง่าย                       อ่อนน้อมจริงใจสุขุม
พูดจาปราศรัยรัดกุม                             ไม่บุ่มบ่ามทำอะไร
                 เราคือ
  จี้กงวิปลาส                             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนง่วงหรือเปล่า เหนื่อยหรือไม่
  ทุกคนต่างเป็นคนดี                            แต่ยิ่งนานปียิ่งเฉื่อย
อย่าปล่อยชีวิตเรื่อยเปื่อย                       เรื่อยเรื่อยแข่งกับตัวเอง
ความยากฝึกคนให้แกร่ง                       เปลี่ยนแปลงตนเองให้เก่ง
จงก้าวอย่างคนรีบเร่ง                            โดยอย่าเซ็งความเป็นตน
ทำในสิ่งที่ควรทำ                                 พูดซ้ำแต่ไม่ใช่บ่น
คิดได้แต่ใช่กังวล                                 อดทนไม่ใช่กล้ำกลืน
อย่าติดชีวิตหรูโก้                                  คนโง่ที่ฟังคนอื่น
จะฉลาดอย่างยั่งยืน                             ศิษย์ตื่นตอนนี้ยังทัน
                                                                                                                   ฮา ฮา หยุด

ว่าไงเจ้าความคิดหนีไม่พ้น เห็นต้องทนทุกข์อยู่ ว่าไม่ผิดเลยสักราย เข้าใจก็ยอมทำใจจริงจริงสักที เรื่องต้องเป็นไม่ฝืนไป
* ศิษย์จงรู้ รู้เท่าทันที่เป็นอยู่ ไม่มากไป ไม่น้อยไป อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความท้อ ไม่ปล่อยใจตามน้ำไป อยู่กับความคิดก็อย่าปล่อยให้ร้าย มีคนที่จริงใจ โลกจึงดูงดงาม
เพราะใจช่างอยู่เหนือที่ว่าไว้  เหนือด้วยกฎทุกกฎ ไม่อาจคาดหมายใด ถึงไงก็ยังเป็นใจตนเองมิวาย เข้าใจก็รู้วิธี (ซ้ำ *)

                                                                         ชื่อเพลง : เข้าใจก็รู้วิธี
ทำนองเพลง : ไม่แข่งยิ่งแพ้


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นั่งมาถึงครึ่งวัน  บ่ายวันที่สองแล้ว รู้สึกง่วงนอนไหม (ไม่ง่วง)  เวลากลางคืนปกตินอนหลับไหม (หลับ)  มนุษย์เป็นโรคกลางคืนไม่ยอมนอน กลางวันไม่ยอมตื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงเวลากินไม่ค่อยหิว หิวตอนไม่ใช่มื้ออาหาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เท่ากับว่าเราเป็นโรคประหลาดใช่หรือไม่ เป็นโรคประหลาด ต้องใช้ยาประหลาดรักษา ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เวลามองในกระจกจะเห็นคนที่ประหลาดที่สุดในโลกอยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่เข้าใจยากที่สุด คือใคร (ตัวเรา)  พูดถูกหรือเปล่า เมื่อเรารักษาตัวเองไม่ได้ ย่อมรักษาผู้อื่นไม่ได้ ถามจริงๆ ว่าเคยรู้สึกปรารถนาดีกับใครไหม (เคย)  แล้วคิดว่าเวลาเราปรารถนาดีแล้ว เขาฟังเราหรือไม่ (ไม่ฟัง)  เขาไม่ฟังเรา เพราะเรายังไม่หายประหลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องแก้ความประหลาดของตนให้หายก่อน
ฉะนั้นเวลาสองวันนี้ เรามานั่งฟัง สิ่งที่เราได้ฟังเป็นสิ่งที่ดีต่อเราหรือไม่ (ดี)  สิ่งที่ดีรู้แล้วต้องทำไหม (ทำ) สิ่งที่ดีรู้แล้วต้องปฏิบัติ ถามว่าเราปฏิบัติได้ไหม คิดว่ากลับไปแล้วทำหรือเปล่า (ทำ)  เปอร์เซ็นต์ทำมากกว่าหรือเปอร์เซ็นต์ทำน้อยกว่า เราคิดว่าเรากลับไปเราจะทำ แต่ส่วนใหญ่เรื่องดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตรู้ว่าดีแต่ทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะฉะนั้นศิษย์ยังเป็นคนประหลาดอยู่ เวลามีคนปรารถนาดีมาเตือนเรา เราก็มักจะตอบให้เขาเจ็บๆ ใช่หรือไม่ อย่างเช่นบอกว่า เธอยังทำไม่ได้เลย อย่างนี้คนอื่นฟังแล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  เวลามีคนมาตอบเรา เราเจ็บไหม (เจ็บ)  เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นคนที่หยุดประหลาดเสียที เราจะต้องรักษาจิตใจของเราเอง การรักษาจิตใจนี้จะเริ่มขึ้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเราตามหาหมอคนนี้ไม่พบ หมอคนนี้เป็นคนที่เรานั้นรู้จัก เป็นคนที่ดีที่สุด เป็นคนที่เก่งที่สุด เป็นคนที่เอาใจยากที่สุด คนๆ นี้เป็นใคร (ตัวเราเอง)  ถ้าหากว่าอาจารย์อยากจะให้ศิษย์รักษาตัวเอง ทำไมวันนี้ยังต้องให้ศิษย์นั้นมานั่งฟังธรรมะเพราะอะไร เพราะว่าส่วนใหญ่เรารู้แต่ทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูด ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ศิษย์ไม่รู้จัก แต่ให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงตนเองออกมาจากภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนแปลงนิสัยตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในเมื่อเราเป็นคนที่ไม่อยากจะฟังคนอื่นพูด แล้วถามว่าเราจะฟังตัวเองพูดไหม เราอาจจะฟังในสิ่งที่ตัวเองพูด แต่ยังไม่เคยพูดให้ตัวเองฟังเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เห็นมีแต่พูดเข้าข้างตัวเอง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการแก้ตัวเองนี่แก้ยากไหม การแก้ไขตัวเองนั้นเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก แต่ต้องทำหรือเปล่า (ต้องทำ)  ถามจริงๆ ว่าเราอยากได้ชื่อว่าเป็นคนดีไหม ถามว่าตอนนี้เราดีจริงๆ หรือเปล่า ไหนลองตอบตัวเองสิว่าตัวเองจริงๆ แล้วเป็นคนดีใช่ไหม คนอื่นชมเราได้ยินบ่อยๆ ถูกหรือเปล่า แต่เราชมตัวเองกี่หน ถ้าหากเปรียบแล้วการพูดชมตัวเองออกมาก็เหมือนปากที่ง้างไม่ขึ้นเลยทีเดียวใช่หรือไม่ เพราะว่าเรารู้ว่าจริงๆ แล้ว พูดดีออกไปแต่ใจเราดีไหม (ไม่ดี)  เราทำดีออกไป เราคิดดีอยู่หรือเปล่า บางทีเราทำไปเพราะหน้าที่ บางทีเราทำไปเพราะว่าเรานั้นอยู่ตามแวดล้อมด้วยคนดี หากเราทำไม่ดี เราก็จะเป็นคนที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไหนๆ ศิษย์ก็ต้องพูดดี ก็ต้องทำดี เพราะฉะนั้นก็ให้ศิษย์นั้นเป็นคนดีที่ออกมาจากข้างใน ดีหรือไม่ (ดี)  ทำยากไม่ยาก
คนดีเป็นอย่างไร ไหนบอกหน่อยสิ (ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน, ช่วยคนอื่น, พูดดี ทำดี คิดดี, ทำให้คนอื่นได้ดีด้วย, รู้จักกตัญญูบุญคุณคน, ทำให้คนอื่นพ้นทุกข์, ปากกับใจตรงกัน)  เท่าที่ฟังมานี่คำว่า “คนดี” คือการทำให้คนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการทำให้คนอื่นยากไหม ทำเพื่อคนอื่นที่เป็นคนในบ้านเรา ทำเพื่อคนอื่นที่เป็นญาติพี่น้องเรา  ทำเพื่อคนอื่นที่เป็นคนที่เราพบทุกวันแต่ไม่ใช่ญาติ ยากไหม ดังเช่นเพื่อนสนิทมิตรสหาย คนรู้จักมักจี่ คนที่เดินไปเดินมาที่เราไม่รู้จักเลย ยากไม่ยาก ลำดับความยากมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  การที่เราบอกว่า ทำให้ผู้อื่น คำว่า “ผู้อื่น”  เราวงเล็บไว้หรือเปล่าว่าเฉพาะพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีวงเล็บไว้ไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นคนดี คนดีที่ยิ่งใหญ่ คือการทำให้ผู้อื่นโดยไม่ต้องจำกัดคำว่า “ผู้อื่น”  ตรงนั้น นั่นคือใคร คนดีคือคนที่ทำให้สิ่งที่ดีให้ความดีนั้นๆ ตกแก่ผู้อื่น ไม่ใช่ตกแก่ตัวเอง ดังเช่น หากว่าพ่อแม่ตีลูก ถามว่าพ่อแม่โหดร้ายไหม พ่อแม่ตีลูกเพื่อให้ลูกได้ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  พ่อแม่กำลังทำสิ่งที่คนดีคนหนึ่งทำอยู่หรือเปล่า (ใช่)  กำลังทำหน้าที่ที่ถูกต้อง แม้บางทีวิธีการที่จะไปถึงในสิ่งนั้นๆ อาจจะดูแล้วเป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับคนมอง แต่อาจจะถูกต้องก็ได้ จริงหรือเปล่า
ส่วนเราเจอหน้าใครก็ไหว้ไปทั่วเลย รู้จักก็ไหว้ ไม่รู้จักก็ไหว้  ถามว่าทำอย่างนี้เราเป็นคนดีหรือเปล่า เราทำในสิ่งนี้เพื่อให้เขาเอ็นดูรักใคร่เรา ถูกหรือไม่  ถามว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า นั่นขึ้นอยู่กับว่าเราไหว้เขา เราหวังอะไรอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เจอใครอย่าไหว้ แต่กำลังพูดว่าเวลาที่เราทำอะไรสักเรื่องหนึ่ง เรามีผลประโยชน์อยู่ในนั้นหรือเปล่า เมื่อเรามีผลประโยชน์อยู่ในนั้น เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ก็มักจะสื่อถึงความดีและความไม่ดีของเราก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ (จริง) 
“เข็มแข็งอดทนเรียบง่าย” 
เรียบง่ายเป็นไหม (เป็น)  ถ้าหากว่าวันนี้ให้กินข้าวเปล่า มีซีอิ้วสักถ้วย ผัดผักไม่ใส่อะไรเลยจานหนึ่ง อยู่ได้ไหม (ได้)  ให้กินอย่างนี้ทุกวันๆ อยู่ได้ไหม ให้เราใส่เสื้อผ้าที่ไม่ต้องเน้นสีสัน ความสวยงาม อยู่บ้านมีทีวีแต่ไม่เปิด มีแอร์แต่ก็ไม่เปิด มีพัดลมแต่ก็ไม่อยากเปิด  มีเงินก็ไม่ค่อยเยอะแยะเท่าไร อย่างนี้ทำให้เราเป็นคนทะนงตนน้อยลง  ความเรียบง่ายคล้ายๆ คนจนหรือเปล่า (คล้าย)  บัณฑิตก็ใกล้เคียงคนจน เพราะฉะนั้น คนบนโลกแม้ว่าจะมีความร่ำรวยมากเพียงไร ส่วนใหญ่ก็เรียบง่ายไม่ได้ มีคุณธรรมไม่สูงส่ง
ฉะนั้นการที่จะเป็นคนๆ หนึ่งที่จะเป็นนักบำเพ็ญธรรม ยากไม่ยาก ศิษย์หลายๆ คนย้อนมองส่องตน วันหนึ่งยังไม่ได้รอบหนึ่งเลย ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นสำคัญมากแค่ไหน หลายๆ คนบำเพ็ญธรรมมาหลายปี ศึกษาธรรมมานาน รู้ธรรมะมากมาย แต่มักจะบ่นกับตนเองว่า เปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้สักที  ใช่ไหม (ใช่)  แสดงว่าเราแพ้อยู่คนหนึ่ง คือแพ้ใคร (ตัวเอง) 
นั่งฟังธรรมะอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ บ่นว่าเหนื่อยก็แย่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าชีวิตเรียบง่ายตามวิธีอาจารย์ก็ปิดแอร์เลยนะ แต่พรุ่งนี้ไม่รู้จะมาหรือเปล่า ศิษย์อยากนั่งหรือยัง ยืนสักสองชั่วโมงดีไหม ให้นั่งนานๆ ก็นั่งจนเมื่อย ให้ยืนนานๆ ก็ไม่ได้ เอาใจยากหรือเปล่า  ไหนใครเอาใจยากบ้าง ศิษย์เคยเอาใจตนเองจนรู้สึกพึงพอใจไหม  เคยมีจนรู้สึกว่าตัวเองรานั้นมีพอแล้วไหม ในการอยู่ร่วมกับคนจำนวนมากไม่สามารถทำให้ทุกๆ อย่างนั้นพร้อมเพรียงได้ คนในบ้านเดียวกับเรา พ่อแม่พี่น้องของเรา ถามว่าเขาพร้อมเพรียงกับเราไหม (ไม่พร้อม)  เราเคยฝึกที่จะรู้จักความคิดของกันและกันไหม เราเคยรู้ไหมว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ เรารู้แต่ว่าเขาชอบ หรือไม่ชอบอะไร รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่ถามว่าในสิ่งที่เรามองว่าเขาเป็นอย่างไร ใช่เป็นสิ่งที่เขาจะบอกเราไหม เวลาภรรยาและลูกเรามองว่าเราเป็นอย่างไร เราเคยคิดไหมว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เราไม่ได้เถียง ทุกบ้านเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นการที่จะมีเวลาให้กับครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ  เราไม่ชอบให้ใครตัดสินเรา เพราะฉะนั้นเราตัดสินใครได้ไหม (ไม่ได้)  เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เพราะเราไม่เคยให้เวลาเขา ฉะนั้นกลับไปแล้วเราต้องให้เวลากับคนในบ้านมากยิ่งขึ้น ทำไมอาจารย์พูดเรื่องนี้ เพราะอาจารย์เห็นว่าทุกคนอยากมีความสุข แต่ความสุขในโลกนี้ไม่มี  มีแต่ความทุกข์ที่ลดน้อยลง เมื่อมีความทุกข์น้อยลงความสุขก็จะมีมากขึ้น เหมือนกับการมีชีวิตเกิดเป็นคน การที่จะมีความสุขเป็นเรื่องยาก แต่การจะทำให้เราตกอยู่ในภาวะความทุกข์ที่น้อยลงเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่า  เมื่อเราไม่ชอบอะไรเราก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น  เมื่อรู้ว่าคนอื่นไม่ชอบอะไร เราก็อย่าได้ทำ แค่นี้เหมือนกับเป็นการเอาใจคนอื่นหรือเปล่า
ภรรยาบางคนทนไม่ได้ที่ต้องเอาใจสามีในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ สามีบางคนก็ทนไม่ได้ที่ภรรยาเป็นอย่างนี้  เราทุกคนมีความทนไม่ได้จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าแก้ปัญหาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกันจะได้คำตอบไหม (ไม่ได้)  ทุกคนอยากตามใจตนเอง  ทุกอย่างก็ยิ่งพังลงมา เพราะฉะนั้นยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ทำให้ตนเองเสียสละมากหน่อย ให้ผู้อื่นได้รับการเสียสละจากเรามากหน่อยทำได้ไหม (ได้)  เท่านี้ความสุขก็จะมีมากยิ่งขึ้น  อยากมีความสุขไหม ยอมให้ความสุขผ่านเข้ามาในชีวิตนี้ไหม  ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น ยอมที่จะได้รับผลประโยชน์น้อยลง ยอมพูดช้าลงอีกนิด ยอมใช้เวลาคิดอย่างละเอียดโดยใช้เวลาคิดมากกว่าเดิม  ยอมลงมือลงไม้ช้าลงกว่านี้ได้ไหม (ได้)  เรื่องที่แย่ที่สุดของคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน คือ การต้องลงมือลงไม้ซึ่งกันและกัน เป็นการระงับความโมโหไม่ได้อย่างถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะจริงๆ แล้วคนที่เราปรารถนาดีที่สุดก็คือคนในบ้านเรา แต่การที่เรานั้นถูกลงมือลงไม้จากเขาแสดงว่าเราแย่ที่สุดจนทำให้เขาอดกลั้นไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าว่าแต่สามีตบตีภรรยาเลย ภรรยาตีสามีก็มี  ผู้หญิงเป็นคนที่มีความอดทนมากที่สุดเกือบจะทุกคน ผู้หญิงเป็นผู้ที่ใช้ความอดทนได้ดีแต่ว่าเวลาที่อดทนไม่ได้เหมือนโลกทั้งโลกพังลงมา อะไรๆ ก็ทนไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) 
ฉะนั้นจงหาทางออกให้กับชีวิตอย่างถูกต้องด้วยการคิดอย่างรอบคอบ  อย่าใช้อารมณ์  ความโลภ ความเกลียดชังและที่สำคัญอย่าใช้อคติ  ถ้าหากเรามองว่าเขาเป็นศัตรูของเราแล้ว  วันไหนเราจะมองว่าเขาเป็นมิตรกับเราอีกครั้ง  ตอนที่เราจะมองคนอื่นเป็นศัตรูของเรา เรารู้ไหมว่าความรู้สึกของเราค่อยๆ ปลูกฝังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เราจะมองผู้อื่นเป็นศัตรูด้วยความอคตินั้น เรารู้ไหมว่าความคิดของเราที่รู้สึกชิงชังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนั้นรู้ไหม (รู้,ไม่รู้)  คนที่ตอบว่าไม่รู้ แสดงว่าไม่เคยย้อนมองจิตใจตนเองเลย ปล่อยให้ทุกวันจิตใจมันเตลิดไปไกลเหมือนลิง ที่วิ่งพล่านไปทั่ว แต่จริงๆ แล้วเวลาเราเกลียดเขาวันนี้แล้ว เราเกลียดเขาไปตลอดเลยหรือเปล่า เพราะว่าเรื่องเดียวของเขาทำให้เราเกลียดเขาใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ คิดดูให้ดีก่อนตอบ เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ได้ฝังรากไว้แล้ว เมื่อเรามองเขาอย่างคนที่มีอคติ ทุกครั้งที่เรามองก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เวลามีอคติแล้วเกิดความรู้สึกจิตใจร้อนหรือเย็น (ร้อน)  ไฟข้างนอกก็มี ไฟข้างในก็มี  ถามว่าเอาไฟข้างนอกมาใส่ไฟข้างในได้อย่างไร ไฟข้างนอกเข้าไปอยู่ในใจได้อย่างไร
ไฟข้างนอกนั้นเข้าสู่ใจได้ทางไหน อย่างแรกที่เข้ามาคือที่เราหลับลืม ๆ อยู่ทุกวันคือตา อีกอย่างหนึ่งที่เบิ่งฟังๆ อยู่ทุกวันก็คือหู  ไฟของความโกรธนั้นเข้ามาด้วยหูและตาอันเป็นอายตนะของเราจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ไฟต่างๆ ดับมอดลงได้บ้างคืออะไร  แน่นอนใจของศิษย์นั้นมีอารมณ์เป็นฐาน ภายนอกก็มีเรื่องราววุ่นวายสับสนเป็นเหตุ ทำให้ศิษย์รับสิ่งเหล่านี้เข้ามาได้เพราะว่าใจของเรานั้นมีอยู่ จริงหรือไม่ การที่จะดับไฟให้เบาบางลงนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง ตาของเราหลับก็ได้ลืมก็ได้ เวลามีเรื่อง ใช้วิธีการอะไร ต้องใช้วิธีการหลบตา หลับตา แต่ส่วนใหญ่จะเบิ่งตาดูเลย   แล้วหูเบิ่งได้ไหม หูเบิ่งอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ยินไม่ชัดก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ หน่อย ที่ได้ยินไม่ชัดแทนที่กิเลสจะน้อยลงหน่อยก็ยิ่งชัดใหญ่เลยใช่หรือไม่ ชัดว่ามันคุอยู่ในใจเป็นไฟกองโตเลย  การจะดับเสียงที่ได้ยินทางหูนี้ทำอย่างไร  (ทำเป็นไม่ได้ยิน)  จริงๆ ทำเป็นไม่ได้ยินกันทุกคนอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วได้ยินเต็มสองหูเลยใช่หรือเปล่า เรื่องอะไรที่คนอื่นเขาว่าเรา เรื่องที่เขายิ่งไปพูดไกล ๆ ยิ่งเงี่ยหูเข้าไปฟังใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคนหูเบา ขนาดมีคนมาบอกว่าคนนั้นเขานินทาเรา เราไม่ได้ยินสักคำ แต่เราเชื่อไปหมด อย่างนี้เขาเรียก เวรกรรม หรือเปล่า ไม่มีกรรมก็จะเป็นกรรมแล้วใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นทำอย่างไร จะปิดหูตัวเอง (อย่าหูเบา, เอาหูไปนา เอาตาไปไร่)  จะเอาหูไปนา นาก็อยู่ไกล จะเอาตาไปไร่ก็มีแต่คนที่ไม่ชอบอยู่ตรงหน้า (อย่าเอาไปปรุงแต่ง, ทำไม่รู้ไม่ชี้, เดินหนีไม่ต้องฟัง, เอาสติกำหนดรู้ว่าเป็นเสียงเท่านั้น ไม่ปรุงแต่ง) ทำได้หรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องที่ตรงกับเราก็ทำยากใช่ไหม (สิ่งที่ดีเก็บไว้ สิ่งไม่ดีอย่านำมาใส่ใจ)
ปรบมือให้หน่อย (เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา)  แต่กักอยู่ไว้ที่สมองนิดหน่อย  (ช่างมัน)  ช่างง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร วิธีง่ายๆ ในการปิดหูตัวเองคืออะไรง่ายมากๆ เลยคือทนไม่ไหวก็เดินหนี ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็ยืนปิดหู อย่าปิดสองช่องเปิดหนึ่งช่อง อย่างนี้ไม่ดี วิธีที่ยากขึ้นมา ก็คือทำใจให้เฉยๆ  แต่วิธีเหล่านี้ล้วนไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ วิธีแก้ปัญหาที่ถาวรก็คือ รู้จักแยกแยะในสิ่งที่ฟัง ดูว่าเราทำผิดหรือเปล่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ขัดหู แม้คนๆ นั้นจะใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความเรา ถามว่าเราฟังแล้วมีอะไรสึกหรอหรือเปล่า เราฟังแล้วก็ยังไม่มีอะไรสึกหรอ เราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ใช่หรือเปล่า มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่อย่างเดียวก็คือ จิตใจรู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่ฟังจริงหรือไม่
เพราะฉะนั้นการที่จะระงับสิ่งที่ได้ยินก็คือการเปลี่ยนแปลงจิตใจของตนเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  การที่จะระงับสิ่งที่ได้ยิน นอกจากการเปลี่ยนแปลงจิตใจของตนเองแล้วไม่มีสิ่งอื่น เพราะว่าเรานั้นเอามือไปอุดปากคนอื่นได้ไหม  อาจอุดปากได้ ด้วยเงิน ด้วยอำนาจ ด้วยบารมี แต่ถามว่าอุดตรงนี้ไปปูดตรงโน้น ไหวไหม (ไม่ไหว)  นอกจากเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนดีแล้วไม่มีวิธีอื่นที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข ฉะนั้นการจะเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นต้องทำเมื่อไร ไม่ใช่ตอนที่เขาพูด  การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นจำเป็นที่จะต้องทำทุกวัน การทำใจตนเองนั้น จำเป็นที่จะต้องทำทุกๆ เวลา จริงหรือเปล่า หากเราไม่เคยทำใจเลย อยู่ดีๆ พบเรื่องบาดใจ พบเรื่องทุกข์ใจ พบเรื่องไม่ชอบใจ อยู่ดีๆ ให้ทำใจทำไม่ได้ 
ชีวิตนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องทำใจด้วย ถ้าหากว่าตอบไม่ได้แสดงว่าไม่ได้ฟังกันเลย  คำถามของอาจารย์ย้อนไป แล้วก็ย้อนมา แสดงว่ามีหลายๆ คนฟัง มีอีกหลายคนฟังแต่ตามไม่ทัน บางคนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง  การที่ต้องทำใจ เพราะว่าเรามองย้อนก็คือ เราอยากที่จะมีความสุขกับชีวิตตัวเอง การที่เราทำดีกับคนอื่น สิ่งที่ได้ตอบรับกลับมาก็คือได้ดีกับตัวของเราเองใช่หรือไม่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้สิ้น เปลี่ยนแปลงตนเองทำยากไหม(ยาก,ไม่ยาก)  สมมติว่าปกติศิษย์ของอาจารย์ใช้จานแบนกินข้าว วันนี้ให้กลับไปใช้ถ้วยกลมได้ไหม บางคนมีปัญหาถึงขนาดที่ว่าหากว่าเปลี่ยนจานกินข้าวแล้วรู้สึกว่าข้าวไม่อร่อย  บางคนต้องกินน้ำฝน พอให้กินน้ำอื่นรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ค่อยมีความสุขเลย อันนี้เป็นความยึดติดถือมั่นในตัว  จำเป็นที่จะต้องแก้ ทำไมถึงจะต้องแก้ความยึดติด  ถามว่าในการดำเนินชีวิตของเราทุกๆวันมีสิ่งต่างๆซ้ำเดิมไหม (ซ้ำเดิม) เรายังไปแปรงฟัน ไปกินข้าวที่เดิมหรือเปล่า เรายังใช้ชีวิตและเห็นหน้าคนเดิมๆอยู่หรือเปล่า แต่ในรายระเอียดแล้วเหมือนกันหรือไม่ (ไม่เหมือน) กับข้าวก็เปลี่ยนไป ที่แปรงฟันก็เปลี่ยนไปเมื่อวานปวดฟันซี่นี้ วันนี้ไม่ปวดแล้ว ใช่ไหม คนเดิมๆที่เราพบ ถามว่าเขาใส่เสื้อผ้าเหมือนเดิมหรือเปล่า (ไม่เหมือนเดิม) ทุกอย่างในรายละเอียดแล้วเปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งใดที่คงเดิมจริงๆ
ฉะนั้นที่เราคลายความยึดติดถือมั่นเพื่ออะไร เพราะว่าเรานั้นไม่สามารถจะมีสิ่งต่างๆ เดิมๆ ได้ตลอด วันนี้เราอยู่ที่นี่ วันพรุ่งนี้เราอาจจะไปอยู่อีกที่หนึ่ง อย่างเช่น ถ้าเป็นวันอาทิตย์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วศิษย์ของอาจารย์อาจจะทำอีกอย่างหนึ่ง อาทิตย์นี้ศิษย์ของอาจารย์ก็ทำอีกอย่างหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง) และบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตหลังจากที่ฟังธรรมะจบไปก็ได้ บางคนอาจจะเปลี่ยนได้แต่เปลี่ยนได้ไม่ดีก็เป็นได้ บางคนอาจจะไม่เปลี่ยนเลยก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งต่างๆที่เหมือนเดิมอย่างจริงแท้ และข้อสำคัญคือทุกๆคนเกิดมาต้องตาย การตายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของคนทุกคน จริงหรือไม่ (จริง) มีใครในที่นี้บอกว่าตัวเองไม่ตายมีไหม (ไม่มี) ความตายน่ากลัวไหม (น่ากลัว) ความตายน่ากลัวหรือเปล่าอยู่ที่ว่าตอนนี้เราทำอะไร จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถึงแม้ว่าเรารู้ว่าเราเป็นคนดี ทำดี ตายไปแล้วไปที่ดีๆ แต่ถามว่ากลัวไหม ความเปลี่ยนแปลงคือ ความน่ากลัวที่สุด เราจะบอกว่าเราไม่กลัวเลย ไม่จริงหรอก ทุกคนเวลาจะตายแล้วต้องดิ้นรนทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องไปไหน ไม่สามารถจะกำหนดทิศทางได้เหมือนไปที่ทำงาน ไปตลาด ไปบ้าน
ฉะนั้นสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้คือสิ่งที่กำหนดอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราเป็นในวันนี้คืออะไรที่กำหนดมา คือการกระทำในอดีตที่กำหนดมา ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ชอบเคี้ยวข้าวทางซ้าย ฟันข้างซ้ายก็สึกมากกว่าฟันข้างขวา จริงหรือไม่ (จริง) อันนี้เป็นแค่นิสัยจากวัยเด็กขึ้นมาสู่ตอนโต แต่หากว่าในชาตินี้เราถนัดที่จะทำความไม่ดีในเรื่องนี้ โดยที่เราก็มีเหตุผลอ้างต่างๆ นานาว่าที่เราทำไปเพราะว่าเรามีเหตุผลอย่างนี้ๆ เราอาจจะทำในสิ่งที่ผิดในสายตาของคนอื่นแต่ถูกต้องสำหรับตนเอง แต่ถามว่าในวนเวียนกฎแห่งกรรมแล้วสามารถหลีกเลี่ยงได้ไหม (ไม่ได้) ถึงแม้ว่าจะทำบุญและกรรมคู่กันไปก็ต้องรับบุญและกรรมคู่กันไปเช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นได้ ฉะนั้นอนาคตอยากกำหนดให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมไหม หรือว่าพอใจในสิ่งที่ตัวมีวันนี้แล้ว มีใครพอใจในสิ่งที่ตนเองมีวันนี้แล้วบ้างไหม พอใจในรูปร่างหน้าตา พอใจในฐานะ พอใจในครอบครัว พอใจในชีวิตของตัวเองมีใครพอใจถึงขนาดนั้นไหม ถ้าหากพอใจคงไม่ทุกข์ ถ้าทุกข์อยู่แสดงว่าไม่พอใจ จริงหรือไม่ (จริง) แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นท่องไว้คำหนึ่ง ท่องตามนะ “ที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ถ้าหากว่ารู้สึกอย่างนี้ได้จิตใจก็จะเบาสบายยิ่งขึ้น อยากได้จิตใจที่เบาสบายไหม ถ้าอยากได้ต้องพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ต้องรู้ว่าตัวเองมีอะไร รู้จักพอใจในสิ่งไหน เปิดใจฟังวันนี้เหมือนใจของศิษย์ได้เปิดประตูออก แล้วจะมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน
สถานธรรมใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีคนมา จริงหรือเปล่า (จริง) บ้านไม่ช่วยกันกลับมาก็ไม่มีคน ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เขียนกระดานอยู่ด้านหน้า)
มนุษย์สมัยนี้เวลาพูดต้องพูดให้ชัดๆ อะไรที่ไม่แน่ใจก็ไม่ถาม ถ้าหากไปอยู่กับคนสมัยโบราณ สงสัยจะลำบาก เพราะคนสมัยโบราณพูดน้อย ได้ใจความ ต้องตีความและเข้าใจเอง ไม่รู้ต้องถาม ต้องพิจารณาทุกๆ อย่าง บางเรื่องแม้พูดกับคนๆ นี้ด้วยคำพูดประเภทนี้ แต่เมื่อไปพูดกับอีกคนหนึ่งอาจจะใช้คำพูดเดียวกันไม่ได้ ถึงแม้เขาจะมีความใกล้เคียงกันก็ตามที นี่คือลักษณะของคนโบราณนะ แต่คนสมัยนี้ไม่ได้ ทุกอย่างต้องพูดให้ชัด แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ชัด คืออะไร คนสมัยนี้คิดไม่ชัด แต่เวลาฟังอยากฟังชัดๆ ลำบากไหม (ลำบาก) ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ สิ่งขาดหายไปคืออะไร (ความมั่นใจ) ไม่ใช่ ความมั่นใจมีมากมายทีเดียว สิ่งที่ขาดหายไปคือ ปัญญา
ถ้าไม่รู้ต้องถาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลับไปบ้านก็ต้องหัดเป็นคนที่ถาม อยู่ที่ไหนก็ต้องหัดเป็นคนที่ถาม แต่อย่าถามจุกจิกจู้จี้ เหมือนคนไม่มีสมอง ให้ถามพองาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถาม จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนนั้นบกพร่อง หากอาจารย์พูดอย่างนี้จะมองเป็นว่าก็ว่า ใช่หรือไม่ จะมองเป็นแนะก็แนะแล้วแต่คนนะ เหมือนกันเวลาที่ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ศิษย์ไม่บ่นไม่ว่าแต่เวลาถูกคนว่าแล้วรู้สึกทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มองว่าเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีหรือไม่ เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ ร้อนรุ่มทุรนทุรายกับคำพูดของคนอื่น ดีหรือเปล่า (ดี) มองคนอื่นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ได้) มองใครเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้หมด ยกเว้นมองตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์เบื่อไม่เบื่อ ถ้าอาจารย์เบื่อแล้วกลับได้ไหม ได้หรือเปล่า อาจารย์ถามศิษย์ทีไร ไม่เห็นมีใครถามอาจารย์เลยว่าอาจารย์เบื่อหรือเปล่า อาจารย์มีสิทธิ์เบื่อหรือเปล่า (มีสิทธิ์) เบื่อหรือเปล่า รักได้ก็เบื่อได้ รักไปเบื่อไปเป็นไหม คนที่บ้านรักไปเบื่อไป เป็นหรือเปล่า (เป็น)  แทงใจดำเลยนะ  ไหนใครเป็นคนใจร้อนบ้าง ไหนใครใจร้อนมามากกว่าสิบปีแล้วยกมือขึ้น แล้วคนที่ไม่ยกนี่เป็นคนใจไม่ร้อนใช่ไหม ใจเย็นหรือเปล่า แต่เวลาคนใจเย็นใจร้อนขึ้นมา น่ากลัวกว่าหรือเปล่า  สรุปแล้วใครน่ากลัวกว่ากัน คนใจเย็นน่ากลัวกว่า ใช่ไหม คนใจร้อนต้องรู้จักดับอารมณ์ตัวเอง มีคำพูดอยู่สองคำ ให้คนใจร้อนท่องไว้ ไหนใครใจร้อนเบิ่งหูให้กว้างๆ อันแรกคือ อย่าปรารถนาทำสิ่งใด รวดเร็วมากเกินไป คนใจร้อนได้ยินไหม  อย่างที่สองคืออย่าประมาท หวังผลประโยชน์เข้าข้างตนเอง   คนใจร้อนต้องจำไว้ เพราะว่าสองสิ่งนี้ไปผสมกับความใจร้อนที่มีอยู่เดิมแล้ว จะทำให้เรื่องทุกอย่างยากมากยิ่งขึ้น เหมือนคำพูดที่มนุษย์พูดกันบ่อยๆ บอกว่า ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า คนบำเพ็ญต้องถนัดทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย จริงหรือไม่ เพราะบำเพ็ญก็ต้องละตัดอารมณ์อยู่แล้ว หากว่าศิษย์ยิ่งบำเพ็ญ อารมณ์ยิ่งมากขึ้นๆ ถามว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมหรือเปล่า แล้วพอเวลาเราแก่ตัวมากขึ้นก็เป็นโรคความดันอีก ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามระงับจิตใจของตนเอง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ศิษย์อาจารย์ไม่ใช่วัยรุ่นสักคน เพราะเวลามันผ่านไปแล้วแต่อารมณ์ก็ยังร้อนอยู่ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง เข้าใจก็รู้วิธี)
คนที่ไม่มั่นใจว่าเสียงตัวเองจะเพราะ แต่ถามว่าไม่ลองร้องให้คนอื่นฟังหน่อยหรือว่า ไม่เพราะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต่างคนต่างส่งเสียงก็แล้วกัน ดีหรือเปล่า การร้องเพลงที่ประสานเสียงเป็นหมู่อย่างนี้ ฟังไม่ออกหรอก ว่าร้องเพราะหรือไม่เพราะ อาจารย์รับประกัน ขอให้ทุกคนร้องด้วยความเบิกบานใจ ดีหรือไม่ (ดี) 
การที่มาอยู่รวมกัน การส่งมอบความสุข ให้ความสุขนั้นมันไหลถ่ายเทจากตัวเราไปสู่ผู้อื่น แล้วจากผู้อื่นมาสู่เรานั้น ทำได้ด้วยการที่เรานั้นเป็นคนที่มีความจริงใจต่อผู้อื่น เหมือนกับการร้องเพลงในวันนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นร้องด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ เมื่อเรานั้นทำ เราย่อมเป็นผู้ที่เบิกบาน เมื่อเราร้องเราย่อมเป็นผู้ที่เบิกบาน แม้ว่าความสุขนั้นมีมากมาย แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่ลองร้องเพลงดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าความสุขนั้นมาได้อย่างไร จริงหรือไม่ (จริง)  หลายๆ คนมองดูคนอื่นร้องเพลงมีความสุข ตัวเองอยากมีความสุข แต่ไม่ยอมร้อง ย่อมไม่ได้รับ จริงหรือเปล่า (จริง)
เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น จำเป็นที่จะต้องให้ตัวเรานั้นเป็นผู้มอบให้กับตัวเอง อาจารย์พูดแล้ว อาจารย์นั้นทำได้แค่เตือนใจ ทำได้แค่สะกิดใจ ทำได้แค่ปลุก ส่วนคนที่จะตื่นหรือไม่ตื่นนั้น จำเป็นที่จะต้องให้ใครปลุก (ตัวเอง)  ตัวศิษย์เอง เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นมองกลับไป หลายๆ คนไม่เป็นผู้ที่สร้างโอกาสให้กับตัวเอง หลายๆ คนนั้น ยังหยิบเอาความน้อยเนื้อต่ำใจมาใช้กับชีวิตจริงของศิษย์ แล้วปล่อยให้การทำสิ่งที่ถูกต้อง ที่ควรทำ ควรพูด เก็บไว้ในใจ หลายๆ คนเลือกที่จะเงียบ ใช่หรือเปล่า
การแก้ปัญหาในชีวิตทำได้หลายอย่าง แต่ต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองในรายละเอียดของการใช้ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์จะเป็นอย่างไร จะทำอย่างไร แน่นอนคนอื่นตอบไม่ได้ ฟังเขาพูดกี่ทีก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ถามว่าศิษย์เข้าใจตัวเองหรือเปล่า สิ่งที่ศิษย์ทำไปก็ยังไม่ได้เป็นเหมือนกับคนที่เข้าใจตัวเอง ใช่หรือไม่ อาจารย์ถามว่าอยากทำความดีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไหมในตอนต้น ความดีที่ยิ่งใหญ่ คนดีที่ยิ่งใหญ่นี้ทำอย่างไร หากว่าตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็ย่อมช่วยคนอื่นไม่ได้ เมื่ออยากช่วยคนอื่นต้องทำอย่างไร ต้องสลัดความเป็นตัวตนทิ้งแล้วมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับผู้อื่น เอื้อมมือของเราลงไปช่วยคนอื่น ก้าวขาของเราออกจากวงแห่งอัตตาของเราเอง จึงสามารถช่วยผู้อื่นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงเป็นคนดีที่รู้จักสร้างโอกาสให้กับตัวเอง จงเป็นคนดีที่รู้จักและเข้าใจตัวเอง จงเป็นคนดี  อย่าใช้ความรู้สึกนำทางความคิด นำพาการบำเพ็ญของตนเองเลย
(พระอาจารย์เมตตาครอบพระโอวาทคำว่า “แข่งขันกับตัวเอง”)
คำนี้คงเป็นคำที่เหมาะสมกับศิษย์ที่อยู่ตรงนี้หลายๆ คน เกือบจะทุกคนก็ว่าได้ เพราะว่าทุกคนนั้นมุ่งที่จะแข่งขันกับโลก แข่งขันกับชีวิต แข่งขันกับการแข่งขันข้างนอก เพื่อที่ได้มาซึ่งเงินทอง ใช้วิธีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกคนหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยหันมามองเลยก็คือ “ตัวเอง”  เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นจะเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นดีมากยิ่งขึ้น คงต้องพึ่งคำนี้ คำว่าอะไร (แข่งขันกับตัวเอง)  แข่งขันกับตัวเอง เมื่อวานนี้เราเคยแย่กว่านี้ วันนี้เราต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ ปีที่แล้วเรายังทำไม่ได้ ปีนี้เราต้องทำให้ได้ ทุกๆ วันต้องผ่านไปอย่างคนที่ทำดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำได้ไหม (ได้) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูป พระอาทิตย์ส่องแสงกับดอกบัว)
รูปดอกบัวภายใต้แสงอาทิตย์  พระอาทิตย์นี้อยู่ใกล้ดอกบัวมาก แสดงว่าดอกบัวนั้นได้รับความร้อนจากพระอาทิตย์ดวงนี้มาก  ด้วยพระอาทิตย์เป็นประกายละอองความร้อนออกมา เพราะฉะนั้นดอกบัวดอกนี้จะต้องแกร่งมากๆ แต่ว่าเมื่อดูรูปนี้ถ้าวาดให้สวยได้จะแสดงให้เห็นถึงพลังของคนที่ไม่กลัวความยากลำบากเลย  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีพลังอยู่ข้างใน  พลังที่พร้อมจะต่อสู้อุปสรรคทุกอย่าง พลังที่เป็นผู้ไม่เหนื่อยง่ายจนเกินไป ทำทุกอย่างได้อย่างใจต้องการ  แต่ตั้งอยู่บนความถูกต้องที่ดีงาม ทำได้ไหม
เวลาในชีวิตของศิษย์นั้นก็เหมือนเวลาของดอกบัว ดอกบัวนั้นหากมองไปก็คือความแข็งแกร่ง แต่หากเข้าไปจับแล้วดอกบัวนั้นกลีบอ่อนมากไม่ทนมือทนไม้ อาจารย์อยากให้รู้ว่าชีวิตของศิษย์นั้นมีความเปราะบางเหลือเกินเผลอไม่ได้  วันนี้ยังมีลมหายใจพรุ่งนี้อาจจะไม่มีก็ได้  หวังว่าศิษย์ทุกคนคงได้รับพลังจากการที่อาจารย์พยายามส่งรูปๆ หนึ่งให้ศิษย์ หวังว่าทุกคนเข้มแข็ง
วันนี้อาจารย์คงคิดถึงศิษย์อีกหลายคนที่ไม่สามารถที่จะเอาจิตใจมารวมกับอาจารย์ได้ อาจารย์คงมีปัญญาเพียงเท่านี้ แต่ฝากศิษย์ดูแลตัวเองดีๆ ในวันนี้ทุกคนแตกต่างกัน ภายนอกดูแตกต่างกันด้วยฐานะ รูปร่าง อายุ เพศ วัย  แต่ในจิตญาณของศิษย์นั้นเหมือนๆ กัน จิตญาณที่จะสามารถรู้ตื่นและเบิกบานเองได้  สามารถเข้าถึงธรรมเองได้ 
อาจารย์ห่วงศิษย์คนที่เป็นคนที่ฉลาด คนที่ฉลาดมักไม่กล้าที่จะออกมาจากวงล้อมของความคิดของความเป็นตัวตน ทำให้เป็นอุปสรรคยิ่งในการบำเพ็ญธรรม  ศิษย์คนที่ไม่มีความคิดใดๆ ซับซ้อนก็น่ายินดี  แต่ไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ดี ฉะนั้นทุกคนอาจารย์จึงห่วงหมด  อาจารย์จึงรักหมด  ฉะนั้นอาจารย์ฝากคำพูดสั้นๆ “ดูแลตัวเอง” อย่าปล่อยให้สิ่งใดๆ อันเป็นเหตุไม่บังควรมาเป็นอุปสรรคของศิษย์ในการจะเข้าถึงพระธรรม เมื่อเล็งเห็นว่าพระธรรมคือชีวิต เมื่อเล็งเห็นว่าไม่มีทางดับทุกข์ที่ดีกว่านี้ได้ ศิษย์ของอาจารย์จะทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเอง ซึ่งการบำเพ็ญไม่ได้ต้องการเงินทองของศิษย์ การบำเพ็ญไม่ได้ต้องการเวลาของศิษย์ แต่การบำเพ็ญต้องการจิตใจที่ดีงามของศิษย์ อุ้มชูโลกนี้ให้สูงส่งมากยิ่งขึ้น ศิษย์รู้ไหมรอบๆ ตัวศิษย์มีแต่เภทภัยอันตราย แล้วศิษย์ยังนอนสบายอยู่ที่บ้าน ควรหรือเปล่า
ศิษย์รักทุกคน วันนี้แม้ใครไม่ได้จับมืออำลากับอาจารย์ แม้ใครเหมือนอยู่ไกลอาจารย์  ศิษย์จงเอาจิตใจนั้นมาเป็นสรณะ อาจารย์เข้าใกล้ศิษย์ทุกคนทุกเวลา
ศิษย์ตื่นตอนนี้ยังทัน
ฝากดูแลตัวเองทุกๆคน ฝากศิษย์รักที่ไม่ค่อยมาสถานธรรม จะเบื่อหน่าย จะท้อ ถดถอยใดๆ ก็แล้วแต่ ศิษย์ต้องรู้ตัว บางคนนั้นก็มีภาระหน้าที่ เมื่อศิษย์ไม่ทำ ทุกอย่างก็ชะลอตัวช้าลง ฉะนั้นตอนนี้มีกำลังให้ทำ วันหนึ่งศิษย์ไม่มีกำลัง ไม่ทำแล้ว อย่างน้อยยังมีผู้น้อยที่ตามศิษย์มากมาย ไม่อายฟ้าไม่อายดิน แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างคนที่มีปัญญามากขึ้นในทุกๆ วัน 
ฉะนั้นในการที่อาจารย์ขอศิษย์ว่า “สถานธรรมอย่าทิ้ง”  คงเป็นคำขอตื้นๆ เบื้องต้น ให้เก็บไปคิด  ทำหน้าที่ในการเป็นคนให้ดี  ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนให้ดี  พิษณุโลก คนที่อยู่ที่นี่ทุกคน ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ อย่าได้ถูกอุปสรรคใดๆ ทำให้ศิษย์เฉื่อยและช้า  ทางโลกสำคัญต่อศิษย์มาก แต่ทางธรรมนั้นทิ้งไม่ได้  (เข้าใจไหม)  ดูแลคำพูดตัวเอง  ความคิดและจิตใจตัวเอง เมื่อศิษย์ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ศิษย์ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี  พฤติกรรมส่วนตัวนั้นส่งผลมากต่องานธรรม ด้วยเหตุว่าธรรมะนั้นไร้รูป คนจึงมองคนที่ปฏิบัติธรรม ศิษย์ของอาจารย์สำคัญแค่ไหนที่เจ้าจะต้องทำตนเป็นคนดี  หลายๆ คนก็ถูกเราพูดจาแรงมากไป ทำให้เขาไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้
ฉะนั้นคำพูดต้องระวัง ความคิดต้องระวัง การกระทำก็ต้องระวัง  แต่อาจารย์พูดแบบนี้ไม่ได้สอนให้ศิษย์เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิด อาจารย์ยังอยากให้ศิษย์คิด พูดและทำในสิ่งที่ดีเสมอ เข้าใจไหม  พี่ของศิษย์มีตั้งหลายคน พี่คนนี้ปรึกษาไม่ได้ ก็ปรึกษาพี่อีกคนหนึ่งก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รักษาตัวให้ดีนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท (ภาพพระอาทิตย์ และดอกบัว )
                พลังซ่อนอยู่ภายใน                             
รู้ได้ด้วยใจสัมผัส
ในคนกำลังฝึกหัด                                                
ฉลาดที่จะเยือกเย็น


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2548

2548-10-15 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


PDF  2548-10-15-อิ๋งเซียน #10.pdf 



西元二○○五年歲次乙酉 九月十三日             大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘      สถานธรรมอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.

  จงดำเนินชีวิตด้วยความระวัง          เป็นผู้ฟังมากกว่าพูดไม่เสียหาย
เป็นผู้คิดก่อนทำไม่วุ่นวาย               หมั่นเข้าใจกันและกันสานไมตรี
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  มนุษย์เอ๋ยจิตใจมักว้าวุ่น         ไม่รู้หมุนไปทิศไหนจึงถูกกว่า
เรียนอดีตรู้ปัจจุบันมองข้างหน้า   อย่าลืมว่าใดควรทำให้เร่งมือ
จงได้รู้เป็นผู้มีเหตุผล      อภัยคนด้วยใจรักไปทุกผู้
เมื่อมีธรรมอย่าเข้าข้างตนเองอยู่         ให้รีบสู้ชีวิตด้วยบำเพ็ญ
โลกก้าวหน้าด้วยวัตถุใจตกต่ำ     ขอให้คลำหาทางออกให้ชีวิต
ไม่มีใครมาช่วยท่านลิขิต           อันชีวิตตนนี้ลิขิตเอง
รู้ชีวิตจึงมากำหนดชีวิต    โลกนี้คนล้วนเคยผิดไม่วายเว้น
การแก้ไขตนเองนั้นไม่ลำเค็ญ     อย่าอ้างว่าลำเค็ญบ่อยครั้งเกิน
อยู่ในโลกจงคิดเป็นคนดี          ทำสิ่งที่แม้ตนก็ยังสรรเสริญ
อันผู้อื่นอย่าเที่ยวเล่นไปประเมิน  ขอเจริญที่จิตใจกว่าใดใด
ในชาตินี้มีบุญได้รู้ธรรมะ          จงชนะใจตนเองอย่างแกร่งกล้า
ทั้งพูดทำใจนี้ให้มีปัญญา           ให้สร่างซาจากกิเลสเสมอไป
การบำเพ็ญเป็นเรื่องยากแต่ไม่ยากเกิน   อย่าเพลิดเพลินโลกีย์นี้ฉุดตกต่ำ
มีสติต่างแข่งขันกับตนนำ         ขอให้ทำสิ่งที่ดีเป็นทุนรอน
น้องเมืองใหญ่ให้เชื่อเลยเป็นเรื่องยาก   ศิษย์พี่ฝากมาศึกษาอย่าตัดรอน
อันความรู้ต้องหมั่นใช้ไม่เลือดร้อน        ปฏิบัติก่อนจึงค่อยตัดสินอะไรดี
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม   ขอน้องนำจิตบริสุทธิ์ทำใจนิ่ง
คนฉลาดอย่าพลาดง่ายกันจริง    ขอให้ทิ้งความกังวลมาฟังธรรม
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ        แลเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
อยู่ร่วมกันตลอดมาตลอดไป      ต้องจริงใจเป็นธาตุแท้ของตนเอง
อันความคิดสัมพันธ์กับการกระทำ        ขอให้นำสิ่งที่ดีเข้าปราศรัย
เก็บธรรมะกลับไปที่บ้านใช้        เป็นคนใหม่เพราะเห็นตนควรแก้จริง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                   ฮวา  ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘      สถานธรรมอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันต้าเซียน

  อย่าหมกมุ่นกับตัวเองมากเกินไป      แสวงหาความหมายที่แท้จริงแห่งชีวิต
อะไรคือความสุขในดวงจิต              การยึดติดมากเกินไปบังปัญญา
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  อย่าได้เป็นคนคิดมากความถือสา      แม้กังวลใจอย่าถึงต้องรีบร้อน
รู้ตนเองตระหนกแต่ให้เร่งผ่อน          ทบทวนก่อนให้ทำอะไรไม่ผิดไป
บางเรื่องต้องทำไม่เห็นกลับแก้          บางเรื่องแก้ทางถูกกลับไม่หาย
ความมีปัญหาอาจอยู่ในคนทั้งหลาย      ปมเริ่มผูกคลายเพียงเพราะคิดทัน
คนจะละอัตตาต้องหยุดยอมเย็น        คนมองเป็นมองถูกยิ่งยึดมั่น
แม้ดึงพลังตัวเองต้องเชื่อมั่น            แต่รู้ทันดึงมาอย่ามาอัตตา
ชีพอยู่ในภยันตรายจากความเปลี่ยนแปลง    จงพลิกแพลงตนตามงามคุณค่า
จงยอมให้คนถูกสบายใจกว่า             เมื่อต้องเป็นผู้ล่ารู้ล่าอะไร
เตือนดุกับบอกด้วยความเข้าใจคน       ทำกับคนในกระจกชอบสิ่งไหน
กลัวเสียเวลาให้คนต้องเสียใจ           ต้องเหนื่อยต่อกล้าหาญไม่ถูกกาล
                                                                       ฮา  ฮา  หยุด

        การเป็นคนนั้นยากถ้าไม่ใช้ปัญญา  ทำตนเป็นผู้พึ่งพา  ไม่ยักง่ายยิ่งใจหนัก  ฟังเพียงคนเห็นด้วย จะได้รู้อะไร   จากทุกที่ที่เดินผ่าน  สะท้อนความจริงเก็บไว้
{    ชอบก้าวเท้าไปตามชอบใจ   ดวงใจระเริงในสุข  มีเสรีเกินไปหน่อย  เรียบง่ายกลับทุกข์  ต้องเอื้อมคว้าดาราแนบกาย   วิ่งพล่านจนเหนื่อย  ยังปักใจไหมว่าที่ได้มา   สิ่งที่ต้องการ
        ดวงใจอันแสนเหนื่อย  โปรดนิ่งๆ ฟัง   บำเพ็ญใจให้คืนว่าง   รักษาแผลที่ใจซ่อนอยู่  การบำเพ็ญเท่ากับหยาดน้ำทิพย์โปรยปราย  ชำระดวงใจดวงเก่า   ยึดถือมั่นพลันสลาย  (ซ้ำ {, {)    ใช่ไหมสิ่งที่ได้มา สิ่งที่ต้องการ

ทำนองเพลง :  ช่างไม่รู้
ชื่อเพลง : ชีวิตต้องการสิ่งใด

 พระโอวาทท่านหลันต้าเซียน

ทุกท่านเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (ไม่เห็น)  แล้วอย่างไรล่ะที่เรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอดทนในสิ่งที่ยากจะอดทน ท่านเมตตาในสิ่งที่ยากจะเมตตา ท่านกระทำในสิ่งที่เราคิดว่าคนในโลกนี้ไม่น่าจะทำได้  เป็นกษัตริย์อยู่ดีๆ ยอมเป็นปุถุชน เป็นคนมั่งมีอยู่ดีๆ ยอมเป็นคนยากจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นจึงทำให้มนุษย์เรียกท่านว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเคารพท่าน


ท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้สามารถทำได้ไหม ไม่เคยอดทนนั่งเป็นชั่วโมงๆ วันนี้ก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  คิดว่านั่งไม่ได้แน่ ตั้งวันหนึ่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีอีกวันหนึ่ง  แต่ถ้าเราไม่หมกมุ่นกับความคิดตรงนั้น แม้ต้องนั่งไปเรื่อยๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สองชั่วโมงผ่านไป วันหนึ่งผ่านไปก็ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเสียงหวีดเมื่อสักครู่ รำคาญจังเลย เมื่อไหร่จะเงียบ แต่ถ้าเราควบคุม เรากดไว้ได้ อารมณ์นั้นก็ไม่ทำร้ายตัวเอง  แล้วก็ไม่ทำให้เรากลายเป็นคนเอะอะโวยวาย
นั่งมากๆ ก็เครียด ก็เบื่อ ใช่ไหม  สมมติกระดานแผ่นนี้เราแบ่งครึ่ง และเราระบายส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งลบสะอาด ท่านรู้สึกว่าอย่างไร เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ด้านไหนสะอาดกว่ากัน รู้สึกว่าด้านที่ระบายสกปรก และถ้าเกิดเราลบนิดหน่อยแล้วยิ่งระบายเพิ่มอีก รู้สึกว่าด้านที่ไม่ได้ระบายสะอาดมากยิ่งขึ้น ยิ่งฝั่งนี้สกปรกมากเท่าไหร่ อีกฝั่งก็สะอาดมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราเปรียบเทียบกับคน ท่านว่าคนนี้ดีจังเลย ดีจริงๆ สะท้อนใจว่าในโลกนี้ต้องมีคนร้ายจริงๆ ถูกไหม (ถูก)  เมื่อไรที่มีคนชมว่าท่านดีมาก เมื่อนั้นฟ้าก็เศร้ามาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รันทดมาก  เพราะอะไร เพราะว่ายิ่งโลกนี้มีคนที่ถูกชมว่าดีมากแค่ไหน ก็แปลว่ามีคนที่ไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น และแปลว่ามีไม่ดีกับดี จึงมีคนที่ดีเช่นนี้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าในทางกลับกัน ไม่มีการแบ่งอย่างนี้ คนในโลกเป็นคนดีเหมือนกันหมด คำชมจำเป็นไหม (ไม่จำเป็น)  คำติจะมีไหม อาจจะมีแต่มีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็จะมีดีมากหน่อย ดีน้อยหน่อย  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่แน่หรอก มนุษย์ในโลก ขาวเหมือนกันก็ยังหาทางจับผิดได้ว่า นี่ขาวกว่า นี่ยังมีฝุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ วันหนึ่ง เราคือคนเท็จ เราคือคนไม่ดีแต่ทำให้อีกคนดีขึ้นมา ทำไมเป็นไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนทะเลาะกัน แม่ถูก ผมก็ถูก แต่ถ้าวันหนึ่งลูกยอมให้แม่ถูก แม่ครับผมผิดเอง แม่เป็นอย่างไร ลูกเป็นอย่างไร ในสังคมเดียวกัน คุณก็ถูก ฉันก็ถูก ไม่เป็นไรผมผิดเอง ยอมดำสักครู่หนึ่ง เพื่อให้คนอื่นขาว ยอมผิดสักขณะหนึ่งเพื่อให้คนอื่นดี ทำไมทนไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะมนุษย์ในโลกนี้ ถามสิบคน สิบคนก็ต้องตอบว่า เรามีดีไม่มากก็น้อย ถึงแม้จะบอกว่าผมไม่ดี แต่ถึงเวลามีคนว่า เราไม่ดี รับไหม (ไม่รับ)    ทำให้คนสบายใจสักครู่หนึ่งไม่ได้เหรอ  ทำให้คนเขาสบายใจที่ตัวเองถูกสักครู่หนึ่ง แล้วเชื่อไหมว่า เมื่อขาวกับดำมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คนที่ไม่ขาวจริง ก็จะมองเห็นว่าตัวเองก็มีดำ ส่วนคนที่ไม่ได้ดำจริง ก็กลับให้กำลังใจคนที่ไม่ขาวจริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแค่นี้ยากไหม (ไม่ยาก)  มีง่ายๆ อีก อยากทำให้เพื่อนเป็นคนดีในสายตาคนอื่นไหม (อยาก)  ถ้าเราเดินขึ้นมาชี้หน้าเพื่อนแล้วพูดว่า “แกไม่ได้เรื่องเลย ไอ้โง่”  เป็นอย่างไร คนที่ชี้หน้าเป็นคนเลวในทันที ส่วนเพื่อนที่โดนชี้หน้าเป็นคนดี แต่ถ้ากลับกันว่า เราไปกระซิบบอกเพื่อนว่า โง่จริงๆ แล้วอยู่ๆ เพื่อนโมโหขึ้นมา แล้วก็หันกลับมาด่า กลายเป็นเราเป็นคนดี  เพื่อนเป็นคนเลว  ฉะนั้นอยู่ในโลกการทำให้ตนเองดี หรือทำให้คนอื่นดีง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นดีหรือร้าย จริงหรือเท็จ เราเอาอะไรวัดกัน สายตาหรือ ความรู้ความเข้าใจหรือ วันนี้เราเป็นของเท็จก็ได้ เป็นของไม่เที่ยงก็ได้ เป็นได้ทุกอย่างที่ท่านอยากให้เป็น แต่เป็นแล้วท่านต้องดีกว่าที่เป็นอยู่นะ แต่ถ้าเราเป็นแล้วท่านไม่ดีขึ้นเลย อย่ายอมเป็น ไปคิดเอานะ เรื่องแบบนี้ ชีวิตท่านเท่านั้นที่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อย่าหมกมุ่นกับตัวเองมากเกินไป แสวงหาความหมายที่แท้จริงแห่งชีวิตอะไรคือความสุขในดวงจิต       การยึดติดมากเกินไปบังปัญญา
ในโลกนี้ก็มีทั้งจริงและเท็จ วันนี้เรายอมเป็นคนเท็จเพื่อให้ท่านเป็นคนจริง วันนี้เรายอมเป็นคนไม่ดีเพื่อให้ท่านเป็นคนดี เอาไหม
ใจของมนุษย์ทุกคนมีข้อจำกัด และใจจำกัดนี่แหละที่ทำให้เราเจ็บ อย่างเช่น ฉันเป็นคนฟังได้แค่นี้  ฉันเป็นคนนิสัยอย่างนี้ ฉันเป็นคนแบบนี้ ยิ่งกำหนดตัวเองมากเท่าไหร่ ใจเราก็ยิ่งแคบลงมากเท่านั้น ถูกไหม (ถูก)  แล้วนิสัยที่ถูกกำหนดขึ้นมานี้ แท้จริงแล้วใช่ตัวตนเดิมแท้ของท่านไหม (ไม่ใช่)  แล้วมันสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ไหม ท่านรู้ไหมว่า มนุษย์ทุกคนมีอำนาจแฝงเร้นอยู่ภายใน แล้วอำนาจนี้มีทั้งดีมีทั้งร้าย อยู่ที่ว่าเราหยิบอะไรมาใช้บ่อยๆ   อย่างเช่นความขี้บ่น จากตอนแรกไม่เคยบ่น ทนไม่ไหวแล้วขอบ่นหน่อยเถอะ พอบ่นทีหนึ่งแล้วรู้สึกสะใจ รู้สึกดีใจ หยิบมันมาบ่อยๆ มันก็กลายเป็นตัวเราเลย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความดีงามก็เหมือนกัน เราลองหยิบคำว่า “อภัย” มาใช้บ่อยๆ ต่อไปเราก็จะรู้ว่าในตัวเรามีคำว่า “อภัย” ยิ่งกว่าใครในโลกก็เป็นได้ แต่เราไม่เคยหยิบ เราหยิบแต่ความโกรธ เกลียด  อภัยเราก็เลยหดเล็กลงๆ จนเหมือนไม่มี ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่าดูถูกพลังอำนาจแห่งหัวใจนี้ ถ้าร้ายก็ร้ายเหลือ ร้ายลึก ร้ายที่สุด แต่ถ้าดีก็ดีที่สุดจนน่าใจหาย   ใช่ไหม (ใช่)
ถามท่านสักนิดหนึ่ง หากท่านกำลังเดินเข้าไปในงานๆ หนึ่ง มีคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งหัวเราะกันลั่น อีกกลุ่มหนึ่งยืนมองหน้ากันด้วยหน้าตาบึ้งตึง ท่านจะเดินไปหากลุ่มไหน กลุ่มที่หัวเราะใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากลุ่มที่เขาหัวเราะกันอยู่ท่านเดินเข้าไปด้วยหน้าตาบึ้งตึง แล้วพูดว่าหัวเราะอะไรกัน ท่านทำวงแตกไหม ท่านสามารถทำให้คนกลุ่มนี้หัวเราะยิ่งขึ้นได้ ก็ด้วยการยิ้มกับเขาสักนิดหนึ่ง แล้วความสุขก็บังเกิดได้  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนคำว่า “ยิ้ม”  เวลาท่านยิ้มปุ๊บเขาก็ยิ้มตอบ แต่เวลาเรายิ้มคนเดียวมันไม่เบิกบานเท่ากับคนตรงข้ามยิ้มแล้วยิ้มมากกว่าเรา  เราจะรู้สึกอิ่มใจ ปลื้มใจ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถามว่าท่านอยู่ในโลก ท่านแจกรอยยิ้ม หรือแจกความบึ้งตึง ท่านแจกดอกไม้หรือผักตบชวา
อย่าคิดมากเลยนะ  บางครั้งอยู่ในโลก เห็นก็ต้องทำเหมือนไม่เห็น คิดมากไปคนที่คิดนั่นแหละทุกข์ใจ  วันนี้สิ่งที่เราจะมาคุยกับท่านก็คือ การทำอย่างไรให้เราอยู่ในโลกแล้วมีความสุข เอาไหม (เอา)  คิดทีไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น เห็นดอกไม้แล้วรู้สึกสดชื่นไหม ถ้าวันหนึ่งดอกไม้ไม่สวย รู้สึกเป็นอย่างไร เราอยากถามท่านว่าดอกไม้ที่ไม่สวยกับดอกที่สวย ต่างกันไหม (ต่างกัน)  แต่ในความต่างมีอะไรเหมือนกัน (เป็นดอกไม้)  แล้วมันคือความจริงเหมือนกัน รักที่จะเลือกดอกสวย ก็ต้องทนรับดอกที่ไม่สวย แล้วดอกนั้นถึงจะอยู่กับท่านตลอดกาลเวลา และเหนือกาลเวลาด้วย คนที่กล้ารับความจริงว่าวันนี้เข้มแข็ง แล้วพรุ่งนี้ก็อ่อนแอได้ วันนี้ได้รับคำชม แต่พรุ่งนี้ก็อาจถูกติได้ คนๆ นั้นจึงเป็นคนที่สามารถอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุขแท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  การที่เราจะมีความสุขได้นั้น ก็คือต้องมีดอกไม้ที่บานไม่รู้โรยอยู่ในใจ เป็นดอกไม้ที่ไร้กาลเวลา เป็นดอกไม้ที่อยู่เหนือกาลเวลาที่แม้จะถูกทำลายแล้วก็ยังกลับเบ่งบานได้ ดอกนี้เมื่อคิดถึงเมื่อไรก็เป็นสุขเมื่อนั้น ดอกไม้ของเราเป็นดอกที่ปลูกในดินไม่ได้ ปลูกได้แต่ในใจมนุษย์ แล้วเมื่อเราเอาออกไปเมื่อใด ก็เติบโตในใจคนอื่นได้ ดอกนี้ให้ไปมีแต่คนชอบ (ดอกอภัย, ดอกความเมตตา, ดอกไมตรี, ดอกกรุณา)  อย่างนั้นเราเฉลย “ดอกแห่งกำลังใจ”  ปลูกให้แก่ใคร ใครก็อยากได้ ปลูกให้กับเราเวลาที่ท้อใจ ยิ่งดีใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วกำลังใจนี้ ไม่ใช่จะให้กันง่ายๆ  และไม่ใช่จะสร้างกันง่ายๆ นะ แต่ถ้าปลูกให้มั่นคงเมื่อไร เราก็จะเป็นผู้ที่ล้มแล้วลุกได้ไว  โดนใครทำร้ายก็อภัยได้ไว เพราะมีกำลังใจที่จะต่อสู้ มนุษย์เราทุกคนในโลกนี้ ขาดซึ่งกำลังใจในการที่จะเป็นคนดี
มนุษย์มักจะบ่นกับฟ้าว่าทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป ใช่ไหม (ใช่)  ถามจริงๆ คนทำดีทำดีบ่อยไหม นานๆ ทำทีแต่อยากได้ผลตอบแทนใหญ่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เกิดมาตามกรรม  แล้วก็เป็นไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาได้กรรมดีเราน่าจะยินดี แต่เขาได้กรรมดีกลับไปว่าเขาอีก เราก็กำลังสร้างกรรมปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาไม่ให้ยึดติดนะ คิดว่าเราเหมือนลำโพงที่กำลังประกาศสิ่งที่ดี หรือถ่ายทอดสิ่งที่ฟ้าอยากให้มนุษย์เป็นคนประเสริฐ คิดเสียว่าเราคือกระบอกเสียงแทนฟ้า กระบอกเสียงแห่งความดีในจิตใจของท่าน ที่ท่านลืมมันไป เรากำลังจะมาช่วยบอกให้ท่านรีบพลิกฟื้นแล้วปลุกให้ตื่นอยู่นานๆ เอาไหม (เอา)
การเป็นคนในโลกนี้ไม่ยากหรอก แต่เป็นคนดียากกว่า จะเป็นคนอย่างไรก็เป็นได้ แต่ถ้าเกิดพยายามจะเป็นให้ได้ดี รู้สึกว่ามันยากยิ่งขึ้น  และยิ่งดีในสายตาทุกๆ คนยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่มนุษย์ก็แปลกนะ พยายามจะดีแล้วก็ดีไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังจะพยายามทำตัวช่วยเหลือคนอื่นอยู่ร่ำไป สอนคนอื่นอยู่ร่ำไป ใช่ไหม (ใช่)  ถามท่านว่าอย่างไรเรียกว่าดี ถามตัวเราเอง เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  ถ้าเราบอกนะ ไม่มีวันเข้าใจง่ายๆ หรอก คำว่าดีในร้อยคนมีร้อยแบบ แล้วเมื่อใดล่ะเมื่อเราบอกว่าดีนั้นจะใช้ได้ทุกๆ แบบ จริงไหม (จริง)
เรายกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง  ท่านเคยได้ยินข่าวในหนังสือพิมพ์ไหมว่า มีชายคนหนึ่งไปเดินป่าแล้วกินน้ำในลำธารกลับมาเจ็บคอไม่หายเพราะมีปลิงเข้าไปอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่ามีคนๆ หนึ่งได้ยินข่าวนี้ ได้อ่านข่าวนี้ แล้ววันหนึ่งไปเดินป่า และหลงป่า เขาจะกล้ากินน้ำไหม (ไม่กล้า)  วันหนึ่งผ่านไปอดทนไหวไหม (ไหว)  สองวันผ่านไปยังติดอยู่ในนั้นอยู่ กินไหม  วันที่สองผ่านไปชายคนนี้ยังรู้สึกว่าอดทนได้แม้คอจะแห้งเท่าไรก็ตาม อดทนไว้อย่ากินเพราะได้ยินว่ากินแล้วมีปลิง วันที่สามเท่านั้นแหละ ไม่กินต้องตายแน่ แต่อย่างไรก็ต้องกิน ถ้าเป็นท่านจะกินไหม  ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วนะ กินไหม ตกลงฝ่ายชายยอม (กิน)  ฝ่ายหญิงกินไม่กิน คอแห้งแล้ว ตายแน่ถ้าวันนี้ไม่กินน้ำ สามวันไม่กินน้ำเลย ตายไหม ถ้าอย่างนั้นดูเหตุผลฝ่ายชายไหมทำไมถึงยอมกิน (เพราะถ้าไม่กินอาจจะตายอยู่ตรงนั้นก็ได้) ถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะชอบหาน้ำเมื่อตอนหิวแล้ว เคยมีใครบ้างเข้าป่าแล้วเตรียมน้ำ คำพูดของเรามีความหมายโดยนัยอยู่นะ ถ้าเราเชื่อว่าน้ำนี้คือความรู้ความสามารถ น้ำนี้คือคุณธรรม มนุษย์เราพอรู้อย่างหนึ่งก็เหมือนอะไร เคยเห็นคนที่ตาบอดพยายามคลำช้างไหม มนุษย์เรารู้อย่างหนึ่ง สัมผัสอย่างหนึ่ง ก็มักจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองสัมผัสอย่างหนึ่งนั้นคือทุกๆ สิ่งในโลก จริงไหม (จริง)  ความรู้ความเข้าใจของคนๆ หนึ่งนั้น ถ้าตัวเองรู้แล้วว่านี่คือสิ่งที่รู้ และโลกทั้งโลกนี้ก็มีความรู้แค่นี้ เหมือนคนที่รู้เรื่องกินน้ำแล้วเจอปลิง ก็จะมั่นใจอยู่ตรงนั้น บางทีตายแล้วก็ไม่รู้เลยว่า กินไปเถอะบางทีอาจจะไม่มีปลิงก็ได้
มนุษย์มักจะมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองรู้คือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ผิดไม่พลาด แต่ท่านเคยเห็นน้ำไหม ถ้าความรู้ของท่านเหมือนแอ่งน้ำ ที่ไม่มีการรับและถ่ายเท แอ่งน้ำนั้นสักวันย่อมเน่าและทำร้ายคนที่เก็บไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเกิดว่าความรู้ของท่านเป็นความรู้ที่พร้อมจะรับและพร้อมที่จะถ่ายเท น้ำนั้นจะสะอาดทุกๆ เวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนท่านนั่งอยู่ที่นี่ ที่พูดมาวันนี้ยังไม่เดือดร้อนเพราะมีน้ำ แต่ต่อไปน้ำจะทำท่านเดือดร้อน คิดว่าตัวเองความรู้สูง ความรู้ถูกต้อง ความรู้แม่นยำ แต่ถ้าไม่รู้จักรับฟัง ไม่รู้จักถ่ายเทบ้าง สิ่งที่รู้ก็อาจจะเป็นกบในกะลาก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดังคำกล่าวที่ว่า “คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง คนที่คิดว่าตัวเองฉลาด คนนั้นคือคนที่ฉลาดน้อยที่สุด”  แต่คนที่ยอมรับว่าตัวเองฉลาดน้อยที่สุด คือคนที่รู้และเรียนรู้ได้มากกว่าใครๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ กำลังนั่งฟังอยู่ตรงนี้ อยากเป็นคนโง่หรือคนฉลาด อยู่ที่ตัวท่านเองแล้วนะ เพราะโลกนี้คือการที่ต้องยอมเสียก่อนจึงได้มา ถ้าไม่ยอมเสียอะไรเลยก็ไม่มีวันได้อะไรในโลกนี้ จริงไหม (จริง)
วันนี้เสียเวลาไหม (ไม่เสียเวลา)  เสียเหมือนกัน เสียเวลาที่จะนอนอยู่บ้านเฉยๆ เสียเวลาที่จะไปเที่ยวเล่น แต่มานั่งตรงนี้แทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วถามท่านว่า ความสุขในโลกนี้มีอะไร มีเงินเต็มกระเป๋าสุขไหม (ไม่สุข)  มีเกียรติยศชื่อเสียง คนนับหน้าถือตา สุขไหม (ไม่สุข)  สิ่งนั้นทำให้ท่านขึ้นๆ ลงๆ แต่สุขที่แท้จริง คือคนที่รักท่านจริง คือคนที่เข้าใจท่าน แต่ในหัวใจเรามักจะบอกว่าเขาไม่เข้าใจเราเลย  ถามตัวเราเองว่า เราเคยเข้าใจใครบ้างไหม ทำไมเธอไม่เข้าใจฉัน ถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจตัวเองก็ตาม จริงไหม แล้วจะให้ใครเข้าใจ  ทำไมเขาไม่พูดดีๆ กับเรา เอาแต่ว่าเรา แต่เราเคยพูดดีๆ กับเขาหรือยัง ทำไมไม่มีใครรักเรา แล้วเราเคยรักใครจริงหรือยัง  ฉะนั้นถามหัวใจตัวเองว่าบนโลกนี้เงินสำคัญกว่าความจริงใจมากแค่ไหน รักหน้าตามากแต่คุ้มไหมกับการเสียเพื่อนไป  ด่าฉัน ฉันเสียหน้า ก็ไม่สนใจขอให้ได้เอาคืน ถึงเสียเพื่อนไปแล้วมีหน้าตัวเองคนเดียว จะยิ้มให้กับใครได้ ใช่หรือไม่  (ใช่)
“ต้องเอื้อมคว้าดาราแนบกาย วิ่งพล่านจนเหนื่อย ยังปักใจไหมว่าที่ได้มา สิ่งที่ต้องการ”
อย่าไปกำหนดความสุขที่ไกลเกินเอื้อม จงมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ตนเองมี ไม่อย่างนั้นคนที่หาทุกข์ให้กับตัวเราก็คือตัวเราเอง
แต่ก่อนคิดว่ามีเงินเยอะคือความสุขใช่หรือไม่ เราถามท่านในโลกนี้อะไรคือความทุกข์ (ความไม่สมหวัง, ความไม่รู้พอ, คนที่รักเป็นทุกข์, ร่างกายทั้งหมดเป็นทุกข์, ความไม่เข้าใจกัน, โลภ โกรธ หลง ความทรมานใจ)
ใครที่ทำให้ท่านทรมานใจมากที่สุด เราถามท่านคนที่ทำให้ท่านสุขคือใคร ส่วนใหญ่จะบอกว่าตัวเราเองใช่หรือไม่ แต่ถ้าทำท่านเจ็บ กับทำคนที่ท่านรักเจ็บ กับของที่รักที่สุดเจ็บอะไรเจ็บกว่ากัน คนบางคนบอกว่าทำตัวเองเจ็บมากกว่า แต่เราว่าไม่ใช่  ลองทำสิ่งที่เขารักและหวงแหนมากที่สุดให้หายไปสิ เขาจะเจ็บมากกว่าใคร เจ็บมากกว่ามาเฉือนเนื้อเสียอีก จริงไหม เช่นรักหน้ามากกว่าสิ่งใด ใครทำหน้าเจ็บโกรธไหม (โกรธ) รักลูกมากกว่าชีวิต ตัวเองเจ็บไม่เป็นไรแต่ลูกเจ็บแล้วทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นใช่หรือไม่ แต่เราจะบอกว่าทุกข์ในโลกนี้มีแค่สามอย่างเท่านั้นเอง แต่ที่ให้ตอบก็เพื่อที่จะแลกเปลี่ยน
วันนี้ไม่ได้ทำให้ท่านเศร้านะแต่อยากทำให้ท่านมีกำลังใจที่จะต่อสู้บนโลกใบนี้ แต่จะทำอย่างไรล่ะ โลกที่เต็มไปด้วยทุกข์ เราจะยิ้มอย่างมีสุขบนความทุกข์ได้ นั่นก็คือท่านจะต้องก้าวล้ำนำหน้ากว่าคนอื่นได้หนึ่งก้าว ก็เพื่อที่จะช่วยตนเองและช่วยคนอื่นได้ก็คือการคิด คิดก่อนทำหรือ รู้ไหมคิดอย่างไร ผู้ปฏิบัติงานธรรมคิดอย่างไรอยากจะช่วยเขาแต่เคยคิดล้ำหน้าเขาไหม ถ้าคิดล้ำหน้าเขาไม่ได้ ก็ช่วยเขาไม่ได้ เหมือนมนุษย์เขาคุยกันว่าคนนี้แย่ คิดอย่างนี้ ช่วยคนเขาไม่ได้แล้วก็ดึงคนกลุ่มนี้ให้ขึ้นมาไม่ได้ด้วย จริงหรือไม่ ถ้าเขาบอกว่าคนนี้แย่เราต้องคิดล้ำหน้าเขาอีกว่าเขาอาจจะมีเหตุผล เขาอาจจะเจออุปสรรคความยากลำบาก คิดล้ำหน้าคนอื่นหนึ่งก้าวท่านจะดึงคนทั้งกลุ่มให้ขึ้นมาดีได้ และไม่ทำให้คนคนนั้นดูแย่ในสายตาคนอื่น นั่นคือการคิดอย่างคนที่รู้จักการให้ แสวงหาแต่สิ่งที่ดี คนที่ร้ายที่สุดท่านยังหาดีได้ ในคนที่เลวที่สุดท่านยังหาเหตุผลมาอภัยได้ ท่านจะช่วยคนทั้งกลุ่มและดึงคนร้ายขึ้นมาได้ แต่ถ้าเกิดเขากำลังนินทากันอยู่ท่านก็พูดว่าเขามันร้ายมากเลย นั่นท่านไม่ช่วยอะไรเขาเลยและไม่ทำให้เขาดีขึ้นเลยจริงไหม แต่ถ้าเราพูดให้เขามองเห็นภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ดึงคนทั้งกลุ่มให้เห็นใจคนที่ร้ายได้ ท่านกำลังสร้างความท้าทายให้คนที่ร้ายเปลี่ยนเป็นคนดีได้ด้วยการคิดที่รู้จักให้ จงเป็นนักแสวงหาสิ่งที่ดีในโลก อย่าเป็นนักแสวงหา ติ ด่า ต่อว่า เราอยู่ในโลกเรามักจะชอบจับผิดมากกว่าจับถูก เรามักจะชอบบ่นมากกว่าชม พอเข้าใจเราไหม แล้วจะหาความสุขได้อย่างไร
“ดวงใจอันแสนเหนื่อย โปรดนิ่งๆ ฟัง บำเพ็ญใจให้คืนว่าง รักษาแผลที่ใจซ่อนอยู่”
เราทุกคนมีแผลที่เจ็บปวดอยู่ในใจ มีความทุกข์ที่เจอกี่ครั้งก็แก้ไม่ได้  พอเจอทีไรก็จนกับมันทุกที พ่ายกับมันทุกที เพราะเราขาดสติยั้งคิด เพราะเราใจร้อนวู่วาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต่อไปนี้จงเป็นคนที่ช้าหน่อยแต่ได้ความ ดีกว่าเร็วแล้วต้องเสียใจภายหลัง เดินช้าหน่อยมักจะไม่ค่อยหกล้ม คิดช้าหน่อยมักจะไม่ผิดพลาด แต่เมื่อไรที่ใจร้อนใจเร็ว เจ็บปวดทุกทีที่ทำรีบๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลง “ชีวิตต้องการสิ่งใด” ทำนองเพลง “ช่างไม่รู้”)
ไม่ร้องก็ไม่รู้ว่าตัวเองร้องได้หรือไม่ได้ พอร้องจึงรู้ว่า ที่มั่นใจกลับร้องไม่ได้เรื่องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันนะ ท่านคิดว่าตัวเองมีดี แต่เคยเอาดีออกไปกระทำหรือยัง แล้วก็ปักใจเชื่อว่าเรามีดี แต่พอทำจริงๆ ไม่ได้ดีเลย ฉะนั้นอย่ามั่นใจในตัวเองเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ไม่มั่นใจจนไม่กล้าทำอะไร อยู่ในโลกนี้บางครั้งต้องยืดได้หดได้ หมายความว่า วันนี้อ่อนแอแต่พรุ่งนี้เข้มแข็ง แล้ววันนี้มั่นใจว่าเข้มแข็งแต่บางครั้งต้องอ่อนแอได้ อย่าฝืนตัวเอง อย่าหลอกตัวเองว่าฉันเข้มแข็งแต่ใจจริงๆ มันอ่อนยวบไปแล้ว  บางครั้งความเข้มแข็งของเรา ใช่จะดีสำหรับคนอ่อนแอ เพราะบางทีคนรอบข้างก็อยากเป็นกำลังใจให้ท่านเมื่อท่านอ่อนแอบ้าง ทำให้เขามีคุณค่าโดยตัวเองยอมเป็นผู้อ่อนแอบ้างไม่ได้หรือ ให้ฝืนแข็งตลอดเวลา คนที่อยู่รอบข้างก็รู้สึกไม่มีค่าเลยที่จะอยู่กับเรา แล้วจะอยู่ไปทำไม ไปหาคนใหม่ดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอกท่านนะ อยู่ในโลกอยู่ร่วมกันเมื่อเขาแรงมาเราต้องเย็นตอบ  
การจะหมดความทุกข์ได้และมีความสุขในชีวิต มีอยู่สามประการง่ายๆ พูดง่ายแต่ทำยาก
อย่างแรกนั่นคือ ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร ทุกครั้งที่มีความอยาก อยากนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ทำร้ายใคร ไม่แย่งชิงใคร ความอยากนั้นก็จะบันดาลสุขได้
อย่างที่สอง อย่ายึดมั่นถือมั่น เราว่าประการที่สองเป็นเรื่องยาก ถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงประการที่สาม มีไหมที่ทำงานเสร็จมาหนึ่งชิ้น หนึ่งคนชม อีกหนึ่งคนติ ใจเรามันตุ๊มๆ ต่อมๆ ยึดติดได้ไหม ต้องยึดติดทุกที ไม่มีท่านไหนไม่ยึดติด จริงไหม (จริง)  อันนี้ของๆ เรา อยู่สบายใจ ไม่อยู่ใจหาย อันนี้ตัวเรายึดติดไหม รักลูก เมื่อลูกเป็นอะไรไป เจ็บมาก ยึดไหม แล้วจะสุขไหม ไม่สุขหรอก
แล้วสุดยอดแห่งความสุขคืออะไรรู้ไหม นั่นก็คือไร้ตัวตน สุดยอดแห่งความสุข ไม่มีตัวให้ทุกข์ ไม่มีใจให้เจ็บ ไม่มีที่ที่ไหนที่เรียกว่าเจ็บปวด ทำได้ไหม ถ้าทำได้ย่อมจะรู้ว่าสุขจริงหนอ ถ้าท่านเข้าถึงท่านจะรู้ว่า แต่ก่อนมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความอยาก แต่ต่อไปจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าอยาก แม้สิ่งที่อยากจะได้แล้วไม่ได้ ก็ไม่เจ็บปวด จะเกิดจะตายก็ไม่ทุกข์ร้อน นั่นแหละคือผู้ที่มีชีวิตและเข้าถึงชีวิตอย่างแท้จริง สัจธรรมบีบให้มนุษย์ทุกคนต้องรู้กับตรงนี้ แต่มนุษย์ทุกคนกลับไปไม่ถึง ไปถึงแค่กาย แต่ใจไม่เคยถึง คำว่ากายไปถึง นั่นก็คือคนทุกคนต้องแตกสลาย ความรัก ความโลภ ถึงวันต้องหมดไป เงินทองเกียรติยศชื่อเสียงสักวันย่อมไม่มี มนุษย์เดินไปสู่ความว่าง แต่ใจเราไม่เคยถึงความว่าง ใจเรามีแต่คำว่า “ต้องมี ต้องได้”  ที่สุดของชีวิตคือความทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเราไปถึงตามที่ร่างกายมันหมด ใจเราก็หมด และไม่มีอะไรให้หมด นั่นคือสุดยอดแห่งความสุข ยากไหม ถ้าวันนี้ยังบอกยาก วันที่ท่านตายท่านจะทุกข์ทน เพราะว่าปล่อยตัวเองไม่ได้ ตายไปแล้วจิตยังผูกยึด นั่นทรมานไหม จะออกก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ทรมาน เหมือนคนตายทั้งเป็น ความมีใจทำให้เราเจ็บ แต่จะไร้ใจอย่างไรล่ะที่จะไม่กลายเป็นคนแห้งแล้ง ยากไหม สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เพ้อฝันไหม เป็นสิ่งที่ท่านทำได้นะ ลองทำดู เหมือนเพลงน่ะ ร้องได้ไม่ได้ ไม่ลองไม่รู้นะ ถึงเวลาต้องทิ้งตัวเอง ถึงเวลาต้องปล่อยวาง ปล่อยไม่ได้คนที่เจ็บก็คือตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ นะ
ฝึกง่ายๆ ฝึกเห็นเหมือนไม่เห็น ฝึกมีเหมือนไม่มี เห็นเราไหม (เห็น)  เห็นกระดูกเราไหม (ไม่เห็น)  ลองพยายามมองให้เห็นสิ ใจจริงๆ ท่านหลับตาท่านก็มองเห็นกระดูกเรา แล้วในกระดูกเราเห็นอะไรไหม เมื่อเผาไปแล้วเหลืออะไรไหม ที่สุดของเราคืออะไร เวลาโกรธใครนะ คิดอย่างหนึ่ง โกรธเขาเหลือเกินมองให้ถึงที่สุด แท้จริงแล้วเขาคือความไม่มี ถ้าคิดได้อย่างนี้จะเห็น เกลียดเหมือนไม่เกลียด มีเหมือนไม่มี ได้ไหม (ได้)  ต้องลองนะ เพราะเราอยู่ในโลก ตาเราก็บอกแล้วบางครั้งเปิดบางครั้งปิด สิ่งที่รู้จักเปิดปิดเป็นเวลาคือธรรมชาติ แต่สิ่งที่เปิดแล้วปิดไม่เป็นนี่คืออัมพาต ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรามีชีวิตอยู่เป็นธรรมชาติหรืออัมพาต ใจเราก็เหมือนกัน อย่าเป็นอัมพาต รู้จักรับก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักมีบางครั้งก็ต้องรู้จักไม่มี อยากเป็นอัมพาตทางใจหรือไม่ ก็สุดแต่ใจท่านแล้วนะ
“จงยอมให้คนถูกสบายใจกว่า” เราอยู่ในโลกมักจะมีคนถูกกับคนผิดเสมอ ถ้าต่อไปนี้เราจะยอมรับว่าเราเป็นคนผิด เพื่อให้เขาถูกแล้วสบายใจ ก็ลองทำดูบ้างดีไหม (ดี)  แม่ผิดเอง ลูกถูก พูดบ่อยๆ วันนี้เขาไม่สำนึก อีกสักสองสามวันคงสำนึก ดุไปไม่มีประโยชน์ ด่าไปไม่มีคนฟัง สู้เงียบๆ ไว้ บอกลูกจะเป็นอย่างไรแม่รับได้เสมอ ดีกว่าด่าไปลูกไม่ฟังอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนผู้เป็นลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจพ่อแม่บ้าง อย่ารักคนไกลมากกว่ารักคนใกล้ อย่าเห็นคนไกลมีค่ากว่าคนใกล้ในบ้าน บ่อยครั้งที่เราทุกข์เพราะว่าเราเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราดีกว่าสิ่งที่เรามีเสมอเลย แล้วเราก็จะคิดว่าสิ่งที่เราไม่มีมีคุณค่ากว่า แต่พอไปถึงที่สุดแล้วก็ไม่ต่างกับสิ่งที่เรามี ฉะนั้นอย่าปล่อยให้เป็นผู้ที่สูญเสียแล้วจึงรู้จักคุณค่า แต่ทุกขณะจงรู้จักค่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วเราจะทุกข์น้อยในการที่จะไปดิ้นรนขวนขวาย
เตือนดุกับบอกด้วยความเข้าใจ   ทำกับตนในกระจกชอบสิ่งไหน
วันนี้ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาแต่ชี้หน้าด่าๆ ไม่ดีเลย บำเพ็ญแล้วก็ยังไม่ดีเลย ท้อใจไหม (ท้อ)  ฉะนั้นต่อไปเราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญจงเลือกที่จะพูดแต่สิ่งที่ดี จงมีวาจาเป็นดอกไม้ อย่ามีวาจาเป็นอาวุธ อยู่ร่วมกับคนในสังคมจงหมั่นแจกดอกไม้ อย่าแจกอาวุธ แสวงหาแต่สิ่งที่ดีให้กับเขา อย่าเอาแต่ติหรือต่อว่า เพราะไม่มีใครชอบหรอกที่จะมีคนมาชี้หน้าว่าทุกๆ วัน ใช่ไหม (ใช่)  พูดอะไรไม่เป็นยิ้มเข้าไว้ แจกรอยยิ้มดีกว่าแจกหน้าปั้นปึ่ง แล้วยิ่งแจกรอยยิ้มมากเท่าไร ท่านก็ได้สร้างความท้าทายให้กับคนที่อยากจะเอารอยยิ้มท่านไปแจกคนอื่นต่อ  เอาง่ายๆ เวลาท่านด่าเขา เขาแย่ไหม  เขาพาลท่านไม่ได้เขาก็ไปพาลคนอื่น ท่านกำลังก่อกรรมกับคนอื่นนะ  ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญจงแจกแต่รอยยิ้ม และจงสร้างรอยยิ้มให้เป็นรอยยิ้มที่เติมให้คนนี้แล้วคนนี้ก็คิดที่จะเติมให้คนอื่นต่อไป ได้ไหม (ได้)  อย่างนั้นยิ้มเข้าไว้นะ แม้จะทุกข์จะเจ็บปวดอย่างไร ร่างกายนั้นมันไม่เที่ยง มันเจ็บเป็นธรรมดา มันปวดเป็นธรรมดา แต่บางครั้งเจ็บปวดเกิดจากอะไร  เราไม่แข็งแรง เพราะเลือกกิน อันโน้นไม่ชอบ อันนี้ชอบ เลือกกินมากเกินไปก็เป็นอย่างไร เป็นโรคง่าย อันที่ชอบก็กินเยอะๆ อันไม่ชอบก็ไม่กินเลย แล้วอย่างนี้จะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษาอย่างไร ถูกหรือไม่ (ถูก)  กินอะไรก็ต้องกินพอดี กินอะไรก็ต้องกินให้ครบ ถึงเวลาอายุมากแล้ว ก็ต้องรู้จักออกกำลังกาย ยิ่งขี้เกียจยิ่งไม่ไหวก็ยิ่งเป็นเหน็บชา พอเหน็บชาก็ยิ่งแย่ลง พอแย่ลงแล้วใครก็ช่วยเราไม่ได้ ฉะนั้นเข้มแข็งไว้ ไม่ไหวก็ต้องไหว สู้จนถึงเฮือกสุดท้าย แล้วเราจะมีสุขนะ
ไหนใครตัดสินใจว่า พรุ่งนี้จะไม่มาแล้วบ้าง น่าเสียดายนะ ธรรมะทำให้เรารู้จักสงบ ธรรมะสอนให้เรารู้จักยั้งคิด แต่ออกไปข้างนอกมันกลับทำให้เรายิ่งวุ่นวายไม่จบสิ้น ไม่เคยหันมามองตน ไม่เคยสำรวจตนว่าเรานั้นจริงๆ ดีหรือยัง อยู่ในโลกกับคนที่ไม่เคยมองตัวเองเลย วันๆ เอาแต่มองผู้อื่น คนนั้นหรือคนดี แต่การได้ศึกษาธรรมทำให้เรารู้จักย้อนมองส่องตน ตรวจสอบตนเองว่า ตนนั้นดีหรือยัง หรือตนนั้นมีอะไรดีที่ต้องรักษาไว้ แล้วมีอะไรไม่ดีที่ต้องขจัดทิ้งไป นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะบอกท่าน ถ้าท่านทำได้ ท่านคือผู้ที่เอาธรรมะมากล่อมเกลาใจ เอาธรรมะมาชะล้างจิตใจ เราไม่ได้มาเพื่อให้ท่านยึดติด สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่จริง บางสิ่งที่ไม่เห็นกลับจริงยิ่งกว่า แล้วเมื่อเอามันมาใช้ มันมีค่าสูงสุด นั่นคือความดีที่อยู่ในใจท่านต่างหาก ความดีที่แอบแฝงอยู่แต่ท่านไม่เคยหยิบมาใช้เลย ลองหยิบมาใช้สิ เป็นคนที่ใจกว้างรับได้กับคนทุกคน เป็นคนที่ให้อภัยง่ายๆ ไม่โกรธแค้นใคร ไม่ใช่เรื่องยากนะ เราว่าทุกท่านทำได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมร้องเพลง “ชีวิตต้องการสิ่งใด”)
เราแค่มีโอกาสได้บอกเสียงที่อยู่ในใจของท่าน เป็นกระบอกเสียงที่บอกแทนว่า ใจท่านนั้นมีดี แต่จงทำให้ดีที่สุด ก่อนที่จะพูดว่าไม่กล้าทำ ทำไม่ได้ ลองทำดูสิ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การเอาธรรมะมาชะล้างจิตใจ เอาธรรมะมาตรวจสอบจิตใจ คนที่เลือกจะฟังแต่สิ่งที่ถูกใจ เลือกจะเดินแต่สิ่งที่ตนเองชอบใจ คนนั้นจะเป็นเด็กที่ไม่มีวันโต แต่คนที่กล้าเดินไปทั้งทางที่ถูกและทางที่ไม่ชอบ คนนั้นจะเป็นคนที่โตเต็มตัวและอยู่บนโลกแห่งความจริงได้อย่างมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีด้านหนึ่งเป็นวัด ด้านหนึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า ถ้าเราเหมือนเด็กคนหนึ่งตามใจตัวเองจนเสียนิสัย ก็จะขอเดินเข้าห้างก่อน  ถ้าคนหนึ่งว่า คนหนึ่งชม ก็ขอเดินไปหาคนชมก่อน แต่เคยเปิดใจฟังคนว่าไหม เด็กที่ไม่มีวันโตก็คือเด็กที่อยากฟังแต่คำชม ไม่รับคำติ เลือกแต่สิ่งที่หูอยากฟัง สิ่งที่หูไม่อยากฟังก็จะไม่ยอมรับ คนนั้นจะโตแต่ตัวแต่ใจไม่โต ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อย่าเป็นคนที่ทิ้งโอกาสตัวเองนะ สิ่งที่ดีมีอยู่ในตัวท่าน เลือกที่จะทำ และทำให้ดีที่สุด อย่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงแบบคนข้างนอก แต่ตัวเองมีอะไรล่ะที่ดีเหลืออยู่ ที่น่าภาคภูมิใจ ความเมตตาก็เหลือน้อย จิตใจที่เสียสละให้ผู้อื่นก็แทบไม่มี เห็นแต่ตัวเอง น่าเสียดายนะ ถ้าเกิดวันหนึ่งการมีชีวิตอยู่ของเราหนึ่งคน คือการทำให้อีกหมื่นร้อยพันชีวิตอยู่ได้อย่างมีสุข ทำไมไม่ลองยืนเป็นคนๆ นั้น แต่ทำไมเราถึงชอบไปยืนเป็นคนที่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย
วันนี้คงเท่านี้แหละ พูดมากไปก็อาจจะเปล่าประโยชน์ ถ้าฟังแล้วเข้าหูไม่ทะลุถึงใจ อย่าคิดว่าเรามาหลอกเลยนะ  หรือว่าเล่นละครก็เป็นละครแห่งชีวิตที่จบแล้วเอาไปใช้ได้จริง วันนี้เราเป็นตัวร้ายที่ยอมให้ท่านเป็นตัวเอก อย่าลืมนะ อย่าเป็นคนดีที่ยึดมั่นจนไม่ดีไม่เป็น บางครั้งต้องไม่ดีได้ ไม่ดีเพื่อให้เขาดี ถ้าอย่างนั้นต่อไปเป็นคนไม่ดีเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เข้าใจให้ถูกนะ
สุดท้ายแล้ว แจกดอกไม้ดีกว่าแจกผักตบชวา อยู่ด้วยรอยยิ้มดีกว่าอยู่ด้วยการจับผิดและตำหนิติเตียน  คงไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกับท่านแล้วนะ ขอให้บำเพ็ญด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง สำนึกสำรวจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าพูดทำอะไร คิดให้ดีๆ จะได้ไม่เป็นคนที่ดำเนินชีวิตผิดพลาด ความอ่อนกับความแข็งใช้ให้ถูก แข็งเกินไปก็ทำร้ายผู้อื่น อ่อนแอเกินไปก็จะกลายเป็นภาระให้ผู้อื่นต้องหนักใจกลุ้มใจ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘    สถานธรรมอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนประเภทไหนที่พัฒนาไม่ได้          คือคนที่ใคร่ใส่ร้ายคนผู้อื่น
ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน       คืนคนที่หยิบยื่นความเดือดร้อนให้ผู้คน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์รักทุกคนสองวันนี้เหนื่อยหรือเปล่า

  รู้หรือไม่ใจกับกายสอดคล้อง          รู้จักครองชีพหมดจดได้อย่างฝัน
มีสุขไม่ใช่ก้าวแต่คนต้องการ            มีธรรมเป็นลานชีวิตจิตยืนยาว
ถูกเวลาถูกที่ช่วงใช้ถูกคน               ภาระล้นผลักดันทุกวันต้องก้าว
อย่าเอาแต่ตระหนักกับความเป็นเรา    มองรอบด้านรอบที่เท่าความระวัง
สร้างคนจงสร้างนิสัยจากความยาก     เรียนชีวิตเรียนรู้จากความจริงตั้ง
ในทุกเรื่องของหน้าที่ต้องปลูกฝัง        บางเรื่องเป็นวันวันยังต้องพยายาม
การไหว้วานอย่ามีบังคับในที             เวลาที่อดทนสิ้นสุดจะห้าม
ใครมีความใช้ไม่ได้อย่าประณาม         มารยาทงามมีต่อกันต่างฝันดี
                                                                       ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พายเรือเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญธรรมก็เหมือนเข็นตัวเองขึ้นภูเขา เวลาเรามีแรงต้องออกแรง เวลาเราท้อใจต้องให้กำลังใจตัวเอง  ชีวิตมีทุกข์ทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่ทุกข์  เหตุการณ์ในชีวิตมันซ้ำๆ คล้ายกัน จิตใจของเราก็คล้ายๆ กันทุกวัน  ทำไมเราไม่เอาความเหมือนกันของทุกๆ วัน เปลี่ยนสักหน่อย ทำให้มีความสุขมากขึ้น อย่าถามอาจารย์ว่าจะมีความสุขได้อย่างไร  จริงๆ แล้วศิษย์ก็รู้ว่าเราจะมีความสุขได้อย่างไร แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่ทำในสิ่งที่เรารู้ เรามักจะไปทำในสิ่งที่เราไม่ค่อยรู้  เพราะฉะนั้นคนที่หาความทุกข์ให้กับเรา ก็คือตัวเราเอง  ฉะนั้นอย่าถามว่าทำอย่างไรให้มีความสุข ต้องถามว่าตัวเองพร้อมจะมีความสุขหรือยัง สิ่งที่เป็นนิสัยซ้ำซากจำเจ อยู่กับมันจนเบื่อแล้วเบื่ออีก แต่ไม่ยอมตัดมันทิ้งไป ไม่ยอมสลัดไม่ยอมแก้ไข ถามว่าหายไหม (ไม่หาย)  ทำอย่างไรถึงหาย ต้องลงมีดกับจิตใจของตนเอง  เจ็บหรือเปล่า (เจ็บ)  การเจ็บปวดเป็นความทุกข์  ถ้าหากเราเจ็บเพื่อไม่เจ็บ เอาไหม (เอา)  ทุกวันนี้ศิษย์หลายๆ คนเจ็บเพื่อที่จะเจ็บมากยิ่งขึ้น  แต่อาจารย์บอกว่าตัดกิเลสนะ เจ็บเพื่อเจ็บน้อยลง เอาอันไหน (เจ็บเพื่อเจ็บน้อยลง)  การขัดเกลาตัวเองมันเจ็บใจ กวนใจ รำคาญใจมากที่สุด จะทำไหม (จะพยามยาม)  อาจารย์เอาใจช่วยศิษย์ทุกคน ธรรมะย่อมทำให้คนนั้นมีจิตใจที่สงบได้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นต้องการจริงๆ
เมื่อสักครู่ร้องเพลงอะไร (ต้อนรับ)  เอาอะไรมาต้อนรับ (ใจ)  ใจเป็นอย่างไร เป็นใจสีขาวๆ  หรือใจสีขาวๆ ดำๆ  (สีขาว)  มนุษย์สมัยนี้ชอบดูทีวีสีหรือทีวีขาวดำ (ทีวีสี)  ใจก็เลยเต็มไปด้วยสี กี่สีถึงพอ ถ้าหากเจ็ดสีลงน้ำเป็นอย่างไร ก็ช้ำเลือดช้ำหนอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเจ็ดสีอยู่บนฟ้าเป็นอย่างไร  (สีรุ้ง)  ถามว่าใจตอนนี้เหมือนน้ำหรือเหมือนฟ้า (ฟ้า)  ไหนใคร ใจเป็นฟ้ายกมือขึ้น  ถามว่าใจเราใสหรือเปล่า จิตใจรู้สึกปลอดโปร่งไหม  ปลอดโปร่งสามวันติดกันทำได้หรือเปล่า เวลาถูกคนอื่นกวนใจแล้วใจไม่ขุ่นทำได้หรือเปล่า  หากมีคนมาขโมยเงินเรา ใจขุ่นหรือไม่ขุ่น เป็นฟ้าตอนฝนจะตกเลย ใช่หรือเปล่า  ใครคิดว่าใจยังเป็นฟ้าอยู่ก็ยินดีด้วย ไหนใจใครเป็นน้ำ เป็นน้ำเป็นอย่างไร ถูกใครกวนใจหน่อยก็ขุ่นเลย เพราะว่าน้ำนี่มีกิเลสที่ตกตะกอน เป็นนิสัยของเราอยู่ข้างล่าง ใครมากวนเข้าก็ขุ่น
สองวันนี้มาฟังธรรมะ ใครมาด้วยความฝืนใจ และยังหลงเหลือความฝืนใจอยู่ที่นี่บ้าง มีนิดหน่อยก็ถือว่ามี ไม่มีเลยก็คือไม่มี คนที่ไม่มีความฝืนใจเลยต้องเป็นอย่างไร  (ต้องเต็มใจมา)  คนที่เต็มใจมาจิตใจก็เบิกบานสบายๆ เบาๆ  คนที่ฝืนใจมาจิตใจก็หนักทึบ จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้อาจารย์มา มีน้ำแก้วหนึ่งในมือ ถ้าอาจารย์ต้องการจะเอาน้ำแก้วนี้ ไปเป็นน้ำในหัวใจของศิษย์ทุกคน ถามว่าอาจารย์จะเทไปในแก้วน้ำของศิษย์ได้ไหม  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความเต็มในอัตตาของตนเอง อาจารย์ย่อมไม่สามารถเทน้ำใดๆ ลงไปได้ หากใจของศิษย์มีช่องว่างพอให้เติมเข้าไปได้  การที่อาจารย์มาวันนี้ย่อมเป็นประโยชน์ หากว่าศิษย์ของอาจารย์มีความเต็มล้น ถือว่าตัวเองนั้นมีดี  ย่อมไม่มีประโยชน์ที่อาจารย์มาในวันนี้ อยากให้อาจารย์มาแล้วมีประโยชน์ไหม (อยาก)  ประโยชน์นี้ เป็นประโยชน์ของตัวศิษย์เอง ฉะนั้นขอให้เปิดประตูใจของเรานั้นให้กว้าง รับอาจารย์ไว้หนึ่งวัน ไม่กี่ชั่วโมง ทำได้หรือเปล่า (ได้) 
“คนประเภทไหนที่พัฒนาไม่ได้”  คนประเภทไหน (คนที่ไม่มีธรรมะในดวงใจ, คนที่ไม่มีความศรัทธา, คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด)  แล้วคนที่นั่งอยู่ที่นี่มีใครคิดว่าตัวเองโง่ไหม  ถ้าหากว่าบอกว่าคำตอบนี้ถูก ทั้งหมดนี้คงพัฒนาไม่ได้ เพราะมนุษย์นี้มีความมั่นใจในตนเองที่สุด มนุษย์เชื่อว่าตัวเองเก่งที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีคนที่เก่งกว่าเรา จบสูงกว่าเราอยู่ตรงนั้น  พอตัวเองไปยืนหน้ากระจก  ใครเก่งที่สุด (เรา) ใครสวยที่สุด (เรา) ใครดีที่สุด (เรา)  หลงตัวเองไหม (หลง)  ฉะนั้นการหลงตัวเองเป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกเช่นนี้ ถามว่าเราจะยอมให้คนอื่นดุด่าว่ากล่าวหรือเปล่า ถามว่าคนอื่นสอนเรา เขาสอนด้วยการดุด่าว่ากล่าว จริงหรือเปล่า มีคนคิดว่าไม่จริง  ใครในที่นี้ที่เวลาสอนผู้อื่นสอนด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์  เวลาอยากตักเตือนผู้อื่น เสียงของเราราบเรียบไร้อารมณ์ จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  ฉะนั้นเวลาคนอื่นสอนเรา เราจะสามารถไปคาดหวังคนสอนเราได้ไหม ว่าคุณห้ามสอนเราด้วยเสียงดุนะ เพราะเราไม่ฟัง ทำได้ไหม กำหนดคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่เราจะไม่ให้ผู้อื่นสอน จึงไม่สามารถคาดเดาว่าผู้สอนจะใช้ท่าทางอะไรกับเราได้  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เวลาเขาดุหน่อยก็บอกเขาไม่มีธรรมะ  ฟังธรรมะจากเสียงหรือ (ไม่ใช่)  นั่นแหละเป็นความผิดพลาดของเราที่เรานั้นเป็นอย่างนี้อยู่เสมอ การที่คนอื่นสอนเรา จึงไม่สามารถกำหนดได้ว่าเขาจะสอนเราโดยท่าทางชนิดไหน
การที่เราโดนดุด่าว่ากล่าว จึงทำให้เราเป็นผู้มีความรู้มากขึ้น เป็นผู้ฟังมากขึ้น การที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ถามว่าเราสามารถคาดการณ์ผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)  คาดการณ์ใครได้ (ตัวเราเอง)   เราต้องคาดการณ์ตัวเราเอง ฉะนั้นถ้าหากอยากเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเท่านั้น ถ้าหากอยากปรับปรุงผู้อื่นก็ต้องปรับปรุงตัวเอง แต่ว่าอัตตายังอยู่ข้างหน้าเดินไปเดินมาอยู่นี่เลย  ทำอย่างไร ต้องทำให้ใจของเรามีอัตตาน้อยลง  ต้องมีตัวตนน้อยลง ไม่อย่างนั้นเราจะไปก้มหัว อ่อนน้อมกับใครได้ เพราะว่าเรายอมไม่ได้ อยากเป็นคนยอมคนไหม (อยาก)  อยากเป็นคนโง่ไหม (ไม่อยาก)  คนโง่กลายเป็นคนฉลาดที่สุดในทางธรรม คนฉลาดที่สุดกลายเป็นคนโง่ในทางธรรม ฉะนั้นในทางธรรมจึงสอนให้ทุกคนนั้นซื่อๆ เข้าใจตัวเองง่ายๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ รู้จักรักผู้อื่น  แต่ในทางโลก ศิษย์ของอาจารย์โดนใครว่าโง่ ได้ไหม (ได้) โดนว่าโง่ได้ แต่ทนได้ไหม (ไม่ได้) 
“คือคนที่ใคร่ใส่ร้ายคนผู้อื่น”  คนที่ชอบใส่ร้ายผู้อื่นเป็นคนที่พัฒนาไม่ได้ หากว่าเราทำผิด แต่ชอบโยนความผิดให้คนอื่น คนประเภทนี้คบได้ไหม  (ไม่ได้)  ถามว่าเคยทำไหม  มีคนที่ยอมรับผิด  มีคนที่อายผิดไม่กล้ารับ แต่อาจารย์บอกว่ามีอีกประเภทหนึ่งคือ ไม่รู้ว่าตัวเองไปใส่ร้ายผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์วันๆ หนึ่งพูดเยอะมาก เราเคยรู้ไหมว่าคำพูดของเราทำให้คนอื่นเดือดร้อน เรารู้บ้างไม่รู้บ้าง ว่าคำพูดของเรานั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อน บางทีรู้แล้วยังทำเฉยๆ ไม่ยอมแก้ บางทียิ่งแก้แล้วยิ่งยุ่ง  แต่คนที่น่าอภัยที่สุดก็คือใส่ร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเราต้องการอภัยผู้อื่น เราจึงต้องคิดว่าเขาอาจจะพูดโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ทำให้จิตใจเรามีความสุขมากขึ้น จงแกล้งหลอกตัวเอง ทำตัวเองให้โง่ไว้ ด้วยการบอกว่าเขาไม่ตั้งใจ ถึงแม้เราจะมองหน้าเขาแล้วรู้ว่าเขาตั้งใจแน่นอน แต่หากว่าเราหลอกตัวเองสำเร็จ แสดงว่าเราเป็นคนที่โง่ในทางโลก แต่ฉลาดในทางธรรม ดีไหม (ดี)
“ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน”  คนไหนที่ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน ไม่เกี่ยวกับคนเป็นโรคนอนไม่หลับ  ส่วนใหญ่มนุษย์เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะคิดมากกังวลมาก  เรื่องยังมาไม่ถึง ก็คิดไปห้าวันเจ็ดวัน หรือเป็นเดือน  ถ้าหากว่าคิดแล้วแก้ได้ ก็อยากให้ศิษย์คิด หากคิดแล้วแก้ไม่ได้ คิดไปทำไม จริงไหม (จริง)  กลับไปคืนนี้หากนอนไม่หลับ ก็ถามตัวเองเองว่าคิดเรื่องที่สมควรคิดไหม  บางคนคิดเรื่องสามีมีเมียน้อย ถามว่าคิดแล้วรู้ไหม (ไม่รู้)  รู้แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่รู้ดีกว่าไหม อย่างนี้โง่ๆ หน่อยดีกว่าไหม (ดี)  ถ้าหากเขาจะทิ้งเรา วันนี้วันไหนเขาก็ทิ้ง จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าเรานิสัยไม่น่ารัก  ถ้าหากนิสัยไม่น่ารักอยู่ด้วยกันไปก็มีแต่ความทุกข์ บางทียอมโง่หน่อยจากไม่เคยยกน้ำให้เขากินสักแก้วเลย ยกไปให้ทุกวันๆ เขามองเราเป็นอย่างไร คนนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ถามจริงๆ ว่าพฤติกรรมเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน จิตใจเปลี่ยนหรือเปล่า ต้องทำจนจิตใจของเราเปลี่ยน กับคนในบ้านต้องซื่อๆ เข้าไว้ กับคนนอกบ้านต้องจริงใจแล้วก็มีสัจจะ  ถ้าหากว่าเราทำได้ คนอื่นก็จะเกิดความรู้สึกเชื่อถือในตัวเรา คนมีคุณธรรม คนมีธรรมตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถ้าเกิดมีคุณธรรมบ้างไม่มีบ้างก็ทั้งไหม้ทั้งจมเลย
เพราะฉะนั้นอยากเป็นผู้มีคุณธรรมจงทำ  ถ้าหากทำบ้างไม่ทำบ้างจะเรียกว่ามีได้ไหม (ไม่ได้)  คนๆ หนึ่งเป็นผู้มีคุณธรรมมาก แต่ว่าวันนี้อารมณ์เสียไม่ทำ อย่างนี้มีคุณธรรมไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นยังต้องย้อนเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของเรา  เราเป็นผู้มีอายุมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น เราต้องมาฟื้นและตรวจสอบจิตใจของตนเอง ธรรมะที่มาศึกษาในสองวันนี้เน้นให้ปฏิบัติ ศิษย์จึงต้องรู้จักนำกลับไปปฏิบัติ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน อยู่กลางถนน อยู่บนตึก อยู่ใต้ตึก อยู่คนเดียวไม่มีใครเห็นหรืออยู่กับคนจำนวนมาก ธรรมะไปได้ทุกที่ เพราะธรรมะอยู่กับใคร (ตัวเอง)  ธรรมะงอกงามและดีงามได้ที่ตัวคน ยิ่งคนเป็นคนดีมากขึ้นเท่าไหร่  โลกนี้ก็ยิ่งเกิดความสันติสุขได้มากเท่านั้น โลกสันติสุขรอบตัวเราดีหรือไม่ (ดี)  แม้เราจะไม่สามารถที่จะสร้างความสันติสุขให้โลกทั้งใบ แต่ความสันติสุขอยู่รอบตัวเราทำได้ไหม (ได้)  ความสันติสุขจงอยู่รอบข้างตัวศิษย์ เพราะใจของศิษย์นั้นเป็นใจที่สว่าง หากทำได้ก็เป็นเช่นนั้น หากยังจมอยู่ในความทุกข์ในบ้าน ความทุกข์รอบข้าง  จงมองว่าเรานั้นเปลี่ยนแปลงตนเองและทำให้ตัวเราเองมีความสุขหรือยัง ไม่ใช่สุขจากการดูหนัง ฟังเพลง ไม่ใช่สุขจากการมีเงินทองมากมาย มีรถมีบ้านได้ดั่งใจทุกอย่าง นั่นไม่ใช่ความสุข นั่นเป็นเพียงแค่กิเลสที่มาสนองจิตใจของเราเท่านั้น  ถามว่ามีเท่าไหร่ถึงพอ  คนรวยมีคนรวยกว่า  แต่คนมีความสุขไม่มีคนอื่นที่มีความสุขกว่า
ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน    คือคนที่หยิบยื่นความเดือดร้อนให้ผู้คน
ถ้าหากว่าเราไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน กลางคืนเราจะนอนหลับสนิทไหม บางคนเป็นโรคชอบฝันร้าย เพราะว่าก่อนนอนมีเรื่องที่กังวลใจมาก กังวลใจที่ไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนมา ฉะนั้นการที่เราเป็นคนที่คิดดี มอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับผู้อื่น สุดท้ายเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง)  ฉะนั้นกลับไปแล้ว ถ้าเป็นตามที่อาจารย์ว่า ต้องเปลี่ยนคนทั้งคนไหม การที่จะเปลี่ยนคนทั้งคนนั้นใช้เวลานานแค่ไหน เปลี่ยนคนอื่นใช้เวลานานมากๆ แต่ถ้าจะเปลี่ยนตัวเองแม้จะผ่านไปสามปีห้าปีก็ยังเป็นเวลาที่เรานั้นทนได้ จริงไหม (จริง)
ใครเป็นคนที่อยู่กรุงเทพฯ ยกมือขึ้น คนกรุงเทพฯ คนไหนที่ไม่เครียดยกมือค้างไว้ คนกรุงเทพฯ ที่ไม่เครียดมีอยู่ 13 คน ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุนิดหนึ่ง ถามว่าทำไมการอยู่กรุงเทพฯ จึงทำให้เครียด (ขับรถเครียด)  ถ้าไม่มีรถจะเครียดไหม คนกรุงเทพฯ จะเป็นโรคเครียดกันมาก เครียดกับการทำงานและการดำเนินชีวิตของตนเอง ทำไมเราถึงเครียดกับการทำงาน เพราะว่าการทำงานนั้นมีการแข่งขันสูง ส่วนการดำเนินชีวิตก็เจอคนรอบข้างที่เห็นแก่ตัว แต่ถามว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ เป็นคนดีหรือไม่ดี (คนดี)  ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว เราก็มักจะมองว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ถามว่าเมื่อไรเราถึงจะมองเห็นว่าคนอื่นไม่เห็นแก่ตัวได้ ถามว่าเรามีดวงตาคู่ไหนมองว่าคนอื่นไม่เห็นแก่ตัวบ้างมีไหม ใจเรายังเหลือดวงตาคู่ไหนที่มีไว้มองเห็นแต่ส่วนดีๆ ของคนอื่นไหม ส่วนใหญ่เราจะนำร่องมองเห็นคนอื่นเป็นคนไม่ดีไว้ก่อน ต่อเมื่อเขาทำดีกับเราก่อน เราจึงบอกว่าคนคนนั้นไม่เห็นแก่ตัวจริงไหม (จริง)  ถามว่าคนดีในสายตาศิษย์นั้นมีกี่คน แล้วเวลาคนนั้นที่เป็นคนดีทำดีกับเราแล้ววันหนึ่งเกิดเขาพลาดด้วยการนินทาเราแล้วเข้าหูเรา เราก็มองใหม่ว่าคนนั้นไม่ดีจริงหรือเปล่า ถามว่าเรามีสายตาคู่ไหนที่มีไว้เฉพาะมองเห็นคนอื่นว่าเป็นคนดี จริงๆ แล้วไม่มี ไม่เหลือแล้ว ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แสดงว่าจิตใจของศิษย์นั้นเหลือความดีอยู่ไหม ไม่เหลือ การที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดีจึงให้ศิษย์นั้นพิจารณาใหม่ว่าจริงๆ แล้วที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี ความดีที่เรายกย่องตัวเองนั้นมีอยู่แค่ไหน ทำไมเรายังเป็นคนเลวของคนอื่นทั้งๆ ที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี เขามองไม่เห็นความดีของเรา ฉะนั้นจงพิจารณาใหม่ว่า ที่เราพูดว่าเราเป็นคนดีนั้น จริงๆ แล้วเราดีหรือเปล่า ให้ทุกๆ อย่างตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอก ทุกๆ อย่างที่เห็นโสภาสวยงาม แต่ว่าใจของเราโสภาไหม ใจมันไม่โสภา เพราะฉะนั้นจึงมองทุกๆ สิ่งนั้นไม่โสภา ความสุขในชีวิตนี้มันก็เลยลดน้อยถอยลงทุกวันๆ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น เสียงหัวเราะที่เคยมีได้ทุกวัน ก็มีน้อยลงๆ ทุกที ฉะนั้นจะทำอย่างไรกับตัวเองดี เราเป็นคนดีแต่เรามีนิสัยที่ไม่ดีอยู่ด้วยจริงไหม คนอย่างนี้ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรม บรรลุธรรมได้ ฉะนั้นการที่บอกว่ามารับธรรมะแล้วบรรลุธรรม ศิษย์จึงบอกว่าทำไม่ได้เพราะเราไม่ใช่ อาจารย์ก็ไม่ได้หลอกศิษย์ ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน หากอยากก้าวหน้าไปกว่านี้ ต้องก้าวที่จิตใจของตัวเอง
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่มีไว้สำหรับผู้ต้องการหลุดพ้นอย่างเดียว การบำเพ็ญก็มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการความสุขในชีวิต การบำเพ็ญธรรมก็ทำให้เกิดความสุขได้ ฉะนั้นวันนี้ที่มานั่งรวมกันอยู่ที่นี่ ศิษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นผู้ที่บรรลุธรรมได้ แต่ศิษย์จะรักษาโอกาสและช่วงใช้โอกาสนั้นหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับตัวเอง อาจารย์ก็ตอบไม่ได้ว่าวันข้างหน้าศิษย์จะลงนรก ขึ้นสวรรค์หรือบรรลุธรรม เพราะว่าอนาคตนั้นยังมาไม่ถึง แต่เคราะห์กรรมที่สร้างมาและจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นจ่อรออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกๆ คนไม่ว่าดำเนินการทำสิ่งใดก็แล้วแต่ล้วนต้องมีอุปสรรคทั้งนั้น อุปสรรคที่เกิดจากเคราะห์กรรมที่สร้างมา อุปสรรคที่เกิดจากตัวของศิษย์เป็นผู้สร้างเอง อย่างเช่น มาสถานธรรมคนเขาไม่สนใจไยดีเราเลย มองแล้วเหมือนมองผ่านไป เห็นเหมือนไม่เห็น เรารู้สึกว่าทำไมเขาทำกับเราอย่างนี้นะ เราก็เป็นคนที่มีฐานะ เราเป็นคนดีนะ เราเป็นคนที่อยู่ข้างนอกเพื่อนฝูงมากมากเลย อยู่สถานธรรมทำไมทำอย่างนี้กับเราล่ะ คนที่มีความคิดแบบนี้แสดงว่าตัวเราเองมีระดับ แต่การที่รู้สึกว่าตัวเองมีระดับ ทำให้ตัวเราดับ ไม่สามารถที่จะเดินทางบำเพ็ญธรรมได้อย่างสง่างาม
ฉะนั้นเวลาเจอคนอื่นไม่สนใจว่าเราจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อาจารย์บอกศิษย์อย่าทุกข์ คุณธรรมความสามารถเราต้องฉายแววด้วยตัวเอง ความเด่นความดีเราต้องสร้างให้ผู้อื่นเห็น จะให้ผู้อื่นเห็นความดีตั้งแต่เรายังไม่สร้างได้หรือเปล่า ถามว่ามองหนังสือเล่มหนึ่งเห็นหน้าปก บอกว่าข้างในดี ได้หรือเปล่า มันต้องเปิดอ่าน ถ้าเปิดอ่านไปครึ่งเล่ม บอกว่าหนังสือเล่มนี้ดีมากถูกไหม ก็ยังไม่ถูก ต้องอ่านจนจบเล่มจึงจะสามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้ดีหรือเปล่า อาจารย์บอกแล้วว่าธรรมะนี้เป็นธรรมะแห่งการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำแล้วบอกว่าศิษย์เข้าใจธรรมะนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หากคนที่หลับหูหลับตาปฏิบัติแล้วบอกว่าตัวเองเข้าใจธรรมก็ยังเป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามาบำเพ็ญธรรมสิบปีแล้ว แต่ว่าอาจจะไม่เข้าใจเลยก็เป็นไปได้ ฉะนั้นการที่เรามองนั้น จึงไม่สามารถที่จะมองคนอื่นได้เลย อย่างไรเสียก็ยังจำเป็นที่จะต้องมองตนเอง หาข้อบกพร่องของตนเอง แก้ไขตัวเองและเปลี่ยนนิสัยตัวเอง สิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดในมนุษย์ก็คือนิสัย แม้ว่าเราเป็นคนดีแล้วแต่ว่าเรายังมีนิสัยที่แย่ๆ อยู่ ผู้ชายบางคนรักครอบครัว แต่ว่าอดไม่ได้ ออกไปก็ยังเกี้ยวพาราสี บางคนถึงแม้ว่ามีเงินทองมากมายแต่ยังชอบที่จะกู้ยืม บางคนมีความสามารถ แต่ก็ยังชอบที่จะซ้ำเติมให้ผู้อื่นดับดิ้นไปก็มี ฉะนั้นคนมีความขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง ทำอย่างไรจึงจะสามารถหลีกพ้นความขัดแย้งนี้ได้ นอกจากว่าเราเกิดความรู้สึกเข้าใจตัวเองเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)
ตั้งแต่อาจารย์มาอาจารย์พูดถึงเรื่องอะไร ใครสรุปได้ (พูดเรื่องตัวเราเอง, เปลี่ยนแปลงตนเอง, การพัฒนาตนเอง ,ไปในทางที่ดี, แก้ไขตัวเอง) แต่ละคนอาจจะสรุปไม่เหมือนกัน แต่ไม่มีคำตอบใดผิด เพราะฉะนั้นสรุปอะไรแล้วก็เอากลับไปทำ  (ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนโง่, เปลี่ยนแปลงใจตนเองให้เป็นคนดี, สอนให้จิตใจของตนเองมีศีลธรรม)  เปลี่ยนแปลงใจตนเองได้ไหม ถ้าได้ก็เปลี่ยนจากวันหนึ่งเป็นสองวันดีไหม (แก้นิสัยที่ไม่ดี, ให้รู้จักตัวเอง) รู้จักไหมยังไม่ค่อยรู้จักเลย ถ้าหากว่าไม่รู้จักตัวเองก็เอาชนะตัวเองไม่ได้นะ (ทำความดีเพิ่มขึ้น, ให้นำไปปฏิบัติแล้วเราเป็นคนดี)
ความเด่นต้องให้ตัวเองเป็นคนสร้าง อย่าบังคับให้คนอื่นมองเราว่าเด่น ถ้าใครมองไม่เห็นคุณค่าของเราแต่ก็อย่าลืมว่าเราต้องเห็นคุณค่าของตัวเองจริงไหม  (จริง) คนที่จะเดินทางธรรมนั้น ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองแต่อย่ามีอัตตา
อาจารย์ไม่ได้สอนสมาธิให้ศิษย์เพราะว่าอาจารย์นั้นหลุกหลิกไม่อยู่กับที่ แต่อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์รู้จักใช้สมาธิในการทำสิ่งใด คือเราจะต้องมีจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งนั้น เพื่อที่จะให้งานนั้นสำเร็จออกมาดี ทุกคนอยากให้ผลงานดีฉะนั้นเลียนแบบอาจารย์คงไม่เข้าท่า เวลาเขียนกระดานใจก็ต้องจดจ่ออยู่กับกระดาน เวลานั่งฟังธรรม ใจก็ต้องจดจ่ออยู่กับการนั่งฟังธรรม เวลาทำงานใจก็ต้องจดจ่ออยู่กับการทำงาน เวลาอ่านหนังสือถ้าหากไม่รู้จักจดจ่อกับหนังสือจะอ่านหนังสือรู้เรื่องไหม  (ไม่รู้เรื่อง)  ฉะนั้นการที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีจิตใจที่จดจ่อเป็นสมาธิกับสิ่งนั้นจึงเป็นผลประโยชน์กับตัวเรา ถ้าหากว่าเราเป็นคนหลุกหลิกไม่เข้าท่า ดูแล้วคงทำอะไรสำเร็จไม่ค่อยดีใช่หรือไม่
วันนี้เรื่องที่อาจารย์พูดถึงส่วนมากจะเป็นเรื่องของจิตใจของตนเองใช่หรือไม่ ทำไมถึงมาเน้นเรื่องจิตใจมากกว่า เพราะว่าคนนั้นเมื่อจิตใจดีทุกอย่างก็ย่อมดี หากจิตใจไม่ดีทุกๆ อย่างก็กลายเป็นเรื่องไม่ดี แม้กระทั่งมองคนก็ยังมองไปในแง่ที่ดีไม่ได้ เวลาคนชาชินกับสิ่งที่เป็นความสมหวังดั่งใจมาก อย่างเช่นศิษย์ที่เวลาหาเงินทองมาได้ อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ มีความสมหวังมากมาย ชีวิตอิสระเสรีเหมือนไม่มีกรอบ แต่ถามว่าวันไหนถ้าให้ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ได้ไหม วันไหนที่บ้านไฟดับน้ำไม่ไหล ไหวหรือเปล่า ไหนใครไหวยกมือขึ้น ไฟดับน้ำไม่ไหลสักสามวันไหวหรือเปล่า ไฟไม่มาต้องไปซื้อข้าวกิน แต่เผอิญแถวๆ บ้านก็ดับเหมือนกันหุงไม่ได้ทำอย่างไร เวลาให้ศิษย์นั้นดำรงชีวิตอยู่เรียบง่ายแต่ก็กลับเป็นความทรมานแสนสาหัสใช่หรือไม่ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์อยู่เรียบง่ายแบบไม่มีน้ำไฟ แต่อาจารย์หมายถึงความเรียบง่ายในด้านอื่นๆ ของจิตใจ การที่เรานั้นจะอยู่อย่างคนที่โดนดูถูกอยู่ตลอดเวลา ถูกคนเข้าใจผิดตลอดเวลา ถูกใส่ร้ายป้ายสีตลอดเวลา ถูกคนตำหนิติเตียนกล่าวว่าตลอดเวลา การที่ศิษย์ต้องอยู่อย่างคนที่เหมือนกับคนที่ไม่มีศักดิ์ศรี เป็นความทนไม่ได้ของมนุษย์จริงหรือไม่ แต่คนที่สามารถรับได้เขาเรียกว่าคนโง่ในทางโลกแต่เป็นคนฉลาดในทางธรรม ความสุขของคนคนนี้มาจากไหน ความสุขของคนคนนี้มาจากจิตใจภายในของเขาเอง ศิษย์ทำได้ไหม  (ได้) มีคนตอบว่าได้ แต่อาจารย์เห็นศิษย์แค่โดนใครก็ไม่รู้มาว่าก็ทนไม่ได้แล้วใช่หรือไม่
โลกนี้มีเรื่องมากมายที่ศิษย์นั้นยากทน แต่ว่าศิษย์ต้องทน เป็นอย่างนี้มากี่สิบปีแล้ว มีเรื่องมากมายที่ยากทนแต่ต้องทนมาตลอดชีวิต ทนไม่ได้แล้วผ่านมาได้อย่างไร ความลำบากนี้คือลำบากอะไร ความลำบากนี้คือลำบากใจเท่านั้น จริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นในท่ามกลางความทุกข์จึงจะมอบความสุขที่แท้จริงได้ ในท่ามกลางความสุขและการตามใจตนเองนั้นไม่เคยให้ความสุขใคร อาจารย์พูดอย่างนี้แล้วเมื่อศิษย์พิจารณาดูดีๆ ตลอดชีวิตนี้ของศิษย์มีความทุกข์มากกว่าความสุข โอกาสที่ศิษย์จะเจอสุขแท้ก็มากมายเท่ากับตอนที่ศิษย์เจอทุกข์แต่ถามว่าเคยเห็นความสุขไหม ไม่เคยเพราะว่าอะไรถึงไม่ยอมสุขเสียที สุขได้มาจากความทุกข์มีโอกาสมีความสุขเท่ากับทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยมีความสุขเลยเพราะอะไร (เพราะใจเราไม่สงบ) เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่เคยมองสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งเฉพาะหน้า ไม่เคยมองลึกเข้าไปถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่คนอื่นนั้นดุด่าว่ากล่าวแต่ในนั้นมีแต่คำสอน ศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ทุกๆ ครั้งที่ให้ตัวเลือกระหว่างการเปลี่ยนแปลงตัวเองและการตามใจตัวเองก็เลือกที่จะตามใจตัวเอง เลือกที่จะมีความสุขก่อนแล้วทุกข์ทีหลัง ไม่เลือกที่จะมีความทุกข์ก่อนแล้วสุขทีหลังจริงหรือไม่ แล้วส่วนใหญ่นั้นสิ่งที่เป็นสิ่งที่ลวงล่อเราคืออะไร คือตัณหาความต้องการ ความอยากของตนเองทั้งนั้น การไหลตามน้ำศิษย์จะไหลไปถึงปลายน้ำ แต่หากศิษย์ยอมทวนน้ำศิษย์จะขึ้นไปถึงต้นน้ำ ปลายน้ำไม่มีน้ำ ต้นน้ำคือต้นกำเนิดของน้ำมีน้ำมากมาย จนศิษย์นั้นไม่รู้จะใช้อย่างไรหมด ฉะนั้นชีวิตนี้ต้องรู้จักเลือกให้เป็น ต้องอยู่ให้เป็น ต้องใช้ชีวิตให้เป็นจึงจะสามารถเป็นคนที่ดีได้ โปรดเหลือตาคู่นั้นไว้มองเห็นความดีของคนอื่น แม้จะเป็นคนโง่ก็ยอม แม้จะเป็นคนบ้า ก็บ้าอย่างคนที่มีธรรม อาจารย์เป็นคนบ้าศิษย์ก็ไม่เคยรังเกียจ เพราะว่าบ้าภายนอก ใจไม่บ้าจริงหรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ถ้าหากวันนี้ศิษย์เหลือข้าวชามหนึ่งก็แบ่งให้คนอื่นครึ่งชามหรือยกไปให้คนอื่นหมดทั้งชาม เขาบอกว่าศิษย์บ้าไหม บอกว่าคนคนนี้ไม่รู้จักรักตัวเอง แต่คนอื่นมีกินไหม อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์รักตัวเอง เพราะทุกครั้งที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำอย่างนี้อาจารย์ดูแล้วก็ปวดร้าว แต่ในขณะเดียวกันอาจารย์ก็ดีใจที่ศิษย์รู้จักเสียสละ ฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าศิษย์ให้ข้าวชามนี้เขาไป แล้วศิษย์จะไปตักข้าวชามใหม่ไม่ได้ ศิษย์อาจจะมีวิธีในการหาข้าวชามใหม่ให้ตัวเองกินก็ได้ ฉะนั้นการให้จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่มีคนบางประเภทที่ศิษย์นั้นให้ไม่ได้ อย่างเช่นขอทานตามถนน คนกรุงเทพบอกว่าไม่ให้เงิน เพราะเป็นการสร้างเหตุแห่งปัจจัยที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะพึ่งพิงตนเองได้ แต่ก็มีคนบอกว่าให้ไปแล้วก็คือให้ จิตที่เป็นกุศลไม่ว่าทำอะไรก็เป็นกุศล ให้ไปแล้วก็ไม่ใช่ของๆ เรา  ฉะนั้นเวลาที่พูดว่าอะไรถูกอะไรผิด จึงผิดไม่ชัดถูกไม่ชัด เวลามองใครว่าเขาทำผิด แต่เมื่อเรามองอีกทีเราอาจจะบอกว่าถูกก็ได้  ถ้ามองใครที่ทำถูกมองอีกทีก็อาจจะทำผิดก็ได้ เพราะฉะนั้นเสียเวลาคิด
“สร้างคนจงสร้างนิสัยจากความยาก”  อาจารย์ต้องการสร้างนิสัยใหม่ให้กับศิษย์ นิสัยของการดำเนินชีวิต นิสัยของการทำงาน นิสัยของการอยู่ นิสัยของความเป็นมนุษย์ของศิษย์ ทุกๆ อย่างที่อาจารย์พูดมานี้เป็นเรื่องยาก แต่ว่าไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินความพยายามของมนุษย์จริงไหม (จริง) นิสัยที่สั่งสมมาเป็นเวลานับสิบปีนั้นไม่อาจแก้ไขในเวลาแค่สิบวันหรือสิบนาที ถ้าหากศิษย์ทำได้ ศิษย์จะเป็นคนที่มีชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข ถามว่าตอนนี้อายุ 30-40 ถ้าหากว่าอยู่อีก 40 ปี คืออยู่อีกเท่าตัวอย่างมีความสุข เอาไหม (เอา) ต้องรู้จักเลือก เพราะฉะนั้นนิสัยที่ให้สร้างจากความยากทั้งหลาย เรียกร้องให้ศิษย์นั้นเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง บ่มเพาะตัวเอง ฟื้นฟูจิตตัวเอง แก้ไขปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง อาจารย์ไม่ได้พูดว่าให้เปลี่ยนคนอื่นเลย อยากให้ศิษย์เป็นคนที่อดทนมากกว่านี้ อยากให้ศิษย์เป็นคนที่ทำอะไรจดจ่อกับสิ่งที่ทำมากขึ้น อยากให้ศิษย์เห็นใจคนอื่นและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น อยากให้ศิษย์นั้นรักคนในบ้าน เป็นคนที่ซื่อและมีความบริสุทธิ์ข้างในจิตใจมากขึ้น คนที่ไม่มีความจริงใจ คนฟังก็ฟังรู้ว่าคนคนนี้ไม่จริงใจ เพราะว่าเรานั้นไม่สามารถเก็บสีหน้า ไม่สามารถเก็บคำพูด ไม่สามารถเก็บความชังที่มันไหลรั่วออกมาจากจิตใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์มีเหลืออยู่นี้ จงใช้ทุกๆ นาที ทุกๆ วันให้ผ่านไปอย่างคนที่มีธรรมะ ให้ปฏิบัติธรรม ดีหรือเปล่า (ดี)
“เรียนชีวิตเรียนรู้จากความจริงตั้ง” ให้เอาความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวตั้ง และหาธรรมะข้อที่เหมาะสมมาพลิกแพลงปรับใช้
“ในทุกเรื่องของหน้าที่ต้องปลูกฝัง” เวลาปลูกฝังควรปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กใช่ไหม แต่หลายๆ คนก็ผ่านชีวิตวัยเด็กมาอย่างไม่ได้ถูกปลูกฝังอะไรเลย ฉะนั้นตอนนี้แก้ยังทันไหม แต่จะให้ใครปลูกฝัง (ตัวเอง) ตอนนี้เป็นคนเต็มคน มีสติรู้ผิดชอบชั่วดี ขอให้รู้จักที่จะปลูกฝังตัวเอง ดีหรือไม่ (ดี) ถ้าหากว่าไม่ปลูกฝังตัวเองแล้วจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดความทุกข์)
“บางเรื่องเป็นวันวันยังต้องพยายาม” ก่อนหน้านี้เป็นทุกข์ไหม (เป็น) เพราะฉะนั้นต่างอะไรกันระหว่างข้างหน้าและข้างหลัง ทำก็ทุกข์ ไม่ทำก็ทุกข์ ถามว่ามีอะไรต่างกัน ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันก็มีความทุกข์ หลังจากวันนี้รู้แล้วยังไม่ทำก็คือทุกข์ มีอะไรต่างกัน อยากรู้ไหม (อยากรู้) ทุกข์มากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ก็ทุกข์ หลังจากนี้ก็ทุกข์ แต่ทุกข์มากกว่าเดิม ไหวไหม ก่อนหน้านี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว หลังจากนี้ยังต้องทนกับทุกข์ที่มีปริมาณมากกว่าเดิม ไหวไหม (ไม่ไหว) ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ก็มองไม่ไหวแล้ว กรุณาช่วยตัวเอง กรุณามาช่วยตัวเอง การอ้อนวอนขอย่อมได้ในทุกเรื่อง หรือส่วนใหญ่ได้ แต่การขอที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือการขอตัวเอง จริงไหม
เบื่อไหม (ไม่เบื่อ) เป็นคนขี้เบื่อนี่ดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนขี้เหงาดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนเซ็งง่ายดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนจู้จี้ขี้บ่นดีไหม นิสัยพวกนี้เป็นนิสัยจุกจิกแต่ว่าทำร้ายตนเองอย่างละมุนละไม ขี้เบื่อแสดงว่าเป็นคนไม่มีสมาธิ ขี้เหงาแสดงว่าเป็นคนที่ชอบเสียเวลาไปกับความคิดและเรื่องไม่เข้าท่า
มีอยู่คนหนึ่งไม่อยากได้คนแปล เพราะฉะนั้นต้องให้ใช้ใจฟังให้ดีๆ ใจศิษย์ไว้ใจได้ไหม เราไว้ใจตัวเราเองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการใช้ใจฟังก็ต้องฟังให้ดีใช่ไหม
ใครเป็นโรคชอบปวดหลังบ้างยกมือขึ้น ไหนลองมองสิว่าท่านั่งของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร การหาหมอทำให้หายแค่เพียงชั่วคราว การทำให้หายปวดหลังอย่างถาวรต้องแก้นิสัยการนั่ง ยิ่งปวดยิ่งต้องนั่งให้ตรงจะได้หายปวด ห้องนี้มีคนปวดหลังหลายคนเพราะนั่งเอียงไปเอียงมา การแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ แก้ที่ปลายเหตุไม่จบ คนกรุงเทพฯ เป็นโรคเครียด ยิ่งเครียดยิ่งทุกข์ ไม่อยากทุกข์ก็อย่าคิดอย่าเครียด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนยิ่งเก่งยิ่งมีความมั่นใจ ก็จะยิ่งหนักกว่าคนปกติ เรามีความมั่นใจ แต่อย่าเชื่อมั่นแต่ตัวเองคนเดียว เป็นผู้รู้จักรับฟังเสียงรอบข้าง การฟังจะเพิ่มความรู้แบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ แต่อย่ามัวฟังแต่คำยุยง คำนินทาว่าร้าย อย่างนี้จะเป็นโทษอย่างยิ่ง
อยู่ในโลกในสังคมจะต้องมองให้ดี บางคนไม่ชอบการหักหน้าก็จงอย่าไปหักหน้าเขา บางคนชอบหัวเราะ เพราะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก มีความสุขไปวันๆ คนประเภทนี้ไม่ถือสา ไม่ใช่แซวเล่นแล้วโกรธกันตลอดชีวิต อย่างนี้ไม่ดี ฉะนั้นเวลาจะคุยจะพูดอะไร ต้องรู้จักคำวาจา วาจาพูดออกไปแล้วเหมือนน้ำที่เทรดไปบนพื้นไม่สามารถจะเรียกกลับได้ ฉะนั้นวันๆ ยิ่งพูดมากเท่าไร ยิ่งต้องกลัวตัวเองมากขึ้นเท่านั้น กลัวตัวเองไหม (กลัว, ไม่กลัว)  ไม่กลัวเลยนะอาจารย์เห็น มีแต่คนอื่นกลัว
“มองรอบด้านรอบที่เท่าความระวัง” เมื่อระวังเท่าไร ก็ยิ่งที่จะต้องมองให้รอบคอบเข้าไว้ ไม่สามารถที่จะนับรอบได้จากการระวังนั้น ยิ่งระวังก็ยิ่งมองให้รอบคอบมากขึ้น
ปวดหลังไหม นั่งมาตั้งสองวันก็ปวดเป็นธรรมดา แต่คนไหนที่ปวดเมื่อยง่าย แสดงว่าออกกำลังกายน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมร่างกายไม่แข็งแรง (ไม่ออกกำลังกาย)  เพราะว่ากินตามใจปาก อยากอะไรก็กินเข้าไป รู้ว่าไม่ดี แต่ใจมันอยาก เอานิดเอาหน่อยก็ยังเอา กินแล้วลำบาก ไม่กินได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต้องกินให้มีคุณค่าหน่อย จะทำตนมีคุณค่า ก็ต้องกินสิ่งที่มีคุณค่า แล้วให้คุณค่าต่อตัวเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ายังนั่งอยู่ตรงนี้ ถือว่าเป็นคนที่แข็งแรงทุกคน วันไหนนอนอยู่แต่บนเตียง กระดิกตัวไม่ได้ อย่างนั้นถึงจะเรียกไม่แข็งแรง จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นตอนนี้บอกว่าร่างกายไม่แข็งแรง อาจารย์บอกว่ายังแข็งแรงอยู่ทุกคน อย่าบ่นไปเลย ตอนนี้ยังมีกำลังวังชา แขนชานิด ขาชาหน่อย หลังปวดหน่อย หัวปวดบ่อย ไม่เป็นไร ถ้าหากว่าเรานั้นไม่รู้จักรักษาตัวเองในตอนนี้ วันหลังจะยิ่งหนักขึ้นไปใหญ่ แล้วถึงเวลาก็จะต้องเสียเงินทั้งหมดที่ตัวเองหามาด้วยการไปหาหมอ จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วพอจะต้องไปไหว้พระก็ขออีกใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นคนที่มีสุขภาพดีอยู่ บอกกับตัวเองว่าตัวเองยังดีอยู่แล้วเราจะดีเอง
เงินนั้นบันดาลสุขแต่เงินก็บันดาลทุกข์ เงินให้ทุกอย่างแต่ให้ความสุขไม่ได้ ฉะนั้นจงใช้เงินแต่อย่าให้เงินใช้เรา เก่งนะรู้หมดทุกอย่างเลย รู้หมดแต่ทำไม่ค่อยได้
แม้ว่าอาจารย์นั้นให้ศิษย์เป็นผู้ที่แก้ไขทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง กำหนดชีวิตตัวเอง แต่อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์รัก เมื่อรู้ว่าอะไรดีก็จงทำตามสิ่งที่คิดว่าดี เมื่อรู้ว่าอะไรไม่ดีก็อย่าทำ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีความฉลาด และศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีความรู้ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีระดับ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีปัญญา แต่ยังน่าแปลกใจที่ยังมีความทุกข์อยู่ แสดงว่าตลอดมานั้นเรารู้แต่เราไม่ค่อยได้ทำ แสดงว่าเรารักตัวเองในทางที่ไม่ถูกต้อง ในสังคมของคนกรุงเทพฯ การที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นรักตัวเอง อย่ารักอย่างเห็นแก่ตัว ทุกคนมีน้ำใจ น้ำใจนั้นจงสาดออกเพื่อสามารถที่จะเติมน้ำใหม่ได้ ผลักออกไปก็จะไหลกลับเข้ามาจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ แต่ทุกๆ วันจะต้องมีความรักตัวเองที่ไม่ใช่เกิดจากความเห็นแก่ตัว ทำได้ไหม ศิษย์ทุกๆ คนเป็นคนดีแต่ว่าความดีนี้จำเป็นจะต้องสร้างให้มากขึ้นทุกวัน อย่าเป็นคนดีแต่ในทฤษฎี จงเป็นคนดีที่ปฏิบัติดีด้วย ได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท คำว่า “คิดถึงตัวเองน้อยลง”)
ศิษย์คิดว่าการคิดถึงตัวเองน้อยลงดีไหม ทุกวันนี้เราคิดถึงตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่ความกดดันในเมืองนั้นมีมาก เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ ใครเหนื่อยไม่สน ใครเครียดไม่สน ขอให้ตัวเรานั้นสบายก็พอ ชีวิตที่รักความสบายฟุ้งเฟ้ออยากหรูหรา ชีวิตที่แข่งกันด้วยต้องมีมือถือราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ทีวีจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รถคันโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ อย่างนั้นเราไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของมัน แต่เราคำนึงถึงความหรูหราของมัน ฉะนั้นชีวิตของเราจึงเป็นชีวิตที่ด้อยคุณค่ามากขึ้น เพราะเรานั้นมองแต่เปลือกนอก เปลือกนอกนั้นชวนให้เราดูดีมากขึ้นแต่จิตใจแย่ลงเรื่อยๆ
อาจารย์อยากให้คิดถึงเงาะลูกหนึ่ง เงาะนี้เราแกะเปลือกออก เปลือกนี้เวลาเราเลือก เราต้องเลือกเปลือกที่สดใหม่ เหมือนความรู้สึกของศิษย์ที่คิดถึงแค่เปลือกนอกที่จะต้องดูดี เมื่อลูกนี้ไม่สดก็เปลี่ยนลูกใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถามว่าเปลี่ยนไปถึงวันไหนล่ะ เปลี่ยนถึงวันที่กู้หนี้ยืมสิน เปลี่ยนถึงวันที่เรานั้นตายไปก็ยังไม่รู้จักพอ เปลือกนอกคือเปลือกนอกแห่งสังคม ฉะนั้นเปลือกนี้เมื่อแกะออกได้เจออะไร เจอเนื้อ เนื้อคืออะไร เนื้อคือจิตใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ถามว่าตอนนี้จิตใจของศิษย์นั้นปกป้องตัวเองไว้ด้วยอะไร ด้วยความรู้สึกที่ว่าห้ามโดนหลอก ห้ามโดนเอาเปรียบ ปกป้องตัวเองไว้หนาแน่น แต่เป็นเพียงแค่ความกลัว ตอนนี้แกะเปลือกออกเจอเนื้อ  เนื้อก็ยังเป็นความรู้สึก ความรู้สึกนึกคิดของศิษย์ที่มีแต่ความกังวล เพราะที่จริงแล้ว แม้ว่าศิษย์จะปกป้องตัวเองไว้หนาแน่น แต่ในจิตใจนั้นอ่อนแอมาก จิตใจนั้นเป็นจิตใจที่พร้อมจะบุบสลายได้ทุกเมื่อ เหมือนเนื้อของเงาะที่มันอ่อนๆ ใครมาจิ้ม ใครมาโดน ใครมาสัมผัส ศิษย์รู้สึกเจ็บปวดไปหมด แม้จะทำให้ทุกคนดูว่าเราแข็งมากแค่ไหนก็ตาม  ฉะนั้นเมื่อแกะความรู้สึกออกเจออะไร เจอเม็ด เม็ดเปรียบเสมือนจิตธรรม คือมีความอดทนอดกลั้น รู้จักแบ่งแยกผิดชอบชั่วดี รู้จักคิดตามหลักเหตุผล รู้จักที่จะเอาตัวเองนั้นตั้งไว้บนธรรมะ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์แกะแล้วแกะอีก คนที่นั่งอยู่ที่นี่อาจจะมาแกะเปลือกเงาะ แต่ศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่รอบข้างอาจจะต้องแกะเนื้อเงาะเพื่อให้เจอจิตธรรม เงาะนี้ออกมาจากต้นเงาะ ต้นเงาะก็เปรียบเสมือนธรรม ฉะนั้นพลังที่แท้จริงยังอยู่ในตัวของศิษย์เอง ศิษย์ยังมีพลังอันเต็มเปี่ยม อย่าเป็นคนคิดมากให้เสียเวลา อย่าเป็นคนคิดถึงแต่ตัวเอง อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตไม่ได้ทำให้ศิษย์นั้นเจ็บ แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บคือความคิดที่หมกมุ่นอยู่ คิดวนไปเวียนมาไม่จบ คิดอยู่นั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดทั้งที่ไม่มีอะไรดีขึ้นก็คิด เมื่อศิษย์นั้นพร้อมที่จะให้ผู้อื่นก็จะคิดถึงตัวเองน้อยลง ความสุขก็จะเพิ่มพูนขึ้น
วันนี้อาจารย์มาอย่างน้อยๆ ก็อยากให้ศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นผู้ที่มีความสุขออกมาจากจิตใจ เป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง อย่าเบียดเบียนผู้อื่น ทำในสิ่งที่ดี อย่ากลัวว่าศิษย์นั้นจะเสียเปรียบใคร ถ้าศิษย์เสียเปรียบเมื่อไรจะมีคนได้เปรียบ ศิษย์ก็ให้เขาได้เปรียบ เมื่อในโลกนี้มีคนที่อยากจะเป็นคนดี ศิษย์ก็ให้เขาเป็นคนดี สร้างสรรค์จิตใจนี้เหมือนจิตรกรเอก สร้างสรรค์ความคิดนี้ด้วยพลังที่มาจากภายในไม่จบสิ้น ทำได้ไหม (ได้)
เวลาที่มีอิสระมากเกินไป ถ้าให้ศิษย์ต้องอยู่อย่างเรียบง่ายก็มีทุกข์แสนสาหัส กว่าจะเป็นคนคนหนึ่งต้องหาสิ่งต่างๆ มาตกแต่งชีวิตมากมาย กว่าจะยอมเป็นผู้เป็นคนต้องหาสิ่งที่บำรุงบำเรอมากมายไม่มีทางพอ ฉะนั้นจะหยุด หยุดเลย ไม่มียาตัวใดในโลกรักษากิเลสมนุษย์ได้ นอกจากจิตใจที่รู้เท่าทันตัวเองเท่านั้น อาจารย์พูดมาถึงขนาดนี้ศิษย์ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้หรือเปล่า เวลาจะให้ทำ ไม่ได้ให้ศิษย์ทำทีเดียว แต่กำลังจะบอกศิษย์ว่าเวลาคนตบหน้าอย่าโมโห การที่บอกให้ศิษย์อย่าโมโหก็คือตอนที่มีคนตบหน้า ไม่ใช่ให้ศิษย์ทำอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างในชีวิตค่อยๆ เกิดขึ้นเหมือนละครที่เกิดขึ้นทีละฉาก ขอให้ในฉากนั้นๆ ศิษย์ทำได้ดี ศิษย์เอาชนะตัวเองได้ เมื่อชนะตัวเองได้ครั้งหนึ่งก็ย่อมมีครั้งต่อไปได้ ถ้าแม้ครั้งเดียวเอาชนะไม่ได้แล้วศิษย์จะยอมแพ้ตัวเองไปตลอดชีวิตหรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนในชั้นออกมาจัดผลไม้)  
ศิษย์ดูซิว่าผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงไหน  (ด้านล่าง) แล้วผลที่เล็กที่สุดอยู่ตรงไหน (ด้านบน) ดูว่าถ้าเอาลูกใหญ่มาไว้ข้างบนแล้วเอาลูกเล็กมาไว้ข้างล่างได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์เพียงแต่อยากจะบอกว่าในชีวิตของศิษย์ทุกคนนั้นมีเรื่องต้องจัดระเบียบ บางเรื่องต้องเร็ว บางเรื่องต้องรอเวลา บางเรื่องต้องหนัก บางเรื่องต้องเบา อย่าใช้ผิดสับสน ทำไมดอกไม้ที่เล็กที่สุดถึงอยู่ข้างบน การที่เรานั้นรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนทำตนให้เล็ก ดูแล้วคนอ่อนน้อม คนที่ชอบทำตัวให้เล็กๆ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ทำได้ดีที่สุด จริงไหม คนที่ยิ่งก้มหัวให้คนอื่นบ่อยที่สุด กลายเป็นคนที่บำเพ็ญดีที่สุด เปรียบเสมือนดอกไม้ที่อยู่ตรงนี้ หากศิษย์เป็นคนที่ยอมเสียเปรียบคนอื่นบ้าง ศิษย์ก็จะเป็นที่รักของคนอื่น แม้แต่ศัตรูก็ยังรักศิษย์ เปลี่ยนจากศัตรูให้เป็นมิตรด้วยการเปลี่ยนความคิดของตัวเองนะ ฉะนั้นวันนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงตนเอง สร้างนิสัยใหม่ อย่าให้นิสัยนั้นมันลึกดำดิ่งจนยากแก้ แล้วก็มีหินปูนมาเกาะ จนยากที่จะรักษาใดๆ
เมื่ออาจารย์มาเยี่ยมศิษย์ที่เป็นคนกรุงเทพ ก็อดพูดไม่ได้ ศิษย์เอ๋ยทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน ใจทุกคนมีเหมือนๆ กัน แต่คนมีใจกับคนไม่มีใจนั้นทำตัวไม่เหมือนกัน ศิษย์ใช่ไหมยังเป็นคนที่ยังให้คนอื่นนั้นตาม ศิษย์ใช่ไหมยังต้องให้ผู้อื่นนั้นคอยที่จะห่วงใย การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน การรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะสร้างความสามัคคีสร้างความเข้มแข็งแต่การบำเพ็ญยังเป็นเรื่องเฉพาะตัวอยู่ คนที่ไม่ค่อยหมั่นมาสถานธรรม ความมั่นคงในใจของศิษย์นั้นไม่อาจเข้มแข็งอยู่ได้ ถ้าหากศิษย์ยังมองไม่เห็นก็จงมองอดีต มองไปถึงคนที่เขาเคยถดถอยไปทั้งๆ ที่มีใจมาก  แสดงว่าใจของศิษย์นั้นไม่ใช่ใจที่มีอย่างแท้จริง อาจารย์พูดตรงนี้ไม่ได้บอกว่าศิษย์ต้องมาทุกวัน เมื่อศิษย์มีใจก็ย่อมรู้เองว่าเวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควร มาแล้วไม่มีอะไรทำก็ไม่เป็นไร มากราบพระ ไหว้พระ ให้ตัวเองนั้นมีจิตใจที่สว่างไสวใกล้ธรรมมากขึ้นก็ยังดี ส่วนการที่อาจารย์มานั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระสำคัญที่ศิษย์จะต้องยึดมั่นถือมั่น  เพราะอาจารย์นั้นไม่สามารถยืนอยู่เคียงคู่การบำเพ็ญของศิษย์ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ถึงแม้ว่าอาจารย์จะมองศิษย์อยู่ตลอดโดยที่ไม่เคยวางตาก็ตาม ทุกๆ ครั้งที่ศิษย์มีปัญหาก็ยังต้องแก้ไขด้วยตนเอง  ให้ใช้ธรรมะทำความเข้าใจ  การบำเพ็ญธรรมไม่ได้สนใจแค่ศาสนา เชื้อชาติ อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจที่จะมีใจเป็นธรรมะ ศึกษาเท่าที่โอกาสอำนวย และให้ธรรมะอยู่กับใจศิษย์ตลอดเวลา มั่นคงเข้มแข็ง 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลง “ชีวิตต้องการสิ่งใด”) 


อาจารย์หวังว่าหลังจากกลับไปจากวันนี้จะมีความเข้าใจตัวเอง รู้ว่าชีวิตตัวเองต้องการอะไร มีเป้าหมายให้กับชีวิตตัวเอง  อย่าเป็นเรือที่ล่มเมื่อจอด อย่าเป็นคนตาบอดคลำช้าง ฟังให้รู้จักฟัง  คิดให้รู้จักคิด เป็นคนดีให้ได้  จะทำก็ทำได้อยู่ที่จะประคองตนได้แค่ไหน อาจารย์อยากให้ศิษย์คนเก่าบำเพ็ญให้ดีๆ  ศิษย์คนใหม่ก็ขอให้เจริญก้าวหน้าในทางธรรม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้ที่มีบุญ ขอให้ทวนกระแสน้ำกลับขึ้นมานะ รักษาตัวให้ดี วันหน้าเจอกันใหม่

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “คิดถึงตัวเองน้อยลง”
    อย่าเป็นคนคิดถึงแต่ตนเอง             ความรีบเร่งทำให้ทำอะไรไม่ถูก
ทางแก้ปัญหาอาจอยู่เพียงคลายผูก       คนคิดถูกมองเป็นละอัตตา
ดึงพลังตัวเองมาจากภายใน              มาเปลี่ยนให้คนถูกตามเป็นผู้ล่า
บอกกับคนในกระจกด้วยหาญกล้า    ต่อเวลาให้กับใจไม่หมดลาน
ไม่ใช่ก้าวอย่างคนที่ถูกผลัก              แต่ตระหนักกับทุกช่วงที่รอบด้าน
จงเรียนรู้จากเรื่องของวันวาน            อย่ามีวันที่ไม่ใช้ความอดทน


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา