วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2548

2548-10-15 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


PDF  2548-10-15-อิ๋งเซียน #10.pdf 



西元二○○五年歲次乙酉 九月十三日             大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘      สถานธรรมอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.

  จงดำเนินชีวิตด้วยความระวัง          เป็นผู้ฟังมากกว่าพูดไม่เสียหาย
เป็นผู้คิดก่อนทำไม่วุ่นวาย               หมั่นเข้าใจกันและกันสานไมตรี
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                  ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                              ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  มนุษย์เอ๋ยจิตใจมักว้าวุ่น         ไม่รู้หมุนไปทิศไหนจึงถูกกว่า
เรียนอดีตรู้ปัจจุบันมองข้างหน้า   อย่าลืมว่าใดควรทำให้เร่งมือ
จงได้รู้เป็นผู้มีเหตุผล      อภัยคนด้วยใจรักไปทุกผู้
เมื่อมีธรรมอย่าเข้าข้างตนเองอยู่         ให้รีบสู้ชีวิตด้วยบำเพ็ญ
โลกก้าวหน้าด้วยวัตถุใจตกต่ำ     ขอให้คลำหาทางออกให้ชีวิต
ไม่มีใครมาช่วยท่านลิขิต           อันชีวิตตนนี้ลิขิตเอง
รู้ชีวิตจึงมากำหนดชีวิต    โลกนี้คนล้วนเคยผิดไม่วายเว้น
การแก้ไขตนเองนั้นไม่ลำเค็ญ     อย่าอ้างว่าลำเค็ญบ่อยครั้งเกิน
อยู่ในโลกจงคิดเป็นคนดี          ทำสิ่งที่แม้ตนก็ยังสรรเสริญ
อันผู้อื่นอย่าเที่ยวเล่นไปประเมิน  ขอเจริญที่จิตใจกว่าใดใด
ในชาตินี้มีบุญได้รู้ธรรมะ          จงชนะใจตนเองอย่างแกร่งกล้า
ทั้งพูดทำใจนี้ให้มีปัญญา           ให้สร่างซาจากกิเลสเสมอไป
การบำเพ็ญเป็นเรื่องยากแต่ไม่ยากเกิน   อย่าเพลิดเพลินโลกีย์นี้ฉุดตกต่ำ
มีสติต่างแข่งขันกับตนนำ         ขอให้ทำสิ่งที่ดีเป็นทุนรอน
น้องเมืองใหญ่ให้เชื่อเลยเป็นเรื่องยาก   ศิษย์พี่ฝากมาศึกษาอย่าตัดรอน
อันความรู้ต้องหมั่นใช้ไม่เลือดร้อน        ปฏิบัติก่อนจึงค่อยตัดสินอะไรดี
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม   ขอน้องนำจิตบริสุทธิ์ทำใจนิ่ง
คนฉลาดอย่าพลาดง่ายกันจริง    ขอให้ทิ้งความกังวลมาฟังธรรม
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ        แลเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
อยู่ร่วมกันตลอดมาตลอดไป      ต้องจริงใจเป็นธาตุแท้ของตนเอง
อันความคิดสัมพันธ์กับการกระทำ        ขอให้นำสิ่งที่ดีเข้าปราศรัย
เก็บธรรมะกลับไปที่บ้านใช้        เป็นคนใหม่เพราะเห็นตนควรแก้จริง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                   ฮวา  ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘      สถานธรรมอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันต้าเซียน

  อย่าหมกมุ่นกับตัวเองมากเกินไป      แสวงหาความหมายที่แท้จริงแห่งชีวิต
อะไรคือความสุขในดวงจิต              การยึดติดมากเกินไปบังปัญญา
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  อย่าได้เป็นคนคิดมากความถือสา      แม้กังวลใจอย่าถึงต้องรีบร้อน
รู้ตนเองตระหนกแต่ให้เร่งผ่อน          ทบทวนก่อนให้ทำอะไรไม่ผิดไป
บางเรื่องต้องทำไม่เห็นกลับแก้          บางเรื่องแก้ทางถูกกลับไม่หาย
ความมีปัญหาอาจอยู่ในคนทั้งหลาย      ปมเริ่มผูกคลายเพียงเพราะคิดทัน
คนจะละอัตตาต้องหยุดยอมเย็น        คนมองเป็นมองถูกยิ่งยึดมั่น
แม้ดึงพลังตัวเองต้องเชื่อมั่น            แต่รู้ทันดึงมาอย่ามาอัตตา
ชีพอยู่ในภยันตรายจากความเปลี่ยนแปลง    จงพลิกแพลงตนตามงามคุณค่า
จงยอมให้คนถูกสบายใจกว่า             เมื่อต้องเป็นผู้ล่ารู้ล่าอะไร
เตือนดุกับบอกด้วยความเข้าใจคน       ทำกับคนในกระจกชอบสิ่งไหน
กลัวเสียเวลาให้คนต้องเสียใจ           ต้องเหนื่อยต่อกล้าหาญไม่ถูกกาล
                                                                       ฮา  ฮา  หยุด

        การเป็นคนนั้นยากถ้าไม่ใช้ปัญญา  ทำตนเป็นผู้พึ่งพา  ไม่ยักง่ายยิ่งใจหนัก  ฟังเพียงคนเห็นด้วย จะได้รู้อะไร   จากทุกที่ที่เดินผ่าน  สะท้อนความจริงเก็บไว้
{    ชอบก้าวเท้าไปตามชอบใจ   ดวงใจระเริงในสุข  มีเสรีเกินไปหน่อย  เรียบง่ายกลับทุกข์  ต้องเอื้อมคว้าดาราแนบกาย   วิ่งพล่านจนเหนื่อย  ยังปักใจไหมว่าที่ได้มา   สิ่งที่ต้องการ
        ดวงใจอันแสนเหนื่อย  โปรดนิ่งๆ ฟัง   บำเพ็ญใจให้คืนว่าง   รักษาแผลที่ใจซ่อนอยู่  การบำเพ็ญเท่ากับหยาดน้ำทิพย์โปรยปราย  ชำระดวงใจดวงเก่า   ยึดถือมั่นพลันสลาย  (ซ้ำ {, {)    ใช่ไหมสิ่งที่ได้มา สิ่งที่ต้องการ

ทำนองเพลง :  ช่างไม่รู้
ชื่อเพลง : ชีวิตต้องการสิ่งใด

 พระโอวาทท่านหลันต้าเซียน

ทุกท่านเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (ไม่เห็น)  แล้วอย่างไรล่ะที่เรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอดทนในสิ่งที่ยากจะอดทน ท่านเมตตาในสิ่งที่ยากจะเมตตา ท่านกระทำในสิ่งที่เราคิดว่าคนในโลกนี้ไม่น่าจะทำได้  เป็นกษัตริย์อยู่ดีๆ ยอมเป็นปุถุชน เป็นคนมั่งมีอยู่ดีๆ ยอมเป็นคนยากจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นจึงทำให้มนุษย์เรียกท่านว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเคารพท่าน


ท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้สามารถทำได้ไหม ไม่เคยอดทนนั่งเป็นชั่วโมงๆ วันนี้ก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  คิดว่านั่งไม่ได้แน่ ตั้งวันหนึ่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีอีกวันหนึ่ง  แต่ถ้าเราไม่หมกมุ่นกับความคิดตรงนั้น แม้ต้องนั่งไปเรื่อยๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สองชั่วโมงผ่านไป วันหนึ่งผ่านไปก็ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเสียงหวีดเมื่อสักครู่ รำคาญจังเลย เมื่อไหร่จะเงียบ แต่ถ้าเราควบคุม เรากดไว้ได้ อารมณ์นั้นก็ไม่ทำร้ายตัวเอง  แล้วก็ไม่ทำให้เรากลายเป็นคนเอะอะโวยวาย
นั่งมากๆ ก็เครียด ก็เบื่อ ใช่ไหม  สมมติกระดานแผ่นนี้เราแบ่งครึ่ง และเราระบายส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งลบสะอาด ท่านรู้สึกว่าอย่างไร เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ด้านไหนสะอาดกว่ากัน รู้สึกว่าด้านที่ระบายสกปรก และถ้าเกิดเราลบนิดหน่อยแล้วยิ่งระบายเพิ่มอีก รู้สึกว่าด้านที่ไม่ได้ระบายสะอาดมากยิ่งขึ้น ยิ่งฝั่งนี้สกปรกมากเท่าไหร่ อีกฝั่งก็สะอาดมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราเปรียบเทียบกับคน ท่านว่าคนนี้ดีจังเลย ดีจริงๆ สะท้อนใจว่าในโลกนี้ต้องมีคนร้ายจริงๆ ถูกไหม (ถูก)  เมื่อไรที่มีคนชมว่าท่านดีมาก เมื่อนั้นฟ้าก็เศร้ามาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รันทดมาก  เพราะอะไร เพราะว่ายิ่งโลกนี้มีคนที่ถูกชมว่าดีมากแค่ไหน ก็แปลว่ามีคนที่ไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น และแปลว่ามีไม่ดีกับดี จึงมีคนที่ดีเช่นนี้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าในทางกลับกัน ไม่มีการแบ่งอย่างนี้ คนในโลกเป็นคนดีเหมือนกันหมด คำชมจำเป็นไหม (ไม่จำเป็น)  คำติจะมีไหม อาจจะมีแต่มีน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็จะมีดีมากหน่อย ดีน้อยหน่อย  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่แน่หรอก มนุษย์ในโลก ขาวเหมือนกันก็ยังหาทางจับผิดได้ว่า นี่ขาวกว่า นี่ยังมีฝุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ วันหนึ่ง เราคือคนเท็จ เราคือคนไม่ดีแต่ทำให้อีกคนดีขึ้นมา ทำไมเป็นไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนทะเลาะกัน แม่ถูก ผมก็ถูก แต่ถ้าวันหนึ่งลูกยอมให้แม่ถูก แม่ครับผมผิดเอง แม่เป็นอย่างไร ลูกเป็นอย่างไร ในสังคมเดียวกัน คุณก็ถูก ฉันก็ถูก ไม่เป็นไรผมผิดเอง ยอมดำสักครู่หนึ่ง เพื่อให้คนอื่นขาว ยอมผิดสักขณะหนึ่งเพื่อให้คนอื่นดี ทำไมทนไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะมนุษย์ในโลกนี้ ถามสิบคน สิบคนก็ต้องตอบว่า เรามีดีไม่มากก็น้อย ถึงแม้จะบอกว่าผมไม่ดี แต่ถึงเวลามีคนว่า เราไม่ดี รับไหม (ไม่รับ)    ทำให้คนสบายใจสักครู่หนึ่งไม่ได้เหรอ  ทำให้คนเขาสบายใจที่ตัวเองถูกสักครู่หนึ่ง แล้วเชื่อไหมว่า เมื่อขาวกับดำมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คนที่ไม่ขาวจริง ก็จะมองเห็นว่าตัวเองก็มีดำ ส่วนคนที่ไม่ได้ดำจริง ก็กลับให้กำลังใจคนที่ไม่ขาวจริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแค่นี้ยากไหม (ไม่ยาก)  มีง่ายๆ อีก อยากทำให้เพื่อนเป็นคนดีในสายตาคนอื่นไหม (อยาก)  ถ้าเราเดินขึ้นมาชี้หน้าเพื่อนแล้วพูดว่า “แกไม่ได้เรื่องเลย ไอ้โง่”  เป็นอย่างไร คนที่ชี้หน้าเป็นคนเลวในทันที ส่วนเพื่อนที่โดนชี้หน้าเป็นคนดี แต่ถ้ากลับกันว่า เราไปกระซิบบอกเพื่อนว่า โง่จริงๆ แล้วอยู่ๆ เพื่อนโมโหขึ้นมา แล้วก็หันกลับมาด่า กลายเป็นเราเป็นคนดี  เพื่อนเป็นคนเลว  ฉะนั้นอยู่ในโลกการทำให้ตนเองดี หรือทำให้คนอื่นดีง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นดีหรือร้าย จริงหรือเท็จ เราเอาอะไรวัดกัน สายตาหรือ ความรู้ความเข้าใจหรือ วันนี้เราเป็นของเท็จก็ได้ เป็นของไม่เที่ยงก็ได้ เป็นได้ทุกอย่างที่ท่านอยากให้เป็น แต่เป็นแล้วท่านต้องดีกว่าที่เป็นอยู่นะ แต่ถ้าเราเป็นแล้วท่านไม่ดีขึ้นเลย อย่ายอมเป็น ไปคิดเอานะ เรื่องแบบนี้ ชีวิตท่านเท่านั้นที่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อย่าหมกมุ่นกับตัวเองมากเกินไป แสวงหาความหมายที่แท้จริงแห่งชีวิตอะไรคือความสุขในดวงจิต       การยึดติดมากเกินไปบังปัญญา
ในโลกนี้ก็มีทั้งจริงและเท็จ วันนี้เรายอมเป็นคนเท็จเพื่อให้ท่านเป็นคนจริง วันนี้เรายอมเป็นคนไม่ดีเพื่อให้ท่านเป็นคนดี เอาไหม
ใจของมนุษย์ทุกคนมีข้อจำกัด และใจจำกัดนี่แหละที่ทำให้เราเจ็บ อย่างเช่น ฉันเป็นคนฟังได้แค่นี้  ฉันเป็นคนนิสัยอย่างนี้ ฉันเป็นคนแบบนี้ ยิ่งกำหนดตัวเองมากเท่าไหร่ ใจเราก็ยิ่งแคบลงมากเท่านั้น ถูกไหม (ถูก)  แล้วนิสัยที่ถูกกำหนดขึ้นมานี้ แท้จริงแล้วใช่ตัวตนเดิมแท้ของท่านไหม (ไม่ใช่)  แล้วมันสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ไหม ท่านรู้ไหมว่า มนุษย์ทุกคนมีอำนาจแฝงเร้นอยู่ภายใน แล้วอำนาจนี้มีทั้งดีมีทั้งร้าย อยู่ที่ว่าเราหยิบอะไรมาใช้บ่อยๆ   อย่างเช่นความขี้บ่น จากตอนแรกไม่เคยบ่น ทนไม่ไหวแล้วขอบ่นหน่อยเถอะ พอบ่นทีหนึ่งแล้วรู้สึกสะใจ รู้สึกดีใจ หยิบมันมาบ่อยๆ มันก็กลายเป็นตัวเราเลย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความดีงามก็เหมือนกัน เราลองหยิบคำว่า “อภัย” มาใช้บ่อยๆ ต่อไปเราก็จะรู้ว่าในตัวเรามีคำว่า “อภัย” ยิ่งกว่าใครในโลกก็เป็นได้ แต่เราไม่เคยหยิบ เราหยิบแต่ความโกรธ เกลียด  อภัยเราก็เลยหดเล็กลงๆ จนเหมือนไม่มี ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่าดูถูกพลังอำนาจแห่งหัวใจนี้ ถ้าร้ายก็ร้ายเหลือ ร้ายลึก ร้ายที่สุด แต่ถ้าดีก็ดีที่สุดจนน่าใจหาย   ใช่ไหม (ใช่)
ถามท่านสักนิดหนึ่ง หากท่านกำลังเดินเข้าไปในงานๆ หนึ่ง มีคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งหัวเราะกันลั่น อีกกลุ่มหนึ่งยืนมองหน้ากันด้วยหน้าตาบึ้งตึง ท่านจะเดินไปหากลุ่มไหน กลุ่มที่หัวเราะใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากลุ่มที่เขาหัวเราะกันอยู่ท่านเดินเข้าไปด้วยหน้าตาบึ้งตึง แล้วพูดว่าหัวเราะอะไรกัน ท่านทำวงแตกไหม ท่านสามารถทำให้คนกลุ่มนี้หัวเราะยิ่งขึ้นได้ ก็ด้วยการยิ้มกับเขาสักนิดหนึ่ง แล้วความสุขก็บังเกิดได้  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนคำว่า “ยิ้ม”  เวลาท่านยิ้มปุ๊บเขาก็ยิ้มตอบ แต่เวลาเรายิ้มคนเดียวมันไม่เบิกบานเท่ากับคนตรงข้ามยิ้มแล้วยิ้มมากกว่าเรา  เราจะรู้สึกอิ่มใจ ปลื้มใจ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถามว่าท่านอยู่ในโลก ท่านแจกรอยยิ้ม หรือแจกความบึ้งตึง ท่านแจกดอกไม้หรือผักตบชวา
อย่าคิดมากเลยนะ  บางครั้งอยู่ในโลก เห็นก็ต้องทำเหมือนไม่เห็น คิดมากไปคนที่คิดนั่นแหละทุกข์ใจ  วันนี้สิ่งที่เราจะมาคุยกับท่านก็คือ การทำอย่างไรให้เราอยู่ในโลกแล้วมีความสุข เอาไหม (เอา)  คิดทีไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น เห็นดอกไม้แล้วรู้สึกสดชื่นไหม ถ้าวันหนึ่งดอกไม้ไม่สวย รู้สึกเป็นอย่างไร เราอยากถามท่านว่าดอกไม้ที่ไม่สวยกับดอกที่สวย ต่างกันไหม (ต่างกัน)  แต่ในความต่างมีอะไรเหมือนกัน (เป็นดอกไม้)  แล้วมันคือความจริงเหมือนกัน รักที่จะเลือกดอกสวย ก็ต้องทนรับดอกที่ไม่สวย แล้วดอกนั้นถึงจะอยู่กับท่านตลอดกาลเวลา และเหนือกาลเวลาด้วย คนที่กล้ารับความจริงว่าวันนี้เข้มแข็ง แล้วพรุ่งนี้ก็อ่อนแอได้ วันนี้ได้รับคำชม แต่พรุ่งนี้ก็อาจถูกติได้ คนๆ นั้นจึงเป็นคนที่สามารถอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุขแท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  การที่เราจะมีความสุขได้นั้น ก็คือต้องมีดอกไม้ที่บานไม่รู้โรยอยู่ในใจ เป็นดอกไม้ที่ไร้กาลเวลา เป็นดอกไม้ที่อยู่เหนือกาลเวลาที่แม้จะถูกทำลายแล้วก็ยังกลับเบ่งบานได้ ดอกนี้เมื่อคิดถึงเมื่อไรก็เป็นสุขเมื่อนั้น ดอกไม้ของเราเป็นดอกที่ปลูกในดินไม่ได้ ปลูกได้แต่ในใจมนุษย์ แล้วเมื่อเราเอาออกไปเมื่อใด ก็เติบโตในใจคนอื่นได้ ดอกนี้ให้ไปมีแต่คนชอบ (ดอกอภัย, ดอกความเมตตา, ดอกไมตรี, ดอกกรุณา)  อย่างนั้นเราเฉลย “ดอกแห่งกำลังใจ”  ปลูกให้แก่ใคร ใครก็อยากได้ ปลูกให้กับเราเวลาที่ท้อใจ ยิ่งดีใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วกำลังใจนี้ ไม่ใช่จะให้กันง่ายๆ  และไม่ใช่จะสร้างกันง่ายๆ นะ แต่ถ้าปลูกให้มั่นคงเมื่อไร เราก็จะเป็นผู้ที่ล้มแล้วลุกได้ไว  โดนใครทำร้ายก็อภัยได้ไว เพราะมีกำลังใจที่จะต่อสู้ มนุษย์เราทุกคนในโลกนี้ ขาดซึ่งกำลังใจในการที่จะเป็นคนดี
มนุษย์มักจะบ่นกับฟ้าว่าทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป ใช่ไหม (ใช่)  ถามจริงๆ คนทำดีทำดีบ่อยไหม นานๆ ทำทีแต่อยากได้ผลตอบแทนใหญ่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เกิดมาตามกรรม  แล้วก็เป็นไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาได้กรรมดีเราน่าจะยินดี แต่เขาได้กรรมดีกลับไปว่าเขาอีก เราก็กำลังสร้างกรรมปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาไม่ให้ยึดติดนะ คิดว่าเราเหมือนลำโพงที่กำลังประกาศสิ่งที่ดี หรือถ่ายทอดสิ่งที่ฟ้าอยากให้มนุษย์เป็นคนประเสริฐ คิดเสียว่าเราคือกระบอกเสียงแทนฟ้า กระบอกเสียงแห่งความดีในจิตใจของท่าน ที่ท่านลืมมันไป เรากำลังจะมาช่วยบอกให้ท่านรีบพลิกฟื้นแล้วปลุกให้ตื่นอยู่นานๆ เอาไหม (เอา)
การเป็นคนในโลกนี้ไม่ยากหรอก แต่เป็นคนดียากกว่า จะเป็นคนอย่างไรก็เป็นได้ แต่ถ้าเกิดพยายามจะเป็นให้ได้ดี รู้สึกว่ามันยากยิ่งขึ้น  และยิ่งดีในสายตาทุกๆ คนยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่มนุษย์ก็แปลกนะ พยายามจะดีแล้วก็ดีไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังจะพยายามทำตัวช่วยเหลือคนอื่นอยู่ร่ำไป สอนคนอื่นอยู่ร่ำไป ใช่ไหม (ใช่)  ถามท่านว่าอย่างไรเรียกว่าดี ถามตัวเราเอง เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  ถ้าเราบอกนะ ไม่มีวันเข้าใจง่ายๆ หรอก คำว่าดีในร้อยคนมีร้อยแบบ แล้วเมื่อใดล่ะเมื่อเราบอกว่าดีนั้นจะใช้ได้ทุกๆ แบบ จริงไหม (จริง)
เรายกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง  ท่านเคยได้ยินข่าวในหนังสือพิมพ์ไหมว่า มีชายคนหนึ่งไปเดินป่าแล้วกินน้ำในลำธารกลับมาเจ็บคอไม่หายเพราะมีปลิงเข้าไปอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่ามีคนๆ หนึ่งได้ยินข่าวนี้ ได้อ่านข่าวนี้ แล้ววันหนึ่งไปเดินป่า และหลงป่า เขาจะกล้ากินน้ำไหม (ไม่กล้า)  วันหนึ่งผ่านไปอดทนไหวไหม (ไหว)  สองวันผ่านไปยังติดอยู่ในนั้นอยู่ กินไหม  วันที่สองผ่านไปชายคนนี้ยังรู้สึกว่าอดทนได้แม้คอจะแห้งเท่าไรก็ตาม อดทนไว้อย่ากินเพราะได้ยินว่ากินแล้วมีปลิง วันที่สามเท่านั้นแหละ ไม่กินต้องตายแน่ แต่อย่างไรก็ต้องกิน ถ้าเป็นท่านจะกินไหม  ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วนะ กินไหม ตกลงฝ่ายชายยอม (กิน)  ฝ่ายหญิงกินไม่กิน คอแห้งแล้ว ตายแน่ถ้าวันนี้ไม่กินน้ำ สามวันไม่กินน้ำเลย ตายไหม ถ้าอย่างนั้นดูเหตุผลฝ่ายชายไหมทำไมถึงยอมกิน (เพราะถ้าไม่กินอาจจะตายอยู่ตรงนั้นก็ได้) ถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะชอบหาน้ำเมื่อตอนหิวแล้ว เคยมีใครบ้างเข้าป่าแล้วเตรียมน้ำ คำพูดของเรามีความหมายโดยนัยอยู่นะ ถ้าเราเชื่อว่าน้ำนี้คือความรู้ความสามารถ น้ำนี้คือคุณธรรม มนุษย์เราพอรู้อย่างหนึ่งก็เหมือนอะไร เคยเห็นคนที่ตาบอดพยายามคลำช้างไหม มนุษย์เรารู้อย่างหนึ่ง สัมผัสอย่างหนึ่ง ก็มักจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองสัมผัสอย่างหนึ่งนั้นคือทุกๆ สิ่งในโลก จริงไหม (จริง)  ความรู้ความเข้าใจของคนๆ หนึ่งนั้น ถ้าตัวเองรู้แล้วว่านี่คือสิ่งที่รู้ และโลกทั้งโลกนี้ก็มีความรู้แค่นี้ เหมือนคนที่รู้เรื่องกินน้ำแล้วเจอปลิง ก็จะมั่นใจอยู่ตรงนั้น บางทีตายแล้วก็ไม่รู้เลยว่า กินไปเถอะบางทีอาจจะไม่มีปลิงก็ได้
มนุษย์มักจะมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองรู้คือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ผิดไม่พลาด แต่ท่านเคยเห็นน้ำไหม ถ้าความรู้ของท่านเหมือนแอ่งน้ำ ที่ไม่มีการรับและถ่ายเท แอ่งน้ำนั้นสักวันย่อมเน่าและทำร้ายคนที่เก็บไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเกิดว่าความรู้ของท่านเป็นความรู้ที่พร้อมจะรับและพร้อมที่จะถ่ายเท น้ำนั้นจะสะอาดทุกๆ เวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนท่านนั่งอยู่ที่นี่ ที่พูดมาวันนี้ยังไม่เดือดร้อนเพราะมีน้ำ แต่ต่อไปน้ำจะทำท่านเดือดร้อน คิดว่าตัวเองความรู้สูง ความรู้ถูกต้อง ความรู้แม่นยำ แต่ถ้าไม่รู้จักรับฟัง ไม่รู้จักถ่ายเทบ้าง สิ่งที่รู้ก็อาจจะเป็นกบในกะลาก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ดังคำกล่าวที่ว่า “คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง คนที่คิดว่าตัวเองฉลาด คนนั้นคือคนที่ฉลาดน้อยที่สุด”  แต่คนที่ยอมรับว่าตัวเองฉลาดน้อยที่สุด คือคนที่รู้และเรียนรู้ได้มากกว่าใครๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ กำลังนั่งฟังอยู่ตรงนี้ อยากเป็นคนโง่หรือคนฉลาด อยู่ที่ตัวท่านเองแล้วนะ เพราะโลกนี้คือการที่ต้องยอมเสียก่อนจึงได้มา ถ้าไม่ยอมเสียอะไรเลยก็ไม่มีวันได้อะไรในโลกนี้ จริงไหม (จริง)
วันนี้เสียเวลาไหม (ไม่เสียเวลา)  เสียเหมือนกัน เสียเวลาที่จะนอนอยู่บ้านเฉยๆ เสียเวลาที่จะไปเที่ยวเล่น แต่มานั่งตรงนี้แทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วถามท่านว่า ความสุขในโลกนี้มีอะไร มีเงินเต็มกระเป๋าสุขไหม (ไม่สุข)  มีเกียรติยศชื่อเสียง คนนับหน้าถือตา สุขไหม (ไม่สุข)  สิ่งนั้นทำให้ท่านขึ้นๆ ลงๆ แต่สุขที่แท้จริง คือคนที่รักท่านจริง คือคนที่เข้าใจท่าน แต่ในหัวใจเรามักจะบอกว่าเขาไม่เข้าใจเราเลย  ถามตัวเราเองว่า เราเคยเข้าใจใครบ้างไหม ทำไมเธอไม่เข้าใจฉัน ถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจตัวเองก็ตาม จริงไหม แล้วจะให้ใครเข้าใจ  ทำไมเขาไม่พูดดีๆ กับเรา เอาแต่ว่าเรา แต่เราเคยพูดดีๆ กับเขาหรือยัง ทำไมไม่มีใครรักเรา แล้วเราเคยรักใครจริงหรือยัง  ฉะนั้นถามหัวใจตัวเองว่าบนโลกนี้เงินสำคัญกว่าความจริงใจมากแค่ไหน รักหน้าตามากแต่คุ้มไหมกับการเสียเพื่อนไป  ด่าฉัน ฉันเสียหน้า ก็ไม่สนใจขอให้ได้เอาคืน ถึงเสียเพื่อนไปแล้วมีหน้าตัวเองคนเดียว จะยิ้มให้กับใครได้ ใช่หรือไม่  (ใช่)
“ต้องเอื้อมคว้าดาราแนบกาย วิ่งพล่านจนเหนื่อย ยังปักใจไหมว่าที่ได้มา สิ่งที่ต้องการ”
อย่าไปกำหนดความสุขที่ไกลเกินเอื้อม จงมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ตนเองมี ไม่อย่างนั้นคนที่หาทุกข์ให้กับตัวเราก็คือตัวเราเอง
แต่ก่อนคิดว่ามีเงินเยอะคือความสุขใช่หรือไม่ เราถามท่านในโลกนี้อะไรคือความทุกข์ (ความไม่สมหวัง, ความไม่รู้พอ, คนที่รักเป็นทุกข์, ร่างกายทั้งหมดเป็นทุกข์, ความไม่เข้าใจกัน, โลภ โกรธ หลง ความทรมานใจ)
ใครที่ทำให้ท่านทรมานใจมากที่สุด เราถามท่านคนที่ทำให้ท่านสุขคือใคร ส่วนใหญ่จะบอกว่าตัวเราเองใช่หรือไม่ แต่ถ้าทำท่านเจ็บ กับทำคนที่ท่านรักเจ็บ กับของที่รักที่สุดเจ็บอะไรเจ็บกว่ากัน คนบางคนบอกว่าทำตัวเองเจ็บมากกว่า แต่เราว่าไม่ใช่  ลองทำสิ่งที่เขารักและหวงแหนมากที่สุดให้หายไปสิ เขาจะเจ็บมากกว่าใคร เจ็บมากกว่ามาเฉือนเนื้อเสียอีก จริงไหม เช่นรักหน้ามากกว่าสิ่งใด ใครทำหน้าเจ็บโกรธไหม (โกรธ) รักลูกมากกว่าชีวิต ตัวเองเจ็บไม่เป็นไรแต่ลูกเจ็บแล้วทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นใช่หรือไม่ แต่เราจะบอกว่าทุกข์ในโลกนี้มีแค่สามอย่างเท่านั้นเอง แต่ที่ให้ตอบก็เพื่อที่จะแลกเปลี่ยน
วันนี้ไม่ได้ทำให้ท่านเศร้านะแต่อยากทำให้ท่านมีกำลังใจที่จะต่อสู้บนโลกใบนี้ แต่จะทำอย่างไรล่ะ โลกที่เต็มไปด้วยทุกข์ เราจะยิ้มอย่างมีสุขบนความทุกข์ได้ นั่นก็คือท่านจะต้องก้าวล้ำนำหน้ากว่าคนอื่นได้หนึ่งก้าว ก็เพื่อที่จะช่วยตนเองและช่วยคนอื่นได้ก็คือการคิด คิดก่อนทำหรือ รู้ไหมคิดอย่างไร ผู้ปฏิบัติงานธรรมคิดอย่างไรอยากจะช่วยเขาแต่เคยคิดล้ำหน้าเขาไหม ถ้าคิดล้ำหน้าเขาไม่ได้ ก็ช่วยเขาไม่ได้ เหมือนมนุษย์เขาคุยกันว่าคนนี้แย่ คิดอย่างนี้ ช่วยคนเขาไม่ได้แล้วก็ดึงคนกลุ่มนี้ให้ขึ้นมาไม่ได้ด้วย จริงหรือไม่ ถ้าเขาบอกว่าคนนี้แย่เราต้องคิดล้ำหน้าเขาอีกว่าเขาอาจจะมีเหตุผล เขาอาจจะเจออุปสรรคความยากลำบาก คิดล้ำหน้าคนอื่นหนึ่งก้าวท่านจะดึงคนทั้งกลุ่มให้ขึ้นมาดีได้ และไม่ทำให้คนคนนั้นดูแย่ในสายตาคนอื่น นั่นคือการคิดอย่างคนที่รู้จักการให้ แสวงหาแต่สิ่งที่ดี คนที่ร้ายที่สุดท่านยังหาดีได้ ในคนที่เลวที่สุดท่านยังหาเหตุผลมาอภัยได้ ท่านจะช่วยคนทั้งกลุ่มและดึงคนร้ายขึ้นมาได้ แต่ถ้าเกิดเขากำลังนินทากันอยู่ท่านก็พูดว่าเขามันร้ายมากเลย นั่นท่านไม่ช่วยอะไรเขาเลยและไม่ทำให้เขาดีขึ้นเลยจริงไหม แต่ถ้าเราพูดให้เขามองเห็นภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ดึงคนทั้งกลุ่มให้เห็นใจคนที่ร้ายได้ ท่านกำลังสร้างความท้าทายให้คนที่ร้ายเปลี่ยนเป็นคนดีได้ด้วยการคิดที่รู้จักให้ จงเป็นนักแสวงหาสิ่งที่ดีในโลก อย่าเป็นนักแสวงหา ติ ด่า ต่อว่า เราอยู่ในโลกเรามักจะชอบจับผิดมากกว่าจับถูก เรามักจะชอบบ่นมากกว่าชม พอเข้าใจเราไหม แล้วจะหาความสุขได้อย่างไร
“ดวงใจอันแสนเหนื่อย โปรดนิ่งๆ ฟัง บำเพ็ญใจให้คืนว่าง รักษาแผลที่ใจซ่อนอยู่”
เราทุกคนมีแผลที่เจ็บปวดอยู่ในใจ มีความทุกข์ที่เจอกี่ครั้งก็แก้ไม่ได้  พอเจอทีไรก็จนกับมันทุกที พ่ายกับมันทุกที เพราะเราขาดสติยั้งคิด เพราะเราใจร้อนวู่วาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต่อไปนี้จงเป็นคนที่ช้าหน่อยแต่ได้ความ ดีกว่าเร็วแล้วต้องเสียใจภายหลัง เดินช้าหน่อยมักจะไม่ค่อยหกล้ม คิดช้าหน่อยมักจะไม่ผิดพลาด แต่เมื่อไรที่ใจร้อนใจเร็ว เจ็บปวดทุกทีที่ทำรีบๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลง “ชีวิตต้องการสิ่งใด” ทำนองเพลง “ช่างไม่รู้”)
ไม่ร้องก็ไม่รู้ว่าตัวเองร้องได้หรือไม่ได้ พอร้องจึงรู้ว่า ที่มั่นใจกลับร้องไม่ได้เรื่องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันนะ ท่านคิดว่าตัวเองมีดี แต่เคยเอาดีออกไปกระทำหรือยัง แล้วก็ปักใจเชื่อว่าเรามีดี แต่พอทำจริงๆ ไม่ได้ดีเลย ฉะนั้นอย่ามั่นใจในตัวเองเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ไม่มั่นใจจนไม่กล้าทำอะไร อยู่ในโลกนี้บางครั้งต้องยืดได้หดได้ หมายความว่า วันนี้อ่อนแอแต่พรุ่งนี้เข้มแข็ง แล้ววันนี้มั่นใจว่าเข้มแข็งแต่บางครั้งต้องอ่อนแอได้ อย่าฝืนตัวเอง อย่าหลอกตัวเองว่าฉันเข้มแข็งแต่ใจจริงๆ มันอ่อนยวบไปแล้ว  บางครั้งความเข้มแข็งของเรา ใช่จะดีสำหรับคนอ่อนแอ เพราะบางทีคนรอบข้างก็อยากเป็นกำลังใจให้ท่านเมื่อท่านอ่อนแอบ้าง ทำให้เขามีคุณค่าโดยตัวเองยอมเป็นผู้อ่อนแอบ้างไม่ได้หรือ ให้ฝืนแข็งตลอดเวลา คนที่อยู่รอบข้างก็รู้สึกไม่มีค่าเลยที่จะอยู่กับเรา แล้วจะอยู่ไปทำไม ไปหาคนใหม่ดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอกท่านนะ อยู่ในโลกอยู่ร่วมกันเมื่อเขาแรงมาเราต้องเย็นตอบ  
การจะหมดความทุกข์ได้และมีความสุขในชีวิต มีอยู่สามประการง่ายๆ พูดง่ายแต่ทำยาก
อย่างแรกนั่นคือ ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร ทุกครั้งที่มีความอยาก อยากนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ทำร้ายใคร ไม่แย่งชิงใคร ความอยากนั้นก็จะบันดาลสุขได้
อย่างที่สอง อย่ายึดมั่นถือมั่น เราว่าประการที่สองเป็นเรื่องยาก ถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงประการที่สาม มีไหมที่ทำงานเสร็จมาหนึ่งชิ้น หนึ่งคนชม อีกหนึ่งคนติ ใจเรามันตุ๊มๆ ต่อมๆ ยึดติดได้ไหม ต้องยึดติดทุกที ไม่มีท่านไหนไม่ยึดติด จริงไหม (จริง)  อันนี้ของๆ เรา อยู่สบายใจ ไม่อยู่ใจหาย อันนี้ตัวเรายึดติดไหม รักลูก เมื่อลูกเป็นอะไรไป เจ็บมาก ยึดไหม แล้วจะสุขไหม ไม่สุขหรอก
แล้วสุดยอดแห่งความสุขคืออะไรรู้ไหม นั่นก็คือไร้ตัวตน สุดยอดแห่งความสุข ไม่มีตัวให้ทุกข์ ไม่มีใจให้เจ็บ ไม่มีที่ที่ไหนที่เรียกว่าเจ็บปวด ทำได้ไหม ถ้าทำได้ย่อมจะรู้ว่าสุขจริงหนอ ถ้าท่านเข้าถึงท่านจะรู้ว่า แต่ก่อนมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความอยาก แต่ต่อไปจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าอยาก แม้สิ่งที่อยากจะได้แล้วไม่ได้ ก็ไม่เจ็บปวด จะเกิดจะตายก็ไม่ทุกข์ร้อน นั่นแหละคือผู้ที่มีชีวิตและเข้าถึงชีวิตอย่างแท้จริง สัจธรรมบีบให้มนุษย์ทุกคนต้องรู้กับตรงนี้ แต่มนุษย์ทุกคนกลับไปไม่ถึง ไปถึงแค่กาย แต่ใจไม่เคยถึง คำว่ากายไปถึง นั่นก็คือคนทุกคนต้องแตกสลาย ความรัก ความโลภ ถึงวันต้องหมดไป เงินทองเกียรติยศชื่อเสียงสักวันย่อมไม่มี มนุษย์เดินไปสู่ความว่าง แต่ใจเราไม่เคยถึงความว่าง ใจเรามีแต่คำว่า “ต้องมี ต้องได้”  ที่สุดของชีวิตคือความทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเราไปถึงตามที่ร่างกายมันหมด ใจเราก็หมด และไม่มีอะไรให้หมด นั่นคือสุดยอดแห่งความสุข ยากไหม ถ้าวันนี้ยังบอกยาก วันที่ท่านตายท่านจะทุกข์ทน เพราะว่าปล่อยตัวเองไม่ได้ ตายไปแล้วจิตยังผูกยึด นั่นทรมานไหม จะออกก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ทรมาน เหมือนคนตายทั้งเป็น ความมีใจทำให้เราเจ็บ แต่จะไร้ใจอย่างไรล่ะที่จะไม่กลายเป็นคนแห้งแล้ง ยากไหม สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เพ้อฝันไหม เป็นสิ่งที่ท่านทำได้นะ ลองทำดู เหมือนเพลงน่ะ ร้องได้ไม่ได้ ไม่ลองไม่รู้นะ ถึงเวลาต้องทิ้งตัวเอง ถึงเวลาต้องปล่อยวาง ปล่อยไม่ได้คนที่เจ็บก็คือตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ นะ
ฝึกง่ายๆ ฝึกเห็นเหมือนไม่เห็น ฝึกมีเหมือนไม่มี เห็นเราไหม (เห็น)  เห็นกระดูกเราไหม (ไม่เห็น)  ลองพยายามมองให้เห็นสิ ใจจริงๆ ท่านหลับตาท่านก็มองเห็นกระดูกเรา แล้วในกระดูกเราเห็นอะไรไหม เมื่อเผาไปแล้วเหลืออะไรไหม ที่สุดของเราคืออะไร เวลาโกรธใครนะ คิดอย่างหนึ่ง โกรธเขาเหลือเกินมองให้ถึงที่สุด แท้จริงแล้วเขาคือความไม่มี ถ้าคิดได้อย่างนี้จะเห็น เกลียดเหมือนไม่เกลียด มีเหมือนไม่มี ได้ไหม (ได้)  ต้องลองนะ เพราะเราอยู่ในโลก ตาเราก็บอกแล้วบางครั้งเปิดบางครั้งปิด สิ่งที่รู้จักเปิดปิดเป็นเวลาคือธรรมชาติ แต่สิ่งที่เปิดแล้วปิดไม่เป็นนี่คืออัมพาต ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรามีชีวิตอยู่เป็นธรรมชาติหรืออัมพาต ใจเราก็เหมือนกัน อย่าเป็นอัมพาต รู้จักรับก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักมีบางครั้งก็ต้องรู้จักไม่มี อยากเป็นอัมพาตทางใจหรือไม่ ก็สุดแต่ใจท่านแล้วนะ
“จงยอมให้คนถูกสบายใจกว่า” เราอยู่ในโลกมักจะมีคนถูกกับคนผิดเสมอ ถ้าต่อไปนี้เราจะยอมรับว่าเราเป็นคนผิด เพื่อให้เขาถูกแล้วสบายใจ ก็ลองทำดูบ้างดีไหม (ดี)  แม่ผิดเอง ลูกถูก พูดบ่อยๆ วันนี้เขาไม่สำนึก อีกสักสองสามวันคงสำนึก ดุไปไม่มีประโยชน์ ด่าไปไม่มีคนฟัง สู้เงียบๆ ไว้ บอกลูกจะเป็นอย่างไรแม่รับได้เสมอ ดีกว่าด่าไปลูกไม่ฟังอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนผู้เป็นลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจพ่อแม่บ้าง อย่ารักคนไกลมากกว่ารักคนใกล้ อย่าเห็นคนไกลมีค่ากว่าคนใกล้ในบ้าน บ่อยครั้งที่เราทุกข์เพราะว่าเราเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราดีกว่าสิ่งที่เรามีเสมอเลย แล้วเราก็จะคิดว่าสิ่งที่เราไม่มีมีคุณค่ากว่า แต่พอไปถึงที่สุดแล้วก็ไม่ต่างกับสิ่งที่เรามี ฉะนั้นอย่าปล่อยให้เป็นผู้ที่สูญเสียแล้วจึงรู้จักคุณค่า แต่ทุกขณะจงรู้จักค่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วเราจะทุกข์น้อยในการที่จะไปดิ้นรนขวนขวาย
เตือนดุกับบอกด้วยความเข้าใจ   ทำกับตนในกระจกชอบสิ่งไหน
วันนี้ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาแต่ชี้หน้าด่าๆ ไม่ดีเลย บำเพ็ญแล้วก็ยังไม่ดีเลย ท้อใจไหม (ท้อ)  ฉะนั้นต่อไปเราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญจงเลือกที่จะพูดแต่สิ่งที่ดี จงมีวาจาเป็นดอกไม้ อย่ามีวาจาเป็นอาวุธ อยู่ร่วมกับคนในสังคมจงหมั่นแจกดอกไม้ อย่าแจกอาวุธ แสวงหาแต่สิ่งที่ดีให้กับเขา อย่าเอาแต่ติหรือต่อว่า เพราะไม่มีใครชอบหรอกที่จะมีคนมาชี้หน้าว่าทุกๆ วัน ใช่ไหม (ใช่)  พูดอะไรไม่เป็นยิ้มเข้าไว้ แจกรอยยิ้มดีกว่าแจกหน้าปั้นปึ่ง แล้วยิ่งแจกรอยยิ้มมากเท่าไร ท่านก็ได้สร้างความท้าทายให้กับคนที่อยากจะเอารอยยิ้มท่านไปแจกคนอื่นต่อ  เอาง่ายๆ เวลาท่านด่าเขา เขาแย่ไหม  เขาพาลท่านไม่ได้เขาก็ไปพาลคนอื่น ท่านกำลังก่อกรรมกับคนอื่นนะ  ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญจงแจกแต่รอยยิ้ม และจงสร้างรอยยิ้มให้เป็นรอยยิ้มที่เติมให้คนนี้แล้วคนนี้ก็คิดที่จะเติมให้คนอื่นต่อไป ได้ไหม (ได้)  อย่างนั้นยิ้มเข้าไว้นะ แม้จะทุกข์จะเจ็บปวดอย่างไร ร่างกายนั้นมันไม่เที่ยง มันเจ็บเป็นธรรมดา มันปวดเป็นธรรมดา แต่บางครั้งเจ็บปวดเกิดจากอะไร  เราไม่แข็งแรง เพราะเลือกกิน อันโน้นไม่ชอบ อันนี้ชอบ เลือกกินมากเกินไปก็เป็นอย่างไร เป็นโรคง่าย อันที่ชอบก็กินเยอะๆ อันไม่ชอบก็ไม่กินเลย แล้วอย่างนี้จะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษาอย่างไร ถูกหรือไม่ (ถูก)  กินอะไรก็ต้องกินพอดี กินอะไรก็ต้องกินให้ครบ ถึงเวลาอายุมากแล้ว ก็ต้องรู้จักออกกำลังกาย ยิ่งขี้เกียจยิ่งไม่ไหวก็ยิ่งเป็นเหน็บชา พอเหน็บชาก็ยิ่งแย่ลง พอแย่ลงแล้วใครก็ช่วยเราไม่ได้ ฉะนั้นเข้มแข็งไว้ ไม่ไหวก็ต้องไหว สู้จนถึงเฮือกสุดท้าย แล้วเราจะมีสุขนะ
ไหนใครตัดสินใจว่า พรุ่งนี้จะไม่มาแล้วบ้าง น่าเสียดายนะ ธรรมะทำให้เรารู้จักสงบ ธรรมะสอนให้เรารู้จักยั้งคิด แต่ออกไปข้างนอกมันกลับทำให้เรายิ่งวุ่นวายไม่จบสิ้น ไม่เคยหันมามองตน ไม่เคยสำรวจตนว่าเรานั้นจริงๆ ดีหรือยัง อยู่ในโลกกับคนที่ไม่เคยมองตัวเองเลย วันๆ เอาแต่มองผู้อื่น คนนั้นหรือคนดี แต่การได้ศึกษาธรรมทำให้เรารู้จักย้อนมองส่องตน ตรวจสอบตนเองว่า ตนนั้นดีหรือยัง หรือตนนั้นมีอะไรดีที่ต้องรักษาไว้ แล้วมีอะไรไม่ดีที่ต้องขจัดทิ้งไป นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะบอกท่าน ถ้าท่านทำได้ ท่านคือผู้ที่เอาธรรมะมากล่อมเกลาใจ เอาธรรมะมาชะล้างจิตใจ เราไม่ได้มาเพื่อให้ท่านยึดติด สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่จริง บางสิ่งที่ไม่เห็นกลับจริงยิ่งกว่า แล้วเมื่อเอามันมาใช้ มันมีค่าสูงสุด นั่นคือความดีที่อยู่ในใจท่านต่างหาก ความดีที่แอบแฝงอยู่แต่ท่านไม่เคยหยิบมาใช้เลย ลองหยิบมาใช้สิ เป็นคนที่ใจกว้างรับได้กับคนทุกคน เป็นคนที่ให้อภัยง่ายๆ ไม่โกรธแค้นใคร ไม่ใช่เรื่องยากนะ เราว่าทุกท่านทำได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมร้องเพลง “ชีวิตต้องการสิ่งใด”)
เราแค่มีโอกาสได้บอกเสียงที่อยู่ในใจของท่าน เป็นกระบอกเสียงที่บอกแทนว่า ใจท่านนั้นมีดี แต่จงทำให้ดีที่สุด ก่อนที่จะพูดว่าไม่กล้าทำ ทำไม่ได้ ลองทำดูสิ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การเอาธรรมะมาชะล้างจิตใจ เอาธรรมะมาตรวจสอบจิตใจ คนที่เลือกจะฟังแต่สิ่งที่ถูกใจ เลือกจะเดินแต่สิ่งที่ตนเองชอบใจ คนนั้นจะเป็นเด็กที่ไม่มีวันโต แต่คนที่กล้าเดินไปทั้งทางที่ถูกและทางที่ไม่ชอบ คนนั้นจะเป็นคนที่โตเต็มตัวและอยู่บนโลกแห่งความจริงได้อย่างมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีด้านหนึ่งเป็นวัด ด้านหนึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า ถ้าเราเหมือนเด็กคนหนึ่งตามใจตัวเองจนเสียนิสัย ก็จะขอเดินเข้าห้างก่อน  ถ้าคนหนึ่งว่า คนหนึ่งชม ก็ขอเดินไปหาคนชมก่อน แต่เคยเปิดใจฟังคนว่าไหม เด็กที่ไม่มีวันโตก็คือเด็กที่อยากฟังแต่คำชม ไม่รับคำติ เลือกแต่สิ่งที่หูอยากฟัง สิ่งที่หูไม่อยากฟังก็จะไม่ยอมรับ คนนั้นจะโตแต่ตัวแต่ใจไม่โต ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อย่าเป็นคนที่ทิ้งโอกาสตัวเองนะ สิ่งที่ดีมีอยู่ในตัวท่าน เลือกที่จะทำ และทำให้ดีที่สุด อย่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงแบบคนข้างนอก แต่ตัวเองมีอะไรล่ะที่ดีเหลืออยู่ ที่น่าภาคภูมิใจ ความเมตตาก็เหลือน้อย จิตใจที่เสียสละให้ผู้อื่นก็แทบไม่มี เห็นแต่ตัวเอง น่าเสียดายนะ ถ้าเกิดวันหนึ่งการมีชีวิตอยู่ของเราหนึ่งคน คือการทำให้อีกหมื่นร้อยพันชีวิตอยู่ได้อย่างมีสุข ทำไมไม่ลองยืนเป็นคนๆ นั้น แต่ทำไมเราถึงชอบไปยืนเป็นคนที่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย
วันนี้คงเท่านี้แหละ พูดมากไปก็อาจจะเปล่าประโยชน์ ถ้าฟังแล้วเข้าหูไม่ทะลุถึงใจ อย่าคิดว่าเรามาหลอกเลยนะ  หรือว่าเล่นละครก็เป็นละครแห่งชีวิตที่จบแล้วเอาไปใช้ได้จริง วันนี้เราเป็นตัวร้ายที่ยอมให้ท่านเป็นตัวเอก อย่าลืมนะ อย่าเป็นคนดีที่ยึดมั่นจนไม่ดีไม่เป็น บางครั้งต้องไม่ดีได้ ไม่ดีเพื่อให้เขาดี ถ้าอย่างนั้นต่อไปเป็นคนไม่ดีเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เข้าใจให้ถูกนะ
สุดท้ายแล้ว แจกดอกไม้ดีกว่าแจกผักตบชวา อยู่ด้วยรอยยิ้มดีกว่าอยู่ด้วยการจับผิดและตำหนิติเตียน  คงไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกับท่านแล้วนะ ขอให้บำเพ็ญด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง สำนึกสำรวจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าพูดทำอะไร คิดให้ดีๆ จะได้ไม่เป็นคนที่ดำเนินชีวิตผิดพลาด ความอ่อนกับความแข็งใช้ให้ถูก แข็งเกินไปก็ทำร้ายผู้อื่น อ่อนแอเกินไปก็จะกลายเป็นภาระให้ผู้อื่นต้องหนักใจกลุ้มใจ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘    สถานธรรมอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนประเภทไหนที่พัฒนาไม่ได้          คือคนที่ใคร่ใส่ร้ายคนผู้อื่น
ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน       คืนคนที่หยิบยื่นความเดือดร้อนให้ผู้คน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์รักทุกคนสองวันนี้เหนื่อยหรือเปล่า

  รู้หรือไม่ใจกับกายสอดคล้อง          รู้จักครองชีพหมดจดได้อย่างฝัน
มีสุขไม่ใช่ก้าวแต่คนต้องการ            มีธรรมเป็นลานชีวิตจิตยืนยาว
ถูกเวลาถูกที่ช่วงใช้ถูกคน               ภาระล้นผลักดันทุกวันต้องก้าว
อย่าเอาแต่ตระหนักกับความเป็นเรา    มองรอบด้านรอบที่เท่าความระวัง
สร้างคนจงสร้างนิสัยจากความยาก     เรียนชีวิตเรียนรู้จากความจริงตั้ง
ในทุกเรื่องของหน้าที่ต้องปลูกฝัง        บางเรื่องเป็นวันวันยังต้องพยายาม
การไหว้วานอย่ามีบังคับในที             เวลาที่อดทนสิ้นสุดจะห้าม
ใครมีความใช้ไม่ได้อย่าประณาม         มารยาทงามมีต่อกันต่างฝันดี
                                                                       ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พายเรือเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญธรรมก็เหมือนเข็นตัวเองขึ้นภูเขา เวลาเรามีแรงต้องออกแรง เวลาเราท้อใจต้องให้กำลังใจตัวเอง  ชีวิตมีทุกข์ทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่ทุกข์  เหตุการณ์ในชีวิตมันซ้ำๆ คล้ายกัน จิตใจของเราก็คล้ายๆ กันทุกวัน  ทำไมเราไม่เอาความเหมือนกันของทุกๆ วัน เปลี่ยนสักหน่อย ทำให้มีความสุขมากขึ้น อย่าถามอาจารย์ว่าจะมีความสุขได้อย่างไร  จริงๆ แล้วศิษย์ก็รู้ว่าเราจะมีความสุขได้อย่างไร แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่ทำในสิ่งที่เรารู้ เรามักจะไปทำในสิ่งที่เราไม่ค่อยรู้  เพราะฉะนั้นคนที่หาความทุกข์ให้กับเรา ก็คือตัวเราเอง  ฉะนั้นอย่าถามว่าทำอย่างไรให้มีความสุข ต้องถามว่าตัวเองพร้อมจะมีความสุขหรือยัง สิ่งที่เป็นนิสัยซ้ำซากจำเจ อยู่กับมันจนเบื่อแล้วเบื่ออีก แต่ไม่ยอมตัดมันทิ้งไป ไม่ยอมสลัดไม่ยอมแก้ไข ถามว่าหายไหม (ไม่หาย)  ทำอย่างไรถึงหาย ต้องลงมีดกับจิตใจของตนเอง  เจ็บหรือเปล่า (เจ็บ)  การเจ็บปวดเป็นความทุกข์  ถ้าหากเราเจ็บเพื่อไม่เจ็บ เอาไหม (เอา)  ทุกวันนี้ศิษย์หลายๆ คนเจ็บเพื่อที่จะเจ็บมากยิ่งขึ้น  แต่อาจารย์บอกว่าตัดกิเลสนะ เจ็บเพื่อเจ็บน้อยลง เอาอันไหน (เจ็บเพื่อเจ็บน้อยลง)  การขัดเกลาตัวเองมันเจ็บใจ กวนใจ รำคาญใจมากที่สุด จะทำไหม (จะพยามยาม)  อาจารย์เอาใจช่วยศิษย์ทุกคน ธรรมะย่อมทำให้คนนั้นมีจิตใจที่สงบได้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นต้องการจริงๆ
เมื่อสักครู่ร้องเพลงอะไร (ต้อนรับ)  เอาอะไรมาต้อนรับ (ใจ)  ใจเป็นอย่างไร เป็นใจสีขาวๆ  หรือใจสีขาวๆ ดำๆ  (สีขาว)  มนุษย์สมัยนี้ชอบดูทีวีสีหรือทีวีขาวดำ (ทีวีสี)  ใจก็เลยเต็มไปด้วยสี กี่สีถึงพอ ถ้าหากเจ็ดสีลงน้ำเป็นอย่างไร ก็ช้ำเลือดช้ำหนอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเจ็ดสีอยู่บนฟ้าเป็นอย่างไร  (สีรุ้ง)  ถามว่าใจตอนนี้เหมือนน้ำหรือเหมือนฟ้า (ฟ้า)  ไหนใคร ใจเป็นฟ้ายกมือขึ้น  ถามว่าใจเราใสหรือเปล่า จิตใจรู้สึกปลอดโปร่งไหม  ปลอดโปร่งสามวันติดกันทำได้หรือเปล่า เวลาถูกคนอื่นกวนใจแล้วใจไม่ขุ่นทำได้หรือเปล่า  หากมีคนมาขโมยเงินเรา ใจขุ่นหรือไม่ขุ่น เป็นฟ้าตอนฝนจะตกเลย ใช่หรือเปล่า  ใครคิดว่าใจยังเป็นฟ้าอยู่ก็ยินดีด้วย ไหนใจใครเป็นน้ำ เป็นน้ำเป็นอย่างไร ถูกใครกวนใจหน่อยก็ขุ่นเลย เพราะว่าน้ำนี่มีกิเลสที่ตกตะกอน เป็นนิสัยของเราอยู่ข้างล่าง ใครมากวนเข้าก็ขุ่น
สองวันนี้มาฟังธรรมะ ใครมาด้วยความฝืนใจ และยังหลงเหลือความฝืนใจอยู่ที่นี่บ้าง มีนิดหน่อยก็ถือว่ามี ไม่มีเลยก็คือไม่มี คนที่ไม่มีความฝืนใจเลยต้องเป็นอย่างไร  (ต้องเต็มใจมา)  คนที่เต็มใจมาจิตใจก็เบิกบานสบายๆ เบาๆ  คนที่ฝืนใจมาจิตใจก็หนักทึบ จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้อาจารย์มา มีน้ำแก้วหนึ่งในมือ ถ้าอาจารย์ต้องการจะเอาน้ำแก้วนี้ ไปเป็นน้ำในหัวใจของศิษย์ทุกคน ถามว่าอาจารย์จะเทไปในแก้วน้ำของศิษย์ได้ไหม  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความเต็มในอัตตาของตนเอง อาจารย์ย่อมไม่สามารถเทน้ำใดๆ ลงไปได้ หากใจของศิษย์มีช่องว่างพอให้เติมเข้าไปได้  การที่อาจารย์มาวันนี้ย่อมเป็นประโยชน์ หากว่าศิษย์ของอาจารย์มีความเต็มล้น ถือว่าตัวเองนั้นมีดี  ย่อมไม่มีประโยชน์ที่อาจารย์มาในวันนี้ อยากให้อาจารย์มาแล้วมีประโยชน์ไหม (อยาก)  ประโยชน์นี้ เป็นประโยชน์ของตัวศิษย์เอง ฉะนั้นขอให้เปิดประตูใจของเรานั้นให้กว้าง รับอาจารย์ไว้หนึ่งวัน ไม่กี่ชั่วโมง ทำได้หรือเปล่า (ได้) 
“คนประเภทไหนที่พัฒนาไม่ได้”  คนประเภทไหน (คนที่ไม่มีธรรมะในดวงใจ, คนที่ไม่มีความศรัทธา, คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด)  แล้วคนที่นั่งอยู่ที่นี่มีใครคิดว่าตัวเองโง่ไหม  ถ้าหากว่าบอกว่าคำตอบนี้ถูก ทั้งหมดนี้คงพัฒนาไม่ได้ เพราะมนุษย์นี้มีความมั่นใจในตนเองที่สุด มนุษย์เชื่อว่าตัวเองเก่งที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีคนที่เก่งกว่าเรา จบสูงกว่าเราอยู่ตรงนั้น  พอตัวเองไปยืนหน้ากระจก  ใครเก่งที่สุด (เรา) ใครสวยที่สุด (เรา) ใครดีที่สุด (เรา)  หลงตัวเองไหม (หลง)  ฉะนั้นการหลงตัวเองเป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกเช่นนี้ ถามว่าเราจะยอมให้คนอื่นดุด่าว่ากล่าวหรือเปล่า ถามว่าคนอื่นสอนเรา เขาสอนด้วยการดุด่าว่ากล่าว จริงหรือเปล่า มีคนคิดว่าไม่จริง  ใครในที่นี้ที่เวลาสอนผู้อื่นสอนด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์  เวลาอยากตักเตือนผู้อื่น เสียงของเราราบเรียบไร้อารมณ์ จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  ฉะนั้นเวลาคนอื่นสอนเรา เราจะสามารถไปคาดหวังคนสอนเราได้ไหม ว่าคุณห้ามสอนเราด้วยเสียงดุนะ เพราะเราไม่ฟัง ทำได้ไหม กำหนดคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่เราจะไม่ให้ผู้อื่นสอน จึงไม่สามารถคาดเดาว่าผู้สอนจะใช้ท่าทางอะไรกับเราได้  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เวลาเขาดุหน่อยก็บอกเขาไม่มีธรรมะ  ฟังธรรมะจากเสียงหรือ (ไม่ใช่)  นั่นแหละเป็นความผิดพลาดของเราที่เรานั้นเป็นอย่างนี้อยู่เสมอ การที่คนอื่นสอนเรา จึงไม่สามารถกำหนดได้ว่าเขาจะสอนเราโดยท่าทางชนิดไหน
การที่เราโดนดุด่าว่ากล่าว จึงทำให้เราเป็นผู้มีความรู้มากขึ้น เป็นผู้ฟังมากขึ้น การที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ถามว่าเราสามารถคาดการณ์ผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)  คาดการณ์ใครได้ (ตัวเราเอง)   เราต้องคาดการณ์ตัวเราเอง ฉะนั้นถ้าหากอยากเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเท่านั้น ถ้าหากอยากปรับปรุงผู้อื่นก็ต้องปรับปรุงตัวเอง แต่ว่าอัตตายังอยู่ข้างหน้าเดินไปเดินมาอยู่นี่เลย  ทำอย่างไร ต้องทำให้ใจของเรามีอัตตาน้อยลง  ต้องมีตัวตนน้อยลง ไม่อย่างนั้นเราจะไปก้มหัว อ่อนน้อมกับใครได้ เพราะว่าเรายอมไม่ได้ อยากเป็นคนยอมคนไหม (อยาก)  อยากเป็นคนโง่ไหม (ไม่อยาก)  คนโง่กลายเป็นคนฉลาดที่สุดในทางธรรม คนฉลาดที่สุดกลายเป็นคนโง่ในทางธรรม ฉะนั้นในทางธรรมจึงสอนให้ทุกคนนั้นซื่อๆ เข้าใจตัวเองง่ายๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ รู้จักรักผู้อื่น  แต่ในทางโลก ศิษย์ของอาจารย์โดนใครว่าโง่ ได้ไหม (ได้) โดนว่าโง่ได้ แต่ทนได้ไหม (ไม่ได้) 
“คือคนที่ใคร่ใส่ร้ายคนผู้อื่น”  คนที่ชอบใส่ร้ายผู้อื่นเป็นคนที่พัฒนาไม่ได้ หากว่าเราทำผิด แต่ชอบโยนความผิดให้คนอื่น คนประเภทนี้คบได้ไหม  (ไม่ได้)  ถามว่าเคยทำไหม  มีคนที่ยอมรับผิด  มีคนที่อายผิดไม่กล้ารับ แต่อาจารย์บอกว่ามีอีกประเภทหนึ่งคือ ไม่รู้ว่าตัวเองไปใส่ร้ายผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์วันๆ หนึ่งพูดเยอะมาก เราเคยรู้ไหมว่าคำพูดของเราทำให้คนอื่นเดือดร้อน เรารู้บ้างไม่รู้บ้าง ว่าคำพูดของเรานั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อน บางทีรู้แล้วยังทำเฉยๆ ไม่ยอมแก้ บางทียิ่งแก้แล้วยิ่งยุ่ง  แต่คนที่น่าอภัยที่สุดก็คือใส่ร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเราต้องการอภัยผู้อื่น เราจึงต้องคิดว่าเขาอาจจะพูดโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ทำให้จิตใจเรามีความสุขมากขึ้น จงแกล้งหลอกตัวเอง ทำตัวเองให้โง่ไว้ ด้วยการบอกว่าเขาไม่ตั้งใจ ถึงแม้เราจะมองหน้าเขาแล้วรู้ว่าเขาตั้งใจแน่นอน แต่หากว่าเราหลอกตัวเองสำเร็จ แสดงว่าเราเป็นคนที่โง่ในทางโลก แต่ฉลาดในทางธรรม ดีไหม (ดี)
“ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน”  คนไหนที่ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน ไม่เกี่ยวกับคนเป็นโรคนอนไม่หลับ  ส่วนใหญ่มนุษย์เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะคิดมากกังวลมาก  เรื่องยังมาไม่ถึง ก็คิดไปห้าวันเจ็ดวัน หรือเป็นเดือน  ถ้าหากว่าคิดแล้วแก้ได้ ก็อยากให้ศิษย์คิด หากคิดแล้วแก้ไม่ได้ คิดไปทำไม จริงไหม (จริง)  กลับไปคืนนี้หากนอนไม่หลับ ก็ถามตัวเองเองว่าคิดเรื่องที่สมควรคิดไหม  บางคนคิดเรื่องสามีมีเมียน้อย ถามว่าคิดแล้วรู้ไหม (ไม่รู้)  รู้แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่รู้ดีกว่าไหม อย่างนี้โง่ๆ หน่อยดีกว่าไหม (ดี)  ถ้าหากเขาจะทิ้งเรา วันนี้วันไหนเขาก็ทิ้ง จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าเรานิสัยไม่น่ารัก  ถ้าหากนิสัยไม่น่ารักอยู่ด้วยกันไปก็มีแต่ความทุกข์ บางทียอมโง่หน่อยจากไม่เคยยกน้ำให้เขากินสักแก้วเลย ยกไปให้ทุกวันๆ เขามองเราเป็นอย่างไร คนนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ถามจริงๆ ว่าพฤติกรรมเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน จิตใจเปลี่ยนหรือเปล่า ต้องทำจนจิตใจของเราเปลี่ยน กับคนในบ้านต้องซื่อๆ เข้าไว้ กับคนนอกบ้านต้องจริงใจแล้วก็มีสัจจะ  ถ้าหากว่าเราทำได้ คนอื่นก็จะเกิดความรู้สึกเชื่อถือในตัวเรา คนมีคุณธรรม คนมีธรรมตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถ้าเกิดมีคุณธรรมบ้างไม่มีบ้างก็ทั้งไหม้ทั้งจมเลย
เพราะฉะนั้นอยากเป็นผู้มีคุณธรรมจงทำ  ถ้าหากทำบ้างไม่ทำบ้างจะเรียกว่ามีได้ไหม (ไม่ได้)  คนๆ หนึ่งเป็นผู้มีคุณธรรมมาก แต่ว่าวันนี้อารมณ์เสียไม่ทำ อย่างนี้มีคุณธรรมไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นยังต้องย้อนเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของเรา  เราเป็นผู้มีอายุมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น เราต้องมาฟื้นและตรวจสอบจิตใจของตนเอง ธรรมะที่มาศึกษาในสองวันนี้เน้นให้ปฏิบัติ ศิษย์จึงต้องรู้จักนำกลับไปปฏิบัติ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน อยู่กลางถนน อยู่บนตึก อยู่ใต้ตึก อยู่คนเดียวไม่มีใครเห็นหรืออยู่กับคนจำนวนมาก ธรรมะไปได้ทุกที่ เพราะธรรมะอยู่กับใคร (ตัวเอง)  ธรรมะงอกงามและดีงามได้ที่ตัวคน ยิ่งคนเป็นคนดีมากขึ้นเท่าไหร่  โลกนี้ก็ยิ่งเกิดความสันติสุขได้มากเท่านั้น โลกสันติสุขรอบตัวเราดีหรือไม่ (ดี)  แม้เราจะไม่สามารถที่จะสร้างความสันติสุขให้โลกทั้งใบ แต่ความสันติสุขอยู่รอบตัวเราทำได้ไหม (ได้)  ความสันติสุขจงอยู่รอบข้างตัวศิษย์ เพราะใจของศิษย์นั้นเป็นใจที่สว่าง หากทำได้ก็เป็นเช่นนั้น หากยังจมอยู่ในความทุกข์ในบ้าน ความทุกข์รอบข้าง  จงมองว่าเรานั้นเปลี่ยนแปลงตนเองและทำให้ตัวเราเองมีความสุขหรือยัง ไม่ใช่สุขจากการดูหนัง ฟังเพลง ไม่ใช่สุขจากการมีเงินทองมากมาย มีรถมีบ้านได้ดั่งใจทุกอย่าง นั่นไม่ใช่ความสุข นั่นเป็นเพียงแค่กิเลสที่มาสนองจิตใจของเราเท่านั้น  ถามว่ามีเท่าไหร่ถึงพอ  คนรวยมีคนรวยกว่า  แต่คนมีความสุขไม่มีคนอื่นที่มีความสุขกว่า
ไม่อาจนอนหลับสนิทแม้ยามค่ำคืน    คือคนที่หยิบยื่นความเดือดร้อนให้ผู้คน
ถ้าหากว่าเราไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน กลางคืนเราจะนอนหลับสนิทไหม บางคนเป็นโรคชอบฝันร้าย เพราะว่าก่อนนอนมีเรื่องที่กังวลใจมาก กังวลใจที่ไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนมา ฉะนั้นการที่เราเป็นคนที่คิดดี มอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับผู้อื่น สุดท้ายเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง)  ฉะนั้นกลับไปแล้ว ถ้าเป็นตามที่อาจารย์ว่า ต้องเปลี่ยนคนทั้งคนไหม การที่จะเปลี่ยนคนทั้งคนนั้นใช้เวลานานแค่ไหน เปลี่ยนคนอื่นใช้เวลานานมากๆ แต่ถ้าจะเปลี่ยนตัวเองแม้จะผ่านไปสามปีห้าปีก็ยังเป็นเวลาที่เรานั้นทนได้ จริงไหม (จริง)
ใครเป็นคนที่อยู่กรุงเทพฯ ยกมือขึ้น คนกรุงเทพฯ คนไหนที่ไม่เครียดยกมือค้างไว้ คนกรุงเทพฯ ที่ไม่เครียดมีอยู่ 13 คน ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุนิดหนึ่ง ถามว่าทำไมการอยู่กรุงเทพฯ จึงทำให้เครียด (ขับรถเครียด)  ถ้าไม่มีรถจะเครียดไหม คนกรุงเทพฯ จะเป็นโรคเครียดกันมาก เครียดกับการทำงานและการดำเนินชีวิตของตนเอง ทำไมเราถึงเครียดกับการทำงาน เพราะว่าการทำงานนั้นมีการแข่งขันสูง ส่วนการดำเนินชีวิตก็เจอคนรอบข้างที่เห็นแก่ตัว แต่ถามว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ เป็นคนดีหรือไม่ดี (คนดี)  ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว เราก็มักจะมองว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ถามว่าเมื่อไรเราถึงจะมองเห็นว่าคนอื่นไม่เห็นแก่ตัวได้ ถามว่าเรามีดวงตาคู่ไหนมองว่าคนอื่นไม่เห็นแก่ตัวบ้างมีไหม ใจเรายังเหลือดวงตาคู่ไหนที่มีไว้มองเห็นแต่ส่วนดีๆ ของคนอื่นไหม ส่วนใหญ่เราจะนำร่องมองเห็นคนอื่นเป็นคนไม่ดีไว้ก่อน ต่อเมื่อเขาทำดีกับเราก่อน เราจึงบอกว่าคนคนนั้นไม่เห็นแก่ตัวจริงไหม (จริง)  ถามว่าคนดีในสายตาศิษย์นั้นมีกี่คน แล้วเวลาคนนั้นที่เป็นคนดีทำดีกับเราแล้ววันหนึ่งเกิดเขาพลาดด้วยการนินทาเราแล้วเข้าหูเรา เราก็มองใหม่ว่าคนนั้นไม่ดีจริงหรือเปล่า ถามว่าเรามีสายตาคู่ไหนที่มีไว้เฉพาะมองเห็นคนอื่นว่าเป็นคนดี จริงๆ แล้วไม่มี ไม่เหลือแล้ว ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แสดงว่าจิตใจของศิษย์นั้นเหลือความดีอยู่ไหม ไม่เหลือ การที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดีจึงให้ศิษย์นั้นพิจารณาใหม่ว่าจริงๆ แล้วที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี ความดีที่เรายกย่องตัวเองนั้นมีอยู่แค่ไหน ทำไมเรายังเป็นคนเลวของคนอื่นทั้งๆ ที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี เขามองไม่เห็นความดีของเรา ฉะนั้นจงพิจารณาใหม่ว่า ที่เราพูดว่าเราเป็นคนดีนั้น จริงๆ แล้วเราดีหรือเปล่า ให้ทุกๆ อย่างตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอก ทุกๆ อย่างที่เห็นโสภาสวยงาม แต่ว่าใจของเราโสภาไหม ใจมันไม่โสภา เพราะฉะนั้นจึงมองทุกๆ สิ่งนั้นไม่โสภา ความสุขในชีวิตนี้มันก็เลยลดน้อยถอยลงทุกวันๆ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น เสียงหัวเราะที่เคยมีได้ทุกวัน ก็มีน้อยลงๆ ทุกที ฉะนั้นจะทำอย่างไรกับตัวเองดี เราเป็นคนดีแต่เรามีนิสัยที่ไม่ดีอยู่ด้วยจริงไหม คนอย่างนี้ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรม บรรลุธรรมได้ ฉะนั้นการที่บอกว่ามารับธรรมะแล้วบรรลุธรรม ศิษย์จึงบอกว่าทำไม่ได้เพราะเราไม่ใช่ อาจารย์ก็ไม่ได้หลอกศิษย์ ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน หากอยากก้าวหน้าไปกว่านี้ ต้องก้าวที่จิตใจของตัวเอง
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่มีไว้สำหรับผู้ต้องการหลุดพ้นอย่างเดียว การบำเพ็ญก็มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการความสุขในชีวิต การบำเพ็ญธรรมก็ทำให้เกิดความสุขได้ ฉะนั้นวันนี้ที่มานั่งรวมกันอยู่ที่นี่ ศิษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นผู้ที่บรรลุธรรมได้ แต่ศิษย์จะรักษาโอกาสและช่วงใช้โอกาสนั้นหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับตัวเอง อาจารย์ก็ตอบไม่ได้ว่าวันข้างหน้าศิษย์จะลงนรก ขึ้นสวรรค์หรือบรรลุธรรม เพราะว่าอนาคตนั้นยังมาไม่ถึง แต่เคราะห์กรรมที่สร้างมาและจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นจ่อรออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกๆ คนไม่ว่าดำเนินการทำสิ่งใดก็แล้วแต่ล้วนต้องมีอุปสรรคทั้งนั้น อุปสรรคที่เกิดจากเคราะห์กรรมที่สร้างมา อุปสรรคที่เกิดจากตัวของศิษย์เป็นผู้สร้างเอง อย่างเช่น มาสถานธรรมคนเขาไม่สนใจไยดีเราเลย มองแล้วเหมือนมองผ่านไป เห็นเหมือนไม่เห็น เรารู้สึกว่าทำไมเขาทำกับเราอย่างนี้นะ เราก็เป็นคนที่มีฐานะ เราเป็นคนดีนะ เราเป็นคนที่อยู่ข้างนอกเพื่อนฝูงมากมากเลย อยู่สถานธรรมทำไมทำอย่างนี้กับเราล่ะ คนที่มีความคิดแบบนี้แสดงว่าตัวเราเองมีระดับ แต่การที่รู้สึกว่าตัวเองมีระดับ ทำให้ตัวเราดับ ไม่สามารถที่จะเดินทางบำเพ็ญธรรมได้อย่างสง่างาม
ฉะนั้นเวลาเจอคนอื่นไม่สนใจว่าเราจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อาจารย์บอกศิษย์อย่าทุกข์ คุณธรรมความสามารถเราต้องฉายแววด้วยตัวเอง ความเด่นความดีเราต้องสร้างให้ผู้อื่นเห็น จะให้ผู้อื่นเห็นความดีตั้งแต่เรายังไม่สร้างได้หรือเปล่า ถามว่ามองหนังสือเล่มหนึ่งเห็นหน้าปก บอกว่าข้างในดี ได้หรือเปล่า มันต้องเปิดอ่าน ถ้าเปิดอ่านไปครึ่งเล่ม บอกว่าหนังสือเล่มนี้ดีมากถูกไหม ก็ยังไม่ถูก ต้องอ่านจนจบเล่มจึงจะสามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้ดีหรือเปล่า อาจารย์บอกแล้วว่าธรรมะนี้เป็นธรรมะแห่งการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำแล้วบอกว่าศิษย์เข้าใจธรรมะนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หากคนที่หลับหูหลับตาปฏิบัติแล้วบอกว่าตัวเองเข้าใจธรรมก็ยังเป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามาบำเพ็ญธรรมสิบปีแล้ว แต่ว่าอาจจะไม่เข้าใจเลยก็เป็นไปได้ ฉะนั้นการที่เรามองนั้น จึงไม่สามารถที่จะมองคนอื่นได้เลย อย่างไรเสียก็ยังจำเป็นที่จะต้องมองตนเอง หาข้อบกพร่องของตนเอง แก้ไขตัวเองและเปลี่ยนนิสัยตัวเอง สิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดในมนุษย์ก็คือนิสัย แม้ว่าเราเป็นคนดีแล้วแต่ว่าเรายังมีนิสัยที่แย่ๆ อยู่ ผู้ชายบางคนรักครอบครัว แต่ว่าอดไม่ได้ ออกไปก็ยังเกี้ยวพาราสี บางคนถึงแม้ว่ามีเงินทองมากมายแต่ยังชอบที่จะกู้ยืม บางคนมีความสามารถ แต่ก็ยังชอบที่จะซ้ำเติมให้ผู้อื่นดับดิ้นไปก็มี ฉะนั้นคนมีความขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง ทำอย่างไรจึงจะสามารถหลีกพ้นความขัดแย้งนี้ได้ นอกจากว่าเราเกิดความรู้สึกเข้าใจตัวเองเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)
ตั้งแต่อาจารย์มาอาจารย์พูดถึงเรื่องอะไร ใครสรุปได้ (พูดเรื่องตัวเราเอง, เปลี่ยนแปลงตนเอง, การพัฒนาตนเอง ,ไปในทางที่ดี, แก้ไขตัวเอง) แต่ละคนอาจจะสรุปไม่เหมือนกัน แต่ไม่มีคำตอบใดผิด เพราะฉะนั้นสรุปอะไรแล้วก็เอากลับไปทำ  (ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนโง่, เปลี่ยนแปลงใจตนเองให้เป็นคนดี, สอนให้จิตใจของตนเองมีศีลธรรม)  เปลี่ยนแปลงใจตนเองได้ไหม ถ้าได้ก็เปลี่ยนจากวันหนึ่งเป็นสองวันดีไหม (แก้นิสัยที่ไม่ดี, ให้รู้จักตัวเอง) รู้จักไหมยังไม่ค่อยรู้จักเลย ถ้าหากว่าไม่รู้จักตัวเองก็เอาชนะตัวเองไม่ได้นะ (ทำความดีเพิ่มขึ้น, ให้นำไปปฏิบัติแล้วเราเป็นคนดี)
ความเด่นต้องให้ตัวเองเป็นคนสร้าง อย่าบังคับให้คนอื่นมองเราว่าเด่น ถ้าใครมองไม่เห็นคุณค่าของเราแต่ก็อย่าลืมว่าเราต้องเห็นคุณค่าของตัวเองจริงไหม  (จริง) คนที่จะเดินทางธรรมนั้น ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองแต่อย่ามีอัตตา
อาจารย์ไม่ได้สอนสมาธิให้ศิษย์เพราะว่าอาจารย์นั้นหลุกหลิกไม่อยู่กับที่ แต่อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์รู้จักใช้สมาธิในการทำสิ่งใด คือเราจะต้องมีจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งนั้น เพื่อที่จะให้งานนั้นสำเร็จออกมาดี ทุกคนอยากให้ผลงานดีฉะนั้นเลียนแบบอาจารย์คงไม่เข้าท่า เวลาเขียนกระดานใจก็ต้องจดจ่ออยู่กับกระดาน เวลานั่งฟังธรรม ใจก็ต้องจดจ่ออยู่กับการนั่งฟังธรรม เวลาทำงานใจก็ต้องจดจ่ออยู่กับการทำงาน เวลาอ่านหนังสือถ้าหากไม่รู้จักจดจ่อกับหนังสือจะอ่านหนังสือรู้เรื่องไหม  (ไม่รู้เรื่อง)  ฉะนั้นการที่จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีจิตใจที่จดจ่อเป็นสมาธิกับสิ่งนั้นจึงเป็นผลประโยชน์กับตัวเรา ถ้าหากว่าเราเป็นคนหลุกหลิกไม่เข้าท่า ดูแล้วคงทำอะไรสำเร็จไม่ค่อยดีใช่หรือไม่
วันนี้เรื่องที่อาจารย์พูดถึงส่วนมากจะเป็นเรื่องของจิตใจของตนเองใช่หรือไม่ ทำไมถึงมาเน้นเรื่องจิตใจมากกว่า เพราะว่าคนนั้นเมื่อจิตใจดีทุกอย่างก็ย่อมดี หากจิตใจไม่ดีทุกๆ อย่างก็กลายเป็นเรื่องไม่ดี แม้กระทั่งมองคนก็ยังมองไปในแง่ที่ดีไม่ได้ เวลาคนชาชินกับสิ่งที่เป็นความสมหวังดั่งใจมาก อย่างเช่นศิษย์ที่เวลาหาเงินทองมาได้ อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ มีความสมหวังมากมาย ชีวิตอิสระเสรีเหมือนไม่มีกรอบ แต่ถามว่าวันไหนถ้าให้ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ได้ไหม วันไหนที่บ้านไฟดับน้ำไม่ไหล ไหวหรือเปล่า ไหนใครไหวยกมือขึ้น ไฟดับน้ำไม่ไหลสักสามวันไหวหรือเปล่า ไฟไม่มาต้องไปซื้อข้าวกิน แต่เผอิญแถวๆ บ้านก็ดับเหมือนกันหุงไม่ได้ทำอย่างไร เวลาให้ศิษย์นั้นดำรงชีวิตอยู่เรียบง่ายแต่ก็กลับเป็นความทรมานแสนสาหัสใช่หรือไม่ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์อยู่เรียบง่ายแบบไม่มีน้ำไฟ แต่อาจารย์หมายถึงความเรียบง่ายในด้านอื่นๆ ของจิตใจ การที่เรานั้นจะอยู่อย่างคนที่โดนดูถูกอยู่ตลอดเวลา ถูกคนเข้าใจผิดตลอดเวลา ถูกใส่ร้ายป้ายสีตลอดเวลา ถูกคนตำหนิติเตียนกล่าวว่าตลอดเวลา การที่ศิษย์ต้องอยู่อย่างคนที่เหมือนกับคนที่ไม่มีศักดิ์ศรี เป็นความทนไม่ได้ของมนุษย์จริงหรือไม่ แต่คนที่สามารถรับได้เขาเรียกว่าคนโง่ในทางโลกแต่เป็นคนฉลาดในทางธรรม ความสุขของคนคนนี้มาจากไหน ความสุขของคนคนนี้มาจากจิตใจภายในของเขาเอง ศิษย์ทำได้ไหม  (ได้) มีคนตอบว่าได้ แต่อาจารย์เห็นศิษย์แค่โดนใครก็ไม่รู้มาว่าก็ทนไม่ได้แล้วใช่หรือไม่
โลกนี้มีเรื่องมากมายที่ศิษย์นั้นยากทน แต่ว่าศิษย์ต้องทน เป็นอย่างนี้มากี่สิบปีแล้ว มีเรื่องมากมายที่ยากทนแต่ต้องทนมาตลอดชีวิต ทนไม่ได้แล้วผ่านมาได้อย่างไร ความลำบากนี้คือลำบากอะไร ความลำบากนี้คือลำบากใจเท่านั้น จริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นในท่ามกลางความทุกข์จึงจะมอบความสุขที่แท้จริงได้ ในท่ามกลางความสุขและการตามใจตนเองนั้นไม่เคยให้ความสุขใคร อาจารย์พูดอย่างนี้แล้วเมื่อศิษย์พิจารณาดูดีๆ ตลอดชีวิตนี้ของศิษย์มีความทุกข์มากกว่าความสุข โอกาสที่ศิษย์จะเจอสุขแท้ก็มากมายเท่ากับตอนที่ศิษย์เจอทุกข์แต่ถามว่าเคยเห็นความสุขไหม ไม่เคยเพราะว่าอะไรถึงไม่ยอมสุขเสียที สุขได้มาจากความทุกข์มีโอกาสมีความสุขเท่ากับทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยมีความสุขเลยเพราะอะไร (เพราะใจเราไม่สงบ) เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่เคยมองสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งเฉพาะหน้า ไม่เคยมองลึกเข้าไปถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่คนอื่นนั้นดุด่าว่ากล่าวแต่ในนั้นมีแต่คำสอน ศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ทุกๆ ครั้งที่ให้ตัวเลือกระหว่างการเปลี่ยนแปลงตัวเองและการตามใจตัวเองก็เลือกที่จะตามใจตัวเอง เลือกที่จะมีความสุขก่อนแล้วทุกข์ทีหลัง ไม่เลือกที่จะมีความทุกข์ก่อนแล้วสุขทีหลังจริงหรือไม่ แล้วส่วนใหญ่นั้นสิ่งที่เป็นสิ่งที่ลวงล่อเราคืออะไร คือตัณหาความต้องการ ความอยากของตนเองทั้งนั้น การไหลตามน้ำศิษย์จะไหลไปถึงปลายน้ำ แต่หากศิษย์ยอมทวนน้ำศิษย์จะขึ้นไปถึงต้นน้ำ ปลายน้ำไม่มีน้ำ ต้นน้ำคือต้นกำเนิดของน้ำมีน้ำมากมาย จนศิษย์นั้นไม่รู้จะใช้อย่างไรหมด ฉะนั้นชีวิตนี้ต้องรู้จักเลือกให้เป็น ต้องอยู่ให้เป็น ต้องใช้ชีวิตให้เป็นจึงจะสามารถเป็นคนที่ดีได้ โปรดเหลือตาคู่นั้นไว้มองเห็นความดีของคนอื่น แม้จะเป็นคนโง่ก็ยอม แม้จะเป็นคนบ้า ก็บ้าอย่างคนที่มีธรรม อาจารย์เป็นคนบ้าศิษย์ก็ไม่เคยรังเกียจ เพราะว่าบ้าภายนอก ใจไม่บ้าจริงหรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ถ้าหากวันนี้ศิษย์เหลือข้าวชามหนึ่งก็แบ่งให้คนอื่นครึ่งชามหรือยกไปให้คนอื่นหมดทั้งชาม เขาบอกว่าศิษย์บ้าไหม บอกว่าคนคนนี้ไม่รู้จักรักตัวเอง แต่คนอื่นมีกินไหม อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์รักตัวเอง เพราะทุกครั้งที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำอย่างนี้อาจารย์ดูแล้วก็ปวดร้าว แต่ในขณะเดียวกันอาจารย์ก็ดีใจที่ศิษย์รู้จักเสียสละ ฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าศิษย์ให้ข้าวชามนี้เขาไป แล้วศิษย์จะไปตักข้าวชามใหม่ไม่ได้ ศิษย์อาจจะมีวิธีในการหาข้าวชามใหม่ให้ตัวเองกินก็ได้ ฉะนั้นการให้จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่มีคนบางประเภทที่ศิษย์นั้นให้ไม่ได้ อย่างเช่นขอทานตามถนน คนกรุงเทพบอกว่าไม่ให้เงิน เพราะเป็นการสร้างเหตุแห่งปัจจัยที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะพึ่งพิงตนเองได้ แต่ก็มีคนบอกว่าให้ไปแล้วก็คือให้ จิตที่เป็นกุศลไม่ว่าทำอะไรก็เป็นกุศล ให้ไปแล้วก็ไม่ใช่ของๆ เรา  ฉะนั้นเวลาที่พูดว่าอะไรถูกอะไรผิด จึงผิดไม่ชัดถูกไม่ชัด เวลามองใครว่าเขาทำผิด แต่เมื่อเรามองอีกทีเราอาจจะบอกว่าถูกก็ได้  ถ้ามองใครที่ทำถูกมองอีกทีก็อาจจะทำผิดก็ได้ เพราะฉะนั้นเสียเวลาคิด
“สร้างคนจงสร้างนิสัยจากความยาก”  อาจารย์ต้องการสร้างนิสัยใหม่ให้กับศิษย์ นิสัยของการดำเนินชีวิต นิสัยของการทำงาน นิสัยของการอยู่ นิสัยของความเป็นมนุษย์ของศิษย์ ทุกๆ อย่างที่อาจารย์พูดมานี้เป็นเรื่องยาก แต่ว่าไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินความพยายามของมนุษย์จริงไหม (จริง) นิสัยที่สั่งสมมาเป็นเวลานับสิบปีนั้นไม่อาจแก้ไขในเวลาแค่สิบวันหรือสิบนาที ถ้าหากศิษย์ทำได้ ศิษย์จะเป็นคนที่มีชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข ถามว่าตอนนี้อายุ 30-40 ถ้าหากว่าอยู่อีก 40 ปี คืออยู่อีกเท่าตัวอย่างมีความสุข เอาไหม (เอา) ต้องรู้จักเลือก เพราะฉะนั้นนิสัยที่ให้สร้างจากความยากทั้งหลาย เรียกร้องให้ศิษย์นั้นเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง บ่มเพาะตัวเอง ฟื้นฟูจิตตัวเอง แก้ไขปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง อาจารย์ไม่ได้พูดว่าให้เปลี่ยนคนอื่นเลย อยากให้ศิษย์เป็นคนที่อดทนมากกว่านี้ อยากให้ศิษย์เป็นคนที่ทำอะไรจดจ่อกับสิ่งที่ทำมากขึ้น อยากให้ศิษย์เห็นใจคนอื่นและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น อยากให้ศิษย์นั้นรักคนในบ้าน เป็นคนที่ซื่อและมีความบริสุทธิ์ข้างในจิตใจมากขึ้น คนที่ไม่มีความจริงใจ คนฟังก็ฟังรู้ว่าคนคนนี้ไม่จริงใจ เพราะว่าเรานั้นไม่สามารถเก็บสีหน้า ไม่สามารถเก็บคำพูด ไม่สามารถเก็บความชังที่มันไหลรั่วออกมาจากจิตใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์มีเหลืออยู่นี้ จงใช้ทุกๆ นาที ทุกๆ วันให้ผ่านไปอย่างคนที่มีธรรมะ ให้ปฏิบัติธรรม ดีหรือเปล่า (ดี)
“เรียนชีวิตเรียนรู้จากความจริงตั้ง” ให้เอาความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวตั้ง และหาธรรมะข้อที่เหมาะสมมาพลิกแพลงปรับใช้
“ในทุกเรื่องของหน้าที่ต้องปลูกฝัง” เวลาปลูกฝังควรปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กใช่ไหม แต่หลายๆ คนก็ผ่านชีวิตวัยเด็กมาอย่างไม่ได้ถูกปลูกฝังอะไรเลย ฉะนั้นตอนนี้แก้ยังทันไหม แต่จะให้ใครปลูกฝัง (ตัวเอง) ตอนนี้เป็นคนเต็มคน มีสติรู้ผิดชอบชั่วดี ขอให้รู้จักที่จะปลูกฝังตัวเอง ดีหรือไม่ (ดี) ถ้าหากว่าไม่ปลูกฝังตัวเองแล้วจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดความทุกข์)
“บางเรื่องเป็นวันวันยังต้องพยายาม” ก่อนหน้านี้เป็นทุกข์ไหม (เป็น) เพราะฉะนั้นต่างอะไรกันระหว่างข้างหน้าและข้างหลัง ทำก็ทุกข์ ไม่ทำก็ทุกข์ ถามว่ามีอะไรต่างกัน ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันก็มีความทุกข์ หลังจากวันนี้รู้แล้วยังไม่ทำก็คือทุกข์ มีอะไรต่างกัน อยากรู้ไหม (อยากรู้) ทุกข์มากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ก็ทุกข์ หลังจากนี้ก็ทุกข์ แต่ทุกข์มากกว่าเดิม ไหวไหม ก่อนหน้านี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว หลังจากนี้ยังต้องทนกับทุกข์ที่มีปริมาณมากกว่าเดิม ไหวไหม (ไม่ไหว) ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ก็มองไม่ไหวแล้ว กรุณาช่วยตัวเอง กรุณามาช่วยตัวเอง การอ้อนวอนขอย่อมได้ในทุกเรื่อง หรือส่วนใหญ่ได้ แต่การขอที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือการขอตัวเอง จริงไหม
เบื่อไหม (ไม่เบื่อ) เป็นคนขี้เบื่อนี่ดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนขี้เหงาดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนเซ็งง่ายดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนจู้จี้ขี้บ่นดีไหม นิสัยพวกนี้เป็นนิสัยจุกจิกแต่ว่าทำร้ายตนเองอย่างละมุนละไม ขี้เบื่อแสดงว่าเป็นคนไม่มีสมาธิ ขี้เหงาแสดงว่าเป็นคนที่ชอบเสียเวลาไปกับความคิดและเรื่องไม่เข้าท่า
มีอยู่คนหนึ่งไม่อยากได้คนแปล เพราะฉะนั้นต้องให้ใช้ใจฟังให้ดีๆ ใจศิษย์ไว้ใจได้ไหม เราไว้ใจตัวเราเองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการใช้ใจฟังก็ต้องฟังให้ดีใช่ไหม
ใครเป็นโรคชอบปวดหลังบ้างยกมือขึ้น ไหนลองมองสิว่าท่านั่งของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร การหาหมอทำให้หายแค่เพียงชั่วคราว การทำให้หายปวดหลังอย่างถาวรต้องแก้นิสัยการนั่ง ยิ่งปวดยิ่งต้องนั่งให้ตรงจะได้หายปวด ห้องนี้มีคนปวดหลังหลายคนเพราะนั่งเอียงไปเอียงมา การแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ แก้ที่ปลายเหตุไม่จบ คนกรุงเทพฯ เป็นโรคเครียด ยิ่งเครียดยิ่งทุกข์ ไม่อยากทุกข์ก็อย่าคิดอย่าเครียด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนยิ่งเก่งยิ่งมีความมั่นใจ ก็จะยิ่งหนักกว่าคนปกติ เรามีความมั่นใจ แต่อย่าเชื่อมั่นแต่ตัวเองคนเดียว เป็นผู้รู้จักรับฟังเสียงรอบข้าง การฟังจะเพิ่มความรู้แบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ แต่อย่ามัวฟังแต่คำยุยง คำนินทาว่าร้าย อย่างนี้จะเป็นโทษอย่างยิ่ง
อยู่ในโลกในสังคมจะต้องมองให้ดี บางคนไม่ชอบการหักหน้าก็จงอย่าไปหักหน้าเขา บางคนชอบหัวเราะ เพราะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก มีความสุขไปวันๆ คนประเภทนี้ไม่ถือสา ไม่ใช่แซวเล่นแล้วโกรธกันตลอดชีวิต อย่างนี้ไม่ดี ฉะนั้นเวลาจะคุยจะพูดอะไร ต้องรู้จักคำวาจา วาจาพูดออกไปแล้วเหมือนน้ำที่เทรดไปบนพื้นไม่สามารถจะเรียกกลับได้ ฉะนั้นวันๆ ยิ่งพูดมากเท่าไร ยิ่งต้องกลัวตัวเองมากขึ้นเท่านั้น กลัวตัวเองไหม (กลัว, ไม่กลัว)  ไม่กลัวเลยนะอาจารย์เห็น มีแต่คนอื่นกลัว
“มองรอบด้านรอบที่เท่าความระวัง” เมื่อระวังเท่าไร ก็ยิ่งที่จะต้องมองให้รอบคอบเข้าไว้ ไม่สามารถที่จะนับรอบได้จากการระวังนั้น ยิ่งระวังก็ยิ่งมองให้รอบคอบมากขึ้น
ปวดหลังไหม นั่งมาตั้งสองวันก็ปวดเป็นธรรมดา แต่คนไหนที่ปวดเมื่อยง่าย แสดงว่าออกกำลังกายน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมร่างกายไม่แข็งแรง (ไม่ออกกำลังกาย)  เพราะว่ากินตามใจปาก อยากอะไรก็กินเข้าไป รู้ว่าไม่ดี แต่ใจมันอยาก เอานิดเอาหน่อยก็ยังเอา กินแล้วลำบาก ไม่กินได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต้องกินให้มีคุณค่าหน่อย จะทำตนมีคุณค่า ก็ต้องกินสิ่งที่มีคุณค่า แล้วให้คุณค่าต่อตัวเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ายังนั่งอยู่ตรงนี้ ถือว่าเป็นคนที่แข็งแรงทุกคน วันไหนนอนอยู่แต่บนเตียง กระดิกตัวไม่ได้ อย่างนั้นถึงจะเรียกไม่แข็งแรง จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นตอนนี้บอกว่าร่างกายไม่แข็งแรง อาจารย์บอกว่ายังแข็งแรงอยู่ทุกคน อย่าบ่นไปเลย ตอนนี้ยังมีกำลังวังชา แขนชานิด ขาชาหน่อย หลังปวดหน่อย หัวปวดบ่อย ไม่เป็นไร ถ้าหากว่าเรานั้นไม่รู้จักรักษาตัวเองในตอนนี้ วันหลังจะยิ่งหนักขึ้นไปใหญ่ แล้วถึงเวลาก็จะต้องเสียเงินทั้งหมดที่ตัวเองหามาด้วยการไปหาหมอ จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วพอจะต้องไปไหว้พระก็ขออีกใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นคนที่มีสุขภาพดีอยู่ บอกกับตัวเองว่าตัวเองยังดีอยู่แล้วเราจะดีเอง
เงินนั้นบันดาลสุขแต่เงินก็บันดาลทุกข์ เงินให้ทุกอย่างแต่ให้ความสุขไม่ได้ ฉะนั้นจงใช้เงินแต่อย่าให้เงินใช้เรา เก่งนะรู้หมดทุกอย่างเลย รู้หมดแต่ทำไม่ค่อยได้
แม้ว่าอาจารย์นั้นให้ศิษย์เป็นผู้ที่แก้ไขทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง กำหนดชีวิตตัวเอง แต่อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์รัก เมื่อรู้ว่าอะไรดีก็จงทำตามสิ่งที่คิดว่าดี เมื่อรู้ว่าอะไรไม่ดีก็อย่าทำ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีความฉลาด และศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีความรู้ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีระดับ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้มีปัญญา แต่ยังน่าแปลกใจที่ยังมีความทุกข์อยู่ แสดงว่าตลอดมานั้นเรารู้แต่เราไม่ค่อยได้ทำ แสดงว่าเรารักตัวเองในทางที่ไม่ถูกต้อง ในสังคมของคนกรุงเทพฯ การที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นรักตัวเอง อย่ารักอย่างเห็นแก่ตัว ทุกคนมีน้ำใจ น้ำใจนั้นจงสาดออกเพื่อสามารถที่จะเติมน้ำใหม่ได้ ผลักออกไปก็จะไหลกลับเข้ามาจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ แต่ทุกๆ วันจะต้องมีความรักตัวเองที่ไม่ใช่เกิดจากความเห็นแก่ตัว ทำได้ไหม ศิษย์ทุกๆ คนเป็นคนดีแต่ว่าความดีนี้จำเป็นจะต้องสร้างให้มากขึ้นทุกวัน อย่าเป็นคนดีแต่ในทฤษฎี จงเป็นคนดีที่ปฏิบัติดีด้วย ได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท คำว่า “คิดถึงตัวเองน้อยลง”)
ศิษย์คิดว่าการคิดถึงตัวเองน้อยลงดีไหม ทุกวันนี้เราคิดถึงตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่ความกดดันในเมืองนั้นมีมาก เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ ใครเหนื่อยไม่สน ใครเครียดไม่สน ขอให้ตัวเรานั้นสบายก็พอ ชีวิตที่รักความสบายฟุ้งเฟ้ออยากหรูหรา ชีวิตที่แข่งกันด้วยต้องมีมือถือราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ทีวีจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รถคันโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ อย่างนั้นเราไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของมัน แต่เราคำนึงถึงความหรูหราของมัน ฉะนั้นชีวิตของเราจึงเป็นชีวิตที่ด้อยคุณค่ามากขึ้น เพราะเรานั้นมองแต่เปลือกนอก เปลือกนอกนั้นชวนให้เราดูดีมากขึ้นแต่จิตใจแย่ลงเรื่อยๆ
อาจารย์อยากให้คิดถึงเงาะลูกหนึ่ง เงาะนี้เราแกะเปลือกออก เปลือกนี้เวลาเราเลือก เราต้องเลือกเปลือกที่สดใหม่ เหมือนความรู้สึกของศิษย์ที่คิดถึงแค่เปลือกนอกที่จะต้องดูดี เมื่อลูกนี้ไม่สดก็เปลี่ยนลูกใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถามว่าเปลี่ยนไปถึงวันไหนล่ะ เปลี่ยนถึงวันที่กู้หนี้ยืมสิน เปลี่ยนถึงวันที่เรานั้นตายไปก็ยังไม่รู้จักพอ เปลือกนอกคือเปลือกนอกแห่งสังคม ฉะนั้นเปลือกนี้เมื่อแกะออกได้เจออะไร เจอเนื้อ เนื้อคืออะไร เนื้อคือจิตใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ถามว่าตอนนี้จิตใจของศิษย์นั้นปกป้องตัวเองไว้ด้วยอะไร ด้วยความรู้สึกที่ว่าห้ามโดนหลอก ห้ามโดนเอาเปรียบ ปกป้องตัวเองไว้หนาแน่น แต่เป็นเพียงแค่ความกลัว ตอนนี้แกะเปลือกออกเจอเนื้อ  เนื้อก็ยังเป็นความรู้สึก ความรู้สึกนึกคิดของศิษย์ที่มีแต่ความกังวล เพราะที่จริงแล้ว แม้ว่าศิษย์จะปกป้องตัวเองไว้หนาแน่น แต่ในจิตใจนั้นอ่อนแอมาก จิตใจนั้นเป็นจิตใจที่พร้อมจะบุบสลายได้ทุกเมื่อ เหมือนเนื้อของเงาะที่มันอ่อนๆ ใครมาจิ้ม ใครมาโดน ใครมาสัมผัส ศิษย์รู้สึกเจ็บปวดไปหมด แม้จะทำให้ทุกคนดูว่าเราแข็งมากแค่ไหนก็ตาม  ฉะนั้นเมื่อแกะความรู้สึกออกเจออะไร เจอเม็ด เม็ดเปรียบเสมือนจิตธรรม คือมีความอดทนอดกลั้น รู้จักแบ่งแยกผิดชอบชั่วดี รู้จักคิดตามหลักเหตุผล รู้จักที่จะเอาตัวเองนั้นตั้งไว้บนธรรมะ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์แกะแล้วแกะอีก คนที่นั่งอยู่ที่นี่อาจจะมาแกะเปลือกเงาะ แต่ศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่รอบข้างอาจจะต้องแกะเนื้อเงาะเพื่อให้เจอจิตธรรม เงาะนี้ออกมาจากต้นเงาะ ต้นเงาะก็เปรียบเสมือนธรรม ฉะนั้นพลังที่แท้จริงยังอยู่ในตัวของศิษย์เอง ศิษย์ยังมีพลังอันเต็มเปี่ยม อย่าเป็นคนคิดมากให้เสียเวลา อย่าเป็นคนคิดถึงแต่ตัวเอง อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตไม่ได้ทำให้ศิษย์นั้นเจ็บ แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บคือความคิดที่หมกมุ่นอยู่ คิดวนไปเวียนมาไม่จบ คิดอยู่นั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดทั้งที่ไม่มีอะไรดีขึ้นก็คิด เมื่อศิษย์นั้นพร้อมที่จะให้ผู้อื่นก็จะคิดถึงตัวเองน้อยลง ความสุขก็จะเพิ่มพูนขึ้น
วันนี้อาจารย์มาอย่างน้อยๆ ก็อยากให้ศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นผู้ที่มีความสุขออกมาจากจิตใจ เป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง อย่าเบียดเบียนผู้อื่น ทำในสิ่งที่ดี อย่ากลัวว่าศิษย์นั้นจะเสียเปรียบใคร ถ้าศิษย์เสียเปรียบเมื่อไรจะมีคนได้เปรียบ ศิษย์ก็ให้เขาได้เปรียบ เมื่อในโลกนี้มีคนที่อยากจะเป็นคนดี ศิษย์ก็ให้เขาเป็นคนดี สร้างสรรค์จิตใจนี้เหมือนจิตรกรเอก สร้างสรรค์ความคิดนี้ด้วยพลังที่มาจากภายในไม่จบสิ้น ทำได้ไหม (ได้)
เวลาที่มีอิสระมากเกินไป ถ้าให้ศิษย์ต้องอยู่อย่างเรียบง่ายก็มีทุกข์แสนสาหัส กว่าจะเป็นคนคนหนึ่งต้องหาสิ่งต่างๆ มาตกแต่งชีวิตมากมาย กว่าจะยอมเป็นผู้เป็นคนต้องหาสิ่งที่บำรุงบำเรอมากมายไม่มีทางพอ ฉะนั้นจะหยุด หยุดเลย ไม่มียาตัวใดในโลกรักษากิเลสมนุษย์ได้ นอกจากจิตใจที่รู้เท่าทันตัวเองเท่านั้น อาจารย์พูดมาถึงขนาดนี้ศิษย์ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้หรือเปล่า เวลาจะให้ทำ ไม่ได้ให้ศิษย์ทำทีเดียว แต่กำลังจะบอกศิษย์ว่าเวลาคนตบหน้าอย่าโมโห การที่บอกให้ศิษย์อย่าโมโหก็คือตอนที่มีคนตบหน้า ไม่ใช่ให้ศิษย์ทำอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างในชีวิตค่อยๆ เกิดขึ้นเหมือนละครที่เกิดขึ้นทีละฉาก ขอให้ในฉากนั้นๆ ศิษย์ทำได้ดี ศิษย์เอาชนะตัวเองได้ เมื่อชนะตัวเองได้ครั้งหนึ่งก็ย่อมมีครั้งต่อไปได้ ถ้าแม้ครั้งเดียวเอาชนะไม่ได้แล้วศิษย์จะยอมแพ้ตัวเองไปตลอดชีวิตหรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนในชั้นออกมาจัดผลไม้)  
ศิษย์ดูซิว่าผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงไหน  (ด้านล่าง) แล้วผลที่เล็กที่สุดอยู่ตรงไหน (ด้านบน) ดูว่าถ้าเอาลูกใหญ่มาไว้ข้างบนแล้วเอาลูกเล็กมาไว้ข้างล่างได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์เพียงแต่อยากจะบอกว่าในชีวิตของศิษย์ทุกคนนั้นมีเรื่องต้องจัดระเบียบ บางเรื่องต้องเร็ว บางเรื่องต้องรอเวลา บางเรื่องต้องหนัก บางเรื่องต้องเบา อย่าใช้ผิดสับสน ทำไมดอกไม้ที่เล็กที่สุดถึงอยู่ข้างบน การที่เรานั้นรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนทำตนให้เล็ก ดูแล้วคนอ่อนน้อม คนที่ชอบทำตัวให้เล็กๆ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ทำได้ดีที่สุด จริงไหม คนที่ยิ่งก้มหัวให้คนอื่นบ่อยที่สุด กลายเป็นคนที่บำเพ็ญดีที่สุด เปรียบเสมือนดอกไม้ที่อยู่ตรงนี้ หากศิษย์เป็นคนที่ยอมเสียเปรียบคนอื่นบ้าง ศิษย์ก็จะเป็นที่รักของคนอื่น แม้แต่ศัตรูก็ยังรักศิษย์ เปลี่ยนจากศัตรูให้เป็นมิตรด้วยการเปลี่ยนความคิดของตัวเองนะ ฉะนั้นวันนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงตนเอง สร้างนิสัยใหม่ อย่าให้นิสัยนั้นมันลึกดำดิ่งจนยากแก้ แล้วก็มีหินปูนมาเกาะ จนยากที่จะรักษาใดๆ
เมื่ออาจารย์มาเยี่ยมศิษย์ที่เป็นคนกรุงเทพ ก็อดพูดไม่ได้ ศิษย์เอ๋ยทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน ใจทุกคนมีเหมือนๆ กัน แต่คนมีใจกับคนไม่มีใจนั้นทำตัวไม่เหมือนกัน ศิษย์ใช่ไหมยังเป็นคนที่ยังให้คนอื่นนั้นตาม ศิษย์ใช่ไหมยังต้องให้ผู้อื่นนั้นคอยที่จะห่วงใย การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน การรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะสร้างความสามัคคีสร้างความเข้มแข็งแต่การบำเพ็ญยังเป็นเรื่องเฉพาะตัวอยู่ คนที่ไม่ค่อยหมั่นมาสถานธรรม ความมั่นคงในใจของศิษย์นั้นไม่อาจเข้มแข็งอยู่ได้ ถ้าหากศิษย์ยังมองไม่เห็นก็จงมองอดีต มองไปถึงคนที่เขาเคยถดถอยไปทั้งๆ ที่มีใจมาก  แสดงว่าใจของศิษย์นั้นไม่ใช่ใจที่มีอย่างแท้จริง อาจารย์พูดตรงนี้ไม่ได้บอกว่าศิษย์ต้องมาทุกวัน เมื่อศิษย์มีใจก็ย่อมรู้เองว่าเวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควร มาแล้วไม่มีอะไรทำก็ไม่เป็นไร มากราบพระ ไหว้พระ ให้ตัวเองนั้นมีจิตใจที่สว่างไสวใกล้ธรรมมากขึ้นก็ยังดี ส่วนการที่อาจารย์มานั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระสำคัญที่ศิษย์จะต้องยึดมั่นถือมั่น  เพราะอาจารย์นั้นไม่สามารถยืนอยู่เคียงคู่การบำเพ็ญของศิษย์ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ถึงแม้ว่าอาจารย์จะมองศิษย์อยู่ตลอดโดยที่ไม่เคยวางตาก็ตาม ทุกๆ ครั้งที่ศิษย์มีปัญหาก็ยังต้องแก้ไขด้วยตนเอง  ให้ใช้ธรรมะทำความเข้าใจ  การบำเพ็ญธรรมไม่ได้สนใจแค่ศาสนา เชื้อชาติ อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจที่จะมีใจเป็นธรรมะ ศึกษาเท่าที่โอกาสอำนวย และให้ธรรมะอยู่กับใจศิษย์ตลอดเวลา มั่นคงเข้มแข็ง 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลง “ชีวิตต้องการสิ่งใด”) 


อาจารย์หวังว่าหลังจากกลับไปจากวันนี้จะมีความเข้าใจตัวเอง รู้ว่าชีวิตตัวเองต้องการอะไร มีเป้าหมายให้กับชีวิตตัวเอง  อย่าเป็นเรือที่ล่มเมื่อจอด อย่าเป็นคนตาบอดคลำช้าง ฟังให้รู้จักฟัง  คิดให้รู้จักคิด เป็นคนดีให้ได้  จะทำก็ทำได้อยู่ที่จะประคองตนได้แค่ไหน อาจารย์อยากให้ศิษย์คนเก่าบำเพ็ญให้ดีๆ  ศิษย์คนใหม่ก็ขอให้เจริญก้าวหน้าในทางธรรม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้ที่มีบุญ ขอให้ทวนกระแสน้ำกลับขึ้นมานะ รักษาตัวให้ดี วันหน้าเจอกันใหม่

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “คิดถึงตัวเองน้อยลง”
    อย่าเป็นคนคิดถึงแต่ตนเอง             ความรีบเร่งทำให้ทำอะไรไม่ถูก
ทางแก้ปัญหาอาจอยู่เพียงคลายผูก       คนคิดถูกมองเป็นละอัตตา
ดึงพลังตัวเองมาจากภายใน              มาเปลี่ยนให้คนถูกตามเป็นผู้ล่า
บอกกับคนในกระจกด้วยหาญกล้า    ต่อเวลาให้กับใจไม่หมดลาน
ไม่ใช่ก้าวอย่างคนที่ถูกผลัก              แต่ตระหนักกับทุกช่วงที่รอบด้าน
จงเรียนรู้จากเรื่องของวันวาน            อย่ามีวันที่ไม่ใช้ความอดทน


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา