วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2547

2547-04-24 สถานธรรมฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีธรรมราช



PDF 2547-04-24-ฉือฮุ่ย #4.pdf


西元二00四年  歲次甲申  三月初六日      大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ใช้ชีวิตทุกวันให้มีคุณค่า ยามชราอย่าได้เฝ้าแต่วิตก
เหลือคุณงามความดีไว้เป็นมรดก อย่าวิตกหลังตายไปคือวันนี้ที่ทำ
เราคือ
พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย กราบ
องค์มารดา ถามเมธี หลานทั้งหลายสบายดี
ขอทุกคนจิตสงบแลตั้งใจ  ฮา ฮา

อันความสุขยังมีได้ทุกวัน เมื่อรู้ทันชีวิตตนไม่เคว้งคว้าง
การปล่อยวางยังต้องมีตลอดทาง ทำใจกว้างสู้ร่างกายที่ร่วงโรย
ชีวิตนี้บำเพ็ญให้หลุดพ้นไป คนต่างวัยต่างต้องการความเข้าใจ
คนชราต้องการคนมาเข้าใจ วัยหนุ่มสาวต้องการคนให้โอกาส
ขอให้อยู่ร่วมกันด้วยความสุข อย่าสร้างทุกข์เพราะไม่เข้าใจซึ่งกันเลย
ขอให้ต่างจริงใจไม่เมินเฉย อย่าละเลยต่อกันให้อดทน
เมื่ออายุล่วงเลยแล้วไม่หวนกลับ ขอให้จับความเมตตามาฝึกจิต
ยิ่งมีมากตามอายุทุกเมื่อคิด จงพิชิตความอ่อนเพลียแห่งกายใจ
ในวันนี้หลานทั้งหลายมีบุญมาก ต้องขอฝากให้บำเพ็ญปล่อยวางบ้าง
กายสบายใจสบายเพราะปล่อยวาง เดินเส้นทางแห่งธรรมต้องเอาจริง
อย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล่นไม่ตั้งใจ ความเข้าใจมีขึ้นได้ด้วยศึกษา
กายชราปัญญาไม่ชรา แรงกายน้อยแรงใจกล้ายังท่วมท้น
ในวันนี้เป็นวันแรกตั้งใจก่อน วันสองอย่านอนใจเร่งค้นจิต
อายุมากความผิดก็ยังฝังจิต เวลาที่เหลือแห่งชีวิตมาชำระ
ขออดทนต่อความสูงบ้านสองชั้น คนมีใจทุกวันว่าไม่สูง
ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมาเฝ้าปรับปรุง แม้บ้านยุ่งใจสงบจบที่ใจ
หลานทั้งหลายยืนนานก็คงเมื่อย ขอฝากคำอย่าเรื่อยเปื่อยชีวิตนี้
ทองหลอมนานยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นทุกที ในชาตินี้มาหลุดพ้นกันดีไหม
ไม่กล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจอยู่ให้ครบให้เข้าใจ
กราบลาพระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา จรดวางพู่กันลง
ฮา ฮา ถอย


วันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

ต้องรู้ว่าทนอยู่เพื่ออะไร ต้องช่วงใช้ปัญญามาคิดอ่าน
เปิดใจกว้างปลงให้ตกตามให้ทัน ที่พ่ายนั้นเพราะอารมณ์เพียงวูบเดียว

เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม

รับอุทิศถ่ายเดียวใจไม่ชื่น มีส่วนคืนความปิติจึงห้อมล้อม
ทางใหญ่ยังขาดคนเก่งประนีประนอม กระจ่างความอับจนล้อมเพราะอะไร
รู้จักยอมอดทนจึงถึงที่สุด อะไรหยุดไม่มีหยุดจุดหมาย
ขณะทนจงหย่อนคลายจิตใจ อย่าปล่อยให้ฤทัยช่างแสนงอน
อุปสรรคเกิดที่สิ่งทำกรรมอำนวย รู้เพราะสอนขึ้นด้วยประสบการณ์สอน
ใจร้อนทำให้เสียโอกาสก่อน บำเพ็ญอย่าใจร้อนพึงฟังกัน
ชีวิตนานไม่ทนตัดไม่ขาด ความประมาททำคนพลั้งตกสวรรค์
ตายทั้งเป็นให้รู้ที่ประมาณ อย่ามัวคร้านให้ปราบโมหะเกลี้ยง
นิวรณ์ภัยสยบจริงจะรู้สึกได้ ขัดเกลาอย่าได้ให้จิตใจเลี่ยง
อุปาทานต้องคั้นบีบรีบเอนเอียง ทัศนะเที่ยงอันชัดทำคืนตรง
เคยรับมารู้แล้วเมตตาเย็น เมตตาเป็นเช่นนั้นสืบต่อส่ง
อดทนสิ่งนั้นคนทนไม่ลง ใจตรงส่งสูงไมตรีงามน้ำใจ
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ต้นไม้อายุมากแล้ว ให้เงาร่มเย็นใช่หรือไม่ ใครอยู่ใกล้ตัวเราก็ยิ่งต้องร่มเย็นใช่หรือไม่ ลูกหลานอยู่กับเราร่มเย็นไหม (ร่มเย็น)  ฉะนั้นตัวแก่แต่ใจต้องไม่แก่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจเรานั้นเป็นนายเหนือกาย จริงหรือไม่ อย่าให้กายนั้นสั่งใจ อย่าให้กายบอกว่าโอยเราแก่แล้ว เราไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่   ยิ่งอายุมาก เราต้องกระปรี้กระเปร่า ต้องสดชื่น
คนเราเกิดเป็นคนนั้น ได้เกิดมาเป็นคนร่างกายสมบูรณ์แบบ รู้สึกว่าโชคดี เกิดมาเป็นคนไม่มีโรคไม่มีภัย นี่ก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง แล้วเราเกิดมาเป็นอย่างไร อายุยืน นั้นก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง  เห็นไหมว่ามีแต่ข้อดี ฉะนั้นตอนนี้เราอายุมากแล้ว เราต้องรู้สึกเป็นสุขกับข้อดีทั้งสามอย่างนี้ แล้วจะอมทุกข์กันทำไม หมากอมนานๆ มันก็เริ่มเฝื่อน ทุกข์เจ็บนานๆ  รสชาติมันก็จาง คายมันทิ้งเหมือนคายหมากเคี้ยวหมดรสแล้วยังต้องรีบกลืน แล้วความทุกข์ล่ะเราจะแบกมันไว้ทำไม ให้มันคิดมากแล้วหัวก็ยิ่งหงอกเข้าไปใหญ่  คิดมากก็กลุ้มใจมาก ก็ยิ่งย่นเข้าไปอีก แล้วจะคิดมากให้หน้าย่นหัวหงอกเพิ่มไปทำไมล่ะ ใช่ไหม ต้องรู้จักปล่อยวางแล้วก็ยิ้มเข้าไว้
บางครั้งรู้สึกว่าชีวิตต้องอดทน อดทนที่ลูกไม่รัก สามีไม่รัก หรือ อดทนที่ภรรยาไม่รัก ถ้าภรรยาไม่รักเราต้องถามตัวเองว่าทำอย่างไรเขาถึงไม่รัก ฝ่ายหญิงมีเยอะกว่าฝ่ายชาย แปลว่าผู้หญิงอายุยืนกว่า ขี้บ่นแต่ก็อายุยืนกว่า ผู้ชายก็ฟังจนเหี่ยวเฉากันไปหมดแล้วนะ  เราอยู่ในโลกนี้เราคิดอะไรแคบๆ มองแต่ตัวเอง แล้วทำให้เราหดหู่ ห่อเหี่ยว อับเฉา  จริงไหม แต่ถ้าคิดว่าลูกบ้านนี้ก็ว่าแม่ บ้านเราลูกก็ว่าแม่เหมือนกัน ไม่ต้องกังวลหรอก คิดอย่างนี้ทำใจได้ใช่ไหม  ลองมองให้ดีๆ  คิดอย่างนี้แล้วก็ไม่โกรธลูก ลูกเราก็เหมือนธรรมดาทั่วไป บางทีต้องหันกลับมาย้อนมองว่าเราต่างหากที่สอนลูกอย่างไรลูกจึงย้อนกลับมาว่าเราได้ ไม่ใช่ว่าลูกไปเอาแบบมาจากบ้านโน้นมา เลยว่าบ้านโน้นหรือบ้านนี้มันไม่ดี เหมือนปู ปูมันเดินตามแม่ปูหรือเดินตามเพื่อนแม่ปู ตามแม่ปู ใช่หรือไม่ ลูกไม่ดีไปโทษเพื่อนแม่ปูได้อย่างไร ต้องโทษแม่ปู นำไม่ดี ไปโทษสังคมมันไม่ดีเลยทำให้ปูมันเดินเบี้ยว ได้ไหม  ถ้าเราอบรมมาดี ลูกก็ไม่บิดพลิ้ว เพี้ยนไป
บางครั้งถ้าเราคิดไม่ตก ปลงไม่ตก ทำใจไม่ได้ อารมณ์ที่มันพัดพาเราก็ทำให้เรานั้นเศร้าไปได้  ที่ทนๆ มาทนไม่ไหว อย่าให้อารมณ์นั้นเป็นนายเหนือปัญญาเหนือสติกำลังความสามารถของเรา ต้องรู้ว่าทนอยู่เพื่ออะไร บางครั้งเกิดมาบางคนเจอมาหลายร้อยหลายพันเรื่องถามตัวเองว่าจะอยู่ไปทำไม ลูกก็ไม่รัก สามีก็ไม่เอา  ทนนะ ทนไว้ แล้วทนด้วยอะไร เราต้องมีจุดหมายในชีวิต เกิดเป็นคนทั้งทีถึงแม้ไม่มีอะไรที่เป็นความสุข ปลอบใจชีวิต แต่อย่างน้อยอย่าประหัตประหารชีวิตด้วยทุกข์ใช่หรือไม่ คนเราคิดสั้นเพียงเพราะทุกข์ ปลงไม่ตก คิดไม่ได้  คนๆ นั้นโง่ไหม (โง่)  ลองดูง่ายๆ วัว เวลาเราตีมันเจ็บทำไมมันไม่เห็นคิดผูกคอตายเลย หมาเราเตะมันจนขาหัก ชนมันจนขาเจ็บ มีบ้างไหมมันจะเดินกะโผลกกะเผลกไปหาที่ชน ให้ตัวมันตายเลยมีไหม แล้วนับประสาอะไรกับคนล่ะ เจ็บใจแค่นี้จะตายให้ได้ ก็สู้อะไรไม่ได้กับหมากับวัวเลยนะ เวลาตอบก็ต้องตอบให้เสียงดังๆ เอาให้เด็กวัยรุ่นอายไปเลย  เวลาวัยรุ่นดูคอนเสิร์ตเย้ เย้ดังๆ  แต่เราฟังธรรมะเราจะ เฮ้ เฮ้ ดีไหม ให้ปลุกใจเราตื่นด้วยนะ
โบราณกล่าวไว้ว่า  เด็กทำผิดผู้ใหญ่ยังให้อภัย  มองแล้วยังน่ารัก  ฉะนั้น เรายิ่งอายุมาก เรายิ่งต้องสุขุม ใจเย็น และรู้จักระมัดระวัง ทั้งการกระทำและคำพูด  ไม่ใช่อายุมากแล้ว แต่ใจร้อนเป็นวัยรุ่นเลย ได้หรือเปล่า ต้องใจเย็นๆ
ศิษย์พี่มาทั้งที ศิษย์น้องต้อนรับแค่เพียงเท่านี้ก็กระไรอยู่  อย่างนั้นต้องต้อนรับแบบไหนดี ที่จะทำให้ศิษย์พี่รู้สึกอบอุ่น สงสารผู้สูงอายุ  ไม่ไหวใช่ไหม  ถ้าใจเราสู้เสียอย่างแม้ขาก็ไม่มีทางเป็นนายมาสั่งใจเราให้นั่งได้ ใช่หรือเปล่า  ตอนนี้เราจงตัดใจจากขาทิ้ง แล้วจงเอาใจอยู่เหนือขา  อยู่เหนืออารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ เกิดเป็นคนต้องให้สติปัญญาเป็นผู้นำชีวิต อย่าให้อารมณ์มานำชีวิต เพราะอารมณ์นั้นมีดีและก็มีร้าย เหมือนเวลาคิดถ้าคิดดี อารมณ์มันก็พาเราไปดี แต่พออารมณ์มันคิดร้ายมันก็พาเราไปร้าย  ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน  แต่ถ้าหากเราใช้สติปัญญา ค่อยๆ คิด พิจารณามันจะไม่พาเราไปร้ายได้ง่ายๆ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราจงอยู่ด้วยสติปัญญา อย่าอยู่ด้วยอารมณ์ เวลาเรามีชีวิตอยู่ อย่าให้อารมณ์เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ถ้าเรารู้จักควบคุมอารมณ์ได้ เราก็จะรู้จักควบคุมการกระทำ คำพูดได้  แต่ถ้าหากมนุษย์ไม่รู้จักอารมณ์ตัวเอง เราก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์  เหนื่อยหรือยัง (เหนื่อยแล้ว)  ต้องยืนให้รู้สึกเหมือนไม่มีขา ยืนได้ไหม (ยืนได้)  ตัวมนุษย์เราก็ตั้งตรง เราลองยืนเหมือนไม่มีขาสิ ขาฉันหายไปหนึ่งข้าง  ขาฉันหายไปสองข้าง ตอนนี้ฉันไม่เหลือขาเลยสักข้าง  ฉันก็ยืนได้ไหว
คนเราเกิดมาความไม่มีคือของเดิมของเรา  แต่เรามักจะทำใจไม่ได้ มัวแต่คิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองนั้นดี   ตัวเองนั้นมี พอสูญเสียเราก็ทำใจรับไม่ทัน  ศิษย์พี่ขอถามว่า  แต่ก่อนเราเกิดมานั้น  เรามาตัวเปล่า  ตัวคนเดียวเรามีอะไรหรือยัง (ยังไม่มี) สักพักก็ค่อยมีหนึ่ง จากหนึ่งก็มีสอง  จากสองก็มีสาม  จากสามก็มีสี่  ต่อไปนี้ชีวิตจะเริ่มจากสี่ก็เหลือสาม จากสามก็เหลือสอง จากสองก็เหลือหนึ่ง จากหนึ่งก็เหลือศูนย์  ตอนนี้เหมือนเรากำลังเดินกลับไปสู่ความเป็นต้นเดิมของเรา คนทุกคนมีจุดเริ่มต้น มีจุดท่ามกลาง และมีจุดสิ้นสุด   แล้วเราล่ะ จะยอมรับคำว่าสิ้นสุดของชีวิตไหม ถ้าวันนี้ไม่มีจิตใจยอมรับ ถึงเวลาก็ต้องยอมรับให้ได้  วันนี้ไม่เคยสูญเสีย ถึงเวลาก็ต้องเตรียมใจรับความสูญเสียให้ได้  เราต้องยอมรับ  เมื่อถึงเวลาคนที่ไปกับท่านคือตัวท่านคนเดียวเท่านั้น เวลาชีวิตเราดับไป มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่ไปกับเรา ลูกหลาน สามีภรรยา  ไม่ได้ไปด้วย  ฉะนั้นเราต้องรู้จักนับถอยหลังให้กับชีวิตเราบ้างแล้ว  ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเพิ่ม  แต่ตอนนี้ถึงแม้อายุเพิ่มขึ้น แต่จิตใจของเราล่ะ ต้องมีแต่ลดน้อยลง  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนเรื่องจุดเริ่มต้น  ท่ามกลาง  และสิ้นสุด  
จุดเริ่มต้นนั่นก็คือ  เมื่อเราเกิดเป็นคน ต้องรู้จักมีศีล มีธรรม  
จุดท่ามกลางของการบำเพ็ญธรรมะนั่นคืออะไร ต้องรู้จักมีความสงบ
จุดสิ้นสุดของการบำเพ็ญธรรมนั้นคือคำว่า “หลุดพ้น”
เราหลุดพ้นจากกายหนึ่งไปสู่อีกกายหนึ่ง หรือเราหลุดพ้นจากกายหนึ่งไปสู่ที่ที่ไม่มีอะไรเลย  ถ้าเราทำได้ตั้งแต่มีกายเป็นมนุษย์ กลับขึ้นไปก็ขึ้นสรรค์ แต่ตอนเป็นมนุษย์ยังทำใจไม่ได้ ยังแก้ไม่ได้ยังไงก็ต้องลงไปชดใช้กรรม แล้วอยากให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อไปเวียนไม่สิ้นสุด หรือเป็นชีวิตที่เป็นจุดเริ่มต้นแล้วสิ้นสุดลงเมื่อเราตายไป อยากเป็นแบบไหน อย่างน้อยก็ให้จบแล้วจบเลยไม่ต้องมาเวียนอีก  แต่ตอนนี้ใจเรายังยึดติดกับอะไรล่ะเรายังติดในอารมณ์ ติดในความอยาก ติดในความรัก ติดในตัวตน  ถ้าเรายังติดอยู่ ก็ยังต้องเวียนวน แต่ถ้ารู้จักปล่อยได้ก็จะชนะได้ เป็นนายเหนืออารมณ์ได้ เมื่อนั้นเราก็ไม่ต้องเวียนวน ชีวิตนี้ก็หมดสิ้น อายุเท่านี้อยากไปเวียนวนไหม  แล้วเราก็ไม่รู้จะไปเวียนเป็นคนหรือเป็นสัตว์
เวลามีคนให้บ่อยๆ เรารู้สึกเกรงใจ บางครั้งอยากให้คืนกลับบ้าง  ใครบ้างชอบเป็นคนรับอย่างเดียว  ยกมือขึ้น  คนที่รับอย่างเดียวคนนั้นเรียกว่า “ขอทาน” ขอทาน ให้คนอื่นไม่เป็น ขอทาน รับเป็นอย่างเดียว เกิดเป็นคนทั้งทีอย่าเป็นขอทานเชียวนะ รับมาแล้วต้องรู้จักคืนบ้าง เพราะของที่เขาให้มักจะสำแดงให้เรารู้จักสำนึกบุญคุณเสมอ ใครบ้างที่รับของคนอื่น กินของเขา แล้วนึกถึงเขาบ้าง ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอย่ารู้จักแต่รับ แต่ต้องรู้จักให้ด้วย
ใครอยู่ในโลกไม่เคยใช้คำว่าอดทนในชีวิตบ้าง ใช้บ่อยไหม ต้องอดทนในเรื่องอะไรบ้าง (อดทนในความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  ส่วนใหญ่สิ่งที่ทำให้เราต้องใช้คำว่า “อดทน” คือสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ไม่พึงใจและไม่ต้องใจ ทำให้เราต้องใช้ความอดทนอย่างมาก  แล้วอะไรบ้างที่ทำให้ศิษย์น้องไม่พอใจ ไม่ต้องใจ ต้องอดทนนั่งฟังเพราะว่าความรู้สึกนั้น พอใจและไม่พอใจในขณะเดียวกัน  
วันนี้ศิษย์พี่จะบอกเรื่องธรรมะง่ายๆ แค่ข้อเดียว และสามารถใช้ได้ตลอดชีวิตเลย นั่นก็คือการรู้จักการมีน้ำใจ หรือพูดง่ายๆ เป็นภาษาปากก็คือ  “การรู้จักให้” หรือพูดให้เพราะๆ ก็คือการรู้จักเสียสละ คนเรานั้นถ้าเกิดเป็นคนมีน้ำใจ คนมีน้ำใจจะไม่ริษยาคน มีแต่เห็นใจ  และคนที่มีน้ำใจรู้จักช่วยเหลือคน จะไม่เห็นแก่ตัวและรู้จักที่จะไม่ทำร้ายใคร ฉะนั้นคนในโลกศิษย์น้องเอ๋ย ทำธรรมะข้อไหนไม่เป็นไม่เป็นไร ขอเพียงมีข้อเดียวมีน้ำใจ คำว่ามีน้ำใจจะทำให้ศิษย์น้องทำร้ายใครไม่เป็น เห็นแก่ตัวไม่ได้และริษยาคนไม่ออก เอาข้อนี้ทำให้ได้  ศิษย์น้องทำตั้งแต่เล็กจนโตเกิดเป็นคน มีน้ำใจ ทำให้ได้ ทำให้ดี และทำให้ถึงที่สุดคนนั้นก็เลิศคนแล้ว
ขณะที่เรามีน้ำใจยื่นให้เขาไป เราให้ไปด้วยใจที่รู้สึกไม่หวังผลตอบแทน ไม่รู้สึกขัดแย้ง ไม่รู้สึกชิงชัง การให้นั้นจะเป็นการให้ที่เป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดด้วยสิ่งของ และไม่ถูกผูกมัดยึดติดด้วยอารมณ์ แล้วการให้นั้นจะเป็นไทยแก่ตัว และการให้นั้นจะเป็นการให้ที่มากด้วยคุณค่า เหมือนเวลาเราให้   ถ้าเราให้เขาด้วยปัญญาจะไม่เกิดความตระหนี่   เสียสละด้วยสติปัญญา  จะไม่เกิดความเห็นแก่ตนไม่กลัวความลำบาก และก็ไม่หวังผลตอบแทน การให้นั้นคนรับจะรู้สึกเอิบอิ่มในคุณค่าที่เราได้รับ และจะสะท้อนสะเทือนให้คนที่รับนั้นต้องตอบแทนบุญคุณและรู้สึกให้กลับบ้าง  และถ้าเกิดทุกคนในโลกรู้จักที่จะมีน้ำใจแล้วให้  จะไม่มีใครในโลกฆ่ากันได้ลง แล้วคนใต้ก็จะรักคนใต้ ไม่ใช่คนใต้รักให้คนตาย
ฉะนั้นจงจำไว้ว่าใช้ธรรมะข้อนี้ มีน้ำใจไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าจะตายเพราะว่ามีน้ำใจ ไม่ต้องห่วงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเอาไปอยู่บนสวรรค์ด้วย ขอให้ศิษย์น้องทำให้ถึงที่สุด แม้ตายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เอาไป แต่ถ้าทำไม่ถึงที่สุดแม้ตายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากรับ ศิษย์พี่เคยได้ยินศิษย์น้องมักจะบ่นๆ ว่า ทำดีมาตลอดชีวิตแต่ทำไมซวย  ศิษย์พี่อยากจะบอกว่า อดีตชาติ ศิษย์น้องสร้างอกุศลกรรมไว้มาก ทำให้ปัจจุบันชาติยังหนีไม่พ้น ฉะนั้นแม้จะซวยก็อย่าซวยในคราบคนชั่ว จงซวยแล้วแต่ก็ยังเป็นคนดี ไม่ใช่ซวยแล้วใจยังซวยด้วย มันก็ยิ่งไม่ดี  แม้จะซวยแต่ถ้าใจเราดี ใครๆ ก็ยกย่อง  ถ้าทำความดีให้ถึงที่สุด ความดีย่อมคุ้มครองเรา และความดีนั้นย่อมเป็นฐานรองรับให้เราเป็นคนดีจริงๆ แต่ทำไมทำดีแล้วยังไม่ได้ดีก็เพราะว่าน้ำหนักแห่งความดีนั้นยังไม่หนาแน่นพอ  แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์น้องบางคนที่ทำสามวันดีสี่วันไข้  แล้ววันไหนจะได้ดี  พอเข้าใจบ้างหรือยัง
การบำเพ็ญธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก   ขอเพียงมีน้ำใจเราก็เป็นคนที่บำเพ็ญธรรมะและเป็นคนที่ดีในสังคมได้  แล้วเราควรจะให้น้ำใจของเราก่อน การให้มีตั้งมากมาย  การให้ความรักต้องให้ด้วยความยุติธรรม ถ้าลำเอียงความรักก็เป็นพิษได้
หลักธรรมระหว่างคำพูดกับการกระทำ การกระทำดีกว่า ศิษย์พี่อาจจะสู้ศิษย์น้องไม่ได้ถ้าศิษย์น้องรู้จักเอาไปทำ
เวลาเขาทำผิดนอกจากให้อภัยแล้ว ต้องให้แง่คิด แล้วยังต้องให้โอกาสได้แก้ไขด้วย นอกจากให้โอกาสแล้วยังต้องให้อภัย ให้ความรักซึ่งกันและกัน ให้การเคารพบูชาแล้วเคารพคนที่เราควรเคารพ (ให้วิชาความรู้สิ่งที่ดีแก่ผู้ด้อยกว่า) ตอบได้ดี รู้จักสอนวิชาให้คนอื่นก็ถือว่าเป็นครูคน ตอบได้อีกไหม (ให้แรงกายเป็นทาน ให้คำพูด ให้การพึ่งพา ให้ความเกรงใจ ให้มีความสุข ให้ศีล ๕ ประกอบกับหลักธรรม)  ให้ศีล ๕ ประกอบกับการกระทำดีกว่า (ให้พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)  พรหมวิหาร ๔ ทำใจให้เป็นกลาง ไม่ริษยาแล้วการทำให้คนมีความสุข ก็เป็นการฝึกเมตตา จริงๆ แล้วตอบว่าให้พรหมวิหาร ๔ ก็รอดแล้ว พูดได้คล่องแต่สู้ทำได้คล่องไม่ได้
บางครั้งลูกไม่ต้องการอะไร เพียงแค่พ่อแม่มีความเข้าใจเขา เหมือนสามีหรือคนที่เรารัก บางครั้งเขาไม่ต้องการเงินทองของเราหรอก แต่เขาต้องการความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน การรับฟังเหตุผล ให้โอกาสเขาได้แก้ตัวบ้าง ให้ตัวเรานั้นพยายามทำความเข้าใจเขาบ้าง  
การศึกษาธรรมะ สิ่งที่สำคัญอย่างแรกนั้นต้องเรียกร้องตนเอง คนเราอยู่ร่วมกันก็เหมือนกับส่องกระจกหากัน ถ้าเขายิ้มก็แปลว่าเรานั้นต้องยิ้มก่อน และถ้าเรายิ้ม กระจกมันไม่ยิ้มก็แปลว่า เรายังยิ้มไม่เต็มที่ เหมือนศิษย์น้องรักคนในครอบครัวไหม แต่ทำไมเขาไม่รักตอบ ก็ต้องมองว่าความรักความเมตตานั้น ได้รักเต็มที่ขนาดไหน เมตตาเขาเต็มที่ขนาดไหน มีธรรมพอที่เขาจะรักตอบได้จริงหรือไม่ ศิษย์น้องปกครองดูแลเขา แต่เขาไม่ได้ดีอย่างที่เราอยากปกครอง ก็ต้องหันมามองว่าเราใช้สติปัญญา คุณธรรมความรู้ความสามารถ เก่งกาจเพียงใด หรือน้อยไปหรือเปล่า เขาจึงไม่ได้ดีเท่ากับที่เราอยากให้ดี บางครั้งเราอ่อนน้อมเขา แต่เขาไม่เคารพกลับ ก็ต้องหันมามองตัวเองว่า มือที่เราน้อม ใจที่เราน้อมนั้น น้อมด้วยความจริงใจหรือไม่
ฉะนั้นการที่เราอยู่ในสังคมนั้น สังคมจะร่มเย็นได้ เรามองแล้วแก้ไขตัวเอง ไม่ใช่โทษ แล้วไปแก้ไขคนอื่น มาอยู่ร่วมกันเหมือนเสียงกับเงาสะท้อน เหมือนเรากับกระจกเงา ถ้าตัวเองถูกต้องเที่ยงธรรมคนอื่นก็ต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าตัวเองไม่ถูก คนอื่นไม่เชื่อฟังและไม่รับฟังเรา ขอให้ทำให้ถึงที่สุด จงมองตัวเอง โบราณเขากล่าวไว้  คนอื่นเขาจะเข้าใจเราหรือไม่ สำคัญขอเพียงเราเข้าใจตัวเอง และที่สำคัญต้องมองคนอื่นให้เป็นด้วย เราจึงไม่ถูกเขาช่วงใช้  
เอาอย่างง่ายๆ ถ้าเขาดูออกว่าศิษย์น้อง ชอบ เกลียด อะไร ถ้าคนฉลาดเขาจะให้ชอบก่อน แล้วเอาความเกลียดของศิษย์น้องนั้นไปฆ่าคน โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ยืมมือศิษย์น้องนั้นฆ่าคน ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ต้องสนใจว่าเขาเข้าใจเราหรือไม่ เพียงเราดูเขาออก เราก็ไม่ถูกเขาช่วงใช้
ชอบหวยใช่ไหม ทำอย่างไรจึงจะหลอกได้เงินศิษย์น้องดี  ก็แกล้งปล่อยสองตัวไปให้แรงๆ  เดี๋ยวก็กลับมาซื้อเยอะๆ  ถ้าบังเอิญถูกก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าบังเอิญผิด คนที่รวยก็คือเจ้ามือ แต่เราก็ยังยินยอมให้เจ้ามือรวยทุกงวด ความทุกข์ของมนุษย์ก็เกิดตรงนี้แหละ รู้แล้วก็ยังทำ
วันนี้ศิษย์พี่ไม่พูดธรรมะอะไรมากนะ  ศิษย์พี่บอกว่าให้มีน้ำใจ เพราะใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย และใช้ได้ตลอดชีวิต ใช้แล้วทำให้เป็นคนดีมีน้ำใจ ไม่ริษยา รู้จักให้โดยไม่หวังผล แล้วยังทำให้เราบำเพ็ญแล้วสมบูรณ์พูนผล  จำอันนี้ไว้อันเดียวศิษย์พี่ไม่เน้นอย่างอื่น แต่การให้มีหลายแบบ รู้จักให้คำว่า ขอบใจ ให้อภัย ให้ความรักอย่างยุติธรรม ให้โอกาส มีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะให้แบบไหน ให้ได้เหมาะสมเขาก็จะมีความสุข เราจะได้ปิติที่ทำบุญ ทำบุญกับพระกับเจ้า ทำบุญกับพี่น้องหมู่ชนก็ได้กุศลเหมือนกัน ทำให้คนยิ้มได้เรารู้สึกดีใจไหม กุศลหรือบุญไม่ใช่อยู่ที่การตักบาตรให้ทานนะศิษย์น้อง  แต่ยังอยู่ที่เราพูดระวังไหม ทำดีไหม ถ้าทั้งพูดดี ระวังและไม่ทำผิดคิดร้ายก็เกิดเป็นบุญกุศลหนุนนำให้คนๆ นี้เป็นคนดีได้ เป็นคนประเสริฐได้
อย่าลืมนะว่าสายน้ำไหลไปแล้วไม่อาจเรียกหวนคืน  คนเราถ้าคิดผิดเพียงวูบเดียวคนก็จะจำจนวันตาย  ศิษย์น้องลองด่าคนสักคำหนึ่งสิ แม้ทุกวันจะพูดดีแต่ถ้าเผลอด่าเขาคำเดียว เขาจะว่าศิษย์น้องตลอดชีวิตเลยว่า “คนนี้ปากจัด”  ฉะนั้นเราอายุมากแล้ว ระวัง สุขุมรอบคอบ ใจเย็น ยังต้องมีไว้อยู่ในตัวเสมอนะ ตั้งสติให้ดี
คนเราถ้ากลัวความผิดความชั่วเหมือนกลัวการถูกลงโทษอย่างเห็นได้ชัด ก็คงไม่มีใครทำผิดทำพลาด  แต่กฎหมายยิ่งเข้มงวด บางครั้งคนกลับยิ่งฉลาด แอบทำผิดจนได้  ฉะนั้นกฎหมายก็สู้จิตสำนึกในตัวตนไม่ได้ ความละอายเกรงกลัวในจิตใจของศิษย์น้อง เราทำผิดคิดร้ายอย่าคิดว่าฟ้าไม่รู้ คนไม่เห็น  ตะแกรงฟ้าเมื่อเวลาร่อนคนดี คนชั่ว ล้วนชัดเจน  เราบอกตัวเองว่าแอบทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็นหรอก  ยิ่งมืด ยิ่งสว่างบนฟ้า จำไว้นะ อย่าทำผิดแม้ชั่ววูบเดียวเลย ไม่คุ้มหรอก เกิดเป็นคนทำดีให้จงได้ ดีข้อไหนล่ะ มีน้ำใจ ใจเย็น รอบคอบ ได้ไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำดีก็ต้องทำดีให้ตลอดรอดฝั่ง อย่ายอมแพ้คนที่ไม่ดี เขาไม่ดีช่างเขา แต่เรายังดี เขานินทาช่างเขาแต่เราไม่นินทา เขาพูดมากช่างเขาเราไม่พูดมาก พูดน้อยๆ ก็ผิดน้อย พูดมากก็ผิดมาก
เป็นคนขอให้มีน้ำใจงาม  น้ำใจงามไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ  บำเพ็ญธรรมคือทำความดี ความดีคือความมีน้ำใจ  ธรรมะไม่ว่าศาสนาใดก็เหมือนกันหมด สำคัญอย่างหนึ่งคือเป็นคนมีศาสนา     แต่มีศาสนาแล้วมีธรรมหรือเปล่า
วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่ ศิษย์พี่มาที่นี่เพื่อเรียกร้องให้ศิษย์น้องมีศีลมีธรรม แล้วคนที่มีศีลมีธรรมก็คือคนที่มีศาสนา  แต่ตอนนี้ศีลยังไม่ครบ ธรรมยังขาดๆ แหว่งๆ ฉะนั้นจึงยังไม่เรียกว่าเป็นผู้มีศาสนาอย่างถ่องแท้ ศิษย์พี่มาวันนี้มาฟื้นฟูให้ศิษย์น้องรู้จักเอาธรรมะมาใช้ในชีวิต และรู้จักรักษาศีลให้ครบ ทำให้ได้ แค่นี้เองนะ  บำเพ็ญธรรมต้องอดทน ต้องใฝ่ในการเรียนรู้และต่อสู้ต่อความยากลำบากอย่างไม่ย่อท้อ แล้วก็ต้องขยันสร้างกุศล อย่ามัวแต่เที่ยวเถลไถล มนุษย์ใช้เวลาตอนเช้า ถ้ากลางคืนนั้นไม่เรียกว่ามนุษย์ อะไรชอบอยู่ในที่มืด ไส้เดือน กิ้งกือ  ส่วนคนที่ชอบเที่ยวมืดๆ ก็แปลว่าเป็นไส้เดือน กิ้งกือ  ไม่ใช่มนุษย์ จำไว้นะศิษย์น้อง เป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงต้องรู้จักบำเพ็ญให้ดี เข้าใจนะ อะไรที่ไม่ดี นิสัยความเคยชิน ชอบพูดมาก ขี้น้อยใจ  ยอมแพ้ง่ายๆ ก็ตัดทิ้งไปเสีย ต้องอดทน ต้องวิริยะอุตสาหะ ตั้งใจฟังธรรมะให้ดี วันนี้แค่วันแรก ยังมีพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ฟังให้ครบแล้วกลับไปพบกันเบื้องบน ชีวิตหนึ่งทำดีให้ได้ ทำดีให้ถึงที่สุด หลับตาตายไปก็คุ้มแล้วที่เกิดมาเป็นคน ฉะนั้นเวลาตายไปเราจะได้หลับได้สงบ เพราะว่าเราทำดีถึงที่สุดแล้ว เรามีน้ำใจอย่างเปี่ยมล้นให้กับทุกคนแล้ว มีโอกาสก็กลับมาห้องพระ มาศึกษาเพิ่มเติม มาสร้างกุศลบ้างนะ อย่ามาแค่เพียงประชุมธรรมสองวันแล้วก็หายไปนะศิษย์น้อง รับปากกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วห้ามตุกติกด้วย


วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความสุขแสดงออกมาทางรอยยิ้ม ความสุขพริ้มออกมาทางเสียงหัวเราะ
ความสุขไม่เป็นของใครจำเพาะ แต่สามารถเพาะความสุขออกมาจากใจ
เล็บยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้ ผมยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้
ตายาวแล้วไม่แก่ก็ไม่ได้ พูดยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์ทุกคนอาหารถูกปากไหม

ทุกข์จะมากอย่างไรขอให้ปลงได้  จะสลายทุกข์ไปไม่มีเหลือ  อย่าเดินหนีใจตนเพื่อ  ได้กลับคืนความสุขศานต์  แม้ข้างหน้ายากเดาเหมือนเข้าเตาหลอม  ออมซึ่งสามัคคีจะมีขวัญ  เข้าใจซึ่งกันจึงผ่านทุกข์นั้นด้วยกันไม่ร้างแรมรา
ความทุกข์ทำหนักใจแล้วกว่าจะรู้ แม้ปัญญาก็ยังถูกจำกัดหนา  การทำใจเช็ดคราบของรอยน้ำตา  แก้ไขตนดีกว่ามาเกี่ยงกัน  ล้อมคนด้วยเมตตา  ล้อมรักในบ้าน เกิดสวรรค์ ณ ใจ ให้สุขสันต์  เก็บปัญหามาคิดอ่านขอทุกข์อย่านานจนถึงจนใจ
ชื่อเพลง : ขอศิษย์อย่าทำให้ตัวเองทุกข์
ทำนองเพลง : ไกลบ้าน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ตัวของเรานี้ ตาก็ฝ้าฟางแล้ว หูก็ตึงแล้ว ปากเวลาให้กินข้าวก็ไม่ค่อยรู้รส ตัวก็ไม่ค่อยมีแรง เดี๋ยวเมื่อยหลัง เดี๋ยวเมื่อยขา เดี๋ยวเมื่อยแขน เยอะแยะไปหมดเลย แต่มีอยู่อย่างเดียวในตัวของเรานี้ ยิ่งนานวันยิ่งแข็งแรง คืออะไร (ปาก)  ปากของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ถ้าหากว่าเราขี้บ่นก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์  ทำอย่างไร  ให้ศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าหากอยากให้องค์พระศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องไปตั้งไว้ในวัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยู่บ้านเรา เราไหว้คนเดียว ถ้าอยู่ในวัดใครไปใครก็ไหว้ เพราะฉะนั้นต้องตั้งไว้ให้ถูกที่ ต้องพูดให้ถูกเรื่อง จากที่เคยขี้บ่นมากๆ มาทำปากของเราให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการพูดธรรมะให้เขาฟัง เขาจะฟังได้มากกว่า  พูดมาตั้งหลายปีแล้ว  เขาไม่ยอมฟังเลย เพราะว่าเราพูดแต่ไม่ดี ไม่ได้ ไม่ถูก ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรามาบ่นเป็นภาษาธรรมะดีไหม (ดี)  เอาธรรมะมาสอนเขา แล้วปากที่มีแรงอยู่แล้วจะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ใครบอกว่าคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนแก่ อาจารย์เห็นคนผมขาวอยู่ไม่กี่คน ยอมให้ขาวหมดหัวมีอยู่ไม่กี่คนเอง แสดงว่าตัวแก่แต่ใจไม่แก่เลย แม้ใจไม่แก่แต่ว่าสังขารนี้ไม่สู้แล้ว เราก็ยังจะสู้อยู่ ที่เคยเดินได้ร้อยเมตรสบายๆ มันก็เหลือประมาณสักห้าเมตรก็เหนื่อยแย่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเราไม่แก่แต่ว่าสังขารมันไม่สู้ ทีนี้ก็ต้องเอาใจออกมาทำอะไร  ต้องเอาใจออกมาสู้ ต้องเอาใจออกมาบำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนทั่วไปก็พูดกันว่า ธรรมะเป็นของคนแก่ ฟังธรรมะต้องให้คนแก่ฟัง ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่เกือบจะทั้งหมดเป็นคนที่สูงวัยแล้ว ถามหน่อยว่านั่งฟังสองวัน เมื่อยไม่เมื่อย (ไม่เมื่อย)  ปวดเข่าก็ไม่ปวด (ไม่ปวด)  ปวดหลังก็ไม่เป็น (ไม่เป็น)  ถ้าหากว่าใครตอบว่ายังไม่เป็น ก็ยินดีด้วย แสดงว่าสังขารยังไม่ร่วงโรยมาก แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ตอบนี้เป็น เพราะว่าคนนั้นหลีกหนีไม่พ้นใช่หรือเปล่า เหมือนน้ำไหลก็ต้องไหลลงไปในทางที่ต่ำ ตกลงข้างล่าง ร่างกายคนก็เหมือนกัน ยิ่งทีก็ยิ่งร่วงโรยไป แต่ใจจะต้องสู้ ไม่ใช่ห่อเหี่ยว ไม่ใช่หดหู่ ไม่ใช่เบื่อ ไม่ใช่เซ็ง ไม่ใช่คิดมาก ไม่เอาใจมาใช้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่เอาจิตใจมาใช้ในเรื่องที่ถูกต้อง คือเอาใจมาคิด ไม่ใช่คิดมาก แต่เป็นคิดดี ไม่ใช่ปล่อยใจไปเรื่อยๆ ทุกๆ วัน แต่เอาจิตใจมาบำเพ็ญ
ชีวิตจะมีคุณค่าที่สุดก็ตอนนี้แหละ เพราะสมัยก่อนตอนเด็กๆ จนถึงสาวก็ทำงานหาเงิน ทำงานมาตลอด พอถึงวัยต้องแต่งงาน เราก็ขาดหรือหมดอิสรภาพตั้งแต่หลังจากที่เราแต่งงานมีลูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนทำงานหาเงินมาได้เราก็ใช้เองใช่ไหม (ใช่)  แต่ตอนมีลูกแล้วก็ต้องให้ลูกใช้ ตอนที่เริ่มจะแต่งงานกันใหม่ๆ ทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมด คืออึดอัดต้องปรับตัว แต่จากนั้นล่วงเลยไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว เพราะเหตุใดจึงเกิดความเคยชินกับการมีลูก กับการมีสามี กับการมีภรรยา กับการมีครอบครัว เคยชินกับพันธะทุกอย่างที่เป็นหน้าที่ของเราทุกๆ วัน แต่พออายุเริ่มมากขึ้น เขาให้เราทำงานอีกไหม จากสิบส่วนก็ลดลงเหลือแค่เพียงสองส่วนเต็มที่  ฉะนั้นตอนนี้อิสระขึ้นเพราะได้แปดส่วนคืนกลับมา  ชีวิตสิบส่วนที่เคยหมดเสรีเพราะมีลูกที่ต้องรับผิดชอบตามหน้าที่ ต้องดูแลบ้าน ต้องดูแลทุกอย่าง ตอนนี้ได้คืนกลับมาแปดส่วน วันๆ หนึ่งมีเวลาว่างแต่ส่วนใหญ่หมดเวลาว่างไปกับการคิดมาก  ตอนนี้มองชีวิตกลับไปใหม่  เมื่อตอนเราเล็กๆ เรามีลูกไหม (ไม่มี) มีสามี มีภรรยาไหม (ไม่มี)  แล้วเรามีเงินไหม (ไม่มี)  ตอนนี้ไม่มีเหมือนเดิม มีสามีก็เหมือนไม่มีเพราะเขาไม่อยู่ใช่ไหม (ใช่)  มีภรรยา ภรรยาอยากอยู่กับเขาไหม ตอนนี้ไม่อยากอยู่แล้วนะ มีลูก ลูกอยู่ไหม (ไม่อยู่)  มีเงินเหมือนไม่มีใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้กลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิม ตอนนี้กลับไปเป็นไม่มีอีกแล้ว อิสระไหม (อิสระ)  คิดอย่างนี้มีความสุขเพิ่มขึ้นไหม (มีความสุข)
ตอนนี้ชีวิตคืนกลับมาตั้งแปดส่วน ยิ่งอายุมากเท่าไรชีวิตก็คืนกลับมามากเท่านั้น  มาอยู่ในสภาพที่ไม่มีเหมือนเดิม แล้วทำไมเราต้องเอาใจของเราไปห่วงนั่นห่วงนี่ห่วงโน่นให้มากไปหมด ตอนนี้ไม่มีดีไหม รู้สึกเบาไหม ลูกก็ไม่มี มีลูกก็เหมือนไม่มี มีเงินก็เหมือนไม่มี
“ความสุขแสดงออกมาทางรอยยิ้ม ความสุขพริ้มออกมาทางเสียงหัวเราะ”
ทุกวันเฝ้าแต่ย้ำกับตัวเองว่าอายุมากแล้ว แก่แล้ว ทุกวันยิ้มหรือยัง  (ยิ้มแล้ว)  คนที่มีคนอายุมากอยู่ที่บ้าน แล้วเราทำให้คนสูงวัยในบ้านยิ้มได้ หัวเราะได้ ถือเป็นการทำบุญใกล้ตัว เราทำให้เขายิ้มได้ตรงไหน  เรารู้อยู่แล้ว รู้นิสัยของคนในบ้านของเรา  รู้ว่าคนที่เป็นบุพการี รู้ว่าเป็นคนที่มีพระคุณต่อเราที่อยู่ในบ้านที่สูงวัยมากกว่าเรา  เขาจะหัวเราะ  เขาจะยิ้มได้เพราะเรื่องอะไร ไปทำให้มาก แล้ววันหนึ่งถ้าไม่มีเขาเราจะไม่เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ความสุขไม่เป็นของใครจำเพาะ แต่สามารถเคาะความสุขออกมาจากใจ”
ทำไมถึงใช้คำว่าเคาะ เพราะว่าแต่ละคนนั้นถ้าเทียบเป็นหัวใจ ยิ่งอายุมากเท่าไรก็เหมือนกับหัวใจที่มันขึ้นสนิม ฝุ่นเกาะ แล้วก็ไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไร  ฉะนั้นต้องสร้างความสุขให้กับคนในบ้านด้วยตัวของเรา  บางทีเราเครียด เครียดกับทุกคนเลย  แต่เราลองฝืนใจไปสร้างความสุขให้กับสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ คนในบ้าน ที่ทำงานหรือว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ให้คำพูดที่ดี สิ่งที่ดีๆ กับคนรอบข้าง  เมื่อความสุขห้อมล้อมตัวเรา  ถามว่าเราจะไม่มีความสุขหรือ  ฉะนั้นถ้าหากจะรอให้ความสุขมาห้อมล้อมตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)  มันอาจจะห้อมแต่มันไม่ล้อม มันอาจจะมาเป็นวงแต่ไม่กลมเลย เพราะถ้าหากให้กลมต้องกลมจากไหน กลมจากตัวเราไปสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นยิ่งเครียดยิ่งต้องสร้างความสุขให้กับคนรอบข้าง แล้วความสุขจะห้อมล้อมเรา แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีความสุขอยู่เสมอ ทำได้ไหม
พอแก่แล้วกระดูกมันสั้นลงจึงต้องเจ็บเป็นธรรมดา แต่หากรักษาสุขภาพดีๆ มันก็จะชะลอ ฉะนั้นสุขภาพของเรา เราต้องรักษาเอง คนอื่นจะรักษาได้ไหม ถ้าเราเป็นคนแก่เป็นโรคลืมกินยา คนอื่นเอายามาป้อนให้เรากิน เขาจะส่งให้เรากินนานเท่าไร  ๑๐  วันเขาเบื่อหรือยัง ถ้าเป็นเราต้องส่งยาให้เขา ๑๐ วันเราเบื่อไหม  (เบื่อแล้ว)  คนอื่นเขาก็จะเบื่อ เพราะฉะนั้นสุขภาพของเรา เราต้องรักษาเอง เมื่อว่างแล้วไม่มีอะไรทำ ก็ลุกขึ้นมายืดแข้งยืดขาเสียหน่อย  อย่ามัวแต่นั่งเฉยๆ เพราะยิ่งนั่งก็ยิ่งเมื่อย มีอะไรที่ยาวอีกไหม  (หายใจ)  การหายใจยาวเป็นเรื่องดี หายใจยิ่งยาวก็ยิ่งทำให้อายุยืนมากขึ้น  หายใจเข้าให้ยาว หายใจออกให้ยาว หัดทำบ่อยๆ อายุจะได้ยืนมากขึ้น คนที่หายใจได้ยาวแสดงว่ามีสุขภาพดี ฉะนั้นการฝึกหายใจนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เหมือนกัน
พูดยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้ จะได้พูดสั้นหน่อยดีไหม แล้วคนพูดสั้นทำอย่างไร พูดสั้นๆ ได้ใจความไหม แต่ส่วนใหญ่คนที่พูดสั้นๆ เพราะว่ากำลังขุ่นใจกำลังโกรธคนนั้นอยู่จึงพูดสั้นลงเรื่อยๆ พอพูดปุ๊บแทนที่จะตอบยาวหน่อย ก็ตอบเพียงสั้นๆ  ฉะนั้นถ้าเราเจอคนพูดสั้นๆ เราต้องนึกไว้ก่อนว่าเขาโกรธเราหรือเปล่า นึกไว้เพื่ออะไร นึกไว้เพื่อมองตัวเอง และกลับมาย้อนมองส่องตนว่า เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาจึงได้โกรธเคืองเรา จนพูดสั้นเหลือแค่คำเดียว ใครเคยพูดสั้นๆ บ้างยกมือขึ้น แสดงว่าทุกคนมีความโกรธหมด
อันที่จริงแล้วในประโยคของกลอนนำบทท่อนสุดท้ายนี้ อาจารย์อยากจะสอนศิษย์ทุกคน ที่เอาเรื่องเล็บยาวผมยาวตายาวมาพูด เพราะว่ามีความนัยสุดท้ายที่อยากบอกเหมือนกัน มีอยู่อย่างหนึ่งที่ยาวยืดตั้งแต่เล็กจนโตสิบปีเหมือนวันเดียว  ที่อยากบอกคืออันนี้ ทุกข์นานๆ ไม่ตัดก็ไม่ได้นะ ขนาดเล็บยาวเรายังตัด ตาฝ้าฟาง ตายาวแล้วก็ยังไปตัดแว่นมาใส่ แต่ว่าความทุกข์ที่มีนานๆ กลับไม่ยอมตัด คนอายุมากบางคนเป็นคนที่จดจ่อกับอดีตมาก  แต่ถ้าหากว่าเป็นสิบๆ ปี แล้วไม่ลืมมันก็คงสร้างความทุกข์ให้ตัวเองอย่างมหาศาล แต่คนอายุมากก็ยังดีกว่าคนหนุ่มสาว เพราะว่าคนหนุ่มสาวเมื่อมีความแค้นมีศัตรู มักจะมุ่งทำร้ายถึงที่ ไม่ทำร้ายด้านร่างกายก็ทำร้ายด้านจิตใจ เพราะฉะนั้นความอาฆาตมาดร้ายก็ไม่ใช่สิ่งดี เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สั่งสมอยู่ในใจ เหมือนของเน่าของเหม็นที่อยู่ในใจ  
เคยเห็นของดองไหม ของดองนานๆ พอเปิดครั้งแรกจะดังโป๊ะ เพราะมีแก๊สอัดไว้ข้างใน เหมือนกันของที่เรานั้นเอาเก็บเข้าไว้เป็นความอาฆาตมาดร้าย พอนานๆ เข้ามันอัดอยู่ข้างในแล้วเราเปิดไหม เราไม่ได้เปิดใจของเราเลย ไม่ได้ปล่อยมันออกมาเลยมันจะระเบิดอยู่ข้างในหรือเปล่า มันจะระเบิดอยู่ภายในตัวของมันเอง ฉะนั้นจึงต้องหัดที่จะอภัย ต้องเปิดให้ของดองที่อยู่ในจิตใจเราปล่อยให้มันดังป๊อกขึ้นมาทีหนึ่งแล้วอย่าปิดต่อนะ ต้องเททิ้งเพราะว่าของดีๆ  ถ้าเข้าไปดองไว้ ถ้าหากเอาของดีเอาผักไปดองๆ ไว้ แรกๆ กลิ่นหอม พอเอาไปดองไว้ในจิตใจนานๆ  เหม็นไหม ใครได้กลิ่น มีแต่ตัวเราเองได้กลิ่นนี้ ฉะนั้นจึงต้องหัดที่จะอภัยคนบำเพ็ญธรรมจึงต้องอภัยให้มากๆ  ที่อาจารย์พูดถึงว่าให้ตัดก็คือให้ตัดสิ่งนี้เข้าใจไหม
อาจารย์จะสอนวิธีนับอายุใหม่ดีไหม คนที่อายุหกสิบกลับกันเป็น (สิบหก)  เจ็ดสิบเป็น (สิบเจ็ด)  ทีนี้คนที่อายุสี่สิบห้าล่ะ  คนที่อายุสี่สิบห้าเอาห้าสิบตั้งหักลบมา เหลือสิบปี ตามทันไหม คนที่อายุสี่สิบห้า ห้าสิบยังเหลือสิบห้า ถ้าเกิดว่าสี่สิบเก้าจะเหลือ สิบสี่ สี่สิบแปดเหลือเท่าไร (สิบสาม)  สี่สิบเจ็ดเหลือเท่าไร (สิบสอง)  สี่สิบหกเหลือเท่าไร (สิบเอ็ด) แล้วที่นั่งอยู่ที่นี่ยังเด็กอยู่ทั้งนั้นเลยใช่ไหม  เวลาก็มีเยอะแยะใช่ไหม  จิตใจของเราก็อิสระเสรี ใช่ไหม เด็กอายุสิบขวบกลัดกลุ้มหรือไม่กลัดกลุ้ม (ไม่กลัดกลุ้ม)
คนอายุสิบ ขวบ วิตกกังวลหรือเปล่า (ไม่วิตก)  คนอายุสิบ ขวบคิดมากไหม (ไม่คิดมาก)  เพราะฉะนั้นที่นั่งอยู่นี่ เพิ่งอายุสิบ กว่าทั้งนั้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)   เราต้องไม่คิดมากต้องไม่วิตก วิตกคืออะไร วิตกคือเรื่องราวที่มาไม่ถึงแล้วคิดไปก่อน เป็นไหม (เป็น)  เรื่องราวยังมาไม่ถึง พอคิดไปเสร็จ พอเรื่องราวมาถึงเป็นอย่างไร ตกใจเหมือนเดิม เพราะว่ายังไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดมาก บางคนบอกว่าลูกหลานไม่ดูแลเลย ไม่เอาใจใส่ดูแลเราเลย เจอแบบนี้บ่อยไหม (บ่อย)  เป็นเรื่องรันทดใจไหม เป็นเรื่องเศร้าใจของคนอายุมากหรือเปล่า (เศร้า)  เป็นเรื่องน่าเศร้าของคนอายุมาก แต่เรื่องรันทดยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า เรื่องที่เศร้าใจยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า เพราะฉะนั้นคิดทำไม เลิกคิดดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดไหมว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่เป็นคนที่โชคดีมากๆ   โชคดีตรงไหน เคยเห็นคนข้างบ้านเราเดินแล้วต้องใช้ไม้เท้าไหม (เคย)  แล้วเราต้องใช้ไหม (ไม่ต้องใช้)  เรายังไม่ต้องใช้ เราแค่เมื่อยเข่า ใช่ไหม (ใช่)  เคยเห็นบางคนที่เขาเดินไม่ไหวแล้วนอนอยู่กับเตียงเฉยๆ ไหม (เคย)  เรายังลุกขึ้นมาได้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรายังดีอยู่หรือเปล่า (ดี)  ยังโชคดีอยู่ ตอนนี้เราไม่ถึงกับนอนอยู่บนเตียง เราแค่ปวดหลังแค่นั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เรารู้สึกแย่ๆ จะต้องหาข้อเปรียบเทียบกับคนที่โชคร้ายกว่าเรามาเปรียบเทียบ เพื่อให้เราดีขึ้นแต่อย่าได้ใจ เพราะว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความชรานั้นมีเพาะอยู่ในตัวของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กอายุห้าขวบ ไม่ว่าจะเป็นคนอายุสิบขวบก็มีอยู่แล้ว ทุกคนนั้นดำเนินไปสู่ความชราอยู่แล้ว ไม่มีคนไหนสักคนหนึ่งหลีกพ้น   เราต้องชราอย่างมีความสุข ต้องมีความสุขที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่คิดไปถึงเรื่องความตาย เราต้องคิดถึงเรื่องอยู่  แล้วต้องอยู่อย่างมีความสุขที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันทุกเวลาทุกนาทีของเรา ต้องพูดดี ต้องคิดดี ต้องทำดี ต้องทำให้จริงๆ ด้วย เพราะว่าเราเหลือเวลาอยู่ไม่นาน  แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกเวลาทุกนาทีของเราต้องเอาจริงเหมือนคนเข้าสนามสอบ ถ้าหากว่าสอบตกครั้งนี้ไม่มีให้สอบซ่อม ฉะนั้นตอนนี้เหมือนกับเราไปเป็นทหารเราจะต้องฝึกอย่างเข้มงวด  ต้องให้ปากของเราศักดิ์สิทธิ์ให้ได้  เราจะไม่บ่นอีกแล้ว  เราจะเลิกเครียด ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)  เห็นอย่างนี้แต่มิใช่ว่าคนที่มาบำเพ็ญธรรมมาสถานธรรมทุกคนจะต้องเป็นคนที่มีความรู้ เพราะว่าคนมีความรู้  เป็นเรื่องของวัยหนุ่มสาวที่เขามี และต้องถูกดึงออกมาใช้ อาจารย์ต้องหาวิธีที่จะรองรับศิษย์ทุกคนที่เป็นวัยหนุ่มสาว  แต่วันนี้มาถึงทีนี่ ศิษย์ของอาจารย์ในวัยนี้ความรู้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่สำคัญอยู่ที่ใจ เพราะว่าในวัยนั้นของเขาเป็นวัยที่มีเลือดลมแรงและร้อน จึงให้เขาทำงานเพื่อที่เขาจะได้เป็นการฝึกตัวเอง แต่ของศิษย์ในวัยนี้เน้น “ปฏิบัติ” ไม่ว่าจะฟังสิ่งใดก็แล้วแต่ให้ทำเลย ลงมือปฏิบัติเอาใจของเราออกมา เพราะว่าใจของเรายังสู้ใช่ไหม เอาใจออกมาปฏิบัติธรรม ทำบุญให้เป็นบุญ ทำทานให้เป็นทาน ทำใจให้เป็นกุศลและทำสิ่งที่ดีๆ เท่านั้นเพื่อเป็นการที่จะลบล้างในสิ่งที่เคยไม่ดีไว้  ในวัยหนุ่มสาวเคยทำสิ่งใดที่ผิดไว้ ให้ชำระล้างด้วยการฝึกในตอนช่วงนี้ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าไปบังคับเขานั่งตัวตรงเลย เวลาหนุ่มๆ สาวๆ ยังนั่งตรงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นดีที่สุดแล้ว  ที่นั่งมาได้ตั้งสองวัน อาจารย์ยังนึกชม ว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ใจสู้จริงๆ เหมือนที่พูด
คนยิ่งมีความรู้มีสตางค์เยอะ ศิษย์ประเภทนี้รับมือยากที่สุด เพราะว่ามีอัตตาตัวตนเยอะมากไปหน่อย ความรักของอาจารย์นั้น เวลาอาจารย์รักศิษย์ไม่ได้มองตรงที่เงิน ไม่ได้มองตรงที่ความฉลาด  ยิ่งฉลาดยิ่งกลุ้ม เพราะบางทีอาจารย์อาจจะฉลาดน้อยกว่าศิษย์ ต่างกันตรงที่ว่าอาจารย์บำเพ็ญจนบรรลุแล้ว ส่วนศิษย์นั้นยังถูกความฉลาดบดบังตาอยู่   เวลาอยากจะขี้เกียจขึ้นมา คนฉลาดก็ต้องไปหาแพะ มาทำงานแทนตัว แล้วก็แอบไปขี้เกียจ อย่างนี้ ไม่น่ารัก  คนฉลาดเวลาอยากจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ไม่ตรงไปตรงมา ไม่เปิดเผย ไม่จริงใจ  ฉะนั้นเปลี่ยนใหม่ต้องเปิดเผย จริงใจและตรงไปตรงมา  ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้จริงๆ  คนรอบข้างจะรู้สึกได้ เหมือนกัน คนฉลาดมากเวลาคิดไม่ออกนึกไม่ออก เขาก็แกล้งทำเป็นรอบคอบคิดนาน แต่อันที่จริงคือคิดไม่ออก ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้ารับผิดชอบ แล้วก็ใช้เวลาคิดนานมาก แล้วบอกว่า ตัวเองรอบคอบ เข้าข้างตัวเองหรือเปล่า อย่างนี้เป็นคนชอบเข้าข้างตัวเอง ใครไม่รู้แต่ตัวเองรู้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “สูงส่ง” ที่ท่านพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัยให้ไว้ที่ อ. กระสัง จ. บุรีรัมย์ออกมา)
อันนี้เป็นของคราวก่อน แต่ที่นำออกมาต่อเพราะว่าในชั้นนั้น ท่านผู้เฒ่าท่านได้เมตตาให้ไว้เพื่อเป็นข้อเตือนใจว่าคนทุกคนนั้นสูงส่งได้แต่มักมีกำแพงขึ้นมากั้น กำแพงอันนี้ได้แก่อัตตาตัวตนทั้งหลาย กำแพงอันนี้ได้แก่ความเป็นตัวตนยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย อะไรๆ ก็เป็นของเรา อะไรๆ ก็เราทั้งหมด  ฉะนั้นการที่คนนั้นไม่สามารถขึ้นไปถึงความสูงส่งได้ก็เพราะว่าตัวของตัวเองนั่นเอง ในวันนี้อาจารย์จึงเอาโอวาทซ้อนให้เชื่อมกับข้างหน้า เพื่อทลายกำแพงของศิษย์นั้นลง จะได้เป็นมงคลทั่วกัน
ใครเป็นโรคมือเย็นเท้าเย็นบ้าง อาจารย์จะแนะนำวิธีรักษาโรคให้ ออกกำลังกายมือ ออกกำลังกายเท้าทุกวัน ถ้านั่งมากเกินไปก็เลยเย็น  เพราะฉะนั้นถ้าเดินไปเดินมาก็จะไม่เย็น  แต่ว่าที่บอกว่าเย็นมักจะเย็นตอนกลางคืน  คือร่างกายนั้นซึมซับไอของจันทรา ไอของค่ำคืนมาไว้ที่ตัวของเราจึงทำให้ตัวของเราเย็น บางคนนั้นซึมซับได้เก่งจึงมือเย็นเท้าเย็นผิดปกติ ทำอย่างไร สะบัดมือเบาๆ  สะบัดไปเรื่อยๆ สะบัดสักพักแล้วเอามาถูกัน ร้อนหรือไม่ร้อน (ร้อน)  แล้วอย่างนี้เป็นโรคมือเย็นได้อย่างไร เท้าเย็นไหม (เย็น) สะบัดเท้าแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมเย็นไม่เย็น (ไม่เย็น)  คนที่เป็นแสดงว่าไม่ค่อยออกกำลังกายใช่ไหม (ใช่)  แต่อย่าสะบัดมือแรงไปเดี๋ยวข้อหลุด อย่าสะบัดขาแรงไปเดี๋ยวขาหัก
ใจเป็นสวรรค์ก็ได้ เป็นนรกก็ได้เพราะว่าอะไร ใครเป็นคนคุมใจนี้ อย่าใช้ตัวเราคุมใจแต่ให้ใช้จิตมาคุมใจ  จิตกับใจอันเดียวกันไหม อันเดียวกันอีกนั่นแหละ แต่อย่าใช้คำว่าตัวเราคุมใจ เพราะว่าตัวเรานี้เป็นอัตตา จึงอย่าใช้ตัวของเรานั้นไปคุมใจ แต่ให้ใช้จิตไปคุมใจเพราะว่าจิตนั้นละเอียดกว่า ใจนั้นละเอียดรองลงมา รองลงมาก็คือ หลังจากใจนี้ก็เป็นหัวใจเป็นกิเลสไปแล้ว
ขอทุกข์อย่านานจนถึงจนใจ ขอนี้อาจารย์ขอใคร  อาจารย์ขอกับเทพเจ้าองค์ไหนดับทุกข์ให้ศิษย์ไม่ได้ ขอทุกข์อย่านานนี้ขอกับตัวของศิษย์เอง เพราะว่าคนเรานั้นอยากมีสุขได้ทุกเมื่อที่อยากมี  คนเรามีทุกข์ได้เสมอที่ปล่อยวางไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ขอศิษย์แล้ว ขอให้ศิษย์นั้นอย่ามีทุกข์ ด้วยการที่ตัวของศิษย์นั้นกำราบตัวของตัวเองได้ ให้รู้จักปล่อยวาง เวลาที่เราป่วยมีใครมาป่วยแทนเราไหม (ไม่มี)  เวลาที่เราไม่ปล่อยวางวันนี้ พรุ่งนี้เราต้องปล่อยวางไหม (ปล่อยวาง) ต้องปล่อยวางอยู่ดี มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่ามาตั้งหลายรอบหลายตลบแล้วบอกว่าพญายมราชนั้นส่งจดหมายให้กับคนๆหนึ่งส่งไปหลายฉบับในที่สุดพอถึงวันที่คนนี้ตายไปคนๆนี้ลงมา บอกว่าทำไมไม่เตือนฉันทำความดี พญายมราชบอกว่าเตือนไปหลายรอบแล้วส่งจดหมายไปหลายฉบับแล้วแต่คนๆนี้นั้นไม่รู้เขาบอกว่าเขาไม่รู้จดหมายฉบับแรกว่าอย่างไร
จดหมายฉบับแรกว่าอย่างไร คือ ปวดเข่า จดหมายฉบับที่สองว่าด้วยเรื่องปวดหลัง จดหมายฉบับที่สามว่าด้วยเรื่องตาฟาง จดหมายฉบับที่สี่ว่าด้วยเรื่องหูตึง และจดหมายฉบับที่ห้าว่าด้วยเรื่องผมขาว หมดหัวแล้ว ถูกเตือนบ้างแล้วหรือยัง โดนไปหลายฉบับแล้วจะรู้หรือเปล่า จะรู้หรือไม่ว่าตัวเองนั้นอายุมากแล้วสมควรที่จะบำเพ็ญ ทำความดีได้แล้ว รู้หรือไม่ว่าอยู่ที่ตัวของตัวเอง
เพลงนี้อาจารย์ให้คำว่าทุกข์นั้นเยอะมาก ที่พูดคำว่าทุกข์นี้เพราะไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ เพราะฉะนั้นชื่อเพลงก็คือ ขอศิษย์อย่าทำให้ตัวเองทุกข์ อย่าให้ทุกข์ในเวลาที่ควรจะมีทุกข์ หากจำเป็นต้องคิดก็ให้คิดสักสองสามรอบ อย่าคิดเรื่อยเปื่อย อย่าคิดฟุ้งซ่าน อย่าคิดไปเรื่อยๆ อย่าเอาความน้อยใจ ความเสียใจ ความผิดหวังมาปะปนอยู่ในความคิด เพราะว่า  คนชอบที่จะใช้ความรู้สึกมากมาย  พอสุดท้าย ความรู้สึกส่วนใหญ่นั้นเป็นความรู้สึกที่เข้าข้างตัวเอง เราเคยคิดไหมว่าเราทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ เราเจ็บคนอื่นก็เจ็บ เวลาเราพูดให้คนอื่นเสียใจเราไม่เคยคิด คนอื่นพูดให้เราเสียใจแม้แต่เล็กน้อยคิดเป็นตุเป็นตะ อะไรไม่ได้ดั่งใจเราก็พาลไปหมด  อย่างนี้ถ้าเป็นท่าทีของผู้บำเพ็ญจำเป็นต้องแก้ไขอย่างยิ่ง
พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อดทนทำให้คนสูงส่ง”  อดทนทำให้คนสูงส่ง ศิษย์ของอาจารย์มีความอดทนหรือยัง (มี)  เราอดทนต่อความอับอายเป็นหรือเปล่า เราอดทนต่อการเสียชื่อเป็นหรือเปล่า เราอดทนต่อความผิดที่เราไม่ได้ทำได้ไหม (ได้)  เราอดทนต่อคนรอบข้างเป็นไหม (เป็น) คำว่า “อดทน” นั้นจะใช้ก็ต่อเมื่อจิตใจของเรานั้นไม่ได้เกิดความยินยอม เราจึงจะอดทน  ถ้าหากว่าเราทำถูก ทำดีแล้วเบิกบานใจจะต้องใช้คำว่าอดทนหรือเปล่า (ไม่ต้อง)  เพราะฉะนั้นสภาวะของคำว่าอดทนก็เพื่อที่จะทำให้ศิษย์ทุกคนนั้นต้องอดทนจริงๆ ต้องมีจิตใจที่ฝืนออกมารับจริงๆ ทนที่ยากที่สุดคือทนต่อความอับอาย ทนที่ยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทนต่อความผิดที่ตัวเองนั้นไม่ได้ทำ ทำไมถึงบอกว่าทนต่อความผิดที่ตนเองไม่ได้ทำ เพราะหลายๆ ครั้งนั้นเราอธิบายเท่าไร คนอื่นก็เข้าใจไม่ถูกสักทีใช่ไหม (ใช่)  เขาก็เข้าใจเราผิดๆ ตลอดไปเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  
บางเรื่องนั้นต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ การที่จะบอกว่าเรานั้นดีแล้ว เราทำถูกต้องแล้ว ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ บางทีเราอธิบายไปนั้นไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องให้ตัวของเรานั้นพิสูจน์เอง บางคนนั้นเวลาเห็นอื่นทำดีชอบไปว่าเขา บอกว่าเขานั้นเสแสร้งแกล้งทำดี อาจารย์ไม่ชอบ ศิษย์ที่เป็นอย่างนี้เลย เพราะว่าถึงเขาจะแสร้งแกล้งทำดี แต่เขาก็ทำดีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีศิษย์ยังต้องฝืนใจตัวเองในการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาก็เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นทำดีเอาหน้า ทำดีเอาตัวรอด ทำดีเพื่อให้ตัวเองนั้นสบาย อาจารย์ก็ยังชม เพราะว่าอะไร เพราะว่าเขาทำดี ทำดีคือทำดี เสแสร้งคือเสแสร้ง ไม่ใช่อันเดียวกัน ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ศาลที่จะไปตัดสินว่าใครนั้นทำไม่ดี แต่เป็นหน้าที่ของคนๆ นั้นที่จะปรับปรุงตนเองให้เลิกเสแสร้งสักที เป็นหน้าที่ของเขาที่จะล้างมือต่อความเสแสร้งนั้นๆ ไม่ใช่หน้าที่ของศิษย์นั้นไปตัดสินใคร เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เพราะฉะนั้นเวลาเจอคนที่เสแสร้งแกล้งทำดี ศิษย์คิดว่าถ้าเขาเสแสร้งจริงเขาจะทำได้นานแค่ไหน คำพูดๆ แล้วจบไป พูดให้ดีสวยหรูเท่าไรก็ทำได้ แต่การกระทำจะแสร้งได้เยอะไหม (ไม่เยอะ)  การกระทำแสร้งได้ไม่เยอะ การกระทำแสร้งได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปยุ่งกับคนอื่น จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องนินทา ไม่ต้องเกิดเรื่องว่าร้ายป้ายสีกัน ใครดีอาจารย์ก็รู้ว่าดี ใครไม่ดีอาจารย์ก็รู้ว่าไม่ดี บางครั้งอาจารย์ชมไป ก็คือเป็นการที่จะย้ำเขา เพราะว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น คนที่เป็นพุทธะแล้วไม่คิดที่จะว่าใคร ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกันอย่าคิดไปว่าใคร อย่าพูดว่าใครให้เจ็บ อย่าทำเรื่องที่ไม่ดีแล้วหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง มันไม่ได้ดีเลย
ทุกๆ คนที่อยู่ในที่นี่เหมือนเป็นคนที่เข้าเตาหลอม เหมือนเป็นคนที่กำลังฝึกหัดบำเพ็ญ ทุกๆ คนทำให้ดีให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แล้วอาจารย์จะคอยอวยพร ทุกๆ วัน อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่สูงส่ง ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องอดทนให้เป็น อดทนต่อตัวเอง อดทนต่อผู้อื่น อดทนต่อสิ่งที่ยั่วเย้าจิตใจ กิเลสมากมาย เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ศิษย์เป็นคนดีได้จึงเป็นผู้บำเพ็ญได้ ศิษย์ดีไม่ได้ก็เป็นคนบำเพ็ญไม่ได้ บางทีเราเจอคนนี้เขาแข็งมากเกินไป แต่เราก็ยังแข็งเหมือนกัน แต่เราแข็งและเราพูดกับตัวเองคนเดียว แต่คนอื่นแข็งเราก็พูดออกมา ไม่มีอะไรต่างกันระหว่างคนสองแบบนี้
เวลาปรารถนาดีอยากจะตักเตือนใครพูดได้ไหม อาจารย์ไม่เคยห้าม แต่ศิษย์ตักเตือนด้วยน้ำเสียงแบบไหน เวลาพูดคนไม่ฟังว่าศิษย์พูดอะไร การพูดนั้นมีอยู่สามอย่างคือ ใครพูด พูดอะไร พูดอย่างไร เขาสนใจอะไรมากที่สุด (ใครพูด) ถ้าศิษย์สนใจว่าใครพูดก็แย่มากๆ แล้ว เพราะว่ามัวแต่มองเขาก็เลยไม่ได้ฟังที่เขาพูด แต่คนส่วนใหญ่นั้นจะสนใจคำว่าพูดอย่างไรมากกว่า คือพูดแข็งไปไหม พูดเอาหน้าไหม พูดแล้วมีความรับผิดชอบไหม พูดแล้วคำนึงถึงจิตใจฝ่ายตรงข้ามไหม คนนั้นให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะสนใจคำว่าพูดอย่างไร ไม่ได้ฟังเลยว่าเขาพูดอะไร มองแต่สีหน้าท่าทาง มองแต่สิ่งที่ส่งออกมา ส่วนพูดอะไรนั้นแทบจะไม่ได้ฟัง คนที่อยู่ในวัยที่เป็นคนเจ้าคิด เป็นคนมีเหตุผล ก็มักจะใช้เหตุผล แต่ยิ่งมีเหตุผลมากเท่าไรก็ยิ่งใช้ท่าทีรุกรานที่มากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นเวลาที่คนฟัง ยิ่งฟังแล้วจะยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าศิษย์กำลังต้องการอะไรกันแน่ ฉะนั้นเวลาที่เราไปพูดแม้มีเหตุผลดีเท่าไร แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ฟังว่าศิษย์พูดอะไร ก็ไม่มีประโยชน์ สรุปว่าพูดให้ดี พูดให้รู้ที่ประมาณ รู้หยุด รู้ปล่อยเขา แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้พูดแล้วมีคนฟัง แต่ถ้าสำหรับคนในวัยนี้ ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นส่วนมาก เขาไม่ได้ถือเหตุผลกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าไปพูดด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม เพราะว่าในน้ำเสียงของศิษย์นั้นก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าศิษย์ต้องการอะไร เพียงแต่ว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่าเท่านั้น
ทุกๆ คน กลับไปบ้านย้อนมองส่องตนทุกวันนะ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา คิดถึงเรื่องที่เราจะแก้ไข ไม่ต้องไปคิดถึงว่าใครเป็นยังไง ใครทำอะไรอยู่ที่ไหน เป็นยังไง อะไรทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรที่จะคิดมากเกิน แต่ให้เข้ามาคิดว่าเราจะบำเพ็ญอย่างไร ใครจะเอาหน้า ใครจะอยากได้ชื่อ ใครอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขา เพราะว่าการกระทำนั้นย่อมพิสูจน์คนอยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
หลังจากสองวันนี้ไปแล้วจะมาศึกษาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ร่างกายมาไม่ไหวใจสู้หรือเปล่า ดูจากสองวันนี้ ไม่มีอะไรที่ให้ศิษย์ได้เข้าใจได้ทันทีทันใด ทุกอย่างต้องใช้เวลาเท่านั้น อยู่ที่ว่าศิษย์จะให้เวลาไหม อยู่บ้านก็มีความสุขบ้างมีความทุกข์บ้าง มาสถานธรรมก็มีความสุขมากกว่าอยู่หน่อย จะเลือกอยู่บ้านไม่ศึกษาธรรม หรือว่ามาศึกษาธรรมก็แล้วแต่นะ อาจารย์ห่วงใยทุกคน อยากให้หลังจากที่จบชีวิตนี้ไปแล้ว กลับไปอยู่สวรรค์อยู่นิพพานอยากไปหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อพูดคำว่าอยากเราก็ไปได้แต่มันต้องลงแรงลงมือมากกว่านั้น ถ้าหากเขาเรียกให้มาศึกษาธรรมก็มาศึกษาดีหรือไม่ดี (ดี)
คงได้เวลาที่อาจารย์จะกลับแล้ว  คำว่าลานี้พูดยากจริงๆ  อาจารย์มาที่นี่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ  ก็เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่เริ่มมาแล้วว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ต่างกับเด็กอายุสิบกว่าขวบ
ไม่ต่างกันเด็กอายุสิบกว่า แต่เป็นเพราะศิษย์ของอาจารย์นั้นเฝ้ามองแต่รูปลักษณ์ภายนอก อาจารย์นั้นยืมร่างผู้หญิงคนนี้มาพูด เดินไปเดินมา เพราะฉะนั้นศิษย์ก็รับรู้ได้แต่เพียงว่า อาจารย์นั้นดูแล้วเด็กกว่า แต่จริงๆ อาจารย์ไม่ได้เด็กกว่าศิษย์ พูดทั้งหมดนี้ด้วยประสบการณ์ อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญหลุดพ้น ไม่อยากให้เวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ที่ศิษย์บอกว่าทุกข์ มันเทียบไม่ได้กับความทุกข์ในชาติต่อๆ ไป หากว่าศิษย์นั้นจะทุกข์โดยที่ศิษย์ไม่รู้ว่า ทำไมถึงต้องทุกข์ขนาดนี้ เหมือนที่ชาตินี้ตั้งคำถาม แต่ชาติหน้ายังมีอีกหรือเปล่า
การหลุดพ้นเป็นเรื่องของคนบำเพ็ญเท่านั้น ไม่บำเพ็ญก็ไม่พ้น จะเอาจริงกับชีวิตหรือยัง ชีวิตมันเหลือแค่นี้ อีกห้าสิบปี อาจารย์ยังว่าน้อยไปเลย อย่าว่าแต่บางคนเหลือไม่เท่าไรเลย อย่ามัวเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ การยึดมั่นถือมั่นเป็นเจ้าของ นินทาว่าร้ายกัน ว่าคนนั้นที ว่าคนนี้ที มัวแต่มองคนอื่นนะ ตัวเองน่ะมองน้อยไปนิดหนึ่ง  รักอาจารย์ก็บำเพ็ญให้ดีๆ นะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2547

2547-04-17 สถานธรรมหมิงฮุย, ลพบุรี





西元二○○四年岁次甲申闰二月廿八日 大众恭求仙佛慈悲指示训

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เปิดจิตใจแห่งศรัทธาให้มั่งมี เป็นคนดีดูกระทำกว่าคำพูด
อยู่บนโลกท่ามกลางสิ่งสมมติ แต่จงหยุดพิจารณาตนค้นความจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ดวงปัญญาอยู่ภายในคนทุกคน ความอดทนอย่าให้หมดลงง่ายง่าย
ความรู้นั้นต้องรู้จริงไม่วุ่นวาย ขั้นสุดท้ายก็ใช่ว่าหละหลวมได้
ระวังตนแท้จริงต้องระวังจิต ทำความผิดอยู่เป็นนิจสร้างเคราะห์ใหญ่
ทำความดีอยู่เป็นนิจสร้างบุญไป ไม่มีใครช่วงชิงความดีจากเราได้
ชีวิตนี้ใช่ยืนยงเร่งบำเพ็ญ ฝึกตนเป็นพุทธะอยู่ในโลก
จงมั่นคงอยู่กลางความวิปโยค อย่าได้โศกเพราะทำใจกันไม่เป็น
ใช้เวลาให้มีประโยชน์สุด อย่าสะดุดอัตตาตนที่หลากหลาย
มีทิฐิทำให้หูตาลาย เรื่องมากมายล้วนคลายได้แก้ถูกปม
ฟ้าร้องในหุบเขาดังกึกก้อง ฟ้าร้องในพื้นราบไม่น่ากลัว
ความแตกต่างไม่อยู่ที่ฟ้าร้องระรัว อยู่ที่ตัวใจคนบาปมากเพียงไร
จงรู้ทันตนเองมากกว่าผู้อื่น จงเร่งตื่นจากกิเลสที่รอบกาย
คนเกิดมาล้วนแล้วต้องตายไป ทำสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อโลกงาม
สองวันนี้จงตั้งใจฟังธรรมะ เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด
ก้าวเรียบง่ายใจสูงส่งอย่าประมาท คนฉลาดเหนือฟ้ายังมีฟ้า
การฝึกฝนไม่อาจง่ายแต่ไม่ยาก น้ำไหลหลากเชี่ยวหรือไม่อยู่ที่ทางน้ำ
ชีวิตคนอย่าปล่อยให้ใจตกต่ำ จงเตือนย้ำย้อนมองตนอยู่เป็นนิจ
สองวันนี้ต้องตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
ฟื้นฟูจิตฝึกฝนตนฟื้นฟูญาณ สำเร็จงานแห่งฟ้านี้ร่วมกัน
ในวันนี้น้องชายหญิงต่างมีบุญ อยู่ร่วมกันจงนำหนุนอย่าปล่อยทิ้ง
ความจริงใจมีให้กันอย่างแท้จริง อย่าประวิงเรื่องทางโลกที่เฝ้าเปลี่ยนแปลง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระนาจา

ศีลธรรมเริ่มอ่อนบางในจิตใจ คนส่วนใหญ่เห็นแก่ตนเอาแต่ได้
ทำร้ายกันอย่างฉ้อฉลจนใจหาย น่าเสียดายความเป็นคนดูบางเบา
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

ก้าวแห่งการบำเพ็ญด้วยมั่นคง ศรัทธาส่งพลังไม่ขาดดุจน้ำ
ก้าวแห่งความคิดบนทางคุณธรรม ปัญญาธรรมพลังที่ฐาปนาหนุนคน
ชีวิตอยู่สรรค์สร้างความดีงาม มีขอบเขตห้ามใจอย่างเหมาะสม
กิเลสมีต้องถูกให้ใช้อารมณ์ ด่านที่คืนวันบ่มสอนวินัย
คนบำเพ็ญมุ่งมั่นใจนักสู้ เพียรไปสู่ความสะอาดเป็นนิสัย
ละสำเร็จฝ่ากิเลสจากภายใน ย่อมไม่เสร็จเพราะภายนอกโลกีย์
ไม่ต้องลงแรงทว่ายินดีผล กิเลสที่บางในตนทว่ามี
ทำอะไรถูกมากแต่ผิดมี ถูกให้เวลาเมื่อนี้พิจารณาตน
มีบางปัญหาต้องใช้เวลาแก้ รุ่มร้อนแต่อย่าปล่อยให้สับสน
มุ่งแก้ไขจึงวางจิตเพื่ออดทน บำเพ็ญตนเมื่อทำใจรู้จบ
โลภรักสิ่งที่ตนหวงแหน พาใจแขวนอยู่ด้วยไม่จบ
ดวงใจขื่นไม่อาจนับคำรบ ไร้ความสงบให้เศร้าเมาวิญญา
อย่าสิ้นไร้พลังเนื่องไม่หยุด วิจิตรสุดเมื่อมังกรโผล่ขึ้นฟ้า
ว่ายแหวกขึ้นทะยานเด็ดเดี่ยวหนา ปณิธานมุ่งสู่เวหาแกร่งในจิต
เหวดิ่งดำจะพ้นเมื่อสำนึก มายาหล้าสุดลึกเล่ห์ระวังจิต
คลื่นมหาสมุทรการเสียทำหงุดหงิด อย่ายึดติดบรรดาสิ่งสมมติไป
เพียงจิตหยุดให้เป็นไม่ฟุ้งซ่าน เบิกบานที่ภายในไม่หลงใหล
สำแดงความเสรีออกมาจากใจ ความอิสระไม่ไกลจากในตน
ฮิ  ฮิ   หยุด

พระโอวาทพระนาจา
เวลาเราอยู่ในบ้านหรือในสังคม ถ้าทุกคนหัวเราะมีแต่เรานั่งร้องไห้ คนในสังคมจะรู้สึกเป็นอย่างไร คนนี้พิลึก  แปลกประหลาดไม่ร่วมกับสังคม ใช่หรือเปล่า  เหมือนกลับมาบ้านที เราอยากยิ้มแย้มปรีดา คนอื่นยิ้มหมด แต่มีตัวถ่วงคือเราคนเดียว เสียเลยไหม (เสีย)  เสียนะ ถึงแม้เราจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ แม่ก็ดี พ่อก็ยังดีอยู่  แต่ยิ้มไม่ออก เหมือนกัน วันนี้เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก อยู่ร่วมกับคนในสังคม บางครั้งการแสดงออกของตัวเอง โดยที่ไม่กังวลกับคนรอบข้างเลยนั้นไม่ได้  ถ้าสังคมส่วนใหญ่เขาอยู่เฉย เราอยู่เฉยเป็นตัวของตัวเองไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดสังคมส่วนใหญ่เขากำลังสนุกสนานเฮฮา เรานั่งนิ่งหน้าบึ้ง ใครๆ ก็ไม่อยากให้เราอยู่ในกลุ่มด้วย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดสังคมเขาสนุกลองสนุกไปด้วย ดีไหม (ดี)  ถ้าสังคมเขาเศร้าเราจะ (ไม่เศร้า)  เพราะอะไรถึงไม่เศร้าไปกับเขาด้วย เพราะความเศร้าทำให้หม่นหมอง ถ้าเราไปเพิ่มอีกมันก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ ถ้ากำลังเศร้าอยู่ แต่เราสงบนิ่ง แล้วค่อยๆ ไปปลอบประโลม  จากเศร้าก็อาจดีขึ้น  แล้วจากเศร้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นสนุกสนานขึ้น ด้วยตัวเราเพียงคนเดียว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงครอบครัวได้ อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองไม่สามารถแก้ไขจิตใจตัวเองเวลาเศร้าได้  อยู่ที่ว่าภาวะเศร้าเราจะเศร้าหรือเราจะสุข  เช่นเดียวกันเวลามีทุกข์คนอื่นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ทุกข์ แต่เรายืนอยู่อย่างมั่นคงสงบนิ่ง แล้วมองให้ออก นอกจากเราไม่ทุกข์แล้ว ยังช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้
เหมือนในนิทานเรื่องนี้ มีเรือแล่นมาลำหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อเรือเริ่มโคลงเคลงพายุเริ่มถาโถม ทุกคนต่างก็แตกตื่น ว่าทำอย่างไรดีๆ  มีสิบคนอยู่ในเรือ เรือยิ่งโคลงเคลงใหญ่ เพราะทุกคนต่างวิ่งไปมาเพื่อจะเอาตัวรอด  แต่ถ้าหากมีคนมีสติคิดได้ ว่าเขาวุ่นอยู่เราต้องสงบ เขากำลังสับสนเราต้องช่วยกันยึดกุมไม่ให้วุ่นวาย  ถ้ามีแค่เพียงหนึ่งคน มีสติแล้วรู้จักคิดได้ เขาก็จะนำพาเรือทั้งลำให้ปลอดภัยได้
ชีวิตเราก็เหมือนกับเรือลำหนึ่งที่แล่นอยู่ในสังคมที่มีทั้งดีและร้าย มีทั้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยา แต่เราเอาอะไรมาใส่ไว้ในใจ แล้วเรากำลังพายเรือไปแบบไหน หรือเรากำลังปล่อยเรือไปตามคลื่นกระแสลม ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่คนข้างนอกเลย แต่อยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก  วันนี้ก็เช่นเดียวกัน อยากจะให้มีความสุข หรือมีความทุกข์ดี (มีความสุข)  เราเป็นคนทำหรือท่านเป็นคนทำ คิดเองนะ
ท่านเคยเห็นมังกรก็แต่ในรูป  ถ้ามังกรโผล่มาจริงๆ เราคงตื่นเต้นตกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนโบราณเปรียบเทียบมังกรว่าเป็นปราชญ์ หรือวีรชน หรือวีรบุรุษที่ไม่ได้หาง่ายๆ ในสังคม นานๆ จะโผล่ทะยานขึ้นฟ้าสักหนึ่งตัว นั่นหมายความว่าคนธรรมดาสามัญ ถ้าไม่ได้มีจิตใจที่สูงเด่น ไม่ได้ทำอะไรที่เลิศล้ำ เขาก็เป็นแค่งูตัวหนึ่ง แต่ถ้าวันใดเขามีจิตใจที่งดงาม มีการกระทำที่ยิ่งใหญ่  จากงูก็กลายเป็นมังกรได้ นี่เป็นคำเปรียบเทียบ มนุษย์ก็เหมือนกันหากไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง แล้วนำคุณค่าของตัวเองมาใช้ให้ถูกต้อง เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้ามนุษย์สามารถหาตัวตนที่แท้จริง ความสามารถที่แท้จริง  แล้วนำตัวตนที่แท้จริงนี้ ความสามารถที่แท้จริงนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และสรรค์สร้างให้มีคุณค่าแก่สังคม คนๆ นี้ก็ยิ่งใหญ่กว่าคนธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  อยู่ที่ว่าเราเคยรู้จักตัวเองบ้างไหม เราเคยรู้ไหมว่าตัวเองมีความสามารถอะไร เรารู้แต่ว่าคนอื่นเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ แต่ตัวเองไม่รู้เลย  ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม นอกจากเพื่อฟื้นฟูคุณธรรมในจิตใจแล้ว ยังศึกษาเพื่อค้นหาคุณค่าที่แท้จริงในตัวตนให้พบ แล้วนำไปก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่รู้จักทำเพื่อผู้อื่นบ้าง
ในโลกนี้มีทั้งของจริงและของเท็จ มีทั้งของแท้และของเทียม  คนฉลาดต้องรู้จักแบ่งแยกให้เป็น แต่คนฉลาดยิ่งกว่าฉลาด ก็คือคนที่สามารถใช้ทั้งจริงและเท็จได้เป็น แล้วรู้จักดึงคุณค่าของจริงและเท็จมาก่อประโยชน์ให้ตัวเองสูงสุด  วันนี้เราจริงหรือเท็จ ไม่รู้ แต่ตัวท่านจะเป็นคนฉลาดที่รู้จักแบ่งแยกแค่นั้น หรือจะเป็นคนฉลาดที่เหนือฉลาด ที่ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็สามารถดึงประโยชน์มาใช้กับตัวเอง เลือกเอานะ ว่าท่านจะเป็นคนแบบไหนในโลกนี้  ทำไมดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริง เราแยกออกว่านี่ปลอมนี่จริง แต่คนฉลาดเขาจะไม่เลือกว่าปลอมว่าจริง แต่จะใช้ปลอมกับจริงให้เหมาะสมในชีวิต ตอนไหนควรใช้ของปลอม ตอนไหนควรใช้ของจริง
จิตใจที่ปิดกั้นมักจะทำให้เราไม่สามารถฟังหรือเห็นอะไรได้แจ่มชัดความเกียจคร้านก็เป็นกิเลสที่ทำให้เราไม่สามารถศึกษาหลักธรรมได้ ความกังขาลังเลก็เป็นเกราะบังทำให้เราไม่สามารถฟังหลักธรรมได้เข้าใจ
จิตใจของศิษย์น้องก็เหมือนน้ำทะเล มีขึ้นมีลง พอใครมากระทบใจแล้ว เราไม่พอใจเราก็หงุดหงิด  แต่พอใครมาทำให้มีความสุขเราก็รู้สึกชื่นชอบ  ใจเราจึงเหมือนกับคลื่นทะเลเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะควบคุมจิตใจ รู้จักดูจิตดูใจอย่าให้เคลื่อนกระเพื่อมไปกับแรงที่มากระทบ อย่างเช่นเขามาตีเรา ถ้าเราอยู่นิ่ง สงบ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้สึกอะไร มันจะเป็นอิสระกับอารมณ์ทั้งปวง แต่ถ้าเมื่อไรใจเราเหมือนคลื่น พอใครมากระทบก็ดีใจ พอใครมากระทบอีกก็เศร้าใจ เมื่อนั้นเราก็จะมีได้มีเสียมีทุกข์มีสุข รู้หรือยังว่าทุกข์สุขเกิดจากอะไร เกิดจากใจที่หวั่นไหว ไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งได้ จริงไหม (จริง)  ใครอยากทดสอบใจบ้าง ใครจะรักษาจิตนิ่งได้ ศิษย์พี่จะให้ยืน 15 นาที เอาไหม
วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม ธรรมที่อยู่ในใจของศิษย์น้อง ไม่ใช่ธรรมที่อยู่ในใจของศิษย์พี่ ธรรมะต่างจากทรัพย์สินเงินทอง แค่นึกถึงมันก็มาหา แต่ถ้าเมื่อไรลืมคิดถึงมัน มันก็จากหายเราไป วันนี้เราคิดถึงพ่อแม่ไหม ถ้าเราคิดถึงเราจะรู้สึกว่าเริ่มเป็นห่วง เริ่มกังวล  แล้วความห่วงกังวลก็ทำให้เรารู้จักว่าเราต้องรู้จักกตัญญู จริงไหม (จริง)  ธรรมะจะไม่เกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย ถ้าคนผู้นั้นไม่มีจิตสำนึกคุณ เหมือนคนที่เราเกลียดมากที่สุด เหมือนศิษย์พี่มาวันนี้เห็นหน้าศิษย์น้องคนนี้ แค่หางตาเห็นก็เกลียดเข้าไส้ แต่ถ้าเกิดสำนึกคุณอย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นคนๆ หนึ่ง มีเขาที่อ้วนจึงมีเราที่ตัวเล็ก สำนึกคุณแค่นี้เราก็รู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็มีคุณค่าที่อยู่ร่วมกันจริงไหม (จริง)  เหมือนกันเราอยู่ในสังคมเราจะไม่รู้สึกรังเกียจใครเลยถ้าเรารู้จักสำนึกคุณของความเป็นคนของเขา จริงไหม (จริง)  คนทุกคนมีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ดังคำที่ฟ้าประทานไว้ว่า “ฟ้าให้กำเนิดสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่า”  ลองดูต้นไม้ มีพันธุ์ไม้ไหนที่ไม่มีประโยชน์ ทุกพันธุ์ไม้ล้วนมีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้นคนในโลกมีใครบ้างไร้คุณค่า ไม่มีหรอก เขาอาจจะไร้ประโยชน์กับเราแต่อาจมีประโยชน์กับครอบครัวเขาก็ได้ จริงไหม (จริง)  เกลียดเขามาก แต่พอเขาตายไปเราก็รู้สึกเสียใจ คิดถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกจะผิดพลาดอย่างไร แม่บอกอยู่ไปก็ทำให้ช้ำใจ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายดีกว่า มีประโยชน์ ไม่เคยทำให้ช้ำใจ  แต่พอลูกออกไปจริงๆ แม่ร้องไห้ให้ลูกกลับมาเถอะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนในโลกมีคุณค่ามีประโยชน์ แต่อยู่ที่ว่าเราทำคุณค่าประโยชน์นั้นเพื่อคนอื่นบ้างหรือไม่ แล้วเวลาเราอยู่ในสังคมบางทีเราเกลียดเขา เราทนไม่ได้ เราไม่อยากทำงานร่วมกับเขานั้นเพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นค่าเขาเพราะเราไม่เห็นประโยชน์เขา แต่ถ้าเมื่อใดเราเปลี่ยนความคิด เห็นค่าเขา เห็นประโยชน์เขา เราจะรู้สึกว่าเราอยู่กับเขาได้  ฉะนั้นตอนนี้เกลียดใครมากๆ กลับไปมองให้เห็นค่าเห็นประโยชน์ของเขาบ้าง   ดีไหม (ดี)  อย่างน้อยมีประโยชน์อย่างหนึ่งคือทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีความเกลียด  เรานั้นเมตตาใจดีกับทุกคน แต่มาถึงคนนี้เรารู้สึกว่าเราเป็นปีศาจทันที อย่างน้อยคนนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าเรารักษาความเป็นคนดีได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่าทุกสิ่งในโลกล้วนมีประโยชน์และคุณค่า
ท่านว่านิ้วหนึ่งนิ้วมีประโยชน์ไหม มีประโยชน์ตรงที่มันมีชีวิต มันกระดิกได้ แต่ถ้าเมื่อใดนิ้วมันแข็งมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  แต่จริงๆ แล้วแม้นิ้วมันจะแข็งแต่ก็มีประโยชน์  ฉะนั้นบางทีนิ้วหนึ่งนิ้วเรามองไม่เห็นคุณค่าแต่เมื่อมันรวมกันอยู่ในมือหนึ่งมือ มันกลับบังเกิดคุณค่านานัปการ บางครั้งเราอยู่ตัวคนเดียวเรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ไม่มีคนยกย่องเชิดชู  แต่อย่างน้อยเราก็เป็นหนึ่งในลูกแม่ที่ทำให้แม่นั้นมีมือที่เคลื่อนไหวได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเป็นคนอย่าคิดสั้นเด็ดขาด พอนิ้วแข็งแล้วจะตัดมันทิ้งเลยได้ไหม (ไม่ได้)
คนเราก็เหมือนกันบางครั้งผิดพลาดไป น้ำมันไหลไปแล้วไม่กลับมา ผมมันขาวแล้วไม่มีวันดำ แต่ใช่ว่าความขาวจะไม่มีประโยชน์ ความร่วงโรยใช่จะไร้คุณค่าถูกหรือเปล่า (ถูก)  จึงมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “ความร่วงหล่น ความสูญเสีย แฝงไปด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม แต่ความเต็มเปี่ยมแฝงไปด้วยพลังอันเสื่อมถอยและเกียจคร้าน”  อย่างเช่นกินอิ่มแล้วใครมีแรงกระปรี้กระเปร่ามีไหม (ไม่มี)  มีแต่กินอิ่มแล้วง่วง แต่เวลาหิวมีแรงจริงไหม (จริง)  อาหารอยู่ไกลแค่ไหนเราก็สรรหาไปกินจนได้ แพงแค่ไหนเราก็ยอมควักจ่ายเพราะเราหิว  ฉะนั้นอย่าดูถูกความเสื่อมถอยเพราะบางครั้งความเสื่อมถอยกลับให้พลังอันยิ่งใหญ่ แล้วก็อย่าเอาแต่ใจความเต็มเปี่ยม เพราะความเต็มเปี่ยมนั้นทำให้เราเกิดความล้าและเกียจคร้าน ค่อยๆ คิดตามเรานะ อย่าเพิ่งต่อต้าน ถ้าต่อต้านแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เราเปรียบเทียบง่ายๆ ท่านไม่ต้องเห็นว่าเราเป็นอะไรก็ได้ แต่เห็นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งมี หนังสือวางอยู่ตรงหน้า จะดูแค่หน้าปกเท่านั้นพอหรือ ทำไมเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีหนังสือแล้วไม่ลองเปิดอ่านดูสักนิดล่ะ จะได้รู้ว่าหนังสือนี้มันคืออะไรใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อเปิดอ่านแล้วให้เปิดใจด้วย ทุกหน้าที่เปิดอ่านคือทุกหน้าที่พร้อมจะเปิดใจดู แล้วค่อยๆ กลั่นกรองว่าจริงหรือเท็จ อย่าวัดคนเพียงแค่สมุดด้านหน้าและด้านหลัง หนังสือแค่ปกหน้าและปกหลัง แต่ต้องมองให้ถึงซึ่งจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากรู้ไหมว่าเราจะพูดเรื่องอะไรต่อ (อยากรู้)  แล้วเมื่อสักครู่เราพูดเรื่องอะไรไว้ (ความทุกข์) อะไรทำให้เกิดทุกข์ จำง่ายๆ ยกตัวอย่าง เสียงดังมักไม่เปล่งบ่อย คนปรบมือดังย่อมดังแค่ทีเดียวถึงจะเรียกว่าดัง  ถ้าปรบมือรัวๆ เราก็รู้สึกว่าธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันคนสวยงามจะสวยได้ ก็ต้องแต่งเติมให้มากที่สุด ตัวเองว่าตัวเองสวย พอทำให้ตัวเองเด่นขึ้นมา ความอัปลักษณ์ก็จะเกิดขึ้น ถ้าคนสวยไม่มีใครแต่งตัวสวยก็จะรู้สึกว่าทุกคนธรรมดา แต่ถ้าวันนี้ศิษย์พี่มาศิษย์พี่พอกหน้ามาเต็มที่ ดูสวยเด่น ศิษย์น้องจะรู้สึกเลยว่าความอัปลักษณ์เริ่มเวียนวนอยู่แถวๆ นี้ ศิษย์น้องจริงไหม (จริง)
จุดเด่นของความสวยก็คือทำให้รู้จักความอัปลักษณ์ได้ทันที แต่ถ้าศิษย์พี่มาหน้าปุๆ ปากย้อยๆ เดินมาถามว่าเป็นยังไงบ้างศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะรู้สึกเด่นขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ในความโดดเด่นนั้นมีข้อดีคือ ทำให้เรารู้จักด้านตรงข้าม และยังสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนอย่าอวดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถ อย่าอวดว่าตัวเองสวย เมื่อไรที่เราอวดว่าตัวเราสวย วันหนึ่งถ้าเราลบสิ่งที่พอกหน้าออกก็จะมีคนถามว่าวันนี้ทำไมเธออัปลักษณ์จัง จริงไหม (จริง) และถ้ายิ่งอวดว่าตัวเองสวย คนก็ยิ่งดูถูกว่าขี้เหร่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ก็เหมือนกัน สรรหาอยากมีเงินเยอะๆ พอมีเงินทองขึ้นคนเขาก็ไม่บอกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองหรอก แต่บอกว่าโธ่เอ๋ย! ใส่ทองก็ปลอม เพชรก็เก๊ ทำตัวเป็นคุณหญิงคุณนาย จริงไหม (จริง)  ถ้าเราอวดว่าตัวเราเก่งสอบได้ที่หนึ่งก็ย่อมมีคนอิจฉาตามมา และก็มีคำพูดตามมาอีกเป็นสิบๆ ร้อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เราพยายามทำแบบนั้นเพื่ออะไร มนุษย์เราทำไมต้องแสวงหามาเยอะๆ ทำไมต้องดึงหน้า ดึงแขน ดึงขาให้ตัวเองสวยๆ เพื่ออะไรล่ะ จริงๆ เราทำเพราะอยากให้คนที่อยู่รอบข้างรักเรา อยากเป็นที่สนใจ มีเงินเยอะๆ อยากให้คนนับหน้าถือตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนเขานับถือศิษย์น้องเพราะหน้าตึงๆ หรือมีเกียรติ หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ คนเขานับถือเราก็เพราะเราเป็นคนไม่ถือเขาไม่ถือเรา ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจกว้างขวาง เขานับถือเราก็เพราะว่าเราเป็นคนธรรมดาแต่อยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่เราเป็นคนที่โดดเด่นจนคนอื่นไม่อยากอยู่ใกล้  แล้วทำไมถึงหาเงินกันใหญ่ แล้วทำไมอยากสวยแล้วสวยอีก มีใครบ้างที่สวยแล้วไม่หยิ่ง แล้วมีใครบ้างที่รวยแล้วไม่จองหอง ยิ่งรวยยิ่งสวยคนก็รังเกียจเป็นทุนอยู่แล้ว ยังเพิ่มนิสัยแย่ๆ เข้าไปอีก ใครจะชอบเรา การทำให้คนรัก นับหน้าถือตามันอยู่ที่การทำตัวเองต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่การมีเงิน ไม่ได้อยู่ที่ความสวย ความหล่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่) จนแล้วจนรอดก็ตอบว่า ใช่ๆ แต่ถึงเวลาก่อนออกจากบ้านก็ขอปะแป้งก่อน ขอแต่งตัวให้สวยๆ หล่อๆ ก่อนออกจากบ้านใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่จะสรุปให้ฟังว่า เสียงดังมักจะไม่พูดบ่อยๆ ถ้าคนเรายิ่งอวดตัวเองว่าเก่งสามารถ คนยิ่งว่าโง่เขลาเบาปัญญา จำหลักธรรมนี้ไว้นะ  คนที่แท้จริง คือคนที่ทำตัวธรรมดาสามัญ ไม่ถือเขา ไม่ถือเรา มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความใจกว้าง คนๆ นี้ถึงจะเป็นที่รักของทุกคน คนๆ นี้ถ้ามีเมตตากรุณาย่อมแผ่ความอบอุ่นไปยังหมู่ชนด้วย เราเคยบ้างไหม ที่รู้สึกว่าอยู่ใกล้คนๆ นี้แล้วรู้สึกร่มเย็นมากๆ (เคย) แล้วลูก สามีหรือภรรยาอยู่ใกล้เราแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ร่มเย็นหรือร้อนเป็นไฟ  สลับกันเป็นเหมือนฤดูกาลใช่ไหม แต่ฤดูของเราไม่มีวันแน่นอน ชั่วโมงหนึ่งร้อน ชั่วโมงหนึ่งเย็น ต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้เป็น แล้วตัวท่านจะไม่สร้างทุกข์ให้กับชีวิตเราและคนรอบข้าง ดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม ใช้สัจธรรมสอนชีวิต อย่าแบ่งภายนอกภายใน อย่าแบ่งแยกตัวเขาตัวเรา เมื่อนั้นเขากับเราก็ไม่ต่างกัน เข้าใจไหม (เข้าใจ)

อะไรที่ทำให้เราร้อนเป็นไฟ ทำให้เราเย็นสงบเป็นน้ำแข็ง ตอบได้ไหม  (สิ่งที่ทำให้ร้อนคืออารมณ์ของเรา ที่จะแปรให้เรามีความร้อนออกมา ระงับสติไม่อยู่  สิ่งที่ทำให้เราเย็น เราก็ยึดธรรมะของพระพุทธองค์ท่านเป็นแนวทางให้เราสงบ)  และอะไรทำให้เราดับร้อนได้ ใช้ธรรมะข้อไหนที่สามารถทำให้ร้อนแล้วกลายเป็นเย็นได้ (ขันติ, ให้อภัย, อดกลั้น, ทำใจเย็น)  สิ่งที่ทำให้เราร้อนมีแค่ความโกรธอย่างเดียวหรือเปล่า  มีสิ่งอื่นไหม (ความโลภ) โลภทำให้เราร้อนได้ไหม ความสมหวังทำให้เราร้อนได้ไหม (ไม่ เพราะผมคิดว่าสมหวังต้องดีใจ)  เหมือนท่านได้ตำแหน่งขึ้นมาหนึ่งตำแหน่ง  สมหวังอยู่ใกล้กับคำว่าผิดหวัง ความสมหวังทำให้เราร้อนใจได้ ถ้าเราไม่ได้มา  ความสมหวังทำให้ดีใจ แต่พอได้ครอบครองความสมหวังแล้ว เราเริ่มวิตกกังวลใจ จริงไหม (จริง)  เวลาร้อนแล้วน่ากลัว แต่อย่างน้อยในความร้อนมีประโยชน์อย่างหนึ่ง คือทำให้มนุษย์รู้จักปล่อยวาง สมหวังมากๆ รู้จักปล่อยมันทิ้งบ้างไหม รู้จักปลงมันเป็นไหม  ไม่เป็นหรอก จนกว่าศิษย์น้องจะผิดหวัง ศิษย์น้องถึงจะรู้สึกว่าเราไม่น่าจับ ไม่น่ากุมมัน แล้วเราก็ไม่น่ารับมันเลย แต่ก็ยังรับอยู่อีก จริงหรือเปล่า (จริง)
เมื่อพูดถึงความร้อนแล้ว แล้วความเย็นมีอะไรบ้าง (บุญ)  ไม่แน่นะ บุญอาจทำให้คนร้อนเหมือนกัน มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งศิษย์พี่อยากเล่าให้ฟัง ในนิทานเขาเล่าว่า แม่กำลังสวดมนต์อยู่ ลูกก็เรียกแม่ แม่ก็ยังสวดมนต์อยู่ ลูกก็ยังเรียกแม่ซ้ำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งแม่หยุดสวดมนต์ แล้วพูดว่ากำลังสวดมนต์อยู่โว้ย  ลูกก็เลยย้อนกลับมา หนูเรียกแม่สิบหนแม่ยังโมโหขนาดนี้ แม่เรียกพระเป็นร้อยๆ หน ท่านไม่โมโหบ้างเหรอ จริงไหม (จริง)  อย่าให้ลูกย้อนเอานะ กำลังทำบุญอยู่อย่าร้อน ต้องใจเย็นๆ ให้พระเข้าไปอยู่ในใจบ้าง ไม่ใช่พระอยู่แค่ปาก ท่องอยู่แค่ปาก แต่ใจไม่เย็นเลย ไม่ไหวนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การดำรงชีวิตอยู่ให้เป็นสุข ใช้คุณธรรมแค่สองข้อ คือ  อย่าบีบคนให้จนตรอก  อย่าเห็นแก่ตัวจนมากเกินไป  ถ้าเรามีสองข้อนี้ เราก็จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข แต่มนุษย์เราโมโหเพราะอะไร  พออยู่ในทางแคบมักจะวางก้ามใหญ่ ไม่เหลือทางให้ใครไว้เดินสักหนึ่งทาง พอมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ตัวเองไม่ให้ใครสักส่วนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออยู่ในสังคมกับคน เมื่อต้องเจอทางแคบ จงเหลือทางให้ผู้อื่นเดินหนึ่งทาง อย่าบีบให้เขาจนตรอก ไม่อย่างนั้น เขาจะกัดไม่เลือกที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำกล่าวว่าในผลประโยชน์เราเอาไว้หนึ่งส่วน แบ่งให้คนอื่นสามส่วน แล้วเขาจะไม่ทำร้ายเรา แต่คนในโลก ผลประโยชน์มีเท่าไร เก็บให้ตัวเองหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเองอยู่เหนือคนอื่นได้ก็พร้อมจะเหยียบย่ำบนหัวให้เขาเจ็บปวดใจ หรือฆ่าให้ตายไปในวงการเลยแล้วเราเด่นอยู่คนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าบีบให้หมาจนตรอก หรืออย่าบีบให้คนจนตรอก ไม่อย่างนั้นคนจะกลายเป็นเสือ พร้อมที่จะแว้งกัดหรือเป็นงูฉกเราได้ทันที เหมือนกันเราอยู่ในสังคม อย่าเพราะผลประโยชน์ จึงทำให้เราไม่รักเพื่อน จึงทำให้เราเห็นแก่ได้ อย่าเพราะว่าถูกบีบคั้น จึงเอาแต่ตัวเองรอด แต่คนอื่นรอดหรือไม่รอดช่างเขา คนเช่นนี้ยากที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แล้วเราเผลอทำหรือเปล่า (ไม่เผลอ)  แล้วคิดว่าเราอยู่ในโลกเป็นคนดีหรือคนร้าย (คนดี)  เราชมว่าเราดี หรือคนอื่นชมว่าเราดี ถ้าเป็นเราชมตัวเองไม่นับนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่เขาชมว่าเราดี ต้องดูด้วยว่าเขาดีจริงไหม ต้องให้คนดีที่ดีที่สุดชมว่าเราดี ถึงจะเรียกว่าเราดีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังมาตั้งเยอะแล้ว บำเพ็ญธรรมคืออะไรล่ะ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การฟื้นฟูจิตใจที่ดีงาม และนำความดีงามนั้นเผื่อแผ่ไปช่วยเหลือผู้อื่น หรือไม่ก็นำความดีงามนั้น มาธำรงรักษาให้เราเป็นคนดีคนหนึ่งให้จงได้ แต่มนุษย์เราไม่สามารถดีได้เพราะมีสองสาเหตุ ใครตอบได้บ้าง (ความเห็นแก่ตัว, กิเลสและตัณหา, ความโลภ, ไม่คบเพื่อนฝูง, ไม่มีธรรมะ)
เป็นคนไม่มีธรรมะเลยดีไม่ได้จริงๆ หรือ  อาจจะเป็นเพราะว่าที่ดีไม่ได้เพราะว่าไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีธรรมะแต่ไม่รู้จักนำธรรมะในตัวตนมาใช้แล้วก็บอกว่าตัวเองเลว เลยไม่อยากดี จริงไหม (จริง) (เป็นคนมักง่าย)  คนมักง่ายทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้คนเป็นคนไม่ดีได้ไหม (ได้)   อย่างเช่นเวลาเข้าห้องน้ำที่คนไม่ราดไว้ ทำให้เราลืมไม่ลง เรากลับหนีเลย แทนที่จะช่วยกันราด กลบๆ ไป กลับหนี  ถึงว่าทำไมศิษย์น้องถึงทำบุญกับห้องน้ำไม่ขึ้น เพราะเห็นสกปรกแล้วหนีเลย มีแต่เมื่อเห็นสกปรกแล้วเราต้องช่วยกันกลบ อย่างน้อยเราพบสิ่งไม่น่าดูคนเดียวอย่าให้คนอื่นเจอด้วย  คิดได้อย่างนี้เขาเรียกเป็นกุศลจิต ใหญ่กว่าทำบุญปิดทองอีก เพราะสิ่งที่เหม็นๆ เราเลือกทำ กุศลยิ่งใหญ่ไม่มีใครรู้ด้วย  ถ้ามนุษย์เรารู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วทำอะไรแล้วทำให้สะอาดไม่ทิ้งเกะกะ ก็จะไม่มีคนมาตามเก็บตามเช็ด  แล้วเราแอบทิ้งให้เกะกะหรือเปล่า ใครกินข้าวแล้วล้างจานบ้างยกมือขึ้น ใครใส่เสื้อผ้าแล้วซักเองยกมือขึ้น ใครอาบน้ำไม่เคยถูขี้ไคลเลยยกมือขึ้น เห็นไหม ตัวเองสกปรกตัวเองยังรู้จักทำความสะอาด แล้วรอบข้างสกปรก ทำไมเราไม่รู้จักหยิบคนละไม้คนละมือ สังคมก็คงไม่วุ่นวายถ้าทุกคนรู้จักรับผิดชอบในความเป็นคน จริงไหม (จริง)
มีอยู่สองสาเหตุที่ทำให้เราทำดีไม่ขึ้นคือ  สาเหตุแรกคือ ไม่เห็นว่าคนที่เราทำดีด้วยมีค่าคู่ควรที่เราจะทำดี  แม้เราจะมีดีขนาดไหน เราอยากเมตตาขนาดไหน พอเห็นเขาไร้ค่า เห็นเขาไม่ดีเราก็ไม่อยากทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเห็นที่สกปรกเราไม่อยากทำ อะไรที่เราทำดีไม่ขึ้น (ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป) จริงหรือไม่ ทำให้บางครั้งคนทำดีมาหนึ่งครั้งแล้วไม่อยากทำดีอีกเป็นครั้งที่สอง ใช่หรือไม่ แต่ศิษย์น้องบางครั้งทำก็ต้องอดทนหน่อย แล้วทำดีอย่าได้หวังผลเลย เพราะหวังผลมักจะผิดหวังในผลทุกครั้งเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงทำดีเพื่อความดี  อย่าทำดีเพื่อหวังผล และความดีนั้นจะไม่ทำร้ายตัวเราเอง
อีกสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์ไม่อยากทำดี ก็เพราะว่าความดีนั้นเติบโตให้ผลช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมพอศิษย์พี่อ้าปากศิษย์น้องรู้ทันทีเลย อย่าปล่อยให้ศิษย์พี่ต้องนำตลอดนะ บางครั้งศิษย์น้องต้องนำตัวเองบ้าง เพราะถึงเวลามีแต่ตัวเราเป็นผู้ตัดสิน แล้วตัวเราเองเป็นผู้ชี้นำตัวเราเองทั้งนั้น วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดก็ให้แสงสว่างเพียงวูบหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเราเองต้องทำให้แสงสว่างนี้จงอยู่นิจนิรันดร์ และความทุกข์ความมืดมนความชั่วร้ายของคนและสังคมจะไม่มาครอบงำใจเราให้เป็นคนเลวเลย จำไว้นะศิษย์น้อง ความดีแม้จะเติบโตช้า แต่ความชั่วนั้นสูญหายยาก  ศิษย์น้องทำดีมาสิบปี แต่แค่ความชั่ววินาทีเดียวคนก็เหม็นไม่ลืมเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำดีให้จงได้ แต่การเป็นคนดีจนถึงที่สุดแล้วเราจะสามารถค้นพบความเป็นพุทธะได้ ขอเพียงตอนนี้ให้ศิษย์น้องดีให้ได้ก่อน ความเป็นพุทธะเดี๋ยวค่อยมาเรียนรู้กันก็ได้ แต่ตอนนี้ธรรมะยังไม่เอา ดียังไม่แน่นอน แล้วจะศึกษาอะไรได้ล่ะ แล้วจะบำเพ็ญอะไรล่ะ แล้วจะพูดถึงนิพพานไปไยเล่า ในเมื่อความทุกข์ยังดับไม่ได้ ความดียังทำไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงจำไว้ว่า ตัวมนุษย์ไม่ใช่ที่สิงสถิตแห่งความว่าง แต่เป็นที่ให้น้ำหรืออะไรต่างๆ มันไหลผ่านมา แล้วก็ผ่านไป อย่าบอกว่าบำเพ็ญต้องทำตัวว่าง อย่าบีบตัวเองให้ว่างๆ ไม่มีวันสำเร็จหรอก แต่จงทำตัวให้เหมือนสายน้ำ ที่ผ่านมาก็ผ่านไป ไม่เหลืออะไรคั่งค้าง แม้อะไรตกหล่นมา ก็มองเห็นได้ชัดเจน เพราะใจเราใสบริสุทธิ์ เอาแค่นี้ทำให้ได้ ได้ไหม (ได้)  อย่าคิดว่ามาหลอกเลยนะ ไม่คุ้มหรอก หลอกให้เขาเหม็นขี้หน้าหลอกทำไม ใช่ไหม  สู้ทำให้เขารัก ทำให้เขายินดีไม่ดีกว่าหรือ ศิษย์น้องเป็นคนมีทิฐิ แล้วถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ลงมาเพื่อให้คนเกลียด ไม่มีประโยชน์นะ มีแต่ลงมาเพื่อปลุกให้มนุษย์ตื่น แล้วรู้ว่าชีวิตนี้ทุกข์จะแย่แล้ว ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะเอาชนะทุกข์ แล้วเอาความทุกข์นี้ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
คิดถึงศิษย์พี่ไหม (คิดถึง)  ให้ศิษย์พี่มาหาศิษย์น้องบ่อยๆ  เมื่อไรศิษย์น้องจะกลับมาหาศิษย์พี่สักที นิสัยที่ไม่ดี เมื่อไรจะแก้กันได้สักที เจอปัญหาก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ไม่เบื่อบ้างหรือ เรามักจะเจอกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ที่เราไม่เคยผ่านได้สักที ใช่ไหม (ใช่)  ต้องรู้ตัวเองได้แล้ว ไม่ผ่านเรื่องอะไรก็แปลว่าเราบกพร่องเรื่องนั้น  อย่าปล่อยให้กิเลสที่มันนอนเนื่องในจิตใจ อย่าปล่อยให้นิสัยความเคยชินที่รู้อยู่แก่ใจมาทำร้ายตัวเราเอง อะไรล่ะที่เป็นนิสัยที่เราแก้ไม่ได้ นั่นแหละคือต้นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อรั้น เกียจคร้าน มักจะทำให้เราต้องผิดหวังไปหลายๆ ครั้งแล้ว ฉะนั้นตอนนี้เราศึกษาบำเพ็ญธรรมจงรู้จักนำธรรมะมาใช้ในชีวิตให้เกิดประโยชน์ อย่าเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง อย่าเป็นเด็กที่เห็นแต่ตัวเองแต่ไม่เคยเห็นจิตใจพ่อแม่ตัวเองเลย อย่าเป็นเด็กที่เถียงแม่เก่ง ไม่ดีเลยนะ  ฟังธรรมะมาตั้งเยอะแล้ว บางครั้งอาจไม่เกิดประโยชน์เลย ถ้าไร้คำว่า “สำนึก”  เกิดเป็นคนจงทำตัวเองให้ดีที่สุด ได้ไหม (ได้)
ถึงเวลาศิษย์พี่ก็ต้องกลับ คนทุกคนเมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปนะ ศิษย์น้องก็เหมือนกัน  อย่าถามว่าศิษย์พี่มาจากไหนแล้วกลับไปที่ไหน แต่น่าจะถามตัวเองว่ามาจากไหนแล้วจะไปที่ไหนต่างหาก กายก็กลับบ้านของกาย แต่กรรมเวรที่เราก่อล่ะอย่าคิดว่าหนีได้พ้น จำไว้นะ ใครทำอะไรก็ต้องได้รับอย่างนั้น อยากจะพ้นนรกแล้วขึ้นสวรรค์ ถ้าไม่เป็นคนดีตั้งแต่วันนี้ ไม่สำนึกแก้ไขตั้งแต่วันนี้ก็สายเกินไป ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไปล่ะนะ รักษาตัวให้ดีนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนประสบความสำเร็จใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจเหตุและผลจุดประสาน
คนต่างวัยความคิดย่อมต่างกัน คนต่างกันไม่ต่างคนต่างไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอาหารอร่อยไหม

จะชนะปัญหาทั้งหลายนั้น ที่สำคัญอย่าได้แพ้ใจตน
อย่าปล่อยให้ปัญหามาเหนือใจตน ให้กังวลเวลาที่คืบคลานมา
เปิดมุมมองให้กว้างกว้างเพื่อชีวิต บำเพ็ญจิตเดินไปสู่วันข้างหน้า
ไม่มีใครคนไหนไม่มีปัญหา แต่ปัญญาศิษย์ทุกคนก็ยังมี
ความเห็นแก่ตนเองทำให้คนเสื่อมเสีย เร่งไกล่เกลี่ยปัญหาอย่าคิดหนี
อันความทุกข์ทำให้ศิษย์เป็นคนดี ความนานปีจะพิสูจน์ถึงบุคคล
การบำเพ็ญก็คือการแก้ไข อย่าเหนื่อยใจในเรื่องการฝึกฝน
บาปหรือบุญอยู่ที่การกระทำตน ความอดทนทำให้ศิษย์ไม่แพ้ใคร
ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนที่มีความสุขคือคนที่คิดในเรื่องที่สมควรคิดเท่านั้น บางทีใจของเรานั้นก็คิดมากไป คิดเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้ ใช่หรือไม่  บางทีคนรอบข้างของเราเป็นอย่างไร เราแก้ได้หรือไม่ แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็เหมือนตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อถ้าหากเรามองคนอื่นแล้วเราแก้ไม่ได้  สู้รวบรวมพลังความคิดทั้งหมดกลับมาแก้ไขตัวเราเอง ดีหรือไม่ (ดี)  ทีนี้จิตใจที่มีความสงสัย จิตใจที่มีความคิดว้าวุ่นสับสนตัดทิ้งไปก่อน ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ก็เป็นวันที่สองแล้วถ้าหากวันนี้ฟังแล้วยังไม่ได้อะไรกลับไปก็ถือว่าไม่ได้ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาแล้วคิดตาม)
การบำเพ็ญธรรมแท้จริงแล้ว คือการแก้ไขซ่อมแซมตัวเราเอง ซ่อมแซมจิตใจ เพราะฉะนั้นอยากให้เราคิดไปถึงสิ่งที่เราทำผิดพลาดต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  มีไหม สามอย่างนี้ถ้าหากใครทำ เป็นเรื่องใหญ่มาก  คิดต่อไปเคยผิดพลาดต่อพ่อแม่ไหม  ทำความผิดต่อความกตัญญู คุณธรรมแห่งตนไหม หากมีความผิดพลาดในเรื่องของความกตัญญูนี้ จะทำให้เราไม่สามารถเป็นคนได้อย่างเต็มคน คิดต่อไปถึงความปรองดองในพี่น้องกับคนรอบข้าง เราเคยทำผิดต่อผู้อื่นไหม คิดต่อไปถึงตัวของเรา นิสัย อารมณ์ของเราเองที่เกิดขึ้นวันหนึ่งไม่รู้กี่หน เราผิดต่อตัวของเราเองไหม คิดด้วยความรู้สึกสำนึก ด้วยความรู้สึกที่อยากจะแก้ไขและอยากจะดีขึ้น ไม่ใช่หลับตาเฉยๆ นะ 
(พระอาจารย์ให้นักเรียนลืมตาขึ้น)
รู้สึกอย่างไรกับการนั่งมอง คิดอย่างไรบ้างกับการนั่งพิจารณาตัวเอง เวลาเปิดตาเรามักจะไม่เคยคิดถึงตัวเราเองเลย  มองไม่เห็นตัวของเราเอง ถ้าอยากให้มองก็ต้องเอากระจกบานหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า แล้วก็มองเห็นแต่ผิวหนัง คิ้ว ตา จมูก หน้าตา รูปร่างของตนเอง เราไม่เห็นเลยว่าตัวของเราแท้จริงเป็นอย่างไร ตัวของเราแท้จริงแล้วเป็นคนดีหรือยัง (ยัง)  ยังไม่ดีหรือ ตอนมารับธรรมะบอกว่าชวนคนดีมารับธรรมะ แสดงว่ามีคนเห็นเราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์นั้นดีตรงไหน ดีตรงที่เห็นว่าตัวเองยังไม่ดีอยู่  อย่างนี้จึงจะเยียวยาแก้ไขได้ เวลามีเรื่องกับคนอื่นใครผิด (เขาผิด)  แต่หลังจากที่นั่งหลับตาแล้วใครผิด (เราผิด)  ทำไมเราถึงผิดล่ะ ถ้าหากเราทะเลาะกับไม้กระดาน ไม้กระดานทำอย่างไรกับเรา (เฉย)  เผอิญเราไปทะเลาะกับศัตรูเกิดอะไรขึ้น สมมติว่าคนนี้เรามองเขาว่าเขาคิดไม่ดีกับเราแน่นนอน ถ้าเราทะเลาะกับเขา เราก็หาเรื่องกับเขาให้ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้ถามต่อไป คนที่เราหาเรื่องกับเขานี้ เพราะว่าเรามองว่าเขาคิดอะไร แต่จริงๆ แล้วเรามองเห็นไหมว่าเขาคิดอะไร
เคยดุลูกทั้งจิตใจรักแสนรักไหม  (เคย)  แล้วทำไมถึงดุ (อยากให้เขาเป็นคนดี)  ลูกฟังแต่เสียงของเรา ไม่เข้าใจถึงความคิดของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่มีความต่างวัย จึงมีความคิดแตกต่างกัน คนที่เติบโตขึ้นมากับคนที่เป็นเด็กอยู่จึงมีความคิดไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทุกๆ ที่ ทุกๆ เวลา จะเจอความแตกต่างอย่างนี้เสมอๆ ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับความแตกต่างนี้ได้อย่างกลมกลืน
อาจารย์ไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนไม่มีเหตุผล  ทุกคนมีเหตุผลเหมือนกันหมดเลย เหตุผลของแต่ละคนก็ดีในสายตาของตัวเอง แม้กระทั่งเด็กอยากจะหนีเที่ยว อยากจะขโมยเงิน เขาก็มีเหตุผลของเขา ความผิดย่อมไม่ตกอยู่ที่ตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะอยู่ด้วยกันในความแตกต่าง จึงต้องหัดที่จะยอมรับความผิดของตัวเอง และต้องหัดยอมถอยเป็นด้วย ถอยนั้นง่ายไหม หากว่าเรายืนอยู่ให้เราถอยไปหนึ่งก้าวทำง่ายไหม (ง่าย)  แต่ความรู้สึกของเราถอยไหม  (ไม่ถอย)  สิ่งที่มีความยากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการทำให้ความรู้สึกของเราถอยตามก้าวที่เราถอยมา หากว่าความรู้สึกของเรานั้นไม่เปลี่ยน ย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเปลี่ยนเราได้
ฉะนั้นการจะเปลี่ยนความรู้สึกของเราทำยากไหม (ยาก)   ดินที่ต้นหญ้าจะแทงขึ้น แข็งหรืออ่อน (แข็ง)  ต้นหญ้าต้องการจะแทงถึงพื้น ใช้ความอดทนสูงไหม (สูง)  ต้นหญ้ามีความอดทนสูงไหม เราเป็นคนแพ้ต้นหญ้าไหม  หากเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ให้ได้ ทำได้ไหม (ได้)  ธรรมชาติความค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ก็สอนให้เรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่ว่าเราต้องมีความคิดจะเปลี่ยนเสียก่อน คำว่าเปลี่ยนอยู่ในจิตใจของเราหรือเปล่า หากว่าเราบำเพ็ญธรรมมานานแล้วเราไม่เคยคิดว่าเราจะเปลี่ยน คำว่าเปลี่ยนไม่เคยอยู่ในจิตใจของเรา ต่อให้บำเพ็ญไปอีกสิบปี ก็เป็นแค่การบำเพ็ญสิบปีแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในนั้น  นิสัยไม่ได้ดีขึ้น อารมณ์ไม่ดีขึ้น อัตตาไม่ลดลง ใครจะเปลี่ยนเราได้ หากเราไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง เมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น เมื่ออยู่ร่วมกันในความแตกต่างกัน กลายเป็นที่เบื่อระอากับคนรอบข้างเท่านั้นเอง แต่เมื่ออยู่ร่วมกับคนบำเพ็ญด้วยกัน แตกต่างกันกับทางโลก เพราะไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมต่อให้มีความแตกต่างกันมากที่สุด ศิษย์ยังต้องทนให้ได้ ทนแล้วเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนให้ดีขึ้นนะ ไม่ได้เปลี่ยนให้แย่ลง
อายุมากแล้ว คนอายุยิ่งมาก  ความมีอัตตานั้นจะยิ่งสูงขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความเป็นตัวตน มีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาก  ฉะนั้นการกระทำของเราจึงต้องหัดที่จะปรับให้ดีขึ้น   หากว่าการกระทำของเราไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี   วันนี้เราตายไปเราจะไปอยู่ที่ไหน เคยคิดถึงเรื่องตายไปไหม  คนที่ยังรุ่งโรจน์ในชีวิตอยู่มักจะไม่คิด  แต่คนที่ชีวิตตกอับมักจะคิดถึงเรื่องของความตาย  ฉะนั้นความทุกข์จึงให้สติแก่คนที่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  พูดอย่างนี้เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ  และเพราะอยากชี้ให้เห็นว่าความทุกข์ที่เราได้รับนั้นเป็นเรื่องที่ดี ความทุกข์นั้นมีอยู่มากมาย  ไม่ต้องหาก็มาเอง  ส่วนความสุขเหนื่อยแทบตายก็มีเพียงหน่อยหนึ่ง ใช่ไม่ใช่ (ใช่)   อย่างนี้อยากมีความสุขหรืออยากมีความทุกข์  เปรียบไปก็เหมือนน้ำสายหนึ่งที่ไหลไปๆ หากว่าสายธารนั้นราบเรียบตลอดเวลา   น้ำก็จะไหลแรง  แต่หากว่าเอาหินมาขวางไว้สักก้อนหนึ่ง  สายน้ำอันนี้ก็จะไหลช้าลง  ดูเหมือนคนที่มีสติใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าหินนี้ขวางอยู่จนทึบ ขวางอยู่มากมายเต็มไปหมดเลย ขวางไว้เป็นสิบเป็นร้อยก้อน  จนกลายเป็นกำแพง   ถามว่าน้ำจะไหลไปได้ไหม  (ไม่ได้)  ก็ยังไหลได้ เพราะน้ำสามารถทะลุทะลวงไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขยังมีไหม (มี)  น้อยหรือมาก (น้อย)  แต่ความสุขที่มีมาน้อยๆ เราจะเห็นคุณค่าได้อย่างมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตนี้ใครคิดว่ามีความทุกข์แล้วดี หรือมีความสุขดีกว่า  ยังมีบางคนตอบไม่ถูก ยังรักพี่เสียดายน้องอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือน้องไม่อยากได้ อยากได้แต่พี่เอาแต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้น  ถามจริงๆ ว่าเวลาที่เรามีปัญหาในชีวิต สิ่งใดที่ทำให้เราคิดได้ ความสุขหรือเปล่า (ความทุกข์)  เวลาที่มีปัญหาในชีวิตสิ่งที่ทำให้เราคิดได้นั้นคือความทุกข์  เพราะว่าความทุกข์เฝ้าบอกเรา ให้เราหยุดอย่าได้ไปเตลิดมากมาย  ฉะนั้นตอนนี้ถือว่าเป็นคนมีโชคดี  โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์มากเป็นคนโชคดีมาก แต่คนที่มีความสุขตลอดเวลาเป็นคนที่ไม่มีโชค เพราะว่าความสุขไม่ได้ให้บทเรียนแก่เราเลย  เชื่อตามนี้หรือเปล่า  (เชื่อ)  ทีนี้อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์  เพราะว่าอาจารย์ตั้งแต่สมัยเป็นคนก็บ้าๆ บ๊องๆ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็สอนให้ศิษย์มองมุมกลับของชีวิต เห็นมุมกลับหรือยัง อยากไปมุมเดียวกับอาจารย์ไหม
หากว่าอยากจะดูดีก็ต้องใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วใส่เสื้อผ้าดีๆ ต้องทำงานหนักเพื่อจะได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วทำอย่างไรล่ะ อย่างนี้เราต้องกลับมามองว่าเราจะดูดีที่ไหน (ที่ใจ) อะไรที่อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่เคยแยกจากตัวเราไปเลย แม้เราจะอาบน้ำอยู่ก็อยู่กับเราตลอดเลย (จิตใจ)  แล้วเราเคยตกแต่งจิตใจของเราให้ดูดีไหม  ตลอดชีวิตสมมติว่ามีชีวิตอยู่ห้าสิบปี ใช้เวลาตกแต่งไปสี่สิบปียกมือขึ้น ให้สิบขวบแรกเป็นตอนที่คิดได้บ้างไม่ได้บ้าง เดี๋ยวนี้เด็กห้าขวบก็คิดได้แล้วใช่ไหม ตั้งแต่สิบขวบไป สี่สิบปีใช้เวลาตกแต่งตลอดมีไหม (ไม่มี)  สามสิบปีมีไหม ยี่สิบปี สิบปี หนึ่งปี (มี) รวมรวมๆ กันได้สักหนึ่งปีได้ไหม (ได้)  บางคนบอกว่าวันเดียวยังไม่ได้เลย ตอนนี้เราเลิกตกแต่งภายนอกร่างกายของเรา เลิกตกแต่งให้นิ้วมีแหวนทอง เลิกตกแต่งให้คอมีสร้อยทอง เลิกตกแต่งให้กระเป๋ามีเงินเต็มๆ เลิกตกแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยหรู เลิกตกแต่งสิ่งที่อยู่นอกกายทั้งหมด แต่เรามาตกแต่งจิตใจ เพราะหากว่าคนๆ นี้ใส่เสื้อผ้ามอซอแต่เป็นคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็มีคนรักได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามจริงๆ ว่าเรารักคนประเภทไหน เรารักคนที่มีเงิน หรือเรารักคนที่จนแต่ว่าเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่ดี เราก็รักคนที่มีมารยาทที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่สำคัญเขาจะต้องดีกว่าเราด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเราต้องมาตกแต่งจิตใจ ให้จิตใจของเรานั้นมีสภาพที่ดีมากขึ้น อย่าให้วิวัฒนาการของโลกที่ทันสมัยก้าวล้ำนำไปทั่ว แต่ว่าจิตใจของเรานั้นมันเสื่อมโทรมยิ่ง เราต้องหันกลับมามองจิตใจของเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราใช้ตาของเรานั้นมองภายนอกมาก ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์หลับตาลงมองใจของตนเอง เพ่งให้เห็นสภาพจิตใจของเราที่ทำผิดพลาดไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว พ่อแม่ เรื่องเกี่ยวกับคนในบ้าน เรื่องเกี่ยวกับนิสัยและอารมณ์ของตนเอง มองให้เห็นถึงความผิดพลาดของตัวเอง สำนึกด้วยจิตใจอันแท้จริง เชิญลืมตาขึ้นได้ ความผิดมีไหม (มี)  เรื่องใดแก้ได้แก้ง่ายกลับไปแก้ก่อน เรื่องใดแก้ยากแก้ลำบากก็ให้เวลาตัวเองอีกนิดหนึ่ง เวลาทะเลาะกันจะมีจิตใจที่สำนึกได้ ว่าตัวเราผิด คนอื่นผิดไหม (ไม่ผิด)  คนอื่นในจิตใจลึกๆ ของเราเขาก็ยังผิดอยู่ แต่ว่าความผิดของเขานั้นมีคำว่าอภัยไหม (มี)  การจะทำให้เขานั้นรู้สำนึกได้ใช้อารมณ์ไหม (ไม่ใช้)  แม้คนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเราเอง เราต้องการให้เขาสำนึก เขาก็สำนึกเพราะกลัวเราผู้มีตำแหน่งสูงกว่า แต่หาได้สำนึกจริงๆ ไม่ ฉะนั้นการที่จะทำให้ผู้อื่นนั้นยอมเราโดยศิโรราบ จึงต้องทำตัวของเรานั้นให้ดี ไม่ใช่เป็นคนที่เข้าข้างตัวเองอยู่เสมอๆ อยากมีความสุขในบ้าน เราต้องเป็นภรรยาที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนบอกว่าเป็นปู่ย่าที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรทำให้คนขาดสติที่สุด คืออารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  มีอารมณ์ไหม (มี)  อารมณ์อะไรเกิดบ่อยที่สุด (โกรธ)  ความโกรธเป็นอารมณ์ที่ทำลายคนบ่อยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความโลภเป็นสิ่งที่อยู่ได้นานที่สุด ความหลง ความรักเป็นอารมณ์ที่ชั่ววูบมากที่สุด ฉะนั้นจะต้องหัดที่จะล้างอารมณ์ของตัวเราเองดีหรือไม่ (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  ได้นานแค่ไหน จากนี้ไปถึงไหน ไหนใครกล้าตอบตลอดชีวิตลุกขึ้นยืนเลย พูดได้ทำให้ได้นะ (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ลุกขึ้นยืน)
เปลี่ยนแปลงตัวเองยากที่สุดคืออดทนกับใคร (ตัวเราเอง)  ยากที่สุดคืออดทนกับอารมณ์ของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นคำว่า “ตัวเอง” มิได้ให้ไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น มิได้ให้ไปทำสิ่งใดกับผู้อื่น แต่ให้กลับมามองตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  ยากก็ต่อเมื่อทำได้บ้างไม่ได้บ้าง คนที่ไม่เคยลงมือทำก็มักจะไม่รู้ แต่คนที่เคยลงมือแล้วมักจะรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ตีกัน ลูกของเราออกจากบ้านไปตีคนอื่น เราจะเข้าข้างลูกตัวเองไหม (เข้าข้าง)  ในความเป็นจริงคือเข้าข้างลูกตัวก็ไม่สมควร  ส่วนไม่เข้าข้างลูกตัวเองก็ไม่ได้ ถึงตอนนั้นทำอย่างไร (เป็นกลาง)  มีใครบอกว่าเราใจเป็นกลางมีไหม เราบอกว่าเราใจเป็นกลางส่วนคนอื่นบอกว่าเราใจเป็นกลางไหม ไม่เห็นมีคนดีคนไหนที่ไม่เคยถูกนินทาใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เคยเห็นคนยุติธรรมคนไหนแล้วคนอื่นมองว่าใจนั้นเป็นกลาง เพราะฉะนั้นทุกคนนั้นถูกนินทาเท่าๆ กันหมด ถูกหรือไม่ (ถูก)  หาใจกลางของตัวเองให้เจอแล้วบอกว่าตัวเองมีใจเที่ยงไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้ ยกมือขึ้น  แสดงว่าเมื่อวานนี้ไม่ยอมลุกขึ้นตอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเยอะไหม (เยอะ)  อาจารย์บอกว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่มีบังเอิญว่าเราถูกตีหัว ไม่มีบังเอิญขโมยขึ้นบ้าน ไม่มีบังเอิญไปรู้จักไปเห็นหน้าคนที่เราเคยรู้จักมานาน ทุกๆ อย่างเป็นเรื่องของสิ่งที่ทำ สิ่งที่ได้รับทั้งสิ้น  คนที่เจอกันบ่อยๆ เราต้องทำดีด้วยไหม (ทำ)  คนที่นานๆ เจอกันทีเราต้องทำดีด้วยไหม (ทำ) คนที่เราเจอกันบ่อยกับคนที่นานๆ เจอกันที  เราควรที่จะทำดีกับคนไหนมากกว่ากัน คนที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นานๆ เจอกันทีเราทะเลาะกับเขาไหม (ไม่ทะเลาะ)  ทำไมล่ะ (นานๆ เจอกันที)  แล้วคนที่อยู่ด้วยกันทุกวันๆ ทะเลาะกับเขาไหม (ทะเลาะ)  เพราะว่าอะไรล่ะ  เพราะว่าเราเห็นเขาเป็นของกล้วยๆ เจอกันทุกวัน ทะเลาะกันเท่าไหร่ก็ต้องกลับมาเจอกัน   แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร คนที่เราอยู่ด้วยกันคือคนที่เราเลือกเขามาอยู่กับเราแล้ว คนที่เราเคยทำบุญกับเขามา คนที่เราเลือกเขามาเป็นคู่ แล้วเราทะเลาะกับเขาทำไม เพราะเราเห็นเขาว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยกับเรา เราไม่มีที่ลงจึงไปลงที่เขาหรือ   แล้วเขาจึงเห็นเราเป็นที่อะไร (ที่ระบาย)  เพราะเราเห็นเขาเป็นที่ระบายเขาก็เห็นเราเป็น (ที่ระบาย)  ระบายกันไประบายกันมาแล้วมีความสุขไหม  ไหนบอกว่าอยากมีความสุข ตกลงอยากมีไหม (อยาก)  บางคนโมโหร้าย ตอนไม่โมโหอย่างกับพระเดินมา แต่ตอนโมโหนี่เป็นอย่างไร เป็นนักเลงหัวไม้วิ่งมา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอย่างนี้กลัวไหม (ไม่กลัว)  ผู้ชายบอกว่าไม่กลัวเห็นนักเลงหัวไม้วิ่งมาก็รับ ทีนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ นานๆ เจอกับเขาทีก็ต้องดีด้วย  ส่วนคนที่อยู่กับเราทุกๆ วัน คนที่สนิทกับเรา คนที่เป็นคู่เรา เรายิ่งต้องดีกับเขา ต้องดีกับเขาเป็นเท่าทวีคูณ  คนที่เป็นพ่อแม่เรา เรายิ่งต้องดีกับเขามากกว่าคนที่เป็นลูกของเราอีก  เพราะคนที่เป็นลูกเรานั้นยังเด็ก เขามีเวลาอีกเยอะ ส่วนพ่อแม่ของเรายิ่งมีเวลาให้กับเราน้อย ถ้าหากว่าเราทำดีกับเขาเหมือนกับทำบุญไหม (เหมือน)  ถ้าหากพ่อแม่อดข้าวเป็นอะไรไหม (เป็น)  ลูกอดข้าวเป็นอะไรไหม ลูกอดข้าวอาจอดได้หลายมื้อ แต่พ่อแม่อดข้าวอาจจะตายในมื้อนี้ก็ได้   เพราะฉะนั้นความคิดของเรานั้นจึงต้องกลับมุม เพราะ บางทีเรารักลูกของเรา พ่อแม่ของเรานั้นก็รักเราใช่หรือเปล่า (ใช่) มุมมองที่ออกมาจากช่องหน้าต่างแคบไหม ให้ศิษย์ยืนอยู่ที่ช่องหน้าต่างแคบๆ แล้วมองออกไปมุมมองแคบไหม (แคบ)  ถ้าให้ศิษย์ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งๆ มุมมองกว้างไหม (กว้าง) ทำไมมุมมองของเราถึงได้แคบลง เพราะว่าเรานั้นมีจิตใจที่แคบ ทุกวันก็เห็นแต่ตัวเอง ทำให้เราไม่สามารถสร้างสรรค์พลังที่สร้างทุกสิ่งได้ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ทุกๆ สิ่งที่อาจารย์พูดมาตั้งแต่ต้นไม่พ้นตัวเอง คือหมายความว่า โลกทั้งโลกจะเปลี่ยนได้ ก็คือเปลี่ยนตัวของเราเอง สิ่งที่ร้ายจะเปลี่ยนเป็นดีก็คือเปลี่ยนใคร (ตัวเอง)  เหมือนคนเล่นการพนัน เขาเรียกผีพนัน หรือนักพนัน  (ผีพนัน)  พอเล่นพนันมากๆ ก็กลายเป็นผี ใช่ไหม คนกินเหล้ามากๆ เรียกว่าอะไร นักเลงสุรา นักเลงสุราก็เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่สุดโต่งในทางไม่ดีก็มักจะมีชื่อใหม่ให้ เราจะต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ตั้งแต่เรื่องภายนอกมาถึงภายใน มองภายนอกเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด แล้วซึมซับมาเป็นพลังเก็บไว้ภายใน ซึมซับในสิ่งที่ดีแล้วปล่อยพลังที่อยู่ภายในออกไปหาทุกสิ่ง พลังที่มาจากภายในโดยแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เวลาเราหลับตาเรารู้สึกถึงคนอีกคนที่อยู่ข้างในไหม คนๆ นั้นก็คือความคิดของเราที่คอยบอกถึงความผิดพลาดของตัวเอง เป็นคนที่พร้อมจะแก้ไขตนเอง คนๆ นั้นมีพลังขึ้นอยู่ที่ศิษย์จะยอมให้คนๆ นั้นมาแสดงบทบาทหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นคนๆ นั้นจะเป็นคนที่คิดดีอยู่ข้างใน พลังภายในมาจากไหน บางทีมาจากภายนอก มาจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากว่าเราเฝ้าแต่ทะเลาะกับคนในครอบครัว สามี ภรรยา ลูก หากว่าเราเฝ้าแต่อารมณ์เสียหงุดหงิด หากว่าเราเฝ้าแต่เป็นคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง แสดงว่าคนๆ นี้ไม่มีพลังที่ดี ฉะนั้นเราต้องสร้างสภาวะแวดล้อมตัวเองให้ดีเสียก่อน ต้องกลับไปมีความอดทนมีขันติในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ต้องเห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในมือของเรา อย่าคิดว่าสิ่งที่ดีกว่าคือสิ่งที่คนอื่นมี ต้องคิดว่าสิ่งที่เรามีนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเราจะกำแอปเปิลเน่าอยู่ผลหนึ่ง คนอื่นจะถือแอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดมาจากต้น แต่แอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดลงมานั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา แอปเปิลที่กำลังจะเน่าในมือของเราต่างหากของเรา อย่าได้โลภอยากได้ของคนอื่น เราจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับตนเอง ดีหรือไม่ (ดี) หากว่าผลๆ นี้ที่กำลังจะเน่า เราก็เอาผลที่เน่านี้ไปปลูกใหม่ให้ขึ้นเป็นต้นใหม่ แต่ต้องใช้ความอดทนรอวันเวลาหรือถ้าหากว่ายังกินได้ เราก็เลือกหั่นเอาส่วนที่ดีมากินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นส่วนที่อยู่ในมือของเราก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่ได้เป็นของๆ เรา เราจึงต้องหัดพอใจในสิ่งที่เรามี มนุษย์มากมายมีปัญหารุนแรงก็เพราะไม่รู้จักพอ ยามใดรู้จักพอยามนั้นปัญหาก็จบลง ปัญหาของคนก็คือความไม่รู้จักพอ จิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเพราะว่าเราไม่รู้จักพอ ฉะนั้นถ้าหากเรารู้จักพอเมื่อไร เราก็คือคนที่มีความสุข มีสติมากที่สุด และก็เป็นคนที่มีธรรมะมากที่สุด พลังที่ออกมาจากภายในก็คือพลังที่เรารู้จักพอได้นั่นเอง พลังที่ออกมาจากภายในก็คือความอดทนที่ส่งออกมาให้คนรอบข้างได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรามี ให้คนรอบข้างรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนของพลังของเราที่จะผลักดันสิ่งต่างๆ แต่ไม่ใช่เฝ้าอวดอ้าง โอ้อวด เหมือนคนทำชั่วพอทำดีเข้าสักนิดหนึ่งก็อวดโอ้ไปใหญ่โต อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ให้เอาพลังที่อยู่ภายใน เอาความสุขุมคัมภีรภาพ เอาความเรียบร้อย   เอามารยาทอันดีงามไปโน้มน้าวชักจูงผู้อื่น  ดียิ่งกว่าคำพูดเพราะ
หากว่าเขาประทับใจในกิริยามารยาทอันดีงามของเรา เขาจะสามารถนำสิ่งที่พบเห็นจากเราไปเปลี่ยนแปลงตัวของเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างที่บอกในโลกนี้ไม่มีใครที่บังคับใครได้ แม้แต่ศิษย์ยังไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ฉะนั้นอย่าได้คิดไปบังคับคนอื่น ตอนนี้มีพลังจากข้างในหรือยัง รู้จักพลังข้างในของตัวเองหรือยัง ดึงพลังของตัวเองออกมาใช้ อาจารย์เชื่อว่าคนเก่าจะเข้าใจคำพูดของอาจารย์ได้มากกว่า เวลาที่เราท้อ หมดแรง ผิดหวัง เวลาที่เราเจอปัญหา พลังที่จะเติมเต็มให้เรานั้นไม่ใช่มาจากการไปผ่อนคลาย เพราะเมื่อผ่อนคลายเสร็จอาจารย์เห็นก็ยังหมดแรงเหมือนเดิม เพราะว่าพลังนั้นไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ที่ข้างในของเรา การทำใจได้ ทำใจเป็นของเราเท่านั้นที่จะสามารถคืนพลังให้กับเราได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเป็นคนดี แม้อาจารย์จะสอนศิษย์ให้ศิษย์เป็นคนดีแต่ศิษย์ก็วางสิ่งที่อาจารย์พูดอยู่ดี พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากจะมายืมร่างให้ศิษย์เกิดความยึดติด มัวแต่สงสัยจนไม่สามารถฟังธรรมะรู้เรื่อง แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด และก็รวดเร็วที่สุดที่สามารถทำได้ ไม่ต้องตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ต้องเอาอาจารย์เข้าไปอยู่ในใจของตนจนไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมะนี้คืออะไร ให้ศิษย์ของอาจารย์สนใจธรรมะที่ได้รับมา ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ให้เวลาในการฟังธรรมะ ศึกษาเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นไป ทำจิตใจให้เป็นจิตใจที่ดีงาม ใสสะอาดเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ดึงอาจารย์ไว้อย่างนี้เวลาที่ศิษย์ท้อหรืออยากจะห่าง แต่ถึงเวลานั้นอาจารย์ไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนมีจิตใจมาดึงอาจารย์ไว้แบบนี้ เวลาท้ออยากจะเลิก นึกจะพูดอะไรก็พูด คนเราต้องมีความสำนึกให้มาก คิดจะเปลี่ยนต้องให้จริงจังนะ ทำตัวให้อาจารย์ช่วยได้นะศิษย์นะ รู้ไหม
มองไปวันนี้ศิษย์บางคนที่เป็นคนเก่ากำลังถูกปัญหารุมเร้า ปัญหาที่มาจากภายนอก ปัญหาที่มาจากภายในใจ ปัญหาที่มาจากสารพัดทิศสารพัดทาง แต่อาจารย์ขออย่างเดียว ปัญหาใดๆ อย่าให้ศิษย์นั้นแพ้ใจตัวเอง ให้รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราพูดอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ให้รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรเสมอๆ เป็นการย้ำเตือนให้สติตัวเอง คนที่บำเพ็ญมานานจึงมีความลำบากกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญ เพราะว่าคนที่บำเพ็ญนาน หากบำเพ็ญนานแล้วยังไม่ก้าวหน้า ก็ดูเสียเวลาที่จะบำเพ็ญ แต่หากศิษย์ไม่บำเพ็ญชาตินี้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
รู้จักระงับอารมณ์มีสติให้มาก อย่าทำเสียเรื่องเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบ โลกนี้มีคนปรารถนาดีต่อเรามากมาย คนที่ปรารถนาดีต่อเรานั้นยังอยู่ใกล้ตัวเราอยู่ อย่ารอให้เสียเขาไป อย่าพูดคำที่เจ็บช้ำน้ำใจลงไปแล้วมาเสียใจทีหลัง หนำซ้ำยังเป็นคนที่พูดขอโทษไม่เป็น พาลจะเสียเรื่องไปใหญ่ ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที มีสติกับสิ่งที่ทำลงไป ปัญหาหนักจะได้กลายเป็นเบา ปัญหาเบาจะได้กลายเป็นไม่มี ทำให้ดีที่สุด คำนี้พูดง่ายแต่ทำยาก แต่หวังว่าศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์ทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์ยังพยายามและยังทำได้อยู่
ยามท้อคิดถึงอาจารย์ให้มากนะศิษย์นะ ดึงอาจารย์ไว้เหมือนวันนี้ที่ศิษย์ดึง ใช้ใจของศิษย์ดึงใจอาจารย์ไว้ ให้อาจารย์นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งอยู่กับศิษย์ในเวลาที่ศิษย์ท้อแท้มากที่สุดนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “ดึงพลังมาจากภายใน”
พลังแห่งความคิดที่สร้างสรรค์ อยู่บนฐานความถูกต้องมีขอบเขต
วันคืนที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จ ฝ่าไม่เสร็จเพราะกิเลสจากภายใน
บางทีต้องลงมือให้ถูกเวลา บางปัญหาต้องปล่อยวางจึงแก้ไข
เมื่อรักสิ่งที่ทำอยู่ไม่ขื่นใจ ความสงบให้พลังไร้สิ้นสุด
เมื่อมังกรทะยานขึ้นแหวกเวหา จะดำดิ่งลึกสุดหล้ามหาสมุทร
การยึดติดบรรดาสิ่งสมมติ ทำให้หยุดจิตเสรีที่ภายใน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา