วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-10 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


PDF  2544-11-10-เหยรินเต๋อ #12.pdf

หมวด: เมตตาปัญญากล้าหาญ

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

มวลมนุษย์ลุ่มหลงสุขสบาย และเหนื่อยหน่ายเห็นบำเพ็ญเป็นลำบาก
อันโลกนี้เรื่องยากคือทำใจยาก และลำบากหรือไม่ล้วนอยู่ที่ใจ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนบูรพา เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีทั้งหลาย  เกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา

จงฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้ปรากฏ มาละลดเหล่ากิเลสให้หมดสิ้น
อันเชื้อเพลิงอย่าเหลือในใจชาวดิน ยามได้ยินพิจารณาปัญญาคม
เกิดเป็นคนประเสริฐสุดกว่าสิ่งใด จงได้ใช้โอกาสตนอย่ามัวหลง
ทั้งลาภยศเงินทองใจไม่ปลง จะยิ่งหลงยิ่งลึกยากช่วยคืน
อันแท้จริงมีแต่ตนช่วยตนได้ อย่าเย็นใจอยู่ในวัฏสงสาร
อันเกิดแก่เจ็บตาบเรื่องทรมาน น้องรู้กาลอันคับขันเร่งบำเพ็ญ
อย่าปล่อยตนอยู่ในโลกแสงสี เป็นคนดียังต้องบำเพ็ญเพิ่ม
ชำระจิตให้สะอาดเป็นประเดิม ขอจงเริ่มแต่วันนี้ด้วยตั้งใจ
สามวันแห่งประชุมธรรมศึกษาธรรม การกระทำต้องสำรวจตนครั้งใหญ่
ในอดีตแม้เคยทำพลาดไป อนาคตจะไม่ให้ผิดซ้ำรอย
จงแสดงศรัทธาด้วยการปฏิบัติ เดินทางรัดชาตินี้อย่าให้เสียเปล่า
จงตื่นขึ้นจากความฝันไม่มัวเมา อย่าดูเบาจิตภายในล้วนพุทธา
อริยะสำเร็จไปจากมนุษย์ แดนวิมุตติทุกท่านล้วนมีส่วน
อย่าต้นดีปลายร้ายเฝ้าเรรวน ใดสมควรเร่งเท้าไปเผชิญ
น้องทุกท่านต่างมีบุญกับพุทธะ จงสละทั้งสามวันหมั่นศึกษา
อย่าได้ให้จิตเกิดอวิชชา ใช้ปัญญาที่มีอยู่ในตัวตน
หลังจากจบชั้นไปแล้วหมั่นกลับมา โลกมายามากปัญหาขบไม่แตก
การบำเพ็ญต้องมีใจมุ่งมั่นดุจแรก อย่าได้แทรกความหลงคอยบังตา
ในบัดนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนขอน้องข้าตั้งใจยิ่ง
จงเป็นคนที่มีศรัทธาจริง รักษายิ่งพุทธระเบียบในชั้นเรียน
จงอย่าได้มีจิตใจเคลือบแคลงหนัก จงโปรดรักตนเองเลิกอบายมุข
ขอให้คนที่ยังล้มได้เร่งลุก ขอให้ทุกข์ในจิตใจสลายลง
มีจิตใจเสมอต้นปลายให้จงดี ขอจงพลีเวลามาฝึกฝน
ขอจงเชื่อสามารถกลับเบื้องบน ขออดทนต่อสิ่งที่ไม่สมใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่  ๑๐  พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๕
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซีนน ท่านจงหลีเฉวียน

อย่าชื่นชนความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน
จงยอมรับคุณค่าแห่งกันและกัน สูงสุดคือสามัญธรรมดา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกา  แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

พลังชีวิตอุ่นอาบอยู่ในตัว ฤทัยทั่วยังอบอวลความกระตือรือร้น
ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต
ถึงปัญหาหลายครั้งปัญญามี มองคนที่ความดีงามชีวิต
เป็นกลางพลางใช้ปัญญาช้อนคิด ใช้อดีตความผิดช่วยส่องภัย
สู่ชีวิตมีไฟคนมีธรรม กระแสน้ำดุจจ่อจดเที่ยงจุดหมาย
ไม่มีจิตวอกแวกให้อันตราย หนึ่งจิตใจเพียงดิ่งไหลดำรง
หากใจมุ่งลึกเหวแห่งมายา คนเมินฟ้าแดนคับขันประชันหลง
สะดุ้งรู้ฝึกตนเป็นผู้มั่นคง ก้าวบรรจงกิเลสใหญ่ยิ่งพาเพลิน
อัตตาอย่าแฝงในคนปล่อยวาง เมตตากว้างใจช่วยคนน่าสรรเสริญ
เห็นแก่ตนใช้ไม่กลางเจริญ อัตตาเกินเราเป็นแกนตัดสิน
คนฉลาดอาจไม่ตรองสำรวมใจ ประมาทไปขาดการตริตรองสิ้น
น้ำตาเป็นเลือดไม่ย้อนเวลาผิน ฟ้าถวิลคือปรองดองการรวมตัว
งานสรรค์สร้างไม่อาจขาดความอุตส่าห์ พิจารณาถี่ถ้วนเห็นมองให้ทั่ว
ชีวิตดั่งความฝันกว่าฟื้นตัว ดั่งเหยี่ยวมองต้องทั่วใช้เวลา
ย่อมใจกว้างคนที่วางตระหนี่ จงไม่มีแง่เหลี่ยมแห่งอัตตา
บำเพ็ญธรรมเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า วิริยะใกล้มาเรื่อยบ้านของเรา
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านจงหลีเฉวียน

ฟังธรรมะมาทั้งวันแล้ว  มีความอดทนมากน้อยแค่ไหน (อดทนมาก)  ต้องทนมากไหนในการฟังธรรม (มาก)  มากเลยหรือ  มีทั้งต้องใช้ความอดทนมากและอดทนน้อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว  ถ้าข่ออารมณ์ตนเองไม่ลงจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)  แล้วใครทุกข์ท่านทุกข์หรือคนที่พูดธรรมะ  ตัวเราเองหรือใครทุกข์ (ตัวเราเอง)  ถ้าให้เลือกระหว่างทุกข์และสุขจะเลือกอะไร (สุข)  ถ้าข่มอารมณ์ไม่ได้ก็เกิดความทุกข์  แล้วใครทำให้ใครกันล่ะ (เราทำตัวเอง)  จะโทษคนที่บังคับให้ท่านมาฟังได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  โทษได้เหมือนกันเพราะก้าวพลาดมาแล้วใช่หรือเปล่า  โดนพามาแล้วก็ต้องนั่งใช่ไหม  แต่จะสุขจะทุกข์นั้นอยู่ที่ตัวเองใช่หรือไม่  แม้ว่าต้นเหตุจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของเราทั้งหมดก็ตาม  เราถูกเรียกให้มา  ถูกพามาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ  แต่อย่างไรเราก็ต้องหาความสุขท่ามกลางที่ที่เราไม่สมหวังดั่งใจ
“อย่าชื่นชมความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน”
ในโลกปัจจุบันนี้มีทั้งคนที่เห็นแก่ตัวและคนที่กินแรงคนอื่นเป็นจำนวนมาก  เราจะอยู่ร่วมกับเขาในสังคมได้อย่างไร  ถ้าเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำเช่นนั้นด้วยคงไม่ดีแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเผลอเป็นคนหนึ่งในนั้น  จงพยายามให้กำลังใจคนขยัน  แต่อย่าได้ต่อว่าหรือเดินออกห่าง  เพราะหลายต่อหลายคนนั้นไม่รู้จักว่าอะไรคือการทำงาน  อะไรคือความขยัน  รู้แต่ว่าถ้าฉันไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ดี  ถ้าตัวเรานั้นไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ถูกใจนัก  หากเรายังเป็นคนอย่างนี้และรู้จักว่าตนเป็นคนอย่างนี้  ก็จงมองให้ออกว่าคนที่ขยันนั้นบางครั้งเขาก็ต้องการความช่วยเหลือไม่มากก็น้อย  ต้องการคำพูดดีๆ ไม่มากก็น้อย  แต่ไม่ใช่เราขี้เกียจแล้วกลับไปว่าคนขยันว่าขยันเกิน  เช่นนี้หรือเรียกว่าการให้กำลังใจคนดี  ย่อมไม่อาจเรียกว่าใช่  แล้วเราอยากเป็นผู้ทำลายความดีบนโลกนี้ด้วยน้ำมือเราเองหรือด้วยคำพูดของเราบ้างหรือไม่ (ไม่)  แล้วเราจะทำอย่างไร  นอกจากพูดส่งเสริมเขาสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือต้องเป็นให้ได้อย่างเขาไม่มากก็น้อย  ไม่ใช่เห็นงามเห็นหน้าที่  เราเดินหนี  เช่นนี้เราก็จะเป็นคนที่หนีงานไปตลอดชีวิต  และไม่มีทางเป็นงานได้เลย  ในปัจจุบันนี้สังคมทุกคนต้องมีหน้าที่ไม่มากก็น้อย  แต่หน้าที่อย่างหนึ่งที่เราต้องพึงมีและรู้จักทำนั่นก็คือ  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เห็นใจซึ่งกันและกัน  ใครตกทุกข์ได้ยากเราต้องรีบลงไปช่วยอย่าได้ช้า  อย่าได้เกียจคร้าน  ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้ที่ทำลายความดีไปทีละเล็กทีละน้อย  และถ้าโลกนี้ปราศจากความดีแล้วใครเล่าจะเป็นคนดี  ฉะนั้นขอความดีจงเริ่มต้นจากใจของท่านและ
ลงแรงด้วยน้ำมือของท่านเอง  เห็นอะไรที่เป็นงานเป็นการหรือมองอะไรไม่ออก  ก็ลองดูคนที่เขาทำอย่างไม่หยุดนั่นแหละ  แล้วค่อยๆ ศึกษาจากเขาแล้วเราจะรู้ว่าความขยันคืออะไร  เราเห็นบ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะชมคนที่ฉลาดมากกว่าชมคนที่ความดี  โดยเฉพาะลูกหลานเรา  เมื่อให้ไปสิบบาทแต่จ่ายไปห้าบาท  เก็บอีกห้าบาท  แล้วก็บอกว่าจ่ายหมดแล้ว  ถ้าจับได้เรากลับชมลูกว่าฉลาดเราชมถูกหรือเปล่า  ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าให้ลูกไปหยิบไม้เรียวมาเพราะเป็นความผิด  ลูกดันไปหยิบไม่เรียวอันเล็กๆ มา  แทนที่จะหยิบอันใหญ่ๆ เราชมลูกว่าฉลาด  เวลาใครโกง  โกงได้ร้อยบาทสิบบาท  กลับเอาคำพูดนี้ไปบอกต่อคนอื่นแล้วชมเพื่อนว่าฉลาด  เราภูมิใจแทนและอยากเลียนตามใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เลยทำให้สังคมปัจจุบันนั้น  เด็กเข้าใจสิ่งที่ผิด  เพราะว่าตัวท่านเองบอกว่าฉลาดจังลูก  แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  แล้วอย่างนี้เขาจะแก้ไขไหม (ไม่)  จากหนึ่งทำได้ก็จะต้องเป็นสองและจะต้องมากกว่านั้น  ฉะนั้นเราต้องชี้ให้เขาเห็นก่อนว่าอะไรผิดอะไรถูก  แล้วก็ต้องลงโทษในความฉลาดของเขา  แล้วเขาจะไม่ฉลาดใจทางนี้อีก  อยากให้ลูกฉลาดหรืออยากให้ลูกดี (ดี)  แต่ทำไมชมฉลาดมากกว่าชมดี  อยากให้หลานหรือเป็นคนดี (คนดี)  แต่ขยันชมจังเลยเวลาเขาฉลาดเราไม่ขอเรียกว่าฉลาดได้ไหม  เรียกว่าเจ้าเล่ห์  ตัวเล็กแค่นี้ยังบ่มเพาะความเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้  ถ้าโตไปล่ะ  แต่ก่อนที่จะถามว่าถ้าโตไปนั้น  เขาเอาความเจ้าเล่ห์มาจากไหน  ถ้าไม่ใช่คนรอบข้าง  เหมือนที่เรารู้จักกันว่าความรู้ได้มาจากการศึกษา  พฤติกรรมได้มาจากใหน  แล้วความคิดควรได้มาจากสิ่งใด  ให้ท่านคิดก่อน
หากท่านคิดว่าเด็กคนนี้กล้าแสดงตัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาคงกล้ามาก จริงหรือไม่ เป็นองค์ไหนไม่เป็น  เป็นจงหลีเฉวียนด้วย  ลองคิดให้ดีๆ ว่าการที่เขากล้าแบบนี้  บาปมหันต์หรือเปล่า  หรือว่าเขามาจริงๆ
ฟังธรรมะแล้วต้องมีแต่ความกระชุ่มกระชวย  และขอให้มีอย่างนั้นไปตลอดทั้งสาม  ชุ่มชื่น  กระชุ่มชวยเพียงวันนี้  แล้วอีกสองวันก็หายไป  ช่างน่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะคืออะไร  ธรรมก็คือหลักแห่งการประพฤติปฏิบัติของความเป็นคน  จะเป็นคนธรรมดาที่สมบูรณ์แบบหรือคนเหนือคนขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกหลักธรรมะใดมาปฏิบัติ
เมื่อตอนเริ่มต้นเราทิ้งคำถามไว้สองคำถาม  ความรู้ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้จึงทำให้เรารู้  แล้วความประพฤติเกิดจากอะไร  ทำไมเราจึงมีความประพฤติเช่นนี้ (สิ่งแวดล้อม)  สิ่งแวดล้อมใกล้หรือไกล (ใกล้)  เกิดจากสิ่งแวดล้อมใกล้ๆใช่หรือไม่  ลูกเราเดินเหมือนเราไหม  ไม่เหมือนพ่อก็เหมือนแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าความประพฤติเกิดจากครอบครัว  พ่อแม่  พี่น้อง  เราต้องมีความประพฤติส่วนใดส่วนหนึ่งที่คล้ายกับครอบรัวในบ้านเรา  ไม่มากก็น้อย  แล้วความคิดได้มาจากสิ่งใด  ความคิดเกิดจากการอบรมสั่งสอน  และการสั่งสอนของพ่อแม่แต่ละคนมีบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกันไหม (ไม่เท่า)  แล้วมีเหตุผลที่สมบูรณ์แบบไหม (ไม่สมบูรณ์)  ดังนั้น  ถ้าเราให้ความคิดของลูกหลามาจากความประพฤติและการสั่งสอนของเรา  ความคิดของลูกหลานจะเที่ยงธรรมไหม (ไม่เที่ยง)  เพราะแต่ละบ้านย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป  แปลว่าเขาย่อมผิดพลาดได้  ถ้าเกิดเขาไปอยู่ในสังคมแล้ว  เขาจะเอาสิ่งใดซึ่งสามารถมีความคิดที่ถูกต้องแม่นยำและเที่ยงตรง  ไม่ใช่เหตุผลที่เข้าข้างหรือเอนเอียง  หรือยึดติดในความชิน  เราเคยคิดกันบ้างไหม  โดยส่วนใหญ่เกิดมาก็ไม่รู้  มีชีวิตอยู่ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเอาความคิดของเรามาจากไหนกันที่ทำให้เราสามารถเป็นคนดีที่เที่ยงตรง  ที่สั่งให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้  ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ผิดพลาดบ่อยๆ เป็นที่ต้องการ  ไม่มีใครรังเกียจ  แปลว่าความคิดเราไม่มีใครรังเกียจ  แต่ความคิดเราต้องเที่ยงตรงใช่หรือไม่ และได้จากอะไร คิดออกไหม ใจของท่านลำเอียงไหม (ลำเอียง)  บางครั้งลำเอียง เวลามีของสิบส่วน ถ้าหนึ่งในการแจกนั้นมีลูกหลานเราด้วย เราให้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  การตัดสินใจใครผิดใครถูก  ถ้าหนึ่งในนั้นมีลูกของเราอยู่ในจำนวนนี้ด้วย เราจะลำเอียงไหม (ลำเอียง)  แล้วทำอย่างไร  ถึงจะทำให้เราเที่ยงได้ (ธรรมะ)  จากธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงลืมธรรมะกันล่ะ เพราะไม่ค่อยได้คิด ไม่ค่อยได้เอามาใช้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราใช้โลกนี้คืออะไร เงิน ทอง และความสามารถ และความเจ้าเล่ห์ฉลาด เราได้ใช้ธรรมหรือเปล่า  ใครไม่เคยใช้เลยยกมือขึ้น ตั้งแต่เราเด็กจนถึงโต จนป่านนี้ไม่เคยใช้ธรรมะสักข้อเดียว ยกมือขึ้น เพราะเราเห็นเป็นสิ่งไกลตัว เป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ค่อยได้ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นสิ่งที่ทำแล้วเหมือนคนปิดทองหลังพระ  ไม่มีใครชื่นชมเราก็เลยค่อยๆ หนี  ค่อยๆ ทิ้ง  แล้วก็ค่อยๆ วางลงไป โดยไม่รู้ตัวหรือโดยตั้งใจ จริงหรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่น ทำดีแล้วไม่ได้ดีก็เลยเลิกทำ ทำงานขยันกว่าคนอื่นแต่เจ้านายดันให้คนที่เอาหน้ามากกว่า  เลยเลิกขยันใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนที่แต่ก่อนพูดน้อย แต่พอพูดน้อยแล้วอย่างไร ไม่ได้ดี ก็เลยพูดมากๆใช่หรือไม่ เป็นคนที่แต่ก่อนไม่เคยว่าใครเลยแต่ทำไมคนช่างว่าเรา ก็เลยว่าคนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าเราพ่ายแพ้คุณธรรมในตัวตนเอง แต่เพราะเราเข้าใจหลักธรรมไม่ถ่องแท้ เราจึงทิ้งธรรมกันเป็นทิวเป็นแถว  จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วต่อไปนี้จะทิ้งอีกไหม (ไม่ทิ้ง)
ถ้าให้เราแสดงอภินิหารก็ไม่มีประโยชน์หรอก  เพราะเดี๋ยวนี้  อภินิหารกับมายากลไม่แตกต่างกันเลย จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราจะมองสิ่งที่ลวงหลอกหรือมองสิ่งที่เป็นจริงดีกว่ากัน สู้มองสิ่งที่เป็นจริง แล้วใช้ได้ตลอด ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่
เมื่อครู่เราพูดว่าความคิดต้องได้จากหลักธรรม หลักธรรมคอยชี้นำความคิด  คอบควบคุมความคิด  และคอยตักเตือนความคิดของเรา  ไม่ให้ก้าวผิด  ไม่ให้ก้าวพลาด
มนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดย่อมมีพลังใช่หรือไม่ (ใช่)  พลังที่ออกจากมนุษย์  มีอยู่สองทางคือ  พลังกายและพลังใจ  พลังกายเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพลังใจนั้นขับเคลื่อนตามขึ้นด้วย  กายกับใจถ้าเกิดขับเคลื่อนพลังพร้อมกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน  งานที่ทำย่อมสำเร็จ  แต่ถ้าเกิดว่ากายอยากทำอย่างหนึ่ง  ใจคิดอย่างหนึ่ง  เวลาทำย่อมผิดพลาดและอาจจะล้มเหลวได้ใช่หรือไม่  แล้วในพลังใจนั้นยังประกอบไปด้วยสองอย่างคือ  พลังใจฝ่ายดีกับพลังใจฝ่ายร้ายใช่หรือไม่  พลังใจฝ่ายดีนั้น  ย่อมสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นและสำเร็จด้วยดีได้  แต่พลังฝ่ายร้ายแม้จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้  แต่ว่าทำให้คนเป็นอย่างไร  ทั้งทุกข์และเจ็บช้ำและเบียดเบียนทำร้ายได้  ฉะนั้นเมื่อเวลาเราจะผลักร่างกายนี้ขับเคลื่อนร่งกายนี้ให้ทำสิ่งใดก็ตาม  เราอย่าลืมมองที่พลังใจของเราด้วยความคิดที่มีธรรมะว่าใจเรานั้นฝักใฝ่ฝ่ายดีไหม  ในเรานั้นคิดดีเป็นพื้นฐานหรือไม่  หากไม่มีความดีหากไม่ฝักใฝ่ดี  อย่าออกมาซึ่งการกระทำ  ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนเจ็บช้ำมากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งคำที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “โจรถ้าอยู่กับโจรย่อมทำร้ายซึ่งกันและกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง  แต่ถ้าเกิดจิตใจของมนุษย์  ตั้งอยู่ในที่ผิดแล้ว ทำร้ายตัวตนเองมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก” ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวเช่นนี้ คำว่าตั้งที่ผิดหมายความว่าอย่างไร นั่นก็คือ ถ้าใจยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เข้าใจหรือเรียนรู้อย่างไม่เที่ยงตรง เวลาทำสิ่งใดย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมผิดพลาด)  ย่อมผิดพลาด  ย่อมเกิดผลร้ายภายหลังใช่หรือไม่  ฉะนั้นไม่าจะทำสิ่งใดขอให้ตรวจสอบใจและลองมองย้อนที่ใจตัวเราเองว่าตั้งอยู่บนคุณธรรมความดีไหม  ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรมหรือเปล่า ถ้าทุกขณะที่คิดเช่นนี้  ไม่ว่ากายหรือใจจะทำสิ่งใดย่อมยากที่จะก่อผลร้าย
“ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต”
ถ้าเกิดว่าพลังใจนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องแล้ว ใจนี้จึงเปรียบได้ดั่งน้ำอมฤตที่ต่อเติมลงไปในร่างกายใครก็จะเกิดแต่สิ่งที่สัมฤทธิ์ผล  และเป็นมงคลจริงไหม (จริง)  เอาง่ายๆ วันนี้ถ้าใจท่านคิดร้าย  อย่างเช่นเด็กคนนี้หลิกลวง  เด็กคนนี้แสดงละคร  วันนี้ท่านจะไม่ได้อะไรจากเสือตัวนี้เลย  จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านคิดดีจริง  ไม่จริงไม่เป็นไร  ลองฟังดูว่าน่าสนใจไหม  ถูกต้องไหม  จริงเท็จไหม  บางทีท่านอาจจะได้  โดยที่จับเสือมือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สำคัญอย่างหนึ่งต้องมีความกล้า  เมื่อจะเข้าถ้ำเสือแล้วต้องกล้าที่จะจับเสือ  หรือไม่ก็ต้องกล้าอย่างน้อยไม่ได้แม่เสือก็ต้องได้ลูกเสือใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพร้อมจะจับไหม  จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ได้)  อย่าไปพึ่งพิงอาวุธใดเลย  เหมือนกับท่านอยู่ในโลกนี้  ท่านก็เหมือนต้องออกไปจับเสือใช่หรือไม่  เงินทองเหมือนเสือไหม (เหมือน)  ท่านว่าเหมือนไหม  ไม่มีปากแต่ทำเราเจ็บไหม  ไม่มีปาก  ไม่มีร่างกายทุบตีเรา  แต่ทำเราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ชอบ  ชอบจับเหลือเกินใช่ไหม  วันไหมไม่ได้จับวันนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่  ทั้งที่รู้ว่าจับแล้วก็ต้องอาจเจ็บบ้าง  ต้องอาจทุกข์มาก  อาจทุกข์บ้าง  แต่ก็ขอจับก็ยังดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนธรรมหรอกนะท่าน  ท่านมามือเปล่าหรือมีอาวุธ  จับอย่างไรก็ไม่เจ็บ  จะเจ็บก็ตรงที่ว่า  ท่านมีกิเลสจับแล้วถึงเจ็บ  ท่านมีอัตตาตัวตนจับแล้วจึงทุกข์ใช่หรือไม่  แต่ถ้าท่านมาด้วยความว่างเปล่า  จับธรรมไปเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  รัยธรรมะไปทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์แถมธรรมะยังทำให้ท่านเป็นคนเหนือคนหรือว่าเป็นคนยิ่งกว่าคนด้วย  เอาไหม (เอา)  วันนี้เอา  สิบวันจะเอาหรือเปล่า  มนุษย์เรานี้แปลก  ถ้าให้เห็นประโยชน์อยู่ตรงหน้าใครบ้างไม่เอาใช่หรือไม่  แต่ถ้าเราบอกว่า  ธรรมะคือกระดาษเพียงเล็กๆ แค่นี้  เอาไม่เอา (เอา)  เพราะเราให้ท่านถึงเอานะ
สิ่งใดในโลกนี้ทีไม่มีประโยชน์เลยให้หามาหนึ่งอย่าง  และสิ่งใดในโลกนี้ที่เรียกว่าว่างเปล่าให้หามาอีกหนึ่งอย่าง (กิเลส,วัตถุ, คิดว่าไม่ต้องหาที่ไหนอยู่ที่ตัวเราเอง  อยู่ที่ใจเราเองถ้าใจเรามีทุกข์สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์, ความหลงผิด, ความว่างเปล่า)  กิเลสนั้นหากท่านรู้จักใช้อย่างพระพุทธองค์  ความทุกข์ โลภ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเหมือนหนึ่งในกิเลสทั้งมวล  ท่านสามารถเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้ท่านตรัสรู้  อย่างนี้เรียกว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (มี)  พระพุทธองค์สอนว่า  อริยสัจสี่  เราต้องเข้าใจและรู้ให้แจ่มชัด  ถ้าเราเข้าใจอริยสัจสี่ที่เรียกว่าทุกข์  เราจะรู้แจ้ง  สิ่งใดในโลกที่ไม่มีประโยชน์เลย (ความหลงผิด)  ความหลงก็ไม่ถูก  ดูง่ายๆ พระพุทธะอย่างองคุลีมาลย์เคยหลงผิด  แล้วท่านตื่นจากความหลงผิดที่ยิ่งใหญ่  จึงทำให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธในปัจจุบัน  ดังนั้นความหลงผิดก็มีประโยชน์  ความว่างเปล่ามีประโยชน์ไหม   อย่างเช่นห้องมีตันหรือกลวง  ห้องมีเต็มหรือว่าง  ในความว่างจึงมีความเต็ม  แล้วในความเต็มเช่นเต็มกำแพงแต่กลวงตรงกลางจึงทำให้เกิดประโยชน์  เหมือนแก้วน้ำ  ถ้าแก้วน้ำเต็มมีประโยชน์ไหม (มี)  อาจจะเอาไปวางเป็นที่ทับของได้  แต้ถ้าแก้วน้ำว่างมีประโยชน์หรือไม่มี (มี)
เราเฉลยว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ไม่มีประโยชน์  หญ้าหนึ่งใบมีประโยชน์ไหม (มี)  บางคนเอามาแคะหู  เอาไปแหย่เพื่อน  กระดาษแม้เพียงเล็กนิดเดียว  แต่ถ้าเขียนอะไรสักหนึ่งข้อความ  ไปฝากคนที่อยากรู้  มีประโยชน์ไหม (มี)  แปลว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์  และในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นยารักษาโรคทุกอย่างล้วนรักษาโรคได้  วันนี้ท่านเสียใจแต่ถ้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งส่งมาหาท่าน ท่านกลับยิ้มได้ กระดาษก็รักษาท่านได้  เสื้อผ้าหนึ่งตัวที่ท่านว่าไม่มีประโยชน์  ลองเอาไปให้คนที่ไม่มีแม้สักหนึ่งชิ้น  มีประโยชน์ไหม (มี)  อะไรคือความว่าง (ความนึกคิด)  เพราะว่างจึงได้นึกคิด  ความนึกคิดไม่ใช่ความว่างทำไมเราจึงบอกว่าให้ท่านไปหารู้ไหม เพราะว่าความว่างต้องใช้รูปลักษณ์หรือเปล่า (จริง)  ท่านอื่นตอบได้ไหม ตบมือให้สามท่านผู้กล้าที่มาจับเสือ มีคำกล่าวว่า “หากจะจับเสือต้องใช้ความกล้า แต่หากจะจับลิงในใจต้องใช้ปัญญา” วันนี้ท่านก็เหมือนตัวแทนสองคนที่จะต้องจับลิง  ก็คือใจของเราที่เหมือนลิงวิ่งไปวิ่งมา  จังให้มั่นแล้วใช้ปัญญาคิดให้ออก จับลิงได้มั่นแล้ว ลิงตัวนี้จะเดินไปจับเสือด้วยความกล้าถูกไหม (ถูก)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีใจที่ชอบขบคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจนี้สั่งสมความรู้และคุณธรรมเป็นสิ่งที่ดีแล้ว  ใจนี้จะบังเกิดปัญญาซึ่งเป็นความรอบรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ใจของมนุษย์วอกแวกไม่อยู่นิ่ง แม้ยืนฟังตรงๆ นิ่งๆ แต่ใจวอกแวกใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้นั่งอยู่กับเก้าอี้ตัวนี้  แต่ใจฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยใช่หรือเปล่า  จึงทำให้เรายังจับลิงไม่ได้  แล้วจะมาจับอะไรกับเสือตัวนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่านจงเอาปัญญานี้จับให้อยู่  เมื่อปัญญาคุมตัวเองได้ เมื่อนั้นปัญญาจะสามารถจับทุกสิ่งในโลกนี้ได้อย่างถูกต้องและไม่ทำร้ายใคร และไม่เกิดผลพวงที่เรียกว่าความทุกข์ มีคำกล่าวว่า  “ใจนั้นถ้าข่มได้จะสำเร็จและบังเกิดประโยชน์  และถ้าใจนั้นควบคุมบังคับได้  จะบังเกิดความสุขที่แท้จริง”ใช่หรือไม่  แต่คนเราหรือตัวท่านหรือเมธีในห้องนี้เกือบหมด  จับใจไม่ค่อยได้  ข่มใจได้บ้างไม่ได้บ้าง  บังคับใจยิ่งเหลวใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องมองซ้ายมองขวามองที่เรานั่นแหละใช่หรือหรือ (จริง)  เวลาไปจับเสือข้างนอก ในโลกที่เรียกว่าเงินทองจึงโดนเสือกัดเสียเจ็บไปหมด  เวลาไปจับคนที่อยู่ในโลกเพื่อจะหาความรัก  เพื่อจะหาความสมหวังจึงต้องทุกข์บ้าง ผิดหวังบ้าง เพราะไม่รู้จักจับใจตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้อะไรไปบ้างหรือยัง ได้ลูกเสือไปบ้างหรือยัง ได้ไปหรือยัง (ได้)  เสียอยู่อย่างหนึ่งอะไรรู้ไหมที่ทำให้จับไม่ได้เลย นั่นก็คือความกล้าๆ กลัวๆ เราก็เป็นคนเหมือนท่านมาก่อน แต่ก่อนก็เป็นคนที่หวาดกลัว แต่พุทธะสอนไว้ว่ากลัวอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับกลัวใจตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่กลัวตัวเอง  กลัวคนอื่นมากกว่า กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้  เวลาทำผิดใช่ไหม (ใช่)  คำสอนคำหนึ่งที่พระพุทธองค์สอนไว้ก็คือ จงมีความละอาย ความละลายเกรงกลัวต่อบาป แต่จริงๆ แล้ว ความหมายโดยนัยท่านต้องการสอนว่า  “จงมีความละอายเกรงกลัวต่อบาปของตนเอง”  หรือเกรงกลัวตนเองนั่นเอง เพราะถ้าเกรงกลัวคนอื่น วันนี้เขาไม่เห็น ท่านก็กล้าที่จะทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรกลัวตัวเองจะเห็น ละอายตัวเองที่จะรู้ ทำไหมความผิด (ไม่ทำ)  ไม่ทำไม่ว่าที่ลับที่แจ้งเพราะว่าละอายใจตัวเอง กลัวตัวเองเหมือนที่ปราชญ์โบราณสอนไว้ว่า “อยากให้คนอื่นเคารพท่าน  ตัวท่านนั้นต้องเคารพตัวเอง” คือไหว้ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาไหว้เรา แต่คือการปฏิบัติกระทำแต่สิ่งที่ดีให้คนเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเราอยากจะเป็นคนดีได้ สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกคือ ความผิดต้องไม่กล้ำกราย แต่ก่อนนั้นอาวุธเราฝึกมานักต่อนักแล้ว เราไม่หวาดกลัวที่จะเข้าไปเผชิญภัย เราไม่หวาดกลัวที่จะเผชิญอันตราย แต่คนที่จะหวาดหวั่นได้คนที่จะไม่หวาดกลัวใจต้องกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว จึงพร้อมที่จะเผชิญความยากลำยาก ไปเผชิญเภทภัย แต่ถ้าท่านขาดซึ่งความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวแถมพ่วงท้ายไปด้วยความมั่นคง หากขาดซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายท่านก็ต้องพ่ายแพ้จริงหรือไม่  ความกล้าหาญต้องมี ความดีต้องปฏิบัติ  ความร้ายเราต้องหลีกหนี  แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญกาลยุคขาว ความร้ายห้ามหนี เมื่อร้ายยิ่งต้องเดินเข้าไปช่วย ยิ่งดีต้องรักษาให้คงมั่น แต่สำคัญคือต้องกล้าหาญและมั่นคงเด็ดเดี่ยว ท่านถึงจะไปช่วยคนที่เลวร้ายและฉุดเขาขึ้นมาจากนรกหรือทะเลอันว่ายวนนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนหลายคนในโลกนี้มักจะหลีกหนีคนไม่ดีเข้าใกล้คนดี แล้วอย่างนี้ความดีจะเติบโตได้ไหมในสังคม (ไม่ได้)  แล้วท่านมีความดีกับความไม่ดีอยู่ในใจไหม (มี)  ถ้ามัวแต่คิดถึงแต่สิ่งที่ดี แต่ท่านไม่เคยล้วงเอาความไม่ดีของตนเองออกมาชำระล้าง ออกมาแก้ไข แล้วความไม่ดีนี้จะหมดไปจากใจไหม ไม่หมด ตราบใดที่มนุษย์ยอมรับว่าตนเองมีแต่ความดี เมื่อนั้นความไม่ดีในตัวจะไม่มีวันล้างหมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งน่ากลัวของมนุษย์อีกอยางหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่าย วนไปแล้วก็ต้องวนกลับมาอีก นั่นก็คือ ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่  ไม่ว่าจะแก่หรือผู้เฒ่า ย่อมมีทุกข์เหมือนกันหมดนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์อย่างหนึ่งที่อยากให้ท่านได้เรียนรู้วันนี้ก็เป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวล  นั่นคืออะไรรู้ไหม (กิเลส, ทุกข์, ความโลภ, ใจ)  อย่ากลัวที่จะกล้า
มีใครตอบได้อีก ฟังหัวข้อสัจธรรมไปแล้วมิใช่หรือ เราเลือกคำถามที่ง่ายและคนตอบได้ง่าย (พลัดพรากจากที่สิ่งที่รัก)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักทำให้เราทุกข์ แล้วทุกข์ครั้งหนึ่งจะทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นไม่รักใครอีกเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องกลัวการพลัดพราก (ไม่ดี)  ไม่ต้องพบใครเลยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเราจะต้องพยายามทำใจ  และนี้เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่  เหมือนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโลกนี้เราหนีไม่พ้น ถ้าเกิดท่านทำใจได้เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านก็จะทำใจได้ และถ้าหนึ่งทำได้อีกสิงต้องทำได้ เราขออวยพรนะ
ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  ยืนเป็นกำลังใจให้นักเรียน และยืนเป็นกำลังใจให้เราได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นต้องยืนให้สง่างาม
ถ้าให้ท่านตอบคำถามโดยไม่ให้อะไรก็จะไม่มีกำลังใจในการทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านทำแล้วหวังผลกำลังใจอย่างนี้ไม่เรียกว่าดี  มีใครท่านใดตอบอีกไหม ก่อนที่เราจะเฉลย (ไม่สมหวังดั่งใจ,รัก โลภ โกรธ หลง)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีเหตุผล รู้ว่าทำผิดก็ยังมีเหตุผล ขนาดรู้ว่าตัวเองผิดคุกเข่าไปร้องไห้ไป ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ศิษย์ผิดไปแล้วแต่เพราะมีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้ว่าผิดไม่จำเป็นต้องพูดเหตุผล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดูออก แต่บางครั้งความทุกข์ ความผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ มนุษย์ละอายเกินกว่าที่จะหันกลับไปเห็นธรรมใช่ไม่ (ใช่)  เหตุหนึ่งที่พลัดพรากจากธรรมก็คือละอายใจ ไม่มีหน้าไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน้ากลับไปเป็นคนดี เพราะว่าเคยทำผิดมา แต่เราอยากย้ำเตือนให้ท่านรู้ไว้ว่า พุทธะทุกพระองค์เห็นความทุกข์เห็นปัญหา และเอาความทุกข์มาทำให้ท่านตื่นหรือตรัสรู้เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในอริยสัจสี่  หรือตรัสรู้ในสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ เหตุแห่งการดับทุกข์คืออะไร แล้วทุกข์มาจากไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคามผิดพลาดและความบาปสามารถทำให้มนุษย์ตื่นได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นองคุลีมาลย์ ฆ่าคนมากี่คน ทำร้ายคนมามากเท่าไหร่  ทำไมท่านยังกลับตัวกลับใจได้ แล้วนับอะไรกับความผิดของตัวท่าน ถ้าเทียบกับองคุลีมาลย์ท่านยังผิดน้อยกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะตื่นรู้หรือไม่ จงตื่นรู้จากความทุกข์ทุกข์ความผิดพลาดนั่นแหละ  รู้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจจะ เป็นความจริงแท้ ที่ธรรมดาทุกคนต้องมี ไม่มีใครพ้นแต่เราจะยิ้มสู้หรือเราจะทุกข์ทนสู้เราต้องยิ้มสู้และใช้สติยั้งคิดใช่หรือไม่ ใช้ปัญญาเป็นตัวฟันฝ่าออกไป จึงจะเรียกว่ายิ่งทุกข์เท่าไรยิ่งตื่นเท่านั้น ใช่ไม่ (ใช่)  ตื่นในความไม่รู้ มนุษย์เราทุกข์เพราะไม่รู้ทางออก ไม่รู้ว่าในทุกข์นั้นมีความสุขอยู่  ไม่รู้ว่าในสุขมีทุกข์อิงแอบจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราลุ่มหลงยึดติด
ฉะนั้น เราจงตื่น ยิ่งทุกข์ต้องดีใจว่าชีวิตนี้ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสียแล้ว ความสวยงามแฝงไปด้วยพิษภัย ความสะดวกสบายแฝงไปด้วยความทุกข์ทนและเจ็บปวด เมื่อไรที่เราติดในความสุขมาก เมื่อสุขหายไปเราจะทุกข์มาก เมื่อเราติดในรักมาก เราพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เมื่อนั้นเราจึงมีทุกข์  ฉะนั้นอย่าได้ติดสิ่งใด  จงมองสิ่งเป็นความว่าง  แม้จะเห็นว่ามี  แต่จงมองสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ให้มองเห็นและรับรู้ว่าทุกสิ่งล้วนชั่วคราว แม้กายตัวนี้ แม้ผลไม้ลูกนี้ หากถูกกินหมดแล้ว ชั่วคราวไหม  ถูกคนลักไปชั่วคราวไหม (ชั่วคราว)  แต่ทำใจไม่ได้ เพราะอะไร (เพราะยึดมั่นถือมั่น)  ถูกต้องแต่เพราะไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้เผื่อใจ ไม่ได้เก็บใจ ไม่ได้เก็บใจไว้เผื่อทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้ผิดหวัง  จงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้รับความว่าง ทำได้ไหม (ได้)  เหมือนกระเป๋า ร่างกาย เส้นผม  ชุดของเรา จงเผื่อใจไว้ว่าสักวันจะกลายเป็นความว่าง ถ้าเราเผื่อใจไว้ทุกขณะจิต ทุกขณะจิตยั้งคิดว่าเผื่อใจเราจะไม่ทุกข์ เหมือนตัวเพื่อนเรา เหมือนตัวคนสนิทญาติมิตรเรา เหมือนแม้กระทั่งคำพูดของคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา เผื่อไว้ว่าพูดวันนี้ก็คือความว่างในวันรุ่งขึ้น ทำไมเราเก็บเอาคำพูดไปเป็นความมีหรืออารมณ์ มนุษย์เราเสียแล้วพลาดแล้ว ทำไมจึงต้องเอาอารมณ์ของเราเสียเข้าไปอีก ตัวตนเสียยิ่งขึ้นไปอีก แม้เขาจะพูดผิดไปแล้วพลาดไปแล้ว เราจะเอาอารมณ์ของเรา ไปเกี่ยวผิดด้วยหรือ ไม่อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องดึงกลับมา แล้วยั้งคิดว่าพรุ่งนี้ก็คือความว่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ก็ได้  อีกสิบนาทีเสียงนี้ก็หายแล้ว ฉะนั้นอย่าได้กลัว ทุกคนต่างมีชะตา ชะตากำหนดไว้แล้ว แม้คนร้อยคนจะแช่งให้ท่านตกนรก แต่ถ้าท่านเป็นคนที่ทำดี มีความดี คำพูดนั้นก็ไม่สาปส่งให้คนนั้นตกนรกจริงๆ อย่ากลัวคำพูดคน อย่ายอมแพ้การตั้งใจกระทำความดี เอาชนะอารมณ์ของตัวเองให้ได้
เราเป็นคนปกติอย่างไร มีอารมณ์โกรธไหม (มี)  นั่งอย่างนี้เคยโกรธไหม รักไหม มนุษย์มีความปกติใช่หรือไม่ (ใช่)  ความปกติก็คือไม่รัก  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เห็นสิ่งถูกใจจึงเกิดรัก แต่ก่อนปกติเรามีรักไหม (ไม่มี)  พอเห็นคนโอบอุ้มประคับประคองเราก็ไม่รู้หรอกว่า นี่เรียกว่ารัก จนกระทั่งได้เรียนรู้สัญลักษณ์ เรียนรู้ถ่อยคำ การแสดงออก จึงเรียกว่ารัก เราผิดปกติหรือปกติ (ผิดปกติ)  พอมีคนมาพูดกระทบใจให้ไม่ถูกหู  โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ปกติหรือไม่ (ไม่)  พอโกรธเรายอมรับเลยว่าไม่ปกติ  แต่พอรักก็บอกว่าปกตินะ แต่จริงๆ แล้วชีวิตของเราโดยปกติมี รัก โลภ โกรธ หลงไหม (ไม่มี)  โดยปกติของมนุษย์แล้วไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง แต่พอมีเสียงมาให้ได้ยิน มีสิ่งของมาให้มองเห็น รัก โลภ โกรธ หลง วิ่งเข้ามาสู่ใจ ถ้าในใจเรามีหลายห้อง ห้องใดเรียกว่ารัก เมื่อมองเห็นสิ่งใดที่พ้องเข้ากับห้องของความรัก  อารมณ์รักก็เกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ ก้องใดที่พ้องกับความไม่ถูกโฉลก น่าเกลียด รังเกียจ อารมณ์โกรธไม่ชอบก็บังเกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ หรือที่เรียกว่าสัญญาใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้จงหมั่นล้างใจให้สะอาดวางใจให้บริสุทธิ์ พอมีสิ่งของมากระทบตา มือไปกระทบสิ่งใด หูสัมผัสสิ่งใด เมื่อใจว่างเปล่าอารมณ์จะบังเกิดไหม (ไม่บังเกิด)  แต่ใจมนุษย์ปัจจุบันนี้สกปรกยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็ว่าแก่แดดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพื่อนเราต้องให้ความหวัง ต้องเป็นมิตร ต้องจริงใจ ต้องเสียสละ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็บอกว่าไม่ใช่มิตรใช่ไหม แต่ถ้าท่านล้างใจให้บริสุทธิ์ทุกขณะจิต สิ่งไม่ดีในใจล้างออกให้หมด ให้ใจเราสะอาด ให้ใจเราว่างไม่มีสิ่งใด  เมื่ออะไรมากระทบอะไรมาสัมผัสก็จะเกิดความว่างสะท้อนกลับไป อารมณ์ก็จะไม่มี ถูกไหม  แล้วตอนนี้ปกติหรือยัง (ไม่ปกติ)
มนุษย์เราในโลกนี้มีทั้งคนดี คนร้าย คนเข้มเข็งและคนอ่อนแอ ฟ้าปรารถนามากที่สุดก็คือความปรองดองในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่มนุษย์เราเมื่อเห็นความแตกต่างก็เกิดจิตแบ่งแบก เมื่อเกิดจิตแบ่งแยกก็เกิดการยึดมั่นถือมั่น ดี ชอบ ร้าย เสีย และกำหนดตาบตัวในจิตใจ ความทุกข์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมจึงบังเกิดความแตกแยกจึงมีให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ฟ้าปรารถนามากที่สุดคือ คนเราอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองแม้นไม่ใช่เกิดมาจากสายเลือกเดียวกันแต่เป็นคนที่เกิดอยู่บนโลกเดียวกันก็เป็นพี่น้องกันได้ก็รักกันได้ เหมือนตัวท่านกับตัวเราแม้นเราจะเกิดคนละยุคคนละสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผูกใจไว้นั่นก็คือจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งความดีที่ยังคงสานเชื่อมต่อกันอยู่ ที่ยังคงสานทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้มนุษย์เป็นคนที่ดีอยู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากลงมาโปรดมนุษย์บนโลกนี้ให้กลับคืนขึ้นไปให้จงได้  เพราะว่าท่านยังมีจิตที่เรียกว่าฝ่ายดีอยู่ เมื่อไรที่มนุษย์สามารถขยายจิตฝ่ายดีให้เต็มใจจนไม่เหลือฝ่ายร้าย  และเอาฝ่ายดีไปฉุดช่วยคน เขาก็คือคนๆ หนึ่งที่เรียกว่าพุทธะ แต่ถ้าเมื่อเรามีความคิดฝ่ายดีและทำทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกขณะเพียงเพื่อตนเอง เพียงเพื่อแสวงหาให้กับตนเองโดยไม่คิดถึงความทุกข์ของใคร เขาก็ยังเรียกว่าปุถุชนหรือมนุษย์ เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธะกับมนุษย์บนโลกหรือยัง ก็คือท่ามกลางการมีชีวิตเราแสวงหาความสุข การหลุดพ้นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ช่วงที่แสวงหาเราสามารถยื่นมือไปช่วยคนได้ด้วย เราสามารถโอบอุ้มประคับประคองคนได้ด้วย ด้วยหัวใจแห่งธรรมะ ที่เรามีนั่นคือพุทธะบนแดนดินทำได้ไหม (ได้)  ยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก)  หากทำได้นั่นคือผู้บำเพ็ญธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  หากเมื่อใดที่เราทุกข์ เราลองหันไปมองความทุกข์ของผู้อื่น แล้วเรายื่นมือไปช่วยคนที่ทุกข์กว่าเราจะพบความสุขที่แท้จริงและความสุขที่เจิดจรัสในการช่วยคนให้พ้นทุกข์ ลองไปหาดู บ่อยครั้งมนุษย์โลกนั้นค้นหาความสุขโดยการที่ช่วยแต่ตนเอง หรือหาทางดับทุกข์เพื่อตนเอง ลองหันกลับไปดูว่าเมื่อใดที่คนอื่นทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ด้วย และเราไม่สนใจที่จะหาความสุขในตนเอง แต่กลับไปช่วยค้นหาความสุขให้กับมนุษย์  เรากลับพบความสุขที่เจิดจรัสยิ่งกว่าความสุขที่หาให้กับตัวเองยิ่งนัก และถ้าทำได้ จากพุทธะจะเรียกว่า โพธิสัตว์ จากเซียนเดินดินจะกลายเป็นโพธิสัตว์บนแดนโลกเอาไหม (เอา)  น้ำหนึ่งสายจะเกิดได้นั้น ต้องเกิดจากก้าวแรกของตัวท่าน และเป็นสายที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือการสืบเท้าต่อไปเรื่อยๆ วันนี้จะบำเพ็ญเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับก้าวแรกของท่าน  หากก้าวแรกเริ่มต้นดีก็จงสืบเท้าก้าวก่อไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบสิ่งที่ดียิ่งกว่าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ มนุษย์เราหาเงินทองมาก็มาก หาลาภยศชื่อเสียงมาก็ไม่น้อย ทำไมไม่หาความสุขแห่งการหลุดพ้นและฉุดช่วยมวลชนกลับคืนเบื้องบนบ้าง ลองไปทำดูนะ ถ้าท่านทำได้จากพุทธะก็กลับเป็นโพธิสัตว์  จากมนุษย์ก็เป็นพุทธะเอาไหม (เอา)
อยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ตาเราเมื่อมองเห็นจงมองให้รอบๆ จงมีความรอบคอบ จงมีความรอบคอบ จงมีความสุขุมและระมัดระวัง ปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าดำรงชีวิตทุกย่างก้าวเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบาง” เราจงมีความสุขุมและระมัดระวังดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำได้ไหม (ทำได้)  ความผิดพลาดก็จะบังเกิดได้น้อยยิ่งนัก แต่จะบำเพ็ญธรรมได้นั้น แม้วันนี้เราจะพูดได้ดีเพียงใดก็ตาม ถ้าท่านรู้จักปล่อยวางหน้าที่การงาน ทิ้งความสนุก ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต แล้วกลับมาแสงหาคุณธรรม ความเป็นพุทธะในตัวตน วันนี้ฟังไปทั้งวันหากท่านไม่ปล่อยวางหน้าที่การงานบ้างก็เปล่าประโยชน์ถ้ากลับไปแล้วยังหมกมุ่นเหมือนเดิม จริงหรือไม่ (จริง)  กลับไปแล้วคงพร้อมที่จะมีใจให้เวลากับตัวเอง อย่าลืมว่ามนุษย์เรานั้นหากใจอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องก็จะนำมาซี่งความสุข จะยืนอย่างไม่หวั่นไหว ก็มีคุณธรรมเท่านั้น อารมณ์ความเคยชิน เงินทอง เกียรติยศ ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์อยู่ในโลกนี้และโลกน้าได้ มีแต่คุณธรรมเท่านั้นที่ช่วยให้มนุษย์ไปได้ตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า กลัวไหมกับความตาย คนทุกคนต่างมีความตายหรือมรณะแฝงอยู่ในทุกขณะลมหายใจของชีวิต ฉะนั้นจงรู้จักปลงและปล่อยวางและทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“บำเพ็ญเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า”  เมื่อไรที่พร้อมบำเพ็ญและเมื่อไรที่ยอมรับการขัดเกลา เมื่อนั่นท่านกำลังเป็นผู้ที่ปูทางกลับคืนฟ้าเบื้องบน แต่ถ้าเมื่อไรยอมรับการบำเพ็ญแต่ไม่พร้อมการขัดเกลา เมื่อนั้นท่านไม่สามารถพบทางกลับคืนเบื้องบนได้ จำคำนี้ให้ดีนะ แม้ไม่มีเรี่ยวแรงแต่จงรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ทำได้ไหม (ได้)  ผู้ที่อายุมากแล้ว เราแยากบอกท่านว่าแม้จะไม่มีเรียวแรงจะไปฉุดช่วยคนหรือไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปดึงคนให้พ้นจากทุกข์ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านจะทำได้นั่นก็คือการรักษาใจให้บริสุทธิ์และหมั่นเอื้อนเอ่ยวาจาในสิ่งที่ดี นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมแล้ว สิ่งที่เราอยากให้ท่านบำเพ็ญง่ายๆ ก็คือ ใจรักษาให้สะอาด อบายมุข กิเลส ลดละให้สิ้น วาจาพูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี กระทำแต่สิ่งที่ดี นั่นจึงเรียกว่าบำเพ็ญ ทำได้ไหม ยากไหม (ยาก)  ไม่ยากแล้วนะ ถ้าวันนี้ยากท่านจะเอาอะไรกลับไป (บุญ)  บุญจะบังเกิดได้จิตต้องเป็นกุศล หากจิตไม่สะอาดแม้จะทำบุญก็บุญไม่เต็มแรง บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฉะนั้นใจต้องสะอาด สำหรับท่านที่อายุยังน้อยสิ่งที่เราะพูดอาจจะดูไกลแต่สักวันหนึ่งท่านต้องเจอ ขอให้ท่านจำไว้ให้ดี อย่าหลงในกิเลสตัณหา มายาอันจอมปลอมบนโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความเป็นจริงไม่เช่นนั้นท่านคือผู้ที่น่าสงสารที่สุด ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง คนอื่นมีแต่ชี้แนวทางและนำทางท่านเท่านั้น ตัวท่านจะเดินหรือไม่เดิน ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อยแย่แล้วใช่ไหม เราคงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ขอให้ตังใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี มองหลักธรรมนี้ให้ถ่องแท้ อย่ามองเพียงนิดหน่อย อย่ามองเพียงผิวเผิน หรืออย่าวัดเพียงรูปลักษณ์ภายนอกมองสิ่งใด จงมองให้ถึงแก่นแท้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  มีโอกาสเราคงได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กันอีก เป็นการยากเหลือเกินที่จะได้เจอกันแบบนี้ จงถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

ท้องใหญ่ใจกว้างรับทุกสิ่ง ให้มนุษย์ทิ้งทุกสิ่งลงในย่าม
พระศรีอาริย์โปรดเกณฑ์ในยุคสาม คนอยากจามฮัดเช้ยหูอื้อลืมฟัง
เราคือ
ต้าเชี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเซียนน้อยน้อย  มีความสุขหรือเปล่า

ใจงามยิ้มก็สวยไปเอง คนเก่งมีคุณธรรมไม่ทำชั่ว
คนดีไปไหนไม่ต้องกลัว รู้ตัวทำอะไรต้องรู้ตัว
เหนื่อยหรือไม่ชีวิตแสวงกันขวักไขว่ ใจไม่ได้สว่างขึ้นพร้อมทั่ว
เปรียบชีวิตกับแข่งขันจึงเหนื่อยกลัว ไฉนฝาดตัวเองไว้กับโลกีย์
งานรุ่งเรื่องหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่
เวลาเหมือนแม้นช้าเชื่องขณะนี้ แต่ฤดีล้าไม่อ่อนสุขุมพอ
ความดีอย่าอ่อนลงตามเวลา ประกายตามุ่งมั่นแรงไม่ท้อ
บำเพ็ญก้าวทางตามสร้างทางต่อ ไฉนหนอทำลายง่ายยากสร้างตรง
ฮิ   ฮิ   หยุด

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

เพียงศึกษาหลักธรรมนำชีวิต เพื่อสะกิดพุทธจิตตื่นหลับใหล
เริ่มวันนี้พรุ่งนี้อีกต่อไป ด้วยเข้าใจสู่ศรัทธาท้ายมั่นคง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีพุทธะทุกท่าน  สบายดีไหม

เตือนใจคนเข้าใจเตือนสัมฤทธิ์ โลกกว้างคนอดทนด้วยตามพะวง
ความลังเลไม่ขวางอุปสรรคประสงค์ ไร้ละเอียดเมื่อลงเล็กสำเร็จลาง
ร่วมปณิธานรวมพลังที่ต่างกัน อาศัยกันเริ่มแต่นี้อภัยตั้ง
ยามสบายตั้งใจยามลำบากหนีห่าง เลือกแต่ราบรื่นกำลังไร้บำเพ็ญ
เมื่อใจสู้ใจเข้มแข็งกว่าเก่า สนุกเดารู้ยิ่งเกินกว่าเห็น
ความเสื่อมวัดอันตรายไว้ยุคเข็ญ ฟ้ายามเย็นต้องระวังปัจจัยครบ
รู้จักใช้ความกล้าอย่าผิดแนว ถนอมแก้วของจิตใจใจสงบ
ถือสาเรื่องเล็กน้อยวุ่นไม่จบ อย่าผิดเรื่องเพราะกระทบอายตนะเลย
ฮิ   ฮิ  หยุด

เปลี่ยนแปลงตนเองทำวันนี้ให้ดี ให้ความดีจงคุ้มครองพลัน
เปลี่ยนแปลงใจใครคอยใจหายทุกวัน ถ้าเราดีกันความหมองสิ้น

ชื่อเพลง : สละให้-ได้รับ
ทำนองเพลง : แปลงฟัน

โอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถงและท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ (ตั้งใจ)  หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไวๆใช่หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดินไปทางไหนก็มีแต่คนใช่ไหม ท่านอยู่ที่นี่มีคนหรือเปล่า คนเบื่อคนไหม (ไม่)  เวลามีปัญหากับใคร (คน)  เบื่อไหมไหนใครเบื่อบ้างยกมือขึ้น เดี๋ยวใครไม่ยกมือก็ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าอยากยกมือแล้วไม่ยอมยกแสดงว่าไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครชอบคน ยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วนคที่ไม่ยกหมายความว่าอย่างไร (บางทีก็เบื่อบางทีก็ไม่เบื่อ)  ต้องเอารางวัลเข้าล่อใช่ไหม ชอบรางวัลหรือไม่  รางวัลเป็นเงินชอบไหม (ไม่ชอบ)  เสียงเบาๆ ไม่ขอบใช่ไหม ชอบจนๆ ใช่ไหม (ชอบรวยๆ ค่ะ )  ทำไมล่ะ รวยๆ แล้วดีหรือเปล่า (ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง, ดี)  จนๆ ดีหรือเปล่า (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ชอบโกหกเหรอ พูดก็พูดไม่จริง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดี๋ยวถ้าใครไม่ยอมตอบ จะจับมาอยู่ข้างหน้าสถานธรรมดีหรือเปล่า ให้ยืนขาแข็งเป็นชั่วโมงดีหรือเปล่า (ดี)  กลัวโดนสะกดจิตหรือ ขนาดจนยังไม่กลัวเลยใช่หรือเปล่า กลับไปดีกว่าไม่มีใครอยากคุยไหนใครอยากคุยกับเรายกมือขึ้น
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่มีใครช่วยยกมือเลย ยืนอยู่ข้างหลังก็เป็นกำลังใจด้วย
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ในโลกนี้มีคนเบื่อคนมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าโลกนี้มีเราคนเดียวก็ดีสิ ชอบพูดแบบนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ บางเวลาเบื่อๆ มากๆ ชอบพูดว่า ถ้ามีเราคนเดียวก็ดี ในความจริงเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในความเป็นจริงแล้ว เราไปทางไหนก็มีแต่คนใช่หรือไม่  และคนก็มีทั้งน่าเบื่อและไม่น่าเบื่อใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนน่าเบื่อคือเราหรือเปล่า (ไม่ใช่)  คนน่ารักคือเราหรือเปล่า (ใช่)  ชมตัวเองกันหมดเลย ไหนใครร่ารักยกมือขึ้นสิ คนไหนน่ารักยกมือขึ้นเร็ว
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครไม่น่ารักยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : รู้สึกว่าแถวนี้ยกเก่งนะ เดี๋ยวจับแถวนี้มานั่งหน้าแถวนี้ไปนั่งหลังดีไหม (ไม่ดี)  เวลาเห็นท่านบึ้งๆ ยิ่งอยากยิ้มใหญ่เลยใช่หรือเปล่า  เวลาเห็นท่านบึ้งๆ เราตลกจังเลย ถ้าอยากให้เราเศร้าหน่อย  ท่านก็ยิ้มให้เราหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)  จะบอกให้นะ ทุกท่านเกิดมาในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเพียงคนเดียว ฉะนั้นการเกิดมาในโลกนี้ก็มีแต่คนมีปัญหากับคน  ไม่มีคนก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างไรก็ตามท่านก็หลีกคนไม่พ้น  ฉะนั้นเวลาเจอปัญหาต้องทำไม (เข้าหาปัญหา)  เวลาเจอปัญหากับคน ท่านต้องยิ้มให้หน่อยดีหรือไม่ ยิ้มหน่อยไม่พอ  ก็ยิ้มให้มากหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าเวลาที่พวกท่านอยู่ในโลกนี้ คนที่เขาชอบก็ชอบมองที่ยิ้มหรือบึ้ง (ยิ้ม)  เวลาเขามองเขาก็ชอบมองคนที่ยิ้ม ต่อให้มีปัญหากัน เขาก็อยากให้ท่านยิ้มใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นยิ้มเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  แล้วพวกท่านยิ้มวันละกี่นาที
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่างนี้ต้องเอานิ้วดันเพื่อจะยิ้มขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มวันละกี่นาที ไหนใครตื่นขึ้นมาก็ยิ้มเลย ยกมือขึ้น จริงหรือเปล่าตื่นขึ้นมาก็ยิ้ม (จริง)  เราเห็นตื่นขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้วใช่หรือเปล่า  นาทีแรกท่านก็คิดถึงปัญหาชีวิตท่านเวลาหรือเปล่า (ใช่)  ไม่มีใครจะยิ้มเลยใช่หรือเปล่า เป็นเซียนเด็กนะ มีความสุข ทุกท่านแม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์แต่อยากเป็นเซียนทันทีก็ทำได้เหมือนกัน กายไม่ใช่เซียนแต่จิตใจเป็นเซียนเวลาเจอความทุกข์ต้องยิ้มใส เวลาเจอความสุขก็ต้อง (ยิ้ม)  ไม่ใช่ อย่างนี้เป็นเซียนไม่ได้ (เฉยๆ)  อย่างนี้ส่งลงจากสวรรค์เลย เวลามีความสุขท่านก็ทำให้ผู้อื่นเห็นว่ามีความสุขเหมือนเดิม  เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านมีความสุขก็ต้องเอาความสุขนั้นไปแบ่งให้ผู้อื่น ยิ่งท่านแบ่งความสุขไป  ความสุขจะยิ่งเป็นอย่างไร (มากขึ้น)  ท่านเก่งจริงๆ เลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ความจริงเขาก็รู้อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยยอมทำ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้หรอก เราเห็นเหวลามีกุศลแล้วก็หวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีการทำบุญต้องเขียนชื่อ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาทำบุญต้องกรวดน้ำใช่หรือไม่ (ใช่)ต้องอุทิศส่วนกุศล แต่บางคนก็อุทิศไปแล้วหมด เพราะว่าท่านนั้นไม่ได้คิดว่าจริงๆ แล้ว ยิ่งให้ไปจะยิ่งมาก บางคิดว่ากุศลมีอยู่หนึ่งแก้ว เวลาทำกุศลมามีอยู่หนึ่งแก้วแล้วมันจะหมดแบบนี้ (ท่านดื่มน้ำหมดแก้ว)  บางคนคิดว่ากุศลท่านจะหมดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วกุศลไม่ใช่แบบนี้ กุศลเป็นเสมือนอากาศที่ลอยไปลอยมาด้วย ยิ่งท่านให้คนอื่นได้รับโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เท่าไร ก็ยิ่งจะมีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีวันหมดไป อากาศหมดไหม ถ้าอากาศหมดไปเมื่อสองสามวันก่อนนี้ที่นี่ไม่มีคนเลยเพระว่าไม่มีคนชอบมาสถานธรรม ตรงนี้อากาศเยอะแยะไปหมด แล้ววันนี้ให้ท่านเข้ามาเต็มไปหมด  อากาศหมดเรียบไหม (ไม่หมด )  ในดินแดนของกุศลและดินแดนของความดี  ยิ่งท่านให้ก็จะยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งท่านให้ท่านก็ยิ่งได้รับมากขึ้น เคยคิดแบบนี้ไหม แต่เวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลก็คิดโน่นคิดนี่ ต้องนับก่อน ต้องกรวดน้ำไปให้คนที่สำคัญๆ ก่อน  ท่านคิดว่าคนที่ไม่เคยสำคัญนั้น สำคัญไหม เพราะว่าไม่ใช่ญาติท่าน ท่านจึงคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วทุกๆ คนในโบกนี้เป็นญาติท่านใช่ไหม (ใช่)  ท่านเกิดมาไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว  เพราะฉะนั้นคนทุกคนในตรงนี้ รวมทั้งเราสองคนด้วย ให้เราเป็นญาติกับท่านดีหรือไม่ (ดี)  ให้เราเป็นญาติท่าน ให้ท่านเป็นญาติเรา และเราทุกๆ คนมองหน้ากันแล้วมีรอยยิ้มให้กันดีหรือไม่ (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดีหรือ ต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ไวๆ นะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดี เพราะจะโดนจ้ำจี้จ้ำไช
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เราว่าดีออก จ้ำจี้จ้ำไชให้เป็นคนดี พุทธะบ่นท่านบ่นได้ไหม (ได้)  พุทธะไม่เคยตีด้วยมือจริงๆ นะ  พุทธะตีด้วยคำพูดและคุณธรรม และพุทธะก็ช่วยฆ่ากิเลสในตัวท่านด้วย เราไม่ใช่พุทธะที่ฆ่าท่านด้วยคำพูด เป็นพุทธะที่ช่วยฆ่ากิเลสในใจท่าน
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ใครฆ่าด้วยคำพูด (คน)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่าคิดแบบคนมากพยายามคิดให้เป็นพุทธะ คิดอย่างที่พุทธะคิด ทำอย่างที่พุทธะทำ เหมือนอย่างที่อาจารย์ของท่านสอนไว้ และเป็นอย่างที่พุทธะเป็นได้ แต่มนุษย์มักอยู่รวมกันแล้วคิดแบบมนุษย์ก็เลยวนกันแบบมนุษย์ คิดกันคน คน คน ไม่หยุดสักที
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วก็คนไป แล้วก็คนมา เละไปหมดเลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เห็นนะ เห็นกินกันอิ่ม กินตั้งหลายจาน  เป็นคนบำเพ็ญต้องรู้จักพอ พอดีบ้าง กินอิ่มมากเกินแล้วเราจะง่วง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้ว่ากินเจอร่อยไหม (อร่อย)  กินชออร่อยไหม กินเจกับชอต่างกันตรงไหน
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่กับท่านต้าเซี่ยวฝอถง  เมตตาให้เลือกจะนั่งหรือยืนหรือจะนั่งครึ่งๆ )
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ถ้าเลือกยืนแล้วง่ายกว่านั่นครึ่งๆใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนนั้นต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว  อยากจะทำสิ่งใดก็ต้องตั้งมั่นอยู่สิ่งนั้นสิ่งเดียว อย่าวอกแวกถึงสองสิ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบากใจ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยืนก็ง่าย นั่งก็ง่าย แต่ให้ครึ่งยื่นครึ่งนั่งนั้นยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะบำเพ็ญก็ง่าย ไม่บำเพ็ญก็ง่าย แต่ถ้าบำเพ็ญบ้างไม่บำเพ็ญบ้างก็ยาก เจกับชอต่างกันตรงไหน (เจคืออาหารที่บริสุทธิ์)  เจกับชอก็ต่างกันง่ายๆ ชอเอาเนื้อสัตว์มาปรุง  เจก็ไม่มีเนื้อ  ชออร่อยไหม  ต้องตอบจริงๆ จะโกหกตัวเองไปทำไม  ชอก็บอกว่าอร่อย  เจก็บอกว่าอร่อย  จะโกหกไปทำไม  โกหาตัวเองแล้วมาโกหาเราไม่น่ารักเลย  ชอก็บอกว่าอร่อย  เจก็บอกว่าอร่อย  แต่สิ่งที่ตัวเองแตกต่างไม่ใช่อยู่ที่ความอร่อย  ความอร่อยอาจทำให้ท่านไม่ได้กินเจต่อจากวันนี้ใช่หรือเปล่า  แต่สิ่งที่ทำให้ท่านกินเจต่อจากวันนี้ได้ก็คือ   การกลัวบาปเป็นการเริ่มต้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทำได้แล้ว  ท่านก็ค่อยๆคิดไปถึงความเมตตา  เพราะความเมตตาเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก  เพราะฉะนั้นเวลามีคนถามว่า  กินเจอร่อยไหม  อร่อยจริง  อร่อยแล้วกินเจไหม (ไม่)  จริงๆแล้วท่านไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง  เวลาจะกินเจท่านก็ไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง  ให้คิดถึงการกลัวบาปเป็นที่ตั้ง  ส่วนการกินชอท่านนึกอะไร (อร่อย)  ฉะนั้นถ้าท่านจะงดชอท่านก็ต้องคิดถึงความกลัวบาปเป็นที่ตั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ท่านก็จะกินเจง่ายขึ้นใช่หรือเปล่า  มีใครในโลกนี้ไม่กลัวบาปบ้าง  ถ้าเราบอกว่ากินชอแล้วบาป  ท่านเชื่อไหม (เชื่อ)  แล้วกลับจากวันนี้ไปท่านกลัวบาปไหม (กลัว)  แล้วท่านจะเริ่มกินเจไหม (เริ่ม)  แย่จังเลยเพราะท่านนั้นกลังบาปก็กลัว  อร่อยก็อร่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลัวบาปกับอร่อยอันไหนมากกว่ากัน (กลัวบาป)
ตอนนี้ท่านอยู่ในอารมณ์ที่ปกติมากขึ้น ทีนี้เราจะสอนท่านยิ้ม ยิ้มเป็นไหม (เป็น)  มนุษย์ชอบยิ้มแต่มียิ้มหลายอย่าง ยิ้มหัวเราะเยาะ ยิ้มแหยๆ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มหยันๆ ยิ้มแหยะๆ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มมีความสุข ยิ้มด้วยความชื่นใจ ยิ้มด้วยความจริงใจ ท่านรู้จักยิ้มเหล่านี้ไหม เวลาที่ท่านมีความทุกข์ก็อยากให้ท่านยิ้มให้กับความทุกข์นั้นๆ เวลาท่านมีความสุขก็อยากให้ท่านยิ้มกับความสุขนั้นๆ จริงๆ แล้วยิ้มนั้นมียิ้มเดียวแต่ใจท่านมีหลายใจ ฉะนั้นยิ้มก็ต่างกันตามจิตใจของท่านเอง ตอนนี้ถ้าใจของท่านเป็นอย่างไรท่านก็จะยิ้มออกมาอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ลองดูมนุษย์บอกว่าถ้าอยากยิ้ม ให้พูดว่า คำว่า สี่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ไหนลองพูดว่า สิบห้า แล้วยิ้มดู
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เราให้ท่านยิ้ม ท่านไหนไม่ยิ้มจะให้มายิ้มหน้าห้องหนึ่ง สอง สาม สี่
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  เมตตาให้นักเรียนเล่นยิ้ม)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : คนดีไปไหนไม่ต้องกลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ลางคนบอกว่ากลัวโน่นกลัวนี่ คนดีทำดีไม่มีอะไรคุ้มครองใช่หรือเปล่า  ก็เลยกลัวว่าไปโน่นไปนี่ แล้วจะไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแนะวิธีง่ายๆ ให้ คนโดนปล้นเพราะอะไร (ท่านต้าเซี่ยวฝอถงยหตัวอย่างนักเรียนในชั้น)  อย่างนี้ไปไหนปลอดภัยไหม (ไม่ปลอดภัย) เพราะอะไร (มีสมบัติเยอะ)  เพราะมีทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วคนนี้ล่ะปลอดภัยไหน (ปลอดภัย)  เราจะบอกให้ผู้หญิงหน้าตาไม่ได้แต่ง ผิวพรรณก็ไม่ได้บำรุง ฉะนั้นก็มอมแมมๆ ไปไหนก็สบาย แต่คนสมัยนี้ ทาครีมเช้า ทาครีมเย็น ฉะนั้นถ้ายิ่งแต่งหน้าด้วยยิ่งสวยก็ยิ่งไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ไม่)  มีอีกหลายสาเหตุของความไม่ปลอดภัยของท่านที่ต้องเจออยู่ทุกวันนี้ ท่านต้องคิดว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะเราดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยใช่หรือไม่  แต่คนดีจริงๆ ก็มีสุภาษิตกล่าวว่า “คนดีผีคุ้ม” ท่านก็ต้องเชื่อตรงนี้ด้วย  ถ้าท่านเป็นคนดีท่านก็ไม่ทำอะไรที่ผิดท่านก็มั่นใจว่าตัวท่านนั่นแหละปลอดภัยที่สุด แต่ตอนที่ท่านอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากแล้วเป็นอย่างหนึ่ง  พอลับหลังไปอยู่คนเดียวคิดก็คิดไม่ดี  ทำก็ทำไม่ดีอย่างนี้จะปลอดภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่ท่านมองว่าใครเป็นคนดีนั้นท่านก็มองไม่ออกเพราะว่าเขาตั้งใจปกปิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจำเป็นไหมที่ท่านจะต้องมองว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า (จำเป็น)  จำเป็นหรือ  แล้วท่านมองตัวเองสิว่าเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าท่านบอกว่า  ท่านจำเป็นต้องมองให้ออกว่าคนอื่นดีหรือเปล่า  ท่านก็ต้องมามองให้ออกว่าตนเองนั้นดีหรือเปล่าก่อน  ถึงจะดีใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่าเวลาจะไปทำการค้ากับคนนี้  เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า  เวลาจะไปสมาคมกับคนนี้  เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า  ในขณะที่ท่านมองเขา  ก็มีคนอื่นกำลังมองตัวท่านอยู่  ฉะนั้นก่อนที่จะมองคนอื่นก็ต้องรู้จักที่จะมองตนเอง  แล้วถ้าหากว่าท่านทำได้  นี่ก็เป็นหนึ่งคุณสมบัติของคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน  เพียงแต่เพิ่งจะเป็นแค่ย่างก้าวแรกหรือจะเป็นแค่การเริ่มต้นก็ดี  ขอให้ท่านนำความคิดของท่านนั้นไปสู่สิ่งที่ดีความคิดของท่านดี  ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ออกมาดี  ไม่ว่าท่านจะชวนอะไรใครก็ออกมาดี  ไม่ว่าท่านจะพูดจากับใครคำพูดของท่านนั้นก็จะมีแต่สิ่งที่ดีใช่หรือไม่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อยากกินลูกอมยักษ์ไหม เราเพิ่งรู้นะลูกอมโลกมนุษย์ใหญ่ขนาดนี้ มนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในถาดนี้  อยู่ที่ว่าวันใดเราจะถูกหยิบไปกิน จริงไหม (จริง)  แต่โชคดีที่พุทธะเก็บไป  แต่ไม่รู้ว่ท่านจะเป็นหนึ่งในโชคดีนั้นหรือเปล่า  ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในกะบะนี้ วันใดจะถูกหยิบขึ้นมาแล้วก็หายไปจากกะบะนี้ ใช่ไหม  แล้วรู้ไหมว่าเราจะถูกกิน  ไม่รู้แล้วกลัวไหม (กลัว)  ถ้าตราบใดที่เรายังกลัวอยู่  แปลว่าตอนนั้นเรายังไม่ดีพอเราถึงกลัว จริงหรือเปล่า  ถ้าตอนที่ท่านรับธรรมะ มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มีพุทธะท่านหนึ่งได้รับธรรมะชี้หนึ่งจุด แม้วันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่กลัวเลย” เคยได้ยินคำนี้กันมาหรือเปล่า (เคย)  คงเคยมาบ้างเพราะอย่างน้อยก็รับธรรมะมาแล้วใช่หรือเปล่า  แต่พอเรารับไปแล้วแต่ทำไมเราถึงกลัวตายอยู่อีกล่ะ นั่นแปลว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษา และเรายังดีไม่พอ  การจะเป็นคนดีให้พอและไม่ต้องถูกดึงออกไปทิ้งอย่างไร้คุณค่า เราจึงต้องทำตัวเองให้ดีก่อน ท่านเห็นไหมว่าลูกอมแต่ละเม็ดในกะบะนี้ล้วนมีสีสัน และล้วยมีการห่อหุ้มที่สวยงามต่างกันออกไปใช่ไหม ก็แปลว่ามนุษย์เราก็เหมือนกับลูกอมต่างๆ หลากสีนี่แหละพยายามประชันขอให้ตัวเองนั้นเด่นที่สุด แต่ว่าความตายไม่มีใครเลือกว่าใครสวนใครเด่น ไม่มีเลือกว่าอายุน้อยอายุมาก เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้องไป ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนที่จะถูกเลือกไปนั้น ก็คือทำตัวให้ดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราจะบอกท่านว่ามีหลักอยู่ไม่กี่ข้อในการทำตัวให้เป็นลูกอมที่แสนดี หลักง่ายๆ ก็คือ หนึ่ง รู้จักสำรวมความประพฤติ ก็คือ พูด คิด ทำ วนเป็นสิ่งที่ดี กิริยามารยาทล้วนเรียบร้อย มีความร่าเริงได้ แต่ในความร่าเริง ในความสนุกสนานนั้นต้องอย่าลืมความระมัดระวัง สอง ปฏิบัติหน้าที่ตนเองให้สมบูรณ์ ทำได้ไหม (ได้)  ทุกคนต่างมีหน้าที่มากกว่าหนึ่งหน้าที่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ หน้าที่เป็นบิดามารดา และหน้าที่ในการเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนกับเพื่อน หรอหน้าที่ความเป็นพี่เป็นน้อง  ฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ต่างๆ เหล่านั้นให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง สาม มีความสามัคคี ทำไมคนดีต้องมีความสามัคคีรู้หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : บางคนบอกว่าประชุมธรรมต้องไม่ยึดติด ไม่กินกาแฟแล้ว จริงๆ กาแฟก็ขม แต่ก่อนที่จะเลิกกาแฟไปเลิกอย่างอื่นก่อนก็ดีนะ  เลิกยึดติดในเงินทองยากนะ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : สามัคคีก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  เป็นคนที่ต้องอยู่กับหมู่มาก ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน  ท่านต้องอยู่มากกว่าหนึ่งคน นั่นคือสามัคคีนั้นแปลว่า อยู่ในบ้านก็ต้องสามัคคีปรองดอง อยู่ในที่ทำงานก็ต้องสามัคคีปรองดองกับเขาได้ ไม่ทำตัวผิดแผกแตกต่าง หรือให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนอื่น แล้วอยู่กับตัวเองต้องมีความสามัคคีไหม (มี)  ทำไมเราบอกว่าต้องสามัคคีเพราะว่าร่างกายเราประกอบไปด้วยกายและใจ ถ้ากายกับใจเมื่อจะทำสิ่งใด ใจคิดมากแล้วมือจะทำได้สำเร็จไหม ฉะนั้นกายกับใจก็ต้องมีความสามัคคี หลักของการทำตัวดีมีสามข้อแล้ว ท่านทำได้ไหม (ได้)  หากท่านทำได้ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ หรือทำสิ่งใดก็จะเป็นที่ปรารถนาของทุกคนในสังคม จริงไหม (จริง)  แต่ยังแถมท้ายด้วยอีกข้อที่ลืมไม่ได้คือ สี่ ความเสียสละ เป็นคนดีแม้จะดีทุกอย่างแต่ไม่เคยยืนมือช่วยใคร ไม่แคบเอื้อนเอ่ยพูดสิ่งใดที่เป็นการช่วยเหลือคนอื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าดีไม่สมบูรณ์ ดีแค่ตัวเอง  ฉะนั้นการทำความดีมีอยู่กี่ข้อ (สี่ข้อ)  มีอะไรบ้าง  ใครตอบได้เราจะให้ลูกอม
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : “งานรุ่งเรืองหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่”
หน้าก้าวฉลาดถอย หมายความว่า  ก้าวไปข้างหน้าก็ต้องก้าว แต่เวลาจะถอยก็ต้องถอยอย่างชาญฉลาด พระอาจารย์ท่านเคยพูดว่า คนฉลาดนั้นไม่ดีแต่เราคิดว่าถ้าท่านฉลาดโดยไม่มีเล่ห์กลอุบายอะไรก็ดี  ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นเรียกว่าชาญฉลาด ใช้ไหวพริบ  ใช้ปัญญา ใช้ความเข้าใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ท่านอยู่ ถ้าหากการจะมาสถานธรรมเป็นอุปสรรค หากงานธรรมะเดินไม่สะดวก ขอให้ฉลาดที่จะพลิกแพลง เพราะเวลาท่านเดินก็จะมีอะไรมาขัด ท่านก็ต้องรู้จักที่จะหลบ เจ้าใจไหม ดีไหม  ถ้าหากท่านไม่พอใจและอยากจะเปลี่ยนแปลง ต้องรู้จักใช้ความฉลาดด้วยปัญญา อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เราคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะดีแล้ว
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  เมตตาสอนลุก-นั่งตอบคำถาม)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เป็นคนดีเราต้องทำอะไรบ้าง (ปฏิบัติดี, มีความเสียสละ, มีสามัคคี)  สามัคคีตรงไหนบ้าง (ตรงจิตใจ)  ตรงจิตใจและการทำงานเป็นหมู่คณะ  หรือไม่ก็ในครอบครัว (ปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์, มีความสำรวม)  สำรวมอะไร สำรวมความประพฤตินะ วันนี้เราอยากแสดงอะไรให้ท่านดูหน่อย อยากดูละครเรื่องหนึ่งไหน (อยาก)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้นักเรียนอาสาสมัครขึ้นมาเล่นตาบอดคลำช้าง)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ สรุปก็คือ คนทุกคนหรือทุกๆ ท่านในที่นี้ล้วนมีความรู้ประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน เวลาเรารู้แล้วเราก็จะยึดติดกับสิ่งที่เราเคยรู้ แล้วก็ยึดมั่นกับความรู้ตรงนั้นแบบไม่ปล่อยเหมือนกับคนแรกกับคนที่สอง  จับได้ว่าเป็นแขนกล้ามแข็งๆ ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นผู้ชาย ผู้ชายในโลกนี้กล้ามนิ่มๆ มีบ้างไหม (มี)  ฉะนั้นบางครั้งเราจะเสริมเหตุผลอะไรของเรานั้นเราอย่าเพิ่งบอกว่ใช่เสมอไป ต้องบอกว่ายังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าผู้ชายโดยส่วนใหญ่กล้ามจะแข็ง คำพูดที่จะออกมานั้นใช้การเดาอย่างเดียวแล้วยึดติดในกระสบการณ์อาจไม่ถูกต้องเสมอไป รองหัวหน้าบอกว่าใส่ผ้าคลุมผมต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ใส่ผ้าคลุมผมได้เวลาอากาศร้อน นี่คือการยกตัวอย่างนะไม่ใช่ต่อว่า แต่คนเอาโดยส่วนใหญ่พอมั่นใจในความรู้ก็จะยึดมั่นในความรู้ไม่ปล่อยเหมือนที่คนคลำช้างคิดว่าช้างเหมือนหม้อเพราะจับหัว เหมือนกระด้งเพราะจับหู แล้วก็เถียงกันยกใหญ่ เฉกเช่นเดียวกันวันนี้ท่านมาศึกษาธรรมหลักธรรมที่ท่านอยู่ในใจ ที่ผ่านไปวันนี้สิ่งที่สรุปอยู่ในใจท่านก็จะแตกต่างกันบางคนจะบอกว่าธรรม หมายถึง การทำดี บางคนก็สรุปว่า ธรรมคือการเสียสละ แต่รู้ตรงนี้แล้วก็มั่นใจในตรงนี้ แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงตรงนี้ ถูกไหม (ไม่ถูก)  สรุปง่ายๆ วันนี้เราเจอรองหัวหน้า รองหัวหน้าดูเรียบร้อยแล้วท่านก็มั่นใจว่าเมื่อพูดกับรองหัวหน้าก็เรียบร้อย แต่ถ้าวันใดรองหัวหน้าเกิดหัวเราะหลุดพูดคำไม่เรียบร้อยขึ้นมา ท่านก็บอกว่าไม่ใช่  รองหัวหน้าเป็นคนเรียบร้อยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนชีวิตที่ท่านเรียน รู้อย่ามองเพียงหนึ่งเป็นหนึ่ง อย่ามองแค่สุขทุกข์เป็นแค่สุขทุกข์  แต่จงมองให้มากกว่านั้น และจงเข้าใจให้ลึกกว่านั้น เหมือนที่ท่านมองลูกอม ถ้าท่านบอกว่าลูกอมคือต้องห่อแบบๆ มีลายแบบนี้อันอื่นไม่ใช่ลูกอม ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นเราเรียนรู้อะไรในโลกนี้อย่ายึดมั่น เมื่อเรียนรู้แล้วจงให้เป็นเหมือนแพ พอข้ามมาฝั่งหนึ่งแล้วจงทิ้งแพนั้น อย่าเอาแพนั้นมาแบกไว้บนหัว เหมือนท่านเรียนรู้การเป็นคนดีท่านก็แบกความดีไว้บนหัว ใครมาว่าท่านไม่ดีท่านก็โกรธเช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  เหมือนท่านจะทำตรงนี้และเขาต้องพูดว่าดีนะ  แต่เขาพูดว่าร้ายท่านก็โมโห นี่แปลว่าเรายึดในแบบใช่หรือไม่  และหวังผลในแบบที่เรายึดมั่นเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้เล่นสัญลักษณ์ บวก ลบ คูณ หาร)
อย่างนี้แปลว่า (บวก)  อย่างนี้แปลว่า (ลบ)  อย่างนี้แปลว่า (คูณ)  ผิด นี่นิ่วมือกวาดไปกวาดมาจริงหรือเปล่า (จริง)  บอกแล้วว่าอย่างยึดใช่ไหม  ชีวิตเราบางครั้งต้องมีการเพิ่มอะไรให้กับชีวิต แล้วก็ตัดอะไรให้กับชีวิต  การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการบวกกับการลบ การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการคุณกับการหารได้เหมือนกัน แต่เราต้องดูให้ออกว่าชีวิตเราอะไรควรบวก  อะไรควรลบ อะไรควรคูณ อะไรควรหาร บางครั้งผลสรุปในความคิดต้องมีการแสดงออก เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ผลต้องมีการแสดงออก เหมือนกันวันนี้ท่านรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นก็คือการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี  ถ้าท่านเอาแต่พูดไม่มีผล ต้องลงมือปฏิบัติ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาที่ท่านมาฟังธรรมสามวันนี้ วันนี้วันที่สองใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เป็นวันที่สองแล้วในจิตใจของท่านต้องรู้สึกมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง ถ้าแม้จะฟังธรรมจะยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือปลอม ยังสรุปไม่ได้ว่า  ดีแน่หรือเปล่า แต่ว่าในจิตใจของพวกท่านสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเปลี่ยนแปลงในจิตใจ จิตใจต้องรู้สึกว่อยากที่จะทำความดีมากขึ้น นี่เป็นความสำเร็จของการฟังธรรมสองวันนี้ เพราะว่าเรามาฟังธรรม ไม่ใช่มาจับผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจับผิดก็ไม่ได้จับคนอื่น แต่ต้องจับผิดจิตใจของตนเอง ต้องให้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นในการที่เราฟังธรรมต้องให้จิตใจของเราถูกโน้มน้าวไปในการทำความดีมากขึ้น ถ้าหากท่านยังไม่รู้สึกอยากทำความดีมากขึ้น หรือฟังจบไปพอเย็นแล้วก็เฉยๆ อย่างนี้แสดงว่าในจิตใจของท่านนั้นถูกโน้มน้าวให้เป็นดียากมากใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าตอนนี้ทุกท่านดีอยู่แล้ว เราก็อยากให้ท่านดีขึ้นกว่านี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีใครบังคับให้ใครบำเพ็ญได้ แม้ว่ามีคนมาบังคับให้ท่านทำงานได้ บังคับให้ท่านล้างชาม ส่งผ้าหรือทำกับข้าวได้ แต่ไม่มีใครบังคับให้ท่านบำเพ็ญธรรมได้เพราะบำเพ็ญนั้นจริงๆ เป็นเรื่องของจิตใจ คือ การทำจิตใจให้เป็นปกติ และทำจิตใจให้สะอาด ตอนนี้ต้องกลับไปทำเองใช่หรือไม่  คนอื่นบังคับให้ท่านปฏิบัติธรรมได้แต่ไม่สามารถบังคับท่านให้บำเพ็ญได้ ต่อให้ท่านปฏิบัติธรรมมากมายถ้าท่านบำเพ็ญด้วยความรู้สึกถูกบังคับ บีบคั้น ท่านก็จะไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนมาวันนี้ด้วยความเกรงใจ  บางคนมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มร้อย  จิตใจยังไม่พร้อม
หวังว่กลับไปจากสามวันนี้ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีให้ท่านเกิดความรู้สึกเต็มร้อยในจิตใจของท่านเองมีความรู้สึกอยากจะบำเพ็ญธรรม มีความรู้สึกอยากจะชำระจิตใจให้สะอาด อยากจะเอากิเลสออกจากตัวท่านเองนั่นแหละคือการบำเพ็ญธรรมของท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอท่านทำได้ดังนี้ผลดีก็คือจิตใจของท่านนั้นจะสว่างเหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์ไหม เวลาจิตใจสว่างกับโลกสว่างเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  แล้วเวลาที่โลกสว่างไสวกับใจที่สว่างไสวอันไหนเกิดความรู้สึกปิติ เต็มตื้นมากกว่ากัน (ใจสว่าง)  จิตใจที่สว่างไสว ย่อมเป็นพลังชีวิตให้ท่านเดินทางต่อไปไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยหนุนหลังให้ท่านเกิดความสำเร็จในการทำงานทั้งปวง แม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญธรรมไปรวมกับการทำงานทางโลกไปเลี้ยงลูก ไปหาเงินแม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญไปรวมกันสิ่งใดก็ตาม  การบำเพ็ญธรรมจะทำให้ท่านไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น  นอกเสียจากว่าท่านคิดจะทำชั่ว การบำเพ็ญธรรมช่วยท่านไม่ได้  แต่เราเชื่อมั่นว่าโดยปกติแล้วมนุษย์ไม่มีใครคิดจะทำชั่วใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านมีแต่จะคิดทำดีให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาทำดีให้ผู้อื่นท่านรู้สึกว่าไม่สมใจที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่  แต่ว่าคนบำเพ็ญธรรมทำได้แค่ไหน อย่างมากก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ท่านแก้แค้นคนอื่นไม่ได้ ท่านไปบังคับคนอื่นไม่ได้ ขอให้ท่านเมื่อผิดหวังให้ย้อนกลับมาดูตัวเองใหม่ว่าเราดีพอหรือยังที่อยากจะให้คนอื่นดีตามเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าท่านทำได้อย่างนี้ ท่านก็จะเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่ใกล้ๆกับการบำเพ็ญธรรมมากขึ้น
เวลาท่านมาสถานธรรม มีบรรยกาศธรรมมากมายที่เป็นบรรยกาศธรรมที่ดี เวลาท่านเป็นรุ่นพี่แล้ว บรรยากาศธรรมเหล่านี้บางคนบอกว่าทำไมไม่เห็นบรรยากาศธรรมดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าคนรุ่นก่อนอายุมากไปหมดแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ก็คือพวกท่านที่มา ท่านไม่เคยเอาความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ไปให้กับคนอื่น หมายความว่าพร้อมที่จะเป็นผู้นับไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านไม่เคยเอาสิ่งดีๆ ที่ได้มาให้คนอื่นจะได้รับไหม (ไม่ได้)  ท่านก็ต้องพยายามด้วยแรงนะไม่ใช่หมดหายใจ
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ ท่านเมตตาสอนร้องเพลงทำนองเพลง :แปรงฟัน)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แปลกนะแปรงฟันก็แปรงทุกวัน  แต่พอแก่แล้วก็ใส่ฟันปลอม  แสดงว่าสิ่งที่ท่านรักที่สุดและถนอมสุดความสามารถนั้นก็ไม่ได้อยู่กับท่าน  เวลาตั้งความหวังในตัวผู้อื่น  เช่นลูกเราหรือใครก็แล้วแต่ที่ท่านสามารถตั้งความหวังกับเขาได้ ท่านก็อย่างตั้งความหวังมากเกินไปเพราะตั้งไปแล้วก็เหมือนฟันใช่หรือไม่  ถึงเวลาแล้วฟันก็หลุดใช่ไหม  หลุดแล้วท่านก็ต้องหาฟันปลอมมาใส่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ขอให้ท่านรักษาให้ดีที่สุดแต่อย่าหวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  :  เราสองคนจะกลับแล้วนะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากจะเป็นภาระของอาจารย์พวกท่านเลยนะ แต่ว่าไปดีกว่า ไม่อยากให้เราไป อย่างนั้นถ้ายิ้มหนึ่งครั้ง  เราจะอยู่ต่ออีกห้านาที (ยิ้ม)  ตอนเรามากว่จะให้ท่านยิ้มก็ใช้เวลานานบังคับแล้วบังคับอีก  แต่พอเราจะกลับส่งยิ้มให้เราทำไม
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีโอกาสกลับมารศึกษาบ่อยๆ นะ  เพราะว่งานประชุมธรรมกว่าจะเริ่มขึ้นได้ต้องอาศัยแรงกายของมนุษย์เป็นผู้เดิน แล้วพุทธะถึงจะลงมาช่วยเสริม ปกติแล้วคนเริ่มงานก็ต้องมีการเตรียมงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดการดูแลห้อง การเก็บของ ทำของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมที่จะจัดงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครมาถึงห้องพระ มีโอกาสกลับมาศึกษา มีโอกาสรีบกลับมาสร้างกุศลให้กับตัวเองโดยใช้แรงกายและแรงใจ นี้เป็นการเสียสละ เพราะคนอื่นทำแล้วนะรอท่านอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนข้างหน้าทำแล้ว รอพวกท่านเดินกุศลให้กับตัวเองมีโอกาสต้องหมั่นมาสร้างกุศลเยอะๆ ทำความสะอาด  เช็ดโต๊ะพระ  กวาดห้องพระ  มาร่วมสร้างห้องพระนี้ให้เต็มไปด้วยความสามัคคี  เต็มไปด้วยพุทธะดีไหม (ดี)  มีโอกาสกลับมาห้องพระบ่อยๆ นะ  ห้องพระก็เหมือนบ้าน   ทำได้ไหม แต่เดี๋ยวเราต้องไปก่อน ฉะนั้นอยู่กับท่านต้าเซี่ยวไปอึกช่วงหนึ่ง   เรายังมีหน้าที่ต้องไปช่วยเหลือคนอื่นๆ อีกยังมีหน้าที่ต้องไปช่วยพุทธะองค์อื่นๆ อีก
เอาอะไรเป็นกำลังใจให้คนที่มาช่วยเตรียมงานดี เอาส้มสีทองให้แก่คนที่มาช่วยเตรียมวงานตั้งแต่ก่อนที่จะมีงานนี้และช่วยเก็บหลังจากประชุมธรรมนี้หากเราไม่ได้ช่วยเตรียมก็มาช่วยตอนเก็บได้ไหม (ได้)
ใครเป็นคนลำปางยกมือขึ้น ความหวังอยู่ที่พวกท่านแล้วนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี หากวันนี้ยังไม่เข้าใจต้องมาฟังอีก เพราะวันนี้เราไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมอย่ายอมแพ้ ไม่หูเบาแต่อย่าปากหนัก
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เอาไว้คิดถึงพวกเราก็ไปหาพวกเรานะ รู้หรือเปล่า (รู้)  พวกท่านนั้นล้วนเป็นพุทธะได้  หากใครได้รับทอฟฟี่จากเราไป จะเป็นคนโชคดี เห็นไหมาว่าพวกท่านยังติดอยู่เลย อะไรที่เป็นของท่านก็เป็นของท่านอยู่วันยังค่ำใช่หรือเปล่า  มนุษย์ถ้าหากว่าจะโชคดีก็โชคดี   อยากได้โชคดีไหม ต้องทำอย่างไรถึงจะโชคดี (ทำดี)  ทำดีแล้วโชคดีหรือเปล่า (ดี)  แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องทำมากกว่านั้นอีก คนเราจะโชคดีต้องสร้างเหตุแห่งความโชคดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากอยากรวยก็ต้องรู้จักหาเงินทอง  ถ้าหาเงินหาทองโดยทุจริตก็จะไม่ได้สิ่งที่เป็นโชคดีนั้นๆ เพราะว่าโชคดีผ่านไป   โชคร้ายก็เข้ามาแทน  จริงๆ แล้ว โลกมนุษย์ไม่ดึงดูดให้อยู่เลย รู้หรือเปล่า เพราะว่าโลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์ แต่ท่านอย่าลืมว่าท่ามกลางความทุกข์ถึงจะสามารถสร้างความสุขขึ้นมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเราถ้ามีความทุกข์ถึงที่สุด ความสุขก็จะบังเกิดฉะนั้นถ้าอยากโชคดีต้องมีโชคร้ายมาบ้าง  ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด  ฉะนั้นถ้าอยากโชคดีก็ต้องมีโชคร้ายมาบ้าง ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด
ในที่สุดเราก็ผ่อนภาระของท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ ยิ่งเรามายิ่งภาระเยอะใหญ่เลย ขอให้พวกท่านได้รับความโชคดี ยิ้มให้เรานิดหนึ่ง ร้องเพลงไปด้วยยิ้มไปด้วย ความทุกข์จะได้หมดไปจากหัวใจท่านนะ


วันที่  ๑๒  พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว
ไม่มีเรื่องเหมือนมีเรื่องก็คือรู้กลัว ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี
เราคือ
หนันผิงจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลาย   อยากจะบำเพ็ญหรือยัง

สกุณาโผบินลงมาจากทิศใด  อยู่เป็นเพื่อนคนผู้เคว้งข้างใจจิตใจ  เหงาหงอยในคน  ยกตนไปสูงเหนือใคร  หลิกฟื้นจิตเคยหลงไปด้วยการบำเพ็ญติดดินไม่เลื่อนลอย
สกุณาโผบินมาตรงหน้าของเรา  ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย  ชนะจิตใจของตน  ศึกษาย้อนรอยรู้แล้วแล้วอย่ามั่วเลื่อนลอย  จงน้อมมุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม
นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา  เรียกคนมาคลายหลงไป  แม้ฟ้าจะสูงเพียงใด  แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว
เพลง : นกบนฟ้าปัญญาในใจ
ทำนองเพลง : เงาที่หายไป

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หัวข้อตั้งยาวจำหมดไหม (จำไม่หมด)  เวลามาฟังธรรมจำได้หมดหรือเปล่า (ไม่หมด)  อะไรที่เราสมควรจะจำอยู่ในใจ สมมุติว่าเรามาสถานธรรม มีคนเรียกเราฟังธรรมสามวันก็เหมือนกับผลไม้หนึ่งถาดนี้เลย ตั้งขึ้นมาสูงๆ อย่างนี้บรรยายไปเนื้อหาดีๆ ก็ตั้งขึ้น ตั้งขึ้น แล้วพานนี้ก็เหมือนกับจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราต้องจำนั้น เราจำไหมว่ารายละเอียดของผลไม้เป็นอย่างไร เราจะจำหมดไหม (ไม่หมด)  สมมุติว่าถาดนี้ไม่ได้มีแค่สาลี  แต่มีสารพัดลูกให้เราจำ  ทั้งหมดในถาดนี้ว่ามีอะไรบ้าง เราจำได้หรือเปล่า (จำไม่ได้)  ถ้าให้ลักษณะว่าซ้ำตรงไหน  เขียวตรงไหน เหลืองตรงไหน จำได้ไหม (จำไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเรามาฟังธรรมสามวัน ก็เหมือนชื่อหัวข้อที่ยาวๆ แล้วเราจำไม่ได้  แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นแก่นหรือใจความสำคัญที่เราต้องจำ  คืออะไร  มีแก่นอย่างหนึ่งที่เราต้องจำ  ไม่เช่นนั้นเราฟังสามวันนี้ก็เหมือนกับฟังไปแล้วไม่ได้อะไรเลย  สิ่งที่เราต้องจำคืออะไร (วิธีการปฏิบัติ, หัวใจสำคัญของเรื่อง, ธรรมะ)  อยากให้ตอบให้ตรงประเด็นกว่านี้สักนิดหนึ่ง  ว่าสิ่งที่เราจะนำกลับไปปฏิบัติคืออะไร  ไม่ได้หมายความว่า มีหัวข้ออะไร แต่ถามว่าคืออะไร สิ่งที่เราจะจำไป (การบำเพ็ญ)  ตอบถูกหรือยัง  เกือบถูกแล้วนะ (ความศรัทธาจริงใจ, การตังปณิธานแน่วแน่ที่จะปฏิบัติให้ได้)  ผลไม้หนึ่งพานนี้  ต่อให้ทั้งพานนี้คือสาลี่ ต่อให้ในพานนี้มีผลไม้หลากหลายแต่สิ่งที่ต้องจำคือ นี่คือผลไม้
ธรรมฟังไปสามวัน สิ่งที่ต้องจำคือธรรมที่เรานั้นจะเอาไปปฏิบัติ ฟังไปหมดสามวันนี้ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวถึงขนาดเก็บมาพูดเป็นฉากๆ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งกว่าคนที่มาพูดข้างหน้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากทุกอย่างที่เราฟังไปรู้สึกว่าดีนั้น เราไม่ได้เอามาปฏิบัติ  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องกลับไปแล้วทำก็คือกลับไปปฏิบัติธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก)
“ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว”
หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่โดยปกติแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดี แต่วันดีคืนดีก็มีเรื่องขึ้นมา พอเรื่องจบไปเรื่องหนึ่งแล้วก็มาเรื่องใหม่อีก ปัญหาชีวิตครั้งใหม่มาอีกแล้วก็จบไปอีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าบางคนนั้นไม่ใช่มีเรื่องเฉยๆ แต่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงบอกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะว่าคนนั้นมักจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ชอบหาเรื่องอย่างเช่น เห็นคนอื่นอยู่ด้วยกันเราก็ชอบยุยงให้เขาแตกแยกกัน อย่างนี้เคยเห็นไหมคนประเภทนี้ (เคยเห็น)  เห็นคนอื่นเขาทำอย่างนี้แล้วไม่ถูกใจก็ไปว่าเขาอย่างนี้ถือว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยนไหม (ใช่)  เวลาที่เราทำอะไรแล้วมีเรื่องก็เพราะว่าเราไปยุ่งกับคนอื่น ทำไมเราถึงไม่ยุ่งกับตัวของเราเอง แปลกไหม ใครบ้างที่เรามีสิทธิ์ที่จะยุ่งได้ ตัวเราเองมีสิทธิ์ที่จะยุ่งด้วยมากที่สุดใช่หรือไม่ รองลงมาคือใคร (ครอบครัว, ลูกและสามี, คนรอบข้าง, ญาติพี่น้อง, บิดามารดา, คนในปกครอง)
มีคนกลัวอาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์นี่ถ้าเรียกเป็นภาษาสามัญก็คือ ครู  ครูถือพัดไม้ ไม่ได้ถือไม้ กลัวโดนตีด้วยหรือ จะบอกให้ว่านอกจากตัวเราเองแล้วไม่มีใครจะยอมให้เรายุ่งด้วยเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดดูดีๆ  แม้กระทั่งลูก  ตอนที่เราเป็นลูก เราอยากให้พ่อแม่ยุ่งกับเราไหม (ไม่อยาก) พ่อแม่โดนลูกบังคับมากๆ เคยเห็นในปัจจุบันไหม ตอนนี้คงจะได้เห็นลูกบังคับพ่อแม่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีแต่เดี๋ยวนี้มีแล้ว  ลูกบังคับพ่อแม่ถามว่าพ่อแม่อยากให้ลูกยุ่งไหม ความจริงก็ไม่อยาก ฉะนั้นคนที่เราควรจะยุ่งด้วยมีอันดับเดียวและเป็นอันดับสุดท้ายก็คือตัวเราเองเท่านั้น  ยุ่งกับตัวเราแบบไหน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีอารมณ์มากขึ้นทุกวัน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีกิเลสมากขึ้นทุกวัน การยุ่งแบบนี้ทำให้ยุ่งแล้วไปนิพพานไหม การยุ่งอย่างนี้แล้วทำให้เราไปสวรรค์ไหม (ไม่ไป)  ยุ่งไปไหน (ไปนรก)  ยุ่งวนเวียนกันอยู่ในโลกมนุษย์นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยุ่งให้จิตใจของเรานั้นเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องยุ่งให้น้อยๆ ลง ยุ่งในแง่ของกิเลสตัณหา ยุ่งในแง่ของความอยากปรารถนา ยุ่งในแง่ของความโลภให้น้อยลง แต่ให้ยุ่งในด้านการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น ยุ่งในแง่ของการทำจิตใจของตัวเองให้สบายมากขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าไม่มีเรื่องก็อย่าไปหาเรื่อง แล้วเวลามีปัญหาอย่าไปกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัวเสียบ้าง อย่าให้รู้สึกเหมือนตัวเองสบายๆ อะไรก็ไม่กลัว อย่างนั้นถือเป็นความประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยามไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัว กลัวว่าจะมีปัญหาเกิด  แต่ถ้ามีปัญหาเกิดเราจะทำอย่างไร (แก้ไข)  ถูกหรือยัง อาจารย์จะให้มีแนวตรงกันข้าม (อย่ากลัว, วิ่งเข้าหา, อย่ามีเรื่องจะได้ไม่กลัว, เหมือนไม่มีเรื่อง)  ใช่แล้ว เวลามีเรื่องก็เหมือนไม่มีเรื่อง
กลัาคิดต้องกล้าพูดหรือพูดออกมาแล้วกลัวไม่ดีหรือเปล่า ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้นินทาใคร เป็นสิ่งที่ดีแต่ใช้ความคิด ใช้ปัญญา
“ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี”  ทำเหมือนไม่มีคือไม่มีอะไร อันนี้ต้องไปทำความเข้าใจแล้วคิดต่อให้จบนะ ประโยคสุดท้ายนี้เป็นประโยคที่ทำยากใช่หรือเปล่า  เวลาคนมีเรื่องอย่างแรกคิ้วจะขมวด จะทำเป้นไม่มีอะไร ทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหายิ่งหนัก ยิ่งมาก แต่ยิ่งต้องพยายามทำ ต่อให้ไม่สบายใจ ต่อให้เรากลุ้มใจ ต่อให้เราวิตกกังวลไปต่างๆ นานา ปัญหาก็ไม่ใช่ว่าจะจบ แต่สิ่งที่ทำให้ปัญหาจบคือการแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่สามารถจะบอกให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงได้ มีแต่บอกให้ตัวเองเปลี่ยนแปลง ตัวเรากับปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเราอยู่ตรงไหน สมมติว่าอาจารย์เป็นตัวของศิษย์ และศิษย์เป็นปัญหาของอาจารย์ ก็จะดูว่าสิ่งที่เป็นปัญหาระหว่างอาจารย์กับตัวปัญหาคืออะไร ตรงไหนเป็นปัญหาก็แก้ไข ตรงนี้เป็นปัญหาเข้าไปแก้ไข เมื่อแก้ไขจบแล้วปัญหาก็เบาไป เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรามากกว่าขึ้นกับผู้อื่น  เมื่อคนอื่นเห็นเราแก้ไขแล้วคนอื่นเขาจะแก้ไขสิ่งที่คนอื่นเป็นไหม (แก้)  ศิษย์คิดดูดีๆ ว่าเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน ศิษย์มีอัตตาหนึ่ง คนตรงข้ามมีอัตตาหนึ่ง คนตรงนั้นมีอัตตาหนึ่ง ทุกคนมีอัตตาพร้อมกันขึ้นมาแค่คนละหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญหาใหญ่โต ถ้าทุกคนยอมถอยคนละหนึ่งก้าว ปัญหาก็จะลดน้อยลง ถ้าศิษย์ยอมถอยหนึ่งก้าว คนๆ นั้นเขาเห็นศิษย์ยอมลดอัตตาแล้ว เขาอยากลดไหม (อยาก)  ศิษย์คิดว่าอยู่กับอัตตามีความทุกข์ไหม (มี)  อยู่กับความสบายใจมีความทุกข์ไหม (ไม่มี)  อยู่กับความสบายใจไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครอยากจะมีอัตตา ไม่มีใครอยากจะโกรธอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกลียดอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะแค้นอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกิดความชังอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าให้คิดให้ดี แม้กระทั่งในเวลาที่ศิษย์เกิดอารมณ์โมโหขึ้มาจริงๆ แล้วศิษย์ก็ไม่อยากมี เพราะว่าอารมณ์โมโหนั้น ทำให้เรารู้สึกร้อนแม้อากาศเย็นหรือว่าความรู้สึกชังทำให้เราหนาวจับขั้วหัวใจทั้งที่อากาศร้อน แสดงว่าตัวเราไม่ปกติ อารมณ์ไม่ปกติที่มีจิตใจที่ไม่ดีทำให้เรานั้นป่วย ถ้าหากว่าเราเกิดความรู้สึกร้อนภายในคือเกิดความโกรธ ในขณะที่อากาศนั้นหนาวเย็น ร้อนจะเผาผลาญตนเอง จิตใจของเราเต้นแรง หูตาของเราพล่ามัว ถามว่าคนๆ นี้สุขภาพดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์รู้ไหมว่าหลายๆ คนป่วยด้วยโรคของจิตใจ จิตใจของเราป่วย ป่วยแบบอารมณ์โกรธครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่และครั้งที่ห้า วันหนึ่งโกรธกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  หนึ่งปีโกรธกี่ครั้ง (หลายๆ ครั้ง)  สามร้อยหกสิบห้าคูณ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว คูณด้วยอายุตัวเอง โรคที่สะสมอยู่ในจิตใจมีมากไหม (มีมาก)  แล้วเราว่าเราป่วยไหม (ป่วย)  จริงๆ แล้วเราสุขภาพแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง)  ไม่แข็งแรงหรือ จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังแข็งแรงอยู่แต่ไม่ได้มาตรฐานของความแข็งแรง ถ้าเรามีจิตใจที่สบาย จิตใจที่มีความดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ เหมือนคนเขาบอกว่ามีอากาศดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงไหม สุขภาพจิตแข็งแรง สุขภาพกายแข็งแรง เลือกอะไรแข็งแรงมากกว่ากัน (สุขภาพจิต)  สุขภาพจิตแข็งแรงเป็นพื้นฐานของความแข็งแรงทั้งหมด  ถ้าหากทำได้บางคนที่ป่วยอยู่เป็นโรคที่ทำไมหาหมอไม่หายสักที โรคแบบนี้มาจากจิตใจที่ไม่แข็งแรง มาจากจิตใจที่ไม่สะอาด มาจากจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นตรวจที่ร่างกายจึงไม่พบต้นเหตุของโรค อยากให้แข็งแรงกว่านี้ ก็ทำจิตใจให้สะอาดกว่านี้ ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ไม่ใช่เปลี่ยนจิตใจให้แข็งแรง แล้วร่างกายแข็งแรงทันที เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ยานี้รักษาโรคอันนี้เป็นยาที่อยู่ที่อารมณ์ของเราเอง อาจารย์กล้าบอกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีคนไหนไม่เป็นโรค เป็นคนละนิด รักษาตัวเองดีไหม (ดี)  เมื่อรักษาจิตใจให้แข็งแรงได้ย่อมสามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ และบำเพ็ญธรรมได้ก็บรรลุเป็นพุทธะได้ ข้อดีหลายต่อยิ่งกว่าซื้อของในโลกมนุษย์แล้วลด แลก แจก แถมอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไม่เอางานนี้ (เอา)  เสี่ยงไม่เสี่ยง (เสี่ยง)  เสี่ยงไม่เสี่ยงขึ้นอยู่กับตัวเอง ตอบอาจารย์ตอนนี้บอกเสี่ยง กลับไปบ้านแล้ว เอาไว้ก่อน ทำไมหนอ เพราะว่าเราไม่ได้เกิดความซาบซึ้งในธรรมะจริงๆ เป็นความซาบซึ้งเพียงเปลือกนอก เป็นการฟังธรรมะแล้วแค่รู้สึกว่าดีเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาไปปฏิบัติ จึงยากที่จะกลับไปบ้านแล้วบำเพ็ญต่อได้ ถ้าหากว่าทำได้ ไปอยู่กับอาจารย์ ถ้าหากทำไม่ได้ไปไหน (กลับบ้าน)  ถามว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้ บ้านนี้กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ก่อนหน้ามาก็มีอยู่แล้ว อากง ทวด เคยอยู่บ้านหลังนี้ แล้วตอนนี้ทำไมเขาไม่อยู่แล้ว เพราะว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านจริงๆ เราจะกลับมาอยู่บ้านนี้เราต้องเป็นอย่างไร ชาตินี้เราเป็นคน เราอยู่บ้านนี้ ชาติหน้าถ้าอยากกลับมาอยู่บ้านนี้อีก ถ้าไม่ใช่หลาน เหลน โหลน ก็กลับมาเป็นตุ๊กแกเกาะฝาผนังดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าหากว่ายังหมกมุ่น ถ้าหากว่ายังมีอะไรที่เวียนว่ายอยู่ในอารมณ์ตอนนี้ ก็ให้รู้ไว้ว่าเราก็คนต้องเวียนว่ายอย่างนี้ ชาติหน้าอาจเกิดเป็นตุ๊กแกก็ได้ เกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัว เพราะว่าคนเป็นจิตญาณใหญ่ กลมใสที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ตุ๊กแกเป็นจิตญาณเล็กๆ ถ้าเกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัวนะ ถ้ารักบ้านหลังนี้มาก
ในตอนแรกที่เรามาสถานธรรม มีหลายครั้งเราเกิดความรู้สึกงงว่าคืออะไร ทำอะไรกัน มีที่เป็นมาอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง วันนี้ได้ฟังหัวข้อพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ก็ได้รู้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้นว่าเบื้องหลังในสิ่งที่เราเห็นมีการเสียสละจากคนมากมาย ที่เขาล้วนฝืนวัฏสงสาร ฝืนร่างกายนี้ดับสิ้น ไม่ได้รอแต่ว่ามีใครบ้างที่คิดจะสืบทอดไป คนมีปณิธานใหญ่สืบทอดธรรมะช่วยงานธรรม คนมีปณิธานเล็กก็คือทำตัวเองให้ดีๆ ฉะนั้นคนเราบางคนเกิดมายิ่งใหญ่ บางคนเกิดมากระจ้อยร่อย บางคนเกิดมาไม่มีใครรู้ว่าเกิดตาย ตายไปไม่มีใครรู้ว่าตาย เพราะอะไร ชะตาชีวิตลิขิตกำหนดให้เป็นเช่นนั้นไหม หรือว่าเรามากำหนดชีวิตของตัวเราเอง พรหมลิขิตในชีวิตเราเป็นอย่างนั้นหรือว่าเรากำหนดชีวิตของตัวเอง (เรากำหนดชีวิตของตัวเอง)  ลองย้อนกลับไปข้างหลัง วีรชนผู้เก่งกล้าทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่สละชีพ พวกเขาเหนื่อยไหม พวกเขามีความยากไหม (มี)  แล้วลองดูตัวเราในตอนนี้ ยังมัวแต่ห่วงตัวเองอยู่เลย มนุษย์ชอบพูดว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วค่อยไปคิดช่วยคนอื่น ถามให้ตอบอย่างซื่อๆ ตรงๆ ว่าเมื่อไรรอด ตอบได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีวันนั้น แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เสียสละเพื่อส่วนรวมทั้งหลายยังไม่สามารถฝืนอาการเจ็บป่วยไปได้ ในขณะที่เขาเสียสละชีวิต ในขณะที่เขาเหนื่อยนั้นเขาก็มีความเจ็บป่วย ในขณะที่เขายอมทนเพื่อคนอื่นนั้น เขาก็มีภาระที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาตกได้เช่นเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังอดทนช่วยพวกเราขึ้นมา ฉะนั้นถ้าหากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็จำเป็นที่จะต้องทนต่อความยากลำบากและหัดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่ตนเองยังทำไม่ค่อยได้ก็ตาม ต้องพยายาม ต้องช่วยเหลือผู้อื่น อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้มีความเมตตา มีมหาเมตตาช่วยเหลือผู้ที่ตกยากกว่าตน ช่วยเหลือผู้ที่อวดทะนงกว่าตนให้เขาได้รู้สำนึก เพราะว่าเรานั้นก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา และยังมีคนที่เหนือกว่าเรา เลือกเอาที่ตนเองช่วยได้ ช่วยเมื่อโอกาสเปิด ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าสามารถนำพุทธระเบียบในสถานธรรมไปใช้กับคนข้างนอกได้ เราจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจริยมารยาทมากเลย เพราะมีคนเชิญเรานั่งบ่อยๆ แต่เราเคยเชิญให้ผู้อื่นนั่งหรือเปล่า ก็มีน้อยครั้งเหมือนกัน ใช่หรือไม่ ถ้าเรานำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะเป็นคนที่มีความน่ารักมีจริยมารยาท ความอ่อนน้อมที่ขาดหายไปในสังคม ขาดแล้วขาดอีกให้เพิ่มแล้วเพิ่มอีก
ในสองวันนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้อะไรเลย อาจารย์เตือนไว้ก่อน วันนี้วันสุดท้ายเรียกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายไม่เอาก็อย่าเอา ใช่ไหม  วันนี้วันสุดท้ายแล้วใครสามารถตอบคำถามได้ก็ให้ตอบ หากใครอยากได้ผลไม้ก็ช่วยตอบแล้วช่วยเอาผลไม้บนโต๊ะนี้กลับไปบ้านดีหรือไม่ (ดี)
หลังจากวันนี้กลับไปจะเริ่มทำอะไรเป็นสิ่งแรก (ทานเจ, ทำความดี, ปฏิบัติธรรม)  เอาแบบพูดได้แล้วทำได้ (ปฏิบัติธรรม, ทบทวนตัวเอง, บำเพ็ญตนตามพระโอวาท, ปรับปรุงตัวเอง)
“เหงาหงอยในคน ยกตนไปสูงเหนือใคร”  คนที่เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่ง และมีความสามารถ ส่วนใหญ่แล้วก็คือยกตัวเองขึ้นมาหรือว่ายกย่องตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นลักษณะของคนที่ชอบยกย่องตนเองว่าเก่งและมีความสามารถ ส่วนคนที่มีความสามารถจริงๆ นั้นรอให้ผู้อื่นยกย่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าเวลาที่เรายกย่องตัวเองขึ้นไปสูงมากๆ ตัวเราเองก็จะโดดเดี่ยวเอกา เราก็จะลำพัง ฉะนั้นคนที่ยิ่งมีความสามารถ ยิ่งต้องอยู่กับคนที่เราเข้าใจว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อจะได้ชี้แนะเสมอๆ เห็นเขาผิดตรงไหนก็จะได้ชี้แนะ ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนขึ้นมาวงคำในพระโอวาท)
มาฟังธรรมสามวันแล้วก็ค่อยตรองดู พิจารณาดูแล้วเลือกว่าเราจะบำเพ็ญหรือเปล่า ไม่ใช่บำเพ็ญตามใครคนหนึ่งที่บอกเราให้บำเพ็ญ แต่พอเข้ามาแล้วคนแนะนำก็เรื่องหนึ่ง ตัวเราก็เรื่องหนึ่ง เราบำเพ็ญสร้างกุศลให้ตัวเราเอง ทางก็เป็นของเรา มัวแต่ติดในตัวบุคคล เราบำเพ็ญก็บำเพ็ญให้คนอื่น เข้าใจไหม ตัดสินใจด้วยการตรองทุกเรื่องที่ผ่านมา สมใจตรองไว้อย่าดีใจเกิน เสียใจตรองไว้อย่าเสียใจเกิน
“การปรองดอง”  ปรองดองระหว่างกายกับใจ โรคจะได้หาย ปรองดองระหว่างธรรมะกับจิตใจของเรา ปรองดองระหว่างทางบ้านกับตัวของเรา ปรองดองกับผู้คนที่เราอยู่ร่วม ปรองดองให้โรคในใจหาย โรคภายนอกหาย ปรองดองให้ทุกอย่างดีขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ปรองดองต้องใช้ปัญญา ต้องมีปัญญาในการที่จะนำตนเองเดินไป ฟังอะไร คิดอะไร พูดอะไร หลังจากวันนี้ศึกษาให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก เราจะได้ขึ้นมาอย่างมั่นคง ดีไหม
อาจารย์เปรียบศิษย์เป็นเลือด ขาดศิษย์ไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่บำเพ็ญอาจารย์ต้องตายแน่ๆ เลย ให้อาจารย์ตายไหม ตายแล้วตายอีก เวลาที่อาจารย์มีศิษย์ ศิษย์ทุกคนเหมือนเป็นเลือดของอาจารย์ แม้อาจารย์เป็นพุทธะ ไม่มีเลือด แต่ทุกคนในที่นี้เปรียบเหมือนเลือด รักศิษย์เหมือนดังรักเลือดของตัวเองทีเดียว ฉะนั้นฝากความหวังไว้ที่เราบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมให้มาก
(อาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง : เงาที่หายไป” และสอนร้อง)
วันนี้คนอายุมาก อาจารย์ให้วงคำว่า “เข้มแข็งใจสู้”  หมายความว่าเรายิ่งอายุมาก ชีวิตของเราก็สั้นลง โดยไม่ต้องรู้ว่าชีวิตของเราจะดับไปเมื่อไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้อยู่แล้วชีวิตสั้นลง ฉะนั้นทุกๆ เวลาๆ ทุกๆ นาทีที่เหลือมีค่ายิ่งกว่าทอง ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เข้มแข็งต่อสู้ เพราะเราเป็นคนอายุมาก ส่วนคนที่อายุน้อยยิ่งต้องรักษาโอกาส ฉวยโอกาส คิดจะทำอะไรให้เร่งทำ ส่วนคนที่อายุมากนั้นอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบทำไป เลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่ควร บางครั้งเรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ก็ต้องทำให้สำเร็จก่อน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจึงทำใช่หรือเปล่า  ทีนี้เราจะมองเรื่องสองเรื่องนี้ เราจะมองเห็นได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอันไหนเราต้องพยายามทำให้เสร็จ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไหนเราต้องมองก่อน รู้ก่อน ต้องแยกแยะด้วยอะไร (ปัญญา) ใช่ต้องแยกแยะด้วยปัญญา
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายชื่อเพลงพระโอวาท “นกบนฟ้าปัญญาในใจ”)
มีนกตัวหนึ่งอยู่บนฟ้าไม่รู้บินมาจากไหน มาอยู่เป็นเพื่อนเรา เราเป็นผู้ที่มีความเคว้งคว้างในจิตใจ แม้เราจะยกตนสูงเหนือใคร แต่ว่าอะไรอยู่สูงกว่า (นก)  แต่นกก็ยังยอมลงมาอยู่กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  นกเห็นเราเหงา นกลงมาอยู่เป็นเพื่อน พอเราพลิกฟื้นจิตที่เคยหลงไปให้มาบำเพ็ญ เราเป็นคนบนดิน เราต้องบำเพ็ญให้ติดดิน นกตัวเดิมบินลงมาตรงหน้าเรา ปลดปล่อยความมืดมนออกไป คนที่ไม่มีอัตตาสูงเกินไป คนที่ไม่มีทิฐิ คนที่รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อยวาง จิตใจนี้ก็จะโล่งสบาย
“ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย”  ชีวิตของเราเป็นชีวิตของศิษย์จริงๆ แต่ว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะถอยไปจากชีวิตนี้ คนที่ถอยเป็นอย่างไร เคยเห็นคนที่โดดตึกตายไหม คนที่กินยาตาย คนที่ฆ่าตัวตาย นี่คือคนที่ถอย เขาเอาความทุกข์ทั้งหมดใส่ยาแล้วกินเข้าไป รู้ไหมว่าเอาความทุกข์ทั้งหมดไปโดดตึกครั้งเดียว แต่เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บมาก ยาที่กินเข้าไปครั้งเดียว แต่ทรมานไหม (ทรมาน)  ทรมานมากมายทีเดียวพอถอยก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงบอกว่า ชีวิตของศิษย์ไม่มีสิทธิ์ถอย คนที่ไม่ถอยเป็นอย่างไร ก็ชนะจิตใจของตัวเอง เราชนะมาทั้งหมด ทำการค้าก็ชนะ คุยกับใครก็ชนะ แค่มองตาเรายังชนะ แต่ว่าไม่ชนะอยู่อย่างหนึ่ง คืออะไร จิตใจของตัวเอง แพ้อยู่เรื่อยเลย ใช่ไหม  อยากจะได้เสื้อสีชมพูก็ต้องไปซื้อสีชมพู ซื้อสีเหลืองไม่ได้ อยากจะได้เงินทองก็ต้องไปหาเงินทอง ไม่เอาไม่ได้ ลูกไม่เชื่อฟังก็ตี ให้เขาฟังเราให้ได้ใช่ไหม (ใช่)  สามีไปนอกใจก็ดิ้นรนจะตายให้ได้ นี่คือคนที่ไม่ชนะจิตใจของตัวเอง อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งใดที่อยู่นอกตัวบังคับไม่ได้ บังคับได้คือตัวเอง คนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้เป็นโรคอะไร โรคที่ขยับแขนขยับขาไม่ได้ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ใช่หรือไม่  นี่คือคนที่เป็นโรค แต่ว่าเราชนะจิตใจของตัวเอง ในเมื่อเราสามารถบังคับมือ บังคับเท้า บังคับอะไรก็ได้ เราต้องบังคับใจได้ ใช่หรือไม่
“ศึกษาย้อนรอย”  ศึกษาย้อนรอยไปดูอะไร ศึกษาย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่นหรือเปล่า ศึกษาย้อนรอยไปดูความสมหวังของคนอื่นหรือเปล่า ใช่เราย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่น แต่ไม่ได้ดูเพื่อเยาะเย้ย แต่ดูว่าเขาผิดได้อย่างไร แล้วเราจะผิดเหมือนเขาไหม ย้อนรอยไปดูว่าเขาสมหวังอย่างไรแล้วเรามีสิทธิ์สมหวังไหม ย้อนรอยเพื่อไปดู ไม่ทำให้ชีวิตของเราล้มเหลวด้วยมือของเราเอง ให้ชนะทุกอย่างด้วยตัวของเราเอง
“รู้แล้วอย่ามัวเลื่อนลอย”  ชีวิตของเราตอนนี้ ถ้าศิษย์นั่งเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี เคยเป็นไหม (เคย)  ถ้าเช่นนี้แสดงว่าชีวิตของเราเลื่อนลอยเต็มที คนนั้นถ้ายิ่งนั่งอยู่เฉยๆ ยิ่งไม่มีงานทำ แต่ว่าคนยิ่งทำงานงานยิ่งมาก คนยิ่งไม่ทำงานงานยิ่งน้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้สึกว่าเราว่าง ให้เราลุกออกไปหา เป็นงานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง เป็นงานที่เราไม่เคยทำเลยยิ่งดี อย่างที่ผู้ชายบางคนไม่เคยทำกับข้าว ถ้าหากวันไหนไม่รู้จะทำอะไรดี ก็ไปทำครัวดีไหม (ดี)  เหมือนเหลาจู่ซือ ถ้าหากผู้หญิงไม่เคยขับรถไปขับได้ไหม (ได้)  ไม่ได้ต้องไปกัดก่อน หากขับออกไปเลยเราอาจทำคนอื่นเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยก็ต้องไปหัด ผู้ชายหากไม่เคยทำครัว ทำครั้งแรกอร่อยไหม (ไม่อร่อย)  ผู้หญิงไม่เคยขับรถ ไปกัดขับบนถนนใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากเราไปฝึกฝน งานก็จะมีมากขึ้น
“มุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม”  มุ่งมั่นทำจิตใจของเราให้ดีงามไม่ว่าทำอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญก็คือ จิตใจที่ดีงามของเราเอง เพราะหากว่าจิตใจของเราดีงามแล้วทุกสิ่งย่อมดี มองไปที่ไหนก็ย่อมสวยงาม เห็นแดดร้อนๆ ก็ยังรู้สึกว่าแดดเป็นประกาย ไม่ใช่บอกว่าวันนี้เห็นแดดร้อนตามัวเลย
“นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา  เรียกคนมาคลายหลงไปแม้ฟ้าจะสูงเพียงใด  แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว”  นกเปรียบเหมือนปัญญามาเรียกให้เราคลายความหลง ท้องฟ้าก็เปรียบเหมือนจิตใจ เพราะว่านกบินอยู่บนฟ้า  ฉะนั้นสิ่งทีครอบคลุมปัญญาของเราก็คือจิตใจ ชีวิตไม่เคยยากเย็นเสียทีเดียว เพราะทั้งจิตใจและปัญญานั้นเป็นหนึ่งในชีวิตของเรา เราทำตัวเองนำทางไปทางไหน ชีวิตของเราก็ไปทางนั้น หากว่าคนที่ชอบเล่นการพนัน ชอบซื้อหวย เล่นไพ่ ชีวิตของเขาก็ไม่พ้นผีพนันใช่หรือไม่  ถ้าเราชอบช่วยคน ชอบเกื้อกูลคน คนๆ นี้อนาคตก็ไม่พ้นเป็นวีรชน อยู่ที่ว่าช่วยแล้วหวังผลตอบแทน ช่วยแล้วมีความก้าวหน้ามากแค่ไหน ค่อยนับเลื่อนขึ้นไปเป็นพุทธะทีละหน่อย
ท้องฟ้าเปรียบเสมือนจิตใจ จิตละเอียด ใจหยาบ คนเลี้ยงๆ ได้แค่กาย ปราชญ์นั้นหล่อเลี้ยงอารมณ์ให้นิ่ง เมธีนั้นเลี้ยงใจให้สะอาด อริยะนั้นเลี้ยงจิตให้สงบ ลองดูซิว่า ทุกๆ วันเราเลี้ยงอะไรบ้าง เลี้ยงคน, ตัว หรือเลี้ยงแค่กายหรือเปล่า (เลี่ยงแค่กาย)  ฉะนั้นต้องเลื่อนขั้นตัวเองขึ้นมาอีก ปราชญ์ใกล้กับมนุษย์ที่สุด เรามาเลี้ยงอารมณ์ของเราให้เยือกเย็นดีไหม (ดี)  คนที่เป็นคนอารมณ์เย็นอยู่เสมอๆ คนมักชอบที่จะรักใคร่ คบหา  ถ้าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน ก็ไม่มีคนอยากจะคุยด้วย  ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยด้วย เรามาสำรวจตัวเองว่าเวลาพูด เราพูดเสียงแข็งไหม เวลาเราพูดทำให้คนอื่นคิดมากหรือไม่ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นคิดมากต้องมาสำรวจตัว หากพูดแล้วทำให้เขาคิดไปในแง่ของปัญญาได้ จึงนับว่าเป็นคนที่พูดแล้วมีสาระ พูดแล้วทำให้คนคิดมากนี่ไม่ดี บางคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมอย่าคิดมาก แต่ไว้สอนตัวเอง อย่าบอกว่าคนอื่นอย่าคิดมาก เพราะว่าเราพูดไม่ดีเราต้องรู้ว่าเวลาพูดอย่าให้คนอื่นคิดมาก
จิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเราปรับอารมณ์ของเราได้ เราลองมาปรับใจของเราให้ดีแล้วค่อยเลื่อนขั้นพุทธะไป ทำจิตใจให้สงบดีไหม (ดี)  ทำไมสมัยก่อนการนั่งสมาธิจึงมีประโยชน์ ทำไมสมัยก่อนการทำสมาธิจึงทำให้คนบรรลุได้ เพราะว่าการฝึกจิตเป็นลำดับสุดท้ายของการฝึกทั้งมวล เพราะฝึกมาทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ทำจิตให้สงบเท่านั้นเอง ถึงเวลาเขาบรรลุต้องบรรลุ แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ นั่งหลับตาแต่จิตใจคิดไปเรื่อย ถือโอกาสนั่งหลับ ฉะนั้นจึงไม่เหมือนกัน จะบอกว่าคนสมัยก่อนนั่งสมาธิไม่บรรลุไม่ได้ พูดไม่ได้เสียทีเดียว แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ คือนั่งแล้วจิตใจไปเรื่อย สงบจิตไว้ก่อน แต่พอออกสังคมก็วุ่นวายไว้ก่อน อย่างนี้ไม่มีประโยชน์
ชีวิตไม่ได้ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ไม่งายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยากกับง่ายใครกำหนด (ตัวเรา)  ตัวเราเป็นผู้กำหนดชีวิตให้ยากหรือให้ง่ายนะอย่าลืม
อยู่กับอาจารย์ อาจารย์เป็นพุทธะ ฉายาของอาจารย์ “พุทธะเดินดิน”  อาจารย์ยังมาเดินอยู่บนดิน ศิษย์ของอาจารย์ก็ให้บำเพ็ญติดดินให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อุปสรรคอยู่เบื้องหน้า ชัยชนะอยู่เบื้องหลัง”)
คนทั่วๆ ไป เวลาอยากจะสำเร็จมักจะคิดถึงชัยชนะก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วอะไรมาอยู่ข้างหน้าของเราก่อนชัยชนะ (อุปสรรค)  สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเราคืออุปสรรคให้คิดถึงอุปสรรคก่อนแล้วชัยชนะที่อยู่เบื้องหลังนั้น ก็จะมาแทนที่อุปสรรค ตอนนี้เฉพาะหน้าอุปสรรคอยู่เบื้องหน้า แต่ชัยชนะนั้นอยู่เบื้องหลังไปก่อน  ถ้าเราใช้ความพยายามมาก อุปสรรคก็ไปอยู่ข้างหลัง แล้วชัยชนะก็มาอยู่เบื้องหน้า ไม่มีอะไรที่ยากเย็นเกินคนที่พยายาม แม้กระทั่งคนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะนั้น ก็ไม่ได้ยากเกินไป อย่าคิดว่าตัวเรานั้นทำไม่ได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ เพราะว่าครั้งหนึ่งอาจารย์ก็เคยเกิดเป็นคนมาแล้ว แล้วอาจารย์ก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ตอนนี้เป็นคนก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เป้นคนประเสริฐกว่าสิ่งใดทั้งมวล ที่เห็นมีร่างกายเหมือนกันก็คือสัตว์ สัตว์มีร่างกาย ศิษย์มีร่างกาย แต่ศิษย์ประเสริฐกว่า เพราะว่ามีความคิด มีปัญญา เทวดาไม่มีร่างกาย มนุษย์มีร่างกาย มนุษย์ประเสริฐกว่า ผีนรกนั้นชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นมนุษย์ยังทำกรรมอยู่ ถ้าหากว่าเราทำกรรมมาก วันหนึ่งเราก็ต้องชดใช้กรรมก็ไม่ต่างกับผี ฉะนั้นตอนนี้ทำความดีหรือความชั่วก็ต้องรู้อยู่กับตัว เราต้องเลือกอนาคตของเราตั้งแต่วันนี้ อันว่าคนนั้นสามารถสำเร็จเป็นพุทธะ อันว่าพุทธะองค์นั้นเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ ในศิษย์ของอาจารย์นั้นพยายามเริ่มตั้งแต่คนที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นต้นไป ไปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เมตตา เป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นโพธิสัตว์น้อยๆ เป็นอรหันต์น้อยๆ แล้วเป็นอรหันต์ใหญ่ๆ ในวันข้างหน้าดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากว่าวันนี้ ศิษย์เดินไปทางไหน คนยกมือไหว้ แสดงว่าเรานั้นมีคนนับถือ ถ้าหากว่าวันนี้เราเดินไปทางไหน คนเชิดใส่ แสดงว่าเราอะไร โพธิสัตว์คนอยากเจอ มีแต่ผีเท่านั้นคนไม่อยากเจอ คนเห็นเราแล้วกลัวแสดงว่าเราไม่ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์ แสดงว่าเรากำลังบำเพ็ญเป็นผี เพราะฉะนั้นตอนนี้ดูว่าเราเดินไปทางไหนมีคนทักเราไหม (มี)  แล้วตอนที่เขาทักเรานั้นเขายิ้มหรือไม่  ตอนนี้เราทำอะไร วันหน้าก็คือสิ่งนั้น ตอนนี้ให้ตั้งใจทำให้ดีให้งาม ไม่ต้องคิดว่าเวลาเราทำดี คนอื่นจะต้องมาตอบแทนดีกับเรา หรือบางคนบังคับให้คนไหว้ได้ แต่จิตใจของเขาไม่เคารพ อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นเราควรให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติหล่อเลี้ยงทุกสิ่ง ให้ธรรมชาติหล่อเลี้ยงใจของศิษย์ ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเป็นธรรมชาติ มาที่นี้ไม่มีใครสามารถบังคับให้ศิษย์ทำอะไรได้ บังคับให้กินเจก็ไม่ได้  คนที่ต้องบังคับก็คือตัวเราเอง ขอให้รู้จักละอายต่อบาปที่เราสร้าง รู้จักที่จะทำดีให้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไป อาจารย์หวังในตัวศิษย์มากมาย
บ่ายโมงแล้วนะ อาจารย์ไม่อยากรบกวนศิษย์มากเกินไป วันนี้อาจารย์มีความสุขมากที่เห็นศิษย์แม้ว่าจะน้อยแต่ว่ามีคุณภาพ ศิษย์เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสี่พระองค์ยังให้โอวาทยาวขนาดนี้ จนอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์คงเป็นผู้มีภูมิธรรมมาก ส่วนจริงๆ แล้วเรามีภูมิธรรมแค่ไหน เราคงต้องเป็นผู้ตัดสินตัวเราเอง
พุทธะเกิดมาบนโลก แต่พุทธะไม่ยอมบำเพ็ญต่อ แม้ว่าจะสูงเกียรติยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์
อาจารย์มอบกำลังใจให้ศิษย์ทุกๆ คนทุกๆ เมื่อ  คนลำปางทุกๆ คน ทุกๆ วันที่อยากได้กำลังใจ ทุกๆ นาทีที่อยากได้กำลังใจ
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ มีบุญแล้วต้องรู้จักใช้ในทางบำเพ็ญด้วย บุญกุศลนี้หมดไปได้ ร่อยหรอลงได้ ขอให้ตั้งใจนะ อาจารย์รอศิษย์อยู่นะ แต่ไม่รู้ว่ารอครั้งนี้เสียเปล่าหรือเปล่า  ขอให้ความหวังของอาจารย์สำเร็จที่ตัวศิษย์ รักสามัคคีกันให้มาก อย่าทะเลาะเบาะแว้ง มาบำเพ็ญร่วมกันก็ขอให้เดินทางธรรมร่วมกัน ขอให้อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ชั่วฟ้าดินสลาย อย่าทอดทิ้งอาจารย์นะ
มีเวลาว่างมาสถานธรรมนะรู้ไหม บำเพ็ญใจอยู่ที่บ้านบำเพ็ญยากก็ให้พยายามแม้เหตุการณ์ไม่เป็นใจก็ต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองมากๆ เข้าใจไหม รีบๆ บำเพ็ญนะ อายุมากแล้ว รีบๆ บำเพ็ญ ทำอะไรได้ก็ให้รีบๆ ทำได้แล้ว
ขอให้ครั้งนี้เจอกันเป็นครั้งแรกและมีครั้งต่อไป มีเวลาว่างศึกษาธรรมะให้หนักๆ พบสิ่งใดชอบใจ ไม่ชอบใจต้องใช้ปัญญาแยกแยะ
รักษาตัวให้พ้นมารพ้นภัย รักษาใจให้สะอาดๆ อาจารย์หวังว่าทุกครั้งที่อาจารย์เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นคนที่มีความสะอาดพร้อม หวังว่าทุกๆ ครั้งที่เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นศิษย์อาจารย์ ยอมรับอาจารย์ในหัวใจ หวังว่าศิษย์นั้นยอมให้จิตใจของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น อาจารย์อยู่ในใจศิษย์ต่อเมื่อศิษย์นั้นมีอาจารย์ในหัวใจ อย่าคิดว่าการทำดีนั้นยาก อย่าคิดว่าการเป็นพุทธะลำบาก อาจารย์รับประกันว่า ถ้าศิษย์พยายามย่อมที่จะไปถึง ขอให้ทุกคนนั้นแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี นิสัยที่ไม่ดีเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มลงมือทำอะไร ให้มองเห็นในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ดีอยู่เพื่อให้นิสัยของเรานั้น ความประพฤติของเรานั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น เพื่อให้ความประพฤติของเรานั้นเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น
สังคมการบำเพ็ญธรรมนั้นยังเป็นสังคมแคบ เมื่อเทียบกับสังคมมนุษย์ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมนั้นยังบำเพ็ญอยู่บนทะเลทุกข์ จึงขอให้ทุกๆ คนอดทนและพยายาม เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในธรรมะที่ศึกษา มีเวลาแบ่งเวลามาสถานธรรมให้มาก อย่าทอดทิ้งกลางคัน อย่าล้มเลิกกลางคัน ถ้ารักอาจารย์ก็ตามอาจารย์มาละกันนะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-03 พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


PDF  2544-11-3-อิ่งเซียน #11.pdf

วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

หนึ่งทุกข์มีสองคนแบกเหลือแค่ครึ่ง หนึ่งสุขถึงสิบคนปันสิบคนได้
คนไม่โลภย่อมไม่ติดกับดักใด การบำเพ็ญมุ่งสู่ใจเผยออกมา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮา  ฮา

คนเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่าย ทำดีไปก็หวังผลแทบทั้งสิ้น
เมื่อยามมีชีวิตอยู่เลือกได้ยิน เลือกสีกลิ่นแต่ไม่อาจเลือกไม่ตาย
จงได้รู้กรรมสะท้อนตามแรงส่ง จิตต้องตรงเป็นคนต้องซื่อสัตย์
จิตใจนี้ให้พัฒนาปรมัตถ์ จงเคร่งครัดกับตนเองละมลทิน
ภมรหลงบุปผาบินวนเวียน ชีวิตหนึ่งดุจเล่มเทียนมีวันมอด
จงรักษาจิตดีไว้ให้ตลอด ขอให้ถอดใจหลงหน้ากากคน
กลางดินฟ้ามนุษย์นี้ประเสริฐสุด แดนวิมุตติทุกท่านย่อมไปถึง
อย่าได้หลงกิเลสหนักมาคอยดึง คนจะถึงฟ้าเดิมดูแต่ยามเป็น
พุทธะล้วนสำเร็จจากปุถุชน ธรรมแยบยลหรือไม่อยู่ที่มนุษย์
จงตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เมื่อคิดหยุดหยุดตัณหาในใจตน
นอกกายนั้นไม่มีสิ่งใดแท้จริง เราไม่ทิ้งก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
จงรู้เจียดเวลาฟังธรรมหยั่ง เป็นพลังแห่งความดีส่องทางเดิน
สองวันนี้ประชุมธรรมเป็นการเริ่ม ขอจงเพิ่มจิตศรัทธาเป็นที่ตั้ง
ยังกังขาให้ศึกษาตั้งใจฟัง อย่าได้มัวลังเลอย่างที่เคยมา
กลับออกไปอย่าได้ห่างจิตแท้ตน สังคมล้นเหตุการณ์ให้เราฝึกจิต
เกิดเป็นคนไม่มีใครไม่เคยผิด แต่ก็ติดอยู่ที่ผิดไม่ยอมแก้
การเดินเรือนั้นต้องมีทิศทาง เรือแล่นตรงเพราะหางเสือเป็นสำคัญ
คนสำคัญเพราะจิตตรงเป็นสำคัญ งานสำคัญเพราะเราทำรู้หน้าที่
ใช้ปัญญาแก้ปัญหาของชีวิต อะไรนิดอะไรหน่อยอภัยให้
จงรู้ตนช่วยคนพ้นปวงภัย อันภัยใจแอบทำลายทางกลับคืน
ในวันนี้พี่หวังน้องตั้งใจฟัง ให้ธรรมดั่งเป็นยารักษาจิต
พิจารณาพูดและทำพร้อมความคิด อย่าได้ผิดไปจากทางคุณธรรม
จงรักษาระเบียบในชั้นเรียน ขอหมั่นเพียรให้กระจ่างให้จงได้
ไม่มีใครบังคับซึ่งเราได้ จงมั่นใจฟ้ามอบธรรมเฉพาะกาล
จรดพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮา ฮา หยุด


วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

อย่าเหนื่อยหน่ายในการสร้างสิ่งดีดี หากโลกมีความไม่ดีมาให้เห็น
จงเป็นฝนชโลมโลกให้ร่มเย็น ขอท่านเป็นผู้ทำดีไม่แพ้ภัย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

สายธารารินไหลไปไม่อาจหวน เมื่อทำดีอย่าเรรวนกล้ามุ่งหน้า
พลาดผิดไม่อยากให้เห็นเป็นธรรมดา มือทำไปใจพัฒนามีแนวทาง
คนใคร่รู้เห็นแต่เรื่องคนอื่น ใจไม่ตื่นยามทำหวังคนเขา
สำเร็จเป็นเริ่มแรกดียากชมยาว เมื่อไหร่เราหยุดก้าวโลกกลืนในบัดดล
ชมก่อนติคำนี้ที่ต้องรู้ เป็นคำครูให้บ้านได้เป็นบ้าน
แม้ชมดังรสขมแห่งดวงญาณ ขมก่อนหวานเสมอมาไม่น้อยลง
ผ่านมามากชีวิตยึดลองทิ้งหลัก เป็นไม้ตรงค่ามากนี้สัจจะส่ง
คนคดเล่ห์หลากหลายมิตรไม่ดำรง ฤดีตรงคนมีประโยชน์พึงเร่งเป็น
ช่วยคนกลับทำห่างคนช่วยอย่างไร ฤทัยก่อนดีได้ควบคุมยากเข็ญ
จงไม่เสียเวลาอ่อนน้อมจิตใจเย็น ปัญญาพาค่อยเป็นไปคืนเบื้องบน
ผู้เป็นที่รักทั่วหล้างามน้ำใจ ไม่มีใครรักเลยเพราะเห็นแก่ตน
กลายเป็นคนที่ลืมเพราะมุ่นกังวล จิตไม่คลายความสับสนจะช่วยใคร
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

มีปุถุชนจึงมีพุทธะ เพราะมีมนุษย์ที่ยังหลงเวียนว่ายจึงต้องมีพุทธะ เปรียบเหมือนตัวท่านเองที่พูดว่าเราคือคนดี ก็เพราะมีคนไม่ดี จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นพูดว่าเราเป็นคนดี อย่าลืมประโยชน์ของความไม่ดีของคนอื่นด้วย ก็เพราะเขายิ่งไม่ดีเท่าไหร่ กลับยิ่งส่งเสริมให้เรางดงามและดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พุทธะคงไม่ยินยอมแน่ ถ้ามนุษย์ยิ่งหลงมึนเมาเท่าไหร่ พุทธะยิ่งได้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดี  การที่คนอื่นไม่ดีแล้วตัวท่านดียิ่งขึ้น ดีไหม (ไม่ดี)  ตราบใดโลกนี้ยังมีลักษณะที่เป็นคู่อยู่ ก็ยังถือว่าต้องเวียนว่ายอยู่ เมื่อไรที่ไร้คู่ เมื่อนั้นแหละเป็นสุขยิ่งนัก เป็นอิสระยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ว่าคนเราก็อดไม่ได้ที่ยังหลงเวียนว่าย ยังติดในดีในร้าย ในทุกข์ในสุข ในเชื่อและไม่เชื่อ และยังติดในคำว่าจริงหรือปลอม อะไรจริงอะไรปลอม ถ้าเราบอกว่าในโลกนี้ไม่มีทั้งจริงและก็ไม่มีทั้งปลอม ไม่มีอะไรที่มี แล้วก็ไม่มีอะไรที่ไม่มี ฟังดูเราพูดอะไรตลกหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ โลกใบนี้คือมายาสิ่งสมมติ มนุษย์เราติดในสิ่งสมมติที่ตัวเองกำหนด แล้วก็หาทางออกไม่เจอ แต่ก่อนเราไม่มีชื่อ พอมีชื่อเราก็ติดในชื่อ แต่ก่อนเราไม่เรียนรู้ แต่พอได้เรียนรู้ เราก็ยึดติดสิ่งที่เรารู้ อย่างนั้นสู้ไม่รู้อะไรไม่ดีกว่าหรือ แล้วสู้ไม่มีตัวตนไม่ดีกว่าหรือ  แล้วสู้ไม่มีเขาไม่มีเราไม่ดีกว่าหรือ ไม่มีประเทศโน้นไม่มีประเทศนี้ ไม่มีคนนับถือนั่นนับถือนี่ เราคงไม่แก่งแย่งกัน เราคงไม่ฆ่าฟันกัน และเราคงไม่ทะเลาะกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้มาไม่พูดอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ พูดไปตั้งเยอะบางทีก็ไม่มีประโยชน์ สู้เราไม่ต้องพูดอะไรเลย ใช้ความสงบสื่อถึงกันดีไหม คุยกันด้วยภาษาใจ ใช้นัยน์ตาสื่อถึงกัน ตานี่หลอกกันไม่ได้ โป้ปดกันไม่ได้  คำพูดแม้จะหวานเพียงใดก็ยังปรุงแต่งได้ หน้าตาแม้จะดีหรือร้ายเพียงใด ท่านก็ยังยากเห็นภายในได้ เหมือนแต่งตัวสวยเท่าใดท่านเห็นถึงใจของเขาไหม (ไม่เห็น)  เหมือนวาดรูปมังกรสักตัวหนึ่ง ท่านเห็นกระดูกของมังกรไหม (ไม่เห็น)  ฉะนั้นอย่าใช้สายตาวัดมากเกินไป และอย่าใช้หูฟังจนเกินไป เพราะฟังมากดูมากก็ไม่เกิดประโยชน์ จริงหรือไม่ (จริง)
เราพูดแค่นี้พอได้อะไรจากเราบ้างไหม (ได้)  ฟังเราเท่านี้คิดว่าเรามาหลอกอีกหรือเปล่า  ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า อยู่รวมกันอย่าระแวงแต่จงระวัง ทำไมจึงพูดเช่นนี้ ลองคิดดูไหม  กล่าวเช่นนี้ย่อมมีความนัยแฝงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) (ความระแวงก็คือความกลัว ความระวังคือระวังทุกอย่างเพื่อไม่ให้ศัตรูทำร้ายเรา)  และควรมีระแวงหรือระวังดี (ไม่มีอะไรทั้งนั้น)  อย่างที่เราบอกแต่ต้นว่าไม่มีอะไรเลยดีที่สุด  แต่อยู่ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้จิตใจท่านจะปูพื้นฐานวางใจของตัวเองให้ตั้งอยู่บนความคิดที่ดี แต่คนในโลกนี้มีทั้งดีและร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมมีหลายพระภาค บางพระภาคเป็นโพธิสัตว์โปรดเมตตา บางพระภาคเป็นพระภาคที่ปราบพญามาร นั่นต้องการสื่อให้ท่านรู้ว่า การอยู่ในสังคม การปฏิบัติต่อคนบางครั้งต้องมีความแตกต่างกัน เพื่อชี้นำเขาให้ชัดเจนและถูกทาง ทำไมจึงไม่ให้ระแวงแต่ให้ระวัง นั่นก็คือดังที่พระพุทธองค์สอนไว้ว่า จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความรู้จักระมัดระวังกัน จะทำให้เราไม่ใช้ความสนิทสนมทำร้ายกันโดยไม่รู้ตัว บางครั้งสนิทกันมาก เรากลับก้าวก่ายเขาไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาไม่รู้จักอะไรเด็กอะไรผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่สนิทกับเด็กมากเด็กก็ขาดความเคารพนับถือ  ถ้าเพื่อนกับเพื่อนไว้ใจกันมากเกินไป ลืมระมัดระวังเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็อาจจะเอาเงินทองนั้นมาวัดใจเพื่อนได้เหมือนกัน อะไรที่เสี่ยงอะไรที่ทำให้เกิดอันตราย เราอย่าเข้าใกล้ เราอย่าเอาไปทดสอบ  ไม่อย่างนั้นเราจะเห็นอะไรมากกว่าที่เราไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะเห็น แต่ทำไมจึงไม่ให้มีความระแวงล่ะ ถ้าเราอยู่กับท่าน ใจท่านก็ระแวงว่า เรามาดีหรือมาร้าย จริงหรือเท็จ ท่านจะฟังเราเข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ)  แล้วท่านจะสามารถใช้สติปัญญาคิดในสิ่งที่เราพูดได้ทั้งหมดหรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าใจเราคิดสองอย่างในหนึ่งนาที ท่านจะคิดสำเร็จได้สักอย่างหนึ่งไหม (ไม่ได้)  ดังคำที่ว่า “จับปลาสองมือย่อมไม่ได้อะไรเลย” “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”  ฉะนั้นอยู่ด้วยกันมีความสำรวมระมัดระวังไม่ประมาทเป็นสิ่งที่ถูก แต่อย่าระแวงกัน  พี่น้องกันเองระแวงกันเองจะอยู่กันได้ร่มเย็นไหม (ไม่)  เพื่อนกันเองระแวงกันเอง เขาไม่เชื่อถือเรา เราก็ไม่เชื่อถือเขา ท่านจะคุยกับเขาทำงานกับเขาได้อย่างสนิทใจไหม (ไม่)
ไปๆ มาๆ เราเป็นคนตอบให้แทนเสียแล้ว คราวหน้าเปลี่ยนเป็นท่านบ้างดีไหม ฟังเราตลอดเดี๋ยวท่านก็จะเบื่อ ให้ท่านได้คิด ให้ท่านได้ใช้ปัญญาความรู้ที่สั่งสมมา จะได้ดูว่าน้ำที่เก็บไว้นั้นสะอาดหรือไม่สะอาด วิชาความรู้หรือประสบการณ์ที่เราได้สะสมเรียนรู้มาและใช้ชีวิตมานั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เอามาคุยกัน  เอามาแบ่งปันความรู้กัน จึงจะอยู่กันอย่างไม่เอาเปรียบเขา จริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้ท่านเอาเปรียบเรา เราไม่ว่า เรายินดีให้ จะโดนท่านเอาเปรียบเราก็ไม่ว่า แต่ออกไปแล้วอย่าเอาวิชานี้ไปเอาเปรียบใครเท่านั้นก็พอ ได้ไหม (ได้)
(นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก อายุเราก็ไม่ต่างจากท่านมากเท่าไหร่  ยังถือเรื่องอายุไหม แล้วถือรูปลักษณ์ภายนอกหรือเปล่า วันนี้ถืออะไรก็ปล่อยๆ ลงบ้างนะ เพราะไม่อย่างนั้นจะเห็นมังกรแค่รูปมังกร แต่ไม่มีวันเห็นเนื้อในกระดูกมังกร อย่าใช้ตาเปล่าวัดไม่อย่างนั้นท่านจะไม่ได้อะไรเลย อย่าใช้หูฟังธรรมดาวัด ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาเปล่า จงใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งที่เรามาในวันนี้มีความนัยหมายถึงอะไรกัน เราอยากบอกท่านว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่ผ่านการบำเพ็ญตนจนกระทั่งได้กลับคืนเบื้องบนนั้นไม่ได้ต้องการให้คนกราบไหว้ แต่สิ่งที่ท่านต้องการนั้นก็คือ ให้มนุษย์ทุกคนรู้ตื่นจากการหลับใหล ตื่นอย่างแท้จริง ตื่นอย่างคนมีสติ ไม่ใช่ตื่นอย่างงมงาย นี่คือสิ่งที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ต้องการ ตื่นแบบวางแล้วในรูปลักษณ์สิ่งต่างๆ ทั้งมวล ถ้าทุกท่านตื่นได้ นับเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
ฟังทั้งวันเบื่อไหม ไหนมีใครเบื่อบ้างแล้ว เป็นธรรมดาว่าสิ่งใดที่เราไม่เคยชิน เราย่อมเบื่อเป็นธรรมดา แล้วยิ่งให้จับจดนั่งอยู่กับที่ ฟังอย่างเดียว ห้ามพูดห้ามหลับด้วย ห้ามโน่นห้ามนี่ รู้สึกเป็นอย่างไร อึดอัดไหม การเอาแต่บังคับแล้วก็ห้ามๆ ใช่ว่าจะมีประโยชน์ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“สายธารารินไหลไม่อาจหวน” เวลาผ่านไปไม่สามารถเรียกกลับมาได้ เหมือนวันนี้ผ่านไปค่อนวันแล้ว ได้อะไรบ้างไหม (ได้ความสงบ)  หากเราบอกว่าในแง่ที่เรียกว่าคุณธรรม คิดดูซิว่าวันนี้ได้อะไรที่เป็นคุณธรรมไปบ้าง ปกติอยู่ในสังคม เรามักจะคิดแต่ว่ามีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ มีเงินหรือว่าไม่มีเงินใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยคิดอะไรที่เป็นธรรมะบ้างไหม อย่างเช่นอยู่กับคนนี้ได้คุณธรรมอย่างหนึ่ง เขาเป็นคนอดทน อยู่กับอีกคนหนึ่งเขาเป็นคนเสียสละ เราเคยคิดแบบนี้กันบ้างหรือไม่ (เคย, ไม่เคย)  ที่ไม่เคยเพราะมัวนึกถึงแต่เกลียด รัก โกรธ โมโห ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ได้อะไรจากการนั่งฟังบ้าง (ได้ความสงบและความสุขหลายๆ อย่าง)  การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ต้องการให้เรารู้จักตนเองและมองตนเองให้ชัด โดยเฉพาะคำว่า “ชีวิต”
ถ้ามองพัดหนึ่งอัน ท่านคิดว่าพัดมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง (ทำให้เย็นสบายคลายร้อนให้ความสบายใจ, ความว่างเปล่า)  มองเข้าไปมากกว่านั้นนะ มองในรูปที่ไร้รูป แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่พัดนี้ แต่อยู่ที่ชีวิตนี้ เราเห็นชีวิตเป็นชีวิต แต่ชีวิตที่มากกว่าชีวิตเราเคยเห็นบ้างไหม ทำไมจึงกล่าวว่ามนุษย์คือผู้ประเสริฐ อะไรที่ทำให้ชีวิตเป็นคำว่าประเสริฐได้ อะไรที่ทำให้มนุษย์เรียกว่าผู้ประเสริฐที่แท้จริงได้ แต่เราเคยมองไหม โดยปกติมนุษย์เรามีชีวิตด้วยการดิ้นรนแสวงหา  แต่เราเคยมองชีวิตมากกว่าชีวิตไหม มองพัดมากกว่าพัดที่พัดให้เย็นหรือเปล่า  มองพัดทะลุหรือไม่ มองพัดติดแค่ตรงนี้ เหมือนมองชีวิตก็ติดแค่ตนเอง แต่เมื่อเรารู้จักศึกษาบำเพ็ญธรรม รู้จักเรียนรู้หลักธรรมะ รู้จักนับถือศาสนา เราต้องมองมากกว่านั้น พุทธะได้สอนให้เรารู้ว่า ค่าของชีวิตที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นก็คือ การรู้จักตัวตนเองและรู้จักพึ่งตัวเองโดยที่ไม่ติดในตนเอง ทำไมตอนแรกเราจึงกล่าวว่าตัวท่านเองคือพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราย่อมมีเหตุผลไม่ใช่กล่าวลอยๆ
ปราชญ์โบราณได้กล่าวกลอนบทหนึ่งสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “กิเลสมายาบังตา โลกแสงสีพรรณราย ลดละเลิกกิเลสทั้งหลาย โฉมในกายคือพุทธะ” พุทธะก็มาจากปุถุชน ปุถุชนก็มาจากพุทธะ ทั้งพุทธะและปุถุชนมีสภาวะธรรมชาติแห่งการเป็นพุทธะอยู่ จะต่างกันตรงที่ปุถุชนยังไม่รู้แจ้ง แต่พุทธะรู้แจ้งโดยสมบูรณ์แล้วถึงความเป็นพุทธะในตัวตนเอง แล้วธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะคืออะไร ถ้าเรียกง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ก็คือความดี จิตใจที่ยังใฝ่ดี จิตใจที่ยังรู้จักละอายนั้นคือหน่อรากแห่งความเป็นพุทธะ หากเราส่งเสริมหน่อรากนี้ให้เติบโต ท่านจะสามารถเป็นพุทธะที่ยิ่งใหญ่ได้ ท่านสามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแดนโลกได้ และท่านสามารถย้ายฟ้าลงมาสู่แดนดินได้ เราพูดเกินไปไหม เราพูดเหลือเชื่อหรือเปล่า (ไม่)  ทำไมเราถึงย้ำเพราะเราอยากให้ท่านคิดสิ่งที่เราพูดนี้ หากท่านได้อ่าน ได้ไปศึกษาก็จะรู้ ไม่จำเป็นต้องฟังเราก็ได้ แต่ท่านขาดอะไรสองอย่าง คือ ให้เวลากับให้โอกาสตัวเอง ให้เวลาตัวเองได้ศึกษา ให้โอกาสตัวเองได้ลงมือปฏิบัติ เราไม่ได้ให้สองอย่างนี้ เราจึงไม่สามารถค้นพบพุทธะในใจตัวเองนี้ได้จริงไหม (จริง)  เราให้เวลาเหมือนกันแต่ให้เวลาในการหาเงิน หาความรัก หาคนเอาใจ หาพันธะผูกมัด เราจึงยังเป็นพุทธะที่ติดในวังวน เราสามารถศึกษาเรียนรู้พัดนี้มีประโยชน์อย่างไร ทำอย่างไรจึงสามารถสร้างพัด เราสามารถศึกษาได้ว่าทำอย่างไรชีวิตจึงมีค่า แต่เราเคยศึกษามากกว่านั้นหรือไม่ว่าตั้งแต่เราเกิดมาจากเด็กจนเติบโตล่วงเลยจนมาถึงตอนนี้ เราเจ็บ ทุกข์ เสียใจ ร้องไห้ โชคดี โชคร้าย วนเวียนกันอย่างนี้ กี่ครั้งกี่ครา แล้วเราจะกลับไปวิ่งวนแบบนี้ต่ออีกหรือ หรือว่าจะหยุดมองให้ชัดเจน แล้วใช้ปัญญาเดินบนทางนี้ให้ถูกต้อง จะเอาแบบไหน กลับไปวนเหมือนเดิมเหมือนผู้ที่ไม่รู้ หรือว่าหยุดมองแล้วให้เวลาตัวเองศึกษาและลงมือปฏิบัติหาทางออกให้ถูกต้อง หาชีวิตให้ถูก เอาอย่างไรดี (หยุดมอง)  หรือว่าเราจะกลับไปผิดหวังอีกแล้วก็สุขอีก เศร้าอีกแล้วก็ทุกข์อีกโดยไม่รู้สาเหตุกันหรือ (ไม่ใช่)
เราเป็นมนุษย์ผู้มีปัญญา ฉะนั้นก่อนจะก้าวออกไปเราจึงต้องมองให้ออกว่า สิ่งที่เราจะไปกับชีวิตที่เราจะพา อะไรที่ต้องไปให้ถูก อะไรที่จะพาไปแล้วสมบูรณ์ที่สุด ผิดพลาดน้อยเจ็บช้ำน้อยไม่ทุกข์อีกต่อไป มนุษย์เรามีสิ่งหนึ่งที่ยากเรียนรู้ นั่นก็คือชะตากรรม กฎแห่งกรรม เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วทำไมเราจะต้องเป็นคนที่สร้างผีซ้ำด้ามพลอยให้กับตัวเอง  ทำไมเราต้องซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์เข้าไปอีก ให้เดินไปในวังวนอีก คราวนี้เราจะไม่ เราจะคิดด้วยปัญญา เดินด้วยสติ ทำด้วยมีสมาธิ อยู่ในโลกนี้อย่างถูกต้องและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงทำ ทำไมจึงไม่ทำ และสามารถมองเหตุผลได้ว่าอะไรมา อะไรไป เข้าใจทั้งเรื่องที่เกิดจากตัวตนเองและสามารถเข้าใจทั้งเรื่องที่มาสัมผัสตัวเรา อย่างนี้เรียกว่าประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือจะกลับไปอย่างเดิมก็ได้ เอาไม่เอาอยู่ที่ท่านเองนะ เราพูดไปแล้วก็จบแค่นี้ แต่ท่านจะปล่อยโอกาสให้หมดไปกับคำพูดหรือเปล่า ก็อยู่ที่ตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้อย่างนี้แล้วจะวิ่งหนีชีวิตต่อไหม (ไม่)
หนทางชีวิตที่แท้จริงก็คือการกระโดดลงไปในชีวิต หนทางที่จะทำให้เรารู้ชีวิตที่แท้จริงได้นั้นก็คือกระโดดลงไปในโคลน ในตม ในฝุ่นธุลีโลก ท่านจะเป็นคนมีความรู้ได้ก็คือการหนีอาจารย์หรือกระโจนไปหาอาจารย์ กระโจนหาอาจารย์แล้วตะครุบอาจารย์ไว้ให้แน่น ไม่ยอมปล่อยเช่นนี้หรือ ในคำพูดต้องคิดให้ดีๆ นะ อยากได้ความรู้จากอาจารย์เกาะเช้าเกาะเย็นได้ความรู้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เหมือนท่านกลัวน้ำแต่ทำอย่างไรท่านจึงจะสามารถเอาชนะน้ำและว่ายน้ำเป็น เกาะขอบสระ หรือว่ากระโจนลงไปในสระน้ำ อยากเรียนรู้ชีวิตกระโจนลงไปทันทีเลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องศึกษาก่อน แต่ช่วงที่เราศึกษานั้นอยู่ห่างสระหรือใกล้สระ อยู่ขอบสระหรืออยู่ในสระ (ในสระ)  อยู่ในสระแต่จะขอบสระหรือว่าอยู่ตรงกลางก็แล้วแต่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเราต้องกล้าที่จะเผชิญชีวิตที่แท้จริง แล้วมองชีวิตให้ออก เราอยากจะเข้าใจชีวิตได้ เราอยากจะเข้าใจผู้คนได้ นั่นก็คือเราต้องกล้าที่จะกระโจนเข้าไปเผชิญ แต่ว่าการกระโจนเข้าไปเผชิญนั้นก็ต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ใจพลั้งเผลอด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วการกระโจนลงไปจะทำให้เราตายทั้งเป็น จริงหรือไม่ (จริง)
เหมือนการว่ายน้ำ เราต้องมีหลักยึดไว้ด้วย การจะเข้าไปในวังวนแล้วรู้วังวนของชีวิตได้อย่างถ่องแท้นั้นเราต้องมีหลักยึด มีอะไรเป็นหลักยึดล่ะ มีการบำเพ็ญตนด้วยคุณธรรม ใช้ธรรมะเป็นแนวทางที่คอยยึดให้เราไม่ไขว้เขว คอยประคับประคองให้เราไม่ลุ่มหลงกลับไปเป็นเหมือนเก่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ว่ายน้ำได้หรือยัง (ยัง)  เราว่าว่ายได้แล้วนะ เราพูดแค่นี้ท่านก็ว่ายได้แล้ว ทำไมจึงไม่มั่นใจในตัวเองล่ะ นี่แหละคือปัญหาใหญ่ เพราะหลายๆ ท่านกลัว ขาดความกล้า ไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเองว่าตัวเองนั้นก็มีดีพอ ชอบเอาความดีของตัวเองไปฝากไว้ตรงนั้น ชอบเอาการทำบุญตักบาตรนั้นไปฝากไว้ที่พระวัดนั้นวัดนี้ พอท่านทำไม่ดีก็เลยไม่ทำดีด้วย ไม่ตักบาตรแล้ว ไม่ทำบุญแล้ว เพราะเอาความดีไปฝากไว้ที่ท่าน  ไม่บำเพ็ญแล้วเพราะเอาสิ่งที่บำเพ็ญไปวัดกับคนอื่น ไม่เป็นภรรยาที่ดีแล้ว ไม่เป็นลูกที่ดีแล้ว เพราะว่าแม่ไม่ดี สามีไม่ดีใช่ไหม นั่นก็คือว่า การตัดสินที่จะทำสิ่งใด อย่าเอาสิ่งนั้นไปฝากไว้กับคนอื่น แต่ทำเพราะขึ้นอยู่กับตัวตนเอง ตัวเองตั้งใจเอง ไม่ใช่ทำเพราะว่าหวังผล ถ้าเมื่อไรที่เราทำแล้วหวังผล ถ้าผลไม่ได้เราก็เลิกทำ เช่นนั้นถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  เหมือนการที่ท่านจะฝึกว่ายน้ำ พอว่ายไม่เป็น  เรามักจะโทษอาจารย์ว่าสอนไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะเราไม่กล้าใช่ไหม เหมือนการบำเพ็ญธรรม การที่ท่านจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตที่แท้หรือค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตนได้ นั่นก็คือท่านต้องกล้าและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าเมื่อไรท่านไม่กล้า ท่านไม่เชื่อมั่น ก็จะไม่มีวันที่จะมี จริงไหม (จริง)  เหมือนคนทุกคนมีความสามารถที่ไม่มีวันหมดสิ้น แต่หมดสิ้นเพราะว่าเราไม่เชื่อมั่นในตนเอง การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน เราจะสามารถเอาชนะกิเลสตัณหามายาต่างๆ ได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักหยุด รู้จักลด รู้จักละ และรู้จักแบ่งเวลาว่าตอนไหนที่จะศึกษาธรรม ตอนไหนช่วยคน เราไม่สามารถที่จะให้คำชี้กระจ่างได้ทั้งหมด มีแต่ตัวท่านเองที่จะนำไปประยุกต์ใช้ เพราะเวลาของท่านกับเวลาของเราเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  เวลาของเราตลอดชีวิตคือเพื่อเวไนย แต่เวลาของท่านตลอดชีวิตคือเพื่อตนเอง หากบอกว่าการบำเพ็ญธรรมคืออะไร ก็คือการกล้ากระโจนลงไปเผชิญวังวนแห่งความทุกข์ ไม่กลัวซึ่งอันตรายใดๆ ตัวเองจะตกน้ำ คนอื่นขึ้นฝั่งก็พอแล้ว นี่เแหละคือการบำเพ็ญตน แต่ถ้าถามท่านว่าเอาไหม ท่านบอกไม่เอา ต้องขึ้นฝั่งก่อนแล้วค่อยดึงเขา ใช่ไหม แล้วมีกี่คนล่ะที่ขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เรายังไม่เห็นขึ้นได้สักทีเลย ยังว่ายอยู่กับเขาเหมือนเดิม  ยังไม่ยอมขึ้นฝั่ง แล้วยังไปกดคนอื่นให้จมลงอีก หรือไม่ก็กดตัวเองให้จมลงอีก เพราะอะไรล่ะ สาเหตุใหญ่ๆ นั่นก็คือความทุกข์ เรามองทุกข์ไม่ออก  แล้วเราจะรู้ตื่นได้อย่างไร ก็ด้วยปัญญาของเราเอง จากอะไรล่ะ ก็จากกิเลสตัณหาและความไม่รู้ทำให้ท่านมีปัญญา แล้วจะตื่นจากอะไรล่ะ ตื่นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะทำให้ท่านตื่นและตรัสรู้ จริงไหม (จริง)  คิดให้ดีๆ นะ ล้วนเป็นจริง มนุษย์จะเกิดปัญญาได้ จะตื่นได้ก็อยู่ในวังวนของทุกข์โศกนี่แหละ ทำไมคนเราจึงอยากที่จะทิ้งความทุกข์ไปหาความสุขที่แท้จริง ก็เพราะเจ็บแล้วจำ ทุกข์แล้วเข็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พวกท่านเจ็บแล้วจำไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์แต่ยังสุขอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตั้งใจฟังท่านจะได้ข้อคิดจากที่เราพูด แต่ถ้าไม่ตั้งใจ ท่านก็จะคิดว่าเราลวงหลอกแล้วก็มาเล่นละคร แล้วก็คุยไม่ยอมหยุด
ไปกับเราท่านก็จะพบทางสว่าง แต่ถ้าไม่ไปกับเราท่านก็จะมืดๆ สว่างๆ ก็แล้วแต่ท่านแล้วนะ ความรู้จะถ่ายทอดให้กับคนที่ใฝ่รู้ ถ้าเขาไม่ใฝ่รู้ ยัดเยียดไปก็เปล่าประโยชน์ จริงหรือไม่ (จริง)
ทุกข์เกิดเพราะอะไรบ้าง มีใครตอบได้ (ใจ)  ทุกข์เกิดเพราะใจ ใจทำให้ทุกข์ได้ไหม ถ้าพูดสรุป มาจากหนึ่งแล้วเกิดหมื่น จงทำหมื่นให้เหลือหนึ่ง ถ้าท่านเอาประโยคนี้ไปใช้จะไม่มีสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เลย  ใจก่อให้เกิดหมื่น แสน ล้าน จริงไหม (จริง)  เอาแค่เงินแล้วกัน มีหนึ่งบาท ใจก็อยากมี (สอง)  ใจมีสอง อยากมี (สาม)  ใจมีสามอยากมี (สี่)  จนถึงล้านไหม (ถึง)  ถ้ายังมีลมหายใจ แต่ถ้าไม่นับเป็นเงินล่ะ ใจทำให้เกิดหมื่นสรรพสิ่ง แล้วสรรพสิ่งหมื่นนี้กลับมาสู่หนึ่ง แล้วไม่มีอะไรเลยได้ไหม (ได้)  ได้ด้วยใจของเราเอง
(ทุกข์เกิดจากความคาดหวังจากผู้อื่น)  ต่อไปไม่หวังอะไรจากคนอื่นดีไหม หวังได้แต่อย่าหวังจนเกินไป หวังอยู่ในขอบเขตที่น่าจะเป็น แม้เขาไม่เป็นดั่งหวังก็ไม่เสียใจ ยังให้กำลังใจเขาต่อไป นั่นคือหวังที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรียกร้องคนอื่นก็อย่าลืมเรียกร้องตัวเราเองด้วย เพราะเรารักเขาแต่อย่าลืมว่าเขาก็รักเราและเขาก็หวังเราด้วย  อย่ามองว่าตัวเองหวังเขาอย่างเดียว เขารักเรา เราก็รักเขาเหมือนกัน เขาหวังเรา เราก็หวังเขาเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวังและเราก็ไม่ทำตัวเราผิดหวัง ก็จะไม่ทุกข์ ไปสองข้อแล้วนะ เราช่วยท่านแก้ทีละข้อนะ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์อันนี้เป็นสัจธรรม เมื่อใดที่มนุษย์เราเข้าใจสัจธรรมแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อนั้นจะไร้ตัวตน และถ้าเมื่อใดเข้าใจสัจธรรมแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายในสรรพสิ่ง เมื่อนั้นจะไม่ยึดติดรูปและนาม ใครทำได้บ้าง เราทำได้นะและท่านก็ทำได้ด้วย แต่จงมองให้ออก เหมือนท่านรับพัดอันนี้ พัดนี้มีค่ามาก แต่ถ้าท่านเห็นพัดนี้มีวัฏฎะของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย เมื่อถึงเวลาพัดจากไปท่านจะไม่เสียใจ เมื่อถึงเวลาชีวิตเราจากไปเราจะไม่ทุกข์กังวล เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว  แล้วเมื่ออะไรมาสัมผัสเรา มากระทบเรา เราทำกับเขาดีที่สุดแล้วเราก็จะไม่เสียใจและไม่ทุกข์ แม้ตัวเองต้องเจ็บปางตาย จริงไหม (จริง)  สามทุกข์แล้วนะ จริงๆ สามทุกข์นี้ก็แก้ได้ทั้งชีวิตแล้ว  แต่เราให้ท่านตอบ ทุกข์เกิดเพราะความยึดถือมั่นไม่ยอมปล่อยมือออก จริงๆ แล้วในความทุกข์ของท่าน ท่านก็รู้แก้แล้วแต่ทำใจไม่ได้ เหมือนท่านรักมากทุกข์มากไหม (มาก)  ห่วงมากทุกข์ไหม (มาก)  แต่เพราะอะไรล่ะชนกี่ทีๆ ก็เจ็บ ทำไมท่านไม่ถอยออกมาแล้วเลิกชนล่ะ ท่านรู้ไม่น้อยท่านมีปัญญาแต่เพราะอะไรล่ะ เราไม่กล้าที่จะเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดในการทำใจ เหมือนเราผิดหวังจากคนนี้ เราตัดใจทิ้งเนื้อร้ายนี้ทันทีได้ไหม ถ้าเป็นลูกตัดทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำอย่างไรล่ะ ทำตัวเองให้ดีที่สุดเป็นเสาที่ตรงที่สุดและมั่นคงที่สุด แม้วันนี้ลูกจะเปลี่ยนแปลงไปเราจะให้กำลังใจและยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง สักวันหนึ่งเขาจะกลับมา เราอย่าบอกว่ามันคือกรรม ถ้าเรากล้าเผชิญพร้อมที่จะยอมรับด้วยสติปัญญา เราจะผ่านกรรมนี้ไปได้ แล้วเราจะยิ้มอย่างมีความสุข ลองดูนะด้วยปัญญาของท่านเอง เราว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ในเมื่อท่านรู้ว่ายึดแล้วไม่ปล่อย ท่านพูดเองแล้วท่านก็รู้คำตอบเอง ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะแก้ไม่ได้ ขอเพียงท่านเด็ดเดี่ยวและมั่นใจในตัวเอง ท่านรู้คำตอบดีที่สุดนะ ถ้าเราบอกว่าให้ท่านตัดทิ้งเลยก็กลายเป็นว่าเราชี้นำให้พ่อแม่แยกจากกันใช่หรือไม่  เราชี้นำให้ท่านตัด แต่ตัดทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญที่ถูกต้อง การบำเพ็ญที่ถูกต้องก็คือหาปัญญาท่ามกลางกิเลสฝุ่นธุลี หาความตรัสรู้ท่ามกลางโลกมายาอันลวงหลอก
พระพุทธองค์พระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์รู้ตื่นได้จากการที่เห็นถึงความทุกข์ ตื่นได้ด้วยปัญญาที่มองออกในทุกข์ที่ท่านได้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านก็เหมือนกันจะตื่นได้ด้วยอะไรล่ะ ตื่นได้ด้วยตัวเอง แต่มีคำหนึ่งที่อยากบอกท่านไว้ จงอย่าลืมโดยเด็ดขาด ท่านรู้จักสุราไหม สุราทำให้คนเมาหรือว่าคนเมาเพราะสุรา (คนเมาเพราะสุรา)  กิเลสมายาหลอกลวงเรา หรือเราติดในกิเลสมายา คิดให้ดีๆ นะ เหล้าอยู่เฉยๆ ทำให้คนเมาได้ไหม ถ้าคนไม่เอามาดื่ม กิเลสมายาอยู่เฉยๆ แต่คนนั้นไปติดเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจงจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า น้ำเต็มเปี่ยมแล้วเขย่าอย่างไรก็ไม่เกิดเสียง จิตใจที่เว้าๆ แหว่งๆ เมื่อเขย่าหรือมีอะไรมากระทบก็เกิดเสียง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตมนุษย์สมบูรณ์เพียบพร้อมแล้ว ความทุกข์ย่อมยากจะมาทำให้แปดเปื้อน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าน้ำเต็มเปี่ยมไม่พร่อง เขย่าอย่างไรเกิดเสียงไหม (ไม่เกิด)  จิตใจท่านไม่ปรารถนา กิเลสอารมณ์จะมาเกาะกุมไหม (ไม่)  ฉะนั้นอย่าโทษคนอื่น เมื่อเห็นน้ำพร่องไปจากแก้ว จงรู้ไว้ว่าใจเราต่างหากที่ไม่สมบูรณ์  ถ้าเมื่อไรยังอยากที่จะก้าวไปแตะมันอีก จงรู้ไว้ว่าน้ำตาสองถังก็ล้างความทุกข์ได้ไม่หมดสิ้น  แม้ท่านจะสร้างความดีเป็นสายน้ำจนถึงเบื้องฟ้า แต่ถ้าก้าวผิดเพียงก้าวเดียว น้ำดำเพียงหยดเดียว คุณธรรมความดีที่ทำมาทั้งสายก็เหม็นได้ฉันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะกระโดดลงไปในชีวิตเพื่อหาทางออกของชีวิตอีกไหม เป็นต้องกระโดดลงในน้ำ แต่ตอนหลังเราบอกว่าอยากที่จะหมดทุกข์ต้องเป็นอย่างไร เอาทุกข์มาใส่ตัวเอง  ท่านเอาน้ำมาอยู่ในตัวหรืออยู่นอกตัว (อยู่นอกตัว)  ท่านสัมผัสชีวิตท่านทำอย่างไรถึงจะเข้าใจชีวิตล่ะ ก็คือยืนดูอย่างเข้าใจ เวลาทุกข์มาสัมผัส มากระทบอย่ารีบเอามาใส่ใจ แต่จงมองดูเหตุผลความเป็นมาว่าทำไมจึงทุกข์ ตั้งสติให้มั่นคงใช้ธรรมะเป็นหลักยึด แล้วเราจะมองออกว่าจะกระโดดไปจับหรือว่าจะปล่อยทิ้งให้มันผ่านไปใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องในโลกมีทุกข์อยู่สองแบบ ทุกข์อีกแบบหนึ่งคือต้องสะสาง ทุกข์แบบหนึ่งคือต้องปล่อยไป เวลาก็จะรักษาให้หายใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือว่า เมื่อเราอยู่ในวังวนของทุกข์หรือเราอยู่ในวัฏสงสารแห่งชีวิต จงเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนเข้าใจไหม ใบบอนนี้ก็เหมือนตัวเราน้ำหล่นมา จะซึมเข้าไปในใบไหม (ไม่ซึม)  แต่จะกลิ้งเป็นหยดน้ำกลมๆ จนมองเห็นได้ชัด เมื่อหนักเกินไปใบบอนนี้ก็ (เอียง) มีไหมที่น้ำเข้าไปในใบ (ไม่มี)  ถ้าไม่มีใบบัวจะโตได้อย่างไร เมื่อน้ำตกลงไปในสระน้ำ ใบบัวยังรู้จักเอารากนี้กลั่นกรองน้ำนี้ไปเลี้ยงต้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงมีทุกข์เป็นเพื่อนแล้วจงมีสุขเป็นมิตร แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมเราจึงพูดว่า ฝุ่นธุลีกิเลสตัณหาในโลกทำให้มนุษย์เกิดปัญญา แล้วท่านก็จะพอเข้าใจว่าสัจจธรรมของชีวิตที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำให้มนุษย์รู้แจ้งเข้าใจไหม นี่คือการมีชีวิตแล้วบำรุงเลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้องและสามารถกลับคืนเป็นพุทธะได้ พอไหม (ไม่พอ)  ท่านไม่พอเราดีใจหรือเสียใจดี ดีใจอย่างหนึ่งก็คือไม่พอ แต่ไม่พออะไร ถ้าไม่พอแล้วคิดเหมือนเรา เราว่าดี แต่ถ้าไม่พอแล้วคิดนอกเหนือจากเราเราว่าไม่ดี อยากฟังไหมว่าเราคิดอะไรถึงบอกว่าไม่พอ นั่นก็คือช่วยตัวเองแล้วอย่าลืม ในเมื่ออยู่ในน้ำแห่งทุกข์อยู่ในวังวนแห่งทุกข์ น้ำนั้นมีท่านทุกข์คนเดียวไหม (ไม่)  มีดอกบัวพันธุ์เดียวไหม (ไม่)  จงเอาความทุกข์หรือเอาปัญญาที่เราได้รู้ เอาสติที่เราได้กำหนดจุดมุ่งมั่นของตัวเองไปช่วยคนอื่นด้วย เพราะช่วงที่ท่านช่วยเขาก็เหมือนกลับยิ่งลับปัญญาให้คมยิ่งขึ้น เพื่อเอาไว้ตัดกิเลส นั่นก็คือช่วยตัวเองแล้วอย่าลืมช่วยคนอื่นด้วย สองอย่างนี้ก็จบแล้ว สรุปแล้วก็คือการบำเพ็ญธรรม
การดำเนินชีวิตที่แท้จริงแล้วเรียกว่าผู้บำเพ็ญคืออะไร ถ้าตอบไม่ได้ก็กลับบ้านไม่ได้ เราพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ถ้าท่านตอบไม่ได้ท่านจะกลับบ้านเดิมไม่ได้เลย หลังจากฟังวันนี้แล้วจะทำอะไร (ไม่กลับไปทำความผิดอย่างเดิม, กลับไปทำความดี, จะให้เวลาและให้โอกาส)  จะให้เวลาและให้โอกาส เหมือนที่เราบอกตอนต้นว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อท่านให้สองอย่าง ให้เวลาศึกษากับให้โอกาสตัวเองในการลงมือปฏิบัติ (จะนำสิ่งที่ตัวเองได้รู้นั้นไปบอกให้คนอื่นได้รู้ด้วย)  แต่ช่วงที่บอกต้องดูด้วยนะว่าสีหน้าตอนนั้นเขาอยากฟังหรือเปล่า เราเห็นผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนลืมดูหน้าดูหลัง ลืมดูสีหน้าเขาว่าตอนนั้นเขาฟังไหม เลยเจออะไรกลับมา น่าสงสารนะ จะพูดก็ต้องมองดู ต้องรู้สภาพการณ์ของคนด้วย ก่อนที่เราจะช่วยเขา หรือก่อนที่เราจะนำพาเขาได้ เราต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เขาถึงจะเชื่อใจและตามเรามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านไม่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข เขาจะเชื่อท่านแล้วตามท่านมาไหม (ไม่ตาม)  เขาจะฟังท่านหรือเปล่า ก่อนที่ท่านจะชวนเขา ท่านต้องสร้างความดีให้เขาเชื่อใจ มีคุณค่าที่ทำให้เขานับถือ แล้วเขาจะฟังท่านไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ต้องใจเย็น ไม่ว่าจะโดนใครว่า โดนใครบ่น อดทนแบบพระอิฐพระปูน ได้ไหม ถ้าโดนกล่าวหาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  กลับบ้านไปของหาย โมโหไหม โทษไหมว่าเป็นเพราะมาฟังธรรมะ คิดให้ดีๆ นะ
เราบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว มีส่วนหนึ่งที่เราสามารถรู้คาดเดาได้ แต่มีอีกส่วนหนึ่งคือกรรมเวรที่เราไม่สามารถกำหนดได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ด้วยตัวท่านเอง แต่ต้องกล้าที่จะยอมรับ และพร้อมที่จะเผชิญโดยไม่หวาดหวั่น แล้วท่านจะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เจ็บชาตินี้ชาติเดียวพอแล้ว ทำได้ไหม แล้วเราจะเริ่มต้นที่บ้านอย่างไรดีล่ะ สิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกท่านในตอนนี้คืออะไรรู้ไหม ตอนนี้ภายในพุทธจิตหรือจิตญาณของท่านได้จุดความสว่างไว้แล้ว รอท่านอยู่ แต่ก่อนท่านอาจจะมืดมน แต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้ได้สว่างขึ้น แม้ท่านจะมองไม่เห็น แต่เราอยากบอกว่าประทีปแห่งพุทธะได้จุดขึ้นในใจท่านแล้ว ท่านจะรักษาให้ประทีปนี้โชติช่วง หรือจะปล่อยให้ประทีปนี้ดับมอด ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติชีวิตของท่าน นับจากวันนี้เป็นต้นไป อย่าทำลายความสว่างของตัวเอง อย่าพ่ายภัยด้วยมือของตัวเอง อย่ากลายเป็นน้ำที่พร่องแล้วเรียกกิเลสมาอยู่กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นน่าเสียดาย
(ละความสุขทางกาย เพิ่มความสุขทางใจ)  ถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ถ้าละทั้งสุขและทุกข์ได้ดีที่สุด ใครหนอจะทำได้ ละได้ทั้งทุกข์และสุข นั่นแหละประเสริฐสุด ไม่หลงในสุข ไม่ติดในทุกข์ อยู่บนทางสายกลาง เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า หากบ้านมีเสาหลักสองต้น คือบิดามารดา ถ้าเสาหลักนั้นตั้งตรง เสาเล็กๆ ที่เป็นเสารองหรือเรียกว่าลูกหลานย่อมปลอดภัย เมื่อใดบ้านมีเสาหลักคดงอ เสาเล็กๆ ย่อมอันตราย แต่ถ้าทั้งบ้านคดงอไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก บ้านนั้นจะเป็นบ้านที่อันตรายต่อบ้านอื่น จริงไหม (จริง)  คนตรงใครๆ ก็ต้องการ ไม้ตรงมนุษย์เราก็ยังอยากได้ ไม้คดเรายังรู้จักขบคิดให้เกิดประโยชน์ แต่คนคดท่านอยากจะเอามาขบคิดให้เกิดประโยชน์กับท่านไหม (ไม่)  สำคัญที่สุดเป็นคนต้องจิตใจบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า คนดีนั้นจะเป็นคนดีที่แท้จริงได้ ต้องยอมรับการทดสอบจากสังคม ท่านจะดีได้ และเขาจะเชื่อท่านได้ บางครั้งท่านต้องยอมรับการทดสอบของคนในสังคม อย่ายอมแพ้ ยืนหยัดและต่อสู้ ก้าวต่อไป แล้วท่านจะเป็นหนึ่งที่กลับคืนเบื้องบนได้ เอาไหม (เอา)  ชีวิตนี้เจอทุกข์ก็มากแล้ว ทุกข์เพราะโลภ ทุกข์เพราะตัณหาที่ไม่รู้จักพอ ทุกข์เพราะติดในอารมณ์ ติดในตัวตน ติดในรักโลภ โกรธ หลง ทุกข์เพราะไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว จงก้าวต่อไปให้ถูกต้องนะ
หมดเวลาเราแล้วนะ วันนี้ก็คงเพียงเท่านี้ ขอให้ท่านกลับไปอย่างคนมีสติ ดำเนินชีวิตอย่างถูกหนทาง แล้วรู้จักเอาสิ่งที่ได้ไปในวันนี้ไปบำเพ็ญให้ถูกต้อง ทำได้ไหม สิ่งที่เราพูดคงไม่ยากเกินไป หรือยังคิดว่าเราท่องมาอีก มีใครคิดอย่างนั้นอีกไหม หากคิดแบบนั้นจนถึงนาทีนี้ เราก็จนใจที่จะพูดสิ่งใดแล้ว อย่างนั้นวันนี้เราคงต้องจากลากันเพียงเท่านี้ ผู้ที่บำเพ็ญจงก้าวต่อไป อย่าได้ย่อท้อ ส่วนผู้ที่เพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญขอให้ตั้งใจศึกษา ให้เวลาและให้โอกาสตนเองได้ลงมือปฏิบัติ คุณธรรมความดีอยู่ในมือท่านแล้ว วันนี้จะทำหรือปล่อยให้เป็นเหมือนเดิมก็แล้วแต่ตัวท่านแล้วนะ แม้บางครั้งสิ่งที่เราพูดมา จะพยายามยัดเยียด หรือลากไปด้วยกันกับเราก็ตาม แต่บางครั้งเราก็อยากฝืนดึงท่านไปให้ได้มากที่สุด
ขอให้จุดสิ้นสุดนั้นมีใจดวงเดียว อย่าเปลี่ยนแปลง วันนี้ท่านทำดีได้หนึ่งระดับแล้ว คำชมนี้จะยืนยาวได้นั้นอยู่ที่ตัวท่านเองจะทำหรือไม่ทำนะ คงต้องจากลาจริงๆ แล้ว มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ดีหรือไม่ (ดี)  พยายามต่อไปนะ ไม่ท้อตราบที่ยังมีลมหายใจ


วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลามีเรื่องผิดอย่าเอาแต่โทษกัน รับรางวัลอย่าคิดถึงแต่ตนเอง
อยู่บนโลกที่มีแต่คนข่มเหง อย่ากลัวเกรงจนไม่กล้าทำอะไร
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนวันนี้รู้สึกอบอุ่นไหม

มนุษย์ถูกกดขี่ท้ายไม่อาจทน โลกล้ำยุคมารปะปนล้ำสมัย
ศิษย์เวไนยฉุดข้าไว้ทุ่มเทใจ จงตั้งใจอาจารย์ชี้หนุนเป็นเงา
องค์มารดารอเจ้าคืนแดนเดิม ทุกวันนี้ส่งเสริมคนหรือเปล่า
วัวหายค่อยล้อมคอกนิสัยเก่า ขอศิษย์เจ้ารู้คิดปฏิบัติจริง
พูดน้อยน้อยเมื่อพูดพูดแต่เรื่องดี คิดดีดีคิดนานนานปัญญานิ่ง
คนคิดมากไม่ยอมพูดอึดอัดยิ่ง คนพูดมากคิดไม่ดียิ่งแย่ไปใหญ่
ทางสายใหญ่แต่มีน้อยคนเดิน หลงกิเลสเพลินเพลินเพลินเพลินหลงใหล
และบางคนยังเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ การบำเพ็ญง่ายง่ายเลยกลายยากเย็น
จงรักษาจิตใจตนให้จงดี จงรู้จักความพอดีกลางโลกเข็ญ
จงเข้าถึงซึ่งคำว่าบำเพ็ญ ฟ้ายามเย็นศิษย์ข้าถือตะเกียงธรรม
ส่องสว่างให้โลกเริ่มจากตนก่อน หมั่นมองย้อนตนเองอยู่ย้ำย้ำ
อย่าปล่อยให้อวิชชามาครอบงำ จงรู้ตัวว่าตนทำอะไรอยู่
ฮา ฮา หยุด

โปรดอย่าทำหัวใจชืดชา  ทุกวันเวลาเฝ้าคอยหวัง  ว่าศิษย์ของข้าคงมั่น  รับเป็นตะวันให้โลกเย็น
ฝึกแต่น้อยคอยฝึกกันบ่อยบ่อย  คนเป็นผู้น้อยวิสัยนอบน้อม  พูดน้อยคิดนาน สามารถเกลากล่อม ให้เราเยือกเย็นเห็นนัยแยบยล
* น่าหนักใจหลายความเปลี่ยนแปลง พวกมารคอยแฝงรากแห่งคน จิตอุทิศเหมือนโดนปล้น คิดนำผองชนอดทนเพิ่ม
ต่อให้ทั้งใจเมตตาผ่อง การตรองลุ่มลึกเหมือนคันฉ่องใส แต่ใช้อารมณ์ของเจ้าเป็นใหญ่ ต้นดีปลายร้ายหนทางสุดเดา  (ซ้ำ  * )

เพลง : คันฉ่องลวง
ทำนองเพลง : หัวใจมีปีกบิน


พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

เติมธรรมะให้ตนเองวันละนิด ด้วยเปิดจิตเมตตาอันยิ่งใหญ่
จึงสามารถอยู่ร่วมโลกผาสุกใจ ค่อยค่อยฝึกย่อมทำได้ตลอดกาล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซียน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องรู้จักศิษย์พี่หรือเปล่า

รู้จักข่มอารมณ์นี้ดียิ่งนัก การรู้จักอดทนนี้ดียิ่งยวด
ต่อรู้จักหยุดใจแล่นไล่กวด เติมรู้จักจิตสอบกวดกระทำตน
ยังปล่อยปละซึ่งตนเองประหนึ่งว่า อนาคตข้างหน้าไม่มีใครสน
เลือกทางอ้อมต้องศรัทธาในตน ทางรอคนพร้อมหน้าดำเนินไป
คนไม่พร้อมโลกจึงบังคับพร้อม เคยบำเพ็ญก่อนมาย่อมเผชิญไหว
อยากชนะชะตาอย่าหนีต่อไป ถ้าจะพ้นไม่ขอพ้นลำพัง
บำเพ็ญธรรมรักษาเวลาด้วยทำดี อารมณ์ผลาญเมื่อนาทีใครมาขวาง
บำเพ็ญจิตเหตุผลมีอย่างระวัง ระวังอกุศลทยอยตกค้างในใจ
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และพระนาจา

พระอาจารย์ : ชีวิตประจำวันของเราทุกวันนี้ ทำงานหาเงินทอง อยู่กับครอบครัว เคยไหมที่ใครๆ ก็คิดว่าเรารู้ทุกอย่าง เราเก่งไปหมด แต่จริงๆ แล้วเราทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วเวลาที่คนอื่นเขาฝากความหวังไว้ที่เรามากๆ เรารู้สึกอย่างไรบ้าง อย่างแรกอึดอัด อย่างที่สองเราต้องขยันมากกว่านี้ ขอแค่สองข้อนี้ รู้สึกเป็นอย่างไร ไม่ยอมรับความจริง ศิษย์เป็นมนุษย์จริงๆ คือมีจิตใจที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งสองอย่างเราก็รู้สึกหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แท้จริงแล้วความรู้สึกขยันกับความรู้สึกอึดอัดไปด้วยกันไหม อยากจะตอบทั้งสองอย่างอีกแล้ว เราต้องพิจารณาว่าการที่คนอื่นฝากความหวังที่เรา เรานั้นเป็นคนที่หวังได้หรือเปล่า เป็นคนที่น่าฝากความหวังไว้ไหม ในเมื่อมนุษย์บอกว่า มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง เราก็เป็นผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง คนอื่นฝากความหวังไว้ที่เรา แล้วเรานั้นได้ทำในสิ่งที่เราหวังไว้หรือเปล่า อายุเท่าไหร่แล้ว ไม่น้อย ไม่มากใช่ไหม ก็เพราะผมเริ่มขาวตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า  เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าแก่ตั้งแต่หนุ่มๆ สาวๆ เลย เป็นเพราะชีวิตเราสั้น สิ่งที่เราคาดหวังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องไปทำแล้ว ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เพราะชีวิตของเราก็ดำเนินมาไกลมาก
อาจารย์ถามว่า อยากเลือกเป็นคนฉลาด แล้วอยากขยันไหม  (อยาก)  แต่ทุกวันนี้ก็ขี้เกียจอยู่  เพราะฉะนั้นเป็นคนฉลาดแล้วก็ต้องเป็นคนขยันด้วย มนุษย์ไม่ชอบคนโง่ และไม่อยากเป็นคนโง่ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ทุกคนเป็นคนฉลาดที่ขยัน จึงจะประสบความสำเร็จได้  ถ้าเราเป็นคนโง่ ไม่เป็นไร เป็นคนโง่ก็ขอให้มีความขยันเหมือนกัน ขยันตรงนี้คือขยันศึกษา ขยันเข้าใจ ขยันมอง ขยันฟังก่อน ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อเรารู้เมื่อเราเข้าใจแล้ว จากคนโง่ก็กลายเป็นคนฉลาดเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์สมัยนี้มีมากมายหลายรูปแบบ มีมากมายหลายวิธีการที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จะมีชีวิตอยู่อย่างไร ให้เวลาทุกนาทีที่ผ่านไปในชีวิตของเรานั้นเป็นเวลาที่มีค่า ไม่ใช่มีค่าต่อตัวเองเท่านั้น  ต้องมีค่าต่อผู้อื่นด้วย นี่คือความสำคัญ อย่าห่วงแต่ตัวเอง อย่ามองแต่ตัวเอง แล้วผลที่เราได้รับก็คือ ได้ความรักจากทุกคน ไม่ต้องเป็นเหมือนอดีตที่เราเฝ้าแต่รักใครแล้วไม่มีใครรักเรา เพราะเราไม่เคยรักใครที่มากกว่าหนึ่งคนสองคนเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์สมัยนี้รักมากที่สุดคือ รักพ่อแม่ พอโตขึ้นหน่อยรักเพื่อน พอโตขึ้นอีกหน่อยรักแฟน พอมีลูกก็รักลูก แล้วเคยรักใครที่มากกว่านี้ไหม วันนี้อยากได้ความสนุกไหม อยากได้ความสนุกต้องเรียกใคร (ศิษย์พี่นาจา)  เรียกไหม
(นักเรียนในชั้นร่วมกันเรียกพระนามศิษย์พี่นาจา)
พระนาจา : กินข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ไหนใครไม่ยอมกินเจเลย หรือใครบ้างกลับไปกินเนื้อสัตว์ตอนกลับบ้าน มีไหม แล้วใครกลับไปบ้านกลับไปขี้โมโห ขี้บ่น เหมือนเดิมบ้าง หรือกลับไปไม่ง่วงนอนนั่งดูทีวีตาแฉะเลย เป็นอย่างไหน หรือว่าไม่เป็นสักอย่างเลย  เป็นอย่างไรกลับไปถึงบ้าน นอนหลับฝันดีหรือเปล่า วันนี้ท่านมาทำอะไรกัน (ประชุมธรรม)  ประชุม แปลว่า การรวม ธรรมะแปลว่า (ธรรมชาติ) การรวมธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมจากไหน ธรรมจากผู้บรรยาย ธรรมจากผู้ที่เตรียมงาน หรือธรรมจากตัวท่าน (ธรรมจากตัวเอง)  ธรรมจากทุกๆ คน มาร่วมประชุมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เรานั่งฟังธรรมะ ใจแห่งธรรมะเราต้องเบ่งบานและเติบโต ไม่ใช่นั่งฟังแล้วห่อเหี่ยวหรือหลับ อย่างนี้แปลว่าธรรมะไม่ได้เติบโตขึ้นในใจของเราเลย ถ้าเมื่อไรเรานั่งหลับแสดงว่าเรามีธรรมหรือเปล่า (ไม่มี) มีเหมือนกันแต่ธรรมะเราขี้เกียจเหมือนตัวเรา ธรรมะไม่ยอมดึงใจเราให้กระปรี้กระเปร่า หรือตัวเราไม่ยอมดึงธรรมะให้กระปรี้กระเปร่า (ตัวเราไม่ดึงธรรม) แปลว่าธรรมะจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมนุษย์เราเป็นผู้เรียกร้องออกมา ใช่หรือไม่ (ใช่) จะให้ธรรมะบอกว่าเรามีธรรมะอยู่ในใจ จะออกมาไหม (ไม่ออก) ไม่ออกตราบจนกว่าคนนั้นจะแสดงออกมาเป็นการปฏิบัติ ตราบจนปัจจัยนั้นจะเปิดออกแล้วดึงธรรมะออกมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นก็ทำง่ายๆ เลย ไม่ว่าเราทำสิ่งใดก็ตาม เราอยากมีสิ่งใด เราจงควานสิ่งนั้นจากใจเรา แล้วดึงออกมา  เราอยากมีธรรมะเราจะต้องเอาธรรมะออกมา  ฉะนั้นมนุษย์เราอยากจะเป็นสิ่งใดนั้นไม่ยากเลย คิดว่าตัวเรามีไหม เมตตามีไหม อดทนมีไหม ยิ้มแย้มแจ่มใสมีไหม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีไหม แปลว่าเรามี แต่ทำไมออกมาน้อย นั่นก็เป็นเพราะว่า เรามีกระบี่แต่ไม่ค่อยดึงออกมาใช้บ่อยๆ ถึงเวลาจะใช้ก็เลย (ฝืด)  ธรรมะก็เหมือนกันไม่ดึงออกมาบ่อยๆ เวลาดึงก็เขิน เพราะเราไม่หมั่นทำและเราไม่คิดว่านั่นคือธรรมะที่ควรจะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบอะไรแต่เก็บไว้ในใจ ยิ่งอยากมากยิ่งเก็บไว้ เพราะบอกว่ายิ่งเก็บไว้ลึกเท่าไร คุณค่ายิ่งสูง ใช่ไหม (ใช่)  เราชอบมากเลยคนดี คนที่ซื่อสัตย์ คนที่รักเราจริง แต่เราเป็นอย่างไร พอเจอหน้าก็ด่าเช้าด่าเย็น แต่ใจเราลึกๆ รักเขามาก แต่เห็นทีไรต้องด่าให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอยู่ด้วยกันต้องยิ้ม ทำได้ไหม (ได้) อย่าโกหกตัวเอง
พระอาจารย์ : เวลาฟังเขาต้องยิ้มไปด้วยนะ เพราะสิ่งที่เขาพูดถึงอาจจะเป็นเหตุการณ์ของเราเอง เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครศรัทธาจริงใจยกมือขึ้น แต่ขออย่างหนึ่ง เวลามีความศรัทธาก็มีให้นานๆ  ทุกคนในโลกนี้สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ อย่างเช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เคยด่าคน เราด่าคนไหม (ด่า)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ขยันด่าคน เรากลับไปบ้านก็ลองไม่ด่าดู ถ้าหากว่าเราเป็นคนขยันดูเรื่องที่ไม่ดี เรากลับไปบ้านเราก็ลองงดดู ลดลงทีละอย่าง จิตใจของเรา สภาวะของเราต้องค่อยฝึกเรื่อยๆ      ในที่สุดแล้วเราก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้อสำคัญคือต้องหัดช่วยผู้อื่นด้วย ไม่ใช่บอกว่ารอให้เรานั้นพร้อมทุกอย่างก่อนแล้วเราค่อยไปช่วยคนอื่น รอให้เราดีทุกอย่างแล้วค่อยช่วยคนอื่น จริงๆ แล้วเป็นสภาวะที่ทำให้เรานั้นได้ขัดฝึกเกลาตนเอง ยิ่งลำบากเท่าไหร่ก็ยิ่งขัดเกลาตนเองได้เท่านั้น ฉะนั้นในสภาวะที่เรายิ่งลำบากก็ต้องยิ่งออกไปช่วยผู้อื่น เมื่อเราช่วยผู้อื่นมากคนอื่นก็ช่วยเรา หากคนอื่นไม่ช่วยเราตอบเราผิดหวังไหม (ไม่ผิดหวัง)  เพราะว่าเราก็เคยทำใช่หรือไม่ (ใช่)
พระนาจา :  ทุกคนรู้จักศิษย์พี่หรือเปล่า (รู้จัก)  บำเพ็ญธรรมต้องมีรุ่นก่อนและรุ่นหลัง ถ้าเราขึ้นมาเป็นผู้บำเพ็ญแล้วเราไม่รู้จักศึกษาว่ามีคนรุ่นหน้าหรือเปล่า หรือไม่ให้เกียรติคนรุ่นหน้าก็เรียกว่ามาบำเพ็ญไม่ถูกต้อง หากมีรุ่นพี่เราก็ต้องเคารพรุ่นพี่
พระอาจารย์ :  เป็นพี่นี้ลำบากกว่าน้อง น้องต้องเคารพพี่ แต่พี่ต้องทำให้น้องเคารพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นน้องเคารพพี่ทำง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไหร่เรามีรุ่นน้องขึ้นมาเราอยากให้เขาเคารพต้องทำตัวให้น่าเคารพ จะลำเอียงได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เป็นคนกลับเข้ากลับออก พูดจาโกหกได้หรือไม่ ปั้นน้ำเป็นตัวได้ไหม ทำตัวไม่น่าเคารพได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยากจะเป็นพี่ใครก็ต้องทำตัวให้เหมือนพี่ด้วย ถ้าเขาไม่เคารพเราๆ ก็ต้องแก้ไขตัวเองจึงเหมาะเป็นผู้บำเพ็ญ
พระนาจา :  ถ้าพี่ทำไม่ดีแล้วน้องเสีย พี่ต้องรับผิดชอบ ถ้าน้องหลงไปพี่ก็ต้องรีบไปตามหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าน้องไม่ดีพี่ก็ต้องไม่ดีตามใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เมื่อน้องไม่ดีได้ทำไมพี่ไม่ดีไม่ได้เหมือนกันล่ะ
พระอาจารย์ :   เพราะว่าเป็นพี่
พระนาจา :  ไม่มีร่างกายดีกว่าไหม (ไม่ดี)
พระอาจารย์ :  ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์นั่นแหละดี แต่ศิษย์ต้องมีกุศลพร้อมสมบูรณ์ ถ้าหากว่าไม่มีร่างกายนี้แล้ว เราไม่พ้นจากนรก ไม่มีร่างกายอันนี้แล้วกลับไปเป็นสัตว์ อย่างนี้ไม่มีร่างกายจะดีตรงไหน มีร่างกายเป็นมนุษย์ดีที่สุดแล้ว ถ้าไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์อันนี้แล้วไม่ได้กลับไปอยู่กับอาจารย์ ก็อยู่ต่อไป วันนี้อาจารย์รู้ว่าคนมากขึ้นเพราะว่าหลายคนคิดถึงอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่คิดถึงอาจารย์ทุกวันๆ ทำอะไร เอาเพียงสองอย่างคือ ทำดี กับทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ให้ศิษย์ตัดสินใจไม่ต้องเอามาตรฐานอาจารย์ เอามาตรฐานศิษย์ก็เพียงพอ รู้สึกทุกวันที่ผ่านไปเราทำได้ดีหรือยัง (ยัง)  ถ้าเรายังทำไม่ดีก็แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่ยังไม่ดีใช่หรือไม่ อาจารย์รู้แต่ว่าศิษย์ทุกๆ คนของอาจารย์นั้นพยายามทำตนเป็นคนดีแต่ก็อดไม่ไหวเพราะมีกิเลสมากมายคอยรุมรัดเรา แต่กิเลสนั้นก็ไม่สามารถรัดไปถึงในใจลึกๆ ของเราได้ จิตใจลึกๆ ของเรานั้นยังจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งที่ดีๆ อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าจิตใจลึกๆ ของเราไม่มีสิ่งที่ดีหลงเหลือไว้ ถามว่าสิ่งดีๆ งอกมาจากไหนในใจเรา  เพราะฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่เราทำเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าเราทำเรื่องไม่ดีหนึ่งอย่าง เราต้องทำเรื่องที่ดีมากขึ้นอีกสามเท่า เพื่อเป็นการลบล้าง  อย่างนั้นจึงทำให้เราไม่ถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่ามนุษย์ทุกวันนี้นั้นไม่สามารถจะเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ มีแต่เดินหน้าสามก้าว ถอยหลังเท่าไร (สี่ก้าว)  สี่ก้าวเอง ค่อยยังชั่ว  นึกว่าเดินหน้าสามก้าว ถอยหลังสิบก้าวล่ะแย่เลย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์จะตั้งคำถาม ใครตอบได้ก็ตอบ  สัจจะแห่งเกลือคืออะไร (ความเค็ม)  สัจจะแห่งสัจธรรมคืออะไร (ความจริง)  สัจจะแห่งมนุษย์คืออะไร
พระนาจา : วันนี้ประชุมธรรม เป็นโอกาสของศิษย์น้อง สองวันนี้ต้องรักษาโอกาสให้ดี ผ่านไปสองวันแล้ว มานั่งตอบทีหลังก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ
(ความไม่เที่ยงแท้, ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์)
พระอาจารย์ : อันนี้เป็นคำตอบที่ผิดมหันต์ เพราะถ้าหากว่ามนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ อาจารย์จะมาทำไม ในชีวิตของเราในหนึ่งวันนั้นก็มีช่วงเวลาที่เราหลุดพ้นทุกข์อยู่  เคยหลุดพ้นจากความทุกข์ไหม  เคยมีสักช่วงหนึ่ง นาทีหนึ่ง ครึ่งชั่วโมง หรือยี่สิบนาที ห้าวินาทีก็ดีที่ศิษย์รู้สึกจิตใจนั้นโปร่งสบายมากๆ  เคยไหม (เคย)  นั่นเป็นช่วงที่จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์  แต่หลุดพ้นแบบปลอมๆ  ฉะนั้นแม้ในโลกนี้ศิษย์ก็ยังเป็นได้  ในโลกหน้ายิ่งเป็นไปได้ใหญ่เลย  ต้องเชื่อมั่นว่าเราสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
พระนาจา : อย่างมากก็แค่เรื่องเล็กๆ อย่างเช่นศิษย์น้องมีเรื่องเจ็บป่วย ถ้าศิษย์น้องใจทุกข์ด้วย เจ็บก็จะยิ่งหนัก แต่ถ้าเกิดว่าศิษย์น้องเจ็บป่วย ใจศิษย์น้องสู้ พยายามเอาชนะความเจ็บป่วยนี้ได้ ก็สามารถชนะความทุกข์ได้หนึ่งอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงพยายามเอาใจนี้ชนะทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่ชนะทุกข์อย่างนี้ แล้วก็ไปแพ้ทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ชนะทุกข์อีกอย่างหนึ่งก็ไปแพ้ทุกข์อีกอันหนึ่ง  อย่างนี้ศิษย์น้องก็ไม่มีวันหลุดพ้น  แต่ชนะหนึ่งทุกข์แล้วต้องก้าวไปอีกสองทุกข์  ต่อไปก็ก้าวไปอีกสามทุกข์และมากกว่านั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่มีวันที่เรียกว่าทุกข์  เราจึงจะชนะได้  แต่ถ้าศิษย์พี่บอกว่า ในโลกนี้ถ้าศิษย์น้องไม่แบ่งว่าอันไหนชอบอันไหนชัง ศิษย์น้องก็จะไม่มีคำว่าทุกข์ เพราะเรามีอันที่ชอบ อันที่ชอบเราจึงเรียกว่าสุข อันที่ชังเราจึงเรียกว่าทุกข์ แต่ถ้าศิษย์น้องไม่มีทั้งชอบไม่มีทั้งชัง ก็จะไม่มีที่เรียกว่าสุขและทุกข์ แต่เป็นเพราะมนุษย์เรายึดติดในอารมณ์ ยึดติดในชอบและชังอย่างมั่นคง เวลาเจอในสิ่งที่ถูกใจก็เลยเป็นสุข เวลาเจอในสิ่งที่ไม่ถูกใจก็ถือว่าเป็นทุกข์  แล้วก็เอาชนะไม่ได้สักทีในเรื่องสุขและทุกข์ ศิษย์พี่พูดยากไปหรือเปล่า สมมติศิษย์น้องมีห้านิ้ว ความสุขกับทุกข์เหมือนนิ้วทั้งห้า  ถ้าเกิดศิษย์น้องมีทุกข์สี่อย่าง สุขหนึ่งอย่าง  ศิษย์น้องจะทำอย่างไร ตัดสี่นิ้วทิ้งแล้วเหลือนิ้วเดียว เอาแบบนั้นไหม (ไม่เอา)  ทำไมล่ะ (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้, ทุกข์กว่าเดิม)  ทุกข์กว่าเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาศิษย์น้องเจอทุกข์ ศิษย์น้องต้องทำอย่างไร มีทั้งต่อสู้ แก้ปัญหาและปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเลือกแค่เจอสุขอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกัน เรามีห้านิ้ว ศิษย์น้องจะชอบนิ้วนี้แล้วไม่ชอบนิ้วอื่นไม่ได้ ต้องชอบทั้งหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าอีกสี่นิ้วจะไม่สวย แล้วสวยอยู่นิ้วเดียวก็ตาม
ในชีวิตของมนุษย์ต้องมีความสุขความทุกข์เป็นธรรมดา เป็นสัจจะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อใดที่ศิษย์น้องเข้าใจสัจจะ แล้วรู้จักเอาสัจจะนั้นมาใช้กับชีวิต หรือเอาสัจจะนี้มาเพิ่มให้ชีวิตได้รู้คุณค่าชีวิตที่แท้จริง ศิษย์น้องก็จะรู้ว่า สุขกับทุกข์นั้นก็คือธรรมดา จริงไหม (จริง)  แล้วเวลาเจอ ศิษย์น้องก็จะไม่ตื่นตระหนก ไม่หวาดหวั่น ไม่ว่าจะเจอทุกข์หรือเจอสุข ศิษย์น้องก็จะตั้งรับได้ทัน เพราะเห็นเป็นธรรมดา แต่ทุกครั้งที่เจอทุกข์ ที่เรียกว่าความเศร้า ศิษย์น้องจะรับไม่ทัน  เตรียมใจรับไม่ทัน ใช่ไหม โดยเฉพาะความตายและความพลัดพราก สองอย่างนี้ศิษย์น้องจะเตรียมใจรับไม่ทันเสมอ  เวลาเข้ามากระทบใจปุ๊บ เป็นอย่างไร ใจเริ่มสั่น ควบคุมไม่ได้ ร้องไห้เป็นปี๊บเลย แล้วแก้ได้ไหม มีอย่างเดียวคือต้องทำอย่างไร บีบออกให้หมด ตั้งสติให้ดีด้วยจิตที่สงบ มัวแต่ทำอย่างไรดีๆ แล้วได้อะไรไหม (ไม่ได้)  แล้วโทษว่าเธอนี่ทำให้เขาตาย เธอนี่ให้เขาหนีไป เพราะเธอๆ แก้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วก็ยังต้องทุกข์เหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเจอทุกข์หรือเจอสุขจงมองเป็นเรื่องธรรมดา แล้วใช้สติตั้งรับ แล้วต่อไปศิษย์น้องก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างได้สบาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นไหม ชีวิตก็ง่ายๆ แค่นี้เอง ทำไมศิษย์น้องคิดกันไปไกล เวลาเกิดปัญหาทีหนึ่งศิษย์น้องคิดว่าคนนี้หัวเราะเยาะ คนนี้สมน้ำหน้า คนนี้ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแน่เลย ถึงทำให้เราเป็นแบบนี้ คิดร้ายพอกพูนเต็มไปหมด แล้วผลสุดท้ายก็มองอะไรไม่ออก แก้อะไรไม่ได้ เพราะไม่ตั้งสติให้ดีเอาแต่โทษคนอื่น จริงหรือไม่ (จริง)
พระอาจารย์ : มาฟังธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ ฟังเพลงๆ หนึ่ง ตั้งใจฟังเพลงมีความหมาย ไม่ตั้งใจฟังก็แค่ฟังผ่านๆ หู คนพูดมา เราฟัง เรามั่นใจ เราตอบ เราตอบถูกไม่ถูกอีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่มาสถานธรรม ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากแต่เราต้องมั่นใจ วันนี้มั่นใจฟังก่อน ดีไหม นักเรียนในชั้นไม่มีใครที่จิตใจวอกแวกแล้วใช่ไหม ไม่หลอกลวงตัวเอง ทำไมไม่มีใครคิดว่าสัจจะของมนุษย์คือชีวิตบ้างล่ะ มีไหม (สัจจะของมนุษย์คือความเท็จจริงปนเปกันไป)  แสดงว่าเป็นคนที่บางทีก็มีใจ บางทีก็ไม่มีใจ บางทีก็เข้าบางทีก็ออก แล้วแต่จะขึ้นๆ ลงๆ ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  คนอื่นว่าอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงแล้วส่งผลไม้ไปเรื่อยๆ หยุดที่ใครคนนั้นเป็นคนตอบคำถาม)
พระนาจา : สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวของศิษย์น้อง นั่นก็คือ รู้ไม่ชัดแล้วขยันพูด ขนาดอยู่ในครอบครัวเดียวกันเอง เรารู้ไม่ชัด ทำไมเราไม่ถามกับเขาตรงๆ แล้วก็เคืองกันแล้วก็มีปัญหากัน แล้วก็มีเรื่องกัน โดยเฉพาะเรื่องที่ศิษย์น้องรู้ไม่ชัดแล้วเป็นเรื่องไม่ดี อย่าพูด ได้ไหม (ได้)  ไม่พูดสิ่งไม่ดีของคนอื่น เรื่องดีของคนอื่นจะขยันพูด
พระอาจารย์ : อย่าลืม อย่าลืม รู้ไม่ชัดไม่พูด เหมือนอาจารย์ให้ไว้ในเพลงบทนี้ก็เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าพูดน้อยคิดนาน ตอนนี้เราเป็นพวกพูดมากคิดน้อย เราต้องพูดน้อยๆ แต่เราต้องคิดนานๆ  เวลาที่เราจะพูด พูดกับคิดต้องรู้จักที่จะพอดีๆ กัน ต้องพูดให้น้อยๆ คิดให้นานๆ คิดนานคิดมากไม่เหมือนกัน คิดนานๆ ตรงนี้อาจารย์วงเล็บไว้ข้างท้ายว่า ให้ใช้ปัญญาคิด พูดน้อยๆ ในที่นี้ก็คือ พูดในสิ่งที่ดีแล้วเรารู้เท่านั้น เข้าใจไหม แต่บางคนคำว่า “คิดนาน” กับ ”คิดมาก” แยกกันไม่ออก บางคนบอกว่าให้คิดมากๆ คิดมากๆ ก็เลยฟุ้งซ่าน ต้องรู้จักที่จะคิด รู้จักที่จะพูด
พระนาจา :ศิษย์น้องมักไม่ค่อยมีความพอดี พอบอกให้คิดมากหน่อยก็คิดมากเกิน พอบอกให้คิดน้อยหน่อยก็คิดสั้นนิดเดียว แล้วก็บอกว่าธรรมะไม่เห็นดีเลย จริงหรือเปล่า ธรรมะดีแต่ธรรมะของศิษย์น้องไม่ดี ใช่ไหม เราต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง รู้จักตัดรู้จักต่อในชีวิตให้เป็น อะไรของเราที่มากเกินไปเราต้องมองให้ออก แล้วก็ตัดทิ้ง อะไรของเราที่น้อยเกินไป เราต้องรู้จักเติมให้เต็ม ผู้บำเพ็ญธรรมสำคัญที่สุดคือ ในใจของเราต้องพยายามให้สมบูรณ์ และบริบูรณ์  อย่าเป็นคนใจแหว่งใจขาด เพราะเมื่อไรที่ศิษย์น้องใจแหว่งใจขาด จะต้องรอเติมจากคนอื่น แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเป็นใจที่สมบูรณ์ ศิษย์น้องก็มีแต่จะไปช่วยเติมให้กับคนอื่น เราอยากเป็นคนที่ขาด หรืออยากเป็นคนที่เต็ม (เต็ม) เต็มที่ในความสมบูรณ์ในด้านคุณธรรม  ไม่ใช่เว้าแหว่งเป็นคนขาดความรัก เป็นคนขาดคนเห็นใจ เป็นคนขาดคนชม ถ้าศิษย์น้องเป็นคนที่ขาด เราจึงต้องพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือต้องรู้จักข่มอารมณ์ อารมณ์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์คลุ้มคลั่ง และก็ต้องเบียดบังทำร้ายคน ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น จงพยายามเพ่งพินิจให้ดี ชีวิตเราเหมือนมองตัวเราเอง แต่มองตัวเราเองก็อย่าลืมมองคนอื่นด้วย ต้องมองให้เท่าๆ กัน อารมณ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตามอง หูได้ยิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างวันนี้ศิษย์น้องเดินไปเจอคนๆ หนึ่ง ใส่เสื้อสวยจัง น่าตาน่ารักดี ถ้าศิษย์น้องขาดซึ่งความ
อบอุ่น ขาดซึ่งเพื่อน  ขาดซึ่งคนเห็นใจ ศิษย์น้องจะทำอย่างไรต่อ ก็ต้องพยายามหาและต้องรู้จักคนนี้ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์น้องขาดเสื้อสวยๆ  ศิษย์น้องก็จะต้องไปหาเสื้อให้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะดำเนินชีวิต ศิษย์น้องจะต้องตั้งสติให้ดี เมื่อตั้งสติดีแล้ว ตรวจสอบเวลาอารมณ์มากระทบใจ  เราดูซิว่าเราขาดอะไร ถ้าเราเกิดความอยาก เราก็จะรู้ว่าเราขาดสิ่งนั้น แต่ถ้าเกิดรู้สึกว่าสวยดี แต่เรามีพอแล้ว ศิษย์น้องก็จะดับอารมณ์ได้ทันที แต่ถ้าบอกว่าสวยดี แล้วศิษย์น้องก็เดินตาม เขาไปไหนก็เดินตาม แสดงว่าศิษย์น้องต้องรู้ตัวเองว่าศิษย์น้องขาด ใช่หรือไม่ (ใช่) การตรวจสอบจิตของเราเองก็เหมือนกัน ตาสัมผัสสิ่งใดแล้วใจเราเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วม เราจึงต้องพยายามใช้สมาธิข่มแล้วดึงปัญญามาคอยควบคุม หากทำได้ทุกขณะจิต ศิษย์น้องจะไม่ก้าวผิดพลาด และจะไม่โลภมากเกิน ไม่เป็นคนที่ช่างโมโหหรือขี้บ่น แล้วก็ไม่เป็นคนที่ไร้เหตุผล โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองมองแต่ตัวตน จริงหรือเปล่า (จริง)  ยากไหม เบื่อหรือยัง (ไม่เบื่อ)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม)
ศิษย์พี่จะพูดนะ ถ้าสิ่งไหนไม่ดีให้ยืนขึ้น สิ่งไหนดีให้นั่งลง ศิษย์พี่ต้องการฝึกสมาธิและฝึกปัญญาศิษย์น้อง ตัณหาดีหรือไม่ (ไม่ดี) ไม่ดีก็ต้องถอนทิ้งก็คือยืนขึ้น กิเลส นินทา ขี้บ่น ขอตังค์ดีหรือไม่ ถ้าศิษย์น้องรู้จักขอน้อยๆ บางทีก็จะดีนะ เพราะถ้าเกิดเริ่มขอตังค์ ต้องอยากขออย่างอื่นด้วย ใช่ไหม (ใช่)  ขอความเข้าใจ ขอความเห็นใจ แต่เมื่อเป็นผู้บำเพ็ญ ศิษย์พี่ขออย่างหนึ่ง ขอเป็นคนที่สมบูณ์ของจิตใจ ไม่ต้องหวังจากใคร แล้วศิษย์น้องจะมีแต่ให้แล้วก็ให้ โดยที่ไม่หวังผล  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์น้องมีความขาดพร่อง ศิษย์น้องก็จะหวังจากเขา แล้วก็ให้เขายาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระอาจารย์ : อาจารย์มีเสื้อตัวเดียวแล้วก็เหม็นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งต้องรีบไปช่วยศิษย์ก็ยิ่งเหม็นใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำตัวดีๆ จะได้เป็นที่รักของเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง อย่าคิดว่าเขาเมตตาเราไม่เป็น เพียงแต่เราไม่ทำให้เขาเมตตา
อาจารย์เฉลยคำตอบก่อนนะ สัจจะของความเป็นมนุษย์ก็คือ “ความเป็นคน” ลองคิดดูสิว่าใช่ไหม ความเป็นคนเป็นสัจจะของมนุษย์ เพราะถ้าหากว่าคนนั้นทำตัวไม่เหมือนคน ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นคน   ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเป็นคน แต่เราทำตัวไม่เหมือนคน คนเขามองก็มองด้วยหางตา  แล้วยังมีเรื่องที่เราทำ กิเลสที่เราก่ออีก ถ้าหากว่าเรามีมากเกินไป ความเป็นคนของเรานั้นก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ขอให้ศิษย์ไปคิดเป็นการบ้านว่า สัจจะของมนุษย์คือความเป็นคน ความเป็นคนของคนนั้นคืออะไรบ้าง นั่นแหละเป็นสิ่งที่ศิษย์จะต้องทำ เพราะว่าถ้าเราทำตัวให้เป็นคนที่เหมือนคนไม่ได้ เราจะเป็นพุทธะไม่ได้ ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ มีแต่ลงนรกอย่างเดียว อยากไปสวรรค์หรือนรก (สวรรค์)   อยากไปสวรรค์ก็ใกล้ๆ  อาจารย์แล้ว  อาจารย์หวังว่าศิษย์จะตามมาติดๆ นะ
ฟังธรรมะ ฟังทั้งปี ฟังทุกวัน ไม่มีหลับไม่มีนอน แต่ถ้าเกิดฟังไปแล้วไม่เอาไปทำ ฟังมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากว่าฟังแค่เพียงห้านาที แต่เกิดจิตใจที่อยากเอาไปปฏิบัติ ห้านาทีนี้ก็มีประโยชน์  ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนนั้นเย่อหยิ่งไม่ได้ เวลาที่คนอื่นพูดธรรมะให้เราฟัง แม้เราจะรู้อยู่แล้วก็ยังจำเป็นที่จะต้องตั้งใจฟังต่อไป  เพราะว่าธรรมะนั้นมีความลึกซึ้ง มีลึกแล้วลึกอีก ลึกซ้อนกันอยู่ อยู่ที่ว่าใครจะสามารถรู้แจ้งในขั้นตอนไหน บางทีคำพูดคำเดิมพูดให้ศิษย์ฟังอีกรอบหนึ่ง อาจจะรู้สึกไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่แน่ๆ ก็คืออยากให้รู้สึกดีๆ  เข้าไว้
พระนาจา : ศิษย์น้องง่วงนอนไหม  อยากได้ผ้าเย็นๆ ไหม หรือว่าอยากฟังศิษย์พี่พูดต่อ อยากฟังศิษย์พี่พูดเรื่องธรรมะหรือว่าอยากเล่นสนุกกัน  ตกลงว่าอยากฟังอะไรมากกว่ากัน (ธรรมะ) ธรรมะหรือ  นั่งนิ่งๆ ตัวตรงๆ ทำจิตให้สงบ แล้วฟังธรรมะจากใจตัวเอง เคยฟังบ้างไหม ศิษย์พี่ว่าไม่เคยนะ เพราะศิษย์น้องเวลาลืมตาก็หาเงิน ทำงาน เรียนหนังสือเกิดมาก็มีแต่ความรีบเร่ง พอออกไปก็ออกไปด้วยความรีบเร่ง ดำเนินชีวิตก็ด้วยความเร่งรีบตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวหน้าไม่ว่าศิษย์น้องจะทำอะไร ก่อนออกไปตั้งสติให้ดีๆ ไม่ว่าไปทำอะไร ดีไหม (ดี)
ศิษย์พี่จะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีหญิงสาวคนหนึ่งงามหยดย้อย มีคนกล่าวขานว่าเขาเป็นคนที่มีความเรียบร้อย มีความสุภาพและมีความอ่อนน้อม พูดง่ายๆ ว่าเป็นหญิงที่สมบูรณ์ในความเป็นหญิง ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ในบ้านเขามีคนทำงานบ้านให้เขาคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เขาก็อยากรู้ว่าสิ่งที่คนข้างนอกพูดแล้วชมเจ้านายเขาเป็นจริงอย่างที่พูดไหม  เพราะว่างานทุกอย่างที่ทำขึ้นล้วนเป็นเขาเป็นผู้ดูแล บ้านที่เรียบร้อยล้วนเป็นเขาที่ดูแลความสะอาด  งานการอะไรที่มีเขาทำหมด วันรุ่งขึ้นเขาก็เลยนอนตื่นสาย เจ้านายเขาก็พูดว่าทำไมเธอนอนตื่นสายอย่างนี้ รีบลุกมาหุงข้าวให้ฉันกิน รีบมาทำนั่นรีบมาทำนี่ ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว  พอวันที่สองเขาก็อยากรู้อีก เขาก็นอนตื่นสายอีก ให้ทายว่าเขาโดนว่าอีกหรือไม่ (โดน)  แล้วพอวันที่สาม ไม่ใช่แค่โดนว่าเท่านั้น แต่ยังเขวี้ยงของด้วย ขับไล่ด้วย แล้วเผอิญว่าของที่เขา
เขวี้ยง มีอยู่ชิ้นหนึ่งไปโดนที่หน้าผากเขาพอดี เลือดไหล  เขาบอกบ้านนี้เขาไม่อยู่แล้ว เขาออกจากบ้านนี้ทันที แล้วเขาก็ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าคนที่ท่านบอกว่าเรียบร้อย สุภาพ อ่อนหวาน ทำไมจึงทำเขาหัวแตกขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร (มองแต่ภายนอก, ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง)
หลายต่อหลายครั้งที่ศิษย์น้องเจอคน ทั้งที่ยังไม่รู้จักหรือรู้จักแล้วก็ตาม บางครั้งเรารู้จักเขาได้ไม่ทั้งหมด เราจะเห็นเขาเพียงเปลือกนอกเท่านั้น บางครั้งเขาพูดจาอ่อนหวาน พูดดี กิริยาท่าทางดีหมด สมบูรณ์แบบหมด  แต่เพราะอะไรล่ะเขาจึงทำในสิ่งที่เป็นไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่สามารถเป็นได้ตลอดในทุกสถานการณ์ เขาเป็นได้เฉพาะในสถานการณ์ที่ราบเรียบ พอเจอสถานการณ์ที่ขรุขระ เขาก็ตั้งสติไม่ได้  ปรับตัวเองไม่ได้ แล้วก็ลืมตัวเองไปขณะหนึ่ง แล้วแสดงอารมณ์หุนหันพลันแล่นออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีคนชมว่าศิษย์น้องเป็นคนดี พอเจอคนว่า ศิษย์น้องเลยดีแตก  นั่นเป็นเพราะศิษย์น้องพ่ายอารมณ์ของตัวเอง แล้วศิษย์น้องจะโทษคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เราอย่ามองว่ากระจกส่องได้แค่คนอื่น แต่อย่าลืมว่ากระจกนั้นส่องเราได้เหมือนกัน กระจกของศิษย์น้องมีด้านเดียว แต่กระจกแห่งความเป็นจริงในโลกนี้มีสองด้าน  ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์น้องจะทำสิ่งใด จึงต้องตั้งสติให้ดี อย่าเป็นคนดีเฉพาะสถานการณ์ที่ราบเรียบ แต่คนดีที่แท้จริงก็คือคนที่ดีได้ทุกสถานการณ์ วันนี้ภาวะวุ่นวาย แต่ศิษย์น้องต้องสงบ ไม่ว่าอารมณ์จะฟุ้งซ่านขนาดไหนเราต้องคุมให้ได้ ไม่ว่าคนจะโมโหโกรธเกรี้ยวเราอย่างไร เราต้องคุมใจเราให้อยู่  เมื่อเราคุมใจอยู่ การเผชิญย่อมราบรื่นและไม่ผิดพลาด และไม่ปล่อยให้ความดีของเราพังทลายลงใช่หรือไม่ (ใช่)
เปลี่ยนจากฟังธรรมะเป็นเล่นบ้างดีไหม (ดี)  เอาแบบเดิมหรือเอาแบบใหม่ (แบบใหม่)  อย่างนั้นต้องใช้ความสามัคคีนะ เพราะว่าเราอยู่ในโลกนี้ เราไม่รู้จักเขาและเขาก็ไม่รู้จักเรา แล้วทำอย่างไรเราจึงจะอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข นั่นก็คือมีความจริงใจต่อกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องยิ้มน่ะยิ้มได้ แต่ยิ้มแล้วใจต้องยิ้มด้วย ใจที่แท้จริงต้องยิ้มได้ทั้งนอกและยิ้มได้ทั้งใน ยินดีที่จะรู้จักทั้งกายและยินดีที่จะรู้จักทั้งใจ เราจึงสามารถที่จะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ศิษย์น้องต้องอดทน แม้ว่าการให้ร้อยหนจะทำให้คนไม่ดีเปลี่ยนยากก็ตาม แต่ศิษย์น้องก็ต้องอดทนในร้อยหนนี้
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาส่งเสริมญาติธรรมท่านหนึ่ง)
ใจของทุกคนมีสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเรียกว่าฝั่งดี อีกฝั่งหนึ่งเรียกว่าฝั่งร้าย ทั้งฝั่งดีและฝั่งร้าย ถ้าเราควบคุมได้ดี มันจะสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ก็คือมีทุกข์บ้างมีสุขบ้าง  แต่ถ้าศิษย์น้องควบคุมไม่ดี สองฝั่งนี้ก็จะซ้อนภาพกัน  แล้วถ้าซ้อนภาพกัน ศิษย์น้องตัดสินใจไม่ได้ ก็จะเกิดการหลอนซึ่งกันและกัน และไม่มีสมาธิด้วย ถ้าทุกขณะจิต ศิษย์น้องสามารถเห็นในสิ่งที่ตนเองคิด แล้วก็ยังรู้อีกว่าคิดไม่ดีหรือคิดดี นั่นเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ ดีกว่าโกรธคนอื่นด่าคนอื่นไป แต่ไม่รู้ว่าตนเองโกรธไม่รู้ว่าตนเองด่า ทำอะไรด้วยทั้งใจคิดและก็มือทำ แต่ไม่รู้ว่าทำไปเมื่อไร อันนี้น่ากลัวกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่างนี้ศิษย์พี่ถือว่าไม่ผิดนะ นั่นถือว่าเบา  แต่ศิษย์น้องจะต้องพยายามตั้งสติให้ดี  แล้วก็พยายามตัดมันทิ้ง เมื่อเราคิด รีบตัดมันทิ้ง หรือถ้าคิดมาก ปล่อยให้มันออกมาเลย แต่ต้องอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นศิษย์น้องอาจไปทำลายคนอื่น พอมันออกมา ปล่อยออกมาจนหมด เมื่อออกมาหมดแล้วมันก็จะไม่มีอีกแล้ว แต่นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์น้องพยายามกดมันไว้ มันก็เลยสู้กันเองแล้วก็ดันกันเอง พยายามอย่าไปสนใจในสิ่งที่คิด ศิษย์น้องเคยนั่งสมาธิไหม ตอนกำลังนั่งสมาธิ ความคิดไหลเหมือนสายน้ำหรือเปล่า เมื่อไหร่ที่ความคิดเหมือนสายน้ำจงอย่าเอาหินไปขวางกั้น ปล่อยให้มันไหลแล้วผ่านไป ถ้าศิษย์น้องเอาใจมาขวางกั้น ศิษย์น้องก็จะเก็บกด แล้วก็อึดอัด ปล่อยไป อย่ากดไว้ ถ้ากดยิ่งอึดอัด เข้าใจไหม
(พระอาจารย์เมตตาไปทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “คันฉ่องลวง”)
เพลงเพราะไหม อยากให้เพลงของชีวิตนี้เพราะไปตลอดกาลก็อยู่ที่ว่าศิษย์น้องจะใส่ทำนองอย่างไร จะใส่สูงๆ ต่ำๆ หรือเรียบๆ ง่ายๆ ก็แล้วแต่ตัวเรานะ อย่าปรุงแต่งชีวิตมากเกินไป ยิ่งปรุงแต่งมากศิษย์น้องก็จะยิ่งหมกมุ่น แล้วก็ไขว่คว้ามากใช่หรือใช่ (ใช่)  พอหมกมุ่นไขว่คว้าในโลกมาก ธรรมะก็เลยเหลือน้อยเดียว พอจะกลับไปก็กลับไปได้ยาก ถ้าวันนี้ไม่เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องสัจจะ ค้นคว้าเรื่องการบำเพ็ญ พอถึงเวลาสัจจะมากระทบศิษย์น้องจะทำใจได้ทันไหม (ไม่ทัน)  เรื่องเกิด แก่ มากระทบศิษย์น้องรับไหวไหม (ไม่ไหว)  ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องแต่ละคนพอเจอเรื่องทุกข์เรื่องสุข เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ตั้งรับกันไม่ทันทุกคนเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอโดยการใช้ธรรมมากล่อมเกลาจิตใจ น้อมนำใจเตรียมรับไว้ก่อนที่จะมา วันนี้ชีวิตยังราบเรียบยังปกติอยู่ เราไม่รู้วันข้างหน้าจะดีหรือร้าย ฉะนั้นเราต้องเตรียมทำใจ เมื่อทุกข์มาสุขมาก็รับไหวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่อยากบอกเรื่องสุดท้ายกับศิษย์น้องคือ ทุกคนมีกรรมของตัวเอง แล้วเมื่อกรรมมาทวงถาม ไม่ว่าจะหนักหรือจะเบา จะเจ็บน้อยจะเจ็บมาก ศิษย์น้องจงยินดีรับ แล้วเมื่อนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเหลือได้ แต่ถ้าเมื่อเจอกรรมแล้วศิษย์น้องเอาแต่โทษกรรมนั้น จะยิ่งทำให้ศิษย์น้องเจอหนัก เข้าใจคำนี้ไหม (เข้าใจ)  เมื่อเจอทุกข์ เจอความยากลำบากจงใช้จิตใจที่เข้มแข็งกล้ายอมรับและกล้าต่อสู้ยอมรับความจริงให้ได้ โลกนี้ถ้าศิษย์น้องกล้ายอมรับความเป็นจริงไม่ว่าจะทุกข์มากทุกข์น้อยศิษย์น้องก็จะฝ่าไปได้อย่างเป็นสุข แล้วศิษย์พี่จะคอยช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ จงรู้ไว้ว่าเมื่อใดที่ศิษย์น้องเจอกรรมนั่นแหละสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์น้องห่างธรรม กรรมนั้นจะต้องมาไวกว่าที่คิด จงเป็นคนดีและรักษาความดีให้อยู่กับตัวเองนะ
ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี มีโอกาสช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นแล้วอย่าลืมยื่นมือช่วยคนอื่นด้วย แม้ตัวเองจะเจ็บจะทุกข์อย่างไร แต่ถ้าท่ามกลางความเจ็บความทุกข์เรารู้จักเห็นทุกข์ของคนอื่นมากกว่า นั่นแหละจิตของโพธิสัตว์ แต่ถ้าเมื่อใดเห็นทุกข์ของตัวเองและไม่เคยเห็นทุกข์ของคนอื่น นั่นแหละคือจิตของปุถุชน ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะศิษย์น้อง มีโอกาสแล้วคงเจอกันที่ผิงซัน ไปแล้วนะ อย่ายอมแพ้การทำความดี อย่าแพ้ภัยตัวเอง
พระอาจารย์ : หลงกิเลสเพลินๆๆ เพลินหรือเปล่า กิเลสน่าเพลินใจเพลินตาไหม เวลาที่ศิษย์จบชีวิตนี้ อะไรกันแน่ที่ศิษย์รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อเรา ทางสู่กิเลสหรือทางไปสู่ธรรมะดีกว่ากัน ฉะนั้นการที่เราเลือก ในเมื่อเราอยากได้สิ่งที่ดีก็จำเป็นที่จะต้องทำในสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“เก็บเกี่ยวผลสมบูรณ์”)
ศิษย์ปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ของศิษย์ออกลูกแล้ว จิตใจของศิษย์ตอนนี้รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีและรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพียงแต่ว่าแม้จะรู้แต่เราก็ไม่เอาชนะจิตใจของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ ครั้งเราไม่ยอมรับความจริง หลายๆ ครั้งเราทิ้งสิ่งที่ดี “เก็บเกี่ยวผลสมบูรณ์” การที่เราจะเก็บเกี่ยวได้ก็เพราะว่าเราลงแรงหยาดเหงื่อของเราลงไปเก็บ เพื่อจะให้ได้ผลนั้นออกมา อยากจะได้ผลดีๆ ก็ต้องลงแรงไว้ล่วงหน้า แต่กิเลสนั้นไม่ต้องลงแรงเลย อยู่เฉยๆ เขามาถมเราๆ ในที่สุดเราไม่ไปเราก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนดินที่ทับศิษย์ทีละก้อนๆๆ ในที่สุดแล้วหนักไหม เมื่อเราคิดได้ว่าเราจะลุกขึ้นแล้วนะ ลุกขึ้นไหวไหม (ไม่ไหว) แต่ตอนที่เราเก็บเกี่ยวผลก็คือ การที่เราลงแรงไป ต้นไม้ต้นหนึ่งเราไปรดน้ำทุกวัน เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ต้องทำสม่ำเสมอไหม หากว่าไม่ทำวันไหนต้นไม้เราก็อาจจะตายได้ เพราะฉะนั้นการทำความดีก็คือความเหนื่อย แต่ต้องทำไหม (ต้องทำ)  หากผลออกมาแล้วเต็มต้น จะเลือกผลที่เน่าหรือเลือกผลที่ดีๆ (ผลที่ดีๆ)  ผลที่ถูกแมลงชอนไชอยากจะได้มาไว้ไหม (ไม่อยาก)  ตอนนี้เบื้องบนบอกว่าเก็บเกี่ยวผลที่สมบูรณ์ ให้ศิษย์มองตัวเอง คนไหนที่คิดว่าตัวเองเป็นผลที่สมบูรณ์แล้วบ้าง ทุกๆ ผลล้วนแต่เว้าๆ แหว่งๆ ทุกผลล้วนแต่มีกิเลสชอนไช ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเวลายังอีกนานไกล ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาของโลกไปถึงไหนแล้ว ถามว่าเวลาของศิษย์ไปถึงไหนแล้ว เก็บเกี่ยวผลครั้งนี้ไม่ต้องถามว่าเบื้องบนจะเก็บเมื่อไหร่ ถามศิษย์ว่าถ้าหากเบื้องบนต้องการเก็บเดี๋ยวนี้ ศิษย์จะสมบูรณ์ให้เบื้องบนเก็บไหม ฉะนั้นอาจารย์ให้คำๆ นี้เตือนใจ ทุกคนนั้นไม่มีคนเตือนมานานแล้ว แม้คนเตือนก็ไม่อยากฟัง คนเตือนคนก็ไม่น่าฟัง แล้วตอนนี้อาจารย์เตือนศิษย์ ก็ไม่รู้ว่าจะฟังหรือเปล่า คนอยากเตือนต้องทำตนให้ตรง ให้คนเขายอมรับ เราแค่พูดไปนิดเดียวฟังแล้วคิด แต่หากว่าเราทำตัวไม่ดี เราพูดออกไปคนก็ยิ่งว่ากลับมา ว่าเราดีหรือยัง นั่นเป็นคำถามที่ศิษย์ต้องคิดจริงๆ ว่าตัวเองดีหรือยัง ว่าเราพร้อมหรือยังใช่หรือไม่ (ใช่)  พอถึงตรงนี้แล้วอาจารย์ยิ่งอยากให้ศิษย์นั้นรู้จักจิตใจของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น การบำเพ็ญธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่ยาวไกล คนที่เข้าถึงคำว่าบำเพ็ญจริงๆนั้นมีน้อย แค่เรียกศิษย์ให้มาสถานธรรมบ่อยๆ ฟังธรรมะที่บอกว่าซ้ำๆ ซากๆ ฟังให้เข้าใจ ถ้าเราทำได้เราย่อมพัฒนาขึ้น
ธรรมะไม่มีสีสัน ไม่มีความหลากหลาย ไม่มีความหวือหวาให้ศิษย์นั้นได้รู้สึก จะหวือหวาตอนที่ศิษย์เอาไปทำแล้วมันไม่ได้อย่างใจนั่นแหละ เป็นรสชาติของการบำเพ็ญ หลายคนเคยรู้รสชาตินี้มาแล้ว และก็เคยแพ้มาแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าลุกขึ้นสู้ใหม่หรือยัง สู้ไหม (สู้)  พูดว่าสู้นี้คือสู้ใจตัวเอง พูดว่าชนะนี้คือ ชนะตัวเองใช่ไหม (ใช่)  เวลาที่เราจะไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งก็เปรียบเหมือนกับการง้างธนู เวลาง้างขึ้นมานิดเดียวแล้วปล่อยได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องง้างออกมาให้ถึงที่สุด ต้องออกแรงหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่เราง้างนี้ก็เปรียบเสมือนเราเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง พร้อมทางด้านจิตใจ พร้อมทางด้านปฏิบัติ บารมีก็สำคัญ
วันนี้ศิษย์มากมายจะให้แต่ละคนนั้นตอบทั้งหมดก็คงจะไม่ไหว ใครที่ได้แล้วก็ให้ผู้อื่นไปดีหรือไม่ (ดี)  ให้คนข้างๆ เราที่เขายังไม่ได้ เป็นการฝึกการเสียสละ ทำตนเป็นคนดีนะ เป็นคนดีฟ้าดินรัก เป็นคนดีอาจารย์ก็รัก ศิษย์ไม่ดีอาจารย์ก็รัก แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์จะสู้กับเจ้ากรรมนายเวรไปได้แค่ไหน เห็นคนอื่นโชคร้ายก็ต้องย้อนมามองตัวเองว่าเรานั้นจะโชคร้ายอย่างนี้หรือเปล่า ความโชคดีไม่ได้มีแบบนี้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่รู้ว่าตอนนี้จะนับเป็นช่วงเริ่มต้นของศิษย์หรือยัง เหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตก่อนหน้าที่จะมาประชุมธรรม ขอให้ตรงนั้นเป็นช่วงก่อนเริ่ม และขอให้วันนี้เป็นช่วงที่เริ่มต้น อาจารย์ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างในเพลง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเริ่มด้วยดีและดีตลอดไป แน่นอนคนทำดีก็อาจจะไม่มีใครเห็นว่าเราดี แต่เรารู้ตัวไหมล่ะว่าเราดี อย่าเรียกร้องจากคนอื่นให้มาเรียกร้องจากตัวของเราเอง  ถ้าหากยังคิดว่าให้คนอื่นมองเราดีให้ได้ ก็แสดงว่าเรานั้นยังหว่านพืชเพื่อหวังผล  ทำจิตใจของตัวเองให้ดีๆ ดีไหม (ดี)  บำเพ็ญธรรมไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าจิต จิตดีมองทุกเรื่องก็ดี จิตไม่ดีมองอะไรก็ดูจะร้ายไปหมด
ทำตัวเราให้ดีๆ เราอยู่ตรงนี้เราเป็นอนาคตของทางธรรม เราอยู่ข้างหน้าเราเป็นแบบอย่างให้สังคม โลกนี้การบำเพ็ญไม่ได้มีแค่ที่แคบๆ ตรงนี้ แต่ข้างนอกก็เป็นหน้าที่ของศิษย์เหมือนกัน ถ้าหากว่ายังตื่นบ้างหลับบ้าง มีใจบ้างไม่มีใจบ้างก็ลำบาก
ตอนนี้อาจารย์มีคำพูดมากมาย ไม่รู้จะพูดจากตรงไหนก่อน มันมากมายเกินกว่าที่จะพูดออกมาหมด
อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนเป็นคนดี และเชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นก็มีอาจารย์ในหัวใจ
อย่าปล่อยให้อำนาจของความหลงนั้น มีอำนาจเหนือพุทธะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งลวงล่อใจล้วนเป็นสิ่งลวงตา สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ขอให้รักษาไว้ให้ดีๆ ทุกอย่างต้องได้มาอย่างถูกต้อง อย่าให้กรรมมาติดตัวมาก ขอให้มีทุกวันเป็นวันที่แสนดี
สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจะมาได้ทุกวัน ทุกครั้ง  วันหนึ่งอาจจะมาไม่ได้ แล้วถึงตอนนั้นศิษย์ของอาจารย์จะพึ่งใคร
คนที่เป็นพี่ก็มีหน้าที่แทนอาจารย์ ถ้าเราทำไม่ดีแล้ว อาจารย์จะหวังจากใคร เวลาตอบอาวุโส อย่าตอบแต่ไม่รู้ เราต้องรู้ทุกเรื่องต้องทำให้ถูกต้อง เข้าใจไหม เราต้องรู้ ไม่รู้เราก็อาจจะต้องแบกกรรมในส่วนที่เราไม่รู้ก็ได้
มาสถานธรรมบ่อยๆ บำเพ็ญมากๆ หวังว่าวันนี้ วันหน้า หรือวันไหนๆ อาจารย์คงได้เจอศิษย์เสมอ และศิษย์ยังเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์เสมอ วันนี้ไม่เชื่ออาจารย์ไม่เป็นไร ขอให้นำธรรมะที่ได้ฟังไปปฏิบัติ ขอให้ปฏิบัติด้วย ปลูกเนื้อนาบุญในใจให้งอกงามด้วย วันหน้าเจอกันใหม่ ศิษย์ที่น่ารักทั้งหลาย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เก็บเกี่ยว”

ทำผิดไม่อยากให้ใครรู้เห็น แต่ทำดีแรกเริ่มเป็นหวังคนชม
ในโลกนี้คำติก่อนคำชม ดังรสขมมาก่อนหวานเสมอมา
ไม้ตรงค่ามากหลายประโยชน์มี คนตรงนี้มิตรพึงเร่งคบหา
ทำดีกับคนก่อนไม่เสียเวลา อ่อนน้อมพาเป็นที่รักทั่วไป

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผลสมบูรณ์”

สอบจิตซึ่งหน้าไม่อ้อม คนพร้อมต้องพร้อมก่อนมา
โลกหนีไม่พ้นชะตา รักษาเวลานาที
เมื่อเหตุทยอยตกผล จิตอกุศลกดขี่
ยุคท้ายมารฉุดข้าชี้ อาจารย์นี้รอเจ้าคืน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา