วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2543-11-18 สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา


PDF 2543-11-18-จือเจว๋ย #20.pdf

Labels: การส่งเสริมคนที่บ้าน 


วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เสียงระฆังดังก้องในหมู่เมฆขาว กังวานยาวเพื่อปลุกคนจากหลับใหล
ชีวิตหนึ่งเพียงความฝันอย่าเพลินไป หลงสบายกลายทุกข์ทนเร่งบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ในวันนี้มีบุญอยู่ร่วมกัน ขอแบ่งปันจิตกุศลให้เปิดกว้าง
เรียนรู้ธรรมแสวงซึ่งแนวทาง ใจเป็นกลางศึกษาเพิ่มเติมปัญญา
บุญสามชาติสั่งสมเป็นโอกาส รู้หนึ่งชี้อย่าประมาทบำเพ็ญเถิด
แม้ว่าจะมึนงงมาแต่เกิด แต่ประเสริฐแจ้งกลับคืนแดนสุทธา
ได้ลิ้มรสความทุกข์ยากทะเลโศก ใบไม้โบกสะบัดแล้วร่วงโรยหนา
ทุกทุกคนมีจิตแท้ในกายา จงเร่งพาตนเองให้ถูกทาง
ดังทหารที่ได้รับการฝึกหนัก คนจริงรับทดสอบหนักยิ่งหนักแน่น
หมั่นปล่อยวางเรื่องอดีตความคุมแค้น เดินทั่วแดนทุกที่จะเป็นบ้านเรา
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอเคารพตนเองและผู้อื่น
ศึกษาธรรมให้เข้าใจเพื่อหยัดยืน ปลาต้องฝืนทวนกระแสคืนต้นธาร
หากมิใช่เพราะอนุตตรธรรมแสนล้ำค่า ใครจะมาทุ่มเทเสียสละ
แปรความรู้เป็นปัญญาเพื่อมานะ และเร่งละเหล่ากิเลสที่ลวงตน
อันความดีถ้าเป็นความดีแท้ สามารถแปรความชั่วร้ายมลายสิ้น
แม้วันนี้น้องเราเป็นชาวดิน แต่จะผินตนเองเป็นพระพุทธา
ลองพยายามความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม ไม่เหลื่อมล้ำลังเลใจอยู่เนืองนิจ
ทำสิ่งใดเห็นแก่ตนจงพิชิต ความรู้ผิดต้องรู้แก้คู่กันมา
สองวันนี้ประชุมธรรมมาให้ครบ จงน้อมนบพุทธระเบียบในสถาน
ทุกทุกที่ต้องการระเบียบจากในญาณ สู่ทุกที่ไม่ไร้งานเพราะรู้ทำ
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องจิตกุศล
ใจสะอาดบันดาลสุขในบัดดล เกิดเป็นคนบำเพ็ญได้คืนนิพพาน
จรดวางพู่กันลงคุมข้างเคียง
ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระนาจา และท่านจินถง

สิ่งที่มีหลักธรรมหมั่นใกล้ชิด สิ่งใดผิดหลักธรรมหมั่นไกลห่าง
ใบไผ่ไหวทอดเงาลงเบื้องล่าง ใจเคว้งคว้างเห็นใบไผ่เป็นอื่นไป
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกทุกคนตั้งใจฟังธรรมะหรือเปล่า

ทำสิ่งใดก่อนชำนาญระวังหนัก ประดุจถักทอผ้าแม้ยากเข็ญ
ต้องใช้ใจมุ่งศึกษาเพื่อบำเพ็ญ ใจต้องเย็นยังผลอุปสรรคจำกัด
เร่งฝึกก้าวเป็นผู้มีเมตตา แลอุตส่าห์เพียรบำเพ็ญด้วยไม่ประมาท
ศึกษาจนเข้าใจเพิ่มปัญญาแจ่มชัด คนจริงปฏิบัติชัดมุ่งมั่นปณิธาน
หวังก้าวไกลใช้ความกล้าตระหนัก ต้องรู้จักอุปสรรคฝ่าจึงจะผ่าน
ชีวิตบ้างราบรื่นบ้างหนามรังควาน บ้างยากเข็ญบ้างสราญสำรวมตน
สติตามแต่ปล่อยตามแต่ดึง บาปกรรมสร้างหัดคำนึงไม่สับสน
คนประมาทอย่าวางใจในตน สำนึกให้ช่วยอาจพ้นทันที
อดทนได้ไม่ประมาทผ่านทุกข์เข็ญ เวลาเบาเป็นหนักไม่ท้อหนี
ล้มเลิกกลางคันสุมปัญหามี ฉะนั้นที่ล้มย่อมหวังลุกพยายาม
ประสงค์ให้ผลได้ดังใจหมาย พยายามสู่จุดหมายใจหัดมองข้าม
อคติที่หมั่นเพียรคอยคุกคาม กิเลสลามผู้ตกหนักคือเรา
ฮิ  ฮิ   หยุด

หากเข้าใจผู้อื่นเรียกว่าผู้รอบรู้ แต่ในผู้เข้าใจตนเองเรียกว่ารู้แจ้ง
ชนะผู้อื่นคือผู้มีกำลังแรง ชนะตนเองคือผู้เข้มแข็งที่สุดเลย
เราคือ
จินถง ( ???? ) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจือเจวี๋ย   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกๆ ท่าน รู้จักความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า

ต่างกันเพียงจิตใจ แต่เดินบนหนทางเดียว หากประมาทจะพลั้ง ต่างคนคอยจะลืม แต่สิ่งอันสมควรทำ จึงวุ่นวายดังนี้ อาจได้เห็นและได้รู้ไปหมด แต่ไม่แคล้วต้องคิดทบทวน เพราะไม่มีอะไรแน่นอน
ไม่สนใจไยดี อุทาหรณ์เตือนใจจดจำ รักจึงเตือนทั้งที่หวั่น ส่วนลึกคิดดูก็รู้ มุ่งหมายจะทำดี ต้องเข้าใจตนเองก่อนหนา ทุกข์ในใจจะไม่เปลี่ยน ถ้าเหมือนเดิม
คนพร้อมเพราะจิตพร้อม ก้าวเดินบนหนทางธรรม เดินกล้าเดินทั่วฟ้า ต่างมีความเข้าใจ ต่างเป็นดั่งแสงให้กัน ไกลแสนไกลย่อมถึง อาจไม่เห็นและไม่รู้ไปหมด ดั่งโง่เขลาขอคิดทบทวน แท้ที่จริงนั้นแหละเสรี
หากลำเค็ญมิทนอยู่เฉย ก้าวเดินเข้มแข็ง สู่ชีวางดงามเสมอด้วยคุณความดี ได้เหนือจิตใจตน
ชื่อเพลง : สู่หนทางธรรม
ทำนองเพลง : ปราสาททราย


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา และท่านจินถง

พระนาจา อึดอัดเหลือเกินเก้าอี้แคบๆ ฟังตั้งนานไหนใครทุกข์บ้าง ไม่มีจริงๆหรือ ถามปั้นซื่อหน่อยว่านักเรียนในชั้นนั่งอย่างยิ้มแย้มหรือว่าหม่นหมอง ไหนลองพูดว่าสิบสี่แล้วยิ้มหน่อย เอาสิบสี่ยาวๆ นะไม่อย่างนั้นท่านจะยิ้มได้สั้น เห็นไหม ก่อนจะยิ้มได้ต้องหุบก่อนเพื่อเตรียมตัวที่จะยิ้มให้กว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่จะมีความสุขเราต้องรู้จักหันมามองตัวเองก่อน แล้วค่อยเปิดความสุขใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง มาแต่ตัว ใจไม่มาเหรอ เป็นคนมีหัวใจหรือเปล่า (มี)  เอาใจมาหรือเปล่า (เอามา)  ใจอยู่ที่ไหน
พระนาจา ใครแอบหลับยกมือขึ้น ทำไมชั้นนี้ไม่กล้ายอมรับความจริงเลยเราแอบเห็นนะ วันนี้อบอุ่นไหม (อบอุ่น)  มีคนอยู่ร่วมเยอะแยะเลยเราก็ดีใจ นานๆ จะได้เจอคนเยอะอย่างนี้ หาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง วันนี้อากาศดีนะ อากาศดีแม้คนจะแน่นหน่อยก็ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้มีใครมาแล้วยังงงๆ อยู่หรือเปล่า หายงงหรือยัง ไหนลองเอามือตัวเองมาตีสักครั้งหนึ่งสิ ตีแรงๆสิ รู้สึกตัวหรือยัง นี่ไม่ใช่ความฝันนะ ตอนนี้สายตาท่านเป็นสายตาที่งงสุดๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครเป็นผู้ชายลองหลับตาดูสิ แค่ให้หลับตายังทำไม่ได้เลย ให้บำเพ็ญธรรมยิ่งทำไม่ได้ใหญ่เลย ท่านลืมตาขึ้นมาใหม่ ไม่เอาสายตางงนะ เอาแต่ตาที่มีความเข้าใจ
พระนาจา ตอนนี้ท่านเหมือนใบไผ่พอมีลมก็พริ้วไหวไปอย่างไม่ค่อยมั่นคง ในใจก็ลังเลว่าใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง ลวงหลอกหรือว่าไม่ลวงหลอก แต่จะทำอย่างไรถึงจะสามารถพิสูจน์สิ่งที่คิดได้หวังได้ ก็ไม่ยาก ลองใช้ปัญญาของท่านพินิจพิจารณาดูว่าวันนี้เราสองคนหรือสององค์กำลังพูดสิ่งใด พูดแล้วน่าเชื่อถือมากเพียงไหน พูดแล้วดีหรือไม่ หากรู้ว่าดีหากรู้ว่าน่าเชื่อถือก็จงนำเอาไปคิด แต่หากว่าฟังแล้วไม่ดีไม่มีประโยชน์ไร้สาระก็จงโยนทิ้งไป แค่นี้เองทำได้ไหม (ได้)  ในการอยู่ร่วมกัน ถ้าเราเอาแต่ปิดประตูปิดหน้าต่างแล้วเราจะรู้ไหมว่านอกบ้านเกิดอะไรขึ้น (ไม่รู้)  ฉะนั้นเราอยู่ในบ้าน ถ้าเราเปิดประตูเปิดหน้าต่างแล้วท่านก็จะได้ยินเสียง เห็นในสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้เรามาเปิดใจสักนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งสงสัยอะไร ลองเอาความสงสัยนี้เป็นปัญญาไปขบคิดพิจารณาดีกว่าไหม เป็นพุทธะหรือปุถุชนธรรมดาดี (พุทธะดี)  เป็นเซียนต้องฝึกหนักนะ ข้อหนึ่งต้องอดทน อดทนได้ไหม (ได้)  ข้อสองต้องไม่เห็นแก่ตัว ทำได้ไหม,  ข้อสามต้องไม่โลภ,  ข้อสี่ต้องมีจิตใจเมตตา,  ข้อห้าต้องใจกว้าง กว้างเท่าฟ้าหรือข้างฝา ถ้าเกิดเรามองดูตอนนี้ถามว่าเห็นแก่ตัวไหม (เห็น)  ใจกว้างไหม (ไม่ค่อยกว้าง)  เมตตาไหม (มีบ้างไม่มีบ้าง)  ทุกสิ่งที่ท่านกำลังเป็น ล้วนเป็นสิ่งที่ไกลห่างจากพุทธะและใกล้ปุถุชนมนุษย์ธรรมดาใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าหากฝึกฝนตัวเองเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะต้องพยายามไม่มีตัวตนทำได้ไหม ทำจิตใจให้สงบ มีเมตตา มีความอดทนและเสียสละทำได้ไหม (ได้)  ที่ตอบมาทำได้กี่วัน (ได้ตลอด)
ท่านจินถง มนุษย์เป็นประเภทขี้สงสัย ชี้โพรงไม่ได้อยากเป็นกระรอกเสมอๆ  ปกติว่าคนนี้ดีแต่พอคนอื่นบอกว่าคนนี้ไม่ดีท่านก็สงสัยแล้ว แล้วสงสัยไหมว่าตนเองดีหรือเปล่า (สงสัย)
พระนาจา ท่านยังไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นใคร รอสักครู่หนึ่งเราจะแนะนำตัวให้รู้จัก อย่างน้อยเราเห็นชื่อของท่านในใบแล้วแต่ท่านยังไม่รู้จักเราใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์นั้นออกจะวุ่นวายสับสนในการดำเนินชีวิต วันๆ หนึ่งหาความสงบให้กับตัวเองเป็นเรื่องยากมากๆ ตื่นขึ้นมา พอมีแล้ว จากที่เคยใจกว้างก็มองแคบลงใช่ไหม (ใช่)  แต่หลายคนพอมีตัวตนก็มีตัวเขา พอมีตัวเราก็มีตัวเขา พอมีแบ่งเขาแบ่งเราจากฟ้าที่เคยกว้างก็กลายเป็นฟ้าที่คับแคบ จากจิตใจที่เคยมองเห็นคนอื่น คนอื่นก็กลายเป็นฝั่งนี้ฝั่งโน้น คนขาวคนดำ คนรักคนชั่ง เราชอบเราไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดมนุษย์เราอยากหาความสงบ แรกที่สุดถ้าทำได้ก็คือลดตัวตนให้น้อยที่สุด พอไม่มีตัวตนก็ไม่มีคนนี้ คนนี้คือตนที่ไม่ชอบ คนนี้คือตนที่ชอบ  ก็คือว่าไม่เขาไม่มีเรา พอเข้าใจไหม
พระนาจา ตอนที่ท่านลงมาเกิดท่านยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักชื่อตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่ใครมากอดใครมาให้ความรัก เป็นอย่างไร ลองสังเกตดูเด็กๆ ก็ได้ว่าจะยิ้มแย้มแจ่มใสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พ่อแม่ของเรา เราก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส แปลว่าตอนเด็กๆ นั้นเรายังไม่รู้ว่าอะไรของเรา อะไรของเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราโตขึ้นเรามีชื่อ เรามีของเป็นของเราเอง พอใครมาทำของของเราพังเราโกรธแค้นไหม พอใครมาทำร้ายร่างกายเรา เราเจ็บปวด เราโกรธแค้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจจะกว้างลงไหม ใจสงบลงไหม ไม่กว้างและไม่มีทางสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีตัวของเราแล้วก็ของของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าเราเกิดมา แม้มันจะทำร้ายเราตัวนี้ เราก็ต้องบอกว่ามันไม่เที่ยงไม่เป็นไร ให้อภัย พอคนมาเอาของของเราไปเราก็ต้องบอกว่า มันไม่แน่นอนวันนี้อยู่กับเราพรุ่งนี้ก็อยู่กับเขา เรากว้างขึ้นไหม (กว้าง)  อัตตาน้อยลงไหม (น้อยลง)  ฉะนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกท่านในการมาศึกษาบำเพ็ญธรรม นั่นก็คือการศึกษาบำเพ็ญธรรม ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ตัวยิ่งเบา อัตตาตัวตนหรือสรรพสิ่งยิ่งลดน้อยลง แต่ถ้าอยู่ในโลกยิ่งแสวงหายิ่งศึกษาก็มีแต่เพิ่มพูนมีแต่กลุ้มกังวล มีแต่หนักใจ มีแต่ห่วงกายห่วงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมาศึกษาบำเพ็ญธรรมเราก็จะต้องพยายามลดน้อยให้จิตเบาที่สุด ให้กายโปร่งใสที่สุด ตอนนี้อยากมาบำเพ็ญกันไหม (อยาก)  เราจะถามท่านอีกอย่างหนึ่ง มีมาก กับ มีน้อย อยากมีแบบไหน เราพูดเรื่องเมื่อสักครู่ไปแล้วว่า ยิ่งศึกษาบำเพ็ญธรรมอัตตาตัวตนยิ่งน้อยลง สิ่งที่สะสมยิ่งเบา แต่ถ้าท่านไปอยู่ข้างนอก ยิ่งแสวงหายิ่งเพิ่มพูน ใจยิ่งหนักหน่วง มีแต่ความวิตกกังวล  แล้วพอเราถามท่านว่ามากกับน้อยท่านเลือกอะไร (น้อย)
ท่านจินถง มีเงินน้อยๆ ดีไหม มีเงินน้อย ก็ไม่ต้องกลัวจนใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะปล้นก็ไม่มีอะไรให้ปล้น สบายใจหรือเปล่า (สบายใจ)  มีกิเลสน้อยๆ ก็ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีกิเลสน้อย ก็ไม่ต้องหนักใจกลุ้มใจ  เพราะไม่ต้องอยากได้อะไรและไม่ต้องรับอะไรมากเกินเหตุใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วมีลูกน้อยๆ ดีไหม (ดี)  เพราะว่าลูกทุกวันนี้ก็ทำให้เรากลุ้มใจจะแย่ใช่หรือเปล่า (ใช่)
พระนาจา ไม่มีลูกเลยดีไหม (ดี)  ไม่มีสามีดีไหม (ดี)  ไม่มีภรรยาเลยดีไหม (ดี)  แต่ก่อนร้องไห้ไม่อยากแต่งงานๆ แต่พอแต่งแล้วสนุกดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านกลับไปกลับมาหลายครั้งเลยใช่ไหม เป็นเพราะว่าอะไร เพราะไม่ชั่งใจให้ดี มีอะไรก็ขอเกี่ยวไว้สักหน่อย แต่ก่อนตัวโล่งๆ ไม่ชอบ ต้องมีเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนตัวเปล่าๆ ไม่ชอบ ต้องมีพันธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอมีพันธะ แล้วเป็นอย่างไร ท่านเองก็รู้ดีที่สุด เป็นธรรมดา ไม่มีก็อยากมี พอมีก็ไม่อยากมี
ท่านจินถง เหมือนเวลาท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดเลยนะ พอวนสักรอบหนึ่งก็ยังพอไหว พอวนรอบที่สองก็หลงแล้วใช่หรือเปล่า  พอให้สร้างระหว่างบุญกับกรรมก็สร้างกรรมมากกว่าบุญ เพราะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว  แล้วทุกวันนี้รับธรรมแล้วทุกข์ไหม อยากจะพ้นกรรมอันนี้หรือเปล่า ถ้าหากว่าท่านอยู่เฉยๆ ท่านจะพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  ต้องทำอย่างไรละ (บำเพ็ญ) บำเพ็ญแล้วทำอย่างไร
พระนาจา บำเพ็ญคือเริ่มต้นขัดเกลาที่ตัวเอง หรือเริ่มต้นจากการทำดีเป็นพื้นฐาน แล้วค่อยก้าวไปสู่การบำเพ็ญตน เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่จะทำดีได้นั้นต้องมีความเชื่อมั่นในความดีหรือศรัทธาในความดีก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านไม่เชื่อมั่นในความดี ไม่ศรัทธาในความดี ท่านก็ไม่สามารถทำดีได้ตลอดรอดฝั่งจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเชื่อมั่นในความดีของใคร เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง ที่ตัวเองก็มีดีและตัวผู้อื่นก็มีดีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราทำดีไปเราไม่มั่นใจว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี บางครั้งทำไปก็กลัวว่าเขาจะคิดว่าเราหวังผลใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราช่วยเหลือเขา เขาล้มเราจับเขาลุก แต่บังเอิญคนที่ล้มนั้นมีเพชรทองแพรวพราว เราก็กลัวว่าเราไปช่วยคนนั้นแล้วเราจะแอบดึงปลดสร้อย ปลดทองหรือเปล่าใช่ไหม (ใช่)  การทำดีของท่านจึงเป็นการทำดีที่ไม่เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง และไม่เชื่อมั่นความดีจิตใจของผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องเชื่อมั่นในตัวเองและต้องเชื่อมั่นในความดีของผู้อื่นอย่าได้คิดร้าย
ท่านจินถง สงสัยว่าเราต้องมาที่นี่บ่อยๆ  ไม่ค่อยมีใครรู้จักเราเลย ที่นี่ใครไม่รู้จักเราบ้าง รู้จักพระโพธิสัตว์กวนอินไหม (รู้จัก)
พระนาจา จินถงอยู่ข้างๆ พระกวนอิน  รู้ไหมว่าจินถงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ท่านจินถง รู้จักความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า (รู้จัก)
พระนาจา ความสุขที่แท้จริงต้องเป็นความสุขที่ไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีก
ท่านจินถง ในชีวิตนี้ท่านมีอะไรที่เป็นความสุขแล้วไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีกบ้าง
พระนาจา ไม่มีเลยใช่ไหม (ใช่)  แม้จะมีเงินมากมายเพียงใดแล้วเรารู้สึกมีความสุข แม้จะประสบความสำเร็จในการงาน ในอาชีพ หรือในชีวิตมากมายเพียงใด เรามีความสุข แต่ความสุขนั้นก็กลับหมุนให้ท่านนั้นไปมีความทุกข์อีกใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง ในทางตรงกันข้าม ความสุขที่แท้จริงอาจจะต้องเริ่มต้นด้วยความทุกข์แล้วก็กลับมาเป็นสุขภายหลัง
พระนาจา แต่จะไม่เป็นสุขเมื่อกลับมาทุกข์อีกใช่หรือไม่
ท่านจินถง อย่างเช่นการบำเพ็ญธรรม ท่านต้องเริ่มต้นด้วยการขัดเกลาตัวเอง และการขัดเกลาตัวเองก็ทำให้ท่านนั้นทุกข์ด้วย แต่หลังจากที่ท่านบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จแล้วท่านก็ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีกเลย
พระนาจา แต่ในใจบอกว่าจะบำเพ็ญให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่บอกว่าให้อภัยคนคนหนึ่งหรือให้อภัยคนตลอดชีวิต เรายังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากท่านออกไปแล้วมีคนต่อยท่าน ให้ท่านท่องเอาไว้ อภัย อภัย ทำได้ไหม (ได้)  หากอภัยแล้วเขายังตบยังเตะท่าน จะอภัยไหม จงให้อภัยเถิดหากท่านเตะตอบต่อยตอบผลเป็นอย่างไร
ท่านจินถง พอโดนเขาเตะเขาต่อยแล้วท่านก็เอายาทา ต้องทาให้ถึงใจด้วย ถึงจะหายเจ็บใช่หรือไม่ โดยส่วนใหญ่เวลาโดนเตะโดนต่อยมักจะทายาที่ไหน
ท่านจินถง ทาที่แผลใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาทาที่ใจแล้ว
พระนาจา ทาที่ใจตัวเองแล้วบอกว่าไม่เจ็บนะ อภัยนะ อย่าโกรธเขา เราอาจมีกรรมกับเขามา เพราะถ้าท่านเตะกลับ ต่อยกลับ นอกจากตัวท่านเดือดร้อน ครอบครัวท่านเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)
พระนาจา สังเกตเวลาคนแก้แค้น บางทีเขาจะไม่แก้แค้นแค่ตัวเราคนเดียว แต่จะแก้แค้นกับคนที่ท่านรักที่สุด ห่วงที่สุด กังวลที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ท่านอาจจะยังไม่เชื่อเราแต่ท่านลองไปพิสูจน์เอาเอง ถ้าท่านเคยทำใครให้เขาแค้น ถ้าเขากลับมาล้างแค้นกับท่าน บางทีเขาอาจจะไม่ได้ล้างแค้นที่ตัวท่าน  ท่านห่วงอะไรมากที่สุดเขาก็จะเอาสิ่งที่ห่วงของท่านไป ท่านรักอะไรมากที่สุด เขาก็จะลงกับคนที่ท่านรักที่สุด เพราะเจ็บยิ่งกว่าทำที่ตัวท่านจริงไหม (จริง)  
พระนาจา ท่านลองคิดดูนะ ถ้าท่านเจอหน้าใครสักคนที่ไม่รู้จักกันอยู่ๆ ท่านก็หน้าบึ้ง มิตรหรือศัตรูที่ท่านจะได้เจอ ศัตรูจริงไหม (จริง)  การยิ้มไว้เป็นการเปิดโอกาสให้เราผูกมิตรกับทุกๆ คนเป็นการสร้างอัธยาศัยที่ดีไม่ใช่หรือ (ใช่) 
ท่านจินถง เราจะบอกให้ที่เราให้ท่านยิ้มเพราะอะไรรู้ไหม การยิ้มนั้นแสดงถึงจิตใจที่เบิกบาน แล้วหากว่าท่านนั้นยิ้มบ่อยๆ ท่านก็จะอายุยืน มีคนรักท่านเยอะๆ
พระนาจา ไม่อย่างนั้นจะต้องไปเข้าคอร์สฝึกยิ้ม เสียเงินหลายบาทกว่าจะยิ้มให้ออก
พระนาจา เราเห็นมากกว่านั้นด้วยนะ เชื่อไหมถ้ายิ้มไม่ออกต้องมีเครื่องช่วยยิ้มด้วย เราเห็นแล้วเราสงสารจริงๆ เลยเป็นเพราะว่าเขาเครียด วันๆ เอาแต่ทำงาน หมกมุ่นอยู่กับงาน งาน งาน เงิน เงิน เงิน เวลายิ้มก็เลยยิ้มไม่ออก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตานำกระดาษเปล่าออกมา และให้นักเรียนในชั้นหยิบเงินของตัวเองออกมา)
ท่านจินถง เงินกับเศษกระดาษเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  เงินกับเศษกระดาษมีอยู่แค่นี้ ถ้าเผื่อว่าเงินเป็นเศษกระดาษ มีอยู่เท่านี้เองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เงินก็คือเศษกระดาษอันหนึ่ง แม้ว่าเงินนั้นสามารถจะนำมาแลกสิ่งของได้ แต่เราอยากจะรู้ว่า เงินท่านทำให้ท่านโลภได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าเกิดเงินทำให้ท่านโลภได้ แล้วท่านคิดว่าคนโลภสำเร็จเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วท่านอยากได้เงินไว้มากๆ แล้วท่านไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ต้องหาเงินทั้งชีวิตคุ้มหรือเปล่า (ไม่คุ้ม)
ท่านจินถง พุทธะไม่ต้องใช้เงิน พุทธะใช้แต่กุศลใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีกุศลเยอะๆ แต่ไม่มีเงินสักบาท ท่านมีเงินเยอะแยะ แต่ไม่มีกุศลสักหน่อยใช่ไหม (ใช่)
ท่านจินถง ระวังนะ คนที่มางานประชุมธรรมสองวันนี้ยังสูบบุหรี่อยู่ คนที่สูบบุหรี่ถือว่าผิดพุทธระเบียบรู้ไหม ท่านไม่มีเงินเราไม่ว่า แต่ท่านไม่มีบุหรี่เราจะดีใจมาก ถ้าท่านสูบบุหรี่ก็ถือว่าท่านทำผิดกฎ แล้วคนทำผิดกฎต้องทำอย่างไร ก็ต้องถูกลงโทษใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วใครลงโทษ
พระนาจา บางทีไม่ต้องให้พุทธะลงโทษตัวท่านเองก็รู้แก่ใจดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งถ้าเรารู้แก่ใจดีขนาดนี้แล้วจงรีบแก้ เพราะตัวเองลงโทษตัวเองยังเบานัก อย่ารอให้พุทธะ อย่ารอให้คนอื่นลงโทษ เพราะเขาลงโทษแล้วจะไม่มีการให้อภัยและไม่มีการขอแก้ไขด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง พุทธะไม่ได้ลงโทษหรอกนะแต่เป็นฟ้าลงโทษ กลัวหรือไม่กลัว (กลัว)  ปรากฏการณ์อะไรทางธรรมชาติเหมือนฟ้าโกรธที่สุด (ฟ้าผ่า)  กลัวไม่กลัว (กลัว)  ปรากฏการณ์อะไรทางธรรมชาติของฟ้าที่เหมือนฟ้าใจดีและอารมณ์ดีที่สุด ฟ้าโปร่งใสใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปรากฏการณ์ทางฟ้าที่เหมือนฟ้าอารมณ์ดีที่สุด (ฟ้าสวย)  (ฟ้าแจ่มใส)
พระนาจา เรามาครั้งนี้ไม่ใช่ให้ท่านมาขอหวย อย่าเข้าใจผิดห้ามจุดธูป 36 ดอก 16 ดอกด้วย เราหายใจไม่ออก ความหมายที่เราอยากจะบอกก็คือ ถ้าหากว่าถูกหวย คือการเอาบุญกุศลที่ท่านมีทั้งชีวิตของท่านมาถูกครั้งหนึ่ง ท่านยอมหรือไม่ สู้ค่อยๆ เจอบุญทีละนิดๆ ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะหลายครั้งพอถูกหวยหนึ่งครั้งในชีวิตเป็นอย่างไร ตกอับไปตลอดชีวิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นไม่ต้องถูกหวยดีกว่า
ฉะนั้นจงรู้จักทำดีไว้ การทำดีนั้นจะเป็นส่วนที่ทำให้เราพบแต่สิ่งที่ดีเฉกเช่น การคิด หากเราคิดดีแม้คนอื่นจะนินทาว่าร้ายเรา เขาก็ไม่สามารถทำร้ายอะไรเราได้จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเคยเห็นไหม มีคนว่าท่านแต่ในใจท่านยังบอกว่าเขากำลังสวดมนต์ ท่านก็ยิ้มตอบ เขายิ่งเป็นอย่างไร  เขาต่อยหน้า ท่านก็ยิ้มและบอกไม่เป็นไร เราให้อภัย แต่เราบอกว่าอย่าต่อยอีก เจ็บ  จากที่เขามีโมโห เขาก็คงโกรธท่านน้อยลง จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าหากเขาต่อยท่านแล้วท่านบอกโกรธๆ ๆ  เขาก็ยิ่งตามต่อยต่อ  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มต้นทำแต่สิ่งที่ดี คิดดี พูดดี ทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้ท่านล้วนรู้อยู่แก่ตัวของท่านเอง  อะไรที่ไม่ดีจงอย่าพูด อะไรที่ไม่ดีจงอย่ามอง อะไรที่ไม่น่าฟังจงปิดหู อย่าฟัง สังเกตดูเพื่อนๆ ท่าน ไปว่าเขาเห็นแก่ตัวคดโกง ก็เขาเป็นเพื่อนท่านจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหากมองสิ่งใดอย่าวัดคนอื่นแค่เพียงเปลือกนอก และอย่าได้คิดร้าย บางครั้งต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราวางรากฐานดีหรือยัง ถ้าเราวางรากฐานดีแม้เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมมีแต่คนดีรอบข้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านวางรากฐานไม่ดี แม้ท่านจะเอาอำนาจมาข่มขู่ แม้ท่านจะเอาเกียรติยศมาบังคับก็จะทำได้อย่างไม่เต็มใจทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่นำความดีไปนำเขา แล้วก็ชักจูงให้ทำแต่สิ่งที่ดี แล้วเขาจะทำตามโดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจบังคับ และไม่ต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่วันนี้พุทธะพูดจนปากเปียกปากแฉะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้ความดีของท่านเป็นความดีที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำแล้วมีแต่คนชื่นชม ทำแล้วใจเป็นสุขปลาบปลื้ม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ตอนนี้เรากลับทำดีแบบขอไปที ทำดีตามประเพณี ทำดีตามหน้าที่ จริงใหม (จริง)  เราเคารพเจ้านายไม่ใช่ด้วยความเคารพ แต่เคารพเพราะเขาเป็นเจ้านาย เรารักลูกน้องไม่ใช่รักเพราะเขาเป็นลูกน้อง แต่เรารักเพราะเป็นหน้าที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเดี๋ยวนี้พ่อแม่รักลูกตามหน้าที่หรือเปล่า รากฐานการทำดีควรเริ่มต้นที่ครอบครัว  เอาง่ายๆ เราต้องทำอย่างไรต่อพ่อแม่จึงเรียกว่าทำความดี (กตัญญูรู้คุณ)  พ่อแม่ต้องรักลูก น้องต้องเคารพพี่ พี่ต้องเอ็นดูน้อง ตัวเราต้องรักน้อง แต่ถ้าเราเป็นน้องเราต้องเชื่อฟังพี่ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงเอาคุณธรรมในการอยู่ในครอบครัวไปใช้ในสังคม  ใครทำดีมีพระคุณจงตอบแทนด้วยความกตัญญูรู้คุณ  ใครที่มีศักดิ์เป็นนายเรา เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา หรือตำแหน่งเดียวกัน แต่มีศักดิ์เป็นพี่เรา จงมีความ (กตัญญู)  ท่านอย่าตอบแบบขอไปทีสิคิดด้วย คิดด้วย  ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่า การทำดีแบบแบ่งแยกไม่ถูก เหมือนเวลาท่านเห็นคนขายผ้าไหมคนหนึ่งเย็บแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อีกคนหนึ่งเย็บแบบละเอียด แล้วท่านให้ราคาเท่ากันนั่นแหละ ท่านให้คุณค่าความดีที่ผิดใช่ไหม (ใช่)  และสนับสนุนคนทำแบบสักแต่ว่าทำ ให้เทียบเท่ากับคนที่ทำแบบละเอียด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลาท่านปฏิบัติต้องคิดด้วย ต่อคนที่มีพระคุณ จงกตัญญูรู้คุณ ต่อผู้ที่มีอายุมากกว่าแต่เป็นแค่พี่จงให้ความเคารพนับถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อผู้ที่มีอายุน้อยกว่า จงให้ความเมตตารักใคร่และเอ็นดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการนำความดีมาใช้ให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นตัวท่านนั่นแหละ จะตีความดีให้หมดราคา จริงหรือไม่ (จริง)  ต้องแยกให้ออกด้วยนะ ทำดีไม่ใช่เรื่องยากเลย อยู่ที่ว่าเราคิดถึงเราได้ตั้งใจจะทำหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ ท่านไม่ต้องให้เราบอกหรอก ท่านมีมโนธรรมสำนึกในใจท่าน ตัวท่านที่แท้จริงมักจะบอกเสมอ เวลาที่เราจะก้าวไปทำผิด ใจเราลึกๆ เคยบอกไหมว่าอย่าทำเลยมันบาป มีไหม (มี)  แล้วใครเคยเอาชนะแล้วไม่ทำบ้าง เหมือนเราเจอเงินหนึ่งร้อยบาท มีใครตะครุบเก็บทันทีบ้าง เจอตู้โทรศัพท์โดยที่เงินหยอดไปเท่าไหร่ก็ไหลกลับมาเก็บเข้ากระเป๋าบ้าง อย่างนี้เรียกว่า มีความดีแต่ไม่เอาความดีไปใช้ ไปสำนึกรู้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่าคนยุติธรรมหรือคนฉ้อฉล (ฉ้อฉล)  ท่านเก็บหนึ่งร้อยของคนอื่นไปแล้วคนที่สูญเสียเงินหนึ่งร้อยไม่น่าสงสารหรือ ทุกคนเคยเงินหายไหม (เคย)  เงินหายแล้วเจ็บใจเหลือเกินที่ทำไมตัวเองไม่มีสติมากกว่านี้ ไม่รอบคอบมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่คิดกลับกันว่าคราวหน้าตัวเองเห็นเงินแล้วจะไม่เก็บอีกต่อไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะเจ้าของเขาจะมาเก็บเอาเอง แต่สังคมในปัจจุบันนี้ทุกคนต่างแย่งได้แย่ง เอาได้เอา มากได้มากใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านจะเหลืออะไรจริงไหม (จริง)  ปลามีกี่ตัวในแม่น้ำ ช็อตให้หมด ตายให้หมด เอามากินคนเดียว จริงไหม (จริง)  โหดร้ายไหม โหดร้ายนะ ถ้าเกิดฟ้าเห็นมนุษย์มีกี่คนจับตายให้หมดเลย อย่าว่าพุทธะโหดร้ายไม่ได้ ฉะนั้นอยู่ร่วมกันจงคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นใจเราอย่าลืมเห็นใจเขาด้วย มนุษย์อยู่ในโลกนี้อดไม่ได้ที่จะหลงไปตามกระแสโลก ตรงโน้นสีสวยวิ่งไปตามสี ตรงโน้นเสียงดีวิ่งไปตามเสียง ตรงโน้นหล่อดีวิ่งไปตามความหล่อ ตรงโน้นสวยดีวิ่งไปตามความสวย  เราวิ่งไปหาสิ่งที่ หู ตา จมูก เราได้สัมผัส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้บำเพ็ญธรรมแล้วต้องรู้จักปิดหูปิดตาบ้าง ต้องรู้จักปล่อยบ้าง เพราะเราไม่รู้จักว่าช่วงที่เราวิ่งไปนั้นจะได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้หรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะวิ่งไปตามหู ตา จมูกนั้นจงคิดไตร่ตรองให้ดีว่า ค่าของชีวิตที่วิ่งไปนั้นมีคุณค่าไหม ไปแล้วได้ประโยชน์อะไรกับตัวตน และการเป็นมนุษย์คนหนึ่งถ้าไปแล้วสวยขึ้นมานิดหนึ่ง ไปแล้วได้เพิ่มอีกนิดหนึ่งบางครั้งลดน้อยบ้างจะเสียอะไร จริงไหม (จริง)  มนุษย์ชอบมีมากๆ ชอบสวยๆ แต่อย่าลืมว่าไม่สวยนั้นก็มีเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  สวยมากๆ ท่านกล้าออกไปเดินกลางคืนไหม กล้าไหม (ไม่กล้า)  ใส่ทองเยอะๆ ท่านกล้าออกไปเดินตามถนนไหม (ไม่กล้า)  มีทองเก็บในตู้เซฟ มีเงินเก็บในบ้านมีประโยชน์อะไร
ท่านจินถง ปรากฏการณ์ที่ฟ้าอารมณ์ดีคือฟ้าแจ่มใสใช่หรือเปล่า ฟ้าที่กำลังมีฝนตกคือฟ้ามีเมตตาที่สุดใช่หรือเปล่า เพราะว่าชาวนาจะได้ปลูกข้าวขึ้น ร่างกายของท่านทุกคนต้องการข้าวไหม (ต้องการ)  ฉะนั้นฟ้าที่กำลังมีฝนตกก็มีเมตตาที่สุด เวลาที่ท่านไม่ได้ทำนาแต่ว่าท่านยืนตากฝนอยู่ท่านจะโทษฟ้าไหมว่าเวลานี้ไม่น่าให้ฝนตกเลย ท่านคิดอย่างนี้หรือเปล่า ท่านต้องคิดว่าฝนตกไปทั่วฟ้าแล้วน้ำฝนก็ต้องไปถึงชาวนา ถ้าหากฝนไม่ตกท่านก็ไม่มีข้าวกิน  คำตอบง่ายๆ ท่านตอบไม่ได้สักคนหนึ่ง ขนาดรู้คำตอบอยู่แล้วนะ แสดงว่าฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา และก็เป็นคนขี้ลืมที่สุดในโลกทั้งชั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  และเป็นคนที่ช้า ด้วย ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรมแล้วท่านขี้ลืมอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าบางทีท่านอาจจะลืมตัวเอง คนลืมตัวเองน่าเกลียดไหม (น่าเกลียด)  แล้วท่านลืมตัวเองหรือเปล่า คนที่เมื่อก่อนเคยจน พอเวลามีเงินแล้วไม่เห็นหัวใครอย่างนี้น่าเกลียดไหม แล้วท่านคิดว่าเวลาท่านมีเงินมากๆ ท่านจะลืมตัวหรือเปล่า (ไม่ลืม)  ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินเยอะ เอาแค่ตัวเองก็พอ ท่านลืมตัวในตอนไหนบ้าง ก็ลืมตัวในตอนที่ท่านมีอะไรเยอะแยะ อาจจะเป็นเสื้อผ้า เงินทอง บ้านและรถ ลูกเราได้ดีแล้วเราก็ลืมเพื่อนบ้านที่เคยช่วยเรามา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนเป็นคนบำเพ็ญธรรมนั้นจะเป็นคนขี้ลืมไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เป็นคนบำเพ็ญธรรมนั้นอีกอันหนึ่งที่พูดถึงก็คือ อย่าเป็นคนที่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา บางคนที่เป็นญาติธรรมเก่าขยันมาสถานธรรมมาฟังธรรมะดี แต่ว่าฟังอย่างไรก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ที่ฟังไปก็เหมือนก็ไม่ได้ฟัง แม้ว่าท่านจะมีกุศลมากมายในการฟังธรรมะ แต่ท่านก็ไม่สามารถฟังแล้วปฏิบัติได้ ฉะนั้นผลดีก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวท่านเอง การฟังธรรมะในวันนี้ก็เหมือนกัน แค่สองวันเป็นการเริ่มต้น การเริ่มต้นนี้ท่านก็ต้องตั้งใจฟังธรรมะ ท่านจึงจะได้มีกุศล แต่ว่ากุศลที่แท้จริงคือท่านฟังแล้วปฏิบัติได้ด้วย อย่างเช่นท่านฟังแล้วพูดว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรมต้องไม่ขี้ลืม ท่านก็อย่าได้ลืมตัว ถ้าหากว่าท่านทำได้ ท่านก็มีลักษณะของคนบำเพ็ญธรรมเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่งแล้ว
ท่านจินถง คนมีชีวิตร่างกายนิ่มหรือแข็ง (นิ่ม)  คนตายนิ่มหรือแข็ง (แข็ง)  ต้นไม้เป็นแข็งหรือนิ่ม (นิ่ม)  ต้นไม้ตายแข็งหรือนิ่ม (แข็ง)  ต้นไม้เป็นจะนิ่ม ต้นไม้ตายก็จะแข็งกว่า หลักธรรมที่แฝงอยู่ในนี้ก็คือว่า คนเรานั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เมื่อต้องการบำเพ็ญธรรมทุกท่านนั้นจะต้องทำตัวของท่านนั้นให้นิ่มๆ นิ่มจากไหน นิ่มจากใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม ต้องเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน การยอมนั้นถ้าหากว่าท่านต้องยอมไปเพื่อเสียเปรียบ แต่ถ้าลองคิดให้ดีนั้นเป็นการได้เปรียบใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่คนอ่อนน้อมมากๆ อ่อนน้อมไปเรื่อยๆ ใครเห็นใครก็รัก แต่ว่าเราเห็นหลายคนที่บำเพ็ญธรรม เวลาอ่อนน้อมมักจะอ่อนน้อมแต่ข้างนอก แต่ข้างในแข็งมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบันไดมีหลายขั้นการฝึกฝนของท่านก็คือต้องก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ว่าตอนนี้ท่านจะอ่อนน้อมเฉพาะภายนอก แต่วันหนึ่งท่านต้องทำให้จิตใจของท่านอ่อนน้อมออกมาจากจิตใจได้จริงๆ จึงจะมีคุณค่า ตัวท่านนั้นจึงเหมือนกับธรรมชาติ เมื่อท่านเหมือนกับธรรมชาติแสดงว่าท่านก็มีธรรมะ ถ้าหากว่าใครอยากจะเป็นผู้มีธรรมะก็จำเป็นที่จะต้องหัดให้เหมือนธรรมชาติ อย่างเช่นเมื่อเรามีร่างกายมีชีวิต ตอนนี้เราไม่ใช่คนตาย เรามีความรู้สึกเราจึงต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หากว่าคนที่ใช้ความรู้สึกในการที่จะเดินงานธรรมะและการบำเพ็ญมากเกินไป การเดินงานธรรมะและการบำเพ็ญของท่านนั้นก็จะล้มเหลว เพราะว่าใช้ความรู้สึกมากเกินไป  คนเรานั้นมีความรู้สึกดี รู้สึกแย่ รู้สึกโกรธ รู้สึกหิว รู้สึกเกียจ รู้สึกชัง รู้สึกชอบ และยังมีความรู้สึกอีกมากมาย  ฉะนั้นท่านจึงต้องบำเพ็ญธรรมและเดินงานธรรมะอย่างคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย ถ้าหากว่าท่านสามารถขจัดความรู้สึกส่วนตัวของท่านออกทิ้งได้ ท่านก็จะบำเพ็ญธรรมะได้อย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านอยากมีความสุขในการบำเพ็ญธรรมะไหม เพราะฉะนั้นท่านจะต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวทิ้งให้มาก ท่านดูสิว่าหูท่านมีกี่ข้าง (สองข้าง)  ตามีกี่ดวง (สองดวง)  ปากมีกี่ปาก (หนึ่งปาก)  แสดงว่าให้ท่านฟังเยอะๆ ดูเยอะๆ แต่พูดน้อยๆ ถ้าหากว่าท่านพูดน้อยท่านก็จะมีปัญหากับคนอื่นน้อย  แต่ในทุกวันนี้ที่เราเห็นก็คือ ท่านเป็นคนที่ชอบพูดเยอะแต่ฟังน้อยแล้วก็ดูน้อย แล้วหนำซ้ำเวลาดูท่านก็ดูไปตามความคิดของท่าน เห็นคนเขาป่วยท่านก็ว่าไม่ป่วยหรอก เพราะว่าท่านคิดว่าเขาไม่ป่วย เคยเจอไหมแบบนี้ เวลาเราเห็นเขาป่วยแต่ใจเราไม่ชอบเขา เราก็คิดว่าคนที่เราไม่ชอบนั้นป่วยไม่เป็นหรอก แล้วเวลาที่เราไม่ชอบใครอีกคนหนึ่งเวลาที่เราไม่ชอบเขาเราก็จะมองเขาดีได้ไหม (ไม่ได้)  มองเขาก็ไม่ดี ป่วยก็ไม่เป็น พูดก็ไม่ถูกอย่างนี้ใครมีปัญหา เพราะฉะนั้นท่านจะต้องบำเพ็ญใหม่ คนที่เป็นอย่างนี้จะต้องเริ่มรู้จักเข้าใจตัวเองใหม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าท่านไม่รู้จักเข้าใจตัวท่านเอง
มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งเขาไปซื้อสัตว์มาเลี้ยง เลี้ยงลิงไว้ตัวหนึ่ง เลี้ยงเต่าไว้ตัวหนึ่ง เขาก็สร้างอาณาบริเวณให้ลิงตัวนี้ปีนป่ายสบาย แล้วก็สร้างอ่างใหญ่ๆ ให้เต่าตัวนี้ได้แหวกว่ายไปสบายๆ  แล้ววันหนึ่งด้วยความซุกซนของลิงตัวนี้ก็ปีนไปมา เมื่อเห็นเจ้าของของตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรชักช้าอืดอาดมาก คนนั้นชักช้ากว่าลิงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เสร็จแล้วเต่าตัวนี้ก็เหมือนกัน สระน้ำก็ติดกับข้างๆ บ้าน เต่าตัวนี้ก็คิดในใจทำไมเจ้าของของเราแก่ไวจัง ท่านว่าคนนั้นจะคิดกับลิงอย่างไร คิดกับเต่าอย่างไร ท่านคิดกับลิงอย่างไร เต่าคิดอย่างไรกับคน คนคิดกับเต่าอย่างไร เต่านั้นก็เป็นสัตว์ที่คนซื้อมาเลี้ยง ส่วนลิงก็เป็นสัตว์ที่คนซื้อมาเลี้ยง ส่วนคนนั้นก็สามารถที่จะยืนหยัดท่ามกลางฟ้า ดินได้ แต่ว่าในความคิดนั้น เต่าก็มีความคิด ลิงก็มีความคิด คนก็มีความคิด  เราเปรียบเทียบทั้งเต่าทั้งลิงนี้เหมือนกับคนอื่นที่นอกเหนือจากท่าน ทุกๆ คนนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทุกๆ คนนั้นมีข้อดีเฉพาะตัวที่คนอื่นนั้นก็เลียนแบบไม่ได้ ท่านเลียนแบบเขาไม่ได้ เขาก็เลียนแบบท่านไม่ได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าคนไหนดีกว่าคนไหน ดีหรือไม่ (ดี)  ท่านอยากจะได้วงการธรรมะที่สงบสุขท่านก็ต้องพูดให้น้อยๆ ดูให้เยอะๆ แต่อย่าดูอย่างคนตาเอียง หูก็ต้องฟังให้เยอะๆ แต่อย่าฟังอย่างคนหูหนวกเข้าใจหรือไม่
พระนาจา เมื่อฟังอะไรแล้วก็จงสำรวจที่ตัวตนเอง ไม่ใช่ว่าฟังอะไรแล้วก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังว่าคนนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดเหมือนคนนั้นเลย อย่างนี้ไม่ได้นะ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอะไรหรือพุทธะหรือใครพูดอะไร ต้องหันมาสำรวจตัวเองว่าเราเป็นอย่างนั้นไหม เรามีข้อบกพร่องหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างนี้แล้วว่าคนโน้น ว่าคนนี้ ไม่ใช่แบบนั้น
ขณะนี้ฝนตกถ้าจิตท่านไม่สงบท่านจะฟังสิ่งที่เราพูดไม่แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำไหลไม่อาจสะท้อนจิตใจเดิมแท้ของมนุษย์ได้ฉันใด จิตมนุษย์ที่วุ่นวายสับสนก็ยากมองเห็นตัวตนที่แท้จริงได้ฉันนั้น  นั่นก็คือว่าจิตใจของมนุษย์ ตราบใดที่ยังวุ่นวายสับสน ยังหมกมุ่นกับการแสวงหาอย่างไม่รู้พอ เราก็ยากที่จะมองเห็นตัวตนที่แท้จริง พุทธะที่แอบแฝงในตนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่จิตที่นิ่งๆ เท่านั้นจึงสามารถสะท้อนเห็นความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ ทุกๆ ท่านต่างมีจิตแห่งพุทธะอยู่ที่ตัวตน แต่จิตของพุทธะนี้จะเป็นจิตพุทธะที่สามารถส่องประกายและนำความสุขสงบอันแท้จริงมาให้กับตัวตนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เคยหันไปมองตัวเราไหม เราเคยได้ทำชีวิตให้สงบนิ่งหรือเปล่า ทุกวันที่วุ่นวายเราจะไม่มีทางเห็นตัวตนที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันที่แสวงหาเราไม่มีทางที่จะพบความเป็นพุทธะในตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงต้องหาความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย หาความนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะทำอย่างไรได้ล่ะ บางครั้งตัวอยู่นิ่งแต่ใจฟุ้งซ่าน บางครั้งกายเคลื่อนไหวแต่ใจกลับไม่ยอมสงบนิ่ง จับอะไรก็จับได้ แก้อะไรเปลี่ยนอะไรเราก็สามารถเปลี่ยนได้ แต่แก้ไขตัวตนเองไม่ดีให้ดียิ่งขึ้นเรารู้สึกเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ควบคุมตัวตนยังพอทำได้ แต่ควบคุมใจไม่ให้คิดผิดคิดร้ายเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดหรือไม่ว่าตัวของมนุษย์เรานั้นเห็นกันอย่างนี้ไม่น่ากลัว แต่ใจของมนุษย์ที่มองไม่เห็นนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นเขาอยู่กับเราดีกับเรา แต่ไม่มีใครหยั่งลึกได้ว่าเขาใจดีกับเราด้วยไหมใช่หรือเปล่า (ใช่)
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรม การรู้จักชะตาชีวิต รู้จักความเป็นจริงของชีวิตจะทำให้เราสามารถมองเห็นคนได้ทั้งกายและใจ สนใจไหม อยากได้ไหมวิชานี้ วิชาที่มองเห็นคนได้ทั้งกายและใจเห็นเขาอย่างรู้หน้าและรู้ใจ สนใจไหม (สนใจ)  ท่านเคยเห็นไหมคนบางคนมีสัมผัสที่หก เขานิ่งจนกระทั่งสามารถรู้ว่าอะไรมาถึง อะไรกำลังไป และอะไรกำลังมาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่รู้แค่คนมา คนไป คนอยู่ คนตาย จะมีประโยชน์อะไรกับการได้รู้แจ้ง ไปแล้วไม่ต้องมา อันไหนดีกว่ากัน (รู้แจ้ง ไปแล้วไม่ต้องมา)  ทุกคนอยากมีสัมผัสที่หกที่สามารถรู้ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองในวันพรุ่งนี้หรือนาทีต่อไปนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่าการรู้แบบนี้กับการรู้แจ้งไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด พ้นทุกข์จากการมีร่างกายมนุษย์นี้ตั้งแต่ยังเป็นคน สิ่งไหนดีกว่ากัน รู้แจ้งย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะรู้ว่าอะไรจะเกิดแต่ท่านเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนวันนี้ท่านรู้ว่าพรุ่งนี้ออกไปต้องตายแน่นอน พรุ่งนี้ออกไปต้องมีคนแทงแน่นอน มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเกิดว่าเราสามารถศึกษาบำเพ็ญธรรม รู้จักนำธรรมมาใช้ชีวิต ธรรมนั้นช่วยให้เราดับทุกข์ และมีสุขในการดำรงชีวิตอยู่กับตนเองหรือกับผู้คนแบบไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก อันไหนน่าสนใจมากกว่ากันล่ะ การรู้แจ้ง พ้นทุกข์ พ้นการเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การจะรู้แจ้งตรงนี้ได้นั้นท่านต้องเริ่มต้นหมั่นฝึกฝนจากคุณธรรมขั้นพื้นฐานก่อน นั่นก็คือทำดี ทำดีที่ไหนล่ะ ในบ้าน พอทำดีในบ้านได้จงเอาความดีในบ้านนั้นไปสู่สังคม เมื่อเราสามารถทำดีได้ในระดับหนึ่ง การกระทำดีของเราจะสามารถชักพาและโน้มนำคน ให้คนเขาคล้อยตาม ปฏิบัติตาม แม้เราจะเอ่ยปากคำเดียวเขาก็พร้อมที่จะตามเราได้ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรม ต้องเริ่มต้นลงแรงที่ตัวตนเองก่อน สิ่งใดเป็นความดีพื้นฐานจงรีบๆ ทำและเมื่อหมั่นสร้างความดีไปเรื่อยๆ ความดีนั่นแหละจะกลายเป็นการบำเพ็ญธรรม เมื่อบำเพ็ญธรรมได้ระดับหนึ่งแล้วท่านจะรู้แจ้ง แม้รู้ว่าจะต้องพลัดพรากท่านจะทำใจได้ ท่านจะปลงตก แม้รู้ว่าจะต้องหลั่งน้ำตาเสียใจกับคนที่ต้องจากไป ท่านก็จะสามารถยิ้มในใจได้ว่าเขาไปดี ไม่ทุกข์กังวล แม้เงินทองหายก็รู้สึกปลงได้ด้วยใจที่โปร่งเบาสบาย เกิดเป็นคนหากมีความวิตกกังวล เกิดเป็นคนหากมีความทุกข์มากมายไม่สามารถวางลงได้นี่หรือชีวิตที่เป็นสุข แต่ถ้าเกิดเป็นคนที่สามารถบำเพ็ญธรรมและเอาธรรมมาน้อมนำในชีวิต เอาธรรมมาใช้ในการอยู่ในสังคม สามารถเป็นคนที่ปลงได้ วางได้ ไปมาอย่างอิสระ อยู่ในโลกนี้อย่างเสรี ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของความอยาก ไม่เป็นทาสของกาลเวลา ชีวิตย่อมเป็นสุขกว่าสิ่งบอดนะใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้หรือตัวท่านเอง ถ้าบอกว่าให้ไปหาเงินกับมาศึกษาธรรม บางคนยังบอกว่าขอหาเงินก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดที่ท่านยังไม่รู้พอกับสิ่งที่ตนเองมี ตราบใดที่ท่านไม่รู้สุขตามอัตภาพที่ตนเองได้ ท่านก็จะไม่สามารถหาความสงบสุขและค้นพบความพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง แม้จะรับธรรมะไปแล้วก็ตามใช่หรือไม่ ฉะนั้นจงรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีตามอัตภาพ
ท่านลองดูฟ้าดินผสานกลมกลืนกัน แม้จะแตกต่างก็หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตให้เจริญเติบโตโดยไม่แบ่งว่าต้องให้คนนั้นมากกว่าให้คนนี้น้อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เมื่ออยู่ท่ามกลางฟ้าดิน แทนที่จะเอาไปประยุกต์กลับไม่ใช่ ครอบครองได้กลับครอบครองไว้คนเดียว จองได้ขอจองไว้คนเดียว พอจองแล้วก็ปกปิดไม่ให้ใครได้ ไม่ให้ใครเอาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอปกปิดแล้วหวงแหนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็ทำเช่นนี้ถูกต้องหรือสอดคล้องกับธรรมชาติไหม  การดำเนินชีวิตที่แท้จริงต้องรู้จักเอาธรรมชาติมาใช้ให้ถูกต้อง แต่ถึงคราวต้องปล่อยวางให้กับผู้อื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่จับจองไว้เป็นของตัวเองเพียงคนเดียว
หลายต่อหลายคนบำเพ็ญมาได้ระดับหนึ่ง มักจะงงว่าเราบำเพ็ญเราได้อะไรบ้าง เราบำเพ็ญจิตไม่เห็นสว่างเลย ความเป็นพุทธะไม่เห็นมี ต้องถามท่านว่าท่านลงแรงที่จิตใจแล้วหรือยัง หลายต่อหลายคนบำเพ็ญธรรมเพียงภายนอก ช่วยคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ขัดเกลาคนอื่น แต่ไม่ได้ขัดเกลาตัวเองใช่หรือเปล่า (เปล่า)  เห็นคนอื่นผิดๆ ๆ ตัวเองถูกๆ ๆ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่าลงแรงที่ตัวเองหรือ (ไม่ใช่)  การลงแรงที่ตัวเองนั่นก็คือไม่มีเวลาเห็นผิดของคนอื่น แต่มีเวลามองเห็นแต่ความผิดของตัวเอง ไม่มีเวลาที่จะไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มีแต่เวลาที่จะช่วยคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือจิตใจแห่งการเป็นพุทธะ เป็นพุทธะดีกว่าเป็นมนุษย์อีก มนุษย์วันนี้ช้ำพรุ่งนี้ชอก วันนี้ดีใจพรุ่งนี้ร้องไห้ วันนี้สมหวังพรุ่งนี้ผิดหวัง แต่เป็นพุทธะสมหวังผิดหวังอะไรไม่มีแล้ว ทุกข์สุขคืออะไรไม่รู้จัก สามารถยืนอยู่ด้วยความอิสระและเป็นสุข แล้วก็สามารถนำความสุขนี้ส่งมอบให้กับคนที่เป็นทุกข์ได้ด้วยจิตใจที่เมตตาโอบอ้อมอารี เราอยากชวนให้ท่านมาอยู่และสัมผัสตรงจุด ๆ นี้ แต่หลายต่อหลายคน มักติดอัตตาตัวตน มีความเคยชินมีความเป็นตัวของตัวเองที่แก้ไขไม่ได้สักทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่จริงๆ ลองพยายามสนใจความเคยชินของตัวเอง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดช่วยเหลือคนให้มากที่สุดอย่างไม่มีตัวตนเอง แล้วบางครั้งท่านจะได้พบว่าพุทธะไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่ที่ตัวท่านเองนั้นแหล่ะ ความสุขไม่ใช่การดิ้นรนแสวงหาอย่างวุ่นวายเลย แต่เป็นการนั่งอยู่เฉยๆ ก็เป็นสุข เคยลิ้มรสตรงนี้ไหม เราอยากชวนท่านไปลิ้มรสสุขแห่งการมีธรรมอาบอิ่มใจ สุขแห่งการได้รับถึงพระธรรมอันแท้จริง เป็นสุขที่เราได้รับแล้วไปอยู่กับใครก็มีความสุข เป็นสุขที่พอเราไปอยู่ในบ้าน บ้านเราก็สว่างไสวยินดีปรีดา ไปอยู่ในสังคมความมืดมนก็หายไปกลายเป็นความสว่างไสวแจ่มกระจ่างกลางจิตใจ
(พระนาจาเมตตาแจกลูกอมให้กับนักเรียนในชั้น)
ท่านจินถง การเป็นคนดีนั้นไม่ยากเย็น การเป็นคนดีท่านอย่าคิดว่าทำยาก การเป็นคนดีทำง่าย บางคนนั้นอยากจะเป็นคนดี แต่ว่าชอบที่จะพูดจาโต้แย้งขัดแย้งกับคนอื่น เพราะคิดว่าวิธีนั้นจะทำให้ตนเองนั้นพ้นผิดไม่แปดเปื้อน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เหมือนท่านกำลังเอาสีละเลงทาให้มันเลอะเทอะเข้าไปใหญ่ คนดีจริงๆ นั้นไม่นิยมในการที่จะพูดเพื่อที่จะทำให้ตนนั้นพ้นผิด แต่อาศัยเวลานั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ ท่านต้องมีความอดทนและก็ยอม ถ้าหากว่าท่านมั่นใจว่าตัวท่านถูก คนไม่ดีนั้นชอบที่จะพูดโต้แย้งโต้เถียงเพื่อให้เรานั้นได้รับซึ่งคำว่า “เขาทำถูกต้อง” คนไม่ดีนั้นชอบโต้แย้งจึงเป็นการตรงกันข้ามกับคนที่ดี เพราะคนที่ดีนั้นไม่ถนัดในการโต้แย้ง หากว่าท่านอยากเป็นคนที่ดีกว่านี้ หากว่าท่าน
รู้สึกว่าใครก็มองว่าท่านผิด ก็ขอให้ท่านรู้ที่จะลองกลับตัวเป็นคนใหม่ เป็นคนที่พูดน้อยลง ต่างคนต่างพูดน้อยลง ต่างคนต่างไม่พูด ไม่พูดความผิดของคนอื่น ในที่สุดแล้วเรื่องราวก็สงบลง ปัญหาคลายออกมาเองโดยที่ท่านนั้นยังไม่ได้คิดที่จะหาวิธีแก้เลยด้วยซ้ำ ท่านเข้าใจที่เราพูดไหม (เข้าใจ)  ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเห็นคนอื่นผิด
ส่วนท่านที่มาเป็นนักเรียนในวันนี้ เราก็อยากให้ท่านรู้ว่าเรามาที่นี่เราเห็นแต่ละคนตาลอย คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เราจะบอกท่านว่าชีวิตของคนเป็นชีวิตที่มีค่าที่สุด ถ้าหากท่านไม่รู้ว่าตัวท่านเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแล้วก็ปล่อยชีวิตไปวันๆ นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด ขนาดเราเป็นพุทธะ ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์เหมือนพวกท่าน แล้วพวกท่านมีร่างกายเป็นมนุษย์ อยากจะช่วยใครก็ทำได้ อยากจะวิ่งไปไหนก็ทำได้ แล้วท่านคิดว่าท่านจะแพ้พุทธะอย่างเราเชียวหรือ เราอยากจะบอกว่า ถ้าท่านไม่รู้ว่าตัวเองควรที่จะทำอะไรในตอนนี้ ก็แสดงว่าตัวท่านนั้นเป็นโรคอย่างหนึ่ง คือโรคปล่อยชีวิตไม่มีค่า ท่านต้องรู้จักสร้างชีวิตของท่านให้มีค่ามากขึ้น แล้วก็ต้องมีค่ามากขึ้นทุกวันด้วย ไม่ใช่มีค่าเป็นบางครั้ง ไม่ใช่มีค่าเป็นบางเวลา 3 วัน 5 วัน ถึงจะทำเรื่องอย่างหนึ่งให้ชีวิตของตัวเองมีค่าขึ้นมาได้ อย่างนี้ก็ไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่ ต้องทำชีวิตของตนเองให้มีค่าทุกๆ วันทุกๆ เวลา รู้เสมอว่าตนเองทำอะไร เป็นอะไร คุณค่าของชีวิตนั้นจะเกิดขึ้นมาตามหลังท่านเอง ท่านจะได้ไม่ต้องมานั่งตาลอยอยู่ตรงนี้ ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านจินถง พรุ่งนี้ท่านจะมาอีกหรือไม่ ถึงบางคนไม่มาไม่ได้เพราะไปค้างบ้านญาติธรรมไว้ แต่ก็มาด้วยความเต็มใจดีหรือไม่ (ดี)  จิตใจเต็มๆ ก็มีศรัทธา จิตใจไม่เต็มศรัทธาก็หายไปหมด เรามาจากพระโพธิสัตว์กวนอิน เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าเป็นผู้หญิงนั้นสามารถบำเพ็ญบรรลุได้ แม้ว่าอุปสรรคมากหน่อยก็ไม่เป็นไร อายุแก่แล้วก็ไม่เป็นไร ก็ขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญจริง ทุกท่านก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน  การที่คนๆ นั้นจะบรรลุธรรม ไม่ได้มองที่อายุมากอายุน้อย มีความรู้หรือไม่มีความรู้ เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาดนั้นไม่เป็นไร ขอให้ท่านนั้นมีความตั้งใจบำเพ็ญ เพราะว่าทุกท่านนั้นมีจิตของพุทธะ ท่านก็แค่ไปขัดๆ ให้จิตของพุทธะนั้นสว่างขึ้นมา ก็เป็นอันสำเร็จได้ แต่ว่าตอนนี้ถ้าไปขัดต้องออกแรงเยอะทีเดียว เพราะว่าท่านเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งหลายปี หลายชาติแล้ว
พระนาจา การที่เรามีโอกาสได้ผูกบุญอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องที่ดี ท่านรู้สึกไหมว่าทำไมเราต้องมาเจอคนนี้ ทำไมคนนี้เราถึงไม่เจอ ล้วนแต่มีบุญและกรรมร่วมกันใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามีโอกาสเจอท่าน เราจึงอยากผูกบุญกับท่านให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าบุญนี้สามารถส่งให้ท่านไปอยู่เบื้องบนกับเราได้ เราก็จะพูดให้มากที่สุด เวลาท่านรู้จักใครคนหนึ่ง หากไม่รู้จักข้อเสียของเขา อะไรที่ดีๆ ท่านก็อยากที่จะแสดงออกมาให้เขาได้รู้มากที่สุด นี่คือจิตใจพื้นฐานที่ดีของมนุษย์ทุกๆ คนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเจอกันแรกๆ อะไรที่ดีท่านจะต้องทำให้ดีที่สุด ระวังให้มากที่สุด ไม่ให้เขาเห็นส่วนที่ร้ายของเราเลยใช่หรือเปล่า  ทำไมไม่รักษาใจนี้แล้วทำให้อยู่ได้ตลอดล่ะ  รู้จักควบคุมใจ รู้จักควบคุมตน อยู่กับใครก็ระมัดระวังมากที่สุด ออกไปไหนก็ระมัดระวังตัวเองมากที่สุด  ไม่เผลอใจ ไม่คิดสั้นๆ ไม่เอาแต่โลภ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่หลงจนแยกไม่ออก หากเมื่อไรที่มนุษย์เราตัดสามอย่างนี้ หรือเข้าใจสามอย่างนี้ได้อย่างแจ่มชัด โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ทำให้มนุษย์ต้องทุกข์อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราพอตามใจตัวเองมาก ไม่ได้ดั่งใจก็โกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  พอหลงเป็นอย่างไร เวลาชอบเขามากๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตาก็หลง เวลาเห็นเขาดีมากๆ ไม่เคยเห็นความไม่ดีเลยก็หลง ฉะนั้นขอให้ความ
เข้าใจในโลภ โกรธ หลง จงเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
ท่านจินถง เขามาจากข้างกายของพระอาจารย์ท่าน ส่วนเราก็มาจากข้างกายของพระโพธิสัตว์กวนอิน ล้วนแล้วแต่เป็นเซียน แล้วท่านอยากจะไปอยู่กับพระกวนอินหรือกับพระอาจารย์ท่านก็เลือกเอานะ
พระนาจา เป็นมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วหาได้สุขจริงไม่ สู้เป็นพุทธะดีกว่า การฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะอาจจะยากลำบากหน่อย แต่ขอให้อดทน ขัดเกลาตัวเองให้มากๆ อะไรที่ไม่ดีให้ตัดทิ้งเสีย แล้วกล้ายอมรับความจริง เวลามีคนมาชี้หน้าว่าเราก็อย่าไปโกรธเขา จงยิ้มแล้วขอบคุณที่เขามาช่วยว่าเรา ทำให้เราได้เห็น
ตัวเองยิ่งขึ้น
ท่านจินถง เราไปแล้วจะคิดถึงเราไหม อย่าได้มองเราด้วยสายตาที่เป็นคนขี้สงสัย แล้วเวลาเราพูดอะไรไปเราบอกอะไรไปท่านก็พยายามทำให้เต็มที่ ทำได้บ้างทำไม่ได้บ้าง ก็ขอให้ทำเท่านั้นเอง ถ้าหากวันนี้เริ่มทำวันหน้าก็พยายามขึ้นเรื่อยๆ ดีหรือไม่ดี (ดี)  อย่าแน่แค่วันนี้แล้วพอพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ไม่แน่แล้วนะ
พระนาจา อย่าคิดว่าเราสองคนมาเล่นละครตบตาท่านเลย การบำเพ็ญธรรมทำให้ได้นะ ไม่ใช่เรื่องยากเลย ทุกคนทำได้ ทำอย่างไรดีถึงจะชวนท่านหลุดพ้นจากตัวเองเป็นพุทธะได้ การเป็นพุทธะไม่ใช่เรื่องยาก ทุกๆ ท่านเป็นได้แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ เรื่องบางเรื่องท่านเคยเจอแต่คิดว่าทำไม่ได้ แต่พอลองไปทำก็ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านจะได้รู้ว่าการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากเลย ใครๆ ก็ทำได้ เราเป็นเด็กเรายังกลับคืนไปได้เลย แล้วท่านล่ะทำไมถึงจะกลับคืนไม่ได้ สมัยก่อนยังฝึกยากกว่าสมัยนี้ สมัยก่อนเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราต้องออกจากบ้านแล้วก็มาฝึกฝนบำเพ็ญตน แต่ก่อนเราเป็นเด็กเกเรเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้ถ้าเราอยากฝึกฝนเป็นพุทธะเราต้องตัดความเกเรเอาแต่ใจทิ้ง
ยิ่งพูดเยอะเดี๋ยวท่านก็จะจำไม่ได้สักอย่างหนึ่ง สำคัญก็คือว่าเรามาศึกษาดูว่าธรรมะนี้เป็นอย่างไร อย่ามองเพียงเปลือกนอก แล้วเห็นว่าไม่เอาแล้วไม่ดีแล้วก็โยนทิ้ง อย่างนี้น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรานั้นมีรากฐานที่ประเสริฐอยู่แล้ว จงพยายามรักษารากฐานที่ประเสริฐอันนี้ให้เจริญงอกงามเป็นสิ่งที่ดีเป็นจิตใจที่ดี อย่าได้ตัดรากฐานอันดีงามนั้น แล้วไปเลือกเอาสิ่งที่ชั่วร้ายมาทำแทน ทำได้ไหม (ได้)  ไปแล้วนะ
ท่านจินถง บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ อย่าบำเพ็ญไปทะเลาะกันไป อย่าบำเพ็ญไปหมุนซ้ายหมุนขวาหมุนหน้าหมุนหลุดออกไปเลยอย่างนี้ก็ลำบากนะ คนที่อดทนก็ไม่ใช้แค่ความอดทน คนที่อดทนยังก็ต้องใช้คุณธรรม ต้องใช้ความดีเอามาชนะใจคนอื่น ยังต้องเสมอต้นเสมอปลาย ขอให้ท่านเข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นหลักธรรมนั้นให้มากๆ อย่าไปใช้ความรู้สึกมาก ฟ้าเบื้องบนนั้นถึงเวลาก็ต้องมืด ถึงเวลาก็ต้องสว่าง ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่ามนุษย์นั้นจะต้องทำอะไร เจ็บป่วยอยู่ไหม บ้านนี้ไฟดับไหม ท่านก็ไม่ได้เป็นห่วงอย่างนั้น ท่านเองก็เหมือนกัน ขอให้มีความรู้สึกที่เป็นกลาง ถึงเวลาทำอะไร ควรทำอะไรก็ไปทำ แม้ลำบากหน่อย แต่ลำบากวันนี้ไปสุขวันหน้าก็คือความสุขที่แท้จริง เราเห็นพวกท่านบำเพ็ญแล้ว
รู้สึกลำบาก แต่อยากจะบอกว่าพวกท่านมีโอกาสดีที่สุดเลย ดีกว่าเราอีกนะ เดี๋ยวพอเราไปแล้วก่อนเราไปให้ทุกท่านนั้นส่งยิ้มให้พวกเราเป็นการลาจากดีหรือเปล่า (ดี)  วันหลังมีเวลาเรามาคุยกันไหมดีหรือเปล่า 
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ไปไหนดี” เพื่อส่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์)


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศรัทธาด้วยสติกันดีหรือไม่ มีหัวใจพ่ายไม่เป็นดีหรือเปล่า
มีความดีพอให้ร้ายลดบรรเทา ปัญญาเชาวน์หรือจะสู้ปัญญาธรรม
เราคือ
จี้กงอนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงตามหาผู้รู้ตื่น   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคน เข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือเปล่า

ไม่แน่เที่ยงเรื่องโลกายอกย้อน ไม่นิ่งนอนก้าวได้เร่งก้าว
ชีพยังแปรเคยแก้กลายเก่า จนตาเข้าแล้วอย่ายอมปราชัย
นิสัยเพราะเปลี่ยนยังคนใหม่สู่ ฟ้ายังดูรู้จักระวังไว้
เกิดเป็นคนแสนประเสริฐกว่าทั้งหลาย อนุสัยคนวนเวียนเพียรไม่ออม
ปรารถนาเพียรยิ่งนานศิษย์มั่นคง ไม่แจ้งความจึงหลงสรรเสริญล้อม
ไม่เห็นลดห้ามกิเลสแม้อ้อม กำลังใจหมดยอมท้อวัฏฏะหมุน
ศึกษาให้ได้มาซึ่งความเข้าใจ พูดต้องปดคนใจย่อมว้าวุ่น
กังวลใจแม้เอ่ยคำแสนการุณย์ คดข้องอกระดูกพรุนยากบำเพ็ญ
ศิษย์ยาอาจไม่คิดบำเพ็ญก็ได้ ทว่าใจห่วงใยไม่อาจเว้น
ไม่อาจอดใจเรียกศิษย์บำเพ็ญ ขอศิษย์เห็นจริงตามอาจารย์มา
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ร้องเพลงก็ดังอยู่ แต่จิตใจนั้นไม่ได้ดังดั่งเสียง จิตใจนั้นมีแต่เสียงค่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้แสดงว่ามองจากภายนอกของศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้เลยหรือเปล่า  มีคำพูดของคนบอกว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ แล้วอาจารย์มองหน้าศิษย์จะรู้ใจศิษย์ได้ดีไหม ใจของศิษย์เป็นใจที่ดีหรือไม่ (ดี)  ตัวเองว่าใจของตัวเองดีแล้วคิดว่าใจของผู้อื่นดีหรือไม่ (ดี)  โดยทั่วๆ ไปที่เราเห็นสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ เรา มีแต่คนดีมากมาย แต่ในขณะเดียวกันเราก็มองคนที่ดีนั้นเป็นคนที่ไม่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเขาจะทำความผิดศิษย์ก็พร้อมที่จะให้อภัยกับเขานั้นหรือ เมื่อเจอคนรอบข้างของเรา ญาติพี่น้องของเราทำผิดนั้น ก็พร้อมที่จะให้อภัยเขา ใช่หรือไม่  (ใช่)
การอภัยจริงๆ ควรเป็นการอภัยที่ไม่มีเสียงตัดพ้อต่อว่าเลยอย่างนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วควรจะมีอะไรบ้าง สิ่งที่ควรจะมีก็คือการย้อนมองส่องตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในขณะที่เราคิดว่าเขาทำผิดเราก็ต้องมองตัวเองด้วย ในยามที่เราโมโหโกรธไม่พอใจ ก็ต้องมามองย้อนส่องตนเองด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากระจก กระจกมีไว้ส่องหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่)  กระจกส่องถึงใจได้หรือเปล่า แล้วศิษย์คิดว่าเวลาที่ศิษย์โกรธมากๆ ไปมองกระจกแล้วกล้าทำหน้าโกรธไหม เพราะอะไร (เห็นตัวเองไม่สวย)  เวลาที่เราโกรธนั้นเราไปมองกระจก หน้าของเราก็จะกลายเป็นปิศาจร้ายมารร้าย  แม้ว่ากระจกนั้นไม่สามารถส่องเห็นจิตใจของคนอื่น แต่กระจกนั้นก็ช่วยเตือนสติเราได้ดีเหมือนกัน แล้วถ้าไม่มีกระจก เราจะใช้อะไรส่องแทนกระจก (จิตสำนึก, ปัญญา, ศรัทธา, ธรรมะ)  มนุษย์ชอบพูดอย่างนี้ แต่ถึงเวลาจริงๆ เลือดเข้าตา ความโกรธเข้าหาแล้วเป็นอย่างไร ใช้แต่กำลัง โดยเฉพาะผู้ชายชอบใช้กำลังมากกว่าสมองใช่หรือเปล่า จริงๆ แล้วสมองก็มีกันอยู่ทุกคน สมองมีนิดเดียวแต่กำลังมีเยอะจึงใช้แต่กำลัง แต่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ถึงเวลาแล้วคนอื่นก็ยังมีกำลังมากกว่าเรา เราชกเขาหนึ่งหมัดได้ เขาก็ชกเรากลับมาหนึ่งหมัดได้เท่ากันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราตาเขียวเขาก็ตาเขียว เราปากแตกเขาก็ปากแตก  แต่ถ้าใช้สมองนี่ ตาเขียวปากแตกไหม (ไม่)  อะไรแตก ก็ต้องดูว่าสิ่งนั้นใช้สมองไปในทางที่ถูกหรือไม่ คนที่คิดว่าคนอื่นยังมีจุดบกพร่องเยอะ  คนที่คิดแต่จะเมตตาเท่ากับจะเป็นการปิดจุดบกพร่องของตนเองไปเรื่อยๆ  ระหว่างคนสองคน สามคน สี่คน คนที่ห้า การแข่งขันยิ่งมาก เวลาจะแข่งขันให้สูงที่สุด ถามว่าใครจะยอมให้ศิษย์เป็นคนที่สูงที่สุด ใครจะยอมให้ศิษย์ก้าวไปให้สูงที่สุด มีแต่ว่าเขาคิดว่าเขาต้องสูงที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการที่เรามาบำเพ็ญธรรมะนั้น ไม่เหมือนกับทางโลกก็อย่างนี้ การบำเพ็ญธรรมแตกต่างกับทางโลก เป็นการย้อนมองเข้าหาตนเอง ถามว่าถ้าไม่มีกระจกจะใช้อะไรละ ใช้ใจของเรา ใจของเราก็ไม่เที่ยง  ใช้สมอง สมองของเราก็ลำเอียง  ใช้ตาของเราตาของเราก็เข  ใช้ปัญญา ปัญญาของเราก็บอดๆ   จึงบอกว่าให้อภัยตัวเองไม่ได้ ในยามที่เราจะติตัวเราเองนั้นควรให้ใครติ ในยามที่อยากให้ตัวเองยืนให้ตรง ในเมื่อตัวเองมองไม่เห็นตัวเองก็ต้องให้ผู้อื่นติ  เวลามีคนมาติเตือนเรา เราจะทำอย่างไร เราต้องรู้จักคำว่า “รับฟัง”  คำๆ นี้ พูดง่าย ฟังง่าย มีแค่คำว่า “รับ” รับแล้วฟัง มีอยู่แค่นี้เอง รับเข้ามา ฟังให้ดีใช่หรือเปล่า แล้วคนอื่นนั้นแหละจะเป็นกระจกให้เรา เป็นกระจกที่ไม่ใช่ที่ศิษย์ส่องหน้า แต่กระจกชนิดนี้ส่องได้ถึงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แน่นอนคนทุกคนนั้นมีจิตลำเอียงได้ชั่วขณะ ทุกคนมีใจที่ดีเก็บเอาไว้ แต่ว่าเราต้องรู้จักที่จะฟังก่อน ก่อนที่จะคิดว่าเขาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ติแล้วไม่ถูก เมื่อคิดเช่นนี้ คำว่าอภัยนั้นทำง่ายหรือไม่ (ง่าย)  อภัยได้เพราะเราย้อนมองส่องตน อภัยไม่ได้เพราะเรามองไม่เห็นตน
ปัญญาเชาวน์กับปัญญาธรรม แตกต่างกันอย่างไร (ปัญญาเชาวน์คือปัญญาที่ใช้ไหวพริบ แต่ปัญญาธรรมมาจากจิตที่บริสุทธิ์)  เรามีจิตที่บริสุทธิ์ไหม (มี)  ตลอดเวลาหรือเปล่า (บางครั้งอาจจะไม่มี)  ทุกๆ คนนั้นก็เป็น ไม่ใช่ว่าศิษย์ไม่มีจิตใจที่ไม่ดี ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ แต่คอยจะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่เรื่อยๆ และก็โผล่ออกมาน้อยครั้งเหลือเกินใช่หรือเปล่า เพราะอะไรทำไมจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ของเราจึงอยู่ได้ไม่นาน (เพราะไม่เที่ยง ธรรมะไม่อยู่ในใจ,กิเลส, เพราะเป็นปุถุชน)
ชั้นนี้ลุกขึ้นมาตอบเป็นคู่ๆ นะ แสดงว่ามีคู่ต่อสู้ใช่หรือเปล่า แข่งกับเขาไหม ถ้ายังแข่งจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่ได้ สองคนวิ่งแข่งกันมา มีคนหนึ่งเป็นคนชนะ อีกคนหนึ่งก็ต้องเป็นคนแพ้  วันนี้เราชนะได้ วันหน้าก็แพ้ได้  ถ้าหากว่าเราแพ้มากหน่อย ถ้าหากว่าเราจนหน่อย ถูกเอาเปรียบ เป็นไรหรือเปล่า  ถูกตำหนิครหาต่อว่าโดยที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นทนได้ไหม แต่ศิษย์มาพูดว่าไม่ผิดนั้นเกิดขึ้นกี่วันครั้ง วันละครั้ง สัปดาห์ละครั้งมากไปไหม  แสดงว่าทุกคนก็จะต้องโดนคนอื่นมองในแง่ลบเสมอๆ ไม่มีใครหนีพ้น  ฉะนั้นถ้าหากว่าอยากจะเป็นคนบำเพ็ญ ก็ต้องมาที่นี่ ก็เพียงแค่ย้อนดูตัวเองว่า ตัวเองนั้นไปโทษใครว่าเขาผิดโดยที่เขาไม่ผิดหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราโดนคนอื่นว่า แต่เราไม่ผิด แสดงว่าเราต้องคิดว่าเป็นกรรมตามสนองเรา แล้วแต่ละคนก็เคยว่าคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครที่ไม่เคยว่าใครเลยมีหรือเปล่า (ไม่มี)  แม้จะอายุน้อยหรือมากก็มีทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นเวลาเราโดนผู้อื่นว่า ก็ต้องสงสัยว่ากรรมตามสนองล่ะ เป็นความคิดที่ดีไหม
ถ้าหากว่าเราไปได้ยินกับหูแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเผอิญไปได้ยินจะๆ โดยที่เรายืนอยู่ข้างหลังแต่เขามองไม่เห็น เขานินทากันสนุกปาก ผู้ชายกลัวหรือไม่เรื่องนี้ ถ้าหากศิษย์เข้าไปต่อว่าเขาเขาจะสำนึกไหม เราเดินเข้าไปแก้ตัวต่อหน้าเขาสำนึกหรือไม่สำนึก (ไม่สำนึก)  แต่ถ้าเราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็เดินผ่านไป เขาสำนึกหรือไม่สำนึก ทำวิธีไหนดีกว่า  การที่เรานั้นถึงแม้ว่าจะได้ยินมากับหูแต่เรานั้นเอาชนะด้วยการเดินเข้าไปโต้เถียงนั้นก็ไม่ได้ผลใช่หรือเปล่า (ใช่)  สู้เราทำเป็นเฉยๆ ไม่สร้างกรรมปาก ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่น แล้วแถมยังมีผลดีต่อตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์มาก็ให้วิธีการที่ดีกับศิษย์แล้วหวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นจะเอาไปใช้ ได้หรือไม่ (ได้)  แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  ทำได้ตลอดชีวิตเลยหรือไม่ สิ่งใดที่ทำได้ตลอดชีวิตก็เรียกเป็นปณิธานได้ นี่คือปณิธานการไม่สร้างกรรมปากใช่หรือเปล่า (ใช่)  รวมๆ อยู่ในข้อทานเจตลอดชีวิตหรือไม่ (รวม)
เมื่อสักครู่ร้องๆ เรียกๆ อาจารย์ แต่ว่าเรียกเสียงออกมาจากปากไม่ใช่ออกมาจากใจ ก็อยากจะดูว่าร้องอีกสักเท่าไหร่ ก็ร้องแค่สองเพลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  พายเรือหนึ่งเพลง ร้องให้อาจารย์มาหนึ่งเพลงก็เลิกแล้ว อย่างนี้อาจารย์ตั้งใจที่จะไม่มา ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  อาจารย์มาแล้วก็มีความศรัทธาให้มากๆ ถ้าไม่ศรัทธาถึงเจอหน้าอาจารย์ก็เหมือนไม่เจอ ถึงแม้อาจารย์สอนไปแต่ทำไม่ได้ก็คือไม่ได้รับการอบรมจากอาจารย์
ให้อาจารย์ถามว่าอย่างไรดี อาจารย์มีตั้งสิบคำถามอยากจะถาม แต่เลือกได้แค่คำถามเดียวใช่หรือเปล่า อาจารย์จะถามศิษย์ว่าคนที่เข้าใจธรรมะมากๆ กับคนที่เข้าใจธรรมะน้อยๆ แตกต่างกันอย่างไร คนไหนที่สองวันนี้ไม่เคยลุกขึ้นตอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย วันนี้ก็ลุกขึ้นตอบอาจารย์ดีหรือไม่ คนมากๆ หาคนตอบไม่ได้สักคน สงสัยจะฟังธรรมะเสียเปล่าใช่หรือเปล่า กลัวอาจารย์อย่างนี้ไม่ต้องกลับบ้านดีกว่านะเดี๋ยวกลับไปก็เจออาจารย์ทุกวัน คนที่เข้าใจธรรมะมากๆ ต่างกับคนที่เข้าใจธรรมะน้อยๆ อย่างไร (จะมีสติในการยั้งคิดมากกว่า, สามารถนำธรรมะมาปฏิบัติได้, )
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้นที่ตอบคำถาม)
มนุษย์มักจะกลัวไม่ได้ของใช่หรือเปล่า เอาแอปเปิลสีแดงแลกหมากสีแดงดีไหม (อดไม่ได้)  ไม่ลองอดดูเหรอ อดไม่ได้แอปเปิลก็เอาไม่ได้
เปลี่ยนคนเขียนโอวาทบนกระดานดีไหม เห็นด้วยไหมศิษย์รักทั้งหลาย ไม่ดีหรอกนะ ทำไมอาจารย์ถึงถามศิษย์ต่อหน้าศิษย์จำนวนมากๆ ว่าเปลี่ยนคนเขียนดีไหม เพราะว่าในงานธรรมะนั้นก็มีงานเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเต็มไปหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนมีโอกาสพลาดไหม (มี)  คนที่ชำนาญแล้วก็พลาดเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  วันหนึ่งความพลาดนั้นก็เวียนมาถึงใคร (ตัวเราเอง)  ตัวเราเอง ถ้าหากเราคิดว่าคนๆ นั้นทำไม่ดีแล้วอยากจะเปลี่ยนเขาทิ้งโดยทันที ยุติธรรมหรือเปล่า (ไม่ยุติธรรม)  ทุกอย่างนั้นต้องใช้เวลา และทุกอย่างนั้นต้องใช้ความสามารถ ทุกอย่างต้องใช้ประสบการณ์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีก็มีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากหูไม่ดี เป็นอย่างไร ความผิดพลาดนี้มีทุกคนไหม (มี)  มีทุกคนเลยหรือ อาจารย์นึกว่ามีเฉพาะคนที่เขียน บางทีก็มีความผิดพลาดจากมือสั่นไปหน่อย มีทุกคนหรือเปล่า (มี)  มีทุกคนเลยหรือ อาจารย์นึกว่ามีเฉพาะคนข้างหน้า บางทีก็มีความผิดพลาดจากใส่แว่นแล้วบังทัศนียภาพ มีทุกคนไหม (ไม่มี)  คนที่ไม่ได้ใส่แว่นก็ไม่ได้หมายความว่าสายตาไม่สั้น ไม่ยาว ไม่เอียงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพียงแต่ขี้เกียจใส่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนที่สายตาสั้น สายตายาว สายตาเข ยิ่งไม่ยอมใส่แว่นยิ่งผิดพลาดมากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจึงไม่เท่ากับการที่เรานั้นต้องมารู้จักตัวเองว่าเรานั้นเป็นอย่างไร เรานั้นผิดพลาดตรงไหน เรานั้นควรจะแก้ไข รอให้คนอื่นเตือนบางทีเขาอาจจะเกรงใจไม่กล้าเตือนเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ไม่สู้ตัวเราเตือนตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางทีเราก็มีความผิดพลาดอันเดียวกัน บางทีก็มีเรื่องที่เราคาดไม่ถึง เลยไม่รู้ว่าเขาผิดพลาดมาจากสาเหตุอะไรรู้แต่ว่าก็จบลงด้วยความผิดพลาดนั้นแหละ แต่ว่าจะบอกว่าหน้าที่ทุกหน้าที่นั้นทุกคนนั้นก็เคยทำผิดพลาด เพียงแต่วันดีคืนดีศิษย์อาจจะมีโชค วันนั้นจิตใจอาจจะเบิกบานทำเรื่องอะไรก็จะดูดีไปหมด แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าศิษย์นั้นจะเบิกบานทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าโลกนี้ชื่อ ทะเลทุกข์ จะให้หนีให้พ้นอย่างไรก็มีทุกข์ แต่อยากพ้นอย่างไรก็ยังมีทุกข์ นอกเหนือเสียจากว่าศิษย์นั้นจะอยู่เหนือทะเลทุกข์จึงพ้นทุกข์ได้ ในเมื่อเราทุกคนนั้นยังทุกข์เราก็ต้องมาช่วยกันเห็นใจกันใช่หรือไม่ (ใช่)  มาร่วมเห็นใจกัน ในเมื่อเรานั้นต่างเป็นคนเหมือนกัน เราลองมองดูซิว่าคนที่เราคิดว่าเราอยู่กับเขาไม่ได้เขานั้นก็เป็นคนเช่นเดียวกัน มีจิตใจเช่นเดียวกันจิตใจปกติดี จิตใจว้าวุ่น จิตใจฟุ้งซ่าน จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ จิตใจต่างๆ นานานั้นก็เป็นจิตใจของมนุษย์ทั้งนั้น หากว่าศิษย์สามารถทำให้ทุกๆ อย่างนั้นรวมตัวลงตัวกันได้โดยศิษย์เป็นตัวเชื่อม ศิษย์คิดว่าอันนั้นเวลานั้นศิษย์เป็นผู้มีเกียรติไหม (มีเกียรติ)  ในทางกลับกันถ้าหากว่าศิษย์นั้นเป็นผู้ที่เป็นตัวเชื่อมอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ แต่ทำให้เหตุการณ์นั้นๆ ยิ่งเลวร้ายลงไปแล้วก็แตกแยกมากขึ้น ศิษย์คิดว่าศิษย์นั้นมีกรรมไหม (มีกรรม)  แล้วศิษย์นั้นจะเลือกมีเกียรติหรือมีกรรม (มีเกียรติ)  อยากจะเลือกเป็นคนที่มีเกียรติ เกียรตินี้ไม่ได้ให้ผู้อื่นมายกย่อง แต่เกียรตินี้เป็นความสบายใจที่ผู้อื่นยกย่องนั้น เมื่อเขาชมเราได้วันหนึ่งเขาก็ว่าเราได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นเกียรติที่ตัวเองนั้นได้หามาและเข้าใจดีถึงเกียรตินั้นๆ แน่นอนเราย่อมรู้ตัวเราเองดี และเราย่อมภาคภูมิในสิ่งที่เรากำลังกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นตำหนิ ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นว่า แต่เรานั้นแหละจะเป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง แม้เขาจะทำผิด แต่หากให้โอกาสเขาอีกนิด ๆ หน่อย ๆ เขาก็ทำถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยากให้คนอื่นให้โอกาสเราไหม (อยาก)  อยากให้คนอื่นให้โอกาสเรา เราก็ต้องให้โอกาสคนอื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เขียนโอวาท)
วันนี้มีเกียรตินะให้อาจารย์ยืมมาใช้ในการอธิบายธรรมะหัวข้อหนึ่งนะ

ที่อาจารย์ถามว่าคนที่เข้าใจธรรมะมากกับคนที่เข้าใจธรรมะน้อยนั้นต่างกันอย่างไร คำถามของอาจารย์นั้นถามศิษย์ว่าศิษย์เข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือเปล่า หมายความว่าอาจารย์ให้ศิษย์นั้นย้อนมองดูตัวเองว่าสองวันที่ผ่านมานี้ จากความมึนงงของเราก็ดี จากความไม่ค่อยเข้าใจ จากความไม่ค่อยแน่ใจของเรานั้นได้กระจ่างขึ้นบ้างหรือยัง การเข้าใจธรรมะนั้นศิษย์อาจจะไม่ต้องเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มานั้นเป็นจริงหรือเปล่า แต่ให้ศิษย์ฟังว่าธรรมะที่ศิษย์ได้ยินอยู่นี้ศิษย์นั้นเข้าใจมากขึ้นเพียงใด ทุกๆ คนนั้นต้องมีความสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำทุกเรื่องก็ต้องมีความสงสัยทั้งนั้น ถ้าหากว่าไม่สงสัยก็ไม่สามารถจะก้าวหน้าพัฒนาขึ้นได้ แต่ต้องสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเท่านั้น
การเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าการเป็นคนทำให้ศิษย์นั้นมีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรม คนที่เข้าใจธรรมะมากและคนที่เข้าใจธรรมะน้อยนั้นต่างกันอยู่นิดเดียว คือคนหนึ่งปฏิบัติได้มากขึ้นกับอีกคนหนึ่งยังปฏิบัติได้เท่าเดิม แม้ว่าศิษย์จะเข้าใจมากแต่หากว่าศิษย์นั้นไม่ปฏิบัติ ดูในทางปฏิบัติน้อยนิดเหลือเกินคนๆ นี้ จะให้คนอื่นสรุปว่าคนนั้นเข้าใจมากได้หรือไม่ (ไม่ได้)  นอกจากว่าศิษย์นั้นจะลงมือทำให้คนอื่นเห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟ้าดินนั้นแม้จะรู้ว่าศิษย์นั้นมีสภาวะธรรม มีสภาวะจิตที่สูงส่งเพียงใด แต่หากศิษย์นั้นสูงส่งอยู่คนเดียว สูงส่งอยู่คนเดียวนั้นมีประโยชน์หรือไม่ (ไม่มี)  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นสูงส่งแล้วรู้จักช่วยคน มีประโยชน์หรือไม่ (มี)
บางคนบอกว่าธรรมะหรือ ไม่มีอะไร พื้นๆ ธรรมดาๆ แต่ศิษย์มองดูอีกทีสิว่าคนที่มาบำเพ็ญธรรมในอนุตตรธรรม คนนั้นลงแรงจริง แม้ว่าศิษย์ทั้งหลายนี้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่เข้าใจธรรมะ รู้ธรรมะน้อยกว่าคนที่ศิษย์คิดว่าเขานั้นรู้ธรรมะมาก แต่ว่าอาจารย์บอกได้เลยว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นย่อมดีกว่า ตรงที่ศิษย์เข้าใจน้อยแต่ศิษย์นั้นพยายามปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เข้าใจน้อยแต่ปฏิบัติมาก กับคนที่เข้าใจมากแต่ไม่ปฏิบัติอะไรเลยศิษย์เลือกแบบไหน เข้าใจน้อยแต่ปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นั่นก็เป็นวิธีการสร้างกุศลให้กับตัวเอง
คนบนโลกต้องการเงินตรา คนบนฟ้าต้องการกุศล ไม่ใช่ให้งกกุศลนะ ยิ่งงกยิ่งไม่มีกุศล ไม่เหมือนคนบนโลก ยิ่งงกเงินยิ่งหาเงินยิ่งมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บนฟ้านั้นไม่เหมือนกัน จะว่าไปแล้วกุศลก็เหมือนกับปลาไหล ตั้งใจจับจะจับอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แต่พอไม่ตั้งใจจะจับแล้วเป็นอย่างไร (มาเอง)  ฉะนั้นคนที่เป็นคนที่โลภมากย่อมเป็นคนบนฟ้าไม่ได้ คนที่โลภมากย่อมเป็นคนเหนือคนไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์อาจารย์จงจำไว้ว่า การที่เราบำเพ็ญธรรมะนั้น คือการที่เราทำจิตใจให้สะอาดสะอ้าน ทำจิตใจให้ว่างๆ อย่าไปคิดอาฆาตพยาบาทใคร อย่าไปคิดสนใจว่าใครนั้นดีกว่าเรา ขอให้เรานั้นเอาสิ่งที่ดีของเขาให้เราได้ทำตาม คนหนึ่งคนมีข้อดีหนึ่งอย่าง หากว่าศิษย์เจอคนสิบคนแล้วศิษย์เลือกข้อดีของเขาออกมาทำตาม ศิษย์จะมีข้อดีถึงสิบอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงตอนนั้นแล้วศิษย์จะเหนือคนทั้งสิบคนนี้หรือเปล่า (เหนือ)  แต่ว่าเหนือนี้ต้องเหนืออยู่อย่างอ่อนน้อมเหมือนกับน้ำทะเล น้ำทะเลกว้างๆ มหาศาลนี้เกิดจากแม่น้ำทุกๆ สายมารวมกัน ศิษย์ต้องอยู่เหนือเขาอย่างเป็นผู้ที่อ่อนน้อม อย่างเป็นผู้ที่ยอมรับความคิดเห็น ถ้าหากเราไม่ยอมรับผู้อื่นเลย แล้วจะให้ผู้อื่นยอมรับเราได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แม้ว่าศิษย์จะรู้อยู่แก่ใจว่าศิษย์นั้นเป็นผู้เหนือคนทั้งสิบคนนี้ แต่ทว่าสิบคนนี้ไม่ยอมรับศิษย์เลยว่าเป็นคนที่เหนือเขาอย่างแท้จริง หรือเหนือเขาที่เข้าข้างตัวเอง
ต้องเอาข้อดีของอาจารย์ไปใช่หรือเปล่า อาจารย์ฉุดช่วยคนโดยไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ศิษย์กลัวหรือไม่ เจอเจ้ากรรมนายเวรมารุมล้อมศิษย์กลัวไม่กลัว (ไม่กลัว)  ฉะนั้นจึงบอกว่าการทำกรรมนั้นทำง่าย การทำบุญนั้นทำยาก แต่ว่ายังจำเป็นที่จะต้องเลือกที่จะทำบุญ ไม่ใช่ทำกรรม เพราะถ้าหากว่าผลกรรมมาหาศิษย์เมื่อไหร่วันไหนก็รับไม่ไหวใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยป่วยเป็นหวัดไหม เป็นหวัดทรมานหรือไม่ (ทรมาน)  เคยป่วยเป็นโรค โรคประจำตัวมีไหม โรคประจำตัวทรมานหรือไม่ทรมาน (ทรมาน)  เคยป่วยเป็นโรคที่ปัจจุบันทันด่วนไหม อาจารย์จะบอกว่าโรคนั้นมีลำดับความหนักเบา โรคหวัด โรคประจำตัวหรือว่าโรคที่รุมเร้า โรคที่เป็นอันตรายอย่างเช่น มะเร็ง เอดส์  มีโรคตั้งมากมายที่ในโลกนี้ยังหาทางรักษาไม่ได้
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกศิษย์ว่าเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรมาทวง ให้ศิษย์เอากุศลให้เขา เขาก็ทำให้ศิษย์เป็นหวัด เวลาที่เขาอยากจะให้ศิษย์ที่พยายามจะทำความดีเพื่อจะได้มีกุศลให้เขา เขาก็ทำให้ศิษย์เป็นโรคประจำตัว ส่วนเวลาที่เขาจะทวงศิษย์นั้น เขาจะทำให้เป็นโรคหนักที่รักษาไม่ได้ ฉะนั้นที่กรรมเวรยังไม่จำเป็นจะต้องเจอกับตาถึงจะเชื่อว่ากรรมมีจริง แต่ให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะเตือนตัวเองเสมอๆ อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรอยากให้ศิษย์สร้างกุศลให้เขา ศิษย์จะต้องเป็นหวัดจริงๆ แต่หมายถึงการเปรียบเทียบว่า นี่คือความหนักเบาของการที่เจ้ากรรมนายเวรมาเตือน โดยอาจารย์เทียบกับโรคเหล่านี้ให้ฟัง ฉะนั้นจึงต้องรู้จักสังวรณ์ไว้ บางทีถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่ได้มาทวงแต่ว่าศิษย์นั้นไปตากฝนก็เป็นอย่างไร ร่างกายเนื้อเป็นร่างกายที่อยู่ท่ามกลางโลกนี้ มีฝุ่น มีไอ มีควัน มีสิ่งที่ศิษย์นั้นมองไม่เห็นอีกมากมายที่ทำให้ศิษย์นั้นร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน ถ้าหากไม่รู้จักรักษาร่างกายนี้ ต่อให้มีร่างกายนี้ แต่อ่อนแอเกินไปก็บำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากที่จะบำเพ็ญธรรมก็ต้องรู้จักรักษาร่างกายของตัวเองนั้นให้แข็งแรง ให้มีพลัง พลังที่ออกมาจากจิตใจนั้นเข้มแข็งกว่าพลังที่ออกมาจากกำลัง ออกมาจากกล้ามเนื้อ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพายเรือธรรม)
จะต้องพายเรือทุกคนนะ หากมีใครมาเอาเปรียบใครก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าคนบำเพ็ญธรรมะจะไม่กลัวการเอาเปรียบ แต่ต่อให้ว่าคนไม่ว่าไม่กล่าว ศิษย์อาจารย์ก็จะไม่เอาเปรียบกัน ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังเราก็เป็นคนคนเดียวกันดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่ใช่ต่อหน้าเราเป็นมนุษย์แต่พอลับหลังเป็นปีศาจ ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ถ้าหากคนที่ชอบพูดมาก พูดไปเรื่อยพูดไร้สาระ พูดไปวันๆ ไม่รู้พูดอะไรตั้งมากมาย ต่อหน้าคนอื่นพูดจามีสาระ ลับหลังก็พูดจานินทาคนอื่น ถามว่าศิษย์นั้นอยู่ต่อหน้าจะเหมือนคนพูดไร้สาระก็ยังดีกว่าพูดนินทาคนอื่น พอลับหลังแล้วเราไปพูดนินทาคนอื่นนั้นเราเหมือนคนหรือไม่ (ไม่เหมือน)  แล้วทุกคนคิดว่าที่ผ่านมาตัวเองนั้นมีสภาวะที่ไม่เหมือนคนไหม (มี)  ไม่ว่าจะชายไม่ว่าจะหญิงล้วนแล้วเกิดเป็นคน ล้วนแล้วชอบพูดชอบจา แต่ว่าต้องพูดอย่างระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อการพูดจาระมัดระวังได้เสร็จสรรพ การปฏิบัติของเรานั้นก็ระมัดระวังตามขึ้นมาเป็นขั้นเป็นตอน
มีกิเลสไหม ไหนลองเอากิเลสของตัวเองทิ้งสิ ไหนลองปาดหน้าผากให้เหมือนกับปาดกิเลสของตัวเองทิ้ง อย่าปาดเบามาก พร้อมที่จะจับไม้พายแล้วหรือยัง เอาพลังออกจากใจแล้วพายเรือดีหรือไม่ (ดี)  การพายเรือนั้นต้องสามัคคีกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างพายเรือจะวนไปมาใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องสามัคคีกันดีหรือเปล่า (ดี)  สามัคคีกันหมายความว่าต้องอยู่ร่วมกันคนอื่น ไม่ใช่สามัคคีกันเพื่อที่จะอยู่คนเดียวนะ
“ไม่เห็นลดห้ามกิเลสแม้อ้อม”  เข้าใจคำคำนี้ของอาจารย์หรือไม่ หมายความว่าอาจารย์ยังไม่เห็นกิเลสของศิษย์ที่เกิดจากปาดหน้าผากทางอ้อมนี้ ยังไม่เห็นลดไม่เห็นห้ามกิเลสทางอ้อมนี้เลย เพราะฉะนั้นไหนลองปาดหน้าผากใหม่อีกสักครั้ง ลงแรงดีๆ
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมแผนกถ่ายภาพกำลังถ่ายภาพพระอาจารย์)
จะถ่ายรูปกันไปเยอะแยะ ถ่ายมากก็ติดรูปลักษณ์มาก มาถ่ายคำพูดของอาจารย์ไปปฏิบัติดีกว่า  ศิษย์จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินเยอะ  อยากเปลืองหรือไม่อยากเปลือง แล้วเงินจะสำคัญหรือเปล่า (ไม่)  ไม่สำคัญถ้ารู้จักพอ ถ้าไม่รู้จักพอเงินก็สำคัญ มีกี่คนที่รู้จักพอ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า คนเกิดมาไม่สามารถอยู่ค้ำฟ้า เงินทองก็ไม่สามารถติดตัวไปสักบาทเดียว ผมบนศรีษะของเราก็ขาวโพลนมากขึ้นบ่งบอกถึงอายุว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ในชีวิตนี้เราจะก้มหน้าหาเงินอย่างเดียวไม่หาธรรมะใส่ตัวบ้างหรือ คนเรานั้นจะหาแต่สิ่งที่ไม่จำเป็น โดยไม่หามรรคผลให้กับตนอย่างนั้นหรือ  ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ผ่านมาวันหนึ่งๆ สิ่งใดผ่านมาผ่านไป (กิเลสผ่านมา)  ความมีพลังในการบำเพ็ญขาดหายไปแล้วจบสุดท้าย วันสุดท้ายศิษย์จะอยู่ที่ไหน ลงเอยที่ไหน  หากไม่ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ มีทางอยู่ไม่กี่ทาง มีทางหนึ่งเรียกว่านรก สำหรับคนที่ชอบทำบาป  ทางหนึ่งเรียกว่าสวรรค์ สำหรับคนที่ชอบทำความดี อีกทางหนึ่งเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่คนเขาชอบฆ่ากัน อีกทางหนึ่งกลับมาเกิดหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีความสุขจริงๆ  เลย ส่วนทางที่อาจารย์ให้ศิษย์เลือกนั้นเป็นทางนิพพานที่เป็นทางบรมสุข เป็นทางที่ศิษย์นั้นจะหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องเกี่ยวพันกับสิ่งที่อาจารย์พูดมาเมื่อสักครู่ ไม่ต้องเกี่ยวพันกับความทุกข์ทั้งมวลในโลก  ลูกศิษย์ของอาจารย์เป็นคนโง่หรือฉลาด  โง่เลือกอะไร ฉลาดเลือกอะไร เวียนว่ายตายเกิดต่อไป หรือหลุดพ้นจากการเวียนว่าย
ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าธรรมะเป็นธรรมะที่แท้ที่ดีหรือเปล่า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการบำเพ็ญนั้นต้องบำเพ็ญอย่างไรจริงๆ ล้วนแล้วแต่เดินบนความไม่รู้ เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ แต่ศิษย์ลองก้าวสักสองสามก้าว กลับมาศึกษาบ่อยๆ ศิษย์คิดว่าสามารถทำความเข้าใจได้หรือไม่ (ได้)  ทุกอย่างเหมือนกับเด็กตอนแรกๆ เติบโตมา อนาคตเขาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เติบใหญ่ศิษย์ยังไม่รู้อีกว่าอนาคตของศิษย์เป็นอย่างไร ทำไมต้องห่วงกับการที่ศิษย์จะมองธรรมะอย่างชัดเจน จะต้องรู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง ทำไมจะต้องรู้ชัดเจน  ตอนเป็นเด็กนั้นศิษย์ก็ไม่เคยรู้อนาคตของศิษย์ชัดเจน จนเดี๋ยวนี้ศิษย์ก็ไม่รู้ว่าอนาคตของศิษย์คืออะไร ทำไมต้องรู้ธรรมะอย่างชัดเจน ขอให้เริ่มก้าวสักสามสี่ก้าว อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นฉลาดทุกคน ศิษย์จะได้รู้ได้เข้าใจ ขอให้มีความมั่นคงในธรรมะ จะโดนอุปสรรคทดสอบสักกี่รอบ อาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์ก็ผ่านได้  คนที่ผ่านไม่ได้คือคนที่ไม่มีความมั่นคง คือคนที่ไม่จักตัวเอง แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นคนโง่หรือฉลาด (ฉลาด)  ในเมื่อต่างคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ฉลาด ก็ขอให้ฉลาดเลือกอย่างถูกต้องก็แล้วกัน
ตอนนี้ก็ยืนนานแล้ว เกิดเป็นคนนะไม่ดี การยืนนานก็ไม่ไหว นั่งนานก็เมื่อย ตอนแรกๆ ก็คิดว่าถ้าได้ยืนแล้วรู้สึกดี แต่พอยืนมากๆ ก็เมื่อย อยากนั่งหรือยืนดี (อยากนั่ง)  ศิษย์ลองนึกดูว่าม้าศึกตัวหนึ่งที่ใช้ออกรบ ในยามปกติม้าศึกตัวนี้ต้องได้รับการฝึกฝนหรือไม่ (ฝึก)  ถ้าหากเลี้ยงจนอ้วนพี เดินไปไม่ไหว ถึงเวลาออกศึกก็จะออกไม่ไหว ม้าศึกตัวนี้ก็ไม่ไหว  คิดในทางเดียวกัน ตัวศิษย์เองนั้นก็เปรียบเหมือนม้าศึก เวลาเจอไม่ใช่จะเจอการทดสอบ เจออุปสรรคในทุกๆ วัน แต่ในทุกๆ วันนั้นจะเลี้ยงจิตใจของศิษย์ให้อ้วนพีมีแต่ความสุขได้หรือเปล่า จะต้องเจอความลำบากบ้างยากบ้าง หากไม่เจอก็ต้องพยายามไปหางานทำ เวลาที่วันดีคืนดีมีการทดสอบมา จิตใจที่ได้รับการฝึกฝนเสมอๆ จะช่วยให้ศิษย์รอดพ้นจากภัยนั้นๆ ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภัยจากอะไรบ้าง ภัยจากอุบัติเหตุจากธรรมชาติไม่ต้องพูดถึง อาจารย์หมายถึงภัยจากความคิดของตัวเอง จากสภาวะแวดล้อมอันไม่เอื้ออำนวยต่อการบำเพ็ญธรรม ภัยอันเกิดจากคนต่างๆ นานาที่มาทำให้การบำเพ็ญธรรมนั้นของเราถดถอย แต่ว่าในทุกๆ วันนั้นศิษย์นั้นบำเพ็ญได้ดีแล้วก็สบายๆ ถึงเวลาทุกวันก็ปล่อยชีวิตผ่านไป ไม่เคยฝึกฝนไม่ยอมลำบาก พุทธระเบียบก็ไม่อยากจะเรียนรู้ ถึงเวลาขึ้นมาจะให้ช่วยอะไรหน่อยก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นการฝึก 100  วันก็เพื่อใช้เพียงวันเดียว แต่ว่าถ้าหากว่าวันเดียวนั้นเกิดมีขึ้นมาแล้วศิษย์ทำไม่ได้ ถือว่าม้าศึกตัวนี้เป็นมาศึกที่ดีไหม (ไม่ดี)  ก็คงจะเป็นม้าศึกที่ขาพิการ หรือไม่ก็หูหนวกตาบอด คดในข้องอในกระดูก รู้จักไหม คนคดโกง
อาจารย์จะบอกให้นะ การบำเพ็ญธรรมนั้น ขานี้เป็นขาของเรา แขนของเรา กายนี้ก็เป็นกายของเรา เวลาเราบำเพ็ญต้องให้คนอื่นเชียร์คนอื่นลุ้น ต้องให้คนอื่นคอยขอโทษถ้าเขาไม่ได้โทรไปตาม ได้หรือเปล่า  คอยไปรับไปส่ง เขาจะส่งศิษย์ได้ถึงฝั่งนิพพานไหม เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์นั้นอยากให้ตัวเองบำเพ็ญธรรมะอย่ารอคนอื่น เวลาว่างต้องรู้จักศึกษาใช่หรือเปล่า หนึ่งคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าใครเจียดเวลาได้มากกว่ากัน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ที่มาก่อนหน้าศิษย์ เขามาเตรียมงาน ถามว่าเขามีเวลาหรือเปล่า  ถ้าหากว่าเขาไม่มีเวลา จะมีศิษย์ในวันนี้ไหม  ทุกๆ ครั้งที่เขาไปหาศิษย์ก็ต้องใช้เวลาของเขาเหมือนกัน อย่าบอกว่าเวลาของเขาไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์แต่เวลาของเราได้ไหม  (ไม่ได้)  ทุกคนมีเวลา ทุกคนมีธุระ ทุกคนมีเรื่องราวที่จัดการอยู่ ไม่มีใครที่เจียดเวลาได้มากกว่าใคร  การบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่มีใครช่วยให้ถึงฝั่งนิพพานได้ นอกจากตัวเราจะช่วยตัวเราเอง
(พระอาจารย์เมตตาให้แม่ครัวออกมาหน้าชั้น)
อาหารอร่อยไหม (อร่อย)  อร่อยมากหรือเปล่า อร่อยที่สุดหรือเปล่า อร่อยกว่าอาหารชอ (อาหารที่มีเนื้อสัตว์)  ต่อไปนี้กินเจดีกว่านะ กินทุกวัน วันละสามมื้อเลยนะ เสียงเริ่มเบาเรื่อยๆ  คนที่ทำอาหารเจได้อร่อยๆ จนกระทั่งคนเปลี่ยนใจจากกินอาหารชอ มาเป็นอาหารเจได้ มีกุศลใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้น ทุกๆ หน้าที่ทุกงานทุกสิ่งที่เราไปจับไปทำนั้น ขอเพียงแต่เราชำนาญ แม้กระทั่งแม่ครัวที่เราไม่เห็นหน้าบนแท่นบรรยายในการพูดธรรมะ แต่หากว่าเขาทำได้จริงก็ถือว่ามีกุศล เปลี่ยนคนจากกินชอ มากินเจมากขึ้น เขาก็มีกุศลใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าหากว่าศิษย์นั้นสามารถเปลี่ยนจากกินชอ มากินเจได้ ศิษย์เองก็มีกุศลใช่หรือเปล่า อาจจะใช่ก็ได้ใครจะไปรู้
ให้ผลไม้เจ้าของบ้านหน่อย  หากว่าเจ้าภาพนั้นจะเก็บลูกใหญ่ไว้กินเอง ลูกเล็กไว้ให้คนอื่นนั้น หากคนอื่นรู้ เขาก็จะไม่อยากกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีนั้นมอบให้ผู้อื่นก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นเรารับมาแบกไว้ก่อน อย่างนี้จึงเป็นพุทธะ
ขนาดแม่ครัวยังได้ผลไม้เลย นักเรียนในชั้นคนไหนยังไม่ได้ผลไม้ ยกมือขึ้น มีคนมีผลไม้อยู่ไม่กี่คน คนไม่มีผลไม้อยู่เยอะแยะ เหมือนกับทางขึ้นนิพพานเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเดินร่วมทางเยอะแยะ แต่คนมีมรรคผลมีอยู่ไม่กี่คน  เดินทางร่วมกันบำเพ็ญเหมือนกัน คนได้ผลไม้คือคนที่ได้มรรคผล มีอยู่น้อยนิด เขาได้ผลไม้ไปอยู่ในมือเพราะว่าอะไร  คนที่ได้ผลไม้คือคนที่กล้าตอบ คนที่อยู่ดีๆ ไปให้ผลไม้ก็ถือว่าเป็นคนมีบุญ ส่วนคนที่ยังไม่ตอบ ไม่เอาบุญไปให้สักที ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า หรือปล่อยให้ตัวเองไม่มีบุญอยู่อย่างนี้ไหม (ไม่)  ปล่อยตัวเองไปอย่างนี้เรื่อยๆ ดีหรือเปล่า  ต้องทำอย่างไรถึงจะได้ผลไม้ ก็ต้องกล้าตอบ อาจารย์ไม่ได้กลัวศิษย์ได้นะ แต่ให้แม่ครัวใหญ่ได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กับผู้อื่นบ้างนะ
เมื่อสักครู่อาจารย์มาถึง อาจารย์พูดถึงการศรัทธาด้วยสติ ศิษย์รู้ไหมว่าการศรัทธาด้วยสตินั้นคืออะไร  ในสมัยก่อนที่จะมาบำเพ็ญธรรมะนั้น ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นผู้ที่มีสติอยู่แล้ว แต่เมื่อมาบำเพ็ญธรรมแล้วสติในการคิดอ่านอะไรจะน้อยลง อาจจะเป็นเพราะว่าศิษย์นั้นได้เปิดสมองที่คิดว่ากรรมมีจริง เชื่ออะไรไปอย่างง่ายๆ มากขึ้น แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าการคิดอ่านอะไรด้วยเหตุผลด้วยสตินั้นสำคัญสำหรับการบำเพ็ญธรรมอยู่ดี  ดังเช่นอาจารย์มายืมร่างเด็กคนนี้พูดจากับศิษย์ จุดมุ่งหมายของอาจารย์ก็เพียงให้ศิษย์นั้นได้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติในสิ่งที่ดีและทำตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์นั้นยึดติดในรูปลักษณ์อันนี้ เพราะว่าวันหนึ่งวันใดก็คงต้องมีวันที่อาจารย์นั้นไม่สามารถมาโปรดศิษย์ได้ ยังไงก็ถึงวันนั้น เหมือนกับมีเกิดมีดับ มีร่างกายมีตายจาก  ฉะนั้นการเจอกันนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แม้ว่าศิษย์จะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานั้น ศิษย์จะเลือกที่รักมักที่ชัง อยากมาอยากจะฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ อยากจะเจออาจารย์มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนก็ไม่จำเป็น ขอให้เพียงคำพูดคำไหนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดแล้วศิษย์สามารถปฏิบัติตามได้ นั่นเป็นสิ่งที่ดี อย่าได้หลงไปในทางอวิชชา หลงเชื่อไสยศาสตร์ อย่าได้ให้อวิชชามาครอบงำจิตใจ อย่าทำให้จิตใจมืดบอด  บำเพ็ญธรรมะนั้นเพื่อการหลุดพ้น แล้วคนที่ยังเป็นคนงมงายก็ยังหลุดพ้นไม่ได้  มีจิตที่คิดไปเองก็ยังมีคนที่คิดจะเชื่อตามอยู่อย่างนั้น จะว่าไปแล้วเป็นการสอบใจศิษย์ก็คงได้ แต่จะว่าแล้วจะเป็นการบอกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักแยกแยะระหว่างศรัทธาและปัญญาได้ชัดเจนก็คงจะได้เหมือนกัน คนที่เจอเหตุการณ์มากับตัวก็คงฟังอาจารย์เข้าใจ ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพยายามจะไต่ถามให้รู้เรื่องนะ  ใครรู้ก็รู้ ใครไม่รู้ก็ช่างดีหรือไม่ (ดี)
ในวันนี้มาเจอศิษย์ก็เป็นความโชคดีอันหนึ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรมะ เป็นคนดีแบบคนดีแท้ๆ ไม่ใช่เป็นคนดีชนิดที่เปลือกนอกดูดี เพราะว่าคนที่ไม่ดีที่ทำตนเหมือนคนดี แสดงกริยามารยาทเหมือนคนดีนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าคนที่ไม่ดีแล้วจงใจทำไม่ดีนั้นอีก เพราะว่าเรานั้นกำลังสวมหน้ากาก คนในโลกฟังคำว่าสวมหน้ากากก็เข้าใจกันดี ศิษย์ของอาจารย์นั้นการบำเพ็ญธรรมะก็อย่าได้สวมหน้ากาก เราทำได้เท่าไหนก็เท่านั้น มีได้เท่าไหนก็เท่านั้น ปฏิบัติอะไรได้ก็ทำสิ่งนั้น ปฏิบัติไม่ได้ก็โค้งสักทีหนึ่งแล้วก็บอกว่าทำไม่ได้ ให้คนช่วยชี้แนะหน่อย ไปโค้งใคร โค้งได้ทุกคน ไม่ใช่เลือกโค้งเฉพาะคนบางคน โค้งได้ทุกคน ความรู้นั้นบางทีไม่จำเป็นต้องให้คนที่อายุมากๆ เป็นคนสอน บางทีเด็กๆ ก็มีความรู้ที่ผู้ใหญ่ยังไม่รู้เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างเช่นการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ให้สะอาด ศิษย์จะมองจากใคร ถ้ามองผู้ใหญ่เหมือนๆ กันก็หาไม่เจอ ต้องมองเด็กๆ ถ้ามองผู้ใหญ่ด้วยกันก็เจอแต่จิตใจที่ยังไม่สะอาดอยู่นั่นเอง  แต่ก็ต้องหรี่ตาลงสักข้างหนึ่ง ความไม่ดีของคนอื่นอย่าไปมองชัดมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนลองหรี่หลับตาข้างหนึ่งดูซิภาพข้างหน้าชัดไม่ชัด (ไม่ชัด)  ภาพข้างหน้าก็ไม่ค่อยชัด ก็ไว้สำหรับเวลาที่เรามองคนอื่น ความไม่ดีของคนอื่นก็อย่าไปมองชัดมาก ส่วนความดีของคนอื่นมองชัดๆ หน่อย จะได้เก็บเอาไว้ทำตามใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ไปเกิดจิตใจอิจฉาเขาว่าเขาดีกว่าเราแล้วอิจฉาจัง เลยหาทางที่จะทำลาย ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท)
ชื่อเพลงเสร็จแล้วหรือยัง รอจนคนในชั้นจะหลับไปหมดแล้วนะ มีคนอยากจะให้ชื่อว่า หนทางสู่สุข เยอะแยะไปหมดเลยแล้วตัวเองหาทางสู่สุขเจอแล้วยัง ใครช่วยอาจารย์ตัดสินใจหน่อยซิ  สู่หนทางธรรม ไม่ค่อยมีสุขเท่าไหร่ แต่อาจารย์ก็รับรองได้ว่าไม่มีทุกข์เหมือนกัน คนส่วนใหญ่คิดถึงแต่ความสุข แต่อาจารย์อยากบอกว่าไม่มีทุกข์ก็คือสุข แม้จะไม่ใช่สุขอย่างที่ศิษย์หวังหรือไม่ใช่สุขมาก แต่ก็ยังพอให้จิตใจของศิษย์นั้นแจ่มใสเบิกบานได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาท “สู่หนทางธรรม”)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
“คนเอยกระดูกงอข้อคด”  คิดมากๆ เลยกระดูกงอข้อคดใช่หรือเปล่า  กระดูกไม่งอหรอกแต่ว่าสมองจะพังใช่ไหม คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นต้องรู้จักคิดแต่ในสิ่งที่ดี ถ้าคิดในสิ่งที่ไม่ดีมากเกินไป เราเองนั่นแหละต้องขจัดความคิดแห่งปุถุชนนั้นให้เบาบางลงมากๆ ยิ่งเบาบางเท่าไหร่ เราจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากเรายิ่งไปคิด ยิ่งไปรู้มากยิ่งไปเห็นมาก เราเองนั้นแหละรับไม่ไหว เราเองนั้นแหละจะบำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนไม่คิด ที่คนเขาเรียกว่าคนโง่ ทำอะไรก็ทำไป เขาไม่คิดแต่เราคิด เราเลยเป็นอย่างไร เราเลยเอาโลงมาใส่ตนเอง
ความสงสัยยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะดีต่อตัวเราสักเท่าไหร่ เพราะว่าส่วนใหญ่นั้นเราจะสงสัยว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่ไม่สงสัยว่าตัวเรานั้นไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  มานั่งสงสัยว่าเรายังไม่ดีสักเท่าไหร่ แล้วเราจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้างนั้นก็เป็นความสงสัยที่ดี แต่ส่วนใหญ่จะสงสัยในความดีของคนอื่น ทำให้ตัวเรามีปัญหา ธรรมะนั้นศิษย์อาจารย์จำเป็นต้องเสียสละ มาศึกษาสองวันนี้สำหรับผู้ที่คิดบำเพ็ญนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะฉะนั้นการศึกษานั้นก็เหมือนกับการกินข้าว ศิษย์ต้องกินข้าวทุกวันจึงจะสามารถรักษาท้องนี้ไม่ให้หิวได้ เหมือนกับการศึกษาธรรมะนั้น ก็คือเป็นการให้อาหารของจิตใจ ศิษย์อาจารย์จำเป็นต้องศึกษาบ่อยๆ ศึกษาให้มากๆ จิตใจของเรานั้นต้องเป็นพุทธะคือรู้ตื่นและเบิกบานได้  หนังสือตำราสามารถให้ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งเป็นความรู้แจ้งเพียงเปลือกนอก แต่หากศิษย์ของอาจารย์นั้นศึกษาธรรมะจนเข้าใจ ยิ่งปฏิบัติมากมายความรู้แจ้งจะออกมาจากภายในของตัวเอง และถึงวันนั้นไม่ต้องรอให้เหมือนหนังสือ  หนังสือเป็นความรู้แจ้งของศิษย์อ่านแล้วก็ลืม หนังสืออยู่ก็คือความรู้ศิษย์อยู่ หนังสือหายความรู้ของศิษย์ก็หายไป ความรู้แจ้งของศิษย์ก็หายไปด้วย ฉะนั้นจึงไม่เท่ากับความรู้ตื่นในการศึกษาธรรมะ ได้เสียสละเวลาทำความเข้าใจให้รู้ซึ้งให้รู้แน่ ธรรมะเมื่อก่อนนี้ที่ศิษย์ได้ยินได้เข้าใจ ธรรมะหมายถึงสิ่งหนึ่งที่ดูไกลเกินเอื้อมดูงดงาม แต่บัดนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้บำเพ็ญ เมื่อศิษย์บำเพ็ญ ทำไมธรรมะที่มาอยู่กับตัวเรา ทำไมธรรมะที่เราบำเพ็ญปฏิบัติถึงดูเหี่ยวเฉานักล่ะ ปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่ธรรมะ แต่อยู่ที่จิตใจของเราที่เอาไปปะปนกับธรรมะ ธรรมะเหมือนไฟ จิตใจก็เหมือนน้ำ  ถ้าหากว่าไฟของธรรมะแรงน้ำก็จะเดือดเร็ว อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าสื่อถึงน้ำที่ร้อน แต่อาจารย์หมายความว่าถ้าธรรมะหมายถึงไฟ ใจของศิษย์เปรียบเหมือนน้ำที่อยู่ในหม้อ ใจของเรานั้นก็จะสามารถเดือดได้ แต่เดือดในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงเดือดในกองโมโห แต่หมายถึงความรู้ตื่นของจิตในจิตของศิษย์
(พระอาจารย์เมตตา ให้นักเรียนที่สนใจเข้าไปช่วยทำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ส่วนใหญ่ชอบเป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่ชอบลงมือใช่หรือไม่ (ใช่)  สังเกตการณ์ใครก็ทำได้ ต้องลงมือปฏิบัติด้วย เดี๋ยวจะให้ดูว่าเพื่อนนักเรียน ๒ - ๓ คนนี้ เข้าไปข้างในจะได้เรื่องหรือเปล่า  ผู้หญิงมีใครอยากดูบ้าง ผู้หญิงมีแต่ความอายใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องรู้จักว่าบางทีต้องตัดความอายไปจากจิตใจ เหมือนวันนี้ศิษย์มานั่งฟังธรรมะ รู้ว่าธรรมะนี้ดีแต่จะไปชวนคนศิษย์ก็อาย กลัวคนจะว่าเรางมงาย กลัวคนจะว่าเราอะไรก็ไม่รู้ สุดท้ายเราชวนใครได้สักคนไหม (ไม่ได้)  เป็นพุทธะอยู่โดดเดี่ยว ขึ้นนิพพานไปคนเดียว
ศิษย์หลายคนพอกลับไปถึงบ้าน อยากจะบำเพ็ญธรรมอยากจะกินเจ ทางบ้านก็จะห้ามแล้ว แต่ศิษย์ไม่คิดหรือว่า พี่น้องคลานตามกันมา และศิษย์ก็รู้ว่าธรรมะนี้ดี ศิษย์อยากจะกินเจ ทำไมศิษย์ไม่มีแรงพอที่จะดึงให้คนอื่นเขากินเจ หรือบำเพ็ญธรรมได้ล่ะ  ในเมื่อสายเลือดก็เป็นสายเลือดเดียว เขาก็คงจะสนใจในธรรมะเหมือนกัน ศิษย์ก็อย่าเพิ่งอาย พูดไปตามหลักเหตุผล  ธรรมะที่แท้จริงนั้นมีแต่หลักเหตุผล พูดได้เห็นผลได้ เหมือนกับกรรม เหมือนกับเหตุ สิ่งใดที่เราพูดสิ่งนั้นจำเป็นที่เราจะต้องทำได้ หากว่าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด เหมือนกับคนที่พูดเรื่องความกตัญญู ตนเองก็ปฏิบัติอยู่ ไปเรียกให้คนอื่นเขากตัญญู บอกลูกว่าต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ตัวเองก็ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ของตัวเองด้วย เพราะไม่มีใครเกิดมาจากระบอกไม้ไผ่ จะทำอะไรก็คิดให้ดีให้รอบคอบ
อาจารย์ให้โอกาสสองวันนี้มาฟังธรรมะ กลับไปบ้านแล้วจะทำอะไรบ้าง (ชวนคนรับธรรมะ, กินเจทุกวันพระ, จะสร้างกุศล, นำไปศึกษาและปฏิบัติ)  อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าอยู่ในเพศบรรพชิตอธิบายให้คนฟังธรรมะ พูดให้คนทำดี ชวนคนรับธรรมะไม่ได้เพราะเรายังไม่เหมาะสม อาจารย์ของเราตอนนี้นั้นยังเป็นพระพุทธองค์ ตราบเมื่อศิษย์ของอาจารย์เข้าใจธรรมะมากขึ้น ตราบนั้นจึงชวนได้
ทานเจทุกวันพระ แล้วถ้าไม่ใช่วันพระ สัตว์อื่นตายหมดนะ เพราะเราอยากกินใช่หรือเปล่า อย่างนี้เดี๋ยวสิงโตเสือก็กินเจทุกวันพระ ที่เหลือออกมาล่าคนหมด คนจะมีให้เสือล่าไหม  คนที่บอกว่าจะชวนญาติพี่น้องมารับธรรมะต้องสำคัญที่ว่าตัวเองได้เข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้ หรือว่าอย่างน้อยก็พออธิบายให้เขาพอคลายความสงสัยได้บ้าง เกิดจากความเข้าใจของตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์ไปชวนเขารับธรรมะ ชวนคนรับธรรมะชวนง่ายแต่ส่งเสริมคนนั้นยาก รู้ไหม ส่งเสริมคนนั้นยากเพราะว่าการบำเพ็ญนั้นไม่ใช่วันสองวัน แต่การบำเพ็ญนั้นเป็น 10 - 20 ปี การบำเพ็ญธรรมะนั่นคือตลอด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ทิ้งกลางดินฟ้า ? คือคน”)
ไม่ทิ้งกลางดินฟ้า  ทำมืออย่างนี้อะไร (?) ยอดเยี่ยม ประเสริฐ ดีเลิศ คือคนใช่หรือเปล่า กลางดินฟ้าประเสริฐที่สุดก็คือคน ถ้าภาษาของคนที่เป็นวัยรุ่นหน่อย กลางดินฟ้าก็คือยอดเยี่ยมเลย คือคน แล้วแต่ศิษย์จะไปคิดไปว่าคำพูดนี้ในความคิดของศิษย์คืออะไรแล้วได้บอกอาจารย์จี้กง จะเฉลยนะว่าไม่ทิ้ง ไม่ได้หมายความว่าไม่ทิ้งอะไร คือไม่ทิ้งธรรมะ ไม่ทิ้งการบำเพ็ญ กลางดินฟ้าประเสริฐคือคน เข้าใจหรือไม่ แต่ถ้าหากเราทิ้งธรรมะไปกลางดินฟ้าถึงแม้จะเป็นคน แต่หลังจากเป็นคนก็จะกลับเป็นสัตว์อีกหรือกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่เรียกว่าประเสริฐแท้เข้าใจหรือไม่
ตอนนี้ทางภาคใต้ฝนตกทุกวัน ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรักษาสุขภาพ รักษาตัวให้ดี รักษาใจให้ดี หากรู้จักรักษาตัวก็รู้จักรักษาใจ นั้นเป็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าตัวนั้นเจ็บป่วยเป็นแผลก็ยังมองเห็น แต่จิตใจนั้นเจ็บป่วยเป็นแผลนั้นมองไม่เห็น เราไม่อยากให้ตัวเองเป็นแผลทั้งทางใจทางกาย เราก็อย่าทำให้ผู้อื่นเป็นแผลทั้งทางใจทางกาย สิ่งที่คมยิ่งกว่าศาสตรายิ่งกว่าอาวุธ คือคำพูด พูดดีก็เป็นศรีแก่ปาก พูดมากก็โดนคนเขาชกต่อยเอา คนทางใต้นี้หลายคนเป็นคนใจร้อน แม้มาบำเพ็ญธรรมะแล้วก็ยังไม่สามารถขจัดปล่อยวางได้ หลายคนนั้นติดปัญหาเรื่องความรัก ความโลภ เรื่องต่างๆ นานาไม่ค่อยจะเหมือนกัน แต่ในภาพรวมแล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นก็คือมีกิเลสเหมือนๆ กัน จะให้ใครคนอื่นนั้นขจัดให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะช่วยตัวเราเองไหว มีแต่ตัวเราเองที่จะแบกตัวเองขึ้น หากคนอื่นมาแบกเรา ศิษย์ลองนึกสภาพ คนอื่นแบกเราเขาหนักใช่หรือเปล่า เขาหนักมากๆ เขาก็ปล่อยเราลง แต่ถ้าตัวเราแบกตัวเราเอง ศิษย์ลองคิดดูซิ ร่างกายของศิษย์นั้นหนักเท่าไหร่ แต่ขาสองข้างนั้นก็ยังเอาอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะให้คนอื่นช่วยตัวเราเองนั้นยาก ดังนั้นเราควรช่วยตัวเราเอง
วันนี้เข้ามาในสถานธรรมด้วยความไม่เข้าใจไม่ว่าจะมาด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม จะคิดว่ามาสถานธรรมแล้วจะได้โชคได้ลาภ ดวงชะตาที่ดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่กลับออกไปศิษย์รู้อย่างเดียวว่าสิ่งที่ศิษย์ได้นั้นคือธรรมะ คือจิตใจที่ประเสริฐจิตใจที่แจ่มใสของตนเองคืนมา นั้นเป็นการได้ในสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐยิ่งกว่าเงินทอง ประเสริฐยิ่งกว่าคำพูดใดๆ แต่ธรรมะนั้นอยู่กับศิษย์ได้กี่วัน จะนานสักกี่วัน ก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์นั้นจะเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวเอง แม้ว่าชะตากรรมจะกำหนดศิษย์มาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากวันนี้ไปถ้าหากศิษย์ตั้งใจศิษย์จะเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวศิษย์เอง อย่างนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ
คนที่เข้ามาในสถานธรรมวันนี้ที่นี้ อาจารย์รู้ว่าศิษย์หลายคนในที่นี่ที่มาเป็นนักเรียน ไม่ใช่คนที่หัวอ่อน ไม่ใช่ใครที่คนจะมาจูงจมูกได้ง่ายๆ  อาจารย์มาวันนี้ในภาคของคน ขอร้องให้ศิษย์มาประชุมธรรมนั้นก็ไม่ได้เห็นว่าศิษย์เป็นคนที่ง่ายดายอะไร แต่กลับเห็นศิษย์เป็นผู้มีบุญ มีบุญที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้ ขอให้มีร่างกายเป็นคนก็คือมีโอกาส  พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอินก็เคยมีร่างกายเป็นคน อาจารย์เองก็เคยมีร่างกายเป็นคน เกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ อาจารย์ก็เกิด เกิดมาเพื่อใช้กรรม ใช้กรรมแทนมนุษย์ก็เคย เกิดมาเพื่อที่จะเข้าใจชีวิตก็เคย ทุกๆ สถานการณ์นั้นล้วนเคยผ่านมาแล้ว ล้วนรู้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นทุกข์ยาก แม้จะอยู่ในสภาพที่สบายกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่ศิษย์จะรู้หรือ ชาตินี้ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนดีก็ไม่ใช่ดีเต็มที่ ถามว่าจะไปสวรรค์ไหมก็ไม่ค่อยจะแน่ใจ ไปนรกหรือเปล่าก็ไปไม่อยากจะไป แล้วศิษย์ของอาจารย์จะเป็นอะไร  ขอให้ศิษย์นั้นเป็นตัวของตัวเองเดินทางธรรมะก้าวตามอาจารย์ จิตหนึ่งใจเดียวมั่นคงในธรรมะ ต่อให้มีอุปสรรคใดๆ ก็อย่าได้ท้อถอย  ทนการทดสอบ ได้ยินอะไรก็ฟังเป็นลมผ่านหู ที่สำคัญใช้หลักธรรมในการบำเพ็ญอย่าได้มุ่งแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่น คำพูดพูดน้อย ให้พูดมาจากใจ คนย่อมรับรู้ได้พูดมากไปคนไม่ฟังก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ในโลกทุกคนมีกรรมหนัก บางทีกรรมก็บังตาให้ศิษย์นั้นคิดอะไรไม่ออกมองอะไรไม่เห็น ศิษย์ก็ไม่รู้ศิษย์ก็ไม่เข้าใจ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม)
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ เกิดมาเป็นผู้ชายนั้นมีกำลังมากกว่าแล้วก็มีการรับทุกข์ทรมานที่น้อยกว่า ขอให้ใช้โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีขอให้เติบโตในวงการธรรมะ อย่าเล่นมาก ขอให้คิดให้ดีๆ จะพูดสิ่งใดจะทำสิ่งใด โดยปกติศิษย์ก็คงเห็นอาจารย์เฉพาะบนหิ้งพระที่ศิษย์ไว้กราบไหว้ วันนี้อาจารย์มาหาศิษย์แล้วขอให้ศิษย์นั้นมีแต่ความคิดที่ดี มีความคิดที่เหมาะสม เป็นการส่งอาจารย์ไปยังเบื้องบน เพื่อเป็นบุญของศิษย์ เพื่อเป็นกำลังใจของอาจารย์ให้เราเจอกันใหม่ บำเพ็ญให้ดีๆ  มั่นคงในธรรม
เป็นเตี่ยนฉวันซือศิษย์จะต้องหนักแน่น ดูเหตุการณ์ใดจะต้องทะลุปรุโปร่ง อาจารย์อยู่เบื้องฟ้าไม่มีเวลามาหลอกเล่นกับมนุษย์ จะต้องใช้สติปัญญา บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ศึกษาให้มากๆ เข้าใจให้ลึกซึ้ง การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์แต่ธรรมะจริงๆ นั้นยังมาจากฟ้าคนบำเพ็ญไม่ดีเราก็อย่าไปมองเขามากยิ่งมองมาก มองคนอื่นไม่ดีมากๆ เราก็ยิ่งบำเพ็ญไม่ได้ แล้วมิหนำซ้ำศิษย์แยกไม่ออกหรอกว่าอะไรกันที่เป็นความดีและอะไรกันที่เป็นความไม่ดีใน  ตอนนี้อย่าท้อแท้ในการบำเพ็ญมากเกินไป อย่าสร้างอุปสรรคให้กับตนเอง
คนตั้งมากมายเขาเลือกเราเป็นหัวหน้าชั้น แสดงว่าเรานั้นมีบุญมากกว่าพวกเขา บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ที่มีหน้าที่นำก็นำไปให้ดี คนที่มีหน้าที่ตามก็ตามไปให้ดี ถึงคราวนำก็นำให้ดี ถึงคราวตามก็ตามให้ดี เท่านี้คงไม่เป็นการยากเกินไป ศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ทุกคน หวังว่าวันหลังเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกคงเป็นการยาก ถ้าจะให้เรานั้นกลับมาพร้อมหน้าอย่างนี้อีก คงจะเป็นการยากที่ให้ศิษย์คนนี้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วศิษย์คนนั้นยืนอยู่ตรงนั้น แม้การประชุมธรรมทุกๆ ครั้งหัวข้อจะคล้ายๆ กัน คนพูดๆ ออกมาคล้ายๆ กันแต่ความล้ำค่าคงอยู่ที่ศิษย์นั้นสามารถรวมตัวกันได้แบบนี้ สามัคคีและมีความรักใคร่กลมเกลียวกันได้แบบนี้ อาจารย์จึงไม่ชอบเห็นภาพศิษย์ของอาจารย์นั้นทะเลาะกันที่สุด อาจารย์ไม่ชอบที่จะให้ศิษย์นั้นแตกสามัคคีแม้แต่ในใจ  ถ้าหากว่าเขาผู้เป็นน้องไม่ดี เป็นพี่ก็อภัยเสีย  ถ้าหากว่าผู้เป็นพี่ไม่ดี ผู้เป็นน้องก็ให้รู้จักทำใจ  วันหนึ่งเมื่อพี่สำนึกได้เรายังเป็นน้องที่ดีเสมอ บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญทั้งบ้านถือว่ามงคล อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนกลับบ้านกลับนิพพานไปอย่างพร้อมหน้ากัน รักษาตัวให้ดีนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ทิ้งกลางดินฟ้า  คือคน”

ถักทอผ้าแม้ชำนาญยังต้องใจเย็น ฝึกก้าวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอุตส่าห์
เข้าใจชัดปฏิบัติจริงด้วยปัญญา มุ่งมั่นกล้าฝ่าอุปสรรคจักก้าวไกล
บ้างราบรื่นบ้างเข็ญยากตามแต่กรรมสร้าง หัดปล่อยวางอาจช่วยให้หนักเป็นเบาได้
ไม่ล้มเลิกกลางคันย่อมได้ผล ให้สมหวังดังใจหมายสู่ผู้ที่หมั่นเพียร
เรื่องที่แน่นอนยังแปร เคยแก้ได้แล้วยังเปลี่ยน
เพราะยังเป็นคนวนเวียน ความเพียรยิ่งนานจึงห้ามลด
เห็นศิษย์หลงกิเลสหมดใจ ให้ได้มายอมแม้ต้องปด
คนเอยกระดูกงอข้อคด ไม่อาจอดใจห่วงใย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2543-11-04 พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง




วันเสาร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓  พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง
                                               สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ลมเย็นผ่านยอดหญ้ากลายเป็นน้ำแข็ง อุปสรรคแกร่งกว่าใจคนจะสู้ไหว
แต่กระนั้นต้องฝ่าฟันจึงพ้นได้ แม้พลีชีพไม่พลีใจหลงว่ายเวียน
       เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา   ฮวา 

นำจิตใจศรัทธาให้ปรากฏ และยอมลดซึ่งอัตตาที่ขัดขวาง
เตรียมให้พร้อมจิตใจของนักเดินทาง ใจเป็นกลางมัชฌิมาปฏิปทา 
ชีวิตนี้มีเวลาช่างจำกัด เดินทางลัดยุคสามฟ้าส่งให้
ย่นระยะจากทางไกลกลายเป็นใกล้ แด่น้องที่มีจิตใจเชื่อมั่นพอ
ฟังธรรมะต้องนำกลับไปปฏิบัติ จงเคร่งครัดกับตนเองให้มากหนอ
คนเตือนคนไม่อยากฟังว่าขัดคอ ไม่รู้พอจิตโกรธานั่นหรือดี
ขอให้รู้แก้ไขตนเป็นสรณะ ความผิดจะเบาบางเมื่อเราแก้ไข
ต่างเกิดมาเพราะผลกรรมชี้นำไป จึงต้องรู้ทบทวนไวเร่งบำเพ็ญ
สามวันนี้ผู้มีบุญอยู่ร่วมกัน อย่าดูถูกตนเองนั้นให้หมองไหม้
พุทธะต่างสำเร็จไปจากคนไซร้ แล้วน้องไยไร้โอกาสอันดีงาม
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบอย่ามองข้าม
จะทำผิดทำถูกอย่างไรก็ตาม รู้เกรงขามอยู่ในสถานแห่งพุทธา
จงขวนขวายเรียนรู้ในสิ่งที่ดี ขอให้มีความเพียรสม่ำเสมอ
ในครานี้จุดเริ่มต้นอาจไม่เผลอ เมื่อนานไปอย่าเพ้อผิดให้เสียแรงเปล่า
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา ลงโลกาคุมชั้นเรียนสามวันนี้
ฟ้ามนุษย์ร่วมจัดงานที่ดี ขอน้องมีความมุ่งมั่นบำเพ็ญจริง
ขอให้มาให้ครบอย่าละเลย ความชินเคยขจัดสิ้นจิตโปร่งใส
ทางที่เดินจะต้องเลือกน้องรู้ไหม คนดีร้ายชั่วขณะจิตนำพา
ศึกษาธรรมคลายสงสัยให้สะอาด และองอาจดั่งอินทรีผงาดฟ้า
ช่วยตนเองช่วยเวไนยไม่ท้อลา ทางข้างหน้ากำหนดด้วยวันนี้เอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ยืนเคียงข้างคุมชั้นบันทึกคะแนน

ฮวา   ฮวา  หยุด

  มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
  สรณะ ความระลึก, ที่พึ่ง, ที่ระลึก


วันเสาร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

เห็นตนด้อยไม่เป็นตัวของตัวเอง เห็นตนเก่งมองไม่เห็นใครใครเขา
เห็นตนดีจะมึนเมาหลงตัวเรา เห็นคนเขลาอย่าเหยียบย่ำไม่มีดี
           เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านสราญฤๅ

ชั่วชีวิตอย่าได้หยุดแก้ไข ปราชญ์มองได้ยามคับขันกระทำตอบ
คนฉาบฉวยพิศกิเลสภัยชอบ วิบากรอบด้วยเกสรแห่งกรรมบันดาล
เที่ยงรอบคอบพื้นฐานของจิตใจ บำเพ็ญในบ้านมาสู่นอกบ้าน
จิตหล่นร่วงธรรมดึงคืนสราญ ดวงจิตตะวันส่องแสงกลางฤทัย
ในวัยเยาว์กว้างศึกษาใจประจำ   การเรียนธรรมเปิดใจขอแก้ไข
วัยชราสร้างความดียังขวนขวาย แก้ไขใหม่มีดีฟ้าใสตรอง
สำแดงจิตภาพงดงามสุกปลั่ง ยิ้มในฉายยิ้มกว้างสลายหมอง
แปรคนตรมคนเศร้าคนลำพอง ไม่หนีหน้าใจคล้องสามัคคีกัน
เร่งบำเพ็ญในใจปลงให้ตก จิตคลายโศกมองเห็นแต่สวรรค์
พิจารณาสุขสมมักอยู่ไม่นาน ดูดีแง่โลกควันสลายไป
เพียงใจใกล้เกลียวหมองยากสุขุม มองแต่ไกลกลุ้มที่เนตรสุกใส
ลองย้อนปมคลายตนปัญหาคลาย โลกสมมติใครเข้าใจเห็นแจ้งจริง

ฮา   ฮา   หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

เป็นอย่างไรกันบ้าง  เจอหน้าเราแล้วมีแต่ความสงสัย หรือมีแต่ความกังขาอะไรหรือเปล่า เมื่อจะศึกษาสิ่งใดก็ตามบางครั้งถ้อยคำหรืออักษรไม่สามารถถ่ายทอดความเป็นจริงของสิ่งที่เขาต้องการสื่อได้ทั้งหมด  บางครั้งต้องดูสีหน้า ท่าทาง ความจริงใจ และความมุ่งมั่นที่เขาจะอธิบายให้ท่านได้เข้าใจจริงแท้ว่าเขาพูด เขาต้องการถ่ายทอด เขาต้องการโน้มน้าวให้ท่านได้เข้าใจจริงแท้ และดูว่าเขามีความตั้งใจจริงหรือไม่  เหมือนเวลาท่านคุยกับใครสักคนหนึ่ง ถ้าเขากำลังเดินมาด้วยใบหน้าร้อนรน แล้วพูดกับท่านด้วย ท่าทีขึงขังและจริงจัง ท่านจะรู้สึกว่าเขาต้องการจะมาบอกอะไรเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากท่านเดินไปและเผอิญเจอคนๆ หนึ่ง เขาเดินมาเห็นท่าน เขาก็เล่าในสิ่งที่ตัวเองอยากเล่า เล่าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ท่านพอเดาออกไหมว่าระหว่างคนแรกกับคนที่สอง ใครตั้งใจ จงใจมาหาท่านเพื่อเล่าสิ่งต่างๆ ให้ท่านฟังมากกว่ากัน 
บางครั้งถ้อยคำ คำพูดแม้จะตบแต่งสวยงามเพียงใด บางทีก็ไม่สื่อชัดเท่ากับใบหน้า  บางครั้งใบหน้าจะดูได้ชัดเจนมากกว่าคำพูดที่เขาพยายามประดิดประดอยให้สวยสดงดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่ามีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาพูดกับท่านด้วยใบหน้าจริงจังขึงขัง  คำพูดแม้จะธรรมดา ฟังง่ายๆ แต่เมื่อเล่าจนจบแล้ว  กับอีกคนหนึ่งเดินมาเจอท่านด้วยความบังเอิญ พอเจอท่านก็เล่าไปเรื่อยๆ ใบหน้าก็ธรรมดาไม่ได้รีบร้อน ไม่ได้รีบเร่ง สองคนนี้ท่านว่าใคร  ตั้งใจมาหาท่านแล้วเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านฟังมากกว่ากัน (คนแรก)  ก็ต้องเป็นคนแรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันหรือการสังเกตคนใดคนหนึ่งในเวลาที่เราต้องอยู่ร่วมกันนั้น ถ้อยคำที่สวยหรูอาจจะไม่สื่อความหมายที่แท้จริงเท่ากับใบหน้า จริงไหม (จริง)  คนบางคนพูดกับท่านด้วยคำพูดที่สวยงาม โดยตั้งใจจะมาพูดเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอย่างตั้งใจ แต่คำพูดที่สวยงามบางครั้งฟังให้ดีๆ เขาอาจจะแอบว่าเราอยู่ในใจ จริงไหม (จริง)  กับคนบางคนพูดด้วยท่าทีไปเรื่อยๆ เล่าสิ่งต่างๆ ให้ท่านฟัง เล่าความเป็นจริง เล่าเรื่องนั้น เล่าเรื่องนี้ คำพูดแม้จะไม่สวยหรู แม้จะไม่ดูจริงจัง ไม่หนักแน่น แต่ฟังไปฟังมาแล้วเขาไม่ได้ว่าอะไรเราเลย  เขาแค่มีประสบการณ์ชีวิตก็มาเล่าประสบการณ์ชีวิตแลกเปลี่ยนกันฟัง  เรื่องราวในโลกนี้ เดี๋ยวนี้จะดูกันแค่เพียงเปลือกนอกไม่ได้ จะฟังกันแค่หูอย่างเดียวก็ไม่พอ  เดี๋ยวนี้คำสวยๆ บางครั้งดูก็เชื่อใจไม่ได้  หน้าตาดีๆ บางครั้งก็ไม่แน่ว่าใจจะดีเสมอไป จริงไหม (จริง)  
ฉะนั้นบางครั้งเวลาเราไปเจออะไรก็ตาม จงหยั่งใจพินิจพิจารณาให้ลึกๆ มองให้ถ่องแท้ แล้วเราจะไม่โดนสิ่งภายนอกหลอกลวงเลย ทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่ ตายังดูหูยังเปิดรับ จริงไหม (จริง)  เหมือนวันนี้เฉกเช่นเดียวกัน ตาท่านมองดู หูท่านเปิดรับ ใจท่านต้องคิดพิจารณาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วแม้ตาดูหูฟัง สิ่งที่ท่านรับฟังก็อาจจะไม่รู้เรื่อง สิ่งที่ท่านฟังไปก็อาจจะคิดพิจารณาได้ไม่เข้าใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่ามองเราแค่เพียงเปลือกนอก อย่าฟังเราแค่ใช้หูฟัง ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะไม่ได้อะไรไปเลย จะได้แค่เพียงเขามาพูดอะไรไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“เห็นตนด้อยไม่เป็นตัวของตัวเอง เห็นตนเก่งมองไม่เห็นใครใครเขา
เห็นตนดีจะมึนเมาหลงตัวเรา เห็นคนเขลาอย่าเหยียบย่ำไม่มีดี”
เคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม (เคย)  บางครั้งเรามองตัวเราเอง แขน หน้าตา ทรงผม รูปร่าง ไม่พอใจในตัวเองเลย มองอะไรก็ไม่ดีไปหมด ใช่ไหม (ใช่)  บางคนหน้าตาแบบนี้ รูปร่างแบบนี้ ไปทำสิ่งใดก็รู้สึกว่าไม่สำเร็จ ไม่ดีเลย ไม่มีใครสนใจเลย  พอรู้สึกว่าตนเองไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมดเลยจริงไหม (จริง)  หากกลับกัน ถ้าเกิดว่าเห็นว่าตนเองดีและเก่ง  ไม่ว่าจะเป็นแขน หน้าตา มันสมอง รูปร่างและปัญญา  พอคิดว่าตนเองดี จะทำอะไรหรือขยับไปนิดหนึ่ง  แม้คนไม่มองก็คิดว่าเขามอง  ทำไปนิดหนึ่งแม้จะยังไม่สำเร็จ  แต่ก็คิดว่าต้องมีคนชมแน่นอนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเวลาเห็นตัวเองดีมากเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเหมือนลอยสูงกว่าใครๆ ทั้งที่เท้าเหยียบพื้น เป็นไหม (เป็น)  แต่เมื่อไรที่เห็น   ตัวเองแย่แม้เท้าจะเหยียบพื้น แต่กลับรู้สึกว่าตนเองต่ำเตี้ยกว่าใครๆ เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใครทำให้เราเป็นเช่นนี้ เพราะคนอื่นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เพราะ  ตัวเราหรือก็ไม่แน่ใช่หรือไม่  หนึ่งคือมองตัวเราก่อน  สองไปมองคนอื่น  เราแขนยาวแค่เท่านี้ แต่พอเห็นคนอื่นแขนยาวกว่าก็รู้สึกว่ายาวดีกว่าสั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)   ผิวหนังเราเป็นแบบนี้  แต่พอไปเห็นของเขา เขาสวยกว่าใช่ไหม (ใช่)  ที่เราเห็นคนอื่นดีกว่าแล้วตัวเราเองด้อยกว่า นั่นก็เพราะเราเปรียบเทียบ ถ้าเราเปรียบเทียบแล้วเชื่อมั่นในตัวเองก็จะเป็นคนเก่ง  แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้วไร้ความ    เชื่อมั่นในตัวเองก็จะเป็นคนด้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ถ้าเราอยู่กับท่าน คุยกับท่านแล้วยกยอตัวเอง ชื่นชมตัวเองแล้วมองเห็นท่านเตี้ยต่ำต้อย  ท่าน  สนใจจะคุยกับเราไหม (ไม่สนใจ)  ในทางกลับกันถ้าวันนี้เราคุยกับท่าน เราเห็นตัวเราแย่ ต่ำต้อยแต่ตัวท่านเลิศลอยสูงเด่น ตัวเราอยากคุยกับท่านไหม (ไม่อยาก)  แล้วท่านอยากคุยกับเราไหม (อยาก)  เวลาเราได้คุยกับใครที่เขาต่ำกว่า เรารู้สึกภูมิใจเหลือเกิน ได้เหนือกว่าเขาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งถ้าเกิดลืมยั้งคิดแตะไปโดนเขาหน่อยให้เขาเจ็บปวดบ้างก็ดีใจมากใช่หรือไม่
ฉะนั้นบางครั้งถ้าเกิดอยู่ร่วมกันเหมือนวันนี้    พอเรามาถึงเขาบอกว่าเรา
เป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะเริ่มไม่อยากคุยใช่ไหม  เด็กแค่นี้จะเป็นพุทธะ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ ไม่มีทางเป็นไปได้ จริงหรือเปล่า  เหมือนตัวท่านเองวันนี้มีคนมาเล่า มีคนมาพูดหัวข้อโน้นหัวข้อนี้  ยกยอปอปั้นว่าตนเองเป็นถึงดอกเตอร์ เป็นถึงอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย หรือเป็นเจ้าของใหญ่ของบริษัทโน้นบริษัทนี้ ทำการค้ามีเงินมากมายมาคุยกับท่าน ในใจท่านรู้สึกเหยียดเขานิดๆ จริงไหม (จริง)  แล้วยังไม่ค่อยอยากฟังเขาด้วย  แต่เขามีแต่ใช้ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจึงอยากฟังใช่หรือเปล่า  แต่บางครั้งหากมีใครอ่อนน้อมถ่อมตนมากเกินไปเราก็อดคุยทับเขาไม่ได้ จริงไหม (จริง)  พอเขาต่ำกว่าเรานิดหนึ่ง เราก็บอกเธอค้าขายหรือ ฉันก็ค้าขายแต่ค้าขายแล้วก็มีบ้านโน้น มีบ้านนี้  อดคุยทับไม่ได้จริงไหม (จริง)  
ฉะนั้นท่าทีเริ่มต้นในการเจอหน้ากัน หนึ่งนอกจากใบหน้าจะต้องจริงใจ ต้องมีความเป็นกันเอง แล้วคำพูดที่คุยกันด้วย อย่าทำตนเหนือเขาและอย่าทำตนต่ำกว่าเขาเกินไป ให้เป็นแบบกลางๆ พอดีๆ จึงจะคุยกันได้ เข้ากันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันแค่เริ่มต้นได้ถูกต้องแล้ว ก็ง่ายที่จะสานต่อความสัมพันธไมตรีกัน ผูกบุญสัมพันธ์กัน จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเริ่มต้นเรามาด้วยใบหน้าขึงขัง ท่าทีหยิ่งผยอง คอเชิด  ท่านอยากคุยกับเราไหม (ไม่อยากคุย)  แล้วท่านอยากให้เราคุยกับท่านบ้างไหม (อยาก)  ถ้าอยากเราจะเอากระจกมาให้ดูว่าตอนนี้หน้าตาท่านอยากคุยกับเราจริงๆ หรือเปล่า  คุยกันง่ายๆ อย่างนี้คงคุยกันได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นด้วยท่าทีที่    กันเองอย่างนี้คงไปด้วยกันได้  ยังอยากจะคุยกับเราหรือเปล่า (อยาก)  
เจอหน้าเราแล้วขอให้มีความสุขนะ  เริ่มต้นแบบกันเองแล้วอย่างนี้คงอยู่
คุยกับเราไปได้เรื่อยๆ ได้หรือเปล่า (อยากให้ท่านอยู่นานๆ)  ถ้าอยากให้อยู่นานๆ ไปอยู่กับเราข้างบนไม่ดีกว่าหรือ  หลายต่อหลายท่านนั้นเมื่อบำเพ็ญได้จนถึงที่สุดแล้ว สามารถกลับคืนขึ้นไปเบื้องบน  พอกลับคืนขึ้นไปแล้ว สังเกตว่าไม่มีใครลงมาสักคนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าใครที่เคยได้ไปเยี่ยมชมในพื้นใต้ดินนี้แล้ว หลายๆ คนรีบกลับมาบอกทันที จริงไหม (จริง)  แปลว่าสวรรค์น่าเที่ยวจนไม่อยากกลับมา แต่นรกแม้เหยียบสักนิดหนึ่งก็อยากรีบกลับมาจริงหรือไม่  หรือดูง่ายๆ ความทุกข์ความสุขในใจของคนเราก็เฉกเช่นนรกและสวรรค์  เมื่อไรที่เรามีความสุข ความสุขนั้นเป็นความสุขที่เราขึ้นไปยืนแล้วไม่อยากลงมาสัมผัสความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เราไปสัมผัสความทุกข์แล้ว เราอยากจะรีบวิ่งกลับมาอยู่กับความเป็นธรรมดาก็พอ  หรือไม่ก็ให้ได้ดีที่สุดคือกลับไปให้สุขเหมือนเดิมก็ดีแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ชีวิตเราวนเรื่องขึ้น วนเรื่องลง วนเรื่องทุกข์วนเรื่องสุขกี่ครั้งแล้ว เราจำได้สักครั้งหนึ่งไหม  (ไม่ได้)  แล้วรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไรเราถึงทุกข์ เพราะอะไรเราถึงได้สุข  ทำอย่างไรถึงมีความสุขมาก ทำอย่างไรถึงมีความทุกข์ (รู้เท่าทันความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวของเรา)  นั่นก็คือเขาพูดว่ารู้เท่าทันว่าชีวิตต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเจอทุกข์ต้องรู้เท่าทัน  ทุกคนรู้แต่ตามทันไหม (ไม่ทัน)  ทุกข์มาปุ๊บก็ทุกข์  ทันทีตั้งรับไม่เคยทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องกล้ายอมรับความจริง เมื่อมีทุกข์มากระทบใจแล้ว ถ้าเรากลับไปมีความสุขในความทุกข์ นี่คือรู้เท่าทันและรับสถานการณ์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อีกท่านหนึ่งที่จะตอบเชิญนะ (ลดความโลภ โกรธ หลง)  ท่านว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือเป็นเหตุให้บันดาลสุข  เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือไม่  ท่านชอบทุกข์ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วรู้ว่าโลภ โกรธ หลง ทำให้เกิดทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครบ้างที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง  ในเมื่อไม่ชอบทุกข์แล้วทำไมยังมีสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ (เพราะมีสิ่งบางอย่างมากระทบทำให้เราเกิดเหตุให้ต้องมีโลภ โกรธ หลง)  แล้วสิ่งที่มากระทบใจเรา   ดูง่ายๆ เหมือนพัดนี้รู้สึกได้ไหม (ไม่ได้)  สมมติว่านิ้วนี้คือความโกรธ ชนพัดเข้าไปทีหนึ่งทำไมพัดไม่โกรธ เพราะพัดไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก หรือพูดง่ายๆ สั้นๆ ไม่มีตัวตน จริงไหม (จริง)  แล้วทำไม       พระพุทธองค์ ปราชญ์ หรือคนบางคน ทำไมเวลาเจอเรื่องความโกรธ คนบางคนไม่โกรธตอบได้ คนบางคนโกรธตอบได้อย่างกระฟัดกระเฟียด นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีชีวิตใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่อยู่ที่ว่า  ตอนนั้นเราวางตนเช่นไร จริงหรือเปล่า (จริง) 
มนุษย์นั้นเป็นคนที่มาหนึ่งก็ไปหนึ่ง เป็นอย่างนี้หรือเปล่า  มาหนึ่งบางครั้งมีสองมีสามใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเป็นคนที่ไม่เคยมีความรู้สึกอะไร แต่เดี๋ยวสักพักก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็ไม่มีความรู้สึกอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ถ้ามีความโกรธมากระทบ เราวางตนเป็นคนไม่มีความรู้สึกอะไร ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้ก็ยังคงต้องทุกข์ต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)  ได้แต่ท่านไม่ยอมทำดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขออภัยนะถ้าวันนี้เราตีท่าน แล้วทำไมท่านไม่โกรธเรา ก็เพราะว่าเราไม่มีความเคืองแค้นต่อกัน เพราะดูออกว่าที่เราตีเขา เราไม่ได้ตั้งใจ นี่ท่านคิดดีใช่หรือไม่ หรือพูดง่ายๆ มองเป็นบวก แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนที่อยู่ในบ้านท่าน แต่ท่านมีความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ชอบหน้าเขา แล้วเขาเผลอมาตีหนึ่งที เป็นอย่างไร โกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรอีก เพราะเรามีความรู้สึกต่อเขาอยู่ในใจ ความรู้สึกต่อตัวเขาอยู่ในใจเรา ใช่หรือไม่  ถ้าเกิดว่าใครก็ตามที่อยู่รอบๆ ข้างเขา ในใจนั้นเราไม่มีคำว่าอยู่ในใจ แม้เขาจะมากระทบเราก็จะไม่โกรธจริงหรือไม่ (จริง)  แต่เป็นเพราะว่าคนที่อยู่รอบๆ ข้างตัวท่าน ล้วนมีอะไรในใจท่านจริงไหม อย่างเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง แค่สี่ท่านนี้อยู่ในตัวท่าน ท่านก็จะรู้สึกว่า พ่อเป็นคนขี้บ่น แม่เป็นคนจู้จี้จุกจิก น้องเป็นคนเอาแต่ได้ไม่เห็นใจพี่ พี่ชอบใช้น้อง  สี่ความรู้สึกนี้อยู่ในใจเรา พอใครก็ตามมากระทบ ทำให้เรารู้สึกเป็นแง่ลบ เราจะโกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าในสี่ท่านนี้ไม่มีอะไรอยู่ในใจเรา พอเขามากระทบ ใจของมนุษย์โดยพื้นฐานมักจะมองคนในแง่ดีไว้ก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นคนในบ้านเราใช่ไหม (ใช่)  จะโกรธเขาไหม (ไม่)  ฉะนั้นตอนนี้จะเริ่มต้น ไม่ใช่แค่วางตัวเองแบบไม่มีตัวตน  แต่ต้องไม่มีตัวตนและในใจนั้นต้องไม่มีสิ่งร้ายในใจด้วย  พอใครมากระทบเราก็จะไม่เกิดแง่ลบและความโกรธกับเขา จริงไหม (จริง)  เมื่อไม่โกรธได้อย่างหนึ่งก็หมดทุกข์ไปแล้ว เหลือแค่สองอย่าง โลภกับหลง ใช่ไหม 
นอกจากคนภายในแล้วบางครั้งเรายังโกรธกับคนที่อยู่ภายนอกด้วยใช่หรือไม่ คนภายนอกไม่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไร  เวลาเขาแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเรามักมองเป็นแง่ลบก่อนมากกว่าแง่บวกจริงไหม (จริง)  เรามักมองเป็นอคติมากกว่าเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราลองเปลี่ยนกลับกันบ้าง แม้เขาจะร้ายจะดีอย่างไรแต่ท่านดีกับเขาสม่ำเสมอ  แม้เขาจะมีความเคลือบแฝงไม่   จริงใจอย่างไร แต่เรายังรู้สึกแง่บวกกับเขาเสมอ  แม้เขาจะคิดทำร้ายแต่ถ้าเราดีกับเขาตอบเสมอ เขาจะกลับมาทำร้ายเราลงไหม ไม่ลงจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นใช้ท่าทีอย่างนี้ต่อคนภายนอกได้หรือไม่ (ได้)  ไม่โกรธเขาแล้วด้วยจริงหรือเปล่า (จริง)  แถมยังป้องกันศัตรูที่จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นนอกจากสีหน้า การกระทำแล้ว ใจเราต้องบริสุทธิ์และมองในแง่ดีด้วย จริงหรือเปล่า (จริง)  เราก็จะสามารถขจัดความทุกข์ที่มีมูลเหตุมาจากความโกรธได้ แค่นี้เองทำได้หรือไม่  มองทุกท่านในที่นี้เรามั่นใจว่าทำได้  แต่ต้องตั้งรับให้ทัน อย่าเผลออารมณ์ไปก่อนความคิด อย่าเผลอให้อารมณ์ชั่ววูบหรือความคิดชั่ววูบมาอยู่เหนือปัญญาและความมีสติระลึกได้ แค่นี้เอง ทุกข์ก็ไม่มีไปแล้วหนึ่งอย่าง     จริงหรือไม่  
แล้วความโลภ ความหลง ใครมีวิธีตัดได้บ้าง (เป็นคนรู้จักพอกับความโลภ)  สำหรับความโลภเราต้องรู้จักพอใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องหนึ่ง  สมมุติว่าท่านกำลังเดินออกไปหาทรัพย์สินในทะเล ท่านรู้ว่ามีทรัพย์สินจมอยู่ใต้ก้นทะเลมากมาย และมีทรัพย์สินที่ลอยอยู่ในทะเลเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ ลาภสักการะ คำชื่นชมยินดี คำสรรเสริญนานา  ถ้าท่านมีอุปกรณ์ เบ็ด แห อวน ไฟฟ้าช๊อต ท่านอยากใช้สิ่งใด  (เบ็ด)  ถ้าเรารู้จักพอ เบ็ดคันเดียวก็พอแล้ว ได้เท่าไรเอาเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์นั้นมีปัญญามาก  เบ็ดอย่างเดียวนั้นยังรู้สึกไม่พอ จากเบ็ดถักทอเป็นแห จากแหเปลี่ยนเป็นอวน จากอวนเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าช็อต ช็อตให้ลอยขึ้นมาให้หมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในความเป็นจริงของมนุษย์ถ้ามีทองอยู่กะละมังหนึ่ง ใครหยิบทองก้อนเดียวยกมือขึ้น ถ้ากะละมังเป็นทองด้วยก็คงหยิบทั้งกะละมัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่าทองในนี้เปรียบเทียบได้กับทรัพย์สินในพื้นพิภพนี้มีอยู่กะละมังเดียว ท่านเอาไปคนเดียวหมด ใช้หมดไหม (ไม่หมด)  แล้วเวลาหิ้วไปอันตรายไหม (อันตราย)  แปลว่าโดยปกติพื้นฐานของตัวเรานั้น เมื่อเห็นแล้วเราโลภทันที  พอโลภแล้วไม่กลัวอันตรายด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วคิดถึงคนอื่นไหม ไม่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอย่าโลภเลยดีไหม (ดี) เวลาโกรธเราก็แค่ทำร้ายคนที่เราโกรธ ไม่ได้ทำร้ายใคร  แต่เวลาเราโลภที เราทำร้ายคนทั้งพิภพ ทำร้ายคนทั้งโลกเลยนะ เคยตรองกันบ้างหรือเปล่า และบางครั้งหาภัยให้กับตนเองอีกด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเกิดเราเห็นเงินตกอยู่ตรงหน้าปึกหนึ่ง อย่าบอกนะว่าจะหยิบใบเดียว ใครไม่หยิบยกมือขึ้น ใครที่ยังหยิบขอสักใบหนึ่งก็ยังดียกมือขึ้น ถ้าท่านยอมรับก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนยอมรับแถมอ้างอีก หยิบไปก่อนแล้วค่อยไปคิดว่าจะให้ตำรวจดีหรือเก็บไว้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าเรื่องเงียบๆ ไปเงินนั้นก็เก็บเข้ากระเป๋า แต่ถ้าเรื่องครึกโครมเมื่อไร ก็ค่อยรีบไปส่งตำรวจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมช่างใจร้ายขนาดนี้ เวลาเงินท่านหาย ของท่านหาย ท่านหาไหม (หา)ท่านเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  แล้วทำไมไม่คิดถึงคนอื่นบ้างล่ะ  ฉะนั้นเมื่อไรที่มีความโลภจงคิดชั่งใจถึงโทษและนึกถึงหัวอกของผู้อื่นบ้าง  จะทำให้เราไม่กล้าโลภมาก (ใช่ไหม)  และบางครั้งไม่กล้าโลภมากอย่างเดียวยังไม่พอจะทำให้เราโลภไม่ลงด้วย  แต่ปัจจุบันนี้มีใครบ้างที่เห็นทองอยู่ตรงหน้า เห็นเงินอยู่ตรงหน้า เห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ไม่คว้าเอาใช่ไหม  เปลี่ยนจากรูปธรรมเป็นนามธรรมบ้าง  บางครั้งเป็นตำแหน่งชื่อเสียง  เราเริ่มเห็นแล้วว่าคนนี้จะอยู่ได้ไม่นานก็ใส่ไฟใหญ่ ว่าเขาใหญ่ เราเริ่มเห็นแล้วว่าเพื่อนคนนี้ไม่มีใครรัก เราจะสามารถเป็นคนที่ไปแทนคนนี้ได้  เราก็เลยช่วยกันคุให้คนนี้เน่าเข้าไปอีก เสียไปอีกด้วยตัวของเรา  เช่นนี้เป็นความโลภไหม  เรารู้แล้วว่าเก้าอี้นี้เขาจะนั่งได้ไม่มั่นคง  เราช่วยเขาเลื่อยขาเก้าอี้ให้ไวขึ้น  เราช่วยโยกให้เขานั่งไม่ติดมากขึ้นใช่หรือไม่  คิดไปคิดมาตัวเรานอกจากมีความทุกข์เป็นของตัวเองแล้ว ตัวเรายังเป็นพญามารแห่งการสร้างทุกข์อีก เป็นโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ เพราะความอยากของเราเท่านั้นเองใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเกิดความอยากขึ้นมาจงคิด พินิจ ไตร่ตรองให้ดีแล้วความอยากของเราจะไม่เป็นความโลภที่ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร หรือย้อนกลับมาทำร้ายตัวตนเองด้วยจริงหรือเปล่า  ต่อไปจะละความหลงอย่างไร (ไม่ยึดติดกับลักษณะภายนอก)  คนบางคนนั้นหลงเพราะว่าเห็นแต่รูปลักษณ์ภายนอก  เหมือนตัวท่านเห็นเสื้อสวยก็เพราะมองและใจชอบใช่หรือไม่  มีใครมีวิธีแก้อีก  จริงๆ แล้วทุกท่านในชั้นนี้ต่างมีปัญญา  รู้ว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข รู้ว่าทำอย่างไรที่ตัวเองจะไม่ต้องทุกข์ใช่ไหม แต่ความสุขที่มนุษย์หานั้น ใช่เป็นความสุขที่เกิดจากการดับกิเลส ดับตัณหาราคะหรือไม่  ถ้าใช่ก็ได้เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ  อย่างเช่นความสุขที่เกิดจากได้ของต้องประสงค์  ความสุขที่เกิดจากคนนิยม ชมชอบ ชื่นชม ยินดีใช่หรือไม่  วันนี้อยากนั่งแล้วมีความสุขไหม (อยาก)  ถ้าอย่างนั้นจงสุขตรงนี้ให้ได้ ถ้าสุขตรงนี้ได้พอออกไปข้างนอกก็สุขได้ง่าย ถ้าชอบอะไรง่ายๆ ก็จะสุขง่าย  ถ้าชอบอะไรยากๆ ก็จะสุขยากจริงไหม (จริง) เหมือนวันนี้แม้ดูหน้าอย่างนี้จะไม่ชอบ แต่ลองทำใจให้ชอบดูแล้วจะมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าดูยังไงก็ไม่ชอบ นั่นก็จะเกิดความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะชอบอย่างไรให้ไม่หลง หลายคนเห็นหน้าอย่างนี้ สวย ชอบ อยู่ใกล้เขาแล้วมีความสุข แต่พอชอบมากๆ ก็หลง หลงแล้วติด ติดแล้วแกะไม่ออก  แล้วก็เลยทุกข์ใช่หรือเปล่า 
ฉะนั้นชอบแล้วก็ต้องรู้จักเกลียดเล็กๆ ด้วย แล้วท่านจะไม่หลงเขาหมดทั้งใจจริงหรือเปล่า (จริง) วันนี้ท่านจะเกลียดเราๆ ก็ไม่ว่านะ ท่านจะได้ไม่ยึดติดรูปลักษณ์นี้ เหมือนท่านฝ่ายชายเห็นฝ่ายสาว ท่านมองดูดีไปเสียหมด ท่านจะหลงเขาอย่างหัวปักหัวปำ ไม่ว่าจะยิ้ม ไม่ว่าจะเอื้อนเอ่ย ไม่ว่าจะขยับเขยื้อน กิริยาวาจา ท่านก็มองสวยไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อไรท่านเห็นน่าเกลียดสักนิดหนึ่ง  ท่านจะไม่หลงเขาหมดทั้งใจ  ยังรู้จักพอก่อนนะใจเรา จริงหรือไม่ เหมือนกันฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นไม่ว่าเราจะหลงชอบสิ่งใดก็ตาม ความหลงเกิดจากพื้นฐานตรงคำว่า “ชอบ”  ถ้าเกิดเมื่อไรความชอบได้พอกพูนมากจนไม่มีคำว่า “เกลียด” ก็จะหลง  แต่ถ้าชอบพอกพูนมากแค่ไหนก็ยังมีคำว่าเกลียดได้ลง ก็จะไม่มีทางหลงจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เกียรติยศ ชื่อเสียง นานาสรรพสิ่ง เมื่อไรที่เราชอบแล้วเรากลัวว่าเราจะหลงต้องหาข้อผิดพลาดให้เจอ แล้วเราจะถอนใจเราได้บ้าง ก็จะไม่ทุกข์กับสิ่งนั้นจริงหรือไม่ (จริง)  โลภ โกรธ หลง ตัดได้แล้วสามอย่าง คราวนี้ออกไปคงทุกข์ไม่เป็นแล้วนะ ว่าอย่างไร ยังทุกข์เป็นอีกหรือเปล่า (เป็น) เพราะว่ายังเป็นเสือยิ้มยากอยู่ เพราะยังเป็นเสือที่ไม่ยอมตัดเขี้ยวถอนเล็บ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเป็นเสือที่ยังไม่ยอมถอดลายจริงๆ เสือของท่านก็เลยพร้อมที่จะพาตัวเองไปเจอทุกข์ได้เสมอๆ  
ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักสิ่งหนึ่งที่จะมาควบคุมจิตใจ นั่นก็คือคุณธรรมหรือมโนธรรมสำนึก เมื่อไรที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีมโนธรรมสำนึกหรือคุณธรรมย้ำเตือนจิตใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่มีอำนาจที่จะมาทำให้ตัวเรานั้นทุกข์ได้เลยสักนิดหนึ่ง แต่ถ้าเกิดว่ามนุษย์เราไม่รู้จักควบคุม ไม่รู้จักเชื่อฟังมโนธรรมสำนึกลึกๆ ในใจ ไม่เชื่อฟังคุณธรรมที่เคยร่ำเรียนมา  โลภ โกรธ หลง ก็จะทำให้ท่านทุกข์ได้ตลอดเวลาและทุกข์ไปจนตาย เชื่อไหม (เชื่อ)  เชื่อแล้วต้องรีบไปทำ  เพราะฟังสิบรอบไม่สู้รู้ปฏิบัติหนึ่งครั้งจริงไหม (จริง) วันนี้ท่านเรียนจบไปทำข้อสอบ บางคนทำได้เต็ม บางคนทำไม่ได้เต็มเพราะอะไร  เพราะอยู่ที่ปัญญาและสติของเราด้วยว่าคิดได้ทันตอนนั้นหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะโอกาสมาเพียงชั่วครู่ ตัดสินใจเพียงชั่วแวบ เราจะช้าและเราจะพลั้งเผลอทอดทิ้งมโนธรรมสำนึกและคุณธรรมไม่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เพราะถ้าทิ้งเมื่อไรนั้น เราอาจพลั้งเผลอผิดได้โดยไม่รู้ตัว เป็นเสือที่แอบใส่เขี้ยวเล็บเขี่ยคนอื่นโดยไม่รู้ตนจริงไหม (จริง)  แล้วอยากเป็นหรือเปล่า (ไม่อยากเป็น)  ไม่อยากเป็นก็ตั้งใจฟังหน่อยนะ อย่าได้ง่วงเหงาหาวนอนเลย 
ทำดีย่อมได้ผลดี แต่บางครั้งผลแห่งการทำดีอาจไม่ได้เร็วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็จงอย่าได้ท้อ เพราะบางครั้งผลของการทำดีต้องอาศัยเวลาในการตกหล่นและสุกงอม ถ้าท่านไปเก็บก่อนจะอร่อยไหม ฉะนั้นจงพยายามทำดีไปเรื่อยๆ แม้วันนี้ยังไม่ได้รับผล แม้วันนี้ยังไม่มีคนชม ก็จงมุ่งมั่นบากบั่นทำไปเถอะ ผลในวันข้างหน้าจะยิ่งใหญ่กว่าผลในวันนี้ที่อยากได้ก็เป็นได้ใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่เรารู้แล้วว่าทำอย่างไรจะดับทุกข์ในใจตน  มนุษย์นั้นมีความทุกข์ที่เป็นมูลเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ เมื่อช่วยตัวเองไม่ได้ก็เลยไม่คิดที่จะช่วยใคร   ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราช่วยดับทุกข์ในใจท่านได้แล้ว ถ้าเกิดท่านมีเวลาขอจงเอาความทุกข์ที่ได้หายไปนี้ ที่เปลี่ยนเป็นความสุขนี้ไปช่วยคนได้หรือไม่ (ได้) โดยการ หนึ่งเริ่มต้นทำแต่สิ่งที่ดีไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร สองมีโอกาสก็ช่วยเท่าที่เราจะช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด เงินทองหรือกำลังแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าการอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มากหรือกับบ้านของเราเอง เราเริ่มต้นกันง่ายๆ ที่บ้านเราก่อน หากบ้านเราอยู่กับพ่อแม่ เราอยู่กับพี่น้อง ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ไม่ทำให้เขาทุกข์ มีแต่ทำให้เขาเป็นสุขรื่นเริง ยินดีปรีดา มีแต่ความสงบร่มเย็น แม้เราออกไปข้างนอกอยู่กับใครก็ต้องเป็นเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดอยู่ในบ้านเดี๋ยวสามวันดีสี่วันไข้ เดี๋ยววันนี้มีความยินดีปรีดา เดี๋ยวอีกวันหนึ่งนำความทุกข์โศกศัลย์ให้กับพ่อแม่ ไปอยู่ข้างนอกก็ต้องเป็นเหมือนกันจริงหรือเปล่า (จริง)  
ฉะนั้นเริ่มต้นที่ตนเอง ลงแรงที่จิตใจของตัวเองแล้วออกสู่บ้านตัวเอง เมื่อออกสู่บ้านตัวเองได้ดีพอแล้ว เมื่อไปสู่สังคมก็ย่อมดีได้ งดงามได้ใช่หรือไม่ (ใช่) คนเป็นพื้นฐานของครอบครัว ครอบครัวเป็นพื้นฐานของสังคมใช่หรือไม่ แล้วอะไรเป็นพื้นฐานของตัวบุคคล (จิตใจ) ใครสามารถยืนยันได้ว่าจิตใจของเรา    มีแต่ความดีงาม สวยสด ไม่มีความชั่วร้ายแปดเปื้อนเลยสักนิดก็ให้มีไว้ตลอดนะ อย่าเผลอไปติดสิ่งไม่ดีของใคร ใครมีดีมากกว่าร้ายยกมือขึ้น ใครว่ามีครึ่งร้ายครึ่งดียกมือขึ้น ใครว่ามีร้ายมากกว่าดียกมือขึ้น (ท่านหันต้าเซียนเมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ยอมรับว่าตนเองมีร้ายมากกว่าดี)  เพราะคนที่กล้ายอมรับพร้อมที่จะแก้ไขตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกลอนเริ่มต้นบทแรกของเรา ตลอดชีวิตของเราทุกคนไม่มีใครหรอกที่จะไม่เคยผิดพลาดใช่หรือไม่ ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครหรอกที่จะเป็นคนดีบริสุทธิ์จริงใจโดยที่ไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยอิจฉา ไม่เคยลักเล็กขโมยน้อย ไม่เคยคิดด่าทอใครในใจใช่หรือไม่ เราไม่ว่ากัน แม้แต่ตัวเราเอง แต่ก่อนที่เราเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้เราก็ยังเคยมี แต่ที่มีแล้วทุกๆ วันหมั่นแก้ไขหรือเปล่า ทุกๆ วันหมั่นสำรวจชำระล้างใจหรือไม่ หรือว่าทุกๆ วันรู้อย่างไรก็ปล่อยแบบนั้น คนแบบนี้กับคนแบบแรก อย่างไหนน่าจะพัฒนาก้าวไกลไปเป็นคนที่ประเสริฐมากกว่ากัน คนแบบแรกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะรู้ที่จะมองตัวเอง รู้ที่จะชำระล้างและรู้ที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่มีอย่างไรก็มีอย่างนั้น แย่อย่างไรก็แย่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าไม่รักก้าวหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตจะก้าวไปทำไม ในเมื่อใจไม่ก้าวตาม  ทุกๆ วันท่านเกิดมาท่านต้องก้าวไปๆ แต่ไปแต่ตัว  ใจไม่ไปจะมีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  กายยังรู้จักอาบน้ำ แต่ใจไม่เคยอาบ ไม่เคยชำระล้างสิ่งสกปรกจะมีประโยชน์เช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเริ่มต้นนั้นก็คือสังคมจะดีก็ต้องย้อนกลับไปที่พื้นฐานแรกก็คือจิตใจของคน หากวางรากฐานจิตใจที่ดี บริสุทธิ์งดงาม แม้กายจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรก็ต้องดีได้อย่างใจคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจยังสามวันดีสี่วันไข้ ยังมีความชั่วร้ายมากกว่าความดี ย่อมง่ายที่ร่างกายนี้จะเผลอทำชั่วร้ายโดยไม่รู้ตน  ฉะนั้นเราต้องเอาธรรมะมาคอยควบคุมใจ เอามโนธรรมสำนึกมาคอยหักห้ามใจ  กดข่มใจไว้  แรกๆ อาจจะต้องข่ม อาจจะต้องกด  แต่ถ้าหากทำไปโดยสม่ำเสมอเป็นนิจศีล ความกดนั้นจะกลายเป็นธรรมชาติและกลายเป็นตัวของเราเองที่มีชีวิตคู่กับธรรม มีชีวิตอยู่ด้วยธรรม และมีชีวิตตายไปพร้อมกับธรรมะ  คนเช่นนี้นับว่าประเสริฐนักแล แต่ถ้าเกิดว่าใจเรามีทั้งความดี ความชั่ว  ไม่มีมโนธรรมสำนึก ไม่มีคุณธรรมยับยั้งจิตใจ แม้กระทำสิ่งใดก็ย่อมเผลอผิด ตายไปก็ไม่มีธรรมะอยู่คู่  เมื่อไม่มีธรรมะอยู่คู่ ธรรมเป็นของบริสุทธิ์ เป็นของสะอาด เป็นของใส  เมื่อไม่มีธรรมะอยู่คู่ ใจก็ต้องตกลงเบื้องต่ำ  แม้ไม่ทุกข์วันนี้ สักวันเมื่อหมดสิ้นชีพก็ต้องกลับไปรับทุกข์ยังเบื้องล่าง จะเอาหรือ (ไม่เอา)  ฉะนั้นรู้จักควบคุมตัวเอง เรียกมโนธรรมสำนึกออกมาทุกขณะที่คิด ที่พูด ที่ทำ แล้วจะมีธรรมตลอดชีวิต ดีหรือไม่ (ดี)  เป็นคนพูดก็มีธรรม ก้าวเดินก็มีธรรม นับว่าน่าเลื่อมใสยิ่งนัก  แต่ถ้าเกิดพูดก็เบียดเบียน กระทำก็เบียดเบียนเช่นนี้แล้วเป็นคนที่น่ารังเกียจยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ในวัยเยาว์กว้างศึกษาใจประจำ การเรียนธรรมเปิดใจขอแก้ไข
วัยชราสร้างความดียังขวนขวาย แก้ไขใหม่มีดีฟ้าใสตรอง”
เมื่ออายุยังน้อยจงมีใจเปิดกว้างที่จะศึกษาทุกๆ สิ่ง  พอแก่ตัวแล้วก็จะไม่เสียดายที่ตัวเองเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออายุมากแล้วจงรู้จักอบรม สั่งสอนรุ่นหลาน แม้จะดับสิ้นไปแล้วก็ยังมีอะไรให้คนเขานึกถึง คิดถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านทำได้ไหม กลัวก็แต่ว่าเมื่อวัยเยาว์เกียจคร้านศึกษา เมื่อวัยชราท้อล้าที่จะอบรมสั่งสอน  เช่นนี้แล้วใครอยากจะนึกถึง ใครอยากจะคิดถึง จริงหรือไม่ (จริง)  ทำไมพุทธอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ   บรรพชนรุ่นก่อนๆ จึงมีที่กล่าวขานจารึก  นั่นก็คือในยามเยาว์วัยหมั่นศึกษาหาความรู้ ทุกๆ อย่างที่เป็นความรู้เปิดใจศึกษาตลอด  เมื่อแก่ตัวไปก็ย่อมมีอะไรที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลาน ใช่หรือไม่  มีบทเรียนที่ดีพร้อมจะน้อมนำให้เขาไปประพฤติไปปฏิบัติเป็นแนวทาง  เมื่อรุ่นก่อนสอนรุ่นหลัง รุ่นหลังเมื่อยืนอยู่ก็จะคิดถึงรุ่นก่อนอยู่เสมอ แม้จะตายไปแล้ว แต่ความรู้สึก หรือปณิธาน หรือคำสอนของเขาก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนเมื่อเยาว์วัยจงหมั่นศึกษา เมื่อยามชราจงอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชา อย่าได้หวงแหน แล้วเป็นอย่างไร ความรู้และความคิดที่ได้เรียนมาก็จะหล่นตกทอดสู่รุ่นหลัง แล้วท่านก็จะเป็นคนที่มีชื่อจารึกอยู่ในจิตใจของรุ่นหลังทุกๆ ขณะ ทุกๆ เวลา จริงหรือไม่ (จริง)  จะเสียก็แต่ว่าเมื่อเยาว์วัยก็เกียจคร้าน เมื่อชราก็อ่อนล้าที่จะพร่ำบ่นสอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีคำพูดคำหนึ่งให้ท่านทายก็แล้วกัน คนๆ หนึ่งทั้งตี ทั้งหยิก ทั้งเจ็บ แต่คนที่ถูกตี ถูกหยิกให้เจ็บปวดนั้นกลับรักคนที่ตีหยิกคนนั้นคือใคร (พ่อแม่)  คนที่ชอบบ่นด่าทอ แต่ในคำบ่นคำด่าทอนั้นไม่เคยมีคำเคียดแค้นชิงชังเลยแถมรัก  ยิ่งบ่นยิ่งด่าทอยิ่งรักคนที่โดนบ่นโดนด่าทอ คนนั้นคือใคร (พ่อแม่)  กับอีกบุคคลหนึ่งคืออาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่หวังดีกับเราก็คือคนๆ นี้ด้วย  
ฉะนั้นเราอย่ามองคนเพียงเปลือกนอก พ่อแม่บ่นด่าทอ ตัวเราเคยหยิกตีพ่อแม่เจ็บปวดมากมาย แต่ทำไมผลสุดท้ายก็ยังอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อวัยเยาว์เราหยิกตีพ่อแม่ พ่อแม่ก็ยังรัก  เมื่อเติบโตพ่อแม่จะบ่นจะด่าทออย่างไรแต่ในคำบ่นคำด่าทอนั้นไม่เคยแฝงความชั่วร้ายไว้ในใจเลย มีแต่หวังดี อยากให้ลูกได้ดี ใช่หรือไม่  กับอีกบุคคลหนึ่งปากไม่เคยพูดจริงเลย มีแต่พูดโกหก แต่คำโกหกนั้นก็เป็นคำที่รักและหวังดีกับเรา รู้ไหมว่าใคร  ปากพูดอย่างแต่ใจก็ยังรักเขา ปากบอกว่าเกลียดๆ ไม่รักไม่ชอบ แต่ใจก็ยังรักเขาอยู่ (สามี ภรรยา)  สามีภรรยาที่เป็นคู่ชีวิตกัน  ยังมีอีก บางครั้งเพื่อนกันเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรารักเพื่อนคนนี้มาก แต่บางทีให้ชมต่อหน้ารู้สึกอย่าไปชมเขา แต่ใจรักเขาไหม (รัก)  พี่น้องด้วยกันอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เราจะเกลียดน้องอย่างไร ปากเราจะว่าน้องอย่างไร  แต่เอาเข้าจริงๆ พอน้องเจ็บก็รีบประคบ   ประหงม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นอย่างนี้หรือเปล่า  แต่ท่านก็รู้ว่าน้ำร้อนหยอดทุกวันก็เจ็บปวด หยอดน้ำเย็นให้สักวันหนึ่งก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสียงที่ไม่ค่อยไพเราะเพราะหู แม้ใจจะคิดอีกอย่างหนึ่ง แต่โดนทุกวันใจก็กร่อนเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) อีกบุคคลหนึ่งให้ท่านทาย แม้ท่านจะเอาของอะไรของเขาไป เขาก็ไม่เคยโกรธ แม้จะเอาข้าวไปเขาก็ไม่เคยว่า แถมยินดีให้ด้วย (แม่ให้ลูก, อาจารย์ให้ความรู้กับลูกศิษย์, ปู่ย่าตายาย)  จริงๆ คำตอบมีคำตอบเดียว แต่อยู่ที่ว่าเราจะพลิกผันให้กับทุกๆ คนได้หรือเปล่า  ไม่ใช่บอกหนึ่งก็ให้แค่หนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียง ทำไมถ้ามีคนๆ นี้มาขอท่านจะให้อย่างที่ไม่กล้าปฏิเสธเลย  จริงๆ แล้วคำตอบก็คือพระภิกษุ ใช่หรือไม่ ที่เราพร้อมจะให้ของให้ข้าวถ้าท่านมาบิณฑบาตขอ   แต่เดี๋ยวนี้ให้ไหม (ให้)  ให้แต่ไม่ให้ลึกๆ ในใจใช่หรือไม่
ถ้าเราพูดว่ามีน้ำสายหนึ่งตรงกลางเป็นสีแดง แต่ตรงอื่นยังใสอยู่ท่านจะเลิกกินน้ำสายนี้ไหม (กิน,ไม่กิน)  บางคนก็เลิกกิน บางคนก็ยังไม่เลิกกิน  ถ้าเปลี่ยนเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งมีแอปเปิ้ลลูกหนึ่งเน่า ท่านจะไม่กินแอปเปิ้ลลูกอื่นเลยไหม (กิน)  ธรรมะหรือพระพุทธศาสนาแม้จะมีพระองค์หนึ่งเสีย ท่านจะโทษพระทั้งหมด ไม่บิณฑบาตพระทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะเอาคนที่เสียคนหนึ่งว่าคนทั้งหมด เช่นนี้ใครจะช่วยจรรโลงพุทธศาสนาใช่ไหม (ใช่)  
เฉกเช่นเดียวกันแม้แอปเปิ้ลลูกหนึ่งจะเน่าก็จงอย่าได้รังเกียจแอปเปิ้ลต้นนี้  แม้พุทธศาสนาจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีในใจเรา แต่ก็อย่าได้เลิกนับถือศาสนาพุทธเสีย  ไม่เช่นนั้นเกิดมาเป็นคนไม่มีศาสนาแล้วท่านจะเอาอะไรยึดเหนี่ยวตัวตนเอง อย่าบอกนะว่าเอาตัวตนเองนั่นแหละยึดตัวตนเอง แน่ใจหรือว่าตนเองนั้นตรงพอ หนักแน่นพอ ไม่หวั่นไหว ไม่มีทางหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าคน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็ยังมีดีมีร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมาตรฐานตัวเองแน่ชัดหรือว่าเที่ยงธรรม ซื่อตรง ฉะนั้นอย่าได้ทิ้งศาสนา แม้จะมีคนที่เสียไปนิดหนึ่งก็อย่าได้โทษศาสนา ไม่เช่นนั้นแล้วนอกจากเราจะไม่สืบทอดศาสนาแล้วยังจะเป็นคนที่ทำลายศาสนาในตัวตนเราอีกใช่หรือไม่  ฉะนั้นอย่าเลือกโทษแอปเปิ้ลทั้งต้นได้หรือเปล่า  อย่างนั้นถ้ามองกลับกันบ้าง เหมือนคนในห้องพระนี้ หากวันนี้เห็นเราทำแล้วไม่ดีจะโทษคนในนี้ทั้งหมดว่าไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  หากวันนี้ทำแล้วปรากฏว่าเขายกอาหารให้ท่านน้อยกว่ายกให้คนอื่น เราเหมาหมดเลยว่าไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่ที่ท่านแล้วนะ  คนๆ หนึ่งเขาเผลอทำผิดพลาดไป อย่าเหมาว่าชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางดี ใจร้ายไปไหม (ร้าย)  เพราะคนเราเมื่อยังมีชีวิต เขายังมีโอกาสกลับตัวกลับใจแก้ใหม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า  “คนล้มอย่าข้าม”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนผิดอย่าได้เหยียบย่ำซ้ำเติมเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะไม่แน่เขาผิด เขาอาจจะกลับขึ้นมายืนใหม่ เป็นคนที่แข็งกว่าเรา เป็นคนที่ผงาดสูงส่งกว่าเราก็เป็นได้  ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำว่า  “ทุกข์ทำให้มนุษย์คิดจะหลุดพ้น” หรอก ความผิดก็เฉกเช่นเดียวกัน  ไม่มีความผิดก็คงไม่มีมนุษย์คนใดที่อยากเป็นคนดีและเป็นคนประเสริฐหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ตั้งแต่ฟังเราพูดมานี้มีอะไรที่ฟังแล้วไม่เข้าใจไหม  มีอะไรที่ฟังแล้วยิ่งทำให้ง่วงไหม คงไม่ง่วงนะ อย่างนั้นคิดว่าการบำเพ็ญเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  เริ่มขัดเกลาที่ตนเอง  วางรากฐานตนเองด้วยพื้นฐานที่เที่ยงธรรมสุขุมรอบคอบ  มีจิตใจที่งดงามบริสุทธิ์ ก้าวเดินไปสู่หนทางที่ถูกต้องยุติธรรม  เมื่อทำได้เช่นนี้ก็เป็นคนที่ไม่เสียชาติเกิด  และไม่เสียชาติที่ได้รับว่าเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แต่มนุษย์ผู้ประเสริฐจะเห็นแต่ตัวตนเอง ไม่เคยช่วยเหลือใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ได้  ต้องมีใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตใจที่เมตตาเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีและจริงใจ  โดยใช้ท่าทีแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน  เข้าไปชิดใกล้และช่วยเหลือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำได้เช่นนี้เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับเขา แล้วนำพาเขาและช่วยเหลือเขาได้อย่างเป็นสุขใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
แต่จะทำอย่างไรดีในเมื่อหลายต่อหลายคนมักเป็นคนที่สละเวลาให้กับธรรมะไม่ค่อยได้ ใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือเปล่าผู้ร่วมฟัง (ใช่)  มีงานประชุมทีหนึ่ง ถึงจะได้เห็นหน้าเห็นตากัน แต่ปกติมาศึกษากันไหม ไม่ยอมมาเพราะเห็นห้องพระโล่งๆ ดูไม่มีอะไร เห็นห้องพระว่างๆ ดูไม่มีอะไรน่าสนใจ  แต่ในคำว่าว่าง ในคำว่าโล่ง ท่านมาถึงแล้วทำใจให้ว่าง ให้โล่งได้หรือยัง (ได้)  ได้แต่ยากใช่ไหม  เมื่อจุดตะเกียงทีหนึ่ง ท่านสามารถจุดไฟในใจตนให้สว่างโชติช่วงอยู่ตลอดเวลาได้หรือเปล่า  ทุกครั้งที่มาห้องพระ ในการเคลื่อนไหว ในการกระทำทุกๆ อย่างในห้องพระล้วนเป็นปริศนาธรรมสื่อให้เรารู้ สื่อให้เราคิดพินิจพิจารณา อย่าบอกว่าเห็นพระก็คือพระ แต่จงเห็นพระแล้วมีพระในใจ  เห็นไฟที่จุดอยู่แล้วจงมีไฟในใจ เห็นความโล่งความสงบที่มีอยู่จงมีความโล่งและความสงบในใจ  เห็นการกราบพระทุกขณะจิตจงมีจิตใจอยู่ทุกเวลา หากทำได้เช่นนี้ก็คือการฝึกฝนตน ควบคุมตนและรู้ตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์เรานั้นอยู่ในโลก บางครั้งใส่เสื้อ ใส่กางเกงหรือใส่รองเท้า เวลาถอดเสื้อ กางเกงหรือรองเท้า จำได้ไหมว่าถอดตอนไหน (จำไม่ได้)  ในความหมายของเรานั่นก็คือ สามารถมีสติอยู่ทุกขณะจิต สามารถรู้อยู่ทุกเวลาที่ตัวเองจะก้าวกระทำสิ่งใด  ทำไมจึงบอกว่าบำเพ็ญในครัวเรือน บำเพ็ญในบ้าน บำเพ็ญในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง นั่นก็คือถ้าสามารถบำเพ็ญตัวเองท่ามกลางความเป็นมนุษย์ในสังคมที่วุ่นวาย ท่ามกลางจิตใจที่สับสน เราสามารถควบคุมตน รู้เท่าทันตน และสามารถวางแผนตนเอง  มองเห็นการดำเนินชีวิตของตนเองได้ทุกขณะจิต  นั่นก็เรียกว่า “บำเพ็ญได้ก้าวหนึ่ง” แล้ว แต่หลายต่อหลายคนบำเพ็ญแล้วจำได้ไหมว่าถอดรองเท้าข้างซ้ายก่อนหรือข้างขวาก่อน  วางกุญแจไว้บนโต๊ะ ไว้ในห้องหรือบนเก้าอี้ บางครั้งจำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่คิดอยู่นั้นได้เคยคิดถึงธรรมะ ได้เคยนึกถึงผู้อื่นหรือเปล่า บางครั้งไม่ได้คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นการบำเพ็ญก็คือรู้จักควบคุมความเป็นไปของตัวเอง ให้อยู่ในแนวทางที่ดี แนวทางที่สงบ และตามเท่าทัน รู้ในสิ่งที่ตัวเองทำ เข้าใจในสิ่งที่มองเห็นหรือที่ตัวเองกำลังจะไปทำได้อย่างแจ่มชัด หลายต่อหลายคนรู้ในความเป็นตัวของตัวเอง แต่มองไม่เห็นภาวะรอบข้างใช่หรือไม่ จึงมีคำกล่าวว่าถ้าเกิดว่าเมื่อใดมนุษย์สามารถยึดกุมสถานการณ์รอบข้างได้ ย่อมสามารถที่จะยึดกุมจิตใจของประชาได้ ถ้าเมื่อใดสามารถเอาความรู้สึกร้อน เอาความรู้สึกเย็น ที่ใจรู้สึกไปสัมผัสกับสภาวะรอบข้างได้ เมื่อนั้นแหละมนุษย์จะสามารถรู้สภาวะที่แท้จริงของสภาวะรอบข้างได้ คำกล่าวนี้ฟังดูง่ายๆ ผ่านหูไปแต่จะมีใครที่กระทำได้จริงไหม (จริง)  เวลาลมพัดมาโดนเรา เรารู้ว่าร้อน หนาว เย็น  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจเราไปสัมผัสสภาพ เราแยกได้ไหมว่าร้อน หนาว เย็น ว่าดีหรือไม่ดี นั่นแหละเป็นจุดหนึ่งที่มนุษย์รู้จักสิ่งที่มากระทบตน แต่ไม่รู้จักเวลาตนจะไปกระทบสิ่งใด จึงยากลำบากในการมีชีวิตจริงไหม (จริง)  บางครั้งสามารถปรับสภาพแวดล้อมให้อยู่คู่กับตัวเองได้  แต่ปรับสภาพตัวเองให้อยู่กับคนๆ หนึ่งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความยากลำบากของคน  ฉะนั้นเมื่อไรที่สามารถปรับสภาพแวดล้อมให้อยู่กับตัวเองได้ เราก็ต้องปรับตัวเองให้อยู่กับสภาพแวดล้อมได้  และมองเห็นสภาพแวดล้อมอย่างถ่องแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรเราอยู่กับคนๆ หนึ่งได้ เราก็เอาสภาพนั้นแหละมาปรับแล้วประสานกลมกลืนให้อยู่กับทุกๆ คนได้ เมื่อนั้นแหละอยู่ในโลกก็เป็นสุข อยู่กับคนก็เป็นสุขแล้วเช่นนี้จะกลัวอะไร แล้วเช่นนี้จะมีอะไรให้ทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรจึงทำไม่ได้ อยู่ในโลกก็เป็นทุกข์อยู่กับคนก็ไม่เป็นสุข เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) มองโลกก็เหมือนกับคนที่มองเห็นแต่เห็นไม่ชัด
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกต้องมองเห็นได้ทั้งนอกและใน เห็นได้ทั้งด้านมืดและสว่าง  เห็นทั้งด้านที่มองเห็นและมองไม่เห็น  หลายต่อหลายคนเห็นแล้วก็เห็นเท่านั้นเอง จึงไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้ แต่ถ้าเมื่อไรท่านสามารถเห็นแล้วไม่เห็นได้ ท่านจะสามารถมองชีวิตได้ทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจว่าสัจธรรมคืออะไร  ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร และอะไรคือคำว่า “หลุดพ้น” ยากไหม  
อย่างนั้นบอกอีกอย่างหนึ่งว่า “อย่าประมาท” เตรียมพร้อมรับอยู่เสมอๆ ทำได้ไหมง่ายๆ (ได้)  อย่าประมาทในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นและอย่าหยิ่งผยองในสิ่งที่ตัวเองเห็น ทำได้ไหม (ได้)  ทุกวันพูดว่า “บำเพ็ญ”  บำเพ็ญอย่างไร หลายต่อหลายครั้งไม่เคยก้าวไปถึงการฝึกฝนให้ตัวเองหลุดพ้นเลย ก็เพราะว่าบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่รู้  ท่านยังไม่ยอมบำเพ็ญ พอรู้แล้วก็ไม่ยอมก้าวไปสักที แล้วจะ หลุดพ้นได้อย่างไร จริงหรือเปล่า (จริง)
 “เร่งบำเพ็ญในใจปลงให้ตก จิตคลายโศกมองเห็นแต่สวรรค์”
เมื่อไรที่มีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ติดในพันธนาการแห่งความคิด ไม่ติดในพันธนาการแห่งตัวตน ไม่ติดในพันธนาการแห่งอารมณ์  ท่านจะสามารถมีชีวิตอย่างอิสระ แล้วอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข มีสวรรค์อยู่บนดิน  แต่ถ้าเมื่อไรใจเรายังขึ้นอยู่กับอารมณ์ ชอบ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ย่อมยากที่จะเป็นสุขได้ แต่ถ้าเมื่อไรใจว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งความคิด ว่างเปล่าแม้คำว่า “ว่างเปล่า”  เมื่อนั้นสวรรค์ก็ย้ายมาอยู่ตรงหน้า พุทธะก็คือคนในกระจกนั่นเอง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมีกายเนื้อนี้มานับสิบปีแล้ว จะแกะจากกายนี้ยากเหลือเกินใช่ไหม (ใช่)  พอกระทบก็โกรธ พอชอบก็หลง พออยากได้ก็โลภ พอสมหวังก็เป็นสุข พอไม่สมหวัง  ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ แล้วเมื่อไรจะดีดตัวเองให้พ้นจากวัฏฏะแห่งทุกข์ สุขและตัวตนได้สักที  ถอนหายใจกันไปกี่รอบแล้ว ต้องรู้จักปล่อยบ้าง วางบ้าง ปลงบ้าง ลูกหลานย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเขาเอง ทรัพย์สินย่อมมีแนวทางเป็นของทรัพย์สินเอง อย่าไปห่วงยึดติด อย่าไปแขวนชื่อ ถ้าห่วงในทรัพย์สิน แขวนชื่อว่าสิ่งนี้เป็นของเรา เป็นของคนชื่อนี้ พอของหายไปทุกข์ไหม ปลงตกไหม (ไม่ได้)  ไม่ตกเพราะชื่อไปกับของนั้นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจอยู่กับตัวเองดีๆ ไม่เอา ไปยกให้คนโน้น ไปฝากไว้กับคนนี้ พอเขาเอาใจเราไป   ทุกข์ไหม ปลงได้ไหม (ไม่ได้) ต้องได้ ให้แล้วก็ต้องปลงเป็น ให้เขาแล้วขอเขาคืนเป็นไหม เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร สร้างใจขึ้นมาใหม่อีกดวงก็ได้  จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรกับใจท่านที่หายไปแล้ว เติมไม่เต็ม ใครที่เติมให้เราเต็มได้ ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปฝากความหวังไว้กับใคร อย่าไปฝากความสุขไว้กับสิ่งใด จงสุขที่ตนเอง จงดีที่ตัวเอง แล้วจงพ้นด้วยตัวเอง ถ้าไม่สุขด้วยตัวเอง ไม่ดีด้วย   ตัวเอง แล้วจะพ้นด้วยตัวเองได้ไหม ( ไม่ได้ ) 
สรรพสิ่งในโลกนี้ที่ท่านพยายามแสวงหา ที่ท่านพยายามสะสมให้ตัวเองมีเพิ่มพูน ลองมองดูให้ดีๆ เป็นสิ่งจริงหรือว่าเป็นของไม่แน่ ไม่เที่ยง  สรรพสิ่งที่เราวิ่งวนแสวงหา ปัจจัยสี่มีแล้วก็จงพอ  อย่าสะสมมากเกิน หากสะสมมากเกิน สิ่งที่ท่านมีมองให้ชัดๆ ว่าเป็นจริงหรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่เที่ยงแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) มีน้อยๆ ก็ทุกข์น้อย มีมากๆ ก็ทุกข์มาก จงมีน้อยๆ และจงพอใจในสุขน้อย ใครบอกว่ามีเสื้อตัวเดียวพอแล้วไม่ซื้อเพิ่ม มีเงินในธนาคารแค่นี้ก็พอแล้วไม่สะสมเพิ่ม บางครั้งเราต้องทำใจให้พอเท่านี้ไว้ก่อน เพราะเมื่อไรที่เราไม่สามารถหาได้ เราจะไปจากร่างนี้ได้อย่างสบายและอิสระ ใช่หรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าหากท่านมีเสื้อตัวเดียวยังบอกว่าไม่พออีก ต่อไปท่านก็ต้องหาไปเรื่อยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  มีเงินเท่านี้ในธนาคารท่านบอกว่าพอแล้ว ต่อไปท่านจะยังหาอีกไหม ก็จะหาน้อยลง และมีเวลาช่วยคนมากขึ้น มีเวลาให้ห้องพระมากขึ้น จริงหรือไม่ หากท่านบอกว่ามีเงินเท่านี้ไม่พอ ในใจท่านก็จะรู้สึกไม่พออยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อไรที่ท่านต้องออกจากร่างนี้ ใจที่ยังห่วงอยู่จะคลายให้เบาใส      ได้ไหม (ไม่ได้)  จะคลายให้เป็นคนสงบเย็นได้ไหม (ไม่ได้) 
ฉะนั้นจงพอและสุขเท่านี้ เมื่อไรที่ตัวเองหมดสิ้นกายตัวเองไปจะได้ไม่ต้องมีห่วง มีทุกข์ และไม่มีสิ่งใดที่ทำให้จิตนั้นหนักและขุ่นข้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้แม้จะรู้ว่าทำไม่ได้ ก็จงตอกย้ำตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ต้องดีให้ได้ เพราะเมื่อไรที่ตัวเองไป จะได้ไปได้อย่างสบาย เราไม่รู้หรอกว่าออกไปจากห้องพระนี้เราจะยังมีลมหายใจหรือไม่  ท่านก็เคยศึกษามาว่าคนแม้จะชั่วมาตลอดชีวิต แต่หากหนึ่งขณะจิตก่อนตายนั้นคิดถึงพระพุทธองค์ คิดถึงการทำดี จิตก็เบาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน  แม้ว่าวันนี้จะรู้ว่าตน     เลวร้ายเพียงใด ยังไม่สามารถเป็นคนดีได้ ขอให้ทุกขณะจิตตอกย้ำตัวเองว่าต้องดีให้ได้ ต้องมีธรรมะให้ได้ ต้องมีสำนึกให้ได้ ต้องแก้ไขให้ได้ ก็ช่วยลดหย่อนผ่อนหนักให้เป็นเบาแล้ว ใช่หรือไม่ ( ใช่ )
ก่อนจะจากกันไปวันนี้ ขอฝากเป็นเรื่องสุดท้าย แม้ไม่มีเรี่ยวแรง แต่มีใจที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดีก็พอนะ มีโอกาสก็ช่วยคน ใช่หรือไม่ แม้เราไม่มีแรง แต่ในคำพูด พูดแต่สิ่งที่ดี ใจคิดในสิ่งที่ดี อบรมสั่งสอนบุตรหลานในสิ่งที่ดี นี่ก็เป็นการบำเพ็ญตนด้านหนึ่ง ทำได้หรือเปล่า  แม้จะสูงวัยแต่ก็มากไปด้วยประสบการณ์แห่งชีวิต หากเรารู้จักถ่ายทอดสั่งสอนบุตรหลาน  หรือแม้แต่คนใกล้ชิดก็ย่อมเป็นที่จารึกและกล่าวขวัญของเขาได้เช่นกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เกี่ยงที่จะรักแม้คนที่ไม่ใช่ญาติมิตร  ไม่เกี่ยงที่จะเมตตาแม้คนที่ไม่เคยใกล้ชิด  หากทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าผู้บำเพ็ญเหมือนกัน  
การบำเพ็ญธรรมก็คือลงแรงจิตใจของตัวเอง หมั่นสร้างแต่สิ่งที่ดี  มีโอกาสฉุดช่วยผู้คน  เอาอะไรไปช่วย  ไม่ใช่เงินทองแต่คือธรรมะ  เอาธรรมะไปให้เขารู้  รู้จักชีวิต  รู้จักตนเอง  และนำพาชีวิตตนเองให้ดีงามพร้อมที่จะนำพาชีวิตคนอื่นให้ดีงามตามด้วย  นี่คือการให้ที่ประเสริฐยิ่งกว่าให้เงินทอง ทรัพย์สินใดๆ ในโลกนี้ทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สวยภายนอกมีประโยชน์อะไรถ้าภายในไม่สวยด้วย  งามภายนอกสะอาดภายนอกจะมีประโยชน์อะไรถ้าจิตใจยังหม่นหมองเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา  โลกนี้จะทุกข์จะสุข ไม่มีใครจะช่วยท่านได้นอกจากตัวท่านเอง  ผูกปมแล้วจงแก้ปม  แก้ปมด้วยความเข้าใจ  แก้ปมด้วยความเห็นจริงและยอมรับความเป็นจริงที่ตัวตนเองเป็นและที่โลกมี สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้  แม้แต่ใจของมนุษย์เองก็ยังไม่แน่นอนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความไม่   แน่นอนเราสามารถตอกย้ำสิ่งหนึ่งที่คอยยึดเหนี่ยวความไม่แน่นอนของใจนี้ได้  นั่นก็คือคุณธรรม  คุณธรรมจะช่วยทำให้ใจที่ไม่แน่นอนนี้  มั่งคงแน่นอน  และ  มุ่งมั่นไปจนสำเร็จได้ หากรู้จักที่จะบำเพ็ญตนใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้ที่เห็นว่าสวยอาจจะไม่สวยอีกต่อไป ถ้าใจมนุษย์ยังไร้ซึ่งคุณธรรม 
ผู้ปฏิบัติงานธรรม  เราขอเป็นคนๆ หนึ่งหรือพุทธะองค์หนึ่งที่ฝากรุ่นหลังไว้ในมือท่านด้วยนะ  จงช่วยประคับประคองดูแลเขาไปให้ดี  นับวันโลกปัจจุบันนี้จะหาคนที่เสียสละอย่างเขาที่มายืนข้างๆ นี้ยากเต็มทนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งภาวะเป็นแบบนี้ด้วย คนยิ่งสละได้ยาก   ทุกคนต่างแก่งแย่งแข่งขัน ทุกคนต่างเป็นคนที่ตัวเองต้องมีต้องได้ไม่เคยเสียสละให้ใคร  จึงน่ายกย่องท่านและขอให้รักษาจิตใจนี้และจงเอาจิตใจนี้โอบอุ้ม  และนำพารุ่นหลังไปให้ตลอดรอดฝั่งอย่าได้ยอมแพ้กันเสียก่อน  
วันนี้ก็คงสั้นๆ เท่านี้  เป็นธรรมดาของชีวิตมีโอกาสเจอกัน  ก็ต้องมีโอกาสที่ต้องจากลากันใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้รักษาโอกาสและการมีชีวิตของตนเองให้  ดีงาม  อย่าเผลอทำผิดบ่อยเพราะอารมณ์ชั่ววูบ  เพราะเอาแต่ใจตน  เพราะความเคยชิน  ไม่เช่นนั้นจะเสียเปล่าที่ได้บำเพ็ญตนมาใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาแต่ใจตนกันมากนัก  อย่าตามใจตนเองจนมากเกินไป เพราะตามใจตนเองมากเกินไป  เราไม่เคยเห็นดีกับใครเลย  แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองพยายามทวนใจตัวเองดูบ้าง  ทวนความยากลำบากดูบ้าง  ในความยากลำบากนั่นแหละมีตัวตนที่เข้มแข็งอยู่  แต่ในความสบายมีคนที่อ่อนแอและไม่สามารถเป็นพุทธะอยู่  อยู่ที่ท่านเลือกกันเองว่าอยากเป็นอะไร          


วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าทุกข์เพียงลำพัง  ผิดพลั้งอันใด  อย่าเอาความทุกข์วันนั้นทำร้าย     วันใหม่ที่เพิ่งมา  ใครต่างก็มีสิทธิ์พลั้ง  ให้อภัยกันเถิดหนา  คล้ายว่าเราอภัยตนนี้ไว้ก่อน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

จากทุกข์ในวันวานได้ผันแปรไป  กลับมาสดใสอีกครั้ง  และพบความสุขที่ต้องการ  มีสุขภายในความทุกข์  ตื่นเต็มตาท่ามกลางฝัน  ตั้งใจจริงบำเพ็ญไม่ยอมหลงเหมือนเดิม  
* แม้นคิดไม่ดีจะต้องแพ้ภัยตน  มุ่งอยู่กับคนโชคขึ้นกับฟ้า  คนจริงก็ควรกล้าทำกล้าแบก  และสำรวจตนเรื่อยไป
อ่อนน้อมไม่ลืมตน  ฝึกฝนด้วยเต็มใจ  ก็กว่าจะถึงวันนี้ต้องทุกข์       ต้องเหนื่อยไม่แพ้กัน เรื่องเก่าไม่เก็บมาคิด แก้ตัวไม่เพียงแก้ไข  เพื่อวันหนึ่งได้กลับคืนมาชั่วนิรันดร์ (ซ้ำ *)  ขอให้ทนในสิ่งยากทนด้วยหัวใจ

ทำนองเพลง : ขอบฟ้าไม่มีจริง
 ชื่อเพลง : ทำใจให้สบาย

อย่าทุกข์เพียงลำพัง  ผิดพลั้งอันใด  อย่าเอาความทุกข์วันนั้นทำร้าย     วันใหม่ที่เพิ่งมา  ใครต่างก็มีสิทธิ์พลั้ง  ให้อภัยกันเถิดหนา  คล้ายว่าเราอภัยตนนี้ไว้ก่อน
จากทุกข์ในวันวานได้ผันแปรไป  กลับมาสดใสอีกครั้ง  และพบความสุขที่ต้องการ  มีสุขภายในความทุกข์  ตื่นเต็มตาท่ามกลางฝัน  ตั้งใจจริงบำเพ็ญไม่ยอมหลงเหมือนเดิม  
* แม้นคิดไม่ดีจะต้องแพ้ภัยตน  มุ่งอยู่กับคนโชคขึ้นกับฟ้า  คนจริงก็ควรกล้าทำกล้าแบก  และสำรวจตนเรื่อยไป
อ่อนน้อมไม่ลืมตน  ฝึกฝนด้วยเต็มใจ  ก็กว่าจะถึงวันนี้ต้องทุกข์       ต้องเหนื่อยไม่แพ้กัน เรื่องเก่าไม่เก็บมาคิด แก้ตัวไม่เพียงแก้ไข  เพื่อวันหนึ่งได้กลับคืนมาชั่วนิรันดร์ (ซ้ำ *)  ขอให้ทนในสิ่งยากทนด้วยหัวใจ

ทำนองเพลง : ขอบฟ้าไม่มีจริง
 ชื่อเพลง : ทำใจให้สบาย


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เป็นอย่างไรนั่งฟังธรรมะ มีคนนั่งหลับหรือเปล่า (ไม่มี) สองวันนี้มานั่งฟังธรรมะแล้วเหนื่อยไหม มีความเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า (มากขึ้น) มานั่งฟังธรรมะสองวันนี้เพื่ออะไร (หาทางหลุดพ้น, เพื่อเห็นความกระจ่างของชีวิต)  มีคนตอบคำถามเดียวกันนี้หลายคำตอบ ทำให้เห็นว่าต่างคนต่างความคิด ต่างคนต่างใจ  เราอยู่ร่วมกันนั้นเป็นเรื่องยากหรือเปล่า (ยาก)  นั่งฟังธรรมะสองวันนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่ตอบว่าเพื่อหาทางหลุดพ้น เพราะว่าทางหลุดพ้นนั้นได้ไปแล้ว แต่ว่าจะหลุดพ้นได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับคนมีเงินอยู่ในมือ สมมติว่าศิษย์มีเงินอยู่ในมือคนละหนึ่งร้อยบาท ถ้าให้เอาไปซื้อของ จะซื้อของอย่างเดียวกันกลับมาไหม (ไม่)  ซื้อของคนละอย่างกลับมา  ตอนนี้ทุกคนต่างได้รับธรรมะแล้ว เหมือนมีเงินคนละหนึ่งร้อยบาทในมือ ตอนนี้จะเอาเงินหนึ่งร้อยบาทนี้ จะเอาการฟังธรรมะนี้ไปทำอะไร ฟังธรรมะก็เพื่อจะนำไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนที่ตอบมามีจุดมุ่งหมายแค่ว่าจะเป็นคนที่ดีขึ้น  บางคนบอกว่าเพื่อการหลุดพ้นเลย ก็แสดงว่าแต่ละคนนั้นถึงแม้ว่าจะมาฟังธรรมะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเข้าใจเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  
การฟังธรรมะนั้นไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้น ฟังธรรมะไปก็เพื่อเอาไปปฏิบัติเท่านั้น ส่วนการปฏิบัตินั้นจึงเป็นการทำเพื่อการหลุดพ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าคนที่ทำได้ย่อมหลุดพ้นได้ ศิษย์มั่นใจไหม (มั่นใจ)  ถ้านำไปปฏิบัติจริงๆ ก็หลุดพ้นได้  อาจารย์ถามศิษย์เพื่อเป็นการถามว่าศิษย์นั้นมั่นใจไหมว่าตนเองสามารถหลุดพ้นได้ คนที่ตอบอาจารย์ว่าหลุดพ้นได้ แต่ใจลึกๆ บอกว่าไม่แน่นะ  อย่างนี้อาจารย์ก็รู้สึกว่าไม่แน่เหมือนกัน  มันต้องอยู่ที่ใคร  (ตัวเรา) ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกศิษย์ว่าศิษย์สามารถหลุดพ้นได้ แต่ศิษย์เชื่อหรือไม่เชื่อ (ไม่เชื่อ) ถ้าไม่เชื่อเราจะหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์ไปทำข้อสอบ แม้จะอ่านหนังสือมาเต็มที่ พอไปทำข้อสอบ ทำไปก็ไม่แน่ใจว่าจะสอบได้หรือไม่ จะมีสมาธิสอบไหม (ไม่มี) เปอร์เซ็นต์ที่จะสอบผ่านมีมากไหม (ไม่มาก)  
การสอบธรรมดาในชั้นเรียนในการเรียนหนังสือ สามารถเห็นข้อสอบมาเป็นกระดาษ  เราคนทำก็มีสิทธิที่จะอ่านหนังสือก่อน แต่การสอบทางธรรมะนั้นไม่เหมือนกัน ข้อสอบไม่ได้มาเป็นกระดาษ แล้วคนสอบไม่มีสิทธิเตรียมตัวมีแต่สิทธิฝึกฝนเท่านั้น  แล้วเราคิดว่าตัวของเรานั้นดีมากเท่าไร  ข้อสอบของเบื้องบนเป็นข้อสอบที่วัดระดับจิตใจว่าอยู่ระดับไหน  ข้อสอบนั้นก็อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ถ้าหากศิษย์ตอนนี้มีจิตใจดีงามมาสอบ โดนคนยั่วโมโหหน่อยคิดว่าเราจะสอบผ่านไหม  ถ้าเราฝึกฝนมาดีคือใช้เวลาฝึกฝนมาตลอดตั้งแต่เรารับธรรมะ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ เอาจริงเอาจังในการจะลดโทสะของตัวเองลง  คิดว่าพอถึงเวลาคนมายั่วโมโหเราก็เหมือนกับที่เราเจอข้อสอบแล้วเราสามารถสอบผ่านได้  แต่ปัญหาก็คือในความเป็นจริงแล้วมีกี่คนที่เอาจริงเอาจังกับการเข้าใจตัวเอง เข้าใจว่าตัวเองมีอารมณ์โมโหแล้ว เราต้องพยายามลดลงเป็นการยากไหม (ยาก)  รู้สึกว่าสอบตกไปหลายข้อหรือยัง ฟังอย่างนี้แล้วตกไปหลายทีแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หมายความว่ายังมีโอกาสสอบใหม่ได้เรื่อยๆ 
(ยินดีต้อนรับพระอาจารย์)
เอาอะไรรับอาจารย์ (เอาความตั้งใจ)  ตั้งใจว่าเราจะฟังธรรมะให้ครบทั้งสามวันหรือเปล่า  แล้วหลังจากฟังธรรมะทั้งสามวันแล้ว จะตั้งใจปฏิบัติไหม   (ตั้งใจ) ถ้าเกิดเรื่องไม่ชอบใจ ถ้าเราท้อแท้เราจะทำอย่างไร (นึกถึงอาจารย์)  บอกอาจารย์ว่าทนไม่ไหวแล้วไปแล้วนะ อย่างนั้นหรือเปล่า  เหมือนคนกินเจอยู่บอกว่าจะเลิกกินเจแล้ว ไม่อยากจะมาห้องพระแล้ว  บอกอาจารย์ว่าจะเลิกกินเจแล้ว อธิษฐานในใจให้อาจารย์รับรู้  แต่อาจารย์แบกกรรมแทนได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นธรรมดาที่เราต้องมีความท้อแท้  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรม  เมื่อก่อนนี้เรื่องทำงานทำการมีความทุกข์ไหม (มี)  อยู่กับครอบครัวเราเป็นลูกก็ดี เป็นแม่ก็ดี เป็นพ่อก็ดี เป็นพี่ก็ดี เป็นน้องก็ดี  เรานั้นอยู่กับครอบครัวอย่างไม่มีความทุกข์เลยหรือเปล่า  เคยทะเลาะกับพี่น้องไหม (เคย)  ทุกคนนั้นมีความทุกข์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็แล้วแต่  
ฉะนั้นการหนีไปจากความทุกข์นั่นเป็นการกระทำที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  การหนีไปจากปัญหา การหนีไปจากความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องทำอย่างไร  เราต้องนึกถึงตอนที่เราจะมีครอบครัวว่าเราเอาจิตใจอะไรไปมีครอบครัว เราเอาจิตใจว่าเราจะตั้งครอบครัวๆ หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากที่จะแต่งงาน เราก็ต้องเอาจิตใจอันนี้มาใช้เวลาเรามีปัญหา เวลาที่เราจะทำงาน เวลางานของเรามีปัญหา เราก็ต้องคิดว่าตอนที่เราเรียนจบแล้ว เราจะมาทำงาน  เราเอาจิตใจประเภทไหนมาทำงาน  เราก็ต้องคงจิตใจอันนั้นไว้  เหมือนกันในยามที่เราบำเพ็ญธรรม เวลาที่เราเจอปัญหาและอุปสรรค ต้องคิดว่าอะไรที่ทำให้เราบำเพ็ญธรรม เราต้องคงจิตใจอันนั้นไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่าเราไม่อยากมีความทุกข์อีกแล้ว อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ไม่อยากจะเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เราจึงมาบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนที่เราเจอปัญหา เจอความท้อแท้ศิษย์ลืมจิตใจที่อยากจะพ้นทุกข์ ศิษย์เอาจิตใจอันนี้ไปไว้ที่ไหน  ยิ่งเรามีปัญหายิ่งเราท้อ เกิดความทุกข์ขึ้น เรายิ่งต้องคิดว่า ตอนนี้แหละเป็นตอนที่ทุกข์หนักที่สุด  เราเลยคิดว่าเราอยากจะพ้นจากทุกข์อันนี้ให้ได้ เรายิ่งต้องเร่งบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเคยบำเพ็ญมาสถานธรรมบ่อยๆ แต่พอมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่มีเวลาจะทำอย่างไร  เราก็อย่าลืมว่าการบำเพ็ญมีหลายอย่าง  อาจจะมีการบำเพ็ญที่จิตใจด้วย      ถึงแม้ว่าเวลาไม่มี แต่จิตใจของเราต้องทำอย่างไร (ต้องดีขึ้น)  เราบำเพ็ญด้านจิตใจก็ได้ ช่วงนี้ถ้าไม่มีเวลาก็ให้เน้นหนักทางด้านจิตใจ ให้จิตใจของเรานั้นดีขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เวลาเราหลับตาลงเราคิดถึงอะไรเป็นส่วนใหญ่ (คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวันนี้)  เวลาที่เราหลับตาลง บางคนอยากจะมีความก้าวหน้าทางอนาคตก็อาจจะคิดถึงวันพรุ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าอาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์เมื่อเวลาหลับตาลงนอกจากจะคิดถึงเรื่องอนาคต คิดถึงเรื่องเงินทองที่ตนเองต้องหาแล้ว เรายังต้องนึกให้ออกถึงความผิดพลาดที่เราจำเป็นต้องแก้ไข จิตใจของเรายังไม่ดีอะไรบ้าง  วันต่อๆ ไปนั้นเราตั้งใจจะทำให้ดีกว่านี้  ถ้าทุกวันๆ ที่ศิษย์หลับตาลงก่อนนอนแล้วศิษย์นึกได้อย่างนี้ ถามว่าจิตใจของศิษย์จะแย่ลงไหม  เมื่อผ่านไปหนึ่งปีจิตใจของเราก็คงไม่แย่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ง่ายๆ แค่นี้ทำได้หรือเปล่า เพราะว่าความผิดของเรา  หรือสิ่งที่เราต้องแก้ไข นิสัยของเรานั้นไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้คนอื่นเตือนชอบหรือไม่ (ไม่ชอบ) ต้องใครเตือนเอง (ตัวเราเอง) แล้วเราเตือนตัวเราบ่อยหรือเปล่า (ไม่บ่อย)  เวลาทะเลาะกันนี้ใครผิด  คนอื่นผิดเป็นส่วนใหญ่  เพราะเราเข้าใจว่าตัวเราทำอะไรไม่เคยผิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถามว่าในตัวเราหนึ่งคนมีทั้งผิด ทั้งถูกไหม (มี)  แล้วเมื่อไรผิด เวลาทะเลาะกับคนอื่นเรายังถูกเลย  แล้วเมื่อไรตัวเราถึงผิด ในความเป็นจริงเราก็เข้าใจถูกต้อง ว่าเรานั้นมีทั้งผิดทั้งถูก และเข้าใจว่าตัวเรานั้นคงจะทำผิดไปบ้างหลายหน แม้กระทั่งทะเลาะกับคนอื่นเรายังบอกว่าตัวเราถูกเลย  ฉะนั้นตอนไหนที่ตัวเราผิด บางทีกว่าจะรู้ว่าตัวเราเองทำผิดนั้นก็ต่อเมื่อ ต้องให้เราโมโหผ่านไปแล้ว ต้องให้เราเกลียดผ่านไปแล้ว ต้องให้ล้างแค้นเสร็จไปแล้ว  ถึงจะเข้าใจ ถึงจะรู้ได้ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว 
อาจารย์จะบอกให้เวลาที่เราจะนินทาคน เวลาที่เราจะว่าคน เวลาที่เราจะคุยอะไร ถ้าเรายังไม่ได้คิดเราก็ยังไม่พูดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นจะพูดโดยที่เราไม่คิด  อาจารย์อยากให้คำพูดนั้นมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของศิษย์  เราไม่ต้องพูดออกไปในสิ่งที่ไม่ดี ได้หรือไม่ (ได้) บางทีเวลาที่เราจะพูด เรายังไม่ทันคิดเลยเราก็พูดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่าก่อนที่จะพูด ก่อนที่คำพูดจะพ้นปากของเราไป ให้เราหยุดตอนนั้นได้ไหม  ตอนที่เราจะพูดไปชัดๆ เราคงคิดบ้าง  แต่ว่าหยุดตอนนั้นทันไหม (ทัน)  เวลาจะพูดว่าเขาไม่ดี เราก็หยุด ทันหรือไม่ทัน (ทัน)  อย่างน้อยก็ยังไม่ได้พูดออกไป  อย่างน้อยก็ไม่มีวจีกรรม ทำได้หรือไม่ (ทำได้)  เพราะว่าคนนั้นพูดจาไม่ระมัดระวังที่สุด  ถ้าหากเราพูดไปตามที่ใจเราอยากนั้น ต่อไปจะสร้างวจีกรรมหนักเท่าใด แต่เมื่อวันหนึ่งที่กรรมกลับมาถึงเรานั้น  เราจะไม่มีสิทธิ์รู้สึกอะไร มีแต่ต้องรับผลอย่างเดียว  ใช่หรือเปล่า  วันนี้เราชอบว่าคนอื่น ต่อไปเรามีลูกๆ มาว่าเรา เราเจ็บหรือไม่เจ็บ เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ระมัดระวังที่วจีกรรมง่ายหรือไม่ (ง่าย)  
หลายคนนั้นมีชีวิตที่มีปัญหาเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักเรียงลำดับก่อนหลัง  ศิษย์ลองยกตัวอย่างสิ (เรื่องการเรียน ต้องวางแผนว่าจะต้องเรียนอะไรบ้าง แล้วทบทวนก่อน) ถ้าหากว่าเราเอาเรื่องสำคัญๆ นั้นมาทำทีหลัง แล้วเอาเรื่องไม่สำคัญมาทำก่อน  ศิษย์เคยทำอย่างนี้หรือเปล่า (เคย)  ไหนลองพูดให้อาจารย์ฟังหน่อยสิ (ไม่รู้จักวางระเบียบให้กับตัวเอง, ไม่ได้สนใจพ่อแม่)  ไม่ได้สนใจพ่อแม่หรือ ทำไมกรรมหนักอย่างนี้ (พรุ่งนี้จะสอบ แต่เพื่อนชวนเที่ยวก็ไปเที่ยวกับเพื่อนก่อน คิดว่ากลับมาค่อยอ่านหนังสือ พอกลับมาก็เพลียหลับไป พรุ่งนี้ก็สอบไม่ได้)  เรียงลำดับเรื่องราวได้ดี เห็นภาพไหม  ฉะนั้นการที่เราทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องเรียงลำดับก่อนหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเรา  ตั้งแต่เด็กนั้นมีการเรียงลำดับเรื่องราวที่ซับซ้อนและผิดรูปแบบไปมากมาย  ปัญหาในวันนั้นเพียงนิดๆ หน่อยๆ ที่เราเรียงลำดับไม่ถูกก่อเป็นปัญหาในวันนี้ เป็นเรื่องราวใหญ่โตมากมาย
ฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้น เราจะต้องมีจิตใจที่ไม่สับสน จึงจะไม่เรียงเรื่องราวอะไรให้สับสนมากขึ้นไปอีก  ดังเช่นเราฟังธรรมะเราจะกลับไปกตัญญูต่อพ่อแม่ของเรา แต่เราคิดว่าพ่อแม่ของเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วเราก็ปล่อยไปก่อนได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ได้เพราะว่าพ่อแม่มีอายุมากกว่าเรา  แล้วอายุของท่านคอยเราหรือเปล่า (ไม่คอย)  เราต้องรู้ว่าเรานั้นควรจะทำได้เลย   ทันที  ถ้าหากว่าพ่อแม่ยังมีอะไรที่เรารู้สึกผิดบ้าง แต่เราก็อย่าลืมว่าเราก็มีอะไรที่ผิดอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพ่อแม่คิดกับเราอย่างนี้  ตอนนี้เราจะโตไหม (ไม่โต)  เป็นคนนั้นต้องหัดรู้จักที่จะอภัย ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ควรจะทำ  ในวันนี้มาฟังเรื่องการบำเพ็ญธรรม  ถ้าหากว่ากลับไปแล้วศิษย์ยังบอกว่า  ไม่เป็นไร  บำเพ็ญรอให้แก่ก่อนก็ได้  ถึงเวลาแก่แล้วมีแรงบำเพ็ญไหม (ไม่มี)  
การเรียงลำดับเรื่องราวก่อนหลังก็ต้องเรียงอย่างนี้เหมือนกัน  ตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในวัยที่ยังมีเรี่ยวแรง  แต่ว่าเราก็ต้องรู้ว่าเรานั้นจะบำเพ็ญอย่างไรจะทำงานอย่างไรไปพร้อมๆ กัน  การบำเพ็ญยุคนี้ไม่ได้ให้ศิษย์นั้นทิ้งทุกอย่างแล้วก็มาบำเพ็ญธรรม แต่ให้เราทำงานไปบำเพ็ญธรรมไปด้วย  สำคัญที่สุดคือบำเพ็ญจิตใจของเราให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่มีจิตใจโกรธ มีจิตใจที่ขี้อิจฉา มีจิตใจขี้ระแวง มีจิตใจที่เห็นคนอื่นดีไม่ได้  คนๆ นี้บำเพ็ญแล้วจะมีความสุขไหม (ไม่มี)  แล้วคนๆ นี้จำเป็นต้องบำเพ็ญธรรมไหม (จำเป็น)  ลองคิดดูที่อาจารย์บอกนั้น ศิษย์มีหรือเปล่า (มี)  ทุกคนก็มีจิตใจเช่นนี้  แต่ว่าทุกคนก็ต้องบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้คนนี้บอกว่าไม่ต้องบำเพ็ญธรรม คนนั้นก็บอกไม่ต้องบำเพ็ญธรรม  อย่างนี้โลกนี้มีใครจะบำเพ็ญธรรม  โลกนี้มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์มีไหม (ไม่มี)  ต้องเริ่มจากคนไม่ดีคนนี้แหละ  ต้องเริ่มจากตัวเราที่เราก็คิดว่าเราไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วค่อยๆ เริ่มให้    ดีขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นคนนั้นเขาดี เราก็จะดีให้เท่าคนนั้น  คนนั้นเขาแย่กว่าเราก็จะเอื้อมมือไปฉุดเขาขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เป็นวิธีการบำเพ็ญที่ง่ายไหม (ง่าย) จำเป็นจะต้องเสียเงินทองมากมายไหม  จำเป็นจะต้องใช้เวลามากไหม (ไม่จำเป็น)  แค่เราหันมามองตัวเรา  ใจของเราพอเกิดความอิจฉาขึ้นมา ทำอย่างไร (กำจัดทิ้ง) กำจัดอย่างไร (สงสารเขา ช่วยเขา, กำจัดความอิจฉาด้วยการให้เงินเขายืม)  ขจัดจิตใจที่อิจฉาไม่ใช่เอาเงินให้เขายืม (พอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอยู่, ทำใจให้เป็นกลาง, คิดว่าคนอื่นเขาทำบุญไว้มากเลยส่งให้เขาได้ดี ก็เป็นโชคดีของเขา, ชาติที่แล้วเขาคงทำบุญไว้มาก ยินดีกับเขา ,รู้จักความพอดี  ประมาณตนเอง, ทำจิตใจให้สงบ, รู้จักหักห้ามใจและก็รู้จักพอ) 
เมื่อวานฟังไปแล้วว่าแก้ความโลภแก้อย่างไร แก้ความโกรธแก้อย่างไร  แก้ความหลงแก้อย่างไร  วันนี้ศิษย์คิดว่าจะแก้ความอิจฉาแก้อย่างไร แก้ความริษยาแก้อย่างไร  ใช้มโนธรรมสำนึกใช่หรือเปล่า  ศิษย์เคยอิจฉาใครไหม  แล้วทำอย่างไรความอิจฉานั้นถึงจะลดลงได้ (สำนึกว่าไม่ควรอิจฉาเขา เป็นวาสนาของเขาที่เขาจะได้)  เวลาเราอิจฉาเขา  เราก็ต้องหันมามองจิตใจของเราทันที  อย่าไปมองในสิ่งที่เขาได้รับ  จะต้องหันหลังกลับมาทันที  แล้วศิษย์ก็มองไปข้างหน้าของศิษย์ไม่มีอะไร ของอันนั้นเป็นแค่ของสิ่งหนึ่งเท่านั้นเองที่เขาได้ ส่วนของเราว่างเปล่า เราทำอย่างไร  ไม่ใช่เกิดอิจฉาหนักกว่าเดิม  เราต้องทำความดีหรือต้องทำในสิ่งนั้นๆ ให้ได้เหมือนเขา เพราะของเรายังว่างเปล่าอยู่ ต้องมาสอนใจตัวเอง  ไม่ใช่ไปเพิ่มเติมความคิดปรุงแต่งมากมาย ยิ่งมองก็ยิ่งปรุงแต่งไปเรื่อยๆ เพิ่มความคิดไปเรื่อยๆ  ฉะนั้นต้องหันหน้าหนีไปจากสิ่งนั้นก่อนเพื่อเป็นการเตือนใจตัวเราก่อน แล้วเราก็ค่อยๆ คิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ใครจะบอกว่าสงสัยคนนี้อยากจะได้ของๆ เขา เราจึงหันหน้าหนี แต่เสียหน้าดีกว่าเสียใจ คำว่า   “เสียใจ” อาจจะหมายถึงว่าต้องมีน้ำตาแต่ก็คงไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว คำว่า   “เสียใจ” หมายความว่า จิตใจเรานั้นสูญเสียความเป็นกลางไปก็ได้เหมือนกัน  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในชีวิตของศิษย์ทุกๆ คนที่ผ่านมา ทุกคนเคยอิจฉา ทุกคนเคยมีความรู้สึกที่ไม่ยุติธรรมที่เกิดกับชีวิตของเรา แต่ว่าแข่งอะไรก็แข่งได้ แข่งเงินแข่งทองได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไหวหรือไม่ (ไม่ไหว)  ถ้าเราอยากจะได้สิ่งที่ดีก็ต้องทำในสิ่ง  ที่ดี  ศิษย์ลองนึกภาพ ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินเข้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้มีแค่ห้องสี่เหลี่ยมเท่านั้นเอง แล้วในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างไม่มีประตู เข้าไปแล้วประตูปิดตาย อยู่ในห้องนี้ที่ไม่มีแสงสว่าง  ศิษย์คิดว่าศิษย์อยู่ในห้องนี้ได้นานเท่าไร(ไม่นาน)  ไม่นานศิษย์ก็รู้สึกอึดอัดใจอยากจะออกมาใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่หากว่าตัวของศิษย์เป็นแสงสว่าง ศิษย์เข้าไปศิษย์ก็คือแสงสว่าง ถ้าตัวศิษย์คือ    หน้าต่าง เข้าไปในห้องนี้ถึงแม้ไม่มีหน้าต่าง แต่ว่าจิตใจของเรานี้มีหน้าต่าง เราก็คงไม่อึดอัดตายอยู่ในนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบ้านหลังนี้ก็หมายถึงจิตใจของเราเอง จิตใจที่อยู่ภายในของเราที่ถูกร่างกายนี้ขังไว้ ก็เหมือนบ้านที่ไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง ถึงจะมีหน้าต่างดวงตา ถึงจะมีหน้าต่างหูก็เหมือนไม่มี สิ่งที่เอาเข้าไปในหู เข้าไปในตาของเรานั้นศิษย์เอาอะไรเข้าไป ก็เอาแต่สิ่งที่มองแล้วสวยๆ งามๆ แต่ว่าเป็นกิเลสที่ฝังอยู่ในใจของเรา สิ่งที่ฝังเข้าไปก็มีแต่สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีๆ ก็ไม่ค่อยชอบฟัง อย่างนี้พอเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ซึ่งมีแต่ทางเข้าไม่มีทางออก สุดท้ายจิตใจของเรามีแต่ความคิดอิจฉา มีแต่ความคิดริษยา แล้วจิตใจของศิษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้จะทนได้หรือ จะอึดอัดหรือไม่อึดอัด (อึดอัด) 
เพราะฉะนั้นนอกจากหาสิ่งสวยงามที่เป็นกิเลส ที่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดี ทองก็ดี มีมากๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ศิษย์ต้องหันไปมองทุ่งไม้    ใบหญ้าบ้าง เพื่อให้จิตใจของเรานั้นเกิดความสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนอยู่กับปัญหาทั้งวัน แต่ถ้าบอกว่าไปมองต้นไม้บ้าง เงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าบ้าง กลับไม่ยอม ไม่ยอมหาความโปร่งสบายให้กับจิตใจ ปล่อยให้จิตใจของเรานั้นมืดและทึบ  ถ้าตัวเราคือแสงสว่างหมายความว่าอะไร  วันนี้ศิษย์มาฟังธรรมะๆ เข้าไปในตัวของเรา เข้าไปในห้องสี่เหลี่ยม  ห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้ก็มีแสงสว่างมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับตอนนี้ในใจของศิษย์ อาจารย์รู้ว่าท่ามกลางความมืดมิดนั้น บางทีเราก็คิดอะไรได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มโนธรรมสำนึกของเรานั้นมีมากกว่าความคิดบาปๆ ของเราที่เคยผ่านมาอีกใช่หรือเปล่า ตอนนี้ศิษย์มีความคิดที่ดี คิดไปในทางที่ดี มองโลกในแง่ดีมากขึ้น ใช่ไหม (ใช่) แต่ต้องอย่าลืมว่าศิษย์ต้องรักษาจิตใจดวงนี้ให้อยู่กับเราตลอดไป เพราะเราใช้ชีวิตอยู่จนแก่ อยู่จนตาย ถ้าหากว่าจิตใจของเรานับวันมีแต่จะมองโลกในแง่ร้าย นับวันก็คิดแต่เรื่องร้ายๆ มองคนอื่นก็ไม่มีอะไรดีเลย ลองดูสิว่าตัวเราในห้องทึบนั้น จิตใจของเราใน     ร่างกายนี้จะทรุดโทรมไปขนาดไหน ถ้าอยากให้อะไรๆ ดีขึ้นก็ต้องให้เราเป็นผู้เริ่ม เพราะว่าคนทุกๆ คนก็เหมือนเรา เขาก็ไม่อยากที่จะเสียสละ ไม่อยากจะเสียเปรียบใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้เราต้องยอมเสียเปรียบนิดหน่อยโดยการทำดีมากขึ้น เป็นการเสียเปรียบที่แย่หรือไม่แย่ (ไม่แย่) เวลาที่เห็นคนตาบอดเดินข้ามถนนเราทำอย่างไร (ช่วยพาเขาข้าม) เห็นเศษแก้วแตกอยู่บนพื้นเปรอะไปหมดเลย เราจะทำอย่างไร มีทั้งสีแดง สีเหลือง สีเขียว เก็บหรือไม่เก็บ (เก็บ)  เราก็ต้องคิดว่า ถ้าเราไม่เก็บก็จะมีคนเดินเข้ามาเหยียบใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่ช่วยพาเขาข้ามถนนไป  เขาเดินข้ามถนนไปยังไม่ถึงครึ่งทาง เขาอาจจะโดน    รถชนก็ได้ ถึงตอนนั้นเราเสียใจจะช่วยเขาทันหรือไม่ทัน (ไม่ทัน)  ดังนั้นเวลาที่เราช่วยคนอื่นก็คือเราช่วยตัวเราเอง ไม่ได้หมายความว่าเราช่วยคนอื่นแล้วเราต้องมีบุญคุณกับเขา ก็ไม่เสมอไปใช่หรือไม่ (ใช่) 
การช่วยคนอื่นก็คือการช่วยจิตใจของเราให้ดีขึ้น ศิษย์ของอาจารย์บอกว่าใช้มโนธรรมสำนึกสิ ใช้มโนธรรมสำนึกซึ่งทุกคนนั้นมีอยู่แล้ว แต่ทุกคนนั้นไม่ยอมใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาทำเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่งก็มีจิตใจของฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีมาอยู่ตรงหน้าเรา แล้วเขาก็เถียงกันไปเถียงกันมาว่า ทำสิ อีกคนก็บอกไม่ต้องทำ ทำแล้วเดี๋ยวก็ไม่ดี ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นอย่างนั้น เวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งจิตใจฝ่ายดีกับฝ่ายไม่ดีก็มาคุยกัน  ในที่สุดก็ปล่อยให้จิตใจฝ่าย ไม่ดีนำไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าการที่เกิดมาเป็นมนุษย์โดนเอาเปรียบมากก็เลยกลัวเสียเปรียบมาก 
ตั้งแต่วันนี้ไปมีธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวัน  เราก็แก้ไขตั้งแต่ในชีวิตประจำวันของเราดีหรือไม่ (ดี)  ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปหาข้าวให้พ่อแม่กิน ทำความคิดของเราให้ดียิ่งขึ้น ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เรียนหนังสือด้วยความขยันขันแข็ง  ในจิตใจของเรานั้นไม่มีเรื่องไร้สาระอยู่  อย่างนี้ทุกๆ วันชีวิตของเรา    สดใสไหม (สดใส)  อย่าไปยึดถือมุ่งมั่นที่อยากจะได้เงินทองลาภยศมากเกินไป ชีวิตของเราก็จะไม่หม่นหมอง  ถึงเราจนเราก็จนอย่างมีเกียรติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงเราไม่รวยกว่าเขาแต่เราก็มีพอกินพออยู่ แค่นั้นก็พอ  ถ้ามีคนเอาเงินมาให้เราสามหมื่นเอาหรือไม่เอา (เอา)  อยู่ดีๆ จะมีใครเอาเงินมาให้เราฟรีๆ ไหม (ไม่มี) เขาทำถูกหรือทำผิดที่เอาเงินมาให้ อาจารย์เคยเห็นแต่คนที่ซื่อสัตย์สุจริตได้ทีละเป็นพันไม่ถึงหมื่น ส่วนคนทำผิดได้ทีละเป็นหมื่นเป็นแสน ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่ดีๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้เราสามหมื่น อย่างนี้เขาให้เราทำถูกหรือทำผิด (ทำผิด) เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) อย่าไปมองแต่เงินต้องหันหน้าหนีจากเงินไปก่อน  แล้วเราค่อยคิด อย่าเอาตาจ้องเงินแล้วก็คิดว่าทำหรือไม่ทำ ทำอย่างนี้สุดท้ายก็ต้องทำแน่นอน  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สาว ๆ สมัยนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะอะไร  ถ้ามองตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี มลภาวะเยอะ  นอกจากนั้นก็เป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดี เลือกกินเลือกอยู่ ที่ดีๆ คัดออก ไม่ดีคัดเข้า  เวลากลางวันไม่ชอบตื่น กลางคืนไม่ชอบนอน สมัยนี้วัยรุ่นมีแต่คนนอนดึก นอนไม่ดึกไม่เรียกว่าวัยรุ่น ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) เราต้องดำรงชีวิตแบบคนที่เป็นคน เพราะว่ากลางวันคนต้องทำงาน คนสมัยก่อนทำงานกรำแดดกรำฝนได้ คนสมัยนี้ถูกฝนหน่อยก็เป็นหวัดแล้ว แสดงว่าร่างกายเรานั้นไม่ค่อยจะแข็งแรง นอกจากมองทางวิทยาศาสตร์แล้ว ในสายตาของอาจารย์ก็คือ เป็นโรคกรรมทั้งหลาย โรคจิตใจไม่ค่อยดี ไม่ใช่โรคหัวใจไม่ดีนะ 
แม้เราจะอายุมากแล้ว แต่ต้องพยายามที่จะไม่แก่ ไม่ใช่ไม่แก่แล้วไปทำเรื่องไม่ดี แต่ไม่แก่เพื่อที่เราจะได้ทำดีไปอีกนานๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำในสิ่งที่ควรทำ บางคนนั้นตลอดชีวิต สิ่งที่ควรทำๆ ไปหมดหรือยัง อายุขนาดนี้ เขาบอกว่ายังเลย จนกระทั่งก่อนถึงลมหายใจสุดท้าย ไปถามว่าสิ่งที่ควรทำนั้นทำหรือยัง ก็บอกว่ายัง  ถ้าชีวิตเป็นอย่างนี้ ก็จะไม่มีคุณค่าใช่หรือไม่  เริ่มทำตั้งแต่หนุ่มๆ ยังไม่รู้จะหมดหรือยัง  ฉะนั้นอย่าคิดว่าชีวิตเรานั้นจะอยู่อีกนาน สิบปีที่ว่านานก็ครู่เดียวเท่านั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนรับธรรมะมาแล้วสามปี ห้าปีนานไหม ไม่นานหรอก  เพิ่งรู้สึกเหมือนเมื่อวานนี้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีอยู่นี้ ที่บอกว่าเป็นสิบๆ ปีอย่าคิดว่านาน  แค่บางคนต้องเลี้ยงลูก ลูกโตสามขวบแล้ว นานหรือไม่นาน ครู่เดียวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ครู่เดียวลูกก็โตสามขวบแล้ว เราก็แก่ลงอีกสามปี แทบจะไปรู้ตัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้จักใช้คำว่า “อดทน”  ความอดทนที่เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยชอบใช้  แต่ถ้าเราได้ใช้แม้เพียงนิดหนึ่งเราก็จะได้รับผลประโยชน์จากการใช้ความอดทนของเรานิดหนึ่ง  ถ้าหากว่าวันนี้เราเริ่มใช้ วันหน้าเราก็จะได้รับผลดีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับถ้าหากมีคนเขามายั่วโมโหเรา แล้วเราต้องไปชกต่อยเขาต่อ แต่ถ้าเราไม่ชกเขา เราก็ไม่มีเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจจะไม่ต้องมีเรื่องไปถึงโรงถึงศาล ไม่ต้องมีเรื่องไปถึงครู ความอดทนนั้นมีประโยชน์ไหม (มี)  ในชีวิตของเราถ้าเราโดนคนเขาโกง เราก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน อดทนอดกลั้นจิตใจของเราที่รู้สึกเจ็บช้ำเจ็บปวด  แต่ถ้าเราใช้ความอดทนนี้ได้ เราไม่ต้องไปเอาเรื่องเขาเป็นผลดีหรือไม่ (ดี)  ต้องเป็นผลดีเช่นเดียวกัน  ฉะนั้นความอดทนนั้นมีประโยชน์ วันนี้เราใช้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากใช้ แต่วันหน้าเราจะได้รับประโยชน์จากความอดทนนั้นมากมาย   ทนที่จะไม่พูด ทนที่จะไม่คิด  ทนที่จะไม่เอาเรื่อง ทนได้ไหม (ได้)  แต่ละอย่างที่เราจะต้องไปทนนั้น มันก็มีมากมายหลายแบบ  บางทีสิ่งที่ไม่น่าจะมาเกิดกับเราเลย แต่มันก็เกิดกับเรา  เราต้องทำใจว่าเป็นกรรมของเราอย่างหนึ่งที่เราต้องเจอ  ถ้าเราไม่มีกรรมเราก็ไม่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าคนอื่นเอาเปรียบเราโดยที่เราไม่มีกรรม เราก็ถือเสียว่า ไม่เป็นไร ลำบากนิด ลำบากหน่อย ดีกว่าเรานั้นสบายโดยที่จะต้องเจออะไรอีกก็ไม่รู้ในอนาคต  ถ้าลำบากวันนี้ก็สบายวันหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากสบายวันนี้จะลำบากวันหน้า  เพราะฉะนั้นลำบากวันนี้เป็นไรไหม (ไม่เป็นไร) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แม่ครัวและผู้ปฏิบัติงานธรรมนอกห้องพระ)
ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ กันทุกคนนะ เพราะว่าตอนนี้ต่างก็มีความก้าวหน้าทางธรรม  แต่ต่างก็เหนื่อยแย่แล้ว  แต่เราไม่รู้หรอกว่าท่ามกลางความรู้สึกที่ท้อแท้ของเรานั้น  เราก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ว่าอย่าให้เราท้อมากเกินไปจะดีที่สุด อย่าท้อจนทำลายต้นกล้าที่ขึ้นมาใหม่นี้  อาจารย์บอกว่าแต่ละคนนั้นมีความก้าวหน้ามากขึ้น แม้จะนิดหน่อยอาจารย์ก็ยังดีใจ  แต่ว่าเราจะต้องรักษาระดับจิตใจของเราอย่างนี้ให้คงที่ เพราะว่าวันหนึ่งนั้นเราจะได้เป็นแรงที่ดีของอาจารย์เข้าใจไหม เวลาที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมของเรานั้นกำลังมีทุกข์มากขนาดนี้ เราก็ยังจำเป็นจะต้องเป็นคนนำพา  โดยผ่านอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอีกคนหนึ่งด้วย อยู่ด้วยกันเป็นพี่น้องกัน อะไรดีอะไรไม่ดี เตือนกันได้พูดกันได้  เข้าใจไหม อย่าเป็นศิษย์ที่เก็บกด รู้ไหม  ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะลำบาก       เหตุการณ์มาบีบตลอด ในที่สุดแล้วก็เหมือนวางระเบิดไว้กับตัวเอง ถ้าหากลำบากใจมาก มีเรื่องทุกข์ร้อนมากมาย ทำใจไม่ได้แล้วให้มองหน้าอาจารย์ ดูซิว่าจะดีขึ้นไหม 
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ทำใจให้สบาย” ทำนองเพลง “ขอบฟ้าไม่มีจริง”)
ชื่อเพลง “ทำใจให้สบาย”  เกิดมาเป็นคนนั้น  การรู้จักคนมากก็มีเรื่องมาก ฟังมากก็มีเรื่องมาก  รู้มากก็มีเรื่องมากเป็นธรรมดา  แต่การที่เรารู้อะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเราก็ต้องทำจิตใจของเราอย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่เรารู้เราเห็น  โดยเฉพาะการฟังคำคนอื่นเป็นสิ่งอันตรายที่สุดของศิษย์อาจารย์  เพราะว่าต่างคนต่างมีปาก  ต่างคนพูด  ต่างคนคิดใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็เล่าให้คนอื่นฟังจากความคิดของตัวเองที่คิด  ไม่ใช่รู้ไปตามความจริงทั้งหมด  แล้ววันหนึ่งศิษย์ไปเจอคนที่เขาใส่ความป้ายร้ายกัน  ศิษย์เชื่อเขา  แล้วไปว่าคนอื่นไปว่าคนๆ นั้นที่คนเขานินทามาให้ฟัง  ศิษย์คิดว่าถึงเวลานั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนที่เละเทะไหม  เราจะต้องถูกเรื่องราวเหล่านั้นทำให้เราเละไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแม้ว่าเราจะได้ฟัง แต่บางทีเราก็ใช่ว่าจะพูดได้ทุกเรื่อง  การฟังมานั้นทำให้คนมีอคติและลำเอียง  การมีอคติทำให้เรามองหน้าคนๆ นี้ไม่ติด  อย่างเช่น  เวลาเรามองคนๆ นี้ แล้วเราเคยฟังเรื่องมาก่อนว่าเขาเป็นคนไม่ดีอย่างไร  ถึงเวลาเราต้องไปมองหน้าเขา  เราจะมองหน้าเขาได้ติดไหม (ไม่ติด) เราก็มองหน้าเขาแบบคิดไปคิดมา คิดมาคิดไป  ฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือไม่มีจิตใจที่อคติ  เพราะว่าอคตินั้นทำให้คนลำเอียงมาก  อาจารย์พูดเรื่องนี้เพราะว่าอะไร  โอวาทซ้อนโอวาทเป็นคำว่าอะไร (มองโลกในแง่ดี) แม้ว่าอาจารย์จะพูดถึงการบำเพ็ญของศิษย์  เพื่อให้ศิษย์นั้นดีขึ้นกว่าเดิม  แม้อาจารย์จะพูดว่าสังคมของศิษย์นั้นเลวร้าย  แต่ว่าศิษย์ก็ยังต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้  ถ้าเราไม่รู้จักมองโลกในแง่ดี  จิตใจของเราจะดีได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ฉะนั้นการมองโลกในแง่ดีทำให้ใจของศิษย์สบายยิ่งขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย 
ธรรมะนั้นก็เหมือนกับดวงตาของศิษย์  ตาที่เราใช้มองทุกวันแต่เราไม่รู้สึกว่าเรามีดวงตาอยู่ใช่หรือเปล่า  ธรรมะที่ศิษย์นั้นได้รับไป  ธรรมะที่เราใช้ในชีวิตประจำวันทุกวันได้ ธรรมะที่เป็นสัจธรรมนั้นก็เหมือนกับตาของศิษย์  จริงๆ แล้วในทุกๆ เรื่องที่ศิษย์มองไป  ที่ศิษย์จะมองแล้วแก้ปัญหาได้  ศิษย์ก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้โดยใช้ธรรมะ  ไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์กล เพทุบายมาแก้เสมอไป เพียงแต่ว่ารู้จักที่จะมองโลกในแง่ดี  มองทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีเข้าไว้  แม้เราจะรู้ว่าคนๆ นี้เป็นคนร้าย บางทีเราก็ยังต้องมองโลกในแง่ดีเพื่อจิตใจของเราจะได้สบายขึ้น  จิตใจได้รับการยกระดับมากขึ้น  เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเอง  แต่ละคนมีอารมณ์โกรธ  แต่ละคนมีอารมณ์เกลียดของตัวเองทั้งนั้น  แต่เราก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ไว้  คนที่มาบำเพ็ญธรรมทุกคนไม่ใช่หมายความว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่ดีมาก่อน อาจจะหมายถึงคนที่ยังไม่ดี  แต่มาเริ่มบำเพ็ญให้ดีก็เป็นไปได้  ฉะนั้นศิษย์มาพบกันในสถานธรรมก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนนั้นจะต้องดี  ก็อาจจะมาเจอคนไม่ดีก็ได้  แต่เราต้องอย่าลืมว่าเราจะเปลี่ยนแปลงจากตัวเองให้ดีและดียิ่งขึ้น  คนอื่นก็เหมือนกัน  คนอื่นก็เปลี่ยนแปลงจากคนที่ไม่ดีให้กลายเป็นคนดียิ่งขึ้น  แต่หากว่าเรามองเขาว่าไม่ดีๆ อยู่อย่างนั้น ในที่สุดแล้วพอเขาเปลี่ยนแปลงดียิ่งขึ้น  เราก็ตกต่ำลง  เพราะเรามัวแต่ค้างคาใจในเรื่องเก่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต่างคนต่างมองตัวเอง  ย้อนมองส่องตน  บำเพ็ญตัวเองให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี) ขยันติคนอื่นให้น้อย  ขยันว่าตัวเองให้มาก  เพราะว่าไม่มีใครชอบให้ใครมาว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราก็มาว่าตัวเอง  เรามาดูตัวเรา  อะไรที่เราบอกว่าเรายังแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่แน่ ตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้นศิษย์อาจจะแก้ไขได้ก็ได้  แต่ว่าก่อนที่จะตื่นเช้ามานั้น  วันนี้ต้องพยายามก่อนใช่หรือเปล่า  ถ้าวันนี้ไม่ได้พยายามจะมีวันพรุ่งนี้ที่ดีขึ้นไหม (ไม่มี) 
อาจารย์หวังว่าพรุ่งนี้ศิษย์จะมาฟังธรรมะ กลับไปแล้วจะมาบำเพ็ญธรรม  ทำในสิ่งที่ควรทำ  รู้ในสิ่งที่ควรรู้  แก้ไขในสิ่งที่ทำได้  อย่าปล่อยให้เวลาวันหนึ่งผ่านไปก็แล้ว  สองวันผ่านไปก็แล้ว  ปีหนึ่งผ่านไปก็แล้วยังเหมือนเดิม เพราะว่าไม่มีใครสามารถรู้วันตายได้  มีแต่รู้วันเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่ศิษย์จะต้องม้วยมรณาไป แล้วเราจะมีเวลาอีกสักกี่วันที่จะให้เราทำความดี ที่จะให้เราแก้ไขตัวเอง  
เมื่อสักครู่อาจารย์พูดค้างไว้ว่า สถานธรรมกว้างใหญ่แต่ไม่ค่อยมีคน ก็ดูเหมือนบ้านร้าง  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนช่วยกันมีส่วนร่วม ช่วยกันทำให้ทุกๆ อย่างดีขึ้น อะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยจะได้อย่างที่คาดคิด แต่ศิษย์อาจจะไม่รู้ว่าทุกๆ คนก็อยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้น ทุกคนต้องช่วยกัน ความคิดเห็นส่วนตัวของเราทุกคนนั้น พยายามถอยคนละหนึ่งก้าว เอาความคิดของคนอื่นไปมีส่วนร่วม เอาความคิดของทุกๆ คนมาเป็นความคิดที่สำคัญในการนำพาเดินหน้า ยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องมีแรงมีกำลังอย่ามีแต่ความ    ท้อถอย
ใครยังไม่ได้ผลไม้จากอาจารย์ยกมือขึ้น  อาจารย์อยากจะแจกมรรคผลให้ศิษย์เหมือนอย่างตอนนี้ที่แจกให้ได้  จริงๆ แล้วมรรคผลแจกกันอย่างนี้ไม่ได้  มรรคผลคือสิ่งที่ตนเองลงแรงไปทำแล้วได้รับเอง อาจารย์ไม่สามารถแจกให้ศิษย์เหมือนกับผลไม้ที่อยู่ในมืออย่างนี้ บำเพ็ญอาจารย์ก็บำเพ็ญแทนไม่ได้ มีแต่ศิษย์นั้นต้องทำตามในสิ่งที่อาจารย์พูด หากทำไม่ได้ก็ต้องพยายาม ขอให้ทุกๆ คนเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ ขอให้รักษาตัวกันให้ดีๆ ขอให้อาจารย์ได้มีโอกาสได้เป็นอาจารย์ของพวกเจ้าตลอดไป รักษาตัวไว้ให้ดีๆ ลาก่อน


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มองโลกในแง่ดี”

ยามมองอย่าได้ฉาบฉวย พิศด้วยรอบคอบพื้นฐาน
เกสรธรรมร่วงหล่นในบ้าน จิตตะวันส่องแสงกลางใจ
วัยเยาว์เรียนธรรมเปิดกว้าง ชราสร้างความดีมีใหม่
จิตภาพงดงามสุกใส ยิ้มฉายในหน้าคนตรม
คนบำเพ็ญในใจคลายโศก มองโลกแง่ดีสุขสม
คนไกลใจใกล้เกลียวกลม คลายปมย้อนมองที่ตน 

                      

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา