วันเสาร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ลมเย็นผ่านยอดหญ้ากลายเป็นน้ำแข็ง อุปสรรคแกร่งกว่าใจคนจะสู้ไหว
แต่กระนั้นต้องฝ่าฟันจึงพ้นได้ แม้พลีชีพไม่พลีใจหลงว่ายเวียน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
นำจิตใจศรัทธาให้ปรากฏ และยอมลดซึ่งอัตตาที่ขัดขวาง
เตรียมให้พร้อมจิตใจของนักเดินทาง ใจเป็นกลางมัชฌิมาปฏิปทา
ชีวิตนี้มีเวลาช่างจำกัด เดินทางลัดยุคสามฟ้าส่งให้
ย่นระยะจากทางไกลกลายเป็นใกล้ แด่น้องที่มีจิตใจเชื่อมั่นพอ
ฟังธรรมะต้องนำกลับไปปฏิบัติ จงเคร่งครัดกับตนเองให้มากหนอ
คนเตือนคนไม่อยากฟังว่าขัดคอ ไม่รู้พอจิตโกรธานั่นหรือดี
ขอให้รู้แก้ไขตนเป็นสรณะ ความผิดจะเบาบางเมื่อเราแก้ไข
ต่างเกิดมาเพราะผลกรรมชี้นำไป จึงต้องรู้ทบทวนไวเร่งบำเพ็ญ
สามวันนี้ผู้มีบุญอยู่ร่วมกัน อย่าดูถูกตนเองนั้นให้หมองไหม้
พุทธะต่างสำเร็จไปจากคนไซร้ แล้วน้องไยไร้โอกาสอันดีงาม
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบอย่ามองข้าม
จะทำผิดทำถูกอย่างไรก็ตาม รู้เกรงขามอยู่ในสถานแห่งพุทธา
จงขวนขวายเรียนรู้ในสิ่งที่ดี ขอให้มีความเพียรสม่ำเสมอ
ในครานี้จุดเริ่มต้นอาจไม่เผลอ เมื่อนานไปอย่าเพ้อผิดให้เสียแรงเปล่า
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา ลงโลกาคุมชั้นเรียนสามวันนี้
ฟ้ามนุษย์ร่วมจัดงานที่ดี ขอน้องมีความมุ่งมั่นบำเพ็ญจริง
ขอให้มาให้ครบอย่าละเลย ความชินเคยขจัดสิ้นจิตโปร่งใส
ทางที่เดินจะต้องเลือกน้องรู้ไหม คนดีร้ายชั่วขณะจิตนำพา
ศึกษาธรรมคลายสงสัยให้สะอาด และองอาจดั่งอินทรีผงาดฟ้า
ช่วยตนเองช่วยเวไนยไม่ท้อลา ทางข้างหน้ากำหนดด้วยวันนี้เอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ยืนเคียงข้างคุมชั้นบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
สรณะ ความระลึก, ที่พึ่ง, ที่ระลึก
วันเสาร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
เห็นตนด้อยไม่เป็นตัวของตัวเอง เห็นตนเก่งมองไม่เห็นใครใครเขา
เห็นตนดีจะมึนเมาหลงตัวเรา เห็นคนเขลาอย่าเหยียบย่ำไม่มีดี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านสราญฤๅ
ชั่วชีวิตอย่าได้หยุดแก้ไข ปราชญ์มองได้ยามคับขันกระทำตอบ
คนฉาบฉวยพิศกิเลสภัยชอบ วิบากรอบด้วยเกสรแห่งกรรมบันดาล
เที่ยงรอบคอบพื้นฐานของจิตใจ บำเพ็ญในบ้านมาสู่นอกบ้าน
จิตหล่นร่วงธรรมดึงคืนสราญ ดวงจิตตะวันส่องแสงกลางฤทัย
ในวัยเยาว์กว้างศึกษาใจประจำ การเรียนธรรมเปิดใจขอแก้ไข
วัยชราสร้างความดียังขวนขวาย แก้ไขใหม่มีดีฟ้าใสตรอง
สำแดงจิตภาพงดงามสุกปลั่ง ยิ้มในฉายยิ้มกว้างสลายหมอง
แปรคนตรมคนเศร้าคนลำพอง ไม่หนีหน้าใจคล้องสามัคคีกัน
เร่งบำเพ็ญในใจปลงให้ตก จิตคลายโศกมองเห็นแต่สวรรค์
พิจารณาสุขสมมักอยู่ไม่นาน ดูดีแง่โลกควันสลายไป
เพียงใจใกล้เกลียวหมองยากสุขุม มองแต่ไกลกลุ้มที่เนตรสุกใส
ลองย้อนปมคลายตนปัญหาคลาย โลกสมมติใครเข้าใจเห็นแจ้งจริง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
เป็นอย่างไรกันบ้าง เจอหน้าเราแล้วมีแต่ความสงสัย หรือมีแต่ความกังขาอะไรหรือเปล่า เมื่อจะศึกษาสิ่งใดก็ตามบางครั้งถ้อยคำหรืออักษรไม่สามารถถ่ายทอดความเป็นจริงของสิ่งที่เขาต้องการสื่อได้ทั้งหมด บางครั้งต้องดูสีหน้า ท่าทาง ความจริงใจ และความมุ่งมั่นที่เขาจะอธิบายให้ท่านได้เข้าใจจริงแท้ว่าเขาพูด เขาต้องการถ่ายทอด เขาต้องการโน้มน้าวให้ท่านได้เข้าใจจริงแท้ และดูว่าเขามีความตั้งใจจริงหรือไม่ เหมือนเวลาท่านคุยกับใครสักคนหนึ่ง ถ้าเขากำลังเดินมาด้วยใบหน้าร้อนรน แล้วพูดกับท่านด้วย ท่าทีขึงขังและจริงจัง ท่านจะรู้สึกว่าเขาต้องการจะมาบอกอะไรเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากท่านเดินไปและเผอิญเจอคนๆ หนึ่ง เขาเดินมาเห็นท่าน เขาก็เล่าในสิ่งที่ตัวเองอยากเล่า เล่าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ท่านพอเดาออกไหมว่าระหว่างคนแรกกับคนที่สอง ใครตั้งใจ จงใจมาหาท่านเพื่อเล่าสิ่งต่างๆ ให้ท่านฟังมากกว่ากัน
บางครั้งถ้อยคำ คำพูดแม้จะตบแต่งสวยงามเพียงใด บางทีก็ไม่สื่อชัดเท่ากับใบหน้า บางครั้งใบหน้าจะดูได้ชัดเจนมากกว่าคำพูดที่เขาพยายามประดิดประดอยให้สวยสดงดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่ามีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาพูดกับท่านด้วยใบหน้าจริงจังขึงขัง คำพูดแม้จะธรรมดา ฟังง่ายๆ แต่เมื่อเล่าจนจบแล้ว กับอีกคนหนึ่งเดินมาเจอท่านด้วยความบังเอิญ พอเจอท่านก็เล่าไปเรื่อยๆ ใบหน้าก็ธรรมดาไม่ได้รีบร้อน ไม่ได้รีบเร่ง สองคนนี้ท่านว่าใคร ตั้งใจมาหาท่านแล้วเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านฟังมากกว่ากัน (คนแรก) ก็ต้องเป็นคนแรก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันหรือการสังเกตคนใดคนหนึ่งในเวลาที่เราต้องอยู่ร่วมกันนั้น ถ้อยคำที่สวยหรูอาจจะไม่สื่อความหมายที่แท้จริงเท่ากับใบหน้า จริงไหม (จริง) คนบางคนพูดกับท่านด้วยคำพูดที่สวยงาม โดยตั้งใจจะมาพูดเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอย่างตั้งใจ แต่คำพูดที่สวยงามบางครั้งฟังให้ดีๆ เขาอาจจะแอบว่าเราอยู่ในใจ จริงไหม (จริง) กับคนบางคนพูดด้วยท่าทีไปเรื่อยๆ เล่าสิ่งต่างๆ ให้ท่านฟัง เล่าความเป็นจริง เล่าเรื่องนั้น เล่าเรื่องนี้ คำพูดแม้จะไม่สวยหรู แม้จะไม่ดูจริงจัง ไม่หนักแน่น แต่ฟังไปฟังมาแล้วเขาไม่ได้ว่าอะไรเราเลย เขาแค่มีประสบการณ์ชีวิตก็มาเล่าประสบการณ์ชีวิตแลกเปลี่ยนกันฟัง เรื่องราวในโลกนี้ เดี๋ยวนี้จะดูกันแค่เพียงเปลือกนอกไม่ได้ จะฟังกันแค่หูอย่างเดียวก็ไม่พอ เดี๋ยวนี้คำสวยๆ บางครั้งดูก็เชื่อใจไม่ได้ หน้าตาดีๆ บางครั้งก็ไม่แน่ว่าใจจะดีเสมอไป จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นบางครั้งเวลาเราไปเจออะไรก็ตาม จงหยั่งใจพินิจพิจารณาให้ลึกๆ มองให้ถ่องแท้ แล้วเราจะไม่โดนสิ่งภายนอกหลอกลวงเลย ทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่ ตายังดูหูยังเปิดรับ จริงไหม (จริง) เหมือนวันนี้เฉกเช่นเดียวกัน ตาท่านมองดู หูท่านเปิดรับ ใจท่านต้องคิดพิจารณาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วแม้ตาดูหูฟัง สิ่งที่ท่านรับฟังก็อาจจะไม่รู้เรื่อง สิ่งที่ท่านฟังไปก็อาจจะคิดพิจารณาได้ไม่เข้าใจ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นอย่ามองเราแค่เพียงเปลือกนอก อย่าฟังเราแค่ใช้หูฟัง ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะไม่ได้อะไรไปเลย จะได้แค่เพียงเขามาพูดอะไรไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เห็นตนด้อยไม่เป็นตัวของตัวเอง เห็นตนเก่งมองไม่เห็นใครใครเขา
เห็นตนดีจะมึนเมาหลงตัวเรา เห็นคนเขลาอย่าเหยียบย่ำไม่มีดี”
เคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม (เคย) บางครั้งเรามองตัวเราเอง แขน หน้าตา ทรงผม รูปร่าง ไม่พอใจในตัวเองเลย มองอะไรก็ไม่ดีไปหมด ใช่ไหม (ใช่) บางคนหน้าตาแบบนี้ รูปร่างแบบนี้ ไปทำสิ่งใดก็รู้สึกว่าไม่สำเร็จ ไม่ดีเลย ไม่มีใครสนใจเลย พอรู้สึกว่าตนเองไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมดเลยจริงไหม (จริง) หากกลับกัน ถ้าเกิดว่าเห็นว่าตนเองดีและเก่ง ไม่ว่าจะเป็นแขน หน้าตา มันสมอง รูปร่างและปัญญา พอคิดว่าตนเองดี จะทำอะไรหรือขยับไปนิดหนึ่ง แม้คนไม่มองก็คิดว่าเขามอง ทำไปนิดหนึ่งแม้จะยังไม่สำเร็จ แต่ก็คิดว่าต้องมีคนชมแน่นอนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งเวลาเห็นตัวเองดีมากเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเหมือนลอยสูงกว่าใครๆ ทั้งที่เท้าเหยียบพื้น เป็นไหม (เป็น) แต่เมื่อไรที่เห็น ตัวเองแย่แม้เท้าจะเหยียบพื้น แต่กลับรู้สึกว่าตนเองต่ำเตี้ยกว่าใครๆ เขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะใครทำให้เราเป็นเช่นนี้ เพราะคนอื่นหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะ ตัวเราหรือก็ไม่แน่ใช่หรือไม่ หนึ่งคือมองตัวเราก่อน สองไปมองคนอื่น เราแขนยาวแค่เท่านี้ แต่พอเห็นคนอื่นแขนยาวกว่าก็รู้สึกว่ายาวดีกว่าสั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ผิวหนังเราเป็นแบบนี้ แต่พอไปเห็นของเขา เขาสวยกว่าใช่ไหม (ใช่) ที่เราเห็นคนอื่นดีกว่าแล้วตัวเราเองด้อยกว่า นั่นก็เพราะเราเปรียบเทียบ ถ้าเราเปรียบเทียบแล้วเชื่อมั่นในตัวเองก็จะเป็นคนเก่ง แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้วไร้ความ เชื่อมั่นในตัวเองก็จะเป็นคนด้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนวันนี้ถ้าเราอยู่กับท่าน คุยกับท่านแล้วยกยอตัวเอง ชื่นชมตัวเองแล้วมองเห็นท่านเตี้ยต่ำต้อย ท่าน สนใจจะคุยกับเราไหม (ไม่สนใจ) ในทางกลับกันถ้าวันนี้เราคุยกับท่าน เราเห็นตัวเราแย่ ต่ำต้อยแต่ตัวท่านเลิศลอยสูงเด่น ตัวเราอยากคุยกับท่านไหม (ไม่อยาก) แล้วท่านอยากคุยกับเราไหม (อยาก) เวลาเราได้คุยกับใครที่เขาต่ำกว่า เรารู้สึกภูมิใจเหลือเกิน ได้เหนือกว่าเขาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งถ้าเกิดลืมยั้งคิดแตะไปโดนเขาหน่อยให้เขาเจ็บปวดบ้างก็ดีใจมากใช่หรือไม่
ฉะนั้นบางครั้งถ้าเกิดอยู่ร่วมกันเหมือนวันนี้ พอเรามาถึงเขาบอกว่าเรา
เป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะเริ่มไม่อยากคุยใช่ไหม เด็กแค่นี้จะเป็นพุทธะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ ไม่มีทางเป็นไปได้ จริงหรือเปล่า เหมือนตัวท่านเองวันนี้มีคนมาเล่า มีคนมาพูดหัวข้อโน้นหัวข้อนี้ ยกยอปอปั้นว่าตนเองเป็นถึงดอกเตอร์ เป็นถึงอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย หรือเป็นเจ้าของใหญ่ของบริษัทโน้นบริษัทนี้ ทำการค้ามีเงินมากมายมาคุยกับท่าน ในใจท่านรู้สึกเหยียดเขานิดๆ จริงไหม (จริง) แล้วยังไม่ค่อยอยากฟังเขาด้วย แต่เขามีแต่ใช้ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจึงอยากฟังใช่หรือเปล่า แต่บางครั้งหากมีใครอ่อนน้อมถ่อมตนมากเกินไปเราก็อดคุยทับเขาไม่ได้ จริงไหม (จริง) พอเขาต่ำกว่าเรานิดหนึ่ง เราก็บอกเธอค้าขายหรือ ฉันก็ค้าขายแต่ค้าขายแล้วก็มีบ้านโน้น มีบ้านนี้ อดคุยทับไม่ได้จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นท่าทีเริ่มต้นในการเจอหน้ากัน หนึ่งนอกจากใบหน้าจะต้องจริงใจ ต้องมีความเป็นกันเอง แล้วคำพูดที่คุยกันด้วย อย่าทำตนเหนือเขาและอย่าทำตนต่ำกว่าเขาเกินไป ให้เป็นแบบกลางๆ พอดีๆ จึงจะคุยกันได้ เข้ากันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันแค่เริ่มต้นได้ถูกต้องแล้ว ก็ง่ายที่จะสานต่อความสัมพันธไมตรีกัน ผูกบุญสัมพันธ์กัน จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเริ่มต้นเรามาด้วยใบหน้าขึงขัง ท่าทีหยิ่งผยอง คอเชิด ท่านอยากคุยกับเราไหม (ไม่อยากคุย) แล้วท่านอยากให้เราคุยกับท่านบ้างไหม (อยาก) ถ้าอยากเราจะเอากระจกมาให้ดูว่าตอนนี้หน้าตาท่านอยากคุยกับเราจริงๆ หรือเปล่า คุยกันง่ายๆ อย่างนี้คงคุยกันได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เริ่มต้นด้วยท่าทีที่ กันเองอย่างนี้คงไปด้วยกันได้ ยังอยากจะคุยกับเราหรือเปล่า (อยาก)
เจอหน้าเราแล้วขอให้มีความสุขนะ เริ่มต้นแบบกันเองแล้วอย่างนี้คงอยู่
คุยกับเราไปได้เรื่อยๆ ได้หรือเปล่า (อยากให้ท่านอยู่นานๆ) ถ้าอยากให้อยู่นานๆ ไปอยู่กับเราข้างบนไม่ดีกว่าหรือ หลายต่อหลายท่านนั้นเมื่อบำเพ็ญได้จนถึงที่สุดแล้ว สามารถกลับคืนขึ้นไปเบื้องบน พอกลับคืนขึ้นไปแล้ว สังเกตว่าไม่มีใครลงมาสักคนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าใครที่เคยได้ไปเยี่ยมชมในพื้นใต้ดินนี้แล้ว หลายๆ คนรีบกลับมาบอกทันที จริงไหม (จริง) แปลว่าสวรรค์น่าเที่ยวจนไม่อยากกลับมา แต่นรกแม้เหยียบสักนิดหนึ่งก็อยากรีบกลับมาจริงหรือไม่ หรือดูง่ายๆ ความทุกข์ความสุขในใจของคนเราก็เฉกเช่นนรกและสวรรค์ เมื่อไรที่เรามีความสุข ความสุขนั้นเป็นความสุขที่เราขึ้นไปยืนแล้วไม่อยากลงมาสัมผัสความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อใดที่เราไปสัมผัสความทุกข์แล้ว เราอยากจะรีบวิ่งกลับมาอยู่กับความเป็นธรรมดาก็พอ หรือไม่ก็ให้ได้ดีที่สุดคือกลับไปให้สุขเหมือนเดิมก็ดีแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ชีวิตเราวนเรื่องขึ้น วนเรื่องลง วนเรื่องทุกข์วนเรื่องสุขกี่ครั้งแล้ว เราจำได้สักครั้งหนึ่งไหม (ไม่ได้) แล้วรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไรเราถึงทุกข์ เพราะอะไรเราถึงได้สุข ทำอย่างไรถึงมีความสุขมาก ทำอย่างไรถึงมีความทุกข์ (รู้เท่าทันความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวของเรา) นั่นก็คือเขาพูดว่ารู้เท่าทันว่าชีวิตต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเจอทุกข์ต้องรู้เท่าทัน ทุกคนรู้แต่ตามทันไหม (ไม่ทัน) ทุกข์มาปุ๊บก็ทุกข์ ทันทีตั้งรับไม่เคยทัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องกล้ายอมรับความจริง เมื่อมีทุกข์มากระทบใจแล้ว ถ้าเรากลับไปมีความสุขในความทุกข์ นี่คือรู้เท่าทันและรับสถานการณ์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกท่านหนึ่งที่จะตอบเชิญนะ (ลดความโลภ โกรธ หลง) ท่านว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือเป็นเหตุให้บันดาลสุข เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือไม่ ท่านชอบทุกข์ไหม (ไม่ชอบ) แล้วรู้ว่าโลภ โกรธ หลง ทำให้เกิดทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครบ้างที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ในเมื่อไม่ชอบทุกข์แล้วทำไมยังมีสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ (เพราะมีสิ่งบางอย่างมากระทบทำให้เราเกิดเหตุให้ต้องมีโลภ โกรธ หลง) แล้วสิ่งที่มากระทบใจเรา ดูง่ายๆ เหมือนพัดนี้รู้สึกได้ไหม (ไม่ได้) สมมติว่านิ้วนี้คือความโกรธ ชนพัดเข้าไปทีหนึ่งทำไมพัดไม่โกรธ เพราะพัดไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก หรือพูดง่ายๆ สั้นๆ ไม่มีตัวตน จริงไหม (จริง) แล้วทำไม พระพุทธองค์ ปราชญ์ หรือคนบางคน ทำไมเวลาเจอเรื่องความโกรธ คนบางคนไม่โกรธตอบได้ คนบางคนโกรธตอบได้อย่างกระฟัดกระเฟียด นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีชีวิตใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่อยู่ที่ว่า ตอนนั้นเราวางตนเช่นไร จริงหรือเปล่า (จริง)
มนุษย์นั้นเป็นคนที่มาหนึ่งก็ไปหนึ่ง เป็นอย่างนี้หรือเปล่า มาหนึ่งบางครั้งมีสองมีสามใช่หรือไม่ (ใช่) เคยเป็นคนที่ไม่เคยมีความรู้สึกอะไร แต่เดี๋ยวสักพักก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็ไม่มีความรู้สึกอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ถ้ามีความโกรธมากระทบ เราวางตนเป็นคนไม่มีความรู้สึกอะไร ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่ได้ก็ยังคงต้องทุกข์ต่อไป จริงหรือไม่ (จริง) ได้แต่ท่านไม่ยอมทำดู ใช่หรือไม่ (ใช่) ขออภัยนะถ้าวันนี้เราตีท่าน แล้วทำไมท่านไม่โกรธเรา ก็เพราะว่าเราไม่มีความเคืองแค้นต่อกัน เพราะดูออกว่าที่เราตีเขา เราไม่ได้ตั้งใจ นี่ท่านคิดดีใช่หรือไม่ หรือพูดง่ายๆ มองเป็นบวก แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนที่อยู่ในบ้านท่าน แต่ท่านมีความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ชอบหน้าเขา แล้วเขาเผลอมาตีหนึ่งที เป็นอย่างไร โกรธใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรอีก เพราะเรามีความรู้สึกต่อเขาอยู่ในใจ ความรู้สึกต่อตัวเขาอยู่ในใจเรา ใช่หรือไม่ ถ้าเกิดว่าใครก็ตามที่อยู่รอบๆ ข้างเขา ในใจนั้นเราไม่มีคำว่าอยู่ในใจ แม้เขาจะมากระทบเราก็จะไม่โกรธจริงหรือไม่ (จริง) แต่เป็นเพราะว่าคนที่อยู่รอบๆ ข้างตัวท่าน ล้วนมีอะไรในใจท่านจริงไหม อย่างเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง แค่สี่ท่านนี้อยู่ในตัวท่าน ท่านก็จะรู้สึกว่า พ่อเป็นคนขี้บ่น แม่เป็นคนจู้จี้จุกจิก น้องเป็นคนเอาแต่ได้ไม่เห็นใจพี่ พี่ชอบใช้น้อง สี่ความรู้สึกนี้อยู่ในใจเรา พอใครก็ตามมากระทบ ทำให้เรารู้สึกเป็นแง่ลบ เราจะโกรธใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าในสี่ท่านนี้ไม่มีอะไรอยู่ในใจเรา พอเขามากระทบ ใจของมนุษย์โดยพื้นฐานมักจะมองคนในแง่ดีไว้ก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นคนในบ้านเราใช่ไหม (ใช่) จะโกรธเขาไหม (ไม่) ฉะนั้นตอนนี้จะเริ่มต้น ไม่ใช่แค่วางตัวเองแบบไม่มีตัวตน แต่ต้องไม่มีตัวตนและในใจนั้นต้องไม่มีสิ่งร้ายในใจด้วย พอใครมากระทบเราก็จะไม่เกิดแง่ลบและความโกรธกับเขา จริงไหม (จริง) เมื่อไม่โกรธได้อย่างหนึ่งก็หมดทุกข์ไปแล้ว เหลือแค่สองอย่าง โลภกับหลง ใช่ไหม
นอกจากคนภายในแล้วบางครั้งเรายังโกรธกับคนที่อยู่ภายนอกด้วยใช่หรือไม่ คนภายนอกไม่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไร เวลาเขาแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเรามักมองเป็นแง่ลบก่อนมากกว่าแง่บวกจริงไหม (จริง) เรามักมองเป็นอคติมากกว่าเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราลองเปลี่ยนกลับกันบ้าง แม้เขาจะร้ายจะดีอย่างไรแต่ท่านดีกับเขาสม่ำเสมอ แม้เขาจะมีความเคลือบแฝงไม่ จริงใจอย่างไร แต่เรายังรู้สึกแง่บวกกับเขาเสมอ แม้เขาจะคิดทำร้ายแต่ถ้าเราดีกับเขาตอบเสมอ เขาจะกลับมาทำร้ายเราลงไหม ไม่ลงจริงไหม (จริง) ฉะนั้นใช้ท่าทีอย่างนี้ต่อคนภายนอกได้หรือไม่ (ได้) ไม่โกรธเขาแล้วด้วยจริงหรือเปล่า (จริง) แถมยังป้องกันศัตรูที่จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นนอกจากสีหน้า การกระทำแล้ว ใจเราต้องบริสุทธิ์และมองในแง่ดีด้วย จริงหรือเปล่า (จริง) เราก็จะสามารถขจัดความทุกข์ที่มีมูลเหตุมาจากความโกรธได้ แค่นี้เองทำได้หรือไม่ มองทุกท่านในที่นี้เรามั่นใจว่าทำได้ แต่ต้องตั้งรับให้ทัน อย่าเผลออารมณ์ไปก่อนความคิด อย่าเผลอให้อารมณ์ชั่ววูบหรือความคิดชั่ววูบมาอยู่เหนือปัญญาและความมีสติระลึกได้ แค่นี้เอง ทุกข์ก็ไม่มีไปแล้วหนึ่งอย่าง จริงหรือไม่
แล้วความโลภ ความหลง ใครมีวิธีตัดได้บ้าง (เป็นคนรู้จักพอกับความโลภ) สำหรับความโลภเราต้องรู้จักพอใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องหนึ่ง สมมุติว่าท่านกำลังเดินออกไปหาทรัพย์สินในทะเล ท่านรู้ว่ามีทรัพย์สินจมอยู่ใต้ก้นทะเลมากมาย และมีทรัพย์สินที่ลอยอยู่ในทะเลเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ ลาภสักการะ คำชื่นชมยินดี คำสรรเสริญนานา ถ้าท่านมีอุปกรณ์ เบ็ด แห อวน ไฟฟ้าช๊อต ท่านอยากใช้สิ่งใด (เบ็ด) ถ้าเรารู้จักพอ เบ็ดคันเดียวก็พอแล้ว ได้เท่าไรเอาเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์นั้นมีปัญญามาก เบ็ดอย่างเดียวนั้นยังรู้สึกไม่พอ จากเบ็ดถักทอเป็นแห จากแหเปลี่ยนเป็นอวน จากอวนเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าช็อต ช็อตให้ลอยขึ้นมาให้หมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความเป็นจริงของมนุษย์ถ้ามีทองอยู่กะละมังหนึ่ง ใครหยิบทองก้อนเดียวยกมือขึ้น ถ้ากะละมังเป็นทองด้วยก็คงหยิบทั้งกะละมัง ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วถ้าเกิดว่าทองในนี้เปรียบเทียบได้กับทรัพย์สินในพื้นพิภพนี้มีอยู่กะละมังเดียว ท่านเอาไปคนเดียวหมด ใช้หมดไหม (ไม่หมด) แล้วเวลาหิ้วไปอันตรายไหม (อันตราย) แปลว่าโดยปกติพื้นฐานของตัวเรานั้น เมื่อเห็นแล้วเราโลภทันที พอโลภแล้วไม่กลัวอันตรายด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วคิดถึงคนอื่นไหม ไม่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นอย่าโลภเลยดีไหม (ดี) เวลาโกรธเราก็แค่ทำร้ายคนที่เราโกรธ ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่เวลาเราโลภที เราทำร้ายคนทั้งพิภพ ทำร้ายคนทั้งโลกเลยนะ เคยตรองกันบ้างหรือเปล่า และบางครั้งหาภัยให้กับตนเองอีกด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเกิดเราเห็นเงินตกอยู่ตรงหน้าปึกหนึ่ง อย่าบอกนะว่าจะหยิบใบเดียว ใครไม่หยิบยกมือขึ้น ใครที่ยังหยิบขอสักใบหนึ่งก็ยังดียกมือขึ้น ถ้าท่านยอมรับก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนยอมรับแถมอ้างอีก หยิบไปก่อนแล้วค่อยไปคิดว่าจะให้ตำรวจดีหรือเก็บไว้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าเรื่องเงียบๆ ไปเงินนั้นก็เก็บเข้ากระเป๋า แต่ถ้าเรื่องครึกโครมเมื่อไร ก็ค่อยรีบไปส่งตำรวจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมช่างใจร้ายขนาดนี้ เวลาเงินท่านหาย ของท่านหาย ท่านหาไหม (หา)ท่านเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน) แล้วทำไมไม่คิดถึงคนอื่นบ้างล่ะ ฉะนั้นเมื่อไรที่มีความโลภจงคิดชั่งใจถึงโทษและนึกถึงหัวอกของผู้อื่นบ้าง จะทำให้เราไม่กล้าโลภมาก (ใช่ไหม) และบางครั้งไม่กล้าโลภมากอย่างเดียวยังไม่พอจะทำให้เราโลภไม่ลงด้วย แต่ปัจจุบันนี้มีใครบ้างที่เห็นทองอยู่ตรงหน้า เห็นเงินอยู่ตรงหน้า เห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ไม่คว้าเอาใช่ไหม เปลี่ยนจากรูปธรรมเป็นนามธรรมบ้าง บางครั้งเป็นตำแหน่งชื่อเสียง เราเริ่มเห็นแล้วว่าคนนี้จะอยู่ได้ไม่นานก็ใส่ไฟใหญ่ ว่าเขาใหญ่ เราเริ่มเห็นแล้วว่าเพื่อนคนนี้ไม่มีใครรัก เราจะสามารถเป็นคนที่ไปแทนคนนี้ได้ เราก็เลยช่วยกันคุให้คนนี้เน่าเข้าไปอีก เสียไปอีกด้วยตัวของเรา เช่นนี้เป็นความโลภไหม เรารู้แล้วว่าเก้าอี้นี้เขาจะนั่งได้ไม่มั่นคง เราช่วยเขาเลื่อยขาเก้าอี้ให้ไวขึ้น เราช่วยโยกให้เขานั่งไม่ติดมากขึ้นใช่หรือไม่ คิดไปคิดมาตัวเรานอกจากมีความทุกข์เป็นของตัวเองแล้ว ตัวเรายังเป็นพญามารแห่งการสร้างทุกข์อีก เป็นโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ เพราะความอยากของเราเท่านั้นเองใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเกิดความอยากขึ้นมาจงคิด พินิจ ไตร่ตรองให้ดีแล้วความอยากของเราจะไม่เป็นความโลภที่ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร หรือย้อนกลับมาทำร้ายตัวตนเองด้วยจริงหรือเปล่า ต่อไปจะละความหลงอย่างไร (ไม่ยึดติดกับลักษณะภายนอก) คนบางคนนั้นหลงเพราะว่าเห็นแต่รูปลักษณ์ภายนอก เหมือนตัวท่านเห็นเสื้อสวยก็เพราะมองและใจชอบใช่หรือไม่ มีใครมีวิธีแก้อีก จริงๆ แล้วทุกท่านในชั้นนี้ต่างมีปัญญา รู้ว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข รู้ว่าทำอย่างไรที่ตัวเองจะไม่ต้องทุกข์ใช่ไหม แต่ความสุขที่มนุษย์หานั้น ใช่เป็นความสุขที่เกิดจากการดับกิเลส ดับตัณหาราคะหรือไม่ ถ้าใช่ก็ได้เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ อย่างเช่นความสุขที่เกิดจากได้ของต้องประสงค์ ความสุขที่เกิดจากคนนิยม ชมชอบ ชื่นชม ยินดีใช่หรือไม่ วันนี้อยากนั่งแล้วมีความสุขไหม (อยาก) ถ้าอย่างนั้นจงสุขตรงนี้ให้ได้ ถ้าสุขตรงนี้ได้พอออกไปข้างนอกก็สุขได้ง่าย ถ้าชอบอะไรง่ายๆ ก็จะสุขง่าย ถ้าชอบอะไรยากๆ ก็จะสุขยากจริงไหม (จริง) เหมือนวันนี้แม้ดูหน้าอย่างนี้จะไม่ชอบ แต่ลองทำใจให้ชอบดูแล้วจะมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าดูยังไงก็ไม่ชอบ นั่นก็จะเกิดความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะชอบอย่างไรให้ไม่หลง หลายคนเห็นหน้าอย่างนี้ สวย ชอบ อยู่ใกล้เขาแล้วมีความสุข แต่พอชอบมากๆ ก็หลง หลงแล้วติด ติดแล้วแกะไม่ออก แล้วก็เลยทุกข์ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นชอบแล้วก็ต้องรู้จักเกลียดเล็กๆ ด้วย แล้วท่านจะไม่หลงเขาหมดทั้งใจจริงหรือเปล่า (จริง) วันนี้ท่านจะเกลียดเราๆ ก็ไม่ว่านะ ท่านจะได้ไม่ยึดติดรูปลักษณ์นี้ เหมือนท่านฝ่ายชายเห็นฝ่ายสาว ท่านมองดูดีไปเสียหมด ท่านจะหลงเขาอย่างหัวปักหัวปำ ไม่ว่าจะยิ้ม ไม่ว่าจะเอื้อนเอ่ย ไม่ว่าจะขยับเขยื้อน กิริยาวาจา ท่านก็มองสวยไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อไรท่านเห็นน่าเกลียดสักนิดหนึ่ง ท่านจะไม่หลงเขาหมดทั้งใจ ยังรู้จักพอก่อนนะใจเรา จริงหรือไม่ เหมือนกันฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นไม่ว่าเราจะหลงชอบสิ่งใดก็ตาม ความหลงเกิดจากพื้นฐานตรงคำว่า “ชอบ” ถ้าเกิดเมื่อไรความชอบได้พอกพูนมากจนไม่มีคำว่า “เกลียด” ก็จะหลง แต่ถ้าชอบพอกพูนมากแค่ไหนก็ยังมีคำว่าเกลียดได้ลง ก็จะไม่มีทางหลงจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เกียรติยศ ชื่อเสียง นานาสรรพสิ่ง เมื่อไรที่เราชอบแล้วเรากลัวว่าเราจะหลงต้องหาข้อผิดพลาดให้เจอ แล้วเราจะถอนใจเราได้บ้าง ก็จะไม่ทุกข์กับสิ่งนั้นจริงหรือไม่ (จริง) โลภ โกรธ หลง ตัดได้แล้วสามอย่าง คราวนี้ออกไปคงทุกข์ไม่เป็นแล้วนะ ว่าอย่างไร ยังทุกข์เป็นอีกหรือเปล่า (เป็น) เพราะว่ายังเป็นเสือยิ้มยากอยู่ เพราะยังเป็นเสือที่ไม่ยอมตัดเขี้ยวถอนเล็บ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเป็นเสือที่ยังไม่ยอมถอดลายจริงๆ เสือของท่านก็เลยพร้อมที่จะพาตัวเองไปเจอทุกข์ได้เสมอๆ
ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักสิ่งหนึ่งที่จะมาควบคุมจิตใจ นั่นก็คือคุณธรรมหรือมโนธรรมสำนึก เมื่อไรที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีมโนธรรมสำนึกหรือคุณธรรมย้ำเตือนจิตใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่มีอำนาจที่จะมาทำให้ตัวเรานั้นทุกข์ได้เลยสักนิดหนึ่ง แต่ถ้าเกิดว่ามนุษย์เราไม่รู้จักควบคุม ไม่รู้จักเชื่อฟังมโนธรรมสำนึกลึกๆ ในใจ ไม่เชื่อฟังคุณธรรมที่เคยร่ำเรียนมา โลภ โกรธ หลง ก็จะทำให้ท่านทุกข์ได้ตลอดเวลาและทุกข์ไปจนตาย เชื่อไหม (เชื่อ) เชื่อแล้วต้องรีบไปทำ เพราะฟังสิบรอบไม่สู้รู้ปฏิบัติหนึ่งครั้งจริงไหม (จริง) วันนี้ท่านเรียนจบไปทำข้อสอบ บางคนทำได้เต็ม บางคนทำไม่ได้เต็มเพราะอะไร เพราะอยู่ที่ปัญญาและสติของเราด้วยว่าคิดได้ทันตอนนั้นหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะโอกาสมาเพียงชั่วครู่ ตัดสินใจเพียงชั่วแวบ เราจะช้าและเราจะพลั้งเผลอทอดทิ้งมโนธรรมสำนึกและคุณธรรมไม่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เพราะถ้าทิ้งเมื่อไรนั้น เราอาจพลั้งเผลอผิดได้โดยไม่รู้ตัว เป็นเสือที่แอบใส่เขี้ยวเล็บเขี่ยคนอื่นโดยไม่รู้ตนจริงไหม (จริง) แล้วอยากเป็นหรือเปล่า (ไม่อยากเป็น) ไม่อยากเป็นก็ตั้งใจฟังหน่อยนะ อย่าได้ง่วงเหงาหาวนอนเลย
ทำดีย่อมได้ผลดี แต่บางครั้งผลแห่งการทำดีอาจไม่ได้เร็วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็จงอย่าได้ท้อ เพราะบางครั้งผลของการทำดีต้องอาศัยเวลาในการตกหล่นและสุกงอม ถ้าท่านไปเก็บก่อนจะอร่อยไหม ฉะนั้นจงพยายามทำดีไปเรื่อยๆ แม้วันนี้ยังไม่ได้รับผล แม้วันนี้ยังไม่มีคนชม ก็จงมุ่งมั่นบากบั่นทำไปเถอะ ผลในวันข้างหน้าจะยิ่งใหญ่กว่าผลในวันนี้ที่อยากได้ก็เป็นได้ใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่เรารู้แล้วว่าทำอย่างไรจะดับทุกข์ในใจตน มนุษย์นั้นมีความทุกข์ที่เป็นมูลเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ เมื่อช่วยตัวเองไม่ได้ก็เลยไม่คิดที่จะช่วยใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราช่วยดับทุกข์ในใจท่านได้แล้ว ถ้าเกิดท่านมีเวลาขอจงเอาความทุกข์ที่ได้หายไปนี้ ที่เปลี่ยนเป็นความสุขนี้ไปช่วยคนได้หรือไม่ (ได้) โดยการ หนึ่งเริ่มต้นทำแต่สิ่งที่ดีไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร สองมีโอกาสก็ช่วยเท่าที่เราจะช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด เงินทองหรือกำลังแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าการอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มากหรือกับบ้านของเราเอง เราเริ่มต้นกันง่ายๆ ที่บ้านเราก่อน หากบ้านเราอยู่กับพ่อแม่ เราอยู่กับพี่น้อง ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ไม่ทำให้เขาทุกข์ มีแต่ทำให้เขาเป็นสุขรื่นเริง ยินดีปรีดา มีแต่ความสงบร่มเย็น แม้เราออกไปข้างนอกอยู่กับใครก็ต้องเป็นเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดอยู่ในบ้านเดี๋ยวสามวันดีสี่วันไข้ เดี๋ยววันนี้มีความยินดีปรีดา เดี๋ยวอีกวันหนึ่งนำความทุกข์โศกศัลย์ให้กับพ่อแม่ ไปอยู่ข้างนอกก็ต้องเป็นเหมือนกันจริงหรือเปล่า (จริง)
ฉะนั้นเริ่มต้นที่ตนเอง ลงแรงที่จิตใจของตัวเองแล้วออกสู่บ้านตัวเอง เมื่อออกสู่บ้านตัวเองได้ดีพอแล้ว เมื่อไปสู่สังคมก็ย่อมดีได้ งดงามได้ใช่หรือไม่ (ใช่) คนเป็นพื้นฐานของครอบครัว ครอบครัวเป็นพื้นฐานของสังคมใช่หรือไม่ แล้วอะไรเป็นพื้นฐานของตัวบุคคล (จิตใจ) ใครสามารถยืนยันได้ว่าจิตใจของเรา มีแต่ความดีงาม สวยสด ไม่มีความชั่วร้ายแปดเปื้อนเลยสักนิดก็ให้มีไว้ตลอดนะ อย่าเผลอไปติดสิ่งไม่ดีของใคร ใครมีดีมากกว่าร้ายยกมือขึ้น ใครว่ามีครึ่งร้ายครึ่งดียกมือขึ้น ใครว่ามีร้ายมากกว่าดียกมือขึ้น (ท่านหันต้าเซียนเมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ยอมรับว่าตนเองมีร้ายมากกว่าดี) เพราะคนที่กล้ายอมรับพร้อมที่จะแก้ไขตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกลอนเริ่มต้นบทแรกของเรา ตลอดชีวิตของเราทุกคนไม่มีใครหรอกที่จะไม่เคยผิดพลาดใช่หรือไม่ ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครหรอกที่จะเป็นคนดีบริสุทธิ์จริงใจโดยที่ไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยอิจฉา ไม่เคยลักเล็กขโมยน้อย ไม่เคยคิดด่าทอใครในใจใช่หรือไม่ เราไม่ว่ากัน แม้แต่ตัวเราเอง แต่ก่อนที่เราเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้เราก็ยังเคยมี แต่ที่มีแล้วทุกๆ วันหมั่นแก้ไขหรือเปล่า ทุกๆ วันหมั่นสำรวจชำระล้างใจหรือไม่ หรือว่าทุกๆ วันรู้อย่างไรก็ปล่อยแบบนั้น คนแบบนี้กับคนแบบแรก อย่างไหนน่าจะพัฒนาก้าวไกลไปเป็นคนที่ประเสริฐมากกว่ากัน คนแบบแรกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะรู้ที่จะมองตัวเอง รู้ที่จะชำระล้างและรู้ที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่มีอย่างไรก็มีอย่างนั้น แย่อย่างไรก็แย่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าไม่รักก้าวหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วชีวิตจะก้าวไปทำไม ในเมื่อใจไม่ก้าวตาม ทุกๆ วันท่านเกิดมาท่านต้องก้าวไปๆ แต่ไปแต่ตัว ใจไม่ไปจะมีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) กายยังรู้จักอาบน้ำ แต่ใจไม่เคยอาบ ไม่เคยชำระล้างสิ่งสกปรกจะมีประโยชน์เช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเริ่มต้นนั้นก็คือสังคมจะดีก็ต้องย้อนกลับไปที่พื้นฐานแรกก็คือจิตใจของคน หากวางรากฐานจิตใจที่ดี บริสุทธิ์งดงาม แม้กายจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรก็ต้องดีได้อย่างใจคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าใจยังสามวันดีสี่วันไข้ ยังมีความชั่วร้ายมากกว่าความดี ย่อมง่ายที่ร่างกายนี้จะเผลอทำชั่วร้ายโดยไม่รู้ตน ฉะนั้นเราต้องเอาธรรมะมาคอยควบคุมใจ เอามโนธรรมสำนึกมาคอยหักห้ามใจ กดข่มใจไว้ แรกๆ อาจจะต้องข่ม อาจจะต้องกด แต่ถ้าหากทำไปโดยสม่ำเสมอเป็นนิจศีล ความกดนั้นจะกลายเป็นธรรมชาติและกลายเป็นตัวของเราเองที่มีชีวิตคู่กับธรรม มีชีวิตอยู่ด้วยธรรม และมีชีวิตตายไปพร้อมกับธรรมะ คนเช่นนี้นับว่าประเสริฐนักแล แต่ถ้าเกิดว่าใจเรามีทั้งความดี ความชั่ว ไม่มีมโนธรรมสำนึก ไม่มีคุณธรรมยับยั้งจิตใจ แม้กระทำสิ่งใดก็ย่อมเผลอผิด ตายไปก็ไม่มีธรรมะอยู่คู่ เมื่อไม่มีธรรมะอยู่คู่ ธรรมเป็นของบริสุทธิ์ เป็นของสะอาด เป็นของใส เมื่อไม่มีธรรมะอยู่คู่ ใจก็ต้องตกลงเบื้องต่ำ แม้ไม่ทุกข์วันนี้ สักวันเมื่อหมดสิ้นชีพก็ต้องกลับไปรับทุกข์ยังเบื้องล่าง จะเอาหรือ (ไม่เอา) ฉะนั้นรู้จักควบคุมตัวเอง เรียกมโนธรรมสำนึกออกมาทุกขณะที่คิด ที่พูด ที่ทำ แล้วจะมีธรรมตลอดชีวิต ดีหรือไม่ (ดี) เป็นคนพูดก็มีธรรม ก้าวเดินก็มีธรรม นับว่าน่าเลื่อมใสยิ่งนัก แต่ถ้าเกิดพูดก็เบียดเบียน กระทำก็เบียดเบียนเช่นนี้แล้วเป็นคนที่น่ารังเกียจยิ่งนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ในวัยเยาว์กว้างศึกษาใจประจำ การเรียนธรรมเปิดใจขอแก้ไข
วัยชราสร้างความดียังขวนขวาย แก้ไขใหม่มีดีฟ้าใสตรอง”
เมื่ออายุยังน้อยจงมีใจเปิดกว้างที่จะศึกษาทุกๆ สิ่ง พอแก่ตัวแล้วก็จะไม่เสียดายที่ตัวเองเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่ออายุมากแล้วจงรู้จักอบรม สั่งสอนรุ่นหลาน แม้จะดับสิ้นไปแล้วก็ยังมีอะไรให้คนเขานึกถึง คิดถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านทำได้ไหม กลัวก็แต่ว่าเมื่อวัยเยาว์เกียจคร้านศึกษา เมื่อวัยชราท้อล้าที่จะอบรมสั่งสอน เช่นนี้แล้วใครอยากจะนึกถึง ใครอยากจะคิดถึง จริงหรือไม่ (จริง) ทำไมพุทธอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ บรรพชนรุ่นก่อนๆ จึงมีที่กล่าวขานจารึก นั่นก็คือในยามเยาว์วัยหมั่นศึกษาหาความรู้ ทุกๆ อย่างที่เป็นความรู้เปิดใจศึกษาตลอด เมื่อแก่ตัวไปก็ย่อมมีอะไรที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลาน ใช่หรือไม่ มีบทเรียนที่ดีพร้อมจะน้อมนำให้เขาไปประพฤติไปปฏิบัติเป็นแนวทาง เมื่อรุ่นก่อนสอนรุ่นหลัง รุ่นหลังเมื่อยืนอยู่ก็จะคิดถึงรุ่นก่อนอยู่เสมอ แม้จะตายไปแล้ว แต่ความรู้สึก หรือปณิธาน หรือคำสอนของเขาก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดเป็นคนเมื่อเยาว์วัยจงหมั่นศึกษา เมื่อยามชราจงอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชา อย่าได้หวงแหน แล้วเป็นอย่างไร ความรู้และความคิดที่ได้เรียนมาก็จะหล่นตกทอดสู่รุ่นหลัง แล้วท่านก็จะเป็นคนที่มีชื่อจารึกอยู่ในจิตใจของรุ่นหลังทุกๆ ขณะ ทุกๆ เวลา จริงหรือไม่ (จริง) จะเสียก็แต่ว่าเมื่อเยาว์วัยก็เกียจคร้าน เมื่อชราก็อ่อนล้าที่จะพร่ำบ่นสอน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มีคำพูดคำหนึ่งให้ท่านทายก็แล้วกัน คนๆ หนึ่งทั้งตี ทั้งหยิก ทั้งเจ็บ แต่คนที่ถูกตี ถูกหยิกให้เจ็บปวดนั้นกลับรักคนที่ตีหยิกคนนั้นคือใคร (พ่อแม่) คนที่ชอบบ่นด่าทอ แต่ในคำบ่นคำด่าทอนั้นไม่เคยมีคำเคียดแค้นชิงชังเลยแถมรัก ยิ่งบ่นยิ่งด่าทอยิ่งรักคนที่โดนบ่นโดนด่าทอ คนนั้นคือใคร (พ่อแม่) กับอีกบุคคลหนึ่งคืออาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่หวังดีกับเราก็คือคนๆ นี้ด้วย
ฉะนั้นเราอย่ามองคนเพียงเปลือกนอก พ่อแม่บ่นด่าทอ ตัวเราเคยหยิกตีพ่อแม่เจ็บปวดมากมาย แต่ทำไมผลสุดท้ายก็ยังอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อวัยเยาว์เราหยิกตีพ่อแม่ พ่อแม่ก็ยังรัก เมื่อเติบโตพ่อแม่จะบ่นจะด่าทออย่างไรแต่ในคำบ่นคำด่าทอนั้นไม่เคยแฝงความชั่วร้ายไว้ในใจเลย มีแต่หวังดี อยากให้ลูกได้ดี ใช่หรือไม่ กับอีกบุคคลหนึ่งปากไม่เคยพูดจริงเลย มีแต่พูดโกหก แต่คำโกหกนั้นก็เป็นคำที่รักและหวังดีกับเรา รู้ไหมว่าใคร ปากพูดอย่างแต่ใจก็ยังรักเขา ปากบอกว่าเกลียดๆ ไม่รักไม่ชอบ แต่ใจก็ยังรักเขาอยู่ (สามี ภรรยา) สามีภรรยาที่เป็นคู่ชีวิตกัน ยังมีอีก บางครั้งเพื่อนกันเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเรารักเพื่อนคนนี้มาก แต่บางทีให้ชมต่อหน้ารู้สึกอย่าไปชมเขา แต่ใจรักเขาไหม (รัก) พี่น้องด้วยกันอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะเกลียดน้องอย่างไร ปากเราจะว่าน้องอย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆ พอน้องเจ็บก็รีบประคบ ประหงม ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่ท่านก็รู้ว่าน้ำร้อนหยอดทุกวันก็เจ็บปวด หยอดน้ำเย็นให้สักวันหนึ่งก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เสียงที่ไม่ค่อยไพเราะเพราะหู แม้ใจจะคิดอีกอย่างหนึ่ง แต่โดนทุกวันใจก็กร่อนเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) อีกบุคคลหนึ่งให้ท่านทาย แม้ท่านจะเอาของอะไรของเขาไป เขาก็ไม่เคยโกรธ แม้จะเอาข้าวไปเขาก็ไม่เคยว่า แถมยินดีให้ด้วย (แม่ให้ลูก, อาจารย์ให้ความรู้กับลูกศิษย์, ปู่ย่าตายาย) จริงๆ คำตอบมีคำตอบเดียว แต่อยู่ที่ว่าเราจะพลิกผันให้กับทุกๆ คนได้หรือเปล่า ไม่ใช่บอกหนึ่งก็ให้แค่หนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียง ทำไมถ้ามีคนๆ นี้มาขอท่านจะให้อย่างที่ไม่กล้าปฏิเสธเลย จริงๆ แล้วคำตอบก็คือพระภิกษุ ใช่หรือไม่ ที่เราพร้อมจะให้ของให้ข้าวถ้าท่านมาบิณฑบาตขอ แต่เดี๋ยวนี้ให้ไหม (ให้) ให้แต่ไม่ให้ลึกๆ ในใจใช่หรือไม่
ถ้าเราพูดว่ามีน้ำสายหนึ่งตรงกลางเป็นสีแดง แต่ตรงอื่นยังใสอยู่ท่านจะเลิกกินน้ำสายนี้ไหม (กิน,ไม่กิน) บางคนก็เลิกกิน บางคนก็ยังไม่เลิกกิน ถ้าเปลี่ยนเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งมีแอปเปิ้ลลูกหนึ่งเน่า ท่านจะไม่กินแอปเปิ้ลลูกอื่นเลยไหม (กิน) ธรรมะหรือพระพุทธศาสนาแม้จะมีพระองค์หนึ่งเสีย ท่านจะโทษพระทั้งหมด ไม่บิณฑบาตพระทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะเอาคนที่เสียคนหนึ่งว่าคนทั้งหมด เช่นนี้ใครจะช่วยจรรโลงพุทธศาสนาใช่ไหม (ใช่)
เฉกเช่นเดียวกันแม้แอปเปิ้ลลูกหนึ่งจะเน่าก็จงอย่าได้รังเกียจแอปเปิ้ลต้นนี้ แม้พุทธศาสนาจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีในใจเรา แต่ก็อย่าได้เลิกนับถือศาสนาพุทธเสีย ไม่เช่นนั้นเกิดมาเป็นคนไม่มีศาสนาแล้วท่านจะเอาอะไรยึดเหนี่ยวตัวตนเอง อย่าบอกนะว่าเอาตัวตนเองนั่นแหละยึดตัวตนเอง แน่ใจหรือว่าตนเองนั้นตรงพอ หนักแน่นพอ ไม่หวั่นไหว ไม่มีทางหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) ขึ้นชื่อว่าคน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็ยังมีดีมีร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมาตรฐานตัวเองแน่ชัดหรือว่าเที่ยงธรรม ซื่อตรง ฉะนั้นอย่าได้ทิ้งศาสนา แม้จะมีคนที่เสียไปนิดหนึ่งก็อย่าได้โทษศาสนา ไม่เช่นนั้นแล้วนอกจากเราจะไม่สืบทอดศาสนาแล้วยังจะเป็นคนที่ทำลายศาสนาในตัวตนเราอีกใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าเลือกโทษแอปเปิ้ลทั้งต้นได้หรือเปล่า อย่างนั้นถ้ามองกลับกันบ้าง เหมือนคนในห้องพระนี้ หากวันนี้เห็นเราทำแล้วไม่ดีจะโทษคนในนี้ทั้งหมดว่าไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้) หากวันนี้ทำแล้วปรากฏว่าเขายกอาหารให้ท่านน้อยกว่ายกให้คนอื่น เราเหมาหมดเลยว่าไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้) อยู่ที่ท่านแล้วนะ คนๆ หนึ่งเขาเผลอทำผิดพลาดไป อย่าเหมาว่าชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางดี ใจร้ายไปไหม (ร้าย) เพราะคนเราเมื่อยังมีชีวิต เขายังมีโอกาสกลับตัวกลับใจแก้ใหม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “คนล้มอย่าข้าม” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนผิดอย่าได้เหยียบย่ำซ้ำเติมเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะไม่แน่เขาผิด เขาอาจจะกลับขึ้นมายืนใหม่ เป็นคนที่แข็งกว่าเรา เป็นคนที่ผงาดสูงส่งกว่าเราก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำว่า “ทุกข์ทำให้มนุษย์คิดจะหลุดพ้น” หรอก ความผิดก็เฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีความผิดก็คงไม่มีมนุษย์คนใดที่อยากเป็นคนดีและเป็นคนประเสริฐหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งแต่ฟังเราพูดมานี้มีอะไรที่ฟังแล้วไม่เข้าใจไหม มีอะไรที่ฟังแล้วยิ่งทำให้ง่วงไหม คงไม่ง่วงนะ อย่างนั้นคิดว่าการบำเพ็ญเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก) เริ่มขัดเกลาที่ตนเอง วางรากฐานตนเองด้วยพื้นฐานที่เที่ยงธรรมสุขุมรอบคอบ มีจิตใจที่งดงามบริสุทธิ์ ก้าวเดินไปสู่หนทางที่ถูกต้องยุติธรรม เมื่อทำได้เช่นนี้ก็เป็นคนที่ไม่เสียชาติเกิด และไม่เสียชาติที่ได้รับว่าเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แต่มนุษย์ผู้ประเสริฐจะเห็นแต่ตัวตนเอง ไม่เคยช่วยเหลือใครได้หรือไม่ (ไม่ได้) ไม่ได้ ต้องมีใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตใจที่เมตตาเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีและจริงใจ โดยใช้ท่าทีแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน เข้าไปชิดใกล้และช่วยเหลือ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทำได้เช่นนี้เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับเขา แล้วนำพาเขาและช่วยเหลือเขาได้อย่างเป็นสุขใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่จะทำอย่างไรดีในเมื่อหลายต่อหลายคนมักเป็นคนที่สละเวลาให้กับธรรมะไม่ค่อยได้ ใช่ไหม (ใช่) ใช่หรือเปล่าผู้ร่วมฟัง (ใช่) มีงานประชุมทีหนึ่ง ถึงจะได้เห็นหน้าเห็นตากัน แต่ปกติมาศึกษากันไหม ไม่ยอมมาเพราะเห็นห้องพระโล่งๆ ดูไม่มีอะไร เห็นห้องพระว่างๆ ดูไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ในคำว่าว่าง ในคำว่าโล่ง ท่านมาถึงแล้วทำใจให้ว่าง ให้โล่งได้หรือยัง (ได้) ได้แต่ยากใช่ไหม เมื่อจุดตะเกียงทีหนึ่ง ท่านสามารถจุดไฟในใจตนให้สว่างโชติช่วงอยู่ตลอดเวลาได้หรือเปล่า ทุกครั้งที่มาห้องพระ ในการเคลื่อนไหว ในการกระทำทุกๆ อย่างในห้องพระล้วนเป็นปริศนาธรรมสื่อให้เรารู้ สื่อให้เราคิดพินิจพิจารณา อย่าบอกว่าเห็นพระก็คือพระ แต่จงเห็นพระแล้วมีพระในใจ เห็นไฟที่จุดอยู่แล้วจงมีไฟในใจ เห็นความโล่งความสงบที่มีอยู่จงมีความโล่งและความสงบในใจ เห็นการกราบพระทุกขณะจิตจงมีจิตใจอยู่ทุกเวลา หากทำได้เช่นนี้ก็คือการฝึกฝนตน ควบคุมตนและรู้ตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์เรานั้นอยู่ในโลก บางครั้งใส่เสื้อ ใส่กางเกงหรือใส่รองเท้า เวลาถอดเสื้อ กางเกงหรือรองเท้า จำได้ไหมว่าถอดตอนไหน (จำไม่ได้) ในความหมายของเรานั่นก็คือ สามารถมีสติอยู่ทุกขณะจิต สามารถรู้อยู่ทุกเวลาที่ตัวเองจะก้าวกระทำสิ่งใด ทำไมจึงบอกว่าบำเพ็ญในครัวเรือน บำเพ็ญในบ้าน บำเพ็ญในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง นั่นก็คือถ้าสามารถบำเพ็ญตัวเองท่ามกลางความเป็นมนุษย์ในสังคมที่วุ่นวาย ท่ามกลางจิตใจที่สับสน เราสามารถควบคุมตน รู้เท่าทันตน และสามารถวางแผนตนเอง มองเห็นการดำเนินชีวิตของตนเองได้ทุกขณะจิต นั่นก็เรียกว่า “บำเพ็ญได้ก้าวหนึ่ง” แล้ว แต่หลายต่อหลายคนบำเพ็ญแล้วจำได้ไหมว่าถอดรองเท้าข้างซ้ายก่อนหรือข้างขวาก่อน วางกุญแจไว้บนโต๊ะ ไว้ในห้องหรือบนเก้าอี้ บางครั้งจำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่คิดอยู่นั้นได้เคยคิดถึงธรรมะ ได้เคยนึกถึงผู้อื่นหรือเปล่า บางครั้งไม่ได้คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการบำเพ็ญก็คือรู้จักควบคุมความเป็นไปของตัวเอง ให้อยู่ในแนวทางที่ดี แนวทางที่สงบ และตามเท่าทัน รู้ในสิ่งที่ตัวเองทำ เข้าใจในสิ่งที่มองเห็นหรือที่ตัวเองกำลังจะไปทำได้อย่างแจ่มชัด หลายต่อหลายคนรู้ในความเป็นตัวของตัวเอง แต่มองไม่เห็นภาวะรอบข้างใช่หรือไม่ จึงมีคำกล่าวว่าถ้าเกิดว่าเมื่อใดมนุษย์สามารถยึดกุมสถานการณ์รอบข้างได้ ย่อมสามารถที่จะยึดกุมจิตใจของประชาได้ ถ้าเมื่อใดสามารถเอาความรู้สึกร้อน เอาความรู้สึกเย็น ที่ใจรู้สึกไปสัมผัสกับสภาวะรอบข้างได้ เมื่อนั้นแหละมนุษย์จะสามารถรู้สภาวะที่แท้จริงของสภาวะรอบข้างได้ คำกล่าวนี้ฟังดูง่ายๆ ผ่านหูไปแต่จะมีใครที่กระทำได้จริงไหม (จริง) เวลาลมพัดมาโดนเรา เรารู้ว่าร้อน หนาว เย็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ใจเราไปสัมผัสสภาพ เราแยกได้ไหมว่าร้อน หนาว เย็น ว่าดีหรือไม่ดี นั่นแหละเป็นจุดหนึ่งที่มนุษย์รู้จักสิ่งที่มากระทบตน แต่ไม่รู้จักเวลาตนจะไปกระทบสิ่งใด จึงยากลำบากในการมีชีวิตจริงไหม (จริง) บางครั้งสามารถปรับสภาพแวดล้อมให้อยู่คู่กับตัวเองได้ แต่ปรับสภาพตัวเองให้อยู่กับคนๆ หนึ่งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือความยากลำบากของคน ฉะนั้นเมื่อไรที่สามารถปรับสภาพแวดล้อมให้อยู่กับตัวเองได้ เราก็ต้องปรับตัวเองให้อยู่กับสภาพแวดล้อมได้ และมองเห็นสภาพแวดล้อมอย่างถ่องแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรเราอยู่กับคนๆ หนึ่งได้ เราก็เอาสภาพนั้นแหละมาปรับแล้วประสานกลมกลืนให้อยู่กับทุกๆ คนได้ เมื่อนั้นแหละอยู่ในโลกก็เป็นสุข อยู่กับคนก็เป็นสุขแล้วเช่นนี้จะกลัวอะไร แล้วเช่นนี้จะมีอะไรให้ทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรจึงทำไม่ได้ อยู่ในโลกก็เป็นทุกข์อยู่กับคนก็ไม่เป็นสุข เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) มองโลกก็เหมือนกับคนที่มองเห็นแต่เห็นไม่ชัด
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกต้องมองเห็นได้ทั้งนอกและใน เห็นได้ทั้งด้านมืดและสว่าง เห็นทั้งด้านที่มองเห็นและมองไม่เห็น หลายต่อหลายคนเห็นแล้วก็เห็นเท่านั้นเอง จึงไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้ แต่ถ้าเมื่อไรท่านสามารถเห็นแล้วไม่เห็นได้ ท่านจะสามารถมองชีวิตได้ทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจว่าสัจธรรมคืออะไร ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร และอะไรคือคำว่า “หลุดพ้น” ยากไหม
อย่างนั้นบอกอีกอย่างหนึ่งว่า “อย่าประมาท” เตรียมพร้อมรับอยู่เสมอๆ ทำได้ไหมง่ายๆ (ได้) อย่าประมาทในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นและอย่าหยิ่งผยองในสิ่งที่ตัวเองเห็น ทำได้ไหม (ได้) ทุกวันพูดว่า “บำเพ็ญ” บำเพ็ญอย่างไร หลายต่อหลายครั้งไม่เคยก้าวไปถึงการฝึกฝนให้ตัวเองหลุดพ้นเลย ก็เพราะว่าบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านยังไม่ยอมบำเพ็ญ พอรู้แล้วก็ไม่ยอมก้าวไปสักที แล้วจะ หลุดพ้นได้อย่างไร จริงหรือเปล่า (จริง)
“เร่งบำเพ็ญในใจปลงให้ตก จิตคลายโศกมองเห็นแต่สวรรค์”
เมื่อไรที่มีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ติดในพันธนาการแห่งความคิด ไม่ติดในพันธนาการแห่งตัวตน ไม่ติดในพันธนาการแห่งอารมณ์ ท่านจะสามารถมีชีวิตอย่างอิสระ แล้วอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข มีสวรรค์อยู่บนดิน แต่ถ้าเมื่อไรใจเรายังขึ้นอยู่กับอารมณ์ ชอบ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ย่อมยากที่จะเป็นสุขได้ แต่ถ้าเมื่อไรใจว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งความคิด ว่างเปล่าแม้คำว่า “ว่างเปล่า” เมื่อนั้นสวรรค์ก็ย้ายมาอยู่ตรงหน้า พุทธะก็คือคนในกระจกนั่นเอง จริงหรือไม่ (จริง) แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมีกายเนื้อนี้มานับสิบปีแล้ว จะแกะจากกายนี้ยากเหลือเกินใช่ไหม (ใช่) พอกระทบก็โกรธ พอชอบก็หลง พออยากได้ก็โลภ พอสมหวังก็เป็นสุข พอไม่สมหวัง ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ แล้วเมื่อไรจะดีดตัวเองให้พ้นจากวัฏฏะแห่งทุกข์ สุขและตัวตนได้สักที ถอนหายใจกันไปกี่รอบแล้ว ต้องรู้จักปล่อยบ้าง วางบ้าง ปลงบ้าง ลูกหลานย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเขาเอง ทรัพย์สินย่อมมีแนวทางเป็นของทรัพย์สินเอง อย่าไปห่วงยึดติด อย่าไปแขวนชื่อ ถ้าห่วงในทรัพย์สิน แขวนชื่อว่าสิ่งนี้เป็นของเรา เป็นของคนชื่อนี้ พอของหายไปทุกข์ไหม ปลงตกไหม (ไม่ได้) ไม่ตกเพราะชื่อไปกับของนั้นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจอยู่กับตัวเองดีๆ ไม่เอา ไปยกให้คนโน้น ไปฝากไว้กับคนนี้ พอเขาเอาใจเราไป ทุกข์ไหม ปลงได้ไหม (ไม่ได้) ต้องได้ ให้แล้วก็ต้องปลงเป็น ให้เขาแล้วขอเขาคืนเป็นไหม เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร สร้างใจขึ้นมาใหม่อีกดวงก็ได้ จริงหรือเปล่า (จริง) ทำอย่างไรกับใจท่านที่หายไปแล้ว เติมไม่เต็ม ใครที่เติมให้เราเต็มได้ ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าไปฝากความหวังไว้กับใคร อย่าไปฝากความสุขไว้กับสิ่งใด จงสุขที่ตนเอง จงดีที่ตัวเอง แล้วจงพ้นด้วยตัวเอง ถ้าไม่สุขด้วยตัวเอง ไม่ดีด้วย ตัวเอง แล้วจะพ้นด้วยตัวเองได้ไหม ( ไม่ได้ )
สรรพสิ่งในโลกนี้ที่ท่านพยายามแสวงหา ที่ท่านพยายามสะสมให้ตัวเองมีเพิ่มพูน ลองมองดูให้ดีๆ เป็นสิ่งจริงหรือว่าเป็นของไม่แน่ ไม่เที่ยง สรรพสิ่งที่เราวิ่งวนแสวงหา ปัจจัยสี่มีแล้วก็จงพอ อย่าสะสมมากเกิน หากสะสมมากเกิน สิ่งที่ท่านมีมองให้ชัดๆ ว่าเป็นจริงหรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่เที่ยงแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) มีน้อยๆ ก็ทุกข์น้อย มีมากๆ ก็ทุกข์มาก จงมีน้อยๆ และจงพอใจในสุขน้อย ใครบอกว่ามีเสื้อตัวเดียวพอแล้วไม่ซื้อเพิ่ม มีเงินในธนาคารแค่นี้ก็พอแล้วไม่สะสมเพิ่ม บางครั้งเราต้องทำใจให้พอเท่านี้ไว้ก่อน เพราะเมื่อไรที่เราไม่สามารถหาได้ เราจะไปจากร่างนี้ได้อย่างสบายและอิสระ ใช่หรือไม่ (จริง) แต่ถ้าหากท่านมีเสื้อตัวเดียวยังบอกว่าไม่พออีก ต่อไปท่านก็ต้องหาไปเรื่อยๆ จริงหรือไม่ (จริง) มีเงินเท่านี้ในธนาคารท่านบอกว่าพอแล้ว ต่อไปท่านจะยังหาอีกไหม ก็จะหาน้อยลง และมีเวลาช่วยคนมากขึ้น มีเวลาให้ห้องพระมากขึ้น จริงหรือไม่ หากท่านบอกว่ามีเงินเท่านี้ไม่พอ ในใจท่านก็จะรู้สึกไม่พออยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อไรที่ท่านต้องออกจากร่างนี้ ใจที่ยังห่วงอยู่จะคลายให้เบาใส ได้ไหม (ไม่ได้) จะคลายให้เป็นคนสงบเย็นได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นจงพอและสุขเท่านี้ เมื่อไรที่ตัวเองหมดสิ้นกายตัวเองไปจะได้ไม่ต้องมีห่วง มีทุกข์ และไม่มีสิ่งใดที่ทำให้จิตนั้นหนักและขุ่นข้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นวันนี้แม้จะรู้ว่าทำไม่ได้ ก็จงตอกย้ำตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ต้องดีให้ได้ เพราะเมื่อไรที่ตัวเองไป จะได้ไปได้อย่างสบาย เราไม่รู้หรอกว่าออกไปจากห้องพระนี้เราจะยังมีลมหายใจหรือไม่ ท่านก็เคยศึกษามาว่าคนแม้จะชั่วมาตลอดชีวิต แต่หากหนึ่งขณะจิตก่อนตายนั้นคิดถึงพระพุทธองค์ คิดถึงการทำดี จิตก็เบาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เฉกเช่นเดียวกัน แม้ว่าวันนี้จะรู้ว่าตน เลวร้ายเพียงใด ยังไม่สามารถเป็นคนดีได้ ขอให้ทุกขณะจิตตอกย้ำตัวเองว่าต้องดีให้ได้ ต้องมีธรรมะให้ได้ ต้องมีสำนึกให้ได้ ต้องแก้ไขให้ได้ ก็ช่วยลดหย่อนผ่อนหนักให้เป็นเบาแล้ว ใช่หรือไม่ ( ใช่ )
ก่อนจะจากกันไปวันนี้ ขอฝากเป็นเรื่องสุดท้าย แม้ไม่มีเรี่ยวแรง แต่มีใจที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดีก็พอนะ มีโอกาสก็ช่วยคน ใช่หรือไม่ แม้เราไม่มีแรง แต่ในคำพูด พูดแต่สิ่งที่ดี ใจคิดในสิ่งที่ดี อบรมสั่งสอนบุตรหลานในสิ่งที่ดี นี่ก็เป็นการบำเพ็ญตนด้านหนึ่ง ทำได้หรือเปล่า แม้จะสูงวัยแต่ก็มากไปด้วยประสบการณ์แห่งชีวิต หากเรารู้จักถ่ายทอดสั่งสอนบุตรหลาน หรือแม้แต่คนใกล้ชิดก็ย่อมเป็นที่จารึกและกล่าวขวัญของเขาได้เช่นกันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เกี่ยงที่จะรักแม้คนที่ไม่ใช่ญาติมิตร ไม่เกี่ยงที่จะเมตตาแม้คนที่ไม่เคยใกล้ชิด หากทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าผู้บำเพ็ญเหมือนกัน
การบำเพ็ญธรรมก็คือลงแรงจิตใจของตัวเอง หมั่นสร้างแต่สิ่งที่ดี มีโอกาสฉุดช่วยผู้คน เอาอะไรไปช่วย ไม่ใช่เงินทองแต่คือธรรมะ เอาธรรมะไปให้เขารู้ รู้จักชีวิต รู้จักตนเอง และนำพาชีวิตตนเองให้ดีงามพร้อมที่จะนำพาชีวิตคนอื่นให้ดีงามตามด้วย นี่คือการให้ที่ประเสริฐยิ่งกว่าให้เงินทอง ทรัพย์สินใดๆ ในโลกนี้ทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) สวยภายนอกมีประโยชน์อะไรถ้าภายในไม่สวยด้วย งามภายนอกสะอาดภายนอกจะมีประโยชน์อะไรถ้าจิตใจยังหม่นหมองเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา โลกนี้จะทุกข์จะสุข ไม่มีใครจะช่วยท่านได้นอกจากตัวท่านเอง ผูกปมแล้วจงแก้ปม แก้ปมด้วยความเข้าใจ แก้ปมด้วยความเห็นจริงและยอมรับความเป็นจริงที่ตัวตนเองเป็นและที่โลกมี สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ แม้แต่ใจของมนุษย์เองก็ยังไม่แน่นอนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความไม่ แน่นอนเราสามารถตอกย้ำสิ่งหนึ่งที่คอยยึดเหนี่ยวความไม่แน่นอนของใจนี้ได้ นั่นก็คือคุณธรรม คุณธรรมจะช่วยทำให้ใจที่ไม่แน่นอนนี้ มั่งคงแน่นอน และ มุ่งมั่นไปจนสำเร็จได้ หากรู้จักที่จะบำเพ็ญตนใช่หรือไม่ (ใช่) โลกนี้ที่เห็นว่าสวยอาจจะไม่สวยอีกต่อไป ถ้าใจมนุษย์ยังไร้ซึ่งคุณธรรม
ผู้ปฏิบัติงานธรรม เราขอเป็นคนๆ หนึ่งหรือพุทธะองค์หนึ่งที่ฝากรุ่นหลังไว้ในมือท่านด้วยนะ จงช่วยประคับประคองดูแลเขาไปให้ดี นับวันโลกปัจจุบันนี้จะหาคนที่เสียสละอย่างเขาที่มายืนข้างๆ นี้ยากเต็มทนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งภาวะเป็นแบบนี้ด้วย คนยิ่งสละได้ยาก ทุกคนต่างแก่งแย่งแข่งขัน ทุกคนต่างเป็นคนที่ตัวเองต้องมีต้องได้ไม่เคยเสียสละให้ใคร จึงน่ายกย่องท่านและขอให้รักษาจิตใจนี้และจงเอาจิตใจนี้โอบอุ้ม และนำพารุ่นหลังไปให้ตลอดรอดฝั่งอย่าได้ยอมแพ้กันเสียก่อน
วันนี้ก็คงสั้นๆ เท่านี้ เป็นธรรมดาของชีวิตมีโอกาสเจอกัน ก็ต้องมีโอกาสที่ต้องจากลากันใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้รักษาโอกาสและการมีชีวิตของตนเองให้ ดีงาม อย่าเผลอทำผิดบ่อยเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เพราะเอาแต่ใจตน เพราะความเคยชิน ไม่เช่นนั้นจะเสียเปล่าที่ได้บำเพ็ญตนมาใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเอาแต่ใจตนกันมากนัก อย่าตามใจตนเองจนมากเกินไป เพราะตามใจตนเองมากเกินไป เราไม่เคยเห็นดีกับใครเลย แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่) ลองพยายามทวนใจตัวเองดูบ้าง ทวนความยากลำบากดูบ้าง ในความยากลำบากนั่นแหละมีตัวตนที่เข้มแข็งอยู่ แต่ในความสบายมีคนที่อ่อนแอและไม่สามารถเป็นพุทธะอยู่ อยู่ที่ท่านเลือกกันเองว่าอยากเป็นอะไร
วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่าทุกข์เพียงลำพัง ผิดพลั้งอันใด อย่าเอาความทุกข์วันนั้นทำร้าย วันใหม่ที่เพิ่งมา ใครต่างก็มีสิทธิ์พลั้ง ให้อภัยกันเถิดหนา คล้ายว่าเราอภัยตนนี้ไว้ก่อน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า
จากทุกข์ในวันวานได้ผันแปรไป กลับมาสดใสอีกครั้ง และพบความสุขที่ต้องการ มีสุขภายในความทุกข์ ตื่นเต็มตาท่ามกลางฝัน ตั้งใจจริงบำเพ็ญไม่ยอมหลงเหมือนเดิม
* แม้นคิดไม่ดีจะต้องแพ้ภัยตน มุ่งอยู่กับคนโชคขึ้นกับฟ้า คนจริงก็ควรกล้าทำกล้าแบก และสำรวจตนเรื่อยไป
อ่อนน้อมไม่ลืมตน ฝึกฝนด้วยเต็มใจ ก็กว่าจะถึงวันนี้ต้องทุกข์ ต้องเหนื่อยไม่แพ้กัน เรื่องเก่าไม่เก็บมาคิด แก้ตัวไม่เพียงแก้ไข เพื่อวันหนึ่งได้กลับคืนมาชั่วนิรันดร์ (ซ้ำ *) ขอให้ทนในสิ่งยากทนด้วยหัวใจ
ทำนองเพลง : ขอบฟ้าไม่มีจริง
ชื่อเพลง : ทำใจให้สบาย
อย่าทุกข์เพียงลำพัง ผิดพลั้งอันใด อย่าเอาความทุกข์วันนั้นทำร้าย วันใหม่ที่เพิ่งมา ใครต่างก็มีสิทธิ์พลั้ง ให้อภัยกันเถิดหนา คล้ายว่าเราอภัยตนนี้ไว้ก่อน
จากทุกข์ในวันวานได้ผันแปรไป กลับมาสดใสอีกครั้ง และพบความสุขที่ต้องการ มีสุขภายในความทุกข์ ตื่นเต็มตาท่ามกลางฝัน ตั้งใจจริงบำเพ็ญไม่ยอมหลงเหมือนเดิม
* แม้นคิดไม่ดีจะต้องแพ้ภัยตน มุ่งอยู่กับคนโชคขึ้นกับฟ้า คนจริงก็ควรกล้าทำกล้าแบก และสำรวจตนเรื่อยไป
อ่อนน้อมไม่ลืมตน ฝึกฝนด้วยเต็มใจ ก็กว่าจะถึงวันนี้ต้องทุกข์ ต้องเหนื่อยไม่แพ้กัน เรื่องเก่าไม่เก็บมาคิด แก้ตัวไม่เพียงแก้ไข เพื่อวันหนึ่งได้กลับคืนมาชั่วนิรันดร์ (ซ้ำ *) ขอให้ทนในสิ่งยากทนด้วยหัวใจ
ทำนองเพลง : ขอบฟ้าไม่มีจริง
ชื่อเพลง : ทำใจให้สบาย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นอย่างไรนั่งฟังธรรมะ มีคนนั่งหลับหรือเปล่า (ไม่มี) สองวันนี้มานั่งฟังธรรมะแล้วเหนื่อยไหม มีความเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า (มากขึ้น) มานั่งฟังธรรมะสองวันนี้เพื่ออะไร (หาทางหลุดพ้น, เพื่อเห็นความกระจ่างของชีวิต) มีคนตอบคำถามเดียวกันนี้หลายคำตอบ ทำให้เห็นว่าต่างคนต่างความคิด ต่างคนต่างใจ เราอยู่ร่วมกันนั้นเป็นเรื่องยากหรือเปล่า (ยาก) นั่งฟังธรรมะสองวันนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่ตอบว่าเพื่อหาทางหลุดพ้น เพราะว่าทางหลุดพ้นนั้นได้ไปแล้ว แต่ว่าจะหลุดพ้นได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับคนมีเงินอยู่ในมือ สมมติว่าศิษย์มีเงินอยู่ในมือคนละหนึ่งร้อยบาท ถ้าให้เอาไปซื้อของ จะซื้อของอย่างเดียวกันกลับมาไหม (ไม่) ซื้อของคนละอย่างกลับมา ตอนนี้ทุกคนต่างได้รับธรรมะแล้ว เหมือนมีเงินคนละหนึ่งร้อยบาทในมือ ตอนนี้จะเอาเงินหนึ่งร้อยบาทนี้ จะเอาการฟังธรรมะนี้ไปทำอะไร ฟังธรรมะก็เพื่อจะนำไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนที่ตอบมามีจุดมุ่งหมายแค่ว่าจะเป็นคนที่ดีขึ้น บางคนบอกว่าเพื่อการหลุดพ้นเลย ก็แสดงว่าแต่ละคนนั้นถึงแม้ว่าจะมาฟังธรรมะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเข้าใจเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
การฟังธรรมะนั้นไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้น ฟังธรรมะไปก็เพื่อเอาไปปฏิบัติเท่านั้น ส่วนการปฏิบัตินั้นจึงเป็นการทำเพื่อการหลุดพ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าคนที่ทำได้ย่อมหลุดพ้นได้ ศิษย์มั่นใจไหม (มั่นใจ) ถ้านำไปปฏิบัติจริงๆ ก็หลุดพ้นได้ อาจารย์ถามศิษย์เพื่อเป็นการถามว่าศิษย์นั้นมั่นใจไหมว่าตนเองสามารถหลุดพ้นได้ คนที่ตอบอาจารย์ว่าหลุดพ้นได้ แต่ใจลึกๆ บอกว่าไม่แน่นะ อย่างนี้อาจารย์ก็รู้สึกว่าไม่แน่เหมือนกัน มันต้องอยู่ที่ใคร (ตัวเรา) ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกศิษย์ว่าศิษย์สามารถหลุดพ้นได้ แต่ศิษย์เชื่อหรือไม่เชื่อ (ไม่เชื่อ) ถ้าไม่เชื่อเราจะหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าศิษย์ไปทำข้อสอบ แม้จะอ่านหนังสือมาเต็มที่ พอไปทำข้อสอบ ทำไปก็ไม่แน่ใจว่าจะสอบได้หรือไม่ จะมีสมาธิสอบไหม (ไม่มี) เปอร์เซ็นต์ที่จะสอบผ่านมีมากไหม (ไม่มาก)
การสอบธรรมดาในชั้นเรียนในการเรียนหนังสือ สามารถเห็นข้อสอบมาเป็นกระดาษ เราคนทำก็มีสิทธิที่จะอ่านหนังสือก่อน แต่การสอบทางธรรมะนั้นไม่เหมือนกัน ข้อสอบไม่ได้มาเป็นกระดาษ แล้วคนสอบไม่มีสิทธิเตรียมตัวมีแต่สิทธิฝึกฝนเท่านั้น แล้วเราคิดว่าตัวของเรานั้นดีมากเท่าไร ข้อสอบของเบื้องบนเป็นข้อสอบที่วัดระดับจิตใจว่าอยู่ระดับไหน ข้อสอบนั้นก็อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าหากศิษย์ตอนนี้มีจิตใจดีงามมาสอบ โดนคนยั่วโมโหหน่อยคิดว่าเราจะสอบผ่านไหม ถ้าเราฝึกฝนมาดีคือใช้เวลาฝึกฝนมาตลอดตั้งแต่เรารับธรรมะ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ เอาจริงเอาจังในการจะลดโทสะของตัวเองลง คิดว่าพอถึงเวลาคนมายั่วโมโหเราก็เหมือนกับที่เราเจอข้อสอบแล้วเราสามารถสอบผ่านได้ แต่ปัญหาก็คือในความเป็นจริงแล้วมีกี่คนที่เอาจริงเอาจังกับการเข้าใจตัวเอง เข้าใจว่าตัวเองมีอารมณ์โมโหแล้ว เราต้องพยายามลดลงเป็นการยากไหม (ยาก) รู้สึกว่าสอบตกไปหลายข้อหรือยัง ฟังอย่างนี้แล้วตกไปหลายทีแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หมายความว่ายังมีโอกาสสอบใหม่ได้เรื่อยๆ
(ยินดีต้อนรับพระอาจารย์)
เอาอะไรรับอาจารย์ (เอาความตั้งใจ) ตั้งใจว่าเราจะฟังธรรมะให้ครบทั้งสามวันหรือเปล่า แล้วหลังจากฟังธรรมะทั้งสามวันแล้ว จะตั้งใจปฏิบัติไหม (ตั้งใจ) ถ้าเกิดเรื่องไม่ชอบใจ ถ้าเราท้อแท้เราจะทำอย่างไร (นึกถึงอาจารย์) บอกอาจารย์ว่าทนไม่ไหวแล้วไปแล้วนะ อย่างนั้นหรือเปล่า เหมือนคนกินเจอยู่บอกว่าจะเลิกกินเจแล้ว ไม่อยากจะมาห้องพระแล้ว บอกอาจารย์ว่าจะเลิกกินเจแล้ว อธิษฐานในใจให้อาจารย์รับรู้ แต่อาจารย์แบกกรรมแทนได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นธรรมดาที่เราต้องมีความท้อแท้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรม เมื่อก่อนนี้เรื่องทำงานทำการมีความทุกข์ไหม (มี) อยู่กับครอบครัวเราเป็นลูกก็ดี เป็นแม่ก็ดี เป็นพ่อก็ดี เป็นพี่ก็ดี เป็นน้องก็ดี เรานั้นอยู่กับครอบครัวอย่างไม่มีความทุกข์เลยหรือเปล่า เคยทะเลาะกับพี่น้องไหม (เคย) ทุกคนนั้นมีความทุกข์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็แล้วแต่
ฉะนั้นการหนีไปจากความทุกข์นั่นเป็นการกระทำที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง) การหนีไปจากปัญหา การหนีไปจากความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องทำอย่างไร เราต้องนึกถึงตอนที่เราจะมีครอบครัวว่าเราเอาจิตใจอะไรไปมีครอบครัว เราเอาจิตใจว่าเราจะตั้งครอบครัวๆ หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากที่จะแต่งงาน เราก็ต้องเอาจิตใจอันนี้มาใช้เวลาเรามีปัญหา เวลาที่เราจะทำงาน เวลางานของเรามีปัญหา เราก็ต้องคิดว่าตอนที่เราเรียนจบแล้ว เราจะมาทำงาน เราเอาจิตใจประเภทไหนมาทำงาน เราก็ต้องคงจิตใจอันนั้นไว้ เหมือนกันในยามที่เราบำเพ็ญธรรม เวลาที่เราเจอปัญหาและอุปสรรค ต้องคิดว่าอะไรที่ทำให้เราบำเพ็ญธรรม เราต้องคงจิตใจอันนั้นไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนบอกว่าเราไม่อยากมีความทุกข์อีกแล้ว อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ไม่อยากจะเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เราจึงมาบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนที่เราเจอปัญหา เจอความท้อแท้ศิษย์ลืมจิตใจที่อยากจะพ้นทุกข์ ศิษย์เอาจิตใจอันนี้ไปไว้ที่ไหน ยิ่งเรามีปัญหายิ่งเราท้อ เกิดความทุกข์ขึ้น เรายิ่งต้องคิดว่า ตอนนี้แหละเป็นตอนที่ทุกข์หนักที่สุด เราเลยคิดว่าเราอยากจะพ้นจากทุกข์อันนี้ให้ได้ เรายิ่งต้องเร่งบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนเคยบำเพ็ญมาสถานธรรมบ่อยๆ แต่พอมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่มีเวลาจะทำอย่างไร เราก็อย่าลืมว่าการบำเพ็ญมีหลายอย่าง อาจจะมีการบำเพ็ญที่จิตใจด้วย ถึงแม้ว่าเวลาไม่มี แต่จิตใจของเราต้องทำอย่างไร (ต้องดีขึ้น) เราบำเพ็ญด้านจิตใจก็ได้ ช่วงนี้ถ้าไม่มีเวลาก็ให้เน้นหนักทางด้านจิตใจ ให้จิตใจของเรานั้นดีขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาเราหลับตาลงเราคิดถึงอะไรเป็นส่วนใหญ่ (คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวันนี้) เวลาที่เราหลับตาลง บางคนอยากจะมีความก้าวหน้าทางอนาคตก็อาจจะคิดถึงวันพรุ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าอาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์เมื่อเวลาหลับตาลงนอกจากจะคิดถึงเรื่องอนาคต คิดถึงเรื่องเงินทองที่ตนเองต้องหาแล้ว เรายังต้องนึกให้ออกถึงความผิดพลาดที่เราจำเป็นต้องแก้ไข จิตใจของเรายังไม่ดีอะไรบ้าง วันต่อๆ ไปนั้นเราตั้งใจจะทำให้ดีกว่านี้ ถ้าทุกวันๆ ที่ศิษย์หลับตาลงก่อนนอนแล้วศิษย์นึกได้อย่างนี้ ถามว่าจิตใจของศิษย์จะแย่ลงไหม เมื่อผ่านไปหนึ่งปีจิตใจของเราก็คงไม่แย่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่) ง่ายๆ แค่นี้ทำได้หรือเปล่า เพราะว่าความผิดของเรา หรือสิ่งที่เราต้องแก้ไข นิสัยของเรานั้นไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้คนอื่นเตือนชอบหรือไม่ (ไม่ชอบ) ต้องใครเตือนเอง (ตัวเราเอง) แล้วเราเตือนตัวเราบ่อยหรือเปล่า (ไม่บ่อย) เวลาทะเลาะกันนี้ใครผิด คนอื่นผิดเป็นส่วนใหญ่ เพราะเราเข้าใจว่าตัวเราทำอะไรไม่เคยผิด ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถามว่าในตัวเราหนึ่งคนมีทั้งผิด ทั้งถูกไหม (มี) แล้วเมื่อไรผิด เวลาทะเลาะกับคนอื่นเรายังถูกเลย แล้วเมื่อไรตัวเราถึงผิด ในความเป็นจริงเราก็เข้าใจถูกต้อง ว่าเรานั้นมีทั้งผิดทั้งถูก และเข้าใจว่าตัวเรานั้นคงจะทำผิดไปบ้างหลายหน แม้กระทั่งทะเลาะกับคนอื่นเรายังบอกว่าตัวเราถูกเลย ฉะนั้นตอนไหนที่ตัวเราผิด บางทีกว่าจะรู้ว่าตัวเราเองทำผิดนั้นก็ต่อเมื่อ ต้องให้เราโมโหผ่านไปแล้ว ต้องให้เราเกลียดผ่านไปแล้ว ต้องให้ล้างแค้นเสร็จไปแล้ว ถึงจะเข้าใจ ถึงจะรู้ได้ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว
อาจารย์จะบอกให้เวลาที่เราจะนินทาคน เวลาที่เราจะว่าคน เวลาที่เราจะคุยอะไร ถ้าเรายังไม่ได้คิดเราก็ยังไม่พูดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นจะพูดโดยที่เราไม่คิด อาจารย์อยากให้คำพูดนั้นมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของศิษย์ เราไม่ต้องพูดออกไปในสิ่งที่ไม่ดี ได้หรือไม่ (ได้) บางทีเวลาที่เราจะพูด เรายังไม่ทันคิดเลยเราก็พูดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอาจารย์บอกว่าก่อนที่จะพูด ก่อนที่คำพูดจะพ้นปากของเราไป ให้เราหยุดตอนนั้นได้ไหม ตอนที่เราจะพูดไปชัดๆ เราคงคิดบ้าง แต่ว่าหยุดตอนนั้นทันไหม (ทัน) เวลาจะพูดว่าเขาไม่ดี เราก็หยุด ทันหรือไม่ทัน (ทัน) อย่างน้อยก็ยังไม่ได้พูดออกไป อย่างน้อยก็ไม่มีวจีกรรม ทำได้หรือไม่ (ทำได้) เพราะว่าคนนั้นพูดจาไม่ระมัดระวังที่สุด ถ้าหากเราพูดไปตามที่ใจเราอยากนั้น ต่อไปจะสร้างวจีกรรมหนักเท่าใด แต่เมื่อวันหนึ่งที่กรรมกลับมาถึงเรานั้น เราจะไม่มีสิทธิ์รู้สึกอะไร มีแต่ต้องรับผลอย่างเดียว ใช่หรือเปล่า วันนี้เราชอบว่าคนอื่น ต่อไปเรามีลูกๆ มาว่าเรา เราเจ็บหรือไม่เจ็บ เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ระมัดระวังที่วจีกรรมง่ายหรือไม่ (ง่าย)
หลายคนนั้นมีชีวิตที่มีปัญหาเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักเรียงลำดับก่อนหลัง ศิษย์ลองยกตัวอย่างสิ (เรื่องการเรียน ต้องวางแผนว่าจะต้องเรียนอะไรบ้าง แล้วทบทวนก่อน) ถ้าหากว่าเราเอาเรื่องสำคัญๆ นั้นมาทำทีหลัง แล้วเอาเรื่องไม่สำคัญมาทำก่อน ศิษย์เคยทำอย่างนี้หรือเปล่า (เคย) ไหนลองพูดให้อาจารย์ฟังหน่อยสิ (ไม่รู้จักวางระเบียบให้กับตัวเอง, ไม่ได้สนใจพ่อแม่) ไม่ได้สนใจพ่อแม่หรือ ทำไมกรรมหนักอย่างนี้ (พรุ่งนี้จะสอบ แต่เพื่อนชวนเที่ยวก็ไปเที่ยวกับเพื่อนก่อน คิดว่ากลับมาค่อยอ่านหนังสือ พอกลับมาก็เพลียหลับไป พรุ่งนี้ก็สอบไม่ได้) เรียงลำดับเรื่องราวได้ดี เห็นภาพไหม ฉะนั้นการที่เราทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องเรียงลำดับก่อนหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของเรา ตั้งแต่เด็กนั้นมีการเรียงลำดับเรื่องราวที่ซับซ้อนและผิดรูปแบบไปมากมาย ปัญหาในวันนั้นเพียงนิดๆ หน่อยๆ ที่เราเรียงลำดับไม่ถูกก่อเป็นปัญหาในวันนี้ เป็นเรื่องราวใหญ่โตมากมาย
ฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้น เราจะต้องมีจิตใจที่ไม่สับสน จึงจะไม่เรียงเรื่องราวอะไรให้สับสนมากขึ้นไปอีก ดังเช่นเราฟังธรรมะเราจะกลับไปกตัญญูต่อพ่อแม่ของเรา แต่เราคิดว่าพ่อแม่ของเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วเราก็ปล่อยไปก่อนได้หรือไม่ (ไม่ได้) ไม่ได้เพราะว่าพ่อแม่มีอายุมากกว่าเรา แล้วอายุของท่านคอยเราหรือเปล่า (ไม่คอย) เราต้องรู้ว่าเรานั้นควรจะทำได้เลย ทันที ถ้าหากว่าพ่อแม่ยังมีอะไรที่เรารู้สึกผิดบ้าง แต่เราก็อย่าลืมว่าเราก็มีอะไรที่ผิดอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าพ่อแม่คิดกับเราอย่างนี้ ตอนนี้เราจะโตไหม (ไม่โต) เป็นคนนั้นต้องหัดรู้จักที่จะอภัย ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ควรจะทำ ในวันนี้มาฟังเรื่องการบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่ากลับไปแล้วศิษย์ยังบอกว่า ไม่เป็นไร บำเพ็ญรอให้แก่ก่อนก็ได้ ถึงเวลาแก่แล้วมีแรงบำเพ็ญไหม (ไม่มี)
การเรียงลำดับเรื่องราวก่อนหลังก็ต้องเรียงอย่างนี้เหมือนกัน ตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในวัยที่ยังมีเรี่ยวแรง แต่ว่าเราก็ต้องรู้ว่าเรานั้นจะบำเพ็ญอย่างไรจะทำงานอย่างไรไปพร้อมๆ กัน การบำเพ็ญยุคนี้ไม่ได้ให้ศิษย์นั้นทิ้งทุกอย่างแล้วก็มาบำเพ็ญธรรม แต่ให้เราทำงานไปบำเพ็ญธรรมไปด้วย สำคัญที่สุดคือบำเพ็ญจิตใจของเราให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่มีจิตใจโกรธ มีจิตใจที่ขี้อิจฉา มีจิตใจขี้ระแวง มีจิตใจที่เห็นคนอื่นดีไม่ได้ คนๆ นี้บำเพ็ญแล้วจะมีความสุขไหม (ไม่มี) แล้วคนๆ นี้จำเป็นต้องบำเพ็ญธรรมไหม (จำเป็น) ลองคิดดูที่อาจารย์บอกนั้น ศิษย์มีหรือเปล่า (มี) ทุกคนก็มีจิตใจเช่นนี้ แต่ว่าทุกคนก็ต้องบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าวันนี้คนนี้บอกว่าไม่ต้องบำเพ็ญธรรม คนนั้นก็บอกไม่ต้องบำเพ็ญธรรม อย่างนี้โลกนี้มีใครจะบำเพ็ญธรรม โลกนี้มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์มีไหม (ไม่มี) ต้องเริ่มจากคนไม่ดีคนนี้แหละ ต้องเริ่มจากตัวเราที่เราก็คิดว่าเราไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วค่อยๆ เริ่มให้ ดีขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นคนนั้นเขาดี เราก็จะดีให้เท่าคนนั้น คนนั้นเขาแย่กว่าเราก็จะเอื้อมมือไปฉุดเขาขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้เป็นวิธีการบำเพ็ญที่ง่ายไหม (ง่าย) จำเป็นจะต้องเสียเงินทองมากมายไหม จำเป็นจะต้องใช้เวลามากไหม (ไม่จำเป็น) แค่เราหันมามองตัวเรา ใจของเราพอเกิดความอิจฉาขึ้นมา ทำอย่างไร (กำจัดทิ้ง) กำจัดอย่างไร (สงสารเขา ช่วยเขา, กำจัดความอิจฉาด้วยการให้เงินเขายืม) ขจัดจิตใจที่อิจฉาไม่ใช่เอาเงินให้เขายืม (พอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอยู่, ทำใจให้เป็นกลาง, คิดว่าคนอื่นเขาทำบุญไว้มากเลยส่งให้เขาได้ดี ก็เป็นโชคดีของเขา, ชาติที่แล้วเขาคงทำบุญไว้มาก ยินดีกับเขา ,รู้จักความพอดี ประมาณตนเอง, ทำจิตใจให้สงบ, รู้จักหักห้ามใจและก็รู้จักพอ)
เมื่อวานฟังไปแล้วว่าแก้ความโลภแก้อย่างไร แก้ความโกรธแก้อย่างไร แก้ความหลงแก้อย่างไร วันนี้ศิษย์คิดว่าจะแก้ความอิจฉาแก้อย่างไร แก้ความริษยาแก้อย่างไร ใช้มโนธรรมสำนึกใช่หรือเปล่า ศิษย์เคยอิจฉาใครไหม แล้วทำอย่างไรความอิจฉานั้นถึงจะลดลงได้ (สำนึกว่าไม่ควรอิจฉาเขา เป็นวาสนาของเขาที่เขาจะได้) เวลาเราอิจฉาเขา เราก็ต้องหันมามองจิตใจของเราทันที อย่าไปมองในสิ่งที่เขาได้รับ จะต้องหันหลังกลับมาทันที แล้วศิษย์ก็มองไปข้างหน้าของศิษย์ไม่มีอะไร ของอันนั้นเป็นแค่ของสิ่งหนึ่งเท่านั้นเองที่เขาได้ ส่วนของเราว่างเปล่า เราทำอย่างไร ไม่ใช่เกิดอิจฉาหนักกว่าเดิม เราต้องทำความดีหรือต้องทำในสิ่งนั้นๆ ให้ได้เหมือนเขา เพราะของเรายังว่างเปล่าอยู่ ต้องมาสอนใจตัวเอง ไม่ใช่ไปเพิ่มเติมความคิดปรุงแต่งมากมาย ยิ่งมองก็ยิ่งปรุงแต่งไปเรื่อยๆ เพิ่มความคิดไปเรื่อยๆ ฉะนั้นต้องหันหน้าหนีไปจากสิ่งนั้นก่อนเพื่อเป็นการเตือนใจตัวเราก่อน แล้วเราก็ค่อยๆ คิดใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้ใครจะบอกว่าสงสัยคนนี้อยากจะได้ของๆ เขา เราจึงหันหน้าหนี แต่เสียหน้าดีกว่าเสียใจ คำว่า “เสียใจ” อาจจะหมายถึงว่าต้องมีน้ำตาแต่ก็คงไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว คำว่า “เสียใจ” หมายความว่า จิตใจเรานั้นสูญเสียความเป็นกลางไปก็ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในชีวิตของศิษย์ทุกๆ คนที่ผ่านมา ทุกคนเคยอิจฉา ทุกคนเคยมีความรู้สึกที่ไม่ยุติธรรมที่เกิดกับชีวิตของเรา แต่ว่าแข่งอะไรก็แข่งได้ แข่งเงินแข่งทองได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไหวหรือไม่ (ไม่ไหว) ถ้าเราอยากจะได้สิ่งที่ดีก็ต้องทำในสิ่ง ที่ดี ศิษย์ลองนึกภาพ ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินเข้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้มีแค่ห้องสี่เหลี่ยมเท่านั้นเอง แล้วในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างไม่มีประตู เข้าไปแล้วประตูปิดตาย อยู่ในห้องนี้ที่ไม่มีแสงสว่าง ศิษย์คิดว่าศิษย์อยู่ในห้องนี้ได้นานเท่าไร(ไม่นาน) ไม่นานศิษย์ก็รู้สึกอึดอัดใจอยากจะออกมาใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่หากว่าตัวของศิษย์เป็นแสงสว่าง ศิษย์เข้าไปศิษย์ก็คือแสงสว่าง ถ้าตัวศิษย์คือ หน้าต่าง เข้าไปในห้องนี้ถึงแม้ไม่มีหน้าต่าง แต่ว่าจิตใจของเรานี้มีหน้าต่าง เราก็คงไม่อึดอัดตายอยู่ในนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นบ้านหลังนี้ก็หมายถึงจิตใจของเราเอง จิตใจที่อยู่ภายในของเราที่ถูกร่างกายนี้ขังไว้ ก็เหมือนบ้านที่ไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง ถึงจะมีหน้าต่างดวงตา ถึงจะมีหน้าต่างหูก็เหมือนไม่มี สิ่งที่เอาเข้าไปในหู เข้าไปในตาของเรานั้นศิษย์เอาอะไรเข้าไป ก็เอาแต่สิ่งที่มองแล้วสวยๆ งามๆ แต่ว่าเป็นกิเลสที่ฝังอยู่ในใจของเรา สิ่งที่ฝังเข้าไปก็มีแต่สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีๆ ก็ไม่ค่อยชอบฟัง อย่างนี้พอเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ซึ่งมีแต่ทางเข้าไม่มีทางออก สุดท้ายจิตใจของเรามีแต่ความคิดอิจฉา มีแต่ความคิดริษยา แล้วจิตใจของศิษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้จะทนได้หรือ จะอึดอัดหรือไม่อึดอัด (อึดอัด)
เพราะฉะนั้นนอกจากหาสิ่งสวยงามที่เป็นกิเลส ที่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดี ทองก็ดี มีมากๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ศิษย์ต้องหันไปมองทุ่งไม้ ใบหญ้าบ้าง เพื่อให้จิตใจของเรานั้นเกิดความสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนอยู่กับปัญหาทั้งวัน แต่ถ้าบอกว่าไปมองต้นไม้บ้าง เงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าบ้าง กลับไม่ยอม ไม่ยอมหาความโปร่งสบายให้กับจิตใจ ปล่อยให้จิตใจของเรานั้นมืดและทึบ ถ้าตัวเราคือแสงสว่างหมายความว่าอะไร วันนี้ศิษย์มาฟังธรรมะๆ เข้าไปในตัวของเรา เข้าไปในห้องสี่เหลี่ยม ห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้ก็มีแสงสว่างมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับตอนนี้ในใจของศิษย์ อาจารย์รู้ว่าท่ามกลางความมืดมิดนั้น บางทีเราก็คิดอะไรได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) มโนธรรมสำนึกของเรานั้นมีมากกว่าความคิดบาปๆ ของเราที่เคยผ่านมาอีกใช่หรือเปล่า ตอนนี้ศิษย์มีความคิดที่ดี คิดไปในทางที่ดี มองโลกในแง่ดีมากขึ้น ใช่ไหม (ใช่) แต่ต้องอย่าลืมว่าศิษย์ต้องรักษาจิตใจดวงนี้ให้อยู่กับเราตลอดไป เพราะเราใช้ชีวิตอยู่จนแก่ อยู่จนตาย ถ้าหากว่าจิตใจของเรานับวันมีแต่จะมองโลกในแง่ร้าย นับวันก็คิดแต่เรื่องร้ายๆ มองคนอื่นก็ไม่มีอะไรดีเลย ลองดูสิว่าตัวเราในห้องทึบนั้น จิตใจของเราใน ร่างกายนี้จะทรุดโทรมไปขนาดไหน ถ้าอยากให้อะไรๆ ดีขึ้นก็ต้องให้เราเป็นผู้เริ่ม เพราะว่าคนทุกๆ คนก็เหมือนเรา เขาก็ไม่อยากที่จะเสียสละ ไม่อยากจะเสียเปรียบใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เราต้องยอมเสียเปรียบนิดหน่อยโดยการทำดีมากขึ้น เป็นการเสียเปรียบที่แย่หรือไม่แย่ (ไม่แย่) เวลาที่เห็นคนตาบอดเดินข้ามถนนเราทำอย่างไร (ช่วยพาเขาข้าม) เห็นเศษแก้วแตกอยู่บนพื้นเปรอะไปหมดเลย เราจะทำอย่างไร มีทั้งสีแดง สีเหลือง สีเขียว เก็บหรือไม่เก็บ (เก็บ) เราก็ต้องคิดว่า ถ้าเราไม่เก็บก็จะมีคนเดินเข้ามาเหยียบใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่ช่วยพาเขาข้ามถนนไป เขาเดินข้ามถนนไปยังไม่ถึงครึ่งทาง เขาอาจจะโดน รถชนก็ได้ ถึงตอนนั้นเราเสียใจจะช่วยเขาทันหรือไม่ทัน (ไม่ทัน) ดังนั้นเวลาที่เราช่วยคนอื่นก็คือเราช่วยตัวเราเอง ไม่ได้หมายความว่าเราช่วยคนอื่นแล้วเราต้องมีบุญคุณกับเขา ก็ไม่เสมอไปใช่หรือไม่ (ใช่)
การช่วยคนอื่นก็คือการช่วยจิตใจของเราให้ดีขึ้น ศิษย์ของอาจารย์บอกว่าใช้มโนธรรมสำนึกสิ ใช้มโนธรรมสำนึกซึ่งทุกคนนั้นมีอยู่แล้ว แต่ทุกคนนั้นไม่ยอมใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาทำเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่งก็มีจิตใจของฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีมาอยู่ตรงหน้าเรา แล้วเขาก็เถียงกันไปเถียงกันมาว่า ทำสิ อีกคนก็บอกไม่ต้องทำ ทำแล้วเดี๋ยวก็ไม่ดี ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นอย่างนั้น เวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งจิตใจฝ่ายดีกับฝ่ายไม่ดีก็มาคุยกัน ในที่สุดก็ปล่อยให้จิตใจฝ่าย ไม่ดีนำไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าการที่เกิดมาเป็นมนุษย์โดนเอาเปรียบมากก็เลยกลัวเสียเปรียบมาก
ตั้งแต่วันนี้ไปมีธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวัน เราก็แก้ไขตั้งแต่ในชีวิตประจำวันของเราดีหรือไม่ (ดี) ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปหาข้าวให้พ่อแม่กิน ทำความคิดของเราให้ดียิ่งขึ้น ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เรียนหนังสือด้วยความขยันขันแข็ง ในจิตใจของเรานั้นไม่มีเรื่องไร้สาระอยู่ อย่างนี้ทุกๆ วันชีวิตของเรา สดใสไหม (สดใส) อย่าไปยึดถือมุ่งมั่นที่อยากจะได้เงินทองลาภยศมากเกินไป ชีวิตของเราก็จะไม่หม่นหมอง ถึงเราจนเราก็จนอย่างมีเกียรติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงเราไม่รวยกว่าเขาแต่เราก็มีพอกินพออยู่ แค่นั้นก็พอ ถ้ามีคนเอาเงินมาให้เราสามหมื่นเอาหรือไม่เอา (เอา) อยู่ดีๆ จะมีใครเอาเงินมาให้เราฟรีๆ ไหม (ไม่มี) เขาทำถูกหรือทำผิดที่เอาเงินมาให้ อาจารย์เคยเห็นแต่คนที่ซื่อสัตย์สุจริตได้ทีละเป็นพันไม่ถึงหมื่น ส่วนคนทำผิดได้ทีละเป็นหมื่นเป็นแสน ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่ดีๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้เราสามหมื่น อย่างนี้เขาให้เราทำถูกหรือทำผิด (ทำผิด) เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) อย่าไปมองแต่เงินต้องหันหน้าหนีจากเงินไปก่อน แล้วเราค่อยคิด อย่าเอาตาจ้องเงินแล้วก็คิดว่าทำหรือไม่ทำ ทำอย่างนี้สุดท้ายก็ต้องทำแน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)
สาว ๆ สมัยนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะอะไร ถ้ามองตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี มลภาวะเยอะ นอกจากนั้นก็เป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดี เลือกกินเลือกอยู่ ที่ดีๆ คัดออก ไม่ดีคัดเข้า เวลากลางวันไม่ชอบตื่น กลางคืนไม่ชอบนอน สมัยนี้วัยรุ่นมีแต่คนนอนดึก นอนไม่ดึกไม่เรียกว่าวัยรุ่น ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) เราต้องดำรงชีวิตแบบคนที่เป็นคน เพราะว่ากลางวันคนต้องทำงาน คนสมัยก่อนทำงานกรำแดดกรำฝนได้ คนสมัยนี้ถูกฝนหน่อยก็เป็นหวัดแล้ว แสดงว่าร่างกายเรานั้นไม่ค่อยจะแข็งแรง นอกจากมองทางวิทยาศาสตร์แล้ว ในสายตาของอาจารย์ก็คือ เป็นโรคกรรมทั้งหลาย โรคจิตใจไม่ค่อยดี ไม่ใช่โรคหัวใจไม่ดีนะ
แม้เราจะอายุมากแล้ว แต่ต้องพยายามที่จะไม่แก่ ไม่ใช่ไม่แก่แล้วไปทำเรื่องไม่ดี แต่ไม่แก่เพื่อที่เราจะได้ทำดีไปอีกนานๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำในสิ่งที่ควรทำ บางคนนั้นตลอดชีวิต สิ่งที่ควรทำๆ ไปหมดหรือยัง อายุขนาดนี้ เขาบอกว่ายังเลย จนกระทั่งก่อนถึงลมหายใจสุดท้าย ไปถามว่าสิ่งที่ควรทำนั้นทำหรือยัง ก็บอกว่ายัง ถ้าชีวิตเป็นอย่างนี้ ก็จะไม่มีคุณค่าใช่หรือไม่ เริ่มทำตั้งแต่หนุ่มๆ ยังไม่รู้จะหมดหรือยัง ฉะนั้นอย่าคิดว่าชีวิตเรานั้นจะอยู่อีกนาน สิบปีที่ว่านานก็ครู่เดียวเท่านั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนรับธรรมะมาแล้วสามปี ห้าปีนานไหม ไม่นานหรอก เพิ่งรู้สึกเหมือนเมื่อวานนี้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีอยู่นี้ ที่บอกว่าเป็นสิบๆ ปีอย่าคิดว่านาน แค่บางคนต้องเลี้ยงลูก ลูกโตสามขวบแล้ว นานหรือไม่นาน ครู่เดียวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ครู่เดียวลูกก็โตสามขวบแล้ว เราก็แก่ลงอีกสามปี แทบจะไปรู้ตัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้จักใช้คำว่า “อดทน” ความอดทนที่เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยชอบใช้ แต่ถ้าเราได้ใช้แม้เพียงนิดหนึ่งเราก็จะได้รับผลประโยชน์จากการใช้ความอดทนของเรานิดหนึ่ง ถ้าหากว่าวันนี้เราเริ่มใช้ วันหน้าเราก็จะได้รับผลดีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับถ้าหากมีคนเขามายั่วโมโหเรา แล้วเราต้องไปชกต่อยเขาต่อ แต่ถ้าเราไม่ชกเขา เราก็ไม่มีเรื่องใช่หรือไม่ (ใช่) อาจจะไม่ต้องมีเรื่องไปถึงโรงถึงศาล ไม่ต้องมีเรื่องไปถึงครู ความอดทนนั้นมีประโยชน์ไหม (มี) ในชีวิตของเราถ้าเราโดนคนเขาโกง เราก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน อดทนอดกลั้นจิตใจของเราที่รู้สึกเจ็บช้ำเจ็บปวด แต่ถ้าเราใช้ความอดทนนี้ได้ เราไม่ต้องไปเอาเรื่องเขาเป็นผลดีหรือไม่ (ดี) ต้องเป็นผลดีเช่นเดียวกัน ฉะนั้นความอดทนนั้นมีประโยชน์ วันนี้เราใช้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากใช้ แต่วันหน้าเราจะได้รับประโยชน์จากความอดทนนั้นมากมาย ทนที่จะไม่พูด ทนที่จะไม่คิด ทนที่จะไม่เอาเรื่อง ทนได้ไหม (ได้) แต่ละอย่างที่เราจะต้องไปทนนั้น มันก็มีมากมายหลายแบบ บางทีสิ่งที่ไม่น่าจะมาเกิดกับเราเลย แต่มันก็เกิดกับเรา เราต้องทำใจว่าเป็นกรรมของเราอย่างหนึ่งที่เราต้องเจอ ถ้าเราไม่มีกรรมเราก็ไม่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าคนอื่นเอาเปรียบเราโดยที่เราไม่มีกรรม เราก็ถือเสียว่า ไม่เป็นไร ลำบากนิด ลำบากหน่อย ดีกว่าเรานั้นสบายโดยที่จะต้องเจออะไรอีกก็ไม่รู้ในอนาคต ถ้าลำบากวันนี้ก็สบายวันหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากสบายวันนี้จะลำบากวันหน้า เพราะฉะนั้นลำบากวันนี้เป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แม่ครัวและผู้ปฏิบัติงานธรรมนอกห้องพระ)
ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ กันทุกคนนะ เพราะว่าตอนนี้ต่างก็มีความก้าวหน้าทางธรรม แต่ต่างก็เหนื่อยแย่แล้ว แต่เราไม่รู้หรอกว่าท่ามกลางความรู้สึกที่ท้อแท้ของเรานั้น เราก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ว่าอย่าให้เราท้อมากเกินไปจะดีที่สุด อย่าท้อจนทำลายต้นกล้าที่ขึ้นมาใหม่นี้ อาจารย์บอกว่าแต่ละคนนั้นมีความก้าวหน้ามากขึ้น แม้จะนิดหน่อยอาจารย์ก็ยังดีใจ แต่ว่าเราจะต้องรักษาระดับจิตใจของเราอย่างนี้ให้คงที่ เพราะว่าวันหนึ่งนั้นเราจะได้เป็นแรงที่ดีของอาจารย์เข้าใจไหม เวลาที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมของเรานั้นกำลังมีทุกข์มากขนาดนี้ เราก็ยังจำเป็นจะต้องเป็นคนนำพา โดยผ่านอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอีกคนหนึ่งด้วย อยู่ด้วยกันเป็นพี่น้องกัน อะไรดีอะไรไม่ดี เตือนกันได้พูดกันได้ เข้าใจไหม อย่าเป็นศิษย์ที่เก็บกด รู้ไหม ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะลำบาก เหตุการณ์มาบีบตลอด ในที่สุดแล้วก็เหมือนวางระเบิดไว้กับตัวเอง ถ้าหากลำบากใจมาก มีเรื่องทุกข์ร้อนมากมาย ทำใจไม่ได้แล้วให้มองหน้าอาจารย์ ดูซิว่าจะดีขึ้นไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ทำใจให้สบาย” ทำนองเพลง “ขอบฟ้าไม่มีจริง”)
ชื่อเพลง “ทำใจให้สบาย” เกิดมาเป็นคนนั้น การรู้จักคนมากก็มีเรื่องมาก ฟังมากก็มีเรื่องมาก รู้มากก็มีเรื่องมากเป็นธรรมดา แต่การที่เรารู้อะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเราก็ต้องทำจิตใจของเราอย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่เรารู้เราเห็น โดยเฉพาะการฟังคำคนอื่นเป็นสิ่งอันตรายที่สุดของศิษย์อาจารย์ เพราะว่าต่างคนต่างมีปาก ต่างคนพูด ต่างคนคิดใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็เล่าให้คนอื่นฟังจากความคิดของตัวเองที่คิด ไม่ใช่รู้ไปตามความจริงทั้งหมด แล้ววันหนึ่งศิษย์ไปเจอคนที่เขาใส่ความป้ายร้ายกัน ศิษย์เชื่อเขา แล้วไปว่าคนอื่นไปว่าคนๆ นั้นที่คนเขานินทามาให้ฟัง ศิษย์คิดว่าถึงเวลานั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนที่เละเทะไหม เราจะต้องถูกเรื่องราวเหล่านั้นทำให้เราเละไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแม้ว่าเราจะได้ฟัง แต่บางทีเราก็ใช่ว่าจะพูดได้ทุกเรื่อง การฟังมานั้นทำให้คนมีอคติและลำเอียง การมีอคติทำให้เรามองหน้าคนๆ นี้ไม่ติด อย่างเช่น เวลาเรามองคนๆ นี้ แล้วเราเคยฟังเรื่องมาก่อนว่าเขาเป็นคนไม่ดีอย่างไร ถึงเวลาเราต้องไปมองหน้าเขา เราจะมองหน้าเขาได้ติดไหม (ไม่ติด) เราก็มองหน้าเขาแบบคิดไปคิดมา คิดมาคิดไป ฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือไม่มีจิตใจที่อคติ เพราะว่าอคตินั้นทำให้คนลำเอียงมาก อาจารย์พูดเรื่องนี้เพราะว่าอะไร โอวาทซ้อนโอวาทเป็นคำว่าอะไร (มองโลกในแง่ดี) แม้ว่าอาจารย์จะพูดถึงการบำเพ็ญของศิษย์ เพื่อให้ศิษย์นั้นดีขึ้นกว่าเดิม แม้อาจารย์จะพูดว่าสังคมของศิษย์นั้นเลวร้าย แต่ว่าศิษย์ก็ยังต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ถ้าเราไม่รู้จักมองโลกในแง่ดี จิตใจของเราจะดีได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ฉะนั้นการมองโลกในแง่ดีทำให้ใจของศิษย์สบายยิ่งขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ธรรมะนั้นก็เหมือนกับดวงตาของศิษย์ ตาที่เราใช้มองทุกวันแต่เราไม่รู้สึกว่าเรามีดวงตาอยู่ใช่หรือเปล่า ธรรมะที่ศิษย์นั้นได้รับไป ธรรมะที่เราใช้ในชีวิตประจำวันทุกวันได้ ธรรมะที่เป็นสัจธรรมนั้นก็เหมือนกับตาของศิษย์ จริงๆ แล้วในทุกๆ เรื่องที่ศิษย์มองไป ที่ศิษย์จะมองแล้วแก้ปัญหาได้ ศิษย์ก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้โดยใช้ธรรมะ ไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์กล เพทุบายมาแก้เสมอไป เพียงแต่ว่ารู้จักที่จะมองโลกในแง่ดี มองทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีเข้าไว้ แม้เราจะรู้ว่าคนๆ นี้เป็นคนร้าย บางทีเราก็ยังต้องมองโลกในแง่ดีเพื่อจิตใจของเราจะได้สบายขึ้น จิตใจได้รับการยกระดับมากขึ้น เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่ละคนมีอารมณ์โกรธ แต่ละคนมีอารมณ์เกลียดของตัวเองทั้งนั้น แต่เราก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ไว้ คนที่มาบำเพ็ญธรรมทุกคนไม่ใช่หมายความว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่ดีมาก่อน อาจจะหมายถึงคนที่ยังไม่ดี แต่มาเริ่มบำเพ็ญให้ดีก็เป็นไปได้ ฉะนั้นศิษย์มาพบกันในสถานธรรมก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนนั้นจะต้องดี ก็อาจจะมาเจอคนไม่ดีก็ได้ แต่เราต้องอย่าลืมว่าเราจะเปลี่ยนแปลงจากตัวเองให้ดีและดียิ่งขึ้น คนอื่นก็เหมือนกัน คนอื่นก็เปลี่ยนแปลงจากคนที่ไม่ดีให้กลายเป็นคนดียิ่งขึ้น แต่หากว่าเรามองเขาว่าไม่ดีๆ อยู่อย่างนั้น ในที่สุดแล้วพอเขาเปลี่ยนแปลงดียิ่งขึ้น เราก็ตกต่ำลง เพราะเรามัวแต่ค้างคาใจในเรื่องเก่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต่างคนต่างมองตัวเอง ย้อนมองส่องตน บำเพ็ญตัวเองให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี) ขยันติคนอื่นให้น้อย ขยันว่าตัวเองให้มาก เพราะว่าไม่มีใครชอบให้ใครมาว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราก็มาว่าตัวเอง เรามาดูตัวเรา อะไรที่เราบอกว่าเรายังแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่แน่ ตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้นศิษย์อาจจะแก้ไขได้ก็ได้ แต่ว่าก่อนที่จะตื่นเช้ามานั้น วันนี้ต้องพยายามก่อนใช่หรือเปล่า ถ้าวันนี้ไม่ได้พยายามจะมีวันพรุ่งนี้ที่ดีขึ้นไหม (ไม่มี)
อาจารย์หวังว่าพรุ่งนี้ศิษย์จะมาฟังธรรมะ กลับไปแล้วจะมาบำเพ็ญธรรม ทำในสิ่งที่ควรทำ รู้ในสิ่งที่ควรรู้ แก้ไขในสิ่งที่ทำได้ อย่าปล่อยให้เวลาวันหนึ่งผ่านไปก็แล้ว สองวันผ่านไปก็แล้ว ปีหนึ่งผ่านไปก็แล้วยังเหมือนเดิม เพราะว่าไม่มีใครสามารถรู้วันตายได้ มีแต่รู้วันเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่ศิษย์จะต้องม้วยมรณาไป แล้วเราจะมีเวลาอีกสักกี่วันที่จะให้เราทำความดี ที่จะให้เราแก้ไขตัวเอง
เมื่อสักครู่อาจารย์พูดค้างไว้ว่า สถานธรรมกว้างใหญ่แต่ไม่ค่อยมีคน ก็ดูเหมือนบ้านร้าง อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนช่วยกันมีส่วนร่วม ช่วยกันทำให้ทุกๆ อย่างดีขึ้น อะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยจะได้อย่างที่คาดคิด แต่ศิษย์อาจจะไม่รู้ว่าทุกๆ คนก็อยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้น ทุกคนต้องช่วยกัน ความคิดเห็นส่วนตัวของเราทุกคนนั้น พยายามถอยคนละหนึ่งก้าว เอาความคิดของคนอื่นไปมีส่วนร่วม เอาความคิดของทุกๆ คนมาเป็นความคิดที่สำคัญในการนำพาเดินหน้า ยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องมีแรงมีกำลังอย่ามีแต่ความ ท้อถอย
ใครยังไม่ได้ผลไม้จากอาจารย์ยกมือขึ้น อาจารย์อยากจะแจกมรรคผลให้ศิษย์เหมือนอย่างตอนนี้ที่แจกให้ได้ จริงๆ แล้วมรรคผลแจกกันอย่างนี้ไม่ได้ มรรคผลคือสิ่งที่ตนเองลงแรงไปทำแล้วได้รับเอง อาจารย์ไม่สามารถแจกให้ศิษย์เหมือนกับผลไม้ที่อยู่ในมืออย่างนี้ บำเพ็ญอาจารย์ก็บำเพ็ญแทนไม่ได้ มีแต่ศิษย์นั้นต้องทำตามในสิ่งที่อาจารย์พูด หากทำไม่ได้ก็ต้องพยายาม ขอให้ทุกๆ คนเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ ขอให้รักษาตัวกันให้ดีๆ ขอให้อาจารย์ได้มีโอกาสได้เป็นอาจารย์ของพวกเจ้าตลอดไป รักษาตัวไว้ให้ดีๆ ลาก่อน
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มองโลกในแง่ดี”
ยามมองอย่าได้ฉาบฉวย พิศด้วยรอบคอบพื้นฐาน
เกสรธรรมร่วงหล่นในบ้าน จิตตะวันส่องแสงกลางใจ
วัยเยาว์เรียนธรรมเปิดกว้าง ชราสร้างความดีมีใหม่
จิตภาพงดงามสุกใส ยิ้มฉายในหน้าคนตรม
คนบำเพ็ญในใจคลายโศก มองโลกแง่ดีสุขสม
คนไกลใจใกล้เกลียวกลม คลายปมย้อนมองที่ตน