วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2542

2542-12-10 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2542-12-10-ผู่ถี #23.pdf

วันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานผู่ถี  จ.พิษณุโลก

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

สายลมหนาวพัดต้องกายพาหนาวสั่น เฝ้าแบ่งปันน้ำใจกันอาจหายหนาวชีวิตคนแสนสั้นไม่ยืนยาว แก้เรื่องราวด้วยสติจึงบรรเทา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา
ชีวิตหนึ่งมีปัญหาสารพัน รู้เท่าทันก่อนจะสายใช้สติ
ต่างไม่ใช่ผู้ชำนาญแลชำนิ อย่าคิดริใช้อารมณ์จะสวนทาง
ทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กถอยยอมก่อน คนเลือดร้อนมีแต่จะต้องเสีย
เมื่อชีวิตไม่เป็นสุขคงต้องเพลีย มารลามเลียในใจตนคนไร้ธรรม
ศึกษาธรรมเบาอารมณ์แลอัตตา เหล่าคนกล้าแลขลาดเขลาต่างลิบลับ
ขอให้รู้ด้วยปัญญาย้อนมองกลับ อย่าสลับด้วยหลงผิดยากคืนแดน
นำตนให้ดีเลิศด้วยพยายาม อย่ามองข้ามเรื่องเล็กน้อยสม่ำเสมอ
มีความผิดมากมายเกิดจากเผอเรอ ให้พบเจอทางคืนจากใจตน
เมื่อลืมตาย่อมไม่อาจจะลืมตัว ฟ้าดินกลัวที่สุดคนหลงตน
ในชีวิตยิ่งทียิ่งสับสน ความอับจนเกิดด้วยรู้เขาไม่รู้เรา
ในบัดนี้ฟ้าดินส่งสายทองมา โปรดทั่วหล้าสาธุชนคนดีพร้อม
ความสำเร็จเกิดด้วยบำเพ็ญพร้อม ทั้งนอกในไม่จอมปลอมกุศลจริง
น้องโชคดียามนี้มีกายเป็นคน ขอรู้ตนอย่าเดินผิดทางไปอีก
มีคุณธรรมจริงภูตผีภัยต่างหลบหลีก ถูกแล้วยังเผลอผิดอีกกรรมตามทวง
อย่าสงสัยให้ในจิตขาดศรัทธา สามวันหนาการเริ่มต้นใฝ่มรรคผล
ขอให้ใช้ชีวิตนี้อย่างรู้ตน ธรรมแยบยลพลิกแพลงใช้ชีพร่มเย็น
หลังจากจบชั้นนี้แล้วหมั่นศึกษา ให้นำพาเวไนยสู่ทางนี้
แม้ไม่มีความร่ำรวยอันล้นปรี่ แต่ความดีมีล้นพ้นก็เกินพอ
ดั่งอยู่กลางทะเลทุกข์สุขกี่ครั้ง จะหันหลังคืนฝั่งใจอย่าโลเล
อันกิเลสมากมายที่อยู่ปนเป ความเจ้าเล่ห์ต่างต่างเร่งขจัดไป
ดอกไม้บานดอกไม้โรยต้นไม้คง จิตนี้จงดั่งต้นไม้สงบได้
กลางวุ่นวายยังได้เจอวีรบุรุษได้ กลางยุคปลายคัดเลือกปราชญ์เมธี
ในวันนี้เป็นวันแรกเข้าประชุม ขอสุขุมค่อยคิดอ่านอย่างถูกต้อง
ปฏิบัติตนอยู่ในธรรมครรลอง ใจไม่สองจึงพบพระในตน
จงรักษาพุทธระเบียบให้ดีดี อย่าได้มีความวุ่นวายแม้แต่น้อย
นั่งฟังดีกุศลจักมีไม่น้อย น้องจงค่อยศึกษาทำความเข้าใจ
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น หวังน้องนั้นจงตั้งใจอย่างยิ่งใหญ่
งานหลงฮว๋า  จัดเตรียมรอน้องคืนไป ขอให้ใช้ชีวิตนี้สร้างคุณค่า
สามวันนี้มาให้ครบอย่าได้ขาด คนประมาทดูเบาก่อนย่อมเสียผล
ปลูกต้นไม้ต้องดูแลจึงออกผล เกิดเป็นคนต้องดูแลจิตตนเอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอมั่นใจในธรรมบำเพ็ญเถิด
เวลานี้เหล่าวิญญาณแย่งกันเกิด น้องได้เกิดเป็นคนแล้วทำตนให้ดี
จรดวางพู่กันทองบันทึกคะแนน
ฮวา   ฮวา   หยุด


วันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ความเกียจคร้านหากเกิดมาเมื่อไร ให้กลั้นใจขจัดออกให้หมด

อย่าปล่อยไว้เนิ่นนานจะรันทด พลังถดถอยให้รู้รีบฉุดดึง
เราคือ
(เสียวเสี่ยวฝอถง) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านสบายดีไหม
แม้ในโลกปัจจุบันมีหลายอย่าง ท่ามกลางฟ้าดินมนุษย์วิเศษสุด
ธรรมญาณ ณ กลางประเสริฐแลบริสุทธิ์ อย่าท้อหยุดอธิษฐานสุดทางไกล
บรรเทาการสู้รบไม่บาดหมาง สงบจิตเพื่อสุขบ้างตามวิสัย
ธรรมชาติสำเร็จใครมีเรื่อยไป เมื่อเข้าใจด้วยปัญญาเลิกแย่งชิง
ถนัดงานตนลำพังรวมย่อมพลาด ใช้อำนาจพลังคนละอารมณ์ทิ้ง
ทุกข์อกไหม้คนละเกษมจริง สตินิ่งใช้หยุดมือที่วุ่นวาย
บำเพ็ญธรรมตั้งแต่ตื่นจนนิทรา ไม่เดินหาเข้าอารมณ์อัตตาใหญ่
ยาวหรือสั้นชีวิตกลั่นคุณค่าไว้ จะรอเวลาทำไมหรือโอกาสมี
กมล๑คนดีเสียปะปนสูญค่า ยุคสามฟ้าเมตตาคัดถ้วนถี่
น้ำกระเพื่อมจากในโปรดคนดี ลงมือเร่งโลกสามัคคีด้วยเรา
ปล่อยอัตตาวางยึดถือกังวลหมด ธุลี๒จดลงในใจไร้เหย้า
มาย้อนมองอีกทีตัวเรา บำเพ็ญนานครั้นแล้วบรรเทาหรือทวี
ฮิ   ฮิ   หยุด

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง


สมมติว่าตัวท่านจะยื่นของให้คนอื่น แล้วเขาปฏิเสธบอกไม่เอา ท่านจะทำอย่างไร (ตื้อ)  ถ้าตื้อแล้วไม่ได้ผลก็ต้องตื้ออีก เขาไม่รับอาจเพราะเขาเกรงใจหรือดูความจริงใจว่าเราจะให้เขาจริงๆ หรือว่าไม่อยากให้  ถ้ามีใครยื่นของให้ท่าน ท่านก็อยากได้เหมือนกันแต่บอกไม่เอา ถ้าเขาไม่อยากให้เราจริงๆ พอเราไม่เอาเขาก็เก็บขึ้นและรู้สึกว่าดีเหมือนกัน เขาก็เก็บขึ้น  เวลาเราให้ของทำให้เราได้ทั้งรู้ใจเขาแล้วก็รู้ใจเรา ถ้าเราไม่พูดเขาจะรู้เรื่องหรือไม่ว่าทำไมเราถึงให้เขา  ฉะนั้นเวลาเราจะให้ของเราต้องบอกด้วยว่าให้และให้ไว้ทำอะไร  ไม่ใช่บอกว่ามีของอยากจะให้ ใครเขาจะรู้เรื่อง บางทีจะยื่นของให้ใครสักคนหนึ่ง เราต้องบอกเขาก่อนว่าเราให้ ของนี้มีประโยชน์อย่างไร หรือถ้าเกิดว่าเราไม่เข้าใจของที่เราจะให้ก็บอกเขาว่ายังไม่ได้อ่าน เธอก็ลองอ่านดูก่อนก็แล้วกันว่าเป็นอย่างไร แต่ฉันรู้แค่เพียงว่าถ้าเธอใช้แล้วมันจะดี ถ้าเธอมีแล้วจะมีแต่ได้ 

เหมือนวันนี้คนข้างๆ ชวนให้ท่านมารับธรรมะ ให้มาศึกษาและมารู้จักว่าธรรมะคืออะไร บำเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร ที่รับไปแล้วหมายถึงอะไร  ถ้าเขาเอาแต่ให้อย่างเดียวท่านก็ต้องสงสัย  ฉะนั้นคนที่จะให้ต้องรู้จักอธิบาย รู้จักพูดโน้มน้าว เขาถึงจะอยากได้ในสิ่งที่คนเขาจะให้  หรือว่าให้อะไรก็เอาหมด พอติดป้ายว่าแจกฟรีก็วิ่งกันไปเป็นแถวเลย เราชอบของฟรี ชอบอะไรที่ได้มาสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อย แต่พอได้มาง่ายๆ ก็ทอดทิ้ง และทิ้งขว้าง 
ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งที บางครั้งได้อะไรมาง่ายๆ เราต้องดูด้วยว่า คนที่เขาให้เรามาไม่ได้เอามาให้ง่ายๆ เลย เราก็ต้องเห็นใจเขาด้วยว่ากว่าเขาจะหยิบยื่นของมาให้เราบางทีก็ยากเหมือนกัน  ฉะนั้นถึงแม้เราจะได้มาง่าย แต่เราต้องอย่าลืมนึกถึงคนที่เขาเอามาให้เราด้วยว่าเขาได้มายากแค่ไหน ของบางอย่างนั้นต้องเกิดจากการลงแรงเพียรพยายามถึงจะได้สิ่งนั้นมา  ของบางอย่างไม่ต้องลงแรงก็ได้มาง่ายๆ  มีหลายอย่างในโลกนี้ที่ได้มาง่ายและได้มายาก  เสียไปง่ายแล้วก็เสียไปยาก จริงๆ ไม่มีแต่เป็นเพราะใจท่านต่างหาก เกลียดเขา ไม่ชอบสิ่งนั้นมันก็เลยไม่ยอมไปสักที แต่เหมือนยิ่งเกลียดกลับยิ่งมาเจอ ยิ่งรักกลับยิ่งหนีหายไป ฉะนั้นไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักเกลียดดีหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องผิดหวัง 
เราเป็นใคร มาจากไหนนั้นยังไม่ต้องคิด  คิดเพียงว่าเราเป็นเด็กคนหนึ่งแต่ตอนนี้ท่านยังไม่รู้จัก เรามาคุยกับท่านยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ คิดว่ามาดูเด็กคนหนึ่งคุยอะไรให้ฟัง  ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่คุยยากกันทั้งนั้น ถ้าใจไม่ยอมรับเห็นเราเป็นคนแปลกหน้า ท่านก็ไม่ยอมคุยด้วย ถ้าเราอยู่สักหนึ่งชั่วโมงเดินไปเดินมาท่านก็ไม่แปลกหน้าแล้ว  
“ความเกียจคร้านหากเกิดมาเมื่อไร”  ใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจบ้าง  ผู้บำเพ็ญธรรมห้ามยกมือเพราะถ้าขี้เกียจบำเพ็ญธรรมจะสำเร็จหรือไม่ (ไม่สำเร็จ) ใครรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจบ้างคือ เบื่อง่ายทำอะไรนิดหน่อยก็ท้อ เพราะว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ยากและเกินกำลัง  บางครั้งเราต้องคิดอยู่สองอย่าง  ถ้ามันยากเกินกำลังแล้วไม่ประสบผลสำเร็จเราต้องรู้จักหยุดแล้วก็เลิกสิ่งนั้นเสีย  อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถทำให้สำเร็จได้แต่เพราะใจเราไม่สู้ เราต้องปลุกปลอบใจ เรียกกำลังตัวเราและรีบสกัดกั้นความเกียจคร้านออกจากตัวเรา  แต่คนเรามักแยกไม่ออก ทำไม่ได้ก็ชอบบอกว่างานยาก หรือบอกว่ามารขัดขวาง  จึงทำให้เราไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่างานที่เราจะทำนั้นควรจะใช้ความพยายามหรือควรจะวางทิ้ง เพราะว่าใจเราไม่ค่อยเที่ยงตรง  เวลามองเหตุการณ์ต่างๆ ก็เลยตัดสินใจไม่ถูกต้อง 
“อย่าปล่อยไว้เนิ่นนานจะรันทด”  หากปล่อยไว้เนิ่นนานจะเป็นคนเกียจคร้าน  คนที่เกียจคร้านทำอะไรไม่สำเร็จจะรันทด  เมื่อเรารันทดใจแล้วพลังก็ถดถอยจริงหรือเปล่า (จริง)  
วันนี้เรามาศึกษาธรรมก็ต้องมีการพูดเรื่องหลักธรรมเล็กน้อย เพราะปกติไม่ค่อยได้พูดถึงหรือคิดถึงธรรม  เรามีชีวิตส่วนมากก็จะคิดถึงแต่ว่าเช้ามาเราต้องหาอะไร ต้องไปทำอะไร  แล้วสิ่งที่เราไปหาไปทำส่วนมากก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงร่างกายนี้ทั้งนั้น  คนทุกคนรักชีวิตและกายนี้ เพราะว่ากายกับชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่เกิดแล้ว ทุกคนจึงรัก เมื่อรักจึงทะนุถนอม  เมื่อถนอมจึงต้องบำรุงรักษา เมื่อบำรุงรักษาแล้วต้องพยายามให้ทุกส่วนอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แต่ว่าร่างกายของมนุษย์เรานั้น ย่อมมีส่วนที่ใหญ่และส่วนที่เล็ก ส่วนที่สำคัญมากและส่วนที่สำคัญน้อย  หากทุกขณะที่เรามีชีวิต เรามัวคำนึงถึงส่วนเล็กแต่ไม่คำนึงถึงส่วนใหญ่ เรามัวคำนึงถึงนิ้วมือแต่ไม่คำนึงถึงแขน อย่างนี้ก็เรียกว่าดำเนินชีวิตไม่ถูก หากมัวแต่คำนึงถึงร่างกายแต่ลืมนึกถึงจิตใจ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
สมมติว่ามีคนๆ หนึ่ง เขาบอกว่าสามารถจะมีทองก้อนโตๆ แต่เขาต้องวิ่งข้ามเขาหนึ่งลูก และวิ่งกลับมาถึงจะได้ทองก้อนโตนี้  กับอีกคนหนึ่งเขาจะได้ทองก้อนเล็กแค่เพียงเขาทำงานอยู่ตรงนี้ หากให้ท่านเลือกท่านจะเอาทองก้อนโตหรือก้อนเล็ก (ก้อนเล็ก)  เขาคิดอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับส่วนไหนมากกว่ากัน คนที่ได้ทองก้อนเล็กและทำเท่านี่ แปลว่าเขาให้ความสำคัญกับกายมากกว่าเงินทอง  แต่คนที่คิดอยากได้ทองก้อนใหญ่ แปลว่าเขาคิดถึงเงินทองมากกว่าร่างกาย  แต่ถ้าคิดกลับกัน บางคนอาจบอกว่าหาไว้มากก็ดีเหนื่อยทีเดียว  แต่อย่าลืมว่าบางครั้งคนเราก็ไม่สามารถรู้และคาดเดาพละกำลังตนเองว่าไปได้แค่ไหน  บางทียังไม่ทันข้ามเขาอาจจะกลับมาไม่ถึงก็ได้  ฉะนั้นเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดในการมีชีวิต ในการที่เรารักชีวิตและรักกายเนื้อตัวนี้  
หากเทียบหัวกับหน้าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน (หัว)  แต่ทำไมบางคนรักหน้าแล้วยอมเสียหัว เหมือนคนที่บอกว่า เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงท่านเลือกสิ่งไหน  ส่วนมากคนจะเลือกเงินทองก่อน สุขภาพร่างกายเอาไว้ทีหลัง แล้วผลสุดท้ายต้องเอาเงินทองที่หาไว้มาดูแลสุขภาพ  ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่เราต้องรู้ว่าสิ่งใดสำคัญมากและสิ่งใดสำคัญน้อย เพราะว่าร่างกายเราต้องมีส่วนที่เล็กและส่วนที่ใหญ่  ส่วนที่สำคัญและส่วนที่ไม่สำคัญ  ถ้าเรามัวเอาเวลาไปสูญเสียกับสิ่งที่สำคัญน้อยแล้วทอดทิ้งส่วนที่สำคัญมาก เขาก็เรียกว่า คนโง่ คนไม่รักตัวเอง  แต่คนที่รู้จักให้ความสำคัญต่อจิตใจมากกว่าร่างกาย คนๆ นั้นเรียกว่า คนฉลาดใช่หรือไม่  หลายคนมีชีวิตบำรุงร่างกายให้ตนเองกินอิ่ม สมบูรณ์เพียบพร้อมแต่ลืมอบรมบ่มเพาะจิตใจ  ขอให้ตนเองมีกินอุดมสมบูรณ์ ร่ำรวย แต่ลืมนึกถึงจิตใจ บางคนยอมมีตำแหน่ง ชื่อเสียง แต่ยอมสูญเสียคุณธรรมในใจ อย่างนี้ไม่เรียกว่า เป็นผู้ดำเนินชีวิตที่ดีงามได้  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนเราต้องไม่ลืมว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  หากเทียบกายกับใจอะไรสำคัญที่สุด (ใจ)  เราว่าพอๆ กัน  เพราะบางคนทำอะไรตามใจโดยลืมนึกถึงร่างกายก็มี  ตามใจแบบไม่ค่อยถูกต้องและไม่ค่อยดี  บางครั้งเราต้องรู้จักวัดคุณค่าชีวิตก่อนที่จะดำเนินชีวิตด้วยว่าเวลาที่เราสูญเสียไปกับสิ่งที่เราได้กลับมาคุ้มค่าหรือเปล่า  ไม่อย่างนั้นแล้วเวลาที่สูญเสียไปก็เปล่าประโยชน์
“ท่ามกลางฟ้าดินมนุษย์วิเศษสุด”  ฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เราได้มา  สามารถทำให้เรามีทรัพย์สินก็ได้หรือไร้ทรัพย์สินก็ได้ มีชื่อเสียงหรือไร้ชื่อเสียงก็ได้ เป็นพุทธะหรือเป็นปุถุชนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกทางเดินใดให้กับชีวิต  ถ้าเราเลือกทางที่ดี ทางที่สว่างไสว ทางที่สามารถทำให้เราเข้าใจชีวิต สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต คนๆ นั้นก็สามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะได้  แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นก็ต้องรู้จักดำเนินชีวิตตรงนี้ให้เป็นก่อน  รู้จักมีให้เป็นและ อยู่ให้ได้  คนเรามีเป็นแต่มักจะอยู่ไม่ค่อยได้เพราะว่ามนุษย์เรากลัวความทุกข์ เวลาจะดำเนินชีวิตก็เลยอยู่อย่างหวาดกลัวจะก้าวไปทางซ้ายหรือเดินไปทางขวาก็กลัวว่าจะทุกข์ กลัวจะเดือดร้อน  เวลาทำอะไรจึงมัวแต่ห่วงตนเองมากเกินไป  เวลามีคนมาตีเรา เราเจ็บ  แต่เราไปตีเขาเราไม่เจ็บ  เวลาเขามาว่าเรา เราเจ็บ แต่เราไปว่าเขา เราไม่รู้สึกเจ็บและรู้สึกสะใจ  เหมือนกับการที่เรามีตัวตน พอเราลืมตัวตนทุกข์ก็หายไป เจ็บก็น้อยลงไป  การบำรุงเลี้ยงรักษาร่างกายเป็นสิ่งที่ดี  แต่ถ้าเรารักตนเองมากจนเกินไปก็ไม่ดี  รักจนยึดมั่นถือมั่น ห้ามใครแตะต้อง ห้ามเอาชื่อไป ห้ามเอานามสกุลไป ห้ามเอาหน้าเราไป เราก็รักจนมากเกินไป พอใครว่านิดหน่อยเราก็เลยเดือดร้อน พอเดือดร้อนเราก็ต้องปกป้อง ครอบคลุมไว้ พอปกป้องครอบคลุมไว้ก็ระวังเต็มที่ห้ามใครมาจับห้ามใครมาแตะต้อง เวลามีตัวเราก็จะเกิดความไม่ค่อยเที่ยง  บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้เราต้องรู้จักปล่อยวางตัวเองบ้าง เราบอกว่าเราเป็นคนรักถนอมชีวิต แต่การถนอมชีวิตนั้นต้องรู้จักให้ความสำคัญในสิ่งที่ถูก แต่ไม่ใช่รักถนอมชีวิตจนยึดมั่นถือมั่นเป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะมนุษย์เรามีสัจธรรมอยู่ข้อหนึ่งคือ เกิด แก่ เจ็บ ตายที่เราเลี่ยงไม่ได้  อยู่ร่วมกันเหมือนเราตีมือย่อมกระทบกัน เขาตีเราก็เกิดเสียง เราตีเขาก็เกิดเสียงเป็นธรรมดา การดำเนินชีวิตมีการเกิดเสียงบ้าง มีการเจ็บบ้างย่อมมีความทุกข์เป็นธรรมดา  จะทำสิ่งใดก็เหมือนเราตีมือย่อมเกิดเสียง เราดำเนินชีวิตก็ย่อมมีทุกข์ มีการเจ็บ แต่ถ้าท่ามกลางที่เราดำเนินชีวิตทั้งตัวเองและระหว่างผู้คน เรารู้จักลืมคำว่า “ตัวเอง” บ้างเราก็จะไม่ต้องเจ็บและไม่ต้องทุกข์  แต่ใครจะลืมตัวเองได้ บางคนต้องกินเหล้าให้เมาถึงจะได้ลืมตัวเอง จะได้ไม่ต้องทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราไม่ต้องทุกข์หรืออยู่บนโลกนี้แล้วทุกข์น้อยที่สุด เป็นไปได้หรือไม่ (ได้)  ตอนแรกอาจจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จริงๆ เป็นไปได้อยู่ที่ตัวเราวางตัวเองอย่างไร เหมือนน้ำหยดถ้ามีขันมารองน้ำก็มีเสียงเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่มีขันมารองจะมีเสียงเกิดขึ้นหรือไม่ (ไม่มี) หากท่ามกลางที่เราดำเนินชีวิตอยู่นั้นเราปล่อยวางตัวตน เราลืมตัวตนบ้าง เราก็จะไม่มีอะไรที่จะต้องทุกข์ แต่บางคนเวลาทุกข์ก็ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วย เอาหัวเป็ดหัวไก่มาไหว้ ทุกข์อย่างเดียวไม่พอ ยังเอาทุกข์ของตัวเองไปทำให้คนอื่นทุกข์อีก  บางคนบอกว่าลูกกลัวแล้ว อย่าทำเลย อย่ามาทุกข์เลย ปล่อยให้ทุกข์มันกัดหัว กัดใจจนใจกร่อนไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรายกนิทานเรื่องหนึ่งดูสิว่าแม่ลูกสองคู่นี้เขาแก้ทุกข์กันอย่างไร เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่ลูกสองคู่เดินไประหว่างทางเจอเสือตัวหนึ่ง เราเปรียบเทียบว่าเสือคือ ความทุกข์ แม่ลูกคู่แรกคุกเข่าร้องว่า อย่าฆ่าฉันเลยๆ แต่เสือฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง) ความทุกข์ฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง) พอทุกข์มาก็เข้ามาตัวเราทันที กัดกินจนใจเรากร่อนไปหมด แล้วเสือก็กินเด็กไปแม่ก็ทุกข์ใจ แต่แม่อีกคนหนึ่ง เสือที่ชอบกินเนื้ออ่อนๆ จะมากินลูกของแม่ แม่ก็คว้ามีดออกมาฟันหัว ทุกข์ก็หนีไปทันที นี่คือ อยู่ที่ตัวเรา เวลาเราเผชิญความทุกข์ยากเราใช้วิธีการอย่างไรในการรับมือ หากเราเอาแต่วอนขอทุกข์จะไปหรือไม่ (ไม่ไป) เอาแต่นั่งตรอมตรมทุกข์ ทุกข์ไม่ไปยิ่งกัดกร่อนใจเรา ไม่เหมือนแม่อีกคนหนึ่งที่ฟันฉับทันที ทุกข์มาก็ไม่กลัวลุกขึ้นสู้มองที่เหตุผล แก้แล้วก็ไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  การดำเนินชีวิตในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกันอยู่ที่ว่าเรามองปัญหา เรามองเรื่องราวกันอย่างไร การเอาแต่วิงวอนขอไม่มีประโยชน์ การเอาแต่นั่งทุกข์ตรอมตรมก็ไม่ใช่ทางที่แก้ไขได้  ฉะนั้นต้องลุกขึ้นสู้นั่นก็คือ เราต้องรู้จักเอาดาบแห่งปัญญาฟาดฟันกิเลส ฟาดฟันความทุกข์ 
(ท่านเสียวเสี่ยวฝอถงเมตตา ให้ร่วมกันร้องเพลง "ตัดกิเลสคล้องใจ)
 ฟังเพลงแล้วได้พิจารณาเนื้อหาในเนื้อเพลงกันบ้างหรือเปล่า หรือว่าสนุกจนลืมนึกถึงเนื้อหา  บางคนพอบอกว่ามารับธรรมะ มาศึกษาธรรมะ มาบำเพ็ญธรรมะก็รู้สึกว่าใจปิดกั้นทันที พอใจปิดกั้นแทนที่จะได้ลองเข้าไปศึกษาดูก็ถดถอยไป ไม่มีใจศึกษา เกิดเป็นคนนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องตัดเรื่องทางโลกทิ้ง แต่การบำเพ็ญธรรมก็คือ การบำเพ็ญอยู่ท่ามกลางโลกีย์ บำเพ็ญตัวเองให้อยู่ท่ามกลางกระแสโลก หากเราสามารถบำเพ็ญตัวเองให้อยู่ท่ามกลางกระแสโลก เราย่อมเป็นคนที่จริงและเป็นคนที่ดีได้ 
 หากให้ทุกท่านบำเพ็ญโดยทิ้งครอบครัวไป ท่านคงทำไม่ได้ ในสังคมปัจจุบันนี้ต่างคนต่างเอาตัวรอด ทุกคนต่างไม่ช่วยเหลือกัน ถ้าคนดีไปเข้าวัดหมดแล้วจะมีคนดีที่ไหนคอยอยู่ช่วยคนในสังคม แล้วคนดีจะช่วยคนในสังคมได้ทันหรือไม่ (ไม่ทัน) เหมือนเราเก็บอาวุธอยู่ในบ้านเวลาเราเดินออกไปข้างนอก  พอมีปัญหาเราจะวิ่งกลับไปหยิบอาวุธมาทันหรือเปล่า (ไม่ทัน) ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสามให้ท่านบำเพ็ญอยู่ในสังคม อยู่ในครัวเรือน คนเป็นพื้นฐานของครอบครัว จิตใจเป็นพื้นฐานของตัวคน ถ้าคนตั้งตนให้ตรงได้หลายๆ คนย่อมอยากจะตรงตาม ถ้าครอบครัวร่มเย็นหลายๆ ครอบครัวย่อมอยากจะร่มเย็นตามจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องของใครแต่เป็นเรื่องของส่วนรวมที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน
ท่านอยากฟังนิทานหรือไม่ (อยากฟัง) เรื่องมีอยู่ว่า มีวัวป่าคอกหนึ่งกับวัวบ้านสองตัว วัวบ้านตัวนี้เป็นวัวแม่ลูกอ่อน แล้วปรากฏว่าเสือจะมากินวัว วัวจึงตั้งวงล้อมไว้คอยปกป้องลูกอ่อนที่อยู่ข้างในและวัวที่อายุมากแล้ว วัวหนุ่มก็ปกป้องไว้ เสือก็ไม่กล้ามากิน แต่วัวแม่ลูกอ่อนกลับบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของฉัน เสือจะมากินเขาไม่ใช่กินฉันก็เรื่องของเขา แล้วก็เดินหนีไป วันนี้เสือมากินคนอื่นยังไม่กินเขา แต่วันหน้าไม่แน่เสืออาจจะไปกินเขา  ฉะนั้นคนที่มีกำลัง คนที่มีแรง จึงต้องอยู่ช่วยปกป้องคนที่อ่อนกำลังอ่อนแรง  ถ้าคนที่มีกำลังไม่คิดถึงหรือช่วยเหลือคนที่อ่อนแรงและอ่อนกำลัง  ทุกคนต่างเอาแต่ได้ ทุกคนต่างเห็นแก่ตัว คนที่แย่ที่สุดคือ คนที่อ่อนแอ คนที่ไร้กำลัง  แล้วถ้าวัวไม่ปกป้องกันอย่างนี้ เสือย่อมกินได้แม้กระทั่งคนที่มีกำลัง 
สังคมในปัจจุบันนี้ก็เป็นแบบนี้ คนมีแรงไม่ช่วยคนไร้แรง แต่คนมีแรงกลับข่มเหงคนไร้แรงอีก ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนอกจากจะไม่ใช่เพื่อตัวเองแล้ว แต่ยังเป็นการช่วยเหลือคนที่ยากลำบากกว่าเราด้วย  เรามีชีวิตอย่าได้เห็นแก่ตน แต่เราต้องรู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันและนำคุณค่าของชีวิตนี้ส่งมอบให้กับคนอื่นเป็นด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตที่มีค่า ไม่ใช่แค่เพื่อตนหรือเพื่อเห็นแก่ตน ถ้าคนๆ หนึ่งทุกวันมีแต่เลี้ยงตัวเอง ทุกวันมีแต่เพื่อตัวเอง คนๆ นั้นแม้คนในบ้านที่รักเขามากที่สุดก็ต้องทอดทิ้งเขาได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าคนๆ นี้ไม่ใช่มีแค่ตัวเองแต่เพื่อคนอื่นด้วย  ไม่ใช่แค่ช่วยตนเองแต่ช่วยคนอื่นด้วย ถึงแม้ว่าคนจะเกลียดเขามากเท่าไรแต่วันหนึ่งต้องเปลี่ยนใจมารักเขาได้  
มีนิทานเรื่องหนึ่ง มียุงบินผ่านไปเห็นคนเขาทิ้งกากถั่วลิสงกองอยู่กับพื้น ยุงก็บอกว่าน่าสงสารเจ้าเปลือกถั่วลิสงจริงๆ  ดูสิคนเอาคุณค่าของเขาไปหมดแล้วก็ทอดทิ้งเขาไว้ แต่ถั่วลิสงกลับพูดว่าไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ทำให้ฉันได้ตอบแทนบุญคุณให้กับมนุษย์แล้ว เพราะชีวิตฉันเกิดมาจากการปลูกเลี้ยงของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้สร้างฉัน มนุษย์เป็นผู้ให้ชีวิตฉัน แม้จะตอบแทนเพียงเล็กน้อย แม้จะให้คุณค่าแก่เขาเพียงเล็กน้อย ฉันก็พอใจแล้วที่เกิดมามีคุณค่าเท่านี้ แต่พอยุงบินผ่านไปก็เห็นกากใบชาถูกโยนทิ้งอีก ยุงก็บอกว่าดูสิทำดีไม่ได้ดี เขาดูดน้ำชาของท่านหมดแล้วเขาก็โยนท่านทิ้ง กากใบชากลับตอบด้วยเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นไรกว่าเขาจะได้ฉันมาก็ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ ฉันสร้างคุณค่าให้เขาได้นิดหน่อยฉันก็ภูมิใจแล้ว แต่พอสักพักยุงบินไปได้ไม่เท่าไร ยุงก็ตายคาที่  กากใบชากับเปลือกถั่วลิสงก็เลยบอกว่า ไม่รู้จะสงสารใครกันดี  
คนเราก็เหมือนกัน บางครั้งเราเห็นคนทำดีอุทิศให้กับคนอื่น บำเพ็ญตนสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น เรากลับบอกว่าเหนื่อยเปล่า แถมบางทีเรากลับไม่คิดที่จะมีใจว่า อย่างนี้น่าเอาเป็นแบบอย่าง น่าเลียนแบบ น่าดำเนินตาม คิดแต่ว่าเรื่องอะไรจะยอมเหนื่อยฟรีๆ แค่นี้ก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  อย่าลืมว่า เราเกิดมาได้จากมนุษย์ด้วยกัน เราเกิดมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของมนุษย์เหมือนกัน ถ้าเราไม่ช่วยมนุษย์จะให้หมูหมากาไก่ที่ไหนมาช่วย คนกับคนยังไม่เห็นใจกันแล้วจะให้หมูหมามาเห็นใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าท่านเห็นใจกันจริงๆ โลกนี้คงไม่มีคนขอทาน ไม่มีบ้านพักคนชรา ไม่มีเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ถ้าคนที่มีแรงกายมีใจรู้จักปกป้องช่วยเหลือ  แล้วตอนนี้ท่านยังคิดว่าตัวท่านยังเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า 
เรามีชีวิตและดำเนินชีวิตอยู่ เราก็อยากให้ใครๆ รักเรา  อยากเป็นที่รักของทุกๆ คน ไปอยู่ที่ไหนก็อยากให้คนรักไม่อยากให้ใครเกลียดเรา  แล้วทำอย่างไรให้ตัวเองน่ารัก (ช่วยเหลือผู้อื่น)  หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ท่านอยากให้ลูกรักท่าน อยากให้ลูกชิดใกล้ท่านหรือเปล่า (อยาก)  บางครั้งมีลูก ลูกก็ไม่ค่อยจะรักเราชอบทำให้เราช้ำใจ ทุกข์ใจ  มีพี่ก็ชอบทำให้เราเสียใจ ชอบว่าเราเสียๆ หายๆ มีเพื่อนก็ชอบทิ่มแทงใจดำชอบแกล้งเรา ชอบหาเรื่องเรา มีเพื่อนร่วมงานก็ชอบขัดแข้งขัดขา   แล้วเราต้องทำอย่างไรให้ตัวเราเป็นคนที่น่ารักของทุกๆ คนได้  ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่  อย่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้  เป็นไปได้แต่ต้องใช้เวลา เพราะใจคนเปลี่ยนยากเวลาเขาเกลียดทีหนึ่งเกลียดเร็ว แต่เวลาเขารักจะเปลี่ยนมารักก็ช้า ฉะนั้นต้องให้เวลา ทำความดีต้องลงแรงมากหน่อย  ใครอยากมีชีวิตแล้วให้มีแต่คนเกลียดหรือคนจะเกลียดก็ไม่สนใจ  ทำอย่างไรให้คนเกลียดและทำอย่างไรให้คนรัก ถ้ารู้ว่าทำอย่างไรให้คนเกลียด เราก็จะไม่ทำสิ่งนั้น แต่ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรให้คนรักแต่ไม่รู้ว่าทำอะไรให้คนเกลียดก็อันตรายเหมือนกัน แล้วเราจะทำอย่างไรดี (มีเมตตาทำให้คนรัก, ทำดีทำให้มีคนรัก ทำไม่ดีทำให้มีคนเกลียด)  ต้องรู้จักทำดีจึงมีคนรัก ทำไม่ดีก็มีคนเกลียด (รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้มีคนรัก เห็นแก่ตัวทำให้คนเกลียด) 
 หัวหน้าชั้นทำอย่างไรให้ลูกของท่านรักท่าน ทำอย่างไรให้แฟนท่านรักท่าน (ต้องเป็นผู้นำของครอบครัวให้ดี เป็นแบบอย่างที่ดี เราถึงจะนำครอบครัวไปได้)  แล้วแบบอย่างที่ดีเป็นแบบไหน ทุกขณะจิตคนที่เป็นผู้นำของครอบครัว ต้องรู้จักคำนึงถึงคนข้างหลัง เวลาเขาจะทำอะไรเขาต้องคิดถึงครอบครัวอยู่ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกันถ้าเกิดคนเราอยากจะมีธรรมอยู่ตลอดเวลา หากเดินไปก็คิดถึงธรรม ทำอะไรก็นึกถึงธรรม เขาจะทิ้งธรรมหรือไม่ (ไม่ทิ้ง)  เอาความคิดแบบนี้มาคิดจะทำให้ท่านเป็นคนที่มีธรรมได้ตลอดชีวิต บางครั้งเอาแต่คิดถึงครอบครัวอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะบางทีเอาแต่คิดถึงครอบครัวเราแล้วจะทิ้งคนอื่นจริงหรือเปล่า (จริง)  บางครั้งเราต้องนึกถึงคนอื่นด้วยเพราะชีวิตของเราไม่ใช่ว่ามีครอบครัวเราครอบครัวเดียวยังมีครอบครัวอื่นด้วย ถ้าเกิดว่าครอบครัวเราอยู่รอดแต่ครอบครัวอื่นล่มจมหายนะ ท่านก็ทำไม่ลง  แล้วถ้าเกิดครอบครัวท่านอยู่รอด ครอบครัวอื่นค่อยๆ สูญสลายไปทีละครอบครัว ท่านทำได้หรือไม่ (ไม่ได้)  นั่นแปลว่า ทุกคนต่างมีจิตใจแห่งความเมตตา เห็นอกเห็นใจคนอื่น  ขอให้มีจิตใจเช่นนี้ในเวลาที่เราดำเนินชีวิต  มีจิตใจที่เมตตาและเห็นอกเห็นใจคนอื่นทุกขณะจิต  เมื่อคิดย่อมมา เมื่อนึกถึงย่อมมี  แต่ถ้าเกิดไม่คิดไม่นึกถึง ย่อมไม่มีและย่อมไม่มาหา ธรรมะก็เหมือนกัน หากมีชีวิตขอให้หมั่นนึกถึงธรรมไว้ ธรรมจะไม่หายไปไหน ธรรมจะไม่ออกห่างไกลจากชีวิต  
บางครั้งเมื่อเห็นความผิดของคนอื่นเราต้องไม่หัวเราะเยาะ แต่เราต้องคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักเป็นอย่างไร ห้ามเป็นลำโพง ห้ามเป็นโทรโข่ง เห็นใครไม่ดีก็เก็บเอาไปพูด อย่างนี้เขาเรียกว่าคนไม่ดี คนไม่น่ารัก เพราะท่านเอาไปพูดกับคนๆ หนึ่ง คนๆ นั้นเขาก็ต้องกลัวแล้วคิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะเอาฉันไปนินทาหรือเปล่าก็ไม่รู้   แล้วเขาก็จะไม่เคารพท่าน คนนั้นมีดีมีชั่วอยู่ที่ว่าทำแล้วคิดถึงและสำนึกหรือไม่ ละอายหรือเปล่า หากมีชีวิตรู้จักละอาย รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักสำนึก รู้จักเห็นใจ นั่นเรียกว่าคนที่รู้จักดีเป็น แต่ถ้าเกิดว่ามีชีวิตแล้วไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักสำนึก ไม่รู้จักละอาย นั่นแหละชั่วทันที  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักคิด  หู ตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรให้คิด อย่าปล่อยไปตามใจ เรามีใจที่คอยใคร่ครวญ ใจที่คอยขบคิด  เวลาตามองใจต้องสัมพันธ์ดูว่าควรดูหรือไม่ หากไม่ควรดูก็ถอนตาเสีย เวลาจะพูดก็เอาใจมาตรองดูก่อนคิดดูว่าควรหรือไม่ ถูกหรือเปล่าที่จะพูดแบบนี้ ถ้าไม่ถูกไม่ควร ถอนปากเสียและถอนคำพูดทิ้ง ถอนให้หมด
เรามีชีวิตอยู่สิ่งที่เรามักจะพึ่งพาอาศัยมากที่สุดก็คือ เวลา เวลาเป็นสิ่งสำคัญกับชีวิต  ฉะนั้นทุกคนมักจะพกเวลาไว้เสมอ ทำไมคนถึงรักเวลา ห่วงเวลา  ทุกๆ วันจะต้องเอาหน้าไปให้เวลาดู  เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมท่านถึงรักเวลา ดูเวลามากกว่าดูพ่อแม่อีก  ดูเวลามากกว่าดูตัวเองอีก  ทำไมคนถึงกังวลเรื่องเวลากัน แต่ถ้าคนรู้จักคิดก็คิดว่าเวลาคือ ชีวิต ชีวิตเราคือ เวลา เมื่อไรชีวิตเราหมด เวลาเราก็หมด แต่จริงๆ แล้วทำไมเราถึงรักเวลา (เวลามีน้อย)  เพราะว่าเวลามีน้อยจึงดูทุกวัน ดูแล้วเวลาจะมากขึ้นหรือเปล่า (กลัวชีวิตเราไม่ทันเวลา, เวลาเป็นสิ่งมีค่าของมนุษย์, เราต้องทำงานแข่งกับเวลา, เพราะเวลาไม่อาจเรียกหวนคืนได้, เวลาเป็นสิ่งที่ไม่อาจกลับมาได้อีก, เวลาเป็นเงินเป็นทอง, มีชีวิตมีเวลา หมดชีวิตจากไม่ดูแล้ว)  เพราะเวลาบอกความซื่อตรงทุกขณะจิต บอกความจริงใจ ถ้าวันไหนนาฬิกาไม่เที่ยงแล้ว ท่านจะทำอย่างไร  ท่านก็ไม่ดูแล้ว บางคนก็ทิ้งนาฬิกาเรือนนั้น บางคนก็เอานาฬิกาไปแก้ไข เพราะว่านาฬิกาบอกความซื่อตรงให้กับเรา เราจึงดูนาฬิกาบ่อยๆ  เราอาจจะตอบอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านคิดไม่ถึง จริงๆ แล้วที่เราดูเขาบ่อยๆ ก็เพราะว่า เวลาบอกความเที่ยงให้กับเรา คำตอบที่ท่านตอบล้วนแต่เป็นคำตอบที่เกี่ยวกับเงินทอง ของมีค่า แต่เราตอบในเรื่องธรรมะ เพราะนาฬิกาเที่ยงเราถึงต้องดูเวลาทุกๆ ครั้ง คนเราก็เหมือนกันบางครั้งเราอยู่กับเขา ทำไมเราถึงอยากคบกับเขาต่อ  เขาน่ารักอย่างเดียวไม่พอแต่เขายังมีความเที่ยงธรรมด้วย เราถึงทั้งรักและเคารพและอยากจะให้เขาเห็นหน้าเราทุกๆ วัน จริงหรือไม่ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครคิดอย่างนี้ เรามักจะคิดว่าเขาสวย เขารวย เขาเก่ง เราเลยมาให้เขาดูทุกๆ วัน จะมีใครคิดว่าคนนั้นเขาเที่ยงธรรม เขาจริงใจ เขาบอกความตรง บอกความเป็นจริงของชีวิตให้เรารู้ ส่วนมากคนจะไม่ค่อยเลือกตรงนี้เรามักจะไปดูเสื้อผ้า ดูแสงสี ดูสีสัน แต่พอมาพูดเรื่องธรรมะ มาชี้ลงถึงใจบอกความเป็นจริงของชีวิต เรากลับไม่ค่อยอยากมาดูกันไม่ค่อยอยากจะมาศึกษากัน 
“กมลคนดีเสียปะปนสูญค่า ยุคสามฟ้าเมตตาคัดถ้วนถี่”
หากตั้งใจจะบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนเป็นคนดีแล้ว ขอให้มุ่งมั่นอย่าดีบ้างไม่ดีบ้าง หากท่านดีบ้างไม่ดีบ้างย่อมยากที่จะปรากฏชัดว่า เป็นคนดีหรือคนไม่ดี  หากถึงเวลาคัดเลือกคนดีบ้างไม่ดีบ้างก็คือ คนไม่ดี ถ้าเกิดคนๆ หนึ่งความดีไม่เคยรักษา ความชั่วไม่เคยตัดทิ้งจะเรียกว่าคนดีก็ไม่ได้  คนบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นคนหากจะดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด  แต่คำว่า “ดีที่สุด” ก็คือ การบำเพ็ญตนและการที่เราจะพยายามทำตนให้เป็นคนดี รู้จักช่วยเหลือคน นั่นคือ การขัดเกลาตนเองด้วย  เมื่อไรที่เราพยายามจะดำเนินให้ถูกหนทาง ดำเนินให้ถูกครรลอง นั่นก็คือ การรู้จักที่จะบำเพ็ญตนแก้ไขสิ่งเลวร้าย
นาฬิกานั้นเมื่อเวลาผิดพลาดเขาไม่อายที่จะแสดงตัว แต่คนเราเปรียบเหมือนหนังสือ เวลามีผิดพร้อมจะปกปิด แล้วท่านจะเลือกเป็นหนังสือหรือนาฬิกา (นาฬิกา)  เป็นนาฬิกาดีกว่า  เมื่อเราผิดคนย่อมเห็น บางทีเราไม่รู้ตัวว่าเราผิดคนอื่นจะช่วยชี้ให้ เกิดเป็นคนนั้นเราต้องกล้าทำกล้ารับ ทุกคนรู้จักคำนี้แต่เรากลับไม่รับ ปราชญ์จึงกล่าวไว้สำนวนหนึ่งว่า “มนุษย์เราชอบฟังวาจาที่เป็นคุณประโยชน์ แม้คนเขาจะอยู่ไกลแสนไกล เขาก็ยอมดั้นด้นมาเพื่อจะบอกสิ่งที่ไม่ดีให้กับคนนั้น”  หากมีคนยอมดั้นด้นไกลแสนไกลมาบอกสิ่งที่ไม่ดีให้ท่านรู้ว่าท่านทำผิด ท่านจะดีใจหรือไม่ (ดีใจ)  ส่วนมากหลายคนไม่ดีใจกลับคิดว่าเขามาตั้งไกลเพื่อตั้งใจจะมาว่าฉันโดยเฉพาะเลยหรือ แต่พุทธะหรือผู้บำเพ็ญตนกลับไม่คิดอย่างนั้นแต่กลับดีใจเพราะเราได้รู้ความผิดของเราจากเขา คนที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่พูดเรื่องไม่ดีของเรา ไม่พูดว่าเราต้องแก้ไข เราควรคบเขาและเรายังควรรักเขาหรือเปล่า ถ้าเป็นปราชญ์หรือพุทธะสมัยก่อน ท่านจะไม่รักแล้วไม่คบด้วย เพราะว่าเราผิดเขาไม่กล้าว่าเรา เขายอมเห็นดีเห็นงามกับเราอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  แต่คนที่กล้าว่าเรา กล้าชี้ข้อผิดพลาดของเรา กล้าบอกเรา คนนั้นเราต้องรักเขามากๆ เพราะเขาจริงใจอยากเห็นเรารู้จักแก้ข้อไม่ดี 
แต่เป็นธรรมดาในหมู่คนดีย่อมมีอีกาดำมาปกคลุม มาแทรกซึม บางครั้งคนที่ไม่ดีจริงๆ มาว่าเราแล้วชี้ว่าเราไม่ดี เราต้องคิดและตรวจสอบตนเองด้วย อย่าว่าหงส์เป็นอีกา อีกาเป็นหงส์ เพราะอะไรเราจึงเปรียบเทียบแบบนี้ บางครั้งเขาดี เขาช่วยชี้ให้แต่เรากลับไปว่าเขาเป็นอีกา ฉะนั้นมนุษย์เราเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ใจของเรา ถ้าใจของเราไม่เที่ยง เวลามองหรือดำเนินชีวิตจึงยากที่จะมองออกได้ ยากที่จะแยกแยะชัดเจนได้นี่คือ ความลำบากของคน ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีขอให้ทุกขณะจิตคิดถึงธรรม ทุกขณะจิตมีธรรมแล้วธรรมจะช่วยตรวจสอบว่าควรหรือไม่ควร ละอายหรือไม่ละอาย ดีหรือไม่ดี คนเรานั้นต้องรู้จักคิดเพราะทุกคนต่างก็มีปัญญา 
“น้ำกระเพื่อมจากในโปรดคนดี ลงมือเร่งโลกสามัคคีด้วยเรา”
เวลาท่านโยนหินลงน้ำ จะเห็นวงแตกออกกว้างขึ้นๆ  ฉะนั้นการช่วยคนก็เหมือนกันต้องอาศัยคนหนึ่งคนเสียสละ เราถึงจะได้วงกระเพื่อมที่กว้างขึ้น  แต่เสียอย่างเดียวคนไม่ค่อยจะเสียสละจริงๆ  มักจะห่วงในการแสวงหา มักจะวิตกว่าตนเองเป็นคนที่ไม่มี  การมีธรรมเอาไว้ทีหลัง ไร้ธรรมไม่เป็นไร แต่ขอมีเงินไว้ก่อน  เราอยากให้ท่านหันมาสนใจธรรมสักนิดหนึ่ง  หากคนเรามีธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองคนที่มีธรรม  และธรรมะย่อมสามารถฉุดช่วยคนที่มีธรรมได้  ขอเพียงเขารู้จักรักษาธรรมไว้กับตัวอยู่เสมอ  ขอเพียงท่านเป็นหินก้อนที่ยอมหย่อนตนเอง เสียสละเพื่อผู้อื่นและผู้อื่นก็จะพร้อมที่จะมากับเรา  ฉะนั้นอย่าห่วงเรื่องการแสวงหามาก เพราะถ้าแสวงหามากเกินไป จนเกินเลยขอบเขตคำว่า "รู้จักพอ"  จนเบียดบังผู้อื่นเรียกว่าความชั่วร้าย เป็นการแสวงหาอย่างไม่ถูกต้อง  ความน่ากลัวของมนุษย์ก็คือ ทุกคนหาไม่รู้จักพอ มีได้แต่ไม่ยอมเสีย  ทรัพยากรมีจำกัดแต่คนมีมากมาย ย่อมเกิดการแก่งแย่งและชิงดีชิงเด่นกัน  หากวันนี้เราสุขกับคำว่า “สงบและรู้พอ” เรามีความสุขกับการเสียสละจะเป็นอย่างไร ทำไมเราไม่ลองไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นกันบ้าง ทุกคนต่างยืนอยู่จุดที่มีสุขกับการมีการได้  แต่ไม่มีใครยอมยืนในจุดตรงที่มีสุขกับการเสียสละ มีสุขกับการยอมไม่มีหรือน้อยคนนัก เมื่อน้อยคนทุ่มก็ไม่มีแรงกระเพื่อมต่อๆ ไป  เมื่อน้อยคนดีก็จะไม่มีคนดีอีกต่อไป  
เราจะงามทั้งทีต้องงามให้ได้ แต่งามนอกหรืองามในดีกว่ากัน (งามใน)  งามที่จิตใจภายใน  และต้องเป็นใจงามที่แข็งแกร่ง งอกงามได้ทุกสภาวะด้วย  หากเราจะเป็นต้นไม้ เราต้องเป็นได้อย่างต้นกระบองเพชร  เพราะว่าไม่ว่าฝน ร้อน หนาวก็อยู่ได้  หากจิตใจเราจะงามขอให้งามอย่างแท้จริง งามทุกๆ สภาวะที่เกิดขึ้น  ไม่ใช่ว่าพอเขาไม่ดีเราก็ไม่งาม  พอเขาดีเราก็งาม  อย่างนี้ไม่เรียกว่างามอย่างแท้จริง ไม่ใช่งามอย่างถ่องแท้  
วันนี้ก่อนกลับบ้านหันไปส่งยิ้มให้ผู้บำเพ็ญแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมาก”  หันไปหาแม่ครัวแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากค่ะ ทำอาหารอย่างไรถึงอร่อย”  เราต้องไม่ลืมน้ำใจ อยู่ในสังคมเราต้องมีน้ำใจ  เขาให้เราต้องขอบคุณ อย่าปากหนัก อย่าเป็นเสือยิ้มยาก  เราอยู่ด้วยกันเรามักเป็นอย่างไร  ฉันก็เสือเธอก็สิงห์  ฉะนั้นเราอยู่ด้วยกัน เราต้องรู้จักเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ไม่ลืมเขา ไม่ลืมเรา เราสุข เขาก็สุข  เราทุกข์ เขาไม่ทุกข์ไม่เป็นไร  นี่คือ จิตใจที่เสียสละ นี่คือ จิตใจของผู้บำเพ็ญ นี่คือ จิตใจที่รู้จักบำเพ็ญตนเอง  เขาทุกข์เราก็ยื่นมือไปช่วยเหลือ เอาธรรมะไปประคับประคอง  บางครั้งเราไม่มีเงินแต่เราสามารถใช้คำพูดช่วยคนได้ เราสามารถนำธรรมไปโปรดคนได้ไม่จำเป็นต้องมีเงิน บำเพ็ญธรรมไม่ได้เรียกร้องให้ท่านต้องมีเงิน  ขอเพียงท่านมีจิตใจที่ดี มีวาจาที่งาม มีการกระทำที่ประเสริฐ  ทำแบบนี้ท่านย่อมสามารถช่วยเขาได้และช่วยตนเองได้  ขอให้รักเขาเหมือนที่รักเรา ขอให้เคารพเขาเหมือนที่เคารพเราแล้วเขาก็จะเคารพเรา  แต่ก่อนจะทำอะไรคิดสักนิดหนึ่ง คนมีหลายประเภทและมีหลายแบบ  ดอกไม้ยังมีหลายประเภท ต้นไม้ต้นเดียวไม่เป็นป่า ด้ายเส้นเดียวไม่เป็นแพรไหมที่สวยงาม คนๆ เดียวถึงแม้จะดีงามก็ไม่สู้กับทำให้ผองชนดีงามด้วย จิตใจของเราดีแต่จิตใจของคนอื่นแย่ ก็ไม่น่าทำใช่หรือไม่ ถ้าจิตใจเราดี คนอื่นก็ดีด้วย เรากลับน่าดีใจที่มีชีวิต แต่ถ้ามีชีวิตแล้วคิดว่าฉันดีคนอื่นทุกข์ ฉันได้คนอื่นเสีย อย่างนี้ยุติธรรมหรือไม่ (ไม่)  ฉันอิ่มคนอื่นตาย ฉันรอดคนอื่นเสียชีวิตได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นละเว้นการกินเนื้อสัตว์ ถ้าทำได้ไวไวก็ดีเพราะว่าจะได้ใกล้ชิดพุทธะไวขึ้น  เพราะข้างกายเราไม่มีกลิ่นสาบ เป็นพุทธะต้องฝึกจิตใจเมตตาและเห็นใจ  มีสำนวนปราชญ์ สำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อเราเป็น ไม่ทนเห็นเขาต้องตาย เมื่อเขาร้อง เรายังอยากจะกินเนื้อเขาได้อีกหรือ” คนเราก็เหมือนกัน เวลาเราเห็นเขาตายแล้วเสียใจจริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเขาร้องท่านจะทนเห็นเขาตายไปกับตาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เราก็เลยหลับตาไม่เห็น เขาร้องก็อุดหู ไม่ได้ยิน ทำเสร็จมาแล้วเป็นหนึ่งจาน เลยกินเอากินเอา ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ได้หรือไม่ได้อยู่ที่ท่าน ท่านเกิดเป็นคนอย่าเบียดบังสัตว์มากกว่านี้เลย ลดได้ก็ขอให้ลดลงแล้วกัน  
ขอให้รักษาโอกาสและรู้จักควบคุมชีวิตของตนเองให้ดี  วันนี้มาระยะเวลาสั้นๆ  อาจจะพูดแล้วไม่สามารถทำให้ท่านเข้าใจทะลุปรุโปร่งทั้งหมด แต่อย่างน้อยกระทบใจสักนิดหนึ่งก็ยังดี  กระทบกิเลสตัณหาและความอยากในโลกหลุดไปได้บ้างก็ดี  เราอยากเห็นท่านงามทั้งภายนอกและงามทั้งจิตใจ แต่ต้องเป็นความงามที่แข็งแกร่ง ทนได้ทุกสภาวะ  
มาแล้วก็ไม่อยากกลับแต่ถึงเวลาก็ต้องกลับ ทุกคนต่างมีหน้าที่ หน้าที่หลายๆ อย่าง  แต่หน้าที่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ลืมบำเพ็ญตนเอง ไม่ลืมให้ความสำคัญกับคุณธรรม แล้วชีวิตจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีความสุขในความร่มเย็นแห่งธรรม
“มาย้อนมองอีกทีตัวเรา บำเพ็ญนานครั้นแล้วบรรเทาหรือทวี”
ผู้บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญแล้วมีอะไรบรรเทาลงไปบ้าง มีปัญหาลดลงไปบ้างหรือยัง หรือยังเต็มไปด้วยอัตตา เต็มไปด้วยตัณหา กิเลส อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม  ถ้ายอมได้ก็ยอม ให้อภัยได้ก็ให้อภัย เสียสละได้ก็ขอให้รีบเสียสละ  ใครไม่เสียสละก็ไม่เป็นไร  ตนเองขอทำดีไว้ก่อน ขอเสียสละไว้ก่อน  มาศึกษาธรรมะแม้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมาได้  ยอมปิดทองหลังพระก็ไม่เป็นไร ทำความดีคนไม่เห็น ทำงานข้างหน้าใครๆ ก็อยากทำ  แต่งานข้างหลังไม่มีใครทำเราต้องทำก่อน  ไม่มีใครเสียสละเราต้องเสียสละก่อน  ถ้าคนนั้นทำได้ นั่นคือ   เขาบำเพ็ญธรรมได้หนึ่งขั้นแล้ว  เกิดเป็นคนก็เหมือนกัน หน้าที่ยิ่งใหญ่ใครก็อยากทำ หน้าที่เล็กๆ ไม่มีใครทำ แต่อย่าลืมว่าจะมีใหญ่ได้ต้องมีเล็กมาก่อน จะมีเล็กได้ก็ต้องมีใหญ่ช่วยกัน เกื้อหนุนกันไป   ฉะนั้นเราเจอคนไม่ดี เราต้องใจเย็นๆ ให้โอกาสเขา ช่วยเหลือเขาและนำพาเขาให้ถูกทาง ตัวเราเองยังมีดีมีร้ายเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น  ให้อภัยตนเองได้อย่าลืมให้อภัยคนอื่นด้วย 
ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดี  ทุกข์บ้าง เศร้าบ้าง ผิดหวังบ้างก็อย่าท้อแท้  จงลุกขึ้นสู้ ยิ้ม แล้วบอกสู้ตาย แต่สู้แล้วต้องยังไม่ตายทันที ถ้าเกิดสู้แล้วว่ายังไม่ดี  ไม่อย่างนั้นไม่คุ้มเลย  สู้แล้วต้องดีให้ได้ บำเพ็ญดีให้ได้


วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๒

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อุปสรรคของการแก้ปัญหาคือความชัง การพลาดพลั้งตามอารมณ์อยู่เป็นนิจ

บำเพ็ญนานอย่าผิดเรื่องไม่ควรผิด ได้เป็นศิษย์ข้าควรรู้ใจข้าเอย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

ศิษย์รักบำเพ็ญต้องคุ้นหัวใจปราชญ์ คุณธรรมขาดสำนึกคุณมักเล่นเล่น

คนบำเพ็ญเปลี่ยนหัวใจไม่ไหวเอน รอศิษย์นี้วันได้เป็นเมธี
ลุ่มหลงไหมเพราะได้มีแทนไร้ คำตอบให้ไปตอบในฤดี
เพราะหายากใครยอมรับดุษฎี1 ธรรมะมีคุณยิ่งสูงหนีอวิชชา2 
หนี้กรรมจับหนาวยิ่งสุดชีวิต ทำอะไรรู้คิดก่อนทำหนา
ข้ามกำแพงแจ้งจิตทำเพื่อประชา แปรโลกาช่วยหนุนนำสุดกำลัง
บำเพ็ญธรรมต้นปลายมีจึงดี ยกวิธีหยุ่นยืดดุลย์3 สองฝั่ง
แก้ปัญหาสิ่งที่เจอด้วยระวัง เมื่อต้องฟังกับพูดระวังที่สุด ฮา   ฮา   หยุด




ความจำเป็นที่คนมีต้องมากมาย  ยังมีใครเผื่อใจมาเมตตากัน  มีหวังว่าได้เจอบ้างไหม  การยินยอมช่วยคนจึงมิง่ายเลย  คนบางคนเพิกเฉยช่างไร้หัวใจ  เลยหันหลังกันไป  ช่วยบางทีก็เพราะเกรงใจ ยังหวงตน

*   อย่าหลงเพราะทุกข์นัก  หยุดพักล้วนมิหาย  เห็นใจตนเองจึงเหนื่อยยิ่งนัก  อย่าหลงว่าทุกข์นัก  ขืนห่วงตนยิ่งยาก  พากเพียรไปทำความเข้าใจ  
** ความเปลี่ยนแปลงที่คนกลัวว่าไม่ดี  ในบางทีแย่ลงไปเพื่อมีชัย  บางครั้งต้องทำใจ  อดใจรอเมฆฝนเคลื่อนคลาย   สุริยา  (ซ้ำ *, **)  ศิษย์รู้บำเพ็ญจึงเห็นโลกคืออนิจจัง
ทำนองเพลง : ก้อนหินกับนาฬิกา
ชื่อเพลง : เสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องยากหรือง่าย (ยาก) ใครว่าการบำเพ็ญนั้นยาก การบำเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร ครอบคลุมตอนไหนบ้าง   ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับเลย  ทุกๆ นาทีเรานับเป็นการบำเพ็ญธรรมได้หมด  การบำเพ็ญธรรมนั้นแฝงอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ว่ามาสถานธรรมหรืออยู่กับวัดจึงนับว่าเป็นการบำเพ็ญ   เหมือนศิษย์จะเดินขึ้นสวรรค์ สวรรค์ไม่มีแบ่งว่านี่คือ บ้านหรือที่ทำงาน  สวรรค์ก็เป็นเหมือนพื้นดินราบๆ  การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเสมือนการเดินบนพื้นราบๆ  ไม่ว่าศิษย์จะเดินไปทางไหน อยู่ที่ไหน การบำเพ็ญธรรมนั้นก็แฝงเร้นอยู่ตลอดเวลา  

การพูดเป็นการบำเพ็ญได้เปล่า (ได้)  ถ้าคนๆ นี้พูดไม่ดีเลย คนนี้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่เหมือน)  ถ้าบอกว่าคนนี้ชอบคิดในแง่ที่ไม่ดีอยู่เรื่อยเลย คนนี้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่เหมือน)  ถ้าบอกว่าคนๆ นี้ชอบทำในสิ่งที่ไม่ดีอยู่เรื่อย แต่มาสถานธรรมประจำ คนนี้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องพิจารณาตนเอง  ดู คิด แก้ไข  มีอยู่แค่นี้เอง  หากเราไม่แก้ไขก็มีข้อเสียนับร้อย  นับจากหนึ่ง สอง สาม สี่ นับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นชีวิตของเราหนึ่งชีวิตนี้  คิดว่าเรานับเลขไปเรื่อยๆ จนถึงสิ้นชีวิตนี้จะได้เท่าไร นับไม่ถ้วน มากกว่าพันมากกว่าหมื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าเรานับถอยหลังลงไปเรื่อยๆ  อาจารย์ให้เริ่มตั้งแต่หมื่นลงไปเรื่อยๆ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดลดลงไปเรื่อยๆ  ถามว่าก่อนที่เราจะตายไป เราอาจจะนับได้ถึงศูนย์หรือไม่ (ไม่ถึง, ถึง)  ต้องเชื่อมั่นว่า ศิษย์นั้นจะทำความดีลบล้างความผิด ถอยลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเราไม่มีความผิดได้  เพราะว่าหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง มีเวลาว่างมานับเลขกี่ชั่วโมง ตั้งหลายชั่วโมง แค่นับเลขเอง หนึ่งวันมีเวลาไปทำไม่ดีกี่ชั่วโมง (หลายชั่วโมง)  เพราะทำไม่ดีนั้นง่าย แค่ทำตามใจตนเอง ทำตามอารมณ์ตนเอง ทำตามความคิดตนเอง
คนที่ทำตามใจ อารมณ์ ความคิด มักจะเป็นคนที่ผิดพลาดได้ง่าย  แล้วเราทำตามใจตนเอง  ทำตามอารมณ์ตนเอง  ทำตามความคิดตนเองบ่อยหรือเปล่า (บ่อย)  เราฟังความคิดคนอื่น เราทำตามใจคนอื่น  ทำตามอารมณ์คนอื่นบ่อยหรือเปล่า (ไม่บ่อย) แล้วเพราะอะไร เพราะทุกวันเราคิดถึงแต่ตนเอง  ตอนนี้เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราต้องคิดถึงใคร (ผู้อื่น)  เราต้องคิดถึงคนอื่น  เราจะกินข้าว ตักข้าวใส่ปาก คนอื่นกินอิ่มหรือยัง พ่อแม่เรากินหรือยัง ตอนนี้เราจะกลับไปนอนแล้ว เราก็มาดูว่าพ่อแม่เรานอนหรือยัง คนอื่นนอนหรือยัง ถ้าหากคนอื่นยังทำงานเราจะนอนได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับทางโลก เพียงแต่ใจดวงเดียวกันแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา หมายความว่า เรานั้นปลูกกิเลสก็ปลูกในใจตนเอง  เราจะบำเพ็ญธรรมก็ตัดกิเลสที่อยู่ในใจของเราเอง  ในที่ๆ เดียวกันนั้นสามารถทำให้ศิษย์นั้นกลายเป็นพุทธะ ผู้สำเร็จธรรมได้ และในที่ๆ เดียวกันนั้นก็ทำให้ศิษย์กลายเป็นคนที่จะตกนรกได้ทุกเมื่อ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตนี้ ไม่ว่าศิษย์จะอายุเท่าไร  ถามว่าเรานั้นมีสิทธิ์จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกมากว่ากัน (ลงนรก)  จริงๆ แล้วศิษย์อยากไปไหน อยากไปสวรรค์ นิพพานหรือไปนรกมากกว่ากัน (สวรรค์, นิพพาน)  ทำไมความอยากไปทางหนึ่ง การกระทำไปอีกทางหนึ่ง ลองคิดดูว่าทำไมใจเราอยากไปทางหนึ่งแต่เวลาเราทำ เรากระทำไปอีกทางหนึ่ง (ยังมีกิเลสอยู่, ความเห็นแก่ตัว, เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน, มีสิ่งที่ผิดติดอยู่, เพราะว่าใจของเราไม่มั่นคง, เพราะว่าใจของเรามีความโลภในเงินทอง, เพราะใจคนเรายังไม่มีความเป็นกลางและไม่มีความยุติธรรมพอ)  คำตอบที่ตอบมาเป็นคำตอบที่ดี  วันนี้หรือพรุ่งนี้หรือเมื่อไรก็ตาม เวลาที่ศิษย์อยากจะทำสิ่งที่ดีแต่พอทำจริงๆ ก็ไปเลือกทำในสิ่งที่ตรงข้าม ลองถามตนเองว่าเพราะอะไร คงไม่ต้องให้อาจารย์ตอบ เพราะว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นรู้ตัวดีว่าทำอะไรอยู่  เพียงแต่ที่ทำลงไปนั้นผิดหรือถูกเท่านั้นเอง  ลองคิดดูว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมาหากวันนี้ไม่เริ่มแก้ไข ไม่เริ่มต้นหนึ่งวันผ่านไป เมื่อวานนี้บอกว่าเดี๋ยววันนี้จะเริ่มต้น ผลัดไปผลัดมาบอกว่าพรุ่งนี้ดีกว่า พอวันพรุ่งนี้ผ่านเข้ามาอีกก็บอกว่าพรุ่งนี้ดีกว่า พรุ่งนี้ของทุกวัน หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป สามปีผ่านไป ได้แต่ชื่อว่า เป็นคนบำเพ็ญ   ไม่ได้เป็นการบำเพ็ญที่แท้จริงสักที
เราลองเริ่มปรับปรุงตนเองดู  เหมือนเวลาที่ศิษย์ทำกับข้าว เวลาเฉือนเนื้อหมู เฉือนลงไปเจ็บหรือเปล่า  ที่จริงแล้วสัตว์ที่เรากำลังเฉือนอยู่เขาอยากให้เราเฉือนหรือเปล่า (ไม่อยาก) ศิษย์ตอบเองแล้ว  วันนี้เราลองมาเฉือนเนื้องอกของตนเองบ้าง เนื้องอกของเรานั้นงอกอยู่เต็มไปหมดแล้ว ลองเฉือนดู  กิเลสงอกมาจากตรงไหนก็ตัดเลยดีหรือเปล่า (ดี)  อย่ากลัวตนเองเจ็บที่เราจะตัดความสุขสบายของเราทิ้ง อย่ากลัวตนเองเจ็บเมื่อเราจะต้องไปเผชิญความยากลำบาก  เวลาที่เราอยากจะได้การงานที่ดีก็ต้องขยันทำงานจะอดตาหลับขับตานอนก็เอา  เวลาที่เราอยากจะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต เราก็ต้องทำทุกวิถีทาง  เวลาที่เราอยากจะมีเงินหรือการค้ารุ่งเรืองก็ต้องทำทุกวิถีทาง  การที่ศิษย์อยากจะเป็นพุทธะก็ต้องทำทุกวิถีทางเหมือนกัน  ทำไมถึงคิดแต่จะเอาในสิ่งที่มีรูปลักษณ์  จะเอาเงินทองมากๆ  ชอบสิ่งนั้น ชอบสิ่งนี้  เงินทองมีรูปลักษณ์ให้จับต้องก็เลยอยากได้  แล้วการเป็นพุทธะไม่อยากได้หรือ  ใครอยากได้ก็ต้องพยายามและพยายาม  อาจารย์มีแต่คำว่า "พยายาม" ให้เท่านั้น  ไม่ใช่อาจารย์บอกว่า ทุกๆ คนนั้นสามารถไปถึงได้โดยไม่มีอุปสรรค อาจารย์ไม่เคยพูดอย่างนั้น  อาจารย์มีแต่บอกว่าการไปเป็นพุทธะได้นั้นมีอุปสรรคเต็มไปหมด  แต่ต้องไปหรือไม่ (ต้องไป)  ในทั่วจักรวาลนี้มีแดนอยู่ไม่กี่แดน  แดนโลกมนุษย์หนึ่ง แดนนรกหนึ่ง แดนสวรรค์หนึ่ง และแดนนิพพานอีกหนึ่ง ไม่นับแดนภูตผีที่ตายโหง เอาคร่าวๆ แค่นี้  มีแดนอยู่เท่านี้ มีแดนมนุษย์ที่เราอยู่ตอนนี้ มีสวรรค์ นรกและนิพพาน  
   ขีดตรงกลางนั้นคือ โลกมนุษย์ วงกลมข้างบนนั้นคือ สวรรค์ ขึ้นไปข้างบนอีกนั่นคือ นิพพาน ข้างล่างเรียกว่า นรก  อาจารย์ไม่ได้บอกว่า แดนเหล่านี้มีรูปลักษณ์  แต่เป็นการสมมติให้ได้รู้จัก  เวลาที่เราขึ้นบันไดนั้นยิ่งสูงยิ่งเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย)  เดินลงไปข้างล่างเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่ค่อยเหนื่อย)  ไม่เหนื่อยเท่าไร แต่ต้องก้าวและต้องออกแรงก้าวเหมือนกัน  แต่ถ้าติดความสบายก็อยากจะก้าวลงอย่างเดียว  ถ้าหากไม่ติดความสบายก็ก้าวขึ้นไป  ศิษย์ลองดูรูป มีสองวงกลม นิพพานอยู่สูงกว่าสวรรค์อีก  ก้าวขึ้นไปสวรรค์ก็เหนื่อยแล้ว เราออกแรงก้าวขึ้นไปอีก  คนอื่นออกแรงก้าวแค่ถึงสวรรค์ แต่ศิษย์ต้องออกแรงมากกว่าอีกไม่ใช่แค่คืบเดียว แต่ต้องก้าวไปที่เราเอื้อมไม่ถึงด้วยซ้ำ และยังต้องก้าวเป็นสองเท่าของคนธรรมดา  เหนื่อยมากกว่า ลำบากมากกว่า แต่ถ้าทำได้สำเร็จก็เท่ากับเราได้ชนะใจตนเองชนะทุกสิ่งทุกอย่าง  ความสำเร็จที่ไม่ใช่ความสำเร็จธรรมดาย่อมผ่านความลำบากที่ไม่ใช่ความลำบากธรรมดา  อยากไปหรือไม่ (อยาก)  อยากทำความดีหรือเปล่า (อยาก)  อยากทำความดีแล้วจะทำความดีที่มากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าทำหรือเปล่า (ทำ)  เวลาชั่วชีวิตนี้จะพิสูจน์ศิษย์  อาจารย์พูดอย่างนี้เพราะอะไร  ทำไมมาถึงอาจารย์ก็พูดเรื่องอย่างนี้กับศิษย์  อาจารย์บอกแล้วว่าเมื่อสักครู่อาจารย์ลงไปข้างล่างมา  ในงานประชุมธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ทำงานไปก็คุยกันไป คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางคนพูดไม่เพราะไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเลย  บางคนไม่พูดอะไรแต่ใจคิดไม่ดี  บางคนเป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรเลยแต่ว่าสักวันหนึ่งถ้าทำออกมาก็คงไม่ดี  ใจของศิษย์ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่มีคนอีกประเภทหนึ่งทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่คิดอะไรเลย เขาดีมาก  คนในสถานธรรมนี้เปรียบเสมือนโลกใบหนึ่ง  ให้ศิษย์คัดคนเหล่านี้กลับคืนขึ้นนิพพาน  ศิษย์อยากได้คนพูดไม่เพราะหรือเปล่า ถึงแม้ว่าต่อไปนั้นศิษย์จะไม่ต้องใช้ปากพูดก็ตาม (ไม่อยาก) อยากได้คนคิดไม่ดีหรืออยากได้คนที่บริสุทธิ์ใจมากๆ คนนั้น อยากได้คนไหน (คนที่บริสุทธิ์ใจมากๆ) ถามตนเองดูว่าศิษย์เป็นคนไหน 
อาจารย์เน้นว่าศิษย์ของอาจารย์ที่บำเพ็ญมาหลายปีแล้วจะต้องมีความดีตามปี ตามวันที่มากขึ้น  แม้อยู่ข้างนอกศิษย์จะเป็นอย่างไรมาก่อนไม่เป็นไร  แต่หลังจากที่ก้าวเข้ามาแล้วศิษย์คือ คนใหม่ ไม่ใช่คนใหม่นิสัยเก่า  แต่เป็นคนใหม่นิสัยใหม่ เหมือนเวลาที่ศิษย์แกะของขวัญศิษย์ยังไม่รู้ว่าของขวัญข้างในคืออะไร  ขอให้เรานั้นซื่อเหมือนกับตอนที่เราได้แกะของขวัญอันนี้  เรานั้นไม่ต้องเป็นคนที่รู้อะไรเลย ไม่ต้องรู้อะไรมาก  เหมือนอาจารย์สมัยมีชีวิตก็ซื่อๆ ดีหรือเปล่า (ดี)  มนุษย์สมัยนี้บอกว่าชอบคนฉลาด อยากทำงานก็อยากทำงานกับคนฉลาด  เวลาอยู่ใกล้ก็อยากอยู่ใกล้คนฉลาด  แต่ไม่พูดถึงเวลาถูกคนฉลาดเอาเปรียบ  ถ้าเราคิดที่จะเอาเปรียบเขา เขาก็คิดที่จะเอาเปรียบเรา 
“อุปสรรคของการแก้ปัญหาคือความชัง”  ทุกคนรู้จักความชัง เวลาอยู่ในครอบครัวของเรานั้นมีสามี ภรรยา ลูกถ้าสามีภรรยาชอบทะเลาะกันบ่อยมาก ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง  ภรรยาคิดอยากให้สามีเลิกดื่มเหล้า  ภรรยาเกลียดนิสัยการดื่มเหล้าของสามี  สามีอยากให้ภรรยาเลิกเล่นไพ่ สามีเกลียดนิสัยการเล่นไพ่ของภรรยา  ในที่สุดปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากให้เขาแก้ไขอย่างจริงจัง เรายังเกลียดนิสัยของเขาอยู่ เราจึงไม่สามารถบอกให้เขาเลิกได้  เพราะทุกครั้งที่ไปพูดไปบอก เราบอกด้วยอารมณ์ ไม่พูดกันดีๆ  ฉะนั้นความชังจึงเป็นหนึ่งในอุปสรรคของการแก้ปัญหา  เวลาเราอยากให้ใครแก้ไข เราอย่าเพิ่งเกลียดเขาก่อน เราจะต้องรักเขา 
“การพลาดพลั้งตามอารมณ์อยู่เป็นนิจ”  ปัญหาที่สองของการแก้ไขปัญหาคือ การทำตามอารมณ์ตัวเอง เวลาโกรธอาจารย์เคยบอกว่าให้นับหนึ่ง สอง สาม หมด  อาจารย์ให้เวลา แต่ศิษย์ต้องการเวลามากกว่าสามวินาที  เราต้องการเวลามากกว่านั้น แต่ว่าชีวิตของเราเกิดมาก็ไม่สามารถกำหนดเวลาได้  เวลาตายไปก็ไม่สามารถกำหนดเวลาได้  ความโกรธก็เหมือนกันศิษย์จะกำหนดเวลาว่าจะโกรธมากกว่านี้สักครึ่งชั่วโมงได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  หรืออยากโกรธมากกว่านี้สักหนึ่งชั่วโมง หรือเราอยากจะมีเวลาโกรธสักหนึ่งชั่วโมงแล้วอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเราจะต้องตายไป  คนๆ นี้ต้องตายไปพร้อมความโกรธหรือเปล่า (พร้อม)   เราตายไปพร้อมความโกรธแล้วเราต้องเกิดไปเป็นอะไร เราต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป อยากจะมีชาติหน้าเพราะว่าเราขจัดอารมณ์ไม่ได้ ช่างน่าสงสาร เราจำเป็นต้องขจัดให้ได้ ถ้าโกรธขึ้นมาให้นับ หนึ่ง สอง สาม ถ้าอยากได้เวลามากกว่าสามวินาทีก็นับช้าๆ  นับหนึ่งก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง  นับสองก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ  นับสามก็หายใจออกมา  หนึ่งครั้งแรกอาจารย์ให้ถอนหายใจเรื่องที่ไม่สมหวัง แล้วคิดว่าทำไมเราจะต้องโกรธด้วย  ครั้งที่สองสูดหายใจเข้าลึกๆ ให้มีลมเต็มปอดให้ใจของเรากว้างขึ้นด้วยลมที่เข้าไป  ครั้งที่สามปล่อยออกมาให้ใจเราเหมือนเดิม  อยากได้เวลามากๆ ก็นับให้ช้าลง แต่อย่านับชั่วโมงละหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็จะช้าไป
“ได้เป็นศิษย์ข้าควรรู้ใจข้าเอย” คำว่า “ข้า” ตัวนี้คือ อาจารย์  อาจารย์หวังอยากให้ศิษย์ก้าวไปข้างหน้า ก้าวขึ้นไปข้างบน ก้าวขึ้นไปให้สูง เมื่อเราก้าวสูง ปีนบันไดหรือปีนภูเขาสูง เราต้องเป็นคนที่อ่อนน้อมลงมา  เวลาที่เราปีนภูเขาแล้วเรามัวแต่ยืดตัวตรงก็ปีนภูเขาไม่ได้ อาจจะต้องล้มหงายหลังลงมา จึงยิ่งต้องก้มลงไป  ธรรมชาติสอนศิษย์ว่ายิ่งภูเขาชันมากเท่าไร เราต้องยิ่งก้มลงไป  มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า “ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว”  ศิษย์เอยเมื่อเจ้าใกล้ประสบความสำเร็จจะเป็นความสูงมากๆ ก็ให้อ่อนน้อมลงมากๆ เช่นเดียวกัน  เวลาคนทำตัวเด่นมักมีภัย  เราก็จงทำตัวให้กลมกลืน ดูแล้วสบายตา ฟังแล้วสบายใจ  อย่างนี้จึงเป็นผลดีต่อเรา 
ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากปกครองคนมากมายให้เรานั้นอยู่ข้างหลัง” เพราะถ้าอยู่ข้างหน้าจะมองไม่เห็นข้างหลัง  แต่ถ้าเราอยู่ข้างหลังเราสามารถรู้ว่าคนที่เป็นผู้น้อยที่ตามเรามานั้นเป็นอย่างไร  คนที่น่าห่วงที่สุดไม่ใช่คนที่อยู่ข้างหน้า  แต่กลับเป็นคนที่อยู่ข้างหลังที่เราไม่รู้จัก  ยิ่งคนต่อแถวยาวเท่าไร เราไม่รู้จักเขาเท่าไร   เราเองจะมีปัญหา
 ศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า (สบายดี)  ระหว่างสบายกายกับสบายใจ ถ้าหากให้ศิษย์เลือกพวกเราอยากสบายกายหรือสบายใจ (สบายใจ)  คนสบายใจไม่จำเป็นจะต้องมีฟูกนอน ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองใช้ก็ได้ ไม่ต้องมีบ้านหลังโตก็ได้ ไม่ต้องมีรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ก็ยังสบายใจอยู่ได้ ในตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เงินทองขาดมือ ความสบายก็หดหายไปด้วย บางคนรถก็หายไปด้วย บางคนบ้านก็หายไปด้วย บางคนวัตถุต่างๆ ก็หายไปด้วย  แต่ถ้าเราเลือกได้เราก็ยังเลือกสบายใจ  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ยิ่งไม่มียิ่งสบายยิ่งเบา  ก็ไม่ต้องมาขอให้อาจารย์ช่วยให้รวยแล้ว จะต้องเอารถกับบ้านด้วยหรือเปล่า  อาจารย์เห็นศิษย์หลายคนมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นจากทรัพย์สินเงินทองที่มีมากจนต้องนั่งเฝ้าไว้  จากการอยากได้ อยากมี แต่ไม่รู้ว่าคนที่ไม่มีนั้นเขาสบายแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใจของเราเอง ถ้าเรามีใจที่อยากได้ ความสบายใจของเราก็หดหายไปตามส่วน  การบำเพ็ญธรรมนั้นทำให้ศิษย์สบายใจได้ แต่ใจนี้ยังต้องซ่อมแซมไปเรื่อยๆ  บางคนยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความทุกข์ บางคนยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความสุข แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะใช้วิธีไหนของตนเอง บำเพ็ญแล้วควรที่จะมีความสุข   ถ้าเรายังมีความทุกข์อยู่แสดงว่าเรายังบำเพ็ญไม่ถูกทาง แต่บางคนก็น่าเห็นใจมีความทุกข์เพราะว่าอยากให้คนอื่นสุขก็เป็นเรื่องต่างหาก เพราะจิตใจของเขาถูกยกระดับขึ้น 
“ศิษย์รักบำเพ็ญต้องคุ้นหัวใจปราชญ์” หัวใจปราชญ์เป็นอย่างไร (ผู้รู้หัวใจตัวเอง, หัวใจที่มีคุณธรรม)  ศิษย์นั้นต้องคุ้นเคยกับหัวใจปราชญ์ นั่นก็คือ จะต้องมีคุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง มีความเมตตา  สองอย่างนี้ก็ยิ่งใหญ่มาก อย่างอื่นจะตามมาทีหลัง  หัวใจปราชญ์นั้นสองสิ่งนี้สำคัญและยิ่งใหญ่ คือ มีคุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง และมีความความเมตตา ต้องรู้จักแสดงความเมตตาต่อผู้อื่น และต้องมีคุณธรรม  ไม่เอาเงินเขาเมื่อเขาไม่เห็น  อยู่ที่มืดๆ ก็ไม่แอบทำเรื่องไม่ดี อันนี้อาจารย์ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ 
การบำเพ็ญธรรมแม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก  เหมือนกับผลไม้ที่อยู่ตรงหน้า ถ้าจะเด็ดศิษย์จะต้องเอื้อมมือไป  เหมือนกับการบำเพ็ญธรรมถ้าเราอยากได้มรรคผลต้องลงแรง  ถ้าหากเราอยากได้ผลไม้สักลูกหนึ่ง ได้มรรคผลสักลูกหนึ่ง ไม่ไปปลูก ไม่ไปรดน้ำ สามวันรดน้ำที ห้าวันใส่ปุ๋ยที ต้นไม้ตายหรือเปล่า (ตาย)   การบำเพ็ญธรรมต้องใส่ใจ ไขว่คว้าเอง ต้องบำเพ็ญด้วยตนเอง ครั้งแรกที่เราจะมาประชุมธรรมมีคนไปเรียกเราอย่างเอาใส่ใจเรา หลังจากนั้นเราต้องเอาใจใส่ตนเอง ต้องช่วยตนเอง ไม่ต้องให้เขาไปตามตื้อ ตามเรามาอีกและไม่ต้องมาด้วยความเกรงใจ แต่มาด้วยความเต็มใจ  การฟังธรรมะกุศลมีบังเกิดขึ้นเพราะว่าเราเต็มใจฟังธรรมะ และเต็มใจปฏิบัติ หากว่าเราไม่เต็มใจฟัง ไม่เต็มใจปฏิบัติ กุศลก็เว้าๆ แหว่งๆ ไม่สมบูรณ์ 
“คุณธรรมขาดสำนึกคุณมักเล่นเล่น”  ถ้าขาดคุณธรรมก็จะไม่มีความสำนึกในคุณต่างๆ  อย่างเช่น ฟ้าดินนั้นให้เรามีแสงอาทิตย์ มีนำ้ อย่างนี้มีบุญคุณหรือเปล่า (มี) โดยเฉพาะตอนนี้ฟ้าดินไม่ได้ให้แค่นำ้ ไม่ได้ส่งแค่แสงอาทิตย์ ยังส่งธรรมะลงมาช่วยในคนที่ไม่มีธรรมะ เพื่อให้คนดีถูกฉุดช่วย และคนชั่วนั้นได้สิ่งที่ควรจะได้รับ ฉะนั้นจึงบอกว่าฟ้าดินมีคุณ  คนที่ช่วยเหลือเราก็มีคุณต่อเรา มีใครที่มีคุณอีก (พ่อแม่, พระมหากษัตริย์, ครูอาจารย์, คนที่ชักชวนเรามารับธรรมะและนำพาให้มาประชุมธรรม) 
ชั้นนี้มีเพื่อนร่วมชั้นที่มาจากต่างประเทศ  ต้อนรับเขาด้วย อย่างไรเสียก็ศิษย์อาจารย์มาอยู่ด้วยกันถือว่ามีบุญสัมพันธ์กับคนประเทศลาว เราต้องรักกัน ในชั้นนี้มีคนพิษณุโลกไม่เท่าไร หัวหน้าชั้นดูหน้าเอาไว้ วันหลังต้องไปตามมาให้หมด 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้แก่นักเรียนที่เป็นชาวพิษณุโลก)
เวลาเราบำเพ็ญธรรม สุดท้ายมีคำพูดบอกว่า ให้เรานั้นรับมรรคผล  ผลไม้ที่ได้ไปเหมือนกับมรรคผล จะเอาลูกใหญ่หรือลูกเล็กก็อยู่ที่เรา  ทำไมอาจารย์ถึงแจกแอปเปิ้ลรู้หรือเปล่า เพราะว่าความหมายในภาษาจีนมีมงคล
"หนี้กรรมจับหนาวยิ่งสุดชีวิต"  อาจารย์ให้กลอนบทที่ขึ้นต้นด้วย “หนี้กรรมจับ” หนี้กรรมจับอย่างไร  ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นยังไม่ถูกหนี้กรรมจับถึง การที่มีความลำบากบ้างก็เพียงผ่อนใช้หนี้ที่เรานั้นติดค้าง แต่หากวันใดศิษย์โดนหนี้กรรมจับเข้าจริงๆ แล้ว แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังลุกไม่ไหวเลย เคยเห็นคนที่ป่วยจนลุกไม่ได้ เคยเห็นคนที่ป่วยจนเดินไม่ได้หรือเปล่า (เคย)  เคยเห็นคนที่บ้านแตกสาแหรกขาดจนหัวใจสลายทำอะไรไม่ได้เลยหรือไม่ (เคย)  เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการที่เรานั้นถูกหนี้กรรมต่างๆ จับหรือไม่ก็เป็นการสั่งสมปัญหาของเราเอง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเรานั้นมีกรรม กรรมคืออะไร กรรมคือ การกระทำของเรา เพราะฉะนั้นกรรมที่เราเคยสร้างมานั้นต้องชดใช้  ส่วนเรานั้นมีอนาคตอันสดใส ถามว่าเราจะทำอย่างไรให้อนาคตของเรานั้นสดใสจริงๆ (หมั่นทำความดี)  ตอนนี้หมั่นทำความดีหรือเปล่า วันหนึ่งทำกี่หน (ทำตอนเช้า)  ทำความดีให้มากๆ  ไม่ต้องทำเฉพาะตอนเช้า 
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทกับแม่ครัว)  
อุปสรรคมีอะไรผ่านเข้ามาก็ผ่านไปให้ดีๆ ทำให้ดีๆ ให้เรานั้นสมควรได้รับคำยกย่องว่า “เราบำเพ็ญได้ดี“ ใจต้องรักษาให้กลมๆ อย่าให้คนโน้นมาว่าที คนนี้มาว่าที แล้วมันแหว่งๆ เว้าๆ  เป็นคนพิษณุโลกเหมือนกันสู้ๆ กันหน่อย เพราะว่าเรานั้นเป็นกำลังที่ดีของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม อาจารย์ก็เห็นอยู่เสมอว่าศิษย์ทั้งหลายนั้นเหนื่อย ไม่ใช่เหนื่อยแค่สามวันนี้ แต่อาจารย์รู้ว่าเหนื่อยมากกว่านี้ แต่ต้องอดทนเข้าไว้  ความอดทนและความพยายามเป็นสิ่งที่คู่กับเรา  สถานธรรมนั้นก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเราทุกๆ คน  เห็นหรือไม่ว่าคนที่อายุมากบำเพ็ญแล้วเขาก็ไม่ยอมแพ้ แล้วเราจะยอมแพ้ได้อย่างไร 
“ยกวิธีหยุ่นยืดดุลย์สองฝั่ง” แปลว่าอะไร เวลาเรามีปัญหาก็เปรียบเสมือนกับเรานั้นอยู่ท่ามกลางภยันอันตราย อันนี้คือ ปัญหาของเรา 
อาจารย์สมมติให้ปัญหาเป็นลูกกลมๆ ลูกหนึ่ง ปัญหาของเรากลิ้งไปกลิ้งมา หมุนไปหมุนมาจนเราหัวหมุน  ทีนี้มีไม้อยู่อันหนึ่ง เรายื่นอยู่บนไม้นี้  ไม้นี้เปรียบเหมือนอะไรดี (หนทางแก้ปัญหา, ปัญญา, ทางเดินชีวิต, การแก้ปัญหา)  ถ้าหากข้างล่างเป็นปัญหา ข้างบนเป็นตัวเรา ตรงกลางนี้ควรจะเป็นอะไร (พื้นฐาน, เครื่องมือแก้ปัญหาชีวิต, เป็นฐานของปัญหา, ยึดเหนี่ยวหลักธรรม, อุปสรรค, ภูมิปัญญา, พื้นฐานของธรรมะ)  ศิษย์แต่ละคนมีคำตอบของตัวเองคนละหนึ่งคำตอบ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นคำถามที่สองที่อาจารย์ไม่เฉลยให้ศิษย์ไปคิดเอง ขอให้เรานั้นคิดๆ และคิดให้ออกว่าอันนี้หมายถึงอะไร เมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความคิดของตัวเอง ลองถกปัญหานี้ให้แตก ไม่ใช่สามวันมาที่สถานธรรมพอกลับไปหัวสมองว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย  
กลอนบทที่อาจารย์นั้นวาดรูปนี้ออกมา บอกว่า “ยกวิธีหยุ่นยืด” ก็คือ ยืดหยุ่นนั่นเอง  "ดุลย์สองฝั่ง"  เวลาที่ลูกหินที่อยู่ข้างล่างกลิ้งไปจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องรีบวิ่งไปฝั่งที่ก้อนหินกลิ้งไปเพื่อจะให้ไม้อันนี้ทรงตัวอยู่ได้ นั่นคือ ความหมายของปัญหาเมื่อกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วเราจะอยู่เฉยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วเราจะยึดหลักการนั้นๆ อย่างตายตัวบอกว่าเราเป็นคนมีหลักการได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ขอให้ศิษย์นั้นเวลาแก้ปัญหาใช้วิธีนี้ คือ วิธีการรู้จักยืดหยุ่นบ้าง บางคนนั้นเป็นคนที่ขี้โมโห ไม่เคยทำอารมณ์ของตนเองนั้นให้เย็นลง บางคนเป็นคนที่ไม่รู้จักพอดี เวลามีปัญหาขึ้นมาแต่ไม่ใช่ที่ตัวปัญหาแต่มีปัญหาที่ตัวเรา  เพราะฉะนั้นศิษย์ลองนึกสภาพของปัญหาที่กลิ้งไปกลิ้งมาแล้วตัวเรานั้นยืนเฉย  แล้วในที่สุดใครตาย (ตัวเรา) เราตายเพราะเราตกลงมาจากปัญหา ศิษย์ของอาจารย์บางคนแก้ปัญหาได้ดี 
“แก้ปัญหาสิ่งที่เจอด้วยระวัง เมื่อต้องฟังกับพูดระวังที่สุด”
เมื่อศิษย์ต้องการแก้ปัญหาก็คือ ยืนอยู่บนลูกกลมๆ ที่กลิ้งไปกลิ้งมานี้ ถ้าไม่ระวังก็ต้องพลาด  การแก้ปัญหานั้นควรจะระวังที่สุดที่ไหน อย่างแรกคือ ฟังเขามา เราฟังแล้วเราต้องคิด  คิดก่อนที่เราจะพูดออกไป  หลายคนมีปัญหาแต่มีปัญหาตั้งแต่ตอนฟัง ฟังก็มีปัญหาแล้ว เพราะฉะนั้นแก้ปัญหาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฟังได้ทุกอย่างแต่ก็ต้องคิดทุกอย่าง เวลาเราจะพูดอะไรออกไปก็ต้องระวังที่สุด  สิ่งที่ควรระวังก็มีสองอย่างเป็นสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุด ส่วนอย่างอื่นก็ลดหลั่นลงตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้เรามีปัญหามากก็ให้ระมัดระวัง เมื่อเวลาเจอปัญหาก็ดีหรือไม่เจอปัญหาก็ดี เพราะศิษย์นั้นไม่สามารถจะรู้ว่าปัญหาจะวิ่งเข้ามาหาเมื่อไร 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
“กลาง”  หลังจากกลับไปวันนี้ทำใจให้เป็นกลาง ต่อไปไม่ว่าคนเขาจะดีกับเรามากกว่านี้หรือคนเขาจะไม่ดีกับเรา เราต้องประคองใจเราท่ีมีใจมานั่งฟังธรรม  ภรรยาก็พากันมาบำเพ็ญ ชดเชยที่เมื่อก่อนนี้เราไม่ให้เขามา ดีหรือเปล่า (ดี)  
“ฟ้า”  สภาพของฟ้านั้นเป็นสภาพที่ใสสะอาดมาก การบำเพ็ญธรรมต้องมีจิตใจเหมือนฟ้า อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้ามาบำเพ็ญ และรู้จักทำจิตใจให้เหมือนฟ้า ไม่ต้องคิดอะไรมาก การบำเพ็ญธรรมไม่ต้องใช้ความคิดมาก ความคิดสงสัย ความคิดที่ไม่เข้าใจ ความคิดที่จะมองอะไร ก็ขอให้ใสๆ เหมือนกับฟ้า การบำเพ็ญธรรมมีอีกหลายขั้นตอนที่ศิษย์นั้นต้องผ่าน 
 “ดิน”  ฟังธรรมะสองวันเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า (มากขึ้น) ต้องเอาไปปฏิบัติได้ ต้องเสียสละเพื่อผู้อื่น  ดินมีไว้สำหรับปลูกต้นไม้ให้ขึ้นมา แม้คนจะเหยียบดินก็ไม่ว่า คนจะถ่มน้ำลายใส่ดินก็ไม่ว่า จิตใจที่เหมือนกับดินนั้นยิ่งใหญ่ หวังว่าศิษย์นั้นจะยิ่งใหญ่ขึ้นกว่านี้ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้
“มนุษย์”  นั่งฟังธรรมะสองวันฝืนใจหรือเปล่า (ไม่ฝืนใจ)  การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มายืมร่างไม่ได้หมายความว่า ให้ศิษย์เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หมายความว่า สิ่งที่อาจารย์พูดไปศิษย์ต้องทำได้และหวังว่าให้เราทำให้มาก วันหลังเราเข้าใจธรรมะยังสามารถนำผู้อื่นขึ้นมาได้อีก
“บำเพ็ญต้องสำนึกคุณ มักคุ้นเล่นหัวไม่ได้”
เวลาที่เรานั้นมาสถานธรรม บางทีผู้อาวุโสบางคนก็กลายเป็นเพื่อนของเราไป กลายเป็นคนที่เรารู้จักมักคุ้นกันดี แต่อาจารย์จะบอกว่า ถึงแม้ว่าเราจะสนิทกันแค่ไหนก็เล่นหัวไม่ได้ เราเรียกว่า รู้จักมักคุ้น ต้องคงความว่างระหว่างอาวุโสและผู้น้อยไว้เท่าเดิม ไม่ใช่เปลี่ยนจากอาวุโสกลายเป็นเพื่อน แล้วเปลี่ยนจากเพื่อนกลายเป็นอย่างอื่น ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาก สิ่งใดควรพูดเราต้องพูด สิ่งใดไม่ควรพูดต้องเก็บไว้ มีหลายคำที่ศิษย์ของอาจารย์พูดไปแล้วอาจารย์นั่งฟังอยู่ด้วยก็ยังสะอึกเพราะว่าเราพูดแต่สิ่งที่ไม่ควรพูด แล้วสิ่งที่ควรพูดเราไม่ยอมพูด  อย่างนี้ไม่ว่าศิษย์จะพาตัวไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่ปัญหาเพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปัญหา แต่ปัญหานั้นอยู่ที่เรา จึงต้องมาแก้ไขความคิดความอ่านของเรานั้นให้ดี ความคิดความอ่านของเราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นตลอดเวลา บางคนความคิดเปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้บำเพ็ญกุศล ไม่ได้บำเพ็ญคุณธรรมมากพอ มองแยกแยะไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ปัญญาของเราก็เปรียบเหมือนกับแสงที่ริบหรี่ๆ ใกล้จะดับแล้ว อย่างนี้แล้วเราจะทำงานธรรมะ ทำงานฟ้าไปได้อย่างไร ศิษย์ทำงานฟ้าแต่จิตใจวุ่นวายเหมือนมนุษย์ ฉะนั้นงานฟ้าจึงเป็นงานที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย อยากให้มีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ความศักดิ์สิทธิ์ต้องอยู่ที่เราด้วย 
 เราต้องรู้จักรักคนแก่เหมือนรักอาวุโสในบ้านของเรา คนทุกคนมีพ่อแม่ คนทุกคนมีพี่น้อง เราเคารพคนอื่น คนอื่นก็เคารพเรา  
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง  ชื่อเพลง “เสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม”  ทำนองเพลง ก้อนหินกับนาฬิกา) 
บางทีเราก็เจียดเวลาของเรานิดหนึ่ง เบียดตัวเราให้ตัวเราดูเล็กนิดหนึ่งเพื่อให้ที่กว้างกับผู้อื่น ถ้าทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่คนอื่นสบายใจ แต่เราสบายใจ เหมือนคำพูดที่กล่าวว่า "อิ่มบุญ"  อิ่มนี้ก็คือ อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มที่ได้ทำความดี ถ้าเรานั้นทำความชั่ว ทำความไม่ดีก็คงจะไม่มีความอิ่มอกอิ่มใจ  เหมือนเวลาที่ศิษย์ทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ แต่คนที่ไม่สบายใจก็คือ ตนเอง 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สำนึกคุณ” และ “ตอบแทนคุณ” )
ทำไมถึงบอกว่าต้องมีการตอบแทนคุณ เพิ่งผ่านวันที่ ๕ ธันวาคมมา พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ แล้วประมุขของศิษย์ก็เป็นประมุขที่ดี เราควรที่จะตอบแทนคุณ ท่านอยู่ไกลเราควรจะตอบแทนท่านอย่างไรดี (ทำดี) ต้องทำความดีที่เป็นความดีที่ชัดเจน เพราะความดีของศิษย์เป็นความดีที่เกือบจะแยกไม่ออกว่าเป็นความดีเพื่อตัวเองหรือเพื่อผู้อื่น จึงต้องทำความดีที่ชัดเจน รู้แน่ๆ ว่าเรานั้นทำให้ใคร ดังเช่น พระมหากษัตริย์ทำเพื่อประชาราษฎร์ ศิษย์ต่างรู้ว่าท่านทำให้ศิษย์ ตอนนี้ศิษย์จะทำก็ต้องรู้ว่าทำเพื่อพระมหากษัตริย์ เช่นอะไรบ้าง ในสังคมโลกรณรงค์บ่อยมากบอกว่าอย่างไร (ห่างไกลยาเสพติด) ฉะนั้นต้องกลับมาดูลูกหลานในบ้านให้ดี ตัวเราถ้ายังไม่พ้นวัยรุ่นก็ต้องดูแลตนเองให้ดี ห่างไกลอบายมุข เพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นคนดีของชาติ ทำงานให้กับประเทศ นั่นจึงเป็นการตอบแทน ไม่ใช่บอกว่าจะต้องตอบแทนเฉพาะวันที่ ๕ ธันวาคม พอเลยวันที่ ๕ ไปแล้วก็แล้วกัน  ต้องมีการตอบแทนเรื่อยๆ  แล้วต้องตอบแทนบุญคุณใครอีก (พ่อแม่)   เราฟังหัวข้อกตัญญู เราทุกคนมีพ่อแม่ แม้เราจะบอกว่าพ่อแม่เราไม่ดี แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่เราคงเกิดมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องตอบแทนคุณ แต่ต้องมีความรู้สึกสำนึกคุณก่อน ตอนที่อาจารย์มาอาจารย์พูดถึงพระคุณฟ้า  พระคุณแห่งฟ้านั้นให้เราโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ช่วยเหลือเราตลอด ให้แสงสว่างตรงเวลาทุกวัน  ถ้าหากว่าพระอาทิตย์ไม่อยากทำงานสักสามวัน เราอยู่ในความมืดตลอดสามวันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฝนไม่ตกสามปีเป็นอย่างไร (แห้งแล้ง) เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีจิตที่รู้จักสำนึกคุณ เมื่อเราสำนึกได้ว่าท่านมีพระคุณต่อเรา เราจึงตอบแทน  พระคุณแรกที่ให้สำนึกคือ คุณแห่งฟ้า พระคุณที่สองคือ คุณพ่อแม่ ครูอาจารย์ พระมหากษัตริย์ ศาสนา คุณของทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่ทำดีต่อเราทั้งหลายอย่าทำเป็นลืม พระคุณที่สามคือ สำนึกแห่งผิดชอบชั่วดี คือคุณที่อยู่ในจิตใจของเราเอง ให้เราสำนึกไว้เพื่อเราจะได้ไม่ทำผิด 
บางครั้งเราไม่ต้องเก่งมากเกินไป แต่จะมีคนรุ่นหลังที่เก่งมากกว่าเรา  เพียงแต่ถึงเวลาเราควรจะหลีกทางให้และ เปิดโอกาสให้เขา  มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครไม่เคยทำผิด รวมทั้งศิษย์เองก็เคยทำผิดมา  เพียงแต่โลกนี้ขาดแคลนคนอภัย  ความผิดครั้งเดียวลบล้างความดีร้อยครั้งทิ้ง สมควรหรือไม่ (ไม่สมควร)  เพราะฉะนั้นแม้ความผิดครั้งเดียวจะเป็นความผิดที่ใหญ่กว่าสิ่งที่เขาทำดีร้อยครั้งนั้น  เราก็ยังต้องมีใจกว้างพร้อมที่จะอภัย  ถ้าเราไม่รู้จักอภัยคนอื่น แล้วคนอื่นจะอภัยเราได้อย่างไร  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น 
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่มีอะไรเรื่องมาก  ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการกระทำแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา  เราเคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเพียงแต่ให้ดีขึ้นๆ  บางคนคิดไปไกลว่าการบำเพ็ญธรรมอยู่เหนือโลก อยู่เหนือสิ่งที่เราคาดหมาย  จะต้องเป็นอย่างนี้แล้วก็เป็นอย่างนั้นถึงเรียกว่า การบำเพ็ญธรรม  เหมือนคนที่กินเจเก้าวันเท่านั้น แล้วส่วนวันที่เหลือ ถามว่าสัตว์ต่างๆ ต้องตาย ต่อให้ศิษย์บอกว่ากินเก้าวันแล้วดี  แล้ววันที่เหลือถึงสัตว์ต่างๆ เอาชีวิตรอดอย่างไรก็ไม่พ้นปากเรา ในหัวของการกินเจนี้อาจารย์อยากเน้นให้ศิษย์กินเจ ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์ไม่กินเจ วันหน้าคนอื่นกินศิษย์  ศิษย์กลัวหรือเปล่า (กลัว)  ถ้าหากว่าวันนี้เราแล่เนื้อเขา วันหน้าเขาก็แล่เนื้อเรา  เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้คุ้มหรือเปล่า ดีหรือเปล่า ชอบหรือเปล่า  หากวันนี้ไม่เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วเมื่อไรจะเปลี่ยนแปลงได้  อย่าให้ยิ่งนานวันยิ่งหนักข้อขึ้น ขอให้ศิษย์รู้จักเดินสายกลางทำอะไรให้พอดีๆ บางคนนั้นเวลาอยากจะบำเพ็ญธรรมก็บำเพ็ญทุ่มสุดตัว พอเลิกบำเพ็ญธรรมก็เลิกเลย ศิษย์ชอบแบบนั้นหรือเปล่า (ไม่ชอบ)  คงไม่มีใครชอบ อาจารย์ก็ไม่ชอบ  ศิษย์ค่อยๆ มา ค่อยๆ เดิน เดินให้เป็น เดินให้คล่องแล้วค่อยวิ่งจะดีกว่า  ถึงมีคำพูดบอกว่า ให้เร่งๆ รีบๆ เร็วๆ  แต่ก็ไม่ใช่วิ่งจนขาขัดกัน แล้วก็ล้มอยู่ตรงนั้นวิ่งต่อไปไม่ได้ อย่างนั้นก็คงจะไม่คุ้ม 
วันนี้อาจารย์เจอศิษย์ทุกคนใจหนึ่งดีใจแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจ เพราะคนบำเพ็ญธรรมน้อยลง  ขอให้เรานั้นทำตัวเราให้ดี อาจารย์ไม่โทษและไม่ว่า  แต่อยากให้ศิษย์นั้นพยายาม  แต่ละคนมาสถานธรรมนั้นไม่ใช่ง่าย  ต่างคนต่างมีบุญของตนเองก็จริงอยู่  แต่เราอย่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครก็แล้วแต่ถูกทดสอบกลับไป ไม่เช่นนั้นเราจะมีบาป อาจารย์บอกได้เลยว่าถ้าศิษย์นั้นเป็นผู้ทดสอบใครสักคนตกไปแค่คนเดียวเท่านั้น ศิษย์แบกไม่ไหว กรรมอันยิ่งใหญ่ กรรมอันหนัก เพราะหนึ่งคนพ่วงด้วยบรรพชนเจ็ดชั้น
ถ้าอาจารย์กลับไปแล้ว หวังอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์ ใครที่ยังมีความสงสัย ไม่เข้าใจ ให้กลับมาศึกษาบำเพ็ญตามแต่โอกาสที่มีและเอื้ออำนวย ทำตนให้ดี อย่าไปหลงรูป รส กลิ่น เสียง  อายตนะของเรา  อินทรีย์ทั้งหกของเรา เราต้องเป็นผู้เก็บเอง  การบำเพ็ญไม่ใช่การปิดตา แต่ศิษย์ต้องอยู่เหมือนคนปิดตา บางทีถ้ามาแล้วเจออะไรที่ไม่ชอบใจ ถึงลืมตาไว้แต่ในความรู้สึกข้างในก็คือ ปิดตาอยู่  อย่าสนใจมาก  หูเปิดไว้ก็เหมือนปิดหูอยู่  ฟังแล้วอย่าขัดเคืองกัน  เวียนว่ายตายเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์แสนจะทุกข์ทรมาน  หากว่าศิษย์ไม่อยากจะทรมานอย่างนี้อีกหนหนึ่งก็หันหลังกลับไปฝั่งธรรม  เวลาชีวิตหนึ่งที่มีอยู่ ร้อยปีไม่ใช่ยาว  
“ทุกข์เพียงใดจะกลับคืน”  กลับไม่กลับ (กลับ)  ตอนที่ศิษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนเดินมาในโลกนี้ ไม่มีใครคิดว่า ตนเองจะหลง แต่ถึงสุดท้ายแล้วคนส่วนใหญ่ก็หลง ตอนนี้เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์เปิดดวงตาแห่งปัญญาให้ตื่นแล้ว อย่าหลับอีกเลย  อาจารย์หวังว่าไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งหน้า หรือว่าครั้งไหนๆ เราจะเจอกันทุกครั้ง  วันหนึ่งที่ศิษย์ไม่มีชีวิตนี้แล้วเราจะกลับไปด้วยกัน หากศิษย์ไม่ทิ้งอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ทิ้งศิษย์  จำไว้ ลาก่อน ดูแลตัวเองให้ดี  บำเพ็ญให้ดๆี  คำอะไรที่อาจารย์เคยพูดไว้  อย่าลืมอาจารย์รักศิษย์ทุกคน


วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านอวี้หนวี่
ฤดูกาลผันเปลี่ยนไม่คอยใคร วันเวลาถูกกลืนหายเป็นเช่นนี้
ประชุมธรรมสามวันใกล้หมดเต็มที หวังฤดีท่านมีธรรมบำเพ็ญต่อไป
เราคือ
อวี้หนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านมีความสุขกันไหม
ลดทอนตัณหาลงบ้าง กระจ่างรู้พอพบสุข
โลกีย์รูปนามสมมุติ ปลุกจิตสงบร่มเย็น
ปัญญาพินิจถ้วนถึง รู้ซึ้งสัทธรรม๑ดั่งเห็น
ยิ่งมียิ่งหลงลำเค็ญ เขย่งยืนเด่นไม่นาน
ยอมถอยจึงกว้างยิ่งใหญ่ ยิ่งให้ยิ่งมีผสาน
บำเพ็ญไม่ติดผลงาน คนเห็นกล่าวขานความดี
ความอ่อนชนะความแข็ง เมตตากล้าแกร่งบัดนี้
ต่อคนน้ำใจไมตรี สักวันย่อมมีเห็นใจ
ไยคนเบียดเบียนกันเอง ข่มเหงรังแกทำร้าย
ใครทำย่อมรับผลได้ รู้แล้วอย่าหมายห่างดี
วันนี้เป็นวันสุดท้าย หวังให้ประเสริฐฤดี
ด้วยการบำเพ็ญชีวี ตราบวินาทีสิ้นกาย
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทท่านอวี้หนวี่


เวลานี้ทุกท่านมีความสุขกัน  เวลาเช่นนี้หาได้ยากเพราะเป็นเวลาที่เราไม่ต้องนึกถึงอดีต ไม่ต้องนึกกังวลอนาคต  เราลืมไปเลยว่าเรามีหน้าที่อะไร เราเป็นใคร  เราสามารถยิ้มแย้มสนุกสนานกับทุกๆ คนได้  บางครั้งเราเกิดเป็นคนหากชีวิตเราไม่ต้องกังวลถึงอนาคต ไม่ต้องเศร้าเสียใจกับอดีต ทำเวลานี้หรือตอนนี้ให้ดีที่สุดก็เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้  แต่บางคนอดไม่ได้ที่จะมัวแต่นึกถึงอดีต มัวแต่กังวลอนาคต ปัจจุบันเลยกลับไม่ได้ทำอะไรเลยวันๆ มัวแต่คิดเรื่องปัจจุบัน อนาคต อดีต  ชีวิตในตอนนี้เลยยังไม่สามารถที่จะทำให้ดีได้  เพราะวันหนึ่งๆ ที่จะผ่านไปมัวแต่คิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อดีตที่ผ่านมาไม่ดีเลย เรามัวกังวลกันเรื่องสามเวลานี้  เราควรคิดเวลาเดียวคือ ปัจจุบัน  ทำปัจจุบันหรือทำตอนนี้ให้ดีที่สุด  อดีตที่ผ่านไปแล้วจำไว้เป็นบทเรียน  อนาคตที่จะมาถึงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่เรากังวล แต่ขึ้นอยู่กับขณะนี้เราจะทำตัวอย่างไรต่างหาก  เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมนุษย์คิดถึงขณะนี้ดำรงอยู่เพื่อตอนนี้แล้วเราจะมีสุขมากกว่านี้ 

เราคือ เด็กองค์หนึ่งที่อยู่ข้างๆ พระกวนอิม ชื่อเราหมายถึง หยก  หยกก็มาจากหินเหมือนกัน  อาจจะมีเนื้อที่แตกต่างกัน อาจจะมีสีที่แตกต่างกัน แต่หยกก็เกิดมาจากหินเหมือนกัน  เฉกเช่นเดียวกันพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระโพธิสัตว์ต่างๆ ล้วนเกิดเป็นปุถุชน ล้วนเกิดเป็นมนุษย์เหมือน กัน แต่ท่านคล้ายหยกอยู่กับหินใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านจะทำตัวอย่างไรให้ตนมีค่าและกลายเป็นหยกได้  พุทธะก็เฉกเช่นเดียวกันแต่ก่อนก็เคยเป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่ดำรงชีวิตอย่างไรถึงกลายเป็นพุทธะ ถึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  เมื่อทุกท่านเกิดมาแล้วก็ไม่แตกต่างกัน  ตั้งแต่เริ่มมีกายเหมือนกัน แต่ท่านเข้าถึงและรู้แจ้งความเป็นจริงของชีวิต  การเข้าถึงและรู้แจ้งถึงความเป็นจริงแห่งชีวิต ทำให้ท่านจากที่เป็นหินกลายเป็นหยกได้ ทำให้ท่านจากคนธรรมดากลายเป็นพุทธะ แล้วทุกท่านทำได้หรือไม่ (ได้)  ท่านต้องยอมกัดสีตัวเอง ต้องยอมแกะสลักตัวเอง ต้องยอมเจ็บ ต้องยอมบำเพ็ญธรรม ท่านยอมหรือเปล่า (ยอม)  
เรามักจะไปไหนกับพระกวนอิมตลอดเวลา พระกวนอิมเป็นผู้ที่สดับรับฟังเสียงทุกข์ร้อนของเวไนย คนทุกคนแม้จะรู้ถึงชีวิตแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะฝ่าความทุกข์ของชีวิตไปได้ ยังอดไม่ได้ที่จะต้องตกในห้วงแห่งทุกข์ ห้วงแห่งชะตากรรมของชีวิต แต่ถ้าเกิดมนุษย์เราเปิดตาแล้วมองให้กว้าง รู้จักมองสรรพสิ่งให้รอบๆ เราก็จะเห็นชีวิตนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้  ลองทำตัวสงบนิ่ง แล้วยืน อย่าเพิ่งคิดถึงอะไร อย่าเพิ่งคิดถึงว่าเราใช่หรือไม่ใช่  สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อหรือไม่  ตอนนี้หยุดคิดก่อนทำจิตใจของเราให้นิ่ง แล้วค่อยๆ ลองนึกถึงสิ่งที่แวดล้อมเรา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร หรือว่าตัวคน หรือฟากฟ้า อากาศ ทุกอย่างหากมองอย่างนิ่งๆ เราจะเห็นความเคลื่อนไหว ท่ามกลางที่เรานิ่งอยู่เราจะเห็นสรรพสิ่งเคลื่อนไหว  เราจะเห็นเมฆค่อยๆ เคลื่อนคล้อย  เราจะเห็นลำธารค่อยๆ ไหลริน เราจะเห็นต้นไม้เคลื่อนไหวตามแรงลม จะมีกี่คนที่เมื่อยามมีชีวิตสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวตอนที่ตัวเองสงบนิ่งได้ สัมผัสไม่ได้ บางทีเราก็มองไม่เห็นถึงสิ่งที่เคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นรอบตัว  สมมติว่ามีน้ำเคลื่อนอย่างนี้ หากมีสิ่งใดตกลงมา ได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของน้ำ เหมือนท่านโยกซ้ายโยกขวา แล้วเราก็โยกซ้ายโยกขวาด้วย ท่านเห็นชัดหรือไม่ว่าเรานิ่ง (ไม่ชัด)  แต่ตัวท่านต้องนิ่งแล้วเราโยกท่านเห็นเราชัดหรือเปล่า (ชัด)  เฉกเช่นเดียวกันโลกใบนี้เคลื่อนไหวไปเรื่อย หากตัวเราวางตนให้สงบนิ่งเราจะทะลุทะลวงเรื่องต่างๆ ได้ชัดเจน มองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเที่ยงธรรม ปัจจุบันโลกไหวใจเราก็ไหว โลกเคลื่อนใจเราก็เคลื่อน มองอะไรก็จึงเอียงบ้าง เฉบ้าง  หากโลกเคลื่อนท่านจงนิ่ง นิ่งแล้วเราจะมองเห็นเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นั่งฟังธรรมไปแล้วจิตใจรู้สึกสงบบ้างหรือไม่ สงบแบบไหน ตัวสงบแต่ใจเป็นม้าหรือเป็นลิง ใจเราวิ่งไวกว่าม้า  บินเร็วกว่าเครื่องบิน ดำดิ่งได้ลึกกว่าเวลาดำน้ำอีก เราแค่บอกท่านว่ามหาสมุทร ท่านนึกออกหรือไม่ (นึกออก)  ท่านนึกออกทันที ตอนนี้ขึ้นฟ้าท่านนึกออกหรือเปล่า (นึกออก)  นึกออกได้ทันที แปลว่าใจเราไวมาก  ใจเราไวอย่างนี้ต้องรู้จักวิธีจับให้อยู่ถึงแม้ตัวเราจะหยุดนิ่ง แต่บางครั้งใจเราเคลื่อนไหว  ตัวเราเคลื่อนไหวใจเราต้องสงบนิ่ง  เหมือนกับเวลาเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้หากเมื่อไรที่เราต้องเคลื่อน หากเมื่อไรที่เราต้องทำงานใจเราต้องนิ่ง ใจนิ่งเวลาเราจะทำอะไรเราย่อมมองเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเกิดตัวเราเคลื่อนแล้วใจเราเคลื่อนด้วย เวลาทำอะไรก็ผิดพลาดได้ง่าย  เมื่อไรที่ตัวเราเคลื่อนใจเราต้อง (นิ่ง)  เมื่อไรที่ใจเรานิ่งแปลว่า ตัวเรากำลังเคลื่อนไหว  
ฟังธรรมะจากเราง่ายหรือเปล่า ง่ายแต่ทำยาก เพราะว่าจะทำอย่างไรให้เรานิ่งได้ท่ามกลางความเคลื่อนไหว เราต้อง “ลดทอนตัณหาลงบ้าง”  เราก็จะหยุดเคลื่อนไหวและความอยากก็จะหยุดลง  มนุษย์เรามีความอยากมาก ท่านอยากอะไรกันบ้าง (อยากมีเงินทอง บ้าน ความสุข, อยากให้ครอบครัวมีความสุข ความอบอุ่น มีผู้นำเป็นตัวอย่างที่ดี, อยากเป็นเจ้าของ, อยากมีลูกหลานที่ดี, อยากทำความดี, อยากรู้อยากเห็น, อยากปฏิบัติธรรมให้เจริญ)  หากท่านศึกษาหลักธรรมะกันดีๆ  จะเห็นว่ามีคนอยู่สองแบบให้ท่านเรียนรู้ นั่นคือ บัณฑิตและคนพาล  แม้ไม่ต้องศึกษาธรรมะ จะศึกษาหนังสืออะไรก็ตามก็ทำให้เรารู้ว่าทำอย่างไรเรียกว่าบัณฑิต ทำอย่างไรเรียกว่าคนพาล  หลายคนเป็นบัณฑิตแล้ว บางคนเป็นทั้งมหาบัณฑิตด้วย  แล้วรู้หรือยังว่าการเป็นบัณฑิตเป็นอย่างไร บัณฑิตในสายตาของพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ คนที่มีชีวิตหนึ่งคำนึงทุกขณะจิตของชีวิตว่าวันนี้มีคุณธรรมเพิ่มพูนขึ้นมาหรือยัง  แต่คนพาลกลับไม่คิดอย่างนั้น กลับคิดว่าทุกขณะจิตทำอย่างไรให้ตนเองสบายขึ้น  ถ้าอย่างนั้นเราพูดให้ใกล้เข้าไปอีก  คนที่เป็นบัณฑิตย่อมเห็นอกเห็นใจคนอื่น นึกถึงผู้อื่น  ทำสิ่งใดต้องดูว่ากระทบผู้อื่น เบียดบังผู้อื่นหรือไม่ ดึงผู้อื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า  แต่คนพาลคิดถึงแต่ตน ทำเพื่อตนและเห็นแก่ตน  แล้วคำตอบที่ท่านตอบเรามานี้เป็นอย่างไรกับบ้าง  ใกล้เคียงกับบัณฑิตหรือคนพาล  แล้วคนที่ไม่ตอบ คิดอยู่ในใจ ความคิดนั้นใกล้เคียงกับบัณฑิตหรือคนพาล  ให้ท่านตัดสินใจเอาเองว่าตนเองใกล้เคียงกับอะไร  เราเกิดเป็นคนนั้นต้องบำรุงหาเลี้ยงชีวิต  แต่ถ้าหาแล้ว บำรุงแล้วไม่รู้จักพอ  หาแล้วไปกระทบกระเทือนผู้อื่น ไปเบียดบังผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าหาแบบคนพาล  หาแล้วเอาคนอื่นมาเพื่อให้ตนเองมีให้เต็ม พูนให้สูงยิ่งมากอย่างนี้ไม่ค่อยดี  
ระหว่างความสงบนิ่งกับความเคลื่อนไหวนั้น  เราได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า ชีวิตกับธรรมชาติล้วนมีสัจธรรมแฝงอยู่ทุกขณะจิต แฝงอยู่ทุกขณะลมหายใจ ถ้าเราเกิดมาแล้วมองแต่รูปกับนามจนเกินไป จะทำให้เราไม่สามารถพบถึงหลักสัจธรรม หรือท่ามกลางที่เราหารูปกับนาม เราจะค่อยๆ พบสัจธรรมในการแสวงหา  แต่ก่อนเราเคยไร้ ไม่มีอะไร  ความไร้ทำให้เรารู้จักคำว่า “มี” เพราะแต่ก่อนเราไม่มี  เพราะคำ “ไม่มี” ทำให้เราต้องเดินไปหาคำว่า “มี”  พอเรารู้จักคำว่า ”มี” เราจึงรู้จักคำว่า “ไร้”  นี่คือ สัจธรรม  ตอนที่เราเกิดทำให้เรารู้จักคำว่า “เจ็บและตาย”  และช่วงที่คนตายทำให้เราเห็นการเกิด  ดูง่ายๆ  ทำไมเราถึงบอกว่าช่วงที่เราเห็นการตายและการเกิด ช่วงที่เกิดเราเห็นการตาย  ทุกคนเคยเห็นต้นไม้เวลาที่ใบไม้ร่วงและเห็นเวลาใบไม้ผลิหรือไม่ (เคย)  แล้วท่านเห็นการเกิดตายหรือยัง (เห็น)  ช่วงที่ใบหนึ่งร่วงหล่นกับมีใบอีกใบหนึ่งผลิแทรกซ้อน  ช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เราได้เข้าใจว่า การเกิดกับการดับเป็นช่วงเส้นเดียวกัน นี่ก็คือ สัจธรรมชีวิตอีกข้อหนึ่ง  ไม่มีใครหนีเรื่องนี้พ้น ไม่ว่ามีหรือไร้ เกิดหรือดับ ล้วนเป็นภาวะอย่างเดียวกัน อยู่ที่ว่าตอนนี้เราหันหน้าเผชิญกับเรื่องอะไร  ตอนนี้เรื่องอะไรมาเผชิญกับหน้าเรา  
บางคนเคยเห็นพระกวนอิมในฝัน พระกวนอิมเคยมาหาในฝันหรือมองเห็น มีหลายคนมีบุญกับพระกวนอิม เคยเป็นศิษย์ของพระกวนอิมมาก่อนในชาติที่นับไม่ถ้วน และในอดีตชาติ  หลายคนในที่นี้ก็เคยเป็นอย่างที่เราบอก พระกวนอิมให้มาบอกว่า อยากจะกลับคืนไปหาพระกวนอิม ท่านจะต้องรู้จักกระทำตนให้ดีงาม ต้องเป็นผู้ที่มีจริยวัตรที่ไม่ทอดทิ้งผู้คน ไม่ทอดทิ้งเวไนย  เพราะพระโพธิสัตว์นั้นจริยวัตรของท่านในทุกขณะจิตล้วนแต่รับฟังเสียงทุกข์ของเวไนย เมื่อใดที่มีทุกข์เมื่อนั้นมีท่านอยู่  แต่ท่านอาจจะมาปรากฏตัวไม่ใช่รูปลักษณ์เหมือนเดิม อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่าคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทอดทิ้ง  สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างกายและอยากช่วยเหลือ แต่อยู่ที่ว่าตัวท่านนั้นปิดกั้นตัวเองหรือเปล่า  ถ้าตัวท่านรู้จักทำจิตใจให้สงบ ผ่องใส เบิกบาน ตัวท่านจะพบพุทธะได้ ตัวท่านจะเป็นโพธิสัตว์ได้  แต่จะทำอย่างไรให้เป็นได้ ไม่ใช่แค่ทำตัวดีอย่างเดียว แต่ต้องมีจิตใจที่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วย  มีจิตใจที่รับฟังเสียงทุกข์ยากของผู้อื่นด้วย  แล้วตัวท่านนั้นก็จะเป็นพุทธะที่กลับคืนไปหาพระโพธิสัตว์องค์นั้นได้
“ยิ่งมียิ่งหลงลำเค็ญ”  เรายิ่งมีเรายิ่งหลงหรือไม่  เราหลงอะไร หลงสิ่งที่มีหรือหลงตัวเอง (ทั้งสองอย่าง)  เราพร้อมจะหลงในช่วงที่เราแสวงหา ในช่วงที่เราต้องการมี ทำไมถึงหลงได้  มีใครบ้างเรียนแล้วไม่ติดว่าตนเองเป็นคนเรียน คงหาได้ยาก  มีใครบ้างเป็นอาจารย์แล้วไม่หลงว่าตนเองเป็นอาจารย์  มีใครบ้างที่เป็นตัวเองแล้วไม่หลงตัวเอง แต่หลงแล้วได้รู้ว่าตนเองหลงจึงเป็นสิ่งที่ดี  ดีกว่าหลงแล้วไม่รู้ว่าตัวเองหลงเป็นสิ่งที่น่าเศร้าสลดยิ่งนัก  ฉะนั้นถ้าเราหลงแล้วเรารู้ตัวว่าเราหลง ถ้าเราติดแล้วเรารู้ตัวว่าตัวเองติด เราก็สามารถแกะตัวเองให้หลุดจากตรงนั้นได้ แต่จะมีใครบ้างที่พอหลงแล้วจะแก้ให้ออกได้ทันที ตรงนี้ยาก  
มนุษย์เราพอมีคำว่า “ซื่อตรง” เราประคองใจให้ซื่อตรงแล้วแต่จะไม่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนแล้วเราต้องไม่ลืมคำว่า “กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว” เพราะถ้าเกิดถึงคราวที่เราต้องตัดแล้วเราไม่ตัด เรายากที่จะเป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จได้ ถึงคราวที่เราควรจะกล้าหาญ ชูหน้ายืดอกรับความเป็นจริง เรากลับไม่กล้าหาญ เราย่อมไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้  ฉะนั้นมนุษย์เราเมื่อรู้จักคำว่า “ซื่อตรง” รู้จักคำว่า ”เที่ยงธรรม” รู้จักคุณธรรมแล้ว อย่าลืมคำว่า “กล้าหาญและเด็ดขาด” ด้วย  เด็ดขาดแบบไหน  เด็ดให้ขาดเลย อย่าเด็ดแล้วมีเยื่อใย ไม่อย่างนั้นใยจะทำให้เรากลับมาเหมือนเดิมอีก เหมือนกิเลสถ้าเราคิดจะตัดกิเลสเราต้องตัดให้ขาดทันที 
“เขย่งยืนเด่นไม่นาน”  ทำไมเราถึงอยากมี เพราะว่าการมีทำให้เราสูงเด่นกว่าใคร ไม่ว่าจะมีชื่อเสียง ลาภยศ มีเงินทอง ทำให้เรารู้สึกว่าเราเด่นกว่าใครจริงหรือไม่ เหมือนถ้าทุกคนนั่งอยู่ตรงนี้แล้วให้คนหนึ่งยืนขึ้น คนที่ยืนขึ้นจะรู้สึกเด่นมาก  แต่เราต้องไม่ลืมคำว่า “ยิ่งเด่นหรือยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว” ลองให้ใครสักคนยืนขึ้นสักหนึ่งนาทีดูสิว่าเขาจะรู้สึกหนาวหรือเปล่า (เฉยๆ ,เย็นกว่านั่ง)  ทำไมบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว เพราะว่ายิ่งสูงก็ยิ่งใกล้กับฟ้า บนฟ้าอากาศเย็นหรือเปล่า (เย็น)  เวลานั่งรู้สึกเป็นอย่างไร (อุ่น)  เพราะว่ามีคนนั่งเหมือนกัน อากาศของตัวเราถ่ายเทให้แก่กันเราก็รู้สึกอุ่น แต่ผู้ที่ยืนอยู่คนเดียวเป็นอย่างไร (หนาว)  คำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งยืนเขย่งยิ่งยืนอยู่ได้ไม่นาน” นั่นก็หมายถึงว่า สรรพสิ่งในโลกนี้แม้เราจะพยายามไต่เต้าให้สูงมากเพียงใด แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งคืนสู่ความเป็นสามัญ ยิ่งเวลาเรายิ่งเรียนสูงวิชาที่เรียนยิ่งเป็นอย่างไร (ยิ่งยาก)  แต่ยิ่งเรียนกลับยิ่งน้อยลงๆ  บางครั้งวิชาหนึ่งมีแค่เล่มเดียวแต่ต้องไปค้นคว้ามาให้ได้มากที่สุด  เฉกเช่นเดียวกันคนยิ่งยืนตำแหน่งสูงมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นอย่างไร เราต้องยืนคนเดียว แล้วต้องนำคนหลายๆ คน  แต่จริงๆ แล้วเราทุกคนก็ต้องยืนในตำแหน่งที่สูงของแต่ละคน  แต่บางครั้งเราต้องรู้ว่าถ้าเราอยู่ได้สูง เราต้องยืนในที่ต่ำเป็น จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ยืนในที่สูงแล้วลำพองว่าเราเหนือกว่าใคร เราเก่งกว่าใคร เช่นนี้แล้วรับรองได้หนาวเดี่ยวโดดเดี่ยวเอกาแน่  แต่ถ้าอยู่สูงแล้วยิ่งปกคลุม ยิ่งเผื่อแผ่ ยิ่งเมตตา เราก็จะเหมือนกับฟ้าที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ไม่ทอดทิ้ง หากทำได้เช่นนี้แม้เราจะยืนสูง เราก็จะสูงอย่างมีคนรัก ยืนต่ำก็ต่ำอย่างคนไม่ทอดทิ้ง ไม่ใช่สูงแล้วทำตัวหยิ่งผยอง ไม่ใช่ต่ำแล้วทำตัวอย่างไม่กล้าจะขัดแย้งใคร อย่างนี้ก็ไม่ถูก หลายคนเมื่อมีชีวิตพอสูงก็เย่อหยิ่ง พอต่ำก็ลืมคุณธรรม ลืมความเป็นคน ใครว่าอย่างไรก็คล้อยตามเขาไป 
เราจะเดินเข้ามาสู่หนทางการบำเพ็ญธรรม เราต้องรู้จักหัวหน้า หัวหน้าของท่านก็คือ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม หากมีเรื่องไม่เข้าใจ มีเรื่องที่จะต้องบำเพ็ญธรรมหรือมีเรื่องทุกข์ใจในชีวิต อยากรู้ว่าบำเพ็ญธรรมอย่างไร ไปใช้ชีวิตแล้วจะบำเพ็ญธรรมเช่นไรก็หันมาหาอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมได้ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมจะเป็นหัวหน้าของเหล่าเพนกวินน้อยๆ  เหมือนมังกรจะเลื้อยขึ้นสู่ฟ้าหรือจะทะยานลงมาโปรดมนุษย์โลกก็จะต้องมีหัวหน้า การที่เราจะเป็นผู้ตามที่ดีนั้นเราจะต้องรู้จักมองคนข้างหน้าและคำนึงถึงคนข้างหลัง ชีวิตของคนเราก็เฉกเช่นเดียวกันเราจะเดินไปไหน หรือเราจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ย่อมมีคนหนึ่งที่อยู่หน้าเรา และย่อมมีคนหนึ่งที่ตามหลังเรา ฉะนั้นขณะที่เราเขยื้อนหรือทำสิ่งใดเราต้องไม่ลืมว่าเราคือ  คนที่พร้อมจะเป็นผู้นำเขาและพร้อมจะเป็นผู้ตามเขาให้ได้และให้ดี 
 “ความอ่อนชนะความแข็ง” ความอ่อนชนะความแข็งได้หรือไม่ (ได้) ทุกคนมักจะพูดว่า ชีวิตคือ การต่อสู้ ศัตรูคือ ยาชูกำลัง  แต่พุทธะไม่คิดเช่นนี้ ชีวิตคือ การไม่สู้  ศัตรูก็เลยไม่มี  เพราะว่าการรบที่แท้จริงคือ การไม่ต้องรบ แล้วทำไมถึงบอกว่า ความอ่อนสามารถชนะความแข็ง  ความอ่อนเป็นสิ่งที่ดี เพราะความอ่อนคือ การมีชีวิต ความแข็งคือ ความตาย  แล้วสังเกตว่าไม่ว่าทหารจะกล้าแกร่งเพียงใด บุรุษจะห้าวหาญในการรบกี่ครั้งก็ตามก็มักจะพ่ายแพ้แก่อิสตรี   หัวใจของอิสตรีจะแข็งแกร่งเพียงใดก็พ่ายแพ้ความตื้อของลูกผู้ชาย  แต่การบำเพ็ญธรรมมิใช่คิดเพียงเท่านี้  การบำเพ็ญก็คือ ความอ่อน ท่านเคยเห็นน้ำหรือไม่ น้ำมีความอ่อนจึงไหลได้ทุกๆ ที่ ไปได้ทุกๆ แห่ง  แต่ถ้าน้ำจากความอ่อนกลายเป็นความแข็งเวลาที่ไหลไปเจอหินก็ชน ไหลไปไม่ได้ ไหลไปก็มีแต่เจ็บ กระทบไปก็มีแต่เดือดร้อน  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจึงต้องรู้จักรักษาความอ่อนน้อมไว้  เพราะความอ่อนน้อมจะทำให้เราเข้าได้กับทุกคน ไปได้ทุกที่ไม่ว่าจะบำเพ็ญธรรมหรือจะดำรงชีวิตแบบใด หากเราถือความอ่อนน้อมเป็นสรณะ มีจิตใจเมตตาและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม  นั่นคือ การดำเนินชีวิตอย่างไม่ทอดทิ้งตนเองและไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก ไม่ต้องโดดเดี่ยวแม้จะไร้ญาติมิตร  เพราะไปอยู่ที่ไหนๆ ใครๆ ย่อมรัก
เกิดเป็นคนเมื่อเราสามารถเลือกทางเดินได้ ทำไมเราไม่เลือกทางเดินที่ดี  เราไม่อยากอยู่คนเดียว เราอยากไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเมตตาปรานีสงสารและเอ็นดูรักใคร่  ฉะนั้นเราต้องรู้จักประพฤติตนให้ดี มีความอ่อนน้อมเป็นหลักใหญ่ มีจิตใจเมตตาดำเนินสู่หนทางแห่งคุณธรรม  เมตตาเปรียบเหมือนบ้านอันร่มเย็น คุณธรรมเปรียบเหมือนหนทางเดินอันสว่างไสว  หากบ้านเมตตาไม่คิดจะอยู่ หนทางแห่งคุณธรรมไม่คิดจะเดิน  คนๆ นั้นก็เป็นคนที่ทอดทิ้งตนเอง  พอดำเนินชีวิตเอ่ยปากก็ทำลายหลักธรรม  เอ่ยปากก็เบียดเบียนคนอื่น ทำลายศีลธรรมจรรยาบรรณหรือคุณธรรมที่ดีงาม  คนนั้นเรียกว่า คนไม่รักตัวเอง  เมื่อตัวเองยังไม่รักตัวเองแล้วตัวเขาจะรักใคร แล้วใครจะรักตัวเขา
เหมือนที่เรารู้ว่าน้ำสะอาดคนย่อมปกปักรักษา น้ำขุ่นคนย่อมกระโดดข้ามทอดทิ้งไม่ดูแล  ตัวคนเราก็เหมือนกัน ไม่ว่ากายใจหากรู้จักดำรงสิ่งที่ดีมีคุณค่า ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่รู้จักเพื่อคนอื่นด้วย ใครๆ ก็รักไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกับน้ำสะอาดใครๆ ก็อยากก้มลงไปมอง เพราะมองแล้วสะท้อนให้เห็นตัวเขา นั่นคือ เขาสามารถประพฤติได้จนคนมองมาแล้วรู้จักหันกลับไปมองตัวเองว่าตัวเองดีได้อย่างนี้หรือเปล่า  หากเราบำเพ็ญถึงขนาดเป็นน้ำที่ใสและมีคุณค่า คนมองไปเห็นแล้วหันมามองตัวเองกลับ บำเพ็ญถูกทางแล้ว แต่ไม่ใช่ยิ่งดำเนินชีวิตพอคนมองเห็นแล้วเบือนหน้าหนีไม่อยากเข้าใกล้ อย่างนี้ดำเนินผิดทางแล้ว  คนเราอยู่ที่ตัวเราเอง  ถ้าตัวเราทำตัวไม่เคารพตัวเอง ทำตัวเหยียดหยามตัวเองคนอื่นก็กล้าไม่เคารพเรา เหยียดหยามเราและดูถูกเรา   เพราะฉะนั้นหากเรามีชีวิตแล้วไม่มีคนรัก เราต้องมองตัวเองว่าเราทำตัวดีหรือยัง เราทำตัวให้เขาเคารพหรือยัง เราทำตัวให้น่ารักหรือยัง  แต่เราจะตัดสินแค่คนเดียวได้หรืไม่ (ไม่ได้)  แต่เราต้องดูคนส่วนมาก ถ้าคนสิบคนถ้ามีคนรักห้าคน มีคนชังห้าคน หมายความว่า เราทำตัวเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ไม่ดี  นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถทำตัวได้เด่นชัด  
คนที่รู้จักอ่อนน้อมถึงจะสามารถเอาชนะจิตใจของคนที่แข็งที่สุดได้ ทำให้เขาเปลี่ยนใจหันมาเห็นใจเราได้  ถ้าเราเกิดเป็นคนแล้วเราไม่รู้จักคำนึงถึงผู้อื่นบ้าง เราไม่รู้จักเห็นใจผู้อื่นบ้าง รักแต่ตัวเองคนเดียว มองเห็นแต่ตัวเองคนเดียว คนๆ นั้นก็ใกล้กับคนพาล  หรือคนๆ นั้นใกล้กับโจร ท่านเคยเห็นหรือไม่ว่า สังคมปัจจุบันนี้คนรังแกคน คนรังแกสัตว์  คนรังแกกันธรรมดาไม่เท่าไรแต่รังแกแล้วยังเบียดเบียน เบียดเบียนแล้วยังทำร้าย ทำร้ายแล้วยังซ้ำเติม ซ้ำเติมแล้วยังข่มเหง และที่น่ากลัวที่สุด ข่มเหง เบียดเบียน ทำร้าย ยังไม่พอกลับฆ่าได้ลงคอ  ทำไมคนถึงฆ่ากันได้ลงคอ เพราะเขาไม่มีธรรม จริงๆ ถามว่าเขามีหรือไม่ เขาก็มี แต่เพราะเขาไม่รักคนอื่นเช่นรักตนเอง  เขาไม่เห็นคนอื่น เขาเห็นแต่ตนเอง หากในโลกปัจจุบันนี้คนทุกคนหันมาเห็นใจซึ่งกันและกัน หันหน้าเข้าหากัน หันหน้าช่วยเหลือกัน สังคมนี้ก็จะไม่มีโจร ไม่มีคนรังแกกัน ไม่มีคนทำลายกัน   ความเห็นใจกันนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเมื่อไรสังคมยังมีโจร แปลว่า คนเป็นเห็นแต่ตัวเอง รักแต่ตัวเอง ไม่รักใครเกินตัวเอง ไม่เห็นใครเกินตัวเอง  โลกถึงได้เป็นเช่นปัจจุบันนี้ฆ่ากันให้เห็น แล้วเราก็ยืนเฉยทำอะไรไม่ได้ 
เพลงเมื่อวานจะมีใครสามารถเข้าใจถึง ความรู้สึกที่แท้จริงของพระอาจารย์ของท่านได้บ้าง บางคนอาจจะร้องแล้วมองผ่านไป แต่ในนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านเรียกร้องก็คือ  ความเห็นใจกัน ความเมตตาต่อกัน หรือความเสียสละให้แก่กัน ในโลกนี้ไม่มีใครยอมยื่นมือ ไม่มีใครยอมถอยก่อน เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมฝึกให้รู้จักให้ก่อนอย่าเอาแต่ขอ เพราะท่านยิ่งให้ท่านจะยิ่งมี   ท่านยอมถอยท่านจะยิ่งเป็นอย่างไร มีคนอยากเติมให้เต็มเหมือนน้ำ  หากมีเต็มแก้วใครอยากเติมหรือไม่ (ไม่อยาก) คนที่รู้จักยอมรับผิด ยอมรู้ว่าตัวเองไม่ดี คนนั้นย่อมมีคนอยากจะเติมให้ คนที่ไม่อวดตนว่าตนเองดี ไม่อวดว่าตนเองเก่ง คนนั้นคือ คนเก่ง คนนั้นคือ คนดี 
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้เราต้องเป็นอริยบุรุษที่รักษาสัจธรรมให้เป็นแบบอย่าง เมื่อไรที่เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอริยบุรุษ รักษาสัจธรรมเป็นแบบอย่างให้คนประจักษ์วันนั้นท่านจะเป็นพุทธะได้ วันนั้นท่านจะบำเพ็ญเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ใครไม่ถอยไม่เป็นไรเรายอมถอย ใครไม่ให้ไม่เป็นไรฉันพร้อมจะยื่นให้ ใครโกรธไม่เป็นไรฉันพร้อมจะให้อภัย  สังคมกำลังขาดแคลนสิ่งนี้ ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า มีรัฐๆ หนึ่งเรียกว่า รัฐลู่ เป็นเมืองๆ หนึ่งที่มีแต่คนปฏิบัติดี ถ้าสังคมหรือโลกใบนี้ไม่มีรัฐนี้ทำเป็นแบบอย่างคนก็คงไม่คิดจะทำดี เฉกเช่นเดียวกันหากโลกใบนี้ไม่มีใครคิดจะยอมถอย ไม่มีใครคิดจะเสียสละ แล้วใครจะทำดี แล้วโลกจะมีดีให้เห็นหรือไม่ ก็ย่อมไม่มี ขอให้ท่านเป็นเหมือนคนในรัฐลู่ที่ยอมเป็นแบบอย่างที่ดี ยอมปูพื้นฐานความดีงามให้คนอื่นได้คิดที่จะดำเนินตาม เราจะเป็นผู้บำเพ็ญหากทำได้เราสามารถจะฝึกฝนความเป็นพุทธะได้ ขอให้เปิดใจให้กว้าง แล้วโลกก็จะไร้โจรผู้ร้าย คนก็จะไม่ฆ่ากันเอง จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วตอนนั้นก็ไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ กฎบังคับเพราะคนไม่สามารถรู้จักบังคับตัวเอง จึงต้องมีกฎหมายมาควบคุม  ถ้าเมื่อไรคนรู้จักควบคุมกฎก็จะไม่มี 
เราคงต้องอำลาจากกันไปเพียงเท่านี้ มีโอกาสอย่าลืมหันหน้าเข้าหาพระบ้าง หันหน้าบำเพ็ญตัวเองบ้าง ดีหรือไม่ (ดี) หันหน้าบำเพ็ญตน บำเพ็ญกาย บำเพ็ญใจ ชีวิตมีคุณค่า คุณค่าอยู่ที่ไหน นับจากนี้ไปท่านต้องเป็นผู้ไปหาเอาเองแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ฝึกจิตฝึกกายให้งดงามที่สุด ประเสริฐที่สุด แล้วสามารถกลับคืนสู่ที่สูงที่สุด เมื่อขึ้นถึงที่สูงที่สุดไม่ต้องมากังวลเรื่องสุดไม่สุดแล้ว  เพราะถึงตอนนั้นจะไม่มีแม้รูป ไม่มีแม้รัก ไม่มีแม้เกลียด ไม่มีแม้ชังแล้ว  จับสายทองให้มั่นๆ อย่าปล่อย ก่อนที่จะปล่อยขอให้หันมามองพุทธะก่อน อย่าทิ้งไปง่ายๆ รักษาตัวกันให้ดีๆ


[1] อัตตา                  การถือตนเองเป็นใหญ่
[1] งานหลงฮว๋า       งานชุมนุมของผู้ที่พากเพียรบำเพ็ญจนได้บรรลุมรรคผล

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2542

2542-12-04 พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2542-12-04-เซิ่งเต๋อ #22.pdf



วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ  อ.ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

อภัยคนในสิ่งที่ยากอภัย อดทนในสิ่งยากทนย่อมส่งผล
หัดบำเพ็ญบรรลุเป็นคนเหนือคน สุกงอมผลคืนหรือเวียนอยู่ที่ตน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ปล่อยชีวิตไหลล่วงไม่ระวัง อนิจจังกว่าหันหลังก็พลันสาย
ในชาตินี้โชคดีได้มีกาย เลือกทางไปต้องเลือกตั้งแต่มีกายคน
อันมนุษย์ประเสริฐสุดที่ความดี จะคิดหนีเกิดเจ็บตายไม่มีผล
เกณฑ์ยุคสามโปรดมนุษย์สาธุชน ยังปะปนใจขาวดำเร่งขัดเกลา
เอาให้แน่เลือกทางใดไม่สับสน เหยียบเรือบนสองแคมต้องตกน้ำ
ในชีวิตหมั่นสร้างสิ่งเลิศล้ำ อย่าได้ทำสิ่งใดให้เสียใจภายหลัง
คนย้อนมองกับไม่นั้นต่างลิบลับ ย้อนมองกลับให้ผู้คนเป็นกระจก
อย่าได้หมั่นเดินทางลงนรก ขอใจพกธรรมะเป็นคุณากร
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมสงวนใจความสงสัย
ไม่วอกแวกลังเลอยู่หรือไป ปัญญาใหญ่แยกแยะจริงแลปลอม
 ตัดกิเลสให้สิ้นทำทุกวัน ขณะจิตแบ่งปันไม่เป็นสอง
ดำรงชีพอยู่ในตามครรลอง ไม่คอยมองผิดคนอื่นให้บาดตา
สถานธรรมที่ศักดิ์สิทธิ์พึงเคารพ พุทธระเบียบรักษาครบโดยถ้วนหน้า
สร้างกุศลให้บรรพชนอย่าชักช้า เร่งขี่ม้าลงแส้อย่ามัวดู
ขอจงใช้วิจารณญาณอันรอบคอบ ความงมงายจะไม่ลอบแอบอาศัย
สำเร็จได้หรือไม่อยู่ที่ใจ ตรวจสอบในชีวิตประจำวันของทุกคน
ในวันนี้พี่รับบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นตั้งใจใฝ่ศึกษา
นำกลับไปปฏิบัติไม่ร้างรา ดำเนินตามรอยอริยาไม่ขาดไป
หนึ่งใจเดียวทำสิ่งใดคิดหน้าหลัง มีคนชังมีคนรักอย่าสงสัย
ผลย่อมส่งมาตามเหตุปัจจัย ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่คลาดคลา
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้ น้องคนดีเมื่อศรัทธาต้องลงมือ
ระวังกายวาจาใจคนเขาถือ ไฟกระพือด้วยลมฉะนี้เอย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน เหอเซียนกู

ร่วมใจร่วมคุณธรรมนำชัยมา ใช้เวลาใช้ชีวิตอย่างครวญใคร่
ยิ่งนานวันยิ่งได้รู้ประจักษ์ใน ความตั้งใจความอดทนร้ายกลายดี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน เหอเซียนกู รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   แฝงกายกราบอัญชุลีองค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

โชคดีเกิดในประเทศอันร่มเย็น กระทำเป็นแบบอย่างตามรอยแห่งปราชญ์
ทำหน้าที่พลเมืองดีอย่าได้ขาด และไม่อาจทิ้งวัฒนธรรมน่าชมเชย
ใส่ธรรมในชีพแห่งตนคนบำเพ็ญ คำพูดเป็นหน้าตาของคนเอ่ย
หัดเพียรละใจจอมปลอมอดีตเคย ไม่ละเลยทำดีแม้มากความดี
ฝึกจิตกายในที่ไม่ยอมปลง คนซื่อตรงสู้หน้าให้คุณสมบัติชี้
อย่ามั่นใจนอกงามเลิศยินดี สนใจที่ตระหนักแทนใดเปี่ยมค่า
ลาภยศเงินทองเพียบพร้อมย่อมปรีดี ทว่ามีมั่นจริงตอบมาไม่หนา
ล้วนแล้วสิ่งไม่เที่ยงใต้ฟ้าดารา จิตต้องคงศรัทธาต่อความรู้พอ
แปรเรื่องใหญ่กลายเรื่องเล็กด้วยปัญญา ความเมตตาสรรหาจากจิตเป็นต่อ
เมื่อคิดดีทำดีไม่ติดเยินยอ อย่าคดงอในจิตควรคิดบำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด




ถึงพรุ่งนี้  แสงที่ร้อน  ก็เหมือนยังเป็นเช่นเดิม  บางคราเหมือนเติม  ต้องทำใจเข้มแข็ง  ยากเย็นแค่ไหน  สู้เอาด้วยแรง  คนตั้งใจมิแสร้ง  ฟ้าดินตามปกปัก
หรือพรุ่งนี้  แสงที่ร้อน  จะสิ้นลงจนหมดไป  อันความจริงใจ  ไม่ด้อยลงกว่านี้  ก็เพราะได้ทุกข์  จึงเดินได้ดี  กลับนำแรงใจที่มี  พามวลชนพ้นภัย
* ขอสุขที่เห็น  ผู้ตั้งในธรรม  หมั่นช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกัน  เปลี่ยนแปลงพรุ่งนี้
** ขอสุขที่เห็น  ผู้พร้อมบำเพ็ญจิต  ชีวิตให้ดี  อย่างไม่คิดเล็กน้อยในที  สักวันเวลา
ยามบำเพ็ญ  ใจมีธรรม  ถึงไม่คอยเปลี่ยนใจ  ปัญญานำชัย ให้มากองท่วมท้น  ขอให้ชาตินี้  พ้นทุกข์หลุดพ้น  สูญสิ้นทรมาน  มิเว้นผู้ใด (*, **, **)
เพลง : บทเรียนสอนใจ
ทำนองเพลง : ผิดด้วยหรือ

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน เหอเซียนกู

เพลงธรรมฟังดีๆ ก็กล่อมเกลาจิตใจของเราได้ใช่หรือไม่  และบทเพลงบางเพลงฟังแล้วรู้สึกจิตใจเป็นอย่างไร  อย่างเพลงเมื่อสักครู่ฟังแล้วรู้สึกปลุกจิตใจให้กระตือรือร้นและกระชุ่มกระชวย ไม่ปล่อยให้ชีวิตนั่งแบบน่าเบื่อหน่ายใช่หรือไม่  ฉะนั้นบางทีก่อนที่เราจะว่ากล่าวสิ่งใดหรือตัดสินใจสิ่งใด ขอให้ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ใช้สติปัญญาหยั่งดูว่า เพลงที่เราฟังนั้นมีคุณค่ามีความหมายอะไรบ้าง  แล้วเราก็จะไม่พลาดโอกาสเมื่อยามฟังเพลงใช่หรือเปล่า (ใช่)
คงเดากันไม่ออกว่าเราเป็นใคร  อย่ามองเพียงเปลือกนอก  มิเช่นนั้นจะไม่เห็นแก่นแท้ความเป็นจริง จริงหรือไม่ (จริง)  อยู่ในโลกนี้เราจะรู้ซึ้งถึงชีวิต เราจะเข้าใจสรรพสิ่งไม่ใช่การมองด้วยตา การสัมผัสด้วยหูหรือการแตะต้องด้วยมือ  แต่เราต้องใช้จิตใช้ใจเพ่งมองลงไปให้ถึงแก่นแท้ แล้วเราจะสามารถเข้าใจถึงชีวิต เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
ทุกคนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ต่างต้องการสิ่งใดกันบ้าง แต่ละคนคงมีคำตอบไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันหมดคงทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วจริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าอย่างนั้นท่านต้องการอะไรกันเมื่ออยู่บนโลกนี้ หรือไม่มีอะไรที่เราต้องการเลย (ต้องการความสุขความสบายใจ, ไม่ต้องการมีโรคภัยมาเบียดเบียน, ต้องการให้ทุกคนมีความสุข)  แต่เราต้องเข้าใจว่าโรคภัยนี้ก็เป็นหนึ่งในความเป็นจริงของชีวิต  นั่นก็คือมีเกิด มีแก่ ก็ต้องมีเจ็บเป็นของธรรมดา  แต่บางคนทำไมเจ็บก่อนวัยอันควร ก็เพราะว่าเราไม่รู้จักรักษาทะนุถนอมร่างกายตนเองจิตใจตนเอง มีคนตอบว่าต้องการให้ทุกคนมีความสุข เป็นจิตใจที่ดี เป็นจิตใจที่รู้จักเห็นอกเห็นใจ
ผู้อื่น (ต้องการความสำเร็จในชีวิต)  มีชีวิตก็ต้องมีความสำเร็จในการมีชีวิตอยู่ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนปรารถนาใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเป็นคนที่มีชีวิตแล้วพ่ายแพ้ตลอดไม่ได้ หลังมีชีวิตบางคนบอกว่าเกิดมาชีวิตต้องสู้ สู้ทุกลมหายใจ  แต่เมื่อเราสู้ เราต้องรู้จักคำว่า “ชนะ”  และ “พ่ายแพ้”  เมื่อเราคิดจะสำเร็จ เราต้องรู้จักคำว่า “ปราชัย”  ยิ่งเราเหมือนยิ่งอยากแสวงสิ่งใด บางครั้งเรากลับไม่ได้สิ่งนั้นตลอด บางทีเรากลับได้ด้านตรงข้ามกับสิ่งที่เราต้องการ  เหมือนเราหวังอยากมีชีวิตที่ดีงาม เป็นสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีภัย  แต่ทำไมยิ่งหวังกลับยิ่งพลาดในสิ่งที่หวัง  ยิ่งอยากกลับเหมือนยิ่งหนีจริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นเราเรียนรู้ชีวิต เราเกิดมาไม่ใช่แสวงหาอย่างเดียว แต่เราต้องเรียนรู้ด้วย  ท่ามกลางการแสวงหาเราได้เรียนรู้  ท่ามกลางการเรียนรู้เราได้เข้าใจ  ท่ามกลางความเข้าใจเราได้หยั่งถึง  แต่กว่าจะเรียนรู้ กว่าจะเข้าใจและกว่าจะหยั่งถึงเราต้องเจ็บช้ำ เราต้องหัวเราะยินดีปรีดา เป็นเรื่องที่ไม่แน่ไม่นอนเลยในชีวิตใช่หรือไม่  แต่เมื่อฟ้ากำหนดมาให้แล้ว คนมีเกิดต้องมีดับ มีสุขย่อมมีทุกข์ มีได้ย่อมมีเสีย  หากเราทำใจได้นี่คือการรู้จักชะตากรรม  แต่ถ้าเกิดว่าเราทำใจไม่ได้ เอาแต่หนีก็เท่ากับว่าเราฝืนชะตากรรม  คนที่ฝืนชะตากรรม คนที่ฝืนธรรมชาติย่อมไม่สามารถอยู่ได้ ย่อมไม่สามารถเป็นสุขได้ มีแต่คนเข้าใจชะตากรรม ปล่อยชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ จึงจะสามารถอยู่อย่างเป็นสุข  เรารู้แล้วก็เข้าใจอีกว่าชะตากรรมของคนนั้นมีทั้งดีและมีไม่ดี  มีทุกข์มีสุขเป็นเรื่องธรรมดา  แต่เมื่อเราเข้าใจและได้เรียนรู้แล้ว เราต้องทำจิตใจให้เข้าถึงด้วย เข้าถึงในความเป็นจริงที่ว่าทุกข์กับสุขเป็นเรื่องเดียวกัน  อย่ามองเป็นด้านตรงข้าม อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง เป็นไปไม่ได้จริงไหม (จริง)  อย่างที่เรารู้ยิ่งอยากได้ก็เหมือนยิ่งหนี  ยิ่งแสวงหายิ่งเหมือนพลัดพราก  ฉะนั้นเราต้องรู้จักทำใจให้ได้  สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ทุกข์สุข ได้เสีย  แต่สิ่งที่สำคัญคือชีวิตต่างหาก ถึงแม้แต่ก่อนเราจะเคยไม่มี  พอเราได้มีเงิน ได้มีชื่อเสียง เงินชื่อเสียงปกป้องชีวิตได้ตลอดไหม  เมื่อยามไม่มีเงิน ไม่มีชื่อเสียงเขาทำร้ายชีวิตเราได้ไหม  จริงๆ แล้วทำร้ายไม่ได้  แต่ตัวเราเองทำร้ายตัวเราเอง เพราะสรรพสิ่งนั้นล้วนไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงหากเราเข้าถึง ไม่ใช่เข้าใจอย่างเดียว เราก็จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง แต่ใจเราสามารถทำให้เที่ยงได้ท่ามกลางความไม่เที่ยง  ดูง่ายๆ คนเราเกิดเป็นคนช่างโชคดี แต่ถ้าเรามอง
สรรพสัตว์ สรรพสัตว์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้ เมื่อต้องอยู่ในอาจมก็ต้องอาจม เปลี่ยนจากอาจมเป็นแผ่นน้ำผืนฟ้าก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเราถ้าตกอยู่ในทุกข์ เราดิ้นหรือฝ่าออกจากทุกข์ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นเราต้องช่วงใช้ความโชคดีตรงนี้มาใช้ให้ถูกต้องและถูกทาง แล้วเราจะใช้อย่างไร ก็โดยใช้ความสงบรอดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็รู้จักนำสติปัญญามาไตร่ตรองพินิจ ใช้คุณธรรมมาช่วยตัดสินและกล่อมเกลาความประพฤติตน  เมื่อทุกขณะจิตใช้ความสงบดำเนินสู่สติและปัญญา  เดินไปในแนวทางแห่งสัจธรรมและคุณธรรม คนๆ นั้นย่อมมีชีวิตที่เป็นสุขได้ไม่ล้มฟาดไปหรือไม่ต้องทุกข์กับเรื่องราวผันแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น  แต่จะมีใครที่เข้าใจและเข้าถึงธรรมได้เช่นนี้  บางครั้งเรากลับยอมโง่เขลาในสิ่งที่ไม่น่าโง่เขลา  เหมือนอย่างที่เราทราบกันว่า บ่อจำกัดกบ บางทีความรู้ก็จำกัดสติปัญญาของเราเหมือนกัน เราคิดว่าเรารู้แล้วแต่บางครั้งในความรู้นั้นอาจจะทำให้เราโง่เขลาเบาปัญญาได้  เหมือนที่เรารู้ว่าความรู้ทำให้คนฉลาด ทำให้คนยิ่งใหญ่ แต่อย่าลืมว่าความรู้ก็ทำให้คนเราโง่เขลาและเล็กกระจ้อยร่อยได้เหมือนกัน  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงต้องพร้อมที่จะเป็นผู้ไม่รู้ได้ตลอดเวลา  พร้อมที่จะเรียนรู้โลกกว้างใบนี้ด้วยใจที่สงบ ด้วยสติปัญญาที่รู้แจ้งและเข้าถึง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก ทุกท่านทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“โชคดีเกิดในประเทศอันร่มเย็น กระทำเป็นแบบอย่างตามรอยปราชญ์
ทำหน้าที่พลเมืองดีอย่าได้ขาด และไม่อาจทิ้งวัฒนธรรมน่าชมเชย”
เราได้เกิดเป็นคนที่สมบูรณ์แล้ว เราต้องรู้จักรักษาโอกาสของการมีกายคนนี้ นอกจากเราโชคดีที่มีกายคนแล้ว เรายังโชคดีที่ได้เกิดในประเทศอันร่มเย็น มีกษัตริย์ที่ดีงาม  ฉะนั้นเราต้องรู้จักฉวยโอกาสและเอาโอกาสตรงนี้ มารู้จักขัดเกลาตนบำเพ็ญตน และหันหน้าเข้าสู่ทางที่ดีงามบ้าง  ในประเทศที่ยากไร้และทุรกันดาร การที่จะให้คนหันมาพูดเรื่องศีลธรรมย่อมเป็นการยาก  แต่ตอนนี้เราอยู่ในประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไทยมีประเพณีว่าอย่างไร เป็นผู้หญิงต้องเรียบร้อยสุภาพ นุ่มนวลและอ่อนหวาน  เป็นชายต้องเข้มแข็ง กล้าหาญ อดทนและบากบั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการปูแนวทางในการดำเนินชีวิต  เกิดเป็นคนแล้วเราต้องรู้ด้วยว่าสิ่งใดที่ใช้ได้ สิ่งใดที่ใช้ไม่ได้  เรามีชีวิตไม่ใช่นึกจะหยิบจะใช้ก็ใช้ได้ แต่บางครั้งก่อนจะหยิบจะใช้จะนำอะไรออกมาใช้ เราต้องรู้ก่อนด้วยว่าใช้ได้หรือไม่  แล้วท่านคิดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ได้หรือไม่ได้ ถ้าเราคิดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ได้และรู้จักสร้างเสริม
คุณธรรมในชีวิตตน เราย่อมสามารถนำความสงบสุขและร่มเย็นให้กับชีวิตได้  แต่ถ้าหากท่านคิดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ เมื่อคิดว่าใช้ไม่ได้ เราย่อมทอดทิ้ง เราย่อมไม่เอาใจใส่  เมื่อทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ เราก็จะพยายามเป็นคนที่เอาแต่ใจตน เห็นแก่ตน ไร้ซึ่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเป็นคนที่เอาแต่ใจตน เห็นแก่ตน อีกไร้ซึ่งธรรมแล้ว เขาก็จะเป็นคนที่แม้แต่พ่อแม่ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูได้  ถ้าพ่อแม่ตนเองยังเลี้ยงไม่ได้ ไม่สามารถรักได้ นับถือได้  แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการมีชีวิตอยู่ภายนอกให้คนอื่นกราบไหว้ได้ แต่ในบ้านไม่มีใครรักใคร่ ไม่มีใครเคารพ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่ใช้ได้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เราจึงไม่ควรทอดทิ้ง ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลย ทุกวันจึงต้องหมั่นถามตัวเอง ต้องหมั่นสำรวจตัวเองว่าตื่นขึ้นมาในใจเรายังมีธรรมอยู่ไหม ก่อนจะเดินไปเราดำเนินชีวิตอย่างมีธรรมหรือเปล่า ก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งใดเป็นการถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่ ทุกขณะจิตทุกขณะชีวิตมีธรรมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกคนๆ นั้นก็ยากที่จะไม่มีธรรม ยากที่จะวุ่นวายเดือดร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงเรากลับเป็นอย่างไร วุ่นวายและเดือดร้อนอยู่ทุกวันไม่เดือดร้อนจากตนเอง ก็เดือดร้อนจากคนข้างๆ ไม่เดือดร้อนจากคนข้างๆ ก็จากผู้อื่นเอามาให้แล้วเราจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี หลายคนมักพูดว่าต้องเรียกร้องให้ทุกคนมีจิตใจเมตตาและอารี แต่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับหันมามองที่ตนก่อนที่จะเรียกร้องเขา เราต้องเรียกร้องตนก่อนจริงหรือไม่ (จริง)  ก่อนที่จะให้เขาทำดีเราต้องทำดีก่อนเพราะตอนนี้ชีวิตของทุกคนมีภาระหน้าที่ หากนับรวมๆ กันอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือเป็นแบบอย่างนำคนอื่น อีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องคอยตามคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบอย่างที่ดีได้หรือยัง เราอ่อนน้อมคนอื่นได้หรือยัง หากตามคนอื่นไม่ได้เราจะนำคนอื่นไม่เป็น คนที่นำคนอื่นเป็นเพราะเคยตามคนอื่นมาก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่สอนคนอื่นได้เพราะเคยสอนตัวเองมาก่อนฉะนั้นก่อนที่เราจะเรียกร้องให้สังคมดี ให้โลกสันติสุข ให้คนเป็นคนดี เราจะต้องเรียกร้องที่ตนเองก่อน การเรียกร้องตนเองเราต้องเรียกร้องที่ไหน เรียกร้องที่กายหรือเรียกร้องที่ใจ (ที่ใจ)  ทั้งกายและใจ ดีหรือไม่ (ดี)
บางคนบอกว่าเรามีชีวิตเราเป็นคนดีแล้ว เราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เราไม่ได้ไปแก่งแย่งใครแต่ถ้าเกิดว่าคนดีแล้วกลับไม่คิดช่วยใคร แล้วคนที่เดือดร้อนใครจะช่วย จริงหรือไม่ (จริง)  ในโลกย่อมมีคนประเภทหนึ่งคือ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ กับอีกประเภทหนึ่งคือ ช่วยเหลือตนเองได้  ถ้าเกิดว่าคนช่วยเหลือตัวเองได้ไม่คิดช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โลกจะเป็นอย่างไร ก็ย่อมเป็นเหมือนแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดคนที่ดีแล้วไม่คิดช่วยคนที่ไม่ดีโลกจะเป็นอย่างไร โลกก็เป็นเหมือนแบบนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมเราถึงบอกว่าโลกเป็นแบบนี้ เพราะตอนนี้หลายๆ คนดี ก็คือคนดี ร้ายก็คือคนร้าย  กับคนอีกประเภทหนึ่งคือ เป็นได้ทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะกล่าวว่าคนที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนที่ไม่รู้จักดีและไม่รู้จักร้าย  คือคนที่ไม่ยอมดียอมร้ายให้ชัดเจน  ทำไมเราถึงกล่าวเช่นนี้ เพราะคนดีหากรักษาความดี ความดีย่อมส่งผลเขา  คนชั่วหากยังทำชั่วอยู่ ความชั่วย่อมส่งผลเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตาเราย่อมมองเห็นได้ ตาเราย่อมประจักษ์ได้ว่าถ้าทำดีแล้วเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ทำดีแล้วเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกประเภทหนึ่งที่อยู่เหนือจากดีและร้ายนั่นก็คือ สามวันดีสี่วันร้าย คนประเภทนี้น่ากลัวกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นเช่นดีหรือเป็นเช่นร้าย หรือเป็นได้ทั้งร้ายและดี เรานั่นแหละคือคนที่น่ากลัวที่สุด ใจเรานั่นแหละคือใจที่น่ากลัวที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจที่ไม่ร้ายและไม่ดีนี่แหละเป็นใจที่ดูยาก ควบคุมยาก  ฉะนั้นจะช่วยคนต้องช่วยคนที่ไม่รู้จักร้ายให้ดีก่อน  ให้เขารู้จักแยกแยะ ดูง่ายๆ หากมีคนทอผ้าอยู่สองคน คนหนึ่งทอผ้าได้เนื้อละเอียดงดงาม แต่อีกคนหนึ่งทอผ้าออกมาแล้วเนื้อหยาบกร้าน สวมใส่แล้วไม่สบาย แต่เราเป็นผู้ที่ไม่รู้จักแบ่งแยกดีและร้าย เราจึงตัดสินว่าผ้าราคาเท่าๆ กัน เช่นนี้แล้วเราคือคนที่เป็นอย่างไร ทำร้ายคนดีและส่งเสริมคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกที่เราต้องจำไว้นั่นก็คือ ต้องรู้จักแบ่งแยกดีและร้าย หากเรารู้จักแบ่งแยกดีร้าย การจะส่งเสริมและการจะชะล้าง ย่อมเป็นการง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เช่นนั้นตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นผู้ที่ทำให้คนคิดอยากจะทำดีกลับท้อถอย ทำให้คนที่คิดอยากทำชั่วกลับฮึกเหิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวเราเกิดเป็นคนแล้วเราจึงต้องรู้จักแยกแยะดีชั่วให้เป็น  เมื่อแยกแยะเป็นแล้วต้องเด็ดขาด ดีก็คือดี ร้ายก็คือร้าย  แต่เมื่อเรารู้จักร้ายแล้วเราต้องรู้จักอีกว่าร้ายแบบนี้เป็นร้ายอย่างไร เป็นร้ายที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เสือดุอย่างไรเรายังทำให้เชื่องได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนร้าย เราจะเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ไหม ก็ได้เหมือนกัน  หันมามองใจเราบางครั้งดีบางครั้งร้าย  ตอนร้ายเราควบคุมให้เชื่องให้ดีได้หรือเปล่า (ได้) แต่ตอนนั้นเราต้องรู้ว่าใจเราดีหรือร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วรู้จักดำเนินชีวิตเป็นแต่เราต้องรู้จักใช้ชีวิตให้ดีด้วย เป็นแล้วเป็นธรรมดาไม่ดี เป็นแล้วต้องเป็นให้ดี เป็นแล้วต้องสำเร็จ  สำเร็จอะไรสำเร็จเป็นคนหรือ ไม่เอา จะสำเร็จทั้งทีต้องสำเร็จอย่างพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำไม่มีที่จะไม่ไหล คนก็เหมือนกันไม่มีที่จะไม่คิดทำดี ร้ายอย่างไรก็ยังคิดดีบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ต้องรู้จักแยกดี แยกชั่วให้เป็น เมื่อแยกเป็นแล้วเราย่อมชี้นำคนดี ชี้นำคนชั่วได้
"ส่งธรรมในชีพแห่งตนคนบำเพ็ญ"  คำว่า “ส่งธรรมในชีพตน”  ก็คือ รู้จักส่งคุณธรรมใส่เข้าไปในชีวิต มีคุณธรรมอะไรบ้างที่ควรจะเอามาใส่ไว้ในชีวิตของเรา (เมตตา)  ถ้าเราเกิดเป็นคนไร้ซึ่งเมตตา ก็เป็นคนใจดำใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใจดำจะเรียกว่าคนได้ไหม  ก็ยังได้อยู่ แต่ใจดำอย่างนี้ไม่น่าเรียกว่าคน จริงหรือเปล่า นอกจากส่งคุณธรรมที่เรียกว่าเมตตาให้มีไว้ในชีวิตแล้ว เราควรจะส่งคุณธรรมอะไรอีก ให้ชีวิตเรามีและรักษาไว้ (กรุณา)  เมตตาแล้วต้องรู้จักกรุณาด้วย แต่บ่อยครั้งที่เรามักจะเมตตาตนเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) พอเราคิดถึงตนเองมาก การจะส่งเมตตาต่อผู้อื่นแล้วกลายเป็นจิตใจที่กรุณาเป็นไปได้ยาก เพราะหลายคนมักจะบอกว่า เอาตัวเองยังไม่รอดแล้วจะนำคนอื่นได้อย่างไร แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร นี่เป็นความหนักใจของการเป็นคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเอาตัวเองรอดก็ยังบอกไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงยังไม่อยากจะบำเพ็ญ พอเอาตัวเองไม่รอด ยังไม่พอกิน ก็ยังไม่อยากเป็นผู้บำเพ็ญ อย่างนี้มนุษย์ช่างอ้างใช่หรือไม่ เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาที่ใช้ไม่ถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งเรารู้ว่าตัวเรานั้นต้องมีธรรมะ ตัวเรานั้นต้องรู้จักเมตตา แต่ก่อนที่เราจะบอกว่าตัวเรานั้นมักจะเป็นอย่างไร เขาต้องเมตตาให้ฉันก่อนจึงจะยื่นเมตตาให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขานั้นต้องเห็นใจฉันก่อน ฉันจึงจะยื่นความเห็นใจให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เขานั้นไม่ดีกับฉันก่อน ฉันจึงไม่ดีกับเขา อย่างนี้เป็นการกระทำที่ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) เกิดเป็นคนทั้งทีเมตตาจะออกได้เพราะเรารู้จักเห็นคนที่ไม่เมตตา เราถึงยื่นเมตตา เห็นคนที่ไม่จริงใจ เราถึงจริงใจเป็น ฉะนั้นเมื่อไรที่เห็นคนไม่เมตตา เราต้องดีใจเพราะตอนนั้นเราจะได้ฝึกเมตตาจริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อเห็นคนแล้งน้ำใจตอนนั้นเราต้องมีน้ำใจให้มากๆ เพราะตอนนั้นเราจะได้รู้จักคำว่า "มีน้ำใจ" และ "แล้งน้ำใจ" เป็นอย่างไร ฉะนั้นเวลาเราเห็นคนไร้น้ำใจเราต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้เข้าใจถึงคำว่าดี เห็นคนไม่เมตตาเราต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราประจักษ์ถึงคำว่า "เมตตา"  นี่เป็นการรู้จักใช้ปัญญาเหมือนกัน แต่ใช้ในด้านที่สร้างสรรค์ ในด้านที่นำพาชีวิตไปสู่ความสว่าง จริงหรือไม่ (จริง)  ตั้งแต่เรามีชีวิตจนกระทั่งเราไร้ชีวิต เราก็เห็นแต่นกที่บินจากความมืดไปสู่ต้นไม้อันร่มเย็น เราไม่เคยเห็นนกตัวไหนเลยที่บินจากความร่มเย็นไปแสวงหาความมืด เฉกเช่นเดียวกับชีวิตคน ใครๆ ก็อยากได้แสงสว่างแห่งชีวิต ใครๆ ก็อยากนำชีวิตไปสู่ความสว่าง ความแจ่มแจ้ง ความร่มเย็น ไม่มีใครนำพาชีวิตจากความสว่างไปสู่ความมืด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่นับจากตั้งแต่ที่เรามีชีวิตมา เรากลับนำความสว่างถอยลงไปสู่ความมืด จิตใจที่เคยดีๆ กลับกลายเป็นค่อยๆ หดหู่ ไม่อยากจะดี ไม่อยากจะรักษา ไม่อยากจะเมตตา ไม่อยากจะกรุณา อย่างนี้ท่านก็สู้นกไม่ได้หรือ ก็ไม่ใช่  คนทุกคนอยากมีชีวิตที่สว่างไสว อยากมีชีวิตที่ดีงาม ฉะนั้นเราอยากมีอย่างนี้ ทำไมเราไม่ถามตัวเองว่าขณะนี้เราดีงามหรือยัง ขณะนี้เราได้สว่าง เราได้แจ่มแจ้งในชีวิตหรือเปล่า ไม่ใช่มีชีวิตทุกขณะจิตเดินไปสู่ความมืด ทุกขณะลมหายใจกลับไปสู่ความหมองหม่น อย่างนี้ไม่ใช่ทางที่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งที เราต้องรู้จักระมัดระวังชีวิต รู้จักสำรวมชีวิต รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น จริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากตรงที่จิตใจคนต่างหาก หากเป็นที่มุ่งมั่นกระทำความดี มีชีวิตไม่เคยเบียดเบียนทำร้ายใคร ขอให้ทำดีอย่างไม่มีวันหน่าย ทำดีอย่างไม่มีวันหยุด บ่อยครั้งที่บางครั้งเรามีชีวิตเราทำดี แล้วเราเหนื่อยที่จะทำ เราล้าที่จะดี  สู้ให้ท่านคิดว่าทำดีทุกวันแต่ยังรู้สึกว่ายังไม่ดีย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจิตหนึ่งอยู่ที่ความคิดจะคิดไปด้านนี้หรือคิดไปด้านโน้น อยู่ที่ใจเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะคิดสิ่งใด เราจะทำสิ่งใด ก่อนจะออกมาเป็นการกระทำ เราต้องคิด ฉะนั้นการจะควบคุมตนเองจึงต้องควบคุมใจ หากใจเรารู้คิดตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งคุณธรรม การจะคิดย่อมเป็นการคิดชอบ เห็นชอบ และประพฤติชอบ  แต่ถ้าเกิดว่าใจเราลืมคุณธรรม ทอดทิ้งคุณธรรม เห็นแต่ผลประโยชน์ เห็นแต่ลาภ ยศ เงิน ทอง เมื่อตั้งอยู่บนลาภ ยศ เงิน ทอง ผลประโยชน์ ย่อมไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงจะคิดตรงไหม (ไม่ตรง)  การกระทำจะชอบก็ไม่ชอบใช่หรือไม่ ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีก่อนจะคิด ก่อนจะออกมาเป็นการกระทำ ถามดูว่ายืนอยู่บนแนวทางแห่งคุณธรรมหรือเปล่า ไปตามสัจธรรมความเป็นจริงหรือไม่ หากทุกขณะคิด ทุกขณะทำ มีธรรม มีสัจธรรม คนนั้นย่อมยากที่จะก้าวพลาด คนนั้นย่อมยากที่จะล้มลงได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่กลัวจะพูดว่าทำไม่ได้ หรือไม่ยอมทำ ให้ท่านแบกเก้าอี้สัก ๕๐๐ ตัวทำได้ไหม ย่อมทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ให้ท่านมีคุณธรรม ทำได้ไหม  คุณธรรมหนักไหม (ไม่หนัก)  มีรูปร่างหรือเปล่า (ไม่มี)  แบกแล้วหนักไหม (ไม่หนัก)  ก็ย่อมไม่หนัก แล้วทำไมถึงไม่ทำกัน ใช่ว่าไม่ทำแต่เป็นเพราะไม่ยอมทำ ใช่ว่าไม่ได้แต่เป็นเพราะไม่อยากได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เช่นนั้นที่พูดมาบอกว่า เป็นคนต้องเป็นคนดี ได้เพื่อนต้องได้เพื่อนซื่อสัตย์ มีลูกต้องมีลูกกตัญญู แล้วเราไปเรียกร้องคนอื่นทำไม ในเมื่อตัวเองยังไม่ยอมทำเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียกร้องเพื่อนไม่ได้ สั่งสอนบุตรไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ตอนนี้คิดอยากจะฝึกฝนคุณธรรมหรือยัง  คิดอยากจะมีธรรมบ้างหรือยัง (คิดแล้ว)  ถ้าคิดก็แปลว่าพร้อมแล้วใช่หรือไม่  ถ้าพร้อมแล้วก็ต้องลงมือทำ ตอนนี้อย่าได้แต่คิดอย่างเดียว เมื่อมีโอกาสต้องรีบทำ จะฝึกคนอื่นให้ได้ตัวเรานั้นต้องเริ่มฝึกที่ตนเองก่อน ฝึกจากตรงไหน ฝึกที่จิตนั่นแหละ ผิดพลาดไปตัวเราเป็นผู้เห็น ใช่หรือไม่ ตัวเราเป็นผู้สามารถแก้ไขได้ แต่เกิดเป็นคนทั้งทีแล้ว เราต้องรู้จักนำชีวิตนำจิตใจ การจะนำใจได้นั้น เราต้องวางตนเองให้ตรงและใจต้องตรงด้วยเหมือนกัน หากใจไม่ตรง ความคิดไม่เที่ยงธรรม การจะตัดสินใจ การจะดำเนินชีวิต ย่อมง่ายที่จะผิดพลาด แต่คนเรานั้นมักจะติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่งก็คือ อดไม่ได้ที่ยังอยาก อดไม่ได้ที่ยังต้องการ จะมีใครบ้างที่สามารถแสวงหาและประคองใจให้ดี ยิ่งแสวงหาใจเรายิ่งเป็นอย่างไร ใจเรายิ่งกร่อนลงในเรื่องร้าย เพราะเมื่อหาย่อมอยากมี เพราะเมื่อมีย่อมยิ่งอยากเพิ่ม เพราะเมื่อเพิ่มแล้วยิ่งไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเช่นไร ย่อมเป็นคนหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อหลง ใจจะดีได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกที่เราจะบำเพ็ญ นอกจากควบคุมตนเองแล้ว เราต้องรู้จักลดตัณหาและความอยาก ถ้าลดตัณหาและความอยากได้ ใจแม้จะพลาดไป ใจแม้จะไม่ดีไป แต่ก็คงน้อยมาก ไม่เหมือนกับคนที่แสวงหาตัณหาอย่างไม่มีสิ้นสุด ใจย่อมยากที่จะดีได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ในโลกนี้เรามีสิ่งที่มองเห็น และมองไม่เห็น ใช่หรือไม่ แต่ปราชญ์ย่อมต้องมีทั้งการเห็นและไม่เห็น นั่นคือไม่เห็นในตัวเขา แต่ต้องให้เห็นในตัวเรา เมื่อไรที่เราไม่เห็นในตัวเขาแล้วเห็นในตัวเรา เมื่อนั้นแหละเราจะสามารถเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างเช่นปราชญ์ได้ บำเพ็ญตนอย่างพุทธะได้ เข้าใจตรงนี้ไหม (เข้าใจ) เมื่อมีชีวิตสิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวกันที่สุดคืออะไร (ความตาย)  มีคนตอบว่าสิ่งที่เรากลัวที่สุดก็คือความตาย ใช่หรือเปล่า  แต่ท่านตายจากอะไร ตายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่  บางทีมนุษย์เรามักจะคิดว่าการตายจากร่างนี้ไปสู่อีกร่างหนึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่น่ากลัวก็ได้ ถ้าเกิดว่าร่างนี้ที่ท่านได้ เป็นร่างพุทธะ เป็นร่างแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การตายนี้ก็เป็นการตายที่ไม่น่ากลัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การที่เราจะตายจากร่างนี้ไปสู่อีกร่างหนึ่งขึ้นอยู่กับตอนนี้ หากเรามีชีวิตเรากลัวการตาย แปลว่าการมีชีวิตของเราเป็นการมีชีวิตที่เป็นอย่างไร (ไม่ดี)  แต่ทำไมพุทธะถึงไม่กลัวตาย ก็เพราะว่าการมีชีวิตของท่านเป็นการมีที่มีคุณค่า ฉะนั้นจะตายก็ยิ่งเป็นการอาลัย ยิ่งเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์ทุกข์ที่สุดก็เพราะมีกายคน วุ่นวายที่สุดก็เพราะมีตัวตน ฉะนั้นการหมดตัวตน บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดีและแถมได้พักผ่อนไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราบอกว่าการหลับแท้ที่จริงแล้วเหมือนไม่ได้หลับ หลับแล้วบางทียังเหนื่อยได้ หลับแล้วบางทียังทุกข์ได้เหมือนกัน ฉะนั้นการหลับและพักผ่อนที่แท้จริงก็คือ การหมดสิ้นอายุขัย ตราบใดที่เรายังมีชีวิต บางครั้งเราแทบจะไม่ได้พักเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขณะจิตไม่ว่าตื่นหรือหลับจึงต้องคิดตลอดเวลา แต่จะคิดไปทางไหน คิดดีหรือคิดไม่ดี นี่ต่างหากที่น่าจะจำเป็นมากกว่า
บางครั้งชีวิตมนุษย์ก็ไม่ใช่จะมีสุขไปได้ทุกวัน บางทีวันนี้มีทุกข์ พรุ่งนี้กลับยิ่งทุกข์หนัก วันนี้ว่าเสียแล้ว พรุ่งนี้กลับเสียยิ่งกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  .แต่คนที่เสียไปแล้ว ทุกข์ไปแล้ว  เราจะใช้ท่าทีอย่างไร ที่สามารถจะขจัดความทุกข์ การสูญสิ้นการสูญเสียในชีวิตได้ ก็มีแต่ใช้ท่าทีที่สงบ ใช่หรือไม่ การใช้ท่าทีที่สงบดูสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ดูสิ่งที่ผันแปรในชีวิต ย่อมทำให้เรารู้ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงสูญเสีย เหตุใดจึงทุกข์  เมื่อเรารู้สาเหตุและแก้ที่เหตุนั้น แล้วเราก็ลุกจากความทุกข์ ลุกจากการสูญเสีย  เราย่อมเอาชนะความทุกข์และเข้าใจการสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันทำไมวันนี้ฟ้าร้อนแล้วยังร้อนอีก .บางครั้งเป็นความเป็นจริง บางครั้งเป็นชะตากรรมที่เราแก้ไม่ได้ มีแต่การทำใจเท่านั้นเอง  ทำใจให้เข้าใจทุกข์ เมื่อเข้าใจแล้วฝ่าทุกข์ไป เมื่อฝ่าทุกข์ไปได้ เราย่อมเห็นแล้วว่า ความเป็นจริงแห่งชีวิต มีทุกข์เป็นของธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นั้นที่ต้องเลวร้ายไป ที่ต้องกลายเป็นคนไม่ดีไป ย่อมมีสาเหตุ ท่านคิดไหมว่า สาเหตุที่ทำให้คนเราต้องเลวร้าย สาเหตุที่ทำให้คนเราต้องกลายเป็นคนไม่ดีนั้น เกิดจากเหตุใดบ้าง  เกิดจากปัจจัยใดบ้าง  (โลภ โกรธ หลง ขาดสติยั้งคิด, เกิดจากกรรม)  เกิดจากกรรมก็มีส่วน แต่ถ้ากรรมกำหนดให้เราอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย เราต้องไม่เลวร้ายไปด้วยใช่หรือเปล่า มนุษย์เราสามารถอยู่เหนือชะตาลิขิตได้ ด้วยปัญญาและสติของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)
หากเราจะสรุปว่า มนุษย์สามารถที่จะคิดไม่ดี ประพฤติเลวร้ายก็เพราะสองสาเหตุ สาเหตุแรกนั่นก็คือ การแสวงหาตัณหาวัตถุรูปนาม  นี่คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เราสามารถประพฤติผิดได้  เพราะการแสวงหาอย่างไม่รู้พอ อีกสภาวะหนึ่งที่ทำให้มนุษย์อาจจะเลวร้ายได้ นั่นก็คือ สภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี ทำไมเราถึงบอกว่าสภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี ก็สามารถทำให้จิตใจเราพลอยไม่ดีได้ ท่านว่าเป็นไปได้ไหม (ได้) ทำไมถึงได้ อาจเหมือนดูง่ายๆ ในการที่เราเพาะปลูก แล้วออกดอก ออกผลได้อย่างเต็มที่ จิตใจเราย่อมสุขสบายใจ  แต่ถ้าการเพาะปลูก ออกมาล้มเหลวไม่เป็นท่า จิตใจเราทุกข์กังวลใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจทุกข์ใจกังวล การจะมีใจยิ้มแย้ม มีใจที่มีสุขได้ไหม ก็ไม่ได้  แต่ท่านอย่าลืมว่า เราจะหาความสุขได้ก็ต่อเมื่อตัวเรานั้นเป็นผู้สร้างสุขให้บังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนท่านจะพบฟ้าได้ก็ต่อเมื่อเราแหงนดูฟ้า เราจะพบความสุขได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างความสุขให้บังเกิด เป็นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากให้เขาสุข  เราอยากให้ตัวเรามีสุข เรานั่นแหละต้องเป็นผู้ดำเนินชีวิตให้มีความสุข แล้วคนที่อยู่รอบข้างก็จะสุขกับเรา จริงหรือไม่ ฉะนั้นเฉกเช่นเดียวกัน เราอยากให้ชีวิตมีสุข แม้สภาวะแวดล้อมไม่ดี แต่เราทำใจให้ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากจิตใจจะเปรียบเหมือนสิ่งๆ หนึ่ง หากวางให้เหนืออารมณ์ เหนือกิเลส เราย่อมเหนือได้ แต่วางให้อยู่ในกิเลสอารมณ์ เราย่อมตกในกิเลสอารมณ์ได้  ฉะนั้นขึ้นอยู่กับใจท่าน ท่านจะวางใจเหนือทุกข์เหนือสุข เหนือกิเลส เหนืออารมณ์ หรือวางใจให้อยู่ในทุกข์ในสุข ในกิเลสหรือในอารมณ์ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา หากตัวเรารู้จักวางเหนือนั่นแหละเรียกบำเพ็ญตน รู้จักใช้ชีวิตเป็น  แต่ถ้าหากเราวางให้อยู่ เราย่อมทุกข์ เราย่อมมีอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่ามกลางโลกที่เป็นเช่นนี้ อยู่ที่เราจะวางใจไว้ตรงไหน วางในที่ดีเราย่อมดี วางในที่ร้ายเราย่อมร้ายใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่เรารู้ หัดอยู่กับดอกไม้ หัดอยู่กับคนดี หัดอยู่กับพุทธะ ย่อมติดอะไรไปบ้างที่เป็นพุทธะ ย่อมติดอะไรไปบ้างที่เป็นสิ่งดี  แต่ถ้าทุกวันอยู่กับโลก อยู่กับการแสวงหา อยู่กับการดิ้นรน อยู่กับการแก่งแย่ง สักวันหนึ่งเราต้องเผลอแก่งแย่ง ดิ้นรน และแสวงหากับเขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งมีเวลาหมั่นมาใกล้ชิดห้องพระ อย่าคิดว่าอยู่ในโลกจะประคองใจได้ บางครั้งเราก็พลาดได้เหมือนกันจริงไหม ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสำนวนที่กล่าวว่า สี่เท้า (ยังรู้พลาด)  ตัวท่านก็ (ยังรู้พลั้ง)  เป็นปราชญ์แล้ว
ไม่ค่อยได้ร้องเพลงของเราเลย ใช่หรือเปล่า ไหนลองเอาบทเพลงของเรามาฝึกร้องบ้าง จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ ฟังเราพูดแล้วอาจจะเบื่อ หรืออาจจะไม่ค่อยเชื่อ คิดว่าเรามาหลอกหรือเปล่า  ตอนนี้เราไม่พูดเรื่องธรรมะ เราเอาธรรมะวางไว้ข้าง ๆ ก่อน คิดว่าเราหลอกไหม (ไม่หลอก)  ถ้าโลกเต็มไปด้วยคนดี เต็มไปด้วยคนที่รู้จักทำดีแล้ว พุทธะคงไม่เรียกให้คนบำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจท่านรู้จักประคับประคองตัวเอง ให้เป็นคนเที่ยงธรรมตลอด ให้เป็นคนดีตลอด ไม่สามวันดีสี่วันไข้ วันนี้พุทธะก็คงไม่ลงมาบอก ว่าจะทำอย่างไรให้ดีได้ตลอด
 ความสุขและความหลุดพ้นที่แท้จริงก็คือ นิพพาน  หากวันนี้ท่านมีเงินสิบบาทกับยี่สิบบาท ท่านเลือกมีเงินแบบไหน หลายคนตอบว่ายี่สิบใช่หรือไม่ (ใช่) หากมีเพชรกับมีทองท่านเลือกอะไร หากพุทธะกับปุถุชนท่านเลือกอย่างไหน หากเลือกสุขแบบปุถุชนกับแบบพุทธะท่านเลือกแบบไหน ท่านก็เลือกสุขแบบพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเลือกเรายังต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีค่าสูงสุดเฉกเช่นเดียวกับจิตใจ เราดำเนินชีวิตเราย่อมเลือกหนทางที่นำพาไปสู่ความสูงสุดและดีที่สุดใช่หรือไม่  แต่เมื่อเราเลือกแล้วอย่าคิดถอยหลังว่ายากเกินเอื้อม เมื่อคิดจะจับแล้วต้องจับให้มั่น หากจับแล้วปล่อยจะได้ไหม เหมือนกันหากเราคิดเริ่มต้นว่าเราอยากเป็นคนดี  การเดินไปสู่ความดีก็เหมือนกับการบำเพ็ญตน เมื่อเราบำเพ็ญตนได้เราเดินไปสู่ความดีได้ เราย่อมสามารถเดินไปสู่ความเป็นพุทธะได้ เมื่อจากดีเป็นพุทธะ จากพุทธะย่อมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  หันมองกลับมาพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เคยเป็นคน แล้วก็เคยเป็นคนที่ไม่ดีได้เหมือนกันใช่หรือไม่  แต่เพราะท่านเดินอย่างไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นอย่างไม่เหนื่อยหน่าย บำเพ็ญตนอย่างไม่ยอมแพ้ ชัยจึงมีได้ ชัยจึงเป็นของท่านได้หากท่านมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ แล้วไม่อ่อนแอพ่ายแพ้ใจตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ขอให้ชาตินี้พ้นทุกข์หลุดพ้น เมื่อบำเพ็ญแล้วขอให้ชาตินี้ของทุกคนเป็นชาติที่หมดแล้วซึ่งทุกข์ หมดแล้วซึ่งกิเลส สามารถกลับคืนเบื้องบน ทุกคนกลับคืนได้ ทุกคนเป็นพุทธะได้  ตราบใดที่เรายังมีจิตใจแห่งเมตตา ตราบใดที่เรายังมีจิตใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตราบใดที่ยังมีจิตใจรู้จักสงสารคนอื่น พุทธะก็ล้วนสงสารคนเหมือนกัน จึงได้เป็นพุทธะ พุทธะล้วนมีเมตตาเหมือนกันจึงได้เป็นพุทธะ ตัวท่านอยากเป็นพุทธะก็ขอให้ฝึกฝนและดำเนินรอยตามท่านก็ย่อมเป็นได้ ขอเพียงอย่าดูเบาตนเอง อย่าพ่ายแพ้ใจตนเอง กิเลสเกิดจากใจ ตัวเราเป็นคนสร้าง ตัวเราเป็นคนลบได้ไหม ขอเพียงมุ่งมั่นไม่ย่อท้อสักวันหนึ่งพุทธะย่อมเป็นของเรา  หากเราจะบอกว่าผิดด้วยหรือที่ชีวิตนี้เราคิดจะบำเพ็ญ ที่ชีวิตนี้เราอยากจะเป็นพุทธะ ไม่ใช่เรื่องผิดเลยใช่หรือไม่  จะผิดก็ตรงที่เราไม่อยากเป็น ไม่อยากบำเพ็ญ ใช่หรือเปล่า
วันนี้เราคงไม่สามารถที่จะทำให้ท่านทั้งหมดได้เข้าใจหลักธรรมอันแท้จริงได้ เราเพียงพูดถึงกระพี้ ไม่สามารถทำให้ท่านเข้าถึงแก่นแท้ได้ คนที่จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ได้ก็คือ คนที่รู้จักนำกระพี้นี้ไปเจาะทะลุให้ถึงแก่น เราจะเข้าใจชีวิตก็ต่อเมื่อเราสามารถนำชีวิตที่แท้จริงนี้มองให้เห็นถึงความเป็นจริง มีโอกาสขอให้หมั่นมาศึกษาบำเพ็ญ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายหรือเหลวไหล หากคนๆ หนึ่งคิดจะบำเพ็ญตน คิดจะเป็นคนดี เขาไม่ได้ช่วยแค่ครอบครัว แต่เขายังช่วยทั้งสังคมด้วย  อย่างที่เราบอกไว้ตั้งแต่ต้น หากคนๆ หนึ่งมีธรรม เขาจะไม่ได้ช่วยแค่ตนเอง แต่เขายังสามารถช่วยทั้งสังคมได้ แต่ถ้าคนๆ หนึ่งไม่มีธรรม เขาไม่ใช่เดือดร้อนแค่คนในบ้าน แต่เขายังสามารถทำความเดือดร้อนให้คนทุกๆ คนได้ ฉะนั้นธรรมจึงเป็นเรื่องจำเป็น เป็นเรื่องของชีวิต และเป็นเรื่องของสังคมด้วยเหมือนกัน หากเราดำเนินชีวิตได้อย่างดีงาม มีแบบ มีแผน เราย่อมสามารถนำพาเขาไปได้และเราย่อมสามารถสอนสั่งเขาได้ด้วยแบบอย่างที่ดีงาม โดยเอาตัวเองเป็นแนวทางให้เขาเดิน ทำได้หรือไม่ (ได้)  เป็นธรรมดาของการเกิดมาชีวิตลองดูดอกบัวดอกนี้ ค่าของชีวิตก็คือเบ่งบานให้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเกิดมาเป็นคนแม้จะเจอกิเลส แม้เจอความทุกข์ยาก ก็ไม่ใช่จะเป็นคนที่ไม่ดีเลย ดอกไม้แม้จะโดนแมลงไต่ตอม แม้จะมีแมลงมารบกวนก็ยังคงเบ่งบานไม่หยุดนิ่ง ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน แม้จะมีทุกข์มาทำให้ลำบากใจ ไม่สบายใจ แต่ถ้าเราเข้าใจได้ ฝ่าทุกข์ได้ ทุกข์นั้นจะเป็นตัวทำให้เรารู้จักชีวิตที่แท้จริงและไม่หลงชีวิต หากทุกคนสุขหมดทุกอย่างทุกๆ วัน คงไม่มีใครคิดที่จะบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราต้องขอบคุณที่มีทุกข์เพราะทำให้เรารู้จักตื่น และทำให้เรารู้จักชีวิตแท้จริง
บางคนอายุยังน้อย ถ้าบอกให้ท่องบทสวดก็คงไม่อยากท่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบอกให้ร้องเป็นเพลงธรรมคงมีใจอยากร้องขึ้นมาบ้าง
วันนี้ก็คงสั้นๆ เพียงเท่านี้ อย่าคิดว่าเรามาหลอก พุทธะก็อยากเห็นคนจริงใจ  ฉะนั้นพุทธะก็คงไม่มาหลอกท่านจริงหรือไม่ (จริง)  พุทธะอยากได้คนจริงใจ ฉะนั้นพุทธะต้องแสดงความจริงใจก่อน จะหลอกไปเพื่ออะไร ใช่หรือเปล่า  มีแต่อยากจะโน้มนำพาและชี้ทางสว่าง ทางมีแล้วอยู่ที่ท่านจะเดินหรือไม่เดินเท่านั้นเอง ขอให้ตัดสินใจให้ดีๆ จะเป็นบัวขอให้เป็นบัวที่พ้นทั้งตม พ้นทั้งน้ำ ชูช่ออยู่กลางฟากฟ้า เป็นบัวที่อยู่ได้ เอาชนะได้ทุกสรรพสิ่ง เป็นพุทธะที่บำเพ็ญตน เป็นคนที่ดีจริง
วันนี้คงต้องอำลากันแล้ว มีโอกาสเราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ผู้บำเพ็ญธรรมขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี สิ่งที่ผิดพลาดก็ขอให้สำนึกและแก้ไข จะบำเพ็ญได้ เป็นพุทธะได้ นับจากวันนี้และลมหายใจนี้ ลาก่อน


วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

บนแผ่นดินที่ศิษย์เกิดและตาย กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอยู่
เจ็ดสิบสองแสดงความกตัญญู ให้ควรคู่คำดื่มน้ำนึกต้นธาร
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอริยคุณธรรม  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรง จุดประสงค์อนุตตรธรรมขยันอ่าน
เริ่มที่ใดจบที่ใดให้พิจารณ์ ปัญญาญาณจรัสแสงลับทุกวัน
ในวันนี้เป็นวันดีกว่าทุกวัน ขอศิษย์นั้นจดจำคำไปคิดอ่าน
บำเพ็ญธรรมใช้เวลานานเนิ่นนาน ลำบากนั้นเป็นแค่เพียงใช้หนี้กรรม
เกิดมาแล้วชาตินี้ใช่ชาติแรก ธรรมะจริงเห็นว่าแปลกใจมัวขำ
แล้วเมื่อไรพระอาทิตย์พ้นเมฆดำ ศิษย์ไม่ทำตามฟังมาก้าวหน้าอย่างไร
อย่าเห็นว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องยาก อาจารย์ฝากน้องรุ่นหลังจะได้ไหม
นำพากันให้ดีดีทางยาวไกล ทำเท่าใดได้เท่านั้นนะศิษย์เอย
หวังให้ศิษย์สามัคคีกันพูดทุกปี ศิษย์คนดีอย่าหูทวนลมทำเฉยเฉย
ภูเขาไฟรอประทุช้ำใจเอย อย่าละเลยคำอาจารย์อีกต่อไป
ต่างคนมีต่างนิสัยอย่าว่ากัน คอยแบ่งปันน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าใช่ไหม
วันข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล อย่าเบื่อหน่ายการบำเพ็ญนับว่าดี
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครไม่รู้จักพระอาจารย์จี้กงบ้าง รู้จักหรือเปล่า (รู้จัก)  เมื่อสักครู่นี้เพลงบอกว่าอย่างไร “อาจารย์เป็นผู้นำนาวาธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)  “นาวา” แปลว่าอะไร (เรือ)  แสดงว่าเรือนี้มีใครนำ (พระอาจารย์) แล้วอาจารย์มีใครตาม (ศิษย์)  จริงหรือเปล่า (จริง)  เป็นลูกศิษย์จริงๆ ก็ต้องตามอาจารย์จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นลูกศิษย์ไม่จริงก็ไม่ยอมตามอาจารย์  บางวันตามบางวันไม่อยากตามเป็นลูกศิษย์อาจารย์กันจริงหรือเปล่า เกิดวันนี้อยากตามก็มาเดินตาม วันนี้ไม่อยากตามแล้วก็ไม่ตาม อย่างนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันจริงๆ หรือเปล่า (ไม่จริง)  อาจารย์เป็นผู้นำนาวานี้ นาวานี้ต้องอาศัยศิษย์ทุกคนเป็นผู้ออกแรงใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์นำศิษย์เปรียบเสมือนเข็มทิศ แต่คนที่ต้องพายคือใคร (ศิษย์)  เราอยากให้เรือแล่นไปข้างหน้าต้องให้ใครพายให้เรา (ตัวเอง)  บางคนบอกว่าไปจ้างคนอื่นมาพายให้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราจ้างเขาเราให้เงินเขา แต่ถ้าเกิดวันไหนเขาไม่ต้องการเงินเรา เขาพายพาเรามาถึงกลางทะเลแล้วเกิดเขาจะเลิกพาย เขาจะไปลงเรือลำอื่น แล้วเราจะอยู่อย่างไร ในเมื่อเราพายเรือไม่เป็นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นการรักษาธรรม การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องลงแรงด้วยตนเอง อาศัยผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)
บางคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมมาตั้งนานแล้ว แต่อาจารย์ถามว่าบำเพ็ญธรรมมานาน จิตใจของเรานั้นเหมือนผู้บำเพ็ญหรือเปล่า เราต้องมองย้อนเข้าไปข้างในให้เห็นว่าจิตใจของเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงหรือเปล่า ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่ดีพอต่อให้คนอื่นเขายกยอเราว่าดี ถามว่าเรารู้ไหมว่าตัวเองดีหรือไม่ดี (รู้)  เพราะฉะนั้นให้คนอื่นยอหรือว่าตัวเองจะมาตรวจสอบตนเองดี (ตรวจสอบตนเองดี)
เรือลำนี้ของอาจารย์นั้นมีศิษย์เป็นผู้ตาม ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นช่วยกันพาย คนกับคนอยู่ด้วยกันแล้วเป็นอย่างไร (ยุ่ง , ไม่ยุ่ง)  มองเป็นสองอย่างใช่หรือไม่  บางคนบอกว่าคนอยู่กับคนแล้วยุ่งจริงๆ บางคนก็บอกว่าคนอยู่กับคนก็ไม่ยุ่งเท่าไร  แสดงว่าคนมีหลายประเภทใช่หรือไม่ คนอยู่กับคนด้วยกันนั้นมักเกิดปัญหาขึ้นสารพัดมากมาย แต่เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอย่างไม่ซับซ้อน  หลายครั้งอาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์หลายคนอยู่ด้วยกัน แต่ใจนั้นซับซ้อนเหลือเกิน  เปิดประตูเข้าไปแล้วยังต้องเข้าไปเปิดประตูอีกที เปิดแล้วเปิดอีก ไม่เคยหายสงสัย ไม่เคยมีความกระจ่างชัดในใจของตัวเอง  แม้ว่าเรานั้นจะอยู่กับคนอื่น แต่แท้จริงแล้วคนที่มีปัญหาคือใคร (ตัวเรา)  ปัญหาส่วนน้อยนั้นจึงเป็นของผู้อื่น ปัญหาส่วนใหญ่เป็นของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ก็มีเหตุผลที่จะเข้าข้างตัวเองว่าเราถูกแต่คนอื่นผิด แท้ที่จริงแล้วต้องเราผิดเขาถูกถึงจะดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อย่างนั้นเวลาเรามองเขา เราจะมองเขาด้วยสายตาขวางๆ เขาบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของอะไร (ดวงใจ)  เวลาเรามองใครตาของเราสื่อไหม (สื่อ)  ถามว่าปิดบังผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีปิดบังได้เหมือนกัน แต่ปิดตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ความลับมีในโลกหรือเปล่า (ไม่มี)  ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ที่มีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจใช่หรือไม่  ทั้งนี้จะเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง)  เป็นผลดีต่อผู้อื่นไหม  ผลดีส่วนใหญ่นั้นตกอยู่กับตัวเราเองใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นการแก้ไขตนเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หนึ่งวันเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไป เราไม่ทำผิดเลยได้ไหม (ได้)  ปราชญ์เมธีสมัยก่อนชอบพูดถึงบุคคลในอุดมคติ คือไม่ทำความผิดเลย  คนในสมัยนี้ก็ชอบพูดถึงคนที่เป็นคนปัจจุบันจริงๆ คือทำผิดตลอด  อาจารย์บอกว่าแถวนักเรียนที่นั่งนี้ตั้งอยู่สามแถว อาจารย์เลือกแถวกลางหมายความว่าอย่างไร (เดินทางสายกลาง)  เราไม่ต้องพูดถึงคนที่ทำไม่ผิดเลยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เราต้องไม่พูดถึงคนที่ทำผิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีการแก้ไขคือ เวลาที่เราทำผิดต้องรู้ตัวแล้วปรับปรุง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้จึงเป็นคนที่สมควรที่จะเป็นศิษย์อาจารย์ เป็นผู้ที่จะเป็นผู้บำเพ็ญได้ดีในอนาคต และเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่
ตั้งแต่อาจารย์มา อาจารย์ยังไม่พูดถึงคนอื่นเลย ใช่หรือไม่  อาจารย์มีแต่บอกให้ศิษย์นั้นมองตนเอง ทำตนเองให้ดี  กลับไปบ้านแล้วเราก็ไปทำอย่างที่อาจารย์พูด  มองแต่ตัวเราก็พอแต่ไม่ใช่เห็นแก่ตัว  มองตัวเราเพื่อแก้ไข มองผู้อื่นเพื่อชื่นชม  มองเห็นแต่ข้อดีของเขาไม่ใช่ไปมองเห็นแต่ข้อผิด คนส่วนใหญ่มองคนอื่นเพื่อจับผิด หาข้อผิดของเขา  แต่อาจารย์ไม่เอาแบบนั้น เรามองคนอื่นเพื่อเราเห็นข้อดีของเขาดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากว่าเรามองเห็นข้อผิดของเขาแล้ว ให้หลับตาหนึ่งข้าง หลับตาหนึ่งข้างแล้วเห็นเป็นอย่างไร (ไม่ชัด)  เพราะฉะนั้นความผิดของคนอื่นนั้นไม่ต้องเห็นชัดมาก แล้วสองตานั้นเอาไว้มองตนเอง มองกลับมาข้างใน  คนส่วนใหญ่ใช้ตาสองตามองไปข้างนอก ใช่หรือไม่  มองแล้วเกิดเป็นอย่างไร  คนนี้สวย คนนี้หล่อ สีแดงสวย สีเขียวสวย ที่นี่ดี คนนั้นรวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตาสองตานี้มองออกไปข้างนอกมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)
“เจ็ดสิบสองแสดงความกตัญญู ให้ควรคู่คำดื่มน้ำนึกต้นธาร”
เข้าใจกลอนที่อาจารย์ให้หรือไม่  บนแผ่นดินนี้ศิษย์ของอาจารย์ได้เกิดมา ศิษย์ก็จะอยู่จนตายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้เคยคิดไหมว่าที่ศิษย์นั้นมีความร่มเย็นอยู่ได้ดีกว่าประเทศอื่นเพราะอะไร (มีกษัตริย์ที่เมตตา)  เพราะมีพระมหากษัตริย์ที่ดีใช่หรือไม่ จึงเป็นโอกาสดีที่ศิษย์ของอาจารย์ผู้มีความสุขในชีวิต จะต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์ในประเทศอื่นๆ หลายประเทศ แม้ประเทศของเขามีสงคราม แม้ประเทศของเขาจะไม่สงบสุข แต่เขาก็ยังรู้จักบำเพ็ญ  เรียกว่าท่ามกลางทุกข์นั้นได้เกิดผู้บำเพ็ญขึ้น ได้เกิดผู้ที่จะเป็นพุทธะขึ้น แต่ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เหมือนบัวที่ปลูกกลางน้ำ บัวที่ปลูกกลางน้ำย่อมงอกดีกว่าบัวที่เกิดในไฟ ใช่หรือไม่  ทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสนี้ รู้จักที่จะบำเพ็ญธรรมรู้จักที่จะช่วยตนเอง  ถ้าวันนี้ช่วยตนเองไม่ได้ก็ช่วยผู้อื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ ชีวิตนี้เราเคยคิดไหมว่าจะช่วยผู้อื่น ใครที่เคยคิดว่าตัวเองนั้นจะช่วยผู้อื่น อาจารย์ก็ยินดีด้วย  ใครที่ยังไม่เคยคิดเราลองคิดดู  เจ็ดสิบสองพรรษานี้เราต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านด้วยอะไร  ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใจคนไม่ต่างกันมาก คิดว่าท่านอยากได้สิ่งใดมากที่สุด แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้ท่าน  ศิษย์อยากให้คนเคารพทั่วฟ้าหรืออยากให้คนนั้นช่วยๆ กันทำงาน  กษัตริย์ของศิษย์นั้นทำเพื่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านทำอยู่คนเดียว ไม่ค่อยมีคนช่วย กับการที่ศิษย์นั้นจะแสดงความกตัญญูโดยดำเนินรอยตาม ช่วยผู้อื่นเล็กๆ น้อยๆ  ถ้าเรามีสิบบาท เราจะช่วยผู้อื่นสักห้าบาทได้ไหม (ได้)  ท่านมีเมตตาช่วยผู้อื่นสักแปดบาทได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าอยากเป็นผู้บำเพ็ญช่วยผู้อื่นสักสิบบาทได้ไหม (ได้)  คนที่ตอบได้ก็ตั้งปณิธานไว้ในใจตนเอง การบำเพ็ญธรรมนั้นมีอยู่คำหนึ่งว่า “ดื่มน้ำนึกต้นธาร”  ศิษย์เคยดื่มน้ำไหม ดื่มน้ำวันละกี่แก้ว เวลาเราดื่มน้ำเรานึกถึงอะไร  อาจารย์จะบอกให้ เวลาดื่มน้ำจิตใจว่างเปล่าไม่คิดถึงอะไรเลย ดีไม่ดีคิดถึงเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจตามไปด้วย ดื่มไปก็มีแต่น้ำของความทุกข์ใจ ใช่หรือไม่  ถ้าเราคิดจะช่วยผู้อื่น เราดื่มไปก็เป็นน้ำเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเรากำลังคิดว่าจะไปทำสิ่งที่ดีๆ เราดื่มเข้าไปก็เป็นน้ำของความดี ใช่หรือเปล่า  แต่ว่าน้ำที่ศิษย์กำลังดื่มกินอยู่นั้น ให้คิดไปถึงต้นธารว่าน้ำนี้มาได้อย่างไร น้ำนี้อยู่ได้อย่างไร น้ำนี้มีในตัวเราหรือเปล่า ลองคิดดู
(พระอาจารย์ให้นักเรียนในชั้นนั่งลงพร้อมกัน โดยใครที่นั่งช้าโดนลงโทษด้วยการเดินเป็ดรอบห้อง)
คำขู่ได้ผลใช่หรือไม่ มนุษย์ไม่กลัวคำสั่งสอน ไม่กลัวการอบรม แต่กลัวการขู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  มิน่าศิษย์ของอาจารย์ถึงถูกขู่อยู่บ่อยๆ ไม่โดนคนโน้นขู่ก็โดนคนนี้ขู่ ใช่หรือไม่  เราชอบคำขู่หรือชอบคำชม (ชอบคำชม)  ถ้าเราไม่ทำความดีจะมีคำชมไหม (ไม่มี)  จึงบอกว่าคนที่ชอบคำชมก็ต้องทำตัวให้เขาชม ทำตัวอยู่ในความดีใช่หรือไม่ ต้องทำตัวดีถึงมีคนชม  อยู่ดีๆ จะให้คนที่อื่นมาชมเราโดยที่เราไม่มีความดี เขาเรียกว่าคำยอ  ฟังนานๆ ไปก็ (เบื่อ)  จริงหรือไม่ อาจารย์ไม่เชื่อ เห็นเขายอแล้วยออีกซ้ำๆ ซากๆ ก็อยากฟัง ใช่หรือไม่ ไม่เห็นมีใครเบื่อสักที  อยากจะเห็นคนเบื่อคำชมอยู่เหมือนกัน ถ้าคนเบื่อคำชมก็คงจะดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเบื่อหน่าย เห็นว่าคำชมนั้นหวานหู คำเยินยอนั้นทำให้เราหลงก็ยังชอบ
การที่เรานั้นอยากจะได้คำชมจะต้องทำตนดีให้ผู้อื่นได้ชื่นชม ต้องทำตนเป็นประโยชน์กับคนอื่น ถ้าหากทำประโยชน์แก่ตนเองคนอื่นเขาจะชมไหม (ไม่ชม)  คิดถึงเรื่องคำชมแล้วก็คิดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม อยากได้คำชมต้องทำตนดี เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น  อยากได้การบำเพ็ญธรรมต้องลงมือปฏิบัติ ใช่หรือไม่ ถ้าเราไม่ลงมือปฏิบัติจริงแล้วเราจะได้ผลไหม (ไม่ได้)  บางคนบอกว่าเป็นคนที่โกรธง่าย โกรธมากๆ เลยเวลาคนมายั่วโมโห ทำอย่างไรดีศึกษาธรรมะแล้วก็ยังไม่ยอมดับอารมณ์โมโหได้สักที ศึกษาธรรมะเข้าไปก็ไม่หายโมโหสักที  การบำเพ็ญธรรมอยากได้ชื่อว่าบำเพ็ญดีต้องทำอย่างไร อยากจะได้คำชมก็ต้องไปลงมือทำเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น อยากจะบำเพ็ญดีก็ต้องลงมือที่จะทำตามสิ่งที่ตนเองฟังไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาถึงตอนนี้แล้วได้คำตอบหรือยัง เวลาที่โมโหเรารู้ตัวหรือเปล่า (รู้)  แสดงว่าเรารู้ตัวว่าเรามีอารมณ์นี้อยู่ แต่เราไม่รู้ใจตัวเอง  รู้ตัวแต่ไม่รู้ใจ รู้จักแต่สิ่งภายนอกของตัวตน รู้จักแต่ว่าเราเกิดมาชื่ออะไร เป็นคนแบบไหน แต่ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เกิดแปลกปลอมเข้ามาในใจของเรานั้นจะกำราบอย่างไร วิธีง่ายๆ ก็คือเมื่อใดที่เกิดอารมณ์โมโห เรารู้ตัวอยู่แล้ว  แม้จะห้ามไม่ได้ในตอนนั้นเฉียบพลัน แต่ต้องทำให้ได้ภายในเวลาสามวินาที นับหนึ่ง สอง สาม
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้น)
ถามว่าใช้เวลารับผลไม้กี่นาที กี่วินาที (เจ็ดวินาที)  เจ็ดวินาที แสดงว่าจะดับอารมณ์โมโหก็ใช้เจ็ดวินาทีได้ใช่ไหม (มีแรงยุ ใช้เจ็ด ถ้าไม่มีแรงยุ ก็เกินสิบ)  ถ้าหากมีคนมายุเรา แล้วเราเชื่อ แสดงว่าเรา (หูเบา)  หูเบาทำอย่างไร หูเบานั้นแก้ได้  ไหนให้ผู้ร่วมศึกษาช่วยตอบหน่อย หูเบาทำอย่างไร (ให้นึกถึงเหตุผล)
ไหนลองฟังผู้บำเพ็ญตอบว่าทำอย่างไรเมื่อหูเบา (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : หูเบาต้องพิจารณาให้มาก ใช้ปัญญาให้มาก  เมื่ออาจารย์ท่านมีโอกาส ส่วนใหญ่พวกเราได้รับการเปิดจุดๆ หนึ่ง  จุดนั้นก็คือที่สถิตของปัญญา ฉะนั้นอาจารย์สอนให้เราใช้พิจารณาเป็นหลัก อันนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์สอนตลอด)
เอาอะไรให้เขาดี (กล้วย)  เอากี่ลูก (สองลูก)  มีความหมายอะไร (เป็นคู่)  เอาคู่ไหม (ไม่เอา)  เห็นไหมว่าเขาไม่เอา คนทั่วไปยังชอบคู่อยู่  เวลาให้ใครทำอะไรก็ต้องเป็นคู่ไปหมด อยากถามว่าวันนี้คู่ที่บ้านเราทะเลาะกับเขาหรือเปล่า (ทะเลาะ)  นี่ขนาดมองกันมาหลายปีก็ยังไม่พ้นทะเลาะกันเลยใช่หรือเปล่า จริงๆ แล้วคนที่ชอบให้อะไรคู่ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนมาก็คือเชื่อโชคลาง แต่ถามว่าโชคจริงๆ อยู่ที่ของที่เราให้ผู้อื่นเป็นคู่ หรือเราทำอะไรเป็นคู่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อยู่ที่ไหน (อยู่ที่การกระทำ, อยู่ที่การทำบุญทำกุศลด้วย)  ทำบุญแล้วบุญมาจะส่งไปให้แต่ส่งไปไม่ถึง อาจารย์ไม่ได้พูดเล่น หลายๆ ครั้งบางคนทำบุญแล้ว แต่บุญไปไม่ถึงเราจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นของเรา เพราะใจของเรามีแต่ความโหดร้าย มีแต่ความไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ทุกครั้งที่บุญมาก็เลยไปไม่ถึง เพราะว่าเรานั้นปิดกั้นตนเอง
คำว่า "โชคลาง" นั้นมีอยู่จริง ทำบุญทำให้เราได้โชคก็จริง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความประพฤติและการปฏิบัติของเราด้วย ได้แก่คำพูด คนปราณบุรีหลายคนเป็นคนปากแข็ง ปากแข็งไม่พอเสียงแข็ง เวลาคุยอะไรกันก็เลยไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่มีแต่คนที่นี่ ที่อื่น หลายๆ ที่ก็เป็นแต่ยังน้อยกว่าคนที่นี่เท่านั้นเอง คำพูดการกระทำ ถ้าแข็งแล้ว ปากก็แข็งแล้ว จะให้ทำนิ่มๆ ได้ไหม มันไม่คู่กันเลย แล้วทำอย่างไร ทำตัวแข็งๆ พอเจอใคร จะโน้มเข้าที จะน้อมเข้าที จะโค้งสักที ยากไหม (ยาก)  คนเสียงแข็งโค้งเก่งมีหรือเปล่า อาจารย์ยังไม่เจอ หายากจริงๆ ส่วนมากก็ถูกบังคับ พอเสียงแข็ง ปากแข็ง ตัวแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากอะไร (ใจแข็ง)  มีคนบอกว่าใจแข็ง ก็พอไปไหว แต่จริงๆ คือความคิดที่อยู่ในหัวสมองมันแข็ง แข็งทื่อไปหมดเลยไม่ค่อยจะมีน้ำความเมตตามาหล่อเลี้ยง ไม่ค่อยมีน้ำปัญญามาหล่อเลี้ยง มองอะไรก็มองแคบๆ ดูอะไรก็ดูลวกๆ เวลาทำอะไรก็ดูลวกๆ คิดอะไรก็ลวกๆ สมควรจะแก้ไขได้หรือยัง (สมควร)  ถ้าหากว่าไม่แก้ไข นานๆ ไป แม้ฝนจะตกทุกวัน แต่สถานธรรมแห้งเป็นทะเลทราย กลัวไหม (กลัว)
ใจที่แข็งนี้ หัวที่แข็งนี้ ความคิดที่แข็งนี้ก็คืออคติของเรานี่เอง พูดอ้อมๆ ก็คงไม่ดี พูดตรงๆ คืออคติของเราที่เราใช้มองคนอื่นความคิดพื้นฐานของเราที่บอกว่าคนอื่นไม่ดีกว่าเราเลย ความคิดเช่นนี้ ทำให้เรามองคนอื่นด้วยสายตาที่ขวางๆ ใครที่ไม่เป็นก็ฟังไว้เสริมสติปัญญา วันหลังแก่ตัวไปจะได้ไม่ทำ ดีหรือเปล่า (ดี)  พูดถึงในฝ่ายสถานธรรมก็คือการมองกันด้วยอคติ พอกลับเข้าไปในบ้าน อาจารย์พูดถึงสามี ภรรยา ถ้าเราทำตัวแข็ง ปากแข็งๆ ใจแข็งๆ ความคิดก็แข็งเหมือนเข้าช่องแข็งไว้ ไม่ยอมละลายสักที คนอื่นทำให้ละลายได้ไหม (ไม่ได้) เคยได้ยินคำว่า "น้ำหยดลงหิน" ทำไม (หินมันยังกร่อน)  คำนี้ใช้ได้ไหม ศิษย์เรียนรู้มาจากอะไร ใครตอบได้ เรียนรู้มาจากอะไร (จากประสบการณ์, จากธรรมชาติ) เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ เหมือนกับการที่บอกว่าน้ำหยดลงหิน หินกร่อนไป แสดงว่าที่เรานั้นแสดงตนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เป็นคนที่เอาอ่อนเข้าว่า ไม่แข็งเกินไป มีนิสัยที่อ่อนโยนเมตตา ใช้ได้ผลไหม ในคนที่แข็งเราก็สู้ได้ ในคนที่อ่อนเราก็กลมกลืนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราเป็นน้ำที่หยดลงหิน สักวันหนึ่งน้ำอันนี้ไปหยดใส่ทะเลเหมือนกันหรือเปล่า น้ำหยดลงแม่น้ำเหมือนกันไหม น้ำหยดลงแก้วน้ำเหมือนกันไหม ไม่ต้องแก่งแย่ง ไม่ต้องแข่งขัน ไม่ต้องคิดว่าเรานั้นจะเหนือเขา เพราะว่าความคิดที่บอกว่าเราอยากจะเหนือคนอื่น ทำให้เราต่ำกว่าใคร รู้ไหม จึงบอกว่ามนุษย์นั้น เดิมแท้จิตใจสะอาด จิตเดิมแท้เป็นจิตอันสูงสุด บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ไม่มีกิเลสใดๆ แต่สิ่งใดๆ ที่เกิดบนโลกนี้ ทำให้ศิษย์ของอาจารย์กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ที่มีนิสัยต่างๆ กัน เหมือนอาจารย์บอกว่า อาจารย์นำนาวานี้ แต่ศิษย์เป็นคนตาม ตามมาอย่างไร ตามไปทะเลาะกันไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วคนข้างหลังจะเดินมาอย่างไร กล้าเดินไหม (ไม่กล้า)  กลัวลูกหลงไหม (กลัว)  จึงบอกว่าคนข้างหน้านั้นไปให้เป็นระเบียบ ระหว่างคนกับคนนั้น อยู่กันอย่างสันติ จิตใจนี้มีแต่ให้กับให้ ความคิดใดที่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เป็นอคติ การกระทำอะไรที่มันแปลกๆ ที่มันประหลาดๆ พูดอะไรที่คนอื่นรับฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ดี หลีกให้หมด แล้วทำอย่างไรดี ต้องถาม
กิเลสทั้งหลายเราไม่วุ่นวาย ไม่ข้องแวะด้วย ทำให้การบำเพ็ญธรรมนั้นดีขึ้นไหม (ดีขึ้น)  ทำให้เราดีขึ้นหรือเปล่า จากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชน คนผู้นั้นก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญอย่างสมบูรณ์แบบ  สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยเวลาเป็นสิบปีในการฝึกฝน จริงๆ แล้วแค่ศิษย์นั้นมีสติ แค่ปีหรือสองปีก็ทำให้ศิษย์นั้นเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้  แต่ที่สำคัญคือ เราไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง เหมือนกับที่บอกว่า รู้ตัวว่าโมโหแต่ไม่แก้ไขใช่หรือไม่  เราไม่คิดจะแก้อย่างจริงๆ จังๆ จึงเกิดเป็นแผลเป็นขึ้น โดนมีดบาดทีหนึ่งไม่เข็ด เอาไปทำบาดอีกทีหนึ่ง แล้วจะทำอย่างไร ถ้าข้างนี้ยังเจ็บอยู่ ก็เอาอีกข้างไปบาดอีกทีหนึ่ง แขนไม่มีแล้วก็เอาขาออกไปบาดจนขาไม่มีแล้วเอาตัวออกไปบาด ไม่มีวันเข็ดเลย ไม่ยอมเข็ดเลย แผลนี้เป็นแผลของเราเองหรือของคนอื่น (ของเราเอง)  ถ้าเราจับแขนของคนอื่นไปให้โดนมีดบาด เวลามีดมาเขาก็รีบชักแขนออกแล้วใช่หรือเปล่า ตัวเราที่เอาไปให้มีดบาดแล้วเป็นอย่างไร (เจ็บเอง)  เราตั้งใจเอาเข้าไปอยู่แล้วจึงเจ็บมาก ช้ำมาก ชีวิตนี้ก็เลยเป็นคนขี้กลุ้ม ขี้กังวล มีปัญหาไม่รู้จักจบเพราะความที่ไม่รู้จักเข็ด  หลังจากวันนี้เราจะตั้งหน้าตั้งตาทำตนเป็นคนใหม่ดีหรือไม่ (ดี)  คนใหม่ที่มีความบริสุทธิ์เหมือนกับในวัยเยาว์ เหมือนตอนเป็นเด็กทารก  เด็กทารกเป็นอย่างไร  เวลาคนที่ตัวสกปรกขออุ้มถามว่าเขาให้อุ้มไหม  เขาก็ไม่รังเกียจ เพราะมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ใช้ตานี้ไปดู ไม่เหมือนศิษย์ตอนนี้ที่ใช้ตา อะไรจึงขวางตาขวางหูไปหมด ใช้อายตนะอันนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าให้เกิดโทษ อันว่าคนเราถ้าหากพิการ ไม่ว่าจะเป็นหู ตา จมูก ปากนั้นล้วนแต่เป็นคนที่อับโชคทั้งนั้น เป็นคนที่โชคร้ายแต่ไม่แน่นะ ความโชคร้ายของเขาอาจจะโชคดีกว่าศิษย์ใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าศิษย์ใช้ตาไปมองแล้วทำให้ตนเองเป็นคนขี้กลุ้ม เจ้าปัญหา ในขณะที่เขาไม่มีตามอง แต่เขากลุ้มใจว่าเขามองไม่เห็นเฉยๆ อันไหนดีกว่ากัน สองคนต่างมีปัญหาทั้งนั้น
ในวันนี้วันที่ ๕ ธันวาคม เป็นวันที่ดีที่สุดของคนไทย  คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่ว่ามีแต่ธรรมะอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สนใจ การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ได้บอกให้ศิษย์ทิ้งบ้าน ทิ้งครอบครัว ทิ้งสังคม ทิ้งญาติพี่น้อง ทิ้งทุกอย่างไปบำเพ็ญ แต่ตรงกันข้ามคือให้ศิษย์นั้นอยู่ในสังคม อยู่ในบ้าน อยู่ในครอบครัวอย่างผาสุก เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญในสมัยนี้จึงทำอย่างไร ประโยคแรกทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรง เรามีหน้าที่เป็นอะไรบ้าง มีหน้าที่เป็นลูกเป็นพ่อแม่มีไหม (มี)  เป็นลูกน้องคนอื่นมีไหม (มี)  เป็นเจ้านายคนอื่นมีไหม (มี)  หน้าที่นำคนอื่นมีไหม (มี)  เรามีหน้าที่เป็นญาติที่ดีไหม (มี)  เรามีหน้าที่ๆ จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นไหม (มี)  เรามีหน้าที่ๆ จะต้องทำการงานอย่างบริสุทธิ์รอบคอบไหม (มี)  นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ แต่หน้าที่ๆ สำคัญที่สุดคือ หน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญู หน้าที่นี้สำคัญมาก ใครทำไม่ได้ก็ไปไม่ถึงไหน แม้ว่าทุกคนนั้นมีหน้าที่การงานที่ต่างกัน แต่มีหน้าที่เป็นลูกทุกคนเพราะทุกคนเกิดมามีพ่อแม่ บิดานั้นมักรักบุตรที่มีความสามารถ แต่มารดาไม่เหมือนกัน เมื่อบิดารักบุตรที่มีความสามารถ มารดาก็รักบุตรที่ไม่มีความสามารถ ความแตกต่างอยู่ที่ตรงไหนล่ะ ความแตกต่างอยู่ที่ลูกนั้นต้องทำตนให้เป็นผู้ที่มีความสามารถและเมื่อเรานั้นอยากที่จะเลียนแบบพ่อแม่ พ่อเป็นผู้ที่ทนุถนอม แม่เป็นผู้ที่มีเมตตา วันหลังเมื่อเรากลายเป็นพ่อแม่ผู้อื่นจึงต้องมีสองอย่างนี้ไม่ให้ขาด
อย่าเห็นว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องยาก นั่งไป ฟังไป ก็คิดไป จะให้หลุดพ้นได้อย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า จึงบอกว่าต้องทำตนเป็นคนใหม่เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็หลุดพ้นไม่ได้จริงๆ  เริ่มวันไหนดี เริ่มพรุ่งนี้ทันไหม  (เริ่มวันนี้)  อย่าเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง หลายคนเสียใจกับการตัดสินใจของตนเองว่าไม่น่าเลย ตอนนั้นไม่น่าทำอย่างนั้น ตอนนี้ไม่น่าทำอย่างนี้ สายไปเสียแล้ว  มีแต่มองอนาคตต่อไปและแก้ไขอดีตที่ผ่านมาให้เป็นบทเรียนเท่านั้นจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรมนั้นมีอยู่ชัดเจนและที่แน่ๆ ก็คือควรที่จะทำตามนั้น อ่านแล้วอ่านให้จบแล้วดูว่าเราต้องเริ่มจากที่ใด แล้วไปจบที่ใด จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรมนั้นข้อแรกว่าอย่างไร
เคารพฟ้าดิน  เมื่อสักครู่นี้มีคนบอกว่าชีวิตนั้นเรียนรู้จากธรรมชาติ นั่นคือ ธรรมชาติเป็นครูสอนเรา  คำว่า “ธรรมะ” ก็คือธรรมชาติ ก็เป็นแบบนี้ การเริ่มต้นที่จะบำเพ็ญธรรม จึงขัดไม่ได้กับจุดประสงค์ของอนุตตรธรรม  ดูก่อนว่าเริ่มจากอะไร ไม่ได้บอกว่าเริ่มจากตัวเองเลย แต่ให้ศิษย์นั้นมองออกไปกว้างๆ มีอะไรบ้าง มีฟ้ามีดิน
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทำไมถึงให้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าคนในสมัยนี้ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม ใช่หรือไม่  เมื่อไม่เชื่อก็บำเพ็ญไปไม่ถึงไหนเหมือนกัน เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองทำไม่ดีแล้วต้องไปรับกรรม ความหมายของการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่าให้เรานั้นเชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรม มากกว่าที่จะให้เราไปกราบพระแล้วขอนั่นขอนี่ แต่บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำเร็จไปจากกายมนุษย์ ท่านทำดีแล้วได้ดีมีคนเคารพ ศิษย์จะต้องเจริญรอยตามอย่างท่าน  ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างพระพุทธองค์ที่ศิษย์รู้จักก็สำเร็จไปจากกายมนุษย์ ในคนจีนก็จะเรียกท่านว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน  ดูซิว่าท่านผ่านความยากลำบากมาเท่าไร แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่อยากจะสำเร็จธรรมตามไป  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่อยากที่จะลำบาก ทุกวันก็วอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ว่าอย่าให้ศิษย์ลำบากเลยขอให้สบายๆ ขอให้มีเงินทองมากๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านทิ้งเงินทองลาภยศไปแล้ว ท่านจะเอาลาภยศเงินทองที่ไหนมาให้ ศิษย์คิดหรือเปล่า แล้วท่านจะให้ศิษย์เพื่อให้ศิษย์หลงทำไม
รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่  เริ่มใกล้ตัวเราเข้ามาเรื่อยๆ ไหม ตั้งแต่ฟ้าดินมาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้มาถึงชาติ ในเมืองไทยนี้อาจารย์จะเพิ่มให้เองเป็นพิเศษเฉพาะกิจวันนี้ว่า คำว่า “ชาติ” ครอบคลุมไปถึงศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วย เนื่องจากจุดประสงค์ของอนุตตรธรรมนั้นไม่ได้เขียนที่เมืองไทย เป็นการแปลมา ในเมื่อกำหนดที่ประเทศอื่นจึงไม่มี แต่ให้ศิษย์เข้าใจกันเองว่าจำเป็นที่จะต้องมี เพราะตั้งแต่เด็กจนโตศิษย์ก็ท่องชาติศาสนา พระมหากษัตริย์จนขึ้นใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแม้จะอ่าน “ชาติ” คำเดียวแต่ก็ให้เข้าใจเป็นที่ครอบคลุมว่า ต้องรักชาติ ชาติมาเป็นหนึ่ง อย่าทำอะไรที่เป็นการทำลายชาติ อย่าทำอะไรที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นการทำลายชาติอยู่ ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ชาติก็พัง
เชิดชูวัฒนธรรม  วัฒนธรรมหลายอย่างที่ศิษย์นั้นไปร่วมงานอยู่บ่อยๆ แต่รู้ไหมว่าวัฒนธรรมคือสิ่งที่เก่าแก่โบราณมา ถ้าหากว่าเราจะไปร่วมก็ต้องดูด้วยว่าวัฒนธรรมนั้นหมายถึงอะไร ความหมายลึกๆ อยู่ตรงไหน
กตัญญูรู้คุณบิดามารดา  ติดตัวเราหรือยัง (ติดตัวเราแล้ว)  นี่คืออยู่ที่การปฏิบัติแล้ว ตอนนี้เริ่มพูดถึงเราแล้วเพราะว่าต้องเริ่มจากใหญ่เข้ามาหาเล็ก แต่ทั้งใหญ่ทั้งเล็กนี้ก็คือสิ่งที่เราต้องทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคารพเทิดทูนอาจารย์ ชีวิตนี้มีอาจารย์กี่คน เคยนินทาอาจารย์ไหม เคยว่าอาจารย์ไหม (เคย)  ถ้าเคยทำ ศิษย์จะไม่เจริญ เพราะว่าไม่เชื่อถือในวิชาความรู้นั้นๆ จึงบอกว่าเรานั้นต้องทำตนให้เป็นคนดี จะต่อหน้าหรือลับหลัง มีคนเห็นหรือไม่มีคนเห็นก็ต้องเหมือนกัน เป็นเหมือนกับลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่พลิกไปทางไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นสี่เหลี่ยมที่พลิกไปทางไหนก็มีแต่มุมมีแต่เหลี่ยม นี่คือวิธีการปฏิบัติตนของเราทั้งนั้น ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่จุดประสงค์ของอนุตตรธรรมพูดถึงศิษย์ก็จะนับเป็นคนดีคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญที่ดีคนหนึ่ง
ถือความสัตย์ต่อเพื่อน  ลิ้นของคนเรายาวเท่าไร ลิ้นนี้ยาวสามนิ้วกระดกไปกระดกมา โกหกคนดีไหม (ไม่ดี)  บางคนบอกว่าไม่ได้เจตนา แต่ถามว่าเวลาศิษย์ไม่เจตนามีคนอื่นเข้าใจเราไหม ไม่มีใครเข้าใจ มีแต่เราเข้าใจตนเอง แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ทำอะไรจึงต้องคิดก่อนที่จะพูด คิดก่อนที่จะทำจึงเป็นผลดี ถือความสัตย์ต่อเพื่อน คำว่าเพื่อนนี้ ในเมืองไทยก็ควรจะวงเล็บว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล  จงเลือกคบแต่กัลยาณมิตร จงเลือกคบแต่มิตรที่ดี ในสังคมปัจจุบันนั้นวุ่นวายวัตถุมาเหนือจิตใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลับไปมองที่บ้านเราก็พอจะเห็นว่าบ้านเรามีวัตถุมากเท่าไร แล้ววัตถุพวกนี้อยู่เหนือจิตใจของเราหรือเปล่า ถ้าใช่ให้ลดลง เพราะว่าตอนที่เราตายไปมีคำพูดว่า เงินบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ จำไว้นะ
มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน  มีไหม (มี)  คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ยังมีอยู่ คนกรุงเทพฯ บางทีอยู่บ้านติดกันยังไม่รู้จักกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่รู้จักคนที่อยู่รอบๆ บ้านเรา ถึงเวลาเราจะไปไหนมาไหนจะวานใครพึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)  คนส่วนใหญ่บอกว่าทุกคนไว้ใจไม่ได้ เราไม่ไว้ใจคนข้างบ้าน คนข้างบ้านก็ไม่ไว้ใจเรา ก็เลยไม่เคยฝากอะไรเราเลยใช่ไหม (ใช่)  แท้ที่จริงแล้วต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่เคยเปิดประตูไปทักทายเขาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนไม่ดี
ละบาปบำเพ็ญบุญ
รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม  ข้อนี้เน้นอะไร เน้นการบำเพ็ญแล้ว จากข้อแรกฟ้าดิน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ลงมาถึงตัวเรา จุดประสงค์ของอนุตตรธรรมนั้นชนตัวเราแล้วชนที่ไหน ชนที่กายข้างนอกของเราพูดถึงเรื่องการปฏิบัติ
ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว  พูดถึงจิตใจด้านในว่าเราควรที่จะมีจิตใจที่สะอาด เปรียบไปแล้วก็เหมือนสีขาวทีเดียวไม่ใช่สีกระดำกระด่าง
อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมอันสูงส่งในกายตน
ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น  ข้อนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราแล้ว ตอนนี้เราได้ล้างตัวเราทั้งความคิด การกระทำ และคำพูดสะอาดหมดแล้ว สะอาดมาตั้งแต่ฟ้าเดิมจนกระทั่งถึงตัวเราออกไป ล้างไปหมดแล้วตัวเราสะอาดแล้วเริ่มช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น อาจารย์ยังบอกว่า ถ้าศิษย์นั้นไม่ดีพอจะช่วยใครได้ ทุกวันนี้ช่วยได้แต่พ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตรคนสนิทเท่านั้นเอง แต่ว่าคนที่ช่วยอยู่ตรงนี้ต้องช่วยให้ดีแล้วเริ่มมองที่จะช่วยคนอื่นบ้าง
ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข  เริ่มออกไปช่วยผู้อื่นแล้ว ไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเองแล้ว จึงบอกว่าพุทธะนั้นต้องช่วยผู้อื่นจึงสำเร็จได้ ปณิธานที่ท่านตั้งนั้นไม่ได้ตั้งเพื่อตนเอง แต่ตั้งเพื่อช่วยผู้อื่น
ช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงาม
เพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า
สามข้อสุดท้าย มีไว้ทำอะไร บอกว่าให้เรานั้นช่วยโลกจนเกิดสันติสุขให้ได้ มีคนบอกว่าโลกนี้ใบใหญ่ ตัวเราเล็กเท่ามดเท่าทราย จะไปทำได้อย่างไร ศิษย์มีความคิดอย่างนั้นไหม ตอนนี้เราต้องพิจารณาให้ดีๆ อยากจะให้โลกสันติสุขนั้นต้องเริ่มที่ไหน ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ในครอบครัวเราเองแล้วไปที่สังคมและประเทศจึงไปถึงโลกได้ แก้วหนึ่งใบใช้ทรายจำนวนนับไม่ถ้วนมาหลอม แล้วถ้าหากว่าขาดศิษย์ผู้เป็นทรายที่จะมาหลอมแก้วนี้ไปสักหนึ่งเม็ด แก้วนี้ก็คงจะมีจุดบอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าให้ศิษย์สามัคคีกัน ลุกก็ลุกพร้อมกัน นั่งก็ให้นั่งพร้อมกัน คิดอะไรเป็นทิศทางเดียวกันไปหมด ไม่อย่างนั้นพายเรือลำนี้ไป คนหนึ่งอยากพายขวาอีกคนอยากพายซ้ายจะไปถึงไหม (ไม่ถึง)  แม้ต่างคนต่างมีความคิด แต่ว่ามีความคิดที่อยู่ตรงกลางระหว่างความคิดศิษย์และความคิดของอีกคนหนึ่ง ลองหาดู อย่าบอกว่าทำอะไรๆ ก็ทำไม่ได้ ถ้าหากไม่เคยลองทำ
การบำเพ็ญธรรมนั้นเริ่มตั้งแต่ตัวเองเป็นหลักใหญ่ การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากมากเกินไป บอกว่านิพพานไปไกล ถามว่าเคยเอื้อมไหม เราเคยลองไหม (ไม่เคย)  ผู้ที่สำเร็จเป็นพุทธะนั้นก็ล้วนแต่มีตา มีหู มีปาก มีแขนขาเหมือนเรา ต้องทดลองดูว่าทำได้ไหม เมื่อทำไม่ได้จึงบอกว่า ไม่เป็นไรค่อยๆ ทำ ชาตินี้ไม่ถึง  ชาติหน้าก็ถึงได้ ฉะนั้นให้ทุกคนไปอ่านจุดประสงค์ของอนุตตรธรรมดูว่า เรานั้นจะเริ่มได้ไหมจากใหญ่เข้ามาหาเล็กและเล็กออกไปใหญ่ ดูๆ แล้วเหมือนลูกบอลลูกหนึ่งไหม ลูกบอลลูกนี้ต้องบริหารเข้าออก แต่ไม่ใช่กลับกลอกออกๆ เข้าๆ เข้าใจหรือไม่
มีเวลามาสถานธรรมไหม (ไม่มี)  แล้วเมื่อไหร่จะมี มาจากที่ต่างกัน เราบอกว่าไม่มีเวลาว่าง เราได้ยินคำว่าเวลา เมื่อเรามีเวลาว่างที่สุดก็คือ “เวลาตาย”  ถึงตอนนั้นต่อให้เราไม่ว่างก็ต้องไป อาจารย์พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์นั้นเอาเวลาที่มีค่ามาทำเล่นๆ อยากให้ศิษย์นั้นมาศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ จิตใจของเราจะได้คลายความวุ่นๆ กังวลปัญหาต่างๆ ได้ หาเวลาให้อาจารย์หน่อยนะ
ชีวิตนี้ถ้าเลือกได้เราต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด .แต่ถามว่ามีคนสมหวังในชีวิตกี่คน น้อยคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามีสิทธิ์ แต่ไม่แน่ว่าเรามีสิทธิ์ได้ ฉะนั้นคนที่มีดวงดีอยู่ก็จงรักษาโชคดีของตนเองให้นานวันและสามารถนำโชคดีของเรานี้ไปให้ผู้อื่นได้ นั่นจึงเรียกว่าเป็นคนไม่หวงของ โชคดีอันนี้ก็จะอยู่กับเราไปนานๆ  หลายคนนั้นอยากจะเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ  อาจารย์เข้าใจ แต่เมื่ออยากจะเจอสิ่งที่ดี ก็จงทำแต่สิ่งที่ดีด้วย จะเจอแต่สิ่งที่ดี หากไปทำความไม่ดี ก็ต้องเจอแต่สิ่งที่ไม่ดีวิ่งเข้ามาหาเรา .เหมือนเวลาศิษย์ปาลูกบอลออกไป ถ้ากระทบกำแพงก็กระเด้งกลับมาหาใคร (ตัวเราเอง)  นั่นเรียกว่าผลบุญ ผลกรรม
 (พระอาจารย์เมตตาแม่ครัว)  ปีนี้มีมากหน้าหลายตากว่าเก่า ก้าวหน้าพัฒนาขึ้นทุกวันๆ เดินตามกันมาอย่าขาดตอน ใครที่ยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมะ ยังบำเพ็ญผิดๆ ถูกๆ บ้าง มีโอกาสลองคุยกับผู้อาวุโสดู อย่าเห็นว่าเป็นคนกันเอง ทุกคนนั้นต่างมีความสามารถของตนทั้งสิ้น เวลาเราก็ไม่ค่อยมี ถ้าเจียดก็คงพอมีได้ บำเพ็ญธรรมนั้นศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่าอย่ามีแต่ความศรัทธา ต้องมีปัญญา ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจ กุศลสร้างก็ยังต้องมีอย่างอื่นรองรับนอกจากกุศลด้วย คือ ความเข้าใจ หากว่าเราทำได้ดี คนอื่นเขาก็เดินตามเรามาดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำไม่ดีคนอื่นเขาก็พยศนิดหน่อย อาจารย์ว่าหลายคนคงเจอเรื่องแบบนี้ แต่ว่าอุปสรรคนั้นก็เหมือนเมฆที่พัดเข้ามา เมฆสีดำๆ ที่บังดวงอาทิตย์ไว้ ใครอยากเป็นดวงอาทิตย์ต้องรู้จักฝ่าฟันออกมา ถ้าฝ่าฟันไม่พ้นก็กลายเป็นเมฆดำไปกับเขาด้วย อาจารย์รู้สึกว่าจะน่าเสียดาย ขอให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีเวลาว่างก็ศึกษาธรรมนะ ต่างเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงซึ่งกันและกัน กำลังใจเรามีเต็มเปี่ยมทำให้คนอื่นดู ทำได้ไหม อย่างที่อาจารย์บอกไป ศิษย์ของอาจารย์ที่นี่ศรัทธามาก แต่อย่ามีแต่ความศรัทธา การบำเพ็ญธรรมะเป็นขั้นเป็นตอน ทำหลายอย่าง ทำตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน มีอย่างอื่นมากกว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นได้พบอยู่ทุกวันนี้ ธรรมะเป็นสิ่งที่วิเศษ หากว่าศิษย์ใช้ดีๆ ธรรมะจะเป็นประโยชน์กับศิษย์มาก อาจารย์หวังว่าศิษย์จะตั้งใจศึกษาธรรมะให้เข้าใจลึกซึ้ง จะได้ไม่โดนลูกๆ หลานๆ ว่าบอกว่าไปที่ไหนก็ไม่รู้ อธิบายไม่ถูก
 (อาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า ”จงรักภักดี”)
เนื่องจากศิษย์เกิดในประเทศไทย การเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์จึงเป็นเรื่องที่สมควร และสิ่งที่ศิษย์ต้องทำให้ได้ก็คือความจงรักภักดี ในความจงรักภักดีมีอีกหลายสิ่งอันได้แก่ ความเคารพ เจริญรอยตามการช่วยเหลือ แม้ว่าเราจะทำได้น้อยก็ตาม ก็ต้องทำให้เต็มที่ เต็มใจ และจริงใจ
ทำไมจงรักภักดีออกมาเบี้ยวๆ บูดๆ อย่างนี้ อันนี้เป็นของขวัญจากท่านเหอเซียนกู โย้ลงมาเป็นเหมือนกับหัวใจ จงรักภักดีด้วยหัวใจของเรา เวลาเราวาดรูปหัวใจก็วาดอย่างนี้ใช่หรือไม่  อันนี้ก็เหมือนกับหัวใจของเราที่เรานั้นมีให้
ช่วงก่อนมีสิ่งที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ไม่สบายใจทั่วไปหมด ข่าวคราวหนาหูแต่อาจารย์บอกว่า หากศิษย์มั่นใจว่าทำในเรื่องที่ถูกต้อง การถูกสอบแค่นี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา วันหน้ายังมีสอบหนักกว่านี้ไม่ต้องห่วง ดูว่าใครมั่นคงจนวันสุดท้ายก็เอาชัยชนะมาได้ ใครมั่นคงไม่ได้ก็แพ้ไป ถ้าหากเป็นพุทธะ การเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ง่าย แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นั้นจะได้รับการคารวะจากผู้อื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตรงนี้เล็กๆ น้อยๆ ให้ศิษย์จำใส่ใจ แล้วข่าวต่อไปที่มาก่อนข่าวที่ศิษย์รู้มาทีหลังนี้ ข่าวนั้นคือข่าวภัยพิบัติ บางคนยังไม่เลิก บางคนยังไม่ตายใจ ไม่ใช่บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดแล้วไม่เป็นจริง แต่ถ้าเป็นจริงแล้วศิษย์พอใจหรือ มีเวลาให้บำเพ็ญนานต่อไปไม่ดีหรือ อาจารย์บอกแล้วพูดไปแล้วคนจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น หากจะต้องตายอย่างสง่าผ่าเผย เราตายนอกบ้านตายเพราะช่วยคนอื่น ไม่ใช่ตายในบ้านเพราะว่ากลัวภัยมาโจมตีเรา ตายอย่างพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่น่ากลัวอะไร ทุกคนเกิดมาต้องตาย ใจของศิษย์ถ้าฝักใฝ่เรียกภัยมา ไม่ต้องเจอภัยข้างนอกก็เจอภัยที่อยู่ในหัวใจนี้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ให้เข้าใจศึกษาธรรมะหลักสัจธรรมให้มากๆ ใครอยากรู้ ว่าเมื่อก่อนนี้อาจารย์พูดว่าอะไร ก็ไปอ่านโอวาทเอง  คงไม่ต้องให้อาจารย์พูดใหม่หลายๆ รอบ นี่ก็จะปี 2000 อยู่แล้ว นี่ก็จะเข้าพุทธศักราชใหม่อยู่แล้ว ยังมัวพะวงกับปี 1999 ไม่เลิก
ศิษย์ของอาจารย์เจ้าบำเพ็ญธรรมก็เพื่อให้โลกเป็นเอกภาพไม่ใช่หรือ ขอให้จิตใจของเรานั้นเป็นเอกภาพก่อนให้จิตใจของเราดีงามก่อน สถานธรรมไม่แบ่งว่าจะเป็นคนแก่ หรือว่าจะเป็นเด็ก มีแต่ว่าใครมาก่อนใครมาหลัง คนมาหลังเคารพคนมาก่อน คนมาก่อนก็ส่งเสริมคนข้างหลัง ทุกคนอ่อนน้อมซึ่งกันและกัน ทุกคนมีไมตรีจิตกัน ใครทำหน้าที่อะไรก็ให้ความเคารพยกย่องจากใจจริง ไม่ใช่เห็นเป็นคนที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่ต้น ก็ไม่เห็นจะน่าเชื่อถือตรงไหน ธรรมะอยู่ในใจศิษย์เชื่อก็เชื่อธรรมะที่อยู่ในใจศิษย์ ธรรมะแท้หรือเท็จก็ใช้ปัญญาแยกแยะดูเองดีหรือไม่ (ดี)
วันนี้อาจารย์ยินดี อาจารย์ดีใจที่เจอหน้าศิษย์ทุกคนเห็นศิษย์เยอะๆ บางทีก็ดีใจ บางทีก็หวั่นใจ ศิษย์ลองนึกถึงตะแกรงร่อนทราย ทรายยิ่งเยอะยิ่งต้องออกแรงเหวี่ยงเยอะ ใครกระเด็นออกไป ศิษย์ของอาจารย์ไหม ทรายเม็ดไหนก็ศิษย์อาจารย์ทั้งนั้น ทุกครั้งอาจารย์จึงบอกศิษย์บำเพ็ญให้ดีๆ ทำตนเป็นคนดี อาจารย์ขอแค่นี้ทุกคนบอกเชื่อ เชื่ออาจารย์นี้ รักอาจารย์นี้ แต่ในความจริงมีคนทำได้กี่คน มีคนอยากเป็นแบบอย่างให้คนอื่นกี่คน อย่าสงสารอาจารย์ที่เห็นอาจารย์ร้องไห้ สงสารตัวเราที่ทำได้เท่านี้ ดีได้เท่านี้
อาจารย์พาศิษย์กลับคืนฟ้า ถ้าอยากตามมา เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์มากกว่านี้อีกสักหน่อยดีไหม (ดี) ความจริงแล้วศิษย์ก็น่ารักในใจอาจารย์ทุกคน แต่มักรักในบรรดามนุษย์ด้วยกัน ให้อาจารย์แก้ตัวแทนไหม มีใครฟังไหม มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าให้ศิษย์ฟัง  ในประวัติของท่านเมิ่งจื้อ แม่ของท่านต้องย้ายบ้านถึงสามหน เพื่อให้ลูกนั้นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีเพื่อเติบโตเป็นคนดี ครั้งแรกบ้านท่านไปอยู่แถวสุสานทำให้ท่านนั้นเติบโตมาอย่างไม่ดี แม่ท่านจึงย้ายบ้านไปอยู่ในตลาดลูกชายก็โวยวายออกมาเหมือนพ่อค้า ต้องย้ายบ้านอีก ครั้งที่สามย้ายมาใกล้โรงเรียนทำให้ท่านนั้นสง่างามดั่งปราชญ์เมธี ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม บรรลุธรรม อาจารย์เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อให้ศิษย์รู้ว่าคนนั้นเป็นไปตามสภาวะแวดล้อมและกิเลสที่มายั่วยุ บำเพ็ญให้ดีๆ ดีไหม แต่อาจารย์ให้ศิษย์ย้ายบ้านไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่มีกายเนื้อจะมาพาศิษย์ของอาจารย์ย้ายหนีมีแต่ความหวังอย่างเดียว ให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นอย่าใจแข็งเข้าหากัน แต่ให้ใจแข็งกับกิเลสเหล่านี้ แปรเปลี่ยนสังคมที่ศิษย์อยู่นั้นให้ดี
วันหน้าเจอกันใหม่ดีไหม มีศิษย์หลายคนที่เพิ่งมารับธรรมะวันประชุมธรรม ก่อนวันประชุมธรรม ธรรมะเป็นเรื่องใหม่ของศิษย์ แต่เป็นเรื่องเก่าของโลกนี้ อย่าให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เข้าใจไหม ดูแลตัวเองให้ดีๆ แทนอาจารย์นี้ วันหลังค่อยเจอกันใหม่ อาจารย์รักศิษย์ทุกคน ศิษย์รักตัวเองด้วย

จุดประสงค์ของอนุตตรธรรม

๑. เคารพฟ้าดิน
๒. บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
๓. รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
๔. เชิดชูวัฒนธรรม
๕. กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
๖. เคารพเทิดทูนอาจารย์
๗. ถือความสัตย์ต่อเพื่อน
๘. มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน
๙. ละบาปบำเพ็ญบุญ
๑๐. รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
๑๑. จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
๑๒. ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม
๑๓. ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
๑๔. อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
๑๕. ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
๑๖. ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมอันสูงส่งในกายตน
๑๗. ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น
๑๘. ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
๑๙. เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข
๒๐. ช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงาม
๒๑. เพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “จงรักภักดี”

หัดจิตเพียรธรรมใส่ใจ ในนอกใจกายเพียบพร้อม
เลิศงามที่ไม่จอมปลอม ฟ้าย่อมยินดีปรีดา
ต้องมีใจที่มั่นคง ซื่อตรงจงรักสู้หน้า
แทนตอบคุณใดให้มา ความดีชี้ค่าของคนเอย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา